Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1583-1603

ตอนที่ 1583 ร่างกายซื่อสัตย์เสมอ

 

จางจื่ออันพูดการสันนิษฐานของตัวเองจบ พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็คิดว่ามีเหตุผลมาก พากันพยักหน้าเห็นด้วย ถึงอย่างไรเขาก็มีวาทศิลป์ โดยเฉพาะเรื่องการเล่นลูกไม้ใส่คนอื่น 


 


 


นักวิทยาศาสตร์และนักสืบตำรวจของอเมริกากับแคนาดาไม่ใช่คนโง่ เรื่องเท้าขาดบนชายหาดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง พวกเขาก็เคยสงสัยอยู่แปดส่วนว่าเป็นเรื่องที่องค์กรผิดกฎหมายทำหรือเปล่า แต่ก็ติดตรงที่ไม่มีหลักฐานเช่นเดียวกัน 


 


 


กระแสน้ำในมหาสมุทรซับซ้อนอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ผู้คนทำได้แค่คาดเดาทิศทางสำคัญของมัน แต่ความจริงแล้วกระแสน้ำอาจจะไหลเป็นรูปทรงสามมิติ ในน้ำทะเลลึกลงไปสามชั้น ชั้นบนสุดอาจจะไหลไปทางเหนือ ชั้นกลางไหลไปทางตะวันตก และชั้นล่างไหลไปทางใต้ ทฤษฎีนี้นับว่ามีความเป็นไปได้ 


 


 


พวกนักวิทยาศาสตร์คิดว่ารองเท้าถูกกระแสน้ำในมหาสมุทรพัดมาบนชายหาด แต่พวกเขาไม่รู้ว่ากระแสน้ำในมหาสมุทรสายไหนพัดพามายังอเมริกาและแคนาดา เงินทุนและฝีมือติดตัวพวกเขาไม่เพียงพอให้ดำเนินการสืบสาวไปจนถึงต้นตอ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นคดีสะเทือนโลก 


 


 


วิธีง่ายที่สุดในการติดตามทิศทางของกระแสน้ำในมหาสมุทรก็คือปล่อยทุ่นลอยติดเครื่องส่งสัญญาณ แล้วใช้ดาวเทียมรับสัญญาณและบันทึกวงโคจรของทุ่นลอยพวกนี้ เพื่อหาวงโคจรของกระแสน้ำในมหาสมุทร แต่วิธีนี้ได้แค่ติดตามกระแสน้ำในมหาสมุทรชั้นตื้น ใช้ไม่ได้กับกระแสน้ำลึกที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำทะเล 


 


 


จางจื่ออันหันหน้าไปเรียกเซฮวา เธอไม่กล้ามองเท้าขาดบนชายหาดตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว 


 


 


“เซฮวา ได้เวลาเธอออกโรงแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันเห็นวาฬในทะเล เธอไปถามวาฬหน่อยได้ไหมว่าที่นี่มีกระแสน้ำในมหาสมุทรไปทางเหนือหรือเปล่า” เขาพูด 


 


 


เขารู้อยู่แล้วว่ากระแสลมหนาวแคลิฟอร์เนียไหลจากเหนือลงใต้ ถ้าการสันนิษฐานเรื่องเท้าขาดของเขาถูกต้อง ที่นี่จะต้องมีคลื่นใต้น้ำไหลจากใต้ขึ้นเหนือสักสาย ไม่อย่างนั้นคงพาเท้าขาดมายังพรมแดนอเมริกากับแคนาดาไม่ได้ 


 


 


คราวนี้เซฮวาที่ปกติอยากไปเที่ยวเล่นตลอดกลับไม่สมัครใจ 


 


 


“ฉันไม่ไป! ถ้าว่ายไปว่ายมาในน้ำแล้วเจอเท้าขาดลอยมา…ฉันอาจจะกลัวทะเลไปเลยก็ได้นะ!” เธอบ่นพึมพำ ใช้มือกดหน้าอกเอาไว้ “อเมริกาน่ากลัวมาก! ตอนนี้หัวใจดวงน้อยๆ ของฉันกลัวจนเต้นดังตึกตักแล้ว!” 


 


 


จางจื่ออัน “…จะบังเอิญขนาดนั้นที่ไหน? เธอคิดว่าจะเห็นเท้าขาดในทะเลเสมอไปเหรอ อีกอย่างก็มีคนจมน้ำตายหรือฆ่าตัวตายทุกวัน ถึงเป็นในทะเลของเมืองปินไห่ เธอก็อาจจะว่ายน้ำกับศพอยู่บ่อยๆ…” 


 


 


“ไม่ฟังๆ คนน่ารังเกียจสวดมนต์!” 


 


 


เซฮวากลัวจนต้องรีบใช้มือทั้งสองข้างปิดหูเอาไว้ ส่ายหน้าเหมือนกลองสั่น สะบัดผมสีเขียวเข้มในน้ำใส่เต็มหน้าจางจื่ออัน 


 


 


ฟีน่าถลึงตาใส่เขาอย่างโหดเ**้ยม “เจ้าจะโน้มน้าวเช่นนี้หรือ?” 


 


 


จางจื่ออันก็รู้สึกว่าคำพูดล้อเล่นเมื่อครู่เกินไปเล็กน้อย เขาใจกล้า แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะใจกล้าเหมือนกัน คำพูดล้อเล่นกับคนตายแบบนี้เล่นให้น้อยๆ หน่อยเป็นดี 


 


 


เขาเปลี่ยนคำพูด “ขอโทษที ฉันแค่ล้อเล่น ที่จริงไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก พูดตามสถิติแล้ว มีโอกาสแค่หนึ่งในร้อยที่จะเจอเท้าสองข้างของคนลอยคเว้งในทะเล! หนึ่งในร้อยเชียวนะ! โอกาสยังต่ำกว่าฉันถูกล็อตเตอรีรางวัลที่สองหรือเธอกลายเป็นสุดยอดเน็ตไอดอลซะอีก!” 


 


 


“เหอะ! ฉันต้องกลายเป็นสุดยอดเน็ตไอดอลแน่นอน อย่ามาดูถูกฉันเชียวนะ!” เซฮวาพูดอย่างมีน้ำโห 


 


 


“แกว๊กๆ! โอกาสที่คนธรรมดาจะถูกล็อตเตอรีรางวัลที่สองหรือมากกว่านั้นไม่มีอยู่จริงหรอก! เจ้าโง่เอ็งอย่าฝันไปเลย!” ริชาร์ดกลับไม่กลัวเท้าขาด กำลังหวีขนอย่างสบายใจเฉิบ 


 


 


พวกเขาพูดไร้สาระไปเรื่อย สุดท้ายก็ขจัดความรู้สึกกลัวของเซฮวาไปได้ แต่เธอยังมีเรื่องสงสัยอยู่ “โอกาสมีแค่หนึ่งในร้อยจริงๆ เหรอ คุณไม่ได้กำลังเล่นลูกไม้กับฉันใช่ไหม?” 


 


 


“นี่เป็นตัวเลขสถิติที่พวกนักวิชาการคำนวณออกมา เชื่อได้แน่นอน ฉันขอสาบานกับกระเป๋าเงินของฉันเลย” จางจื่ออันควักกระเป๋าเงินออกมา ก่อนจะวางไว้ตรงหน้าอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


ฟราเทอร์ “…” คำสาบานคือการกระทำอันศักดิ์สิทธิ์ มันไม่เคยเห็นใครสาบานกับกระเป๋าเงินเลยจริงๆ 


 


 


“แกว๊กๆ! กระเป๋าเงินของเอ็งไม่มีเงินด้วยซ้ำ หลอกคนอื่นได้ แต่อย่าคิดจะหลอกข้า! ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเห็นกระเป๋าเงินของเอ็ง แต่ข้างในไม่มีเงินสักแดง!” ริชาร์ดร้อง 


 


 


“นั่นมันตอนอยู่ที่จีน แม้แต่ขอทานที่จีนยังใช้คิวอาร์โค้ดรับเงินกันเลย แต่ที่นี่คืออเมริกา ออกจากบ้านไม่พกเงินไม่ได้ ฉันกลัวเจอโจรแล้วไม่มีเงินให้พวกมันจนยิงฉันไส้แตก!” จางจื่ออันพูด ก่อนเปิดกระเป๋าเงินให้พวกมันดู ข้างในมีธนบัตรดอลลาร์จำนวนไม่เท่ากันอยู่ปึกหนึ่ง 


 


 


“เอาล่ะ งั้นฉันจะลองเชื่อคุณสักครั้ง” คราวนี้เซฮวาถึงได้เชื่อ 


 


 


“???” 


 


 


ฟราเทอร์ทำหน้าตาเหมือนมีเครื่องหมายคำถาม 


 


 


มันไม่เข้าใจตรรกะนี้เลย ใช้กระเป๋าเงินสาบานก็ได้ด้วยเหรอ 


 


 


ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในที่สุดเซฮวาก็รับปากจะไปช่วยตามหาวาฬแล้ว 


 


 


“ฉันไม่ช่วยคุณฟรีๆ หรอกนะ คุณมีอะไรมาแลกเปลี่ยน?” เธอยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ราวกับกำลังขอบางอย่าง 


 


 


เรื่องนี้เธอเหมือนเด็กมาก ขอให้ช่วยทำเรื่องเล็กน้อยก็ต้องมีเงื่อนไข 


 


 


“เธออยากได้อะไรล่ะ?” เขาย้อนถาม 


 


 


“…ตอนนี้ยังไม่ได้คิด” เธอเอียงคอคิด 


 


 


“งั้นเธอคิดได้แล้วค่อยบอก ขอแค่อยู่ในขอบเขตที่รับได้ ฉันก็จะรับปาก” เขาสัญญา 


 


 


เซฮวาพอใจกับคำตอบนี้มาก “เฮอะ ก็ยังใช้ได้!” 


 


 


นานๆ ครั้งเธอถึงจะได้กลับทะเลสักครั้ง จึงดีใจเหมือนมังกรกลับทะเล เสือกลับเข้าป่า พอพุ่งลงไปในน้ำก็หายไปนาน แต่วันนี้เธอกลับเหมือนเด็กที่เพิ่งรู้จักข้ามถนนด้วยหลักการ “หนึ่งหยุด สองมอง สามข้าม” สังเกตน้ำทะเลรอบๆ ด้วยตัวสั่นกลัว เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีวัตถุลอยน้ำปริศนา ถึงจะรวบรวมความกล้ามุดหัวลงไปใต้น้ำ ก่อนจะสะบัดหางปลาที่ยาวและแข็งแรง ทำให้เกิดเส้นน้ำสีขาวสายหนึ่ง แล้วว่ายไปในทะเลลึก 


 


 


จางจื่ออันยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา หลังจากวาฬตัวนั้นพ่นน้ำเมื่อครู่ก็เงียบหายไป ไม่รู้ว่าไปแล้วหรือเปล่า แต่เขาเชื่อว่าเซฮวาจะเรียกมันกลับมาได้ 


 


 


เซฮวาราวกับอยากเร่งให้ภารกิจเสร็จโดยเร็วเพื่อออกจากน่านน้ำนี้ให้เร็วที่สุด เธอจึงว่ายน้ำเร็วมาก ไม่นานก็มองไม่เห็นแม้แต่น้ำกระเพื่อมแล้ว 


 


 


จางจื่ออันยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาพร้อมหมุนตัวช้าๆ ตามหาร่องรอบของวาฬบนผิวน้ำทะเล 


 


 


หลังจากนั้นหลายนาที ริชาร์ดก็ใช้ปีกตีหัวของเขา “แกว๊กๆ! ตรงนั้นมีน้ำพุ่ง!” 


 


 


“ตรงไหนๆ?” 


 


 


จางจื่ออันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา รีบเคลื่อนกล้องส่องทางไกลไปตรงนั้น แต่ก็ได้สติในทันที แล้วโบกมือจะตีมัน “พ่นน้ำก็บอกว่าพ่นน้ำ นายอย่าใช่คำพูดชวนเข้าใจผิดแบบนี้สิ!” 


 


 


ริชาร์ดคาดการณ์ถึงปฏิกิริยาเขาได้ จึงบินหนีขึ้นไปบนฟ้าก่อน หลบฝ่ามือของเขา ก่อนจะร้องอย่างภาคภูมิใจ “แกว๊กๆ! ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ร่างกายซื่อสัตย์เชียวนะ!” 


 


 


จางจื่ออันโมโหจนต้องถลึงตา แต่มันบินอยู่บนท้องฟ้า เมื่อครู่เขาพิงไม้เท้าเดินป่าไว้บนหินโสโครก ตอนนี้ในมือไม่มีอาวุธถนัดมือตีมันได้ ทำได้แค่ปล่อยมันไปก่อน ไปดูการพ่นน้ำ…ของปลาวาฬก่อน  

 

 


ตอนที่ 1584 เจทู

 

ถึงแม้คำพูดที่ริชาร์ดใช้จะละเอียดอ่อนมาก แต่มันก็ไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย เพราะมีเสาน้ำสายหนึ่งพ่นสูงขึ้นไปในอากาศจริงๆ พูดให้ถูกคือเสาก๊าซ และความสูงที่พ่นขึ้นมาก็มีจำกัด ถ้าไม่ได้สังเกตดีๆ ก็คงมองข้ามได้ง่ายมาก 


 


 


แค่มองความรุนแรงของเสาก๊าซเพียงอย่างเดียว ก็รู้แล้วว่าที่พ่นน้ำออกมาคงจะไม่ใช่วาฬตัวใหญ่ 


 


 


จางจื่ออันเคลื่อนกล้องส่องทางไกลลงเล็กน้อย มองเห็นครีบหลังสีดำสูงทีเดียว ตัดผิวน้ำทะเลราวกับกระบี่ทหาร 


 


 


ถ้ามองไม่เห็นการพ่นน้ำ แต่เห็นแค่ครีบหลังนี้ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนทั่วไปคงจะคิดว่าเป็นฉลามขาวตัวหนึ่ง แต่ถ้าลองมองให้ดี ก็จะพบว่าครีบหลังนี้แตกต่างกับครีบหลังทรงสามเหลี่ยมด้านเท่าของฉลามขาวอยู่เล็กน้อย เหมือนรูปสี่เหลี่ยมที่ข้างบนแคบ ข้างล่างกว้างมากกว่า 


 


 


แน่นอนว่าเขายืนอยู่ริมทะเลในระยะปลอดภัย ถึงได้มีกะใจสังเกตรูปทรงครีบหลังอย่างละเอียด ถ้าเขาอยู่ใกล้กับครีบหลังนั่นแค่คืบ ก็คงคิดอย่างเดียวว่าต้องรีบหนีแล้ว… 


 


 


ที่จริงวาฬกับฉลามแตกต่างกันมาก อย่างเช่น วิธีการว่ายน้ำ ส่วนใหญ่ฉลามมักจะดำอยู่ใต้น้ำ ถึงครีบหลังโผล่พ้นผิวน้ำ ร่างกายก็ยังรักษาระดับไว้ได้ ไม่เหมือนกับวาฬ ตอนวาฬดำน้ำอยู่ตรงผิวน้ำ มันชอบใช้ร่างกายสร้างคลื่นในทะเลขึ้นๆ ลงๆ 


 


 


อีกอย่างก็คือวิธีการส่ายครีบหาง ครีบหางของฉลามจะส่ายไปทางซ้ายขวา แต่ครีบหางของวาฬกับโลมาจะส่ายขึ้นลง 


 


 


จางจื่ออันดูออกว่านั่นคือปลาวาฬตัวหนึ่ง แต่หลังจากเข้าใกล้มันมากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นมันพุ่งไปบนผิวน้ำอย่างมีความสุขเหมือนนักว่ายน้ำท่าผีเสื้อ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นวาฬเพชฌฆาตจากร่างกายสีขาวดำของมัน 


 


 


วาฬเพชฌฆาตเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง ราวกับเป็นฝูงหมาป่าในทะเล มองเห็นตัวหนึ่ง มักจะหมายความว่าบริเวณนั้นยังมีอีกทั้งฝูง 


 


 


เป็นไปตามคาด ตอนเขาเลื่อนกล้องส่องทางไกลไปทางทะเลลึก ก็มองเห็นวาฬเพชฌฆาตอีกหลายตัวกำลังใกล้เข้ามา 


 


 


วาฬเพชฌฆาตเป็นผู้ทรงอิทธิพลในท้องทะเล มันกินกระทั่งวาฬสายพันธุ์อื่น แม้แต่ฉลามขาวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่พวกมันกลับเป็นมิตรกับมนุษย์เป็นพิเศษ ถ้าเห็นความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เวลาเจอแมวจรจัดหรือสุนัขจรจัดนอกบ้านก็ไม่ควรไปลูบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ถ้าเจอวาฬเพชฌฆาตในทะเล หากมันอยู่ใกล้มากพอ ก็ลูบได้จนพอใจเลยทีเดียว 


 


 


พวกมันเป็นมิตรกับมนุษย์ขนาดนั้น เซฮวาซึ่งเป็นครึ่งคน ครึ่งปลาอยู่ใกล้พวกมันมากกว่า ต้องได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นอยู่แล้ว 


 


 


เซฮวาที่อารมณ์ไม่ค่อยดีกอดครีบหลังของพวกมันเอาไว้ แล้วให้พวกมันพาว่ายไปมาอยู่ในน้ำทะเล ราวกับสนุกจนลืมกลับบ้าน หรือหน้าที่ของเธอคืออะไร ด้วยเพราะจางจื่ออันอยู่ไกลเกินไป จึงไม่สามารถเตือนเธอได้ ทำได้แค่มองตาปริบๆ 


 


 


ไม่ว่าเป็นสัตว์ฝูงไหนอยู่รวมกัน ต่างก็มีผู้นำหนึ่งหรือหลายตัว จะไร้ผู้นำเหมือนฝูงมังกรไม่ได้ 


 


 


จางจื่ออันสังเกตอยู่ไม่นาน ก็เห็นว่าในฝูงวาฬมีวาฬเพศเมียขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ตัวหนึ่ง ตอนวาฬตัวอื่นเล่นสนุกอยู่ด้วยกัน หรือเล่นกับเซฮวาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันจะแสดงท่าทางเคารพ และหลบวาฬตัวนี้อย่างระมัดระวัง…ถ้าไม่ผิดไปจากที่คิด มันน่าจะเป็นผู้นำของวาฬฝูงนี้ 


 


 


เซฮวาเล่นกับวาฬตัวอื่นอยู่พักหนึ่ง คราวนี้ถึงจะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นได้ จึงลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลราวกับกำลังย้อนกลับ พอเห็นวาฬตัวนี้ เธอก็ว่ายเข้าไปหามัน ตะกายข้างหัวของมันคล้ายกำลังกระซิบ 


 


 


วาฬเพศเมียตัวนี้อาจจะเข้าใจความหมายของเธอแล้ว จึงสะบัดครีบหางดำลงไปใต้น้ำ ส่วนเซฮวาก็จับครีบหลังของมันติดสอยห้อยตามไปด้วย 


 


 


วาฬตัวอื่นก็ทยอยดำลงไปใต้น้ำอย่างต่อเนื่อง 


 


 


แล้วผิวน้ำก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง 


 


 


ฟราเทอร์จึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เธอจะปลอดภัยหรือไม่?” 


 


 


มันเห็นเธอลงไปใต้น้ำนานแล้วก็ไม่ออกมาสักที จึงเดาว่าเธอเจออันตรายหรือเปล่า 


 


 


“วางใจเถอะ ยังไม่เคยมีสัตว์ตัวไหนทำร้ายเธอในน้ำนะ” จางจื่ออันยอมรับได้มาก “คนโง่มีความโง่ อีกอย่างถึงเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ไม่ว่าพวกเรามีกี่คน แต่ใครจะช่วยเธอได้ล่ะ?” 


 


 


เขาเติบโตอยู่ในพื้นที่ริมทะเล แม้จะว่ายน้ำเป็น แต่ให้เขาว่ายน้ำไปช่วยคนในทะเลลึกขนาดนั้น พอว่ายออกไปก็ไม่มีแรงว่ายกลับมาแล้ว ถ้าเซฮวาจัดฉากแกล้ง ก็เท่ากับเขาส่งตัวเองไปตายน่ะสิ 


 


 


ฟราเทอร์มองเท้าขาดข้างนั้น แล้วพึมพำพูดว่า “นี่เป็นคำชี้แนะของเทพแน่นอน พวกเราถึงหาเท้าขาดข้างนี้เจอ เพื่อเป่าแตรให้กับความพินาศย่อยยับของคนชั่ว” 


 


 


คำชี้แนะของเทพ… 


 


 


จางจื่ออันไม่คิดว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเทพ พวกเขาก็แค่บังเอิญเลือกทางเดินริมทะเลเท่านั้น ถึงฝูงหมาป่าไม่พบเท้าขาดข้างนี้ พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็คงพบอยู่ดี 


 


 


ตอนนี้เอง บนผิวน้ำก็มีละอองน้ำกระเด็นขึ้นมา ฝูงวาฬลอยพ้นผิวน้ำอีกครั้ง ส่วนเซฮวาเกาะอยู่บนครีบหลังของวาฬจ่าฝูงด้วยสองมือ 


 


 


ฝูงวาฬว่ายมาทางชายฝั่งทะเล แต่พวกมันมีข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่กล้าว่ายเข้ามาใกล้เกินไป ระยะทางช่วงสุดท้ายจึงให้เซฮวาว่ายเข้ามาเอง 


 


 


“เป็นยังไงบ้าง?” จางจื่ออันถาม 


 


 


เซฮวาเช็ดน้ำทะเลบนหน้า แล้วพยักหน้า “ใต้ชายฝั่งทะเลมีกระแสน้ำไปทางเหนือจริงๆ เป็นน้ำอุ่น แต่ไหลเร็วมาก ส่วนไหลไปที่ไหน…มันบอกว่าไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็ไหลไปทางเหนือตลอด เมื่อกี้มันพาฉันดำเข้าไปในกระแสน้ำมาแล้ว” 


 


 


เธอหันไปชี้วาฬตัวเมียตัวนั้น แล้วพูดอย่างตื่นเต้น “มันอายุมากที่สุด และยังฉลาดมาก ฉันพูดอะไรมันก็เข้าใจทั้งหมด ฉันไม่เคยเจอวาฬที่ฉลาดขนาดนี้มาก่อนเลย เปลืองแรงน้อยกว่าตอนคุยกับคุณอีก!” 


 


 


จางจื่ออัน “…มันอายุมากแล้ว?” 


 


 


“แก่มากเลยล่ะ แก่จนมันก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองแก่มากขนาดไหน ส่วนวาฬตัวอื่นเป็นวาฬรุ่นหลานหรือลูกของหลานมันทั้งนั้น!” เซฮวาให้คำตอบยืนยัน 


 


 


จางจื่ออันครุ่นคิด “ถ้าเธอว่าอย่างนี้ มันอาจจะเป็นวาฬที่ทางการเรียกว่า ‘เจทู’ แต่คนทั่วไปตั้งชื่อเล่นมันว่า ‘คุณย่า’ ของวาฬเพชฌฆาต” 


 


 


“แกว๊กๆ! เจทู?” ริชาร์ดบินลงมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะใช้กรงเล็บนกเกาหัว “ข้ารู้จักเจทูบวกหกนะ!” 


 


 


เซฮวาได้ยินแล้วก็สนใจ “ที่แท้มันคือคุณย่าเหรอเนี่ย? งั้นมันอายุเท่าไรแล้ว?” 


 


 


จางจื่ออันนับนิ้วดู “ว่ากันว่ามันเกิดเมื่อปี 1991 ก่อนเรือไททานิกจมหนึ่งปี ตอนนั้นราชวงศ์ชิงยังไม่ล่มสลายเลย! ถึงตอนนี้มันก็นับเป็นผู้อาวุโสขั้นสูงสุดแล้ว! คราวก่อนที่มันถูกพบคือเมื่อปี 2016 ก่อนกว่านั้นคือปี 2014 ตอนนั้นมันพาฝูงวาฬว่ายจากชายฝั่งทะเลรัฐแคลิฟอร์เนียไปยังช่องแคบจอร์เจีย…หลังจากปี 2016 ก็ไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลย เดาว่ามันอาจจะแก่ตาย คิดไม่ถึงว่ามันยังมีชีวิตอยู่สบายดี” 


 


 


“ครั้งเมื่อปี 2016 สถานที่ที่มันถูกพบคือชายฝั่งทะเลซาลิช” เขาพูดเน้น แต่พบว่าพวกภูตสัตว์เลี้ยงไม่เข้าใจ จึงเสริมอีก “ชายฝั่งทะเลซาลิชก็คือสถานที่ที่ผู้คนพบเท้าขาดบ่อยๆ” 


 


 


เจทูน่าจะนำฝูงวาฬตระเวนสำรวจแถบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะช่วงรัฐแคลิฟอร์เนียไปจนถึงชายฝั่งทะเลซาลิช มันน่าเชื่อถือแน่นอน ในเมื่อมันบอกว่าใต้น้ำมีคลื่นใต้น้ำมุ่งหน้าไปทางเหนือ อย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องจริง 


 


 


ฝูงวาฬยังไม่ว่ายห่างออกไปจากริมชายฝั่ง เมื่อวาฬเพศเมียตัวนั้นพลิกตัวครั้งหนึ่ง เผยให้เห็นครีบหลังทั้งหมดแล้ว เขาก็จำมันได้ทันทีจากปานสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์บนครีบหลังของมัน เป็นเจทูที่หายไปจากสายตามนุษย์นานแล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสถ่ายภาพเอาไว้สองสามภาพ 


 


 


พอออกจากป่าเรดวูด และอัพโหลดรูปพวกนี้ขึ้นไปบนอินเทอร์เน็ต จะต้องสร้างความปลื้มใจให้กับผู้คนที่เป็นห่วงชะตาชีวิตของเจทูแน่นอน  

 

 


ตอนที่ 1585 พายเรือต้องอาศัยใบพาย

 

ที่ถูกคนพบเห็นมากที่สุดบนชายฝั่งทะเลแห่งนี้คือวาฬสีเทา แต่ตอนนี้วาฬสีเทาขึ้นเหนือแล้ว แต่กลับได้เห็นฝูงวาฬเพชฌฆาตที่พบตัวได้ยากแทน โดยเฉพาะคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นวาฬเพชฌฆาตรุ่นคุณย่าซึ่งพบเห็นได้ยากกว่าตัวนี้ 


 


 


ถ้าตอนนี้จางจื่ออันมีเรือยาง เขาจะต้องเข้าไปดูมันใกล้ๆ แน่นอน ด้วยอยากจะเห็นดวงตาคู่นั้นของมันที่เห็นการเปลี่ยนแปลงมามากกว่าร้อยปีสักหน่อย และมันซ่อนไหวพริบที่ยากจะจินตนาการแบบที่เซฮวาบอกจริงหรือเปล่า 


 


 


น่าเสียดายที่เขาไม่มีเรือ และคำให้การของวาฬก็ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ 


 


 


“เธอถามหรือเปล่าว่ามันคิดจะไปจากน่านน้ำนี้เมื่อไหร่?” เขาถามอีก 


 


 


เซฮวาตอบว่า “ถึงยังไงก็คงไม่ไปตอนนี้ เหมือนพวกมันคิดจะใช้เวลาช่วงฤดูร้อนที่นี่ บนชายฝั่งทะเลของที่นี่มีแมวน้ำเยอะมาก พวกมันต้องกินให้อิ่มก่อน แล้วค่อยออกเดินทาง” 


 


 


จางจื่ออันครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วถึงพูดว่า “งั้นเธอก็เล่นกับพวกมันต่อเถอะ พวกฉันจะเดินอยู่บนบก พวกเธอก็ไปเล่นกันในทะเลเถอะ ลองตามกันไปด้วย อาจจะช่วยฝูงวาฬได้บ้าง” 


 


 


“ช่วยอะไรได้บ้าง?” เซฮวาไม่ค่อยสมัครใจ “หรือว่าจะให้มันช่วยหาสมบัติหรือเรืออับปางใต้ทะเล? มันอายุมากขนาดนี้แล้ว คุณอย่าขี้งกขนาดไปรบกวนพวกมันด้วยเรื่องหยุมหยิมนี้เลย!” 


 


 


จางจื่ออันไม่คิดว่าตัวเองจะร่ำรวยได้จากการเจอเรืออับปางใต้ทะเล ทั่วไปแล้วหากเรืออับปางและสมบัติอยู่ในทะเลหลวงน่านน้ำอาณาเขตของอเมริกา ถึงเขาหาสมบัติเจอจริงๆ แต่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็ต้องส่งมอบให้ประเทศ… 


 


 


“ไม่ใช่ ให้มันกับฝูงวาฬช่วยคน” เขาอธิบาย “อาจจะมีคนที่ริดชีวิตตอนหลี่ผีเท่อโยนพวกเขาลงในทะเล ตอนนั้นคงต้องให้พวกมันออกโรงแล้ว” 


 


 


เซฮวาคิดดูแล้ว เรื่องนี้น่าจะไม่มีปัญหา เดิมทีวาฬเพชฌฆาตก็ยินดีจะอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างเป็นมิตรอยู่แล้ว อีกอย่างเธอก็ไม่อยากเจอศพมนุษย์ในทะเลด้วย 


 


 


เธออยากปรึกษากับฝูงวาฬว่าไม่ต้องเข้าใกล้ ขอแค่มุดหัวลงไปใต้น้ำ แล้วคุยกันด้วยวิธีเพลงของวาฬก็พอแล้ว 


 


 


ประมาณครึ่งนาที เธอก็โผล่หัวออกมาจากน้ำ แล้วบอกว่าฝูงวาฬยินดีจะช่วยในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรตอนนี้พวกมันก็ไม่มีเรื่องอื่นให้ทำ 


 


 


หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงก็เดินบนชายหาดต่อ ฝูงหมาป่าพ้นจากผู้ต้องสงสัยกินคนยังคงวิ่งนำข้างหน้า ทั้งหาอาหารและนำทาง 


 


 


ฟราเทอร์มองซ้าย ขวา หน้า หลัง แล้วพูดเหมือนกำลังคิดบางอย่าง “เป็นกองทัพที่ใหญ่และมหัศจรรย์จริงๆ ถึงเทียบกับปีนั้นแล้ว…ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย” 


 


 


กองทัพที่เดินอยู่ริมชายฝั่งทะเลนี้มีแมว สุนัข นก ลิง นกเค้าแมว หมาป่าวิ่งอยู่ข้างหน้า ทางซ้ายมีฝูงวาฬและเจ้าตัวครึ่งคน ครึ่งปลาว่ายน้ำอยู่ ข้างหลังมีฝูงกวางตามมาไกลๆ และไกลออกไปกว่านั้นอาจจะยังมีแบดเจอร์ หมาป่าไคโยตี และหมีดำตามมาด้วย…ยังไงสัตว์พวกนั้นก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขา รวมตัวกันด้วยเหตุผลที่แตกต่าง แต่สร้างกองทัพมโหฬารพันลึกยาวเหมือนมังกรอยู่ในป่า ยาวเหยียดราวพันลี้เพื่อให้ได้ภาพโอ่อ่ายิ่งใหญ่ 


 


 


เซฮวากำลังว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์อยู่ในป่าทะเล เดี๋ยวว่ายท่าฟรีสไตล์ เดี๋ยวว่ายท่ากรรเชียง พลางใช้เสียงความถี่ต่ำที่หูคนไม่ได้ยินสื่อสารกับฝูงวาฬ ไม่รู้สึกเหงาเลยสักนิด 


 


 


เจทูมีชีวิตมาหนึ่งร้อยปีแล้ว พูดได้ว่าดวงตาคู่นั้นเห็นความเจ้าเล่ห์ของโลกและหนทางของโลกแล้ว มันเลือกพาฝูงวาฬหลบอยู่ในชายฝั่งทะเลห่างไกลไร้ผู้คนแบบนี้ ก็เป็นเพราะมันมีความรู้สึกซับซ้อนต่อมนุษย์ ทั้งใฝ่ฝันถึง แต่ก็หวาดกลัว 


 


 


คนที่ลำบากที่สุดในทีมยังคงเป็นจางจื่ออัน เขาสะพายกระเป๋า เดินอยู่บนชายหาดแล้วกินแรงพอสมควร แต่ดีร้ายอย่างไรวิสัยทัศน์บนชายหาดก็กว้างไกล ไม่ได้เหมือนในป่าที่ได้ยินเสียงเล็กน้อยก็สงสัยว่าหลังต้นไม้หนาสักต้นอาจจะซ่อนสัตว์ประหลาดอะไรเอาไว้ 


 


 


ขณะที่เขากำลังเดินอยู่บนชายหาด เซฮวาก็รีบว่ายเข้ามาข้างชายฝั่งเล็กน้อย เธอกับฝูงวาฬได้ยินเสียงผิดปกติ เป็นเสียงซึ่งมีกฎเกณฑ์และเป็นระเบียบ ไม่เหมือนกับเสียงของธรรมชาติ 


 


 


เธอฟังอยู่สักพักหนึ่ง แล้วตะโกนว่า “ทะเลข้างหน้ามีเสียงเคลื่อนไหว เหมือนมีคนกำลังพายเรือ” 


 


 


จางจื่ออันเคยพาเธอออกทะเล เพื่อป้องกันไม่ให้ใบพัดพันเข้าไปในทรายหรือของแปลกประหลาด เขาจะใช้ไม้พายพายออกจากพื้นที่ทะเลตื้นริมชายฝั่ง เธอจึงรู้ว่าเสียงพายเป็นอย่างไร 


 


 


ฟราเทอร์มองรอบๆ แล้วเอ่ยเตือนว่า “พวกเราเข้าใกล้มากแล้ว เลี้ยวผ่านแหลมตรงหน้าก็น่าจะเห็นแล้ว” 


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงไม่ต้องให้จางจื่ออันเตือน ก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นแล้ว 


 


 


ตอนนี้เขาคิดถึงโดรนเนคเบตที่หายไปเป็นพิเศษ ถ้ามีมันบินอยู่เหนือหัว ทุกอย่างในรัศมีหลายกิโลเมตรจะอยู่ในสายตามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 


 


 


เมื่อเดินไปถึงบริเวณแหลม จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงก็หยุดทันที ปล่อยให้เซฮวากับฝูงวาฬไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อนสักหน่อย 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เซฮวาก็กลับมารายงาน “ข้างหน้ามีเรือเล็กลำหนึ่ง แต่แปลกมากเลยนะ เรือลำนั้นทำจากท่อนไม้ ไม่มีใบพัด ใช้แรงคนพายล้วนๆ” 


 


 


“บนเรือมีกี่คน?” เขาถาม 


 


 


“ประมาณสี่ห้าคน เป็นผู้ชายทั้งหมด เหมือนฉันได้ยินเสียงผู้หญิงด้วย แต่มองไม่เห็นผู้หญิง” เธอพูดอย่างงุนงง 


 


 


เขาให้ภูตสัตว์เลี้ยงรอคำสั่งอยู่ที่เดิม จากนั้นตัวเองก็วางกระเป๋าสะพายลง ถือแต่กล้องส่องทางไกล เหยียบขึ้นไปบนหินโสโครก ใช้สองมือสองเท้าค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนแหลมเพียงลำพัง  


 


 


อีกด้านหนึ่งของแหลม ในทะเลที่ไม่ค่อยลึกมีเรือเล็กทำจากไม้ลอยอยู่ลำหนึ่งจริงๆ ใหญ่กว่าเรือบุกของเขาอีก ผู้ชายท่าทางกล้าหาญสี่คนบนเรือแบ่งกันพายเรือเป็นสองกลุ่ม ยังมีคนท่าทางเหมือนหัวหน้านั่งอยู่ท้ายเรือด้วย 


 


 


บนชายฝั่งทะเลมีท่าเรือทำขึ้นง่ายๆ อยู่ท่าหนึ่ง และมีทางเส้นเล็กๆ จากท่าเรือยาวเข้าไปในป่า 


 


 


ไกลออกไปกว่านั้น บนที่สูงของชายฝั่งทะเลมีประภาคารสีขาวไม่สูงมากตั้งอยู่หลังหนึ่ง และมีบ้านเรือนทำจากไม้ซ้อนกันเป็นทิวแถวในป่า ยังมองเห็นเงาคนทำงานอยู่ในที่นาขนาดใหญ่ด้วย 


 


 


ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ต้องเป็นรังโจรของหลี่ผีเท่อแน่นอน 


 


 


ส่วนเรือเล็กทำจากไม้ที่เซฮวารู้สึกแปลกๆ ลำนั้น เหตุผลที่ไม่ใช้มอเตอร์และใบพัดแต่ใช้คนพายเรือนั้นง่ายมาก กลุ่มคนปลูกฝังความเชื่อผิดๆ แบบนี้ต้องผิดกับกลุ่มคนมีความรู้แน่นอน คงจะบอกให้ต่อต้านผลิตผลจากเทคโนโลยี เพราะวิทยาศาสตร์ส่งผลให้ทุกคนตกต่ำ แล้วย้อนกลับไปใช้ชีวิตแบบยุคสมัยโบราณอันสมบูรณ์…ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น การปกครองของพวกเขาก็จะไม่มั่นคง ข้ออ้างของพวกเขาก็จะถูกเปิดโปง 


 


 


หัวโจกของกลุ่มพวกนี้จะไม่ตัดขาดกับโลกภายนอก แต่จะขอให้สาวกตัดขาดจากโลกภายนอก ดังนั้นถึงได้เลือกตั้งรังโจรอยู่ในสถานที่ห่างไกลแบบนี้ การคมนาคมไม่สะดวก การสื่อสารถูกตัดขาด 


 


 


จางจื่ออันยังไม่ทันสังเกตอย่างละเอียด ก็มีความเคลื่อนไหวใหม่มาจากทางเรือเล็ก 


 


 


สี่คนนั้นหยุดพายแล้ว จอดเรือไว้ห่างจากชายฝั่งประมาณร้อยเมตร จากนั้นหัวโจกที่นั่งอยู่ท้ายเรือก็ชี้นิ้วออกคำสั่ง ยกหญิงสาวผิวขาวที่กำลังดิ้นไม่หยุดคนหนึ่งออกมาจากใต้ท้องเรือ 


 


 


มือเท้าของหญิงสาวผิวขาวถูกเชือกไนล่อนมัดไว้แน่นหนา ปากก็ถูกผ้าขี้ริ้วยัดเอาไว้ และที่น่าตกใจอย่างยิ่งคือ เท้าของเธอผูกเชือกป่านเอาไว้เส้นหนึ่ง และปลายอีกด้านหนึ่งของเชือกป่านมัดอยู่กับหินก้อนหนึ่ง 


 


 


เธอดิ้นรนอย่างสิ้นหวังราวกับปลาขึ้นบก ดวงตาของเธอคลอหน่วยไปด้วยน้ำตา กำลังอธิษฐานต่อพระเจ้า อธิษฐานให้เกิดปาฏิหาริย์ ขอให้มีคนมาช่วยเธอ 


 


 


แต่เธอก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องยาก ไม่มีคนหาเธอเจอได้ ที่นี่เป็นดินแดนปิศาจ เป็นมุมที่ถูกพระเจ้าลืม  

 

 


ตอนที่ 1586 เมแกนที่สิ้นหวัง

 

เนื่องจากหญิงสาวผิวขาวคนนี้ปล่อยผม และดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย จางจื่ออันจึงมองหน้าตาของเธอผ่านกล้องส่องทางไกลไม่ถนัดนัก แต่เขาสงสัยว่าเธอก็คือเมแกนที่เขากำลังตามหา 


 


 


ไม่ว่าเธอคือเมแกนหรือเปล่า ก็ปล่อยให้เธอตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ 


 


 


จางจื่ออันเองไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น แล้วก็ช่วยไม่ทันด้วย เขาหมอบอยู่บนก้อนหินตรงแหลม ก่อนจะตะแคงตัวอย่างระมัดระวัง เพื่อทำสัญญาณมือให้เซฮวา 


 


 


เขาพูดเสียงเบากับเธอว่า “เซฮวา มีคนจะถูกโยนลงไปในน้ำ เธอกับฝูงวาฬหาวิธีช่วยเธอหน่อยสิ แล้วก็ใช้สิ่งนี้ตัดเชือกให้เธอ” 


 


 


เซฮวาอยู่ในทะเล เขาหมอบอยู่บนก้อนหินตรงแหลม รอบๆ มีลมทะเลส่งเสียงคำราม และเสียงของเขาก็เบามาก คนทั่วไปคงไม่ได้ยินเสียงของเขา แต่เซฮวาหูดี เธออยากถามว่าใช้อะไรตัดเชือก ก็เห็นเขายัดของชิ้นเล็กๆ นั้นเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตกันน้ำ แล้วใช้เสื้อแจ็คเก็ตห่อก้อนหินน้ำหนักพอดีก้อนหนึ่ง แล้วโยนเสื้อแจ็คเก็ตไปหาเธอ 


 


 


ตอนนี้สถานการณ์คับขัน เขาไม่มีเวลาปีนลงจากแหลมแล้ว 


 


 


ถ้าไม่ห่อก้อนหิน ก็คงโยนเสื้อแจ็คเก็ตน้ำหนักเบาออกไปไกลไม่ได้ 


 


 


เมื่อทิ้งเสื้อแจ็คเก็ตลงไปในทะเล มันก็ถูกก้อนหินถ่วงให้จมลงไป เซฮวาจึงรีบดำลงไปคว้าเสื้อแจ็คเก็ตไว้ แล้วควักก้อนหินออกมาโยนทิ้ง และหามีดพับสวิตที่จางจื่ออันพกติดตัวจากในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต 


 


 


หญิงสาวดิ้นอยู่ในเรือเล็กอย่างแรง แต่ชายกล้าหาญสี่คนยังจับแขนและข้อเท้าของเธอได้โดยง่ายดาย หิ้วเธอขึ้นมาเหมือนแม่ไก่รอเชือด ขณะที่ตะโกนว่า “หนึ่ง สอง สาม” ก็โยนเธอออกจากเรือทันที 


 


 


เธอตกน้ำเสียงดังโครม มือเท้าที่ถูกมัดเอาไว้ไม่มีทางว่ายน้ำได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด เธอจึงกลั้นหายใจก่อนตกน้ำ ความเร็วในการจมจึงค่อนข้างช้า 


 


 


แต่คนที่ห้าบนเรือยกก้อนหินที่ผูกบนข้อเท้าของเธอขึ้นมา ก่อนจะผิวปากครั้งหนึ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มชั่วร้าย และโยนก้อนหินลงไปในน้ำ 


 


 


เธอจมน้ำเร็วขึ้นทันที ก้อนหินถ่วงให้เธอจมลงสู่ก้นทะเลอันมืดมิด 


 


 


“ไป” 


 


 


หัวหน้าทำสัญญาณมือ บอกว่าเลิกงานได้ ก่อนนำขบวนกลับรังโจร 


 


 


พวกเขาเคยทำเรื่องแบบนี้หลายครั้ง ง่ายเหมือนทำกับข้าวกินอยู่บ้าน ตอนแรกเริ่มพวกเขายังรออยู่ที่เดิมสักพัก พอเห็นว่าไม่มีฟองอากาศผุดขึ้นจากทะเลแล้วถึงจะกลับ แต่พอผ่านไปนานเข้า พวกเขาก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เป็นไปไม่ได้ที่คนถูกโยนลงน้ำจะรอดชีวิตได้ สู้กลับไปเล่นไพ่เร็วขึ้นหน่อยดีกว่า 


 


 


สี่คนพายเรือกลับ คนหนึ่งในนั้นตาไว เห็นว่าบนผิวน้ำทะเลมีฝูงวาฬว่ายพาคลื่นมา แต่เพราะพวกเขาเคยเห็นฝูงวาฬที่นี่บ่อยครั้ง จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก 


 


 


ขณะที่เรือเล็กกลับไปทางท่าเรืออย่างง่ายดาย ใต้ผิวน้ำทะเลสีฟ้าเทา หญิงสาวที่ถูกโยนลงไปกำลังดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง 


 


 


เธอก็คือเมแกน หญิงสาวที่คิดจะเดินทางข้ามป่าเรดวูดเพียงลำพัง แต่เธอดันมาผิดที่และผิดเวลา แถมยังพลาดเจอคนไม่ดีเข้า ตอนนี้จึงต้องเผชิญกับสภาพอับจนใกล้ตาย 


 


 


เมแกนชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง สภาพร่างกายของเธอและพลังปอดก็ดีกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่แล้วยังไงล่ะ? ก็แค่ยื้อเวลาจมน้ำตายออกไปได้สองสามวินาทีเท่านั้น ถึงยื้อได้อีกสองสามวินาที แต่สำหรับเธอแล้วไม่ต่างอะไรกับติดคุก 


 


 


ด้วยเพราะเธอถูกก้อนหินถ่วงลงสู่ก้นทะเลอย่างรวดเร็ว แก้วหูปรับความดันน้ำไม่ได้ จึงเจ็บแสบและมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นมา ไม่ได้ยินอะไรเลย ส่วนตาก็เห็นเพียงแสงสว่างเล็กน้อยข้างบนที่ค่อยๆ ไกลออกไป 


 


 


เเม่คะ หนูขอโทษ… 


 


 


ภาพสุดท้ายที่ปรากฏตรงหน้าเธอไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นแม่ของเธอ เธอเสียใจที่ไม่ฟังคำเตือนของแม่ แต่สายไปเสียแล้ว เธอต้องจ่ายค่าแลกเปลี่ยนให้ความดื้อรั้นของเธอเอง 


 


 


ฟองอากาศพรวนหนึ่งทะลักออกมาจากปากของเธอ พาคำพูดสุดท้ายของเธอไป และเหมือนจะพาวิญญาณของเธอลอยขึ้นสู่ผิวน้ำไปด้วย 


 


 


ระหว่างที่สติขาดหาย เธอรู้สึกว่าอยู่ๆ ตัวเองก็เหมือนจะจมน้ำช้าลง อาจจะเป็นเพราะน้ำทะเลลึกมีความหนาแน่นค่อนข้างมาก ทำให้แรงลอยตัวเพิ่มขึ้นล่ะมั้ง 


 


 


เธอไม่จมลงอีก เพราะก้อนหินจมสู่ใต้ทะเลแล้ว 


 


 


เธอรู้สึกว่ารอบๆ มีกระแสน้ำกระชั้นสายหนึ่ง พัดเธอเอนเอียงเหมือนว่าว 


 


 


ฝูงปลาที่เธอไม่รู้จักชื่อแหวกว่ายเฉียดแก้มไปบ่อยครั้ง พวกมันใช้ปากตอดเธอ ราวกับกำลังสำรวจว่าเธอกินได้หรือเปล่า 


 


 


จากนั้นเงาดำขนาดใหญ่ก็ว่ายมาข้างหน้าเธอ 


 


 


ใหญ่มาก! 


 


 


ปลาอะไรน่ะ? 


 


 


ดวงตาเฉื่อยชาของเธอแข็งค้าง ความคิดในหัวแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเกล็ดหิมะ 


 


 


ใต้เท้ามีแรงสั่นสะเทือนคล้ายถูกเสียดสี จากนั้นสองเท้าของเธอก็เบาหวิว 


 


 


คนพวกนั้นหาก้อนหินบนชายฝั่งมามัดกับข้อเท้าของเธอจนแน่นหนาขนาดนั้น หรือว่าหินหลุดไปแล้ว? 


 


 


แสงสว่างตรงหน้าหายไปแล้ว เท้าเหมือนถูกบางอย่างดึงขึ้นให้อยู่ในท่ากลับหัว และยังว่ายน้ำด้วยความเร็วสูง 


 


 


ฉลามเหรอ 


 


 


ก่อนจมน้ำตายยังต้องถูกฉลามกัดตายก่อนเหรอเนี่ย? แต่ก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ตายง่ายๆ 


 


 


เมแกนอยากหัวเราะเยาะตัวเอง ก่อนจะหมดสติไป 


 


 


เซฮวาใช้มีดพับสวิตตัดก้อนหินที่ถ่วงขาเมแกนจมลงไปก้นทะเล แล้วดึงเท้าของเธอลอยขึ้นไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว 


 


 


ตอนนี้ฝูงวาฬมาถึงแล้ว พวกมันเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสถานการณ์คับขันเช่นกัน จึงวนไปมาอยู่รอบตัวเซฮวา และร้องเพลงวาฬไพเราะซึ่งมีแต่เซฮวาที่ได้ยิน 


 


 


จมลงไปใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ลอยขึ้นต้องการแค่สิบกว่าวินาทีเท่านั้น 


 


 


ที่จริงเซฮวาว่ายได้เร็วกว่านั้น แต่เธอได้ยินว่าลอยตัวขึ้นจากน้ำลึกเร็วเกินไปไม่ได้ เพราะร่างกายมนุษย์รับไม่ไหว 


 


 


ตอนตัดเชือกอยู่ที่ก้นทะเลเมื่อครู่ เซฮวาสังเกตเห็นว่าก้นทะเลยังมีก้อนหินมัดเชือกคล้ายๆ กันอยู่หลายก้อน ถูกคลื่นใต้น้ำพัดส่ายไปมาไม่หยุดเหมือนธงเรียกวิญญาณ 


 


 


ดีที่เธอไม่เห็นซากกระดูก อาจจะถูกฝูงปลาฉีกทึ้งและถูกคลื่นใต้น้ำม้วนไปแล้วก็ได้ 


 


 


โครม! 


 


 


เซฮวาลากเมแกนขึ้นสู่ผิวน้ำแล้ว เรือเล็กที่อยู่ห่างออกไปยังไม่ทันเข้าใกล้ฝั่งเลย 


 


 


ตอนนี้เจทู วาฬเพศเมียอาวุโสที่มีฉายาว่าคุณย่าใช้ร่างกายบังเธอและเมแกนเอาไว้พอดี เซฮวาจึงว่ายน้ำลากเมแกนไปข้างหลังแหลมด้วยการคุ้มกันของมันกับฝูงวาฬ 


 


 


จางจื่ออันปีนลงจากแหลมแล้ว และกำลังรออยู่ริมฝั่ง 


 


 


เซฮวาดันเมแกนไปให้เขา ส่วนเขาก็ออกแรงลากเมแกนที่ไร้สติขึ้นมาบนฝั่งอย่างเร็ว ก่อนกดหน้าอกของเธอ เริ่มทำซีพีอาร์ 


 


 


เนื่องจากหยุดหายใจมานานและเจอน้ำทะเลอันหนาวเหน็บ สีหน้าของเมแกนจึงเขียวคล้ำขึ้น นอกจากอุณหภูมิในร่างกายที่ยังคงอยู่ ก็แทบจะไม่เหลือสัญญาณชีพแล้ว 


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงต่างก็กลั้นหายใจมองดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีแค่ฟราเทอร์ที่หลับตาอธิษฐานต่อเทพเพื่อชีวิตมนุษย์ที่กำลังจะตาย 


 


 


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตอนที่พวกภูตสัตว์เลี้ยงแอบส่ายหน้า คิดว่าช่วยชีวิตไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะการทำซีพีอาร์หรือการอธิษฐานได้ผล อยู่ๆ เมแกนก็ไออย่างรุนแรง สำลักเอาน้ำทะเลขุ่นๆ ในปอดและหลอดลมออกมาไม่หยุด ร่างกายขดเหมือนคันศร 


 


 


จางจื่ออันเห็นดังนั้นก็โล่งใจ ก่อนเมแกนจะได้สติ เขาให้เซฮวาไปซ่อนอยู่ในทะเลก่อน ไม่อย่างนั้นเธอลืมตาขึ้นมาเห็นนางเงือกตัวหนึ่ง คงจะคิดว่าตัวเองอยู่บนสวรรค์แล้วแปดสิบเปอร์เซ็นต์  

 

 


ตอนที่ 1587 ยอมประนีประนอม

 

เมแกนเพียงสำลักออกมาตามสัญชาตญาณ ที่จริงยังไม่ได้สติเต็มที่ เธอลืมตาแล้วก็จริง แต่ภาพข้างหน้ากลับมืดสนิทไปหมด เธอปวดหัวอย่างหนัก ราวกับมีเข็มเหล็กแท่งหนึ่งทิ่มแทง 


 


 


เธอสำลักน้ำทะเลซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมออกมาจากปอด แต่โพรงปอดก็ต้องการออกซิเจนอย่างมาก เธอจึงไอไปด้วย หอบไปด้วย ทั้งหอบ ทั้งไอ ปฏิกิริยาของร่างกายที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงสองอย่างทำให้เธอทรมานอย่างยิ่ง 


 


 


พอสำลักเอาน้ำทะเลออกมาจากปอดและหลอดลมหมดแล้ว สมองก็กลับมารับออกซิเจน ความมืดมิดตรงหน้าเธอถึงจะค่อยๆ หายไป ราวกับเช็ดน้ำหมึกจากกลางแว่นออกไปรอบนอกจนสะอาด 


 


 


เธอมองเห็นจางจื่ออันแล้ว 


 


 


สมองที่ยังตื่นไม่เต็มที่มีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมากะทันหัน ที่แท้พระเจ้าเป็นคนผิวเหลืองเหรอเนี่ย? 


 


 


“คุณโอเคไหมครับ? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” 


 


 


ตอนที่เธอกำลังสำลักน้ำออกมา จางจื่ออันมองตรวจร่างกายของเธอคร่าวๆ แล้ว นอกจากผอมแห้งเล็กน้อยจากการขาดสารอาหารแล้ว ร่างกายของเธอก็ดูไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน มีเพียงรอยคล้ำบริเวณหางตาที่มองเห็นอยู่มากมาย คล้ายกับถูกต่อย 


 


 


เธอสวมเสื้อผ้าหยาบขาดรุ่งริ่งทั้งตัว ไปแสดงเป็นคนยากจนยุคกลางในซีรีย์ย้อนยุคได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย อีกทั้งยังสวมรองเท้ากีฬาขาดๆ คู่หนึ่ง 


 


 


เมแกนมองเขาอย่างงุนงงหลายวินาที ถึงจะมีแรงหันไปมองรอบข้างเล็กน้อย แล้วก็เห็นฟราเทอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ 


 


 


เมแกนชอบออกกำลังกายกลางแจ้งและไม่ใช่มือใหม่ ย่อมมีความรู้เรื่องของสัตว์ป่า เธอเห็นตัวฟราเทอร์แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง มันไม่ใช่หมาป่าหรอกเหรอ 


 


 


เธอตัวสั่นงันงก รีบตะเกียกตะกายถอยหลังไป อยากจะหนีไปจากฟราเทอร์ 


 


 


“อย่ากลัวไปเลยครับ” จางจื่ออันรีบกดไหล่เธอไว้ “มันไม่ทำร้ายคุณหรอก” 


 


 


“ไม่ คุณไม่เข้าใจ นี่มันหมาป่านะ!” เมแกนร้องด้วยเสียงแหบพร่า 


 


 


“ไม่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงนี่เป็น…หมาตัวหนึ่ง อื้ม พันธุ์อลาสก้าน่ะ แค่หน้าตาค่อนข้างคล้ายหมาป่าเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้หลายๆ คนก็ตกใจเหมือนคุณนี่แหละ” จางจื่ออันอธิบาย 


 


 


เมแกนตะลึง เธอหวังให้ผู้ชายคนนี้พูดเรื่องจริง แต่ด้วยก่อนหน้านี้เธอถูกข่มเหงมาหลายวัน จึงแอบระมัดระวังคนแปลกหน้าอยู่ลึกๆ ไม่กล้าเชื่อใครหน้าไหนทั้งนั้น 


 


 


โฮ่ง! โฮ่งๆ! 


 


 


จางจื่ออันกำลังคิดว่าจะโน้มน้าวเธออย่างไร ก็ได้ยินฟราเทอร์เห่าโฮ่งๆ เลียนแบบสุนัข มันเลียนแบบได้เหมือนราวกับเป็นสุนัขจริงๆ 


 


 


ฟราเทอร์ไม่เพียงเลียนเสียงสุนัขเห่า มันยังหมอบบนพื้นแสดงว่าตัวเองไม่คิดจะทำร้ายเธอ เพื่อให้เธอเลิกกลัวมัน 


 


 


“เป็นหมา…จริงๆ นะ?” 


 


 


เสียงสุนัขเห่าทำให้เมแกนคลายความสงสัยลงไปมาก และไม่กลัวขนาดนั้นอีก 


 


 


“อื้ม…เป็นหมาจริงๆ” 


 


 


จางจื่ออันนับถือจิตใจเสียสละของฟราเทอร์อย่างมาก เมื่อครู่มันยังยืนยันกับเซฮวาว่าตัวเองเป็นหมาป่าไม่ใช่สุนัขอยู่เลย แต่ตอนนี้มันกลับยอมประนีประนอมแกล้งเป็นสุนัข เพื่อให้หญิงสาวที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวสบายใจ…ถ้าเปลี่ยนเป็นภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ยอมเสียหัว ยอมเสียเลือด แต่ไม่ยอมเสียเกียรติสวมรอยเป็นสัตว์อื่นแน่นอน 


 


 


เมแกนถอนหายใจ “นี่คือที่ไหน? ฉันคงไม่ได้อยู่บนสวรรค์หรอกใช่ไหม?” 


 


 


“ไม่ใช่หรอกครับ บ้านเมืองบนสวรรค์น่าจะขายดีมาก ไม่ได้รกร้างแบบนี้…ผมหมายความว่าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์แน่นอน ห่างจากทะเลที่คุณถูกโยนลงไปไม่ไกลหรอก” เขาตอบ 


 


 


คำพูดของเขาทำให้เธอนึกถึงตอนที่ถูกโยนลงทะเลเมื่อครู่ หน้าตาดุร้ายของฆาตกรยังฉายชัดในหัว หัวใจของเธอพลันก็มีความพรั่นพรึงเข้าแทรกซึมอีกครั้ง หน้าซีดลงไปในพริบตา 


 


 


“ไม่ต้องกลัวนะครับ คนพวกนั้นไปแล้ว” จางจื่ออันตอบ “ที่นี่ปลอดภัยมาก” 


 


 


“ไม่! คุณไม่เข้าใจ! ไม่มีที่ไหนปลอดภัย! พวกเราต้องรีบหนีออกไป! ไม่อย่างนั้นจะถูกพวกเขาจับกลับไปอีก! ถูกจับกลับไปนรกนั่น! พวกเขาก็จะไม่ปล่อยคุณอีก!” 


 


 


ความระทมทุกข์ที่เมแกนได้รับหลายวันมานี้ทิ้งบาดแผลในจิตใจอย่างรุนแรง เธอจับแขนจางจื่ออันแน่น ตัวสั่นราวกับเด็กน้อยที่ตกใจกลัว 


 


 


จางจื่ออันอยากบอกว่าผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่พูดไปก็เหมือนคำพูดปลอบใจทั่วไป หากไม่ได้เจ็บปวดเหมือนอย่างเธอ ก็คงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเธอ 


 


 


เขาทำได้แค่เน้นย้ำซ้ำๆ “วางใจเถอะครับ ผมจะพาคุณออกจากป่าอย่างปลอดภัย คุณจะได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากับแม่ของคุณ ผมรับรอง” 


 


 


คำพูดปลอบใจของเขาได้ผลเล็กน้อย เมแกนที่ตัวสั่นงันงกค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย แต่เธอครุ่นคิดคำพูดของเขาดีๆ ก็แอบสงสัยเหมือนนกตกใจคันศร ทำไมเขาพูดถึงแม่ของเธอ? 


 


 


“คุณ…คุณเป็นนักเดินป่าเหรอ” เธอพิจารณาการแต่งกายของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า 


 


 


“ประมาณนั้นมั้ง…คุณชื่อเมแกนใช่ไหม? ผมเป็นคนจีน มาเที่ยวที่อเมริกา ได้เจอแม่ของคุณริมป่าเรดวูด เธอไหว้วานให้ผมมาตามหาคุณ” 


 


 


จางจื่ออันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เขาคาดการณ์ไว้ว่าพอเจอเมแกนแล้วเธออาจจะไม่เชื่อใจเขา ฉะนั้นจึงขอให้แม่ของเธอถ่ายวิดีโอในบ้านไม้ เพื่อเปิดมันให้เธอดูในเวลานี้ 


 


 


พอเห็นหน้าและได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของแม่ เมแกนก็สะอึกสะอื้นทันที 


 


 


คุณนายมิลเลอร์พรั่งพรูความในใจต่อเมแกนอยู่ในวิดีโอ เมแกนฟังแล้วใจสลาย ปิดหน้าร้องไห้ตัวสั่นสะอึกสะอื้น คุณนายมิลเลอร์เชื่อว่าเมแกนยังมีชีวิตอยู่ ให้เมแกนเชื่อใจชายหนุ่มชาวจีนคนนี้ และเชื่อว่าเขาจะพาเธอออกจากป่าได้อย่างปลอดภัย 


 


 


เมแกนขจัดความระแวดระวังต่อจางจื่ออันไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เธออยากจะออกจากป่าเสียเดี๋ยวนี้ แล้วปล่อยโฮในอ้อมกอดของแม่ ร้องไห้ระบายความอัดอั้นทุกอย่างออกมา 


 


 


เมื่อวิดีโอจบ จางจื่ออันก็ตบบ่าของเธอ ไม่พูดไม่จา ปล่อยให้เธอใจเย็นลงเอง 


 


 


“คุณชื่อเจฟฟ์ใช่ไหม? ฉันต้องขอบคุณคุณด้วยนะคะ ขอบคุณที่คุณเสี่ยงอันตรายมาตามหาฉันในป่า ขอบคุณที่คุณช่วยฉัน คุณให้ชีวิตใหม่กับฉันแล้ว ขอบคุณค่ะ!” 


 


 


หลังจากนั้นนานทีเดียว เมแกนที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ก็กล่าวขอบคุณด้วยตาแดงก่ำ คำพูดเรียบๆ ไม่สามารถแสดงความรู้สึกขอบคุณในใจของเธอได้ 


 


 


น้ำทะเลเย็นเฉียบ หลังจากขึ้นฝั่งแล้วยังถูกลมทะเลพัดอีก เธอขดตัว หนาวจนตัวสั่น 


 


 


“ที่นี่ไม่ใช่ที่จะมาพูดคุยกัน พวกเราหาที่พักสักหน่อยเถอะ ผมก็อยากถือโอกาสถามสถานการณ์กับคุณด้วย” 


 


 


ตอนที่ตบบ่าของเธอเมื่อครู่ จางจื่ออันรู้สึกว่าไหล่ของเธอเย็นเหมือนน้ำแข็ง รู้ว่าเธอจมน้ำทะเลนานไปหน่อย แถมยังขาดสารอาหารและตื่นตกใจ จึงเสี่ยงเป็นภาวะตัวเย็นเกิน 


 


 


เขาก็อยาถอดเสื้อนอกคลุมให้เธออย่างสุภาพบุรุษ แต่เขาก็เพิ่งโยนเสื้อแจ็คเก็ตลงไปในทะเล ตอนนี้เปียกชุ่มไปหมดแล้ว จึงได้แค่หาผ้าห่มจากในกระเป๋าสะพายมาพันตัวของเธอไว้ 


 


 


ด้วยสภาพย่ำแย่ของเมแกนในตอนนี้ จึงยังไม่เหมาะจะเดินทางไกลอในป่าทันที ไม่อย่างนั้นเธออาจจะตายระหว่างทางได้ เสบียงของเขาก็ไม่เพียงพอสำหรับสองคน และภารกิจของเขายังไม่เสร็จสิ้น ตอนนี้ยังออกจากป่าไม่ได้ 


 


 


สถานที่ที่พอจะหยุดพักได้ในบริเวณนี้ จางจื่ออันนึกถึงหมู่บ้านชาวอินเดียแดงที่ถูกทิ้งร้างเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับไปพักที่นั่นเร็วขนาดนี้ โชคดีที่เขายังรักษาสภาพบ้านหลังนั้นเอาไว้อย่างดี  

 

 


ตอนที่ 1588 ความกล้าหาญที่จะรำลึก

 

จางจื่ออันประคองเมแกนลุกขึ้นยืน เธอไม่รู้ว่าแถวนี้มีที่ไหนให้หยุดพักได้ แต่ในเมื่อแม่ของเธอให้เชื่อถือคนจีนคนนี้ งั้นเธอก็เลือกที่จะเชื่อ อีกอย่างเธอก็ปวดหัวจนแทบจะระเบิดแล้ว คิดอะไรมากไม่ได้ 


 


 


หลังจากคลุมผ้าห่ม เธอก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้ถึงจะสังเกตเห็นพวกภูตสัตว์เลี้ยงข้างๆ 


 


 


“อ๊า!” 


 


 


เธอตกใจกลัวกว่าตอนเห็นฟราเทอร์เมื่อครู่เสียอีก ขณะที่กรีดร้องก็ถอยหลังกรูด จนกระทั่งชนเข้ากับจางจื่ออัน 


 


 


“มีอะไรเหรอ? คุณกลัวอะไร?” 


 


 


เขาประคองเธอพลางเอ่ยถาม แต่เขาไม่เห็นว่ามีอะไรน่ากลัว 


 


 


“แมว…แมว…” 


 


 


เธอตัวสั่นพลางชี้พวกฟีน่า ซิงไห่ เหล่าฉา วลาดิเมียร์ และเสวี่ยซือจื่อ 


 


 


“แมวทำไมเหรอครับ” เขาถามอีก 


 


 


เมแกนตั้งใจมองอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าแมวพวกนี้ดูไม่เหมือนกับแมวชั่วและท่าทางประหลาดที่เธอเคยเจอ แต่แมวพวกนี้ปกติมาก เหมือนแมวเหมียวน่ารักไร้เดียงสาทั่วไป 


 


 


“ไม่…ไม่มีอะไรค่ะ…” เธอหันกลับไปมองอย่างอกสั่นขวัญแขวน กังวลว่าเสียงร้องตกใจของตัวเองจะดึงดูดความสนใจของคนชั่ว จึงเร่งว่า “พวกเรารีบออกจากที่นี่ก่อนเถอะ” 


 


 


จางจื่ออันทิ้งกระเป๋าไว้ที่เดิมก่อน แล้วประคองเธอกลับทางเดิม แม้เธอจะทิ้งน้ำหนักลงบนตัวเขา แต่จริงๆ แล้วเธอผอมเหมือนไม้ฟืนขนาดนี้ยังเบากว่ากระเป๋าสะพายอีก 


 


 


เธอเดินก้าวหนึ่งก็หันกลับไปมองครั้งหนึ่ง กลัวว่าคนชั่วพวกนั้นจะตามมา ความจริงแล้วเธอยังกังวลอย่างหนัก ฆาตกรพวกนั้นคงคิดไม่ถึงหรอกว่าคนที่ถูกโยนลงทะเลจะยังรอดตาย 


 


 


จนกระทั่งเลี้ยวโค้งมา จนมองไม่เห็นแหลมหน้าตาประหลาดนั้นแล้ว เธอถึงจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย 


 


 


“แมวพวกนี้ แล้วยังมีหมา ลิง นกแก้ว…นกเค้าแมวด้วย คุณพามาด้วยหมดนี่เลยเหรอ” 


 


 


ความรู้สึกหวั่นเกรงยังไม่ได้หายไป เธอจึงถามอย่างสนใจและประหลาดใจ 


 


 


เธอรู้ว่ามีคนพาสัตว์เลี้ยงของตัวเองเข้ามาเดินป่าด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นสุนัข เพราะมันทั้งช่วยคลายความกังวลและคุ้มครองได้ แต่เรื่องพาสัตว์เลี้ยงมากมายขนาดนี้มาเดินป่าด้วย…เธอยังไม่เคยได้ยินจริงๆ 


 


 


“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ บางตัวเก็บได้ในป่า เช่น นกเค้าแมวตัวนั้น ปีกมันได้รับบาดเจ็บ หาอาหารเองไม่ได้ ผมเลยช่วยดูแลมันพักหนึ่ง ตอนนี้แผลของมันหายดีแล้ว พร้อมบินจากไปได้ตลอดเวลา” เขาอธิบาย “ส่วนสัตว์เลี้ยงตัวอื่น…ผมไม่วางใจที่จะทิ้งพวกมันไว้ในบ้าน ก็เลยพามาด้วยซะเลย” 


 


 


เมแกนพยักหน้าเชื่อ เธอรู้ว่าบางคนรักสัตว์เลี้ยงมาก ห่างกันไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว เขาอาจจะเป็นคนประเภทนั้นละมั้ง…อย่างน้อยคนรักสัตว์เลี้ยงและเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากมายขนาดนี้น่าจะไม่ใช่คนเลว 


 


 


แต่เธอก็นึกถึงแมวประหลาดท่าทางร้ายกาจในสถานที่ชั่วร้ายนั้น ใครเลี้ยงแมวพวกนั้นไว้กัน? 


 


 


จางจื่ออันเดินกลับทางเดิมอีกครั้ง ด้วยเคยผ่านมาแล้ว เขาจึงเลี่ยงทางดินเละและเดินทางอ้อมได้ ไม่นานก็กลับมาถึงหมู่บ้านรกร้างแล้ว 


 


 


ฟราเทอร์กลัวว่าฝูงหมาป่าจะทำให้เมแกนตกใจกลัว ตอนเธอยังไม่ได้สติจึงให้พวกมันไปหาอาหารตามสบาย หลังจากนั้นพวกมันจะตามกลิ่นกลับมา 


 


 


เมแกนเห็นหมู่บ้านร้างซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกแห่งนี้แล้วก็ยิ่งประหลาดใจ เพราะบ้านหลายหลังนี้ลึกลับมาก ไม่เคยคิดว่าตอนเดินป่าจะพบที่นี่พอดี 


 


 


จางจื่ออันไม่ได้อธิบายอะไรมาก แค่ประคองเธอเดินไปถึงข้างหน้าบ้านสภาพดีเพียงหลังเดียว หยิบกุญแจออกมาจากใต้ก้อนหิน แล้วประคองเธอเดินเข้าไปในห้องนอนเล็ก ก่อนพาเธอไปนั่งลงบนเตียง 


 


 


ในตู้เสื้อผ้าห้องนอนยังมีเสื้อผ้าที่เจ้าของบ้านทิ้งเอาไว้ แม้ขนาดจะไม่พอดีตัว แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเปียกชุ่มทั้งตัวของเธอ 


 


 


เขาหาเสื้อผ้าให้เธอจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ออกจากห้อง ปิดประตูห้องนอน ให้เธอได้เปลี่ยนเสื้อผ้า 


 


 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง เธอก็ตะโกนออกมาจากห้อง บอกว่าตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จางจื่ออันจึงเข้าไปในห้องอีกครั้ง ไม่เพียงเห็นเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอยังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มด้วย 


 


 


เขาคิดจะถามเธอบางเรื่อง แต่เห็นท่าทางแบบนี้ของเธอแล้ว ก็คิดว่าให้เธอพักผ่อนสักหน่อยดีกว่า ส่วนตัวเองออกไปเก็บฟืนมาจุดไฟ จากนั้นใช้ถุงชาที่พกมาด้วยต้มชายกเข้าไปให้เธอในห้องนอนกาหนึ่ง 


 


 


เทียบกับนอนกลางดิน กินกลางทรายในป่าแล้ว พวกภูตสัตว์เลี้ยงชอบบ้านที่สะดวกสบายมากกว่า ยังไงก็ใช้ชีวิตง่ายดี 


 


 


“ขอบคุณค่ะ” 


 


 


เมแกนยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง พยายามรวบรวมสติ แล้วรับชาร้อนๆ มา 


 


 


“ระวัง ร้อนมากนะ” 


 


 


จางจื่ออันดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง แล้วตัวเองก็กอบชาถ้วยหนึ่งด้วยเช่นกัน 


 


 


“ไม่รู้จริงๆ ว่าจะขอบคุณคุณยังไง ติดหนี้คุณเยอะเกินไปแล้ว” เธอยิ้มเจื่อนจิบชาร้อนคำเล็กๆ ร่างกายพลันก็อบอุ่นขึ้นมา 


 


 


“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ใครๆ เจอเรื่องแบบนี้ก็ต้องช่วยทั้งนั้น” 


 


 


จางจื่ออันรอเธอดื่มชาเสร็จ ก็รับถ้วยชามาแล้วถามว่า “เมแกน ช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมฟังหน่อยได้ไหม หลังจากที่คุณเข้ามาในป่าเรดวูดแล้ว คุณเจอเรื่องอะไรบ้าง?” 


 


 


พอนึกถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อน จนถึงตอนนี้เมแกนก็ยังหวาดหวั่นอยู่ เธอไม่อยากไปนึกถึงมัน แต่เธอรู้ว่าหนีปัญหาไม่ได้ 


 


 


ก่อนหน้านี้เธอเป็นหญิงสาวสดใสร่าเริง ชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง พวกเพื่อนๆ ก็ชอบเธอ 


 


 


ถ้าเธอเอาชนะตัวเองไม่ได้ และไม่กล้าเผชิญหน้ากับความทรงจำอันโหดร้าย อย่างนั้นหญิงสาวที่เคยสดใสร่าเริงก็จะตายไปตลอดกาล หลับใหลอยู่ก้นทะเลมืดมิดไร้แสงตะวันไปชั่วนิรันดร์ เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณที่ชื่อเมแกน มิลเลอร์เท่านั้น 


 


 


เธอกำชายผ้าห่มไว้ในมือจนแน่น ก่อนจะกัดฟันพูดว่า “ตอนที่เข้ามาในป่าเรดวูดแรกๆ ก็ปกติดี…” 


 


 


หลังจากมาถึงป่าเรดวูด เมแกนก็เพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวเพียงลำพัง ส่งข้อความบอกที่อยู่ของตัวเองให้กับแม่และพวกเพื่อนๆ ทุกวัน ยังได้รับคำชมจากพวกเขาอีกด้วย 


 


 


เธอรู้ว่าพอเข้าไปในป่าแล้วจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ จึงบอกแม่ไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงได้มุ่งหน้าเข้าไปในป่า 


 


 


เมแกนไม่ใช่นักเดินป่า แต่เป็นนักปั่นจักรยาน เธอขี่จักรยานเสือภูเขาคันหนึ่ง พร้อมด้วยเสบียงข้าวของที่วางอยู่บนแท่นวาง ไม่ได้สะพายอะไรไว้บนตัว 


 


 


เธอสวมหมวกใบหนึ่ง บนนั้นติดกล้องโกโปรเอาไว้ บันทึกทุกอย่างที่เธอเห็นตลอดทางจากมุมมองของตัวเอง พอออกจากป่าแล้วแม่กับเพื่อนๆ ต้องได้เปิดหูเปิดตาแน่นอน 


 


 


ขณะที่เดินอยู่ เธอเจอฝูงกวางในป่า พอฝูงกวางเห็นเธอก็เริ่มหนี เพื่อถ่ายภาพน่าสนใจให้พวกเพื่อนๆ เธอจึงขี่จักรยานตามไปช่วงหนึ่ง และเผลอออกจากเส้นทางที่กำหนดไว้ 


 


 


เมแกนไม่กลัว เธอมีเข็มทิศ แล้วก็มีแผนที่ ทั้งยังเคยท่องเที่ยวข้างนอกมากมาย ไม่นานก็หาทางที่ถูกต้องเจอ 


 


 


แต่ช่วงที่เธอพยายามกลับไปยังเส้นทางเดิม ยอดเขาและเส้นทางเปลี่ยนแปลงไปหมด เธอก็เห็นโรงฆ่าสัตว์แห่งนั้นเข้าพอดี 


 


 


เธอเห็นป้ายเตือนรั้วไฟฟ้าแล้ว แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงหยุดดูอยู่พักหนึ่ง แต่ดันไปเห็นคนถูกพาตัวมากักขังเข้า 


 


 


เธอรีบโทรแจ้งตำรวจทันทีตามสัญชาตญาณ และตรงนั้นก็รับสัญญาณโทรศัพท์มือถือได้พอดี ดังนั้นเธอจึงแจ้งตำรวจโดยไม่คิด และฝันร้ายก็เริ่มขึ้น…  

 

 


ตอนที่ 1589 ข้าวเย็นมื้อสุดท้าย

 

ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงธรรมดาเจอเรื่องผิดกฎหมายบบนี้อาจจะตกใจจนงงงัน หรือลุกลี้ลุกลนหนีก่อนค่อยว่ากัน แต่เมแกนเป็นหญิงสาวใจกล้าและรักอิสระ เธอรู้สึกว่าคนเลวพวกนั้นยังไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่ จึงโทรศัพท์ไปยังหมายเลข 911 อย่างใจเย็น เล่าเหตุการณ์ที่เธอเห็นให้พนักงานที่รับสายฟังเป็นขั้นตอน แน่นอนว่ารวมถึงชื่อของเธอด้วย 


 


 


พนักงานรับสายบอกเธอว่าส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังที่เกิดเหตุแล้ว ให้เธอระวังตัวด้วย และถือสายเอาไว้ 


 


 


ก่อนจะถึงตรงนี้ ทุกอย่างปกติมาก 


 


 


เนื่องจากสถานที่ค่อนข้างห่างไกล กว่ารถตำรวจจะมาถึงก็ผ่านไปนานมากแล้ว แต่ตอนนั้นพวกนั้นทำงานเสร็จหมดแล้ว คนเร่ร่อนที่ถูกจับกุมต่างก็เข้าไปในห้องกันแล้ว แต่เมแกนมั่นใจมากว่าต้องจับได้ เพราะกล้องโกโปรบนหมวกของเธอถ่ายทุกอย่างเอาไว้แล้ว ความเจ้าเล่ห์ของพวกชั่วนี้ไม่มีประโยชน์แน่นอน 


 


 


ขณะที่เธอชะล่าใจเพราะคิดว่าจะได้รับความยุติธรรม กลับพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาถึงพูดยิ้มๆ กับพนักงานรักษาความปลอดภัยราวกับเป็นเพื่อนเก่า ยังไม่ได้เข้าไปในประตูโรงฆ่าสัตว์ก็กลับเมืองไปแล้ว 


 


 


เมแกนถึงกับตะลึง เธอที่ไม่เคยเผชิญสังคมภายนอกยังอ่อนหัดอยู่มาก คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นเป้าหมายของพวกทำผิดกฎหมาย 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอเหมือนจะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากป่าข้างหลัง จึงรับหันกลับไปมอง พบว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยสองสามคนกำลังค้นหาร่องรอยของเธอ 


 


 


ในสถานการณ์แบบนี้ ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าตัวเองถูกขายแล้ว โชคดีที่พวกพนักงานรักษาความปลอดภัยยังไม่พบเธอ หนีตอนนี้อาจจะยังทัน 


 


 


ขอแค่หนีเข้าไปในป่าลึก เธอมั่นใจมากว่าจะหนีพ้น เพราะเธอมีจักรยาน พวกพนักงานรักษาความปลอดภัยมีแค่สองขา นานเข้าจะต้องถูกเธอสลัดทิ้งแน่นอน 


 


 


ขอแค่เลี่ยงเนินเขาและหนองน้ำที่เห็นชัด ภูมิประเทศของส่วนใหญ่ในป่าเรดวูดก็ยังนับว่าราบเรียบ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอตั้งใจขี่จักรยานเดินทางข้ามป่า 


 


 


แต่ตอนที่เธอตั้งใจจะดันจักรยานจากไปเงียบๆ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมากะทันหัน เป็นโทรศัพท์กลับมาของ 911 


 


 


ในป่าอันเงียบสงบ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดลูกหนึ่ง พวกพนักงานรักษาความปลอดภัยจึงพบเธอเข้าในทันที 


 


 


เธอพยายามหนีอย่างสุดชีวิต แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่นานพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ล้อมเธอไว้แล้ว แถมเธอยังเห็นพวกเขาถือปืนช็อตไฟฟ้า จึงหยุดต่อต้าน ยอมถูกจับ ต่อต้านไปนอกจากจะเจ็บตัวแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไร 


 


 


จักรยาน กล้องโกโปร โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสะพาย และกระเป๋าเงินที่ใส่ใบขับขี่กับบัตรนักศึกษา ทุกอย่างที่มีถูกแย่งไปหมด พวกเขารู้สถานะของเธอในทันที หลังจากบังคับให้เธอปลดล็อกโทรศัพท์มือถือก็รู้แผนการเดินป่าของเธอจากบันทึกการสนทนากับเพื่อนๆ ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค และรู้ว่าเธอรายงานความปลอดภัยกับแม่และเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง 


 


 


หลังจากคนพวกนั้นปรึกษากันตรงหน้าเธอ คิดว่าไม่เหมาะที่จะขังเธอไว้ที่โรงฆ่าสัตว์ อย่างน้อยก็ไม่เหมาะสมในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นจึงปิดตาเธอและมัดมือเท้าเอาไว้ ก่อนโยนเธอเข้าไปท้ายรถกระบะ รถสั่นสะเทือนท่ามกลางความมืดมิดไปตลอดทาง พอเธอถูกถอดที่ครอบหัวก็ได้มาถึงสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่งแล้ว เสียงคลื่นทะเลบอกเธอว่าที่นี่ไม่ไกลจากชายทะเล 


 


 


ที่นี่แปลกมาก เธอเห็นคนสีหน้าซึมกะทือมากมาย สวมเสื้อผ้าหยาบทำงานหนักอยู่ในทุ่งนา ไม่ว่าเธอจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ได้ยิน ราวกับเธอไม่มีตัวตน บางคนยังยิ้มแย้มอวยพรเธอ เหมือนกับเธอกำลังจะได้รับพรประทานจากเทพ 


 


 


เธอถูกขังอยู่ในห้องห้องหนึ่ง มีคนคอยส่งอาหารเล็กๆ น้อยๆ ให้ทางหน้าต่างบานเล็กทุกวัน ก็พอจะรักษาชีวิตไว้ได้ 


 


 


มีคนเข้ามาให้ห้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทุกวัน พูดคุยกับเธอนิดหน่อย…เธอไม่มีทางรับข้อบัญญัติได้ แต่ถ้าเธอไม่พยายามท่องซ้ำๆ คนคนนั้นก็จะดุร้ายขึ้นมาในพริบตา และเตะต่อยเธอยกหนึ่ง 


 


 


ความทรมานสองต่อจากร่างกายและจิตใจ บวกกับความหิวโหย ทำให้คนยอมแพ้ได้ง่ายๆ ก็แค่ท่องข้อบัญญัตินิดหน่อยไม่ใช่เหรอ? งั้นก็ท่องสิ ขอแค่ท่องก็ไม่ต้องถูกซ้อม แล้วยังได้กินอิ่ม เป็นเรื่องง่ายจะตายไป! 


 


 


แค่คิดก็รู้ว่าคนส่วนใหญ่ต้องยอมแพ้อย่างช้าๆ ซึมซับเรื่องนี้เข้าทุกวันจนถูกล้างสมอง สุดท้ายก็จะสวามิภักดิ์เป็นทาสของพวกเขา 


 


 


เมแกนไม่กล้ารับประกันว่าเธอจะไม่ถูกล้างสมองเข้าสักวัน แต่อย่างน้อยสองสามวันนี้เธอก็กัดฟันต่อต้านมาโดยตลอด เพราะเธอเป็นคนที่เคยได้รับการสั่งสอนอย่างดีและมีความคิดเป็นของตัวเอง ที่สำคัญที่สุดคือเธอมีความศรัทธาของตัวเอง ไม่เปลี่ยนความเชื่อเร็วขนาดนั้น 


 


 


เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะหิวตายก่อน หรือจะยอมแพ้ก่อน แต่ตอนที่เธอใกล้จะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว น่าจะเมื่อวานนี้ เธอได้ยินผู้คุมตรงทางเดินคุยกันเสียงเบาลอดผนังแผ่นไม้เข้ามา เหมือนจะพูดว่าแม่ของเธอยังไม่ล้มเลิกการตามหาเธอ ข้างนอกวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนของเธอบางคนยังรวบรวมความกล้า และก้าวออกมายืนอยู่ฝั่งเดียวกับเธอ ร้องขอและยื่นคำร้องไปทั่ว ขอให้พวกเขาเห็นเรื่องปฏิบัติการค้นหาตัวเธอเป็นเรื่องสำคัญ 


 


 


ฟังถึงตรงนี้ เธอก็ซาบซึ้งจนขอบตาร้อนผ่าว ร่างกายที่ผอมแห้งเปี่ยมด้วยใจสู้ แม้แต่ผิวหนังเขียวช้ำก็เหมือนจะไม่เจ็บอีก กระเพาะที่ว่างเปล่าก็ไม่หิวโหยอีก เธอรู้สึกว่าตัวเองยังทนให้ถึงวันที่แม่หาเธอพบ และยอมทนถึงวันนั้น 


 


 


เมื่อคืนมีคนมาสอนศาสนาล้างสมองเธอเหมือนเคย และหลังจากเธอยืนกรานปฏิเสธอีกครั้ง อีกฝ่ายกลับไม่ได้เตะต่อยเธอเหมือนปกติ แค่มองเธอครั้งหหนึ่ง ส่ายหน้าราวกับยอมแพ้ แล้วถึงจากไป 


 


 


แววตาที่มองมาครั้งสุดท้ายนั้นเต็มไปด้วยการถากถาง เหมือนกำลังมอง…คนตาย 


 


 


วันนี้ปริมาณอาหารที่ส่งมาห้องเธอมากกว่าปกติเล็กน้อย ถึงขนาดมีเนื้อสัตว์สองสามชิ้น 


 


 


เธอดีใจมาก คิดว่าการต่อสู้ของแม่และเพื่อนๆ ได้ผลแล้ว และคิดว่าผ่านไปอีกสักสองสามวันตัวเองอาจจะถูกปล่อยออกมา 


 


 


เมื่อกินข้าวที่มากกว่าปกติมื้อนี้แล้ว เธอก็ถูกคนพาออกจากห้องในรอบหลายวัน 


 


 


เธอคิดว่าการปลดปล่อยมาถึงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้คนพวกนี้สบายใจ เธอจึงพูดรับประกันกับคนพวกนี้ไม่หยุด บอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย ออกไปแล้วจะปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ถึงยังไงเธอก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน 


 


 


คนพวกนั้นไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย ในขณะที่เธอเหมือนคนโง่ที่พูดกับตัวเอง 


 


 


จนกระทั่งมือและเท้าของเธอถูกมัดอีกครั้ง แถมปากยังถูกอุดและถูกพาขึ้นเรือเล็ก เธอถึงจะรู้ว่าเรื่องราวคงไม่เหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้ 


 


 


ตอนเธอมองเท้าทั้งสองข้างของตัวเองถูกมัดตา ในที่สุดเธอก็เข้าใจเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป 


 


 


ตอนนี้เธอยอมแพ้แล้วจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อบัญญัติอะไรก็ดี เธอยอมรับทั้งนั้น ถึงให้เธอกินอึ เธอก็ยอมแล้ว ขอแค่มีชีวิตรอด ก็ไม่มีเรื่องไหนสวยงามไปกว่านี้แล้ว…แต่น่าเสียดาย ปากถูกอุดเอาไว้ให้พูดขอร้องอะไรไม่ได้ 


 


 


ที่แท้เมื่อคืนก็คือโอกาสสุดท้ายแล้ว และอาหารเย็นวันนี้ก็คือมื้อสุดท้าย อาหารก่อนตัดหัวประหาร 


 


 


เพื่อหยุดการทำเรื่องราวให้ใหญ่โตของแม่เธอ ในที่สุดคนพวกนี้ก็ตัดสินใจฆ่าปิดปากและอำพรางศพแล้ว 


 


 


เดิมทีชีวิตของเธอควรจะจบลงที่ตรงนี้ แต่นักท่องเที่ยวจากจีนคนหนึ่งกลับพลิกผันชะตาชีวิตของเธอ 


ตอนที่ 1590 แมวประหลาด

 

พอฟังเมแกนเล่าจบ จางจื่ออันก็เข้าใจทันที หลังจากเขาเข้ามาในป่า แม่ของเมแกนก็ไม่ได้อยู่เฉย แต่ยังเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกตลอด พยายามโน้มน้าวให้ทางการช่วยชีวิตเมแกนอีกครั้ง 


 


 


แต่ที่คุณนายมิลเลอร์คิดไม่ถึงคือ ถ้าเป็นการหายตัวไปธรรมดา ทำอย่างนี้ไม่มีปัญหา แต่ลูกสาวของเธอไม่ได้หายตัวไปธรรมดา ทำอย่างนี้ยิ่งเร่งให้ลูกสาวของเธอตายเร็วขึ้นเท่านั้น 


 


 


เมื่องานค้นหาช่วยชีวิตเริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่ออาสาสมัครหาที่นี่เจอจริงๆ และได้ยินว่าเมแกนอยู่ที่นี่ เรื่องราวก็จะยุ่งยากขึ้น กำจัดความเป็นไปได้นี้ไม่ได้เลย 


 


 


ฉะนั้นพวกเขาจึงกำจัดเมแกนทิ้ง 


 


 


เขาไม่รู้ว่าจะปลอบเมแกนอย่างไร วันเวลาพวกนั้นจะต้องสร้างบาดแผลลึกให้กับร่างกายและจิตใจของเธอแน่นอน ทำได้แค่หวังว่าเวลาจะชดเชยความเจ็บปวดพวกนี้ให้เธอได้บ้าง 


 


 


ตอนนี้เอง เงาสีขาวสั่นไหวอยู่ที่หน้าประตู เสวี่ยซือจื่อวิ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างกระตือรือร้น มันไม่บอกกล่าว แต่กระโดดขึ้นเตียงทันที แล้วปีนขึ้นไปหมอบลงบนต้นขาของเมแกน 


 


 


มันใช้อุ้งเท้าหน้าลูบขาของเธอเบาๆ แล้วตั้งใจถลึงตาใส่จางจื่ออัน สื่อความว่า อิจฉาไหม ข้าอยากลูบก็ลูบได้เลย! 


 


 


จางจื่ออัน “…” 


 


 


เมแกนกลับกอดเสวี่ยซือจื่อเอาไว้อย่างมีความสุข “ไฮ! เจ้าตัวเล็ก เธอก็มาปลอบใจฉันเหรอ เธอสวยจริงๆ เลยนะ เป็นแมวที่สวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นเลย!” 


 


 


นี่…นับเป็นยูริแล้วหรือเปล่านะ? 


 


 


“มันชื่ออะไรเหรอคะ? ฉลาดจริงๆ รู้ว่าฉันกำลังเสียใจ ก็เลยวิ่งเข้ามาปลอบฉัน…” เธอคลี่ยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า ลูบขนแมวด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้ม เทียบได้กับถูกฉีดยาชาเลยทีเดียว 


 


 


เธอคิดผิดแล้ว แต่จางจื่ออันไม่อยากบอกความจริงกับเธอ จึงตอบว่า “เอ่อ…มันชื่อเสวี่ยซือจื่อ” 


 


 


“เสวี่ยซือจื่อเหรอ…เธอตัวหนักจริงๆ นะเนี่ย” 


 


 


หลังจากถูกเธอกอดเอาไว้ในอก เสวี่ยซือจื่อก็ยิ่งไม่เกรงใจ ใช้อุ้งเท้าแมวสองข้างลูบไปทั่ว คนที่ถูกลูบก็มีความสุขทีเดียว 


 


 


เสวี่ยซือจื่อถือโอกาสตอนที่เธอไม่ได้สังเกต โชว์เขี้ยวแหลมคมให้เขา ความหมายคือ แม่เฒ่ามาจับตาดูเจ้า ชายขี้เหงากับหญิงโดดเดี่ยวอยู่ในห้องตามลำพัง ข้าจำต้องปกป้องหญิงสาวผู้นี้ไม่ให้ด่างพร้อยเพราะเจ้า…ถึงข้าจะสงสัยมาตลอดว่าเจ้านั่นของเจ้าขึ้นสนิมแล้วหรือยัง แต่คาดว่ารูดขึ้นลงสองครั้งก็คงพุ่งไปพันลี้! 


 


 


จางจื่ออัน “…” 


 


 


“คุณรู้ไหม? ฉันเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังแล้วสบายใจขึ้นเยอะเลย” เมแกนอุ้มเสวี่ยซือจื่อขึ้น แล้วถอนหายใจโล่งอก “ถึงจะออกไปนอกป่าแล้ว ฉันก็ไม่อยากเล่าเรื่องพวกนี้ให้แม่ฟัง ฉันกลัวว่าแม่จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าอัดอั้นอยู่ในใจตลอด ฉันจะต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ” 


 


 


“ถึงตอนนั้นคุณเล่าให้ตำรวจฟังก็ได้” เขาพูด 


 


 


พอพูดถึงตำรวจ เธอก็มีสีหน้าตกใจ เพราะเรื่องนี้ไปกระทบกระเทือนจิตใจของเธออีกครั้ง แต่ก็โทษเธอไม่ได้หรอก 


 


 


“หลายวันมานี้คุณถูกขังอยู่ในห้อง ไม่ได้ออกมาข้างนอกเลยงั้นเหรอครับ” เขาถาม “ผมอยากรู้รายละเอียดของที่นั่นมากกว่านี้ คุณพอจะนึกอะไรได้บ้างไหมครับ” 


 


 


เมแกนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างกระวนกระวาย ราวกับกลัวว่าจะมีคนตามมาจับเธอกลับไปที่นรกนั่น “เจฟฟ์ ฉันว่าพวกเราควรจะรีบออกจากป่าให้เร็วที่สุด พอออกไปแล้ว ไม่ว่าคุณอยากถามอะไร ฉันจะตอบคุณทั้งหมด” 


 


 


“คุณไม่ต้องกลัวหรอก พวกเขาหาที่นี่ไม่เจอหรอก ไม่มีคนรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่” เขาพูดปลอบ “สภาพของคุณในตอนนี้ยังไม่ควรเดินทางไกล แถมอาหารที่ผมเอามาก็ไม่พอสำหรับสองคน พวกเราอยากรอดชีวิตออกไป ก็ต้องหาทางเอาเสบียงมาจากคนพวกนั้น” 


 


 


เหตุผลนี้พอจะเกลี้ยกล่อมได้ เมแกนเป็นคนที่มีเหตุผล หากเธอใจเย็นๆ และยอมเผชิญหน้ากับความจริง ก็จะเข้าใจว่าสองข้อนี้เป็นอุปสรรคที่ขวางไม่ให้พวกเขาออกไป ในป่ามีอันตรายรอบด้าน ถึงเป็นคนที่มีพละกำลังวังชา มีเสบียงอาหารพร้อมสรรพ แต่อยากรอดชีวิตออกจากป่าก็ไม่ง่ายนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเธอที่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย สติและแรงก็เหลือต่ำสุดๆ 


 


 


จางจื่ออันพูด “ผมตั้งใจจะแอบเข้าไปข้างใน แต่ผมต้องการความช่วยเหลือของคุณ” 


 


 


เมแกนตัดสินใจแล้ว “ก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะเล่าทุกอย่างที่รู้ให้คุณฟัง แต่ฉันไม่ได้รู้เยอะ ส่วนใหญ่ฉันถูกขังอยู่ในบ้านที่ไม่มีหน้าต่าง แค่ได้ยินเรื่องบางเรื่องจากการพูดคุยของผู้คุม และเห็นบางแวบๆ สองสามนาทีที่ถูกพาออกไปเข้าห้องน้ำ” 


 


 


“ไม่เป็นไร เรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่คุณรู้ ผมคิดว่าช่วยได้ทั้งนั้น” เขาให้กำลังใจ 


 


 


เมแกนคิด และพูดสรุปออกมา “คุณต้องระวังแมวพวกนั้น” 


 


 


“แมว?” จางจื่ออันสนใจ ตั้งอกตั้งใจฟัง 


 


 


ไม่เพียงแค่เขา พวกภูตสัตว์เลี้ยงที่เฝ้าอยู่ในห้องนั่งเล่นข้างนอกก็หูตั้งเหมือนกัน 


 


 


“ฉันไม่ได้หมายถึงเจ้าตัวเล็กน่ารักแบบนี้หรอกค่ะ” เธอจิ้มลายสีดำตรงหน้าผากของเสวี่ยซือจื่ออย่างเอ็นดู “แต่…แค่เห็นแมวชั่วร้าย…พระเจ้า! ฉันไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีแมวที่ทำให้ฉันขนลุกได้เลย!” 


 


 


จากเรื่องที่เมแกนเล่า เธอถูกขังอยู่ในห้องที่ไม่มีห้องน้ำ มีแค่ถังปัสสาวะถังเดียว ปล่อยเบาในถังได้เท่านั้น ทุกเช้าเธอจะถูกสั่งให้เดินเอาถังปัสสาวะไปล้างในห้องน้ำข้างนอก และถือโอกาสปล่อยหนักด้วย… 


 


 


ที่จริงเธอกินน้อยมา ผ่านไปสองสามวันก็คงไม่ปวดหนัก แต่ถ้าถูกขังอยู่ในห้องตลอด เธอคงจะเป็นบ้าจริงๆ ถึงแค่สองสามนาทีก็ยังดี เธอขอออกมาเดินสักหน่อย 


 


 


มีครั้งหนึ่งเธอถือถังปัสสาวะเพิ่งออกมาจากห้อง กำลังจะเดินไปห้องน้ำ อยู่ๆ ก็ถูกผู้คุมขวางเอาไว้ 


 


 


ผู้คุมบอกให้เธอรอก่อนค่อยไป 


 


 


ตอนนี้เธอเห็นแมวสองตัวกำลังเดินเอ้อระเหยมาจากอีกด้านหนึ่งของทางเดิน ถ้าพวกมันไม่ได้มีรูปร่างเป็นแมว จากสีหน้าและท่าทางแล้ว คงจะเหมือนเจ้าชายและเจ้าหญิงสูงศักดิ์มากกว่า 


 


 


“เดี๋ยวก่อน? คุณบอกว่าแมวสองตัวเหรอ” 


 


 


จางจื่ออันขัดจังหวะ “คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้มองผิด?” 


 


 


“ค่ะ” เมแกนพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถามอย่างนี้ “เป็นแมวสองตัวจริงๆ ตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้า เดินอยู่กลางทางเดิน เหมือนตำแหน่งสูงกว่านิดหน่อย ทั้งยังมีสีหน้าเยือกเย็น ส่วนอีกตัวเดินตามหลังเยื้องๆ กับตัวแรกด้วยแววตาดุดัน ร่างกายแข็งแรง ท่าทางก้าวย่างดูมีพลัง ความรู้สึกเหมือน…บอดี้การ์ดของประธานาธิบดี” 


 


 


“อืม แล้วยังไงต่อครับ” จางจื่ออันพูด 


 


 


เธอขมวดคิ้ว “ฉันรู้ว่าแมวทุกตัวมีความพิเศษเฉพาะตัว แมวทุกตัวมีความคิดและวิธีของตัวเอง และมีคนบอกว่าแมวทุกตัวเป็นโรคตื่นตัวง่าย ไม่ว่าทำอะไรแปลกๆ ก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด…แต่แมวสองตัวนี้แปลกกว่าแมวทุกตัวที่ฉันเคยเจอ พอพวกมันเห็นฉันแล้ว ก็เหมือนเห็นฉันเป็นขยะ ทั้งดูถูกและเหยียดหยาม ฉันคงลืมสายตาแบบนั้นไม่ลงไปชั่วชีวิต” 


 


 


เหยียดหยาม… 


 


 


จางจื่ออันหันกลับไปมองทันที ก็เห็นฟีน่ายืนเหม่อลอยอยู่หน้าประตูห้องนอนเหมือนกัน 


 


 


“เหยียดหยามแบบนั้นหรือเปล่า?” เขาชี้ฟีน่า เพราะสายตาที่มันมองเขาทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกเหยียดหยามเสมอ 


 


 


“ไม่ๆๆ ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ เป็นแบบ…รังเกียจของสกปรก แต่ของสกปรกไม่ใช่ถังปัสสาวะในมือของฉัน แต่เป็น…ฉันเอง” 

 

 

 


ตอนที่ 1591 ส่งเสียงตะวันออก โจมตีตะวันตก

 

ตอนนั้นเมแกนถึงจะเข้าใจ ว่าตัวเองถูกผู้คุมขวางไว้ ไม่ให้ขวางทางแมวสูงศักดิ์สองตัวนี้ แล้วปล่อยให้พวกมันเดินไปก่อน 


 


 


แม้เมแกนจะไม่ได้เลี้ยงแมว แต่เธอก็ชอบแมวมากเหมือนกัน ผู้หญิงคนไหนไม่ชอบแมวบ้าง? แต่เรื่องที่คนต้องหลีกทางให้แมวเนี่ย เธอไม่เคยได้ยินและรับไม่ค่อยได้ 


 


 


ไม่เพียงเท่านั้น แมวสองตัวนี้เหมือนจะเมินใส่เธอด้วย 


 


 


ตั้งแต่เล็กจนโต เมแกนมีนิสัยร่าเริงและเป็นที่รักของทุกคน จึงมีเพื่อนเยอะมาก ไม่เคยมีใครเมินใส่เธอตั้งแต่เพิ่งเจอกันครั้งแรก 


 


 


เธอได้แต่กะพริบตามองแมวสองตัวนี้เดินนวยนาดอยู่ตรงหน้าเธอ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกอัปยศ ถึงเธอถูกทารุณก็ยังไม่เคยรู้สึกเสียศักดิ์ศรีขนาดนี้เลย เธออยากเดินชนมัน แต่ไม่นานก็ได้สติ นึกถึงความจริงที่ว่าตัวเองเป็นนักโทษ และผู้คุมก็เหมือนจะมีท่าทางเคารพนบนอบมันด้วย ถ้าเธอก่อเรื่องขึ้น ก็คงถูกต่อยหนักๆ สักยก 


 


 


พอแมวสองตัวนี้หายไปจากปลายทางเดิน เธอถึงจะยกถังปัสสาวะเข้าไปในห้องน้ำ 


 


 


ผู้คุมตรงหน้าประตูเริ่มจับเวลา เธอมีเวลาแค่สิบนาทีในการขัดถังปัสสาวะและเข้าห้องน้ำ ถ้าเลยเวลา ผู้คุมก็จะพุ่งเข้ามาลากเธอออกจากห้องน้ำ 


 


 


ห้องที่เมแกนถูกขังไว้ไม่มีหน้าต่าง เหมือนห้องปิดตายที่เตรียมไว้ให้อาชญากรชั่วร้าย แต่ในห้องน้ำตรงทางเดินมีหน้าต่าง แม้จะใช้รั้วเหล็กเสริมความแข็งแรงแล้ว ก็ไม่มีทางหนีออกจากหน้าต่างได้ แต่อย่างน้อยก็ได้มองป่านอกหน้าต่าง 


 


 


เธอท้องร้องหิวไส้กิ่ว ไม่รู้สึกอยากถ่ายหนักเลย หลังจากขัดถังปัสสาวะเสร็จแล้ว เธอก็เกาะข้างหน้าต่างแล้วสูดอากาศสดชื่นเข้าเต็มปวด ชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอก จินตนาการถึงวันที่ตัวเองเดินออกจากนรกแห่งน้ำ 


 


 


ทิวทัศน์ของที่นี่ก็ธรรมมดาทั่วไป และยังมีผู้คนที่ทำงานอยู่ในทุ่งนาเหมือนหุ่นไล่กาพวกนั้น ที่จริงก็ไม่มีอะไรน่าดู แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าคุกของเธอ 


 


 


เธอเห็นแมวสองตัวนั้นผ่านมาอีก หลังจากพวกมันเดินออกจากห้อง ก็มีแมววิ่งออกมาจากป่าหลายตัว วิ่งมาหยุดอยู่หน้าพวกมันอย่างเคารพนบนอบ ก่อนจะหมอบลงทำความเคารพ 


 


 


พอเห็นฉากนี้ เธอก็คิดว่าตัวเองตาพร่าไปแล้ว แมวพวกนั้นพากันหมอบเคารพแมวสองตัวนี้เหรอ หรือว่าพวกมันถูกฝึกมา? 


 


 


ตอนเธอนั่งดูคลิปแมวเวลาว่าง ก็เหมือนจะเคยเห็นคลิปวิดีโอสองสามคลิป คล้ายกับมีบ้านแมวแห่งหนึ่งขายแมวที่ถูกฝึกแล้ว แมวพวกนั้นจะเต้นประกอบเพลง เห็นแล้วจั๊กจี้หัวใจมาก ถ้าไม่ใช่เพราะราคาแพงจนเกิดเหตุ ก็เป็นของพรีเมียมมาก คงเกินกว่าที่เธอจะรับได้ เธอก็อยากซื้อสักตัวเหมือนกัน ว่ากันว่าอเมริกามีบ้านแมวที่ขายแมวเต้นได้แบบนี้อยู่แห่งเดียว แน่นอนว่าเป็นของหายาก แถมเจ้าของร้านยังปิดวิธีการฝึกสอนไว้เป็นความลับอีก ถึงอย่างไรก็เป็นตัวทำเงินนี่นะ 


 


 


จากนั้นเธอก็เห็นภาพน่าประหลาดใจอีก มีแมวสองสามตัวเดินกะเผลกออกมาจากป่า บนตัวของแมวที่เพิ่งออกมาใหม่นี้เปื้อนเลือดมากน้อยต่างกันไป ด้วยเธอตาดีจึงเห็นรางๆ ว่าบาดแผลบนตัวของพวกมันเหมือนถูกสัตว์ป่ากัด ถ้าคนได้รับบาดแผลรุนแรงแบบนี้ ถึงตายคาที่ก็ไม่แปลก 


 


 


แมวประหลาดสองตัวนั้นก็ประหลาดใจมาก แมวตัวที่ตำแหน่งต่ำกว่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คำรามเสียงแหลมราวกับอยู่ในช่วงติดสัด ไม่ได้ร้องเหมียวๆ เหมือนแมวทั่วไป ส่วนแมวตัวที่ตำแหน่งค่อนข้างสูงกลับเงยหน้ามองท้องฟ้าคล้ายกับครุ่นคิดบางอย่าง 


 


 


ภาพนี้แปลกจนอธิบายไม่ได้ เมแกนยังไม่ทันทำความเข้าใจก็ถึงเวลาที่กำหนดแล้ว ผู้คุมถีบเปิดประตูเข้ามา กระชากผมของเธอ แล้วลากกลับเข้าไปในคุก 


 


 


สองสามวันหลังจากนั้น เธอเห็นแมวสองตัวนั้นมากกว่าหนึ่งครั้ง ทุกครั้งเธอจะรู้สึกประหลาดมาก ไม่เพียงแค่เธอ ทุกคนต่างก็หวาดกลัวแมวที่บาดเจ็บสาหัสสากรรจ์แต่ไม่ตาย จึงพากันอ้อมไปไกล 


 


 


ด้วยเมแกนเป็นเพียงนักโทษคนหนึ่ง เธอจึงมองเห็นได้เพียงจำกัด แต่เมื่อวานนี้เธอได้ยินพวกผู้คุมพูดกันบนทางเดิน ว่าจะมีผู้ใหญ่มาที่นี่ ต้องให้ชาวบ้านหยุดทำงาน แล้วไปเรียงแถวต้อนรับพวกเขา หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ แต่จะเป็นใครมากันแน่นั้น เธอไม่รู้เลย 


 


 


เมแกนเล่าเรื่องทุกอย่างที่เธอจำได้ให้เขาฟังอย่างละเอียด ส่วนจะมีประโยชน์หรือเปล่า ก็ให้จางจื่ออันตัดสินใจเอง สมองของเธอไม่อยากไปคิดถึงมันอีกแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นหลายวันมานี้ไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายเลย 


 


 


พอพูดจบ เธอก็ท้องร้องโครกคราก 


 


 


“หิวแล้วสินะ? ผมจะไปเตรียมข้าวเย็นให้นะครับ” 


 


 


จางจื่ออันไม่มีเรื่องต้องถามมากกว่านี้แล้ว ถึงถามก็คงไม่ได้รับคำตอบที่แน่นอน จึงลุกขึ้นเตรียมออกจากห้องนอน และแง้มประตูห้องนอนเอาไว้ ให้เธอพักผ่อนก่อนสักหน่อย 


 


 


ที่จริงตอนนี้ก็เพิ่งจะเป็นเวลาบ่าย แต่วันนี้ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ก็รวบกับข้าวเย็นเลยแล้วกัน 


 


 


ฝูงหมาป่าเหมือนจะชอบกินบีเวอร์อุดมไปด้วยไขมันแต่เนื้อน้อย บีเวอร์แถวนี้เองก็ไม่เคยเจอหมาป่า ไม่รู้ว่าสัตว์ชนิดนี้มีอันตรายมากเท่าไร ไม่นานก็ถูกหมาป่าบุกรังอย่างงุนงง 


 


 


จางจื่ออันดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ บ่อน้ำ ใช้น้ำในบ่อล้างวัตถุดิบทำอาหาร พร้อมทั้งวางแผนการไปด้วย 


 


 


ก่อนที่เรี่ยวแรงจะฟื้นกลับมา เมแกนยังเคลื่อนไหวไม่ได้ ทำได้เพียงพักฟื้นอยู่ในหมู่บ้าน ถึงอย่างไรที่นี่ก็ค่อนข้างปลอดภัย ไม่ออกจากบ้านเรื่อยเปื่อยก็พอแล้ว หลังคาบ้านหลังนี้แข็งแรงมาก ประตูบ้านก็เป็นแผ่นไม้หนา หน้าต่างก็อยู่ค่อนข้างสูง ถึงหมีดำมาก็เข้าไปได้ยาก 


 


 


แทนที่จะรีบกลับเข้าป่าทางเดิมพร้อมเสี่ยงกับเสบียงหมดเกลี้ยง สู้รอให้แม่ของเมแกนเริ่มปฏิบัติการค้าหาช่วยชีวิตอีกครั้ง หรือไม่ก็เสียวเสวี่ยแจ้งตำรวจดีกว่า อย่างไรเขาก็เป็นคนจีน อาจจะสร้างความกดดันให้สถานกงสุลประเทศจีนในท้องถิ่นเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ พูดอีกอย่างก็คือรอคนมาช่วย  


 


 


ส่วนจะรับมือกับหลี่ผีเท่ออย่างไร…ตามที่ฟราเทอร์ว่าไว้ ป่ารอบๆ ทุ่งนามีแมวรับหน้าที่เฝ้าระวังอยู่มากมาย และเรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันจากเมแกนแล้ว ถ้าสะเพร่าบุกรุกเข้าไป ก็จะลอบปฏิบัติการได้ยาก การซ่อนตัวเป็นข้อได้เปรียบมากที่สุดของเขาในตอนนี้ ความรู้สึกที่ว่า ‘ฉันอยู่ในที่ลับ ศัตรูอยู่ในที่แจ้ง’ มันดีมากจริงๆ 


 


 


ถ้าฟีน่าสั่งให้แมวพวกนั้นยอมแพ้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลเท่าไร เขาไม่มั่นใจ แม้แต่ฟีน่าเองก็ไม่มั่นใจ ถ้าไม่ได้ผล ก็เท่ากับเปิดเผยตัวเอง 


 


 


อีกอย่าง ผู้คุมพวกนั้นจะทำอย่างไร? ตกกลางคืนพวกเขาต้องลาดตระเวน และจางจื่ออันก็ไม่ใช่ 007 


 


 


พอคิดดูแล้ว ทำได้แค่ใช้แผนส่งเสียงตะวันออก โจมตีตะวันตก* หลอกล่อให้เสือออกจากถ้ำเท่านั้น 


 


 


พอลอกหนังบีเวอร์เสร็จ เขาก็ใช้เกลือกับผักผลไม้ป่ากลบกลิ่นคาว แล้วโยนเครื่องในให้ฝูงหมาป่ากิน เขาบอกให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงพักผ่อนอยู่ในหมู่บ้าน ส่วนเขาจะไปเก็บฟืนเอง 


 


 


เขาเดินมาถึงชายทะเล ไกลออกไปก็เห็นเซฮวากำลังเล่นสนุกกับฝูงวาฬในทะเล จึงตะโกนเรียกเธอหลายครั้ง เพื่อให้เธอกลับเข้าชายฝั่ง 


 


 


เซฮวาไม่ได้เล่นหนำใจมานานมากแล้ว วาฬเพชฌฆาตร่าเริงกว่าลูกวาฬมิงก์และวาฬสีเทา ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นโลมาขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง และความฉลาดของโลมาก็สูงจนเป็นที่รู้กันไปทั่ว 


 


 


ที่เธอเสียดายเพียงอย่างเดียวคือเมื่อครู่ลืมขอโทรศัพท์มือถือของเธอมาจากจางจื่ออัน ไม่อย่างนั้นถ้าถ่ายวิดีโอกับเจทูและพวกวาฬเพชฌฆาตไว้สักหน่อย จะต้องทำให้พวกแฟนคลับไส้แห้งอิจฉาจนร้องให้แน่ๆ! 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


*ส่งเสียงตะวันออก โจมตีตะวันตก หมายถึง แสร้งหลอกล่ออยู่ด้านหนึ่ง แต่ความจริงแล้วจู่โจมเข้าไปจากอีกทางหนึ่ง  

 

 


ตอนที่ 1592 เล่นพิเรนทร์

 

ปกติเวลาเซฮวาได้ยินจางจื่ออันเรียกแล้วก็จะยึกยักไม่สนใจ แต่พอครั้งนี้ได้ยินเสียงตะโกนของเขา เธอก็ว่ายกลับมาที่ชายฝั่ง พร้อมกับยื่นมือออกมา “มือถือของฉันล่ะ? เอามาให้ฉันเร็ว!” 


 


 


“เธออย่าเพิ่งห่วงเล่นมือถือ ฉันมีเรื่องน่าสนุกกว่านั้นอีก เธออยากร่วมมือกันไหมล่ะ?” เขานั่งยองๆ ถาม 


 


 


เซฮวาเห็นเรื่องเล่นสำคัญมากเหมือนเด็กๆ จึงรู้สึกสนใจในทันที “เล่นยังไง? เล่นอะไร? เล่นซ่อนแอบเหรอ ฉันชอบเล่นซ่อนแอบมากเลยนะ แต่พวกคุณไม่เคยเรียกฉันเลย!” 


 


 


“เฮ้อ! เธอเล่นซ่อนแอบไม่ได้หรอก…ถ้าเธอไม่ซ่อนในอ่างอาบน้ำ ก็ซ่อนอยู่ในทะเล แล้วพวกเราจะเล่นซ่อนแอบกันยังไงล่ะ?” เขาแบมืออย่างจนใจ 


 


 


ถ้าเซฮวาเล่นซ่อนแอบได้ เขาก็ลดปัญหาลงไปได้ไม่น้อยเลย 


 


 


“งั้นคืออะไรกันแน่ล่ะ?” เธอหมดความสนใจไปมากกว่าครึ่ง 


 


 


“ที่จริง…ถ้าจะพูดละก็ คล้ายๆ ซ่อนแอบอยู่เหมือนกัน” 


 


 


จางจื่ออันเล่าแผนการของตัวเองให้เซฮวาฟังรอบหนึ่ง เรื่องที่เธอต้องทำนั้นง่ายมาก แม้แต่สติปัญญาแบบเธอก็ยังเข้าใจได้ 


 


 


พอกลับมาที่หมู่บ้าน เขาก็เรียกรวมพลพวกภูตสัตว์เลี้ยงที่ด้านนอก แล้วปรึกษาหารือแผนการของตัวเองกับพวกมัน แม้จะไม่ได้เป็นแผนการสมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้ก็คิดแผนการที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว 


 


 


พวกเขากินข้าวเย็นเร็วกว่าปกติมาก ฟ้ายังไม่ทันมืด จางจื่ออันก็ยกบีเวอร์ย่างกับข้าวสวยมาที่โต๊ะอาหารแล้ว จากนั้นก็ไปเรียกเมแกนในห้องนอน 


 


 


เธอกอดเสวี่ยซือจื่อหลับไปแล้ว หลับลึกมากเสียด้วย เขาเรียกอยู่หลายครั้งถึงจะยอมตื่น 


 


 


เมแกนหิวไส้กิ่วนานแล้ว แค่เธอได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างโชยมาจากห้องอาหาร สองตาของเธอก็เป็นประกาย กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเหมือนหมาป่าหิวโหยตัวหนึ่ง เธอนั่งลงตรงหน้าโต๊ะอาหารอย่างไม่เกรงใจ สองมือคว้าบีเวอร์ย่างตัวหนึ่งเริ่มฉีกเนื้อยัดเข้าปาก 


 


 


ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นต้องทนหิวโหยมาหลายวันขนาดนี้ ความอยากอาหารคงหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้าเธอขยายท้องกินอย่างเต็มที่ ก็สามารถกินบีเวอร์ทั้งตัวได้คนเดียว ทำเอาจางจื่ออันตกใจจนต้องรีบแย่งกลับมาจากมือเธอ 


 


 


เขาไม่ได้เสียดายบีเวอร์ ของแบบนี้อยากได้กี่ตัวก็หามาได้ แค่ให้ฝูงหมาป่าไปจับมาก็พอแล้ว แต่กระเพาะของเธอชินกับอาหารไร้มันแล้ว อยู่ดีๆ กินอาหารน้ำมันเยิ้มต้องย่อยไม่ได้แน่นอน อาจจะท้องร่วงด้วยซ้ำ ฉะนั้นจางจื่ออันจึงอธิบายความน่ากลัวของเรื่องนี้ บอกให้เธอกินแค่ครึ่งตัว และต้องกินข้าวผสมกับเนื้อ รวมถึงกินผักและผลไม้ป่าให้มาก พยายามเคี้ยวและกลืนช้าๆ ด้วย 


 


 


เมแกนรู้ว่าเขาพูดเรื่องจริง จึงพยายามควบคุมความอยากอาหารของตัวเอง 


 


 


หลังจากเธอกินไปได้พักหนึ่ง น้ำตาลเติมเข้าไปในกระแสเลือดของเธอ สีหน้าของเธอเปล่งปลั่งขึ้นมา หัวก็แล่นมากขึ้น คราวนี้เธอถึงอยากถามขึ้นมาว่า นี่คือเนื้อของตัวอะไร? 


 


 


จางจื่ออันตอบไปตามตรง 


 


 


ทีแรกเธอคิดว่าเป็นเนื้อกวาง พอได้ยินว่าเป็นเนื้อบีเวอร์ สีหน้าของเธอก็บิดเบี้ยวทันที แต่แค่พริบตาเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหยิบเนื้อ ถึงขนาดดูดน้ำมันที่เปื้อนบนนิ้วจนเกลี้ยง 


 


 


หลังจากกินเสร็จ ร่างกายที่ขาดสารอาหารและผอมแห้งของเธอก็มีแค่ส่วนท้องที่นูนขึ้นมา อิ่มจนเธอไม่อยากจะขยับตัวเลยทีเดียว 


 


 


จางจื่ออันเก็บอุปกรณ์ทานอาหารเล็กน้อย และขอตัวไปทิ้งกระดูกที่กินเหลือไว้ข้างนอก แต่ความจริงแล้วเอาไปให้ฝูงหมาป่าข้างนอกกิน 


 


 


พอกลับมาข้างโต๊ะอาหาร เขาไม่ได้บอกแผนการของตัวเองให้เมแกนฟัง แค่ให้เธอพักผ่อนอยู่ในบ้านดีๆ อยากนอนก็นอน นอนไม่หลับก็เดินเล่นในบ้านสักหน่อย แต่อย่าออกจากบ้าน เพราะตกกลางคืนแล้วสัตว์ป่าจะออกมาหากิน 


 


 


ความจริงแล้วตอนที่เขาเพิ่งออกจากประตูบ้าน เธอได้ยินเหมือนข้างนอกมีเสียงเคลื่อนไหวดังมาแว่วๆ นั่นเป็นเสียงฝูงหมาป่าแย่งกระดูกบีเวอร์ 


 


 


เธอรู้ว่าเขาคิดจะแทรกซึมเข้าไปในนรก จึงอดเป็นห่วงเขาอยู่ลึกๆ ไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาสองคนเป็นตั๊กแตนบนเชือก ไม่มีใครวิ่งชนะใครได้ ถ้าเขาถูกจับได้ขึ้นมา เธอคงได้แค่หิวตายอยู่ในบ้านหลังนี้ 


 


 


เธอเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อยากตายอีกครั้งเลย แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา แล้วจึงพูดว่า “คุณต้องระวังตัวด้วยนะคะ ฉันจะอธิษฐานให้คุณเอง!” 


 


 


จางจื่ออันให้เธอล็อกกลอนจากข้างในห้อง จุดเทียนอยู่ในห้องนอนที่มีผ้าม่านหนา ทำเหมือนบ้านโล่งๆ ไม่มีคนอยู่ นอกเสียจากเขากลับมา ไม่อย่างนั้นใครเคาะประตูก็อย่าไปสนใจ และยังกำชับเธออีก ไม่ว่าได้ยินเสียงประหลาดอะไร ก็ต้องทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้น 


 


 


เมแกนยิ่งฟัง ก็ยิ่งงุนงง จะได้ยินเสียงประหลาดอะไรในป่ากัน? 


 


 


จางจื่ออันไม่ได้อธิบายโดยละเอียด ก็พาพวกภูตสัตว์เลี้ยงออกจากบ้านไปแล้ว 


 


 


ฟราเทอร์ประทับใจเมแกนอยู่เหมือนกัน ยังตั้งใจทิ้งหมาป่าสองสามตัวไว้ให้เฝ้ารอบๆ หมู่บ้านด้วย เพื่อไล่สัตว์ป่าที่เข้าใกล้ออกไป 


 


 


เมฆดำจากทางตะวันตกเฉียงเหนือปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้า ยังไม่ถึงเวลาที่ฟ้ามืดเลย ทั่วไปแล้วพอตกกลางคืน ก็จะมองไม่เห็นทิศทัศน์สวยงามของพระอาทิตย์ตก เขาจึงแอบเสียดายเล็กน้อย 


 


 


พอจางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์มาถึงริมทะเล เซฮวากับฝูงวาฬก็รออยู่ตรงนั้นแล้ว เธอยังอยากเล่นพิเรนทร์ จึงถามอย่างกระตือรือร้น “เริ่มตอนนี้เลยไหม?” 


 


 


เขาดูเวลาแล้ว จากนั้นก็มองสีท้องฟ้า “รออีกหน่อยเถอะ พอเวลาพวกเขากินข้าวเย็น” 


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงต่างก็หาที่พักผ่อนย่อยอาหาร แต่เขากลับปีนขึ้นไปบนแหลมอย่างระมัดระวัง ถือกล้องส่องทางไกลสังเกตทุ่งนา รวมถึงบ้านพักที่อยู่ไกลออกไปกว่านั้น 


 


 


กริ๊งๆๆ! 


 


 


มีคนท่าทางเหมือนผู้คมคนหนึ่งถือกระดิ่งทองแดงขนาดใหญ่ เคาะไปสามครั้ง เสียงสะท้อนดังไปไกล แม้แต่จางจื่ออันที่ห่างด้วยอ่าวกั้นยังได้ยินแว่วๆ 


 


 


ผู้คนที่ทำงานหนักอยู่ในทุ่งนาว่างอุปกรณ์ทำนาในมือของตัวเองลง ก่อนจะเรียงแถวออกจากทุ่งนา ไปต่อแถวรับข้าวเย็นใต้เพิงไม้เรียบๆ 


 


 


จางจื่ออันมองไม่เห็นว่าข้าวเย็นเป็นอะไร เห็นแค่ทุกคนถือจานข้าวทำจากไม้คนละใบ ข้างในมีขนมปังสีดำก้อนหนึ่ง ซุปที่ไม่แน่ใจว่าคืออะไรชามหนึ่ง บวกกับผักตุ๋นที่เหมือนแกงกะหรี่สองกระบวย คล้ายกับอาหารช่วยเหลือทหารช่วงทำสงคราม แม้แต่อาหารในคุกยังดีกว่านี้เลย 


 


 


หลังจากได้รับอาหาร พวกเขาก็นั่งกินบนเก้าอี้ไม้จนหมด จากนั้นก็แบ่งกลุ่มผู้หญิงสองสามกลุ่ม เข้าไปในบ้านไม้คนละหลังกัน 


 


 


ในบ้านไม้ส่วนใหญ่ค่อยๆ เปิดแสงไฟสีเหลืองสลัวจากตะเกียงน้ำมันและเทียน ในบ้านไม้ไม่มีอุปกรณ์บันเทิงอะไร ไม่มีแม้แต่ไพ่โปกเกอร์ ยากจะจินตนาการได้ว่าโลกแห่งเทคโนโลยีในรัฐแคลิฟอร์เนียยุคปัจจุบัน ยังมีคนสมัครใจใช้ชีวิตดั้งเดิมแบบนี้ 


 


 


ผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันอาบน้ำล้างหน้าลวกๆ แล้วยังพักผ่อนไม่ได้ แต่คุกเข่าลงอธิษฐานต่อหน้ารูปวาด ท่องบนสวด ที่อยู่ในรูปวาดไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นคนสวมเสื้อและกระโปรงสีขาว แม้จะมองไม่เห็นหน้าตา แต่มารดาคุณสิ นี่ไม่ใช่ชุดประจำของหลี่ผีเท่อเหรอ 


 


 


การอธิษฐานยาวนานถึงสิบกว่านาทีก็ยังไม่จบ คาดว่ายังต้องรอไปอีกสักพัก ตอนแรกจางจื่ออันอยากรอให้ผู้คนที่น่าสงสารพวกนี้หลับไปแล้วค่อยเริ่มทำตามแผน แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะรออีกแล้ว อาจจะทำให้ความศรัทธาของพวกเขาเกิดความสั่นคลอนพอดี 


 


 


ท้องฟ้ามืดสนิท เนื่องจากไม่มีแสงจากพระจันทร์และดวงดาว ทะเลจึงมืดมิดไปทั้งผืน สถานที่ที่สว่างที่สุดแถวนี้ก็คือประภาคารขนาดเล็กริมฝั่งเพียงแห่งเดียว 


 


 


“เซฮวา ถึงตาเธอแล้ว” เขาตะโกนเรียก  

 

 


ตอนที่ 1593 เสียงเพลงตอนกลางดึก

 

อยู่ไกลขนาดนั้น จางจื่ออันไม่กังวลว่าเสียงตะโกนของตัวเองจะถูกคนอื่นได้ยิน และเสียงคลื่นทะเลก็พอจะกลบเสียงของเขาได้ 


 


 


เซฮวารอจนทนไม่ไหวแล้ว จึงว่ายน้ำไปทางอ่าวนั้นกับฝูงวาฬ 


 


 


อ่าวเล็กรูปร่างเหมือนกีบม้า ทางเหนือและใต้มีแหลมยื่นออกมาในทะเลสองแหลม แหลมทางฝั่งทิศใต้ก็คือแหลมที่จางจื่ออันอยู่ ส่วนประภาคารตั้งอยู่บนแหลมทางทิศเหนือ 


 


 


นอกจากอ่าวพื้นที่ค่อนข้างเล็กซึ่งเป็นข้อเสียแล้ว ก็นับเป็นอ่าวใต้ลมโดยธรรมชาติ 


 


 


จางจื่ออันเปลี่ยนไปใช้กล้องส่องวัตถุในเวลากลางคืน ทุกอย่างเป็นสีเขียวพร่างพราว เขามองเห็นพวกเซฮวากำลังว่ายเข้าไปใกล้ทางเข้าอ่าวตามแผน จากนั้น…เธอก็เริ่มร้องเพลง 


 


 


ถูกต้อง เธอกำลังร้องเพลง 


 


 


เสียงของเซฮวาเดินทางได้ไกลกว่ามนุษย์มาก กระทั่งส่งคลื่นเสียงอัตราโซนิคและคลื่นเสียงอินฟราโซนิคที่คนไม่ได้ยินออกมาได้ด้วย จางจื่ออันเคยขอคำแนะนำที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง แต่เธอเกือบจะทำกระจกร้านค้าทั้งถนนสั่นแตก 


 


 


แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ใช้คลื่นเสียงอัตราโซนิคและคลื่นเสียงอินฟราโซนิค แต่เสียงแหลมสูงแทงเข้าไปในแก้วหูเหมือนเข็มแท่งหนึ่ง แหลมเล็กเหมือนเอาเล็บข่วนกระจก เสียงกรีดร้องแหลมเล็กเหมือนนางเอกภาพยนตร์สยองขวัญ…มีแรงทะลุทะลวงอย่างยิ่ง ตัวต้นคิดแผนการร้ายอย่างจางจื่ออันฟังแล้วก็ขนแขนลุกซู่ 


 


 


เซฮวาใช้เสียงแหลมเล็กและภาษาที่มนุษย์ฟังไม่รู้เรื่องค่อยๆ ร้องบทเพลงท่วงทำนองธรรมชาติที่ไม่รู้ความหมาย 


 


 


บทเพลงถูกลมทะเลพัดไปยังแผ่นดิน ลอยไปเหนือทุ่งนาและบ้านไม้ 


 


 


ถ้าเป็นหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ในยุคปัจจุบันสักแห่ง คนส่วนใหญ่ที่กำลังทำงานบ้าน ไถโทรศัพท์มือถือ ดูละครน้ำเน่า เปลี่ยนผ้าอ้อม โกยอึ และเล่นจ้ำจี้กัน อาจจะมีไม่กี่คนที่ได้ยินเสียงเพลงข้างนอก ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนแอโรบิกในสวนที่เปิดลำโพงเบสหนัก…แต่สำหรับหมู่บ้านโบราณที่เหมือนอยู่ในยุคกลางแห่งนี้ ทุกคนกำลังหลับตาอธิษฐานอย่างสงบ เสียงเพลงแหลมเล็กเข้าไปในหูของทุกคนได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


เสียงนี้…เหมือนเสียงผีสาวร้องไห้ 


 


 


ไม่รู้ว่าเซฮวาไปเรียนมาจากไหน อาจจะเรียนมาจากแอพพลิเคชันไลฟ์สดละมั้ง ถึงอย่างไรในนั้นก็มีไลฟ์สดทุกประเภท คงมีคนไลฟ์ดูภาพยนตร์สยองขวัญของจีนด้วย แต่แบบนี้ตัวเองไม่กลัวเหรอ? 


 


 


พอจางจื่ออันให้เซฮวาร้องเพลง เธอก็เสนอว่าจะร้องเลียนแบบผีสาวราวกับคนโง่อวดฉลาด จากนั้นก็ตกลงร่วมมือกัน 


 


 


แต่เขาหมอบตั้งใจฟังอยู่บนแหลม เสียงเพลงคงดูเป็นความเศร้าสร้อยของผีสาวสำหรับเธอ แต่ความรู้สึกของเขาจริงๆ เหมือนกับ…เสียงที่ใช้เครื่องดัดแปลงใต้น้ำบันทึกมาจากใต้ทะเลมากกว่า ยาวเหยียดและไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับคนคนหนึ่งหลับตาตกลงสู่เหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเหว ในความมืดมิดที่มองไม่เห็น ในน้ำทะเลหนาวเย็นทะลุไปถึงกระดูก มีเงาตัวใหญ่และน่าเกลียดจ้องมองคุณนับไม่ถ้วน…ที่จริงนี่น่ากลัวว่าผีสาวร้องไห้ในตอนกลางคืนเสียอีก ความจริงแล้วเป็นการร้องเพลงหมู่ของสัตว์ในทะเลลึก 


 


 


จางจื่ออันใช้แค่เครื่องดัดแปลงเสียงใต้น้ำบันทึกเสียงในทะเลใกล้ฝั่งไว้เล็กน้อย ตอนตั้งใจฟังดีๆ ก็รู้สึกขนหัวลุก ยากจะจินตนาการได้ว่าเสียงในทะเลลึกน่ากลัวแค่ไหน 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมหรือผู้คนที่กำลังอธิษฐาน ต่างก็ได้ยินเสียงเพลงของเธออย่างเห็นได้ชัด ทีแรกพวกเขายังพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ไปสนใจ แต่เสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ จู่โจมจิตใจของพวกเขาเรื่อยๆ 


 


 


ในที่สุดพวกเขาก็หวาดกลัวจนต้องหยุดอธิษฐาน หันหน้าไปมองความมืดนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หวังว่าจะมีคนก้าวออกมาปลอบใจพวกเขา ยังมีบางคนอธิษฐานต่อหน้ารูปวาดของหลี่ผีเท่ออย่างสุดชีวิต แต่ไม่ได้รับการตอบรับและการสนับสนุนตามที่พวกเขาคาดหวัง 


 


 


พวกผู้คุมได้ยินเสียงเพลงชวนขนลุกก็พากันกลัวไปไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นสมุนที่หลี่ผีเท่อหามา มีกระทั่งนักโทษที่ลักลอบหลบหนีมานาน พวกนี้จะกล้ากว่าคนธรรมดาเล็กน้อย 


 


 


มีหัวหน้าผู้คุมยกไฟฉายขึ้นมา ทั่วไปแล้วพวกเขาจะหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านแบบนี้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ผิดปกติ พวกเขาจึงไม่สนอะไรมากแล้ว 


 


 


พวกผู้คุมรู้ว่าเสียงเพลงลอยมาจากทางชายฝั่งทะเล มีคนไปรายงานเบื้องบน ส่วนคนที่เหลือเดินทางลัดไปยังชายทะเลด้วยคำสั่งของหัวโจกกลุ่ม ทุกคนควักปืนเทเซอร์ออกมาเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว 


 


 


พวกเขาอยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี แต่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลยสักครั้ง จึงคิดไปมีคนกำลังเล่นพิเรนทร์ แต่ในที่ห่างไกลแบบนี้ จะมีใครมาเล่นพิเรนทร์กันล่ะ 


 


 


พวกผู้ชายหน้าตาดุร้ายร่างกายบึกบึนพวกนี้มาถึงชายฝั่งทะเลกันเป็นกลุ่ม ก่อนจะพุ่งไปยังท่าเรืออย่างรวดเร็ว แสงไฟฉายหลายสายสาดส่องไปทั่วชายหาด ด้วยหวังว่าจะหาเจ้าของเสียงเจอ 


 


 


แสงไฟฉายมากมายสาดผ่านมายังแหลมที่จางจื่ออันอยู่บางครั้ง เขาจึงหมอบลงต่ำอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นแค่ดวงตาที่อยู่ข้างหลังกล้องส่องวัตถุในที่มืดข้างหนึ่ง ป้องกันไม่ให้ถูกจับได้ 


 


 


แต่พวกเขาความรู้สึกไวมาก รู้ว่าเสียงเพลงไม่ได้มาจากชายหาด แต่เป็นที่ไกลกว่านั้น…ทะเล 


 


 


แต่ก็มองอะไรบนผิวน้ำทะเลอันมืดมิดไม่เห็น ราวกับน้ำหมึกดำมิด มีเพียงคลื่นทะเลที่ซัดฟองสีขาวเทาไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา ถึงใช้แสงไฟฉายของพวกเขาส่องไปยังต้นเสียง แต่ก็ยังไกลไม่พอ ความมืดมิดกลืนกินแสงไฟฉายของพวกเขาไปอย่างง่ายดาย 


 


 


พูดขึ้นมาแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้มช่วยได้มากจริงๆ ถ้าท้องฟ้าสดใสด้วยแสงจันทร์และดวงดาว แผนการก็คงไม่ได้ราบรื่นขนาดนี้ 


 


 


ตอนนี้ได้ยินเสียงเพลงบนชายหาดชัดเจนขึ้นกว่าเดิมแล้ว 


 


 


พวกผู้คุมมองหน้ากัน ฝ่ามือที่ถือไฟฉายเอาไว้มีเหงื่อเย็นๆ เกลี้ยงเกลาผุดออกมาแล้ว 


 


 


พวกเขามีสีผิวแตกต่างกัน มาจากคนละประเทศ แม้อยู่ที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษกันหมด แต่เวลาโกรธก็ชินกับการใช้ภาษาแม่ด่าคน  พวกเขาที่อยู่ในประเทศสหประชาชาติเล็กๆ เหมือนกัน กลับไม่มีใครฟังออกว่าเพลงนี้ร้องด้วยภาษาอะไร 


 


 


พวกเขารู้สึกได้ว่าเสียงเพลงแฝงบางอย่างเอาไว้ คล้ายกับความน่ากลัวของทะเลลึกและคลื่นมืดมิด พาให้พวกเขาเสียวสันหลังวาบ 


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ขี้กลัวคนไหนพูดขึ้นด้วยเสียงสั่น “คง…คงไม่ใช่ผู้หญิงที่จมน้ำตายวันนี้ใช่ไหม” 


 


 


ไร้สาระ! คนจมน้ำตายแล้วจะ…” 


 


 


หัวโจกยังไม่ทันด่าเสร็จก็สำลักทันที 


 


 


พวกเขาเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า 


 


 


ในเมื่อเป็นผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาเชื่อว่าบนโลกนี้มีคนสูงส่งอยู่ในความมืด พวกเข้าเชื่อว่าในร่างกายมนุษย์ นอกจากเลือด เนื้อ กระดูก และหนังแล้ว ยังมีจิตวิญญาณอยู่ด้วย 


 


 


พวกเขาเห็นหลี่ผีเท่อและคนอื่นๆ เป็นเทพ อย่างน้อยก็เป็นทูตของเทพ ในเมื่อมีเทพ ย่อมมีด้านตรงข้ามกับเทพ นั่นก็คือวิญญาณ หรือผี 


 


 


ตอนที่พวกหลี่ผีเท่อเผยแพร่ศาสนาให้พวกเขา ก็หัวเราะเยาะเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันว่าเหมือนการยั่วยวนของผี แล้วกล่าวหาคนที่ไม่ยอมเข้าร่วมศาสนาว่าถูกปิศาจสิงร่าง ไม่ต่างกับเรื่องจริงที่ว่ามีผีอยู่ 


 


 


แม้แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจ ข้างใต้อ่าวทะเลเล็กๆ แห่งนี้ ความจริงแล้วมีวิญญาณได้รับความไม่เป็นธรรมวนเวียนอยู่เท่าไร 


 


 


ปกติพวกเขาไม่สนใจ ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ในค่ำคืนมืดมิดที่ไม่เห็นแม้แต่นิ้วทั้งห้า หรือว่าวิญญาณอาฆาตพวกนั้นกำลังรวมตัวกันร้องขอชีวิตคืน?  

 

 


ตอนที่ 1594 ในหัวเต็มไปด้วย...

 

อาชญากรที่ถูกศาสนาน่าสงสัยล้างสมองอย่างพวกเขาอาจจะไม่กลัวสิ่งที่เป็นรูปธรรม ถึงแม้ตำรวจพิเศษเอฟบีไอมา พวกเขาก็กล้ายิงปืนจริงใส่พื้น แต่พอเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ต่างก็มีสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัวทั้งนั้น โดยเฉพาะวิญญาณและภูตผี


 


 


พวกเขาถูกเสียงเพลงปลอมๆ ของเซฮวาจู่โจมสู่ก้นบึ้งหัวใจจนสติกระเจิง เสียงหอบหายใจหยาบหนักเหมือนตาแก่ที่ใกล้โลงขึ้นทุกที


 


 


ผู้ไม่ศรัทธาในพระเจ้าก็จัดการกับความกลัวแบบนี้ไม่ได้ พวกเขาได้ยินเสียงเพลงตอนกลางดึกก็กลัวเหมือนกัน แต่ไม่ได้กลัวขนาดนี้ เพราะคนที่พวกเขากลัวไม่ใช่ผี


 


 


“อย่าลุกลี้ลุกลน! ต้องมีคนเล่นพิเรนทร์แน่ๆ!”


 


 


หัวโจกของพวกผู้คุมพยายามใจเย็น ก่อนจะตะโกนใส่คนอื่น


 


 


พวกฆาตกรห้าคนเมื่อกลางวันเป็นอันอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาโยนเมแกนลงไปในทะเลด้วยตัวเอง ความทรงจำเมื่อครั้งที่เห็นสายตาสิ้นหวังและเคียดแค้นของเมแกนนั้นยังเหมือนใหม่


 


 


“ไม่! ไม่! พี่ใหญ่! ต้องเป็นผู้หญิงเมื่อกลางวันแน่ๆ! ผมฟังเสียงเพลงก็รู้แล้ว เธอกำลังสาปแช่งพวกเรา! ไม่ผิดแน่! เธออยากกลับมาจัดการพวกเรา และลากพวกเราลงไปก้นทะเล…หรือลากพวกเราลงไปใต้ทะเลให้จมน้ำตายทั้งเป็น!”


 


 


ห้าคนนี้ตัวสั่น พลางก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ


 


 


“ไร้สาระ! มีอาจารย์ลีอยู่ตรงนี้ วิญญาณเร่ร่อนที่ไหนจะกล้าก่อกวน!” หัวโจกตำหนิ ความจริงเขาเองก็ไม่มั่นใจมาก เพราะเสียงเพลงนี้แปลกเกินไปจริงๆ คิดอย่างไรก็ไม่เหมือนเพลงที่คนร้อง


 


 


“พวกแก ตามฉันมา! พวกเราจะพายเรือไปดู ไม่ว่าใครแกล้งทำผีหลอกอยู่ตรงนั้น ฉันจะถลกหนัง ตัดเอ็นขาให้ได้!” หัวโจกสั่ง


 


 


ตรงท่าเรือมีเรือไม้ลำเล็กจอดอยู่หลายลำ ใช้เชือกป่านมัดไว้บนเสาไม้ โคลงเคลงตามคลื่นทะเล


 


 


พวกเขาก็มีเรือยอร์ชทันสมัย แต่ตอนนี้เรือยอร์ชไม่ได้จอดอยู่ที่นี่ เพราะขับออกไปซื้อเสบียงอาหารที่ซานฟรานซิสโก ชาวนาพวกนั้นทำงานเหมือนวัว เหมือนม้า และกัดก้อนเกลือกิน เพราะตามคำสอนของอาจารย์ลี ชาติก่อนพวกเขามีความผิดติดตัว ชาตินี้คือการชดใช้ให้ชาติก่อน ส่วนพวกผู้คุม รวมถึงพวกอาจารย์ลีและทูตคงร่วมกัดก้อนเกลือกับพวกเขาไม่ได้แน่นอน ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนมีบุญมาสิบชาติ ชาติก่อนไม่มีความผิดติดตัว


 


 


เมื่อไม่มีเรือยอร์ช พวกเขาก็ได้แต่พายเรือเล็กออกไปดูในทะเล


 


 


พอได้ยินคำสั่งนี้ พวกผู้คุมก็ขาอ่อนเล็กน้อย ถ้าเป็นเวลากลางวันยังไม่ใช่ปัญหา แต่ในค่ำคืนที่มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือที่ยื่นออกไปแบบนี้ พายเรือเล็กเข้าใกล้วิญญาณอาฆาตร้องขอชีวิต นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายเหรอ


 


 


“พี่ใหญ่ พวกเราทำเป็นไม่ได้ยิน หรือไว้พรุ่งนี้ฟ้าสางแล้วค่อยไปดูไม่ได้เหรอ…” มีคนเสนอขึ้น และได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์จากคนอื่น


 


 


“ไร้สาระ! ฟ้ามืดขนาดนี้ ยังห่างจากตอนฟ้าสางตั้งสิบกว่าชั่วโมง! จะให้เธอร้องไปทั้งคืนหรือไง? ถ้าทำให้อาจารย์กับทูตของเทพตกใจ แกกับฉันใครจะรับผิดชอบไหว?” หัวโจกตะโกน


 


 


ผู้คุมคนอื่นถูกตำหนิจนไร้ข้อโต้เถียง ระหว่างถูกผีสาวเอาชีวิตกับทำผิดต่ออาจารย์และทูตของเทพ ยากจะบอกได้ว่าอะไรน่ากลัวกว่ากัน


 


 


ถ้าเป็นผีสาวบนแผ่นดิน ยังขอให้แมวเทพส่งแมวไปตรวจสอบได้ แต่เรื่องในทะเล พวกเขาทำได้แค่ฝืนใจออกโรง


 


 


ช่วยไม่ได้ พวกเขาต้องก้มหน้าก้มตาปลดเรือเล็ก แบ่งกลุ่มกันสองสามกลุ่ม และพายเรือเล็กไปยังทางเข้าอ่าว


 


 


ตอนนี้ชายฉกรรจ์สูงใหญ่กลับเหมือนหญิงสาวตัวโตที่อ่อนแอไม่ต้านลม ตอนพายเรือก็ทำงานแต่ไม่ออกแรง ต่างก็คิดจะให้เรือลำอื่นนำหน้าไปก่อนช่วงหนึ่ง แล้วให้เรือของตัวเองรั้งท้าย ถ้าเกิดอันตรายแล้วอยากหนีก็ง่ายกว่าคนอื่นหน่อย


 


 


บนเรือเล็กทุกลำมีคนหนึ่งเปิดไฟฉายอยู่ตรงหัวเรือ และสอดส่องไปยังเบื้องหน้า


 


 


พอเข้าใกล้ต้นตอของเสียงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทุกคนก็เหงื่อแตกไปทั้งตัว หัวใจเต้นเร็วเหมือนจะเป็นโรคหัวใจ กลัวว่าจะเห็นอะไรที่มัน…น่ากลัว


 


 


แต่กลัวอะไรมักจะเจอสิ่งนั้น แสงไฟฉายของบางคนส่องเจอเงาคนรางๆ อย่างกะทันหัน ตกใจจนเผลอร้องเสียงดังขึ้นมา แม้แต่ไฟฉายก็ตกลงน้ำไปหมดแล้ว


 


 


เขามองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในทะเลจริงๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้นั่งอยู่บนเรืออีกลำหนึ่ง และไม่ได้ว่ายน้ำทว่าลอยอยู่บนผิวน้ำ แต่…ครึ่งตัวบนโผล่พ้นผิวน้ำพร้อมหลังเหยียดตรง ผมยาวสลวยแผ่กระจายออก พลางเขม็งมองมาที่เขา


 


 


เธอ…เหมือนยืนอยู่ในทะเลได้อย่างง่ายดายราวกับไร้ตัวตน


 


 


พวกเขารู้จักอ่าวนี้เป็นอย่างดี เป็นอ่าวหลบลมโดยธรรมชาติ ในเส้นทางเดินเรือไม่มีโขดหิน ไม่มีทางที่คนจะยืนอยู่บนโขดหินและโผล่ออกมาแค่ครึ่งตัวบน


 


 


งั้นผู้หญิงคนนี้… ‘ยืน’ นิ่งอยู่ในทะเลได้ยังไง?


 


 


ส่วนหน้าตาของเธอกลับมองเห็นไม่ชัดเจน เพราะไกลเกินไปและตื่นกลัว ทำได้เพียงยืนยันจากสีผิวว่าเธอเป็นผู้หญิงผิวขาวคนหนึ่ง เหมือนกับผู้หญิงที่จมน้ำตายเมื่อตอนกลางวันคนนั้น


 


 


น่ากลัว น่ากลัวชิบหาย เสียงร้องตกใจที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้คนอื่นตกใจกลัวจนเหลืออดแล้ว


 


 


“เกิดอะไรขึ้น นายเห็นอะไร” หัวโจกตะโกนถาม


 


 


“ผี…เป็นผี…ผู้หญิงเมื่อตอนกลางวัน กลายเป็นผีมาเอาชีวิตแล้ว!” คนคนนั้นหน้าซีดเผือด ชี้ไปที่ผู้หญิงแล้วพูด แค่ประโยคเดียวนี้กัดลิ้นไปตั้งหลายครั้ง กัดลิ้นจนเลือดออกแต่ไม่รู้สึกเจ็บเลย


 


 


“มารดานายสิ แน่ใจนะว่าไม่ได้มองผิด?”


 


 


คนอื่นๆ ได้ยินแล้วก็หวาดกลัวขึ้นมา พากันส่องไฟฉายไปทางเขา แต่ก็เคลื่อนไหวรุนแรงจนเรือเล็กโคลงเคลง


 


 


แต่พวกเขาส่องช้าไปก้าวหนึ่ง แสงไฟฉายส่องเห็นเพียงละอองน้ำขนาดใหญ่เท่านั้น ก่อนจะหายลงทะเลอย่างรวดเร็วเหมือนสัตว์ป่าขนาดใหญ่บางชนิด และเสียงเพลงก็หายไปพร้อมกัน


 


 


“นายเห็นแมวน้ำหรือพะยูนหรือเปล่า แถวนี้มีแมวน้ำหลายตัว พะยูนก็มีบ้างนิดหน่อย ได้ยินว่ากะลาสียุคโบราณเห็นพะยูนเป็นนางเงือก หัวสมองนายมีแต่เรื่องผู้หญิงใช่ไหมเนี่ย ถึงได้เห็นพะยูนเป็นผู้หญิง”


 


 


ที่หัวโจกพูดออกมาเหมือนจะมีเหตุผล แต่จะอธิบายเรื่องเสียงเพลงอย่างไรล่ะ


 


 


“อาจจะเป็นเสียงร้องของแมวน้ำหรือพะยูน” หัวโจกพยายามอธิบาย แต่ก็ยังโน้มน้าวคนอื่นได้ยากมาก เพราะพวกเขาเคยได้ยินเสียงร้องของแมวน้ำมาเยอะแล้ว แถมเป็นคนละเสียงกับเสียงเพลงเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง


 


 


ตอนที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกยากลำบากสองทาง เสียงเพลงก็ดังขึ้นมาอีก ครั้งนี้อยู่ทางซ้ายของแคมเรือ


 


 


พวกเขารีบจับไฟฉายจนแน่น แต่ยังส่องโดนละอองน้ำที่พุ่งเข้ามาเท่านั้น


 


 


จากนั้นก็มีเสียงเพลงดังขึ้นจากทางขวาของแคมเรือและข้างหลังเรือเล็กอย่างต่อเนื่อง พวกเขาส่องไฟฉายไปตามเสียงเพลงอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับอยากจะจับต้นตอให้ได้


 


 


พวกเขาแน่ใจอีกครั้ง เสียงเพลงนี้ไม่ใช่เสียงร้องของสัตว์ แต่เป็นภาษาบางอย่างที่พวกเขาฟังไม่รู้เรื่อง


 


 


แต่อะไรจะว่ายน้ำได้เร็วขนาดนี้?


 


 


ถึงเป็นฉลามขาวก็ไม่ได้เร็วจนน่ากลัวขนาดนี้ นอกเสียจากเป็น…ผีน้ำ


 


 


เจอสถานการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ ในที่สุดหัวโจกก็ทนไม่ไหวแล้ว ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาตรวจดูสถานการณ์ พูดขึ้นมาแล้วอย่างน้อยก็ไม่นับว่าเป็นไอ้ขี้ขลาด กลับไปแล้วก็ยังมีคำอธิบาย


 


 


ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ถอยกลับ


 


 


พวกผู้คุมตึงเครียดขึ้นมา ช่างแตกต่างกับตอนขามา พวกเขาต่างก็ใช้แรงพายเรือกลับไปอย่างสุดกำลัง


 


 


แต่พวกเขาพายเรืออยู่ตั้งนาน เรือเล็กกลับนิ่งอยู่ในทะเลเหมือนไม่ได้ขยับไปเลย


 


 


ตอนนี้ฝูงวาฬยันใต้เรือเล็กหลายลำขึ้นมาแล้ว 

 

 


ตอนที่ 1595 เนรเทศ

 

เนื่องจากท้องฟ้ายามกลางคืนมืดมิด อีกทั้งเอาแต่ตามหาตัวผีสาวที่ว่า พวกผู้คุมต่างก็ไม่ได้สังเกตว่าฝูงวาฬเข้ามาใกล้แล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนกลางวันที่แสงสว่างเต็มที่ พวกเขาน่าจะมองเห็นวาฬเพชฌฆาตพ่นน้ำอยู่แต่ไกล อย่างน้อยก็มองเห็นเงามหึมาเข้ามาใกล้เรือเล็ก


 


 


พอเรือเล็กถูกวาฬเพชฌฆาตดันจนเสียสมดุล พวกผู้คุมก็เซไปซ้ายที ขวาที ก่อนจะรู้ว่ามีบางอย่างอยู่ใต้เรือ


 


 


บางคนยังนึกถึงเรื่องผีและวิญญาณ จึงร้องว่า “ผีแน่ๆ! ผีน้ำยกเรือของพวกเรา! พวกเราต้องเรือล่มแน่ๆ! มันอยากโยนพวกเราลงน้ำ! แล้วลากคอพวกเราไปก้นทะเล!”


 


 


พวกเขาก็ลนลานเป็นทุนเดิม คราวนี้ยิ่งไม่มีสติกว่าเดิม


 


 


ส่วนจะจัดการผู้คุมพวกนี้อย่างไร จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงเห็นต่างกัน บางตัวเสนอให้ล่มเรือจมน้ำตายทั้งหมด ถึงอย่างไรผู้คุมพวกนี้ก็เป็นฆาตกรที่มีกลิ่นคาวเลือดเต็มมือ ตายไปก็ดีสำหรับพวกเขาแล้ว แต่เซฮวากลับคัดค้านข้อเสนอนี้อย่างรุนแรง


 


 


เซฮวาไม่ได้สนใจเท่าไรว่าคนพวกนี้จะเป็นหรือตาย แต่ปัญหาคือพวกเขาส่วนใหญ่น่าจะว่ายน้ำเป็น แค่ทำเรือล่มอย่างเดียวไม่น่าจะจมน้ำตายได้ ตรงทางเข้าอ่าวห่างจากท่าเรือสองสามเมตร แม้น้ำทะเลจะค่อนข้างหนาวเย็น แต่ขอแค่เป็นคนที่ว่ายน้ำเป็นก็น่าจะรอดไปได้…ด้วยเหตุนี้ ล่มเรือเล็กอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากให้พวกวาฬเพชฌฆาตลากพวกเขาไปยังก้นทะเลลึก หรือให้วาฬเพชฌฆาตกัดพวกเขาให้ตายเสียเลย


 


 


แต่นี่เป็นไปได้ยาก วาฬเพชฌฆาตเป็นมิตรกับมนุษย์มาก และมีสติปัญญาในระดับสูง ให้วาฬเพชฌฆาตมาทำเรื่องแบบนี้จะเหมาะสมจริงๆ เหรอ?


 


 


เมื่อวาฬเพชฌฆาตจู่โจมมนุษย์ ใครจะกล้ารับประกันว่าต่อไปพวกมันจะไม่จู่โจมมนุษย์คนอื่นที่ไม่มีความผิด ต้องรู้ไว้ว่าวาฬเพชฌฆาตไม่เคยมีประวัติจู่โจมมนุษย์ แต่กลับมีชื่อเสียงไม่ดีว่า ‘วาฬฆ่าคน’ หากพูดตามความรู้เรื่องท้องทะเลที่เผยแพร่กันทั่วไป หลายๆ คนรู้ว่าวาฬเพชฌฆาตไม่ทำร้ายคน แต่เมื่อได้ชื่อเสียงไม่ดีนี้จริงๆ ภาพลักษณ์ของวาฬเพชฌฆาตก็คงเสียหายอย่างหนัก


 


 


ที่สำคัญที่สุดคือ เจทู ผู้นำของฝูงวาฬ มันอาจจะไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ หากเปลี่ยนให้คนมาอยู่ในตำแหน่งของมัน ก็คงจะไม่อยากให้หลานหรือเหลนของตัวเองกลายเป็นฆาตกรฆ่าคน


 


 


อย่าได้สบประมาทสติปัญญาของคนแก่อายุร้อยปี มันมีชีวิตมาได้นานขนาดนี้ นำฝูงวาฬทางใต้โดยไม่เปิดเผยตัวตน และรอเวลาอยู่ที่ชายฝั่งทะเลอันห่างไกลแห่งนี้ รวมถึงให้โลกภายนอกเข้าใจผิดคิดว่ามันตายไปแล้ว เท่านี้ก็พอจะอธิบายได้ว่ามันมีสติปัญญาน่าเคารพยำเกรงขนาดไหน มันรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร รู้ดีว่ามนุษย์มีเจตนาดีและเจตนาร้ายต่อมันอย่างไร


 


 


พอพูดอย่างนี้ ไม่เพียงแต่พวกภูตสัตว์เลี้ยงที่คิดว่าไม่ควรให้ฝูงวาฬมาทำเรื่องแบบนี้ แม้แต่จางจื่ออันก็ยังครุ่นคิดดีๆ อีกครั้ง ตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่ากลับไปแล้วจะเผยแพร่รูปและวิดีโอของเจทูที่ยังมีชีวิตต่อสาธารณชน แต่เก็บไว้เป็นความลับคงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด


 


 


ปัญหาในตอนนี้อยู่ที่ควรจะจัดการผู้คุมพวกนี้อย่างไร


 


 


ปั่นหัวพวกเขาแล้วจะให้พวกเขาถอยไปได้เหรอ? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ต่างอะไรกับปล่อยเสือกลับถ้ำ ต่อไปจะเกิดปัญหาไม่จบสิ้น


 


 


จางจื่ออันกลับนึกได้วิธีหนึ่ง เขาให้เซฮวาสอบถามเจทูสักหน่อยว่าในทะเลแถวนี้มีเกาะร้างอะไรไหม


 


 


เซฮวาถามเจทูและได้รับคำตอบยืนยันแล้ว ว่านอกอ่าวมีเกาะร้างอยู่สองสามเกาะจริงๆ แต่แทนที่จะพูดว่าเป็นเกาะร้าง พูดว่าเป็นโขดหินอยู่รวมกันน่าจะดีกว่า เพราะพื้นที่เล็กมาก ตอนน้ำขึ้นพอจะมีหินโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำบ้าง ส่วนตอนน้ำขึ้นก็สูงเหนือน้ำทะเลประมาณยี่สิบเซนติเมตร บนโขดหินไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น อย่างมากก็มีลูกปลา ลูกกุ้ง และปูอยู่ในแอ่งน้ำจำนวนหนึ่ง แม้แต่ยืนก็ยังยาก เป็นไปไม่ได้ที่จะหาแหล่งน้ำจืดพบ


 


 


จางจื่ออันเสนอว่า ให้ฝูงวาฬดันเรือเล็กพาพวกเขาไปถึงโขดหินนั่น จากนั้นก็สะบัดเรือไปทางโขดหิน ทำอย่างนี้ใต้เรืออาจจะชนโขดหินจนเกิดรอยรั่วและเกยตื้น หรือชนโขดหินจนเรือพัง และพวกผู้คุมก็จะติดอยู่บนโขดหินกลับไม่ได้


 


 


น้ำทะเลเย็นเฉียบขนาดนี้ นอกจากสวมชุดดำน้ำแบบเต็มตัว แค่ว่ายน้ำไปไม่กี่เมตรก็ถึงขีดจำกัดแล้ว พอว่ายน้ำไปนานๆ เข้ามือเท้าก็จะชาไปหมด


 


 


พวกผู้คุมถูกขังอยู่บนโขดหิน ร้องเรียกสวรรค์ไม่ตอบ ร้องเรียกพื้นดินไม่สะเทือน ไม่มีน้ำและอาหาร ทำได้แค่รอคนอื่นมาพบและช่วยเหลือ นอกจากตัดกำลังของอีกฝ่ายได้มากแล้ว ยังทำให้ตัวเองมีแต้มต่อไปโดยปริยาย เท่ากับใช้ผู้คุมพวกนี้เป็นตัวประกัน อาจจะยังเจรจาเงื่อนไขได้


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงไม่คัดค้านแผนการนี้ พวกผู้คุมคงทนอยู่บนหินโสโครกในสภาพที่ไม่มีน้ำและอาหารได้ประมาณสามวัน ไม่ว่าผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ในสามวันนี้เรื่องราวก็คงจบสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว รอพวกตำรวจไปช่วยพวกเขาบนโขดหินก็แล้วกัน ถ้าในสามวันนี้พวกเขายังไม่ฆ่ากันเองละก็…


 


 


เซฮวาปรึกษาแผนการนี้กับเจทูสักพัก ก็ได้รับการตกลงจากฝ่ายหลังแล้ว


 


 


พอตำรวจมา จะต้องสอบถามเรื่องราวที่ผ่านมาของพวกผู้คุม แล้วพวกผู้คุมจะตอบอย่างไรล่ะ?


 


 


ไม่เพียงแต่ผู้คุมพวกนี้ ยังรวมถึงชาวนาที่ไร้ความรู้สึกพวกนั้น หลังจากตำรวจมาแล้วจะทำบันทึกกับทุกคน พวกเขาจะพูดเรื่องผีสาว แมวประหลาดอะไรพวกนี้ แต่ตำรวจจะเชื่อเหรอ?


 


 


ใครจะไปเชื่อคนที่ถูกล้างสมองแปลกๆ พวกนี้กัน? ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร คนอื่นก็คงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องจริง


 


 


อีกอย่างหมู่บ้านนี้ก็ล้าสมัยยิ่งกว่าอะไร แม้แต่กล้องวงจรปิดก็ไม่มี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่มีทางหลงเหลือบันทึกจากกล้องเอาไว้ เอื้ออำนวยแผนการได้ดีอย่างยิ่ง


 


 


ฝูงวาฬทำตามแผนที่ตกลงกันไว้เรียบร้อย เจทูเป็นฝ่ายสั่งการ วาฬทุกตัวโผล่ออกมาจากใต้เรือ และดันเรือเล็กหลายลำไปทางชายฝั่งทะเลที่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


พวกผู้คุมบนเรือเล็กต่างก็สติกระเจิง แสงไฟในหมู่บ้านและประภาคารตรงหน้าไกลออกไปเรื่อยๆ รอบด้านค่อยๆ อับแสงลง เรือเล็กกำลังออกห่างจากแผ่นดิน แล้วถูกดันไปทางทะเลลึก


 


 


เดิมทีพวกเขามีโอกาสกระโดดหนีลงไปในทะเล แต่ด้วยความหวาดกลัวต่อผีสาวในทะเล จึงพลาดโอกาสดีๆ ไปแล้ว ขณะที่กำลังลังเล ระยะห่างระหว่างเรือเล็กกับชายฝั่งก็ถึงระดับที่ถึงแม้พวกเขาตัวแข็งอยู่ในทะเลก็ว่ายกลับไปถึงชายฝั่งไม่ได้


 


 


พวกเขารู้ว่าน้ำทะเลที่นี่หนาวเย็นแค่ไหน กระโดดลงน้ำตอนนี้ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงพวกเขาอยากเป็นแจ็ค ก็คงไม่มีสาวอกโตมาให้ชื่นชม จะมีก็แต่ผีสาวน่ากลัวในทะเลลึก


 


 


ไม่รู้ว่าใครได้สติขึ้นมาก่อน พบว่าที่ดันพวกเขาอยู่คือวาฬ จึงยกปืนเทเซอร์ร้องว่า “ใช้ปืนช็อตพวกมัน!”


 


 


แต่ปืนเทเซอร์ไม่ได้ผลแม้กระทั่งกับสุนัขตัวใหญ่ ใช้รับมือกับวาฬเพชฌฆาตโตเต็มวัยหนักหลายตันแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับช่วยเกาตรงที่คัน ไม่มีทางยิงทะลุได้แม้แต่ผิวหนังภายนอกของพวกมัน ไม่เพียงไม่ได้ผลอะไร กลับทำให้ฝูงวาฬหงุดหงิดพวกเขา พากันพ่นเสาน้ำราดพวกเขาจนชุ่มไปทั้งตัว


 


 


พอลมทะเลพัดมาที พวกเขาหนาวจนหน้าเขียว ต่างก็นอนหลบลมทะเลอยู่ตรงท้องเรือ ส่วนพวกเรือเล็กจะถูกส่งไปอยู่ที่ไหน พวกเขาก็ต้องฟังบัญชาสวรรค์แล้ว


 


 


จางจื่ออันมองผ่านกล้องส่องวัตถุในที่มืด ส่งพวกเรือเล็กค่อยๆ หายออกไปจากสายตา จากนี้ก็เริ่มตามแผนได้แล้ว 

 

 


ตอนที่ 1596 ลูกดกเหมือนแม่หมู

 

ผู้คุมว่างงานส่วนใหญ่ไปตามต้นตอของเสียงเพลงที่ชายทะเลกับหัวโจก ผู้คุมที่เหลือไม่กี่คนก็ไม่กล้าออกจากตำแหน่งโดยพลการ ทำได้แค่รอพวกเขากลับมา พร้อมกับกำจัดเสียงเพลงน่าตายนั่น


 


 


เสียงเพลงหายไปแล้วจริงๆ เเต่หายไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นก็ร้องขึ้นมาอีก เสียงกลับดังขึ้นและเข้าใกล้ขึ้นด้วย ส่วนพวกผู้คุมที่มุ่งหน้าไปสำรวจกลับหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เหมือนวัวโคลนเข้าไปในทะเล


 


 


พวกผู้คุมที่เหลือกระวนกระวายมากขึ้นแล้ว นั่นคือสมาชิกยี่สิบถึงสามสิบคนเชียวนะ แถมทุกคนยังพกปืนช็อตไฟฟ้าติดตัวกันหมด อยู่ดีๆ ก็หายไปเลยเหรอ?


 


 


ถึงก็อตซิลล่าหรือธานอสขึ้นฝั่งจากทะเล อย่างน้อยก็ต้องมีข่าววงในส่งมาสินะ?


 


 


พวกเขาก็เป็นอย่างนั้น ชาวบ้านทั่วไปสติกระเจิงยิ่งกว่า เสียงเพลงแปลกๆ ที่ได้ยินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ทำได้แค่กุมหัว ปิดหูขดตัวอยู่ในมุมด้วยตัวสั่นกลัว


 


 


แต่ปิดหูไปก็ไม่มีประโยชน์นัก แม้ปิดหูแล้วจะได้ยินเสียงเบาลงไปบ้าง แต่ความจริงแล้วเสียงเพลงไม่ได้เบาลง กลับดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่รู้สึกว่าเสียงเบาลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระดับเสียงเกินขอบเขตการได้ยินของหูคน


 


 


ป่าที่เงียบเชียบเริ่มเกิดเสียงดังเอะอะขึ้นมาแล้ว


 


 


สัตว์ที่เคลื่อนไหวตอนกลางวัน และพักผ่อนในตอนกลางคืนพวกนั้น อย่างเช่น นกที่หากินในตอนกลางวันชนิดต่างๆ ซึ่งกลับรังไปพักผ่อนกันแล้ว แต่กลับถูกคลื่นเสียงความถี่สูงที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้ตกใจตื่น พวกมันเป็นโรคตาบอดตอนกลางคืน บินตอนกลางคืนไม่ได้ ทำได้แค่ส่องเสียงร้องต่างๆ แสดงความกระวนกระวายและหวาดกลัว


 


 


ส่วนนกที่ออกหากินในตอนกลางคืน รวมถึงสัตว์ป่าบินได้ขนาดเล็กอื่นๆ อย่างเช่น ค้างคาวและนกเค้าแมว ต่างก็ถูกคลื่นเสียงความถี่สูงของเซฮวารบกวนการได้ยินเข้า พวกมันที่ต้องอาศัยการได้ยินมาหาอาหารและหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ก็พากันบินมั่วเหมือนคนเมา ฝูงค้าวคาวสีดำทมิฬบินผ่านเหนือทุ่งนาและบ้านไม้กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ยังมีค้างคาวบินเข้ามาชนกระจกไม่น้อย หรือชนตัวคนเข้าเต็มๆ เลยก็มี


 


 


สัตว์เดินดินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แม้พวกมันจะไม่ได้อาศัยการได้ยินเพื่อหาอาหาร แต่สัตว์ที่หากินตอนกลางคืนส่วนใหญ่จะมีการได้ยินที่ว่องไวมาก เพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูตามธรรมชาติและมนุษย์ คลื่นเสียงความถี่สูงทำให้พวกมันกระวนกระวายใจ ไม่มีกะใจจะหาอาหาร วิ่งชนโน่นนี่ในป่ากันอุตลุด ถึงเจอเหยื่อหรือศัตรูตามธรรมชาติก็มองไม่เห็นกัน


 


 


แม้แต่มนุษย์ที่การได้ยินเชื่องช้า และไม่ได้ยินเคลื่อนเสียงอัลตราโซนิค กลับรู้สึกได้ถึงความร้อนใจอย่างน่าประหลาด กระทั่งเกิดอาการเวียนหัวคลื่นไส้ ดวงตาพร่าเลือน และอาการผิดปกติอื่นๆ


 


 


เซฮวาว่ายน้ำไปใกล้ๆ ท่าเรือริมฝั่ง ยิ่งใกล้ขึ้น เสียงก็ส่งไปได้ไกลยิ่งขึ้น


 


 


ครึ่งตัวบนของเธอโผล่ขึ้นจากผิวน้ำ คลื่นเสียงอันไร้รูปร่างกระจายออกทางปากของเธอเป็นรูปทรงกรวย บรรยากาศชวนอึดอัดแพร่ขยายเข้าไปในป่าไม่หยุดหย่อน


 


 


ในป่ารอบนอกทุ่งนา มีแมวรุกล้ำขึ้นไปบนกิ่งไม้ หน้าที่ของพวกมันคือตั้งมั่นอยู่ที่นี่ เมื่อมีคนหรือสัตว์น่าสงสัยเข้ามาใกล้ ก็จะส่งคำเตือนออกไป


 


 


แมวพวกนี้อาจจะไม่กลัวบาดเจ็บหรือตาย แต่อาวุธทำร้ายคนที่ไร้รูปร่างแบบคลื่นเสียงอัลตราโซนิคทำให้พวกมันกระสับกระส่ายกระโดดไปมาเหมือนสัตว์ตัวอื่นๆ


 


 


อยู่ๆ ในพุ่มไม้ที่ไม่ไกลออกไปมีเสียงดังฟู่ขึ้นมา


 


 


พวกแมวนึกถึงหน้าที่ของพวกมัน ถึงยังเดินขากะเผลกและโซเซ แต่ก็ยังพยายามมองไปทางนั้น ด้วยอยากจะดูว่าตัวอะไรกำลังเข้ามา


 


 


จมูกแบนราบกับเขี้ยวที่ทั้งแหลม ทั้งยาวคู่หนึ่งยื่นออกมาจากในพุ่มไม้ บนจมูกยังมีรูจมูกขนาดใหญ่สองรูพ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมาตลอด


 


 


จากนั้นหัวหมูขนาดใหญ่หัวหนึ่งก็โผล่ออกมากะทันหัน ข้างหลังคือร่างกายแข็งแรงทรงพลัง


 


 


หมูป่า!


 


 


นี่คือหมูป่าตัวผู้โตเต็มวัย น้ำหนักประมาณสี่ร้อยกิโลกรัม ไม่ด้อยไปกว่าหมีดำเลย


 


 


ยังไม่หมด หมูป่าตัวผู้ปรากฏตัวแล้ว ข้างหน้ามีหมูป่าหลายตัวกระโดดออกมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่


 


 


ถ้าจะบอกว่าสัตว์ชนิดไหนบ้างเป็นผู้ทรงอิทธิพลในป่า ก็คงมีฝูงหมาป่าที่เลื่องชื่อด้านการใช้กลยุทธ์และระเบียบวินัย หมีดำและหมีน้ำตาลที่มีชื่อเสียงเรื่องไร้เทียมทานเมื่อสู้ตัวต่อตัว และรวมไปถึงฝูงหมูดำที่เหมือนฝูงแทงค์น้ำพวกนี้


 


 


เมื่อฝูงหมูป่าพุ่งเข้าใส่อย่างดุดัน ไม่ว่าฝูงหมาป่าหรือหมี ต่างก็ต้องถอยเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทั้งนั้น ถึงเป็นหมีดำก็อาจจะสู้ตัวต่อตัวกับหมูป่าตัวผู้โตเต็มวัยไม่ได้


 


 


หมูป่าตัวผู้ตัวใหญ่และหนัก ยังมีเขี้ยวแหลมคมสองซี่ เวลามันวิ่งก็ไม่มีใครไปขวางมันได้ นอกเสียงจากเป็นแรด ช้าง หรือฮิปโปโปเตมัส แต่ที่นี่ไม่ใช่แอฟริกา ไม่มีแรด ช้าง และฮิปโปโปเตมัส ดังนั้นหมูป่าจึงเป็นผู้มีอิทธิพลของป่าอย่างไม่มีข้อโต้เถียง


 


 


ไม่เพียงหมาป่าไคโยตีเกินจำนวนในอเมริกา หมูป่าก็เป็นเช่นเดียวกัน ตามสถิติแล้วอเมริกามีหมูป่ามากกว่าหกล้านตัว สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับทางการเกษตรอเมริกากว่าหนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลลาร์


 


 


หมูป่าเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืช ทั้งสัตว์ กินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผักป่า ผลไม้ป่า แมลง สัตว์ที่ใช้ฟันแทะ และอื่นๆ ล้วนอยู่ในรายการอาหารของมันทั้งสิ้น แม้แต่เนื้อเน่าก็ไม่รังเกียจ ถ้าหิวสุดขีดอาจจะจู่โจมและจับหมาป่าไคโยตีและเสือดาวกิน รวมถึงสัตว์ประเภทสุนัขขนาดใหญ่และสัตว์ประเภทแมว ถ้ามีมนุษย์สักคนหาเรื่องพวกมัน พวกมันจัดการให้คนคนนั้นตายแล้วก็จะไม่ปล่อยศพไป


 


 


การขยายพันธุ์ของหมูป่าก็ยอดเยี่ยมมาก เรื่องนี้ไม่ต้องพูดมาก ‘ลูกดกเหมือนแม่หมู’ คำพูดเดียวก็สรุปได้แล้ว


 


 


ทั้งกินเก่ง ทั้งคลอดลูกเก่ง ยังมีอะไรหยุดจำนวนประชากรหมูป่าได้อีกล่ะ?


 


 


น่าจะมีแค่มนุษย์ที่ทำได้ เกลียดอย่างเดียวที่หมูป่าพวกนี้ไม่ได้เกิดที่ประเทศจีน ไม่อย่างนั้น…หอมจริง!


 


 


ความจริงแล้วหมูป่าไม่ใช่สัตว์เพียงชนิดเดียวที่เคยก่อกวนทุ่งนาแห่งนี้ ตอนพวกมันหิวหาอาหารอื่นไม่ได้ แน่นอนว่ามันไม่พลาดธัญพืชเลิศรสที่มนุษย์ปัญญาอ่อนปลูกเอาไว้ เหมือนตระเตรียมไว้ให้พวกมันโดยแท้


 


 


แต่ถึงแม้หมูป่าโง่ขนาดไหน ก็รู้ว่าหาเรื่องมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์มีปืน ถ้าตัวเองไม่ระวังก็จะกลายเป็นหมูป่าย่างไปทันที ดังนั้นตอนพวกมันมาก่อกวนที่ทุ่งนาจะต้องแอบย่องมาเสมอ กินเสร็จแล้วก็ต้องแอบออกไปอีก เมื่อถูกผู้คุมหรือพวกชาวนาพบเข้า พวกหมูป่าก็จะวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว


 


 


แต่สถานการณ์ในวันนี้กลับต่างออกไปเล็กน้อย หมูป่าฝูงนี้ถูกคลื่นเสียงความถี่สูงยั่วโมโหจนเสียสติไปแล้ว จึงมาแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง พวกมันรู้ว่าคลื่นเสียงดังมาจากทางทุ่งนาและหมู่บ้านคน แต่ไม่รู้ว่าต้นกำเนิดเสียงที่แท้จริงคือชายหาดข้างหลังหมู่บ้าน


 


 


ในสถานที่ที่ค่อนข้างไกลข้างหลังหมูป่าฝูงนี้ มีหมาป่าหลายตัวหยุดอยู่ พวกมันทำภารกิจเสร็จแล้ว ไล่หมูป่าฝูงนี้จากที่ที่ไกลออกไปมาถึงที่นี่ได้สำเร็จแล้ว


 


 


หมาป่าหลายตัวนี้ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าอีก พวกมันได้รับผลกระทบจากคลื่นเสียงความถี่สูงไม่ต่างกัน ยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งกระวนกระวายใจ จนอยากจะหอนออกมา แต่นี่ก็จะเปิดเผยร่องรอยของตัวเอง จึงทำได้แค่หางจุกก้นรีบถอยไปไกล เลี่ยงพื้นที่ที่มีคลื่นเสียงกระจุกตัวอยู่


 


 


หมาป่าคือศัตรูตามธรรมชาติของหมูป่า หมาป่าจะไม่ต่อสู้กับหมูป่าซึ่งหน้า แต่จะอ้อมไปจู่โจมเจ้าไข่และรูก้นของหมูป่าจากข้างหลัง ก่อนจะดึงออกมาข้างนอก ลำไส้ที่เชื่อมกับอวัยวะภายในของหมูป่าจะถูกควักออกมาทั้งหมด หมูป่าดีดดิ้นได้สองสามครั้งก็จะเสียเลือดตาย


 


 


ก่อนจะแบ่งสรรหน้าที่ เสวี่ยซือจื่อยังถ่ายทอดฝีมือการควักทวารให้ฝูงหมาป่าอย่างสนิทสนม จนจางจื่ออันแอบเสียวสันหลังวาบ แม้อากาศจะไม่หนาวเลยก็ตาม… 

 

 


ตอนที่ 1597 เสียงไพเราะยากจะได้ยิน

 

เป็นเรื่องจริงที่หมูป่ามีทฤษฎีในการสู้รบยอดเยี่ยม เมื่อพวกมันพุ่งเข้ามาก็ยากจะต้านทานพละกำลังไว้ได้ แต่กลับสู้ฝูงหมาป่าไม่ได้ เพราะฝูงหมาป่ามีกลยุทธ์ร่วมมือสอดประสานกัน ไม่ให้พวกมันโจมตีง่ายๆ แน่นอน 


 


 


ในขณะที่สุนัขล่าสัตว์ผ่านการฝึกสอนมาแล้วกลับเอาชนะหมูป่าไม่ได้ แต่ก็พอจะไล่หมูป่าออกมาจากที่ซ่อนตัวได้ แล้วให้นักล่าสัตว์จัดการหมูป่า 


 


 


หมูป่าฝูงนี้ถูกฝูงหมาป่าไล่จนเหนื่อย แถมยังรำคาญคลื่นเสียงความถี่สูงที่คอยรบกวนนี้อีก โกรธจนตาเขียวปั้ดแล้ว คิดแต่จะตามหาผู้สร้างเสียงน่ารำคาญ และใช้เขี้ยวแทงเข้ารูเล็กๆ สองรูของมัน 


 


 


หมูป่าตัวผู้หัวโจกที่น้ำหนักถึงสี่ร้อยกิโลกรัมเป็นราชาหมูป่าของป่านี้ ตัดเจ้าไข่ออกมาแล้วได้ประมาณห้ากิโลกรัม กลิ่นอายฮอร์โมนเพศชายมากเกินจนเกิดอารมณ์ฉุนเฉียว หมูป่าตัวมหึมาแบบนี้ แม้แต่คนล่าสัตว์ยังเมิน เพราะเจ้าไข่ของมันส่งกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้เนื้อไม่อร่อย 


 


 


มันวิ่งนำฝูงหมูป่าหลบหนีจากการตามของฝูงหมาป่าจนหนักใจ พอเร่งความเร็วขึ้นก็ชนต้นไม้ ตอนนี้มาถึงชายทะเลที่มีต้นไม้ค่อนข้างบางตา ความเร็วของพวกมันเพิ่มขึ้นเหมือนบิน พูดอย่างไม่เกินจริง ถึงรถเก๋งจอดอยู่ข้างหน้าคันหนึ่ง มันก็ใช้หัวดันให้คว่ำไปได้ 


 


 


มันวิ่งไปด้วย ร้องเสียงดังวี๊ดๆ ไปด้วย เพื่อระบายความโกรธที่อยู่ในอก 


 


 


แต่หมูป่ามีสายตาย่ำแย่มาก โดยเฉพาะการมองเห็นในสภาพสงบเงียบ พวกมันลืมตาอยู่ก็จริง แต่ทำได้แค่มองเห็นแสงไฟสว่างรางๆ ในที่ไกลออกไป บริเวณแสงไฟมีกลิ่นหอมสดชื่นของธัญพืชโชยมา 


 


 


โครม! 


 


 


หมูป่าสายตาสั้นมองไม่เห็นต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้า จึงชนเข้าอย่างจัง แต่มันมักจะชอบเอาไหล่หนาๆ ไปถูกับต้นไม้แก้คัน พอครั้งนี้ชนเข้ากับลำต้นอย่างแรงก็ไม่รู้สึกเจ็บ ถึงอย่างไรก็โมโหมากกว่า แรงเยอะจนพอจะทำให้ต้นไม้ต้นนี้หักโค่นแล้ว 


 


 


หมูป่าตัวผู้ร้องอย่างภาคภูมิใจ รู้สึกราวกับตัวเองเป็นหนึ่งในใต้หล้า 


 


 


ตอนนี้มันกลับรู้สึกได้ว่าบนหลังมีบางสิ่งขยับได้ตกลงมาใส่หลัง ของสิ่งนี้มีชีวิต แถมยังใช้กรงเล็บแหลมเกี่ยวขนตรงกระดูกสันหลังไม่ให้ตกลงไป 


 


 


นั่นคือแมวตัวหนึ่ง เมื่อครู่มันหมอบหลบอยู่บนต้นไม้ หลังจากต้นไม้ถูกชนหักก็ตกลงมาบนหลังของหมูป่าพอดี 


 


 


คอของหมูป่าตัวผู้มีเนื้อหนามาก ย่อมหันคอไม่ได้ ถึงหมุนตัวก็มองไม่เห็นว่าอะไรอยู่บนหลังตัวเอง แต่จากกลิ่นของมันก็รู้ว่าเป็นบ๊อบแคทหรือเสือภูเขา เพราะสัตว์ประเภทแมวมีอยู่แค่สองสายพันธุ์ในป่านี้ 


 


 


น้ำหนักและร่างกายของแมวบ้าน บ๊อบแคท และเสือภูเขามีความแตกต่างกัน อยู่ต่อหน้าราชาหมูป่าหนักสี่ร้อยกิโลกรัมตัวนี้แล้วไม่ต่างกัน และมันที่โกรธจนตาเขียว โดนแบบนี้เข้าก็พร้อมระเบิดเต็มที 


 


 


ฝูงหมาป่าจะยังไงก็ช่าง แต่เสือภูเขาจิ๊บจ๊อยกล้าขุดดินบนหัวไท้ส่วยเอี๊ยเหรอ? 


 


 


มันรู้ว่ารูปแบบการจู่โจมของสัตว์ประเภทแมวคือกระโดดใส่หลังแล้วกัดคอ แน่นอนว่ามันไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำได้สำเร็จ ดังนั้นมันจึงวิ่งเร็วอย่างบ้าคลั่ง พุ่งทำลายรั้ว เหยียบย่ำธัญพืชในทุ่งนาจนเละตุ้มเป๊ะ สุดท้ายก็ชนผนังบ้านไม้หลังหนึ่ง รุนแรงจนบ้านไม้พังทลายไปครึ่งหนึ่ง และแมวบนหลังของมันก็ถูกสะบัดกระเด็นไปด้วย 


 


 


ผู้คนในบ้านมองหน้าหมูป่าตัวใหญ่อย่างงุนงง หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ก็ตกใจจนร้องตะโกนเสียงดัง วิ่งหนีกระเจิงกันออกมาทางกำแพงที่แตกออก 


 


 


จากนั้นหมูป่าตัวอื่นก็ใช้หัวชนเข้ามาให้หมู่บ้านอย่างฮึกเหิม พวกมันไม่รู้ว่าทำไมต้องพุ่งเข้ามา แต่อย่างไรก็เสร็จสิ้นไปได้อย่างสบายใจ 


 


 


พวกหมูป่าพุ่งชนหมู่บ้านไปทั่ว ไม่มีใครขวางและไม่มีใครกล้าขวางด้วย 


 


 


ตั้งแต่หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นมา ก็ไม่เคยเกิดเหตุวุ่นวายใหญ่โตแบบนี้มาก่อน 


 


 


แต่นี่เพิ่งเริ่มต้น อีกนานถึงจะจบสิ้น 


 


 


เสียงเพลงความถี่สูงของเซฮวายังคงแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เกินกว่าขอบเขตการได้ยินของหูคนไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้คุมและชาวบ้านที่เหลือจึงรู้สึกสงบลงทันที แต่อาการคลื่นไส้และสายตาพร่าเลือนกลับทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขนาดรู้สึกได้ว่าเลือดไหลจากขมับ รู้สึกเจ็บตุบๆ 


 


 


นี่ก็คือเสียงไพเราะยากจะได้ยินที่ว่า ‘เสียงที่ดังที่สุดก็คือเสียงที่ไม่ได้ยิน’ 


 


 


เปรี๊ยะ 


 


 


เพล้ง 


 


 


กระจกหน้าต่างของบ้านไม้หลังหนึ่งเกิดรอยแตกเล็กๆ เส้นหนึ่ง จากนั้นก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับใยแมงมุม เหมือนมือล่องหนข้างหนึ่งสลักต้นไม้ไร้ใบบนกระจก สุดท้ายก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงดังเพล้ง 


 


 


สำหรับกระจกหินควอตซ์ ความถี่เสียงเกินสองหมื่นเฮิร์ทซ์ก็เกิดการสั่นสะเทือนแล้ว นักร้องเสียงเทอร์เนอร์และโซปราโนจำนวนน้อยถึงจะทำได้ใกล้เคียงกับระดับนั้น ระดับที่แก้วไวน์หรือกระจกบางๆ แตกได้ แต่จากชายหาดถึงหมู่บ้าน เสียงที่สั่นสะเทือนกระจกให้แตกได้ในระยะทางไกลขนาดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้แน่นอน 


 


 


ไม่ใช่แค่หน้าต่างบานนี้ หน้าต่างทุกบานในหมู่บ้านกำลังแตกกระจาย ราวกับโรคระบาดที่แพร่กระจายมาถึงเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องกระเบื้องเคลือบ 


 


 


ผู้คนที่สายตาพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ต่างก็มองด้วยความหวาดกลัว ทั้งที่ไม่ได้เกิดแผ่นดินไหว แต่น้ำในแก้วและหม้อกลับกระเพื่อมเป็นชั้นๆ ราวกับตั้งอยู่ในเตาไมโครเวฟ 


 


 


พวกเขาไม่แน่ใจแล้วว่านี่เป็นจินตนาการหรือเรื่องจริง รู้แค่ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป สมองของทุกคนคงจะต้องถูกต้มสุกแน่ๆ 


 


 


ไม่รู้ว่าใครก้าวขาวิ่งก่อน อาจจะเป็นชาวนา หรืออาจจะเป็นผู้คุม คลื่นเสียงความถี่สูงใกล้เคียงกับคลื่นไมโครเวฟทำให้สมองที่ถูกล้างสมองของพวกเขากลับสู่สภาพเดิม อาศัยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดมาขับเคลื่อนร่างกาย และสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดบอกพวกเขาว่า…วิ่งเร็ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่ตายลูกเดียว 


 


 


พอมีคนหนึ่งวิ่งนำ คนอื่นๆ ก็เฮโลวิ่งออกไปนอกหมู่บ้านทันที ในหัวของพวกเขาเติมอะไรไปไม่ได้อีกแล้ว มีแค่คำเดียวคือ ‘วิ่ง’ 


 


 


ผู้คุมจำนวนน้อยที่จิตใจแข็งแกร่ง หรือถูกล้างสมองมามากต่างก็พยายามขัดขวางเพื่อนร่วมงานที่กำลังหนี ถึงขนาดยกปืนเทเซอร์ขู่ด้วย แต่ไม่นานก็ถูกคลื่นชาวบ้านและหมูป่าพุ่งเข้าชน จนล้มและถูกเหยียบซ้ำอยู่หลายครั้ง 


 


 


ความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ไม่อาจหยุดยั้งอะไรได้อีกแล้ว ถ้านี่เป็นสถานที่ที่มีประชากรรวมกันหนาแน่นกว่านี้ อย่างเช่น สนามกีฬา ก็คงจะเกิดโศกนาฏกรรมเหยียบย่ำกันเป็นวงกว้างแล้ว 


 


 


อีกสามทิศทางนอกเหนือจากวิ่งไปทางชายหาด ผู้คนต่างก็วิ่งหน้าตั้งเข้าไปในป่า วิ่งมั่วจนไม่สนอะไรทั้งสิ้น 


 


 


กระทั่งวิ่งจนหายใจไม่ทัน วิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ คนจำนวนหนึ่งถึงจะหยุดลง จับต้นไม้หอบหายใจเหมือนกับใกล้ตาย ก่อนจะหันหลังไปมองพร้อมใบหน้าตกใจกลัว 


 


 


พวกเขาวิ่งมานานมากแล้ว คิดว่าตัวเองวิ่งออกมาไกลทีเดียว แต่อยู่ในป่ามืดๆ แล้วยังมองเห็นแสงไฟบนเนินเขาเล็กได้เพียงรางๆ 


 


 


เสียงน่ากลัวนั่นหยุดแล้วเหรอ? 


 


 


เนื่องจากต่อมาไม่ได้ยินเสียงแล้ว พวกเขาจึงตัดสินไม่ได้ว่าเสียงหยุดแล้วหรือยัง แผนการตัดสินเพียงอย่างเดียวก็คือวิ่งกลับไปลองดูด้วยตาตัวเอง…แต่ใครจะยอมทำแบบนั้นกันล่ะ 


 


 


ยังมีอีกหลายคนที่เหลือแรงเยอะ พวกเขาวิ่งเข้าไปในป่าลึกรวดเดียว แม้แต่แสงไฟก็มองไม่เห็นแล้ว บนท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ รอบด้านมืดมิด แม้แต่ทิศทางก็ยังไม่รู้ แล้วจะกลับไปอีกเหรอ? คงทำได้แค่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้หรือก่อกองไฟหลบหลีกสัตว์ป่า แล้วถึงกลางวันค่อยคิดหาทาง  

 

 


ตอนที่ 1598 บุญคุณความแค้นส่วนตัว

 

หมู่บ้านที่มีคนเดินขวักไขว่เมื่อครู่ ตอนนี้กลายเป็นที่ว่างไม่แตกต่างอะไรกับหมู่บ้านอินเดียแดง คนส่วนใหญ่วิ่งหนีไปหมดแล้ว มีแค่ผู้คุมที่ถูกเหยียบหลังจนตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ได้จริงๆ สองสามคน และฝูงหมูป่าที่กำลังกินอย่างตะกละตะกลามอยู่ในทุ่งนา 


 


 


ฝูงหมูป่าที่ระบายอารมณ์ไปแล้วรอบหนึ่งสงบลงเล็กน้อย เหตุผลหลักคือคลื่นเสียงความถี่สูงที่วนเวียนอยู่ข้างหูพวกมันตลอดค่อยๆ หยุดแล้ว 


 


 


เซฮวาได้รับสัญญาณให้หยุดร้องเพลง นั่นก็คือสัญญาณไฟจากไฟฉายของจางจื่ออัน เป็นสัญญาณที่ตกลงกันไว้แล้วก่อนหน้านี้ แค่เปิดปิดไฟฉายสองสามเท่านั้น เพราะซับซ้อนกว่านี้เธอก็ดูไม่รู้เรื่อง 


 


 


เขาหมอบสังเกตสถานการณ์อยู่บนแหลมตลอด ที่นี่ทำมุมแหลมเก้าสิบองศากับศูนย์กลางคลื่นเสียง ได้รับผลกระทบน้อยมาก ถึงอย่างไรยิ่งคลื่นเสียงความถี่สูงเท่าไร การกระจุกตัวก็จะยิ่งดี แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นแก้วหูของเขาก็ยังปวดตุบๆ ราวกับมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปแทงให้คัน จนอยากจะใช้นิ้วก้อยเข้าไปเกาสักครั้ง 


 


 


เขาไม่ยอมเจ็บตัวทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด ถ้าพวกชาวบ้านถูกล้างสมองหนักเกินไป แล้วอยู่ในหมู่บ้านไม่ยอมไปไหนล่ะจะทำอย่างไร อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว ทำได้แค่ให้เซฮวาหยุดเช่นกัน แล้วค่อยไปคิดหาทางอื่นแทน ไม่งั้นสมองของพวกเขาจะไม่ถูกย่างสุกหรือเส้นเลือดในสมองแตกตายเหรอ? อีกอย่างเสียงเพลงของเซฮวาอาจจะไม่ได้ถึงความถี่ระดับคลื่นไมโครเวฟจริงๆ แต่เขาไม่แน่ใจ เซฮวาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน 


 


 


ถ้าถึงความถี่ระดับคลื่นไมโครเวฟได้จริงๆ…ก็ขายเตาไมโครเวฟที่บ้านเป็นของมือสองได้ใช่ไหม? 


 


 


แม้เสียงเพลงของเซฮวาจะหยุดลงแล้ว แต่คนที่วิ่งไปก็ไม่ได้กลับมา หนึ่งเพราะพวกเขาจิตเตลิดจนวิ่งไปไกลแล้ว สองเพราะพวกเขาไม่มีทางแน่ใจได้ว่าเสียงเพลงหยุดจริงๆ แล้วหรือเปล่า 


 


 


อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ยิ่งคนเกะกะน้อยก็ยิ่งดี 


 


 


หลังจากวุ่นวายมายกหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะพวกหมูป่าที่พุ่งชนหมู่บ้าน พวกมันทำบ้านเสียหายไปหลายหลัง บ้านพวกนี้สร้างมาจากไม้ซุง แถมตอนนี้ก็เป็นเวลากลางคืน พวกชาวบ้านอาศัยแสงจากเทียนและตะเกียงน้ำมันเท่านั้น นี่ทำให้เกิดปัญหาหนึ่ง คลื่นเสียงความถี่สูงส่งผลกระทบถึงสติปัญญาของพวกชาวบ้านกับผู้คุมแล้ว ตอนที่วิ่งไม่สนใจทิศทาง ไม่ได้สังเกตว่าเทียนสองสามเล่มและตะเกียงน้ำมันสองสามอันล้มคว่ำระหว่างที่ชุลมุน 


 


 


เทียนและตะเกียงน้ำมันจุดไฟเผาผ้าปูโต๊ะก่อน แล้วลามไปเผาโต๊ะกับเก้าอี้ 


 


 


บ้าน รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้ในบ้าน ล้วนแล้วแต่เป็นวัสดุติดไฟง่ายโดยธรรมชาติ 


 


 


ถ้ามีคนอยู่ในหมู่บ้าน ก็ยังพอจะควบคุมไฟในตอนนี้ไว้ได้ เพราะแม้บ้านที่ทำจากไม้จะติดไฟง่าย แต่เมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างในยุคปัจจุบัน กลับขาดวัตถุกระจายควันพิษอย่างน้ำมันเบนซิน แก๊ส แอลกอฮอล์ พลาสติกซึ่งเป็นวัตถุไวไฟ ฉะนั้นหากจะดับไฟก็ค่อนข้างง่าย 


 


 


น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่หนีไปจนเกลี้ยงแล้ว 


 


 


ตอนที่จางจื่ออันมองผ่านกล้องส่องทางไกลเห็นเปลวไฟโหมขึ้นจากหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ในใจก็หนาวสะท้านขึ้นมา เขาไม่ใช่ขงเบ้งที่คาดการณ์เรื่องราวได้ดังเทพ เรื่องไฟไหม้ไม่ได้อยู่ในแผนการของเขาเลย 


 


 


แหลมทางเหนือเป็นเนินเขาและที่สูง จากระดับความสูงแล้วแบ่งออกเป็นสามประเภทได้คร่าวๆ ต่ำที่สุดคือทุ่งนา เพราะทุ่งหน้าต้องเพาะปลูกบนพื้นดิน ไม่ใช่บนก้อนหิน ที่ราบเรียบสูงขึ้นมาหน่อยคือบ้านไม้ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหมู่บ้าน พวกชาวนาและผู้คุมส่วนใหญ่ที่กำลังสับสนก็อยู่ที่นี่ ภูมิประเทศสูงกว่าที่ราบ สามารถเลี่ยงกระแสน้ำทะเลไหลย้อนตอนเกิดไต้ฝุ่นกับสึนามิ ส่วนที่สูงกว่านั้นอีก เนินเขาสูงชันขึ้น ทางเดินคดเคี้ยวเล็กๆ เชื่อมไปถึงบ้านหลังใหญ่ที่อยู่สูงกว่านั้น แม้จะเทียบไม่ได้กับปราสาทโบราณแบบยุโรป แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันเท่าไร ตรงนั้นถึงจะเป็นสถานที่พักอาศัยของคนระดับสูง มองจากข้างบนลงไปข้างล่างแล้วเห็นทั้งอ่าว รวมถึงป่าละแวกนั้น 


 


 


ตั้งแต่โบราณมา พวกคนใหญ่คนโตมักจะอยู่บนที่สูงเสมอ เรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย 


 


 


ตรงแหลมที่จางจื่ออันอยู่ได้รับผลกระทบจากคลื่นความถี่สูงน้อยมาก แต่บ้านบนที่สูงทางเหนือของแหลมได้รับผลกระทบน้อยยิ่งกว่า ตอนที่พวกคนใหญ่คนโตจัดปาร์ตี้และพูดคุยกันอย่างสนุกสนานย่อมไม่ได้ยินเสียงเพลงน่ากลัวจากท้องทะเล 


 


 


ผู้คุมที่รายงานข่าววิ่งหอบแฮกๆ มาตามทางเดินจนถึงบ้านหลังใหญ่ จากนั้นก็เข้าไปรายงานให้ผู้คุมของบ้านหลังใหญ่ทราบ เพราะหลี่ผีเท่อสั่งลงมาแล้ว คืนนี้มีแขกสำคัญ ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่ารบกวน 


 


 


ผู้คุมของบ้านหลังใหญ่ไม่กล้ายืนยัน ว่าเสียงเพลงของผีสาวที่ลอยมาจากทะเลนับเป็นเรื่องสำคัญหรือเปล่า ดังนั้นจึงขวางคนส่งข่าวไม่ให้เข้าไป ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง ผู้คุมคนที่สองก็แทบจะเกลือกกลิ้งวิ่งขึ้นมา บอกว่าคนกลุ่มใหญ่ที่ไปสำราจชายทะเลไม่ได้กลับขึ้นฝั่ง เหมือนจะหายไปทั้งกลุ่ม คราวนี้ผู้คุมของบ้านหลังใหญ่ถึงจะรู้สึกไม่เข้าท่า จึงรีบวิ่งเข้าไปรายงาน 


 


 


ในห้องจัดเลี้ยงหรูหราของบ้านหลังใหญ่ หลี่ผีเท่อกำลังยืนดูอยู่ด้วยความพึงพอใจ ถือแก้วไวน์พร้อมใบหน้าแดงระเรื่อ กำลังจะชนและดื่มหมดแก้วกับพวกแขกผู้มีเกียรติ อยู่ๆ กลับมีผู้คุมผลักประตูเข้ามาขัดจังหวะ 


 


 


ผู้คุมกระซิบข้างหูหลี่ผีเท่อสองสามคำด้วยใบหน้าซีดเผือด เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังคร่าวๆ 


 


 


หลี่ผีเท่อได้ยินแล้วก็ต้องตะลึง แล้วถามเสียงเบา “นายพูดจริงเหรอ” 


 


 


ผู้คุมยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้า เรื่องนี้ใครจะกล้าพูดมั่วกัน 


 


 


หลี่ผีเท่อยังสวมชุดสูทสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ ตรงคอเสื้อผูกผ้าพันคอผ้าไหมสีสันสดใส แค่ไม่ได้ใส่แว่นตากันแดดสีชาเหมือนตอนกลางวัน 


 


 


เขายังใจเย็นอยู่มาก ข้างล่างโกลาหลไปหมดแท้ๆ เขากลับไม่ด่วนตัดสินใจไปตรวจสอบสถานการณ์ เพียงครุ่นคิดชั่วครู่ พยายามวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าให้ชัดเจน 


 


 


เพลงผีในทะเลและผู้คุมที่หายไป นี่เป็นการลอบจู่โจมเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่รู้ว่าใครมีพลังแกร่งกล้าขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้คนยี่สิบถึงสามสิบคนหายไปได้อย่างไร้ร่องรอย 


 


 


ตำรวจ? 


 


 


เอฟบีไอ? 


 


 


กองทัพทหาร? 


 


 


ไม่ใช่ ถ้าเป็นคนที่ยึดปฏิบัติตามกฎหมายพวกนี้มาถึงที่เกิดเหตุ ไม่จำเป็นต้องใช้ลูกไม้เพลงผีแบบนี้เลย ถ้าพวกเขามีหลักฐานทำผิดกฎหมายตามจริง ก็บรรทุกหน่วยพิเศษใส่รถหุ้มเกราะหรือเฮลิคอปเตอร์บุกเข้ามาได้เลย ถึงแม้กำลังอาวุธของเขาประสิทธิภาพดีแค่ไหน ก็ต่อต้านกำลังของฝ่ายราชการไม่ได้ 


 


 


ถ้าพวกเขาไม่มีหลักฐานตามความจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมาถึงที่เกิดเหตุ ถึงอย่างไรเขาก็นับเป็นบุคคลมีหน้ามีตาในสังคม และมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ในท้องถิ่น 


 


 


ฉะนั้น นี่จะต้องเป็นความแค้นส่วนตัวแน่นอน 


 


 


พูดถึงความแค้นส่วนตัว คนที่เขานึกถึงอันดับแรกคือจางจื่ออัน 


 


 


เขาไม่แน่ใจว่าจางจื่ออันทำได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าจะทำลายระบบไฟฟ้าของโรงฆ่าสัตว์ แล้วยังเดินเตร่เข้าไปขโมยโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งออกมา สุดท้ายยังเผาทำลายอุปกรณ์สำคัญของโรงฆ่าสัตว์จนหมดอีก…หลังจากเหตุการณ์นั้นก็มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุปกรณ์มาประเมินความเสียหาย จากการตรวจสอบพบว่าอุปกรณ์พวกนี้เสียหายตั้งแต่ก่อนไฟไหม้แล้ว ถูกกระแสไฟฟ้าสูงทำลาย แม้แต่หม้อแปลงไฟฟ้าและเครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าก็ไม่ได้แสดงผลที่สอดคล้องกัน ราวกับถูก…ฟ้าผ่า 


 


 


หลี่ผีเท่อแปลกใจมาก เขารู้ว่าป่าเป็นพื้นที่เสี่ยงฟ้าผ่าสูง จึงตั้งใจติดตั้งสายล่อฟ้าไว้บนอาคารสูงทุกหลัง แล้วสายล่อฟ้าพวกนี้จะเสียพร้อมกันได้อย่างไรล่ะ? 


 


 


หลักการและโครงสร้างของสายล่อฟ้านั้นเรียบง่ายมาก ตั้งแต่ค้นพบจนมาถึงปัจจุบันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไร นอกเสียจากวงจรดึงดูดไฟฟ้าของสายล่อฟ้าพวกนี้ขาดตามหลักฟิสิกส์ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเสียพร้อมกัน 


 


 


หลังจากนั้นเขาก็ตรวจสอบสายล่อฟ้าทุกอัน แต่สายล่อฟ้าทำงานได้ปกติทั้งหมด ไม่มีร่องรอยเสียหายใดๆ เลย  

 

 


ตอนที่ 1599 มิตรภาพของแขกและเจ้าภาพ

 

หลีผีเท่อไม่เข้าใจว่ารั้วไฟฟ้าเสียหายได้อย่างไร แต่เขาไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ จางจื่ออันปรากฏตัวพร้อมกับช่วงที่รั้วไฟฟ้าตัดไฟพอดี แถมยังแอบเข้าไปขโมยโน้ตบุ๊กในห้องสำนักงาน จะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร


 


 


โรงฆ่าสัตว์เป็นหนึ่งส่วนสำคัญในแผนการของเขา สิ่งอื่นแทนที่ได้ทั้งหมด สิ่งเดียวที่ไม่สามารถแทนที่ได้ ก็คือไม่สามารถกลับสู่วงโคจรเดิมได้ภายในเวลาสั้นๆ


 


 


บุญคุณความแค้นส่วนตัวของเขากับจางจื่ออันเริ่มต้นที่ห้องสุสานในมหาพีระมิดแห่งกีซาของอียิปต์ ตอนนั้นเขาแอบรู้สึกว่าคนคนนี้น่าสนใจ และอยากดึงมาเป็นพวก แต่น่าเสียดายที่คนคนนี้โง่เง่า เขาจึงเลิกสนใจไป ต่อมาเพราะวาสนาตรงกันถึงได้ร่วมเดินทางไปตามหาพีระมิดสีทองที่สาปสูญ สุดท้ายเขากับทีมของเขาเจออุปสรรคแปลกๆ ตอนนั้นเขาก็สงสัยเรื่องประหลาดที่ซ่อนอยู่ในนั้น


 


 


ครั้งนี้บังเอิญมาพบกันที่ซานฟรานซิสโก แต่น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ


 


 


เขาสงสัยมากว่าทำไมจางจื่ออันคนนี้จัดการผู้คุมมากมายขนาดนั้นได้ หรือว่าปืนเทเซอร์ของพวกผู้คุมจะใช้ไม่ได้?


 


 


สรุปว่าเรื่องจางจื่ออันลึกลับซับซ้อนเกินไปแล้ว ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้เสมอ นี่เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้


 


 


สายตาของหลี่ผีเท่อค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเส้น เงาของจางจื่ออันปรากฏตรงหน้าราวกับเข็มทิ่มเข้ามาในดวงตา


 


 


ครั้งนี้ต้องจัดการบุญคุณความแค้นยาวนานให้จบสิ้น ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาไม่ถูกถ่วงเวลาจนตายก็คงโมโหจนตาย


 


 


เขากระแอมครั้งหนึ่ง โบกมือให้ผู้คุมถอยไป ความหมายคือเขาจะไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง


 


 


หลังจากผู้คุมออกไป เขาก็วางแก้วไวน์แดงเต็มแก้วกลับไปบนโต๊ะ “ทุกท่าน!”


 


 


เจ้าภาพกับแขกมีความต่างกัน พวกแขกผู้มีเกียรติล้วนเป็นพวกสง่าผ่าเผยและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เห็นผู้คุมแอบรายงานเรื่องส่วนตัวกับเจ้าของบ้าน แน่นอนว่าคงจะไม่ดีแน่ถ้าแอบฟัง จึงทำเป็นพูดคุยกัน พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นระลอก


 


 


หลี่ผีเท่อที่เป็นเจ้าภาพพูดขึ้นมาแล้ว พวกแขกผู้มีเกียรติถึงจะวางแก้วไวน์แดงลง ทำหน้าตาจริงจังขึ้นมา มองหน้าหลี่ผีเท่อกันโดยพร้อมเพรียง


 


 


ข้างๆ โต๊ะจัดเลี้ยงตัวยาวปูผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาดมีแขกนั่งอยู่น้อยมาก ห้องจัดเลี้ยงว่างมาก ทั้งยังเงียบมากด้วย


 


 


“ข้างล่างเกิดเรื่องนิดหน่อย” หลี่ผีเท่อยังยิ้มแย้มเหมือนเดิม “มีคนก่อความวุ่นวาย แต่ผู้คุมไม่ได้เรื่องพวกนั้นจัดการไม่ได้ ผมจึงต้องขอตัวชั่วคราว เพื่อลงไปจัดการสักหน่อย”


 


 


น้ำเสียงของเขาสบายมาก แต่พวกแขกไม่ได้หลอกง่าย พวกเขาสังเกตเห็นสีหน้ากังวลของผู้คุมหลังจากรายงานข่าวให้หลี่ผีเท่อฟัง ก็รู้ว่าเรื่องไม่ได้ง่ายเหมือนที่หลีผีเท่อแสดงออก


 


 


“พีท ฉันว่าเธอบอกความจริงมาก็ได้นะ” ชายชราไว้หนวดสีดอกเลาสวมชุดคลุมยาวคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างใจเย็น “แม้พวกเราจะเห็นต่างกัน เคารพพระผู้เป็นเจ้าคนละองค์กัน และโต้เถียงเรื่องนี้กันมาหลายครั้ง แต่พวกเราเป็นพันธมิตรกัน ความจริงเรื่องนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เป้าหมายของพวกเราก็คือทำลายชาวอเมริกาที่โง่เขลา เรื่องของเธอก็คือเรื่องของพวกเรา ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็อย่าเกรงใจ ขอแค่เอ่ยปากบอกเท่านั้น”


 


 


ภาษาอังกฤษของชายชราไม่ใช่สำเนียงแท้ มีสำเนียงท้องถิ่นแอฟริกันแฝงอยู่เล็กน้อย บวกกับสีผิวดำมืด เหมือนจะเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง เขาอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ยังดึงดูดสายตาคนได้ไม่เท่าเหยี่ยวเพเรกรินที่ยืนอยู่บนแขนของเขา


 


 


“ถูกต้อง! พีท นายก็ได้ยินอาจารย์พูดแล้ว พูดมาเลยไม่ต้องเกรงใจ! ใครมาก่อกวนล่ะ ใช่คนเดียวกับที่ทำลายโรงฆ่าสัตว์หรือเปล่า”


 


 


ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมแบบเดียวกันอีกคนตะโกนเสียงดังลั่น


 


 


ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี ไว้หนวดเคราและจอนผมดกหนา รูปร่างอ้วนเตี้ย พุงพลุ้ย แต่เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว นับเป็นคนอ้วนที่ปราดเปรียวคนหนึ่ง


 


 


ชายอ้วนวัยกลางคนกับชายชรามีสีผิวใกล้เคียงกัน พูดภาษาอังกฤษติดสำเนียงแอฟริกันเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันสุดขั้ว เขาวางโทรศัพท์มือถือฝังทองแท้ลงบนโต๊ะเสียงดังปังอย่างโมโห แล้วลุกขึ้นมาในทันใด เกือบจะชนเข้ากับแก้วไวน์บนโต๊ะแล้ว


 


 


แขกคนที่สามกลับไม่แสดงท่าทีอะไร จิบไวน์แดงคำหนึ่งอย่างสงบ


 


 


ด้วยเสียกำลังผู้คุมส่วนใหญ่ไปแล้ว ตอนนี้หลีผีเท่อจึงรู้สึกถึงอุปสรรคที่ขัดขวางทางของเขา ไปไกล่เกลี่ยในต่างถิ่นก็เหมือนน้ำไกลดับไฟใกล้ไม่ได้ และเขายังต้องการความช่วยเหลือจากพลังเหนือธรรมชาติ ฉะนั้นตอนแรกเขาจึงคิดจะบอกให้ถอยก่อนเตรียมบุก ไม่ได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ แต่รอให้พวกเขาเสนอความช่วยเหลือเอง


 


 


“เฮ้อ! ในเมื่อทุกคนมีน้ำใจช่วยเหลือ งั้นก็ยากจะปฏิเสธแล้ว ผมก็จะพูดตามความจริง” หลีผีเท่อถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ถ้าผมเดาไม่ผิด จะต้องเป็นคนที่ทำลายโรงฆ่าสัตว์แน่นอน! ทั้งที่ผมใจกว้างกับเขาขนาดนี้ แต่เขากลับตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ครั้งก่อนผมอาจจะเปิดโลงศพหินของพระนางคลีโอพัตรา แล้วเอาเครื่องรางดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ตออกมาได้ก็ได้”


 


 


ชายชราตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ “สิ่งของนอกรีตแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร”


 


 


เหยี่ยวเพเรกรินบนแขนของเขาสบตาที่โกรธเคืองของหลี่ผีเท่อตามการเคลื่อนไหวของเขา


 


 


หลี่ผีเท่อหัวเราะ “คุณต้องดูถูกอยู่แล้ว แต่ดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ตมีราคาแพงมาก ผมอ่านวรรณกรรมโบราณมาแล้วไม่น้อย รู้สึกว่าเครื่องรางนี้อาจจะยังมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญมากกว่านั้น…เผลอๆ อาจจะมีประโยชน์กับคนอื่นด้วย”


 


 


ขณะพูด เขามองแขกคนที่สามครั้งหนึ่ง ฝ่ายหลังยังคงไม่มีท่าทีอะไร แต่ก็ไม่ได้จิบไวน์ต่อแล้ว


 


 


ชายชราครุ่นคิดเล็กน้อย “เธอกล้ายืนยันไหมว่าในโลงศพหินมีเครื่องรางดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ต?”


 


 


“ไม่แน่ใจ” หลีผีเท่อตอบอย่างไม่ปิดบัง “แม้แต่ในโลงศพหินมีมัมมี่ของพระนางคลีโอพัตราหรือเปล่าก็ยังสงสัยอยู่เลย แต่นี่เป็นสถานที่ซ่อนเครื่องรางดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ตที่สุดท้ายที่ผมนึกออก…”


 


 


“มัมมี่ของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น แล้วจะอยู่ที่ไหนได้อีก เธอคิดมากเกินไปแล้ว ต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ” น้ำเสียงของชายชราไม่ค่อยแน่ใจกับการตัดสินของหลี่ผีเท่อนัก จึงส่ายหน้าเล็กน้อย


 


 


หลี่ผีเท่อไม่ได้วุ่นวายกับปัญหานี้มาก ขั้นตอนการตายของพระนางคลีโอพัตราเป็นแค่ประโยคหนึ่งในหน้าหนังสือเล่มหนึ่ง มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าในหนังสือมีคนเติมแต่งเพิ่มหรือเปล่า…แต่นั่นแทบจะเป็นเรื่องที่แน่นอน


 


 


นักเขียนหนังสือทำอย่างนี้ อาศัยจินตนาการบรรยายออกมาน่าจะมีความลับหรือเรื่องลี้ลับที่อาจจะไม่มีคนอื่นรู้ แต่นักวิชาการประวัติศาสตร์ยุคหลังทำได้แค่ยอมรับเพราะไม่มีการอ้างอิงอื่นหรือไม่มีการอ้างอิงอื่นที่น่าเชื่อถือมากกว่า จึงยึดถือตามนั้นเป็นมาตรฐาน


 


 


เขาถอนหายใจ “น่าเสียดาย ตอนนั้นเกิดอุบัติเหตุที่อธิบายได้ยากเล็กน้อย บวกกับการก่อกวนของคนคนนั้น ผมเพิ่งเหยียบเข้าไปในพีระมิดสีทองก็ถูกบีบให้ถอยกลับ แม้แต่ห้องสุสานราชินีก็ยังไปไม่ถึง ไม่ได้เห็นโลงศพหินของพระนางคลีโอพัตราด้วยตาตัวเอง แน่นอนว่าไม่ได้เปิดโลงศพหินด้วยมือตัวเอง ย่อมไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพระนางคลีโอพัตรา น่าเสียดายมากจริงๆ…สองสามวันก่อน ทีมเล็กที่ผมส่งกลับไปทางเดิม กลับหาสถานที่ที่เคยไปไม่เจอ ตามรายงานบอกว่าภูมิประเทศตรงนั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉะนั้นผมจึงหวังว่าดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ตจะไม่ได้อยู่ในโลงศพหิน เพราะอย่างนี้อาจจะหามันเจอเข้าสักวัน…”


 


 


“เอาล่ะๆ! ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านายกับคนคนนั้นมีความแค้นฝังลึกกันมามาก นายเลยต้องเสียหน้าหลายครั้ง พวกเราก็จะช่วยนายจัดการเขา เอาให้สิ้นซากเป็นศพลอยอืดในทะเลไปเลย!” ชายอ้วนวัยกลางคนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง 

 

 


ตอนที่ 1600 เข้าถ้ำเสือ

 

จางจื่ออันวางกล้องส่องทางไกลลง ตอนนี้ไม่ต้องใช้กล้องส่องทางไกลก็มองเห็นไฟไหม้ในหมู่บ้านได้


 


 


เนื่องจากบ้านและเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้เหมือนกันทั้งหมด ขอแค่มีห้องหนึ่งไฟไหม้ เปลวไฟจะลุกลามทั้งบ้านเร็วมาก และบ้านส่วนใหญ่ที่นี่เป็นบ้านเรียงกันเป็นแถวยาว พอไฟติดขึ้นมาก็จะลุกลามกันไปหลายหลัง


 


 


แม้วันนี้จะไม่มีลมแรง แต่ขอแค่อยู่ริมทะเล หรือมีลมทะเลสักเล็กน้อย ลมทะเลจะยิ่งพัดให้ไฟโหมขึ้น


 


 


ถ้าพูดให้ดีๆ บ้านไม้พวกนี้ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ข้างในไม่มีค่าเท่าไร ไหม้ก็ไหม้ไปสิ อย่างมากก็แค่ประกอบขึ้นมาใหม่อีก กลัวแค่ว่าหากเกิดไฟป่าจะแย่เอา


 


 


บ้านหลังใหญ่บนที่สูงของแหลม ประตูอยู่อีกด้านหนึ่งของบ้าน จากแหลมทางใต้ที่จางจื่ออันอยู่มองเห็นได้แค่เงาของบ้านเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่แน่ใจจำนวนบอดี้การ์ดข้างในบ้าน และไม่รู้ว่าตอนนี้ในบ้านมีคนอยู่เท่าไร


 


 


เขารอครู่หนึ่งแล้ว และตัดสินใจไม่รอต่อไปอีก เพราะอีกฝ่ายเหมือนจะไม่สนใจที่บ้านไม้ถูกไฟไหม้เลย เพราะไม่เห็นมีใครมาช่วยดับไฟ แต่เขาอยากจะถือโอกาสนี้ไปค้นหาเสบียงอาหารในบ้านไม้ที่ยังไม่ถูกไฟไหม้


 


 


เสบียงอาหารที่เขานำมาเหลือไม่มากแล้ว ไม่พอให้เขากับเมแกนรอดออกจากป่าไปได้ แม้เขาจะเชื่อว่าด้านนอกยังมีคุณนายมิลเลอร์พยายามช่วยอย่างสุดชีวิต และเชื่อว่าเพื่อนๆ ของเมแกนก็กำลังพยายามกันทุกคน รวมถึงเชื่อมั่นมากว่าเสียวเสวี่ยไม่ได้ลืมเรื่องที่เขาไหว้วานให้แจ้งตำรวจ แต่พูดยังไงดีล่ะ ฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่คนอื่นไม่ได้ คนต้องพึ่งพาตัวเองเสมอ รอเฉยๆ ให้คนอื่นมาช่วยไม่ได้ ถ้าความช่วยเหลือไม่มาสักทีล่ะ หรือว่าจะรออยู่ที่นี่ทั้งชีวิต?


 


 


เหตุผลที่ความช่วยเหลือมาไม่ได้แล้วมีเยอะมาก อย่างเช่น เป็นช่วงพายุไต้ฝุ่นฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง หรืออาจจะเป็นเพราะในป่าเกิดภูเขาไฟปะทุบ่อยครั้ง ไฟไหม้และน้ำท่วมอย่างรุนแรง อาจจะขัดขวางเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือจากนอกป่า หรือหาที่นี่ไม่เจอสักทีเพราะป่ากว้างใหญ่เกินไป


 


 


พอคิดว่าเมแกนอาจจะต้องใช้เวลาสองสามวันถึงจะฟื้นพละกำลังกลับมาได้ จางจื่ออันก็ไม่คิดจะนั่งรอให้เสียเวลาเปล่า แต่ถือโอกาสไปเก็บเสบียงตอนที่ไฟยังไม่ลุกลามทั่วทั้งหมู่บ้าน


 


 


เขาใช้ไฟฉายทำสัญญาณบอกเซฮวาตามที่ตกลงกันไว้ บ่งบอกว่าเขาจะเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ให้เซฮวาหยุดร้องเพลงได้


 


 


ยิ่งเสียงมีความถี่สูง พลังทำลายล้างก็ยิ่งมาก ขณะที่เซฮวาร้องเพลงอย่างต่อเนื่องก็เสียพลังไปมากแล้ว ตอนนี้ถึงให้เธอร้องอีก เธอก็คงจะร้องไม่ไหวแล้ว


 


 


เขาใช้ทั้งมือและเท้าปีนลงจากแหลม คลำทางบนกองก้อนปีนลงมาอันตรายกว่าตอนปีนขึ้น เหยียบพลาดก้าวหนึ่งอาจถึงขั้นคอหักได้


 


 


พอกลับมาถึงที่ราบ เขาก็เรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงที่กำลังง่วงเหงาหาวนอนว่า “ไปเถอะ ตอนผ่านหมู่บ้านต้องระวังแมวที่เมแกนบอกเอาไว้ด้วย ฉันไม่แน่ใจว่าพวกมันตกใจหมูป่าจนหนีไปแล้วหรือยัง”


 


 


เขาไม่ได้ข้ามแหลมไป เพราะอีกด้านของแหลมสูงชันมาก แต่ข้ามแหลมก็อ้อมไปที่ป่านั้นได้ ลดความยุ่งยากไปได้เยอะมาก


 


 


พอฟีน่าได้ยินก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา พูดอย่างเกลียดชังว่า “แต่ข้าหวังว่าพวกมันจะยังอยู่ สำหรับพวกเดนมนุษย์ที่ทำลายชื่อเสียงของเผ่าแมว ข้าจำเป็นต้องลงโทษให้สาหัส!”


 


 


ที่มันโมโหไม่ใช่เรื่องอื่น แต่โมโหคนที่ใช้แมวพวกนั้นเป็นเป้ากระสุนปืนใหญ่ หรือใช้พวกมันเป็นต้นตอโรคติดต่อ เรื่องนี้ทำให้ความอดทนของมันมาถึงจุดต่ำสุด ถึงแม้อยู่ในยุคของมัน ก็มีเพียงคนสารเลวต่ำช้าถึงจะทำอย่างนี้ เช่น โยนหนูน่ารังเกียจเข้ามาในกำแพงเมืองของศัตรู ให้ทั้งชาย หญิง คนแก่ และเด็กในเมืองติดเชื้อโรคตาย ทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับนักฆ่าที่ควรรับโทษตายเป็นหมื่นครั้ง


 


 


อีกอย่าง ให้แมวบ้านช่วยเหลือตัวเองจะสะดวกกว่า ดีกว่าทาสรับใช้โง่งมอย่างจางจื่ออันสินะ? มันรู้ดีว่าเป็นอย่างนั้น กลับไม่ได้ทำอย่างนี้ แต่ขึ้นเขาลงห้วยมากับจางจื่ออันตลอดทาง เขาเหนื่อยยากแค่ไหน ความเหนื่อยยากของมันก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเขาหรอก


 


 


ลำบากมากจริงๆ แม้แต่มันก็ได้ลิ้มรสความลำบากแล้ว


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าแมวมีอำนาจพาแมวเข้ามามากมายขนาดนั้น คิดดูแล้วมีลูกสมุนล้อมหน้า ล้อมหลังเต็มไปหมด มีความยิ่งใหญ่สง่างามอย่างยิ่ง ถ้าอยู่ในยุคโบราณคืออะไร แย่งอำนาจน่ะสิ! ไม่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ! ต้องฆ่าตัดหัว!


 


 


ฟีน่าอัดอั้นไฟโกรธไว้ในใจนานแล้ว และเกิดจิตสังหารที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้บงการหลังฉากทำ อย่างไรก็ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด!


 


 


“ใจเย็นๆ! อย่าใจร้อนเกินไป ดูถูกศัตรูบนยุทธศาสตร์ ให้สำคัญศัตรูบนกลยุทธ์” จางจื่ออันแนะนำ


 


 


ฟีน่าร้องเฮอะอย่างเยือกเย็น เห็นชัดว่าฟังไม่เข้าหูโดยสิ้นเชิง


 


 


“เมี๊ยวๆๆ! ฝ่าบาทออกรบด้วยตนเอง จะต้องนำชัยมาสู่เผ่าแมวเป็นแน่!” เสวี่ยซือจื่อเห็นเขาเสียหน้า จึงประจบอย่างไม่เสียโอกาส


 


 


ฟีน่าไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจเห็นด้วยกับการสรรเสริญของเสวี่ยซือจื่ออย่างมาก


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงตามจางจื่ออันไปหาเส้นทางเล็กๆ ที่หมูป่าเหยียบไปมา ทะลุป่าไปตามเส้นทางนี้ก็จะถึงทุ่งนาได้


 


 


ฟราเทอร์เตือนว่า “ทุกท่านต้องระวังอย่างยิ่ง แมวพวกนี้ประหลาดมาก เป็นไปได้ว่าจะซ่อนตัวอยู่ในป่า”


 


 


“เผชิญหน้าความกลัวด้วยความกล้า แล้วความกลัวจะพ่ายแพ้ไปเอง! เหมียวเขาสิสมาชิกฝ่ายขวาทั้งหมดเป็นเสือกระดาษ* ทั้งนั้น!” วลาดิเมียร์กำหมัดแน่น “สหายเหมียวส่วนหนึ่งมีชีวิตตกต่ำลง ตัดขาดจากลัทธิเหมียวเหมียวและประชาเหมียวโดยสิ้นเชิง ช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก! แต่ยึดถือนโยบายเรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีตเพื่อปรับใช้ในอนาคต และรักษาโรคเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย พวกเราต้องเยียวยาเหมียวที่ถูกปั่นหัวและหลอกลวงพวกนั้น ทอดทิ้งพวกมันไปไม่ได้!”


 


 


ฟราเทอร์ได้ยินแล้วตะลึง นี่คือกระบวนท่าอะไร แม้มันจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่รู้สึกว่ามีแรงโน้มน้าวอย่างน่าประหลาด…


 


 


“แกว๊กๆ! เจ้าโง่เอารูก้นของเอ็ง…ไม่ใช่สิ เปิดช่องหมวกของเอ็ง ข้าจะเข้าไป!” ริชาร์ดโบกปีกคลำทางไปทั่วเหมือนคนตาบอดคลำช้างอยู่บนพื้น “ถ้าแมวในป่าเยอะ ข้าไม่อยากกลายเป็นอึแมวหรอก!”


 


 


จางจื่ออันขี้เกียจสนใจมัน แต่ทิ้งมันไว้ก็มีปัญหาจริงๆ อาจจะถูกนกทะเลหรือสัตว์ปีกคาบไป ทำได้แค่ปิดจมูกโยนมันเข้าไปซ่อนตัวในฮู้ดของเสื้อแจ๊คเก็ต


 


 


ริชาร์ดใช้กรงเล็บนกคว้าฮู้ดมาห่อตัวเองเอาไว้จนแน่น โผล่ออกมาแค่หัวที่หันไปทางซ้ายขวา สมแล้วที่เป็นหนึ่งในตำแหน่งที่มันชอบที่สุด แม้การมองเห็นข้างหน้าจะเป็นศูนย์ แต่ข้างหลังยังมีทิวทัศน์สวยงามให้มองได้ แถมยังอุ่นมาด้วย


 


 


หลังจากถึงตอนกลางคืนแล้วลมทะเลจะหนาวมาก ตัวที่กลัวหนาวที่สุดในบรรดาภูตสัตว์เลี้ยงก็คือริชาร์ด


 


 


พายสายตาค่อนข้างแย่ในเวลากลางคืน มันโบกกระบองไม้บ่งบอกว่าตัวเองก็ช่วยได้


 


 


จางจื่ออันไม่ทิ้งภูตสัตว์เลี้ยงตัวไหนไว้นอกป่าลำพังแน่นอน ส่วนเซฮวา เธออยู่ในทะเลไม่มีศัตรูอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอมีวาฬเพชฌฆาตซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในทะเลอยู่ข้างกายด้วยฝูงหนึ่ง


 


 


เขาเพิ่งเหยียบเข้าไปในทางเดินเล็ก เฟยหม่าซือก็ชิงเดินไปข้างหน้าสุด มีมันนำทางดีกว่าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดมกลิ่น การได้ยิน หรือการมองเห็นในตอนกลางคืนก็ดีกว่ามนุษย์มาก


 


 


ฟราเทอร์ก็พุ่งตัวไปข้างหน้า มันพาทุกคนมาที่นี่ ถ้ามีอันตรายอะไร มันก็สมควรช่วยคุ้มกันจากข้างหน้า


 


 


เพื่อเลี่ยงไม่ให้เปิดเผยตำแหน่งของตัวเอง เขาจึงไม่ได้เปิดไฟฉาย มือข้างหนึ่งถือกล้องส่องวัตถุในที่มืด ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจูงพาย เดินเข้าไปในป่าอย่างระมัดระวัง


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


*เสือกระดาษ หมายถึง คนที่ดูเหมือนจะน่ากลัว แต่ความจริงแล้วทำร้ายใครไม่ได้ ก็เหมือนเสือที่ทำจากกระดาษ ดูแล้วเป็นเสือที่น่ากลัว แต่ความจริงก็แค่กระดาษแผ่นหน่งเท่านั้น 

 

 


ตอนที่ 1601 อยู่เฝ้าดู

 

นอกป่ามีแสงไฟส่องสว่าง แม้เมฆดำจะปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าก็ไม่ได้มืดสนิท แต่ในป่ากลับยื่นมือออกไปแทบจะมองไม่เห็นทั้งห้านิ้ว  


 


 


จางจื่ออันเดินอย่างเชื่องช้า ถือกล้องส่องวัตถุในที่มืดสังเกตใต้เท้าและรอบบริเวณ  


 


 


ในป่าเงียบสงัด กิ่งไม้ ใบไม้ และลำต้นราวกับพรมกันเสียง ดูดซับเสียงทุกอย่างแถวนี้เอาไว้ มีเพียงเสียงบางอย่างถูกเผาแตกดังเปรี๊ยะส่งมาบ้างเท่านั้น  


 


 


จางจื่ออันรู้สึกว่าทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนใบไม้จะมีเสียงแหลมดังขึ้น ในขณะที่พวกภูตสัตว์เลี้ยงเดินเสียงเบามาก  


 


 


ริชาร์ดปิดปากอย่างรู้งาน เพราะมันมองอะไรไม่เห็นเลย เมื่อเกิดอันตรายมันจะซวยที่สุด  


 


 


เนื่องจากเพิ่งมีหมูป่าฝูงหนึ่งวิ่งผ่านไป กลิ่นในป่าจึงซับซ้อนอย่างยิ่ง เฟยหม่าซือกับฟราเทอร์จึงมุ่นอยู่กับการก้มดมพื้นตามหาและแยกแยะกลิ่นไปเรื่อยๆ  


 


 


คนที่พบความผิดปกติก่อนกลับเป็นจางจื่ออัน เพราะเขาตัวสูง ข้อด้อยเรื่องการมองเห็นในตอนกลางคืนก็ได้กล้องส่องวัตถุในตอนกลางคืนมาชดเชยแล้ว  


 


 


ขณะเดินอยู่ๆ เขาก็มองเห็นสัตว์ตัวหนึ่งหมอบอยู่บนแง่งกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่ง เพราะตาของมันเปล่งแสงสีเขียวเหมือนดวงไฟผีผ่านเลนส์กล้องส่องวัตถุในตอนกลางคืน ดูจากลักษณะภายนอกแล้วน่าจะเป็นแมว  


 


 


เขาเอ่ยปากเตือน แล้วยกมือชี้ไปทางนั้น  


 


 


แมวตัวนั้นมองลงมาข้างล่าง มันเองก็มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน ตอนที่มันกำลังจะกระโดดลงจากบนต้นไม้แล้วหมุนตัววิ่งหนี มันก็ได้ยินฟีน่าตะโกนอย่างเยือกเย็น “หยุด!”  


 


 


เสียงคำสั่งเหมือนภูเขาถล่ม แมวตัวนั้นตัวสั่นงันงก ก่อนจะล้มลงไม่เป็นท่า มันกระโดดลงจากแง่งกิ่งไม้ได้ปกติก็จริง แต่สุดท้ายกลับเสียสมดุลล้มลงบนพื้นเสียงดัง  


 


 


ด้วยความสูงเพียงสองสามเมตร และบนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ร่วง แมวตัวนี้จึงไม่ได้เจ็บตรงไหน มันตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะหันหน้าไปมองทางบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ทางเหนือของแหลมเชิงขอความช่วยเหลือ แล้วมองฟีน่าอย่างหวาดกลัว มันลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ยกเท้าเล็กๆ ไปข้างหลังอย่างเชื่องช้า  


 


 


จางจื่ออันเห็นว่า แมวตัวนี้ไม่ได้เชื่อฟังฟีน่าจริงๆ ถ้าเป็นแมวในร้านขายสัตว์เลี้ยงพวกนั้น ฟีน่าร้องเฮอะครั้งเดียวก็ทำพวกมันกลัวจนอึราดแล้ว  


 


 


ฟีน่าทั้งโกรธทั้งเคือง มันอยากจะพุ่งไปตักเตือนด้วยตัวเอง เสวี่ยซือจื่อเสนอตัวทำแทนมัน ด้วยอยากถือโอกาสสร้างความประทับใจ แต่ก็ถูกจางจื่ออันขวางไว้  


 


 


“ถ้าพวกมันมีโปรตีนพรีออนอะไรนั่น…ไม่คุ้มหรอกนะ” จางจื่ออันโน้มน้าว  


 


 


ฟีน่ากวาดสายตามองมาอย่างรวดเร็วและดุดัน ก่อนร้องเมี๊ยวเสียงดังขึ้นสองครั้ง “ที่ซ่อนตัวอยู่แถวนี้ ไสหัวออกมาทั้งหมด!”  


 


 


เมื่อสิ้นเสียง แมวที่หลบอยู่ในรูต้นไม้ ในพงหญ้า และหลังก้อนหินก็พากันเดินออกมาทีละตัว  


 


 


ถ้าเป็นแมวบ้านที่พบเห็นได้ทั่วไป พอเห็นฟีน่าแล้วจะต้องหมอบลงกับพื้นเพื่อแสดงความสวามิภักดิ์ แม้แมวพวกนี้ออกมาแล้วจะไม่ได้วิ่งหนี แต่ก็ไม่ได้หมอบ ในสายตามีความเหลี่ยมจัดและดื้อแพ่ง  


 


 


พอทุกคนเห็นว่าคำสั่งของมันไม่เป็นผล ฟีน่าก็หน้าร้อนฉ่าขึ้นมา อยากจะพุ่งเข้าไปเหวี่ยงแมวพวกนี้เสียเต็มประดา แต่เป็นอย่างที่จางจื่ออันพูด ไม่คุ้มค่าให้เสี่ยงอันตรายเพียงเพราะอารมรณ์โกรธชั่ววูบ  


 


 


“ข้าขอสั่งพวกเจ้า ห้ามไปที่ไหนทั้งสิ้น ยืนสำนึกผิดต่อหน้าต้นไม้ตรงนี้ จนกว่าข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าไปจากที่นี่!” ฟีน่าตะโกนสั่ง  


 


 


แมวพวกนี้เดินไปข้างๆ ต้นไม้ต้นที่ใกล้ที่สุดอย่างไม่ค่อยสมัครใจ แล้วหันหน้าเข้าต้นไม่อย่างมึนงง  


 


 


ป่าตรงนี้ห่างจากด้านนอกไม่ไกล เดินหน้าไปสองสามก้าวก็ทะลุป่าออกไปแล้ว และที่อยู่ข้างหน้านั้นก็คือทุ่งนา  


 


 


ฟราเทอร์ถอนหายใจ ก่อนหน้านี้มันส่งหมาป่าข้ามป่านี้เพื่อไปตรวจสอบอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งก็จะถูกแมวพบนี้พบและเรียกผู้คุมติดอาวุธมาพอดี หมาป่าปีนต้นไม้ไม่เป็น ไม่มีทางเอาชนะแมวพวกนี้ได้เลย คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะผ่านไปได้สบายๆ  


 


 


ฟีน่ากลับยังมีสีหน้าตึงเครียด มันสังเกตเห็นว่าแมวพวกนี้ไม่ได้หันหน้าสำนึกผิดไปทางต้นไม้อย่างว่าง่ายแล้ว แต่พวกมันกลับทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว หันหน้ากลับมามองมัน ราวกับกำลังรอมันจากไป  


 


 


มันรู้ว่าหากมันออกไปจากตรงนี้ พวกมันก็จะทำเรื่องชั่วร้ายต่อ อาจจะหาวิธีรายงานข่าวผ่านสายลมทันทีเลยก็ได้  


 


 


“พวกเจ้าไปก่อนเถอะ ข้าต้องอยู่เฝ้าพวกมันที่นี่” ฟีน่าพูด  


 


 


จางจื่ออันขมวดคิ้ว แม้ฟีน่าจะแข็งแกร่งมาก และในป่านี้ก็ไม่มีสัตว์ป่าชนิดอื่น แต่ทิ้งมันไว้ที่นี่ก็ไม่ค่อยดีนัก  


 


 


“เมี๊ยวๆๆ! ข้าน้อยยินดีอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาท! ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน ข้าน้อยก็จะอยู่ที่นั่น!” เสวี่ยซือจื่อแสดงความซื่อสัตย์อย่างไม่ให้เสียโอกาส  


 


 


เสวี่ยซือจื่อที่ดูแล้วนุ่มนิ่มน่ารัก แต่ความจริงใจดำโหดเ**้ยม ทว่าซื่อสัตย์ต่อฟีน่าอย่างแท้จริง  


 


 


หากมีเสวี่ยซือจื่อยู่เป็นเพื่อนฟีน่า จางจื่ออันก็พอจะยอมตกลงได้  


 


 


“งั้นพวกเธอก็ระวังตัวด้วย ห้ามประมาทเด็ดขาด” เขาเตือน  


 


 


“ถุยๆๆ! ชายเฮงซวยจู้จี้จุกจิก รีบไสหัวไปให้ไกลๆ จากแม่เฒ่าเลย! อย่าขวางลูกตาอยู่ที่นี่ รบกวนเรื่องดีๆ ระหว่างข้ากับฝ่าบาทเสียเปล่า!” เสวี่ยซือจื่อย่นหน้าถ่มน้ำลายลงบนพื้น  


 


 


ฟีน่ากับเสวี่ยซือจื่ออยู่เฝ้าดูแมวกบฏพวกนี้ ส่วนจางจื่ออันพาภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นข้ามป่าไปอย่างรวดเร็ว  


 


 


ครอก?  


 


 


ครอกๆ?  


 


 


หมูป่าฝูงหนึ่งที่พุ่งเข้ามาก่อนหน้านี้ยังแทะเล็มพืชผลอยู่ในทุ่งนา จนทุ่งนาเกือบจะเกลี้ยงแล้ว เหมือนกับผีหิวโหยกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่ปาน  


 


 


ราชาหมูป่าหนักสี่ร้อยกิโลกรัมตัวนั้นได้กลิ่นหมาป่า ก่อนจะเงยหน้าถลึงตาใส่ฟราเทอร์ พร้อมแยกเขี้ยวติดมันเทศเป็นพรวน  


 


 


บนแผ่นดินอเมริกาเหนือ นอกจากมนุษย์แล้ว หมาป่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติตัวฉกาจของหมูป่า ราชาหมูป่าส่ายหน้าสะบัดมันเทศออกไป จากนั้นคำรามวี๊ดๆ อย่างโกรธเคือง หมูป่าตัวอื่นจึงพบการมาถึงของศัตรูตามธรรมชาติแล้ว  


 


 


หมูป่ารวมตัวกัน จ้องฟราเทอร์ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูคู่อาฆาต ขนบนคอที่ทั้งหนา ทั้งแข็งตั้งชันขึ้นทั้งตัว  


 


 


รูจมูกของราชาหมูป่าตัวนั้นใหญ่พอจะยัดนิ้วโป้งของชายโตเต็มวัยได้เลยทีเดียว รูจมูกยังพ่นไอสีขาวออกมาตลอด กีบเท้าหน้าสองข้างสลับกันขุดดิน ส่งเสียงอู้อี้โมโหร้าย ราวกับรถบรรทุกที่พร้อมจะเหยียบคันเร่งได้ทุกเมื่อ  


 


 


หากฟราเทอร์ก้าวเข้ามาอีกสักก้าว หมูป่าฝูงนี้ก็พร้อมจะรวมตัวกันบุก  


 


 


ฟราเทอร์เป็นนักฆ่าโดยกำเนิด แม้ตอนนี้จะกลับตัวกลับใจแล้ว แต่ตอนนั้นก็มือเปื้อนเลือดมามาก มันมีประสบการณ์รับมือกับหมูป่าเต็มเปี่ยม ย่อมไม่กลัวหมูป่าพวกนี้ ถ้ามีความจำเป็น มันเชื่อว่าจะควักลำไส้ของราชาหมูป่าตัวนี้ออกมาได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า  


 


 


แต่มันไม่กลัว ไม่ได้หมายความว่าจางจื่ออันกับภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นจะไม่กลัว โดยเฉพาะลิงน้อยตัวนั้น พอเห็นพวกศิษย์น้องแล้วไม่เพียงรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า กลับตัวสั่นกลัวด้วยซ้ำ  


 


 


หมูป่าวิ่งเร็วกว่าคนมาก จางจื่ออันที่ฝึกฝนออกกำลังกายมาเป็นเวลานานแล้วแข็งแรงกว่าคนทั่วไป แต่ยังอยู่ในขอบเขตความสามารถของมนุษย์ ถ้าให้ฝูงหมูป่าบุก เขากับลิงน้อยอาจจะเจอปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อ  


 


 


ฟราเทอร์วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วพูดกับจางจื่ออันว่า “พวกนายไปก่อนเถอะ ข้าจะอยู่รั้งหมูป่าฝูงนี้ไว้ที่นี่”  


 


 


มันเข้าใจสถานการณ์แล้ว จางจื่ออันก็เข้าใจสถานการณ์แล้วเช่นกัน รู้ว่านี่เป็นทางเลือกเดียว ไม่อย่างนั้นก่อนที่จะรับมือกับศัตรูที่แท้จริง ก็ต้องสู้กับฝูงหมูป่าสักตั้งก่อน  


 


 


ถ้าเทียบกับสถิติในเกม พวกหมูป่าก็เหมือนปิศาจที่การจู่โจมสูง เลือดเยอะ การป้องกันสูง ถึงพวกภูตสัตว์เลี้ยงตรงเข้าจู่โจมพร้อมกันก็ยังตึงมือ ถ้าตอนนี้ศัตรูถือโอกาสจู่โจมเขาแล้วคนอื่นจะทำอย่างไร  

 

 

 


ตอนที่ 1602 เพลงสรรเสริญแห่งความจงรักภักดี

 

ว่ากันว่าเสือยังต้านฝูงหมาป่าไม่ได้ หมาป่าถนัดรับมือกับหมูป่ายิ่งกว่าอะไร ถึงอย่างนั้นหมาป่าตัวเดียวก็สู้กับหมูป่าทั้งฝูงไม่ได้ ถึงฟราเทอร์ที่เป็นภูตสัตว์เลี้ยงจะสุดยอดแค่ไหน เมื่อเจอกับฝูงหมูป่าหนังหยาบ เนื้อหนา ไม่กลัวเจ็บ อย่างมากก็ควักไส้หมูป่าได้แค่สองสามตัว แต่ตัวเองกลับถูกเขี้ยวของหมูป่าที่เหลือแทงทะลุเนื้อเหมือนกัน  


 


 


เมื่อครู่หมูป่าฝูงนี้ถูกหมาป่าสองสามตัวไล่ต้อนจนต้องก้มหน้าก้มตาหนีเตลิด พอได้เจอกับศัตรู จึงโกรธจนตาเขียวปั้ด พวกมันเอาชนะฝูงหมาป่าไม่ได้ แต่จะเอาชนะหมาป่าแค่ตัวเดียวมาได้เหรอ  


 


 


ฟราเทอร์เดินไปข้างหน้าอีกก้าว ด้วยอยากจะยั่วให้หมูป่าฝูงนี้โกรธจนวิ่งเข้ามาเอง  


 


 


จางจื่ออันจนใจ จึงสั่งว่า “งั้นนายก็ระวังตัวด้วยนะ หมูป่ามีจำนวนเยอะเกินไป นายอย่าบ้าดีเดือดเด็ดขาด”  


 


 


ฟราเทอร์พยักหน้า “วางใจเถอะ ในเมื่อแมวในป่าถูกจัดการไปแล้ว ข้าจะเรียกฝูงหมาป่าเข้ามาช่วย”  


 


 


จางจื่ออันยังไม่วางใจเสียทีเดียว เขากังวลว่าฟราเทอร์จะอยู่สู้เพียงลำพัง ตอนนี้เฟยหม่าซือจึงขออาสาเอง “ฉันก็จะอยู่ด้วย อย่างน้อยจะได้ช่วยเหลือกัน”  


 


 


เฟยหม่าซือเป็นภูตสัตว์เลี้ยงสุนัขเพียงหนึ่งเดียวในร้านขายสัตว์เลี้ยง แม้มันจะคุ้นชินแล้ว แต่บางครั้งก็อดรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ได้ เสี่ยวไป๋ก็เป็นสุนัขตัวหนึ่ง แต่เสี่ยวไป๋ไม่ได้อยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยง มันมีธุระข้างนอกมากมายต้องจัดการ มาที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงบางครั้งก็เพื่อปรึกษาเรื่องสำคัญกับจางจื่ออัน ดังนั้นเฟยหม่าซือกับเสี่ยวไป๋จึงไม่ได้ผูกพันอะไรกัน  


 


 


อาจจะเป็นเพราะร่างกายมีสายเลือดบรรพบุรุษหมาป่าไหลเวียนอยู่ และเป็นบรรพบุรุษของหมาป่ายุโรปเช่นเดียวกัน พอเฟยหม่าซือเห็นฟราเทอร์ก็รู้สึกถูกชะตาอยู่หลานส่วน หากต้องปล่อยให้ฟราเทอร์อยู่ต่อเพียงลำพังก็ไม่สบายใจ จางจื่ออันยังมีภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอยู่ด้วย น่าจะไม่เป็นอันตรายอะไร เฟยหม่าซือจึงตัดสินใจอยู่ต่อเช่นกัน หนึ่งเพื่อช่วยเสริมกำลังฟราเทอร์ สองคือตีสนิท  


 


 


“ดี งั้นพวกนายสองคนทำเวลาหน่อยนะ ถ้าตึงมือก็ถอยเองเลย อย่าฝืน” จางจื่ออันก็คิดว่าการรวมตัวของพวกมันไม่เลวเลย อย่างน้อยเผชิญหน้ากับฝูงหมูป่าก็ไม่ต้องกังวล แค่รอฝูงหมาป่าเข้ามาสมทบก็พอ  


 


 


ฟราเทอร์พยักหน้าให้เฟยหม่าซือเป็นเชิงขอบคุณ มันยิ้มและพยักหน้าตอบรับเช่นเดียวกัน แล้วยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งของตัวเองอย่างรู้งาน ดังนั้นฝูงหมูป่าที่จัดทัพเป็นมุมแหลม จึงต้องแบ่งความสนใจไปทั้งสองด้าน  


 


 


ศัตรูตัวฉกาจของหมูป่าก็คือมนุษย์ และตอนมนุษย์ล่าหมูป่าก็มักจะจูงสุนัขนักล่ามาด้วย พอฝูงหมูป่าได้ยินเสียงสุนัขเห่าก็รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว ความหวาดกลัวที่มีต่อสุนัขนักล่าไม่ได้ด้อยไปกว่าความหวาดกลัวต่อฝูงหมาป่าเลย  


 


 


หนึ่งหมาป่า หนึ่งสุนัข และฝูงหมูป่าคุมเชิงอยู่ห่างกันประมาณสามสิบเมตร  


 


 


จางจื่ออันเรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่น อ้อมไปจากข้างๆ อย่างระมัดระวัง เขาพยายามเดินช้า และย่องเบาๆ เพื่อกันไม่ให้ไปยั่วโมโหฝูงหมูป่าเข้า  


 


 


พวกหมูป่าไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว สนใจแค่ฟราเทอร์และเฟยหม่าซือเท่านั้น พวกจางจื่ออันจึงข้ามทุ่งนาไปได้อย่างราบรื่น และมาถึงเขตที่อยู่อาศัย  


 


 


เขาหันกลับไปมองครั้งหนึ่ง แม้ฟราเทอร์บอกว่าจะเรียกฝูงหมาป่า แต่ก็ยังไม่ทำอะไรสักที  


 


 


พอคิดแล้วก็เข้าใจทางเลือกยากสองทางของฟราเทอร์ได้ หอนแล้วเรียกฝูงหมาป่ามาได้ แต่ก็อาจจะยั่วโมโหหมูป่าเช่นกัน ก่อนที่ฝูงหมาป่าจะมาถึง มันกับเฟยหม่าซือจะต้านทางฝูงหมูป่าที่บุกเข้ามาพร้อมกันได้นานเท่าไร ไม่มีใครมั่นใจทั้งนั้น  


 


 


ฉะนั้นที่ฟราเทอร์ทำได้ตอนนี้คือรักษาสภาพสถานการณ์ให้ได้มากที่สุด รอเรื่องราวเกิดการพลิกผัน  


 


 


จางจื่ออันช่วยอะไรไม่ได้ ที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ไม่ใช้เวลาที่ฟราเทอร์หามาให้เขาไปอย่างเสียเปล่า  


 


 


เขาเคยหมอบสังเกตสถานการณ์อยู่บนแหลม เขตที่อยู่อาศัยตรงนี้ผู้คุมกับชาวนาอาศัยอยู่ร่วมกัน ทางตะวันตกติดกับทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คุม ทางตะวันออกเป็นที่อยู่อาศัยของพวกชาวนา พื้นที่ทางตะวันออกใหญ่กว่าทางตะวันตกไม่น้อย ตรงกลางถูกแบ่งด้วยทางสายหลัก ตอนนี้บ้านที่ไฟไหม้กระจุกอยู่ทางตะวันออก ส่วนทางตะวันตกไฟยังลามไปไม่ถึง  


 


 


“เฮ้! หยะ…หยุดนะ! ห้ามเดินไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว! นะ…นายเป็นใคร….”  


 


 


เสียงอ่อนล้าดังมาจากข้างๆ ผู้ชายสวมเครื่องแบบผู้คุมคนหนึ่งกึ่งหมอบอยู่บนพื้น ชี้จางจื่ออันพลางถามอย่างอ่อนแรง  


 


 


ผู้คุมคนนี้จมูกเขียว หน้าปวมเป่ง บนตัวยังมีรอยเท้า…หมูป่าเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ถูกเหยียบอย่างน่าเวทนา มุมปากยังมีเลือดซึมเล็กน้อย อาจจะช้ำในด้วย  


 


 


ถึงจะมีท่าทางน่าเวทนาแบบนี้ แต่เขาก็ยังปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่ได้ลืมหน้าที่ของตัวเองเพียงเพราะความเจ็บปวดบนร่างกาย จางจื่ออันเห็นดังนั้นก็ซาบซึ้งทีเดียว อยากจะร้องเพลงสรรเสริญความจงรักภักดีให้เขาเสียงดังๆ  


 


 


จางจื่ออันก้มลงไปเก็บปืนเทเซอร์กระบอกหนึ่งจากใต้เท้าของเขา กระสุนช็อตไฟฟ้าใช้ไปแล้ว น่าเสียดายมาก แต่ยังใช้เป็นกระบองช็อตไฟฟ้าได้  


 


 


จางจื่ออันจึงติดปลายขั้วไฟฟ้าด้านหน้าทั้งสองด้านของปืนเทเซอร์ไว้ข้างหลัง จากนั้นก็เหนี่ยวไกออกไป แล้วยังไม่ยอมปล่อยนิ้วออกจากไกปืน ส่งให้ขั้วไฟฟ้าแหลมๆ แทงทะลุเสื้อผ้าของอีกฝ่าย  


 


 


“อ๊ากกก!”  


 


 


ผู้คุมร้องอย่างน่าเวทนา สองตาเหลือกขึ้น ถูกไฟช็อตจนชักเกร็งไปทั้งตัว คล้ายปลาดิ้นบนบก  


 


 


ห้าวินาทีให้หลัง จางจื่ออันก็คลายไกปืนเพื่อหยุดส่งกระแสไฟฟ้า ผู้คุมนอนตัวอ่อนอยู่บนพื้นเหมือนโคลน ถูกช็อตจนสติเลื่อนลอยไปแล้ว แม้แต่จุดสัมผัสบนเสื้อผ้าด้านหลังก็ถูกช็อตจนไหม้ ส่งกลิ่นเหม็นออกมาเป็นระลอก  


 


 


กลิ่นสาบปัสสาวะสายหนึ่งกระจายออกมาจากหว่างขาของผู้คุม คิดไม่ถึงว่าจะถูกช็อตจนกลั้นขับถ่ายไม่อยู่  


 


 


“ฉันจะแผ่เมตตาให้” จางจื่ออันส่ายหน้าเสียดาย “ก่อกรรมทำเข็ญจริงๆ…”  


 


 


“ยอดเยี่ยม!” ริชาร์ดถอนหายใจ “แม้ข้าจะมองไม่เห็น แต่ฟังจากเสียงเพียงอย่างเดียว…เจ้าโง่ เอ็งไม่รู้สึกถึงความชอบเป็นพิเศษสินะ?”  


 


 


“เจี๊ยกๆ!”  


 


 


“อ๊า!”  


 


 


เสียงร้องน่าสมเพชดังมาอีกครั้ง คราวนี้ดังมาจากข้างหน้า ตรงนั้นยังมีผู้คุมที่ถูกเหยียบอีกคนคิดจะแอบหนี แต่พายกลับพบเขาเข้า มันจึงใช้กระบองไม้ยันพื้นกระโดดข้ามไปเหมือนกระโดดค้ำถ่อ แล้วตกลงบนขาของผู้คุมพอดิบพอดี ก่อนควงกระบองไม้เคาะหัวเขาเสียงดังป้อกจนสลบไป กระบองไม้ของพายตัดมาจากกิ่งไม้ ไม่ได้หนักเท่าไร ถึงมันออกแรงเต็มที่ก็ตีคนตายไม่ได้  


 


 


วลาดิเมียร์กล่าวชม “ลิงทองแกว่งไกวกระบองหนักพันจวิน หลังคาสวรรค์ก็ไร้ฝุ่นดุจหยกงาม”  


 


 


“เจี๊ยกๆ”  


 


 


พายเกาหัวอย่างเหนียมอาย มันคิดว่าตัวเองยังห่างไกลจากขั้นนั้นอีกไกล ตอนนี้ทำได้แค่ตีลูกหมาตกน้ำเท่านั้น  


 


 


ต้องบอกว่าผู้คุมคนที่สองช่างแล้งน้ำใจ เห็นอยู่ว่าเพื่อนร่วมงานถูกช็อต กลับไม่คิดที่จะเข้ามาช่วยแม้สักนิด สนใจแต่เอาตัวรอดอยู่คนเดียว แต่นี่ก็ไม่ควรโทษเขา ก็เปรียบเหมือนสามีภรรยาเป็นนกในป่าเดียวกัน เมื่อเจอเหตุการณ์เลวร้ายกลับบินหนีไปตัวเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองทัพที่รวมคนจากหลายประเทศราวกับฝูงชนก่อจลาจลพวกนี้เลย  


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็อยากตีลูกหมาตกน้ำกันทั้งนั้น ทุกตัวจึงออกตามหาคนที่เล็ดรอดไปได้ เสียงร้องน่าเวทนาจึงดังมาครั้งแล้วครั้งเล่า และกลับสู่ความสงบอีกครั้ง พวกผู้คุมที่ได้รับบาดเจ็บที่เหลือถูกตีสลบ หรือไม่ก็ถูกช็อตสลบไปหมดแล้ว  


 


 


ถ้าทิ้งผู้คุมที่หมดสติไว้ที่เดิม พอลมเปลี่ยนทิศ ตอนไฟลามมาถึงตรงนี้ พวกผู้คุมอาจจะถูกไฟคลอกหรือสำลักควันตาย แบบนี้คงไม่ค่อยดีนัก กลายเป็นว่าทำเกินกว่าแค่ปกป้องตัวเองไปแล้ว สืบสาวเรื่องราวถึงต้นเหตุก็อาจจะพบปัญหาได้ เขาจึงลากผู้คุมไร้สติเหมือนหมาจนตรอกมาไว้ระหว่างก้อนหินบนเนินเขา เพื่อให้ออกจากรัศมีไฟไหม้ คราวนี้ถึงจะเข้าไปปล้นหาเสบียงในบ้านได้อย่างสบายใจ   

 

 


ตอนที่ 1603 จู่โจมกลับ

 

จางจื่ออันทิ้งเสบียงส่วนใหญ่ไว้ในบ้านของหมู่บ้านชาวอินเดียแดง เพื่อให้กระเป๋าสะพายว่างเข้าไว้ จะได้เก็บสิ่งของจากที่นี่ได้สะดวก  


 


 


ถึงแม้อาหารเย็นที่พวกชาวนากินจะคล้ายกับอาหารหมู แต่เขาสังเกตเห็นว่าตอนพวกชาวนากินข้าว พวกผู้คุมไม่ได้กิน เห็นได้ชัดว่าพวกผู้คุมมีอาหารอย่างอื่นที่ดีกว่า  


 


 


เขาถีบประตูบ้านหลังหนึ่งเข้าไป แต่เกือบจะสำลักกลิ่นข้างในจนตีลังกา  


 


 


เทียบกับเตียงสองชั้นในบ้านของชาวนาแล้ว พวกผู้คุมนอนแค่ห้องละสองคน แต่ละคนมีเตียงเดี่ยวเป็นของตัวเอง ทว่าในห้องรกมาก พวกเขาทิ้งขยะกันตามใจชอบ แทบจะไม่มีที่ให้เดินอยู่แล้ว  


 


 


ที่เขาต้องประหลาดใจคือ คิดไม่ถึงว่าในบ้านของผู้คุมจะมีไฟฟ้า แต่กลับไม่ได้ยินเสียงดังจากเครื่องปั่นไฟ อาจจะเป็นเพราะบนหลังคาติดตั้งแผ่นโซลาร์เซลล์เอาไว้ หรืออาจจะเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ส่งผ่านมาจากสายไฟฟ้าใต้ดินของสถานที่อื่นแถวนี้ สรุปว่าในบ้านมีโทรทัศน์ เครื่องเล่นซีดี ตู้เย็น และเตาไมโครเวฟ และยังมี…แผ่นดีวีดีที่เห็นหน้าปกก็รู้แล้วว่าผิดศีลธรรมวางซ้อนกันอยู่กองหนึ่ง  


 


 


เมื่อเทียบกับอาหารสไตล์ฮิปสเตอร์แบบญี่ปุ่นที่วัยรุ่น นักเรียน ติวเตอร์ และแม่บ้านกินกันเป็นหลัก อาหารสไตล์อเมริกันกลับป่าเถื่อนยิ่งกว่านั้น ก็เหมือนป้ายเบอร์เกอร์มอนสเตอร์ของรถอาหาร Me So hungry นั่นแหละ ให้เนื้อชิ้นใหญ่ ไม่เพียงมีชีสแท้สีขาวหิมะเข้าคู่กับเนื้อย่างดำเกรียม ยังมีซอสบาร์บีคิวของต่างชาติ ถ้ากินเผ็ดเก่งหน่อย ก็ยังมีพริกฮาวานาแบบละตินอเมริกาแถมให้ด้วย…  


 


 


เดี๋ยวก่อน ฉันกำลังคิดถึงอะไรเนี่ย  


 


 


จางจื่ออันพบว่าตัวเองใจลอยไปไกล อาจจะเป็นเพราะไม่ได้กินอาหารทั่วไปมาเป็นเวลานานแล้ว  


 


 


บนพื้นมีถุงใส่ขยะวางกองอยู่เต็มไปหมด ผนังไม้และบนพื้นมีรอยจุดเปียกๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุมากมาย บนหัวเตียงยังวางพิซซ่าแช่แข็งที่กินไปแล้วครึ่งกล่องวาง แต่ก็ขึ้นราทั้งหมด มีแมลงสาบปีนป่ายอยู่ทั่ว เห็นแล้วชวนให้ขยะแยงทีเดียว  


 


 


อาหารในตู้เย็นยังเหลืออยู่เยอะ และเป้าหมายหลักของเขาคืออาหารที่เก็บรักษาได้ค่อนข้างนานอย่างอาหารกระป๋อง ไส้กรอก และขนมปังเป็นแพ็ค แต่ถึงอาหารแช่แข็งน่าดึงดูดแค่ไหน เขาเอาไปก็ไม่มีประโยชน์  


 


 


ยังดีที่เป็นหอพักของชายโสดกลุ่มหนึ่ง ของในตู้เย็นส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารพร้อมประทาน และเขาก็ต้องดีใจจนออกนอกหน้า คิดไม่ถึงว่ายังมีน้ำพริกเผาเหล่ากานมาตั้งหลายขวด!  


 


 


น้ำพริกเผาเหล่ากานมาเป็นอาวุธเทพในการคลุกกินกับข้าว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ซื้อน้ำพริกเผาเหล่ากานมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่เขาไปเดินหลายแห่งก่อนเข้าป่า ไม่ใช่ว่าไม่มีขาย แต่เพราะขายหมดแล้ว  


 


 


ขอแค่มีน้ำพริกเผาเหล่ากานมา กินคู่กับข้าวสวยก็อร่อยแล้ว!  


 


 


เขากวาดอาหารที่เก็บรักษาได้นานจากในตู้เย็นใส่กระเป๋าสะพายทั้งหมด  


 


 


รีดไถบ้านหลังหนึ่งเสร็จแล้ว เขาก็ไปรีดไถบ้านข้างๆ อีก ไม่นานก็เติมกระเป๋าสะพายจนเกือบเต็มแล้ว  


 


 


“จื่ออัน ลมเปลี่ยนทิศแล้ว ไฟใกล้จะลามมาที่ฝั่งนี้แล้ว!” เหล่าฉาที่มองลมอยู่ข้างนอกกล่าวเตือน  


 


 


เดิมทีทิศทางลมริมทะเลก็สับสนวุ่นวายอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้างๆ แหลมและผาสูงชันแบบนี้ มักจะเกิดพายุหมุนอยู่บ่อยครั้ง  


 


 


จางจื่ออันขานรับครั้งหนึ่ง ก่อนจะสะพายกระเป๋าเตรียมออกจากที่นี่ ยังมีบ้านอีกหลายหลังที่ยังไม่ได้เข้าไป แต่เท่านี้ก็พอกินแล้ว  


 


 


“ทุกคนถอยกันเถอะ” เขาเรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงที่เข้าไปในบ้านหลังเดียวกัน  


 


 


“เมี๊ยว”  


 


 


เขาเดินไปถึงข้างประตู กำลังจะก้าวขาออกไป พอหันกลับไปมองพบว่าซิงไห่ยังอยู่ในบ้าน ใช้อุ้งเท้าเขี่ยกล่องซีดีกองสูงอย่างสนใจ เหมือนว่าไม่ได้ยินที่เขาพูด  


 


 


“แฮ่ม!” เขากระแอมครั้งหนึ่ง แล้ววิ่งสั้นๆ ไปเตือนมันจากด้านข้าง “ซิงไห่ พวกเราจะไปแล้ว”  


 


 


“เมี๊ยว”  


 


 


คราวนี้ซิงไห่ถึงจะวิ่งไปทางประตูบ้านอย่างเบิกบาน  


 


 


“แกว๊กๆ!” ริชาร์ดยื่นหน้าออกมาจากในช่องฮู้ด ก่อนจะกลอกตาสีดำดวงเล็กเป็นเชิงยั่วเย้า แล้วพูดว่า “เจ้าโง่ อย่าคิดว่าข้ามองไม่เห็นนะ เมื่อกี้เอ็งถือโอกาสซ่อนเอาไว้ในเสื้อกี่แผ่นล่ะ?”  


 


 


ในบ้านมีแสงจากไฟ ริชาร์ดจึงกลับมามองเห็นเป็นปกติ มันคิดไปว่าจางจื่ออันยังลืมซีดีไม่ลง จึงสนอกสนใจเขาอยู่ตลอด แต่จางจื่ออันกลับไม่หยิบซีดีสามแผ่นนั้น มันต้องมองเขาใหม่แล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ทำลายความซื่อตรงในเวลาอันสั้น อาศัยโอกาสตอนที่กลับมาเรียกซิงไห่ ซ่อนซีดีสองสามแผ่นไว้ในอกอย่างรวดเร็ว  


 


 


ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นไม่ทันได้สังเกตท่าทางของเขา และความมือไวข้างเดียวหลายปีมานี้ของเขาก็พอให้อวดดีได้ จึงมีเพียงริชาร์ดที่เห็นเข้า  


 


 


“ดูไม่ออกเลยนะว่าคนโง่อย่างเอ็งรสนิยมดิบเถื่อนทีเดียว คิดไม่ถึงว่าจะชอบขาวบวกดำ…”  


 


 


มันยังพูดไม่จบก็ถูกจางจื่ออันหนีบปากนกไม่ให้พูดต่อ  


 


 


เขาหันไปอธิบายกับภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นที่ยังงุนงง “อ๋อ เมื่อกี้ฉัน…เห็นยาแก้หวัดยี่ห้อขาวบวกดำน่ะ ก็เลยหยิบมาด้วย”  


 


 


ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นไม่สงสัยเขา ต่างก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง  


 


 


แต่เรื่องที่ต้องเน้นย้ำคือ จางจื่ออันไม่ได้มีรสนิยมชอบขาวบวกดำ แค่โอกาสลอยอยู่ตรงหน้า ไม่มีเวลาเลือกเท่านั้นเอง  


 


 


เขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงออกจากบ้าน เป็นอย่างที่เหล่าฉาพูด ลมพัดเปลวไฟมาทางตะวันตก ควันหนาคลุกเคล้าสะเก็ดไฟปะทะเข้าหน้า ไม่เดินต่อก็คงไม่ทันแล้ว  


 


 


“จื่ออัน! ระวัง!”  


 


 


จางจื่ออันกลับมาพร้อมความสำเร็จ แต่เพิ่งวิ่งร่าออกมาได้สองสามก้าว เขาก็ได้ยินเหล่าฉาร้องตกใจครั้งหนึ่ง  


 


 


เขาได้ยินแล้วก็ตะลึง ยังไม่ทันได้โต้ตอบ ตรงหน้าก็มีบางอย่างสั่นไหว จากหน้าก็รู้สึกเจ็บตรงหน้าอกขึ้นมา  


 


 


เขาอาศัยแสงไฟมองไป เห็นขั้วไฟฟ้าสีเงินทะลุไปตรงอกเสื้อ เป็นกระสุนช็อตไฟฟ้า!  


 


 


เขาถูกยิงแล้ว!  


 


 


“อ๊า!”  


 


 


เขากลิ้งล้มลงบนพื้น ตาทั้งสองข้างเหลือกขึ้น กัดฟันแน่น เจ็บจนชักเกร็งไปทั้งตัว  


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นต่างก็ตกตะลึงกับการจู่โจมกะทันหันนี้  


 


 


ข้างหลังขั้วไฟฟ้าสองด้านเชื่อมกับสายไฟยาวๆ เส้นหนึ่ง เชื่อมไปในความมืดของมุมบ้าน  


 


 


คนถือปืนเทเซอร์คนหนึ่งเดินออกมาจากความมืด สวมเสื้อและกางเกงสีขาว ท่าทางสง่างาม เป็นหลี่ผีเท่อนี่เอง  


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงที่จมูกไวและหูไวอย่างฟีน่า เฟยหม่าซือ และฟราเทอร์ไม่ได้อยู่ข้างๆ เหล่าฉารับผิดชอบดูต้นทาง หน้าที่หลักคือสังเกตสถานการณ์เพลิงไหม้ ป้องกันไม่ให้เปลวไฟลามมาถึงตัวเขาขณะกำลังปล้นบ้าน จึงไม่ได้สังเกตว่ามีคนแอบเข้ามาใกล้  


 


 


ส่วนวลาดิเมียร์ พาย และซิงไห่ ภูตสัตว์เลี้ยงเลื่อนลอยสามตัวนี้ไม่ได้มีประสาทสัมผัสไวเหมือนพวกนั้น  


 


 


อีกอย่าง ถึงพวกภูตสัตว์เลี้ยงสามตัวนั้นอยู่ข้างๆ แต่เวลานี้ทิศทางลมสับสนวุ่นวาย ควันหนาลอยไล่หลังมา พวกมันก็อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของหลี่ผีเท่อเหมือนกัน  


 


 


“ในที่สุดก็จับเธอได้แล้ว ในที่สุดเกมแมวจับหนูครั้งนี้ก็สิ้นสุดสักที” หลี่ผีเท่อหยุดฝีเท้าพร้อมรอยยิ้ม สายตากวาดมองเหล่าฉา วลาดิเมียร์ พาย และซิงไห่ครั้งหนึ่ง “มีน่าล่ะเธอถึงเหมือนมีเทพช่วย ที่แท้ก็มีพวกมันคอยช่วยเหลือนี่เอง”  


 


 


“เคยได้ยินประโยคนี้ไหม ‘ตัวร้ายตายเพราะพูดมาก’”  


 


 


จางจื่ออันที่ควรจะถูกช็อตจนแน่นิ่งกลับพลิกตัวขึ้นมากะทันหัน แล้วควักปืนเทเซอร์ของตัวเองเล็งไปยังหลี่ผีเท่อ  


 


 


ขั้วไฟฟ้าสองขั้ว ขั้วหนึ่งมุดเข้าไปในผิวหนังตรงหน้าอกของเขา ส่วนอีกขั้วกลับกลับถูกซีดีที่เขาซ่อนไว้ในอกบังเอาไว้ ตอนนี้ห้อยต่องแต่งแล้ว  


 


 


ขั้วไฟฟ้าไม่ได้ทำให้เกิดสื่อนำไฟฟ้าย้อนกลับ  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม