Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1559-1582

 ตอนที่ 1559 วัวหายล้อมคอก

 


นานๆ ทีริชาร์ดจะรวบรวมความกล้าเพื่อผดุงความยุติธรรมให้เผ่าพันธุ์นกสักครั้ง ยังไม่ทันพูดจบ มันก็ถูกฟีน่าถลึงตาใส่ สติของมันกระเจิดกระเจิงไปพันลี้ จากนั้นก็รีบอาศัยหัวของจางจื่ออันกำบังร่างกายของตัวเอง หลบสายตาของพวกมัน กลัวว่าตัวเองจะโดนจู่โจมแก้แค้น 


 


 


รออยู่สักพักหนึ่ง การจู่โจมแก้แค้นในจินตนาการของมันก็ไม่ได้เกิดขึ้น มันจึงยื่นหัวนกของตัวเองออกมาจากหลังหัวของจางจื่ออันด้วยตัวสั่นกลัว 


 


 


ที่เหนือความคาดหมายของมันคือ วลาดิเมียร์ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อครู่ใจเย็นลงแล้ว และพูดว่า “ริชาร์ดพูดมาก็มีเหตุผล ตอนอยู่เมืองปินไห่ ฉันก็พยายามควบคุมพวกแมวจรจัดไม่ให้ทำร้ายสัตว์ขนาดเล็ก อย่างน้อยก็ห้ามทำร้ายสัตว์ขนาดเล็กที่มีประโยชน์ แต่พวกหนูนี่ปล่อยไปไม่ได้ และไม่ต้องห่วงว่าหนูจะเสี่ยงสูญพันธุ์ แต่อย่าไปจับนกกิน ใช้ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษมาวิเคราะห์ ทุกสรรพสิ่งเหมือนกัน ไม่มีดำ แล้วจะมีขาวได้อย่างไร ไม่มีหนูอยู่ แล้วจะมีแมวบ้านในยุคปัจจุบันได้ยังไงกัน?” 


 


 


พูดไป พูดมา วลาดิเมียร์เหมือนจะจมอยู่ในห้วงความคิดและวิเคราะห์ด้านปรัชญา “มนุษย์ แน่นอนว่ารวมถึงแมวด้วย ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ย่อมฝืนธรรมชาติไม่ได้ แต่ธรรมชาติก็มีขีดจำกัด จึงต้องปรับสมดุลของตัวเองกับธรรมชาติอยู่ตลอด อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง และตอบสนองความต้องการของตัวเองด้วยเงื่อนไขข้อแรกนี้” 


 


 


มันกวาดสายตามองศพแมวพวกนี้ครั้งหนึ่งอย่างเศร้าใจ แต่เจ้าพวกนี้ไม่ได้ยินปรัชญาที่มันพูดถึงแล้ว 


 


 


พอจางจื่ออันได้ยินมันพูดแบบนี้แล้วก็รู้สึกคุ้นหู ราวกับกลับไปอยู่ในความหวาดกลัวสมัยถูกควบคุมด้วยหนังสือแบบเรียนการเมืองของมัธยม 


 


 


เหล่าฉาส่ายหน้าเล็กน้อย และตรวจสอบตัวเองอยู่ในใจ เมื่อครู่แม้แต่มันก็เกือบพลาดไปแล้ว ตอนนี้มันกังวลถึงความชอบธรรม รวมทั้งความยุติธรรม และความรู้ใหม่ๆ โลกใบนี้อาจจะมีความยุติธรรมอยู่จริง แต่อาจมองได้ในทางตรงกันข้าม ขึ้นอยู่กับว่ามองเห็นปัญหาในมุมมองของใคร 


 


 


ฟีน่าถอนหายใจ “ให้ข้าพูดถึงความยุติธรรมสักหน่อยเถอะ” 


 


 


จางจื่ออันอยากแขวะทันที เธอเคยมีความยุติธรรมด้วยเหรอ? แต่พอถูกมันถลึงตาใส่ เขาก็คิดว่ากลืนคำพูดกลับไปดีกว่า 


 


 


“นกพวกนี้แค่เคราะห์ร้าย ความผิดไม่ใช่ของแมวพวกนี้ และสัตว์ป่าที่ฆ่าแมวพวกนี้ตาย แต่เป็นคนซึ่งพาแมวพวกนี้เข้าป่ามาต่างหาก” ฟีน่าพูด 


 


 


จางจื่ออันได้ยินแล้วก็ประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวนี้จะมีความยุติธรรมมากจริงๆ ทักษะการโยนความผิดช่างช่ำชองเหลือเกิน 


 


 


ฟีน่าเหมือนจะรู้ว่าเขาแอบพึมพำอะไรในใจ มันจึงเหลือบมองเขาครั้งหนึ่ง “ข้าปฏิบัติตามกฎอย่างยุติธรรมมาโดยตลอด ไม่ลำเอียง ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ไม่เช่นนั้นจะปกครองประชาชนได้อย่างไร?” 


 


 


“ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ!” แม้เสวี่ยซือจื่อจะฟังไม่เข้าใจ แต่กลับประจบประแจงอย่างไม่ยอมเสียโอกาส 


 


 


“ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ! ขอฝ่าบาททรงเกษมสำราญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน” วลาดิเมียร์ช้าไปก้าวหนึ่ง แอบเสียใจอยู่เหมือนกัน แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา 


 


 


เห็นไหม ถ้าสองตัวนี้อยู่ในยุคโบราณต้องอาศัยการประจบจนเป็นใต้เท้าใหญ่โตได้แน่นอน จางจื่ออันคิดในใจ 


 


 


แขวะไปก็เท่านั้น คำพูดของฟีน่ามีเหตุผลมากจริงๆ 


 


 


ส่วนสัตว์ที่ไม่เข้าใจเหตุผล พวกมันไม่มีจิตสำนึกของความดีและความเลว ดังนั้นต้องให้มนุษย์มาคอยควบคุม ไม่ว่าจะเป็นแมวบ้านกินสัตว์ขนาดเล็กหรือสุนัขกัดคน สุนัขรบกวนคน สืบสาวราวเรื่องแล้วล้วนเป็นเพราะมนุษย์ไม่ได้ควบคุมให้อยู่ในระเบียบตามที่ควรจะมี 


 


 


เลี้ยงแต่ไม่สอน เป็นปัญหาของเจ้าของ สอนแต่ไม่ถูกวิธี เป็นความผิดพลาดของเจ้าของ 


 


 


แม้แมวเลี้ยงไม่จำเป็นต้องฝึกสอนเหมือนสุนัขเลี้ยง แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าของ พาแมวของตัวเองไปที่ไหนได้ไม่ได้ หรือไม่อยากเลี้ยงก็ทิ้งไว้ข้างนอกตามอำเภอใจ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ? 


 


 


ทอดทิ้งแมวให้ศูนย์รับเลี้ยงสัตว์จรจัดพาไป และถูกการุณยฆาตเพราะไม่มีคนรับเลี้ยงเป็นเวลานาน นี่แตกต่างอะไรกับการพาแมวเข้ามาในป่า ปล่อยให้กินนกและถูกสัตวป่าอื่นฆ่าล่ะ? 


 


 


ด้วยเหตุนี้ตำหนิศูนย์รับเลี้ยงสัตว์จรจัดว่าไม่มีความรับผิดชอบหรือโหดร้ายทารุณ ต่างก็ไม่ยุติธรรมทั้งนั้น 


 


 


ไม่อย่างนั้นใครจะออกเงินเลี้ยงแมวจรจัดไม่จบไม่สิ้น แล้วให้ใครจะมารักษาสมดุลของระบบนิเวศป่านี้ไม่ให้ถูกทำลายเหรอ? 


 


 


บทเรียนเกิดภัยหมาป่าไคโยตีเอ่อล้น เนื่องจากหมาป่าถูกฆ่าจนเกลี้ยง กระทั่งบุกรุกเข้ามาในเมืองยังไม่พอเหรอ? 


 


 


จางจื่ออันไม่ใช่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสุดโต่งแบบผู้ต้องสงสัยวาย แต่อย่างน้อยก็รักษาขอบเขตในฐานะที่เป็นคนมีการศึกษาในยุคปัจจุบัน นำอาหารเข้ามาในป่าเอง ทำให้กระเป๋าสะพายหนักมาเป็นพิเศษ นอกจากพ่นสเปรย์ใส่หมีดำตัวหนึ่งและเผาแบดเจอร์อเมริกันตัวหนึ่งเพื่อปกป้องตัวเอง ก็ไม่ได้ทำร้ายสัตว์ตัวไหนเพราะความหิวกระหายส่วนตัวเลย 


 


 


ป่าเรดที่ล้ำค่าไม่เพียงเป็นของอเมริกา แต่เป็นสมบัติของมวลมนุษยชาติด้วย ก็เหมือนไปเที่ยวต่างประเทศแล้วจะสลักว่า ‘XX มาเที่ยวที่นี่’ เพราะโบราณสถานนั้นเป็นของต่างประเทศไม่ได้ ที่เสียหายก็คือประเทศจีนทั้งประเทศ 


 


 


ความผิดมากมายนี้ ใครพาแมวพวกนี้เข้ามาในป่า ก็เป็นความผิดของคนนั้นนั่นแหละ 


 


 


ฟีน่าพยายามสงบเงียบเอาไว้ แน่นอนว่ามีเหตุผลอื่น แต่สิ่งสำคัญมากก็เป็นเพราะมันเข้าใจเหตุผลดี 


 


 


เหล่าฉาที่รำพึงฟ้าเวทนาคนถึงกับต้องถอนหายใจ “ริชาร์ดพูดถูก ข้าคิดว่าไม่สอนแต่เข่นฆ่าก็เท่ากับทารุณ…” 


 


 


เหล่าฉาพูดไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่พูดต่อ เพราะมันคิดดูแล้ว ทุกสรรพสิ่งไม่เหมือนกัน คล้ายกับไม่มีทางสอนได้ หรือว่าต้องให้เสือสักตัวมาอบรมสั่งสอนกระต่ายฝูงหนึ่งด้วยความจริงใจ ให้กระต่ายกินแต่แครอทเท่านั้น แต่อย่ากินสมุนไพรล้ำค่า? 


 


 


ถึงแม้จะสอนได้จริงๆ แต่กว่าพวกกระต่ายจะเข้าใจว่ากินไม่ได้ สมุนไพรอันล้ำค่าก็คงถูกกินจนหมดแล้ว หลักการถูกต้องแต่นำไปปฏิบัติจริงไม่ได้ 


 


 


อยากจะไล่สัตว์ที่มาจากข้างนอกด้วยมากแค่ไหน เพื่อรักษาระบบนิเวศของป่าดงดิบ วิธีที่เรียบง่ายและได้ผลสูงสุดก็คือฆ่าทั้งหมด เหมือนอย่างทางการเกษตรของอเมริกาฆ่าหมาป่าไคโยตีเจ็ดหมื่นกว่าตัวและสัตว์ป่าอื่นอีกสี่ล้านตัวเพื่อรักษาสัตว์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์เมื่อปี 2013 และฆ่าคล้ายๆ กันนี้ทุกปี 


 


 


พฤติกรรมของสัตว์ป่าเหมือนกับทางการเกษตรของอเมริกาเปี๊ยบ 


 


 


แน่นอนว่ายังมีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือหาแมวรอดชีวิตที่เหลือ ให้ฟีน่านำพวกมันเดินออกจากป่า ทำอย่างนี้ทั้งได้ประโยชน์กันอย่างถ้วนทั่ว และวัวหายล้อมคอก 


 


 


ปกติวลาดิเมียร์มีเหตุผลมาก แต่มันทนเห็นแมวทุกข์ยากไม่ได้ ดังนั้นจึงโมโหจนร้อนใจอยู่บ้างชั่วขณะ แต่ในเมื่อมันใจเย็นลงแล้ว ก็วิเคราะห์ปัญหาอย่างชาญฉลาด 


 


 


“ไฟไม่เปิดไม่สว่าง เหตุผลไม่แยกแยะไม่ชัดเจน! โต้เถียงเป็นเรื่องดี มีการโต้เถียงถึงจะได้ข้อสรุป!” วลาดิเมียร์โบกกรงเล็บอย่างเด็ดเดี่ยว “ตอนนี้พวกเราต้องคิดอย่างเป็นเอกฉันท์ รวบรวมความเห็นให้ตรงกัน แน่ใจในทิศทาง ดำเนินการอย่างเ**้ยมโหด คิดวิธีจัดการปัญหานี้ให้สิ้นซาก! ฉันคิดว่าน่าจะยึดหลักการ ‘ใครได้ประโยชน์ คนนั้นรับผิดชอบ’ ไม่ว่าใครจะพาแมวพวกนี้เข้ามาในป่าด้วยเหตุผลอะไร คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้!” 


 


 


วลาดิเมียร์ถนัดเรื่องรายงานผลสรุป ก็เหมือนเวลาหัวหน้าพูดจบประชุม พูดแล้วเป็นชุดๆ มีเหตุมีผล มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ชวนให้คนเชื่อถือ 


 


 


จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงฟังแล้วก็พยักหน้ารัว ไม่เห็นต่างกับมัน 


 


 


แล้วจะตามหาคนคนนั้นได้อย่างไรล่ะ? 


 


 


เฟยหม่าซือเสนอว่า “ในเมื่อนี่เป็นสถานที่เกิดเหตุ ฉันคิดว่าตามหาแถวนี้ก่อนก็ไม่เสียหาย อาจจะเจอเบาะแสอะไรก็ได้” 


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงรับข้อเสนออย่างว่าง่าย และแยกย้ายกันไปตามหาบริเวณนี้ 


ตอนที่ 1560 ลางสังหรณ์ของเสวี่ยซือจื่อ

 


แมวตายสี่ตัวเมื่อวานหนีแล้วถึงเสียเลือดตาย ไม่ได้ตายในที่เกิดเหตุ อาจจะเป็นเพราะสัตว์ป่าตัวนั้นหรือฝูงนั้นเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ ลงมืออย่างเ**้ยมโหด ส่วนมีแมวบาดเจ็บหนีไปได้ไหม นั่นก็พูดยาก 


 


 


การหาเบาะแสยังต้องพึ่งสัมผัสทั้งห้าของพวกภูตสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก ส่วนจางจื่ออันรับหน้าที่ตรวจสอบศพแมวพวกนี้ทีละตัว ดูว่าพอจะหาเบาะแสบางอย่างเจอจากศพได้หรือเปล่า 


 


 


“ฟู่! ทำเอาข้าตกใจแทบตาย!” 


 


 


หลังจากพวกภูตสัตว์เลี้ยงแยกย้ายไปแล้ว ริชาร์ดที่ยืนอยู่บนไหล่ของเขา ก็ใช้ปีกลูบหน้าอกของตัวเอง แล้วพูดด้วยความกลัว 


 


 


“กึ๋นนกของนายไม่เล็กเลยนะ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดขนาดนี้” เขาหัวเราะเยาะ 


 


 


“แกว๊กๆ! ท้าทายความเป็นความตาย ต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้! แต่เรื่องนี้เอ็งทำไม่ถูกที่นะ ในฐานะที่เป็นนกเหมือนกัน ต้องยืนกรานยึดมั่นตามความเป็นธรรม” ริชาร์ดทำท่าทางวิจารณ์ 


 


 


“อะไรนะ? ทำไมฉันถึงเป็นนกเหมือนกันล่ะ?” เขาตะลึง 


 


 


“แกว๊กๆ! พวกเขาไม่ได้เรียกเอ็งว่าไก่อ่อนเหรอ? เอ็งยังกล้าปฏิเสธอีก?” 


 


 


“เชี่ย! ใครกล้าเรียกอย่างนั้น ฉันจะจับพวกเขากดน้ำให้ตายทีละคนเลย!” 


 


 


ปากก็พูดเล่นเรื่อยเปื่อย แต่ในมือเขาไม่ว่างเลย เขาใส่ถุงมือพลิกขาสี่ข้างของศพแมว หาขนของสัตว์ป่าตามซอกกรงเล็บได้จริงๆ กระทั่งรอยเลือดส่วนหนึ่ง น่าเสียดายที่ยังดูไม่ออกว่าเป็นสัตว์อะไร 


 


 


หญ้ามากมายตรงกลางที่ว่างถูกทับจนเรียบเป็นวงกว้าง เห็นได้ชัดว่าเคยเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดที่นี่ แมวพวกนี้ไม่ได้นั่งรอความตาย ด้วยการเคลื่อนไหวและสายตาของพวกมัน ถึงแม้เผชิญหน้ากับสัตว์ป่าขนาดใหญ่กว่าพวกมันมากก็กล้าต่อสู้ อาศัยจำนวนมากกว่า ต้องทำให้ศัตรูบาดเจ็บได้แน่นอน 


 


 


“ฉันหากลิ่นของสัตว์ป่าตัวนั้นเจอแล้ว น่าจะเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง!” เฟยหม่าซือพูดอยู่ไกลๆ 


 


 


“มีแค่ตัวเดียวเหรอ” จางจื่ออันถาม 


 


 


เฟยหม่าซือพยักหน้า ก่อนหน้านี้ที่เห็นหมาป่าฆ่าหมาป่าไคโยตีตัวนั้น มันก็จำกลิ่นของหมาป่าตัวนั้นไว้แล้ว 


 


 


“งั้นก็ตามไปดูเถอะ” 


 


 


พอได้รับการอนุญาตของเขา เฟยหม่าซือก็รับหน้าที่นำทางอีกครั้ง มุดตามกลิ่นที่หมาป่าทิ้งไว้ แล้วเข้าไปในป่า 


 


 


เสวี่ยซือจื่อบ่นไม่หยุด ให้เฟยหม่าซือวิ่งช้าๆ หน่อย เพราะมันตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน 


 


 


แม้เมื่อวานจางจื่ออันคิดว่าเรื่องแมวถูกสัตว์ป่ากัดตายค่อนข้างน่าสงสัย แต่เพราะเรื่องหารังโจรของหลี่ผีเท่อและช่วยเหลือเมแกนสำคัญกว่า จึงคิดจะเพิกเฉยไปก่อน ทว่าถ้าวันนี้ไม่จัดการเรื่องตรงหน้า พวกภูตสัตว์เลี้ยงอาจจะรู้สึกไม่พอใจ อย่างนั้นก็ยิ่งลำบาก ความสามัคคีกันถึงจะเป็นกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 


 


 


ฝูงกวางที่ตามอยู่ข้างหลังก็ได้กลิ่นหมาป่าเหมือนกัน แต่หมาป่าหายไปจากผืนป่านี้เกือบร้อยปีแล้ว ฝูงกวางรู้สึกว่ากลิ่นนี้มาจากสัตว์ป่าบางชนิด แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ป่าชนิดไหน ด้วยเหตุนี้แม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ยังคงตามจางจื่ออันต่อไป 


 


 


เฟยหม่าซือมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พลางก้มหน้าดมกลิ่นของหมาป่าตัวนั้นไปด้วย และนำทีมเดินเข้าไปในหนองน้ำแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว 


 


 


หนองน้ำนี้ตั้งอยู่ด้านหลังเนินเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง บังลม อากาศร้อนอบอ้าว พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง มีเถาวัลย์มากมายพันเหมือนยุคจูราสิค ทางที่พอเดินได้แทบจะไม่มีเลย ถ้าไม่ปีนข้ามเถาวัลย์ ก็ต้องลอดผ่านไป 


 


 


ที่นี่บีบให้ทั้งทีมเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า 


 


 


รอบๆ นี้นอกจากเถาวัลย์ก็มีแต่เถาวัลย์ จางจื่ออันยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร แต่เฟยหม่าซือกลับรู้สึกว่าแปลกๆ ตั้งแต่ทีแรก ทีมเหมือนจะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนตลอดเวลา กลิ่นจึงปิดตายอยู่ที่นี่แล้ว 


 


 


“เมี๊ยวๆๆ? มีกลิ่นเพิ่มขึ้นมาอีก…” 


 


 


ตอนนี้เอง เสวี่ยซือจื่อที่เดินโซเซอยู่หลังสุดก็พลันรู้สึกเหมือนเกิดไฟฟ้าสถิตทั่วร่าง เหมือนเห็นสิ่งของน่ารังเกียจ ร่างกายจึงตอบสนองถึงความรู้สึกขยะแขยง แต่ปฏิกิริยาแบบนี้มักจะหมายความว่าสัตว์ตัวผู้ที่น่ารังเกียจกำลังแอบเข้าใกล้ อาจจะอยากยื่นมือหมูเค็มมาสัมผัสมันด้วย 


 


 


จากนั้นก็มีกลิ่นคาวมาเตะจมูก มันเบิกตาสีฟ้าแวววาวจนกว้าง ก็เห็นหมาป่าที่ตัวใหญ่กว่ามันมากตัวหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แถมยังแยกเขี้ยวแหลมส่องประกายความน่ากลัวด้วย 


 


 


เสวี่ยซือจื่อไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ มันเห็นสถานการณ์คับขัน ไม่ถอยแต่เดินหน้า กลิ้งลอดใต้ตัวของหมาป่าตัวนั้น ตอนกลิ้งไปถึงใต้ท้อง มันยังกางเล็บแมวออกมาจนสุดแล้วข่วนไปด้วย  


 


 


“ถุยๆๆ! ขนยาวไม่เป็นระบียบ ยังคิดจะเอาเปรียบข้า!” 


 


 


ดีที่แขนของเสวี่ยซือจื่อสั้น แต่ขาหลังของหมาป่ายาว ไม่อย่างนั้นคราวนี้…บนโลกคงจะมีขันทีเพิ่มขึ้นมาอีกคน 


 


 


แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ขาหลังข้างหนึ่งของหมาป่าก็ถูกเล็บของเสวี่ยซือจื่อข่วนเป็นรอยเลือด เจ็บจนต้องร้องครวญคราง ขากะเผลกน้อยๆ ไปในทันที 


 


 


พวกจางจื่ออันที่เดินอยู่ข้างหน้าพบว่าข้างหลังเกิดเรื่อง จึงรีบหันกลับมา และเห็นหมาป่าหนุ่มตัวนี้กำลังพยายามหนี 


 


 


ไม่ต้องให้เขาสั่ง พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็เข้าล้อมมันจากทุกทิศทันที เพื่อกันไม่ให้มันหนีไป 


 


 


“เสวี่ยซือจื่อ เธอโอเคไหม?” จางจื่ออันถามอย่างมีมารยาท 


 


 


“เฮอะ ข้าผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเท่าไรแล้ว? จะเรือล่มในหนองน้ำเล็กๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?” เสวี่ยซือจื่อกลอกตามองบน “แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าตัวนี้กล้าคิดไม่ชอบธรรมกับข้า ต้องตอนตามกฎ!” 


 


 


“เดี๋ยวก่อน เธออย่าเพิ่งขยับ” 


 


 


จางจื่ออันวางกระเป๋าสะพายลง แล้วหยิบกล่องยาออกมา ก่อนจะหยิบผ้าชุบแอลกอฮอล์ออกมาผืนหนึ่ง 


 


 


“ทำอะไร?” เสวี่ยซือจื่อสงสัย 


 


 


“เช็ดกรงเล็บเปื้อนเลือดของเธอไง” 


 


 


จางจื่ออันรู้ว่าเสวี่ยซือจื่อไม่เหมือนกับแมวทั่วไป พอว่างก็ชอบเลียกรงเล็บตลอด ปกติก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ตอนนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพื่อระงับความเป็นไปได้ทุกอย่างที่จะติดเชื้อโปรตีนพรีออน 


 


 


เสวี่ยซือจื่อไม่ค่อยยินยอมนัก แต่ระหว่างทางก็ได้ยินเรื่องโปรตีนพรีออนมาพอสมควร จึงกลั้นใจให้เขาเช็ดเลือดหมาป่าบนกรงเล็บดีกว่า 


 


 


จางจื่ออันใช้ปลายรองเท้าขุดหลุมเล็กๆ แล้วฝังผ้าชุบแอลกอฮอล์เปื้อนเลือดลงไปในดิน คราวนี้ถึงจะมีเวลาสังเกตหมาป่าหนุ่มตัวนี้อย่างละเอียด 


 


 


หลังคอและข้างหลังของมันมีขนถูกดึงทึ้งไปหลายจุด เผยให้เห็นเนื้อข้างใน ด้วยเพราะถูกข่วนจนเลือดออกอยู่หลายจุด แม้แต่บนหน้าของมันก็มีรอยกรงเล็บสองสามรอย เห็นได้ชัดว่าเป็นแผลที่ได้จากการต่อสู้กับแมวพวกนั้น แผลพวกนี้เป็นแผลเล็ก ไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหว แต่มีแผลสาหัสเล็กน้อยจากฝีมือของเสวี่ยซือจื่อ 


 


 


หลังจากถูกพวกภูตสัตว์เลี้ยงล้อมไว้ มันก็คำรามเสียงต่ำจากความเครียด สายตามองผ่านบนหน้าผากของภูตสัตว์เลี้ยงแมวทีละตัว ราวกับหาเป้าหมายไม่เจอ ก่อนที่สายตาจะตกลงที่ตัวของเสวี่ยซือจื่อ 


 


 


“ไม่ต้องกลัว พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ทำร้ายนายหรอก” จางจื่ออันแบมือทั้งสองข้าง บอกให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงถอยไปหน่อย อย่าประชิดตัวมันมากเกินไป เพราะจะทำให้มันเครียดเอาได้ 


 


 


เขาพยายามรักษาน้ำเสียงให้สงบนิ่งและใจเย็นมากที่สุด ส่งความรู้สึกสงบไปให้มัน แต่ก็เตรียมหยิบปืนช็อตไฟฟ้าหรือสเปรย์ป้องกันหมีออกมาป้องกันตัวตลอดเวลา 


 


 


แม้หน้าตาภายนอกจะเหมือนกับสุนัข แต่แววตาของหมาป่าหนุ่มเต็มไปด้วยพลังชีวิตของสัตว์ป่า แตกต่างกับสัตว์เลี้ยงในบ้านโดยสิ้นเชิง 


 


 


ทีแรกมันคิดจะหนี แต่ไม่ว่ามันพยายามหนีไปทางไหน ก็จะมีภูตสัตว์เลี้ยงขวางมันไว้ตลอด ภูตสัตว์เลี้ยงพวกนี้ไม่เหมือนแมวที่มันจู่โจมก่อนหน้านี้ เพราะไม่กลัวมันเลยด้วยซ้ำ 


 


ตีฝ่าวงล้อมล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าหนีไม่รอดแล้ว 


ตอนที่ 1561 หอมจริงๆ

 


พอได้ยินที่จางจื่ออันเตือน พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ และรักษาระยะปลอดภัยอยู่ตลอด แค่คอยกันไม่ให้หมาป่าตัวนี้หนีไปได้เท่านั้น ไม่ได้ทำให้มันโกรธหรือกลัวมากขึ้น 


แววตาและการกระทำของหมาป่า แสดงความหวาดกลัว โมโห ไม่พอใจ อัปยศ ผิดหวัง และความผิดพลาดออกมา มันรู้แค่ว่าตัวเองถูกล้อมเอาไว้แล้ว และสัญชาตญาณสัตว์ป่าบอกมันว่า สัตว์ที่ดูเหมือนจะธรรมดาพวกนี้ธรรมดาแค่ภายนอกเท่านั้น 


จางจื่ออันไม่เคยคุยกับหมาป่ามาก่อน จึงแอบเคร่งเครียดอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรข้างหน้าก็เป็นสัตว์ป่ากินเนื้อจริงๆ ตัวหนึ่ง เขาไม่ได้ตาไวและเคลื่อนไหวเร็วเหมือนพวกภูตสัตว์เลี้ยง ถ้าหมาป่าพุ่งเข้าใส่เขาจริงๆ…บอกว่าไม่กลัวก็คงจะโกหก 


แต่ยิ่งเป็นเวลาแบบนี้ ก็ยิ่งต้องสงบและเยือกเย็น เพราะสัตว์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ ฟังดูแล้วเหมือนความคิดทางด้านปรัชญา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายมนุษย์จะปรากฏในรูปแบบก๊าซที่หายใจออกมาและจากส่วนประกอบของเหงื่อ ด้วยการดมกลิ่นอันว่องไวของสัตว์ประเภทสุนัข ก็พอที่จะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ล้ำลึกกว่านั้น 


แม้เขาจะเพิ่งเคยคุยกับหมาป่าเป็นครั้งแรก แต่กลับคุ้นเคยกับสุนัขมาก โดยเฉพาะหลังจากรู้จักกับเสี่ยวไป๋และสุนัขจรจัดกองทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของมัน ก็ได้สัมผัสกับสุนัขดุร้ายขนาดใหญ่มากมาย ตอนนั้นเขาเดินเข้าไปในฝูงหมาเนื้อตัวทั้งสกปรก ทั้งเหม็น ทั้งดุร้ายฝูงใหญ่ เขากลัวจนขาอ่อนจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้อาหารพวกมันเป็นครั้งแรก ตอนเกือบจะทำให้สุนัขจรจัดโมโห ถ้าไม่ได้เสี่ยวไป๋ช่วยควบคุมเอาไว้อย่างเต็มกำลัง ก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ 


แล้วหมาป่ากับสุนัขขนาดใหญ่แตกต่างอะไรกันไหม? 


ถ้าจะให้พูดจริงๆ สุนัขขนาดใหญ่น่ากลัวว่าหมาป่าอีก เพราะหมาป่ากลัวคน แต่สุนัขขนาดใหญ่ไม่กลัวคน แม้กระทั่งสุนัขขนาดใหญ่มากมายก็ถูกเลี้ยงและฝึกเพื่อเป็นสุนัขคุ้มครอง…สุนัขคุ้มครองหมายถึงอะไร? พูดตรงๆ ก็คือสุนัขที่รับมือกับมนุษย์โดยเฉพาะ จึงถูกฝึกให้พุ่งเข้าหาคนและกัดคน 


สุนัขพันธุ์โดเบอร์แมนตัวหนึ่งอาจจะกัดหมาป่าในป่าไม่ได้สักตัว แต่กัดคนแล้วไม่ได้ห่วงหน้า พะวงหลังเหมือนหมาป่าแน่นอน 


ดังนั้นเขาจึงลองปรับสภาพจิตใจ นึกถึงเวลาพูดคุยกับสุนัขขนาดใหญ่ที่เป็นลูกน้องของเสี่ยวไป๋อยู่เงียบๆ และแอบปลอบตัวเองในใจตลอดว่า หมาตัวใหญ่ท่าทางอันตรายกว่านี้ยังไม่ทำอะไรฉัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมาป่าที่กลัวคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหรอกมั้ง? 


การแอบบอกตัวเองในใจค่อยๆ ได้ผล เขานึกถึงสุนัขใหญ่ท่าทางดุร้ายพวกนั้น ขอแค่คุ้นเคยกับมันแล้ว พวกมันก็ต่างอะไรกับสุนัขอ่อนโยนอย่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ตอนดีใจจะกลิ้งอยู่ตรงหน้าคุณเหมือนกัน ตอนได้กินอาหารเป็นรางวัลก็ร่าเริงเหมือนเด็กได้เครื่องเล่นเกม 


เหงื่อบนหน้าผากและบนตัวของเขาค่อยๆ ถูกลมพัดจนแห้งแล้ว 


การเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย แม้เขาจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่ก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นช้าลง ไม่ได้หายใจกระชั้นขนาดนั้นแล้ว สายตาที่มองไปยังหมาป่าก็ไม่ได้มองมันเป็นสัตว์ป่าอันตรายตัวหนึ่งอีก แต่มองมันเป็นสุนัขจรจัดที่หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในที่รกร้างตัวหนึ่ง 


อีกด้านหนึ่ง หมาป่ารู้สึกว่าพวกภูตสัตว์เลี้ยงไม่ได้คิดที่จะจู่โจมมัน บวกกับที่มันเสียกำลังไป ตอนนี้จึงละทิ้งความตั้งใจในการตีฝ่าวงล้อม และแลบลิ้นหอบอยู่กับที่ 


หลังจากใจเย็นลง มันก็มีแรงเหลือไปสังเกตโดยรอบ มันไม่แน่ใจการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของจางจื่ออัน แต่กลิ่นฮอร์โมนที่ลอยมาจากตัวของเขาทำให้มันรู้สึกว่าคนคนนี้กำจัดเจตนาร้ายต่อมันไปแล้ว ไม่ได้กำจัดแค่บนสีหน้าเหมือนในตอนแรก แต่กำจัดแบบที่ส่งออกมาจากในใจ 


มันหันหน้ามามองเขา ที่ทำให้มันค่อนข้างประหลาดใจคือ คิดไม่ถึงว่าเขาจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นอย่างใจเย็นด้วยท่าทางผ่อนคลายมาก 


จางจื่ออันนั่งลงไปแล้วจริงๆ เพราะด้วยความสูงของเขา ยืนขึ้นมาจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้มัน ในชีวิตตามความเป็นจริง ถ้าเจอคนตัวสูงแบบเหยาหมิง ถึงแม้เหยาหมิงยิ้มแย้มแจ่มใส คนทั่วไปก็ได้รู้สึกกดดันอยู่บ้าง 


ถึงนั่งลงแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาลดความระมัดระวัง ความจริงแล้วเขากอดเต็นท์ที่พับอยู่ข้างหลังไว้ที่หน้าอกเพื่อเป็นโล่กำบัง ระหว่างเต็นท์และหน้าอกยังซ่อนสเปรย์ป้องกันหมีเอาไว้ ถ้ามันพุ่งเข้ามากัดเขาจริงๆ เขาจะไม่ลงมือเอาคืน แต่จะใช้เต็นท์ยัดส่งเข้าไปในปากมันก่อน แล้วค่อยพ่นสเปรย์เข้าไปในตา 


อยากจะทำร้ายมันและอยากจะปกป้องตัวเอง สภาพจิตใจสองอย่างนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลิ่นฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาก็แตกต่างกันด้วย ดังคำพูดที่ว่า ’จิตใจทำร้ายคนอื่นไม่ควรมี จิตใจระวังคนไม่ควรขาด’ 


ไม่เพียงเท่านั้น เขายังขยิบตาให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงครั้งหนึ่ง บอกให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงนั่งลงด้วย 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงไม่เข้าใจวิธีคิดของเขา รู้สึกว่าวิธีของเขาสะเพร่าเกินไป แต่พวกมันอยู่กับเขามานานขนาดนี้ รู้ว่าเขาไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ถึงอย่างไรก็เป็นคนมากด้วยกลอุบาย ดังนั้นจึงนั่งลงพักเหนื่อยกันอย่างต่อเนื่อง 


ที่ตรงนี้สงบลงแล้ว ทีแรกยังได้ยินเสียงหอบหายใจอยู่บ้าง ต่อมาแทบจะเงียบเชียบโดยสิ้นเชิง 


จางจื่ออัพยายามนเลี่ยงไม่ให้สบเข้ากับสายตาของหมาป่า เดี๋ยวก็เงยหน้ามองท้องฟ้า เดี๋ยวก็มองเข้าไปในป่าอย่างเบื่อหน่าย 


ผ่านไปนานแล้ว พวกภูตสัตว์เลี้ยงเห็นหมาป่าตัวนี้ไม่คิดที่จะจู่โจม จึงพากันหาวฟอดหนึ่ง 


บรรยากาศตึงเครียดหายไปแล้ว 


เขาแปลกใจกับหมาป่าหนุ่มตัวนี้มาก อยากรู้ว่าทำไมมันถึงต้องกัดแมวพวกนี้ มีคนให้มันทำอย่างนี้หรือเปล่า? 


เขาอยากคุยกับมันอย่างสันติ แต่ก็รู้ว่ามันไม่สามารถตอบเขาเป็นคำพูดได้ จึงคิดว่าการกระทำของตัวเองในตอนนี้เสียเวลาทีเดียว ประโยชน์อยู่ตรงไหนล่ะ? 


หรือลองผูกมิตรไหม? 


เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า การสุนัขพัฒนามาจากการฝึกหมาป่า แต่ไม่ได้มีต้นกำเนิดอยู่ที่แอฟริกาเหนือหรือตะวันออกกลางเหมือนแมว และคนโบราณทั่วโลกต่างก็พากันฝึกสอนหมาป่า ดังนั้นการฝึกสอนหมาป่าควรจะง่ายกว่าการฝึกแมวเล็กน้อย 


เขาไม่ขอฝึกหมาป่าตัวนี้ อย่างนั้นเสียเวลาและเสียแรงเกินไป แล้วก็ไม่มีประโยชน์ด้วย ถึงแม้ฝึกแล้วก็ยังพามันไปตามอำเภอใจไม่ได้…แต่ผูกมิตรยังมีความเป็นไปได้ ในประวัติศาสตร์มีตำนานที่คนเป็นเพื่อนกับหมาป่าไม่น้อย และมีนิทานของท่านตงกัวกับหมาป่า สิ่งเหล่านี้อธิบายว่าคนโบราณมักจะอยู่ร่วมกับหมาป่า หมาป่าไม่ได้เห็นหน้าแล้วคิดอยากกินคนเลย แม้ความจริงของตำนานและนิทานพวกนี้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่น่าจะไม่ได้แต่งขึ้นมาลอยๆ 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาก็หยิบแท่งโปรตีนอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ของสิ่งนี้ไม่ได้มีแค่คนที่กินได้ เป็นอาหารของพวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ได้เช่นกัน ส่วนผสมของมันมีน้ำตาลน้อยจนแทบไม่มี 


เขาไม่ได้กินคนเดียว ยังโยนไปให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงที่กำลังหิวด้วย ทุกคนกินด้วยกัน 


หมาป่าแอบตะลึงกับการกระทำของพวกเขา และกลิ่นหอมของอาหารก็ทำให้มันน้ำลายสอ 


“นายอยากกินไหม?” 


จางจื่ออันโยนแท่งโปรตีนไปให้มันอันหนึ่ง แท่งโปรตีนกลิ้งอยู่บนพื้นสองสามครั้ง ก่อนจะตกลงตรงหน้ามัน 


มันถอยหลังสองสามก้าวอย่างเคร่งเครียด พลางจับจ้องแท่งโปรตีนเหมือนจ้องของอันตรายบางอย่าง 


ผ่านไปสิบกว่าวินาที แท่งโปรตีนก็ไม่ได้แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดแยกเขี้ยว แต่กลับ…ส่งกลิ่นหอมมาก 


ตอนที่ 1562 เสียงร้องเรียกของป่ารกร้าง

ที่จริงจางจื่ออันทั้งดมทั้งชิมไปแล้ว แท่งโปรตีนไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีกลิ่นหอม คนในยุคปัจจุบันที่กินอาหารรสชาติล้ำเลิศจนเคยชินกินแล้วคงไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไร 


 


แต่สำหรับหมาป่าที่มีชีวิตอยู่ในป่าแล้ว หากตัดแมวที่มาใหม่พวกนั้นไป ปกติอัตราความสำเร็จมีแค่หนึ่งในสิบส่วน หนึ่งอาทิตย์ถึงจะกินสักหนึ่งมื้อ ทำได้แค่กินเหยื่อโชกเลือดสดๆ ที่จับมาได้อย่างยากลำบาก ชินกับกระดูกที่แทะยากและขนติดตามไรฟันแล้ว เมื่อจู่ๆ เจอของที่ทั้งนุ่มทั้งน่าดมขนาดนี้ ก็อดดมไม่ได้ 


 


มันเห็นจางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงกินของสิ่งนี้กันหมด จึงลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ต้านทานความหิวไม่ได้ ลองคาบแท่งโปรตีนเข้าไปในปาก และแทบจะกลืนลงไปทั้งอัน 


 


“ยังมีอันนี้อีก” 


 


จางจื่ออันรู้ว่าหมาป่าก็เหมือนอูฐ มักจะไม่กินอะไรทั้งอาทิตย์ แล้วกินปริมาณอาหารของทั้งอาทิตย์ในหนึ่งมื้อ แท่งโปรตีนเล็กน้อยแท่งเดียวไม่พอกระเพาะของมันแน่นอน เขาจึงโยนเนื้อวัวตากแห้งให้มันทั้งถุง 


 


หมาป่าต้านทานกลิ่นหอมรุนแรงของเนื้อตากแห้งไม่ได้โดยสิ้นเชิง กินเนื้อตากแห้งหมดภายในสองสามวินาทีโดยไม่แม้แต่จะลังเล จากนั้นก็เลียปากจ้องจางจื่ออันอย่างรอคอย 


 


เขาเปิดกระป๋องเนื้อน้ำแดงกระป๋องหนึ่ง แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ได้กินอะไร เปิดกระป๋องแล้วตัวเองเลยน้ำลายไหลก่อน 


 


ทิ้งฝากระป๋องที่เปิดแล้วไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่น้ำก็จะสาดไปทั่ว เขาจึงหยิบกระป๋องส่ายไปมาข้างหน้ามันสองครั้ง และวางลงห่างจากหน้ามันครึ่งเมตร เป็นการบอกให้มันเข้ามากิน 


 


เป็นสัตว์ประเภทสุนัขเหมือนกัน แม้แต่จางจื่ออันก็ต้านทางกลิ่นเนื้อน้ำแดงไม่ได้ หมาป่ายิ่งจ้องกระป๋องตาเป็นมัน หลังจากลังเลเล็กน้อยก็ยื่นปากเข้าไปในกระป๋อง และกินหมดภายในสองสามคำ 


 


สำหรับมันแล้ว กลิ่นเนื้อนี้แปลกเล็กน้อย ไม่เหมือนกับเนื้อดิบที่มันกินบ่อยๆ แต่นุ่มมาก เข้าปากแล้วได้รสชาติทันที 


 


“หมดแล้ว” 


 


จางจื่ออันแบมือยักไหล่ แสดงท่าทางว่านายดูฉันสิ ฉันไม่มีให้นายแล้ว 


 


ที่จริงเขายังมีอีก แต่กี่กระป๋องถึงจะเติมกระเพาะของหมาป่าตัวนี้จนเต็มได้ล่ะ? เป็นหลุมดำหรือยังไง 


 


หมาป่าโตเต็มวัยกินเนื้อมื้อหนึ่งได้เก้ากิโลกรัม พอจะเรียกได้ว่าราชันกระเพาะยักษ์ 


 


หมาป่ารออยู่สักพัก เห็นเขาไม่คิดจะหยิบอาหารออกมาต่อ มันก็จำใจต้องหมุนตัวถอยกลับไปสองสามก้าวอย่างผิดหวัง แต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนเป็นหมอบลงบนพื้น กระดกขาหลังข้างที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมา แล้วสอดหัวเข้าใต้หว่างขา ใช้ลิ้นเลียแผล 


 


แผลที่เสวี่ยซือจื่อข่วนไม่นับว่าลึกมาก ถึงอย่างไรมันก็ขาสั้น ข่วนให้เนื้อเปิดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายถึงเส้นประสาทและกระดูก 


 


คนแก่พูดกันว่าน้ำลายฆ่าเชื้อโรคได้ พอเด็กๆ ได้รับบาดเจ็บแล้วจะเลียแผลให้พวกเขา ด้วยเพราะเวลาสัตว์ได้รับบาดเจ็บแล้วเลียแผลหาย แต่ความจริงแล้วต้องแยกออกเป็นสองประเด็น 


 


สัตว์ได้รับบาดเจ็บ อาจจะเป็นการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือถูกสัตว์อื่นกัด แผลพวกนี้สกปรกมากอยู่แล้ว ความจริงใช้ลิ้นเลียได้ผลภายนอก อย่างน้อยก็ทำความสะอาดแผลได้ แต่ถ้าแผลไม่ได้สกปรกแต่แรก แล้วใช้ลิ้นเลียอีกก็จะให้ผลตรงข้ามกัน 


 


ส่วนคน เรื่องการเลียแผลนี้เป็นแค่ความเชื่อผิดๆ ใช้น้ำประปามาล้างยังดีกว่าเลียเสียอีก 


 


จางจื่ออันหยิบสารเหลวไฮโดรเจนและผ้าพันแผลออกมา ก่อนลองลุกขึ้น แล้วหมาป่าก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางระแวดระวังทันที จับจ้องการกระทำของเขา 


 


“ช่วยนายพันแผลสักหน่อยไง?” เขาใช้ผ้าพันแผลพันบนแขนของตัวเองสองสามรอบเป็นการสาธิต 


 


หมาป่าเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายของเขา 


 


ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์ป่ากินเนื้อตัวหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์กินพืชอย่างกวาง เรื่องพันแผลแบบนี้อันตรายเกินไป แถมดูท่าทางแผลไม่ลึกมาก เลือดหยุดไหลแล้ว คาดว่าถึงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไร 


 


กวางจ่าฝูงถูกกรงเล็บหมีแหลมเหมือนตะขอเหล็กข่วนจนบาดเจ็บ แผลลึกมาก ไม่พันแผลเลือดคงไม่หยุดไหล 


 


พูดถึงกวาง ตอนหมาป่าปรากฏตัว ฝูงกวางก็ถอยไปอยู่ในระยะปลอดภัยแล้ว พวกมันไม่รู้จักสัตว์ประเภทหมาป่า แต่ลางสังหรณ์บอกพวกมันว่าสถานการณ์แบบนี้อันตรายมาก 


 


นี่ก็อธิบายได้ว่าหมาป่าเพิ่งมายังอุทยานแห่งนี้จริงๆ 


 


จางจื่ออันเก็บสารเหลวไฮโดรเจนและผ้าพันแผลกลับเข้าไปในกระเป๋า 


 


อยู่แบบนี้ต่อไปไม่ใช่เรื่องดี เขาจึงยืนขึ้นเรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงครั้งหนึ่ง เตรียมออกเดินทางต่อ 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงจดจ่ออยู่กับการตามหาฆาตกรฆ่าแมวพวกนั้น ทีแรกอยากแก้แค้น ต่อมาอยากเห็นใบหน้าแท้จริงของฆาตกรสักครั้ง ตอนนี้พวกมันเห็นแล้ว แต่เหมือนจะทำอะไรไม่ได้ 


 


เหล่าฉาบอกว่า ไม่สอนแต่ฆ่าเท่ากับทารุณ 


 


หากตอนนี้พวกมันจู่โจมหมาป่าตัวนี้สักครั้ง หรือฆ่ามันไปแล้ว จะทำให้มันเข้าใจว่าทำไมมันต้องจู่โจม ทำไมมันต้องฆ่าไหม? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นนี่เท่ากับการทารุณ 


 


เจรจาไม่ได้ แถมยังฆ่าไม่ได้ อยู่ต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย 


 


พวกมันพักพอแล้ว จึงคิดจะจากไปกับจางจื่ออัน 


 


หมาป่ามองการเคลื่อนไหวของพวกเขา ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย 


 


ตอนนี้เอง หูของเฟยหม่าซือกับหมาป่าก็ขยับพร้อมๆ กัน ราวกับได้ยินเสียงอะไรเข้า 


 


“หมาป่าหอน” 


 


เฟยหม่าซือมองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วพูดขึ้น 


 


“ทำไมฉันไม่ได้ยิน?” 


 


พอพูดออกไป จางจื่ออันก็รู้สึกว่าเป็นคำพูดไร้สาระ การได้ยินของเขาไม่ได้ว่องไวเหมือนพวกภูตสัตว์เลี้ยง ไม่ได้ยินก็แสดงว่าอยู่ห่างกันเกินไปแน่นอน 


 


เฟยหม่าซือได้ยินหมาป่าหอน แต่มันไม่เข้าใจความหมาย ถึงอย่างไรสุนัขกับหมาป่าก็อยู่คนละทางมามากกว่าหมื่นปี เพียงพอที่จะสร้างระบบภาษาซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 


 


หมาป่าได้ยินเสียงประมาณสองสามวินาที มันก็ก้าวขาวิ่งไปอีกทางหนึ่ง 


 


จางจื่ออันกับเฟยหม่าซือสบตากัน ฝ่ายหลังพยักหน้า ความหมายคือทางนั้นมีหมาป่าหอน 


 


“ตามไปดู” 


 


เขาโบกมือให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงตามไป 


 


เนื่องจากหมาป่าได้รับบาดเจ็บที่ขาหลัง จึงวิ่งได้ไม่เร็วนัก และเดินทางขรุขระมากไม่ได้ ดังนั้นพวกจางจื่ออันจึงไม่สิ้นเปลืองแรงตามไปด้วย 


 


ส่วนเสวี่ยซือจื่อก็เอาแต่โวยวายอยากให้ฟีน่าเช็ดหน้าให้มัน 


 


“จื่ออัน ข้าเกรงว่าถ้าหมาป่าตัวนี้รวมกลุ่มกับฝูงหมาป่า ตามไปแล้วเหมือนจะไม่ค่อยปลอดภัยนะ” เหล่าฉาพูดด้วยความเป็นห่วง “อีกทั้ง เรื่องที่พวกเราอยากรู้ หมาป่าตัวนี้บอกพวกเราไม่ได้ หมาป่าตัวอื่นก็น่าจะบอกพวกเราไม่ได้เช่นกัน” 


 


ทำไมหมาป่าต้องจงใจกัดแมว แล้วทำไมกัดแล้วถึงไม่กิน แต่ยอมหิ้วท้อง นี่เป็นเรื่องที่พวกภูตสัตว์เลี้ยงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ 


 


จางจื่ออันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็ถามคำถามแปลกประหลาดขึ้นมา “ฉันไม่ได้ยินหมาป่าหอน พวกนายได้ยินหมาป่าหอน แล้วยืนยันได้ไหมว่านั่นเป็นหมาป่าหอนจริงๆ?” 


 


คำถามนี้ทำเอาพวกภูตสัตว์เลี้ยงตะลึง 


 


“ไม่ใช่หมาป่าจริงๆ หอน ยังเป็นหมาป่าปลอมได้เหรอ” เฟยหม่าซือถาม 


 


“ก็ไม่แน่ ฉันแค่รู้สึกว่าเป็นไปได้” 


 


เขาเดินไปด้วย อธิบายไปด้วย 


 


นักล่าสัตว์ทางฝั่งอเมริกาเหนืออยากล่าหมาป่าไคโยตี อันดับแรกต้องหาหมาป่าไคโยตีให้เจอก่อน แต่จะหาอย่างไรล่ะ? 


 


หมาป่าไคโยตีจะใช้เสียงร้องสื่อสารกันในระยะไกล ดังนั้นพวกนักล่าสัตว์เลยคิดวิธีขึ้นมา บันทึกเสียงหอนของหมาป่าไคโยตีตัวอื่นเอาไว้ จากนั้นฝังเครื่องกระจายเสียงไว้ใต้ดิน มักจะดึงดูดฝูงหมาป่าไคโยตีมาได้ พวกเขาเรียกวิธีนี้ว่า Coyote call (เรียกหมาป่าไคโยตี) 


 


ถ้าวิธีนี้ดึงดูดหมาป่าไคโยตีได้ งั้นจะมีคนใช้วิธีนี้มาดึงดูดหมาป่าไหม? 


1563

พอฟังคำอธิบายของจางจื่ออันแล้ว พวกภูตสัตว์เลี้ยงทั้งรู้สึกแปลกใหม่ ทั้งรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่ายังมีนักล่าสัตว์บันทึกเสียงหอนของหมาป่าไคโยตีเพื่อล่อและล่าหมาป่าไคโยตี พลังของเทคโนโลยีน่ากลัวจริงๆ


 


 


ว่ากันว่าหมาป่าไคโยตีเจ้าเล่ห์มาก หลังจากใช้เสียงท่อนหนึ่งไปครั้งหนึ่ง แล้วเปิดเสียงท่อนเดียวกันซ้ำอีก พวกหมาป่าไคโยตีไม่มีทางติดกับ นักล่าสัตว์จึงต้องเปลี่ยนเสียงบันทึกอยู่บ่อยๆ เสียงบันทึกก็ไม่ได้ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะผู้คนไม่รู้ว่าเสียงบันทึกที่เปิดไว้มีเนื้อหาอะไร บางทีหมาป่าไคโยตีอาจจะกำลังสื่อสารว่า ใครเข้ามาก็ฆ่าคนนั้น


 


 


เขาพูดกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงที่อยู่ข้างหลัง เขายังไม่เข้าใจว่าแปลกตรงไหน ก็ได้ยินพวกภูตสัตว์เลี้ยงร้องตกใจเป็นเสียงเดียวกัน “แมวพวกนั้นล่ะ?”


 


 


จางจื่ออันมองไปรอบๆ อย่างเคร่งเครียด มือควานหาปืนเทเซอร์และสเปรย์ป้องกันหมี แล้วพูดเสียงเบาว่า “หรือว่า…ถูกสัตว์กินซากคาบไปแล้ว?”


 


 


นี่เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด ในป่ามีสัตว์กินซากตัวเล็กใหญ่มากมาย รวมถึงหมาป่าไคโยตีและหมีดำ พวกมันไม่ปล่อยอาหารที่มาถึงมือง่ายๆ ไปหรอก ถึงแม้จะเป็นศพตายมาหลายวันแล้วก็ตาม


 


 


เขารู้ว่าข้างหลังอาจจะมีหมีดำและฝูงหมาป่าไคโยตีดักรอโอกาสแก้แค้นอยู่ตลอด พวกมันอาจจะถือโอกาสตอนที่เขาออกไปตามรอยหมาป่า แล้วมาเก็บกวาดสนามรบที่นี่


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงเพิ่มความระมัดระวังขึ้น ถ้ามีหมีดำหรือหมาป่าไคโยตีตามมาจริงๆ ก็เป็นไปได้มากว่ายังอยู่แถวนี้


 


 


หมาป่าหนุ่มจ้องที่ว่างด้วยความงุนงงเล็กน้อย มันวิ่งเข้าไปในที่ว่างแล้วดม แล้วจึงหันมามองจางจื่ออันครั้งหนึ่ง แล้วหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง


 


 


เฟยหม่าซืออ้อมที่ว่างไปดมดูเช่นกัน ตัดพวกนกกินซากประเภทอีกาออกไป ถ้าหมีกับหมาป่าไคโยตีตามมาจะต้องทิ้งกลิ่นใหม่ไว้แน่นอน


 


 


แต่หลังจากดมแล้วมันกลับตะลึง และดมอีกครั้งราวกับไม่เชื่อจมูกของตัวเอง


 


 


“เป็นอะไรไป เฟยหม่าซือ?” เขาสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของมัน


 


 


เฟยหม่าซือพูดด้วยท่าทางประหลาดใจ “ไม่มีกลิ่นของหมาป่าไคโยตีกับหมีดำ แต่เหมือน…”


 


 


มันตกตะลึงเกินไป อึ้งอยู่นานถึงจะพูดออกมาได้ “แต่เหมือนแมวพวกนั้นไปเอง…”


 


 


ไปเอง?


 


 


จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงได้ยินแล้วก็ตะลึง แมวสิบกว่าตัวนั้นตายไปแล้วชัดๆ ศพก็เย็นหมดแล้ว เขาตรวจสอบศพของแมวแทบจะทุกตัวแล้วด้วย เห็นรูรอยฟันบนตัวพวกมันกับตาตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแมวตัวไหนแกล้งตาย หรือบาดเจ็บหนักแต่ไม่ถึงตาย มิหนำซ้ำหากเป็นแมวแค่หนึ่งหรือสองตัวก็ช่างเถอะ เขาลืมตาก็ดูไม่ออก แต่แมวสิบกว่าตัวหายไปหมดเลยได้อย่างไร?


 


 


ล้อเล่นอะไรกัน! ฝูงแมวหลอกฉันได้ แกล้งตายต่อหน้าต่อตาเลยงั้นเหรอ!


 


 


อย่าว่าแต่เขาไม่เชื่อเลย พวกภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นก็ไม่เชื่อ ภูตสัตว์เลี้ยงที่จมูกไวทุกตัวดมรอบๆ ที่ว่างครั้งหนึ่ง ดูจากสีหน้าของพวกมันแล้ว ได้ข้อสรุปเหมือนกับเฟยหม่าซือ


 


 


กลิ่นไม่หลอกสัตว์ ช่วงเวลาที่พวกเขาเพิ่งออกไป บริเวณที่ว่างไม่มีกลิ่นใหม่ปรากฏออกมา ตัดสถานการณ์มีคนหรือสัตว์พาศพแมวออกไปได้เลย กลิ่นใหม่ที่สุดก็คือกลิ่นของแมวพวกนั้นจากไปเองทั้งหมด


 


 


หลังจากกำจัดความเป็นไปได้ทั้งหมด ที่เหลือก็ยากจะรับได้อีก แต่ก็เป็นเรื่องจริงแล้ว


 


 


“หรือว่าแมวพวกนั้นยังไม่ตาย?” จางจื่ออันพยายามหาคำอธิบายที่มีเหตุผล “บาดเจ็บหนักจนสลบ หรือรอบๆ มีพืชอะไรให้ผลเหมือนยาชา…แม้ความเป็นไปได้แบบนี้จะน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้เลยสินะ?”


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงเงียบไม่พูดต่อ


 


 


ลูปความคิดของคนมีผลกระทบอย่างหนักต่อวิสัยทัศน์ แต่พวกสัตว์นำวิสัยทัศน์กับการดมกลิ่นมาวิเคราะห์รวมกันได้


 


 


สัตว์มีชีวิตอยู่ตัวหนึ่ง กับสัตว์ที่ตายไปนานมากแล้วตัวหนึ่ง วัตถุเคมีภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว กลิ่นที่กระจายออกมาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกภูตสัตว์เลี้ยงได้กลิ่นความแตกต่างพวกนั้น


 


 


แมวพวกนั้นตายแล้วจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม พวกมันถึงยืนขึ้นมาอีก แล้วเดินออกจากที่ว่างนี้ทีละก้าวด้วยสภาพที่ตายไปแล้ว พวกภูตสัตว์เลี้ยงได้กลิ่น แม้กระทั่ง ‘มองเห็น’ ร่องรอยของกลิ่นที่พวกมันพาไปตอนออกไป


 


 


เหมือนเป็น…ศพเดินได้


 


 


พอเห็นสีหน้าเหมือนท้องผูกของพวกภูตสัตว์เลี้ยง จางจื่ออันก็ได้รับคำตอบจากพวกมันแล้ว


 


 


“เมี๊ยวแล้วก็เหมียว! เหมียวเขาสิเรื่องนี้ผิดปกติจริงๆ!” วลาดิเมียร์ที่กล้าต่อสู้กับฟ้าดินมาโดยตลอดแสดงอาการงุนงงออกมาอย่างหาได้ยาก


 


 


“เจี๊ยกๆ!” พายขดตัว กอดกระบองไม้อันเล็กของมันเอาไว้แน่น


 


 


“แกว๊ก? แกว๊ก? ข้าเกลียดหนังสยองขวัญกับหนังเอเลี่ยน! ไม่ได้ ข้าเหมือนจะปวดฉี่ขึ้นมาแล้ว…” ริชาร์ดตีปีกบินไปจัดการปัญหาทางกายภาพบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง


 


 


จางจื่ออันจินตนาการว่า แมวสิบกว่าตัวที่ควรตายไปแล้ว อยู่ๆ ก็ยืนขึ้นมา และเดินเรียงแถวโซเข้าไปในป่าราวกับผีดิบ ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน…


 


 


เฟยหม่าซือหันหน้ากลับมาทันควัน “แมวตายสี่ตัวเมื่อวาน…”


 


 


ถ้าวันนี้แมวตายสิบกว่าตัวนี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ อย่างนั้นแมวตายสี่ตัวที่พวกเขาเจอเมื่อวานก็ทำได้เหมือนกัน…


 


 


จางจื่ออันส่ายหน้าช้าๆ “แมวสี่ตัวเมื่อวานถูกฉันฝังแล้ว พวกนายก็เห็น ถึงแม้พวกมันมีชีวิตอยู่ ก็คงยากจะคลานออกมาจากในดิน”


 


 


เมื่อวานเหล่าฉาคิดถึงความยุติธรรม ขอให้เขาฝังแมวตายสี่ตัวลงในดินเพื่อให้สุขสงบ เขาก็ทำตามแล้ว และเพื่อเห็นแก่ความรู้สึกของพวกภูตสัตว์เลี้ยง เขาจึงจงใจขุดหลุมให้ลึกเล็กน้อย ป้องกันไม่ให้ศพแมวถูกสัตว์กินซากขุดออกมากินจนสิ้นซาก แต่ดูท่าทางตอนนี้การกระทำของเขากลับทำให้เขาและพวกภูตสัตว์เลี้ยงกลัวว่าปัญหาจะย้อนกลับมา…


 


 


ถึงแม้แมวตายสี่ตัวนั้นยังมีชีวิตรอด แต่ร่างกายถูกโคลนดินกดไว้แน่นหนา ไม่มีที่ว่างสักนิด กระดูกข้อต่อขยับไม่ได้ พวกมันอยากขุดตัวเองออกมาคงเป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนคนคนหนึ่งถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่านั่ง แขน ร่างกาย และขาถูกมัดจนแน่น ขาไม่มีทางยืนขึ้นจากบนเก้าอี้ได้ด้วยกำลังของตัวเอง


 


 


“สวรรค์เป็นเมืองหยกขาว มีสิบสองหอคอยกับห้ากำแพง นักพยากรณ์ปลอบประโลมข้า และยังมอบเก้าชีวิต…” เหล่าฉาถอนหายใจยาวพลางขนลุกซู่ “หากเป็นเก้าชีวิตเช่นนี้ ข้ายอมมีแค่ชีวิตเดียว…”


 


 


ก่อนหน้านี้มีกวางซอมบี้ ต่อมามีแมวซอมบี้ มีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าเนี่ย?


1564ภายในเวลาสองวันสั้นๆ จิตใจของพวกภูตสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนผันไปหลายครั้งแล้ว


 


 


ทีแรกพวกมันรู้สึกโกรธแค้นเรื่องสัตว์ป่ากัดแมวตายกันถ้วนทั่ว แทบอยากจะลากฆาตกรออกมาให้มันชดใช้ด้วยชีวิต ต่อมาริชาร์ดพบว่าการมีอยู่ของแมวพวกนี้ทำให้นกหายากจำนวนมากต้องตาย พวกภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นเห็นเหตุผลของเรื่องราวชัดเจน และรู้สึกว่าแมวพวกนี้เป็นฝ่ายผิด ให้อภัยฆาตกรได้ก็จริง แต่พวกมันยังคงไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อมัน ตอนนี้พวกมันเข้าใจตัวจริงของฆาตกรแล้ว และเห็นแมวตายไปแล้วฟื้นคืนชีพ นี่มัน…


 


 


จิตใจของพวกมันสับสนจนถึงขีดสุด แนวคิดที่มีมาโดยตลอดถูกโค่นลงจนหมด


 


 


จางจื่ออันคิดมากกว่านั้นเล็กน้อย เขาไม่ใช่แมว จึงไม่ได้ถูกจู่โจมมากเหมือนพวกภูตสัตว์เลี้ยง และเขาก็ไม่ได้จมูกไวอย่างนั้น ดังนั้นพื้นที่จินตนาการจึงไม่ได้มากมายเหมือนพวกภูตสัตว์เลี้ยง


 


 


โปรตีนพรีออนแพร่เชื้อสู่แมวได้ จึงเกิดเป็นโรคแมวบ้า แต่ก็ไม่เคยได้ยินตัวอย่างว่ามีแมวที่ติดเชื้อแล้วฟื้นคืนชีพได้ ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ วงการวิทยาศาสตร์คงพังทลายไปแล้ว


 


 


เขายังค่อนข้างเชื่อว่าแมวพวกนี้ไม่ได้ตายแล้วฟื้นเหมือนซอมบี้ อาจจะเป็นเหตุการณ์บางอย่างที่เขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงคิดไม่ถึง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้เห็นทั้งกระบวนการด้วยตาตัวเอง


 


 


“ช่างเถอะ อยู่ที่นี่ก็เดาเหตุผลไม่ได้ หมาป่าตัวนั้นไปแล้ว ถ้าพวกเราเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกคงถูกสลัดทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว”


 


 


เขาหันไปมองทางที่หมาป่าหนุ่มจากไปครั้งหนึ่ง แม้พวกภูตสัตว์เลี้ยงจะตามกลิ่นของมันไปได้ แต่ถ้าข้างหน้าเป็นฝูงหมาป่า ให้หมาป่าที่คุ้นเคยแนะนำก็ดีกว่า


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงพากันอึ้งไปกันหมด ไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรชั่วขณะหนึ่ง ภูตสัตว์เลี้ยงใจกล้าอยากไปขุดดินที่ฝังแมวสี่ตัวไว้เมื่อวาน ดูว่าแมวสี่ตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่ไหม ส่วนภูตสัตว์เลี้ยงที่ใจเสาะกลับอยากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


อย่างน้อยคำถามหนึ่งก็เผยเงื่อนงำออกมาแล้ว ก็คือทำไมหมาป่ากัดแมวตายแล้วไม่กิน ถึงแม้เป็นในเกมหรือภาพยนตร์ มีคนฆ่าซอมบี้ตายแล้วจะกินศพซอมบี้ไหมล่ะ?


 


 


แต่ทำไมหมาป่าถึงรู้เรื่องนี้ล่ะ? หูตาสว่างเองคงจะเป็นไปไม่ได้ หมาป่ามีความตระหนักรู้แบบนี้ได้อย่างไรกัน? หรือจะเกิดสติปัญญาแล้ว? ถึงแม้จะมีคนตั้งใจฝึกสุนัขนักล่าฝูงหนึ่งให้ทำอย่างนี้ ก็คงต้องเสียเวลามาก


 


 


อย่างมากก็มีใครสั่งให้พวกหมาป่าทำแบบนี้ ขอแค่ตามหมาป่าหนุ่มตัวนี้ไป ก็อาจจะหาความจริงเจอ


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงถูกเขาโน้มน้าวแล้ว จึงตามกลิ่นของหมาป่าหนุ่มออกจากที่ว่าง เข้าไปในป่าอีกครั้ง


 


 


หมาป่าหนุ่มเดินช้า และเหมือนจะตั้งใจรอพวกเขา สักพักหนึ่งพวกเขาก็ตามมันทันแล้ว


 


 


มันเดินๆ หยุดๆ ก้มหน้าดมกลิ่นตรงรากต้นไม้อยู่ตลอด และยังเอียงคอไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร


 


 


“มีกลิ่นฉี่ของหมาป่าตัวผู้ตัวอื่น” เฟยหม่าซือเตือนเสียงเบา


 


 


ถ้าพูดอย่างนั้น หมาป่าหนุ่มก็น่าจะไปรวมกับฝูงหมาป่าจริงๆ ที่พเนจรล่าและฆ่า ‘แมวซอมบี้’ ในป่าคงจะไม่ได้มีแค่หมาป่าตัวเดียว


 


 


จางจื่ออันพยักหน้า กำลังจะตอบ อยู่ๆ ภูตสัตว์เลี้ยงที่หูไวก็เงยหน้าขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ราวกับตกอกตกใจ


 


 


ทีแรกจางจื่ออันไม่ได้ยินอะไร แต่หลังจากนั้นสองสามวินาที เสียงสั่นเทือนก็ดังส่งมาจากข้างหลังอย่างรวดเร็ว แถมยังดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วย


 


 


เขาเงยหน้าขึ้น เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังบินมาจากหลังช่องเล็กๆ ระหว่างใบไม้ ทันใดนั้นก็ผ่านหัวไป ลมแรงที่เกิดจากใบพัดทำให้ยอดต้นไม้ขยับเล็กน้อย ส่วนใบไม้และกิ่งไม้บางๆ ก็ร่วงลงมาดังซ่าเหมือนหยดน้ำฝน


 


 


เฮลิคอปเตอร์?


 


 


ได้เห็นเฮลิคอปเตอร์ในป่าลึกด้วยเหรอเนี่ย?


 


 


เขานึกถึงเสียวเสวี่ยเป็นอันดับแรก เพราะก่อนเขาจะเข้ามาในป่า เขาไหว้วานเสียวเสวี่ยเรื่องหนึ่ง หลังจากเขาออกจากป่าแล้ว เขาจะรายงานความปลอดภัยของตัวเองกับเธอและคนอื่นๆ แต่ถ้าเขายังไม่ออกมาสักที ก็ขอให้เธอแจ้งตำรวจแทนเขา


 


 


ทำไมถึงไหว้วานเธอ? เพราะในบรรดาคนสนิทที่เขารู้จัก มีเพียงเธอที่กำลังท่องเที่ยวอยู่ในอเมริกา แถมยังอยู่ในรัฐเดียวกัน ไม่อย่างนั้นหากให้เพื่อนในประเทศจีนแจ้งตำรวจ ตำรวจอเมริกาคงจะคิดว่าเป็นเรื่องตลกแน่นอน


 


 


นอกจากเธอแล้ว เขาก็คิดไม่ออกว่ามีใครแจ้งตำรวจ


 


 


เธอแจ้งตำรวจแล้วเหรอ?


 


 


หรือว่าเฮลิคอปเตอร์ลำนี้มาค้นหาและช่วยชีวิตเขา?


 


 


เขาดีใจเล็กน้อย แต่ก็เสียดายอยู่บ้าง ที่ดีใจคือมีคนเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา ที่เสียดายคือแจ้งตำรวจเร็วเกินไปหน่อย เขายังไม่ถึงขั้นหมดหนทาง


 


 


เขาคลำหาพลุไฟในกระเป๋าสะพาย ลังเลว่าต้องจุดไฟขอความช่วยเหลือไหม


 


 


ถ้าเขาไม่ได้จุดพลุไฟให้ส่องแสงสีแดงจ้าเป็นสัญญาณ คนขับเฮลิคอปเตอร์จะมองไม่เห็นเขาที่อยู่บนพื้นดินผ่านกิ่งไม้และใบไม้อันเขียวชอุ่ม แต่ถ้าเขาจุดไฟแล้ว เฮลิคอปเตอร์ก็จะช่วยเขาไป และหมายความว่าการเดินทางครั้งนี้จะต้องจบลงแล้วเช่นกัน


 


 


พูดตามตรง เขาไม่พอใจมาก เพราะรู้สึกว่าเข้าใกล้ความจริงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เก้าสิบลี้ก็แค่ครึ่งหนึ่งของการเดินทางร้อยลี้ ตอนนี้ก็เหมือนความสำเร็จอยู่ตรงหน้าแค่เอื้อม


 


 


แต่ถึงไม่จุดไฟ แล้วให้ตำรวจป่าไม้กับเจ้าหน้าที่คุ้มครองป่าไม้เสียกำลังคนและสิ่งของมหาศาลตามหาช่วยชีวิตเขา เขาก็รู้สึกทนไม่ได้ แม้จะบอกว่าที่เสียไปไม่ใช่เงินของเขา แต่ก็เป็นเงินที่คนอเมริกันเสียภาษีมา…


 


 


โอกาสผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาให้เขาตัดสินใจไม่มากแล้ว


 


 


ป่าเรดวูดเป็นกลุ่มอุทยานขนาดใหญ่ที่เกิดจากหนึ่งอุทยานแห่งชาติและสามอุทยานแห่งรัฐ มีพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ถึงแม้ตำรวจป่าไม้ลดขอบเขตการค้นหาช่วยชีวิตเล็กลงผ่านข้อมูลที่ได้รับจากเสียวเสวี่ยและแม่ของเมแกน แต่ก็ยังคงไม่มีทางทราบตำแหน่งที่แท้จริงของเขา ทำได้แค่ค้นหาแบบงมเข็มในมหาสมุทร หลังจากเฮลิคอปเตอร์บินผ่านไป และบินกลับมาอีกก็คงจะใช้เวลานานมาก แถมอาจจะไม่มีบินกลับมาด้วยซ้ำ


 


 


เขาลังเลใจ แต่มือก็ไม่ได้ว่าง มือข้างหนึ่งควักพลุไฟออกมาจากกระเป๋าสะพาย ส่วนมืออีกข้างถือกล้องส่องทางไกลที่แขวนอยู่บนคอ เขาไม่ได้ตั้งใจสงสัยอะไร แค่อยากมองให้ละเอียดสักครั้ง


 


 


แต่พริบตาที่สายตามองเห็นตัวเฮลิคอปเตอร์ผ่านกล้องส่องทางไกล มือที่ควานหาพลุไฟก็ชะงักไป


 


 


นี่…เหมือนจะไม่ใช่เฮลิคอปเตอร์ค้นหาของตำรวจป่าไม้


 


 


แม้เขาจะไม่เคยเห็นว่าเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจป่าไม้ท้องถิ่นมีหน้าตาอย่างไร แต่พูดจากเหตุผลแล้ว ทั่วไปเฮลิคอปเตอร์ค้นหาช่วยชีวิตจะทาสีเตะตาอย่างสีแดง เหลือง แดงขาว หรือแดงเหลือง และบนตัวเฮลิคอปเตอร์ก็ต้องมีตัวอักษรย่อของตำแหน่งสถานที่นั้นๆ


 


 


ขณะเดียวกัน ตอนที่เฮลิคอปเตอร์ค้นหาช่วยชีวิตปฏิบัติหน้าที่ ประตูเครื่องบินจะอยู่ในสภาพเปิดครึ่งหนึ่ง ตำรวจป่าไม้ที่นั่งอยู่ในนั้นจะยื่นหน้าออกมามองป่าข้างล่างทั้งซ้ายและขวา เพิ่มโอกาสตามหาผู้ประสบภัย อาศัยการค้นหาของคนขับเพียงอย่างเดียวไม่ได้


 


 


ข้อสุดท้าย เฮลิคอปเตอร์ค้นหาช่วยชีวิตจะบินช้า ถึงอย่างไรก็มาตามหาคน ต้องมีเวลาให้ผู้ประสบภัยและตำรวจป่าไม้ตอบสนองมากพอทั้งสองฝ่าย


 


 


แต่เอกลักษณ์ของเฮลิคอปเตอร์ลำนี้กลับไม่ตรงกับที่พูดมาสักข้อ


 


 


ดังนั้นจึงไม่ใช่เฮลิคอปเตอร์ค้นหาช่วยชีวิต


1565

พอเห็นว่าไม่ใช่เฮลิคอปเตอร์ค้นหาช่วยชีวิต จางจื่ออันก็รู้สึกสับสนมาก ดูท่าทางตัวเองคิดมากไปแล้ว ที่แท้เสียวเสวี่ยยังไม่ได้แจ้งตำรวจ


 


 


ทั้งไม่ใช่เฮลิคอปเตอร์ค้นหาช่วยชีวิต และยิ่งไม่ใช่เฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ทางการทหาร ดูจากการทาสีขาวของมันแล้ว มันเป็นแค่เฮลิคอปเตอร์ของประชาชนทั่วไป


 


 


เฮลิคอปเตอร์ของประชาชนจะบินเข้ามาทำอะไรในป่า?


 


 


ไม่พูดเรื่องอื่นแล้ว ที่นี่มีที่ว่างกว้างพอให้มันลงจอดอย่างปลอดภัยไม่กี่แห่ง อย่างเช่น พื้นที่ว่างเมื่อครู่ แม้จะบอกว่าเป็นที่ว่าง แต่ในป่าที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มสูงใหญ่แล้ว ความจริงมีต้นไม้และพุ่มไม้เตี้ยไม่น้อยเลย


 


 


ถ้าเป็นป่าทั่วไป คนข้างในเฮลิคอปเตอร์อาจจะปล่อยเชือกห้อยลงมาถึงพื้น จากนั้นก็ให้เฮลิคอปเตอร์หยุด คนในเฮลิคอปเตอร์อย่างทีมพิเศษจะปล่อยตัวลงมาบนพื้นตามเชือก แต่วิธีแบบนี้ทำไม่ได้ในป่าเรดวูด เพราะต้นซีคัวญ่าสูงเกินไป มักจะสูงหลายสิบถึงร้อยเมตร เมื่ออยู่บนท้องฟ้าจะมองไม่เห็นพื้นดิน บนพื้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่เห็นโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ทีมพิเศษมาจริงๆ ก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายปล่อยตัวลงมา และเชือกอาจจะยาวไม่พอ


 


 


ดังนั้นถ้าเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ค้นหาช่วยชีวิต อย่างนั้นข้างหน้าจะต้องมีที่ว่างให้มันลงจอดอย่างปลอดภัยแน่นอน เป็นไปได้มากว่าเป็นสถานที่ลงจอดที่คนสร้างขึ้น


 


 


จางจื่ออันนึกถึงรังโจรของหลี่ผีเท่อทันที ก่อนจะขนลุกซู่ทั้งตัว ถ้าเฮลิคอปเตอร์ลำนี้เกี่ยวข้องกับหลี่ผีเท่อ อย่างนั้นถ้าเมื่อครู่จุดพลุไฟส่งสัญญาณจริงๆ ก็เหมือนเดินเข้าไปติดกับเอง


 


 


เฮลิคอปเตอร์บินผ่านหัวไป เขามองเห็นสัญลักษณ์ที่วาดอยู่ตรงหางของเฮลิคอปเตอร์ และอดตะลึงไม่ได้ ที่เขียนบนนั้นคือชื่อภาษาอังกฤษของกลุ่มบริษัทฝานซิง


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมเฮลิคอปเตอร์ของฝานซิงอยู่ที่นี่ล่ะ?


 


 


เขามองเฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ หายไปจากสายตาด้วยความงุนงง


 


 


หลายวันนี้ที่เขาตัดขาดจากโลกภายนอก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?


 


 


ในที่สุดก็ปิดบังเรื่องอาหารสุนัขเล็กซี่ไว้ไม่ได้แล้วใช่ไหม?


 


 


เขารู้อยู่แล้วว่าอาหารสุนัขเล็กซี่กำลังใช้สินค้าราคาต่ำและคุณภาพไม่เลวบุกตลาดอย่างรวดเร็ว ค่าคอมมิชชั่นสูงเป็นพิเศษที่ตัวแทนขายให้เจ้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงก็ปรับให้สมดุลได้ยากมาก วัตถุดิบเดิมที่อาหารสุนัขเล็กซี่ใช้คือกวางเลี้ยงในคอกซึ่งสถานเพาะเลี้ยงกวางในอเมริกาเหนือรีบปล่อยขาย ในนั้นอาจจะแฝงกวางที่ติดเชื้อโปรตีนพรีออนไม่น้อยเลย


 


 


โปรตีนพรีออนฆ่ายากถูกแปรรูปเป็นอาหารสุนัขแล้วยังคงรักษาเชื้อเอาไว้ได้ หมาที่กินอาหารสุนัขเล็กซี่ในปริมาณมากอาจจะติดเชื้อ และคนที่ชอบกินเนื้อสุนัขบางประเภทก็อาจจะติดเชื้อเช่นกัน


 


 


ไม่ใช่แค่สุนัข ถ้ามีคนกินแมวเป็นโรคแมวบ้าและกวางเป็นโรคผอมเรื้อรัง ก็ติดเชื้อได้เช่นกัน


 


 


คนงานสถานรับซื้อขยะสองสามคนนั้นที่ศูนย์ควบคุมโรคเมืองปินไห่รับเอาไว้ ก็อาจจะเป็นคนติดเชื้อกลุ่มแรก


 


 


นี่เป็นโรคไร้หนทางรักษา ชีวิตคนสำคัญมาก เมื่อเรื่องราวได้รับการยืนยันและแพร่งพรายออกมา ทิศทางการโจมตีก็จะพุ่งไปยังพ่อค้าคนกลางและผู้ค้าอาหารสุนัขชนิดนี้ภายในประเทศ


 


 


ถึงแม้พวกเจ้าของร้านสาขาฝานซิงจะตัดสินใจขายอาหารสุนัขชนิดนี้เอง แต่เมื่อเรื่องเกิดโด่งดังบนอินเทอร์เน็ต ก็ไม่มีใครสนใจว่าร้านสาขาได้รับมอบอำนาจผ่านบริษัทใหญ่หรือเปล่า ภาพลักษณ์ของบริษัทก็จะถูกจู่โจมอย่างหนัก


 


 


ในที่สุดผู้ดำรงตำแหน่งสูงของฝานซิงน่าจะสังเกตเห็นว่าเรื่องราวมีเค้าลางไม่เข้าท่า จึงสืบสาวราวเรื่องมาตรวจสอบและแก้ปัญหาเรื่องนี้ที่อเมริกา


 


 


คิดถึงตรงนี้ จางจื่ออันก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก มีผู้ยิ่งใหญ่อย่างฝานซิงออกหน้าลงมือ เขาก็คงไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้มากแล้ว


 


 


แต่พอเขาคิดอย่างละเอียดไปอีกขั้น ก็รู้สึกแปลกๆ เจอกับข่าวอื้อฉาวยิ่งใหญ่แบบนี้ มีวิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหนือความคาดหมายอยู่สองวิธี หนึ่งคือเรียกนักข่าวมาแถลงข่าว ขอโทษและยอมรับความผิดต่อประชาชนอย่างจริงใจ รับปากว่าจะชดใช้เงินก้อนโตให้กับผู้เคราะห์ร้าย ผลสุดท้ายก็คือภาพลักษณ์และยอดขายของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นมาก อีกวิธีหนึ่งก็คือหลังจากคำนวณผลประโยชน์และความเสียหายแล้ว ตัดสินใจปิดบังความผิดด้วยเงินทั้งหมด จนกระทั่งถึงวันที่ไม่สามารถปิดบังได้อีก


 


 


ถ้าต้องสำรวจในทุกยุคสมัยและทุกพื้นที่ บริษัทส่วนใหญ่เลือกทำวิธีหลัง ถึงอย่างไรคนทำเพื่อตัวเอง สุดท้ายฟ้าดินจะร่วมกันทำลายคุณ ไม่มีบริษัทไหนเปิดเผยความผิดของตัวเองเองหรอก


 


 


ถ้าฝานซิงเลือกวิธีหลังเหมือนกัน…ก็คงไม่ได้มาเรดวูดเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่เพื่อลดโอกาสที่เรื่องจะถูกเปิดเผย


 


 


คิดไป คิดมา เขาก็รู้สึกว่าฝากความหวังทั้งหมดให้กับฝานซิงไม่ได้ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนของตัวเอง ควรจะทำอะไรก็ทำตามนั้น พอออกจากป่าแล้วก็ส่งคลิปวิดีโอให้องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติและสมาคมนักล่ากวาง แล้วค่อยอัปโหลดวิดีโอลงบนอินเทอร์เน็ตอีก ส่วนหลี่ผีเท่อและคนอื่นๆ ก็คงมีเอฟบีไอมาเก็บกวาดพวกเขา


 


 


ยอดต้นไม้ที่ซ้อนทับกันบังเงาของเฮลิคอปเตอร์จนสิ้น ได้ยินแค่เสียงหึ่งๆ บินไปข้างหน้าไกลขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


 


หมาป่าและฝูงหมาป่าไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดบนท้องฟ้าที่คำรามเสียงดังแบบนี้ จนกระทั่งตอนนี้ถึงค่อยๆ สงบลงได้


 


 


เมื่อครู่พวกภูตสัตว์เลี้ยงพูดไปสองสามคำ แต่ถูกเสียงใบพัดกลบหมดแล้ว หลังจากเงียบลงเล็กน้อย เหล่าฉาก็ถามอีกครั้งว่า “จื่ออัน นั่นคือเฮลิคอปเตอร์หรือ? มาได้อย่างไร?”


 


 


เขาจึงบอกสิ่งที่เขาเดาไว้ให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงฟัง


 


 


เหล่าฉาพยักหน้า “พูดมีเหตุผล ต้องคิดให้ดี ถ้าฝานซิงผ่านการพิจารณามาหลายครั้ง แต่ยังตัดสินใจเข้าร่วมกับหลี่ผีเท่อ ร่วมมือกันปิดบังเรื่องนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับขอหนังจากพยัคฆ์*”


 


 


โชคดีที่นี่เป็นยุคของอินเทอร์เน็ต ถ้าย้อนกลับไปยี่สิบปีก่อน คนธรรมดาอย่างเขาอยากต่อกรกับบริษัทใหญ่สักแห่ง ก็เหมือนคนโง่พูดจาไร้สาระ แต่อินเทอร์เน็ตเสนอความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด สมัยนี้เมื่ออะไรบางอย่างถูกอัปโหลดลงบนอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ลบออกไปไม่ได้ และทางการก็สนใจผลกระทบของอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ เวยป๋อและทวิตเตอร์เข้าปกครองประเทศไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร


 


 


ขอแค่เดินออกจากป่าอย่างปลอดภัย หาสถานที่ที่ออนไลน์ได้ แล้วอัปโหลดวิดีโอโรงฆ่าสัตว์ที่บันทึกไว้ หน้าที่ของเขาก็สำเร็จไปมากกว่าครึ่งแล้ว


 


 


ปัญหาที่เหลือก็จะมีแค่เรื่องของเมแกน หลี่ผีเท่อ และภูตสัตว์เลี้ยงตัวใหม่เท่านั้น


 


 


เขาก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หมาป่าหนุ่มนำพวกเขาเดินไปข้างหน้า ราวกับชี้ไปยังตำแหน่งของวงกลมแสงที่กะพริบอยู่ มุมมองใกล้มาก


 


 


ไม่เพียงเท่านั้น นี่ยังเป็นทิศทางที่เฮลิคอปเตอร์บินไปเช่นกัน อาจจะเป็นตำแหน่งรังโจรของหลี่ผีเท่อก็ได้


 


 


เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง นั่นอาจจะเป็นจุดสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้เช่นกัน


 


 


วงกลมแสงอ่อนลงอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าภูตสัตว์เลี้ยงตัวใหม่คงอยู่ได้อีกไม่นาน


 


 


มันอ่อนกำลังลง หรือเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเหมือนพาย และกำลังประคับประคองอย่างยากลำบาก?


 


 


เสียงของใบพัดหายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว คาดเดาไปเรื่อยเปื่อยคงไม่มีประโยชน์ จางจื่ออันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะเสวี่ยซือจื่อให้เร่งฝีเท้า และเดินลุยน้ำข้ามเขาตามหมาป่าหนุ่มเข้าไปในป่า


ตอนที่ 1566 ฝูงหมาป่า

 


นี่เป็นกลุ่มที่แปลกมาก ให้หมาป่าหนุ่มตัวหนึ่งนำทาง ข้างหลังมีคนหนึ่งคน สุนัขหนึ่งตัว ลิงหนึ่งตัว นกสองตัว และแมวหลายตัวตามติดๆ ห่างออกไปช่วงหนึ่งยังมีฝูงกวางขนาดย่อมด้วย ส่วนตรงที่ไกลออกไปในป่าชุกชุม อาจจะมีหมีดำและฝูงหมาป่าไคโยตีที่รอโอกาสแก้แค้นอยู่ด้วย


 


 


กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ เดินทางยากลำบากอยู่ในป่ากว้างใหญ่ไพศาลกลับเหมือนหยดน้ำเพียงหยดเดียวในทะเล เกรงว่านั่งเฮลิคอปเตอร์บินผ่านไปจากข้างบน ก็มองไม่เห็นวี่แววว่ามีอะไรอยู่


 


 


เดินอย่างนี้ไปหนึ่งหรือสองชั่วโมง เฟยหม่าซือก็วิ่งกลับมาข้างๆ แล้วบอกกับจางจื่ออันเสียงต่ำว่า “ข้างหน้ามีกลิ่นหมาป่าตัวอื่น มีกลิ่นของแมว…มีกลิ่นคนด้วย แต่ไม่ใช่กลิ่นเมื่อเร็วๆ นี้”


 


 


จางจื่ออันพยักหน้า บอกให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงเพิ่มความระมัดระวัง ฝูงหมาป่าอยู่ข้างหน้า จะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ยังตัดสินไม่ได้


 


 


เขาเดินไปข้างหลังสองสามก้าว ขวางกวางจ่าฝูงเอาไว้ และชี้ไปข้างๆ ให้พวกมันอยู่ตรงนั้นและอย่าเดินไปข้างหน้า กวางจ่าฝูงยังไม่ค่อยยินยอมนัก จนกระทั่งเขาซ่อนกระเป๋าสะพายไว้ในรูต้นไม้ข้างๆ และบอกว่าเขาจะกลับมาอีก คราวนี้จ่าฝูงกวางถึงจะพาฝูงกวางเข้าสู่โหมดพักผ่อน แล้วก้มหน้าแทะเล็มใบไม้กับผลไม้ป่า


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะหมาป่าหายไปจากป่าผืนนี้เกือบร้อยปีแล้ว ฝูงกวางไม่มีทางตามมาถึงที่นี่ตลอดทาง ถึงแม้พวกมันชอบเลียเกลือหรือเชื่อใจเขาอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ พวกมันลืมไปแล้วว่าหมาป่ามีอันตราย เป็นการส่งเนื้อแกะเข้าปากหมาป่าโดยแท้


 


 


หมาป่าหนุ่มท่าทางรีบร้อนราวกับอยากเจอทุกคน มันไม่สนใจว่ายังเจ็บแผลที่ถูกเสวี่ยซือจื่อข่วนอยู่ พร้อมทั้งเร่งฝีเท้า ส่วนจางจื่ออันก็นำพวกภูตสัตว์เลี้ยงตามหลังไปติดๆ อย่างง่ายดาย


 


 


เดินไปสักพักหนึ่ง ในป่าที่ไม่สามารถตัดสินระยะห่างได้อย่างแม่นยำ ข้างหน้าเป็นที่โล่งกว้าง ไม่มีต้นไม้ช่วงหนึ่ง ที่ปรากฏข้างหน้าคือเนินเขาเตี้ยๆ ที่เกิดจากหินมากมาย


 


 


หมาป่าหลายตัววนเวียนอยู่ระหว่างก้อนหิน นับหมาป่าวัยรุ่นได้ทั้งหมดประมาณสิบตัว มีหมาป่าโตเต็มวันและลูกหมาป่าด้วย


 


 


ฝูงหมาป่ามักจะรวมตัวกันเป็นหนึ่งครอบครัวใหญ่ ประกอบไปด้วยสามีภรรยาหมาป่าจ่าฝูง พี่น้องของสามีภรรยาจ่าฝูง ลูกของสามีภรรยาจ่าฝูง อย่างหมาป่าหนุ่มตัวนี้ เพราะยังหนุ่มเกินไป อาจจะเป็นลูกของสามีภรรยาจ่าฝูงที่โตแล้วแต่ยังไม่ได้ออกจากฝูงไป


 


 


พูดอย่างจริงจัง ในฝูงหมาป่าอาจจะไม่ได้ปกครองโดยหมาป่าจ่าฝูงตัวผู้ แต่อาจจะเป็นหมาป่าสามีภรรยาปกครองร่วมกัน หมาป่าจ่าฝูงตัวผู้ดูแลหมาป่าตัวผู้ หมาป่าจ่าฝูงตัวเมียดูแลหมาป่าตัวเมีย และปกป้องเลี้ยงดูลูกหมาป่า ก็เหมือนฮ่องเต้และฮองเฮาแบ่งกันดูแลฝ่ายนอกและฝ่ายใน


 


 


จางจื่ออันแยกแยะหมาป่าจ่าฝูงได้เร็วมาก เป็นหมาป่าตัวผู้โตเต็มวัยร่างกายแข็งแรงยืนอยู่บนก้อนหินตัวหนึ่ง และคู่ครองของมันก็กำลังดูแลลูกหมาป่าที่เหมือนลูกสุนัขสามตัว หมาป่าตัวอื่นกำลังเล่นไล่จับอยู่บนที่ว่างข้างหน้ากองก้อนหิน แต่คนเห็นการเล่นสนุกของพวกมันแล้วรู้สึกอันตรายมาก เหมือนการฉีกทึ้งจริงจังโดยแท้ จนขนหมาป่าปลิวว่อนไปทั่ว ถึงขนาดบางครั้งยังกัดจนเลือดออกด้วย


 


 


หมาป่าตัวผู้ที่เคยคาบหมาป่าไคโยตีตัวนั้นก็อยู่ในนั้น อาจจะเป็นพี่น้องของหมาป่าจ่าฝูง


 


 


การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยง สร้างความแตกตื่นให้กับฝูงหมาป่าทันที ต้องรู้ว่าฝูงหมาป่าเป็นสัตว์กินเนื้อชั้นสูงสุดในป่าแห่งนี้ ถึงแม้เป็นหมีดำก็ไม่กล้าหาเรื่องง่ายๆ สิงโตอเมริกาก็ทำได้แค่ให้ความเคารพ หมาป่าไคโยตียิ่งไม่ง่าย ศัตรูตามธรรมชาติของพวกมันมีแค่มนุษย์


 


 


มนุษย์เคยฆ่าหมาป่าบนผืนแผ่นดินนี้จนสิ้นซาก ตอนนี้พวกมันกลับมาแล้ว ถ้ามนุษย์อยากฆ่าจริงๆ ยังฆ่าพวกมันให้สิ้นซากได้อีกครั้ง


 


 


สิ่งที่ทำให้ฝูงหมาป่าโกรธเคืองยิ่งกว่านั้น คิดไม่ถึงว่าในบรรดาพวกมันจะมีคนทรยศ เป็นหมาป่าหนุ่มดึงคนเข้ามาภายใน พามนุษย์ที่อันตรายมาตรงหน้าพวกมัน


 


 


หมาป่าจ่าฝูงกระโจนลงมาจากบนก้อนหิน แล้วพุ่งไปหาหมาป่าหนุ่มพลางคำรามดุร้ายสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้สนใจตำหนิมัน กลับพุ่งมาสบตากับจางจื่ออันพร้อมแยกเขี้ยวยิงฟัน


 


 


นอกจากลูกหมาป่าที่งุนงง หมาป่าตัวอื่นก็พุ่งเข้ามาทั้งหมด ล้อมพวกจางจื่ออันเป็นรูปพัด ขอแค่หมาป่าจ่าฝูงสั่งเสียงเดียว หรือเขาทำอะไรที่ยั่วโมโหพวกมันเข้า พวกมันก็จะกระโจนเข้าไปในทันที


 


 


หมาป่าหนุ่มร้องหงิงๆ อย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ยืนลังเลอยู่ข้างๆ อย่างสับสน


 


 


หมาป่า สุนัข ข้างในฝูงของสัตว์ประเภทสุนัขพวกนี้มีระดับชั้นที่เคร่งครัด สามีภรรยาหมาป่าจ่าฝูงอยู่ในระดับสูงสุด เรียกว่าอัลฟ่า รองลงมาถูกเรียกว่าเบต้า ระดับกลางเป็นผู้ปฏิบัติงาน ส่วนที่เหลือทำหน้าที่เป็นน้องเล็กโอเมก้า


 


 


หมาป่าหนุ่มตัวที่กัดหมาป่าไคโยตีและคาบไปน่าจะเป็นเบต้าในฝูงหมาป่า แต่หมาป่าหนุ่มตัวนี้น่าจะเป็นโอเมก้า


 


 


เป็นเบต้าหรือโอเมก้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดตัวของหมาป่า แต่เกี่ยวกับวัยและนิสัยของหมาป่า หมาป่าที่เพิ่งโตเต็มวัยและมีนิสัยอ่อนโยนจะเป็นโอเมก้า พอมันโตขึ้นอีกสองสามปี ฝึกฝนทักษะการล่าสัตว์ขั้นสูงระหว่างการล่าสัตว์ ตอนเริ่มดุร้ายเหมือนหมาป่าตัวอื่นก็จะท้าสู้เพื่อเลื่อนขั้นเป็นเบต้า หลังจากสู้ชนะถึงจะกลายเป็นเบต้า


 


 


แน่นอนว่าหมาป่าโอเมก้าก็อาจจะถูกขับไล่จากฝูงหมาป่า และกลายเป็นหมาป่าเดียวดายบางครั้ง ถ้าไม่สร้างครอบครัวของตัวเอง ก็จะตายไปอย่างเดียวดายระหว่างที่พเนจร


 


 


อัตราความสำเร็จในการล่าสัตว์ของฝูงหมาป่ามีแค่หนึ่งในสิบ แต่อัตราความสำเร็จในการล่าสัตว์เองของหมาป่าเดียวดายยิ่งต่ำกว่านั้น เมื่อเสียการคุ้มครองของฝูงหมาป่าไป หมาป่าเดียวดายจะเผชิญหน้ากับวิกฤตในการเอาชีวิตรอดมากมาย มากกว่าครึ่งมีจุดจบต้องตายในต่างถิ่น หรือเพราะหิวมากจนยากจะทานทน เลยไปจู่โจมปศุสัตว์ อย่างนั้นยิ่งเป็นการรนหาที่ตาย


 


 


หมาป่าเบต้าตัวก่อนหน้านี้ ถือโอกาสตอนที่หมาป่าไคโยตีคุมเชิงกับจางจื่ออัน ลอบจู่โจมและกัดหมาป่าไคโยตีตัวหนึ่งได้สำเร็จ แถมพาเหยื่อหนีไปจากการปิดล้อมของหมาป่าไคโยตีสามสี่ตัวอย่างง่ายดาย เท่านี้ก็เห็นทักษะการล่าที่มากมายในทันที แต่สถานการณ์ที่หมาป่าหนุ่มเจอกับอาหารของจางจื่ออันแล้วก็คลายการเตรียมป้องกันอย่างง่ายดาย ก็เพราะมันเป็นหมาป่าโอเมก้าที่ยังหนุ่มและนิสัยอ่อนโยน


 


 


ถ้าสองตัวเปลี่ยนตำแหน่งกัน หมาป่าหนุ่มเผชิญหน้ากับการปิดล้อมของฝูงหมาป่าไคโยตี ก็คงทำได้แค่ปล่อยเหยื่อในมือแล้วหนีไป ส่วนหมาป่าตัวผู้โตเต็มวัยถูกภูตสัตว์เลี้ยงล้อมแล้วอาจจะพยายามเป็นปลาลอดออกจากแห


 


 


พอเห็นสถานการณ์แบบนี้ จางจื่ออันก็รู้ดีว่าไม่เข้าท่าแล้ว เดิมทีเขาหวังให้หมาป่าหนุ่มแนะนำเขากับฝูงหมาป่าเพื่อเป็นเพื่อนกินสักหน่อย แต่มันมีตำแหน่งต่ำต้อยเกินไปในฝูงหมาป่า เมื่อเผชิญหน้ากับหมาป่าอัลฟ่าและหมาป่าเบต้าจอมเผด็จการจึงพูดแทรกไม่ได้


 


 


ถ้าเจอกันที่อื่น ฝูงหมาป่าอาจจะไม่ตอบโต้รุนแรงขนาดนี้ แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่จะปกป้องลูกของตัวเอง ฝูงหมาป่ายิ่งมีจิตสำนึกในอาณาเขตรุนแรงมาก พวกมันอาจจะคิดว่าเขาต้องการทำร้ายลูกหมาป่าสามตัว พวกมันต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุดเพื่อปกป้องลูกๆ แน่นอน


 


 


จางจื่ออันไม่กล้าทำอะไรรุนแรง ยิ่งไม่กล้าไปหยิบเนื้อตากแห้งในกระเป๋าเพื่อลองหลอกล่อหมาป่าพวกนี้ แล้วก็คิดว่าไม่มีประโยชน์ เนื้อตากแห้งเล็กน้อยแบบนั้นยังไม่พอยาไส้หมาป่าพวกนี้เลย


 


 


เขาแอบกำสเปรย์ป้องกันหมี ถ้าฝูงหมาป่าพุ่งเข้ามา ไม่ว่าสถานการณ์จริงเข้ามาแบบโค้งก็จะพ่นรอบหนึ่ง จนกระทั่งกลัวและหยุดลง ค่อยถือโอกาสหนี


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็เตรียมพร้อมสู้ ส่วนริชาร์ดบินไปบนต้นไม้เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้แล้ว


 


 


เขาแอบทำสัญญาณมือให้พวกภูตสัตว์เลี้ยง ให้พวกมันค่อยๆ ถอยไป


 


 


ตอนนี้เอง ฝูงหมาป่าเหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง พวกมันหันไปมองข้างหลังโดยพร้อมเพรียง จ้องไปยังยอดกองหิน แต่ตรงนั้นว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด


ตอนที่ 1567 คุณงามความดี

 


ตอนฝูงหมาป่าหันหน้าไป จางจื่ออันก็ฉุกคิดขึ้นได้ รู้ว่าเรื่องราวเกิดการพลิกผันแล้ว เขาคิดว่าหมีดำที่ซุ่มอยู่ข้างหลังโผล่ออกมากะทันหันด้วยคิดจะแก้แค้นเหมือนตอนอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ แบบนั้นอาจจะได้เห็นสนามรบน่าตื่นตาตื่นใจของฝูงหมาป่ากับหมีดำแล้ว


 


 


แต่เขามองตามสายตาของฝูงหมาป่าไป หมีดำในความคาดหวังกลับไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ไม่รู้ว่าพวกมันกำลังมองอะไรอยู่ แต่เขารู้สึกได้ว่าบรรยากาศตึงเครียดคลายลงแล้ว


 


 


ตอนหันไปทางนั้น หมาป่าจ่าฝูงที่ควรจะมีตำแหน่งสูงสุดในฝูงหมาป่ากลับแสดงท่าทางถ่อมตัวอย่างน่าประหลาดใจ มันหางจุกก้น ราวกับเตรียมตั้งใจฟังผู้บังคับบัญชาหมาป่าที่ตำแหน่งสูงกว่าให้โอวาท


 


 


หมาป่าจ่าฝูงเป็นอย่างนั้น ท่าทางของหมาป่าตัวอื่นก็ถ่อมตัวยิ่งกว่า


 


 


เป็นไปได้อย่างไร? นอกจากอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า หรือว่าฝูงหมาป่ายังมีระดับชั้นอื่นอีก?


 


 


จางจื่ออันกำลังสงสัย ก็ได้ยินเฟยหม่าซือตั้งหูพูดว่า “ตรงนั้นมีการเคลื่อนไหว แถมมีกลิ่นหมาป่าตัวใหม่โชยมา”


 


 


แต่เขายังมองไม่เห็นอะไร


 


 


ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงวงกลมแสงตัวแทนของภูตสัตว์เลี้ยง ตอนดูโทรศัพท์มือถือดูเหมือนจะเข้าใกล้มากแล้ว หรือว่า…


 


 


เขารีบควักโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะมองเห็นตำแหน่งที่ตัวเองอยู่อย่างตกใจ ด้วยมันกำลังทับซ้อนกับวงกลมแสงกะพริบอย่างพอดิบพอดี


 


 


เขาเปลี่ยนไปยังอินเตอร์เฟซจับสัตว์ แล้วมองตรงนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือตั้งฉากขึ้นช้าๆ ใช้กล้องเล็งไปตรงนั้น


 


 


หมาป่าที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นตัวหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนหน้าจอ กำลังจ้องมองเขาเช่นเดียวกัน


 


 


 


 


คำชี้แนะ: ยืนยันเป้าหมาย หมาป่าใจศรัทธา!


 


 


 


 


ภูตสัตว์เลี้ยงตัวใหม่เป็นหมาป่าเหรอเนี่ย?


 


 


เขาตะลึงไปแล้ว ตามหลักการแล้วเกมนี้น่าจะจับได้แค่สัตว์เลี้ยง แต่ถ้าจะพูดจริงๆ หมาป่ากับสุนัขไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจน หมาป่าถูกฝึกให้กลายเป็นสุนัขมาประมาณหนึ่งหมื่นปีแล้ว เวลาหนึ่งหมื่นปีเป็นแค่ชั่วพริบตาสั้นๆ ของประวัติศาสตร์ ยังไม่มากพอให้แยกออกเป็นสัตว์คนละประเภท ครั้งก่อนเขาจับจิ้งจอกเฟนเนคได้ในทะเลทราย ดังนั้นก็น่าจะจัดหมาป่าอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงได้


 


 


ที่เขาประหลาดใจคือ หมาป่าตัวนี้ปรากฏตัวอยู่ในป่าลึกของอุทยานเรดวูด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหมาป่าอเมริกาเหนือตัวหนึ่ง


 


 


ขนาดตัวของมันเล็กกว่าหมาป่าอเมริกาเหนือที่ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์เลี้ยงประเภทสุนัขป่า เป็นหมาป่ายูเรเชียที่พบเห็นได้ง่ายที่สุดบนแผ่นดินยูเรเชีย


 


 


แผ่นดินยูเรเชียขนาดใหญ่มาก แยกย่อยออกเป็นหมาป่ายูเรเชียหลายสายพันธุ์ พูดตามตรงแล้ว นี่เป็นหมาป่ายุโรปตัวหนึ่ง เอกลักษณ์คือขนตรงหน้า และรอบๆ ปากของมันเป็นวงสีขาว คล้ายกับการแต่งหน้างิ้ว ดูไปแล้วไม่เหมือนหมาป่า แต่เหมือนสุนัขอย่าง ฮัสกี้ อลาสก้า


 


 


มองกลับไปที่หมาป่าอเมริกาเหนือ ไม่ว่าขนจะเป็นสีอะไร ขนตรงหน้าจะเป็นสีเดียวกันหมด ไม่ได้หน้าตาเหมือนแต่งงิ้ว


 


 


ขอแค่จำเอกลักษณ์นี้ได้ ก็ไม่จำหมาป่ายุโรปกับหมาป่าอเมริกาเหนือสลับกันแล้ว


 


 


สีขนตรงหลังของหมาป่าตัวนี้ค่อนข้างออกไปทางสีดำ สีขนตรงหน้าอกก็เกือบจะเป็นสีบัตเตอร์


 


 


แม้ร่างกายของมันจะเล็กกว่าหมาป่าอเมริกาเหนือ แต่ฝูงหมาป่าไม่ได้ตัดสินตำแหน่งจากขนาดตัว แต่เป็นอายุกับนิสัย ดูไปแล้วมันก็ไม่เหมือนจะดุร้าย เนื่องจากหน้าตาเหมือนแต่งหน้าแบบงิ้ว เทียบกับหมาป่าทั่วไปแล้วมันเหมือนสุนัขนิสัยอ่อนโยนมากกว่า สายตาก็อ่อนโยนเหมือนกัน


 


 


ทั้งที่เป็นผู้นำเหมือนกัน แต่มันไม่ได้เย่อหยิ่งเหมือนฟีน่า และไม่ได้คึกคักและแสดงการพูดอย่างห้าวหาญตลอดเหมือนวลาดิเมียร์ และไม่ได้ระเบิดอารมณ์ง่ายเหมือนเสี่ยวไป๋ สายตาและท่าทางของมันเหมือน…พระหรืออาชีพคล้ายคลึงกัน แถมไม่ใช่พระธรรมดา เป็นพระที่วางมีดลงกลายเป็นพระพุทธเจ้า เต็มไปด้วยความเรียบง่ายราวกับสตรีที่ล้างเครื่องสำอางแล้ว


 


 


บางทีเหตุผลที่ฝูงหมาป่าซึ่งรวมถึงหมาป่าจ่าฝูงยอมก้มหัวอยู่ใต้บัญชามัน คงเป็นเพราะพวกมันรับรู้ได้ถึงอดีตที่มันเคยถือมีดเข่นฆ่าไปทั่ว แม้ตอนนี้มันจะวางมีดลงแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวีรกรรมก่อนหน้านี้จะหายไปด้วย อดีตคาวเลือดช่วงนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งในนิสัยเฉพาะตัวของมันแล้ว และอยู่บนตัวของมันตลอดไป


 


 


นี่ก็เหมือนมนุษย์ อย่ามองว่าคนบางคนตัวสูงใหญ่แข็งแรงหาใดเปรียบ ห้อยโซ่เหล็กเส้นใหญ่และสักตามร่างกาย โกนหัวจนเกลี้ยง แถมขู่คนธรรมดามือเปล่าได้ อยู่ต่อหน้าคนที่เคยผ่านการต่อสู้จริงๆ หรือแม้กระทั่งฆาตกรฆ่าคน สนามพลังชี่จะถูกกดจนเงยหน้าไม่ขึ้นในทันที


 


 


หมาป่าหนุ่มตัวนั้นวิ่งสั้นๆ มาถึงข้างใต้ก้อนหินที่มันยืนอยู่ ก่อนจะนอนกลิ้งครั้งหนึ่ง เผยหนังท้องออกมา แสดงความเชื่องฟังโดยสมบูรณ์ จากนั้นก็ครางเสียงเบา ราวกับกำลังฟ้องร้อง


 


 


มันเงี่ยหูฟังเสียงของหมาป่าหนุ่ม แล้วพิจารณาจางจื่ออันด้วยความใจเย็น จากนั้นตาก็ทอเป็นประกาย ราวกับเห็นแสงกะพริบที่น่าสนใจบางอย่างจากตัวเขา


 


 


“เจ้ามาแล้ว” อยู่ๆ มันก็เอ่ยปากพูด


 


 


จางจื่ออันตะลึง แล้วเหลียวซ้ายแลขวา รอบๆ ไม่มีคนอื่น ดังนั้นมันน่าจะกำลังพูดกับเขา


 


 


“นายรู้ว่าฉันจะมา?” เขาย้อนถามอย่างสับสน พลางชี้ที่จมูกตัวเอง


 


 


มันเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “ใช่ ข้าได้รับสาส์นจากเทพ”


 


 


จางจื่ออัน “…”


 


 


เขาไม่เชื่อในเทพเจ้า ถึงแม้เทพอะไรจะส่งสาส์นเทพมาจริงๆ ก็คงไม่เกี่ยวข้องกับเขามั้ง


 


 


“เจ้าไม่เชื่อหรือ?” สายตาของมันมองกลับมายังตัวเขา


 


 


“เฮ้อ…เอ่อ…” เขาพูดว่าตัวเองไม่เชื่อได้ยาก ทำได้แค่เกาหลังหัวพร้อมหัวเราะฮ่าๆ


 


 


“นักบุญบอกข้าว่า มีชายหนุ่มจะเข้ามาในป่า และเจอกับข้า” มันพูดอย่างจริงจัง “ชายหนุ่มคนนี้มีคุณงามความดีน่าชื่นชมมากมาย จึงสั่งให้ข้าดูแลชายผู้นี้อย่างดี ชายผู้นั้นใช่เจ้าหรือไม่”


 


 


“แกว๊กๆ! คุณงามความดี? แถมยังน่าชื่นชมมากด้วย?”


 


 


ไม่รอให้จางจื่ออันตอบ ริชาร์ดเห็นว่าวิกฤตกำลังจะหมดไป จึงอดยืนพูดแทรกอยู่บนต้นไม่ไม่ได้ “ปกติเจ้าโง่คนนี้ไม่ค่อยเต็มใจอยากช่วยเหลือคน เจอเงินตกก็เก็บ จะเอาคุณงามความดีที่ไหนมาได้?”


 


 


“เมี๊ยวๆๆ! แถมยังเล่นลูกไม้ทั้งวัน! ชอบชวนทะเลาะตลอด!” เสวี่ยซือจื่อก็พูดเสริม “ปลุกปั่นความสัมพันธ์ลึกซึ้งของข้ากับฝ่าบาท!”


 


 


“มารดาคุณสิ ฉันเจอเงินตกก็เก็บตอนไหน? แม้แต่กระเป๋าเงินฉันยังไม่เคยเก็บได้เลย!”


 


 


แม้จางจื่ออันไม่คิดว่าตัวเองมีคุณงามความดีควรค่าให้พูดถึง แต่ถูกกล่าวหาต่อหน้าทุกคนแบบนี้มันน่าขายหน้าเกินไปแล้ว เขาโบกกำปั้นไปทางริชาร์ดและเสวี่ยซือจื่อเชิงข่มขู่ แต่ฝ่ายแรกยืนอยู่บนต้นไม้สูง ไม่สนใจการข่มขู่ของเขา กลับกระดกก้นปล่อยอึออกมาก้อนหนึ่ง ส่วนฝ่ายหลังแยกเขี้ยว โบกกรงเล็บใส่เขาด้วยความโกรธ


 


 


ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่ายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่ค่อยเต็มใจอยากช่วยเหลือคน แต่อย่างน้อยก็ช่วยแล้ว ไม่ใช่เหรอ นอกจากคุณงามความดีในการช่วยเหลือคนแล้ว นักบุญยังบอกข้าว่า เจ้าอยู่ในสังคมยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความปรารถนา แต่ไม่ได้ร่วมมือกระทำความชั่วร่วมกับโลกใบนี้ แต่ยืนหยัดแน่วแน่ ยึดมั่นในคุณงามความดี เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่?”


 


 


จางจื่ออัน “…”


 


 


“เมี๊ยวๆๆๆๆๆ” เสวี่ยซือจื่อหัวเราะจนล้มลง กลิ้งไปมาบนพื้นราวกับลูกบอลหิมะ


 


 


“แกว๊กๆๆๆๆๆๆๆ!” ริชาร์ดหัวเราะมากเกินไปแล้ว มันไม่ได้เกาะกิ่งไม้เอาไว้ จึงร่วงหัวทิ่มลงในพงหญ้าที่อยู่ข้างล่าง แล้วร้องเสียงดังไม่สนใจความเจ็บ “ถูกต้อง! เขานั่นแหละ! เขาก็คือชายเวอร์จินยากจนที่เอ็งพูดถึงคนนั้นแหละ!”


ตอนที่ 1568 พี่น้องหมาป่า

 


ถ้าพูดจริงๆ จางจื่ออันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณงามความดีเล็กน้อย อย่างเช่น เก็บหอมรอมริบ เก็บหอมรอมริบ และเก็บหอมรอมริบ ทำไมถึงมีแต่อย่างเดียวล่ะเนี่ย ถึงต้องพูด…ก็ไม่ควรพูดในที่สาธารณะ


 


 


อีกอย่างริชาร์ดหัวเราะเขาโอเวอร์เกินไปแล้ว ทำเอาเขาอยากใช้สเปรย์ฉีดให้มันหุบปากเลยทีเดียว


 


 


ดีที่บริเวณนี้ไม่มีคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็น่าขายหน้าเกินไปแล้ว


 


 


จางจื่ออันไม่แน่ใจว่าเทพที่หมาป่ายุโรปตัวนี้พูดถึงคือเทพองค์ไหน และนักบุญที่พูดถึงคือนักบุญคนไหน แต่ในเมื่อเป็นเทพที่ชื่นชอบความภักดีและอดทนกับความยากจน ก็น่าจะเป็นเทพที่ค่อนข้าง…ดั้งเดิม และไม่ใช่เทพผู้ริเริ่มให้ชายหนุ่มและหญิงสาวฝึกตนร่วมกันแปลกๆ อะไร แม้จะบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับเทพ แต่ถ้าศรัทธาแล้วจีบสาวได้ เขายอมยกมือลงชื่อเป็นคนแรก


 


 


หมาป่ามองเสวี่ยซือจื่อและริชาร์ดที่กำลังหัวเราะครืนใหญ่ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกมันกำลังหัวเราะอะไร จึงก้มหน้ามองนกเค้าแมวลายจุดที่อยู่บนไหล่ของเขา แล้วพูดว่า “นอกจากนั้น ข้ายังได้ยินว่าเจ้าอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างปรองดอง ไม่ได้ทำร้ายสัตว์ใดในป่าเพราะความต้องการของตัวเอง”


 


 


นี่เป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องดีมาก แค่เป็นเรื่องที่คนมีความรู้ในยุคปัจจุบันควรจะทำ


 


 


มันชมเขาจนรู้สึกเขินเล็กน้อย แถมยัง…ไม่สบอารมณ์ที่บรรยายตัวเขาผิดไปอีกด้วย เพราะถ้ามันไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย อย่างนั้นก็หมายความว่าการกระทำทุกอย่างตั้งแต่เขาเข้ามาในป่าถูกเทพบางองค์หรือคนบางคนบนสวรรค์จับตามองอยู่ ดีที่เขาไม่ได้นำหนังเกรดบีเข้ามาด้วย


 


 


จากเอกลักษณ์ที่มันพูดถึงพวกนี้ มันเหมือนจะไม่ได้จำผิดคน ถึงอย่างไรคนที่เข้ามาในป่าดงดิบแห่งนี้คงไม่ได้มีเอกลักษณ์เหมือนกันขนาดนี้…ส่วนพวกหลี่ผีเท่อ ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่


 


 


“แฮ่ม!” เขาเห็นมันเหมือนยังอยากชมต่อ จึงรีบกระแอมขัดจังหวะครั้งหนึ่ง “เดี๋ยวก่อน! ที่พูดก่อนหน้านี้ นายเข้าใจผิดหรือเปล่า? ฉันไม่เชื่อในเทพอะไร แล้วก็ไม่ศรัทธาอะไรด้วย ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมเทพกับนักบุญที่นายพูดถึงถึงบอกเรื่องพวกนี้กับนาย แต่ว่า…”


 


 


เขาอยากอธิบายอย่างนุ่มนวล ถ้ามันอยากเผยแพร่สิ่งที่มันศรัทธากับเขา มันก็ต้องผิดหวังแล้ว แม้ดูแล้วมันจะเป็นภูตสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งมาก แต่เขาจะไม่ฝืนใจไปศรัทธาในบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้ความประทับใจของมันมา นี่เป็นปัญหาในเรื่องของจุดยืน โกหกก็ทำได้แค่ถ่วงเวลาออกไป ไม่ได้ยืดยาวไปตลอดชีวิต


 


 


มันส่ายหน้า “ศรัทธาหรือไม่ศรัทธาอะไร ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า”


 


 


เขาได้ยินก็ตะลึง จากคำพูดของมัน เขาคิดว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเทพบางองค์ แต่ดูท่าทางแล้วไม่ใช่เหรอเนี่ย?


 


 


มันมองก้อนเมฆบนท้องฟ้า ก่อนจะพูดอย่างผิดหวัง “ข้าเคยทำร้ายคนและสัตว์มามากมาย ถึงถูกคนตีตายก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่…เขาไม่ได้กระทำแบบเดียวกับที่ข้ากระทำกับผู้อื่น เขาไม่ได้เห็นข้าเป็นหมาป่าที่ทำผิดจนให้อภัยไม่ได้ แต่เห็นข้าเป็นพี่น้อง พูดกับข้าอย่างอดทน และข้าก็รู้สึกกับเขาเหมือนพี่น้อง…ส่วนคนอื่น พวกเขาเทิดทูนข้าเพราะความสัมพันธ์ของข้ากับเขา กระทั่งสร้างรูปปั้นให้ข้า นั่นเป็นความคิดของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับข้า”


 


 


คำพูดของมันชวนให้วลาดิเมียร์รู้สึกร่วม


 


 


วลาดิเมียร์ได้รับความเคารพจากพวกแมวจรจัดมาโดยตลอด แต่ตัวมันเองไม่ได้หวังที่จะได้รับการบูชาแบบนั้น ขอแค่พวกมันเห็นด้วยกับแนวคิดของมันก็พอ


 


 


ดูท่าทางภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าก็เป็นแบบนั้น มันไม่หวังที่จะได้รับการบูชาของมนุษย์ มันอยู่กับเขาที่มันพูดถึง เพราะมันเห็นด้วยกับแนวคิดของเขา ซาบซึ้งในความคิดของเขา ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ บอกลาความโหดร้ายของตัวเองเมื่อครั้งอดีต


 


 


“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีจิตใจคับแคบ ขอแค่เจ้าจิตใจดี ไม่ว่าเจ้าเชื่อมั่นหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าเป็นคนหรือหมาป่า ก็ได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากทวยเทพทั้งนั้น”


 


 


จางจื่ออันนึกขึ้นได้ว่าทีแรกภูตสัตว์เลี้ยงตัวนี้เหมือนจะปรากฏตัวที่โบสถ์เกรซ แต่ทฤษฎีที่มันยึดมั่นเหมือนจะเปิดกว้างและรับได้เหมือนโบสถ์เกรซ นี่เป็นสิ่งที่คนนับถือศาสนามากมายทำไม่ได้ อาจจะเพราะมันเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง ดังนั้นเลยมองบางสิ่งบางอย่างทะลุมากกว่าคน ก็เหมือนเซียวเฟิงภายใต้ปลายปากกาของคุณลุงจิน ทำให้คนอื่นมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อการต่อสู้ของชนชาติฮั่นในฐานะประวัติศาสตร์ของต่างชาติ


 


 


“คนคนนั้นที่นายพูดถึง ทำไมเขาถึงตั้งใจพูดถึงฉันให้นายฟังล่ะ?” จางจื่ออันถาม เขาเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ถึงแม้มีคุณงามความดีที่มันพูดมา แต่คนที่มีคุณงามความดีแบบเดียวกันก็ไม่น้อย ได้ยินว่าถ้ารักษาคุณงามความดีถึงอายุสามสิบยังยิงลูกไฟขนาดใหญ่ได้ด้วย…


 


 


“เพราะความคิดของเจ้าใกล้เคียงกับพวกเรามาก และเพราะป่าแห่งนี้ต้องการความช่วยเหลือของเจ้า ก่อนจะต้องด่างพร้อยไปโดยสิ้นเชิง” มันเก็บรอยยิ้ม และพูดอย่างเคร่งเครียด


 


 


“นายหมายถึง…พวกหลี่ผีเท่อเหรอ” ในที่สุดเขาก็ถามคำถามที่กวนใจมานาน “แมวพวกนั้น…นายสั่งให้ฝูงหมาป่ากัดแมวพวกนั้นตายเหรอ”


 


 


นี่เป็นคำถามที่พวกภูตสัตว์เลี้ยงสนใจที่สุด และพวกมันก็หูตั้งฟังอย่างตั้งใจ


 


 


“ใช่” มันพยักหน้าอย่างไม่ลังเล ก่อนจะก้มหน้ามองหมาป่าหนุ่มตัวนั้น แล้วพูดด้วยความเสียดาย “ข้าได้ยินว่า ทักษะการล่าเหยื่อของเด็กพวกนี้ยังไม่มากพอ จนปัญหาที่ควรจะจัดการได้ในครั้งเดียวต้องยุ่งยากขึ้นมาเล็กน้อย…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ อยู่ๆ มันที่ยืนอยู่บนก้อนหินก็ขยับตัว กระโดดลงมาอย่างฉับพลัน พุ่งไปยังหมาป่าหนุ่มอย่างรวดเร็ว อุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งกดลงบนร่างกายของหมาป่าหนุ่ม และแยกเขี้ยวแหลมคมกัดลงไป


 


 


หมาป่าหนุ่มไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันได้หลบด้วยซ้ำ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าหลบ


 


 


จางจื่ออัน พวกภูตสัตว์เลี้ยง รวมถึงฝูงหมาป่าต่างก็อึ้งตะลึง ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องจู่โจมเพื่อนอย่างกะทันหัน


 


 


ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าอ้าปากเปื้อนเลือดกัดคอของหมาป่าหนุ่มจากข้างหลัง แต่ไม่ได้กัดจนมิดฟัน ฟันแค่สัมผัสร่างกายของหมาป่าหนุ่มเบาๆ เท่านั้น จากนั้นก็ปล่อยและถอย ให้หมาป่าหนุ่มยืนขึ้นมา


 


 


“ถ้าเด็กพวกนี้ไม่ได้ทำให้แมวขาดอากาศหายใจตายผ่านการกัดหลอดลม หรือกัดหลอดเลือดทำให้แมวพวกนั้นเสียเลือดตาย แต่กัดต้นคอของแมวพวกนั้นขาดเช่นนี้ แมวพวกนั้นตายแล้วก็จะลุกขึ้นยืนอีกไม่ได้” มันอธิบายเรื่องที่ฟังแล้วน่าขนลุกด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


คราวนี้หมาป่าหนุ่มกับพวกฝูงหมาป่าถึงจะเข้าใจว่ามันกำลังสาธิตทักษะการล่าขั้นสูงด้วยตัวเอง ทุกตัวจึงฟังด้วยความเคารพนบนอบ


 


 


เนื่องการฆ่าหมาป่าของคนในยุคปัจจุบัน หมาป่าจึงแทบจะล้มหายตายจากไปหมดแล้ว การถ่ายทอดทักษะการล่าจึงขาดตอนไป


 


 


จางจื่ออันถอนหายใจเอาอากาศเย็นๆ ออกมาครั้งหนึ่ง พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็มองหน้ากันพร้อมหน้าซีดๆ ในบรรดาพวกภูตสัตว์เลี้ยงก็มีผู้เชี่ยวชาญ พวกมันเห็นหลายๆ อย่างจากการโผเข้าหาและกัดครั้งนี้ อย่างเช่น ฟันแหลมคมเหมือนมีดผ่าตัดของมันกัดระหว่างซอกกระดูกต้นคอของหมาป่าหนุ่มพอดี อย่างนี้ประหยัดแรงกัดต้นคอได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่ได้กัดจนฟันแตกด้วย


 


 


แม้จะเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียวเหมือนเสือดาวมองผ่านปล้องไม้ไผ่ กลับพอที่จะทำให้เขาและพวกภูตสัตว์รู้สึกได้ ว่าก่อนที่มันจะวางมีดลงนั้นโหดร้ายขนาดไหน


 


 


มันเคยเป็นฆาตกรในป่าจริงๆ ดีที่ตอนนี้กลับตัวกลับใจแล้ว ไม่อย่างนั้นจางจื่ออันยอมเจอกับสิงโตอเมริกาหรือหมีดำดีกว่า ไม่ขอไปคบค้าสมาคมกับฝูงหมาป่าที่มันเป็นผู้นำเด็ดขาด


ตอนที่ 1569 ร่วมมือ

 


หมาป่าตัวนี้เห็นว่าทักษะการล่าของหมาป่าในยุคปัจจุบันห่วยจนมันปวดใจ มิน่าล่ะหมาป่าพวกนี้ถึงได้หิวตลอด ถ้าเป็นยุคของมัน อาศัยทักษะการล่าแบบนี้คงจะจับได้แค่กระต่าย… 


ถ้ามีเวลามากพอ มันอยากถ่ายทอดทักษะของตัวเองให้พวกมัน พกมันจะได้อยู่ในป่าอย่างมีความสุข และไม่วิ่งออกจากป่าไปทำร้ายคนและปศุสัตว์ด้วยแรงขับเคลื่อนของความหิวโหย 


แต่…มันมีเวลาไม่พอแล้ว ด้วยเพราะมีเรื่องคับขันกว่านั้นต้องจัดการ 


จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงยังคงตกใจกับการจู่โจมอย่างรวดเร็วของมัน ขนาดเหล่าฉา ฟีน่า และเฟยหม่าซือที่มีประสบการณ์การต่อสู้เต็มเปี่ยมก็ยังไม่พบความผิดพลาดอะไร 


ทักษะของเหล่าฉาเกิดจากวิชากังฟูของมนุษย์และการฝึกฝน ฟีน่าเป็นผู้บัญชาการ แต่ไม่ได้เป็นนักรบด้วยตัวเอง ส่วนเฟยหม่าซือก็ใช้ความสามารถทางร่างกายที่กล้าหาญองอาจของตัวเองมากกว่า 


วิธีการโผไปกัดของภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่า กระบวนการรวดเร็ว อำพราง และได้ผลสูง ไม่มีการกระทำที่มากเกินไป เป็นทักษะที่ได้มาจากการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนและฝึกฝนระหว่างการเข่นฆ่า ถึงดิบเถื่อน แต่ก็เหมาะสมกับฆาตกรอย่างยิ่ง จางจื่ออันมองแล้วถึงกับหนาววาบๆ ที่หลังคอ 


ชาวจีนเล่าต่อๆ กันมารุ่นสู่รุ่น เวลาหมาป่าจะลอบจู่โจมคน มักจะชอบแอบตามอยู่ข้างหลังคน จากนั้นก็จะยืนท่าคน ตะปบไหล่ของคนด้วยอุ้งเท้าหน้าสองข้างจากด้านหลัง คนคิดว่าคนสนิทกำลังสะกิด ก็จะหันกลับไปโดยสัญชาตญาณ และถูกหมาป่าที่ไตร่ตรองไว้นานแล้วกัดคอหอยขาด 


ความจริงแล้วคำนวณจากการกัด ฟันของหมาป่ากัดกระดูกหักได้หลายชิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระดูกคอที่อ่อนแอของคน ไม่จำเป็นต้องรอคนหันมาก็ได้ ดังนั้นตำนานก็เป็นแค่ตำนานวันยันค่ำ 


ทั่วไปแล้วตอนหมาป่าจู่โจมจะไม่ตะปบไหล่จากข้างหลัง แต่เป็นเสือที่ชอบทำอย่างนั้น ตอนล่าควายจะกระโดดขึ้นไปบนหลังควายเลย และกัดตรงต้นคอของควาย หลีกเลี่ยงถูกเขาควายที่อันตรายทำให้บาดเจ็บได้ คนอียิปต์โบราณจะใส่หน้ากากไว้ข้างหลังหัว ให้เสือแยกไม่ออกว่าฝั่งไหนคือด้านหน้าด้านหลัง ก็เพราะเหตุผลนี้เช่นกัน 


อีกอย่างก็คือ แม้ดูจากสถิติบนหน้ากระดาษ แรงกัดของหมาป่ายังสู้สัตว์ป่าประเภทแมวอย่างเสือและสิงโตไม่ได้ แต่น้ำหนักตัวของเสือและสิงโตก็มากกว่าหมาป่า ถ้าคำนวณตามสัดส่วนแรงกัดและน้ำหนักตัว แรงกัดตามหน่วยน้ำหนักตัวของหมาป่าอยู่ในลำดับแรกๆ ของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ 


ฝูงหมาป่าคลายความคุกคามต่อจางจื่ออันแล้ว พวกมันฝึกฝนทักษะที่ภูตหมาป่าสอนพวกมันด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม 


แต่จางจื่ออันยังถามคำถามไม่หมด เขารู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ดังนั้นจึงถามอีกว่า “ทำไม? ทำไมถึงพุ่งเป้าไปที่แมวพวกนั้น?” 


สายตาของภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าตกลงบนหน้าผากของฟีน่า และตกลงบนหน้าผากของเสวี่ยซือจื่อ ลายมือไก่เขี่ยที่จางจื่ออันวาดบนหน้าผากของเสวี่ยซือจื่อหลอกหมาป่าทั่วไปได้ แต่หลอกมันไม่ได้ มันมองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าวาดออกมา 


“เพราะแมวพวกนี้ถูกไล่เข้ามาในป่า ฆ่าสัตว์ขนาดเล็กนับไม่ถ้วน ถึงแม้พวกมันไม่หิวก็จะทำเช่นนั้น…อีกอย่างก็คือพวกมันแพร่เชื้อโรคในป่า” 


บางครั้งสัตว์ประเภทสุนัขจะฆ่าอย่างไม่มีเหตุผล สัตว์ประเภทแมวก็เป็นอย่างนั้น เวลาอยู่นอกสายตาของคนแล้ว แมวบ้านที่อ่อนโยนก็อาจจะกลายเป็นฆาตกรสัตว์เล็กที่เลือดเย็น 


“เชื้อโรค?” เขาถามทั้งที่รู้ดี 


“เจ้าก็รู้ และเคยเจอแล้ว มันคือเชื้อโรคที่เปลี่ยนให้กวาง แมว หมาป่า และหมาป่าไคโยตีกลายเป็นศพเดินได้” 


เขาพยักหน้า ดูท่าทางจะปิดบังอะไรมันไม่ได้แล้ว 


“แมวพวกนั้น ใครพาเข้ามา?” เขาถามอีก 


หมาป่าครุ่นคิด แล้วเงยหน้ามองก้อนเมฆที่ลอยคล้อยอยู่บนท้องฟ้า 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็พูดคล้ายกับตั้งใจพูดถึงอะไรบางอย่าง “ข้าไม่ได้บังคับขอให้เจ้าเชื่อมั่นอะไร หรือไม่เชื่อมั่นอะไร แต่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คนพวกนั้นพาแมวที่มีรอยประทับพิเศษบนหน้าผากหลายตัวเข้ามา ในนั้นมีตัวหนึ่งร้ายกาจอย่างยิ่ง ตัวมันเองมีกำลังต่อสู้โดดเด่น ยังสามารถสั่งฝูงแมวให้ต่อสู้เพื่อมันได้ด้วย บวกกับการถือหางของมนุษย์ ทำให้มันรู้สึกปลอดภัยเพราะมีคนหนุนหลัง ข้ารู้สึกว่าพวกมันกำลังวางแผนการร้ายบ้าระห่ำบางอย่าง” 


ฟีน่าร้องเฮอะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง แล้วเดินหน้าสองก้าวพูดว่า “ข้าขอถามเจ้า แมวมีตราประทับพิเศษที่เจ้าพูดถึง เป็นตราประทับรูปตัวเอ็มใช่ไหม? เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่?” มันชี้หน้าผากของเสวี่ยซือจื่อ 


ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าให้คำตอบยืนยัน “เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง ข้าทำได้แค่ถอนรากถอนโคนผู้ช่วยของมันอย่างสุดความสามารถ…หากเรื่องนี้ทำให้เจ้าไม่สบายใจ ข้าก็ขออภัยเจ้า ณ ตรงนี้” 


มันมีทักษะการล่าที่โดดเด่นขนาดนี้ แต่กลับมีท่าทางถ่อมตัวเหนือความคาดหมาย ทำให้ฟีน่าประหลาดใจอย่างมาก 


“ไม่ต้องขอโทษหรอก เป็นข้าเองที่ไม่ควบคุมอย่างเข้มงวด คิดไม่ถึงว่าในช่วงที่ข้าออกจากโลกมนุษย์จะมีแมววางแผนแทนที่ข้า ยังขู่ขวัญแมวโชคร้ายมากมายให้ผันตัวเป็นพรรคพวกของมัน ตายเพื่อมัน ต้อง…ฆ่าให้สิ้นซากจริงๆ!” ฟีน่ากัดฟันพูด โกรธแค้นนจตัวสั่น 


ด้วยความเย่อหยิ่งของมัน ไม่มีทางยอมให้แมวตัวอื่นมานั่งในระดับเดียวกับมันแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแมวที่วางแผนร้ายใช้แมวโชคร้ายเป็นเครื่องมือจนตายเลย มันยิ่งทนไม่ได้ 


จางจื่ออันคิดว่าถ้าภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าพูด ก็เดาได้คร่าวๆ แล้ว มีแมวที่เหมือนจะเป็นภูตสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งนำฝูงแมวเข้ามาในป่า ช่วยหลี่ผีเท่อทำเรื่องชั่วร้าย แพร่เชื้อโรคอยู่ในป่า และสัตว์เล็กที่ไม่ได้ติดเชื้อโรคนั้นถูกฆ่า ถ้าปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้ อีกไม่นานป่าแห่งนี้ก็จะกลายเป็นป่าช้าที่เงียบสงบ และยังขยายขอบเขตไปรอบๆ ด้วย 


มิน่าล่ะ หลี่ผีเท่อถึงได้ทำพฤติกรรมผิดมนุษย์อย่างไม่เกรงกลัว ที่แท้มีคนคอยหนุนหลังอยู่นี่เอง 


“ศัตรูไม่ได้มีเพียงหนึ่ง” ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าพูด “เมื่อครู่ยังมีนกเหล็กตัวหนึ่งบินอยู่เหนือป่า แต่ร่างกายยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ไม่มีทางลงมาที่นี่ และบินผ่านไปแล้ว” 


นกเหล็ก? 


จางจื่ออันตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “หมายถึงเฮลิคอปเตอร์เหรอ” 


“น่าจะใช่” มันพูด จากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้ากับนักบุญไม่ชอบสิ่งของข้างในเฮลิคอปเตอร์ แม้จะไม่เคยเห็น แต่อบอวนไปด้วยกลิ่นที่รู้จักหาแต่ผลประโยชน์ พวกข้ารู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก” 


เอ่อ…น่าจะหมายถึงอารมณ์รุนแรงสินะ? สำหรับมันที่ชื่นชมคุณงามความดี ความภักดีและอดทน อารมณ์รุนแรงไม่เข้ากับมันจริงๆ 


พูดไปแล้วการคาดเดาของจางจื่ออันก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกต้องโดยสิ้นเชิง เขาคิดว่าเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นมาเจรจาและต่อรองกับพวกหลี่ผีเท่อ แต่อย่างนั้นคำพูดของภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าก็ไม่ผิดพลาด ดูท่าทางการเดินทางของเฮลิคอปเตอร์ยังมีวัตถุประสงค์อื่น 


ป่ากว้างใหญ่ไพศาล ที่ว่างที่มีพงหญ้านี้ก็ไม่ได้เตะตา ทำไมเฮลิคอปเตอร์ไม่บินอยู่ที่อื่น แต่ทำไมบังเอิญบินมาแถวนี้? 


น่าเสียดายที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่นี่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง ถ้าอยากเจอภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าตัวนี้ นอกจากเดินเท้าสำรวจป่าแห่งนี้เหมือนจางจื่ออันแล้ว ก็ไม่มีทางอื่นอีก 


ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าพูดอย่างจริงจังว่า “ปิศาจมีพลังยิ่งใหญ่เกินไป พึ่งข้าเพียงลำพังคงทำอะไรไม่ได้ ข้าจึงอยากขอร้องเจ้าตรงนี้ คนที่อยู่อย่างปรองดองกับธรรมชาติเอ๋ย เจ้าจะยอมร่วมมือชำระล้างป่าแห่งนี้กับข้าหรือไม่?” 


ตอนที่ 1570
 
‘ศัตรูของศัตรูคือเพื่อน’ คำพูดนี้เป็นเรื่องจริงแท้ 

 

 

ตั้งแต่เข้ามาในป่าเรดวูด จางจื่ออันรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่หลายครั้ง แม้มีพวกภูตสัตว์เลี้ยงอยู่ข้างกาย แต่พูดตรงๆ คือพวกภูตสัตว์เลี้ยงช่วยเหลือได้ไม่มาก ผลงานใหญ่สุดที่เฟยหม่าซือทำก็แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ซิงไห่เตือนว่ากองไฟใกล้ดับแล้ว เสวี่ยซือจื่อทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อรอบหนึ่ง ก็แค่เท่านั้น เรื่องส่วนใหญ่เขาทำสำเร็จด้วยตัวเอง 

 

 

แต่ก็โทษพวกภูตสัตว์เลี้ยงไม่ได้ เพราะพวกมันเคยชินกับชีวิตในเมือง จึงปรับตัวกับสภาพแวดล้อมในป่าไม่ค่อยได้ ตรงกันข้ามกับภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าตัวนี้ มันเป็นฆาตกรในป่าตั้งแต่เกิด ยิ่งไม่ต้องพูดการเป็นผู้นำฝูงหมาป่าอเมริกาเหนือฝูงหนึ่งเลย 

 

 

เขาไม่ได้คิดมาก จึงพยักหน้าตกลง “ฉันยินดีร่วมมือ แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่ได้จนขนาดนั้น” 

 

 

“เข้าใจแล้ว” 

 

 

หมาป่าพยักหน้า แล้วยกอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งขึ้นมา ราวกับอยากจับมือกับเขา 

 

 

เพื่อแสดงความเคารพ จางจื่ออันไม่ได้โค้ง แต่นั่งยองๆ ให้อยู่ในระดับสายตาของมัน ก่อนจะยื่นมือขวาไปจับอุ้งเท้าหน้าข้างขวาของมัน 

 

 

ตอนนี้เอง เขาสังเกตเห็นผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ว่าบนหลังอุ้งเท้าหน้าข้างขวาของมันมีรอยแดงบางๆ รอยหนึ่ง เป็นรอยจากแผลที่สมานกันแล้ว ถ้ามันไม่ได้ยกอุ้งเท้าขึ้นมาจับมือ ก็คงสังเกตเห็นได้ยากมากในชีวิตประจำวัน 

 

 

แต่หลังอุ้งเท้าบาดเจ็บได้อย่างไรล่ะ? ดูท่าทางแผลนี้เหมือนจะเหยียบตะปูที่ตั้งตรงเอาไว้เข้า อุ้งเท้าจึงถูกตะปูแทงทะลุ 

 

 

เขาลองครุ่นคิดเล็กน้อย ถ้าเดาไม่ผิด ตอนถูกตำอุ้งเท้าจะต้องเจ็บมาก ถึงอย่างไรทุกนิ้วก็เชื่อมกับหัวใจ 

 

 

จากนั้นเขาก็เลื่อนโทรศัพท์มือถือ สายตาชำเลืองไปทางอุ้งเท้าอีกสามข้างโดยไม่รู้ตัว กลับประหลาดใจที่มองเห็นว่าบนอุ้งเท้าอีกสามข้างก็มีรอยแผลคล้ายๆ กัน 

 

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? มันตกลงไปในกับดักที่โรยตะปูเอาไว้เหรอ? ไม่อย่างนั้นแผลเป็นแบบนี้มาจากไหน? 

 

 

จางจื่ออันรู้สึกแปลกๆ ถ้ามันเคยเหยียบพลาดไปโดนกับดักจริงๆ ทั้งสี่เท้าถูกตะปูแทงทะลุทั้งหมด ก็คงมีชีวิตรอดในสถานการณ์แบบนั้นได้ยากมาก คงต้องเจ็บปวดจนล้มกลิ้ง จากนั้นทั้งร่างกายจะถูกตะปูแทงหลายร้อย หลายพันรู… 

 

 

การคาดเดาอีกอย่างหนึ่ง มันอาจจะเคยถูกคนจับและทารุณมาก่อน คนที่จับมันอาจจะตั้งใจทรมานมันเพื่อแก้แค้น หรืออาจจะเพื่อความสนุก ใช้ตะปูแทงเท้าทั้งสี่ข้างของมัน….เมื่อคิดถึงเรื่องทารุณแมวในเมืองปินไห่ก่อนหน้านี้ การคาดเดาแบบนี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้ ถึงอย่างไรก็มีคนโรคจิตตั้งแต่สมัยโบราณ 

 

 

หมาป่ารู้สึกถึงสายตาของเขา แต่ก็ไม่ได้อธิบาย พอจับมือเสร็จแล้วก็วางอุ้งเท้าลง 

 

 

“แผลของนาย ยังเจ็บอยู่ไหม?” จางจื่ออันชี้ที่รอยแดงบนหลังอุ้งเท้าของมันพลางถาม 

 

 

“เป็นความทรมาน และเป็นเกียรติ” มันพูดอย่างแฝงนัยลึกซึ้ง “ถ้าไม่ได้ผ่านความทรมานเช่นนี้ แล้วจะหล่อหลอมจิตวิญญาณได้อย่างไร?” 

 

 

จางจื่ออัน “…” ฟังมันพูดไม่รู้เรื่องเลย เหมือนพระที่ชอบเผยแพร่ศาสนาจริงๆ 

 

 

เขาใช้มือข้างเดียวถือโทรศัพท์มือถือพิจารณามันอยู่ตลอด จนแขนเมื่อยอยู่บ้าง ดังนั้นจึงคิดจะเปลี่ยนมือ แต่หลังจากโทรศัพท์มือถือเลื่อนออกจากสายตา เขาราวกลับเห็นฉากน่าประหลาดเข้าแล้ว ถ้าไม่ได้มองผ่านอินเตอร์เฟซจับของเกม ก็น่าจะมองไม่เห็นหมาป่าตัวนี้ ความจริงแล้วเป็นอย่างนั้น แต่เขากลับมองเห็นว่ามีรอยแดงบางๆ ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ พอมองต่ำลง ยังมีรอยแดงอื่นอีกสี่รอยบนพื้นดินด้วย 

 

 

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีก มองหมาป่าตัวนี้อีกครั้ง รอยแดงสี่รอยยังคงอยู่บนอุ้งเท้าของมัน แต่รอยแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศเมื่อครู่กลับอยู่ตรงซี่โครงข้างซ้ายของมัน 

 

 

เมื่อวางโทรศัพท์มือถือลง มันก็หายไป แต่รอยแดงยังคงอยู่ 

 

 

เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขาก็มองเห็นมัน มองเห็นรอยแดง 

 

 

เมื่อวางโทรศัพท์มือถือลง มองไม่เห็นมัน แต่ยังมองเห็นรอยแดง 

 

 

ราวกับว่ารอยแดงห้ารอยนี้ไม่เกี่ยวข้องกับร่างกายของมัน แต่เพิ่มขึ้นมาในภายหลัง 

 

 

ยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม ก็เหมือนรอยวงแหวนบนหัวของพระ 

 

 

ถึงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงหน้า ก็ยากจะมองเห็นรอยแดงห้ารอยนี้ด้วยตาเปล่า เพราะเดิมทีรอยแดงก็เป็นจุดวงกลมขนาดเล็กมาก สีก็จางมากด้วย 

 

 

“จริงสิ ฉันควรจะเรียกนายว่าอะไร? ฉันชื่อจางจื่ออัน คาดว่าเทพของนายคงจะบอกนายแล้วสินะ? ในเมื่อจะร่วมมือกัน ใช้ชื่อเรียกกันและกันจะได้สะดวกขึ้นหน่อย” เขาเปลี่ยนเรื่องพูด 

 

 

“ชื่อ…” มันก้มหน้าราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง 

 

 

มันไม่เคยมีชื่อ ตอนทำร้ายคนเดินถนนและปศุสัตว์นอกเมืองกุบบิโอ ผู้คนเรียกมันอย่างเกลียดชังว่า ‘หมาป่าตัวนั้น’ หรือ ‘เจ้าตัวน่าตาย’แต่เขามีผลให้มันเปลี่ยนนิสัย พอปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนก็ทำท่าทางว่านอนสอนง่าย ผู้คนให้อภัยมัน แต่ก็ยังเรียกมันว่า ‘หมาป่าตัวนั้น’ หรือ ‘หมาป่าของเขา’ แม้จะเป็น ‘หมาป่าตัวนั้น’ เหมือนกันทั้งหมด ทว่าน้ำเสียงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

 

 

แต่เขากลับเรียกมันว่า ‘น้องชาย’ เสมอ 

 

 

“เรียกข้าว่าฟราเทอร์แล้วกัน” 

 

 

“ฟะ…ฟราเทอร์?” 

 

 

จางจื่ออันพูดในใจว่าได้สิ คิดไม่ถึงว่าหมาป่าตัวนี้จะรู้จักคำว่าฝ่า*ด้วย อาจจะเกี่ยวข้องอะไรกับฝาไห่**… 

 

 

พูดถึงฝาไห่ ก็นึกถึงนางพญางูขาว พูดถึงนางพญางูขาว ก็นึกถึงเสี่ยวชิง…งูก็นับว่าเป็นสัตว์เลี้ยงสินะ? ไม่แน่ว่าจะได้นางพญางูขาวผ่านช่องทางนี้ ได้นางพญางูขาวก็จะได้เสี่ยวชิง*** ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ได้สองต่อไม่ใช่เหรอ? 

 

 

ริชาร์ดกระโดดขึ้นไปบนหัวของเขาอย่างไม่ให้เสียโอกาส แล้วใช้กรงเล็บนกแหลมๆ จิกหนังหัวของเขา 

 

 

“แกว๊กๆ! ฟราเทอร์แปลว่า ‘น้องชาย’ ในภาษาละติน เห็นสายตาของเอ็งคิดเลยเถิด ต้องให้ข้าฉี่ปลุกเอ็งไหม? วันนี้ข้าดื่มน้ำน้อยพอดี ฉี่เหลืองกลิ่นแรง ให้ยาน้ำตี้หวงหกรสกับเอ็งฟรีๆ รับรองว่าฉี่ขจัดโรคได้แน่!” 

 

 

“นายน่ะไสหัวไป! ฉันไม่ได้คิดเรื่อยเปื่อย! เสี่ยวชิงกับนางพญางูขาวอะไรนั่น ฉันไม่รู้จักทั้งนั้น!” 

 

 

จางจื่ออันโบกมือและพูดไล่มันไป แต่กลับยากที่จะปิดบังความผิดหวังในใจ 

 

 

วุ่นวายอยู่ตั้งนานแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝาไห่ น่าเสียดาย…ดีใจเก้อเลย! 

 

 

หางตาของเสวี่ยซือจื่อก้มต่ำลง ก่อนจะมองเขาด้วยความรังเกียจ “ถุยๆๆ! ชายเฮงซวยน่ารังเกียจจริง! ถึงแม้มีเสี่ยวชิงกับนางพญางูขาวก็คงถูกย่อยอยู่ข้างใน ถูกเมืองกดขี่จนไม่ได้เวียนมาถึงเจ้า! เฮอะ ข้าจับงูก็เหมือนกัน!” 

 

 

เทพของ ‘ฟราเทอร์’ ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าน่าจะบอกเรื่องที่จำเป็นกับมันบางส่วน แต่ไม่ได้บอกเรื่องเสี่ยวชิงกับนางพญางูขาวอะไรพวกนี้กับมันแน่นอน พอมันได้ยินแบบนั้นหน้าตางุนงง ไม่รู้ว่าจางจื่ออันกับหนึ่งนก หนึ่งแมวนี้กำลังวุ่นวายกับอะไร 

 

 

จางจื่ออันกลัวว่ามันจะรู้ความต้องการจริงๆ และทำร้ายความประทับใจแรกของตัวเอง เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง พูดสะเปะสะปะว่า “จริงสิ ในป่ามีงูไหม? ไม่ๆ! ฉันหมายความว่า…ฟราเทอร์ใช่ไหม? รู้จักกับทุกคนสักหน่อยแล้วกัน!” 

 

 

ฟราเทอร์ยังงุนงงอยู่เล็กน้อย “งูในป่าแห่งนี้น้อยมาก อย่างน้อยข้ามาที่นี่แล้วก็เคยเห็นแค่หนึ่งหรือสองตัวเท่านั้น เป็นงูไม่มีพิษ เจ้าไม่ต้องกังวล” 

 

 

ได้ยินว่าที่นี่มีงูน้อยมาก เขาไม่เพียงยิ่งผิดหวัง แม้แต่เสวี่ยซือจื่อก็ผิดหวังเช่นกัน 

 

 

ริชาร์ดใช้ปีกข้างหนึ่งบังหน้า ทนมองสภาพน่าเขินอายของเขาตรงๆ ไม่ได้ “เอ็งไม่ต้องอธิบายกับเขาแล้ว ที่เจ้าโง่นี่สนใจไม่ใช่งูด้วยซ้ำ!” 

 

 

พูดไป พูดมามันก็ร้องเพลงขึ้นมา “ฟราเทอร์ไม่รู้จักความรัก สวี่เซียนถึงจะเป็นอาหารของเขา!” 

 

 

 

 

 

*ฝ่า ภาษาจีนออกเสียงคำว่า ฟรา เป็น ฝ่า 

 

 

**ฝาไห่ เป็นนักพรตในเรื่องนางพญางูขาว 

 

 

***เสี่ยวชิง เป็นน้องสาวของนางพญางูขาว 
 
 
 

ตอนที่ 1571
 
เชี่ย! 

 

 

พอริชาร์ดอ้าปากร้องเพลง จางจื่ออันรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของตัวเองกำลังพังทลายลงอย่างรวดเร็วตรงหน้าฟราเทอร์ ภูตสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ 

 

 

เขายกไม้เท้าปีนเขา กระโดดขึ้นมาหมายจะตีมัน แต่มันรู้ล่วงหน้า เลยบินขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงก่อนแล้ว พลางเรียบเรียงเรื่องราวการเจอกันของเขากับสวี่เซียนอย่างสนุกสนาน… 

 

 

ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นหันหน้าหนีด้วยความรำคาญ ไม่อยากมองท่าทางน่าเกลียดเป็นประจำของพวกเขาสองคน 

 

 

พอเห็นฉากนี้ ฟราเทอร์กลับนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว 

 

 

คนคนนั้น พี่น้องของมัน ก็เหมือนกับชายหนุ่มคนนี้ ได้รับความรักจากสัตว์ทุกชนิด อย่างเช่น กบ เต่า นกพิราบ สุนัข กระรอก ไก่กิ้งก่า แกะ นกยูง…พวกมันล้อมอยู่รอบตัวเขา อยู่กันอย่างปรองดอง 

 

 

ข้างกายของชายหนุ่มคนนี้ก็มีแมว สุนัข ลิง นกแก้ว และนกเค้าแมว…แถมยังได้กลิ่นกวางจากตัวเขา อาจจะยังมีสัตว์อื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ข้างตัวเขาอีก 

 

 

ที่สำคัญที่สุดคือ… 

 

 

มันหันหน้าไปมองหมาป่าหนุ่ม 

 

 

ตอนที่มันไม่ได้เข้าไปยุ่ง เขาก็ผูกมิตรกับหมาป่าได้แล้ว ฉากนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน 

 

 

มันเงยหน้ามองก้อนเมฆรูปคนบนท้องฟ้า เข้าใจสาส์นจากเทพมากยิ่งขึ้น และเข้าใจแล้วว่าทำไมนักบุญถึงอยากส่งชายหนุ่มคนนี้เข้ามาในป่า และนำทางให้มันเจอกับเขา เพราะสองคนนี้เหมือนกันเกินไปแล้ว 

 

 

วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง จางจื่ออันก็ยังใช้ไม้เท้าปีนเขาแก้แค้นไม่สำเร็จ จึงจำใจต้องปล่อยให้ริชาร์ดกำเริบไปพักหนึ่ง 

 

 

เขาหอบหายใจสองสามครั้ง ในใจเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อรอยแดงห้ารอยบนตัวของฟราเทอร์ ทำไมมีเพียงรอยแดงบนตัวนี้ที่ปรากฏอย่างชัดเจนล่ะ? 

 

 

เขาอยากถาม แต่คาดว่ามันคงไม่บอก ถึงอย่างไรก็เพิ่งรู้จักกัน มิตรภาพตื้นเขินสินะ 

 

 

แต่เขากล้ายืนยันว่า รอยแดงห้ารอยนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเหตุการณ์แปลกๆ แบบนี้ 

 

 

หนังสือไร้นามของพายเหมือนสิ่งของนอกกายของมัน แต่ก่อนหน้าจะจับพายได้ มันก็อยู่ในสภาพพรางตัวเช่นกัน พิสูจน์ว่าหนังสือไร้นามเป็นสิ่งของของพาย 

 

 

หมวกไม้ไผ่สานและชุดคลุมยาวของเหล่าฉาก็เป็นอย่างนั้น 

 

 

รอยแดงห้ารอยกลับเหมือนอีกเหตุการณ์หนึ่ง พวกมันไม่ได้เป็นของฟราเทอร์ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่า แน่นอนว่ายิ่งไม่ใช่ของฝาไห่ แต่กระโดดออกมาจากเกมและอยู่ได้ลำพัง นี่อาจจะอธิบายว่าพวกมันมาจาก…การมีอยู่ที่แข็งแกร่งกว่านั้น และประทานรอยแดงห้ารอยให้ 

 

 

เป็นไปได้มากว่านี่จะเกี่ยวข้องกับประวัติของฟราเทอร์ 

 

 

ฟราเทอร์พูดถึง ‘เทพ’ และ ‘นักบุญ’ นี่น่าจะไม่ได้หมายถึงสิ่งเดียวกัน แต่ไม่แน่ใจว่าใครในสองคนนี้มอบรอยแดงห้ารอยให้มัน 

 

 

ในเมื่อตั้งใจประทานรอยแดงห้ารอยให้มัน รอยแดงพวกนี้จะต้องมีความสามารถพิเศษ อาจจะเพิ่มสิ่งของภายนอกให้มันได้ 

 

 

จางจื่ออันคิดดูแล้ว เทพในเทพนิยายหรือบุคคลในตำนานคนไหนเกี่ยวข้องกับรอยแดงห้ารอย? แต่ตัวเขาเองไม่เชื่อในเทพ เทพนิยายและตำนานบนโลกนี้ก็มากมายมหาศาล เขาจึงยังนึกไม่ออก 

 

 

ตอนนี้เอง ฟราเทอร์เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วพยักหน้าทักทายพวกภูตสัตว์เลี้ยง “สวัสดี ข้าชื่อฟราเทอร์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ต่อจากนี้จะได้ร่วมเดินทางไปกับทุกคน” 

 

 

สายตาของพวกภูตสัตว์เลี้ยงเลื่อนลอย ไม่ได้มองไปยังที่ใดที่หนึ่ง 

 

 

จางจื่ออันมองเห็นตัวของมันผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่พวกภูตสัตว์เลี้ยงมองไม่เห็น ได้ยินแค่เสียงของมัน และได้กลิ่นของมัน แม้สำหรับพวกมันที่ประสาทสัมผัสว่องไวจะพอรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของมัน แต่อย่างนี้ไม่สะดวกให้พูดคุยกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะมารยาทพื้นฐานเวลาพูดคุยกัน ต้องมองสายตาของฝ่ายตรงข้ามด้วย 

 

 

หลังจากฟราเทอร์พูดจบถึงจะรู้สึกถึงข้อนี้ จึงพูดเชิงขอโทษ “อ้อ ขออภัย ข้าลืมไปว่าพวกเจ้ามองไม่เห็นข้า” 

 

 

เขาเงยหน้ามองก้อนเมฆรูปคนข้างบน ก่อนจะอธิษฐานในใจเงียบๆ นอกจากจะไม่ได้อ้าปากแล้ว ท่าทางก็เหมือนหอนให้พระจันทร์ 

 

 

จางจื่ออันมองการกระทำและสีหน้าของมันผ่านโทรศัพท์มือถือ ยังสงสัยอยู่ว่ามันกำลังทำอะไร 

 

 

วันนี้มีเมฆมาก นอกจากก้อนเมฆรูปคนประหลาดสองก้อนบนท้องฟ้าแล้ว พูดโดยรวมก็อากาศดี บางครั้งยังเห็นแสงแดดได้ด้วย 

 

 

สองสามวินาทีให้หลัง ก้อนเมฆหน้าพระอาทิตย์ก้อนหนึ่งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเล็กน้อย กระจายเป็นเส้นจากตรงกลาง 

 

 

ฉากแสงที่มีพลังมหาศาลแทรกผ่านลงมาจากก้อนเมฆ ราวกับกระบี่แหลมคมลอดลงมาจากท้องฟ้าถึงพื้นดิน 

 

 

แสงพระเยซูอีกแล้ว! 

 

 

หลายๆ คนเคยเปิดไฟฉายในตอนกลางคืน แสงไฟฉายรูปทรงกรวยก็จะส่องฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นจุดบางๆ 

 

 

แสงพระเยซูสายนี้ก็เป็นอย่างนั้น เดิมทีไอน้ำที่ระเหยอยู่ในป่าเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แสงสายนี้กลับทำให้ไอน้ำที่ปกคลุมเหนือป่าปรากฏชัดเจนราวกับหมอก ล่องลอยไปทั่ว ดูแล้วเหมือนแดนสวรรค์ 

 

 

แตกต่างกับแสงพระเยซูที่เห็นก่อนหน้านี้ คราวนี้แสงพระเยซูส่องลงบนหัวของพวกจางจื่ออันอย่างแม่นยำ ปกคลุมก้อนหินบริเวณนี้ไว้ทั้งหมด สว่างจ้าจนมองตรงๆ ไม่ได้ 

 

 

จางจื่ออันก็เงยหน้าขึ้น อยากดูว่าฟราเทอร์กำลังมองอะไร แต่เกือบจะถูกแสงสาดจนตาบอด 

 

 

ครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในทะเลทราย เขาทำความเข้าใจกับสภาพอากาศในป่าเรดวูดแล้ว จึงไม่ได้นำแว่นตากันแดดเข้ามาด้วย คิดไม่ถึงว่าจะถูกแสงแห่งพระเจ้าสาดส่องแล้ว… 

 

 

พวกภูตสัตว์เลี้ยงถูกแสงส่องจนต้องหรี่ตาเช่นกัน และพากันวิ่งไปหลบแสงจ้าตามใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ 

 

 

ส่วนครอบครัวข้างๆ กลับตกใจกลัวแสงสว่างรุนแรงจากท้องฟ้ายิ่งกว่า จึงครางหงิงๆ พลางลอดเข้าไปหลบใต้ก้อนหิน 

 

 

ฟราเทอร์กลับเงยหน้าและยืดอก อาบแสงสว่างรุนแรงอย่างลุ่มหลง ขนทุกเส้นบนตัวก็เปล่งประกายส่องแสง ส่วนรอยแดงห้ารอยนั้น…ยิ่งชัดเจนขึ้นจนเหมือนจะมีเลือดหยดออกมา 

 

 

เดี๋ยวก่อน! 

 

 

อยู่ๆ จางจื่ออันก็รู้สึกตื่นตะลึง เหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ… 

 

 

เนื่องจากแสงสว่างจัดจ้าเกินไป เขาจึงต้องยกมือขึ้นป้องหน้าผากเพื่อบังแสงสว่างที่ส่องมาจากท้องฟ้า และไม่ได้ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไม่อย่างนั้นก็คงมองอะไรไม่เห็นเลย 

 

 

งั้นเขา…มองเห็นฟราเทอร์ได้ยังไง? 

 

 

ผ่านไปอีกสองสามวินาที ก้อนเมฆที่เหมือนจะบดบังพระอาทิตย์ก้อนนั้นก็เคลื่อนตำแหน่งหรือเปลี่ยนรูปร่าง แสงอาทิตย์จึงถูกบังอีกครั้ง แสงพระเยซูที่งดงามพลันก็หายไปด้วย 

 

 

กองก้อนหินกลับคืนสู่ความสงบแล้ว 

 

 

ฝูงหมาป่าลอดออกมาจากใต้ก้อนหินด้วยตัวสั่นกลัว แล้วเงยหน้ามองทั้งที่ยังอยู่ในอารามตกใจ 

 

 

จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงกลับมองอย่างหวาดหวั่น หมาป่ายุโรปแข็งแรงตัวหนึ่งนั่งอยู่หน้ากองก้อนหิน กำลังก้มหน้าลงช้าๆ เปลี่ยนจากเงยหน้ามองเป็นมองในแนวระนาบ สายตากวาดมองเขาและพวกภูตสัตว์เลี้ยงทีละคน สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน 

 

 

พวกเขาไม่ได้มองผ่านอินเตอร์เฟซจับของเกมก็เห็นตัวของฟราเทอร์ได้แล้ว! 

 

 

จางจื่ออันรักษาสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกเมื่อครู่เอาไว้ 

 

 

พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ตะลึงเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันเห็นฟราเทอร์ 

 

 

ริชาร์ดสังเกตเห็นสีหน้าตลกๆ ของจางจื่ออัน จึงตีปีกร้องว่า “แกว๊กๆ! ชายหนุ่มกลัวดวงอาทิตย์เลยใช้มือบัง!” 

 

 

จางจื่ออันถลึงตาใส่มันครั้งหนึ่ง แล้วรีบลดมือที่ใช้บังแสงตรงหน้าผากลง นกชั่วตัวนี้เห็นช่องโหว่ก็คิดจะทำอะไรชั่วช้าได้ทุกเวลาจริงๆ… 

 

 

“สวัสดีทุกคน ข้าจะแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าชื่อฟราเทอร์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้เดินทางร่วมกับทุกคนต่อจากนี้” ฟราเทอร์พยักหน้าทักทายพวกภูตสัตว์เลี้ยง 
 
 
 

ตอนที่ 1572
 
ภูตสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสว่องไวอย่างยิ่ง ไม่ได้อาศัยการมองเพียงอย่างเดียวเหมือนมนุษย์ ก่อนหน้านี้พวกมันมองไม่เห็นตัวของฟราเทอร์ แต่ในเมื่อรู้ว่ามันเป็นหมาป่าโตเต็มวัย ได้ยินเสียงของมัน ได้กลิ่นของมัน ถึงขนาดรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนเล็กน้อยตอนมันเดินหรือกระโดด น่าจะจินตนาการรูปลักษณ์ การเคลื่อนไหว และตำแหน่งของมันได้คร่าวๆ… 

 

 

แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างนี้ก็ไม่ได้สมจริงเหมือนเห็นด้วยตาตัวเอง 

 

 

จางจื่ออันเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความสงสัย พูดในใจว่าผิดปกติแล้ว ทำไมแสงส่องลงมาพอดี และแสงนี้ก็แสดงร่างที่แท้จริงของมันออกมาเหรอ? 

 

 

เขาจำได้ว่าเย็นวันที่เพิ่งมาถึงศูนย์นักท่องเที่ยวของป่าเรดวูดก็เห็นแสงพระเยซูยิ่งใหญ่ส่องสว่างในป่า แต่แสงพระเยซูก็เป็นแค่ปรากฏการณ์พิเศษของแสง นอกจากมีชื่อที่สุดยอดมากแล้ว ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีพลังมหัศจรรย์ขนาดนี้… 

 

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรียกให้แสงพระเยซูส่องลงมาโดนหัวได้ตลอดเวลา จางจื่ออันก็ตัดสินใจว่าอยากเป็นเพื่อนที่ดีของมันแล้ว เพราะสิ่งนี้เป็นอาวุธเก๊กหล่อต่อหน้าสาวโดยแท้! 

 

 

พอจินตนาการถึงตอนที่หญิงสาวบ่นว่าวันนี้มีเมฆมาก เขาจะพูดคำลึกซึ้งโรแมนติกว่า ‘คุณก็คือแสงอาทิตย์ของผม’ ขณะเดียวกันก็มีแสงอาทิตย์ส่องลงมาบนหัว คาดว่าจะเอาชนะใจของหญิงสาวได้ทันที… 

 

 

ขณะที่เขากำลังคิดเรื่อยเปื่อย ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นพากันแนะนำตัวกับฟราเทอร์แล้ว ส่วนพายที่พูดไม่ได้ก็มีริชาร์ดช่วยแนะนำตัวแทน 

 

 

แม้วลาดิเมียร์จะไม่สนใจพวกเทพเจ้าหรือผีสาง แต่มันเห็นภาพรวม และสนใจสถานการณ์ รู้ว่าตอนนี้ร่วมมือสามัคคีกันถึงจะเป็นพลังได้ ขยายแนวรบเอกภาพ ก่อนหน้านี้เพื่อต่อต้านภัยจากหนอน แม้แต่สุนัขจรจัดที่มันเกลียดขนาดนั้นก็ยังสงบศึกชั่วคราวได้ หมาป่าตัวนี้…พูดอย่างไรก็ดีกว่าเสี่ยวไป๋ 

 

 

ตอนนี้ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นรู้ว่าฟราเทอร์ให้ฝูงหมาป่าฆ่าแมวเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแมวพวกนั้นที่ยังคลุมเครืออยู่ว่า ‘ถูกฆ่าตาย’ แล้วจริงๆ หรือเปล่า ดังนั้นจึงไม่รู้สึกข้องใจกับมันแล้ว 

 

 

พลังที่แท้จริงตัดสินอำนาจของคำพูด ฟราเทอร์เพิ่งแสดงปรากฏการณ์จากเทพที่ยากจะเชื่อเพื่อพิสูจน์พลังแท้จริงของตัวเองแล้ว พวกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างริชาร์ดจึงไม่กล้าแสดงอำนาจให้มันดูเพื่อยกระดับตำแหน่งในบรรดาภูตสัตว์เลี้ยง 

 

 

“จริงสิ ฟราเทอร์ ฉันมีเรื่องยากปรึกษากับนายหน่อย” จางจื่ออันชี้ไปที่ต้นไม้ข้างหลังไกลๆ “เรื่องนี้พูดยาก…มีกวางแดงฝูงหนึ่งอยู่ข้างหลังพวกเราไม่ไกล นายช่วยบอกฝูงหมาป่าของนายไม่ให้ทำร้ายพวกมันได้ไหม? ถึงยังไงพวกมันก็ตามฉันมา ถ้าถูกกินหมดแบบนี้…ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนทำร้ายพวกมัน พอเรื่องที่นี่จบลง ฉันออกจากป่าไปแล้ว จะไม่รบกวนเรื่องของหมาป่ากับกวางอีกแน่นอน” 

 

 

ฟราเทอร์พยักหน้าด้วยความยินดีอย่างยิ่ง “ถึงเจ้าไม่พูด ข้าก็สัญญาว่าจะไม่จู่โจมกวาง เพราะข้าเคยเห็นกวางติดเชื้อโรคร้ายนั้นด้วยตาตัวเอง ช่วงนี้ฝูงหมาป่าจะจับหมาป่าไคโยตีกินเป็นหลัก ข้ารู้สึกว่าหมาป่าไคโยตีในป่าแห่งนี้มากเกินไปจริงๆ” 

 

 

“งั้นก็ดี” 

 

 

จางจื่ออันวางใจแล้ว ที่จริงโรคผอมของกวางไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ อย่างน้อยก็มีอยู่มามากกว่าห้าสิบปี แค่ช่วงนี้แนวโน้มการแพร่ระบาดรุนแรงขึ้นมากะทันหันจนดึงดูดความสนใจของผู้คน ในห้าสิบกว่าปีนี้ มนุษย์ยังไม่มีวิธีจัดการกับโรคนี้ ดังนั้นในอนาคตที่คาดการณ์ได้ มนุษย์จะหาวิธีควบคุมโปรตีนพรีออนได้ยากมาก และกำจัดการคุกคามโรคจากกวางไม่ได้ในเวลาอันสั้น 

 

 

“นายบอกฝูงหมาป่าสักหน่อยดีกว่า ถึงแม้จะจับหมาป่าไคโยตีกิน ก็อย่ากินไขกระดูกสันหลัง น้ำเหลือง สมอง และอวัยวะอื่น อย่าจับหมาป่าไคโยตีที่ท่าทางน่าสงสัยพวกนั้นกินด้วย กัดพวกมันให้ตายก็พอแล้ว อย่ากินพวกมัน ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคระบาดจากตัวหมาป่าไคโยตีมาสู่หมาป่า” เขาพูดเตือน 

 

 

ฟราเทอร์ฉีกยิ้มราวกับมีแผนในใจ “วางใจเถอะ แม้ข้าจะเพิ่งเคยเห็นโรคระบาดร้ายแรงชนิดนี้เป็นครั้งแรก แต่ข้าเคยเห็นโรคร้ายแรงที่น่ากลัวกว่านี้แล้ว ผู้ป่วยหน้าตาปูดบวม มือเท้าเน่าเปื่อย มีการแพร่ระบาดรุนแรงอย่างยิ่ง…อยากจะควบคุมโรคประสาทร้ายแรงไม่ให้แพร่กระจายไปอีกขั้น ก็จำเป็นต้องไม่ให้กวางที่อาจจะแพร่เชื้อสัมผัสกับกวางร่างกายแข็งแรง” 

 

 

จางจื่ออันฟังมันพูดอย่างชัดเจนและมีเหตุผล สอดคล้องกับหลักการควบคุมโรคระบาดจริงๆ จึงไม่ได้กำชับปัญหานี้มากอีก 

 

 

“ต่อไปพวกเราจะทำยังไง?” เขาถาม 

 

 

ฟราเทอร์คุ้นเคยกับป่ามากกว่าเขา แถมยังคุ้นเคยกับภูมิประเทศแถวนี้ น่าจะเสนอความคิดที่น่าเชื่อถือได้ 

 

 

เขาหยิบกิ่งไม้ขึ้นมากิ่งหนึ่ง นึกถึงรูปภาพที่ถ่ายในศูนย์นักท่องเที่ยว และวาดแผนที่แถวนี้คร่าวๆ ลงบนดิน 

 

 

ฟราเทอร์มองอย่างละเอียดสักพัก จากนั้นใช้อุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งชี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้วพูดว่า “ตะวันตกเฉียงเหนือมีจุดรวมพลมนุษย์อยู่จุดหนึ่ง ห่างจากทะเลไม่ไกล ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นพวกหลี่ผีเท่อที่เจ้าพูดถึงหรือเปล่า แต่ตามที่ข้ารู้ จุดรวมพลมนุษย์แถวนั้นมีแค่จุดเดียว…และนกเหล็กตัวเมื่อครู่ก็บินไปทางนั้น” 

 

 

“เอ๋? งั้นก็น่าจะใช่แหละ” จางจื่ออันพยักหน้า จากการเปรียบเทียบ ตรงนั้นสภาพพื้นดินค่อนข้างสูง เป็นเนินเขาสูงต่ำทั้งหมด 

 

 

“ที่นั่นมีคนทั้งหมดเท่าไร?” เขาถาม 

 

 

“ไม่แน่ใจ” ฟราเทอร์ถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ที่นั่นมีการป้องกันแน่นหนา ในป่ารอบนอกมีแมวลาดตระเวนอยู่มากมาย พอหมาป่าอย่างพวกข้าเข้าใกล้ก็จะถูกพบเข้า จากนั้นก็จะมีหมานักล่าและคนถือปืนมาถึงหลังจากได้รับข่าว…” 

 

 

จางจื่ออันเข้าใจความยากลำบากของมัน ฝูงหมาป่าเพิ่งกลับมาที่ป่าแห่งนี้ ยังมีจำนวนน้อยเกินไป ตายไปหนึ่งตัวก็เท่ากับลดน้อยลงหนึ่งตัว ต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างสะเพร่าไม่ได้ ทำได้แค่พเนจรอยู่ในป่าลึกเหมือนตอนนี้ พยายามตัดกำลังของศัตรูให้ได้มากที่สุด แต่นี่ก็เสียเวลามาก 

 

 

ส่วนทำไมในอุทยานถึงมีพื้นที่ส่วนบุคคลขนาดใหญ่แบบนี้ ที่จริงก็เข้าใจได้ง่ายมาก โฉนดที่ดินมากมายตกทอดมาจากตอนอเมริกาสถาปนาประเทศช่วงแรก หรือแม้กระทั่งก่อนสถาปนาประเทศ ผู้บุกเบิกที่รกร้างในตอนนั้นรีบร้อนประกาศความเป็นเจ้าของที่ดิน ที่รกร้างไร้เจ้าของแบบนี้ใครครอบครองแล้วก็นับเป็นของคนนั้น สองสามร้อยปีให้หลัง เกิดการเปลี่ยนผู้ครอบครองที่ดินหลายครั้ง แต่ในฐานะที่เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลก็จะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายเสมอ ถึงแม้พื้นที่ตรงนั้นถูกจัดสรรแบ่งเป็นอุทยานก็ตาม 

 

 

“ตอนนี้นายไม่ต้องเป็นห่วงปัญหาเรื่องแมว” จางจื่ออันมองฟีน่าครั้งหนึ่ง “สมมติว่าทำลายการสกัดกั้นของแมวได้ ต่อไปควรจะทำยังไง?” 

 

 

ฟีน่าเผยสีหน้าเยือกเย็นน่ากลัว ในดวงตาสีเขียวเป็นประกายเหมือนน้ำแข็ง ภายใต้น้ำแข็งเหมือนมีภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุลูกหนึ่ง มันอัดอั้นไฟโกรธในใจนานแล้ว ไม่ว่าใครสั่งให้แมวพวกนี้ทำหน้าที่เป็นกระสุนปืนใหญ่ มันก็จะลงโทษอย่างหนัก 

 

 

“อ้อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฉันกำลังตามหาผู้หญิงที่ชื่อว่าเมแกน ฉันคิดว่าเธอถูกพวกหลี่ผีเท่อขังไว้ในรังโจรของพวกเขา อาจจะถูกล้างสมองวันแล้ววันเล่า แม่ของเธอฝากฝังเธอไว้กับฉัน ต้องช่วยเธอออกมา…และฉันเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ถูกหลอกให้มาที่นี่ ถ้ามีความเป็นไปได้ ฉันอยากปล่อยพวกเขาออกมาให้ได้มากที่สุด” 

 

 

ช่วยคนหนึ่งคนกับช่วยคนกลุ่มหนึ่งย่อมมีความยากคนละระดับกัน ฟราเทอร์รู้ข้อนี้ดี แต่กลับพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ได้ ข้าจะร่วมมือกับเจ้าอย่างสุดความสามารถ ขอเทพจงสถิตอยู่กับพวกเรา!” 
 
 
 

ตอนที่ 1573
 
ตามที่ฟราเทอร์พูด จุดรวมพลมนุษย์นั่นสร้างอยู่ใกล้ๆ กับเนินเขา ไม่ไกลจากชายฝั่งทะเล มีเพียงทางหลวงเชื่อมไปที่นั่น ถ้าอยากขับรถไปที่นั่น จะต้องถูกขวางบนถนนแน่นอน 

 

 

อีกด้านหนึ่งฟราเทอร์เห็นว่าปกติมาก แต่จางจื่ออันได้ยินแล้วกลับรู้สึกแปลกมาก คิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่ที่นั่นยังรักษาประเพณีชายไถนา หญิงทอผ้าเอาไว้ ถ้ามองข้ามพนักงานรักษาความปลอดภัยอาวุธครบมือพวกนั้นกับอุปกรณ์เทคโนโลยีหาได้ยากยิ่ง ก็เหมือนยุคทำไร่ไถนาเมื่อร้อยหรือพันปีก่อน 

 

 

บางครั้งฟราเทอร์วิ่งไปยังที่ที่ค่อนข้างใกล้ ยืนอยู่บนที่สูง มองเห็นพวกผู้ชายกำลังทำงานหนักในทุ่งนา ส่วนผู้หญิงกลับยุ่งอยู่กับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงและปศุสัตว์ต่างๆ มีพนักงานรักษาความปลอดภัยพกอาวุธจูงสุนัขลาดตระเวนอยู่รอบนอก 

 

 

“มีคนวางแผนหนีไหม?” จางจื่ออันถาม 

 

 

ฟราเทอร์ส่ายหน้า “อย่างน้อยข้าก็ไม่เห็น แรงงานชายหญิงพวกนั้น หน้าตามึนงงและเฉื่อยชา แทบจะมองไม่เห็นรอยยิ้มของพวกเขาเลย ราวกับทุกคนเป็นหุ่นไล่กาขยับได้” 

 

 

“มีรั้วไฟฟ้า…ไม่สิ มีรั้วลวดเหล็กกันไม่ให้พวกเขาหนีไหม?” พอเขาพูดออกมาก็นึกขึ้นได้ว่าฟราเทอร์อาจจะไม่รู้ว่ารั้วไฟฟ้าคืออะไร จึงเปลี่ยนวิธีพูดที่ชัดเจนมากขึ้น 

 

 

“ไม่มี ข้าเห็นว่าหากพวกเขาอยากหนี แค่ผู้คุมสองสามคนนั้นคงจะขวางไม่ได้” 

 

 

ถึงจะพูดอย่างนั้น มีแค่สาวกที่ถูกล้างสมองหนักมากๆ ถึงจะถูกปล่อยออกมาทำงาน ส่วนพวกที่ความศรัทธายังไม่มั่นคงหรือเพิ่งมาใหม่ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาง่ายๆ 

 

 

อีกอย่าง ฟราเทอร์ยังเคยเห็นว่ามีเรือเข้าใกล้ชายฝั่ง เดาได้ว่าสถานที่ใต้ลมยังมีท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง ส่งของใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำขึ้นด้วยตัวเองไม่ได้เข้ามา 

 

 

ส่วนทำไมไม่ใช้ทางหลวง ทำได้แค่เดาว่าขนส่งทางทะเลสะดวกและอำพรางได้มากกว่า ขับเรือยอร์ชส่วนตัวออกมาจากท่าเรือซานฟรานซิสโกก็มาถึงที่นี่ได้โดยไม่มีใครรู้ 

 

 

ฟราเทอร์เข้าใจสถานการณ์เพียงเท่านี้ เนื่องจากเข้าใกล้ไม่ได้ มันจึงไม่รู้เรื่องมากกว่านี้ 

 

 

จางจื่ออันปรึกษากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงเล็กน้อย และตัดสินใจให้ฟราเทอร์นำทาง พาทุกคนเข้าไป ที่จริงตอนนี้ก็ไม่มีตัวเลือกอะไรมาก เดินมาถึงตรงนี้แล้ว ล้มเลิกกลางคันไม่ใช่สไตล์ของพวกเขา 

 

 

ฟราเทอร์เงยหน้าหอนยาวครั้งหนึ่ง 

 

 

พอได้ยินเสียงหมาป่าหอนในระยะใกล้ จางจื่ออันก็รู้สึกเหมือนข้างหลังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ พุ่งขึ้นมาหลังหัวโดยตรงจากปลายกระดูกสันหลัง นี่ก็อาจจะเป็นความหวาดกลัวต่อเสียงหมาป่าหอนโดยสัญชาตญาณอันยาวนานของมนุษย์ 

 

 

ฝูงหมาป่าที่กำลังเล่นสนุกได้ยินเสียงหอน จึงรวมตัวกันตรงหน้าฟราเทอร์ทันที การเคลื่อนไหวและกฎเกณฑ์ที่มีมาแต่กำเนิดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สุนัขจรจัดจะเทียบได้ เพราะหลังจากสุนัขถูกคนฝึกแล้ว แนวโน้มการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก็ลดหายไปหมด และเริ่มมีอิสระมากขึ้น 

 

 

ฟราเทอร์คำรามเสียงเบาสองสามครั้ง ฝูงหมาป่าก็แยกย้ายกันไปอย่างรู้งาน ทำหน้าที่เป็นผู้เบิกทาง แล้วเข้าไปในป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นรูปพัด ประสิทธิภาพในการค้นหาและขอบเขตระวังการโจมตีของหมาป่ามากมายขนาดนี้ย่อมดีกว่าเฟยหม่าซือแค่ตัวเดียว พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็มีความสุขที่ได้พักผ่อนบ้าง 

 

 

จางจื่ออันกลับไปหยิบกระเป๋าสะพาย ฝูงกวางก็ตามหลังมาอย่างระมัดระวัง 

 

 

การเดินทางครั้งนี้ แม้ระหว่างนั้นจะเจออุปสรรคและความยุ่งยากมากมายหลายครั้ง แต่เส้นทางโดยรวมยังมุ่งตรงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เข้าใกล้ชายฝั่งทะเลขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

เดินไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ความสูงโดยเฉลี่ยของต้นไม้แถวนี้ค่อยๆ ลดลง ต้นซีคัวญ่าและต้นเฟอร์ที่ชุกชุมก่อนหน้านี้กลายเป็นต้นไม้ต่างๆ ผสมปนเปกัน อย่างเช่น ต้นเซลโคว่า ต้นสน ต้นไซเปรซ ต้นเมเปิล ต้นวอลนัทสีดำ และอื่นๆ ริชาร์ดกระโดดไปมาตามหาผลไซเปรซและวอลนัทที่ร่วงตามพื้น แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูผลสุก ผลพวกนี้จึงยังกินไม่ได้ 

 

 

ตอนกลางวันพวกเขาเจอแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง ปริมาณน้ำไหลและความกว้างก็มากกว่าลำธารที่เจอก่อนหน้านี้ อย่างน้อยความลึกก็ไม่ได้สูงกว่าเอวของผู้ใหญ่ แต่ลุยน้ำข้ามแม่น้ำก็ยังอันตรายอยู่ดี 

 

 

เขาตัดสินใจกินข้าวกลางวันที่นี่ จากนั้นก็เดินเลียบแม่น้ำไปทางต้นทาง ตามหาตำแหน่งข้ามแม่น้ำที่ค่อนข้างแคบและตื้น 

 

 

ขณะที่จางจื่ออันกำลังครุ่นคิดว่าฝูงหมาป่าวางแผนจะกินอะไรเป็นมื้อกลางวัน หมาป่าหนุ่มตัวนั้นก็คาบเหยื่อแปลกๆ กลับมาด้วยความเบิกบาน เหมือนกับหนูขนาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง มันวิ่งมาข้างหน้าฟราเทอร์ และวางเหยื่อลงราวกับมอบของล้ำค่า แม้มันจะหิวโหย แต่หมาป่าจ่าฝูงควรได้กินอาหารก่อน นี่เป็นกฎของฝูงหมาป่า 

 

 

“นี่คืออะไร?” 

 

 

ฟราเทอร์ก็ไม่เคยเห็นสัตว์แปลกๆ ชนิดนี้จริงๆ 

 

 

เห็นชัดว่าหมาป่าหนุ่มพูดคำตอบออกมาไม่ได้ แต่จางจื่ออันนึกออก จึงตอบว่า “นี่คือบีเวอร์” 

 

 

“บีเวอร์?” 

 

 

ฟราเทอร์ดมอย่างสงสัย ด้วยการคุกคามของเชื้อโรคร้าย มันไม่แน่ใจว่าจะกินสัตว์ชนิดนี้ได้อย่างปลอดภัยหรือเปล่า 

 

 

“อื้ม นี่เป็นสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอในอเมริกาใต้…” มันคงไม่รู้ว่าอเมริกาใต้อยู่ที่ไหนแน่ๆ เขาจึงพูดเสริมอีก “ก็คือทางใต้ที่ไกลออกไปมาก” 

 

 

“ทางใต้ที่ไกลออกไปมากหรือ?” ฟราเทอร์คิด “เช่นนั้นก็หมายความว่า บ้านของสัตว์ชนิดนี้ไม่ใช่ที่นี่หรือ?” 

 

 

“ถูกต้อง พวกนายกินได้อย่างสบายใจเลย เพราะที่นี่นับว่าบีเวอร์เป็นสัตว์บุกรุกมาจากภายนอก พวกมันขยายพันธุ์เร็วจนน่าตกใจ บีเวอร์ตัวเมียโตเต็มวัยตัวหนึ่งคลอดลูกได้ประมาณปีละสองร้อยตัว พวกมันมีจำนวนมากจนเป็นภัย เท่ากับสร้างความทุกข์ยากให้ระบบนิเวศของที่นี่” 

 

 

เขาเก็บกิ่งไม้ขนาดเล็กขึ้นมา แล้วง้างปากของบีเวอร์ที่ถูกกัดตายแล้ว เผยให้เห็นฟันจอบทั้งแหลม ทั้งยาวของมัน ก่อนจะพูดว่า “เหมือนกับสัตว์มีฟันแทะชนิดอื่น ฟันหน้าของบีเวอร์ยาวได้ไม่มีขีดจำกัด พวกมันจึงต้องแทะอาหารเพื่อขัดฟันเสมอ ใบไม้และผลไม้นุ่มๆ เห็นชัดว่าใช้ขัดฟันของพวกมันไม่ได้ พวกมันก็เลยแทะต้นไม้แทน” 

 

 

ท่าทางแทะต้นไม้ของบีเวอร์ในการ์ตูนมักจะทำออกมาน่ารักทีเดียว ดังนั้นหลายๆ คนจึงไม่เห็นถึงภัยจากตัวบีเวอร์ ประสิทธิภาพในการแทะต้นไม้ของพวกมันเทียบได้กับเลื่อยไฟฟ้า แค่แทะเบาๆ ก็ตัดต้นไม้ที่หนาเท่าขาคนได้จากราก แทะขาดได้จริงๆ ยังไม่เท่าไร ที่อันตรายกว่านั้นคือแทะไปแค่ครึ่ง ลำต้นก็เกิดเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่มาก เหลือแค่ต้นไม้ครึ่งหนึ่งเชื่อมกับรากต้นไม้ อาจจะโค่นลงมาทับคนได้ตลอดเวลา 

 

 

ไม่เพียงเท่านั้น บีเวอร์ยังขุดรูสร้างรังริมฝั่งแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล แม้กระทั่งริมเขื่อนกั้นน้ำ ดูเหมือนริมฝั่งแม่น้ำที่ราบเรียบคงถูกขุดเป็นร้อยรูแล้ว 

 

 

แต่ไม่เป็นภัยกับอเมริกาใต้บ้านเกิดของพวกบีเวอร์ เพราะอเมริกาใต้มีจระเข้ มีงูเหลือม รวมถึงสัตว์ป่ากินเนื้อชนิดอื่นคอยควบคุมจำนวนของพวกมัน แต่เมื่ออยู่ในอเมริกาเหนือ ศัตรูโดยธรรมชาติของพวกมันมีแค่หมาป่าที่จำนวนบางตา และหมาป่าไคโยตีก็เหมือนจะไม่สนใจพวกมัน จำนวนของพวกมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจากการไม่มีสัตว์ป่าชนิดอื่นควบคุมจำนวน 

 

 

บีเวอร์ที่ถูกหมาป่าหนุ่มคาบมาตัวนี้ ขนและผิวหนังเป็นสีน้ำตาลมันขลับ ดูไปแล้วอ้วนท้วนสมบูรณ์อย่างยิ่ง น่าจะหนักประมาณห้ากิโลกรัม 

 

 

ขณะที่กำลังพูดอยู่ก็มีหมาป่าตัวอื่นทยอยกันคาบบีเวอร์อ้วนจ้ำม่ำเช่นเดียวกันกลับมาหลายตัว ท่าทางพวกมันเพิ่งทำลายรังของบีเวอร์ และคาบบีเวอร์ตัวเล็กใหญ่มาทั้งครอบครัว 

 

 

“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…กินด้วยกันไหม?” ฟราเทอร์ตั้งอกตั้งใจเชิญ 

 

 

“เอ่อ…” 

 

 

จางจื่ออันกำลังจะปฏิเสธ พอหันกลับไปเห็นท่าทางสนใจสัตว์มีฟันแทะอ้วนท้วนชนิดนี้ของพวกฟีน่า เขาก็จำใจต้องตกลง 
 
 
 

ตอนที่ 1574
 
ในฐานะที่เป็นชายหนุ่มเกิดและเติบโตในเมือง นอกจากแล่ปลาแล้ว แม้แต่ไก่ตัวเป็นๆ จางจื่ออันก็ไม่เคยฆ่า เมื่อเจอบีเวอร์ที่รูปร่างภายนอกเหมือนหนูขนาดใหญ่ยักษ์ก็รู้สึกว่าจัดการค่อนข้างยาก 

 

 

ตั้งแต่พวกฟีน่าเข้ามาในป่า วันๆ กินแต่อาหารกระป๋องพร้อมทาน กินจนเลี่ยนแล้ว แต่เห็นจางจื่ออันไม่ได้ทุ่มเทแรงกายล่าสัตว์ในป่ามาเป็นอาหาร ก็ทำได้แค่อดทนไปก่อน เพื่อกันไม่ให้ตกเป็นที่ครหาว่า ‘ทำลายสมดุลระบบนิเวศ’ ตอนนี้เห็นฝูงหมาป่าคาบบีเวอร์อ้วนท้วนสมบูรณ์มาหลายตัว ก็อดน้ำลายไหลไม่ได้ พวกมันเห็นว่าบีเวอร์ไม่ต่างอะไรกับกระต่าย คาดว่ารสชาติก็คงคล้ายกัน 

 

 

ไขมันในอาหารสำคัญกับแมวมาก ด้วยเป็นสัตว์กินเนื้อเพียงอย่างเดียว แมวจึงอาศัยเพียงโปรตีนและไขมันมาสร้างพละกำลัง ไม่ได้อาศัยแป้งข้าวโพด 

 

 

หลายวันนี้ที่เดินทางในป่าอย่างยากลำบาก ฟีน่า เหล่าฉา และเฟยหม่าซือต่างก็ซูบลงไปหนึ่งเท่าตัว อยากกินเนื้อสัตว์สดใหม่แทบรอไม่ไหวแล้ว 

 

 

จางจื่ออันกะดูปริมาณอาหารของพวกภูตสัตว์เลี้ยงเล็กน้อย แล้วหิ้วบีเวอร์สองตัวไปที่ริมแม่น้ำ ใช้มีดพับสวิตที่พกมาด้วยเปิดหนังตรงหน้าอกของมันจากตรงก้น กำจัดอวัยวะภายใน ทำเอามือของเขาเปื้อนเลือดไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะมีน้ำในแม่น้ำล้างมือพอดี เขายอมผิดต่อพวกภูตสัตว์เลี้ยง แต่ไม่ยอมทำเรื่องสกปรกแบบนี้ 

 

 

เรื่องยุ่งยากที่สุดคือมืดพับสวิตเล็กเกินไป แถมยังคมไม่พอ แม้แต่ตัดหางของบีเวอร์ก็เสียเวลาอยู่นาน วุ่นวายเสียจนเหงื่อแตกท่วมตัว 

 

 

กว่าจะจัดการศพของบีเวอร์จนสะอาดได้ จางจื่ออันก็ต้องวุ่นอยู่กับการล้างเลือดในแม่น้ำ จากนั้นถึงใช้กิ่งไม้ที่เหลาจนแหลมมาเสียบตัวบีเวอร์ เท่านี้ก็เตรียมย่างได้แล้ว 

 

 

แน่นอนว่าหนัง ขน และอวัยวะต่างๆ ที่เอาออกมานั้นโยนทิ้งเรื่อยเปื่อยไม่ได้ กลิ่นเหม็นคละคลุ้งจะเรียกแมลงวันได้ง่าย อาจจะยังต้อนรับสัตว์กินซากเข้ามาด้วย โยนเข้าไปในแม่น้ำก็ลดปัญหาได้ แต่ส่งผลกระทบให้น้ำในแม่น้ำสกปรกอย่างหนัก 

 

 

ดังนั้นเขาจึงใช้พลั่วขุดหลุม เพื่อฝังหนัง ขน และอวัยวะต่างๆ ลงไป 

 

 

ขณะที่เขาขุดหลุม ริชาร์ดที่เหม็นกลิ่นคาวจนหนีไปก็บินกลับมา ก่อนจะเกาะบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งใกล้ๆ และใช้ปีกปิดจมูกพลางร้องว่า “แกว๊กๆ! เจ้าโง่! ไม่เห็นเหรอว่ายังมีหางกลิ่นเหม็นโชยไม่ได้ฝัง? หรือจะบอกว่าเอ็งคิดจะเอาหางสีดำหนาสองหางนี้ไปทำอะไรอีก?” 

 

 

ริชาร์ดพูดถึงหางของบีเวอร์ที่ตัดออกมา จางจื่ออันโยนหางทั้งสองอันนี้ทิ้งไว้ริมแม่น้ำ ริชาร์ดจึงคิดว่าเขาลืมฝัง โวยวายเสียงดังไม่หยุด มันกังวลว่าหางพวกนี้จะเรียกสัตว์กินซากจากชายทะเลมา เช่น แร้งคอนดอร์แคลิฟอร์เนีย 

 

 

แต่สิ่งของรอบๆ ก้นทุกอย่างก็เหม็นเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงริชาร์ดที่เป็นนกไม่ได้มีจมูกไวต่อกลิ่นมากนัก ก็ยังได้กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นสาบที่โชยมาจากหาง 

 

 

จางจื่ออันกลบหลุม แล้วมองบนใส่มัน ก่อนจะต่อว่า “นายจะเข้าใจอะไร! ฉันตั้งใจเหลือไว้โอเคไหม?” 

 

 

“แกว๊ก?” ริชาร์ดมองบนใส่เขาอย่างไม่ยอมแพ้ “เจ้าโง่ เอ็งลืมแล้วแน่ๆ ยังจะปากแข็งอีกเหรอ เอ็งเหลือหางสองหางนี้ไว้ทำอะไร? หางนี้มีเนื้อไม่เท่าไรนะ!” 

 

 

“มีประโยชน์สิ” 

 

 

จางจื่ออันใช้น้ำในแม่น้ำล้างหางบีเวอร์ที่ถลกหนังแล้วจนสะอาด จากนั้นถึงเอาไปวางไว้บนก้อนหินริมแม่น้ำที่ค่อนข้างเรียบและมีหลุมเว้าเข้าไปข้างใน แล้ววักน้ำในแม่น้ำมาล้างหางเล็กน้อย กะสัดส่วนคร่าวๆ และเพิ่มเกลือลงไปจำนวนหนึ่ง 

 

 

“จิ๊ๆ! ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคิดจะรูดแท่งสินะ?” 

 

 

“ไม่ใช่สักหน่อย” 

 

 

จางจื่ออันสะบัดน้ำบนมือจนหมด และเริ่มเก็บฟืนเตรียมก่อไฟ 

 

 

ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอยากรู้อยากเห็นทีเดียว เห็นท่าทางเขาแล้วไม่เหมือนอยากกินหางของบีเวอร์ งั้นเหลือไว้ทำอะไรล่ะ? 

 

 

“เอ็นหางของบีเวอร์สร้างขึ้นจากคอลลาเจน เหมาะที่จะใช้เป็นไหมเย็บทางการแพทย์มาก ฉันคิดว่าอาจจะมีประโยชน์ หลังจากกินเสร็จแล้วจะเหลือเอ็นหางไว้ ถ้าได้ใช้ขึ้นมาล่ะ?” เขาอธิบาย 

 

 

ก่อนหน้านี้กวางแดงตัวจ่าฝูงถูกหมีดำข่วนจนบาดเจ็บสาหัส เขาแค่ฆ่าเชื้อและพันแผลให้มันเท่านั้น แต่ข้อแรกเป็นเพราะไม่มียาชา และข้อสองคือไม่มีไหมเย็บแผล ดังนั้นจึงเย็บแผลให้มันไม่ได้ ดีที่มันร่างกายแข็งแรงทีเดียว 

 

 

ลูกวาฬมิงก์ตัวที่เกยตื้นบนชายทะเลเมืองปินไห่ก่อนหน้านี้ เขาใช้เชือกว่าวเย็บแผลให้มัน เพราะแผลของวาฬแกลบทั้งใหญ่ ทั้งลึก ไม่เย็บก็คงต้องตายแน่นอน อีกอย่างตอนนั้นลูกวาฬแกลบเกยตื้นบนชายหาดขยับตัวไม่ได้ และหนังวาฬกับไขมันก็ค่อนข้างหนา อาจจะไม่ค่อยรู้สึกเจ็บมาก เขาจึงได้รวบรวมความกล้าเย็บแผลให้ลูกวาฬแกลบทั้งที่ไม่มียาชา 

 

 

แต่ทำอย่างนั้นกับกวางไม่ได้ กวางหนังบาง และไม่ได้มีไขมันมากขนาดนั้น พอเจ็บจะต้องหนีหรือดิ้นแน่นอน อีกอย่างก็ไม่มีไหมเย็บ งั้นช่างเถอะ 

 

 

ตอนเห็นบีเวอร์ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ดูเหมือนจะมีเขียนไว้ในคู่มือปฐมพยาบาลที่ยืมมาจากซุนเสี่ยวเมิ่ง หลังจากจัดการเอ็นหางของบีเวอร์แล้ว สามารถเอามาใช้เป็นไหมเย็บแผลได้ หลังจากเย็บแผลได้ประมาณหนึ่งเดือนก็จะละลายไปเอง ไม่ต้องตัดไหม 

 

 

ในเมื่อมีบีเวอร์ตัวเป็นๆ เขาก็คิดจะลองทำสักหน่อย ดึงเอ็นหางออกมาเตรียมสำรองเอาไว้สักสองสามเส้น แต่อะไรก็ไม่แน่นอน ถ้าถึงตอนได้ใช้ เดี๋ยวก็รู้วิธีใช้เอง 

 

 

ส่วนเรื่องยาชา ตอนนี้ยังไม่รู้จะทำยังไง 

 

 

ปากเขาอธิบาย แต่มือก็ไม่ได้หยุด เดินเก็บฟืนแถวนั้นรอบหนึ่งให้เพียงพอกับการก่อไฟ จากนั้นก็วางบีเวอร์ไว้บนฟืน ตัวหนึ่งทาเกลือบางๆ ทั้งนอกและในชั้นหนึ่ง ส่วนอีกตัวหนึ่งไม่ได้ทาเกลือ และยัดผักผลไม้ป่ากินได้ไว้ข้างในท้องจำนวนหนึ่งเพื่อดับกลิ่นคาว 

 

 

พอจุดกองไฟเสร็จ บีเวอร์ตัวอ้วนก็ถูกย่างจนมีน้ำมันเยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

ขณะที่รอเนื้อย่างสุก เขาก็เลาะเนื้อบริเวณหาง หาสิ่งที่คล้ายกับเอ็นหาง แล้วใช้เกลียวดึงจุกก๊อกขวดไวน์ที่เปิดขวดรูปร่างเหมือนใบพัดในมีดพับสวิตแทงเอ็นหางและเกี่ยวเอาไว้ ก่อนจะดึงเอ็นออกมาจากหางช้าๆ คัดเลือกเส้นที่เหมาะสม และแช่ไว้ในสารเหลวไฮโดรเจนเพื่อฆ่าเชื้อ 

 

 

นี่เป็นงานที่ละเอียดอ่อน ในหางทุกหางไม่ได้มีเอ็นหางแค่เส้นเดียว มีทั้งสั้นและยาว มีทั้งหนาและบาง แน่นอนว่าสั้นและบางเกินไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ มีบางเส้นที่ค่อนข้างยาวอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะขาดอยู่ในหางระหว่างที่กำลังดึงออกมา ดังนั้นจึงต้องมีความอดทนและระมัดระวังเป็นพิเศษ 

 

 

บีเวอร์ตัวอื่นถูกฝูงหมาป่ากินจนเกลี้ยงแล้ว ส่วนฟราเทอร์ไม่ได้กิน ดูท่าทางมันก็เหมือนกับภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ไม่กินเนื้อสดๆ แต่รอกินเนื้อบีเวอร์ที่ย่างจนสุกแล้ว 

 

 

คิดๆ ดูแล้วก็ถูก ถึงแม้ฟราเทอร์จะเป็นหมาป่า แต่ในเมื่อมันเป็นภูตสัตว์เลี้ยงที่ถูกเรียกออกมา ก่อนหน้านี้มันจะต้องเป็นสัตว์เลี้ยงของใครบางคนแน่นอน หรือมีความสัมพันธ์แนบชิดกับใครสักคน ในเมื่อเป็นอย่างนั้น มันย่อมเคยชินกับการกินอาหารสุกกับคนคนนั้นมาก 

 

 

ฟราเทอร์ฟังเขาอธิบายเรื่องหางบีเวอร์แล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้งทันที ก่อนจะกล่าวชม “หากผู้คนในอดีตมีความรู้เช่นนี้ จะต้องช่วยชีวิตคนไว้ได้มากมายเป็นแน่” 

 

 

ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นชินกับความรู้มากมายที่ไม่รู้ว่าเขาไปได้มาจากไหนพวกนี้แล้ว แทนที่จะคิดถึงที่มาของความรู้พวกนี้ พวกมันสนใจกลิ่นของเนื้อบีเวอร์ย่างที่หอมเตะจมูกมากกว่า ถึงขั้นต้องกลืนน้ำลายไม่หยุด 
 
 
 

ตอนที่ 1575
 
เส้นไหมที่ได้จากลำไส้ของแพะเป็นไหมเย็บที่ใช้ในการแพทย์ทั่วไป หลักๆ ใช้เย็บแผลที่ตัดไหมยาก เมื่อพัฒนาตามยุคสมัย แหล่งที่มาก็ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ลำไส้ของแพะอีก แต่ก่อนที่เส้นไหมจากลำไส้ของแพะจะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง เอ็นหางหนูก็เคยนิยมนำมาใช้เป็นไหมเย็บแผล 

 

 

เมื่อเทียบเอ็นหางหนูกับลำไส้ของแพะ เอ็นหางหนูมีข้อดีมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือหนูเลี้ยงง่ายกว่าแพะมาก และร่างกายคนยังเข้ากันได้ดีกับเอ็นหางหนู แทบจะไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน แต่ข้อเสียก็คือหนูหางสั้นและบาง ความยาวของเอ็นหางไม่เพียงพอ 

 

 

เทียบกับหนูทั่วไปแล้ว หางของบีเวอร์ทั้งหนา ทั้งยาว เอ็นหางยังดีของเอ็นหางหนูทั่วไป และยังไม่มีข้อเสียอื่นใด เป็นไหมเย็บแผลทางการแพทย์ที่เหมาะสมที่สุด แต่เพราะตัวบีเวอร์เลี้ยงยาก จึงเก็บเอ็นหางได้ยาก ดังนั้นราคาไหมเย็บแผลที่ได้มาจากเอ็นหางของบีเวอร์จึงมีราคาแพงมาก 

 

 

แน่นอนว่าการเก็บเอ็นหางของบีเวอร์ป่าจำเป็นต้องผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดีถึงจะใช้ได้ นี่ก็คือสิ่งที่จางจื่ออันกำลังทำอยู่ 

 

 

เนื้อบีเวอร์ไขมันเยิ้มถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทองแล้ว น้ำมันสีเหลืองกรอบซึมออกมาจากในเนื้อเป็นหยดใหญ่รวมกัน ตอนที่หยดน้ำมันเริ่มรวมตัวกันจนหนัก ก็จะหยดลงไปในกองไฟ และกองไฟก็จะพ่นเปลวไฟขึ้นมากอย่างรุนแรง แทบจะสัมผัสกับเนื้อบีเวอร์อยู่รอมร่อ 

 

 

ฝูงหมาป่าที่กลัวไฟยังถูกกลิ่นหอมเตะจมูกดึงดูดให้วนเวียนอยู่แถวนี้ 

 

 

อกไก่ย่างที่ปกติพวกภูตสัตว์เลี้ยงกินไม่ได้มีไขมันมากขนาดนี้ เทียบกันแล้วนี่เหมือนเป็ดย่างมากกว่า 

 

 

แม้แต่เสวี่ยซือจื่อที่ชอบกินเนื้อดิบยังน้ำลายสอ เอาแต่เร่งให้เขาหยุดย่างอย่างรอไม่ได้ เดี๋ยวย่างเกรียมก็ไม่อร่อยกันพอดี 

 

 

แต่จางจื่ออันระมัดระวังไว้ก่อน จึงย่างต่ออีกสักหน่อย จนกระทั่งสุกหมดทั้งข้างนอกและข้างใน เพราะบีเวอร์เป็นสัตว์ที่มีฟันแทะเหมือนกับหนู แพร่เชื้อโรคได้มากมาย อย่างเช่น อหิวาตกโรค 

 

 

เขาหยิบบีเวอร์อ้วนจ้ำม่ำสองตัวลงมาจากกองไฟ หลังจากเนื้อสุกแล้วจะแยกออกจากกระดูกได้ง่ายกว่าตอนยังมีชีวิต เขาแคะเนื้อชิ้นใหญ่สองชิ้นออกจากกระดูก ส่งชิ้นที่ทาเกลือแล้วให้เฟยหม่าซือกับฟราเทอร์กิน อีกชิ้นให้พวกฟีน่า เหล่าฉา และเสวี่ยซือจื่อกิน 

 

 

ส่วนโครงกระดูกสองโครงที่เหลือ ที่จริงยังมีเนื้อไม่น้อย เขาจึงโยกให้ฝูงหมาป่าที่รออยู่ด้านข้าง 

 

 

ฝูงหมาป่าไม่สนใจว่านี่เป็นอาหารเหลือหรือเปล่า หมาป่าที่น่าจะมีตำแหน่งเบต้าสองสามตัวแย่งกันไปมาในทันที พริบตาเดียวก็ฉีกแบ่งโครงกระดูกไปแล้ว เคี้ยวกร้วมๆ เหมือนเคี้ยวแผ่นมันฝรั่ง เคี้ยวเสียจนกระดูกแตกได้สบายๆ 

 

 

ส่วนหมาป่าโอเมก้าหลายตัวที่ตำแหน่งตำกว่าก็ได้แต่มองตาปริบๆ พร้อมน้ำลายไหล 

 

 

จางจื่ออันเองไม่ได้กิน เพราะขนของบีเวอร์ทุกตัวหนักประมาณห้ากิโล แต่หลังจากแคะกระดูกและนำอวัยวะออกไปแล้ว ก็ยากที่จะหาเนื้อจากกระดูก น้ำหนักของเนื้อชิ้นใหญ่อาจจะไม่ถึงครึ่ง พอให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงกินได้ เขาขี้เกียจขจัดการตัวที่สามอีก และไม่อยากทำเรื่องวุ่นวายนี้แล้ว ตอนแคะเนื้อบีเวอร์ตัวนั้นให้พวกฟีน่า อย่างมากเขาก็แค่แอบชิมไปสองสามชิ้น รสชาติคล้ายกับกระต่ายทีเดียว 

 

 

แม้ท่าทางของเขาจะลับๆ ล่อๆ แต่กลับไม่ได้รอดพ้นสายตาของเสวี่ยซือจื่อ มันแฉเขาอย่างไม่ปรานีสักนิด “ถุยๆๆ! ชายเฮงซวยวันๆ รู้จักแต่ขี้โกง!” 

 

 

ตอนพวกภูตสัตว์เลี้ยงกิน เขาไม่ได้รีบร้อนทำอาหารให้ตัวเอง แต่หยิบเอ็นหางที่แช่อยู่ในสารเหลวไฮโดรเจนออกมาก่อน วางไว้ในที่ที่พ้นแสงแดด พอตากลมจนแห้ง ก็ค่อยเริ่มเตรียมอาหารให้ตัวเอง และยังคงเป็นการผสมอาหารกระป๋อง ข้าว และผักป่าเหมือนเดิม 

 

 

ถ้าฟราเทอร์กับเฟยหม่าซืออยากขยายกระเพาะจริงๆ เนื้อของบีเวอร์หนึ่งตัวไม่พอกิน ดีที่พวกมันสองตัวค่อนข้างมีมารยาท จึงแบ่งกันกินคนละครึ่ง 

 

 

“เจ้ากินสิ่งเหล่านี้หรือ?” 

 

 

ฟราเทอร์สังเกตเห็นวิธีหุงข้าวของเขา ก็คือนำข้าว ผักป่า และอาหารกระป๋องเทเข้าไปนึ่งในสุกด้วยกันในหม้อ หลังจากคนเข้ากันแล้วก็กินได้ ส่วนใหญ่ในนั้นเป็นข้าวกับผักป่า เนื้อในปาหารกระป๋องข้างในน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นก็ไม่นับว่าดีมาก แค่เป็นระดับที่พอจะกลืนไปได้ 

 

 

“อื้ม นายมาลองชิมหน่อยไหม?” 

 

 

จางจื่ออันเช็ดปาก จำนวนของอาหารกระป๋องเหลือไม่มากแล้ว ต้องคิดถึงขากลับด้วย ดังนั้นเขาตั้งใจจะควบคุมปริมาณการกินอาหารลง พออิ่มท้องได้ก็พอแล้ว 

 

 

ฟราเทอร์ส่ายหน้า “ไม่ล่ะ เจ้ากินเถอะ” 

 

 

วุ่นวายอยู่ตั้งนาน มีเรื่องลอกหนังและดึงเอ็นอีก จางจื่ออันหิวมากแล้ว พอได้ยินก็ไม่เกรงใจอีก ใช้ช้อนตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ 

 

 

ฟราเทอร์มองท่าทางกินข้าวของเขา แล้วมองพวกฟีน่าที่กำลังแบ่งกันกินเนื้อบีเวอร์ แล้วถามด้วยความสงสัย “อาหารพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าให้เจ้าแทนฝูงหมาป่า เจ้ามีสิทธิ์แบ่งตามความต้องการของเจ้า แต่เพราะเหตุใดเจ้าต้องแบ่งเนื้อให้พวกมันทั้งหมด ไม่แบ่งไว้ให้ตัวเองส่วนหนึ่งเล่า? ถึงแม้แบ่งเท่าๆ กันก็ยังดี ใครก็ไม่มีสิทธิ์ตำหนิอะไร” 

 

 

จางจื่ออันคิด ก่อนจะใช้ช้อนเคาะขอบชามเบาๆ “เพราะฉันยังกินข้าวได้ แต่พวกมันกินได้แค่เนื้อ” 

 

 

ฟราเทอร์มองเฟยหม่าซือครั้งหนึ่ง แล้วถามต่อ “เช่นนั้นพวกข้าเล่า? เจ้าเหลือเนื้อบีเวอร์ตัวนี้จากพวกข้าให้ตัวเองส่วนหนึ่งก็ได้” 

 

 

“เพราะพวกนายเหนื่อยกว่า แล้วฉันก็ไม่ต้องลอดไปมาอยู่ในพุ่มไม้เตี้ยๆ กินข้าวก็ได้” เขาตอบ 

 

 

ฟราเทอร์หันกลับไปมองกระเป๋าสะพายหนักอึ้งที่พิงอยู่บนต้นไม้ แม้มันจะไม่แน่ใจน้ำหนักจริงๆ ของกระเป๋าสะพายใบนี้ แต่จากการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นตอนเขาสะพายกระเป๋าเดิน รวมถึงความลึกที่รองเท้าจมโคลนก็รู้ว่าน้ำหนักของกระเป๋าสะพายนี้ไม่เบาแน่นอน 

 

 

ในกระเป๋าสะพายมีของใช้สำหรับการตั้งแคมป์ต่างๆ หม้อ ชาม กระบวย กะละมัง เต็นท์ เครื่องกันฝน เบาะกันน้ำ ถุงนอน และอื่นๆ มีอาหารที่เพียงพอสำหรับหลายวัน ยังมีสิ่งของจิปาถะอีก แม้กระทั่งพกชามของภูตสัตว์เลี้ยงทุกตนมาเพื่อให้ความเคารพกับพวกมัน…วันแรกที่เดินเข้ามาในป่า กระเป๋าสะพายหนักจนเขาแทบจะไม่สามารถรักษาสมดุลขณะเดินได้ 

 

 

ระหว่างทางมา งานส่วนใหญ่เขาต้องทำด้วยกำลังของตัวเอง นอกจากรับหน้าที่เฝ้าระวังได้แล้ว พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ช่วยงานอื่นไม่ได้ ตอนเขาจัดการศพบีเวอร์เสร็จและไปล้างมือที่ริมแม่น้ำเมื่อครู่ ฟราเทอร์ก็สังเกตเห็นแผลถลอกและตุ่มน้ำอันเกิดจากการเสียดสีกับกิ่งไม้ ไม้เท้าปีนเขา และก้อนหินบนฝ่ามือของเขา 

 

 

“เจ้าก็เหมือนลาตัวหนึ่ง” อยู่ๆ ฟราเทอร์ก็พูดขึ้นมา 

 

 

จางจื่ออันแทบจะพ่นข้าว! 

 

 

นี่กำลังชมหรือด่าอยู่นะ? 

 

 

แม้นักเดินป่าส่วนมากจะถูกเรียกว่าเพื่อนลา เพราะท่าทางสะพายกระเป๋าเดินทางไกลเหมือนลาที่รับผิดชอบขนส่งสิ่งขอหนักๆ แต่ก็เรียกคนอื่นว่าลาตรงๆ แบบนี้ไม่ได้มั้ง? 

 

 

ริชาร์ดกำลังเคี้ยวผลไม้ตากแห้ง มันเสริมว่า “แกว๊กๆ! ดูไม่ออกเลยว่าเอ็งก็ตาดีมากเหมือนกัน! เจ้าโง่นี่โง่เหมือนลาจริงๆ!” 

 

 

“โชคชะตาของลาคือแบกของหนักเดินทาง ถูกคนเฆี่ยนตี กินอาหารที่หยาบและปริมาณน้อยที่สุด” ในสายตาของฟราเทอร์ค่อยๆ หวนนึกถึงอดีตและจินตนาการเอ่อขึ้นมา “เรื่องที่เจ้าเหมือนลาไม่ใช่เรื่องขายหน้า มีเพียงคนที่อดทนทำงานหนัก ถึงจะเดินสู่เส้นทางแห่งการชำระบาปได้” 

ตอนที่ 1576 เจอภูเขาเปิดทาง เจอแม่น้ำสร้างสะพาน
 
จางจื่ออันพอจะเข้าใจแล้ว ที่แท้ฟราเทอร์ไม่ได้หมายถึงลาซึ่งเป็นเพื่อนลา แต่เปรียบเทียบเขาเหมือนล่อ หรือตามคำพูดที่ใช้กันทั่วไปในหมู่คนจีนก็คือวัวที่มุมานะ 

 

 

คนตะวันตก…ไม่ใช่สิ หมาป่าตะวันตกชอบชมคนแบบนี้เหรอ? หรือจะบอกว่านี่เป็นวิธีชมคนของยุคโบราณ? 

 

 

อีกอย่าง ชำระบาปคือบ้าอะไร? 

 

 

เขาทำได้แค่นึกถึงคนธรรมดาชำระบาปในเทพนิยาย นิทานปรัมปรา และนิยายดาร์กแฟนตาซี แต่นั่นเป็นเรื่องไร้สาระอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

“เมี๊ยวๆๆ! แม่เฒ่าจะบอกเจ้าให้ ชายเฮงซวยผู้นี้ ‘ชำระบาป’ แล้ว กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในชายโสดหกสิบล้านคนของประเทศจีน น่ายินดีเสียจริง!” 

 

 

เสวี่ยซือจื่อฉีกเนื้อบีเวอร์ชิ้นหนึ่งอย่างเชื่องช้า ยังไม่ลืมที่จะแฉเขา 

 

 

ฟราเทอร์ได้ยินแล้วก็ตะลึง “ประเทศจีนมีอริยะมากขนาดนั้นเชียว?” 

 

 

“เมี๊ยวๆๆ! มากกว่านั้นอีก! ยังมีมากกว่านั้น!” เสวี่ยซือจื่อบุ้ยปากพร้อมชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่ง แล้วพูดว่า “ข้าเห็นว่าเอ็งสร้างความผาสุกสู้พี่น้องชายชาตรีไม่ได้ เปลี่ยนเป็นหญิงสาวให้พี่น้องได้สมดังใจ เป็นอย่างไร? ชายโสดหนึ่งคนเปลี่ยนเป็นหญิงสาว จำนวนของชายโสดก็จะลดลงสองคน คำนวนอย่างไรก็คุ้มค่า!” 

 

 

จางจื่ออันพุ้ยข้าวอยากหัวเสีย ภูตสัตว์เลี้ยงสองตัวนี้เหมือนไก่คุยกับเป็ดโดยแท้ อธิบายก็อธิบายไม่ชัดเจน ช่างมันแล้วกัน 

 

 

พอกินข้าวเสร็จ ภูตสัตว์เลี้ยงยังไม่นอนก็เดินเตร่ย่อยอาหาร เขาต้มน้ำชาอีกกาหนึ่ง หลังจากกินข้าวและดื่มน้ำจนอิ่มแล้ว ก็เดินทางต่อ 

 

 

เขาเก็บสิ่งของที่ควรเก็บก่อน พอแพ็คทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายเขาก็ไปตรวจดูเอ็นหางสองสามเส้นที่ผึ่งลมจนแห้งอยู่ในที่ร่ม 

 

 

เอ็นหางที่ตากแห้งแล้วหดตัวลงกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ปรากฏสีขาวกึ่งโปร่งแสง กะด้วยตาแล้วความกว้างคร่าวๆ ยังไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตร 

 

 

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เขาเลือกทิ้งเอ็นหางสองชนิดไว้ ชนิดแรกคือเส้นที่ความยาวประมาณสิบห้าเซนติเมตร อีกชนิดคือเส้นที่ความยาวประมาณสามสิบเซนติเมตร ชนิดหลังยากที่จะดึงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงมีเพียงเส้นเดียว 

 

 

เขาใช้ทิชชู่ห่อเอ็นหางหลายเส้นขึ้นมา แล้วใส่เข้าไปในกล่องปฐมพยาบาล เตรียมไว้ใช้ในทุกโอกาส แน่นอนว่าไม่มีโอกาสใช้จะดีที่สุด 

 

 

พอเก็บของเสร็จแล้ว เขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ออกเดินทางต่อ เดินเลียบแม่น้ำย้อนไปทางต้นน้ำ 

 

 

ฝูงหมาป่าเหมือนได้ชิมของอร่อย จึงกระตือรือร้นในการตามหาร่องรอยของบีเวอร์ตลอดทาง ไม่มีอะไรทำก็ไปขุดตามชายฝั่งแม่น้ำ ไม่นานก็หาบีเวอร์ที่กระโดดไปมาได้หนึ่งรัง 

 

 

จางจื่ออันปวดหัวตลอด เพราะเขาต้องทำงานสกปรกอย่างลอกหนัง ควักอวัยวะของบีเวอร์ทั้งหมด ลำบากกว่าหุงข้าวเป็นไหนๆ แค่พอคิดว่านี่ประหยัดอาหารกระป๋องได้จริงๆ เขาก็ยอมทำให้พวกมัน 

 

 

ตามปกติแล้วทำร้ายสัตว์ป่าในอุทยานเรื่อยเปื่อยไม่ได้ แต่ฝูงหมาป่าต้องกินอยู่ตลอด นี่จึงเป็นเรื่องจนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ทำให้บีเวอร์พวกนี้ตาย 

 

 

เขาเดินเลียบแม่น้ำไปเจอทางที่ค่อนข้างแคบจุดหนึ่ง จึงเรียกให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงหยุด คิดจะข้ามแม่น้ำตรงนี้ 

 

 

“เจี๊ยกๆ?” 

 

 

พายถือกระบองไม้ที่เขาตัดให้มัน มันยืนอยู่ริมแม่น้ำ ลองยื่นกระบองไม้ลงไปในแม่น้ำ กระบองไม้ไม่ได้เข้าไปในน้ำทั้งอัน แต่ปลายด้านหนึ่งที่มันถือเอาไว้กลับไม่ได้ยื่นลงไปใต้แม่น้ำ 

 

 

มันทำสัญญาณมือด้วยความเป็นห่วง ความหมายคือแม้ทางน้ำตรงนี้จะแคบ แต่ก็ลึกมาก ยากต่อการเดินลุยน้ำข้ามไป 

 

 

จางจื่ออันพยักหน้า ก่อนจะปลดกระเป๋าะพายลง แล้วชี้ต้นไม้ต้นหนึ่งพูดว่า “ฉันรู้ แต่พวกเราไม่ได้จะเดินลุยแม่น้ำไป ตอนนี้จะลองดูว่าสร้างสะพานได้ไหม” 

 

 

“แกว๊ก? เอ็งเนี่ยนะ? สร้างสะพานเหรอ?” ริชาร์ดใช้ปีกบังหน้าอก “ข้าเกือบจะหัวเราะเอ็งจนต้องทำบายพาสหัวใจแล้ว!” 

 

 

ทีแรกพวกภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะสร้างสะพานอย่างไร พอเดินไปมองต้นไม้ต้นนั้นดีๆ คราวนี้ถึงจะพบว่าระยะห่างจากรากต้นไม้สูงประมาณยี่สิบเซนติเมตร ต้นไม้ต้นนั้นหนาเท่าถังน้ำ คิดไม่ถึงว่าจะถูกสัตว์บางอย่างก้มหน้าก้มตาแทะจนขาดไปมากกว่าครึ่ง รากต้นไม้กับลำต้นแทบจะขาดออกจากกัน โงนเงนคล้ายจะโค่นลงทุกเมื่อ 

 

 

สายตาของทุกคนตกลงบนฟันหน้าทั้งแหลม ทั้งยาวของบีเวอร์ ตัวการหลักเป็นใครต่างก็รู้ดี 

 

 

เมื่อสัตว์อย่างบีเวอร์เอ่อล้นจนเป็นภัย มันจะทำลายป่าอย่างรุนแรง แต่พวกมันก็ไม่ได้ทำไปโดยไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว เพราะพวกมันไม่ได้แทะต้นไม้เพราะจะกินต้นไม้ แค่เพื่อขัดฟันเท่านั้น 

 

 

นี่เป็นต้นไซเปรซต้นหนึ่ง เติบโตอยู่ริมแม่น้ำ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำกัดเซาะท้องน้ำ รากส่วนหนึ่งของมันที่อยู่ในแม่น้ำจึงลอยไปตามการซัดสาดของน้ำในแม่น้ำ 

 

 

จางจื่ออันกะด้วยสายตา ถ้าดันต้นไซเปรสต้นนี้ไปยังทิศทางที่ถูกต้อง ยอดต้นไม้น่าจะพาดบนฝั่งตรงข้ามพอดี แล้วใช้มันเป็นสะพานข้ามไปได้ ถึงแม้เขาไม่ได้ดันต้นไม้ต้นนี้ให้โค่นลง มันก็อยู่ได้ไม่นานอยู่แล้ว 

 

 

ถึงจะเป็นช่วงกลางฤดูร้อน ในป่าลึกของอุทยานเรดวูดก็ยังมีอากาศมืดครึ้มและหนาวเย็น น้ำในแม่น้ำเย็นเฉียบ ถ้าจำเป็น เขาก็ไม่อยากลุยน้ำเหมือนกัน เพราะถ้าเสื้อผ้าเปียกแล้วก็ไม่มีที่ตาก 

 

 

อยากจะดันต้นไม้ที่หนาเท่าถังน้ำเป็นเรื่องยาก ถ้าเป็นต้นไม้ที่ไม่ได้เสียหายโดยสิ้นเชิง ก็คงขาดเลื่อยไฟฟ้าไปไม่ได้ แต่ดีที่บีเวอร์ทำงานส่วนใหญ่แทนเขาเสร็จแล้ว 

 

 

เขาให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงกับฝูงหมาป่าหลบไป ป้องกันไม่ให้ถูกต้นไม้ที่จะโค่นลงกระแทกเข้า 

 

 

เขาถกแขนเสื้อขึ้น สองมือสัมผัสลำต้น ฝ่ามือรู้สึกได้ถึงความหยาบกระด้าง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ลองใช้แรงแปดส่วนก่อน ช่วงเล็กๆ ที่เชื่อมระหว่างรากต้นไม้กับลำต้นส่งเสียงแตกเบาๆ ดังเปรี๊ยะ ใบไม้ที่แห้งเหลืองจากการขาดสารอาหารหล่อเลี้ยงก็ร่วงลงเหมือนฝนตก 

 

 

ดูท่าทางมีความหวัง 

 

 

เขาปรับมุมเล็กน้อย ขาทั้งสองข้างเหยียบลงบนริมแม่น้ำด้วยท่ายืนม้า สองเท้ายืนอย่างมั่นคง และสูดหายใจเข้าออกลึกๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็หายใจออกอย่างแรงครั้งหนึ่ง แล้วรวมแรงกายทั้งหมดไว้บนฝ่ามือ 

 

 

“ฮ่า!” 

 

 

เขาหน้าแดง พ่นลมออกจากจมูกพร้อมส่งเสียงร้อง รองเท้าก็จมลงไปในดินลึกขึ้นเพราะแรงกดเท้า 

 

 

เปรี๊ยะ… 

 

 

เปรี๊ยะๆ… 

 

 

จุดเชื่อมเล็กๆ ที่เหลืออยู่ตรงรากต้นไม้กับลำต้นส่งเสียงแตกพรั่นพรึงออกมา แถมเสียงยังดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วย 

 

 

เขาดันก่อน แล้วกอดลำต้นดึงมาข้างหลัง ระหว่างใช้แรงดันและดึงทำให้จุดที่เหลืออยู่เล็กๆ อ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ลำต้นบนหัวของเขาโยกแรงขึ้น พร้อมจะโค่นลงได้ทุกเมื่อ และเขาต้องโยกให้มันโค่นไปยังตำแหน่งที่ถูกต้อง อย่างน้อยที่สุดก็ทับตัวเองไม่ได้ 

 

 

สำเร็จไหมก็ต้องดูคราวนี้แหละ! 

 

 

แกรก… 

 

 

แกรกๆ… 

 

 

แกรกๆๆ… 

 

 

แต่ที่น่าโมโหคือลำต้นของต้นไซเปรซเอียงประมาณสี่สิบห้าถึงหงสิบองศาแล้วก็หยุดไป มีเพียงใบไม้ปลิวลงมาเต็มผิวน้ำ 

 

 

อีกแค่นิดเดียว ล้มเหลวเนื่องจากขาดความพยายามสุดท้าย จางจื่ออันมองตาปริบๆ ถ้าสายตาทำให้มันโค่นลงได้ มันก็คงโค่นลงนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว 

 

 

ดูท่าทางยังต้องดันและลากอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

ต้องทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้วค่อนข้างยุ่งยาก เขากำลังครุ่นคิดว่าจะรักษาหน้าในขั้นตอนสุดท้ายนี้อย่างไร แต่เขาก็เห็นเงาสีเทาสายหนึ่ง ฟราเทอร์กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้แล้ว และเดินขึ้นไปบนยอดต้นไม้ตามลำต้น 

 

 

จากนั้นฝูงหมาป่าตัวแล้วตัวเล่าก็เดินตามมันขึ้นไปบนยอดต้นไม้ 

 

 

ด้วยเพราะน้ำหนักของพวกมัน ในที่สุดต้นไซเปรซก็รับไม่ไหว จุดที่เชื่อมรากต้นไม้กับลำต้นหักเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ยอดต้นไม้กระแทกบนฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำอย่างแรง 

 

 

พวกฝูงหมาป่ากระโดดลงจากยอดต้นไม้อย่างว่องไวแล้ว และตกลงบนพื้นดินฝั่งตรงข้าม 

 

 

สร้างสะพานเสร็จแล้ว 

 

 

วลาดิเมียร์ปรบมือกล่าวชม “หนึ่งสะพานบินขยายเหนือใต้ เปลี่ยนหุบเหวลึกเป็นทางสัญจร!”  
 
 

ตอนที่ 1577 หมู่บ้านห่างไกล
 
ถ้าไมได้ฟราเทอร์นำฝูงหมาป่าเข้าช่วยเหลือ กลายเป็นฟางช่วยชีวิตสุดท้ายในการคว้าชัยเหนืออูฐ ต้นไม้ต้นนี้คงไม่ได้โค่นลงได้ง่ายเลย และจางจื่ออันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ต้นไม้ใกล้โค่นต้นนี้อย่างสะเพร่า ก็เหมือนตอนจุดประทัด ถึงสายนำไฟเผาหมดแล้ว และประทัดเงียบเชียบไม่ส่งเสียงดัง แต่ไม่ว่าเข้าไปตรวจสอบหรือปล่อยทิ้งไว้ก็อันตรายทั้งนั้น

 

 

พวกภูตสัตว์เลี้ยงแมวก็ช่วยได้ แต่น้ำหนักตัวของแมวเบามาก ถึงแม้เพิ่มฟีน่าเข้าไปก็ยังโค่นไม่ได้…

 

 

“ตาของเจ้ากำลังมองอะไร?”

 

 

ฟีน่าสังเกตเห็นสายตาของเขาขยับ จึงถามเสียงเย็นทันที

 

 

“เมี๊ยวๆๆ! ให้ข้าน้อยช่วยฝ่าบาทควักลูกตาไร้ศีลธรรมคู่นั้นของเขาออกมาเถอะเจ้าค่ะ!” เสวี่ยซือจื่อร้องตะโกนพร้อมแยกเขี้ยวและโบกกรงเล็บ

 

 

จางจื่ออันอธิบายทันที “ฉันแค่อยากเรียกให้พวกเธอรีบขึ้นรถ…ไม่ใช่สิ รีบขึ้นสะพาน!”

 

 

ถึงแม้ต้นไม้จะโค่นแล้ว แต่ก่อนจะแน่ใจว่ามั่นคง ตอนนี้เขาไม่กล้าขึ้นสะพานไปโดยตรง เพราะเขาสะพายกระเป๋าเป้ทั้งใบเล็กและใหญ่ รักษาสมดุลได้ยาก ถ้าเดินบนสะพานแล้วสะพายเกิดเอียงและกลิ้ง อย่างนั้นเขาก็จะตกน้ำพร้อมกับกระเป๋า แถมหวังให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงมาช่วยไม่ได้ด้วย

 

 

ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นข้ามสะพานไปได้อย่างปลอดภัยตัวแล้วตัวเล่า ริชาร์ดยังตั้งใจบินไปกลับอยู่เหนือผิวน้ำหลายรอบเพื่ออวดว่ามันมีปีก และไม่ต้องข้ามสะพาน

 

 

เขาลองดันจากข้างๆ ดูก็รู้สึกว่ามั่นคงทีเดียว จึงโยนไม้เท้าปีนเขาไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำก่อน จากนั้นค่อยขึ้นสะพานอย่างระมัดระวัง เขาเดินกางแขนทั้งสองข้างเพื่อรักษาสมดุลราวกับเดินอยู่บนลวดเหล็ก พยายามไม่ไปสังเกตน้ำในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก สุดท้ายก็ข้ามแม่น้ำไปได้อย่างปลอดภัย

 

 

ส่วนฝูงกวางที่ตามหลังอยู่ไกลๆ สำหรับพวกมันแล้วการข้ามแม่น้ำไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าเดินบนสะพานต้นไม้หรือกระโดดข้ามไปโดยตรง แม้กระทั่งลุยน้ำข้ามแม่น้ำไปก็ไม่เป็นปัญหา ถึงอย่างไรความสามารถในการกระโดดของกวางก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่ได้กลัวร่างกายและกระเป๋าจะเปียกน้ำเหมือนจางจื่ออัน

 

 

หลังจากข้ามแม่น้ำมา ข้างหน้าก็ไม่มีสิ่งกีดขวางอีก

 

 

ในป่ามืดเร็วอยู่แล้ว เดินไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ยังไม่ถึงตอนเย็นก็ฟ้ามืดลงแล้ว

 

 

รอบๆ ไม่มีแหล่งน้ำ ฝูงกวางไม่กล้าเข้าใกล้เพราะมีฝูงหมาป่าอยู่ด้วย ดังนั้นจึงหวังพึ่งฝูงกวางช่วยหาแหล่งน้ำไม่ได้อีก

 

 

ไม่มีน้ำไม่ได้แน่นอน ถ้าฟ้ามืดสนิทแล้วยังหาแหล่งน้ำไม่เจอ คืนนี้ก็คงต้องลำบากอย่างมาก

 

 

จางจื่ออันลอบลังเลในใจ จะย้อนกลับไปทางปลายน้ำของแม่น้ำ เดินกลับไปช่วงหนึ่ง หรือจะเดินหน้าต่อ เพื่อลองพึ่งดวงดูว่าจะหาแหล่งน้ำเจอไหม?

 

 

“จริงสิ ฟราเทอร์ นอกจากแม่น้ำที่พวกเราเพิ่งผ่านมา แถวนี้มีแม่น้ำอยู่ตรงไหนอีกเหรอ?” เขาคิดว่าฟราเทอร์น่าจะสอบถามสถานการณ์กับพวกฝูงหมาป่าได้ จึงถาม

 

 

ฟราเทอร์เรียกฝูงหมาป่าที่อยู่ข้างหน้ากลับมา ก่อนจะคำรามเสียงต่ำใส่พวกมันเป็นการสอบถาม

 

 

จางจื่ออันรอการสื่อสารระหว่างมันกับฝูงหมาป่าจบลงอย่างเงียบๆ ถือโอกาสพักหายใจไปด้วย

 

 

ไม่นานนัก ฟราเทอร์ก็พูดอย่างประหลาดใจ “ไม่มีแหล่งน้ำ แต่ฟังพวกมันพูดแล้ว ข้างหน้าไม่ไกลมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง”

 

 

“เอ๋? หมู่บ้านเหรอ”

 

 

จางจื่ออันตกใจมาก เรื่องจริงที่ว่าในป่าดงดิบแบบนี้มีหมู่บ้านอยู่ก็ให้เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ เลย

 

 

“นายไม่ได้บอกว่าจุดรวมพลแถวนี้มีแค่พวกหลี่ผีเท่อเหรอ” เขาถาม

 

 

“เพราะหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านถูกทิ้งร้างไว้นานแล้ว ก่อนฝูงหมาป่าจะมาที่นี่ก็เคยเจอแล้ว ตอนนั้นไม่เหลือใครแล้วด้วย ความจริงจะบอกว่าหมู่บ้านก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะมีบ้านอยู่ไม่กี่หลังเอง”

 

 

“อย่างนี้นี่เอง…”

 

 

จางจื่ออันมองท้องฟ้า สมมติว่าหาแหล่งน้ำไม่เจอ แทนที่จะกางเต็นท์กลางป่า คืนนี้ไปค้างในหมู่บ้านร้างสักคืนน่าจะดีกว่า

 

 

ที่เขาคิดอีกอย่างคือ ในเมื่อเคยมีคนอยู่ ชาวบ้านพวกนั้นอาจจะมีวิธีหาน้ำ เพราะยังไงก็ไปหาบน้ำจากแม่น้ำทุกวันไม่ได้สินะ?

 

 

“ดี งั้นฝูงหมาป่าช่วยนำทางพวกเราไปเถอะ” เขาพูด

 

 

ฟราเทอร์คำรามเสียงต่ำอีกสองสามครั้ง ฝูงหมาป่าที่ได้รับคำสั่งแล้วก็รวมกลุ่มเปลี่ยนไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

 

 

จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงตามอยู่ข้างหลัง

 

 

เดินไปได้พักหนึ่ง พวกเขาก็พบเส้นทางเล็กๆ สำหรับคนเดินเส้นหนึ่งในป่า ถึงแม้จะมีหญ้าขึ้นรกแล้ว แต่ก็พบป้ายบอกทางเลือนรางอยู่ตรงริมทาง

 

 

พอเดินตามลูกศรของป้ายบอกทางอีกสองสามนาที ข้างหน้าก็มีหมู่บ้านขนาดเล็กตั้งอยู่จริงๆ

 

 

เหมือนอย่างที่ฟราเทอร์พูด หมู่บ้านที่ว่ามีบ้านอยู่แค่สิบกว่าหลังกระจายอยู่ประปราย บางหลังก่อจากหิน บางหลังสร้างจากไม้ บางหลังเป็นบ้านกึ่งหิน กึ่งไม้ ข้างในหน้าต่างมืดสนิท ดูแล้วน่ากลัวพิลึก

 

 

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ตอนเดินอยู่ในป่าแล้วเห็นบ้านหลายหลังแบบนี้กะทันหัน คาดว่าคงจะตกใจจนสะดุ้งโหยง อาจจะคิดว่าเป็นบ้านผีสิงก็ได้ แต่จางจื่ออันกลับไม่กลัวเท่าไร ความรู้สึกกลัวผีก็เป็นผลที่เกิดจากจิตใจเท่านั้น เทียบกับผีแล้ว คนน่ากลัวกว่าอีก

 

 

“เป็นที่พักอาศัยของนักล่าสัตว์ในป่าหรือ?” เหล่าฉาถาม

 

 

จางจื่ออันส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก ที่นี่ห้ามล่าสัตว์นานมากแล้ว นอกจากเป็นคนที่มีใบอนุญาตล่าสัตว์ หรือคนที่ไม่สนใจกฎหมายอยู่แล้ว”

 

 

ถึงแม้จะมีบ้านนักล่าสัตว์อยู่ในป่า สร้างบ้านไม้หลังเล็กๆ เอาไว้พักเท้าหลังหนึ่งก็พอแล้ว เหมือนอย่างแจ็คทหารเก่า แต่บ้านพวกนี้เห็นชัดว่าเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งเคยมีคนพำนักอยู่เป็นเวลานาน

 

 

เขามองเห็นโต๊ะ เก้าอี้ รถเข็นที่ตากแดดอยู่นอกบ้าน ข้างหลังบ้านบางหลังยังมีชิงช้าผุพัง รวมถึงรถเก๋งเชฟโรเล็ตสีแดงของยุคหกศูนย์คันหนึ่ง สีเคลือบลอกจนมองไม่เห็นเค้าเดิม แถมยังมีใบสนและใบไม้หล่นใส่เต็มไปหมด

 

 

ประตูบ้านบางหลังเปิดกว้างไว้ บางหลังปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา แต่ดูจากเค้าลางหลายๆ อย่างแล้ว ตอนออกไปเจ้าของบ้านไม่ได้รีบร้อน

 

 

“ดูตรงนั้นสิ”

 

 

จางจื่ออันชี้ไปด้วย พูดไปด้วย “นั่นคือโรงม้ากับ**บเลี้ยงผึ้ง ฉันเข้าใจแล้ว ที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของคนเลี้ยงผึ้งกับคนเลี้ยงม้า”

 

 

ข้างๆ บ้านหลังหนึ่งมีกล่องที่ทำจากไม้มากมายเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ข้างบนตั้งเพิงไม้เพื่อบังลม บังฝนไว้ด้วย

 

 

ไกลออกไปกว่านั้น โรงม้าเป็นทิวแถวบังอยู่ข้างหน้าราวกับกำแพง ช่องใส่อาหารข้างในโรงม้าก็มีใบไม้แห้งร่วงใส่เต็มไปหมดเหมือนกัน

 

 

คนเลี้ยงผึ้งกับคนเลี้ยงม้าก็เหมือนห่านป่า อพยพไปตามที่ต่างๆ ระหว่างฤดูผสมพันธุ์ ที่ไหนมีดอกไม้บาน วัชพืชน้ำของที่นั่นอุดมสมบูรณ์ ก็จะย้ายไปที่นั่น พอหมดหน้าดอกไม้ วัชพืชในน้ำเ**่ยวเฉา ก็จะย้ายไปที่อื่น

 

 

ที่นี่เคยเป็นสถานที่พักอพยพแห่งหนึ่งของพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการค้าที่เติบโตไม่หยุดตามแบบแคลิฟอร์เนีย ธุรกิจประเพณีในหุบเขาทางตะวันตกแบบนี้ อาศัยแค่การเลี้ยงผึ้งและเลี้ยงม้าคงจะเลี้ยงชีพให้สุขสบายไม่ได้ เจ้าของบ้านจึงค่อยๆ ทิ้งที่นี่ไป ที่นี่จึงกลายเป็นหมู่บ้านห่างไกลที่ถูกทิ้งร้างเช่นกัน

 

 

ถ้าเขาเดาไม่ผิด คนเลี้ยงผึ้งและคนเลี้ยงม้าที่เคยอยู่ที่นี่อาจจะเป็นชาวอินเดียแดง

 

 

ชาวอินเดียแดงก็เหมือนโต๊ะวางชุดน้ำชาตัวหนึ่งในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ข้างบนวางเครื่องแก้วเต็มไปหมด

 

 

เมื่อคลี่คลายปัญหาได้แล้วว่าหมู่บ้านนี้ถูกทิ้งร้างได้อย่างไร ทุกคนก็วางใจ ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงจะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอด

 

 

ไม่ว่าอย่างไร สรุปแล้วคืนนี้ก็ไม่ต้องตั้งเต็นท์ 
 
 

ตอนที่ 1578 กุญแจ
 
“ทุกคนแยกย้ายกันไปหาเถอะ ดูว่าหลังไหนพอพักได้ อย่างน้อยก็ไม่มีรูรั่ว คืนนี้พวกเราจะนอนในบ้านสักหลังนี่แหละ”

 

 

จางจื่ออันปลดกระเป๋าสะพายลง ก่อนจะนวดไหล่ที่ปวดเมื่อย

 

 

พวกภูตสัตว์เลี้ยงอยากรู้อยากเห็นกับหมู่บ้านห่างไกล ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของคนเลี้ยงม้าและคนเลี้ยงผึ้งแห่งนี้ ได้ยินแล้วก็พากันแยกย้ายเข้าไปสำรวจในหมู่บ้าน

 

 

เขาไม่แน่ใจว่าหมู่บ้านนี้ถูกทิ้งร้างเมื่อไหร่ ในเมื่อได้เห็นเชฟโรเล็ตสมัยยุคหกศูนย์คันหนึ่ง อย่างน้อยก็น่าจะหลังจากนั้น

 

 

เนื่องจากป่าอุดมสมบูรณ์ปกคลุมทั่วท้องฟ้าสร้างเกราะกำบังโดยธรรมชาติ ลมโหมพัดกระหน่ำและพายุฝนจะถูกต้นไม้ขวางและลดความรุนแรงลง แถมชาวอินเดียแดงยังมีฝีมือการสร้างบ้านอันเป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญที่สุดคือไม่มีเด็กดื้อก่อกวน เมื่อรวมปัจจัยนี้เข้าด้วยกัน หมู่บ้านนี้จึงยังค่อนข้างสมบูรณ์ เมื่อดูคร่าวๆ กระจกหน้าต่างส่วนใหญ่ยังดีอยู่เลย

 

 

ตอนคนเลี้ยงผึ้งกับคนเลี้ยงม้าทิ้งหมู่บ้านนี้ไป มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ นำข้าวของมีค่าติดตัวไปจนหมด สองคือรู้สึกว่าไม่ต้องมาเก็บของอีก จึงปล่อยทิ้งร้างเสียเลย

 

 

ถ้าเป็นอย่างหลัง อาจจะยังมีของที่ใช้ประโยชน์ได้อยู่ในหมู่บ้าน

 

 

หยิบของที่คนอื่นไม่ต้องการการแล้ว นี่น่าจะไม่นับว่าขโมยสินะ?

 

 

คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวไป๋พาพวกหมาจรจัดเก็บขยะอยู่ที่ประเทศจีน แต่เขากลับมาเก็บขยะถึงอเมริกา…

 

 

“เจี๊ยกๆ! เจี๊ยกๆ!”

 

 

พายโบกกระบองไม้ มันวิ่งกลับมาเป็นตัวแรก ก่อนจะดึงชายเสื้อของจางจื่ออัน ทำไม้ ทำมือให้เขาตามมันไปด้วยสีหน้าตื่น

 

 

จางจื่ออันทิ้งกระเป๋าสะพายไว้ที่เดิม ถึงอย่างไรก็มีหมาป่าเฝ้าเยอะขนาดนั้น ไม่ต้องกลัวจะถูกคนขโมยไป

 

 

เขากับพายเดินมาถึงข้างหลังบ้านหลังหนึ่ง ข้างในมีต้นไม้โค่นแล้วอยู่ต้นหนึ่ง มันเกือบจะโค่นทับบ้านอยู่แล้ว

 

 

“เจี๊ยกๆ” พายชี้พื้นที่ระหว่างลำต้นกับบนพื้น

 

 

ต้นไม้ยังไม่ได้เอียงล้มลงบนพื้นเสยีทีเดียว แต่ยังเหลือระยะห่างเล็กๆ จากพื้น ราวกับถูกบางอย่างยันเอาไว้

 

 

จางจื่ออันนั่งยองๆ ลงสังเกตดู ก่อนจะพบบ่อน้ำหิน

 

 

“พายถอยออกไปหน่อย ฉันจะดันต้นไม้นี้ไปอีกด้านหนึ่ง”

 

 

เขาพิจารณาอยู่หลายครั้ง รู้สึกว่าต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้หนามาก อาจจะลองดันได้

 

 

“เจี๊ยกๆ?”

 

 

พายทำสัญญาณมือด้วยความเป็นห่วง แล้วหันไปชี้ทางเข้าหมู่บ้าน ความหมายคือต้องไปตามหมาป่าพวกนั้นมาช่วยไหม เพราะต้นไม้ต้นนี้หนากว่าต้นไม้ที่ใช้เป็นสะพานก่อนหน้านี้มาก

 

 

“วางใจเถอะ ฉันคิดว่าไม่มีปัญหานะ” จางจื่ออันถกแขนเสื้อขึ้น แล้วหิ้วเก้าอี้เหล็กจากข้างๆ ขึ้นมาลองดู เหมาะมือทีเดียว “ฉันไม่ได้จะใช้แรงดัน นายคงรู้จักหลักการคานงัดสินะ? ส่งผู้หญิงให้ฉันคนหนึ่ง ฉันจะสร้าง…ไม่ใช่สิ ส่งจุดรองรับคานงัดให้ฉันอันหนึ่ง ฉันสั่นสะเทือนโลกได้เลยนะ!”

 

 

เขาสอดพนักพิงหลังของเก้าอี้เหล็กเข้าไปในซอกระหว่างบ่อน้ำหินกับลำต้น แล้วจับขาเก้าอี้ดันไปข้างหน้า เก้าอี้รูปตัวแอลจึงทำหน้าที่เป็นไม้งัด

 

 

ลำต้นหนักอึ้งเริ่มขยับแล้ว ทุกครั้งที่ยกก็จะเคลื่อนไปข้างๆ เล็กน้อย สุดท้ายก็ตกลงบนพื้นเสียงดังลั่น เผยให้เห็นปากบ่อน้ำมืดสนิท

 

 

จางจื่ออันหยิบไฟฉายส่องลงไปในบ่อน้ำ ก่อนจะเห็นแสงสะท้อนจากบนผิวน้ำ

 

 

เนื่องจากก่อนหน้านี้ลำต้นปิดปากบ่อน้ำไว้ บนผิวน้ำจึงมีใบไม้ร่วงลงไปไม่มาก ดูแล้วน้ำใสทีเดียว ถึงอย่างไรก็เป็นน้ำใต้ดิน

 

 

ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นได้ยินเสียงดังมาจากทางนี้ จึงพากันวิ่งมาดูสถานการณ์

 

 

“โชคดีที่ได้พาย หาแหล่งน้ำเจอแล้ว” เขาพูด “คืนนี้ไม่ต้องอดน้ำกันแล้ว”

 

 

“เจี๊ยกๆ” พายก้มหน้าลงอย่างขัดเขิน

 

 

สำหรับหมู่บ้านแล้ว ถึงเป็นหมู่บ้านที่เล็กกว่านี้ แต่ถ้าไม่มีน้ำเลยก็คงไม่สะดวก อย่างไรชาวอินเดียนแดงซึ่งเชี่ยวชาญด้านสร้างหมู่บ้านในป่าก็ต้องคิดถึงเรื่องนี้

 

 

ฝูงหมาป่าไม่รู้ว่ามีบ่อน้ำอยู่ เพราะปากบ่อน้ำถูกปิดเอาไว้

 

 

เมื่อหาแหล่งน้ำเจอแล้ว จางจื่ออันก็มั่นใจเต็มเปี่ยม

 

 

“แกว๊กๆๆๆ!”

 

 

เสียงร้องตกใจของริชาร์ดดังมาจากบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ไกลออกไป

 

 

จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงจึงวิ่งเข้าไปดู ก่อนจะสะดุ้งตกใจเหมือนกัน เห็นแค่สัตว์สีดำทมิฬฝูงหนึ่งเฮโลบินออกมาจากในบ้านที่เปิดประตูเอาไว้หลังหนึ่ง แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเหลืองอร่ามยามเย็นพร้อมเสียงร้องแหลมความถี่สูง ราวกับก้อนเมฆสีดำเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว

 

 

ค้างคาว

 

 

พวกมันบินเร็วมาก เขามองเห็นรูปร่างของพวกมันไม่ชัดเจน คาดว่าเป็นค้างคาวสีน้ำตาลที่พบเห็นได้ง่ายในอเมริกาเหนือ พวกมันเห็นบ้านหลังนั้นเป็นรังเสียแล้ว

 

 

“หนูบินได้พวกนี้ทำข้าตกใจแทบตาย!” ริชาร์ดยังอยู่ในอารามตกใจ ใช้ปีกลูบหน้าอกพร้อมกับร้องไปด้วย

 

 

“นายตาไม่ดี อย่ามัวแต่วุ่นวายทั้งวัน เดี๋ยวก็ได้ตายเข้าสักวัน” จางจื่ออันพูดเตือน

 

 

แม้ค้างคาวจะเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ แต่ร่างกายสกปรกมาก แพร่เชื้อโรคได้ง่าย เพราะงั้นเลิกคิดจะพักในบ้านหลังนี้ได้เลย ข้างในจะต้องมีมูลค้างคาวมากมายแน่นอน กลิ่นเหม็นหึ่งแน่ๆ

 

 

“จื่ออัน ข้าหาบ้านท่าทางยังใช้ได้และไม่เสียหายเจอหลังหนึ่ง” เหล่าฉาวิ่งเข้ามาพูด

 

 

“ไป เข้าไปดูกันเถอะ”

 

 

จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงตามเหล่าฉามาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วพิจารณาอย่างละเอียด

 

 

บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ก่อฐานและผนังจากหิน แล้วใช้วัสดุไม้สร้างเป็นหลังคาบ้าน มีทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักเบา ต้องรู้ว่าชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของอเมริกาเป็นพื้นที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวร้ายแรง ถ้าเจอแผ่นดินไหว หลังคาหินอาจจะกระแทกคนตายทั้งบ้าน และกำแพงไม้ก็ยังกันหมีดำในป่าไม่ได้

 

 

ดูไปแล้วบ้านหลังนี้ค่อนข้างสมบูรณ์จริงๆ กระจกหน้าต่างไม่แตกเลยสักบาน ข้างในบ้านปิดผ้าม่านเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ราวกับเจ้าของอาจจะกลับมาตลอดเวลา

 

 

“ข้างในมีใครอยู่ไหมครับ”

 

 

ถึงแม้ไม่น่าจะมีคนอยู่ในนั้น 99.99 เปอร์เซ็นต์ แต่เขาก็ยังเคาะประตู และตะโกนถามก่อน

 

 

“ใครน่ะ?”

 

 

เสียงแหลมเล็กและเต็มไปด้วยความมัวหมองเต็มเปี่ยมเสียงหนึ่งตอบกลับมา ฟังดูแล้วน่าขนลุกทีเดียว

 

 

เขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงต่างก็ตกตะลึง พร้อมใจกันถอยหลังไปครึ่งก้าว หลายวินาทีต่อมาถึงจะได้สติ มารดาคุณสิ ริชาร์ด เจ้านกชั่วตัวนี้เลียนเสียงคนตอบกลับมา

 

 

“แกว๊กๆ!” ริชาร์ดรู้ว่าตัวเองต้องถูกตี จึงรีบบินไปหลบในที่สูง

 

 

ตอนนี้จางจื่ออันไม่มีเวลาไปสนใจมัน เขาลองดันประตู แต่ประตูล็อกเอาไว้แน่นหนามาก

 

 

ช่วยไม่ได้ ดูท่าทางคงต้องทำลายหน้าต่างเข้าไปเท่านั้นแล้ว

 

 

เขากำลังคิดจะอ้อมด้านข้างไปทุบกระจก แล้วปลดล็อกหน้าต่างเข้าไปในบ้าน แต่อยู่ๆ ก็นึกถึงภาพยนตร์และซีรีย์อเมริกามากมาย บ่อยครั้งที่คนอเมริกาซ่อนกุญแจไว้ใกล้ๆ ประตูบ้าน อย่างเช่น ข้างใต้พรมหน้าบ้าน ข้างบนกรอบประตู หรือทับอยู่ข้างใต้กระถางต้นไม้บนหน้าต่าง…โดยเฉพาะบ้านตากอากาศขนาดเล็ก เจ้าของบ้านจะมาสักครั้งในรอบหลายเดือน หากนำกุญแจติดตัวไปด้วยก็ยิ่งทำหายได้ง่ายขึ้น

 

 

เขาฉุกคิดขึ้นได้ จึงควานหาบริเวณหน้าประตู ถึงอย่างไรลองดูก็ไม่เสียหาย หาไม่เจอจริงๆ ค่อยทุบหน้าต่างเข้าไปก็ยังไม่สาย

 

 

เมื่อทำลายความสมบูรณ์ของบ้านหลังนี้แล้ว อีกหน่อยก็คงจะกลายเป็นถ้ำของค้างคาว ต่อไปถ้ามีนักเดินป่ามาที่นี่ ก็ทำได้แค่กางเต็นท์กลางป่าอย่างสิ้นหวังแล้ว…

 

 

พยายามให้เขาคิดสักหน่อยจะดีกว่า

 

 

“แกว๊กๆ! เจ้าโง่เอ็งกำลังหาอะไรน่ะ?” ริชาร์ดอดถามไม่ได้

 

 

“ฉัน…”

 

 

จางจื่ออันยังไม่ได้คิดให้ดีว่าจะเอาคืนนกชั่วตัวนี้อย่างไร จึงถือโอกาสย้ายก้อนหินก้อนหนึ่งใต้ระเบียงหน้าประตูบ้าน และเห็นกุญแจเหล็กใต้ก้อนหินเข้าทันที 
 
 

ตอนที่ 1579 รีดไถ
 
พอเห็นจางจื่ออันก้มหน้าก้มตาควานหากุญแจ พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ตกใจมาก  

 

 

เมื่อพวกภูตสัตว์เลี้ยงถามเขาไม่หยุด เขาก็ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ พร้อมกับยิ้มไม่พูดไม่จา ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเห็นวิธีซ่อนกุญแจของคนอเมริกันและยุโรปมาจากภาพยนตร์  

 

 

เขาเสียบกุญแจเข้าไปในรู และบิดเล็กน้อย ประตูล็อกมาเป็นเวลานานจึงฝืดเล็กน้อย เขาออกแรงเพิ่มขึ้น ในที่สุดก็บิดได้ แม่กุญแจหดกลับไปส่งเสียงดังแกร๊ก พอเขาใช้มือดันอีกที ประตูก็เปิดออก  

 

 

ยังไม่ทันเห็นสภาพข้างในชัดๆ ฝุ่นบนกรอบประตูก็สาดลงมา ฉุนจนเขาต้องไอออกมา แล้วถอยหลังไปกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงสองสามก้าว  

 

 

พอฝุ่นบริเวณหน้าประตูหมดไปแล้ว จางจื่ออันก็เปิดไฟฉายส่องเข้าไปในบ้าน มองดูการตกแต่งภายในบ้าน  

 

 

อากาศภายในบ้านสกปรกมาก มีฝุ่นจับบนพื้นหนาทีเดียว มุมผนังยังมีใยแมงมุมด้วย แต่ก็เหลือแค่ซากแมงมุมที่แห้งไปแล้ว ถึงอย่างไรประตูหน้าต่างก็ปิดไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่แมลงวันหรือยุงก็บินเข้ามาไม่ได้ แมงมุมก็ทำได้แค่อยู่เฉยๆ  

 

 

โต๊ะ เก้าอี้ โซฟา และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ วางไว้เป็นระเบียบ ทั้งยังคลุมผ้ากันฝุ่นเอาไว้ผืนหนึ่งด้วย นี่พิสูจน์แล้วว่าตอนเจ้าของออกไปยังคิดจะกลับมาอีก แต่อาจด้วยสภาพเศรษฐกิจเลวร้ายลง หรือเพราะเหตุผลอื่น เจ้าของจึงไม่เคยกลับมาอีก  

 

 

โชคดีที่หมู่บ้านนี้อยู่ในป่าดงดิบ ไม่อย่างนั้นถึงเจ้าของออกไปแค่สองสามวัน ก็คงถูกเด็กดื้อหรือวัยรุ่นที่ว่างจนปวดไข่ทุบกระจกหรือเข้ามาสำรวจเพราะเห็นเป็นบ้านผีสิงแล้ว จากนั้นก็ทิ้งอึฉี่หรือเขียนลายมือไก่เขี่ยไปทั่วบ้าน บางทีอาจจะเผาบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ…  

 

 

ในบ้านตั้งแท่นวางเทียนไขเอาไว้บนโต๊ะ จางจื่ออันเดินเข้าไปในบ้าน ใช้ไฟแช็กจุดเทียน แสงเทียนอันอบอุ่นก็ขับไล่ความมืดมิดออกไป  

 

 

เขาดึงผ้าสีขาวที่คลุมเฟอร์นิเจอร์ออก ทำให้ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วบ้าน เขาต้องกลั้นหายใจ แล้วเปิดหน้าต่างทุกบานเพื่อระบายอากาศอย่างรวดเร็ว  

 

 

เนื่องจากที่นี่ค่อนข้างใกล้กับชายทะเล ไม่ได้ไร้ลมเหมือนในป่าลึก ลมที่พัดเข้าออกตามช่องลมจึงพัดพาฝุ่นลอยละล่องในบ้านออกไปได้อย่างรวดเร็ว  

 

 

คราวนี้พวกภูตสัตว์เลี้ยงถึงได้ทยอยเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ก่อนจะพิจารณารอบด้านอย่างสนใจ  

 

 

จางจื่ออันวนไปห้องอื่น เปิดประตูข้างในบ้านและหน้าต่างทุกบาน  

 

 

บ้านประกอบไปด้วยหนึ่งห้องนอนหลักและหนึ่งห้องนอนรอง แต่ละห้องมีเตียงหนึ่งหลัง ยังมีห้องเก็บของกับห้องน้ำอย่างละห้อง เขาหาถังน้ำและเชือกจากในห้องเก็บของ อีกพักหนึ่งเอาไปใช้ตักน้ำได้  

 

 

ในห้องเก็บของยังมีค้อน สิ่ว เลื่อย และเครื่องมืออื่นๆ เขาเสียบเลื่อยไว้ใต้รักแร้ เตรียมตัดฟืนก่อไฟ  

 

 

ต้องบอกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ใช้ชีวิตน่าเบื่อเสียจริง ไม่มีทั้งอินเทอร์เน็ตหรือโทรทัศน์ อุปกรณ์ให้ความบันเทิงเพียงอย่างเดียวที่เขาหาเจอก็คือวิทยุเก่าแก่เครื่องหนึ่ง แน่นอนว่าใช้ไม่ได้แล้ว  

 

 

ในห้องน้ำมีระบบฝักบังอาบน้ำอย่างง่ายที่สร้างขึ้นเอง เทน้ำร้อนเข้าไปในถังน้ำที่ค่อนข้างสูง ใช้แรงถ่วงทำให้น้ำร้อนพ่นน้ำออกมาจากฝักบัว  

 

 

กระจกตรงตู้ในห้องน้ำมีฝุ่นจับหนา มองไม่เห็นหน้าตาหล่อเหลาของตัวเองในกระจก เขาจึงหาผ้ามาเช็ดลวกๆ สองสามครั้ง อย่างไรก็พอเห็นตัวเองได้  

 

 

ตอนเช็ดกระจก เขารู้สึกว่ากระจกแอบโคลงเคลงเล็กน้อย  

 

 

เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในบ้าน รวมถึงตู้ในห้องน้ำเป็นสิ่งที่เจ้าของบ้านทำด้วยตัวเอง แม้รูปทรงไม่นับว่าสวย แต่ก็แข็งแรงและใช้ได้จริง หลังจากวางไว้หลายปีแล้วยังแข็งแรงเหมือนใหม่ ไม่มีเหตุผลที่กระจกบนตู้ในห้องน้ำจะหลุดมือ  

 

 

เขาตะลึงอยู่พักหนึ่ง อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ากระจกบนตู้ในห้องน้ำของยุโรปและอเมริกามักจะดึงออกมาได้ ข้างหลังกระจกจะมีชั้นวางของเล็กๆ คนยุโรปและอเมริกาจะวางยาสามัญประจำบ้านเอาไว้ข้างบนนั้น ในภาพยนตร์และซีรีย์มักจะมีกระจกแบบนั้น พระเอกหรือนางเอกส่องกระจกสักพัก ก็เปิดกระจกหยิบยาโรคประสาทออกมากิน…แต่ตู้ในห้องน้ำส่วนใหญ่ของจีนไม่มีชั้นวางของแบบนี้  

 

 

เขาจึงลองมองจากข้างๆ หาบานพับคู่หนึ่งเจอจากด้านหนึ่ง แล้วเปิดออกจากอีกด้านหนึ่ง  

 

 

บานพับมีสนิมขึ้นเล็กน้อย ดึงอยู่สองสามครั้งก็ยังเปิดไม่ออก เขาจึงควักมีดพับสวิตออกมาง้างจนสำเร็จ ข้างในมีชั้นวางของจริงๆ และก็เป็นแบบที่เขาคิด บนชั้นวางของวางขวดยาต่างๆ เอาไว้  

 

 

เขาลองบิดฝาเปิดขวดยาขวดหนึ่ง ยาเม็ดข้างในขวดยังอยู่ในสภาพแห้งทั้งๆ ที่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ถูกความชื้น แต่หมดอายุแล้วแน่นอน และไม่รู้ว่าประสิทธิภาพของยายังเหลืออยู่เท่าไร  

 

 

ที่นี่เดินทางลำบาก คนเลี้ยงผึ้งและคนเลี้ยงม้าหลบลี้ผู้คนอยู่ในป่าเป็นเวลานาน ติดต่อกับโลกภายนอกน้อยครั้ง เรื่องปวดหัวและอารมณ์เสียทุกวันคือคิดวิธีจัดการตัวเอง และด้วยรายได้อันน้อยนิดของพวกเขา เกรงว่าจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแพงหูฉี่ของอเมริกาไม่ไหว ดังนั้นชนิดของยาในชั้นวางจึงเยอะกว่ายาสามัญทั่วไป ถึงขนาดมีอุปกรณ์ฉีดยาใช้แล้วทิ้งที่ยังไม่ได้แกะห่อด้วย  

 

 

บนขวดยาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด กระทั่งภาษาละตินแปลกๆ เขาเปิดแอพพลิเคชันแปลในโทรศัพท์มือถือ พยายามเลือกยาซึ่งอาจได้ใช้ประโยชน์ เขาไม่กล้าใช้ยารับประทานที่เก็บไว้นานขนาดนี้แล้ว กินลงไปอาจจะยิ้มกริ่มเหมือนกินสารหนูขาว ยาทาภายนอกและยาอื่นๆ ยังพอใช้ได้ เขาหยิบอุปกรณ์ฉีดยาใส่เข้าไปในกล่องปฐมพยาบาลด้วย มีเตรียมไว้ก็ไม่เสียหาย  

 

 

ด้วยเสบียงอาหารที่น้อยลงเรื่อยๆ กระเป๋าสะพายของเขาก็เบาขึ้นมากแล้ว ไม่ถือสาหากจะเพิ่มน้ำหนักแค่เล็กน้อยหรอก  

 

 

ส่วนของอื่นๆ ในบ้าน…เขาลองหาคร่าวๆ แล้วรอบหนึ่ง แต่ไม่มีอะไรที่ใช้ได้ หรือของมีค่าอะไร แต่กลับพบกรอบรูปอันหนึ่งบนเตียงในห้องนอน จากในรูปภาพก็พิสูจน์การคาดการณ์ที่ว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวอินเดียแดงได้แล้ว  

 

 

เขากวาดฝุ่นในห้องนอนและห้องนั่งเล่นจนสะอาด แม้จะนอนแค่คืนเดียว แต่ก็ทำลวกๆ เกินไปไม่ได้ จึงเริ่มต้มน้ำและเตรียมอาหาร แถมยังจุดเตาผิงแล้วด้วย  

 

 

ภูตสัตว์เลี้ยงรวมตัวกันผิงไฟอย่างสบายอารมณ์ข้างเตาผิง พลางเคาะชามรอกินอาหาร มีแค่เขาที่ยุ่งอยู่ตลอด  

 

 

อาหารเย็นยังเหมือนเมื่อตอนกลางวัน พวกภูตสัตว์เลี้ยงกินเนื้อบีเวอร์ย่าง ส่วนเขากินข้าว ผักป่า และอาหารกระป๋อง หม้อ ชาม ทัพพี หรือจานในห้องครัวก็มีครบครัน ปัญหาคือฝีมือของเขากากเกินไป มีเครื่องครัวก็ทำอาหารดีๆ ไม่ได้  

 

 

ฝูงหมาป่าก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ ในเวลากลางคืน ก้มหน้าก้มตาล่าสัตว์ พออิ่มท้องแล้วถึงจะกลับมานอนอยู่ข้างนอกบ้าน พวกเขาอยู่ข้างในบ้านยังได้ยินพวกมันวิ่งไล่จับกันด้านนอกอย่างสนุกสนาน  

 

 

ในป่าไม่ได้หาอุปกรณ์อาบน้ำได้ง่าย และตั้งแต่เขาเข้ามาในบ้านก็ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว ดังนั้นจึงต้มน้ำร้อนเพิ่มหลายถังหน่อย แล้วอาบน้ำลวกๆ สระผมสังกะตังจนสะอาด จึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที แถมยังรู้สึกตัวเบาขึ้นด้วย แต่น้ำสกปรกที่ล้างออกมาแทบจะอุดตันท่อน้ำแล้ว  

 

 

อาจจะเป็นเพราะชินกับการนอนในเต็นท์ และไม่ชินกับการนอนเตียงของคนแปลกหน้า คืนนี้จางจื่ออันจึงตื่นตัวเล็กน้อย จนกระทั่งเลยเที่ยงคืนไปแล้วถึงผล็อยหลับไป ขณะหลับยังฝันว่าอยู่ๆ เจ้าของบ้านชาวอินเดียแดงก็กลับมา ถือปืนล่าสัตว์สองปล้องสีดำสนิทเล็งมาที่หัวของเขา ขู่กรรโชกเงินค่าที่พักก้อนโตจากเขาอย่างดุดัน…  

 

 

ต้องพูดว่า กินของของคนอื่นแล้ววิจารณ์ลำบาก หยิบของของคนอื่นแล้วยากจะปฏิเสธเขา แม้แต่ฝันยังวุ่นวายอุตลุดขนาดนี้เลย   
 
 

ตอนที่ 1580 แอบมอง
 
เช้าวันต่อมา จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงตื่นสายกว่าปกติ แม้เตียงจะทั้งแข็ง ทั้งไม่สบาย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเตียงเรียบๆ ไม่ใช่พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ดังนั้นพวกเขาจึงหลับไม่รู้ตื่นเลยทีเดียว  

 

 

ไม่อยากตื่นก็ต้องตื่นแล้ว ถึงอย่างไรการเดินทางก็ยังไม่สิ้นสุด และบ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่บ้านของเขา ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นหนึ่งวัน ก็ได้กลับบ้านเร็วขึ้นหนึ่งวัน  

 

 

พอกินข้าวเช้าเสร็จ จางจื่ออันใช้ถ่านไม้เขียนบนกระดาษเป็นภาษาอังกฤษสองสามคำ แล้วแปะไว้ด้านในของกระจกหน้าต่าง เขียนไว้ว่า ‘กุญแจอยู่ข้างใต้ก้อนหินหน้าประตูบ้าน อย่าทุบกระจก’  

 

 

ถ้าต่อจากนี้มีนักเดินป่าคนอื่นมาที่นี่ จะต้องส่องผ่านกระจกเข้ามาดูลาดเลาข้างในเหมือนเขาก่อนแน่นอน ตอนนั้นก็จะเห็นกระดาษแผ่นนี้ รวมถึงข้อความบนกระดาษด้วย  

 

 

หลังจากนั้น เขาก็เก็บข้าวของและสะพายกระเป๋า ใช้ผ้าสีขาวคลุมเฟอร์นิเจอร์ในบ้านอีกครั้ง จากนั้นก็ล็อกประตู ก่อนออกไปพร้อมพวกภูตสัตว์เลี้ยง และทับกุญแจไว้ใต้ก้อนหินที่เดิม  

 

 

ก่อนออกจากหมู่บ้าน เขายังหยิบแผ่นไม้ปิดบ่อน้ำเอาไว้ กันไม่ให้ใบไม้ร่วงลงไป แล้ววางก้อนหินทับบนแผ่นไม้อีกที เพื่อกันไม่ให้แผ่นไม้ถูกลมพัดปลิวไป หากเป็นคนมีสติปัญญาและสายตาปกติก็จะสังเกตเห็นบ่อน้ำบ่อนี้ได้  

 

 

ตอนที่เรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงออกเดินทาง เขาก็สังเกตเห็นว่าฟราเทอร์นั่งหลังตรงเรียบร้อย ไม่ใช่ท่านั่งสบายๆ เหมือนแมวหรือสุนัข แต่เหมือนจะใกล้เคียงกับคำว่านั่งสุภาพเรียบร้อย เอวเหยียดตรง ร่างกายเหมือนหินโสโครกที่เตรียมต้านการจู่โจมของคลื่นลม  

 

 

มันหลับตาลง เหมือนกำลังท่องบางอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าอาบแสงโชติช่วงอันบริสุทธิ์ รอบๆ ตลบอบอวลไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึมยากจะอธิบาย…ถึงมันจะเป็นหมาป่า แต่ก็ยังไม่เคยเห็นมันเป็นสัตว์ป่ากระหายเลือด  

 

 

จางจื่ออันไม่กล้ารบกวนมัน และห้ามริชาร์ดที่ชอบพูดจาเรื่อยเปื่อยว่าอย่าเสียงดังโวยวาย  

 

 

ผ่านไปสักพักหนึ่งฟราเทอร์ก็ลืมตาขึ้น ในแววตามีแสงสว่างเป็นประกาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกเล็กน้อย ไม่ใช่ความเศร้าในโชคชะตาของตัวเอง แต่ซับซ้อนก่อนกว่านั้นอีก แอบรำพึงฟ้าเวทนาคนเหมือนเหล่าฉาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เหมือนเจอความจนใจสิ้นหวังมากกว่า  

 

 

“เป็นอะไรไป? มีอะไรงั้นเหรอ?”  

 

 

จางจื่ออันสังเกตเห็นว่ามันมีสีหน้าแปลกๆ จึงถาม  

 

 

ฟราเทอร์เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วพึมพำอย่างแฝงนัย “ฟ้า…จะมืดแล้ว”  

 

 

ตอนตื่นเช้ามาก็มีแสงแดดลอดเข้ามาจากทางหน้าต่าง จางจื่ออันจึงคิดว่าวันนี้อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใสแต่มีเมฆมาก จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แถมยังเอาแต่ยุ่งกับการทำงาน  

 

 

ตอนนี้เขาเงยหน้าดูบ้าง มองผ่านช่องใบไม้เห็นว่าเส้นขอบฟ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือมีเมฆสีดำกำลังก่อตัวขึ้น  

 

 

นี่ไม่ใช่การรวมตัวของเมฆฝนที่เคลื่อนที่เร็วอย่างพายุฝน เมฆแบบนี้ถูกลมพัดผ่านมา ดูท่าทางน่ากลัว แต่มาไว ไปไว และบริเวณที่ได้รับผลกระทบก็แคบ เป็นปรากฏเหตุการณ์ที่พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก และฝนตกทางตะวันตก เอกลักษณ์คือเมฆเป็นชั้นๆ ลอยต่ำมาก รู้สึกคล้ายกับจะตกลงมาใส่หัว  

 

 

เมฆเป็นชั้นๆ บนท้องฟ้าในตอนนี้น่าจะเกิดจากแนวปะทะอากาศเย็นที่เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ก่อให้เกิดชั้นเมฆสูงเป็นวงกว้าง เมฆแบบนี้ไม่ได้พาลมพายุฝนรุนแรงมาด้วย แต่จะพาอากาศย่ำแย่เป็นเวลานานมาแทน  

 

 

อากาศดีต่อเนื่องกันมาหลายวัน ในที่สุดก็ต้องจบลงแล้ว  

 

 

จางจื่ออันเองก็เสียดายมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มและฝนตกจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นจำนวนหนึ่ง แม้แต่การจุดไฟก็จะกลายเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่เขายังมองโลกในแง่ดี อย่างน้อยก็ไม่ให้เรื่องนี้มากระจิตใจมากเกินไป  

 

 

“ฟ้าหลังฝนมักจะสดใสเสมอแหละ” เขาพูดปลอบใจ  

 

 

ฟราเทอร์กลับมองท้องฟ้าต่ออย่างกังวล “ไม่ เจ้าไม่เข้าใจ”  

 

 

จางจื่ออันมองตามสายตาของมันไป ก่อนจะประหลาดใจที่ยังเห็นก้อนเมฆรูปคนสองก้อนเมื่อวานยังลอยอยู่บนท้องฟ้า ก้อนหนึ่งในนั้นอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมฆดำหนาเหมือนจะลอยมาจากทางเขา…ไม่ใช่สิ เหมือนจะพัดมาจากข้างหลังของมัน ราวกับจะกลืนกินก้อนเมฆรูปคนที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้  

 

 

ในเวลาหนึ่งวัน หนึ่งคืน ก้อนเมฆสองก้อนนี้ไม่ได้ถูกพัดกระจายไปเลย แถมยังเปลี่ยนรูปร่างตลอดเวลา พูดได้อย่างเดียวว่าน่าประหลาด  

 

 

เขาแอบสงสัยอยู่ในใจ เนื่องจากการบดบังของใบไม้ รวมถึงเหนื่อยล้าจากการเดินทาง น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลาและไม่มีเงื่อนไขที่จะใช้เวลาทั้งวันไปกับการถ่ายรูปการเปลี่ยนแปลงของก้อนเมฆทั้งสองก้อน อย่างน้อยหากอัพโหลดขึ้นไปบนอินเทอร์เน็ตจะต้องดึงดูดความประหลาดใจของคนได้มากมาย เขาอาจจะกลายเป็นเน็ตไอดอลได้ด้วย  

 

 

“พวกเรากำลังแพ้สงครามแห่งศรัทธาครั้งนี้” ฟราเทอร์พูดอย่างเศร้าโศก “ไม่ว่าปริมาณหรือคุณภาพของความศรัทธา พลังของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าพวกเราทั้งหมด”  

 

 

จางจื่ออันไม่เข้าใจว่ามันกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ฟังจากน้ำเสียงมันก็รู้ว่าเป็นสถานการณ์เคร่งเครียด เขานึกขึ้นได้ว่าวงกลมแสงตัวแทนมันในอินเตอร์เฟซจับของเกมอ่อนลงเรื่อยๆ อาจจะอธิบายว่าพลังของมันกำลังอ่อนลง…หรือถูกปิดกั้น  

 

 

“นายหมายถึงอะไร?” เขาถามอย่างสงสัย  

 

 

ฟราเทอร์ถอนหายใจ “ยังจำที่เจ้าเคยพูดไว้ได้ไหม? สัตว์บุกรุกจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นแมวหรือบีเวอร์ ต่างก็เป็นสัตว์จากนอกของป่าแห่งนี้ บางครั้ง…ความศรัทธาก็เป็นเช่นนั้น ศรัทธาที่เดิมทีไม่เป็นของแผ่นดินผืนนี้ กำลังรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินผืนนี้ ปิศาจที่เกิดใหม่ก็กำลังกัดกร่อนพวกเราจากภายใน”  

 

 

มันอธิบายก็เหมือนไม่ได้อธิบาย เขาฟังแล้วก็ยิ่งสับสน  

 

 

“นี่อาจจะเป็นโชคชะตา พวกเราเองก็เป็นผู้บุกรุกในบางความหมาย พวกเรามาแทนทีคนอินเดียแดงแล้ว ตอนนี้ก็มีคนอื่นต้องการมาแทนที่พวกเราอีก”  

 

 

คำพูดของฟราเทอร์เหมือนกำลังเผยแพร่ศาสนา แล้วก็เหมือนแสดงออกถึงบางอย่างอย่างคลุมเครือ  

 

 

จางจื่ออันฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไม่พูดอะไรเลยก็ไม่ใช่เรื่องดี เขาจึงฝืนใจแนะนำว่า “ที่จริงฉันก็รู้สึกนะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมนุษย์ และความศรัทธาก็เป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นตามกาลเวลา เหมือนอย่างป่าแห่งนี้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่สัตว์ที่มาจากข้างนอก แต่สัตว์จากข้างนอกจะสร้างอันตรายให้กับระบบนิเวศของป่านี้หรือเปล่า…”  

 

 

เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร เหมือนกับกำลังพูดเรื่องไร้สาระที่ไม่มีความหมายเลยสักนิด จึงปลอบใจได้ไม่ถึงครึ่ง  

 

 

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็รู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา เหมือนกับกำลังถูกใครแอบมอง เขาเหมือนจะเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เป็นความรู้สึกตอนที่ถูกวลาดิเมียร์แอบมองจากมุมมืดในปักกิ่ง  

 

 

เขาจึงมองไปในป่าข้างๆ แต่ในนั้นเงียบมาก เงาต้นไม้กำลังร่ายรำ แสงสว่างและความมืดผสมผสานกันจนเห็นความต่างอย่างชัดเจน เหมาะให้สัตว์ซ่อนตัวอย่างมาก เขามองอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่พบเงาคนหรือสัตว์เลย  

 

 

ขณะที่เขามองเข้าไป ความรู้สึกถูกแอบมองก็หายไปด้วย  

 

 

เขานับจำนวนฝูงหมาป่ารอบหนึ่ง หมาป่าอยู่ตรงนี้กันหมด พวกมันเล่นสนุกกันไปมา ไม่ได้ขาดไปสักตัว จึงไม่ใช่หมาป่าแน่นอน  

 

 

พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็เตรียมออกเดินทางอยู่แถวนี้  

 

 

ไม่ว่าฝูงหมาป่าหรือภูตสัตว์เลี้ยงก็ไม่มีท่าทางแปลกๆ แสดงว่าพวกมันไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ  

 

 

กวาง? แบดเจอร์? หมาป่าไคโยตี? หมีดำ? หรือสัตว์ชนิดอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า?  

 

 

หรือประสาทไวเกินไปนะ?   
 
 

ตอนที่ 1581 ซากกระดูก
 
แม้แต่ฟราเทอร์ที่กำลังคุยกับจางจื่ออันและอยู่ใกล้เขาแค่คืบ พอเห็นเขาใจลอยไปไกล ยังคิดว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้ จึงพูดว่า “พวกเราออกเดินทางต่อเถอะ ทางข้างหน้าเดินยาก อ้อมไปทางริมทะเลสักหน่อยดีกว่า”  

 

 

“เอ่อ…ก็ได้”  

 

 

จางจื่ออันอยากอธิบายความลืมตัวเสียกิริยาของตัวเองเมื่อครู่สักเล็กน้อย ถึงอย่างไรใจลอยเวลาคนอื่นกำลังพูดก็ไม่สุภาพจริงๆ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ นอกจากอธิบายไปจะไร้ประโยชน์แล้ว อาจจะคิดว่าเขาพูดแก้ตัวด้วย  

 

 

เขาหันไปมองในป่าอันเงียบเชียบอีกครั้ง แล้วเรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงให้ออกเดินทางตามหลังฟราเทอร์กับฝูงหมาป่าไป แล้วออกจากหมู่บ้านอินเดียแดงที่รกร้างแห่งนี้  

 

 

ยิ่งเดินไปทางทะเล ป่าก็ยิ่งบางตาลง ข้ามไปถึงพื้นที่ซึ่งแซมด้วยต้นไม้เตี้ยและทุ่งหญ้า วิสัยทัศน์ก็กว้างไกลยิ่งขึ้น  

 

 

ระบบนิเวศที่นี่แตกต่างกับในป่าลึกอยู่บ้าง ฝูงกวางหางดำตกใจกลัววิ่งกระเจิงไปเพราะการปรากฏตัวของฝูงหมาป่า กระรอกดักลาสกระโดดขึ้นไปบนยอดของต้นไม้เตี้ย นกน้ำปากตะขอบินค้างอยู่บนท้องฟ้าเหนือชายทะเลที่ไกลออกไป ดิ่งลงมาข้างล่างเหมือนเครื่องบินทิ้งลูกระเบิดอยู่ตลอด ลมทะเลที่เย็นสบายปะทะเข้ามา  

 

 

จางจื่ออันหันกลับไปบ้าง สังเกตสถานการณ์ที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าฝูงกวางแดงยังตามหลังมาอยู่หรือเปล่า  

 

 

เดินไปอีกสักพักหนึ่ง อ้อมกำแพงหินด้านหนึ่ง มหาสมุทรแปซิฟิกสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา  

 

 

พวกเขาหยุดเดินกันโดยพร้อมเพรียง พลางมองไปที่ผิวน้ำทะเล ราวกับจะเห็นเมืองปินไห่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่  

 

 

ผิวน้ำทะเลที่นี่ไม่ได้เป็นสีฟ้าสดเหมือนทะเลของประเทศอียิปต์ แต่ยังมีสีเขียวเทาเล็กน้อย คลื่นทะเลซัดขึ้นมาบนชายฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังสาดซัดใส่ก้อนหินบนชายทะเลด้วย  

 

 

ซ่า!  

 

 

บนผิวน้ำทะเลที่ไกลออกพลันก็มีหมอกน้ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นมากะทันหัน เกิดเป็นสายรุ้งสีสันสดใสภายใต้แสงแดด จากนั้นมันก็หายไป  

 

 

วาฬนั่นเอง  

 

 

จางจื่ออันยกกล้องส่องทางไกลมองไป ห่างออกไปไกลเกินไป จึงดูไม่ออกว่าเป็นวาฬสายพันธุ์อะไร  

 

 

“พวกเราไปเดินริมชายหาดกันเถอะ” เขาเสนอกับฟราเทอร์ แล้วพูดต่อว่า “ฉันมีเพื่อนอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำนาย”  

 

 

การเดินบนชายหาดนั้นลำบาก เพราะเท้ามักจะจมลงไปในทราย ส่งผลให้เดินช้ากว่าบนพื้นหญ้าอย่างเห็นได้ชัด ฟราเทอร์กลับไม่แย้งอะไร แต่ยังสั่งฝูงหมาป่าให้เปลี่ยนมาเดินบนชายหาด  

 

 

เทียบกับทิวทัศน์ของสิบเจ็ดไมล์ไดรฟ์อันมีชื่อเสียงแถวๆ ซานฟรานซิสโก ทิวทัวศน์ของชายฝั่งทะเลห่างไกลแห่งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ น้ำทะเลไม่เป็นสีฟ้า ชายหาดไม่ใช่สีขาว แม้แต่หินบนชายฝั่งทะเลก็ไม่สวยงาม ดังนั้นไม่เห็นแม้แต่เงาคนก็เป็นเรื่องปกติ ไม่อย่างนั้นถึงห่างไกลแค่ไหน ก็เปิดเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวให้คุณเข้าชมได้ทั้งนั้น  

 

 

จางจื่ออันยืนอยู่บนหินก้อนหนึ่งริมทะเล มองเห็นสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์พักพิงอยู่ในซอกหิน อย่างเช่น ลูกปลา ลูกกุ้ง ปู และอื่นๆ เนื่องจากไม่ถูกมนุษย์รบกวน ระบบนิเวศที่นี่จึงยังเป็นแบบผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง  

 

 

เขาใช้โทรศัพท์มือถือเล็งไปที่น้ำทะเลข้างๆ ก้อนหิน แล้วปล่อยเซฮวาออกมา  

 

 

ตูม!  

 

 

เงาร่างคนพร้อมหางปลาตกลงไปในน้ำ ส่งให้น้ำทะเลซัดกระเซ็นขึ้นสูง  

 

 

“โอ๊ย! ก้นฉัน!” เซฮวาโผล่หัวออกมาจากในทะเลพร้อมเบะปาก ก่อนจะหน้านิ่วมองเขาแล้วพูดว่า “ทำไมไม่เลือกที่ที่น้ำลึกกว่านี้หน่อยล่ะ? หัวฉันเกือบกระแทกอยู่แล้ว! ถ้าใบหน้างดงามเลิศล้ำที่แม้แต่ดวงจันทร์ต้องดับแสง ดอกไม้ต้องเ**่ยวเฉาจากความอับอายเสียหายขึ้นมา คุณจะรับผิดชอบไหวเหรอ”  

 

 

 จางจื่ออันทำเป็นหูทวนลม แต่เขายังไม่ทันพูดอะไร เธอก็สังเกตเห็นฟราเทอร์ จึงเบนความสนใจไปในทันที “เอ๋? นี่เป็นเจ้าหมาจากที่ไหนเนี่ย?”  

 

 

ฟราเทอร์กระแอมครั้งหนึ่ง “ข้าเป็นหมาป่า”  

 

 

“วูล์ฟด็อก?”  

 

 

“หมาป่า”  

 

 

“ช่วงเวลาระหว่างหมากับหมาป่า*?”  

 

 

“…”  

 

 

ฟราเทอร์มองจางจื่ออันเชิงขอความช่วยเหลือ มันไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไรแล้ว รู้สึกว่าความคิดไม่เข้ากับเจ้าตัวครึ่งคนครึ่งปลาที่เพิ่งพบกันตัวนี้เสียเลย  

 

 

จางจื่ออันชี้ไปที่ขมับของตัวเองเงียบๆ ความหมายคือเจ้าตัวนี้ออกจะเพี้ยนๆ อย่าเอาจริงเอาจังกับเธอมากนักเลย  

 

 

เขาปล่อยเซฮวาออกมา ด้วยเพราะเขาปล่อยให้เธออยู่ในโทรศัพท์มือถือมาหลายวันแล้ว จึงรู้สึกผิดกับเธอเล็กน้อย อีกทั้งตอนนี้มาถึงชายทะเลพอดี เลยปล่อยเธอออกมาสูดอากาศ ไม่อย่างนั้นพอเธอกลับเมืองปินไห่แล้ว เธออาจจะใช้เหตุผลนี้มาทะเลาะกันอีกนานทีเดียว  

 

 

เซฮวาเรียกฟราเทอร์ด้วยการเลียนเสียงสุนัขเห่าอยู่หลายครั้ง จนฟราเทอร์รู้สึกจนใจ ขณะกำลังคิดว่าจะแนะนำตัวและแก้ไขความเข้าใจผิดอย่างไร มันก็ได้ยินเสียงฝูงหมาป่าตรงหน้าร้องแปลกๆ  

 

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” จางจื่ออันเห็นใบหูมันขยับ เหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง  

 

 

“ฝูงหมาป่าหาบางอย่างเจอแล้ว พวกเราเข้าไปดูสักหน่อยเถอะ”  

 

 

ฝูงหมาป่าสื่อความหมายผ่านทางเสียงร้องได้อย่างจำกัด ฟราเทอร์ก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันพบอะไรกันแน่ ทำได้แค่มองพวกมันวนไปมาอยู่บนชายหาดไกลๆ ราวกับสนใจสิ่งนั้นอย่างมาก และใช้อุ้งเท้าหน้าเขี่ยไปมา กระทั่งอยากอ้าปากกัดด้วย  

 

 

จางจื่ออันคิดว่าเป็นพวกเต่าทะเล จึงตามไปดูกับพวกภูตสัตว์เลี้ยง  

 

 

“นี่ๆ! พวกนายจะไปไหน? ทำไมได้ยินเสียงแล้วก็ไปเลยล่ะ?” เซฮวาเห็นพวกเขาจะไป จึงว่ายอยู่ในทะเลเป็นเส้นขนานตามพวกเขาไป  

 

 

ฟราเทอร์ไปถึงที่นั่นก่อน แล้วสั่งให้ฝูงหมาป่าหลีกไป จากนั้นจางจื่ออันก็รีบตามมาติดๆ  

 

 

สิ่งที่ครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ในชายหาดตรงหน้าพวกเขาทำเอาตกใจกันอย่างพร้อมเพรียง จางจื่ออันเผลอถอยหลังไปสองก้าว ด้วยไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง  

 

 

หลังจากพวกภูตสัตว์เลี้ยงมาถึง ต่างก็ตกใจกันหมด พายที่ขี้กลัวขดตัวอยู่ข้างหลังจางจื่ออัน ปิดตาเอาไว้ไม่กล้ามองอีก  

 

 

แม้แต่เซฮวาที่หัวรั้นก็ยังตกใจจนต้องปิดปากไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา และกอดแขนเอาไว้แน่นราวกับหนาวสั่น  

 

 

นั่นเป็นรองเท้าข้างหนึ่ง  

 

 

พูดให้ถูกคือรองเท้าบู๊ทเดินป่าสูงถึงเข่าข้างหนึ่ง แถมยังผูกเชือกไว้แน่นหนา  

 

 

รองเท้าข้างนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดหวั่น แต่เขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงกลับคิดไม่ถึง ว่าจะเห็นวัตถุรูปทรงกระบองสีขาวเทาอันหนึ่งยื่นออกมาจากรองเท้า มองเผินๆ เหมือนกิ่งไม้ แต่เทียบกับกิ่งไม้แล้วตรงกว่า ด้านที่หักก็ไม่เรียบ  

 

 

นั่นเป็น…กระดูกขาของคน  

 

 

ถ้าเดินไปมองในรองเท้าจากทางข้างๆ น่าจะยังเห็นกระดูกเท้า และอาจจะยังเห็น…ฝ่าเท้าที่ยังเน่าเปื่อยไม่หมดด้วย  

 

 

ขึ้นอยู่กับคนคนนี้ตายมานานเท่าไรแล้ว  

 

 

จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงมองหน้ากัน ไม่มีใครเข้าใกล้หรือกล้ามองเข้าไปในรองเท้าเลย  

 

 

พวกเขาเคยเห็นศพแห้งและโครงกระดูกในทะเลทรายอียิปต์ แม้ตอนนั้นจะรู้สึกหวาดหวั่นมาก ทว่าความจริงแล้วก็แอบเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ทันตั้งตัวจริงๆ  

 

 

อีกอย่างศพแห้งและโครงกระดูกเป็นของคนที่ตายไปนานมากแล้ว แต่รองเท้าข้างนี้ยังเป็นรุ่นทันสมัยทีเดียว เจ้าของรองเท้าน่าจะตายได้ไม่นานเท่าไร  

 

 

“จื่ออัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”  

 

 

เหล่าฉามองไปทางฝูงหมาป่าด้วยความสงสัย สัตว์ในป่าแห่งนี้ที่พอจะทำร้ายคนตายได้มีไม่มาก และเห็นชัดว่าฝูงหมาป่าเป็นสัตว์ที่น่าสงสัยที่สุด แถมสีหน้าตื่นเต้นตอนฝูงหมาป่าเจอรองเท้าข้างนี้เมื่อครู่ก็ยิ่งน่าสงสัย  

 

 

ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นก็มองฝูงหมาป่าอย่างระแวดระวังเช่นกัน  

 

 

ฟราเทอร์สีหน้าเคร่งเครียด มันเพิ่งมาถึงป่านี้ได้ไม่กี่วัน ไม่กล้ารับรองว่าคนคนนี้ถูกหมาป่ากินหรือเปล่า  

 

 

  

 

 

*ช่วงเวลาระหว่างหมากับหมาป่า เป็นสำนวน หมายถึงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างกลางวันกับกลางคืน   
 
 

ตอนที่ 1582 ส่งคุณไปพันลี้
 
บนชายฝั่งทะเลห่างไกลไร้ผู้คน กลับบังเอิญเห็นเท้าขาดสวมรองเท้าข้างหนึ่งถูกฝังอยู่ในชายหาดครึ่งหนึ่ง…เรื่องฆาตกรรมปริศนาแบบนี้ รู้สึกว่าควรจะอยู่ในพล็อตเรื่องโคนันมากกว่า แต่กลับเกิดขึ้นตรงหน้าจางจื่ออันจริงๆ  

 

 

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ฆาตกรก็คือ…ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่จางจื่ออันแน่นอน  

 

 

ตั้งแต่พบเท้าขาดข้างนี้ บรรยากาศระหว่างพวกภูตสัตว์เลี้ยงกับฝูงหมาป่าก็อ่อนไหวขึ้นมา แม้ภูตสัตว์เลี้ยงที่อยู่ที่นี่จะดูถูกคนต่างๆ นานา แต่เรื่องกินคนแบบนี้…พวกมันรับไม่ได้  

 

 

ฟราเทอร์เป็นตัวกลาง มันเองก็ลำบากใจมากเหมือนกัน  

 

 

ฝูงหมาป่าก็รู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ แต่พวกมันไม่เข้าใจว่าทำไม  

 

 

จางจื่ออันไกล่เกลี่ย “พวกนายคิดมากไปแล้ว เจ้าของรองเท้าข้างนี้น่าจะตายในทะเล แล้วถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่ง หมาป่าไม่ได้ทำหรอก”  

 

 

พวกภูตสัตว์เลี้ยงตะลึง พวกมันมีอคติและความระแวดระวังต่อสัตว์ป่าแบบหมาป่าก็จริง แต่ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น ถึงอย่างไรถ้าแค่เท้าขาดฝังอยู่ในชายหาดครึ่งหนึ่งก็บอกได้แล้ว ว่าคนคนนี้ไม่ได้ตายในทะเล โอกาสตายบนแผ่นดินมากกว่าตายในทะเลอย่างเห็นได้ชัด  

 

 

เท้าขาดข้างนี้สวมรองเท้าเดินป่า อาจจะเป็นนักเดินป่าคนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ถึงแม้นักท่องเที่ยวจะหลงใหลกับน้ำทะเลจนอยากลงไปว่ายน้ำแค่ไหน ก็คงไม่ใส่รองเท้าลงน้ำหรอกมั้ง?  

 

 

อีกอย่างชายฝั่งแคลิฟอร์เนียมีกระแสลมหนาวผ่านมา ถึงเป็นช่วงกลางฤดูร้อนก็มีไม่กี่คนที่ยอมลงไปว่ายน้ำ ทะเลที่นี่น่าชมเพียงไกลๆ แต่ไม่น่าแก้ผ้าลงไปเล่น  

 

 

จางจื่ออันรู้ดีว่าข้อสรุปเพียงอย่างเดียวไม่มีทางทำให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงเชื่อได้ จึงพูดเสริมอีก “ความจริงแล้วการพบเท้าขาดสวมรองเท้าบนชายฝั่งทะเลตะวันตกของอเมริกาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นอกจากเท้าขาดข้างนี้ตรงหน้าเรา เท้าขาดที่ถูกพบครั้งก่อนก็อยู่บนชายหาดของเกาะท่าเรือรัฐวอชิงตัน ห่างจากที่นี่เกินพันกิโลเมตร เวลาก็คือช่วงวันปีใหม่ของปี 2019…ส่วนตำแหน่งที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือทางเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย พรมแดนติดต่อกับรัฐโอเรกอน ไปทางเหนือของรัฐโอเรกอนอีกก็คือรัฐวอชิงตัน”  

 

 

ก่อนจะมาป่าเรดวูด เขาทำความเข้าใจกับอันตรายของการเดินป่าแล้ว เพราะจะได้ปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตอนที่เขาค้นหาข้อมูล ก็เห็นรายงานของปริศนาเท้าขาดบนชายหาดของชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของอเมริกาเหมือนกัน  

 

 

ในช่วงระยะเวลาสิบกว่าปีตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2007 บริเวณชายฝั่งพรมแดนอเมริกาและแคนาดาพบเท้าคนขาดสวมรองเท้าบ่อยครั้ง ถึงขนาดเอาไปถ่ายทำเป็นซีรีย์ตอนหนึ่งที่มีสาระสำคัญของเรื่องนี้ ไม่ว่าผู้เขียนบทซีรีย์หรือนักวิทยาศาสตร์ รวมถึงนักสืบตำรวจ ต่างก็คิดแทบล้มประดาตายเพื่อหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลให้กับที่มาของเท้าขาดพวกนี้  

 

 

นักวิทยาศาสตร์คิดว่ากระแสน้ำในมหาสมุทรพาเท้าขาดมาบนชายหาด ส่วนชิ้นส่วนอื่นๆ ของศพอาจจะถูกสัตว์ทะเลกัดกินหรือแยกชิ้นส่วนไปแล้ว เพราะเท้าขาดสวมรองเท้าไม่เหมาะกับรสนิยมของสัตว์ทะเล เลยได้แต่ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเล จนสุดท้ายถูกซัดมาบนชายหาด เพราะรองเท้าสมัยนี้เบามาก แรงลอยตัวจึงสูงไปด้วย  

 

 

ฟังดูแล้วมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ยังคงอธิบายปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งไม่ได้ นั่นก็คือ เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2007 แต่ทำไมก่อนหน้านั้นหลายปีถึงไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?  

 

 

เท้าขาดพวกนี้มีแค่ไม่กี่ข้างที่ถูกยืนยันตัวตนแล้ว บนวิกิพีเดียมีเว็บเพจเฉพาะทางหน้าหนึ่ง บันทึกเวลา สถานที่ ตำแหน่งชัดเจน รูปแบบรองเท้า ขนาด และเอกลักษณ์ต่างๆ ของเท้าขาดที่ถูกพบพวกนี้ หวังว่าจะมีสักวันที่เจ้าของเท้าขาดพวกนี้จะได้เจอกับครอบครัว  

 

 

ข่าวแปลกๆ แบบนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่จางจื่ออัน ตอนนั้นเขาอ่านแค่ผ่านๆ แต่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้มาเห็นเท้าขาดบนชายหาดกับตาตัวเอง  

 

 

ก่อนหน้านี้ผู้คนไม่ได้พบเท้าขาดในสถานที่ที่ใกล้ทางใต้ขนาดนี้ แต่นี่ก็ไม่แปลก เพราะสถานที่ที่พบเท้าขาดก่อนหน้านี้คือชายหาดคึกครื้นใกล้ตัวเมือง ผู้คนมักจะพาสุนัขมาเดินเล่นหรือเดินทอดน่องบนชายหาด พบวัตถุแปลกประหลาดได้บ่อยครั้ง แต่ป่าเรดวูดแห่งนี้ห่างไกลผู้คน หลายปีมานี้อาจจะไม่มีคนมาเดินเล่นเลียบชายหาด ดังนั้นก่อนหน้านี้ไม่พบเท้าขาดก็สมเหตุสมผลดี  

 

 

เขาหยิบโทรศัพท์มือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ ขณะเดียวกันก็บันทึกตำแหน่งจีพีเอส พอออกจากป่าก็จะอัพโหลดรูปภาพ แก้ไขหน้าเว็บเพจเรื่องนี้บนวิกิเดียใหม่อีกครั้ง  

 

 

ไม่มีใครสามารถอธิบายที่มาของเท้าขาดได้อย่างสมเหตุสมผล แม้จะมีคนคาดเดาทำนองว่าฆ่าตัวตาย จมน้ำตาย ตกเครื่องบินตาย หรือภัยทางทะเล แต่ถ้านึกถึงช่วงเวลาเดือนสิงหาคมปี 2007 กลับหาคำอธิบายที่ชัดเจนไม่ได้ ทั้งที่ก่อนเดือนสิงหาคมปี 2007 ก็มีคนตายจากการฆ่าตัวตาย จมน้ำตาย ตกเครื่องบินตาย และภัยทางทะเลเช่นกัน แต่ทำไมถึงไม่มีคนพบเท้าขาดบนชายหาด?  

 

 

ถ้าคิดดูจากช่วงเวลา คำอธิบายที่มีเหตุผลที่สุดน่าจะเป็น องค์กรทำผิดกฎหมายที่ก่อตั้งประมาณปี 2007 โยนศพผู้เคราะห์ร้ายลงทะเลเพื่ออำพรางความผิด พวกเขาโยนศพในสถานที่เดิม แต่กระแสน้ำทะเลพาน้ำทะเลและศพไปยังทิศทางที่กำหนดไว้เฉพาะ อย่างเช่น ชายหาดที่เชื่อมต่ออเมริกากับแคนาดา  

 

 

จางจื่ออันเล่าเรื่องและข่าวพวกนี้ให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงฟัง ความคิดใหม่อย่าหนึ่งผุดขึ้นในหัวของเขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยง กลุ่มน่าสงสัยของพวกหลี่ผีเท่อก่อตั้งปีไหน?  

 

 

พวกเขาไม่ค่อยรู้เรื่องของหลี่ผีเท่อและกลุ่มของเขานัก แต่ระหว่างเดินทางในประเทศอียิปต์ ตอนตั้งแคมป์กลางคืน เขาบังเอิญได้ยินหลี่ผีเท่อพูดคุยกับสมาชิกทีมของเขาอย่างดุเดือด น่าจะตั้งใจดึงดูดสาวน้อยไร้เดียงสาในทีมสำรวจทางวิทยาศาสตร์อย่างเหอเหอ พวกเขาพูดกันว่ากลุ่มของพวกเขาก่อตั้งมาสิบกว่าปีแล้ว นับดูแล้วก็พอๆ กับปี 2007 บวกกับที่นี่เป็นรังโจรของพวกเขา…  

 

 

ถ้าการคาดเดาของจางจื่ออันถูกต้อง พวกหลี่ผีเท่อคงไม่ได้มีทำผิดแค่การกักขังหน่วงเหนี่ยวเท่านั้น…อาจจะรวมถึงฆาตกรรมด้วย  

 

 

ส่วนคนที่ถูกหลอกมาที่นี่แต่ไม่ยอมถูกล้างสมองเสียที หลี่ผีเท่อจะเลี้ยงพวกเขาและกันไม่ให้พวกเขาหนีตลอดไหม? คนแบบหลี่ผีเท่อที่แม้แต่เลี้ยงกวางก็รู้สึกยุ่งยากคงไม่ทำอย่างนั้น เขาอาจจะไม่ได้ฆ่าพวกเขาให้ตายทันที แต่แค่ไม่จัดหาอาหารและยาให้อย่างเพียงพอ คนพวกนั้นก็คงจะตายไปเอง ถึงมีชีวิตก็อยู่รอดได้ไม่นานเท่าไร  

 

 

หลังจากคนพวกนั้นป่วยตาย หิวตาย และตายจากความทรมาน หลี่ผีเท่อก็จะสั่งคนโยนศพของพวกเขาลงไปในทะเลเพื่อทำลายศพและหลักฐาน เดิมทีนี่เป็นวิธีปิดบังที่ดีมาก แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคือ กระแสน้ำในมหาสมุทรไม่ได้พาศพของคนพวกนั้นออกไปยังทะเลลึก แต่พาไปยังพรมแดนของอเมริกาและแคนาดา  

 

 

แต่ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรผู้คนก็คงยากจะเชื่อมโยงเรื่องเท้าขาดกับการกระทำผิดในที่ห่างไกลไม่ได้ น่าเสียดายที่สวรรค์มีตา เพราะจางจื่ออันมาที่นี่และพบร่องรอยของการกระทำความผิดแล้ว  

 

 

ส่วนทำไมเท้าขาดข้างนี้ถึงอยู่ที่นี่ นี่ก็อธิบายได้ง่าย เพราะยังไม่ทันพัดไป กระแสน้ำทะเลจะม้วนเท้าขาดข้างนี้กลับไปในทะเลตอนน้ำลง แล้วซัดกลับไปทางเหนือ  

 

 

นี่เป็นการคาดเดาของเขา ถึงแม้เขาจะคิดเอาเองว่ามีเหตุผลมาก แต่ยังต้องการหลักฐานมาพิสูจน์ ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่บอกว่าไร้สาระ  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม