Otherworldly evil monarch 311-321

ตอนที่ 311

 

กระบี่ของ เล่ยเจียนฮ้ง กลายเป็นพายุสีฟ้าอย่างรวดเร็วท่ามกลางการต่อสู้ที่สับสน เกิดการระเบิดอย่างรวดเร็วขณะที่เขาปะทะเข้ากับวงของการป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นจากคนของ องครักษ์สวรรค์พิโรจ


เสียงระเบิดดังก้องสะท้อนขณะที่ องครักษ์สวรรค์พิโรจ นับสิบรับการโจมตีที่รุนแรงนั้น  การโจมตีที่รุนแรงเป็นพิเศษนั้นทำให้พวกเขากระอักเลือดขณะที่พวกเขาลอยไปทุกทิศทาง  เล่ยเจียนฮ้ง มิละเลยโอกาสนี้  แสงสีฟ้าที่ปกคลุมร่างกายของเขาปกคลุมกระบี่ขณะที่มันเฉือนเข้าไปในร่างของคนในวงลอม  ผู้ที่อยู่ในระยะกระบี่ราวเจ็ดหรือเป็นคนถูกตัดขาดเป็นสองท่อน


 


เล่ยเจียนฮ้งตั้งใจจักเปิดช่องว่างด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขา  อย่างไรก็ตาม เมื่อความรุนแรงของการโจมตีก่อนหน้าสลายไป แต่การโจมตีครั้งใหม่ยังไม่ทันเข้ามาแทน  นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ  และ ฉางฉุ้นเซี่ยว  รวมถึงคนของ องครักษ์สวรรค์พิโรจ รีบพุ่งเข้ามาปิดช่องว่างไว้  และจากนั้น กระบี่นับสามสิบก็ฟาดมาที่ เล่ยเจียนฮ้ง ด้วยเจตนาจักตัดหัวของเขา เล่ยเจียนฮ้ง มิอาจรวบรวมปราณเชวียนได้ทันเวลา  ดังนั้น เขาจึงตกอยู่ในวงล้อมการป้องกัน ขณะที่เขาปัดป้องกระบี่นับสิบที่ล้อมรอบตัว อย่างไรก็ตาม เขาเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียน เช่นนั้น เขาจึงสามารถต้านทานศัตรูมากมายได้อย่างมั่นคง  จากนั้น เขารวบรวมปราณเชวียน ขณะที่เขาปัดป้องกระบี่มากมาย และคำรามเสียงดัง  พลังของกระบีที่ป่าเถื่อนของเขาได้รับการเติมเต็มแล้วในตอนนี้


ทำให้มีคนนับสิบบาดเจ็บสาหัสและล้มลง


 


เล่ยเจียนฮ้ง ตั้งหลังได้หลังจากการฝ่าแนวป้องกันนี้  อย่างไรก็ตาม เขาได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อต่อสู้กับการโจมตีที่เข้ามาอย่างมหาศาล  และจากนั้น เขาก็กระตุ้นปราณเชวียนและใช้อุบายสังหาร  สิ่งนี้ทำให้เส้นลมปราณของเขาได้รับบาดเจ็บ  ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับการโจมตีที่รุนแรงจากศัตูรนับสิบ  การฝึกฝนปราณชเวียนที่สูงส่งของเขาทำให้ผิวของเขาเหนียวราวเหล็ก  อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขามิได้มีบาดแผลแม้แต่น้อย แต่เสื้อผ้าของเขามิอาจหลบหนีโชคชะตาได้  เสื้อผ้าของเขาถูกเฉือนเป็นเส้น  ทำให้มันเป็นเหมือนเสื้อผ้าของ ขอทาน  เล่ยเจียนฮ้งรีบหันหลังและล่าถอยอย่างรวดเร็ว


 


เล่ยเจียนฮ้งต้องการเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อฟื้นกำลัง  ทั้งหมดที่เขาทำนั้น … คือการผ่อนลมหายใจ  และจากนั้น เขาก็จักสามารถทำให้ตัวเองมีกำลังเช่นเดิมได้


 


อย่างไรก็ตาม ผลของการโจมตีอันทรงพลังของ เล่ยเจียนฮ้ง นั้นน่าตกใจยิ่ง  เขาได้เปิดช่องว่างวงล้อมป้องกันฝั่งของเขาได้  เป็นเวลาที่ นักรบชั้นสูงจากสกุลลี่ตะโกนขึ้นพร้อมเพรียงและพุ่งเข้าไปดั่งกระแสน้ำหลาก  ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนอีกสองใช้กลยุธเดียวกันจากฝั่งของพวกเขา  พวกเขาทำให้เกิดช่องว่าง … และเมื่อช่องวางในแนวป้องกันของ องครักษ์สวรรค์พิโรจเปิดออก … ทำให้ทหารที่ทำการป้องกันสับสนอลม่าน


 


 


เล่ยเจียนฮ้ง และสหายทั้งสองของเขา ได้รักษาความแข็งแกร่งของพวกเขาไว้เพื่อจัดการกับยอดฝีมือจาก หอกระบี่เลือด เมื่อพวกเขาปรากฏตัว อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มิได้ปรากฏตัว  เขาเชื่อว่าศัตรู มิเคยมีกำลังเสริม  ดังนั้น ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนทั้งสามจึงผ่อนคลาย และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว   และจากนั้น พวกเขาจึงแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริง  พวกเขามิได้ไตร่ตรองเมื่อต้องใช้ปราณเชวียนอย่างฟุ่มเฟือย และพุ่งเข้าหาฝูงแกะราวกับเสือ  จากนั้นพวกเขาเริ่มกระทำการสังหารหมู่


 


” หยุด .. อย่าสังหารข้า !  ข้าคือ อุปนายกของคาราวานการค้าทางใต้ !  ข้า .. ข้า … ข้าขอสวามิภักดิ์ ! ”


คนผู้หนึ่งตะโกนโศกเศร้า  ข้าคือ เมิงเซี่ยวซ้ง


 


ฝ่ายของเขาพ่ายแพ้  เช่นนั้น เขาจึงมิอาจอดกลั้นความกลัวในหัวใจ และความกระหายที่จักมีชีวิตได้ ดังนั้น เขาจึงเสนอการสวามิภักดิ์


 


โจวเจียนหมิง ศิษย์คนที่สองของ เล้ยวูเบ้ย กำลังเผชิญหน้ากับเขาอยู่  เขากำลังจัก ฟาดกระบี่ลงไปอย่างมิได้ระวัง เมื่อเขากำลังเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ที่มิได้อ่อนด้อยในความแข็งแกร่ง  อย่างไรก็ตาม เขาจักทนต่อคู่ต่อสู้ที่คุกเข่าลงไปได้อย่างไร ?  และ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก ?


” ปล่อยข้าไป … ข้า … ได้โปรดท่านวีรบุรุษ … โปรดเห็นใจข้า  ข้ามีแม่อายุร้อยปีรออยู่ที่บ้าน  ข้ามีลูกเล็กที่หิวโหย … ”


 


เมิงเซี่ยวซ้งร้องครวญขณะที่เขาคร่ำครวญต่อ


” ท่านวีรบุรุษ … ฮือออ … ข้าไม่อยากตาย ! ”


 


โจวเจียนหมิงหยุดและเฝ้ามองอย่างสับสน


 


เขามิเคยคาดว่ามีผู้ใดในโลกนี้ที่กระหายการมีชีวิต และหวาดกลัวความตาย


คนน่าละอายผู้นี้คุกเข่าเมื่อทั้งสองกำลังปะทะกัน  คาดไม่ถึง เขาเป็น อุปนายกคาราวานการค้าทางใต้ …. นี่มิใช่เป็นความอัปยศสำหรับเขาหรือ ?  เขานั้นไร้ความอับอายอย่างแท้จริง เขานั้นช่างน่าละอายยิ่งนัก !  เขานั้นไร้ยางอายอย่างหาที่สุดมิได้ …


 


” เจ้าโง่  คลานมายังนายท่านผู้นี้เจ้าขี้ขลาด !  บอกข้า หน้าไม้เอ็นเชวียนอยู่ที่ใด และข้าจักปล่อยเจ้าไป  ความจริง ข้าจักเปิดทางให้เจ้าหนีไป ! ”


โจวเจียนหมิงตะโกนด้วยโทสะ


 


” มัน… มัน … หน้าไม้พวกนั้น …”


เมิงเซี่ยวซ้งพยายามทำตาแวววาวอ้อนวอน


คิดว่าข้าจักไม่บอกเจ้าหรือหากข้ารู้ ?  เจ้าคิดว่าข้ารู้หรือว่าพวกเขาเก็บหน้าไม้เหล่านั้นไว้ที่ใหน ?  เจ้าคิดว่าข้าเป็นห่วงพวกมันมากกว่าชีวิตตัวเองหรือ ?  ข้าไม่รู้จริง !


 


” เร็วเข้า !  แม่เจ้า !  เจ้ากำลังทำสิ่งใด ทำตามแวววาวสำหรับความขี้ขลาด ?!  เจ้าอยากตายหรือ ฦ  พยักหน้า หากเจ้าไม่มีความสุขที่จักมีชีวิต ! ”


โจวเจียนหมิง ตะโกนลั่น


 


” ท่านยอดวีรบุรุษ … ละเว้นข้า !  ข้า … ข้านั้นไร้สามารถ … ข้าไม่รู้ว่าหน้าไม้เหล่านั้นถูกเก็บไว้ที่ใด ! ”


เมิงเซี่ยวซ้งหวาดกลัวอย่างที่สุด  ทันใดนั้นเขาหมอบคลานด้วยเสียง ฉึบ ซึ่งเป็นเสียงที่เมื่อเขาสัมผัสกับพื้น !


 


ข้าจักไปข่มขืนแม่เจ้า !  การยอมจำนนของเจ้าไร้ค่า !  มิใช่เรื่องดี เจ้านั้นไร้ประโยชน์กับข้าอย่างที่สุด !  แม่เจ้า เจ้าขี้ขลาด !


โจวเจียนหมิงตะโกนลั่น  เขาถลึงตากว้าง  จากนั้นเขายกขาและเตะออกไปอย่างรุนแรง ” ปั้ง  ” ไปยังท้องของ เมิงเซี่ยวซ้ง เขาเตะชายผู้นั้นไปไกลถึงสามเมตร แต่เขายังรู้สึกหม่นหมอง


 


เจ้าขี้ขลาดผู้นี้ไม่รู้สิ่งใด และเขายังมาขอสวามิภักดิ์ … อยู่อีกหรือ ?!


 


เมิงเซี่ยวซ้งที่ลอยไปในอากาศยังคงตะโกน


” ละเว้น .. ชีวิตข้า … ”


เขายังมิทันพูดจบเสียงของเขาก็หยุดลงทันที กระบี่สีเลือดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า  มันตัดร่างของชายผู้ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย  จากนั้น  มันเพิ่มความเร็วแทนที่จักช้าลง และพุ่งตรงไปยัง โจวเจียนหมิง


 


ร่างของ เมิงเซี่ยวซ้งที่ถูกตัดขาดเป็นสองส่วน ส่งให้เลือดกระจายไปทั่วทุกทิศ  จากนั้น ร่างสีแดงฉานปรากฏขึ้นมาจากฝนเลือดราวกับปิศาจ


 


ร่างนี้พุ่งตรงไปยังร่างของ เมิงเซี่ยวซ้ง


 


แสงสว่างวาปขึ้นราวสายฟ้า และสับขาที่ โจวเจียนหมิงยกขึ้นเพื่อเตะร่างของ เมิงเซี่ยวซ้ง ตอนนี้ โจวเจียนหมิง ยังมิทันได้ชักเท้ากลับ  แสงนั้นตัดลงไปบนเนื้อง่ายดายราวมีดที่ตัดเนย


 


การโจมตีนี้จับจังหวะได้อย่างแม่นยำ !


จวินโม่เซี่ยยังคงนั่งอยู่บนกิ่งไม้   และ เขายังสรรคเสริญผู้โจมตีหลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น  คาดว่านั่นเป็นการโจมตีเพียงลำพัง จวินโม่เซี่ยไม่มั่นใจว่าเขาสามารถทำได้ดีกว่า หากเขาตัดสินใจจักทำ  การลอบโจมตีนี้ถูกปล่อยออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความจริง มันเป็นความสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด


 


ผู้โจมตีผู้นี้หลบซ่อนอยู่ด้านข้าง  เขาใช้โอกาศที่ เมิงเซี่ยวซ้ง สวามิพักดิ์ และ โจวเจียนหมิง ปล่อยลูกเตะแสดงความเป็นศัตรู  และ ในช่วงเวลาน้อยนิดนั้น … โจวเจียนหมิง เมิงเซี่ยวซ้งและผู้โจมตีอยู่ในแนวความสูงเดียวกัน  ดังนั้น เขาจึงใช้ร่างของ เมิงเซี่ยวซ้งเพื่อบดบังสายตาของ โจวเจียนหมิงในเวลาสั้นๆนั้น


 


ราวกับใบไม้ที่บดบังดวงตา และทำให้คนผู้นั้นไม่สามารถมองเห็นป่าได้


 


นี้เป็นสำนวนที่ว่า ใบไม้บังป่า


 


และ ช่วงเวลาน้อยนิดเช่นนั้นคือสิ่งสำคัญยิ่ง เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเลือดของมือสังหารเคลื่อนไหวในทันที  เขาพุ่งตรงไป และ ทะลุร่างของ เมิงเซี่ยวซ้ง จากนั้นเขามุ่งตรงไปยัง โจวเจียนหมิง หลังจากช่วงเวลาที่โศกเศร้าลละขุ่นเคืองนั้น  ทำให้เขาขาดความระมัดระวัง


 


กระบี่ลอยลงมาอย่าแผ่วเบา


 


ปราณเชวียนของมือสังหารนั้นบ่งบอกได้ว่าเขาอยู่ในขั้น สวรรค์เชวียน แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขานั้นมากพอกับ โจวเจียนหมิง ความจริงแล้ว เขาอาจอ่อนแอกว่าโจวเจียนหมิงเล็กน้อย ดังนั้น ผลการต่อสู้ของทั้งสองจักเสมอกันหากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว  ความจริง มือสังหารจักทำให้เกิดบาดแผลได้เพียงเล็กน้อย หากเขาเลือกที่จักลอบโจมตี  อยางไรก็ตาม ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในการเลือดช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบนี้ และทำกับตัดขาของ โจวเจียนหมิง!


 


” อ้ากกก ! ”


โจวเจียนหมิงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด ในตอนที่เขาเห็นขาขวาของเขาถูกตัดออกไป  เลือดหลั่งไหลเป็นสาย  ดวงตาเกือบถลนออกมาจากเบ้า  เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความเจ็บปวด  แม้นเวลานั้นมือสังหารยังคงไม่ผ่อนคลาย   เขาตัดขาของคู่ต่อสู้ และ ชิงข้อได้เปรียบในการตัดขาจากศูนย์กลาง … กระบี่ของเขาเคลื่อนไหวดั่งมีดร้อนที่ตัดลงไปบนเนย


 


เสียงครวญของ โจวเจียนหมิงนั้นทุกข์ยากยิ่งนัก  ความจริง เสียงนั้นไม่เหมือนแม้เสียของคนที่กรีดร้อง  เขาพยายามถอยไปข้างหลังอย่างร้อนรน แต่เขากลับลืมไปว่าขาของเขาไม่มีอยู่แล้ว  เช่นนั้น เขาจึงล้มลงแทนที่จักก้าวถอยหลังไป  ศอกของมือสังหารยกขึ้นมาราวกับฆ้อนสีฟ้าขณะที่พวกมันปะทะไปยังอกของเขาอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเสียง “แกร๊ป ! ” อย่างต่อเนื่องจากที่กระดูกซี่โครงของ โจวเจียนหมิง แตกหัก


 


เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากของ โจวเจียนหมิงนั้นคล้ายกับสัตว์ที่บาดเจ็บจนใกล้ตาย  ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือดเนื่องจากการบาดเจ็บของอวัยวะภายใน  หน้ากากบนใบหน้าของเขาหายไปนานแล้ว  ใบหน้าของยอดฝีมือบิดเบี้ยวไปราวกับใบหน้าของมังกรตัวน้อย  เส้นเลือดดำของเขาบิดไปมาขณะที่พวกมันหลุดออกมาจากผิวหนัง


 


ประการแสงอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของมือสังหาร  เขายังคงไม่ปล่อยการโจมตีออกไป  มือของเขาคว้าเข่าของคู่ต่อสู้  ขาซ้ายของเขาเคลื่อนลงขณะที่ขาขวาของเขายกขึ้นเพื่อเตะ  เขาใช้วิธีนี้เพื่อโจมตีเป้าด้านล่างของ โจวเจียนหมิง อย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่ศองของมือสังหารโจมตีเข้าไปยังอกของ โจวเจียนหมิงอย่างรุนแรง ในขณะที่มือที่เปล่งแสงสีฟ้าของเขาโจมตีไปยังขมับทั้งสองของ โจวเจียนหมิงอย่างชั่วร้าย


 


” ปั้ง ! ”


ทวารทั้งเจ็ดของโจวเจียนหมิงมีเลือดพุ่งออกมาราวน้ำพุ


 


… น้ำพุเลือด


 


ข้าของมือสังหารโจมตีอย่างต่อเนื่องไปยังร่างของเหยื่อจากทุกทิศทาง เขาอุ่มร่างของโจวเจียนหมิงไปหลายเมตรในพริบตา และยังคงรักษาความรุนแรงและต่อเนื่องของการโจมตีไว้  ร่างสูงใหญ่ของ โจวเจียนหมิง ถูกเปลี่ยนให้เป็นก้อนเนื้อนุ่มๆเมื่อการโจมตีนี้จบลง เขาได้กลายเป็นก้อนเนื้อชิ้นใหญ่  ทั่วร่างของเขาร่วงโรย  ไร้เสียงโอดครวญดังออกมาจากปากของเขา


 


กระดูในร่างของเขากลับกลายเป็นแป้ง


 


ความจริง กระดูบางส่วนของเขาหลุดออกไปจากร่างเนื่องจากการโจมตีที่โหดร้ายและต่อเนื่องนี้


 


” น้องสอง ! ”


 


” พี่สอง ! ”


 


ทั้งสองกรีดร้องอย่าโศกเศร้า  เล่ยเจียนฮ้ง และศิษย์น้องสาว ฟางเปียวฮ้ง โกรธเคืองจนมิอาจควบคุมได้  พวกเขาละทิ้งคู่ต่อสู้และวิ่งมา  แต่กระนั้น มันหายเกินไป  ร่างของ โจวเจียนหมิง ได้กลายเป็นก้อนเนื้อที่ถูกสับแล้ว  ไร้ซึ่งลมหายใจในร่างกายนี้  เขาได้ตายไปแล้วอย่างแน่นอน


 


” เจ้ามาจาหอกระบี่เลือด ?  เจ้าคือผู้ใด ?! “


ดวงตาของ เล่ยเจียนฮ้งแดงก่ำ ขณะที่เขามองอย่างเยาะเย้ยไปยังร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น


 


” สายตาของพี่เล่ยนั้นเป็นเลิศนัก !  ทหารผู้ต่ำต่อยนี้มีโชคนักที่สุดท้ายได้พบกับสองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนผู้เลืองชื่อ !”


ชายในชุดสีเลือดยิ้มขณะที่เขาปัดมือเพื่อกำจัดเศษเนื้อและกระดูกออก  จากนั้นเขาหันหน้ามาหาพวกเขาและยิ้ม


” ข้าต้องการทักทายกับผู้มีชื่อทั้งสาม  แต่ น้องสองของท่านได้กลายเป็นเศษเนื้อไปเสียแล้ว  แต่ก็ยัง โชคดีที่ได้พบท่านทั้งสอง  ข้ากระทำผิดธรรมเนียมไปเล็กน้อย  เช่นนั้น ข้าจึงของให้ ยอดฝีมือสวรรค์ดชวัยนทั้งสองผ่อนปรณ ”


 


จวินโม่เซี่ยยังคงหลบซ่อนอยู่บนยอดไม้  แต่ สีหน้าของเขานั้นดูแปลกประหลาด


วาจาของชายผู้นี้กวดขันยิ่ง  ไร้วี่แววของความก้าวร้าวในดวงตานั้น .. หรือในหัวใจของเขา ข้าอาจจะทำเช่นเดียวกันหากข้าอยู่ตรงนั้น  ความจริง ตัวเลือกในวาจาของเขานั้นมิได้ต่างจากข้า  ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าศพของชายผู้นี้จักต้องไม่บุบสลาย !

 

 

 


ตอนที่ 312

 

” ข้าถามเจ้า เจ้าคือใคร ! เจ้ามิกล้าจักบอกชื่อเจ้ากับข้าหรือ ? “


เล่ยเจียนฮ้ง ตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าขณะเขาถามด้วยเสียงต่ำ เขามิใยดีกับการดูหมิ่นของฝั่งตรงข้ามดูถูกและถากถาง เขามิได้มองไปยังศพของสหายพี่น้องของเขาที่อยู่บนพื้นเบื่องล่าง


ศิษย์สาม ฟางเปียวฮ้งมองไปยังศพของศิษย์พี่ของเขา  ทั่งร่างของนางสั่นสะท้าน และนางมิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้


 


ความกล้าในการต่อสู้ของนางหมดลง คนของ โจววูจี้สามารถหลุดพ้นจากอันตรายได้ ดังนั้น พวกเขาจึงดีใจยิ่ง  ศัตรูของพวกเขามิได้ให้ความสนใจพวกเขาตั้งแต่คนผู้นั้นมาถึง  คนผู้นี้มาถึงช้าเกินไปเพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็มิได้สนใจนักในตอนนี้


 


มิสำคัญว่าเขาจักมาช้าหรือเร็ว … มันเป็นสิ่งดีตราบใดที่เขายังอยู่  มันมิใช่การรักษาชีวิตตัวเองหรอกหรือ ?


 


ทุกผู้หยุดลง แต่บรรยากาศโดยรอบสนามรบนั้นเริ่มหดหู่ยิ่งขึ้น


 


ทันใดนนั้น ชายในชุดแดงหัวเราะและยกมือขึ้น  เกิดเสียง ” ฉึบ” ขึ้นจากปลอกแขนของเขา  เสียงระเบิดที่คมชัดดังออกมาขณะที่ฝ่ามือของเขาปะทะกับอากาศบางๆ  ชัดเจนว่ามันมิได้สัมผัสกับสิ่งใดในอากาศนั้น  กระนั้น ดูเหมือนว่าเขาติดอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง


 


เกิดเสียงหวีดหวิวขึ้นจากสายลม  จากนั้น มีเงาเของผู้คนมากมายปรากฏขึ้นมารอบๆในทันใด


 


เปลวไฟสะท้อนร่างของผู้ที่มาถึง  พวกมเขาอยู่ในชุดสีแดง  พวกเขาแต่ละคนยืนนิ่งเงียบ  อย่างไรก็ตาม ในดวงตาพวกเขามีประกายแห่งความน่าสะพรึง  ราวกับหมาป่ากระหายเลือดที่รอคอยคำสั่ง


 


เงาของคนสองผู้ลอยอยู่ในอากาศ และมาอยู่ด้านข้างมือสังหารชุดแดง  ร่างของพวกเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีฟ้าเข้มขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากับ เล่ยเจียนฮ้ง และ ฟางเปียวฮ้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้มาใหม่แสดงให้เห็นทำให้คนของ เล่ยเจียนฮ้งตกตะลึง


 


มือสังหารทั้งสามเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียน


 


หากมองไปรอบๆ … พวกเขาจักได้เห็นว่าผู้ที่มาใหม่นั้นร่างปกคลุมไปด้วยแสงสีน้ำตาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือปฐพีเชวียน  ในหมู่พวกเขามีผู้ที่เป็นยอดฝีมือปฐพีเชวียนราวสิบคน  ส่วนที่เหลือนั้นเปล่งประกายด้วยสีของหยกเชวียน  ท่ามกลางพวกเขามียอดฝีมือหยกเชวียนราวสามหรือสี่สิบคน !


 


หัวใจของเล่ยเจียนฮ้งเยือกเย็นขึ้นในทันที


 


เย็นราวก้อนน้ำแข็ง …


 


พวกเราจักต่อสู้ในสงครามนี้ได้อย่างไร ?!


 


ความแข็งแกร่งของศัตรูนั้นล้ำหน้ากว่าพวกเรามากนัก ! และ ฝ่ายเรานั้นมีเพียง ศิษย์น้องสามและข้า !


 


” ชื่อข้าหรือ ?  ฮ่าฮ่า ! พี่เล่ย ท่านก็มิได้เพิ่งรู้จักในโลกนี้  ข้าคือมือสังหารจาก หอกระบี่เลือด ข้าจักบอกชื่อข้ากับเจ้าได้อย่างไร ?  ข้าอาจไม่สนใจพวกเจ้าทั้งสอง แต่ข้าจักมิสนใจ เล้ยวูเบ้ย ได้อย่างไร ?  เขาคือ ยอดปรมาจารย์เล่ย !  หากถามว่า ข้ามีความกล้าหรือไม่ เจ้าสมารถถามศิษย์น้องสองของเจ้าได้  เขารับรู้มันได้อย่างชัดเจน ”


ชายชุดแดงเงยหน้าขึ้นและตอบ เล่ยเจียนฮ้ง


 


 


” ดีมาก !  คือหอกระบี่เลือดนี่เอง  ข้าต้องจำเจ้าได้อย่างแน่นอน !”


เล่ยเจียนฮ้งชำเลืองมองพวกเขาด้วยความโศกเศร้าและขุนเคือง  จากนั้นเขาหันไปและเอ่ย


” ศิษย์น้อง พวกเราควรไปแล้ว ”


 


” หยุด !”


ทันใดนั้นชายในชุดแดงตะโกนขึ้น


 


เล่ยเจียนฮ้งยั้งฝีเท้า


 


” เหตุใด ?  อย่าบอกข้าว่าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถขัดขวางพวกเราได้ ? “


เล่ยเจียนฮ้งหัวเราะโศกเศร้า


” ความแข็งแกร่งของพวกเจ้านั้นเหนือกว่าเรานัก และพวกเราไม่เหมาะสมกับเจ้า  แต่ เจ้าคิดว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งพอที่จักขัดขวางพวกเรา ? “


 


เล่ยเจียนฮ้ง เอ่ยความจริง  ทั้งสองฝ่ายมีผู้นำเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียนผู้ทรงพลัง  มิใช่เรื่องยากเลยสำหรับ หอกระบี่เลือดที่จักเอาชนะฝ่าย เล่ยเจียนฮ้งหากพวกเขาต้องการ  แต่ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจักสามารุขัดขวาง เล่ยเจียนฮ้ง และ ฟางเปียวฮ้ง ทั้งสองผู้สามารถสร้างเส้นทางหลบหนีที่โชกเลือดได้ตราบใดที่พวกเขาต้องการจักไป


 


” ฮี่ฮี่ พี่เล่ย เข้าใจเจตนาที่ดีของน้องผู้นี้ผิดไป  เจ้าคือผู้มีสายเลือดเดียวกับยอดปรมาจารย์เล่ยเพียงผู้เดียว  พวกเรามิกล้ากระทำผิดเช่นนี้ได้ !”


ชายชุดแดงเอ่ยไม่รีบเร่ง


” แต่กระนั้น… ศพของศิษย์น้องเจ้า … เจ้าไม่คิดจักนำพาไปด้วยหรือ ?   หรือเจ้าต้องการทิ้งเขาไว้ในที่รกร้างเช่นนี้ ? “


 


เล่ยเจียนฮ้งคำรามทางจมูกเยือกเย็น แต่ยังมิได้ยกศพขึ้นมา  จากนั้นเขาลอยขึ้นในอากาศ และ ดึง ฟางเปียวฮ้งไปกับเขาด้วย  เขามิเอ่ยสิ่งใดเลยในสถานการณ์นี้  กิ่งไม้ใกล้ๆสบัดไปมาสองสามครั้งขณะที่พวกเขาหายไปในท้องฟ้าราตรี


 


เล่ยเจียนฮ้งรู้ว่าการนำร่างของ เล่ยเจียนฮ้ง โจวเจียนหมิงมาด้วยนักเป็นภาระหนักอึ้ง  ความจริง มันเป็นสิ่งที่จักขัดขวางพวกเขามิให้ออกมาได้ ชายชุดแดงเอ่ยวาจาเหล่านั้นด้วยความประสงค์ร้ายชัดเจน แต่มันสำคัญกับเขาและศิษน้องที่จักออกมาจากสถานที่นั้นเพื่อหลีกเลี้ยงเรื่องเลวร้าย


 


ศัตรูใหม่เกิดขึ้นแล้ว และไม่มีที่ให้หลบ  ชายชุดแดงและสหายของพวกเขาจักใช้เคล็ดดับสูงเพื่อจับพวกเรา หากพวกเราพายามนำพาร่างของศิษย์น้องสอง  มันจักต่างไปอย่างไรแม้นพ่อข้าเป็น ยอดปรมาจารย์เลือดเย็น ?  ไม่มีผู้ใดเหลือรอดเพื่อเป็นพยานหากพวกเราทั้งสองตายที่นี่ และขุนศึกของสกุลลี่ก็ตกอยู่ในบ่วงเดียวกัน   จากนััน หากพ่อข้าตัดสินใจล้างแค้น … เขาก็มิรู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด !


 


ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงพอจักสังหารพวกเราหากพวกเรารั้งรอ !


 


ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วและจากไป


 


ฝ่ายตรงข้าม ไม่เห็นวี่แววว่าพวกเขาจะหยุด เช่นเดียวกับการตัดสินใจของ เล่ยเจียนฮ้ง เช่นนั้นจึงไม่มีพวกเขาคนใจพยายามจะหยุดพวกเขา


 


ทันใดนนั้น หมอกสีขาวเริ่มก่อตัวขึ้นท่ามกลางแสงมืดสลัวค่ำคืน  มันปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ และเริ่มหนาทึบมากขึ้น  ดูเหมือนเป็นการสร้างม่านป้องกันบางๆ


 


เช้าตรู่และราตรีมักจะมีหมอกหนาในป่าเขา  เช่นนั้น จึงมิได้มีผู้ใดสนใจมันมากนัก  ยิ่งไปกว่านั้น ลมบริสุทธิ์พัดผ่านหุบเขาและต้นไม้ภายใต้ม่านหมอกนั้น  ความสงบเยือกเย็นนี้ส่งผลต่อหัวใจทุกผู้คน และพวกเขามิอาจห้ามตัวเองมิให้สูดหายใจลึกขณะที่รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวานั้นได้


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขามิรู้เลยว่า จวินโม่เซี่ยได้ปีนลงมาจากต้นไม้ และถอนใจลึก


 


เขาตะโกนด้วยความโชคร้าย


 


น่าเสียดายยิ่งนัก !  เล่ยเจียนฮ้งและคนของเขาจากไปเร็วไปหน่อย  เขาจักได้เห็นหากเขารั้งรออยู่อีกหน่อย  น่าเสียดายที่ข้าต้องพยายามอย่างมาก และประสบกับความยากลำบากที่มิอาจเอ่ยออกมาได้เพื่อสร้าง ปิติสุคนธรสนี้ น่าเสียดาย พวกเขาสามารถหลบหนีจากกับดักนี้ไปได้


 


ปิติสุคนธรส มิควรจักใช้ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีปราณเชวียนที่น่ากลัวไหลเวียนอยู่ มีโอากาสที่มันจักถูกพัดไปโดยมิได้ส่งผลที่ดี


 


อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เริ่มนิ่งจนเขาสามารถใช้ไพ่ตายได้แล้ว  ปิติสุคนธรส สร้างจากลมปราณของ เจดีย์หงษ์จวิน มันไร้รู้ร่างจนมิอาจมองเห็นได้ มันไร้ร่องรอยจนกลายเป็นความลี้ลับ


 


แต่ มันมีรสชาติเพียงนิดหน่อย  อย่างไรก็ตาม มันบริสุทธิ เยือกเย็น และ งดงาม  ทุกผู้ที่ได้กลิ่นสดชื่น และความงดงามของม่านหมอกนี้จักสูญเสียความแข็งแกร่ง  แม้แต่ยอดฝีมือปราณเชวียนก็พบว่าปราณเชวียนของเขาลดลงอย่างมาก  ซึ่งทำให้พวกเขาสูญเสียควาสามารถในการต่อสู้ หากพวกเขาสูดดมกลิ่นหอมนี้


 


นี่คือไพ่ตายใบสำคัญของจวินโม่เซี่ยในการภารกิจนี้


 


” เจ้า … ในที่สุดก็มา ”


ฉางชุ้นเซี่ยวได้รับบาดเจ็บมากมายตามร่างกาย  เขากระเพกมาพร้อมผู้ที่ช่วยพยุงและทักทายผู้มาใหม่  โจววูจี้เดินเข้าไปใกล้ๆเขา  เขามองไปยังชายชุดแดงด้วยสีหน้าหวาดกลัว แต่ผสมปนเปด้วยความรู้สึกขอบคุณอันมิอาจหาที่สุด


 


” เอ่อ พวกเรามีเหตุมิคาดคิดอยู่ครู่หนึ่ง  ซึ่งทำให้มาถึงล่าช้าไปเล็กน้อย ”


ชายชุดแดงตอนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


” หน้าไม้อยู่ที่ใด ? ”


 


ฉางชุ้นเซี่ยว มองไปยัง โจววูจี้ เขาเข้าใจถึงท่าทางนั้น และมุ่งหน้าไปยังรถม้าพร้อมด้วยผู้ติดตาม  อย่างไรก็ตาม เขามิได้หยุดที่รถม้านั้น  แต่เขากลับเดินเลยไปยังม้าที่ผูกไว้กับรถม้า  เขาเอาอานม้าลง  จากนั้นเอาม้วนสายหนังใสออกมาจากส่วนล่างของร่างกายพวกมัก  จากนั้นเขาดึงหนังที่บางและใสออกมา  ทันใดนนั้น หน้าไม้ที่สุกใสน่าประทับใจร่วงลงมาจนเกิดเสีย แกร็ก


 


นี่คือจุดที่ โจววูจี้ ผู้กหน้าไม้เอาไว้ !


 


สิ่งนี้น่าประหลาดใจยิ่งนัก  ความจริง มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม


 


แม้นหากเจอขโมยที่ต้องการแย่งชิงมันไป พวกเขาจักเริ่มที่รถม้า  และ พวกเขาจักมุ่งไปหายังที่อื่นหากรถม้าไม่มีสิ่งนี้อยู่  ผู้ใดจักสนใจสิ่งที่ดูเหมือนรถม้า ?


 


” มีหน้าไม้ทั้งหมด สามร้อยห้าสิบ เกินกว่าที่คาดไว้ถึงยี่สิบ  พวกเรานำมันมาส่งทั้งหมด  พิมพ์เขียวของมันถูกเผาทำลายแล้ว  หน้าไม้ยี่สิบอันถูกผูกไว้กับม้าแต่ละตัว  ม้าที่เหลือมีมัดของเกาทัณฑ์พิเศษมัดไว้ที่ท้อง  เกาทัณฑ์นับรวมได้เจ็ดพัน  และ นี่เป็นเพียงเกาทัณฑ์ชุดแรก  ชุดที่สองกำลังถูกเตรียมการอย่างรวดเร็ว ”


 


โจววูจี้ก้มหัวด้วยความหวาดกลัว  เขามิรู้ว่าเหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าชายชุดแดง ผู้ที่มีกลิ่นไออันเยือกเย็นถึงดูขุนเคืองเขา


 


” ดีมาก !  เจ้าทำงานได้อย่างถูกต้อง ! ”


ชายชุดแดงรู้สึกพึงพอใจในตอนนี้


” สถานที่แห่งนี้จักช่วยให้เจ้าได้พักผ่อน  และเจ้าจักได้รับรางวัล…”


 


” ขอบคุณมาก …”


โจววูจี้ดีใจยิ่งนัก  เขาก้มหัวเพื่อแสดงความเคารพและแสดงความขอบคุณ  อย่างไรก็ตาม หัวของเขาร่วงลงบนพื้นพร้อมเสียง ตุ๊ป! ใบหน้าของเขายังคงยิ้มด้วยความปิติ เนื่องจากมันถูกตัดออกไปโดยชายชุดแดง


 


” เจ้าโง่ ! ”


 


นี่คือคำวาจาสุดท้ายของชายชุดแดงที่ โจววูจี้ได้ยิน


 


” ของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้าคือเจ้าสามารถตามไปพบน้องชายของเจ้าได้  เจ้าจักได้พักผ่อนในนรกตลอดกาล ! “


ชายชุดแดงเอ่ย


 


” ท่านพี่ .. ท่าน.. เหตุใด ? “


ฉางชุ้นเซี่ยวมองไปด้วยความตกตะลึงขณะถาม  ชายชุดแดงต่อยเข้าใส่หัวของ ฉางชุ้นเซี่ยว อย่างรวดเร็ว และสมองของเขาก็ทะลักออกมาในทันที  เหยื่อของเขากำลังจะตาย แต่เขายังพยายามถามว่า ทำไม ?


 


” เหตุใด ?  ข้าคิดว่าเจ้าฉลาด  แต่เจ้ากลับโง่เง่าเช่นกัน !  เจ้าถามข้าถึงเหตุผลในสิ่งนี้หรือ ?! “


ชายชุดดำสบัดเลือดออกจากมือขณะยิ้ม


” เจ้าโง่เชื่อจริงๆหรือว่า หอกระบี่เลือด จักยอมทำตามเจ้าหมูโง่องค์ชายสองนั่น ?!  เขาสมควรได้รับเพียงสิ่งนี้ ! ”


 


จากนั้นเขาสบัดมือและออกคำสังอย่างโหดเหี้ยม


” ทำงานให้เสร็จ ! ”


 


ชายชุดแดงผู้อื่นเร่งรีบทำงานของพวกเขา  พวกเขาเข้าไปหากผู้เหลือรอดที่โชคดี ที่อยู่ใกล้ๆ  ผู้ที่รอดชีวิตนั้นเดิมที่คิดว่าเงามืดแห่งความตายไปพัดผานพวกเขาไปแล้วด้วยการมาถึงของความช่วยเหลือนี้  พวกเขารู้สึกราวได้ปลดภาระอันหนักอึ้งจากหัวใจ  ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้ระวังแม้แต่น้อย  พวกเขาถูกสังหารในตอนที่ผู้นำของชายชุดแดงเริ่มกบฏ และถูกสับเป็นชิ้นๆ  แม้แต่ความคิดในการต่อต้านก็มิเกิดขึ้นในหัวของพวกเขา  พวกเขาเพียงร้องด้วยควาทรมาณขณะที่ล้มลง


 


ชายชุดแดงที่เหลือฟาดกระบี่ของพวกเขาโดยไม่เอ่ยสิ่งไป และ ตัดหัวของนักรับสกุลลี่ผู้ที่มิได้หลบหนีไปกับ เล่ยเจียนฮ้ง


 


คนเหล่านี้มีผู้นำการต่อสู้เป็นสองยอดฝีมือสวรรค์ชเวียน  พวกเขาเป็นฝ่ายชนะ  และ สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา เมื่อ สามยอดฝีมือสวรรค์เชวียน ยอดฝีมือปฐีเชวียนและหยกเชวียนนับไม่ถ้วนโจมตีพวกเขาอย่างแข็งแกร่ง  ขุนศึกแห่งสกุลลี่ทุกคนรู้สึกสิ้นหวังเมื่อได้เห็นการจากไปของ เล่ยเจียนฮ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงไร้ความกล้าที่จักต่อต้าน และถูกสังหารตายภายในชั่วพริบตา


 


ตอนนี้มีเพียงชายชุดแดงสิบกว่าคนเท่านั้นที่เหลืออยู่ในสนามรบ  อย่างไรก็ตาม พลังของพวกเขานั้นป่าเถือนยิ่งนัก  พวกเขาโจมตีเพื่อสังหาร ไม่เหลือศัตรูที่บาดเจ็บไว้แม้แต่คนเดียว


 


หมอกที่ปกคลุมหุบเขาหนาทึบขึ้น


 


” ไปตรวจสอบเร็วเข้า !  ดูให้แน่ใจว่าม้าแต่ละตัวบรรจุหน้าไม้เอาไว้ !  รีบกำจัด และล่าถอย ! ”


ผู้นำชายชุดแดงออกคำสั่งแฝงด้วยความเร่งรีบ


 


” ฮี่ฮี่ฮี่ …. ในที่สุดมันก็เป็นทีของข้า !  สิ่งนี้ทำให้หมดแรงเสียจริง … เล่นเกมส์กันรุนแรงนัก … พวกเจ้ามากมายยังคงเหลือรอด  นี่ทำให้พี่ผู้นี้เสียใจยิ่งนัก ”


 


เสียงหัวเราะลึกลับดังออกมาในอากาศ  ตอนแรกมันดังมาจากทางซ้าย จากนั้นทางขวา ..​จากนั้นตรงหน้า และจากด้านหลัง  สิ่งนี้ล้ำลึกยิ่งนัก  ทุกคนได้ยิ่งเพียงวาจาที่ว่า


” หอกระบี่เลือดเป็นเลิศ !  ความสามารถในการเลือกจังหวะของเจ้านั้นสำคัญ … ข้านับถือ !  แต่เจ้ามิได้ทำงานให้แก่องค์ชายสอง .. แล้วเจ้าทำงานให้ผู้ใด ?  บางทีข้าจักต้องถามเช่นนี้แทน ผู้ใดที่พิเศษนักจนหอกระบี่เลือดยอมรับใช้ ?  พี่ผู้นี้สนใจยิ่งนัก ”


 


” นั่นใคร ?  ผู้ใดกับที่แสร้งเป็นพระเจ้า แต่กระทำดังมาร ?  แสดงตัวเจ้ามา ! ”


ผู้นำชายชุดแดงตะโกนขณะที่ดวงตาของเขามองไปรอบๆ


 


” อืม… อืม… อืม … !  ข้าเป็นพ่อของเจ้า !  พ่อของเจ้า ! ”


ชายในเงามืดแสยะยิ้มหยาบคาย  จากนั้นเขาหัวเราะออกมาอย่างเป็นมิตร


” ลูกชายผู้ฉลาดล้ำ ไม่ควรโค้งคำนับและคุกเข่าเมื่อพ่อคนนี้มาถึงหรือ ?! “


 


“เจ้าศาลเตี้ย ! ”


ชายชุดแดงกรีดร้องด้วยโทสะ  เขาฟังอย่างตั้งใจ และกระโดดขึ้นทันใด  กระบี่ของเขาเปล่งประกายสีฟ้า  แสงสีฟ้าลอยไปมาก และก่อให้เกิดเสียงระเบิดขณะที่เขาโจมีใส่ต้นไม้ พื้นก่อเกิดเสียง แตก ขณะที่ต้นไม้ล้มลง  พวกมันล้มลงบนพื้นและเป็นเหตุให้ฝุ่นลอยขึ้นในอากาศ


 


” หึม ?  เป็นไปได้อย่างไร ? “


ชายชุดแดงผู้ที่สังหารยอดฝีมือสวรรคเชวียนด้วยพลังของเขาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ เขาตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงในตอนนี้  เขาตกตะลึงที่ได้พบว่าปราณเชวียน สวรรค์เชวียนของเขาลดลงจากครั้งก่อนที่เขาใช้กระบี่โจมตี


 


” ฮ่า ฮ่า !  มีเพียงสิ่งที่มิอาจคาดในโลกนี้  ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้  สิ่งใดถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ? “


ชายลึกลับส่งเสียง ขณะที่เขายังคงหลบซ่อนอยู่  จากนั้นเขาคำราม


” ทำงานให้เสร็จ ! ”


 


เกิดเสียงระเบิดขึ้นทุกที่  ธรณีพลิกไปมาราวทะเล  ฝุ่นและโคลนลอยไปทั่วสถานที่นี้หลังจากการระเบิด  ตามมาด้วยร่างอันแข็งแกร่งกระโดดออกมา มีผู้คนเริ่มปรากฏตัวขึ้นมาจากทุกทิศทาง


 


มีร่างปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างว่องไว และมุ่งหน้าไปยังยอดฝีมือสวรรค์เชวียนเหล่านั้น  ยอดฝีมือลึกลับนี้มุ่งหน้าไปยังพวกเขาด้วยความเร็วสูงสุด


 


ผู้นำชายชุดแดงร้องออกมา


” ระวัง ! ”


อย่างไรก็ตาม เขาเกือบร้องไม่ออกขณะที่มีแสงเปล่งประกายตรงหน้าของเขา  จาหนั้น ชายชุดดำ และชายสวมหน้ากากปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา  ผู้นำชายชุดแดงคือเป้าหมายที่แท้จริงของชายลึกลับผู้นั้น  เขาเร่งรีบก้าวถอยหลัง และ ยกกระบี่ขึ้นไปโจมตี


 


อย่างไรก็ตาม ศัตรูของเขาติดตามเขาอย่างใกล้ชิด และโจมตีใส่อย่างรวดเร็ว  แสงอันเยือกเย็นเปล่งประกายแทงเข้าใส่คอของชายชุดแดง  จากนั้นมันเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว  ความจริง มันเร็วเกินกว่าที่สายตาจะตามทัน  เขามิได้เห็นแม้แต่อาวุธเมื่อเขาได้ยินเสียง ฉึบ  จากนั้นเขารู้สึกถึงความเย็นของสิ่งบางอย่างที่สัมผัสคอหอยของเขา


 


ชายชุดแดงเพิ่งยกกระบี่ขณะที่เขาถอยหลังอีกครั้ง  จากนั้นเขาได้ยินเสียง ฉึบ อีกครั้ง และรู้ว่าคู่ต่อสู้กำลังโจมตีไปที่ง่ามขาของเขา  เขารีบโยกก้นถอยหลัง และดีใจที่สามารถหลบหลีกการโจมีที่น่ากลัวได้  อย่างไรก็ตาม เขากลับต้องหลาดกลัวอีกครั้งเมื่อเห็นแสงเปล่งประกายขึ้นอีก  มันพุ่งตรงไปยังดวงตาของเขา  แต่เขาไม่มีพลังเพียงพอที่จักเอียงตัวเพื่อหลบการโจมตี  เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดเหมือการโดนต่อยที่ใบหน้า และรู้ว่ามีดสั้นเจาะเข้ามาที่ผิวหนังของเขา  จากนั้นเขารู้สึกถึงข้อศอกที่ปะทะเข้าหน้าอก  และตามมาด้วยความเจ็บปวดบริเวณส่วนล่าง ทุกส่วนที่อ่อนแอของเขาได้รับการโจมตีอย่างต่อเนื่อง


 


ชายชุดแดงโกรธเคืองอย่างมาก ท่ามกลางความเจ็บปวด และ หวาดกลัว


 


ฝ่ายตรงข้าม เลียนแบบวิธีที่เขาใช้เพื่อต่อสู้กับ โจวเจียนหมิง อย่างไรก็ตาม กระบวนท่าเหล่านั้นกลับกัน และเขาเป็นผู้ที่โดนฝ่ายตรงข้ามโจมตี  ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วของคู่ต่อสู้นั้นเกินกว่าเขานัก คนผู้นี้เป็นมือฉมังอย่างแท้จริง


 


หรือนี่คือผลกรรมจากสวรรค์ ?!

 

 

 


ตอนที่ 313

 

กระนั้น สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดคือปราณเชวียนที่ลดลง  ยิ่งกว่านั้น จุดดันเถียนของเขายังปั่นป่วน ไม่ต้องเอ่ยถึงความจริงที่วา เขาไม่มีโอกาสตอบโต้เลย  ความจริงแล้ว เขามิอาจต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้ได้ด้วยฝีมือการต่อสู้พื้นฐานของเขา แม้นว่าเขาจักมีเวลาในการตอบโต้ …  ยิ่งไปกว่านั้น ชายชุดแดดงยังคงสับสน ปราณเชวียน เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถพึ่งพิงได้  แต่ สิ่งเดียวที่เขาสามารถพึ่งได้กลับกำลังจางหายไป  เขาลืมแม้แต่การป้องกันตัว และทำได้เพียงการเตะอย่างสะเปะสะปะ


 


” ปั้ง ! ” ชายชุดแดงโดนโจตีเข้าที่ง่ามขา  จากนั้นเขาโดนโจมตีเข้าที่หลังหัวด้วยเสียง ” ปัง ! ” ก่อนที่เขาจักมีเวลาให้กรีดร้อง  เขาเซไปข้างหน้าสองก้าว และพบเพียงแต่ผู้ที่โจมตีเขาปรากฏอยู่เบื้องหน้า  จากนั้น ชายชุดแดงถูกบังคับให้ประสบกับความทุกข์ทรมาณจากการโดนโจมตีอย่างต่อเนื่องภายในเวลาไม่กี่วินาที


 


คู่ต่อสู้ของเขานั้นรวดเร็วดั่งภูตผี  ชายชุดแดงรู้สึกว่า ทั้งร่างของเขา ตั้งแต่หัวจรดเท้า … ทุกส่วนของร่างกายโดนโจมตี ยิ่งไปกว่านั้น ทุกส่วนที่โดดนโจมตีใส่เป็นจุดตายทั้งสิ้น


 


ผู้โจมตีผู้นี้เข้าใจถึงร่างกายของคนถึงขั้นที่มีทักษะและคล่องแคล่ว  ดูเหมือนเขาจักโจมตีใส่มแบบสุ่มอย่างวุ่นวายสับสน แต่ ทุกทจุดที่เขาโจมตีใส่ทำให้เหยื่อของเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ทุกส่วนเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามใน ศิลปะการต่อสู้


 


สติของชายชุดแดงเลือนลาง  มีเพียงความคิดเดียวในหัวของเขา


คนผู้นี้ช่ำชองในเรื่องการสังหารยิ่งกว่าคนจาก หอกระบี่เลือด  เขาเป็นใครกัน ?


 


ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนอีกสองคนหวาดกลัวเมื่อได้เห็นถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้  พวกเขาคำราม และมุ่งหน้าไปเพื่อช่วยเหลือผู้นำของเขา  พวกเขากระตุ้นปราณเชวียน และพบว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเศร้า  พวกเขามิรู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อใด .. แต่ปราณเชวียนของพวกเขาเสื่อมสลายลงไปแล้ว  ความจริง มันเสื่อมสลายไปเกินกว่าครึ่ง  ทั้งสองรู้สึกราวกับร่างของเขาได้รับพิษที่รุนแรงจากภายใน  พวกเขาสับสนเมื่อไม่สามารถช่วยชีวิตสหายของพกเขาได้  สองยอดฝีมือพยายามอย่างยิ่งเพื่อเคลื่อนวนปราณเชวียนของเขา  พวกเขาหวังที่จักขับพิษออกจากร่างของเขา และเรียกคืนความแข็งแกร่งในการต่อสู้  อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาเร่งรีบเคลื่อนวนปราณเชียนเท่าใหร่ … มันยิ่งหายไปเร็วมากขึ้น  เขาจักไม่หวาดกลัวได้อย่างไรกัน ?


 


มันเป็นฉากที่น่าหวาดกลัวเนื่องจากคนของพวกเขาค่อยๆหายไปจากพื้นที่รอบๆมากขึ้น และยิ่งมีภูติผีปรากฏมากขึ้นในหุบเขา … พวกเขาเป็นเหมือนดั่งโรคระบาดที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว


 


ร่างของผู้มาใหม่เหล่านี้เปล่งประกายด้วยแสงสีเหลืองทอง  พวกเขาไม่แสดงถึงวี่แววแห่งความหวาดกลัวขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าใส่ยอดฝีมือปฐพีเชวียน และ เชวียนหยก ในความจริงแล้ว พวกเขายังพุ่งเข้าใส่ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนที่แข็งแกร่งอย่างไร้ความลังเล  กระบี่ในมือของพวกเขาฟาดลง  ดูเหมือนว่าพวกเขาสังหาร มือสังหารของ หอกระบี่เลือด ราวกับฝูงแกะที่ถูกต้อนเข้าโรงเชือด


 


 


ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของผู้ที่มาใหม่นี้คือยอดฝีมือเชวียนทอง  ดังนั้น มือสังหารชุดแดงถือว่าผู้ที่มาใหม่นี้ เป็นดั่ง วัวที่กำลังถูกเชือด หากพวกเขามิได้รับพิษก่อนหน้านี้ …  ผู้ที่มาใหม่เหล่านี้เป็นดั่งมดสำหรับพวกเขา  มันคือความรู้ที่สำคัญว่าผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มของชายชุดแดงนั้นคือยอดฝีมือเชวียนหยก


 


อย่างไรก็ตาม กฏได้เปลี่ยนไปแล้ว  ชายชุดดำผู้นี้ ที่เดิมทีพวกเขานับว่าเป็นมดปลวก  กลับเริ่มกลายเป็นดั่งราชัญมัจจุราชป่าเถื่อน


 


ปิติสุคนธรสอันหมอหวานนี้ส่งผลกับการบำเพ็ญของพวกเขาต่อหน้าศัตรู  และการบำเพ็ญของพวกเขากำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง  ความจริงนี้ ทำให้ชายชุดแดงหวาดกลัวยิ่งนัก  ความจริงแล้ว พวกเขาได้เสียขวัญกำลังใจในการต่อสู้ไปแล้ว


 


ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของมีสังหารเลือดเย็นเหล่านี้ได้ถูกทำลายโดย ปิติสุคนธรส


 


ความคิดของพวกเขามิอาจเทียบกับคนสามัญ หากพวกเขาสุญเสียความแข็งแกร่งที่พวกเขาพึ่งพาอย่างภูมิใจเพื่อความอยู่รอด


 


ดังนั้น ทุกคนจึงคิดเพียงแต่จะหนีไป  ความจริงแล้ว พวกเขาสับสนวุ่นวายดั่งฝูงผึ้ง


 


ศัตรูเชวียนทองของพวกเขานั้นน่าเกรงขามอย่างมาก พวกเขาดุร้าย และดูเหมือนไม่หวาดกลัวความตาย


 


คนกลุ่มใหม่นี้ปะทะเขากับอีกกลุ่มด้วยความรุนแรงประหนึ่งภูเขาไฟที่ปะทุภายในเสี้ยววินาที


 


สีหน้าของผู้มาใหม่นั้นดุร้ายและนิ่งเฉย  พวกเขาเข้าเผชิญหน้ากับกลุ่มของมือสังหารเลือดเย็น  อย่างไรก็ตาม สีหน้าของพวกเขานั้นดุรายและเยือกเย็นยิ่งกว่า มือสังหารเลือดเย็น  ศัตรูที่ตื่นตระหนก กำลังโจมตีพวกเขาด้วยความสับสัน แต่ผู้มาใหม่เหล่านี้มิได้พยายามหนี  ความจริง พวกเขามิได้พยายามหลีกเลี่ยงการโจมตีที่กำลังมาถึงเลย  พวกเขาเพียงใช้ไหล่ และหน้าอก ในการตั้งรับการโจมตีขณะที่พวกเขากวัดแกว่งกระบี่ใส่ร่างศัตรู


 


ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อชะตากรรมชีวิต ในความจริง เหมือนว่าพวกเขาสามารถรับการบาดเจ็บเหล่านี้ได้


 


ยุธวิธีของพวกเขานั้นโหดร้ายยิ่งนัก


 


.หากเจ้าเผชิญหน้ากับศัตรูที่โหดร้าย เจ้าจักต้องโหดร้ายยิ่งกว่า !


 


การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นรวดเร็ว แต่มันจบลงเร็วยิ่งกว่า  การต่อสู้จบลงแล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อพวกเขาทั้งสองปะทะกัน  นั้นเป็นเพราะ … ชายชุดดำโจมตีเพื่อเฉือนร่างของอีกฝ่าย  และร่างของผู้เคราะห์ร้ายนั้นจักกลายเป็นสีดำเมื่อผิวหนังของพวกเขาเปิดออก  จากนั้น พวกเขาจักหยุดหายใจและตายลงในเวลาอีกชั่วครู่


 


อาวุธของผู้มาใหม่ถูก โฉลมไปด้วยพิษที่ร้ายแรง  พิษที่กระหายเลือดนี้สามารถพรากชีวิตไปได้เกือบจะทันที  แม้จักเป็นยอดฝีมือปฐพีเชวียนก็มอาจต้านทานพิษนี้ได้เกินครึ่งอึดใจ


 


จวินโม่เซี่ย นำพิษเหล่านี้มาจากร่างของจวินวูอี้  และ นั่นคือพิษชนิดเดียวกันที่เขาตัดสินใจใช้ในการต่อสู้ครั้งนี้  กระบี่ของพวกเขาเหล่านี้แช่อยู่ในพิษมาตลอดค่ำคืน  และ พิษนี้ ยังได้รับการผสมเข้ากับพิษที่รุนแรงสิบอันอับของโลก ในความจริง พิษนี้ได้รับการขนานนนามว่า พิษราชัญ


 


ชายสองร้อยเศษ แยกออกเป็นสองกลุ่ม  แต่ละกลุ่มจักมี สี่หรือห้าคนที่ได้รับมอบหมายให้ตั้งรีบเพียงคนเดียว  สมาชิกคนหนึ่งจักได้เป็น โล่มนุษย์ และรับการโจมตีทั้งหมดจากศัตรู  คนที่เหลืออีกสามหรือสี่จักรวมกลุ่มอยู่รอบๆและ ฟันศัตรูเป็นชิ้นๆ


 


ยอดฝีมือปฐพีเชวียนสามารถต้านทานการโจมตีได้ชั่วขณะอย่างยากลำบาก  อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาพวกเขาจัดสิ้นใจเนื่องด้วยพิษที่ทำลายร่างกายของพวกเขา


 


สองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนพยายามอย่างยิ่งเพื่อขับพิษขณะที่พวกเขาเฝ้ามองสิ่งเหล่านี้  ดวงตาของพวกเขาสงบนิ่งเนื่องด้วยความแข็งแกร่งระดับ สวรรค์เชวียน  อย่างไรก็ตาม พวกเขามิอาจห้ามคิ้วไม่ให้กระตุกได้เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่ร่างของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ


 


.นี่ … นี่ … คนเหล่านี้ ?  คนเหล่านี้กำลังเอาชีวิตของพวกเขา … และแม้แต่ชีวิตของสหายพวกเขาก็มิใช่เรื่องสำคัญหรือ ?  มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้หากผู้หนึ่งต่อสู้ อย่างบากบั่นในสนามรบ …แต่กลยุทธ์ของพวกเขามิใช่เป็นสิ่งป่าเถื่อนหรอกหรือ ?


 


พวกเขาได้เห็นไหล่ของคนผู้นึ่งถูกตัดออกโดยสหายปฐพีเชวียน  กระบี่เกือบเจาะไหล่ของชายคนนั้นลงไปจนมิดด้าม  นี่เป็นการโจมตีที่ร้ายแรงอย่างแน่นอน ในความจริง เขามิอาจตัดคนผู้นั้นเป็นสองส่วนได้หากเขาใช้แรงเพิ่มอีกนิดหน่อย  อย่างไรก็ตาม ผู้เคราะห์ร้ายก็มิได้ถอยหนี  เขาขยับไหล่โดยไม่คาดคิด  นี่ทำให้ใบมีดเจาะลึกลงไป  จากนั้น กล้ามเนื้องของเขาก็รัดใบมีด … อย่างแน่นหนา  หลังจากนั้น สหายของพวกเขาก็พุ่งเข้ามาอย่างว่องไว  คำราม และทำให้ยอดฝีมือปฐพีเชวียนกลายเป็นก้อนเนื้อ


 


…. ท้องของชายอีกคนถูกกระบี่แทง  นั่นคือการบาดเจ็บที่สาหัสอย่างแน่นอน  อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับครั้งก่อน ชายผู้นี้ยังคงสงงบนิ่ง  จากนั้นเขาใช้มือข้างทีเหลือ …. คว้าขอบกระบี่ที่แทงและหนีบมันไว้  มืออีกข้าง เขาจับข้อมือของยอดฝีมือปฐพีเชวียน  จากนั้น เขายิ้มอย่างชั่วร้าย !  ในตอนนั้นเองที่กระบี่มากมายฟันลงข้างๆตัวเขาและทำให้ศัตรูในชุดแดงกลายเป็นก้อนเนื้อ …


 


สิ่งเดียวกันนี้เกิดกับอีกคน …


 


และอีกคน …


 


คนผู้นี้ … !  พวกมเขาโหดร้ายยิ่งกว่าคนที่เอ่ยวาจาสังหาร !


 


ผู้ที่ต่อสู้ด้วยความชั่วร้าย … ยังรู้สึกหวาดกลัวและอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับประตูแห่งความตาย  อย่างไรก็ตาม ขุนศึกเหล่านี้มิได้สนใจถึงความตายที่อยู่ตรงหน้า  พวกเขาสนใจเพียงความตายของคู่ต่อสู้


 


ยอดฝีมือปฐพีเชวียนสิบห้าและ ยอดฝีมื่อชุดแงหยกเชวียนสิบสี่ถูกสังหารไปภายในพริบตา  สิ่งที่โหดร้ายคือ …ความจริงที่ว่าไม่มีศพใดห้าสิบห้าคนนี้ถูกป้องกัน  ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาถูกเปลี่ยนไปจนมิอาจจำได้  ศพของพวกเขานั้นน่าสังเวชเกินกว่าศพของ โจวเจียนหมิง


 


มือสังหารเหล่านั้นมิอาจยืนยันสิ่งที่พวกเขาพบเห็นได้ … ว่ามันคือการสังหาร เนื่องจากศพเหล่านั้นถูกแยกชิ้นส่วน  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้เห็นนั้นคือร่างที่น่าเวทนาอย่างยิ่งจนพวกเขาตกตะลึง


 


สิ่งนี้ทำให้ยอดฝีมือสวรรค์เชวียน นึกถึงตอนที่พวกเขาเดินทางไปยังป่าเถียรฟาเมื่อปีก่อน  พวกเขาเข้าไปเพื่อหาตัวยาหนึ่ง และพบเข้ากับฝูงหมาป่าโดยบังเอิญ  แต่ คนเหล่านี้น่าหวาดกลัวเกินกว่าฝูงหมาป่าเหล่านั้น


นี่มิใช่จิตสังหารที่ไกลเกินกว่ามือสังหารหรือ ?  แม้แต่สัตว์เชวียนที่กระหายเลือดที่สุดแห่งป่าเถียรฟาก็มิอาจมีสิ่งเหล่านี้ได้ !


 


และท้ายที่สุด …


 


มีเสียงกรีดร้องที่น่าเศร้าและเลือดมากมาย  มันเต็มไปด้วยโทสะ  จากนั้น เสียงครวญเหล่านี้ก็ถูกทำให้หยุดลง  สองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนหันไปรอบๆด้วยความหวัง และเห็นเพียงแต่ผู้นำของพวกเขา … ผู้ที่ก่อนหน้านี้ได้สังหารยอดฝีมือสวรรค์เชวียน โจวเจียนหมิง… ถูกตัดแขนทั้งสองข้างออก   เขายังไม่ล้มลงบนพื้น  ปากของเขาเบิกกว้าง และดวงตาและจมูกของเขาเต็มไปด้วยเลือดดูน่าหวาดกลัว


 


พวกเขาเห็นร่างขงผู้นำถูกเตะลอยขึ้นสู่ท้องนภาพร้อมเสียง ” ตู้ม ! ” ในตอนที่พวกเขาหันไป จากนั้น การโจมตีมากมายดั่งสายฝนพุ่งเข้าใส่ร่างของเขา  ทุกอย่าง .. จากคอ หัวใจ หว่างขา กระโหลก …  ทุกส่วนที่บาดเจ็บได้ง่ายของเขาโดนโจมตีอย่างโหดร้าย  ทั้งสองได้เห็นทุกการโจมตีที่ปะทะเข้ากับทุกจุดอ่อนในร่างกาย  ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีอย่างต่อเนื่องนี้แม่นยำยิ่งนัก !  เพียงความจริงนี้ ก็เพียงพอทำให้พวกเขาสั่นกลัว !


 


วิธีการโจมตีที่ต่อเนื่องและแม่นยำนี้รุนแรงยิ่ง และเลือดเย็นยิ่งนัก  และ มันทำให้พวกเขาถึงกับตัวสั่น  โดนโจมตีไปยังจุดอ่อนเหล่านั้นเพียงครึ่งหนึ่งก็สามารถทำให้ตายได้  ดังนั้น พายุการโจมตีเหล่านี้ทำให้ตกตะลึงได้เมื่อพบเห็น


 


ท้ายที่สุด ฉากเหล่านั้นยังคงนิ่งอยู่หลังจากมีเสียง แหลมสูงให้ได้ยิน  สิ่งที่เพิ่งได้พบเห็นไปนั้นทำให้ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนหวาดกลัวจนติดตรึง …ตอนนี้ได้กลายเป็นไม้เท้า   ปิศาจชุดดำผู้นั้นยื่นมืออกมาและแทงเข้าไปในช่องท้องของเหยื่อ  มันผ่านเข้าไปด้านในราวกับไม้กระทุ้งดินปืนและทะลุออกมาด้านหลัง  ในกำมือของชายชุดดำมีชิ้นส่วนหัวใจของเหยื่อ


 


มันลอยอยู่กลางอากาศ !


 


ขนทั่วทั้งร่างของยอดฝีมือสวรรค์เชวียนทั่งสองลุกชูชัน


 


สิ่งนี้มิอาจเรียกว่าชั่วร้าย หรือเลือดเย็น หรืออันใดก็ตามได้


 


มันคือความวิปลาส !  วิปลาสอย่างยิ่ง !  ความวิปลาสของฉากนี้มันเกิดนว่าสิ่งที่มนุษย์ทนดูได้ !


 


ชายชุดดำผู้นี้เดิมทีคือจวินโม่เซี่ย  เขารู้ว่าสิ่งต่างๆมิอาจรั้งรอไปได้นานกว่านี้แล้ว  เช่นนั้น คุณชายน้อยจวินจึงตัดสินใจเพื่อโจมตีก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบ  อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักได้ถึงบางสิ่งหลังจากที่เขาเริ่มการโจมตีนี้  และและสิ่งที่ตระหนักได้นี้ทำให้เขาหม่นหมอง … หม่อนหมองอย่างยิ่ง


 


มือสังหารจวิน คือราชามือสังหารในยุคของเขา  เขาต่อต้านความป่าเถื่อนและการเล่นอย่างวิปลาสกับเป้าหมายของเขาเช่นนี้เสมอ  เขามักจะพิจารณาในขณะที่โจมตีเป้าหมายเสมอ และสังหารเป้าหมายอย่างแนบเนียนที่สุดเท่าที่ทำได้  ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงต้องเป็นทุกข์เนื่องจากเขาถูกบังคับให้จัดการกับศัตรูของเขาด้วยวิธีการเช่นนี้


 


ปิติสุคนธรส ลดความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของศัตรูลง ศัตรูจึงไม่มีกำลังใจที่ัจักต่อสู้  ยิ่งไปกว่านั้น  การเคลื่อนไหวในตอนเริ่มต้นและความเร็วของเขาทำให้คู่ต่อสู้ไม่ทันเตรียมตัว  ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขานั้นมากเกินกว่าศัตรูในตอนเริ่มต้น  แต่…


 


ความแข็งแกร่งของร่างกายยอดฝีมือสวรรค์เชวียนนั้นสูงยิ่งนัก !  การพัฒนาของคุณชายน้อยจวินนั้นรวดเร็วดั่งสายฟ้า และเขาไปถึงขั้นเชวียนหยกได้อย่างรวดเร็ว … แต่ความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันของทั้งสองยังคงสูงส่งนัก !  ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเลือกการโจมตีที่ต่อเนื่องนี้  และทำลายกระดูกของศัตรูจนมิเหลือชิ้นดี  อย่างไรก็ตาม ศัตรูของเขาก็ยังคงสามารถส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดได้เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ …

 

 

 


ตอนที่ 314

 

อาวุธที่คุณชายน้อยจวินถือครองอยู่ในตอนนี้มิอาจเทียบกับสิ่งที่เขาเคยมีในชีวิตก่อนได้  เขาเตรียมการเพื่อให้คู่ต่อสู้ของเขาประหลาดใจ และตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่ คุณชายน้อยจวินยังมิอาจฝ่าการป้องกันของเขาได้  ในความจริง กระบวนท่าการโจมตีมากมายของเขายังมิเคยได้รับการทดสอบ


และชายผู้นี้มิสามารถกระตุ้นและรวบรวมปราณเชวียนได้  ดังนั้น คุณชายน้อยจวินจึงไร้วาจาในเรื่องนี้ นี่เป็นความอัปยศอย่างมาก


 


ด้วยเหตุนี้ คุณชายน้อยจวิน จึงมิอาจผ่อนคลายลงได้แม้แต่น้อย  การโจมตีของเขานั้นถี่ถ้วน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งชัดเจน เขาจักต้องพบกับการสูญเสีย หากเขามิสามารถสังหารชายผู้นี้ได้โดยเร็ว … ความจริงแล้ว เขาอาจโดนต่อต้านหากเขาเปิดช่องว่างให้ผู้อื่นเพื่อตอบโต้หรือชิงความได้เปรียบ  ท้ายที่สุด เขาก็เป็นเพียงเชวียนหยกเพียงเท่านั้น  และจะพูดอีกอย่าง คู่ต่อสู้ของเขาเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียน  แท้จริงแล้ว เขาเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสูงสุด


 


คู่ต่อสู้ของข้าอาจทำให้ข้าต้องทุกข์ทรมาณ หากความแข็งแกร่งของเขาลดลง หนึ่งส่วนสิบของทั้งหมด


 


ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงโจมตีเขาอย่างต่อเนื่องด้วยเสียง ปั้ง ! ปั้ง ! หมัด เข่า ศอก ข้างเท้า ของเขา … ได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงเนื่องจากการโจมตีองเขา  ความจริงแล้ว พวกมันเริ่มปวดร้าว  แต่ เขายังมิได้เตรียมตัวผ่อนปรน เขามิกล้าผ่อนคลายลงเลย  เช่นนั้น จึงดูเหมือนว่าการโจมตีของเขารุนแรงยิ่งขึ้น


 


การต่อสู้ฝ่ายเดียวนี้ดูเหมือนจักต่างออกไปในมุมของผู้อื่น  คนภายนอกจะมองว่า จวินโม่เซี่ย สามารถสังหารศัตรูได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว  พวกเขาคิดว่า เขาตั้งใจใช้วิธีการที่โหดร้ายนี้ทรมาณศัตรู … ซึ่งทำให้เขาถูกตำหนิเนื่องจากการทรมาณผู้คนเช่นนี้เพื่อทำให้ตัวเองมีความสุข


 


การทารุณเช่นนี้จักถูกเล่าขานเป็นตำนาน !


 


ยิ่งไปกว่านั้น จวินโม่เซี่ยยังได้แสดงปราณเชวียนของเขาเพื่อกำจัดทีท่าน่าประทับใจของฝ่ายตรงข้าม  อย่างไรก็ตาม เขาได้แสดงแสงสีน้ำเงินเข้มของยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสูงสุด


 


ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสูงสุดถูกผู้อื่นโจมตีอย่างรวดเร็ว … คนผู้นั้นอยู่ในระดับที่ต่ำต้อยกว่าเขาในขั้นสวรรค์เชวียน ! ไม่เพียงเท่านั้น … คู่ต่อสู้ของเขายังไม่มีโอกาศได้ตอบโต้ !  หรือการโจมตีที่ป่าเถื่อนนี้บ่งบอกถึงนิสัยของเขา ?  เขาน่าจะจบเรื่องนี้ได้ภายในกระบวนท่าเดียว …


 


น้ำตาหลั่งไหลลงแก้มของจวินโม่เซี่ย


แม้นการโจมตีอันน่าหวาดกลัวนี้มิได้ราบรื่น  สิ่งใดที่ข้าควรทึกทักเอา … ?  ความแข็งแกร่งของข้านั้นไร้เทียมทานหรือ … ?


 


โชคดีที่มันมิใช่เกมส์ที่ทุกสิ่งทำงานจากแหล่งความรู้  แม้แต่ความแข็งแกร่งของสวรรค์เชวียนนั้นก็ยังมีข้อจำกัด  ท้ายที่สุด คุณชายน้อจวินได้โจมตีไปยังศัตรูจุดเดียวซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง จุดนั้นคือสะดือของเขา  และ สุดท้ายเขาก็ได้ปลดปราณเชวียนที่ปกป้องร่างของศัตรูออกไปได้  ในที่สุดเขาด็ได้โจมตีร่างอันแข็งแกร่งของศัตรู ซึ่งมันเป็นเหมือนดั่งเยื่อกระดาษ  จากนั้น จวินโม่เซี่ยได้ตัดโอกาสรอดของคนผู้นั้น ด้วยการโจมตีไปที่หัวใจ


 


 


อย่างไรก็ตาม เขามิรู้ว่าเขาได้ปรากฏภาพร่างหยุดนิ่งหลังจากที่ได้ปล่อยหมัดสุดท้ายออกไป  สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเขาเหนื่อยอย่างมาก  เช่นนั้น เขาจึงใช้เวลาหยุดพักช่วงหนึ่ง  แต่ผู้ที่มองเห็นได้ตีความสิ่งนี้ต่างออกไป  ภาพนี้ โหดร้ายมากในสายตาของพวกเขา มันป่าเถื่อน และผิดสามัญ


 


เจ้าสังหารเขาแล้วหรือ … เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้กับร่างไร้วิญญาณของเขาละ ?  เขามองดูราวกับปลาตากแห้ง … เจ้าต้องการทำให้หวาดกลัวจรตายหรือไม่ นายท่าน ?  นี่เป็นคืนที่ยอดเยี่ยม…


 


ชายสองร้อยมองไปยังมือสังหารจวินด้วยความยำเกรงอย่างที่สุด  เป็นช่วงเวลานที่เงียบสงัด


 


พวกเขาก็ตกตะลึงเช่นกัน !


 


พวกเขาตกตะลึงสุดขีด !


 


เป็นเวลาชั่วขณะก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกตัว  จากนั้น ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนอีกสองคนมองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยความโศกเศร้าและขุนเคือง  พวกเขาขบฟันและถาม


“เจ้าเป็นผู้ใด ? จงกล้าเอ่ยบอกพวกเรา !  เจ้าสูงส่งและกว้างขวาง !  เจ้าจักได้รับการยกย่องอย่างไร้สิ้นสุดจากหอกระบี่เลือดของพวกเรา !  พวกเราจักพยายามทุกเช้าค่ำเพื่อตอบแทนเจ้า ! “


 


” หึม ?  ตอบแทนข้า ?  เจ้าไม่คิดจักหนีไปหรือ ? “


จวินโม่เซี่ยเอ่ยด้วยท่าทีตกตะลึง  มีแสงส้องประกายในดวงตาของเขา  จากนั้นเขาเอ่ยขึ้น


” บัดซบ !  จินตนาการของเจ้ามิได้สูงส่ง ?  เมื่อไหร่กันที่ข้าบอกว่าข้าจักปล่อยให้เจ้าหนีไป ?  เจ้ามั่นใจหรือว่ามิได้ฝันกลางวัน ?  หรือเจ้ากำลังละเมอ ? “


 


” ฮ่าฮ่าฮ่า !  พวกเราสูญเสียความแข็งแกร่งเกินกว่าครึ่งหลังจากที่ได้รับพิษของเจ้า ความจริงนี้มิอาจโต้แย้ง และ พวกเราได้รับความพ่ายแพ้ในวันนี้ !  อย่างไรก็ตาม เจ้าเชื่อหรือว่าเจ้า และคนไร้ค่าของเจ้าสามารถจับเราได้ ?  ใช่ไหม !  เจ้านั้นเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสูงสุด และความแข็งแกร่งของเขานั้นล้ำหน้ากว่าพวกเรา  แต่ ตัวเจ้าผู้สูงส่งสามารถหยุดพวกเราได้เพียงหนึ่งหากพวกเราต้องการจักหลบหนีจริงๆ  เจ้าจักต้องฝันไปแน่ๆหากเชื่อว่าจักสามารกำจัดเราทั้งคู่ได้ !  เช่นนั้น ผู้ที่กำลังฝัน และละเมอมิใช่อื่นใดนอกจากตัวเจ้า ! ”


 


สองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนชุดแดงหัวเราะเสียงแหลมสูง  วาจาอันเยือกเย็นดังก้องขณะพวกเขาเอ่ยวาจา


 


“พวกเรามิกลัวที่จักบอกสิ่งนี้กับเจ้าด้วยความจริงใจ ไม่สำคัญว่าเจ้าเป็นผู้ใด … หรือหรือว่าเจ้ามีผู้ใดหนุนหลัง เจ้าและผู้หนุนหลังเจ้าเป็นเพียงขนมปังเท่านั้น !  ไม่มีความฝันอันสวยงามสำหรับเจ้า … มีเพียงฝันร้าย ฝันร้ายอันไร้ที่สิ้นสุด ! “


 


” จับเจ้าเพียงหนึ่ง ?  เจ้ากำลังเอ่ยวาจาไร้ยางอายอันใดกัน ?!  ข้าคงไม่มาที่นี่หากวางแผนปล่อยเจ้าไปหนึ่งคน !  และกำลังฝัน ?  เรามาดูกันว่าผู้ใดกำลังฝันไป ! ”


จวินโม่เซี่ยพ่นลมทางจมูก และสบัดมือ


“สังหารพวกเขา ! ”


 


บุรุษสองร้อยคำรามลั่น  การบาดเจ็บของพวกเขามิได้เล็กน้อย แต่พวกเขายังยกกระบี่ขึ้น และโยนตัวเองไปราวกระแสน้ำทั้งๆที่ตัวเองบาดเจ็บ


 


” ฮ่าฮ่า … ”


สองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนหัวเราะอย่างจริงใจ  จากนั้น พวกเขากระโดดขึ้นและเหาะขึ้นในอากาศ  พวกเขาคนหนึ่งมุ่งไปทางเหนือ และอีกผู้มุ่งไปทางใต้


 


พวกเขาเคลื่อนที่รวดเร็วยิ่ง


 


แม้แต่ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสูงสุดเผชิญหน้ากับพวกเราก็จำต้องเลือกพวกเราเพียงหนึ่ง  เขาจักสามารถจับพวกเราทั้งสองได้อย่างไร ในเมื่อพวกเรามีระดับปราณเชวียนเดียวกับเขา ?


 


จวินโม่เซี่ยพ่นลมทางจมูกและหัวเราะ  เขาไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว  ความจริง คุณชายน้อยจวินมิได้ต้องการเคลื่อนไหวเลย  เขาเพียงตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


” ปล่อยลงมา “


ท้องฟ้าก้องสะท้อนด้วยเสียงของเขาขณะที่มันมืดลง


คนของเขาที่อยู่บนพื้นดินอย่างเป็นระเบียบ  พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี  และแล้วพวกเขากระจายตัวออกไปนอกวงอย่างรวดเร็ว


 


มือสังหารชุดแดงทั้งสองอดฉี่แตกมิได้เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมอง


 


ตาข่ายนับสิบปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากทุกทิศทาง  ตาข่ายเหล่านี้เปล่งประกายด้วยหนามแหลมที่เรียงราย และพวกมันปกคลุมไปทั่วระยะสามสิบเมตร  ตาข่ายเหล่านี้ถี่แน่น และไม่มีช่องว่างให้พวกเขาหลบหนีได้  ชายชุดแดงทั้งสองมองไปทุกทิศ และพบว่าไม่มีช่องว่างในตาข่ายนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ตาข่ายเหล่านั้นคาบเกี่ยวกันเมื่อมันร่วงลงมา ตาข่ายทุกอันจะมีอีกอันอยู่เหนือมัน  หากผู้ใดสามารถหนีพ้นตาข่ายอันหนึ่ง เขาก็จักต้องเผชิญหน้ากับตาจ่ายอีกอันหนึ่ง … และหลังจากนั้น ก็มีอันที่สาม …


 


สองชายชุดแดงกรีดร้องออกมาขณะที่ตาข่ายราวสี่สิห้าสิบกางออก ตกลงใส่พวกเขาด้วยเสียง ตู้ม ! และกัดตัวพวกเขาไว้ข้างใน


 


สองมือสังหารสามารถดึงตาข่ายออกได้หากพวกเขาสามารถกระตุ้นปรารณเชวียน … บางทีพวกเขาอาจฉีกออกได้ หากมิได้สูญเสียปราณเชวียน  ความจริง มันเป็นเพียงเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ปราณเชวียนของพวกเขานั้นลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นนั้น พวกเขาก็ไม่มีเวลามากเพียงพอจักรวบรวมปราณเชวียนแม้นว่าพวกเขาจักมุ่งมั่นจักหนีไป


 


แท้จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขามีไม่เพียงพอในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้…. คือเวลา


 


จวินโม่เซี่ยจักปล่อยให้พวกเขามีเวลาตอบโต้ได้อย่างไรกัน ?


 


ชายสองร้อยทิ้งกระบี่ลงพร้อมกันเมื่อคำสั่งถูกกระจายออกไป  จากนั้น พวกเขาหยิบไม้ที่เตรียมไว้ออกมา หลังจากนั้น พวกเขา ละทิ้งเหตุผล และกระหน่ำตีปิศาจโง่ทั้งสองที่ติดกับดักตาข่าย


 


นี่เป็นโอกาสที่ดีที่ เหล่ายอดฝีมือเชวียนทองเหล่านั้นสามารถเหยียบย่ำยอดฝีมือสวรรค์เชวียนได้  มันเป็นโอกาสดีเพียงหนึ่งในชั่วชีวิต … เช่นนั้น พวกเขาจักปล่อยให้มันผ่านไปได้อย่างไรกัน  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้เห็นพลังและความแข็งแกร่งที่คุณชายน้อยของพวกเขาใช้เหยียบย่ำศัตรู  ดังนั้นพวกเขาจึงมิปล่อยให้คุณชายน้อยของพวกเขาได้รับการยกย่องทั้งหมด


 


เกิดอันใดขึ้นกับพลังสวรรค์เชวียนของเจ้า ?  เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเหยียบย่ำและสังหาร …. ?  ไม่ … นั่นคือโชคชะตาของเจ้า


 


แสงสีน้ำเงินเข้มอาจมิสามารมองเห็นได้ผ่านตาข่ายที่หนาทึบ  เห็นได้ชัดว่าสองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนพยายามดิ้นรนกับทุกสิ่งที่พวกเขามี  พวกเขาพยายามอย่างเต็มทีเพื่อรักษาชีวิตตัวเองจากสถานการณ์เลวร้ายนี้   อย่างไรก็ตาม ความจริงอันโหดร้าย … คือ ความพยายามของพวกเขานั้นไร้ประโยชน์  ท่อนไม้ หนาเท่าต้นขา ฟาดลงไปที่เนื้อพวกเขาอย่างเต็มแรงด้วยเสียง ฟึบ …


 


ฝันร้ายอันแท้จริงของพวกเขามาถึงแล้ว !


 


เสียงกรีดร้องบ้าเลือดก้องสะท้อน  สองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนฝืนทนไม่กรีดร้องเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของพวกเขาในช่วงแรก  จากนั้นพวกเขาตะโกนราวกับไม่มีสิ่งใดที่น่ายินดียิ่งกว่าในช่วงเวลานั้น  เสียงกรีดร้องของพวกเขาพุ่งทะยานผ่านฟากฟ้ายามค่ำคืนและไม่นานมันฟังดูคล้ายเสียงนกฮูกร้อง


 


ผู้นำสวรรค์เชวียนของพวกเขาตาย … และนั้นคือสิ่งที่น่าเศร้ายิ่งนัก  อย่างไรก็ตาม เขาถูกสังหารโดยยอดฝีมือสวรรค์เชวียนระดับสูง การลอบโจมตีของจวินโม่เซี่ย   เช่นนั้น อาจเอ่ยได้ว่าเขาได้ตายอย่างมีเกียรติ  แต่ พวกเขาทั้งสองละ ?  พวกเขาถูกเหยียบย่ำโดยกลุ่มของยอดฝีมือเชวียนทองที่เป็นดั่งมดปลวก  สุดท้ายแล้ว  ชีวิตมีสิ่งที่น่าโศกเศร้าเช่นไรกัน ?


 


กลับมาเอ่ยถึงมัน … ทั้งสองได้รับการยัดเยียดโชคชะตาที่ร้ายแรงนี้  ทุกคนออกไปเพื่อแสวงหาความโศกเศร้าของตัวเอง  บุรุษทั้งสองนี้ก็มิต่างกัน


 


เดิมทีจวินโม่เซี่ยมีความสงสัยมากมายเกี่ยวกับชายชุดแดงทั้งสองนี้  พวกเขาได้รับ ปิติสุคนธรส กระนั้น พวกเขาก็ยังเป็นยิดฝีมือสรรค์ชเวียน  แต่ แม้นความแข็งแกร่งเล็กน้อยที่พวกเขามีก็ยังคงอยู่ในระดับปฐพีเชวียน … หรืออาจจะมากกว่า ไม่ว่ามันจักลดลงไปเท่าใหร่  ไม่มีทางที่จัดลดระดับปราณเชวียนไปได้มากกว่านั้น ดังนั้น พวกเขาอาจเป็นเหตุให้เกิดความร้ายแรงกับคนของจวินโม่เซี่ย หากพวกเขาถูกปล่อยไป และต่อสู้กับความแข็งแกร่งที่อาจเหลืออยู่


 


ด้วยเหตุนี้ จวินโม่เซี่ยจึงทำให้ร่างของเขาปกคลุมด้วยแสงสีน้ำเงินเข้มของสวรรค์เชวียนสูงสุดเพื่อขุดขวางทั้งสอง


 


บุรุษชุดแดงทั้งสองจึงคิดว่ามีเพียงแค่ทางเลือกเดียวคือพวกเขาต้องหนี …และแยกทางกัน  และ ก็ไม่น่าแปลกใจเช่นกัน  ท้ายที่สุด ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมีเพียงสวรรค์เชวียนเริ่มต้น  เช่นนั้น พวกเขาจึงหนีไปเมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสูงสุด แม้นว่าพวกเขาจักมีพลังสูงสุด  มีเพียงหนึ่งสิ่งที่เป็นไปได้เมื่อความแข็งแกร่งของพวกเขาลดลง …


 


อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะหนีก็เป็นการเข้าไปติดกับของจวินโม่เซี่ย


 


ก่อนหน้านี้จวินโม่เซี่ยได้จัดให้คนของเขาสี่สิบห้าไปหลบอยู่ในต้นไม้  พวกเขาแต่ละคนมีตาข่ายสองผืน  และพวกเขาก็รอเพียงช่วงเวลานั้น  ก่อนหน้านี้เห็นคนเพียงสองร้อย ?  อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ว่าคุณเหล่านี้มีทั้งหมด สองร้อยห้าสิบสี่ !


 


พวกเขาทำตัวเหมือน คนหาปลาสี่สิบห้าคนเมื่อพวกเขาขว้างตาข่ายเหล่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น สองผู้เคราะห์ร้ายกำลังอยู่ในความสับสนและตื่นตระหนกเมื่อตาข่ายเหล่านี้ปรากฏขึ้นกลางอากาศจากที่ใดก็มิอาจรู้ได้ในช่วงเวลาที่สำคัญนั้น  เช่นนั้น พวกเขาจักไม่ติดกับได้อย่างไรกัน ?


 


ชายชุดแดงทั้งสองความจักสร้างความสุญเสียมากมายแก่คนของจวินโม่เซี่ย  แต่เมื่อถึงตอนนั้น … พวกเขาก็ไม่สามารถถูกจับได้  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาเป็นเหมือนปลาที่ติดตาข่าย  ยิ่งไปวกว่านั้น พวกเขามิใช่เป็นเพียงปลาที่ติดตาข่าย … พวกเขานั้นคล้ายกับเนื้อที่รอขึ้นเขียง …เนื่องจากคนขายเนื้อกำลังคิดหาวิธีที่จักสับพวกเขา…


 


ชายสองร้อยเหล่านี้ไม่น่ากลัว  ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังสร้างกระท่อมไม้ในเวลาที่ สาทรฤดูมาถึง … ราวกับฤดูเก็บเกี่ยวจบลง และพวกเขาต้องการนวดถั่วเหลืองที่ถูกเก็บเกี่ยวมา พวกเขาตะโกนด้วยความสุขขณะกระน่ำทุบผู้เคราะห์ร้าย  จวินโม่เซี่ยสั่งให้คนของเขากระหน่ำตีอย่างต่อเนื่องไปอีกช่วงครึ่งก้านธูป เนื่องจากกลัวว่าจักมีการแกล้งตาย  ไม่มีเหตุผลอื่นสำหรับการทำสิ่งนี้ เพียงเป็นการระมัดระวังของมือสังหาร


 


หลังจากจวินโม่เซี่ยเดินไปดูผลที่ได้ และเขาพบว่ามันอาจจะเอ่ยได้ว่า ดียิ่ง  ตาข่ายขนาดใหญ่ขาดรุ่งริ่ง  อย่างไรก็ตาม ภายใน .. สิ่งที่อยู่ภายใน … เป็นสิ่งที่มิอาจเรียกว่าคนได้อีกแล้ว  ความจริงพวกมันมิอาจเรียกได้ว่าเป็นเนื้อ  สิ่งที่เหลืออยู่ภายในนั้น … เป็นเนื้อบด … เนื้อบดละเอียด … !


 


แม้นว่าผู้ใดจักตุ๋นเนื้อตลอดทั้งวัน ..ก็มิอาจทำให้เป็นเช่นนี้ได้ !


 


ดวงตาของจวินโม่เซี่ยมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว  จากนั้น เขาสบัดมือและออกคำสั่ง


“เร่งรีบเก็บกวาดสนามรบ !  หากศัตรูยังหายใจอยู่ จงใช้มีดจัดการอย่างรวดเร็ว  ดูแลผู้ที่บาดเจ็บ ยึดหน้าไม้มาอย่างระมัดระวัง !  ทำให้แน่ใจว่าเจ้าจักจากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด เริ่มทันที ! ”


 


ทุกผู้ตอบรับ


 


จวินโม่เซี่ยเงยหน้า และมองไปยังป่าเขาเบื้องหน้า  มีร่องรอยแห่งความสุขในดวงตาของเขา


 


สนามรบได้รับการเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว  จวินโม่เซี่ยออกคำสั่งใจเย็น ทุกผู้ร้องขึ้นพร้อมเพรียง และกลับไปขี่ม้าของพวกเขา  จากนั้น หายไปขณะที่เสียงฝีเท้าม้าดังก้อง  พวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง … คือเศษเนื้อ และหลักฐานการนองเลือดในครั้งนี้


 

 

 


ตอนที่ 315

 

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน …


” โอ้ก…. โอ้ก….


 


” อุแหวะ… อุแหวะ อุแหวะ….”


 


จวินโม่เซี่ยหันมองไปยังทิศทางของเสียง มีสองคนที่กำลังสำรอกอยู่  ความจริง ดูเหมือนพวกเขากำลังสำรอกลำไส้ออกมา  จากนั้น เสียงของการสำรอกเริ่มดังขึ้น และไม่นานดูเหมือนว่ามีอีกหลายคนกำลังสำรอก ….


 


” ผู้เฒ่าผัง ทำอย่างไรกับการอาเจียนเหล่านี้ … ? “


 


” ทำอย่างไรหรือ ?  มันคือ อ้วก … ไร้หนทางแก้ไขได้  กลับไป …. อุแหวะ …. ”


 


” ความแข็งแกร่งของคุณชายน้อยน่าประหลาดใจนัก  แต่ กลยุทธิของเขาช่าง … อุแหวะ … โหดร้าย … สวรรค์ … อุแหวะ … ”


 


” เจ้า หุบปาก !  เราจักคุยเรื่องนี้ทีหลัง !  อุแหวะ …. ”


 


เป็นน้ำเสียงที่หม่นหมอง  คนราวสิบออกมาจากที่หลบซ่อน และแสดงตัว  ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือก และมุมปากของพวกเขาเปียกโชก  เมื่อเพ่งมองไปยังใบหน้าของพวกเขาก็เพียงพอจักบอกได้ว่า พวกเขาผ่านการอาเจียนมาอย่างหนัก


 


ดูเหมือนว่ามีใครบางคนออกคำสั่งพวกเขา และจากไปอย่างเงียบเฉียบ  อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ไม่แสดงตัวออกมาเลย ตั้งแต่ต้นจนจบ ความจริง เกือบจะเหมือนว่าคนเหล่านั้นมิได้อยู่ในสถานที่นี้ตั้งแต่แรก …


 


ม่านแห่งราตรีมืดมิดร่วงโรย  พวกมันปกปิดโศกอนาถกรรม และเหตการณ์นองเลือด …


 


บรรยากาศเริ่มสงบ และเงียบอีกครั้ง


 


จวนสกุลจวิน


 


แม้นเลยเที่ยงคืนมาแล้ว ตอนนี้ห้องหนังสือของปู่จวินยังคงสว่างอยู่


 


จวินโม่เซี่ยและคนของเขากำลังกลับถึงบ้านอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นเข้ากับแสงไฟนั้น และรู้สึกสุนทรีย์ขึ้นในใจ ดังนั้น เขาจึงขับร้องขึ้นในใจ


ค่ำคืนเงียบสงบ ดาราแจ่มจรัสบนฟากฟ้า   แสงยังคงส่องสว่างจากหน้าต่างของห้องปู่เบื้องบน … เขาทำงานอย่างหนักเพื่อศึกษาคนคว้าสิ่งสำคัญ  ร่างสูงใหญ่ส่องสะท้อนในใจข้า …


 


คุณชายน้อยจวิน มีวิธีการจักมีความสุขในตัวเอง  เขาไปถึงยังห้อง และหลับไป


 


สองกลุ่มคนของเขาพักผ่อน และฟื้นฟู รักษา  นอกจาก หน้าไม้สามร้อยห้าสิบ และ คันศรเจ็ดพัน พวกเขายังพบเงิน สองถึงสามหมื่นตำลึงเงิน  จวินโม่เซี่ย แบ่งให้กับคนกว่าสองร้อยของเขา ผู้ที่บาดเจ็บสาหัสจักได้รับเพิ่ม ห้าสิบตำลึง  สิ่งนี้ทำให้ทุกผู้มีความสุข และพอใจ ยาของเขารักษาบาดแผลและการบาดเจ็บของคนของเขาอย่างรวดเร็ว


 


นี่เป็นเรื่องธรรมดาเนื่องจากคุณชายน้อยจวินมีฝีมือการปรุงยาสูงส่ง  กองกำลังของเขาได้รับการบาดเจ็บมากมายในการต่อสู้  พวกเขาบางคนได้รับการบาดเจ็บที่รุนแรง  และ ยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงอย่างมากที่อาจทำให้ถึงตายได้  อย่างไรก็ตาม การบาดเจ็บที่รุนแรงนี้จักเกินกว่าที่ ยาของคุณชายน้อยจวินจักสามารถจัดการได้ ?  เห็นได้ชัดว่ามันได้รับการรักษาให้หายภายในเวลารวดเร็ว


 


 


องค์จักรพรรดิ สูญเสียงทหารของพระองค์ เงิน และ หน้าไม้  จวินโม่เซี่ยสั่งให้คนของเขาใช้วิธีการอื่นเพื่อป้องกันและโจมตีศัตรู  หน้าไม้เหล่านี้ใช้เพียงเพื่อปกป้องตัวเอง


อย่างไรก็ตาม พวกเราจักต้องกำหราบเถียรฟาก่อน  พวกเรามิจำเป็นต้องกลัวว่าพวกเราจักถูกพบหากเราใช้หน้าไม้เหล่านี้ในเถียรฟา


 


จวินโม่เซี่ยเพิ่งจักนั่งลง  ผู้เฒ่าผัง นำกองกำลังของเขากลับยังจวนสกุลจวินอย่างเงียบเฉียบ  ใบหน้าของพวกเขาเขียว และริมฝีปากซีดเผือก  กองกำลังของพวกเขาอ่อนเพลีย


 


ภายในห้องสมุด


 


” นายท่าน … พวกเรากลับมาแล้ว  ลูกน้องของท่านอาเจียนจนเกือบตาย …. ”


ผู้อาวุโสผังสูดอากาศอย่างยากลำบาก


 


” เกิดอันใดขึ้น ? “


ปู่จวินงุนงงยิ่งนัก


 


” เป็นคุณชายน้อยจวิน  กลยุทธ์ของเขา … โหดร้ายยิ่งนัก … อุแหวะ ! ”


ผู้อาวุโสผังเอ่ยต่อไปแม้นเขาจักรู้สึกคลื่นไส้


 


” โหดร้าย ?  เรื่องอันใดกัน ?  บอกข้ามาอย่างละเอียด ”


ปู่จวินยิ่งงุนงงมากขึ้น  ผู้เฒ่าผังมาจากสกุลนักรบ อยู่เคียงข้างเขามานานหลายสิบปี  ใช้เวลามากมายในสมรภูมิกับจวินวูอี้  ความจริงแล้ว ไม่เป็นการเกินจริงเลยหากจักบอกว่าเขาผ่านมานับร้อนสมรภูมิ  ความโหดร้ายอันใดที่เขายังไม่เคยพบเห็น ?  เขาสังหารนักรบมานับร้อยเป็นอย่างน้อย  และ เป็นแค่เพียงการประมาณเท่านั้น  เช่นนั้น อันใดที่ทำให้เขามีอาการเช่นนี้ได้ ?


 


” อุแหวะ ! ”


ผู้เฒ่าผังผะอืดผอมขณะที่เขาพยายามเอ่ย  แต่ในที่สุดเขาก็สามารถ


” นายท่าน ข้าเห็นคนถูกสังหาร  ข้าสังหารคนมามากาย  แต่ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดทารุณคนอื่นจนตายเช่นนี้… และจากนั้นเอามือแทงเข้าไปจนทะลุด้านหลังพร้อมด้วยหัวใจที่อยู่ในกำมือ  และ สำหรับคนอีกสอง ศพของพวกเขามิอาจเรียกได้ว่าเป็น ศพของคน  พวกเขาเป็นเหมือนดั่งเนื้อต้มยิ่งนัก  โดยไม่จำเป็นต้องเอาไปสับอีก ท่านยังต้องการให้ข้าอธิบายรายละเอียดเพิ่มหรือไม่ …​? “


 


” อุแหวะ !  อย่าพูดถึงมัน … เงียบซะ และรีบออกไปอาเจียนข้างนอก !  ไปให้พ้น !  อุแหวะ ! ”


เขายังมิทันเอ่ยจบ แต่ปู่จวินก็สามารถจินตนาการถึงฉากนั้นได้  เขามิอาจกลั่นการอยากอาเจียนได้


 


แผนการช่วยร้ายของ ผู้เฒ่าผังได้รับชัย  เขาหัวเราะอย่างชั่วร้าย และหายออกไปราวกับหมอกควัน


มิใช่การดีหากต้องเอาเจียนเพียงลำพัง  ทุกคนควรอาเจียนด้วยกัน  ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม  นี่คือความยุติธรรมและเท่าเทียม


 


อย่างไรก็ตาม ปู่จวินก็ยังเป็นขุนพลอันสูงส่ง  เขาเพียงอยากอาเจียนชั่วคราวเท่านั้น  จากนั้น เขาก็กลับเป็นปกติ  ความจริง เขาอดยิ้มขณะพึมพัมกับตัวเองไม่ได้


” ปิศาจน้อยผู้นี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจ !  เป็นพิษนั่นจริงๆ … ข้ามิอาจบอกได้เลยว่าเขามีไพ่ตายซ่อนไว้มากมายเท่าไหร่ ! “


 


อย่างไรก็ตาม ยอดฝีมือผู้หนึ่งในสกุลจวิน หดหู่อย่างมาก


 


ยอดฝีมือผู้นี้คือผู้เดียวกับผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำไปยังป่าเถียรฟา จวินวูอี้ เขานำคนไปยัง ศาลานีฉางด้วยตัวเอง เพื่อจับกุมและสังหารยี่เอ๋อ และคนอื่นๆ  ท้ายที่สุด หน้าไม้ก็มาถึง และภารกิจของพวกเขาก็เริ่มขึ้น  ดังนั้น ยี่เอ๋อ และคนอื่นๆก็เป็นประโยชน์ได้นานขึ้น


 


นี่คือส่วนหนึ่งของแผนการจวินโม่เซี่ย


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขารีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่นั้นแลพบว่ามันว่าเปล่า  พวกเขาสอบถามและพบว่า ยี่เอ๋อ หายไปในตอนรุ่งอรุณพร้อมคนอื่นๆ  และนางหายไปโดยไร้ร่องรอยใด


 


จวินวูอี้ผิดหวังอย่างมาก


 


เขาใช้ภูเขาทุบไข่  แม้ว่าหินธรรมดาก็สามารถใช้ทุบไข่ได้ …​แต่เขาก็ล้มเหลว เขาเศร้าหมอง … เศร้าหมองอย่างแท้จริง


ข่าวรั่วไหลไปได้อย่างไร … ?


คำถามนี้ทำให้เขางุนงง


 


จวินโม่เซี่ยยืนอยู่รอบนอกในการรวมตัวกันของเช้าวันรุ่งขึ้น


 


เขาแยกออกไปพร้อมทหารในช่วงบ่าย  ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงต้องแข่งกับเวลา


 


” เจ้าอ้วน ข้าจักตามไปทีหลัง  ดูแลหอชนชั้นสูงให้ดี  แบกรับความรับผิดชอบเหล่านั้นแทนข้า  อีกทั้งข้าจักจัดหายาบางตัวให้เจ้า  จัดการประมูลสำหรับพวกมันเป็นช่วงๆ  และ ประมูลมันในจำนวนนน้อยๆ  ทำให้แน่ใจว่าเจ้าปกป้องความลับของข้อมูล  และสำหรับเงินที่เจ้าได้จากการประมูล อย่าลังเลที่จักใช้มันเพื่อส่วนผสมหายาก  เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามหากส่วนผสมสามัญอีกแล้ว  และ อย่าจัดหาสมุนไพรด้วยวิธีที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้อีก ! ”


 


จวินโม่เซี่ยมอบขวด ยาฟื้นฟูหลากหลาย ยาหยินขาดหาย และ ยาหยางลึกลับเพื่อให้นำไปหากำไร  เขาจักมิขาย ยากทศวรรษ อย่างไรก็ตาม ยาสามตัวนี้เพียงพอจักทำให้เกิดการตื่นตาเป็นวงกว้าง


 


” หยางมู่น้อย เจ้ามิจำเป็นต้องมีส่วนในการรายงานและทำงานวันต่อวันของหอชนชั้นสูง  อย่างไรก็ตาม หากเชื้อพระวงศ์บางคนมายื่นข้อเสนอบางอย่าง ไม่ว่ามันจักมีเหตุผล หรือมากมายหรือไม่ เจ้าจักจัดการมันทั้งหมด  ท้ายที่สุด ตัวถังหยวนจักไม่สะดวกในเรื่องนี้  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “


 


 


” แต่ .. แต่ … ”


หยางมู่น้อยลังเลเล็กน้อย


 


” ไม่แต่ !  มันคือการตัดสินใจไปแล้ว ! ”


จวินโม่เซี่ยตัดบท  จากนั้น เขาเอ่ยส่วนสุดท้าย


” รีบกลับไปหาพ่อของเจ้า พระเชษฐา เพื่อขอคำแนะนำหากเจ้ามิสามารถรับมือกับมันได้อีก  อืม !  เรื่องนี้ถูกตัดสินใจไปแล้ว  พวกเรามิต้องพูดถึงมันอีก ! ”


 


การจัดสินใจนั้นชัดเจน  เช่นนั้น หยางมู่ จึงหมดสิ้นความกังวลในใจ  จากนั้น จวินโม่เซี่ยหับไปหา ถังหยวน


” มอบกิจธุระทั้งหมดเกี่ยวกับราชวงศ์ให้แก่หยางมู่  ไม่ว่าเราจักต้องสูญเสียเท่าใหร่ก็ตาม  ความจริง ข้ามิสนใจว่าเราต้องเสียไปเท่าไหร่  ชัดเจนหรือไม่ ? “


 


” ไม่ชัดเจน  เหตุใดเจ้าทำเช่นนี้ ?  หากมีบางคนจากราชวงศ์มา และเจ้าปิศาจน้อยผู้นี้มิอาจรับมือได้ … นั้นมิใช่ว่าเราจักโชคร้ายอย่างนั้นหรือ ? “


สีหน้าของถังหยวนคัดค้าน  เขาไม่เข้าใจการตัดสินใจของจวินโม่เซี่ย


 


” ข้ามิได้ขอให้เจ้าเข้าใจ  ข้าเพียงขอให้เจ้าทิ้งมันไป ! ”


จวินโม่เซี่ยจ้องมองด้วยโทสะ  ครอบครัวของ พระเชษฐามิได้เข้าร่วม พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำ อย่างไรด็ตาม พระองค์ก็มิได้กระตุ้นการกระทำอย่างตั้งใจหรือมิตั้งใจของจวินโม่เซี่ยเลย  ทุกสิ่งดูเหมือนเป็นเช่นนั้น


 


อาจบอกได้ว่า พระเชษฐาสามารถสงบปากได้อย่างแน่นอน  อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนั้นไม่สามารถใช้การได้สำหรับจวินโม่เซี่ย


แล้ว เจ้าจักเงียบ ?  ดี !  ข้าจักเติมเชื้อไฟ !


 


เจ้าคิดหรือว่าเจ้าแค่วางเงินลงบนโต๊ะแล้วซื้อหุ้นได้ … และจากนั้นคุณชายน้อยผู้นี้จักทำเงินให้เจ้า ?  มันจักง่ายอย่างนั้นได้อย่างไร ?  อะไรที่ทำให้ข้ามอบเงินมากมายเช่นนั้นให้แก่เจ้าได้ หากข้ามิอาจผูกครอบครัวของเจ้ากับรถม้าสกุลจวินได้ ?


 


นี่มิได้เปิดเผย  และนี่ถือได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากเด็ก  อย่างไรก็ตาม ข้ามอบจักมอบจักรพรรดิทั้งหมดให้แก่เจ้าหากลูกชายเจ้าสามารถทำได้ดี !


 


ผู้ใดจักมิพึงพอใจในสิ่งนั้นกัน ?


 


ถังหยวนยังคงมิเข้าใจในเจตนาของเขา  อย่างไรก็ตาม เขายังคงเงียบปากเมื่อเห็นว่าจวินโม่เซี่ยมีโทสะ  เช่นนั้น เขาจึงเพียงแสดงความเห็นด้วย  ในความเป็นจริง เขาเองมิได้คิดถึงมัน … เมื่อใดกันที่สหายแต่เด็กของเขา ที่เป็นพวกเสเพล กลายมาเป็นจอมเผด็จการและอยู่เนือเขา ?


 


” ซ้งฉาง เจ้าต้องหมักสุราระหว่างเวลานี้ และมอบมันให้สกุลของเรา เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?  เจ้าจักได้รับผิดชอบดูแล หอชนชั้นสูง ในช่วงค่ำคืน  ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้น ! ”


 


” ข้าเข้าใจนายท่าน ”


 


” ไฮ่เฉินเฟิง ข้าต้องการให้เจ้ารวมพวกใต้ดินให้เป็นหนึ่งในระวหว่างที่ข้าไม่อยู่  จำนวนนักสู้ที่เจ้าสามารถรวบรวมมาได้นั้นไม่สำคัญสำหรับข้า  แต่ข้าอยากให้เจ้ารวบรวมสายข่าวให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?  อย่างเช่น ขอทานบนถนนในนครหลวง ผู้คนในร้านอาหาร ชายเบริการสุรา แมงดาในซ่อง คนเฝ้าประตูของสกุลทรงอำนาจ และอื่นๆ …. ใช้ประโยชน์จากความสามารถที่ซ่อนอยู่ของพวกเขา ค้นหาข่าวกรองที่มีค่า และบันทึกไว้  ข่าวกรอง คือความสำคัญอันดับหนึ่งที่นี่  เจ้าสามารถจัดการกับปัญหาเรื่องกำลังทหารได้เมื่อเจ้ามีข่าวกรองที่ดี  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “


 


แสงเยือกเย็นเปล่งประกายในดวงตาจวินโม่เซี่ย  เขาเอ่ยทั้งหมดออกมาในคราวเดียว  มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการควบคุมก๊ก  ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ ไฮ่เฉินเฟิง จักต้องเข้าใจอย่างเหมาะสม


 


” ข้าเข้าใจ  คุณชายน้อยสบายใจได้  ข้า ไฮ่เฉินเฟิง จะรวมก๊กแห่งนครเทียนเชียงเป็นหนึ่ง และสร้างสายข่าวอย่างรัดกุม ”


ไฮ่เฉินเฟิงเอ่ยเคร่งขรึม  เขาเข้าใจความคิดของจวินโม่เซี่ยอย่างชัดเจน


 


” อืม !  ดี  ตอนนี้ เรามาว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง  เรื่องนี้มีความสำคัญสูงสุด  มันเป็นสิ่งที่ข้ามิอาจผ่อนปรนได้ และนั้นคือความปลอดภัยของสกุลจวิน  ไฮ่เฉินเฟิง และ ซ้งฉางเจ้าทั้งสองจักต้องดูแลเรื่องนี้  ข้าจะเอ่ยแค่สั้นๆ ข้ามิต้องการให้เกิดเหจุอันใดขึ้น  ไม่ว่าอันใดก็ตาม !  ห้ามมีแม้แต่น้อย !  ไม่ว่าสถานการณ์ใด!  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?! “


 


” สบายใจได้ นายท่าน !  ผู้ใดประสงค์ก่อกวนสกุลจวินจักต้องข้าวศพพวกเราไปก่อน ! ” ไฮ่เฉินเฟิง และ ซ้งฉางเอ่ยพร้อมเพียง


 


” อืม !  เช่นนั้น ข้าก็สบายใจ !


จวินโม่เซี่ยพยักหน้าเบาๆ  จากนั้นเขาเอาขวดอีกใบออกมา


” ในนี้มียาสามเม็ดสำหรับเจ้าแต่ละคน  กินมัน  ยานี้จักช่วยเจ้าเพิ่มขั้นการบำเพ็ญปราณเชวียน สิบปี !  ถังหยวน เจ้าเป็นผู้ช่วย ไฮ่เฉินเฟิง ในเรื่องนี้ได้  และ อีกหนึ่งสิ่ง เรื่องนี้ต้องเป็นความลับสูงสุด  พวกเจ้าทุกคนห้ามแพร่งพรายออกภายนอก ! ”


 


คนทั้งสามตอบกลับพร้อมเพรียงด้วยความเลื่อมใสในดวงตา


สามารถเพิ่มการบำเพ็ญปราณเชวียนได้สิบปี !


ปกติแล้วถังหยวนไม่สนใจเรื่องความแข็งแกร่งและการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม เขาก็มิได้โง่เง่ามากจนมิสนใจเรื่องนี้ และตื่นเต้นกับมัน  ไฮ่เฉินเฟิง และ ซ้งฉาง ทั้งสองเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียน  พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้อย่างล้ำลึก


 


” เจ้าทั้งหมดออกไปก่อน  เร็วสิ  ข้าจักไปสนามรบตอนบ่าย  ไม่จำเป็นต้องเห็นข้าออกไป ! ”


จวินโม่เซี่ยสบัดมือ  ดวงตาของเขาเผยถึงบางสิ่งแปลกประหลาดขณะเอ่ยต่อเชื่องช้า


” การเดินทางครั้งนี้หากทุกสิ่งเป็นไปได้อย่างราบรื่น … เมื่อเรากลับมา … ฮี่ฮี่ …. ”


เขาหัวเราะด้วยทีท่าล้ำลึก  ดวงตาเปล่งประหายด้วยแสงอันเยือกเย็นคล้ายดั่งแสงที่สะท้อนออกมาจากขอบกระบี่


 


ผู้ที่เห็นสิ่งนี้มิอาจกลั้นมิให้ตัวสั่นได้


คุณชายน้อยมีแผนการอันใด ?  และ สีหน้าของเขาน่าหวาดกลัวเช่นนั้นได้อย่างไร ?


 


พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตกเล็กน้อย กลองรบลั่นเลื่อนสะเทือนปฐพี  เสียงสะท้อนก้องสะท้อนสวรรค์


 


ส่วนใหญ่ขุนพลเลือกเวลายามเช้าเพื่อไปยังสมรภูมิพร้อมดวงตะวัน  พวกเขาถือเอาดวงตะวันเป็นสิริ  อย่างไรก็ตาม คำสาบบานของทหารถูกนำขึ้นเวลาเที่ยงวันในครั้งนี้  สิ่งนี้ต่างออกไปจากปกติ  และมิใช่เรื่องดีที่จักพูดในเรื่องนี้  มันจักดีได้อย่างไรหากตะวันเคลื่อนไปตะวันตกรวดเร็ว ?  แต่ องค์จักรพรรดิแห่งเทียนเชียงได้ตัดสินพระทัยแล้ว และไม่มีผู้ใดอาจหาญสงสัยถึงเหตุผล


 


สายลมเย็นยะเยือกแห่ง สาทรฤดูพัดขึ้นเหนือผืนแผ่นดิน  บุรุษจักมีอันใดให้เสียใจหากเขาได้ทำสำเร็จ ?


 


ให้กองกำลังอันงดงามของทหารและม้าติดตามข้ามาอย่างกระตือรือล้น !  ไปข้างหน้าอย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่สนใจแม้นความเป็นตาย !


 


ภูมิแห่งปิติตะโกนก้องราวมหาคลื่น  ท่ามกลางเสียงรื่นเริงนี้จวินวูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อน และหันไปเผชิญหน้าองค์จักรพรรดิ  เขาประมือ


” พระองค์ จวินวูอี้ขุนนางผู้ต่ำต้อยขอลาพระองค์เพื่อนำทัพ ”


 


” ข้าให้เจ้าไป ”


สีหน้าองค์จักรพรรดิแดงขณะ เพลงสรรค์เสริญดังขึ้น


 


” บรรเลงดนตรี  ส่งเหล่าผู้กล้าสู่สมอรภูมิ ! ”


ปู่ ตู่กู้ซ้งเฮง เดินขึ้นหน้า และประกาศลั่นและคำรามสูงส่ง


 


กลองรบสะท้อนก้องราวสายน้ำหลั่งเนื่องด้วยบรรเลงอย่างกระตือรือล้น


 


ทหารม้าแปดนาย สวมชุดพร้อมรบส่องประกายพร้อมด้วยธงบนไม้เท้า พวกเขานำม้าทั้งแปดไป


 


สายลม สาทรฤดูอันหนาวเหน็บพัดผ่านธง และทำให้มันยกขึ้น  ธงนั้นเป็นสีเลือด และมีกระบี่หนึ่งเล่ม ” จวิน ”


 


ดวงตาของทหารผู้มีประสบการณ์มีน้ำตาคลอ


 


ธงศึกแห่งสกุลจวิน


 


ธงนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะสูงส่ง !  ธงนี้เป็นป้ายแห่งเลือดและเหล็ก !  ในที่สุดมันถูกชักขึ้นอีกครั้งหลังหายไปนับสิบปี !  แต่ มันก็ยังทำให้จิตวิญญาญของทุกผู้ตื่นเต้น เหมือนดั่งที่ผ่านมา !  ยังคงโบกสะบัดในสายลม ดั่งเช่นแต่ก่อน


 


เสียงกีบเท้าเคลื่อนที่ออกมาอย่างเป็นระเบียบ  ก้องสะท้อนขึ้นขณะที่ทหารม้าแต่ละกองซึ่งสวมเกราะที่เปล่งประกายเคลื่อนที่จัดขบวน และค่อยๆก่อตัวเป็นดั่งกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดอย่างเชื่องช้า ขณะที่พวกเขาควบม้าท่ามกลางสายลม


 


กระบี่ชี้ตรงไปยัง อาณัติแห่งสวรรค์ กระบี่ชี้ไปยัง เถียรฟา วีรบุรุษแห่งร้อยสมรภูมิได้เคลื่อนพลแล้ว  และเลือดของวีรบุรุษยังมิได้เย็นชา


 


เถียรฟา !  ข้ามาแล้ว !

 

 

 


ตอนที่ 316

 

วันหลังกองทัพออกเดินทาง .. หรือจักกล่าวให้เที่ยงตรงกว่านั้น .. ในเที่ยงคืนของวันที่ออกเดินทัพ ลูกค้าที่แท้จริงของ หอกระบี่เลือด องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนเชียง ในที่สุดก็ได้รับข่าวที่พระองค์เฝ้ารอ  คนของสกุลลี่ผู้ที่ก้าวเข้าสู่เมืองหลวงถูกกวาดล้างไปพร้อมกับกองกำลังที่พวกเขาจ้างมาจากกองคาราวานการค้าทางใต้  องครักษ์สวรรค์พิโรจขององค์ชายสองก็ได้รับชะตากรรมเดียวกัน


องค์จักรพรรดิ คิดว่าข่าวนี้มิใช่สิ่งที่น่าตกตะลึง ความจริงมันเป็นสิ่งที่พระองค์คาดไว้แล้ว  อย่างไรก็ตาม จักไม่มีสิ่งที่ผิดไปจากการเตรียมการของพระองค์เลยหรือ ?  แต่กระนั้น การรายงานมิได้หยุดลงเพียงเท่านี้  เนื่องจากการสูญเสียนั้นมิได้จบลงเพียงความตายที่กล่าวมา  คนของ หอกระบี่เลือด ที่มีส่วนในภารกิจนี้ตายด้วยความโหดร้าย


 


สามยอดฝีมือสวรรค์เชวียน สิบห้ามือสังหารปฐพีเชวียน และสี่สิบมือสังหารหยกเชวียน..ถูกกำจัด  ข่าวนี้เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก


 


การทำลายกองกำลังนี้ได้จำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งอย่างสูง และ นี่เป็นความพ่ายแพ้ที่ไม่สามัญนัก … มันอาจเป็นสถานการณ์ที่ถูกโจมตีและพ่ายแพ้อย่างราบคาบ  อย่างไรก็ตาม กองกำลังเหล่านี้ถูกทำลายลงทั้งหมด ไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลยแม้เพียงหนึ่งคน


 


อีกทั้ง สิ่งสำคัญในเหตุการณ์นี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย  นั่นคือ … อาวุธสังหารที่ร้ายแรง ซึ่งทำมาจากเอ็นของสัตว์เชวียน และเหล็กคุณภาพสูง ซึ่งผู้มีอำนาจหลายคนได้เฝ้าหวัง แย่งชิง ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


องค์จักรพรรดิ กวาดโต๊ะของพระองค์ และจอกชาร่วงหล่นลงพื้น  ใบหน้าที่มืดมนของพระองค์ยังไม่จากหายไปอีกหลายวัน  หน้าไม้ และ ความแข็งแกร่งของหอกระบี่เลือดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งกับองค์จักรพรรดิ  พระองค์ไม่เคยคาดว่าการเตรียมการที่ไร้ตำหนิของพระองค์จักผิดพลาดแทนที่จักได้หน้าไม้เหล่านั้นมา  ความจริง พระองค์มิได้เพียงสูญเสียหน้าไม้ไปเท่านั้น  พระองค์ยังสูญเสีย กองกำลังชั้นเลิศที่อยู่ใต้บัญชาของพระองค์กว่าครึ่งอย่างลึกลับ


 


ความจริงนั้นทำให้พระองค์กริ้วยิ่งเนื่องจากเหตุการณ์นี้ทิ้งร่องรอยอันใดไว้เลย  เช่นนั้น พระองค์จึงไม่ ตัดสินพระทัยว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้  ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่เบาะแสเพียงเล็กน้อยก็ไม่หลงเหลือ  องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนเชียงจักไม่เศร้าหมองได้อย่างไรกัน ?  พระองค์จักไม่ทรงกริ้วได้อย่างไร ?  ความเศร้าหมองและกริ้วนี้ สิ่งให้เกิดหมอกแห่งความกังวลและควันแห่งความทุกข์ภายในราชวัง  ทุกผู้ตัวสั่นด้วยความกลัว และก้าวเดินอย่างระมัดระวังเนื่องจากไม่มีผู้ใดต้องการกระตุ้นโทสะขององค์จักรพรรดิ


 


สำหรับผลของข่าวนี้ต่อองค์ชายสอง … เขาสลบไปเมื่อได้ยิน นี่มิใช่การกล่าวเกินจริง … เขาเป็นลมไปจริงๆ


 


ซึ่งสามารถเข้าใจได้  ท้ายที่สุด เขาต้องพบกับความเสียหายมากที่สุดในหมู่ผู้ร่วมขบวนการ  เขาใช้จ่ายทรัพยากรณ์มากมายตั้งแต่ต้นจนจบ ความจริง เขาไม่สามารถจ่ายกับผลลัพธ์สุดท้ายของมันได้  องค์ชายสอง จ่ายเพื่อวัตถุดิบที่ใช้สำหรับการสร้างสิ่งนั้น  ความจริง พระองค์จ่ายเป็นราคาที่สูงส่งยิ่ง  บางที อาจบอกได้ว่าเขาจ่ายไปในราคาที่สูงลิบลิ่ว  จากนั้น เขาจ่ายค่าแรงเป็นสองเท่า  องค์ชายจัดหากำลังคนมากมายเพื่อใช้ในการขนส่ง  และตอนนี้ เขาต้องประสบกับความสูญเสีย  ยิ่งไปกว่านั้น องครักษ์สวรรค์พิโรจของเขาถูกกำจัดไปหมดสิ้น พวกเขาเป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดขององค์ชายสอง


 


 


อาจบอกได้ว่า เขากำลังล้มละลายเพื่อจ่ายสำหรับงานแต่งของผู้อื่น  ความจริงที่ทำให้มีโทสะมากขึ้นนั้นคือ เขาไม่รู้ว่า คนผู้นั้นเป็นใคร … องค์ชายสอง อาจไม่สามารถหาทางตอบโต้กับสถานการณ์นี้ได้หากเขาไม่สลบไปเสียก่อน …


 


อีกผู้หนึ่งที่เศร้าหมองเช่นเดียวกัน  คือ ลี่โย่วหลาน คุณชายน้อยลี่ มิได้ประสบกับความสูญเสียมากมายเช่นองค์ชายสอง  แต่ ก็ยังถือว่าเขา ใช้จ่ายไปจำนวนมาก  อาจบอกได้ว่า เขาได้เสียเงิน ออมไปมากมาย …


 


เขาส่งกองกำลังที่ได้รับการฝึกฝนอย่างลับๆเพื่องานนี้ไปครึ่งหนึ่ง  และ พวกเขาถูกกำจัดไปหมดสิ้น  ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์พี่คนหนึ่งของเขาถูกสังหาร และ หลายเป็นก้อนเนื้อ


 


อย่างไรก็ตาม ความจริงนั้นทำให้เขาหดหู่ยิ่งขึ้น เขาไม่รู้ว่า จักต้องตอบโต้กลับไปยังผู้ใด


ข้าควรมองไปยัง หอกระบี่เลือด ?  ข้าควรหามือสังหารเพื่อแก้แค้น ?


ยอดปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ยจักไม่เป็นบ้าไปหรือหากเขามิได้แก้แค้น ?  ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์สองคนที่เหลือรอดของเขา ก็มิได้นำร่างไร้วิญญาณของศิษย์ที่สูญเสียไปกลับมา  ความจริง เขาคิดว่า ศิษย์พี่ชายและพี่สาวของเขาอาจจะอยู่กับเขาอีกไม่นาน


 


ศิษย์พี่สาว และ ศิษย์พี่เก้า มายังนครเทียนเชียงเพื่อช่วยเขาในแผนการนี้  อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่แปดได้ตายไปแล้ว  และ ที่เหลืออีกสองคน ก็กำลังหวาดกลัวอย่างมาก


 


คุณชายน้อยแห่งสกุลลี่ ลี่โย่วหลาน ไม่พอใจกับสถานการณ์นี้อย่างมาก


 


มีบางสิ่งถูกเพิ่มเข้ามาในกองไฟ  เขาได้ส่งพี่น้องทรงพลังบางคนเพื่อจัดการควบคุมพวกใต้ดินในนครเทียนเชียงเมื่อหลายคืนก่อน  อย่างไรก็ตาม ไม่คาดว่าพวกเขาได้รับการโจมตีในค่ำคืนเดียวกัน และจำต้องล่าถอยมา  และ ก๊ก จินหยางก็ได้กลืนกินก๊กใต้ดินทั้งหมด


 


ก๊กจินหยางได้กลายเป็น ก๊กใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในนครเทียนเขียง  ความจริง พวกเขาไม่มีคู่แข่ง


 


ศิษย์พี่ เล่ยเจียนฮ้ง และศิษย์พี่ ฟางเปียวฮ้งต่อสู้กับศัตรูคืนนี้  สองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนผู้นี้ต่อสู้ร่วมกัน  ความแข็งแกร่งของศัตรูนั้นเกินกว่าพวกเขามากมายนัก แต่ศิษยพี่ทั้งสองก็ล้มเหลวจริงๆ  พวกเขาโวยวาย และสูญเสียความคิดจักต่อสู้  ยอดฝีมทอสวรรค์เชวียนจักต้องรักษาสติและสถานะของพวกเขาได้เป็นอย่างน้อย !


ลี่โย่วหลานมีโทสะอย่างยิ่งในเรื่องนั้น  และศิษย์พี่ทั้งสองก็รู้ถึงปัญหาของพวกเขาเช่นกัน  พวกเขาละอายที่ทิ้งศิษย์น้องพวกเขา และขอให้เขาปล่อยพวกเขาไป  พวกเขาต้องการพบ อาจารย์ เล้ยวูเบ้ย เพื่อถกถึงการตอบโต้


 


ลี่โย่วหลาน เห็นด้วยอย่างไม่ลังเล  เขาได้ให้เงินมากมายแก้พวกเขาเพื่อใช้สำหรับการเดินทาง  เขาเฝ้ามองพวกเขาเดินทางไปอย่างสุภาพ  อย่าไงรก็ตาม การสถสาปแช่งก็ดังขึ้นจากปากที่เงียบงันของ ลี่โย่วหลาน หลังจากทั้งสองจากไป  ทันใดนนั้น เขายกข้าขึ้นและ เตะไปยังประตูบ้าน…


 


เขาอยู่ในขั้น เชวียนหยก  ดังนั้น เขาจึงเริ่มมีพลังมากขึ้น  การเตะที่รุนแรงของเขาทำให้ประตูถูกทำลาย


 


มันเป็นการเตะที่ยอดเยี่ยม


 


” ก๊กจินหยาง …. ?  เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่า พวกเจ้าเป็นคนของจวินโม่เซี่ย? “


ลี่โย่วหลาน กำหมัด  จากนั้น ในที่สุดสีหน้าของเขาสงบลง และค่อยๆคลายมัดออก  ทันใดนนั้น รอยยิ้มนุ่มนวนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา


” จวินโม่เซี่ยไปจากนครหลวงแล้วตอนนี้  เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถจัดการกับเจ้าได้หรือ ?  เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าไม่สามารถรับมือกับเจ้าได้หรือ ?  ข้ามีกองฟางมากมาย  มันยากที่จักจัดการเจ้าที่หัว แต่หากเป็นรอบตัวก็สามารถสำเร็จได้เช่นกัน ! ”


 


เลือดคุณชายน้อยจวินเดือนขึ้นในขณะที่เขาร่วมการสาบานก่อนที่จักออกไปทำสงคราม  นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงเลือดของ บุตรชายแห่งสกุลทหาร  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยก็พบว่าตัวเองมิอาจรับกับกฏเกณฑ์ทางทหารได้หลังจากที่เขาเดินทางออกจากนครหลวงเพียงครึ่งวัน  มันยากเกินกว่าที่เข้าจักรับได้ !


 


นั่นมิได้รับอนุญาต !  อย่าได้ทำอย่างนั้น !


จวินโม่เซี่ยพบว่าการเดิน หรือพูดออกนอกลู่ทางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตในสายตาของน้าสาม


 


จวินวูอี้อยู่ห่างจากกองทัพมาเป็นเวลากว่าสิบปี  แต่ กองทัพที่ป่าเถื่อนนี้ก็ได้รับการควบคุมและได้รับชัยมาแล้วในอดีต  ดูเหมือนว่าเขาจักเฝ้าดูคนที่ไม่พอใจด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น และจัดการกับพวกเขาด้วยการตัดสินใจที่รวดเร็วและเด็ดขาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาจักจับผิดกับพวกเหล่าอันธพาล ดั่งเช่นหลานชายของเขามากเป็นพิเศษอย่างไม่มีเหตุผลเนื่องจากเขาไม่พอใจที่จักเห็น  ดังนั้น หากเขาเห็นพวกเขาหนึ่งคน … เขาจักดุด่าเด็กหนุ่มหนึ่งคนนั้น หากเขาเห็นพวกเขาสองคน .. เขาจักดุด่าพวกเขาทั้งสอง


 


ดังนั้น มันจึงเป็นธรรมและมีเหตุผลที่ จวินโม่เซี่ย มูล่งเจียนจวิน เมิงไฮ่โจว เมิงเฟ้ย ลี่เฉิน ลี่ฟาง … คุณชายน้อยจากสกุลสูงส่งเหล่านี้ต้องครวญครางอย่างไร้สิ้นสุด


 


จวินโม่เซี่ยรู้ว่าน้าของเขาต้องการเข้มงวดกับเหล่าทหารเพื่อรับมือกับรูปแบบการต่อสู้  สำหรับเรื่องนั้น น้าของเขาจึงต้องสร้างความเคารพให้เกิดขึ้น  เขาต้องสร้างภาพแห่งความจริงจังและ วินัยทางทหารที่มั่นคงเพื่อทำให้มั่นใจว่าพวกเขาจักเชื่อฟั่งเมื่อต้องเดินเข้าไปสู่สนามรบ  พวกเขาจักเดินเข้าสู่สงครามได้อย่างไรหากกองทัพขาดระเบียบวินัย ?  นั่นจักเป็นเหมือนการเดินทัพเข้าสู่ความตาย !


 


ดังนั้น จวินวูอี้จึงต้องการผู้โชคร้ายและ แพะรับบาปจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างความเคารพที่มีต่อเขา


 


มันเป็นเหตุการ์คลาสสิคที่เรียกว่า การสังหารเพียงหนึ่งเพื่อข่มขวัญศัตรู  เขาต้องสร้างตัวอย่างเพื่อตักเตือนผู้อื่นถึงเรื่องวินัยทางหทาร


 


อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดว่าเขาจักเป็นแพะรับบาป โชคร้ายคนแรก


 


เหตุการณ์นี้ฟังดูน่าสนใจ … จวินโม่เซี่ยกำลังขี่ม้า และกำลังต่อสู้กับความปวดฉี่ในช่วงบ่าย  เขามองไปรอบๆ  พวกเขาออกมาจากกำแพงเมืองเนิ่นนานแล้ว  มีต้นไม้อยู่ด้านซ้ายของเขา และ สวนอยู่ทางขวา ชุมชนเล็กๆมองเห็นได้จากที่ห่างไกล


.กองทหารเดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดพัก  ดังนั้น ข้าจักจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ?


นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากสำหรับคุณชายน้อยจวิน  ดังนั้น เขาจึงเหวี่ยงขาลงจากม้า  และ แอบหลบไปฉี่ที่ต้นไม้ใกล้ๆ  เขาปลดกางเกง และ ปลดปล่อยสายน้ำที่ไหลหลากออกมาอย่างไม่อดกลั้นอันใน


 


มีต้นไม้ไม่มากตรงหน้าของเขา  กองทัพที่งดงามเดินทัพอยู่ด้านหลังของเขา ใกล้เขาอย่างมา  ความจริง พวกเขาอยู่ใกล้ต้นไม้มากจนผู้ที่อยู่ด้านตรงข้ามสามารถยื่นมืออกไป และคว้าเอาไข่นกมาได้ …


 


ดังนั้น คุณชายน้อยจวินจึงปลดปล่อยสายน้ำอย่างไม่เร่งรีบด้วยความสลายใจ


 


เขาระเบิดความพึงพอใจออกมา  จากนั้นเขาสบัดมันอย่างรวดเร็วหลังเสร็จกิจ  เขากำลังจักดึงกางเกงขึ้น  แต่ ทันใดนนั้นเองเขารู้ว่ามีมือสองข้างวางมาบนหัวไหล่ของเขา


 


” เขาออกจากขบวนโดยไม่ได้รับอนุญาต  เจ้าไม่สนใจคนของกองทัพ และทำลายศีลธรรมอันดีของพลเมืองโดยการฉี่ต่อหน้าทุกๆคน !  ทหารหนุ่ม เราขอให้เจ้ามากับเรา ”


สอง สารวัตทหารมาถึงราวกับเทพสวรรค์ และจับเขาได้คาหนังคาเขา


 


“มันฟังดู… ไร้สาระอะไรเช่นนี้ ?  เห็นได้ชัดว่าข้าหันหลังให้คนอื่นๆ  เช่นนั้น จักบอกได้อย่างไรว่าข้าฉี่ต่อหน้าทุกคน ? “


จวินโม่เซี่ยยืนหยัดหนักแน่น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยุติธรรมได้จับเขาและนำตัวไปกับพวกเขาด้วย  คุณชายน้อยจวินผู้น่าสงสารยังมิทันใส่กางเกงได้เสร็จสิ้น !  จึงสามารถมองเห็น บางสิ่งของเขาได้ เขาถูกจับและถูกนำมาอยู่ภายใต้ร่มเงาของจวินวูอี้


 


ผลลัพธ์นั้นดี และจวินวูอี้ ผู้บัญชาการจากสกุลจวิน แสดงโชว์ของเขาต่อหน้าเหล่าแม้ทัพ เขาทำพิธีลงโทษจวินโม่เซี่ย ที่กำแพงศาลาว่าการโดยการโบยยี่สิบครั้ง


 


หากการโทษนั้นหนักเกินไปสำหรับความผิดนี้ …​ก็มิอาจเรียกได้ว่าหนัก และหากจะเป็นความปรานี้ … ก็มิอาจเรียกได้ ไม่มีผู้ใดร้องขอความเมตตาแก่จวินโม่เซี่ย  แต่ นั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมดา  ทุกผู้รู้ว่าแม่ทัพจวิน ได้พบข้ออ้างที่จะทำการแสดง  ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายน้อยจวินก็มิได้มีความสัมพันธ์แนบชิดกับผู้ใด


 


บุรุษที่แท้จริงจักมิร่ำไห้ในสถานการณ์เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยเกือบร้องไห้  เขามองขึ้นไปและขบฟันขณะเอ่ย


” ท่านน้าสาม ท่านใช้อำนาจของท่านออกคำสั่ง  หลานผู้น้อยผู้นี้โชคร้ายที่เขาผิดพลาดเล็กน้อย … แต่นี่เป็นเพียงครั้งแรก … ”


 


” เงียบ !  พวกเราคือแม่ทัพและผู้ใต้บังคับบัญชาในค่ายทหารนี้  ข้ามิใช่น้าสามของเจ้า  และ เจ้ามิใช้หลานชายของข้า  รองผู้บัญชาการ เจ้าเอ่ยหยาบคาย และเจ้าทำลายวินับทหาร  ตีเพิ่มอีกสิบทีเป็นโทษของเขา ! ”


สีหน้าของคุณชายสามจวินจริงจัง


 


คุณชายน้อยจวิน เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขามิอาจกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก  เขามั่นใจว่าจะต้องถูกโบยมากขึ้นหากเขาเอ่ยสิ่งใดเพิ่ม


 


กระบองทุบลงไปด้วยครั้งที่สามสิบและทุกคนเงียบสงัด  เหล่าอันธพาลน้อยใหญ่ในสถานที่นี้ต่างได้เห็น  พวกเขาปิติในโชคร้ายแต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยอันใด  นั้นคือผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการ


 


อย่างไรก็ตาม แม่ทัพจวินรู้ถึงฝีมือของหลานชาย  ดูเหมือนว่า จวินโม่เซี่ยจะได้รับบาดเจ็บสาหัส หากมองไปและเห็นว่าหลังของเขาเขียวช้ำ  อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วมันมิใช่เรื่องใหญ่  ความจริง มันมิได้ทำอันตรายเขามากนักแม้นว่าเขาจักโดนโบยสับร้อยครั้ง ไม่ต้องเอ่ยถึงสามสิบครั้งนี้เลย  อย่างไรก็ตาม เขาจับหลานชายได้คาหนังคาเขาหลังจากการปฏิบัติภารกิจทางทหารได้เริ่มขึ้น  ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดขึ้น


เด็กน้อยเอ๋ย  เขาไร้วินัยอย่างยิ่ง  นี่มิใช่สิ่งดี


สกุลจวินคือสกุลแม่ทัพวันยันค่ำ  เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ ดัดนิสัยของหลานชายอย่างระมัดระวัง  นี่คือการวางรากฐานสำคัญหากเขาต้องนำทัพเข้าต้องสู้ในภายภาคหน้า


 


สำหรับความจริงนั้น … ความคิดนี้เดิมทีต้องยกความชอบให้แก่จวินวูอี้  ปู่จวิน ตักเตือนเขาให้ฝึกฝนจวินโม่เซี่ยอย่างหนักก่อนพวกเขาจักออกไปทำสงคราม  หรือพูดอีกอย่าง เขาได้รับอนุญาตจากตัวปู่จวินเอง  เช่นนั้น คุณชายสามจึงเตรียมตัวเพื่อ ทารุณหลานชายของเขาด้วยทีท่าเดือดดาล


 


อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมากเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มที่ทำความผิดเป็นครักแรก


 


จวินโม่เซี่ยเอามือกุมก้นหลังจากเขาได้รับการโบยสามสิบครั้ง และเดินออกจากเต้นผู้บัญชาการพร้อมขบฟัน   จากนั้น เขาเริ่มมองหาคนที่เขาไม่ชอบ


 


” เอ๋ !  นั้นคือคุณชายน้อยสามสกุลจวินผู้ทรงอำนาจมิใช่หรือ ?  สีหน้านั้นคืออะไร ?   นี่เป็นครั้งแรกหรือที่ผู้บัญชาการสั่งสอนเจ้า ?  ฮี่ฮี่ฮี่ … คุณชายน้อยจวิน เจ้าดูหล่อเหล่ายิ่งเมื่อเจ้าเอามือกุมก้น !  คุณชายน้อยผู้นี้นับถือเจ้าอย่างแท้จริง ! ”


จวินโม่เซี่ยเป็นคู่รักคู่แค้นขององค์หญิงหลิงเมิ่งมาเนิ่นนาน เช่นนั้น คุณชายน้อยแห่งสกุลมูล่ง มูล่งเจียนจวิน จึงยักไหล่ให้เขาอย่างแปลกประหลาด  ความจริง ดูเหมือนว่า เขาตั้งใจทำเสียงหัวเราะออกมา  เมิงไฮ่โจวและคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆก็เช่นกัน  พวกเขาหัวเราะลั่นสำหรับเรื่องนี้


 


จวินโม่เซี่ยไม่เอ่ยสิ่งใด  เขาเพียงเดินออกไปยืนอยู่ตรงหน้าของ มูล่งเจียนจวิน จากนั้น เขาคว้าหอกจากทหารที่ยืนอยู่ข้างๆเขา  และใช้มันฟาดและกระหน่ำโจมตีไปยังฝ่ายตรงข้าม  เขาใช้อกโจมตีด้วยความเร็วสูง


 


คุณชายน้อยผู้นี้มิอาจหาสถานที่ใดเพื่อปลดปล่อยโทสะได้  และเจ้ายังกล้ามายั่วยุข้าเช่นนี้ ?  เจ้าพยายามทำให้ตัวเองโชคร้ายอย่างนั้นหรือ ?


 


นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเกินทน !


 


อย่างน้อย คุณชายน้อยจวินผู้นี้จักมิยอดทน !


 


มูล่งเจียนจวินคาดหวันสิ่งใดได้ ?  อีกฝ่ายทำความผิดและ ละเมิดวินัยทหาร  และจากนั้น ยังกระทำต่อหน้าเพื่อนของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม เขาถูกองครักษจับคุมจากการโดยคุณชายน้อยจวินแก้แค้น


 


เขามิอาจหลีกเลี่ยงได้แม้นว่าเขาจักเตรียมตัวแล้วก็ตาม  เขาโดนตีโดยกระบอง  ดวงตาของเขาเริ่มสว่างวาป และมองเห็นดวงดาว


 


หัวของสกุลมูล่งนั้นมีลักษณะรูปร่างที่สมบูรณ์  หอกกระแทกเข้าไปที่กลางหัวของเขาและมันหัก  กระโหลกของมูล่งเจี้ยนจวินนั้นสมบูรณ์แบบ แต่หน้าผากของเขานั้นโดดเด่นนัก  มีก้อนเนื้อปูดขึ้นตรงกลางหน้าผากของเขาอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์  ความจริง มันก่อให้เกิดเสียง ซูป  มันปูดขึ้นตรงราวกับเขาของ ยูนิคอน


 


” โอ้ว ?  นี่มิใช่คุณชายน้อยมูล่งผู้สง่างามหรอกหรือ ?  เขามีจู๋ขึ้ตรงหัว ?  อย่าบอกข้า นี่คือความสามารถโดยกำเนิดของเจ้า ?  มันเป็นไปได้หรือว่าสิ่งนี้มิได้อยู่ในเป้ากางเกงของเขา แต่กลับมาอยู่บนหัวของเขาแทน ?  น่าเสียดาย …. น่าเสียดายที่มีไข่แค่ฟองเดียวเท่านั้น  แต่ มันช่างสง่างามนัก  ความจริง ทั้งดินแดนนี้มิอาจมีผู้ใดเทียบ  เป็นประวัติการณ์อย่างแท้จริง  ข้าชื่นชมอย่างแท้จริง ! ”


จวินโม่เซี่ยหัวเราะขณพที่เขาใช้หัวแสดงท่าทาง  ท่าทางของเขามิอาจถือได้ว่า บกพร่อง เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่บนหัวของ มูล่งเจียนจวิน จากนั้น เขาโยนหอกที่หักครึ่งทิ้งไป และกาวยาวๆจากไป


 


เขาใช้ปราณเชวียนของเขาในการโจมตีนี้  เช่นนั้น หอกที่ปะทะเข้าร่างของ มูล่งเจียนจวิน นั้นรุนแรงและแม่นยำ และผิวหนังของเขามิได้ฉีกขาด  อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เป็นเหตุให้หัวของเขาปูดขึ้นอย่างมาก และสร้างผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ


 


ทุกคนที่ได้ยินว่าจานั้นก็หันมามอง และพเพียงก้อนที่ปูดขึ้นบนหัวของ มูล่งเจียนจวิน มันตั้งตรง และคล้ายกับจู๋อย่างน่าอัศจรรย์  มันค่อนข้างหาดูได้ยากเนื่องจากมันมิได้ยาว  แต่มันมีความหนาและคล้ายคลึงกันอย่างมาก  มันเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์และเหมือนจริงอย่างมาก !

 

 

 


ตอนที่ 317

 

” ฮ่าฮ่าฮ่า …. ”


ทุกผู้ที่ได้เห็นฉากที่น่าขันและแปลกประหลาดยิ่งนี้อดหัวเราะลั่นมิได้  มูล่งเจียนจวิน เอ่ยวาจาเสียดสินิสัยนักเลงของจวินโม่เซี่ย  แต่ เขากำลังยิ้มผ่านน้ำหูน้ำตาที่กำลังหลั่งไหลของเขาเช่นกัน  ความจริง เขาเอามือกุมท้องไว้ตลอดเวลา


ใกล้เคียงนั้นเต็มไปด้วยผู้มากฝีมือและประสบการณ์  พวกเขาทุกคนแต่งงานแล้ว และรู้ถึงความหมายของวาจาและท่าทางของจวินโม่เซี่ย ยิ่งไปกว่านั้น ความหยาบคายเช่นนี้ค่อนข้างสามัญในช่วงชีวิตทหารของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม การกระทำของจวินโม่เซี่ยที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ค่อนข้างน่าขัน


 


แม้แต่เหล่านายกองก็มิอาจกลั่นมุมปากให้ยกยิ้มขึ้นมาได้  และจากนั้น ปากของพวกเขาก็อ้าออกขณะที่พวกเขาหัวเราะลั่น  พวกเขาหัวเราะดังก่อน  และรู้ว่านั้นมิใช่สิ่งที่เหมาะสมจักทำ  เช่นนั้น พวกเขาจึงพยายามอดกลั่นตัวเอง  อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกเขาก็ได้รู้ว่ามันใช้การไม่ได้  เช่นนั้น พวกเขาจึงเริ่มหัวเราะอย่างดุเดือด


 


อย่างไรก็ตาม ไม่นาน มูล่งเจียนจวินก็พบว่าตัวเองอยู่ในความสับสนเนื่องจากเขาไม่รู้ถึงความจริงของเรื่องตลกนี้  คุณชายน้อยแห่งสกุลมูล่งรู้สึกเพียงแต่ความเจ็บปวดมิอาจทนได้บนหัวของเขา แต่ไม่รู้ถึงที่เกิดขึ้นบนนั้น  เขามิอาจกลั่นโทสะขณะที่เขาถาม


” เรื่องน่าขันอันใดกัน ?  เขาโจมตีเพื่อนทหาร ในค่าย  มันถือได้ว่าเขาทำความผิดร้ายแรง !  คุณชายน้อยผู้นี้ … ร้องขอให้ขุนพลรายงานเรื่องนี้แก่ท่านแม่ทัพ ให้จวินโม่เซี่ยต้องได้รับการลงโทษ  เฮ้ย !  พวกเจ้าหัวเราะอันใดกัน ?  มันอันใดน่าขึ้น ? “


 


ก้อนจู๋บนหัวของเขาเริ่มแดงก่ำภายใต้แสงตะวัน  ความจริงมันขยายและแข็งขึ้น  ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเขามีโทสะ เลือดที่ไหลขึ้นไปบนหัวของเขายิ่งทำให้มันดูน่ากลัวและเด่นตระหง่าน  ก้อนเนื้อนั้นเปลี่ยนแปลงใบหน้าของบุรุษผู้สง่างามนั้นไปอย่างมาก  เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ผลของมันกลับทำให้เป็นเรื่องน่าขันยิ่งขึ้น


 


เขาขอให้ทุกคนหยุด  แต่พวกเขามิอาจอดกั้นได้และยังคงหัวเราะต่อไป  ทุกคนเอามือกุมท้องและกลิ้งไปบนพื้น


” เอ๋ !  นี่น่าขันยิ่งนัก !  ข้าอยากตาย !  ยกโทษให้ข้าด้วย  ฮ่าฮ่าฮ่า… ”


 


จวินวูอี้และเจ้าหน้าที่อันดับสูงเร่งรีบมาที่นี่ขณะที่เขาได้รับข่าวของเหตุการณ์นี้  พวกเขามีโทสะอย่างมากหลังจากได้เห็นถึงความวุ่นวาย  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองไปยังก้อนเนื้อที่อยู่บนหัวของ มูล่งเจียนจวิน และรู้สึกอยากระเบิดเสียหัวเราะออกมา  แต่ พวกเขาตระหนักได้ในทันทีว่า ไม่เป็นการเหมาะสมหากจักหัวเราะในตอนนี้  เช่นนั้น พวกเขาจึงรับยับยั้งตัวเอง  แต่ พวกเขาก็มิอาจทำได้ และรอยยิ้มยังคงเกิดขึ้นบนใบหน้า  ไม่นานทุกคนเริ่มกระตุกขณะที่พยายามยับยั้งตัวเอง  รวมไปถึงผู้บัญชาการจวินด้วย


 


 


จวินโม่เซี่ยอาจไม่ได้หลบหนีไปได้อย่างโชคดีนัก  เขาได้รับการลงโทษอีกครั้ง  ผู้บัญชาการจวินมีโทสะอย่างมาก  เขาเกือบจับเจ้าตัวร้ายนี้ขังคุก


 


นี่จักเป็นปัญหามากเกินไปแล้ว  เราจักทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ?


 


นี่คือการแพร่กระจายของมารวร้ายในตำนาน !


 


อย่างไรก็ตาม การแพร่กระจายของมารร้าย ยังไม่จบสิ้น  เนื่องจากเหตุการณ์นี้ยังไม่จบลง


 


ทั้งสองฝ่ายยังคงกระทบกระทั่งกันหลังจากตั้งค่ายเสร็จ  องครักษ์สกุลมูล่งออกไปเพื่อล้างแค้นให้แก่คุณชายน้อยของพวกเขา  แล้วพวกเขาก็ทะเลาะกับคนของจวินโม่เซี่ยสองร้อยสี่สิบ


 


จวินโม่เซี่ยนั้นไร้กังวลตราบใดที่มีคนราวสองร้อยห้าสิบนี้  เขาจักมีความสุขยิ่งขึ้น หากมีคนร่วมด้วยเพิ่มอีกคน อย่างไรก็ตาม คนของเขายังบาดเจ็บเนื่องจากงานที่มีก่อนหน้านี้  เช่นนั้น คนของเขาสี่คนจึงมิอาจเข้าร่วมได้  อย่างไรก็ตาม คนที่ยังเหลืออีกสองร้อยห้าสิบที่มิได้รับบาดเจ็บ และเหมาะสมจักติดตามเขา  ดังนั้น เขาจึงสั่งให้พวกเขาสมัครเข้าร่วมกองทัพเพื่อชื่อเสียงและความรุ่งโรจน์  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยหดหู่ใจที่พวกเขาไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสมเนื่องจากกิจวัตรของทหาร


 


ข้าคาดว่าข้าจักต้องทำงานร่วมกับสองร้อยห้าสิบคนนี้ อ้อ สองร้อยห้าสิบรวมข้าด้วย  ทำให้กลายเป็น สองร้อยห้าสิบเอ็ด  สิ่งนี้ทำให้คุณชายน้อยผู้นี้เป็นบ้า  พวกเราควรคว้าข้าของคนและหักมันเสีย  แต่ นั่นมิใช่สิ่งที่ถูกต้อง  มันคงโง่เขลาหากเราจักหักขาเพียงข้างเดียว  อย่างน้อยพวกเราควรหักขาทั้งสองข้าง  นั่นยังไม่เพียงพอ … ท้ายที่สุด มันก็มีพวกเราเพียง สองร้อยห้าสิบเอ็ด !  เช่นนั้น เอาชนะพวกมันเถิด !


 


ผลที่ตามมาของความขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องใหญ่  มันทำให้หลายคนทิ้งแว่นของพวกเขา  มีคนเพียง สองร้อยห้าสิบเท่านั้นที่ดุดันและดุร้าย  พวกเขาโจมตีองครักษณ์ของสกุลมูล่งห้าร้อย และทำให้พวกเขาแพ้ราบคาบ  เห็นได้ชัดว่าเหยื่อของพวกเขาครวญครางไร้สิ้นสุดเนื่องจากความโหดร้ายนั้นเกินบรรยาย  ความจริง องครักษ์สกุลมูล่งกว่าสิบคนต้องพิการ


 


นี่ทำให้เกิดความโกรธแค้นมากขึ้น  สกุลผู้มิอำนาจหลายคนกล่าวหาจวินโม่เซี่ย  และ เขาตอบโต้กลับตัวต่อตัว  ดูเหมือนว่า จักมีการนองเลือดเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า


 


จวินวูอี้รู้ว่าการคาดการของพ่อของเขานั้นเพ้อฝันอย่างยิ่งเช่นเดียวกับเขา  จวินโม่เซี่ยก่อปัญหาในกองทหาร ความจริง เขาเป็นดั่งเนื้องอกร้าย  เช่นนั้น มันเป็นการดีที่จักกำจัดเขาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป้นไปได้  ปลาเน่าจักทำให้เหม็นทั้งกระชังหากรั้งรอ


 


ช่วงบ่ายยังไม่ผ่านพ้น  แม้แต่กลางวันยังไม่หมดไป  ค่ำคืนยังไม่ผ่านเข้ามา และท้องฟ้ายังไม่มืดมิด  และ เจ้าเด็กผู้นี้ได้รับการลงโทษสามครั้งแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น เด็กผู้นี้ได้ทำความผิดทุกอย่างที่เขาไม่ควรทำ  เขาคงถูกตัดหัวไปสองครั้งแล้วหากข้ากระทำตามระเบียบกองทัพ


 


ดังนั้นหลังจากความขัดแย้งอีกครั้งก็ถูกสั่งลงโทษ  และตามมาด้วยการดุด่าที่รุนแรงยิ่งขึ้น …


 


” เจ้า และคนสองร้อยห้าสิบของเจ้า จักได้รับมอบหมายงานพิเศษ ”


จวินวูอี้เอ่ย


” เจ้าเหลือขอ เจ้าจักได้รับการมอบหมายงานพิเศษเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงอีกครั้ง  คำสั่งพิเศษสำหรับจวินโม่เซี่ยคือ เขาจักต้องเก็บกวาดเส้นทางเพื่อกองหน้า  เขาจักต้องเปิดเส้นทางในภูเขา และสะพาน  และ เขาต้องรับผิดชอบ หากกองทหารได้รับอันตรายจากการเดินทางครั้งนี้ เนื่องจากความหละหลวมของเขา


 


จวินโม่เซี่ย รู้สึกเหมือนเขาได้รับการอภัยเมื่อได้ยินถึงภารกิจพิเศษของเขา  จวินโม่เซี่ยดีใจอย่างยิ่ง กำมือชูขึ้นในอากาศ ดั่งเช่นคนทั่วไปที่สามารถบรรลุความสำเร็จ  เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเร่าร้อน ความจริง เขาดูเรื่องร้อนยิ่งเมื่อเขาเอ่ยตอบรับ


” ข้าต้องการ…​เอ่อ … หน้าที่นี้ … ”


 


จากนั้นเขายกมือขึ้นราวกับปีกห่าน  จากนั้นเขาเริ่มหมนไปรอบๆ  บินไปครึ่งวงกลม  และก้าวสองสามครั้งราวกำลังหลบสิ่งกีดขวาง  จากนั้น เขาเร่งฝีเท้า และบินออกไปจากกระโจม


 


ผู้คนที่อยู่ในกระโจมมิอาจไม่หันมองได้  พวกเขาอดกลันขำไม่ได้


นี่คือทายาทรุ่นที่สามของสกุลจวิน ?  เขาคือผู้สืบทอดสกุลทหาร ?


 


ผู้บัญชาการจวินเศร้าหมอง  เขาคิดวาจาออกมาได้เพียงสอง โชคร้ายของสกุล


 


จวินโม่เซี่ยทำให้ความคิดของ น้าสามหม่นหมอง


ข้าจักสร้างชื่อเสียงอันน่าอับอายในเส้นทางทหารของข้า  ข้าได้รับการลงโทษสามครั้งในเวลาเพียงครึ่งวัน  ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีการโต้แย้งใดเพื่อป้องกันการลงโทษเหล่านี้ได้  มันต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจักไปถึง เถียรฟา  ไม่ว่าข้าจักอยู่หรือตาย … ไม่ว่าข้าจักเสียหน้าหรือไม่ … สิ่งหนึ่งที่แน่นอน … ก้อนเหล็กจักต้องสูงส่งอย่างแน่นอน


 


ข้าได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เปิดทางนับแต่จากนี้ไป  ข้าไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องการเปิดเส้นทางหรือสร้างสะพาน  แต่ โจรที่เราต้องพบเจอระหว่างทางจักต้องได้รับการจัดการอย่างดี  ไม่เหลือรอดแม้เพียงหนึ่ง !


 


นี่จักเป็นโอกาสที่ดีในการฝึกฝนทหารข้า !


 


จวินโม่เซี่ยรับคำสั่งเนื่องจากเขากลัวการเปลี่ยนแปลงคำสั่งของผู้บัญชาการ  จากนั้น เขารีบสั่งให้คนสองร้อยห้าสิบของเขาหยุดงานค่ายในเย็นวันนั้น  และหายเข้าไปสู่ความมืดราวเก่าทัณฑ์ที่แหลมคม … อย่างที่แม่ทัพจวินสั่ง  คนสองร้อยห้าสอบ และหนึ่ง หายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


สองวันหลังจากนั้น แม่ทัพจวินพบว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมที่ส่งจวินโม่เซี่ยไปเป็นแนวหน้า  ความจริงมันเป็นการตัดสินใจที่ปราณเปรื่องและอัศจรรย์ยิ่งนัก


 


เส้นทางที่ดีที่สุดที่จักใช้คนให้ตรงความสามารถคือการนำวพกเขาไปวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม


 


การเดินทางราบรื่นยิ่งขึ้น  การเดินทัพเริ่มเหมือนการเดินชมนกไม้  พวกเขาติดตามหน่วยหน้าของจวินโม่เซี่ย  เช่นนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องหวาดกลัวเนื่องจากไม่มีอันตรายอันใดอยู่ข้างหน้า  สำหรับเจ้าเมืองระหว่างทาง พวกเขาต้อนรับกองหทารอย่างเต็มที่ด้วยเกรงว่าการต้อนรับเหล่านั้นไม่เป็นที่พึงพอใจ  และพวกเขาก็มามอบสิ่งของแก่กองทัพ  ไม่มีการฉ้อฉล


 


จวินโม่เซี่ยเริ่มการกวาดล้างโจรอย่างละเอียดถี่ถ้วน  ความจริง เขานำหน้าไปสองร้อยกิโลเมตรเพื่อจัดการกับพวกเขา  แนวหน้าที่นำโดยจวินโม่เซี่ยกวาดล้างผู้ร้ายทั้งหมดตลอดการเดินทาง !


 


การเดินทางทั้งหมด นองเลือดอย่างสบูรณ์


 


กลุ่มทำลายสวรรค์ และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  ของคุณชายน้อยจวิน ใช้การเดินทางแบบนองเลือดเนื้อเพื่อให้คุ้นเคยกับการนองเลือด


 


คนสองร้อยห้าสิบนี้ทำการสังหารตลอดการเดินทาง  ไม่ต้องเอ่ยถึง จวินโม่เซี่ย จินตนาการถึงบรรยากาศการสังหารที่จักเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาไปถึงป่าเถียรฟาได้เป็นอย่างดี


 


บรรยากาศการสังหารและการกระหายเลือดถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณของทั้งสองหมวด !


 


เส้นทางผ่าน มณฑลแรกยังเป็นที่ยอมรับของจวินโม่เซี่ย  อย่างไรก็ตาม  ใน มณฑลที่สองนั้นต่างออกไป  จวินวูอี้มองไปยัง เจ้าหน้าที่ปกครองและดูเหมือนว่าว่าเขาเป็นเพื่อผู้ร่วมส่งครามที่บ่นถึงเหล่าโสเภณี


 


อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ปกครองมองไปยังจวินวูอี้ด้วยแววตาแปลกประหลาด  ดูเหมือนว่าเขาได้มองเห็นแม่ของเขาหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ไม่ .. ควรจักเป็นพ่อ


 


ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก


 


เจ้าหน้าที่ปกครอง ดูไม่ดีนัก ก้นของจวินโม่เซี่ยเริ่มปวกจากการนั่งบนอานม้าในตอนที่เขาไปถึงยัง มณฑลของเจ้าหน้าที่ปกครอง และดังนั้น ขบวนแห่ของเจ้าหน้าที่ปกครองก็เริ่มขึ้น …


 


อย่างแรก คุณชายน้อยจวินต้องการรถม้า … เขาต้องการความหรูหราอย่างมาก และเขาต้องการให้มันเสร็จภายในหนึ่งวัน  ต่อไปเขาต้องการให้รายงานการทำงานทุกชั่วโมง อย่างไรก็ตาม คุณชายน้อยยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น  อีกทั้ง เขายังแสดงความสามารถทางบัญชีที่น่าอัศจรรย์ของเขาที่มีอยู่ในชีวิตก่อนหน้านี้ด้วย เขาตรวจสอบบัญชีทั้งหมองของ เจ้าหน้าที่ปกครอง … บัญชีที่เขาทบมาตอลดทั้งปี


 


เจ้าหน้าที่ปกครองที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ ผู้นี้นี้ตัวสั่นด้วยความกลัว  เขาเรียกรอมช่างฝีมือทั้งใกล้ไกล  สั่งให้พวกเขาสร้างรถม้าอย่างระมัดระวังและเป็นมาตราฐาน สั่งให้สร้างรถม้าที่สะดวกสะบายให้เร็วที่สุด  หลังจากนั้น เขาก็สามารถนำเสนอรถม้าที่หรูหราอย่างมากแก่จวินโม่เซี่ยได้ทันเวลา


 


ยิ่งไปว่านั้น วัสดุที่ใช้ในการสร้างรถม้า ต้องใช้เงินของ เจ้าหน้าที่ปกครอง ที่ยักยอกมาจากคลังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ความจริง ค่าใช้จ่ายในการสร้างครั้งนี้สูงมากจน ทำให้ เจ้าหน้าที่ปกครองต้องหยิบยืมเงิน


 


เจ้าหน้าที่ปกครองผู้น่าสงสารตัวสั่นด้วยความกลัวขณะที่เขามารายงานถึงความสำเร็จในการสร้างแก่แนวหน้าของจวินโม่เซี่ย  จวินโม่เซี่ยกำลังถือสมุดบัญชีอยู่ในเวลานั้น  ความจริงเขาใช้มันเป็นพัด  เขาตั้งใจจักมอบความรู้ให้แก่คนผู้หนึ่ง


 


” ข้าว่า เฟ้ยจูฉาง  … ”


ชื่อของคนผู้นี้คือ เฟ้ยจูฉาง  มันหมายถึงหมูอ้วน … คุณชายน้อยจวินพบว่าเป็นการยากจักจัดการกับสิ่งนี้  เอาอด เตาะลิ้นไม่ได้


โลกนั้นกว้างใหญ่ แต่ไม่มีสิ่งใดประหลาดกว่าชื่อนี้  พ่อแม่ของชายผู้นี้คงต้องได้รับการยกย่องที่สูงขึ้น !


 


” เจ้ามิใช่มือสมัครเล่นหรือ ?  ผู้ที่เอ่ยนาวว่าเป็น จักรพรรดิสวรรค์แต่งตั้งให้เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองเมื่อห้าปีก่อน  และเจ้า หาเงินได้เพียงห้าหมื่นตำลึงเงิน ?  น่าผิดหวังยิ่งนัก  แม่เจ้าเอ้ย !  การฉ้อฉลทำให้เจ้าดูไม่ดี  ไม่แปลก … เจ้าอายุสี่สิบ และยังเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองไร้ค่า !  ความโลภและการฉ้อฉลของเจ้าตลอดห้าปี ทำให้ดินแดนนี้แปดเปื้อน  เจ้ากินรถม้าของข้าไปด้วยหรือ ?  นั่นคือสิ่งที่เจ้ามาบอกข้าที่นี่ ? “


จวินโม่เซี่ยพยักหน้าและถอนใจ  ชัดเจนว่าโชคร้ายและโทสะเกิดขึ้นแก่ผู้คน


 


” ข้า คือ … ท่านขุนพลถูกต้องแลว เจ้าหน้าที่ปกครองนั้นผู้นี้ไร้สามารถ ”


เจ้าหน้าที่ปกครองตอบ  เขาปาดเหลือที่หน้าผากขณะตัวสั่นด้วยความกลัว  แต่ เขาบ่นในใจ


ท่านบรรพบุรุษ !  รถม้าและล้อของมันถูกสร้างมากจากต้นจันทร์ร้อยปี  ภายในประดับไข่มุกสี่ชนิด  และ ข้าใช้เงินตัวเองจ่ายไป  ไม้จันทร์แดงที่ข้าซื้อมายังไม่เพียงพอ .. เช่นนั้น เจ้าจึงเอาประตูบ้านและแคร่งรองเตียงข้า  เจ้าต้องการสิ่งใดอีก  เหตุใดเจ้ายังหยิบยกการฉ้อฉลของข้าอยู่ ?  สกุลของข้ายากจนและทรมาณ และมีหนี้เป็นชนักติดหลัง  แล้ว เจ้ายังไม่ปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบอีกหรือ ?

 

 

 


ตอนที่ 318

 

” อนิจจัง สามปีมานี้ผู้ว่าฉิ้งเก็บเงินได้เพียง หนึ่งแสนตำลึงเงิน  ไม่คาดว่าเจ้าหน้าที่ปกครองมีระดับเพียง ห้าหมื่นในห้าปีที่ผ่านมา เจ้าไม่มีดีอันใดเลย ! ”


จวินโม่เซี่ยถอนใจต่อเนื่อง


ตัวเจ้าบอกว่า เจ้าหน้าที่ปกครองผู้นั้นอยู่ในระดับหนึ่งแสน  แต่ข้าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ปกครองมณฑล ที่นี่มีมณฑลในปกครองของเขานับหมื่น  มิใช่ตำแหน่งของข้า … มิแตกต่างจากข้าหลวงหรอกหรือ ?


เฟ้ยจูฉาง อธิบายต่อในใจ อย่างไรก็ตาม ท่าทางของเขาก็แสดงออกถึงความเคารพและนับถือ ขณะที่เขาฟังท่านผู้นำจวินตักเตือน


 


“อย่างไรก็ตาม มิใช่เรื่องสำคัญ  บางทีเจ้าอาจมีความรู้มากขึ้นหลังจากตกลงไปในคูเมือง  หรือบางที เจ้าจักรู้ว่าต้องทำอย่างไรหลังจากคุณชายน้อยผู้นี้กลับไป  คุณชายน้อยผู้นี้น่าจักกลับมาจากเถียรฟ้าในอีกสองเดือน  และข้ากลัวว่าข้าจะมิต้องการนั่งในรถม้านี้แล้ว  เจ้าจักต้องใช้ความพยายามอย่างมากในสองเดือนนี้ เก็บภาษีผู้คนให้มาก และยักยอกเงินให้มากเท่าที่เจ้าทำได้  และ รถม้าจักต้องรออยู่แล้วเมื่อคุณชายน้อยผู้นี้กลับมา  เจ้าต้องรีบตระเตรียมการให้เร็วที่สุด  เจ้าไม่ต้องเร่งรีบเช่นนี้ โอกาสที่ดีจักเข้าข้างผู้ที่มีการเตรียมการ …. ! ”


คุณชายน้อยจวินเอ่ย


 


เฟ้ยจูฉาง ล้มลงที่พื้น  เอาหัวกระแทกพื้น  เขาเริ่มร่ำร้อง และคร่ำครวญออกมา


“ขุนพลจวิน !  เจ้าหน้าที่ปกครองต่ำต้อยผู้นี้มิกล้า !  เขาเสียใจในความผิดพลาด และปรับปรุงตัว !  เจ้าหน้าที่ผู้นี้จักแก้ไขความผิดพลาดของเขา และกลับไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง !  บุตรฟุ่มเฟือยผู้นี้จักกลับไปยังเส้นทางแห่งคุณธรรม ! ข้าจักสำนึกผิด และข้าจักเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง !  ข้าจักทำอย่างหนักเพื่อผลประโยชน์ของผู้คน !  บุรุษต่ำต้อยผู้นี้จักพยายมอย่างเต็มที่  ข้ามิควรคลางแคลงในความเมตตานี้ …. ”


 


” เจ้ามันต่ำต้อย !  เจ้านั่นสำนวนยิ่งนัก !  พูดมากไปแล้ว !  บางทีข้าควรเห็นใจและแสดงความเมตตาเจ้า … ”


จวินโม่เซี่ยหัวเราะ และเอ่ยวาจาเหล่านั้นขณะที่มองเขาด้วยความชมเชย


 


เฟ้ยจูฉาง คำนับด้วยความชื่นชม  เขาตัดสินใจว่าหากเขาควรตายมากกว่าจักไม่เปลี่ยนแปลง  เขาจึงตัดสินใจว่าเขาควรจักเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองที่ดีและซื่อตรง


ข้าจักไม่เป็นเจ้าหน้าที่ ที่ฉ้อฉลอีกแล้ว ! ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ว่าเจ้าหน้าที่ ที่ฉ้อฉลจักได้ประสบกับสิ่งใด …


 


ข้าเสียใจกับพฤติกรรมในอตีด… ข้าจัดต้องสร้างรถม้าให้กับคนผู้นี้อีกไหม หากเขากลับมาในอีกสองเดือน ?


 


น้ำตาข้าหลั่งไหเป็นสายน้ำในหัวใจ !


 


ข้าคิดว่าข้างคงต้องตายหากข้าร้องไห้ต่อหน้าเขา …


 


ข้าจักเรียกผู้ใต้บัญชา และต้องบอกให้พวกเขาหยุดการฉ้อฉล  ข้าต้องบอกให้พวกเขาซื่อตรง … เพื่อบริการประชาชน …


 


คุณชายน้อยจวิน ออกไปปล้นผู้ร้ายอีกครั้ง  เขาได้ส่ง กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ ออกไป  พวกเขากลับมาพร้อมกับศรีษะของคน  เลือดหยดลงพื้นส่งเสียง หยดเลือดเต็มไปทั่วโถงของเจ้าหน้าที่ปกครอง  มันทำให้ เฟ้ยจูฉาง ผู้น่าสงสารหวาดกลัว ความจริงแล้วเขาเกือบหมดแรง


 


 


หัวของคนผู้นี้ … แม่ข้า !  ทั้งหมดมีอยู่เท่าใหร่กัน …


 


หยวนหน้าของจวินโม่เซี่ยกินอาหารของพวกเขา  จากนั้นพวกเขาก็ตบเท้าเดินออกไปเมื่อบีบบังคับคนจนพอใจ  เฟ้ยจูฉาง เงยหน้าขึ้นด้วยความหวัง  เขาหัวงจักได้เห็นกองทหารของจวินวูอี้ในไม่ช้า  นั่นเพราะว่าคุณชายน้อยจวินบอกเขาไว้ว่า


“ข้าจักกลับมาและให้เจ้าสร้างรถม้าให้อีก หากเสียงของกองทัพมีปัญหา และ ข้าจักทำลายรถม้าใหม่นั้น หากมันไม่ดีพอ  นอกจากนี้ คุณภาพของเสบียงจักขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ขุนพลจวินวูอี้  เช่นนี้ เจ้าควรพิจารณาทั้งหมดนี้ให้เหมาะสม เข้าใจหรือไม่ ?…. “


 


ดังนั้น ความกระตือรือล้นของ เฟ้ยจูฉาง ทำให้ขนหลังคอของจวินวูอี้ลุกชูชัน


เกิดอันใดกับคนผู้นี้ ?


 


ในขณะที่จวินโม่เซี่ยนำคนของเขาสองร้อยห้าสิบ กลุ่มทำลายสวรรค์ และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  มุ่งหน้าลงใต้อย่างมีชีวิตชีวา  ดูเหมือนวาจักไม่ต้องเปิดเส้นทางผ่านหุบเขาและลำธาร  อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กระจายความหน้ากลัวไปตลอดเส้นทาง


 


เขาทำให้พวกเขาเจ็บปวดไปตลอดเส้นทางอย่างกระหายเลือด  ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นิสัยของพวกเขาแต่ละคนเริ่มโหดร้ายขึ้น พวกเขาเป็นดั่งปิศาจที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากส่วนลึกของขุมอเวจี  สีหน้าและกลิ่นอายของพวกเขานั้นได้ปราณี และมองเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาเป็นเหมือนกลุ่มผู้บดเนื้อที่น่าหวาดกลัวในสนามรบ


 


ดั่งเช่นพลังที่เคลื่อนที่ไปเร็วดั่งสายฟ้า  กลุ่มของเขาถูกส่งออกไปจัดการกับเหล่าผู้ร้ายทุกวัน  พวกเขาจักส่งออกไปทีละกลุ่มตามตารางที่ถูกจัดไว้  อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลุ่มก็มีการแข่งขันกัน ในการกวาดล้างศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ไร้คู่ต่อสู้ที่จักลอดพ้นเงื้อมมือพวกเขาได้  กลุ่มที่แพ้จักได้รับการลงโทษที่หนักหน่วง  ความจริง การลงโทษนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องง่าย …. ซึ่งได้รับการลงโทษโดยการซักชุดชั้นในของกลุ่มที่ชนะจากวันก่อนหน้า


 


กางแข่งขันนี้ทำให้ทั้งสองกลุ่มมองว่าโจรผู้ร้ายคือยาที่ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว  หรือเป็นหมูอ้วนแสนหวาน เนื่องจากพวกเขาเพ่งเข้าใส่ดั่งหมาป่าและเสือ ที่ตะครุบเหยื่อของเขาดั่งลูกแตง …


 


โทษฑัณท์นั้นมิใช่เรื่องใหญ่ แต่มันคือชื่อเสียง …


 


กองหน้าของจวินโม่เซี่ยนำหน้าห่างจากกองทัพใหญ่ห้าร้ายกิโลเมตรในเที่ยงของวันที่ห้า  จวินโม่เซี่ยนั่งอ้อยอิ่งอยู่ภายในรถม้าที่นำขบวนและถูกล้าโดยม้าหกตัว รถม้านั้นกว้างใหญ่นัก มันกว้างสองเมตร และยาวสามเมตรครึ่ง  มีเตียงเล็กอยู่ภายใน  และมันยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ  ความจริง มันยังมีพื้นที่เพียงพอให้จวินโม่เซี่ยจัดประชุมภายในรถม้าของเขาได้


 


แต่จวินโม่เซี่ยได้ทำเช่นนั้นเพียงครั้งเดียว  ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมิทันประชุมได้เพียงครึ่งทางก็ต้องจบการประชุมลง  มิใช่เพราะปัญหาใหญ่อันใด.. มันเป็นเพราะว่า คนเหล่านั้นเดินทางข้ามเขามาตลอดทั้งวัน  ทหารแต่งกายด้วยเสื้อผ้า และรองเท้า แต่กลิ่นเท้าของพวกเขาตลบอบอวนยิ่งนัก ซึ่งทำให้คนเหล่านี้วิงเวียน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรถม้าคันนี้ถูกปิดผนึกมาอย่างดี  กลิ่นของมันคล้ายดั่งปลาเค็มทอด นั่นทำให้จวินโม่เซี่ยใช้เวลาทั้งวันเพื่อกำจัดกลิ่นเหล่านั้นออกไป


 


” คุณชายน้อย เปิดประตูเถิด … มีใครบางคนอยู่เบื้องหน้า  พวกเขากำลังขวางทาง ”


ผู้ที่พูดคือ ผู้นำ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  หวางดง


 


คนผู้นี้ต้องโหดร้ายอย่างมากที่จักทำให้ผู้นำ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ พูดติดอ่างได้


 


“ขวางทาง ?  แม่เจ้า !  ผู้ใดในเทียนเชียงที่อาจหาญขาวทางคุณชายน้อยผู้นี้ ”


จวินโม่เซี่ยเอ่ยประหลาดใจ  จากนั้นเขาเปิดหม่านรถม้า และกระโดดลงมาเพื่อมองดูผู้ที่อาจหาญพอทำสิ่งนี้


 


จวินโม่เซี่ยออกมาจากรถม้าและมองดู จากนั้นมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจของเขา  และเขาอ้าปากค้าง


แม่เจ้า !  ไม่ประหากใจที่ หวางดงจักตะกุกตะกัก !


 


คาดไม่ถึง …


 


ฉากที่อยู่ตรงหน้าของเขามิได้น่าหวาดกลัวมากนัก มีสองหญิงสาวงามเลิศตรงหน้าของพวกเขาเพียงเท่านั้น  ผู้มากเสน่ห์ผู้นึ่งอยู่ในชุดสีม่วง นางดูน่ารักและอ่อนโยนยิ่ง นางอุ้มลูกเสือดาวสีขาวดั่งหิมะ  ลูกเสือดาวมองไปยังจวินโม่เซี่ยและขยิบตา  มันแลบลิ้นออกมา  ต้องการจักโยนตัวเองเข้าสู่อ้อมแขนของจวินโม่เซี่ยจนจะแย่


 


หญิงสาวอีกผู้หนึ่งอยู่ในชุดสีขาว  นางมีใบหน้าที่เย็นชาและทะนงเยือกเย็น นางงดงามยิ่งนัก  นางมีท่าทีที่สง่างาม


 


สองสาวงามมองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจดั่งแมวที่ไล่จับหนูได้แล้ว


 


สองหญิงสาวผู้นั้นคือ กวนเซียงฮั่น และ ตู่กู้เซี่ยวอี้


 


จวินโม่เซี่ยคร่ำครวญ เขารู้สึกอ่อนแรง


 


นี่เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก


 


ไม่แปลกใจเลยที่ข้าไม่โดนนางทั้งสองรบกวนเลย ในสองวันก่อนที่พวกเขาจักเดินทัพ !  ข้าผิดไปที่คิดว่าโน้มน้าวพวกนางได้ แต่แท้จริงแล้วพวกนางล้วงหน้าออกจากบ้านมาแล้ว !  และตอนนี้ พวกนางรอข้าอยู่ที่นี่ !


 


ข้าจักทำเช่นไร ?!


 


คุณชายน้อยจวินรู้สึกเสียใจที่ได้รับตำแหน่งแนวหน้าเป็นครั้งแรก …


 


ความจริง เขาเสียใจอย่างยิ่ง …


ไม่หัวมันทั้งสองจึงตกมาอยู่ในมือของข้า ?  ข้า … ชีวิตของข้าพินาศแล้ว !


 


เหตุใดข้าจึงได้รับเลือกให้เป็นแนวหน้า ?  เหตุใดข้าจักติดตามทัพใหญ่ราวกับเด็กดีได้ ?  ปัญหาใดจักเกิดขึ้นกับคำสั่งของน้าสามข้า ?  แต่ตอนนี้ … ข้าตะโกนออกไปทั้งวันและไม่มีผู้ใดมาช่วย…แม้นข้าจักตะโกนจนปอดหลุดออกมาก็ไร้ประโยชน์ …


 


นี่คือเส้นทางไปยังเถียนฟา !  นี่มิใช่เส้นทางสำหรับการท่องเที่ยว !


 


จวินโม่เซี่ยไม่รู้ว่าเขาควรเอ่ยสิ่งใด  สิ่งใดที่เขาควรเอ่ยในสถานการณ์ที่บีบคั้นนี้ ?


 


คุณชายน้อยจวินหันหลังกลับอย่างกระสับกระส่าย  เขาหวังว่าจวินวูอี้จักอยู่เบื้องหลังกลุ่มควัน .. และน้าผู้นี้จักนำทัพสิงหมื่น และลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเขาจากสถานการณ์ร้ายแรงนี้


 


นั่นคือความหวังที่ลมแล้ง … ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นคือสี่ร้อยกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย … ซึ่งมันไม่มีเวลามากพอ


 


“อย่ามองเช่นนั้น  มันไร้ประโยชน์ที่จักมองเช่นนั้น  พวกเขาสืบข้อมูล และมารอเจ้าที่นี่ “


กวนเชียงฮั่นเอ่ยขณะที่มองไปที่เขา


“เจ้าออกมาจากรถม้าได้  เซี่ยวยี่ และข้าจักใช้มันเดินทาง เขาขี่ม้าไปได้  เจ้าไม่มีปัญหาอันใดใช่ไหม ? “


 


 


จวินโม่เซี่ยไร้วาจาชั่วครู่


 


ดูเหมือนนี่จักเป็นการสนทนาที่เป็นมิตร ?  ข้าจักมีปัญหาอันใด ?  ข้าจักกล้ามีปัญหาอันใด ?  นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าเรียกว่าพฤติกรรมป่าเถื่อน ?  สำหรับความจริง … นี่คือสิ่งที่มันเป็น  พฤติกรรมของข้ากับ เฟ้ยจูฉาง นั้นตรงไปตรงมายิ่งกว่าหญิงสาวใหญ่โต  นางปล้นรถม้าข้า … นี่เป็นดั่งตำนานเรื่องเต่าทะเลที่ยึดรังนกนางแอ่น !


 


สมาชิก กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ แอบหัวเราะ  จวินโม่เซี่ยเพ่งมองพวกเขาด้วยโทสะ  นั่นทำให้เสียงหัวเราะเงียบลงทันที และพวกเขามองตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทีจริงจัง


 


“อะแฮ่ม…”


จวินโม่เซี่ยกระแอม และเตรียมจักใช้วาจาประจบประแจง เขาต้องการจักโน้มน้าวให้หยิงสาวกลับไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง


“ฟังข้าพี่สะใภ้ และ .. แม่นางตู่กู้ … ”


 


” พี่โม่เซี่ย เจ้าไม่ดีใจที่เจอข้าหรือ ?  นี่เป็นสิ่งที่มิได้คาดคิดใช่หรือไม่ ?  เจ้ามิต้องการกอดข้าหรือ ?  ข้ารู้ !  ข้าเข้าใจอย่างชัดเจนว่ามันจักเป็นเช่นนี้ ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยิ้มกว้าง ทันใดนนั้น นางกระโดดไปตรงหน้าจวินโม่เซี่ย เงยหน้า และยิ้ม


 


เจ้าขาวน้อยยังคงรู้สึกอยากกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของจวินโม่เซี่ย  แต่ ลูกสาวสกุลตู่กู้ยังคงหักห้ามตัวเองไว้เพื่อความสุภาพ เจ้าขาวน้อยพร้อมที่จักกระโดดออกไป แต่ ตู่กู้เซี่ยวอี้ ต้องการรอให้จวินโม่เซี่ยเริ่มครุ่นคิด ก่อนที่นางจักกระโจนเข้าใส่เขา


 


ดีใจ ?


 


ข้ารู้สึกหวาดกลัว  และ เหตุการนี้เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ ..​และกอดเจ้า ?  ข้ารู้สึกอยากจะตีก้นของเจ้า


จากนั้นจวินโม่เซียเหลือบมองก้นของขาง และคิดว่ามันก็มิได้ถือว่าเล็ก  เขาสงสัยว่ามันจักรู้สึกเช่นไรหากเขาจักตีมันสักสองสามครั้ง …


 


จวินโม่เซี่ย หลงระเริงในความเพ้อฝันอยู่ชั่วครู่  จากนั้น เขาดึงสติกลับมาได้ และพยายามที่จักทำให้แม่นางทั้งสองกลับไป  ผิวที่หมองคล้ำของเขาเริ่มเปล่งประหาย


“พี่สะใภ้ แม้นางตู่กู้ … เจ้าเป็นห่วงพวกเรา  และข้า ในฐานะตัวแทนของคนในกองทัพรู้สึกของคุณเป็นอย่างมาก  แต่ เส้นทางไปยังป่าเถียรฟานั้นทอดผ่านหุบเขาที่อันตราย  มีโจรผู้ร้ายมากมาย  และ เส้นทางนี้ยังมีปิศาจกินคนออกอาละวาด ! นอกจากนี้เจ้าทั้งสองยังเป็นสาวโสด  เช่นนั้น จักเป็นการไม่เหมาะสมที่จะเดินทางยาวนานไปกับเจ้า  ดังนั้น บุรุษผู้นี้ขอให้เจ้ากลับไปยังนครเทียนเชียง ”


 


เอ่ยอีกอย่าง .. ทั้งสองออกมาโดยไม่มีสาวใช้ !  พวกนางคิดว่านี่เป็นการออกมาเดินเล่นในสวนกระนั้นหรือ ?!  พวกเราไปทำสงครามกันจริงๆ !


 


” เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู และข้าจักดูว่าผู้ใดกล้าส่งพวกเรากลับ ”


กวนเซียงฮั่นเอ่ยอย่างไม่สนใจขณะที่นางมองไปที่เขาอย่างเบือกเย็น


 


“พี่โม่เซี่ย เจ้าจักให้เรากลับไปหลังจากที่เราหาหนทางมาที่นี่ได้จริงๆหรือ ? “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ไม่มั่นใจเหมือนกวนเชียงฮั่น  เช่นนั้นนางจึงมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร  ขอบตาของนางเป็นสีแดง  ดูเหมือนว่านางจักร้องออกมาได้ตลอดเวลา


” นอกจากนี้เส้นทางกลับไปยังนครหลวงยังห่างไกลถึงห้าร้อยกิโลเมตร  เป็นการเดินทางกลับที่ยาวนาน !  เจ้าจักทำอย่างไรหากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับท่านพี่สาวและข้า ?  เส้นทางอันตราย และผู้ใดจักรู้ความคิดของบุรุษ ? “


 


“อย่าตามข้ามา  ร้องไห้ต่อหน้าข้านั้นไร้ประโยชน์ ! ”


จวินโม่เซี่ยเอ่ยด้วยท่าทีเหินห่าง


ข้ารู้ว่าเส้นทางอันตราย .. ไม่สามารุเข้าใจความคิดของบุรุษ ?  เจ้ามิได้คิดถึงเรื่องนั้นตอนที่เจ้าออกเดินทางหรือ ?  เจ้าคิดว่าการโกหกเช่นนี้ใช้การได้สำหรับคุณชายน้อยผู้นี้หรือ ?  เจ้าคิดว่าข้าโง่เขลาเช่นไรกัน ?

 

 

 


ตอนที่ 319

 

การกระทำของเด็กสาวผู้นี้ยอดเยี่ยมนัก แต่ คุณชายน้อยผู้นี้จักหลงเชื่อได้อย่างไรกัน ?  นางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาต่อมา และจากนั้นนางก็กลายเป็นคนเอาแต่ใจ


คนจะได้เห็นปิศาจและไม่เกรงกลัวต่อบาปได้อย่างไร ?


จวินโม่เซี่ยถามสิ่งนี้กับตัวเองเนื่องจากเขาได้ประบสการแปรปรวนของอารมณ์เช่นนี้มาก่อน  จักเป็นการไร้เหตุผลหากข้าต้องกลายเป็นตัวตลกอีกครั้ง !


 


“บอกข้า เจ้ายังคงต้องการส่งท่านพี่สาวและข้ากลับไปยังเมืองหลวงอีกหรือไม่ ? “


ตู่กู้เซี่ยวอี้เบิกตากว้าง


พวกมันใหญ่โตและงดงาม  ดวงตาที่เบิกกว้างเหล่านั้นเคลื่อนที่ไปมา  อย่างไรก็ตาม พวกมันเริ่มคุกคาม และเปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายอย่างรวดเร็ว


 


“พี่น้องทั้งสอง .. การมาปรากฏตัวของเจ้าเป็นเพียงการเพิ่มปัญหา บอกข้า ที่นี่เจ้าทำสิ่งใดได้บ้าง  เจ้ามีความสามารถอัดใดที่นี่ ?  เจ้าทั้งสองกล้าหรือไม่หากเจ้าต้องสังหารใครบางคน ?”


 


จากนั้น จวินโม่เซี่ยพ่นลมทางจมูกเหยียดหยาม


” ข้ากำลังบอกให้เจ้า…กลับไปดีๆ  พวกเราคุยเรื่องนี้กันจบแล้ว  นอกจากนี้ อย่าโทษข้าจับพวกเจ้าปั้นเป็นดั่งก้อนข้าวและส่งเจ้ากลับไป !  และอย่าได้คิดว่าข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ !  อย่างไรก็ตาม  เจ้าทั้งสองจักต้องเสียหน้าหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น ! ”


 


“เจ้ากล้าหรือ ? “


สาวน้อยตำหนิ และยิงฟันขาว  พวกมันโดดเด่นยิ่งนัก


 


” ปล่อยไปเซี่ยอี้ ไม่จำเป็นต้องขอร้องเขา  หัวใจคนผู้นี้ไร้ความเห็นใจ ”


กวนเซียงฮั่นเอ่ยขึ้นเชื่องช้าขณะที่นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม  นางมองจวินโม่เซี่ยไร้อารมณ์แม้นว่านางจักเอ่ยกับตู่กู้เซียวอี้


” พวกเราจักไปโดยไม่ต้องมีเขา  พวกเรามิได้เดินทางร้อยกิโลเมตรมาถึงนี่ด้วยตัวเองหรอกหรือ ?  พวกเราไม่มีขาเป็นของตัวเองหรือ ?  เราจักไปยังเถียรฟาด้วยตัวเองมิได้หรือ ? “


 


” ถูกต้อง !  ทำไมเจ้าถึงได้สำคัญตัวยิ่งนัก ?  พวกเราจักไปด้วยตัวเอง ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ เชิดคางขึ้น


“เจ้ามิใช่เป็นแค่ขุนพล ? สกุลข้ามีดีกว่านี้ !  ฮึ่ม !  ข้าเจอขุนพลมากฝีมือมากมาย แม้แต่พวกเขาก็มิมีผู้ใดหยิ่งทนงเช่นเจ้า ! ”


 


สองหญิงสาวหันหลังและเริ่มจากไปหลังจากพวกนางเยาะเย้ยเขา  จวินโม่เซี่ยกังวลเล็กน้อยเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  .ข้าคงมิอาจหลีกเลี่ยงการโดดนด่าได้หากปล่อยให้ทั้งสองไปยังเถียรฟาโดยลำพัง … แม้นว่าพวกเขาจักไปถึงอย่างปลอดภัย  ปู่ข้า น้าสาม แม่ทัพตู่กู้ และ ตู่กู้วูตี้ … คงไม่มีผู้ใดปล่อยข้าไป


จวินโม่เซี่ยสามารถรู้ถึงวาจาของพวกเขาได้


” เจ้าปล่อยหญิงสาวผู้บอบบางเหล่านี้ไป ?  เจ้าสบายใจหรือที่หญิงสาวผู้บอบอบางเหล่านี้มีความคิดจักเดินทางไปยังเถียรฟาโดยลำพัง ฦ  เจ้าจักทำเช่นไรหากสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น ?  การไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น มิใช่ประเด็น ! ”


 


” หยุด !  ไปจับพวกเขามาให้ข้า ! ”


จวินโม่เซี่ยขบฟันและออกคำสั่ง สมาชิก กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  เจ็ดแปดคนเคลื่อนไหวทันที  พวกเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างไร้ปราณี้ และ ขวางเส้นทางหญิงสาวทั้งสองไว้  จากนั้น จวินโม่เซี่ยคราง และเอ่ย


“เจ้าทั้งสองเชื่อฟังคำสั่งข้าเสียดีกว่า !  จักเป็นสิ่งทดีกับพวกเจ้า หากเชื่อห้าข้า !  ฮึ่ม !  มิเช่นนั้น …​”


 


 


จวินโม่เซี่ยหยุดหลังจากเอ่ยเช่นนั้น  การกระทำเช่นนั้นไม่เหมือนกับโจรชั่วร้ายที่ขู่เข็ญหญิงสาวใช่ไหม ?


 


” จวินโม่เซี่ยข้ายืนยันที่จะไปยังเถียรฟา  แต่หากเจ้าใช้กำลังบังคับข้าให้ล่าข้า … ข้าสัญญาว่าข้าจักฆ่าตัวตายเสียที่นี่ !  ข้า กวนเซียงฮั่น จักฆ่าตัวตายต่อหน้าเจ้า !  เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำหรือ ? “


สีหน้าของกวนเซี่ยงฮั่นซับซ้อน  แต่นางรีบหยิบมีดบินขึ้นมาไว้ที่คอหอย


 


จวินโม่เซี่ย เพียงเหตุผลเดียวที่ข้าจักไปยังเถียรฟานั้น … ก็เพื่อเจ้าและน้าสามของเจ้า  ข้ามิได้ห่วงใยเจ้าทั้งสองมาก  แต่ ข้าเป็นกังวลในเรื่องของ มณฑลฉือฮั่น จักทำให้พวกเจ้ายากลำบากเพราะข้า  เหตุใดข้าจึงต้องเดินทางไกลไปยังเถียรฟากับเจ้า ?  เจ้าคิดว่าข้าเป็นหญิงสาวที่ไม่เข้าใจถึงความรุนแรงของเรื่องนี้หรือ ?


 


เจ้าจักไม่สนใจชีวิตข้า  และเจ้าต้องการปกป้องความไร้เดียงสาของข้า เจ้าเชื่อหรือว่าข้า กวนเซียงฮั่น หญิงสาวที่หลงลืมบุญคุณ และไม่ทำสิ่งใดเมื่อเห็นเจ้าเดินเข้าถ้ำเสือ ?


 


เจ้าคิดหรือว่ามีเพียงบุรุษเท่านั้นที่สามารถปลิดชีพตัวเองด้วยความชอบธรรมได้ และหญิงสาวอย่างเราทำได้เพียงมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร้จุดหมาย  มันจักเป็นเช่นนั้น หากทุกสิ่งราบรื่นในเถียรฟา  แต่หากเป็นเช่นนั้น … กวนเซียงฮั่นผู้นี้จักทำอย่างไรกับชีวิตที่น่าสมเพชของนาง ?


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ไม่หันไปมองยังสหายของนาง  แต่ นางคิดว่ากลยุทธ์ของกวนเซี่ยงฮั่นนั้นมีประโยชน์  เช่นนั้น นางจึงโอหัง และเอ่ยด้วยความพึงพอใจ


” ใช่แล้ว !  พวกเราจักปลิดชีพตัวเองหากเจ้าไม่ปล่อยให้พวกเราไปยังเถียรฟา !  เจ้าคิดว่าพวกเราไม่ทำเช่นนั้นหรือ ?  ฮึ … ฮี่ฮี่ …. ”


 


นางไม่เคยเห็นใครที่กำลังปลิดชีพตัวเองด้วยความภูมิใจเช่นนี้  วาจาของ กวนเซียงฮั่นเต็มไปด้วยอารมณ์  แต่ สาวน้อยเพียงแต่หัวเราะ เพราะนางไม่เข้าใจตั้งแต่แรก  จากนั้น นางมองไปยังสหาย และไร้วาจาไปเมือรู้ถึงความตั้งใจของเนาง …


 


จวินโม่เซี่ยรู้สึกปวดหัว  ดูเหมือนมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในหัวของเขา


 


บางที ตู่กู้เซี่ยวอี้ ประสงค์ที่จักได้เฝ้าดูโลกมอดไหม้ด้วยความวุ่นวาย  อย่างไรก็ตาม สีหน้าของ กวนเซียงฮั่นนั้น สงบอย่างมาก  เขาบอกได้ว่า นางจักทำตามคำขู่เข็ญ !  เขารู้ว่าเขาสามารถจัดการกับศพของนางได้ หากเขาไม่ปล่อยให้นางไปยังเถียรฟา


 


ข้ามิอาจเสี่ยงได้  ข้าไม่กล้าเสี่ยงกับเรื่องนี้ !


 


” เจ้าชนะ ! ”


จวินโม่เซี่ยจ้องเขม็งไปยังแม่นางกวน  จากนั้น เขาถอนใจด้วยความเสียใจ  คุณชายน้อยจวินมั่นใจว่าเขาสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้หากมีเพียงแค่สาวน้อย


แต่ พี่สะใภ้ของข้าก็มีลักษณ์ที่ดื้อด้านมากเกิน ข้ามิอาจทำให้นางขุ่นเคืองได้ !


จวินโม่เซี่ยรู้สึกหม่นหมองในหัวใจ  ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยรู้สึกหม่นหมองเช่นนี้มาก่อนในชีวิต จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นด้วยความโศกเศร้าและไม่พอใจ


” ให้ม้าสองตัวกับพวกนาง  พวกนางจักขี่ม้า ! ”


 


” นั่นไม่สำคัญกับข้า … ”


กวนเซียงฮั่นหรี่ตา และมองต่ำ  ในที่สุดนางยิ้ม  ขางเพียงแค่ขอร่วมทางไปยังเถียรฟา  นางไม่สนใจการดูลที่นางจักได้รับ  ยิ่งไปกว่านั้น ชัดเจนอย่างยิ่งว่า จวินโม่เซี่ย ยอมรับความเสี่ยงอย่างมากที่ปล่อยให้นางร่วมทาง  กฏเกณฑ์ทางหทาร ห้ามมิให้เดินทางไปทำสงครามพร้อมหญิงสาว  มันเป็นข้อห้ามในกองทัพเนื่องจากมีภัยกับชีวิตของพวกนางอยู่รอบด้าน


 


” พวกเราต้องนั่งรถม้าไป ! ”


เด็กสาวยังเยาว์และไร้ประสบการณ์  เช่นนั้น นางจึงไม่รู้สิ่งใดในเรื่องนี้  นางมีความสุขที่ได้ยินว่าคุณชายน้อยจวินยอมอ่อนข้อ และให้พวกนางเดินทางไปกับเขา  อย่างไรก็ตาม นางมองเขาอย่างเย้ยหยันและมีโทสะเมือได้ยินว่า คุณชายน้อยจวินไม่เชิญให้พวกนางเข้าไปในรถม้า และให้ม้าสองตัวกับพวกนางแทน   จากนั้น นางมองไปยังรถม้าที่งดงามอีกครั้ง และเริ่มรู้สึกเหนื่อย  นางบิดสะโพก … ไม่มีส่วนใดของนางที่ไม่เจ็บปวด เมื่อได้เห็นถึงความงดงามของรถม้า


 


” ไม่ได้ !  ข้าอนุญาตให้พวกเจ้ามากับเรา และนั้นก็มากเกินไปแล้วสำหรับพวกเจ้าทั้งสอง  และเจ้ายังต้องการจักนั่งรถม้าไปอีกหรือ ? “


จวินโม่เซี่ยคำรามทางจมูกด้วยความไม่พอใจ


” ข้าจักชอบมากหากเจ้าไม่ต้องการเดินทางเช่นนี้ .. ข้าจักให้คนของข้าส่งเจ้ากลับไปหากเจ้าไม่ชอบการเดินทางเช่นนี้  เอาน่า !  ขึ้นม้า ! “


 


” เจ้า เจ้า … ก็ได้ ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ กระสับระส่ายขณะที่นางชี้นิ้วไปที่เขา  ดวงตาของนางกรอกไปและนางดึงมีดบินออกมาอย่างรวดเร็ว นางเอามันไปไว้ที่คอ


” เจ้า เจ้า … ข้าจักปลิดชีพตัวเองต่อหน้าเจ้า หากเจ้าไม่ให้ข้าเดินทางไปบนรถม้านั่น !  เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ ?! “


 


เด็กสาวเคยเห็นกวนเซียงฮั่นขู่ด้วยการปลิดชีพ  เช่นนั้น นางจึงทำแบบเดียวกัน  และ นางก็ใส่อารมณ์เข้าไปมากขึ้นเพื่อให้เกิดผลที่ดีกว่า  นี่เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลยิ่งนัก  ดังนั้น นางจักไม่ใช้มันได้อย่างไร ?


 


ข้าไม่กลัวที่จักใช้กลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์นี้อีก มันใช้การได้ดียิ่งนัก


 


ใครจักคิดว่าเด็กสาจักเอ่ย


” เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า ? “


ทันใดนนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้น ทหารที่อยู่โดยรอบพยายามอย่างยิ่งที่จักกลั่นไม่ให้หัวเราะออกมา  ไหล่ของนักรบที่ร้ายกาจสั่นสะเทือน ชัดเจนว่าพวกเขามีความยากลำบากในการควบคุมการหัวเราะ


 


ไม่มีผู้ใดสามารถตำหนิพวกเขาได้อย่างแท้จริง  เด็กสาวตัวน้อยผู้นี้ขาดความสามารถในการทำสิ่งเหล่านี้เสียจริง  ความจริงแม้แต่ตัวตลกก็มิได้น่าขบขันเช่นนี้  กวนเซียงฮั่นขู่ที่จักปลิดชีพตัวเองเช่นกัน  แต่ นางขู่เข็ญอย่างน่าเชื่อถือ  จากนั้น ตู่กู้เซี่ยวอี้ เลียนแบบนาง  ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ทำเช่นนั้นอีก  แต่ มันไม่เหมือนกันสิ่งที่เอ่ยก่อนหน้านี้  ยิ่งกว่านั้น นางสิ่งที่นางอ้างเพื่อปลิดชีพนี้มากเกินไป นางจักปลิดชีพตัวเองหากนางไม่ได้นั่งรถม้า ?


 


จวินโม่เซี่ยกรอกตา


” ทำตามที่เจ้าพอใจ  แต่ ข้าขอให้เจ้าไปตายให้ไกลหน่อย  อย่าได้รบกวนสายตาและหัวใจพวกเรา  ข้าขอเจ้าอย่างใจจริง  คำขอนี้คงจักไม่มากเกินไปใช่ไหม ? “


 


น้องนาง หากเจ้ารู้สึกอยากขู่ผู้คนด้วยการปลิดชีพตัวเอง … อย่างน้อยควรให้เหตุผลที่เหมาะสม …มิเช่นนั้น มันจักเป็นสิ่งที่ไม่พึงพอใจหรือ หากเราเริ่มข่มขู่ผู้อื่นด้วยเหตุผลที่ไร้สาระ ?   ข้าจักตายหากเจ้าไม่ให้ข้าเข้าไป ข้าจักตายหากเจ้ามิให้ข้ากิน ข้าจักตายหากมิให้ข้าต่อยเจ้า .. อันใดกัน ?


 


” เจ้า .. เจ้ามันน่าเกลียดชังยิ่งนัก ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ กระทืบเท้า  จากนั้น นางกระทืบเท้าเดินไปยังรถม้าโดยไม่เอ่ยอันใด ยกม่าน และเข้าไปข้างใน และนางไม่ออกมาอีกเลย  จาหนั้น นางตะโกนจากในรถม้า


” ท่านพี่จิ้งฮุ่น มานี่ เร็วเข้า !  ข้างในกว้างมาก !  และยังมีเตียงนุ่มๆอีกด้วย … ฮี่ฮี่ … ”


 


การกระทำนี้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก …


 


คุณชายน้อยจวินขุ่นเคือง


 


นี่มิอาจทนได้ !  ข้าจักไปที่ใดได้หากเจ้าอยู่ที่นั่น ?  คุณชายน้อยผู้นี้จับเจ้าหน้าที่ผู้ฉ้อฉลอย่างยากลำบาก … จากนั้นข้าก็เอารถม้ามาจากเขา !  ใช้ความคิดมากมาย !  มันดูเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเจ้า ?  เจ้าจะปล้นสิ่งที่ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างนั้นหรือ ?  ฮึ่ม .. !


 


จวินโม่เซี่ยก้าวยาวและคว้าแขวของ ตู่กู้เซี่ยวอี้


” เจ้าลงมา ! ”


 


” ..​ไม่ลง !  ข้าไม่ลง !  ข้าจักนั่งรถม้านี้ ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ใช้มืออีกข้ารั้งผนังรถม้าเอาไว้  นางตัดสินใจดิ้นรนด้วยคาวมเกรี้ยวกราด  ใบหน้าของนางเริ่มแดง  แต่นางก็ยังไม่ยอมปล่อย


 


เงาสีขาวเปล่งประกาย จากนั้น กลิ่นหอมหวนลอยผ่าน กวนเซี่ยฮั่นก็กำลังจะเข้าไปในรถม้าเช่นกัน  จากนั้น นางตีมือจวินโม่เซี่ยและดึงออก


“ต่อสู้กับหญิงสาวเพื่อรถม้า !  นี่คือสิ่งที่คุณชายน้อยจวินจากสกุลที่ดีทำอย่างนั้นหรือ ? “


 


 


จวินโม่เซี่ย เอ่ยด้วยโทสะ


” อะไรนะ ?  ข้าต่อสู้เพื่อรถม้า ?  เจ้ากำลังเอ่ยสิ่งใด ?  ชัดเจนว่าหญิงสาวของเจ้าแย่งรถม้าข้า !  เจ้าคิดว่าคุณชายน้อยผู้นี้จักทุกข์ทนหรือไม่ ?  เจ้าทั้งสองมันกลิ้งกลอก !  นี่ไม่ไร้เหตุผลมากเกินไปหรือ ? “


 


กวนเซียงฮั่น ไม่ยั่วยุจวินโม่เซี่ยอีกต่อไป  นางเอื้มมือไปยังม่านของรถม้า และดึงลง  จากนั้น มีเสียง แกร็ก ดังขึ้น  ดูเหมือนว่า หญิงสาวทั้งสองกำลังนอนลงบนเตียง ราวกับพวกนางกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า และกำลังจะหลับนอน บางคนได้ยินเสียง ตู่กู้เซี่ยวอี้ เอ่ยอย่างพึงพอใจ


” สบายยิ่งนัก !  ในที่สุดเราก็ได้นอนหลับอย่างสะดวกสบาย … “


 


จวินโม่เซี่ยยืดหน้าอก และตำหนิความโง่เขลาของตัวเอง


ข้าพยายามเสนอความจริงต่อหน้าหญิงสาว … ข้าพยายามแนะนำเหตุผลกับหญิงสาว … นั่นมิใช่เรื่องโง่เขลา ?  แต่ข้ามิอาจเอาพวกนางออกมาได้ เนื่องจาก พี่สะใภ้ของข้าก็ก้าวเข้าไปในรถม้าเช่นกัน … ข้าจักไม่ดื้อรั้นได้อย่างไร  ข้าต้องอยู่ข้างนอกตรงนี้ ไม่ว่าข้าจักไม่ชอบความคิดนี้ขนาดใหน …


 


กองทหารเดินหน้าต่อไป  พวกเดินทางไปครึ่งวัน ในตอนที่จวินโม่เซี่ยเริ่มตัวสั่นอย่างรวดเร็ว  ม้าของเขาตัวใหญ่และทรงพลัง แต่มันมิได้สะดวกสบายดั่งเช่นรถม้า  จากนั้นเขาก็รังเกียจที่จะหันไปมองมัน  จากนั้น เขาขมวดคิ้ว และเริ่มวางแผนการชั่วร้าย


 


จวินโม่เซี่ย กระอักเลือดออมากหลังจากนั้น  เขาเอียงม้าและร่วงลงมา เขาร่วงละงกระแทกพื้นด้วยเสียง ตุ๊บ  ดวงตาของเขาปิดลง และดูเหมือนสิ้นสติ


 


ทหารร้องขึ้น  แต่ พวกเขามิได้โง่เขลา และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น  ดังนั้น พวกเขาจึงเล่นตามเกม


” ไม่ดีแล้ว !  คุณชายน้อยเป็นลม !  อาการบาดเจ็บของเขาไม่ดีนัก … ! ”


พวกเขาร้องออกไปด้วยน้ำเสียงสลด


 


การบาดเจ็บอาการไม่ดี ?


 


การเป็นลมของจวินโม่เซี่ยเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ  .ข้าได้รับบาดเจ็บอันใดกัน ?  เอ่อ … แต่นี่ช่างมีเหตุผล … ข้าต้องยกย่องและให้รางวัลกับคนผู้นี้เมื่อข้ามีโอกาส …


จากนั้นเขาขยับตา


 


“เรื่ออันใดกัน ? “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยกม่านขึ้น และถาม  ดูเหมือนนางเป็นกังวลอย่างมาก ขณะที่กวนเวี่ยงฮั่นมองไปยัง การเป็นลมของจวินโม่เซี่ยพร้อมครุ่นคิด

 

 

 


ตอนที่ 320

 

” คุณชายน้อย … คุณชายน้อยได้รับบาดเจ็บ … เขามิอาจขี่ม้าได้แล้ว .. นั่นเป็นเหตุให้เขาต้องนั่งรถม้า ! ”


หน้าผากของผู้นำกลุ่มดูดกลืนวิญญาณ หวางดงเปียกชุ่ม  นั่นมิใช่เพราะเขาหวาดกลัว  เขาแค่กระทำตัวเองเพื่อให้เกิดผลเช่นนี้ คนผู้นี้คิดหาข้ออ้าง  แต่ มันไม่สมเหตุสมผลหรือ ?  เขาเป็นผู้ที่มีสติปัญญายิ่ง  เขารู้ว่า ก้นของคุณชายน้อยถูกตีในตอนที่เขาแหกกฏทหาร  เช่นนั้น เขาจึงเร่งรีบใช้ความจริงนี้เพื่อทำการโกหกอย่างสมเหตุผล


” เร็วเข้า ยกคุณชายน้อยขึ้น  เร่งรีบพาเขาไปยังรถม้า และดูแล !


 


สมาชิกของ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ จำนวนหนึ่งร้อนรน พวกเขาเป็นกลุ่มของมือสังหาร แต่การแสดงของพวกเขาก็เป็นเลิศ


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ เร่งรีบลงมา


” ให้ข้าดู !  เร้วเข้า ให้ข้าดู !  เอ๋ !  เร็วเข้า รีบพาตัวเขาไปที่รถม้า !  เขาได้รับการบาดเจ็บจริงๆ … เหตุใดเขาถึงมิได้เอ่ยถึงมัน … !? “


 


ทุกคนเหงื่อตก  มือสิบสี่ข้างยกร้างไร้สติของจวินโม่เซี่ย และ นำตัวเขาไปยังรถม้า


 


กวนเซียงฮั่นยังคงอยู่ในรถม้า  นางต้องการเอ่ยบางสิ่ง แต่ในที่สุดก็ติดสนใจเงียบปากไว้  นางอดยิ้มเล็กน้อย ขณะมองไปยังร่างไร้สติของจวินโม่เซี่ยไม่ได้


 


ข้ารู้ถึงพฤติกรรมของน้องเขยได้อย่างชัดเจน


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้  ยืดคอ และถามด้วยความร้อนใจ


” เขาได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร ?  เขาได้รับความเจ็บปวดเมื่อใด ?  บาดเจ็บอย่างไร ?  มันรุนแรงหรือไม่ ?  เจ้ามียาหรือไม่ ?  จักต้องใช้ยาอันใด ?  ผู้ใดทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ … ? “


 


คำถามมากมายทำให้นักรบเลือดเย็นตะลึงงัน พวกเขาคิดหาคำโกหกที่ชาญฉลาดนี้อย่างยากลำบาก  แต่ พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามที่มากมายเช่นนี้ได้


ความจริงที่ว่า คุณชายน้อยละเมิดกฏทหาร และได้รับการลงโทษตีด้วยกระบอง … มิใช่เรื่องที่ดี  ยิ่งกว่านั้น การบาดเจ็บของคุณชายน้อยที่ได้รับจากการลงโทษนั้นก็หายแล้ว  เขาหายไปนานแล้ว ….


 


” เซี่ยวอี้ !  มานี่ก่อน ! อย่าได้ซักไซ้พวกเขา ! ”


เสียงของกวนเซี่ยงฮั่นดังออกมาจากข้างใน  เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตู่กู้เซี่ยวอี้ ถึงถอยออกมาและเข้าไปด้านใน  นางเป็นกังวลและมันแสดงออกมาจากน้ำเสียงของนาง


” พี่จิ้งฮั่น นี่ … มันจักเป็นอย่างไร ?  พวกเราควรทำอะไร ?  เอ๋ !  เขาได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร ?  เข้าเป็นกงัวลยิ่งนัก … ”


 


สมาชิก กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ ปาดเหงื่อ


 


” ฮี่ ฮี่ … ”


กวนเซียงฮั่นมิอาจกลั่นขำได้  จวินโม่เซี่ยค่อยตื่นขึ้นในไม่นาน  เขาดูสุขภาพไม่ดี ขณะถาม


” ข้าอยู่ที่ใด ?! “


 


กวนเซียงฮั่นยังไม่เอ่ยสิ่งใดเมื่อ ตู่กู้เซี่ยวอี้ ขัดจังหวะด้วยความตื่นเต้น


” ในรถม้า !  เจ้าอยู่ในรถม้า !  เจ้า ..​เจ้าตื่นแล้ว !  เอ๋ !  เจ้าได้รับบาดเจ็บอันใด ?  เร็วเข้าบอกข้าว่าจักจัดการกับมันได้อย่างไร ?  ข้าจักช่วยเจ้า ! ”


 


แม่นางกวนกรอกตา


เจ้าเด็กสาวผู้นี้ไร้เดียงสายิ่งนัก


 


 


” ข้า บาดเจ็บ ?  ข้าบาดเจ็บ แต่นั้นหายแล้ว  ข้าเพียงแค่สุขภาพไม่ดีนั่นเพราะ .. ข้าได้รับพิษ ”


จวินโม่เซี่ยพึมพัม  เขายักไหล่อย่างมีเลศนัย และหายใจสองสามครั้ง


บุรุษและหญิงสาวแตกต่างกันยิ่งนัก  ข้าอยู่ในรถม้ามาหลายวัน แต่มันก็ยังมิได้มีกลิ่นเช่นนี้  แต่ หญิงสาวสองผู้ที่เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยเพิ่งเข้ามาในรถม้า และมันก็มีกลิ่นที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ …


 


” เอ๋ !  เช่นนั้นมันเป็นเพราะพิษ ?! “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ตกใจ  นางเบิกตากว้าง


“มันคือพิษอันใด ?  มันอันตรายหรือไม่ ?  เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคือพิษอันใด ?  รักษายากหรือไม่ ? “


 


” โอ… ข้ามิได้ระมัดระวัง  ดังนั้นข้าจึงได้รับพิษ ”


จวินโม่เซี่ยรู้สึกเสียใจยิ่งนัก


” จักบอก อ๊อก อ๊อก มันยากเกินกว่าอธิบาย  ข้าจักดีขึ้นหลังจากได้พักผ่อนสักสองวัน  มันจักน่าอายที่จักบอกเจ้าทั้งสอง … เจ้าไม่ต้องจัดการกับพิษของข้า …”


 


” ผู้ใดว่าเช่นนั้น ?  เหตุใดเราจึงไม่เต็มใจ ?  บอกพวกเราเร็วเข้า !  เราจักช่วยเจ้าได้อย่างไร ? “


ตู่กู้เซี่ยวอี้สอบถามอย่างเร่งรีบ .เหตุใดชายผู้นี้จึงอารมณ์เสีย ?  เขาได้รับพิษ .. และเขายังคงโง่เง่า !  ไม่รู้ว่าผู้อื่นเป็นห่วงเจ้ามากเท่าใหร่ ?


 


” อ๊อก อ๊อก … พิษที่ข้าได้รับนั้น … มันชื่อว่า หยินหยางประสานโอสถ ”


จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างมีเลศนัย  เขาต้องการชั่งน้ำหนักวาจาของเขาอยางระมัดระวัง  จากนั้นเขามองตรงไปยังใบหน้าของ กวนเซียงฮั่น เอาอดใจสั่นไม่ได้หลังจากที่เขามองสีหน้าอันเยือกเย็นของนาง ดังนั้นเขาจึงมิได้เอ่ยต่อ


 


” หยินหยางประสานโอสถ?  ชื่อมันช่างน่ากลัว !  แต่เจ้าบอกว่าใช้มันรักษาได้ ? “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ถามร้อนรน  นางเป็นเหมือนแมวที่อยู่บนหลังคาร้อนระอุ  จมูกเล็กๆและอ่อนละมุนของนางเปียกชุ่ม


 


” หยินหยางโอสถ เป็นความจริงที่จักเอ่ยว่ามันเป็นการยากที่จักรักษาพิษนี้  แต่ มันเป็นวิธีรักษาที่ดี  ฮี่ฮี่ … อ๊อก อ๊อก … ”


จวินโม่เซี่ยยิ้มอย่างช่วยร้ายชั่วแวปหนึ่ง  ดังนั้นเข้าจึงไอเพื่อกลบเกลื่อน


” ไม่มียาใดที่สามารถรักษาพิษนี้ได้ แต่การรักษามันนั้นง่ายดาย แต่ ช่างน่าอายที่จะบอกถึงการรักษา  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจัดต้องเสียสละอย่างมากเพื่อรักษาพิษนี้ ”


 


” ไม่สำคัญ !  ข้าจักเสียสละทุกสิ่งเพื่อเจ้า ”


สาวน้อยเปล่งเสียง  กวนเซียงฮั่นนั่งอยู่ข้างๆพวกเขา  ยิ่งนางได้ยินส่งเหล่านี้ … นางยิ่งรู้สึกความพิษรุนบางอย่าง


 


เจ้าเด็กเหลือขอนี่แกล้งเป็นลม เซี่ยวอี้โง่เง่าที่เป็นห่วงเขา  น่างมองไม่เห็นถึงความจริงที่อยู่ในความสับสนนี้  แต่ เขากำลังวางแผนการร้ายอันใดอยู่ ?


 


” แท้จริงแล้วมันต้อง … อ๊อก อ๊อก … การสังวาสกันระหว่างหญิงและชาย  จากนั้น พิษนี้จักถูกถอนออกไปในทันที “


 


จวินโม่เซี่ยดูเขิลอาย  เขาเอามือปิดปากเพื่อไอ


” อ๊อก อ๊อก … มิเช่นนั้นข้าจักต้องตายด้วยกิเลสตันหา หลังจากผ่านไปสามวัน  ข้าเข้าใจว่าเจ้าต้องอับอายอย่างมากเพื่อได้ยินเช่นนี้  เช่นนั้น ลืมมันเสีย … นี่เป็นชะตากรรมของข้า ”


 


คุณชายน้อยจวินเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย


 


” ฮ๊ะ ?!  อะไร ?!  เพื่อถอนพิษเจ้า … ข้าต้อง…. กับเจ้า ….เจ้า ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ เบิกตากว้างในทันที  นางของนางเริ่มแดงขณะที่นางเริ่มเขินอาย  นางยังเด็กและไร้เดียงสาง  แต่นางรู้ว่าการสังวาสคืออะไร


 


กวนเซียงฮั่นคิดไว้ว่านางเขยของเขาวางแผนการยางอย่าง  แต่ นางไม่เคยคิดว่าเจ้าชั่วร้ายผู้นี้กระทำไร้อางอายเช่นนี้ !  ชัดเจนว่านางไม่คาดว่าเขาจักสกปรกมากมายขนาดนั้น  นางคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อนางได้ยินเขาเอ่ยถึง หยินหยางประสานโอสถ นางรู้สึกบางสิ่งน่าสงสัย อย่างไรก็ตาม กวนเซียงฮั่นยังคงไร้ประสบการณ์  เช่นนั้นนางจึงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงและชาย  ยิ่งไปกว่านาง นางประเมินความไร้ยางอายของจวินโม่เซี่ยต่ำไป  หญิงสาวไม่คากว่าเขาจักทำเช่นนั้นได้


 


ข้าใจกว้างอย่างมากที่ยอมให้เขาเข้ามาในรถม้า  แต่ ..ตอนนี้เขาต้องการ …


 


” จวินโม่เซี่ย! ”


คิ้วของกวนเซียงฮั่นชี้ขึ้น และดวงตาของนางร้อนผ่าว


” เจ้าตกลมากพอหรือยัง ?! เจ้าต้องการให้ข้าเต่ะเจ้าออกไปอีกหรือ ?  เจ้าควรมีความสุขที่ให้ข้าให้เจ้าเข้ามาในรถม้า !  จงพอใจในสิ่งที่เจ้ามีตอนนี้ ! ”


 


” พี่จิ้งฮั่น อย่าได้มีโทสะไป  เขาได้รับพิษ  นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ มอง กวนเซียงฮั่นอย่างร้อนรนขณะพยายามไกล่เกลี่ย


 


” เขามิได้บาดเจ็บ หรือได้รับพิษ !  ไม่มี หยินหยางประสานโอสถอันใดนี่ ! ”


กวนเซียงฮั่นเอ่ยอย่างเยือกเย็น


“เขาสบายดีเมื่อเขาเข้ามาอยู่ในรถม้า  แต่ เขาอ่อนแรงเมื่อขี่ม้าอยู่ด้านนอก  คนข้างนอกนั้นบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บ  แต่ เขาบอกว่าเขาได้รับพิษ  น้องเซี่ยอี้ เจ้าคิดว่าจะยอมให้เขาหลอกไปอีกนานแค่ใหน ?  เจ้าคิดไม่ออกหรือ ?  เจ้าใช้หัวน้อยของเจ้าหรือไม่ ? “


 


” หึม ?  พี่เซี่ยวฮั่น .. อย่าได้ฉุนเฉียว .. ท่านบอกว่าเขาแกล้งทำและไม่ได้รับพิษ ? “


ใบหน้าของเซี่ยวอี้เริ่มแดงก่ำ  จากนั้นนางเริ่มแสดงท่าทางเนื่องจากฉุนเฉียว


 


คิดว่าข้าถูกเขาหลอก … ข้าพยายามเพื่อรักษาเขาหากเขาหลอกลองพี่จิ้งฮั่นด้วย …


ตู่กู้เซี่ยวอี้อดที่จะรู้สึกอับอายไม่ได้  คอของนางแดงก่ำภายในไม่กี่วินาที  จากนั้นนางมองไปยัง กวนเซียงฮั่นด้วยสีหน้าเขิลอาย และซบหน้าลงที่หน้าอกของนาง  นางถูกหลอกและเสียหน้า  จากนั้นนางเอ่ย


” ท่านพี่ !  ข้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อีกแล้ว ! ”


นางกระทืบเท้าต่อเนื่องขณะที่นองเอ่ยสิ่งนี้


 


” เอ๋ เจ้าไม่คิดจักถอนพิษเขาแล้วหรือ ? “


กวนเซียงฮั่นถามอย่างเยือกเย็น


เจ้าเด็กสาวผู้นี้โง่เง่าเสียจริง !


 


“เอ๋ ดูเหมือนว่าข้าจำผิดไป  ข้ามิได้รับพิษ ”


จวินโม่เซี่ยไอช้าและเบาลง


 


หญิงสาวทั้งสองกรอกตา


เจ้าจำผิดหรือ ?


 


จากนั้น จวินโม่เซี่ยยืนขึ้น  เขายิ้มขณะเอ่ย


“เส้นทางนี้ยาวไกลไร้สิ้นสุด  มันต้องใช้เวลาเนิ่นนางกว่าจักถึงจุดหมาย  มันจักน่าเบื่อแบบนี้  เช่นนั้น เจ้าชอบเรื่องราวที่ข้าเล่าไปหรือไม่ ? “


 


หญิงสาวทั้งสองประหลาดใจ  ดวงตาของพวกนางเบิกกว้างขณะที่เพ่งไปยังคุชายน้อยจวิน


เป็นการยากจักเชื่อว่าในโลกนี้จักมีคนที่หนังหนาเช่นนี้ !  เขาถูกจับโกหกได้ … แผนการชั่วร้ายและความต้องการที่สกปรกของเขาถูกเปิดโปง !  แต่เขามิได้เขินอาย  ความจริง เขามิได้รู้สึกอับอาย !  และเขาไร้ยางอายที่บอกว่า เขาเล่าเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนสถานการณ์ที่น่าเบื่อนี้ ?


 


คนผู้นี้ไม่ลวงโลกไปหน่อยหรือ ?  หนังหน้าไม่หนาไปหน่อยหรือ ?


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ผู้น่ารักโบกเสื้อผ้าของนางไปมา


” ข้าให้เจ้าหลอกลวงข้า .. เจ้าเหลือขอ .. เจ้าเหลือขอ ! ”


 


กองหน้าของคุณชายน้อยจวินเริ่มเริ่มสะดวกสบายขึ้นเมื่อวันเวลาผ่านไป  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้เงินมามากมายจากการรีดไถเจ้าหน้าที่ผู้ฉ้อฉลระหว่าเดินทาง  และ สาวสวยทั้งสองมาติดตามพวกเขา กลิ่นหอมที่เข้มข้นของพวกนางทำให้จวินโม่เซี่ยยินยอมอย่างพึงพอใจ และลืมสิ่งที่เขาเป็นกังวล


 


ความจริง แม้นความคิดในการฝึกฝนก็ถูกละเลยไป หากเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์มิได้ถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ภายใน


 


คุณชายน้อยจวินก็มีความสุขตลอดการเดินทางนี้  ขอขอดของเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ก็ชัดเจนเช่นกัน  นั่นหมายความว่าเขาจักบรรลุผ่านขั้นเชวียนหยกกลางไปยังเชวียนหยกสูงสุด


 


ทุกวันเป็นวันที่นองเลือดสำหรับ กลุ่มทำลายสวรรค์และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  พวกเขาต่อสู้อย่างคล่องแคล่วทุกวัน และมีอารมณ์แปรปรวนเพิ่มขึ้นในทุกวัน  ผู้คนราวสองร้อยเร่มส่งสัญญาณของการบรรลุ  กลิ่นอายที่โหดร้ายและเข้มแข็งของกลุ่มทั้งสองเพียงพอจักทำให้ทุกผู้ตกตะลึง


 


คุณชายน้อยจวิน ต้องการให้การเดินทางที่งดงามนี้ดำเนินต่อไปอีกหลายวัน  แต่ กลุ่มทำลายสวรรค์ และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ ได้สังหารคนน้อยลงเมื่อคืนวันผ่านไป  เช่นนั้น คุณชายน้อยจึงตัดสินใจ …


 


ภูมิประเทศของหุบเขานี้สูงชันยิ่งขึ้น ถนนเริ่มยากลำบากและป่าเริ่มหนาทึบ  สวรรค์ควรทำให้โจรมีมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับมีจำนวนน้อยลง สิ่งนี้อาจเป็นเพราะพวกเราเข้าไกล้ มณฑลฉือฮั่น ดังนั้น การขโมยเล็กๆน้อยจึงเริ่มลดลง …


 


” คุณชายน้อย พวกเราห่างจากจุดหมายปลาทาง ป่าเถียร ประมาณสามร้อยกิโลเมตร  มณฑลฉือฮั่น อยู่ใกล้กับ … ป่าเถียรฟาเป็นอย่างมาก  ตอนนี้พวกเราอยู่หน้าหุบเขาสูงสองแห่งในป่า ”


ผู้นำ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  หวางดง ชี้ไปขณะที่เขารายงาน


 


” เหตุใดพวกเราจึงเดินทางช้ายิ่งนัก ?  พวกเราเดินทางมากหลายวันแล้ว …”


จวินโม่เซี่ยถาม เขารู้สึกหงุดหงิด


” ตอนนี้พวกเราเดินทางมานานนับเดือน  เจ้ามิได้เดินทางเร็วขึ้นกว่าครั้งก่อนหรือ ? “


 


” คุณชายน้อย … พวกเราเดินทางได้เร็วเนื่องจากไม่ได้บันทุกของหนัก  แต่ ยังมีปัญหาอื่นๆอีก  ที่นี่พวกเรามิควรทำความเร็ว พวกเราเดินทางได้เร็วขึ้นกว่าครั้งก่อนอย่างแน่นอน  ความจริง พวกเราอาจจะเดินทางได้ หกร้อยห้าสิบกิโลกรัมต่อวัน หรือมากกว่านั้น  อย่างไรก็ตาม พวกเราใช้เส้นทางอื่นไปยังป่าเถียรฟา  เส้นทางนั้นมี สัตว์เชวียนระดับสูงน้อยกว่า เช่นนั้น เราต้องจัดการกับสัตว์เชวียนระดับต่ำเป็นหลัก  ข้ากลัวว่า ไม่มีผู้เราคนใดที่จักทำมันได้หากเลือกเส้นทางนั้น  แต่ พวกเรามีกองทหารมากมายอยู่เบื้องหลังพวกเราในตอนนี้  พวกเราคือแนวหน้า แต่พวกเราต้องไม่ทิ้งทัพหลักไว้เบื้องหลังห่างไกลนัก .. และ พวกเราต้องส่งกลุ่มกองออกไปบ่อยขึ้นเนื่องจากจักมีอันตรายมากมาย  ดังนั้น ความเร็วขนาดนี้ถือว่ามากยิ่งแล้ว ”


หวางดงอธิบาย


 


” โอ้ว … ”


จวินโม่เซี่ยเดินลงจากรถม้า  เขาสามารถสัมผัสได้ว่ามีสัตว์เชวียนมากมายอยู่ในป่าเบื้องหน้า  ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์เหล่านั้นเรวดเร็วยิ่งนัก  ความจริง พวกมันรวดเร็วเป็นพิเศษ  พวกมันคล่องแคล่วเกินกว่าสัตว์ธรรมดามากนัก


” ดูเหมือนว่า มีสัตว์เชวียนมากมายอยู่โดยรอยพื้นที่นี้  ป่าเถียรฟานี้ เป็นสถานที่ ที่ดียิ่งนัก …”

 

 

 


ตอนที่ 321

 

” อย่างแรก เราต้องหาสถานที่ซึ่งอยู่ระหว่างหุบเขาและลำธาร  เราจักตั้งค่ายที่นั่น  พวกเราจักรอให้ทัพใหญ่มาถึง จากนั้น เราจักเดินทางต่อไป พร้อมพวกเขา”


จวินโม่เซี่ยออกคำสั่งไม่เร่งรีบ  พวกเขากำลังจักไปถึง มณฑลฉือฮั่น และ จวินโม่เซี่ยไม่ต้องการกระทำการโง่เขลาและมองหาศัตรูที่ป่าเถื่อนด้วยตัวเอง


พวกเราจะประสบโชคร้าย แต่ อย่างน้อย สกุลทรงอำนาจทั้งหลายก็จักได้ประสบสิ่งนั้นด้วยกัน


 


คุณชายน้อยจวิน พยายามหาข้อได้เปรียบเล็กๆน้อยอย่างลับๆ หากสถานการณ์เป็นไปได้  อย่างไรก็ดี เขามิได้ปิดบังความประทับใจที่ดีของ มณฑลฉือฮั่นในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้  เขาจักไม่โศกเศร้า หากสมาชิกของ มณฑลฉือฮั่นล้มตาย


 


ยิ่งไปกว่านั้น … การลุกฮือของสัตว์เชวียนนั้นเกินกว่าจักควบคุมแล้วตอนนี้  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยก็ยังคงเป็นผู้ส่งเสริม ดังนั้น ในอีกนัยสัตว์เชวียนแห่งป่าเถียรฟาก็กำลังต่อสู้เพื่อจวินโม่เซี่ย หากไม่แล้ว … พวกเขาก็ยังคงเป็นพันธมิตรของเขา


 


หวางดงส่งหกคนออกไปยังหกทิศทางเพื่อมองหาสถานที่ ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งค่าย และในที่สุดก็มีผู้ที่พบสถานที่นั้น  จวินโม่เซี่ย กวนเซียงฮั่น และ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เลือกจุดของพวกเขาในทันที


 


สถานที่นั้น เป็นเนินเขาเล็กๆ


 


มันเป็นสถานที่โล่งหน้าเนินเขา  ล้อมรอบไว้ด้วยต้นไม้หนาทึบ  มีทางโค้งอยู่ใกล้ๆ  เป็นเส้นทางหลักสายเดียว พวกเขาสามารถจับตาดูทุกสิ่งอย่างได้ในพื้นที่นั้นได้ หากส่งหน่วยสอดแนบไปประจำยังสถานที่นั้น


 


เสียงน้ำไหลสามารถได้ยินจากด้านหลังเนินเขา มันเหมือนดั่งเสียงคนกำลังทำเกี๊ยว  เห็นเป็นสายน้ำขนาดกลาง  คดเคี้ยวไหลเรื่อยลงมา สายน้ำใสถึงก้นลำธาร และไม่อาจคาดได้ว่าจักมี แอ่งน้ำใสอยู่ที่นี่  ไม่ไกลออกไป ถัดจากลำธารคดเคี้ยว


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้  และ กวนเซียงฮั่น รู้สึกตื่นตะลึงเมื่อได้เห็น


 


หญิงสาวรักความสะอาด  ทั้งสองเดินทางมาเป็นเวลานาน  เช่นนั้น พวกนางจึงรู้สึกเหนื่อยอ่อน  พวกนางจักปล่อยผ่านโอกาสในการชำระล้างร่างกายได้อย่าไงกัน ?  พวกนางสามารถชำระร่างกายได้ก็ต่อเมื่อ ได้พบกับลำธารในยามค่ำคืน  แต่ มันก็ไม่เหมือนดั่งอ่างอาบน้ำในบ้าน  อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเนางก็ได้เห็นกับสระน้ำใสอยู่เบื้องหน้า  ร่างของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เริ่มคันเมื่อได้พบเห็นสระนั้น


 


กวนเซียงฮั่น ก็ได้พบกับสระน้ำที่เปล่งประกายยิ่งนัก  อย่างไรก็ตาม นางก็ควบคุมความคันของนางไว้ได้  นางเข้าใจถึงพฤติกรรมของน้องเขยได้เป็นอย่างดี


เขาจักไม่พยายามแอบมองหรอกหรือ หาข้าลงไปในแอ่งน้ำนั้นพร้อมกับเซี่ยวอี้ ?  ข้าต้องหาวิธีที่ทำให้เขามิอาจทำเช่นนั้นได้  ข้าจักไม่ตายด้วยความอับปยศหรือ ?


 


จวินโม่เซี่ยกระแอมอย่างผ่าเผยเมื่อเขาได้เห็นแอ่งน้ำนั้น  จากนั้นเขาแสร้งมองไปยังที่อื่นประหนึ่งไม่เห็นสถานที่นั้น


 


 


…. ….


 


จวินโม่เซี่ยเห็น กลุ่มยอดฝีมือเชวียนมากมาย ผิวปาก ตลอดการเดินทางนี้  คนเหล่านี้ เร่งรีบมุ่งหน้าไปยัง เถียรฟา  อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าคนเหล่านี้มีท่าทางที่เหมือนกัน  พวกเขามองไปยังกลุ่มของจวินโม่เซี่ยอย่างเหยียดหยาม หรือผ่านไปหลังจากเหลือมมองพวกเขา


 


ชัดเจนว่า กองทหารมิได้สำคัญในความคิดของเหล่ายอดฝีมือเชวียน  เช่นนั้น จึงชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจจวินโม่เซี่ย


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาพบกว่าได้เผชิยหน้ากับเหล่ายอดฝีมือเชวียนน้อยลงในหลายวันที่ผ่านมา เส้นทางเริ่มรกร้างมากขึ้น


 


ถนนสามสายแยกออกไป ที่ทางออกด้านนอกป่าโปร่ง  เส้นทางนี้ดูเหมือนยาวไกลยิ่งนัก  ทุกเส้นทางดูว่าเปล่าและรกร้าง  ท้องฟ้าเบื้อบนดูห่างไกลสุดลูกหูลูกตาต่างจากในเมือง


 


องครักษ์สองร้อยกว่ากำลังตั่งค่าย  จวินโม่เซี่ย กวนเซียงฮั่น และคนอื่นๆ เดินไปยังปากทางหุบเขา เพื่อหลบเลี่ยงฉากการก่อสร้างที่รุนแรง


 


พวกเขาออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์  จวินโม่เซี่ยและสองหญิงงาม มีผู้ติดตามใกล้ชิดอีกสี่คน  พวกเขาคือ ผู้นำ รองผู้นำ กลุ่มทำลายสวรรค์ และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ


 


จวินโม่เซี่ยถอนหายใจยาว  เขารู้สึกถึงความว่างเปล่า และปลอดโปร่งรอบๆตัว  ท้องฟ้าเริ่มเงียบสงบ  แมลงและจั๊กจั่น กำลังส่งเสียงอยู่รอบๆผ่านป่า  ดูราวจวินโม่เซี่ยกำลังครุ่นคิด  ดูเหมือนว่าคิดของเขากำลังสับสน แต่ก็ดูเหมือนกำลังเงียบสงบ  ความคิดของเขาซับซ้อน แต่เรียบง่าย  เขาอดที่จักงุนงงมิได้


 


แม้แต่ความสับสนเพียงชั่วครู่ก็มีผลที่ร้ายแรงสำหรับมือสังหาร  แม้แต่มือสังหารอันดับหนึ่งเช่นจวินโม่เซี่ยก็มิอาจได้รับการละเว้นจากความจริงนี้ได้  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยได้สูญเสียสติไปแล้วในตอนนี้  ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะนี้ก็กินเวลานานพอสมควร


 


ธรรมชาติสร้างมนุษย์  จิตวิญญาณของข้ามิได้เป็นของโลกที่พวกเขานำพา เกือบครึ่งปีตั้งแต่ที่วิญญาณของข้ามายังที่นี่  ทุกวันที่ต้องดิ้นรน ดั่งเช่นชีวิตก่อนที่ข้าเคยมี  ข้าใช้ความคิดมากยิ่งกว่า  แต่ แขนขามิได้ออกกำลังมากมายเช่นนั้น  ข้าแสร้งโง่มากมาย แต่ข้ามิได้ใช้วิธีการสำหรับเลือดเหล็กของข้ามากนัก


 


เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ข้าถูกความเบื่อหน่ายทับถม  แต่ ข้ามายังโลกนี้เพื่ออันใดกัน ?


 


มันคือการพิชิตโลกนี้ ?  จักยังได้เป็นขุนนางไปตลอดชีวิต ?  หรือเป็นการใช้ชีิวิตอย่างอิสระ ?  …. ประสงค์ใดที่ข้าถูกส่งมาที่นี่ ?


 


จวินโม่เซี่ยเอามือไขว้หลัง และเริ่มเดินไปข้างหน้าไม่ช้าไม่เร็ว แต่มันคือสิ่งอัศจรรย์ในสายตาของชายทั้งหก !  จวินโม่เซี่ย ซึ่งมีท่าทีอันธพาล และไร้ศีลธรรมได้ถูกกำจัดออกไป  นิสัยใจคอแปรเปลี่ยน  ดูราวเขาเป็นดาบสผู้ละเรื่องทางโลก  เห็นได้ชัดว่าเขาก้าวเดินไปอยางมั่นคง  แต่ผู้ที่เฝ้ามองจักรู้สึกว่าเขากำลังเดินอยู่ในช่วงเวลาอื่นไปพร้อมๆกัน


 


ในช่วงเวลาและสถานที่นั้น … เป็นความลึกลับที่ลึกซึ้งสำหรับคนเหล่านั้น


 


รู้สึกถึงความรู้สึกที่มิอาจหยังถึง


คนผู้นี้มีได้อยู่ในโลกนี้  ความจริง เขาไม่ควรที่จะอยู่ในโลกนี้


เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระในสายตาของพวกเขา  แต่ มันก็ยังมีอยู่


 


เขาเดินก้าวต่อไป  แต่ดูเหมือนทุกสิ่งในโลกนี้ ผู้คนนอกจากเขา …พสุธาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า … แมกไม้ข้างกาย และฝุ่นควันในอากาศ … มิได้มีไว้สำหรับเขา   ชัดเจนว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนั้นที่เกี่ยวของกับเขา


 


ทุกสิ่งยังคงสอดประสาน แต่ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะแปลกไปจากโลกนั้น  และ เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ตรงหน้าพวกเขา …


 


ดูเหมือนเขาเป็นอิสระ ระหว่างโลกและสวรรค์  เขามิได้เป็นสิ่งมีชีวิต ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ จวินโม่เซี่ย โดดเดี่ยวอยู่ในโลกใบเล็กของเขา


 


นี่มิใช้ความรู้สึกที่อ้างว้าง แต่ .. มันคือการปลดเปลื้อง  ยิ่งไปว่ากนั้น … ยังมีอากาศที่โศกเศร้า


 


เขาอยู่เหนือทุกสิ่ง  เขาเป็นอิสระจากชีวิตในโลก  แต่ เขาก็ยังสามารถแทรกแซงมันได้


 


ข้ามิได้เป็นของโลกนี้ แต่ข้าอยู่ในโลกนี้  โลกนี้มิใช่ของข้า แต่ข้าจักตายในโลกนี้


 


กวนเซียงฮั่น และ ตู่กู้เซี่ยวอี้  ลืมเรื่องการเดินไป  พวกเขาเพ่งมองอย่างว่างเปล่าไปยังบุรุษผู้อยู่ตรงหน้าของพวกนาง พวกนางคิดเหมือนกัน


นี่คือตัวตนจริงๆของเขาหรือ ….?


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้  อดที่จักเดินไปหาจวินโม่เซี่ยและคุยกับเขาไม่ได้  อย่างไรก็ตาม นางรู้รู้สึกหวาดกลัวจากความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่ส่งผ่านมาจากเขา  กวนเซียงฮั่นดึงนางกลับมาและหยุดมิให้นางเอ่ยปาก


 


กวนเซียงฮั่นไม่รู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับจวินโม่เซี่ย  นางมิรู้ว่าเหตุใดสิ่งต่างๆจึงกลายเป็นเช่นนี้  อย่างไรก็ตาม ฉลาดพอที่จักรู้ว่า ไม่ควรรบกวนจวินโม่เซี่ยในเวลานี้  นางรู้ว่า แม้แต่เสียงเพียงแผ่วเบาก็สามารถรบกวนเขาได้


 


จากนั้นก็มีเสียงตะโกนขึ้น..


 


จวินโม่เซี่ยถอนใจยาวขณะที่เขาหยุดเดิน  จากนั้นเขาเอามือไขว้หลัง และมองขึ้งสู่สรวงสวรรค์  เขาเพิ่งมองไปยังกลุ่มเมฆเนิ่นนาน จากนั้น คุณชายน้อยยิ้มเล็กน้อย และพยักหน้า  และ เขาก็ยังคงยืนสงบนิ่ง เพียงเพื่อพบว่าความคิดในใจขอเขากระจ่างใส


 


ไร้ความปรารถนาหากไร้ซึ่งความคิด  ไร้สิ่งใดถาวรในโลกหล้า


 


ราวกับคนที่ตื่นจากฝันและกลับมาสู่ความเป็นจริง  จวินโม่เซี่ยรู้สึกอย่างชัดเจนว่า ปราณของเขาเติบโตขึ้นมาก  แต่มันก็ยังมิอาจฝ่าข้ามขีดจำกัดได้  ดูเหมือนว่า มีชั้นหมอกบางๆปิดบังสายตาของเขาอยู่  ชั้นของหมอกนี้กั้นเขากับขั้นต่อไปอยู่  มันพร่ามัว อย่างไรก็ตาม ปราณของเขาจักก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดหากเขาสามารถบรรลุข้อจำกัดได้


 


และ … จวินโม่เซี่ย สามารถสัมผัสถึงที่มาของการขัดขวางนั้นได้รางๆ


 


มันมาจากหัวใจของเขา


 


” โม่เซี่ย .. เจ้า .. เมื่อครู่เจ้าคิดถึงเรื่องอันใด … ? “


น้ำเสียงของกวนเซียงฮั่นคล้ายเยือกเย็นและชัดเจน กว่าแต่ก่อน  แต่จวินโม่เซี่ยสามารถสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความใส่ใจและเป็นห่วง


 


กวนเซียงฮั่นฉลาดล้ำ  นางสามารถสัมผัสได้ว่า จวินโม่เซี่ยเพิ่งตกอยู่ในภวังค์  และ นางรู้สึกได้ว่าเขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ  เช่นนั้น นางจึงเฝ้ามองขณะที่เขาดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์นั้น  นางเฝ้ามองเขาชั่วครู่  แต่นางรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มดูเหมือนผู้ที่กำลังได้เข้าสู่นิพพาน แต่ยังคงติดกอยู่กับเรื่องทางโลก  นางรู้สึกถึงวความแตกต่างในตัวเขา  เช่นนั้น นางจึงอดถามมิได้


 


“เมื่อครู่ … ข้ากำลังคิด … ”


จวินโม่เซี่ยยังคงดูเหมือนยังคงเหม่อลอย  ราวกับขาข้างหนึ่งของเขายังคงติดอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณ  เขาเอ่ย


“ข้าจักทำสิ่งใดในชีวิตนี้ดี ?  หรือ เหตุใดข้าจึงมีชีวิตนี้ ?  เป้าหมายของข้าคืออันใด ?  ข้าทำอันใดได้บ้าง ?  ข้าจักได้สำเร็จเรื่องใด ? “


 


” เป้าหมาย ? “


กวนเซียงฮั่น ถามอย่างลังเลก่อนเอ่ยต่อ


“มันไม่สำคัญหรือ ที่ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมาย ?”


เหตุใดข้าจึงมีชีวิตอยู่ ?  ทีนี่ข้ามีเป้าหมายอันใด ?


 


กวนเชียงฮั่นรู้สึก เซื่องซึมขึ้นทันที


น้องเขยข้ายังมีเป้าหมาย  แล้ว ข้า ?  ข้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จักทำตามเป้าหมายของข้า ?  ข้ามีความสามารถหรือไม่ ?


 


” ใช่ ทุกคนควรมีเป้าหมาย ทุกคนควรมีมัน  ข้าเคยมีความคิด  ข้าต้องการใช้ความแข็งแกร่งเพื่อทำให้โลกดีขึ้น  ข้าต้องการที่จักสังหาร และฆาตรกรรมหมู่ เพื่อชำระล้างโลก  ข้าหวังว่ามันจักนำพาความสุขและความรุ่งโรจน์ดั่งที่ข้าต้องการ  ข้าไม่ต้องการมองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนไม่ยุธิธรรมาในสายตาข้า … ”


จวินโม่เซี่ยยิ้มเล็กน้อย ขณะที่เขาเอ่ย


 


” ข้ามิเคยสนใจผู้อื่น  ข้าทำตามเพียงวิธีของข้า และข้าทำในสิ่งที่ข้ารู้สึกอยากทำในทุกโอกาส  ข้าเดินไปตามทางของข้าเสมอ  ข้าจักไม่เปลี่ยนแปลงแม้นเมื่อข้ารู้ว่ามันยังไม่ดีพอ และข้ายังคงดื้อดึง … แต่ข้าเปลี่ยนไปหลังจากที่มาที่นี่  ข้าเปลี่ยนไปย่างสิ้นเชิง … ”


 


กวนเซียงฮั่น ไม่รู้ว่า ความดื้อดึงที่จวินโม่เซี่ยพูดนั้นหมายถึงอันใด  และ นางไม่เข้าใจถึงความหมายของคำว่ามาที่นี่ แม้แต่น้อย  อย่างไรก็ตาม นางได้ฟังจวินโม่เซี่ยพูด และรู้ว่าจวินโม่เซ่ยรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก


 


สิ่งนี้ทำให้นางสงบดั่งน้ำนิ่ง  อย่างไกร็ตาม นางรู้สึกเจ็บปวดในส่วนลึกของหัวใจ


 


มันเหมือนการเฝ้าดู ขุนศึก ที่ไม่เคยพ่าย ใช้พลังและฝีมือทั้งหมดที่เขามี เพียงเพื่อพบว่าศัตรูของเขามีมากมายทั่วโลก … และมันเกินกว่าความสามารถของเขาที่จัดเอาชนะ และกำจัดศัตรูให้หมดไปได้


 


เขาพยายามมาตลอดทั้งชีวิต  แต่ เขาเอาแต่โอ้อวด และพยายามทำสิ่งที่มิอาจเป็นไปได้  มันคือความหดหู่ หมดหนทาง และผิดหวัง ซึ่งมิอาจอธิบายเป็นคำพูดได้


 


กวนเซียงฮั่นครุ่นคิดชั่วระยะ จากนั้น นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม


“มนุษย์มีเพียงหนึ่งชีวิต หญ้ามีเพียงหนิ่งวสันต ผู้ใดล่วงรู้หนึ่งชีวิตมีประสงค์อันใด ?  ยากยิ่งจะกล่าว  ตอนนี้นั่นคือสิ่งที่เรากำลังเอ่ย … พวกเราหญิงสาวเพียงช่วยเหลือสามีและเฝ้าดูแลลูกหลาน วันแล้ววันเล่า .. ปีแล้วปีเล่า … ไม่สำคัญว่าเราจักอายุถึงเพียงใด  แต่ พวกเรามิรู้สึกสิ้นหวังแต่อย่างใด  ข้ามั่นใจหญิงสาวส่วนใหญ่ในโลกเป็นเช่นนี้  และ ชีวิตที่โง่เขาและเข้มงวดเช่นนี้ ทำให้หญิงสาวนับไม่ถ้วนมีความสุข และ พึงใจ  สำหรับบุรุษ .. โดยเฉพาะผู้ทรงอำนาจ ความแข็งแกร่ง และความสามารถ .. พวกเขาเพียรพยายามเพื่อเกียรติ ชื่อเสียง และความสำเร็จ  พวกเขาพยายามอย่างอาจหาญ และดุเดือด  แม้แต่สามัญพวกเขาพยายามเพื่ออาหาร และเสื้อผ้า  นั่นเป็นดั่งที่เขากล่าว บุรุษ กินบุรุษ … ”


 


นางไม่รู้ว่าจวินโม่เซี่ยหันมาและเข้ามาใกล้ ขณะที่นางเอ่ยสิ่งนี้  ดวงตาของเขาลุกโชนราวพระจันทร์เต็มดวงขณะที่เขามองมาที่นาง  แต่ ดวงตาเหล่านั้น มิได้ตกตะลึง พวกมันดูลึกล้ำ สงบสุข และ ครุ่นคิด  สีหน้าของเขา ครุ่นคิดล้ำลึก


 


ไม่มีหญิงสาวในสังคมศักดินาเช่นนั้น สามารถเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างเด่นชัดเท่า กวนเซียงฮั่น สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจนัก


 


“บุรุษส่วนใหญ่ในโลกนี้ทำงานอย่างหนัก  และ แท้จริงแล้วมันไร้ค่า ”


มีความซับซ้อนในดวงตาของกวนเชียงฮั่น  แต่ ดวงตาของนางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยการแก้ปัญหาที่ยากลำบาก และการดูหมิ่นเล็กน้อย  ดูเหมือนคำถามที่ว่า สิ่งที่บุรุษควรทำ เป็นสิ่งสิ่งที่นางถือว่าควรกล่าวถึง


 


” เช่นนั้น เจ้าคิดว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้มีอยู่เพื่ออันใด ?  บางที เจ้าสามารถบอกข้าได้ว่าเราควรทำสิ่งใดในโลกนี้ ? “


จวินโม่เซี่ยถามนาง ขณะที่เขาครุ่นคิด


 


” ข้ามิรู้จุดประสงค์ของผู้อื่น  ข้าไม่สามารถเพียงพอจักเอ่ยแทนพวกเขาได้  แต่ ข้ารู้ตัวข้า ”


กวนเชียงฮั่นเอ่ยเชื่องช้า  ดวงตานางเปล่งประกายชัชวาล


” ข้า กวนเซียงฮั่น เป็นเพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอ  สำหรับโลกของบุรุษ .. ข้านั้นไร้สามารถเพียงพอที่จะเป็นภรรยาที่ดี … เช่นนั้น ส่งที่ข้ามองหาในตอนนี้ .. คือความสงบของข้า .. และนั่นเพียงพอแล้วสำหรับข้า  “


 


ใช่  ข้า กวนเซียงฮั่นเพียงมองหาความสงบสุข


 


ข้าหมั้นหมายกับ จวินโม่โย่ว เพื่อประโยชน์ของสกุล  ข้ามิเคยพบเจอเขา แต่ข้าทำมันเพื่อประโยชน์ของสกุลข้า .. เพื่อประโยชน์ของพ่อแม่  ข้าไร้ทางเลือกอื่นใด


 


และข้าจักต้องชดใช้เพื่อพ่อแม่ และสกุล


 


ดังนั้น หัวใจข้าจึงสงบสุข


 


ชั่วชีวิตข้าพบ จวินโม่โย่ว เพียงสองครั้ง  อารมณ์ของข้านั้นไม่มีค่าพอจักเอ่ยถึงเรื่องนี้ .. แต่ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนดี และเขาจักได้เป็นสามีที่ดี  ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ได้หมั้นหมายอยู่กับเขาแล้ว  เช่นนั้น ข้าจึงยอมรับโชคชะตา …


 


และจากนั้น เมื่อจวินโมโย่ตายในสนามรบ … ข้าคิดว่าบุรุษที่ดีเช่นนี้ควรค่าให้เสียใจ


 


ดังนั้น ข้าจักร้องให้เพื่อจวินโมโย่ว วีรบุรุษของอาณาจักร  ทำให้สกุลของข้าท้อใจ ข้าตัดสินใจมีชีวิตอยู่กับสกุลจวินในฐานะหญิงหม่าย และ แต่ วิญญาณวีรชนของจวินโมโย่สำคัญมากนักสำหรับข้า  ข้าจักรู้สึกไร้ค่าหากข้าถอนคำสาบาณกับเขา


 


และความจริงนี้ … สิ่งที่ข้าเลือกนั้นถูกต้อง  ข้าโดดเดี่ยวในเวลานี้ .. โดดเดี่ยวยิ่งนัก


 


แต่หัวใจของข้าสงบสุข


 


และตอนนี้  ข้าไม่ลังเลที่จักไปยังเถียรฟาด้วยร่างกายที่อ่อนแอนี้เพื่อทำให้แน่ใจว่า จวินโม่เซี่ย และท่านน้าสามา จักได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย  ข้าเตรียมพร้อมสำหรับความยากลำบากทั้งหมด  ข้าไม่ลังเล หรือละความพยายาม เพื่อให้แน่ใจว่า สองหน้าหลาน จักได้กลับทางเหนืออย่างปลอดภัย


 


ข้าเตรียมตัวเพื่อสังเวยชีวิตข้าเพื่อประโยชน์ของสองคนนี้


 


และหัวใจข้า จักได้สงบสุขด้วยเรื่องนี้


 


ข้าไม่มีความต้องการอื่นใด ! เลยทั้งสิ้น !


 


สกุลจวินเลี้ยงดูข้าอย่างดี .. ราวกับข้าเป็นเลือดและเนื้อที่แท้จริงของพวกเขา  เช่นนั้น ข้าจักไม่ไร้ค่าดั่งสัตว์หากข้าเฝ้ามองจวินโม่เซี่ย และน้าสามจวินต้องตายอย่างหมดหนทางเพราะข้าอย่างนั้นหรือ ?


 


ยังไม่เหตุผลที่มิอาจบอกได้อีก … ดูเหมือนจวินโม่เซี่ยจักมีความรู้สึกมากมายต่อนาง  นางเคยเย็นชาต่อจวินโม่เซี่ย และ ไม่สนใจต่อความรู้สึกเขา  แต่นางอ่อนข้อลงไม่นานมานี้ และละเลยสัญญาณอันตรายต่างๆ  นี่คือความจริงอย่างยิ่ง เนื่องจากจวินโม่เซี่ยช่วยให้การบำเพ็ญปราณเชวียนของนางเพิ่มพูนขึ้น  มีเพียงชั้นผิวบางๆขวางกันระหว่างทั้งสองในเวลานั้น  ความรู้สึกนั้นกลับมาหา กวนเซียงฮั่น ทุกค่ำคืน  มันยิ่งแย่ลงเมื่อไม่นานมานี้  และ สิ่งนี้ทำให้นางวิตก …


 


ดังนั้น มันเป็นการดีในการไปยังเถียรฟา  ความตายของข้าจักแก้ปัญหาทุกอย่าง  มันจักเแก้ปัญหาความขัดแย่งของข้ากับชีวิตปุถุชนนี้  ข้าสามารถตอบแทนต่อความเมตตาของสกุลจวินด้วยชีวิตข้า อีกทั้งยังสามารถกำจัดความหลงไหลในตัวข้าของน้องเขย


 


สิ่งนี้จักแก้ไขทุกสิ่ง และหัวใจข้าจักสงบสุข


 


เกียรติสกุลจวินจักไม่เสื่อมถอย และเกียรติสกุลกวนจักไม่เสื่อมเสีย  ชื่อเสียงของสกุลทั้งสองจักไม่ได้รับผลกระทบอันใด  สำหรับข้า … ข้าไม่ต้องคิดถึงอันใด


 


” ดี !  เจ้าพูดได้ดี !  เจ้าพูดได้ดีมาก !  ฮ่าฮ่าฮ่า … ”


จวินโม่เซี่ยเริ่มหัวเราะในทันทีทันใด


“เพียงแค่มองหากความสงบแก่หัวใจ !  เพียงแค่ไม่ขัดแย้งกับมโนธรรมของตัวเอง !  ผู้คนมักเอ่ยกล่าว หัวใจที่สงบสุขสามารถประสบความยุติธรรมในโลกนี้  แต่ ผู้ใดจักคิดได้ว่า หใจที่สงบนั้นคือความเป็นธรรมในโลกนี้ ! ”


 


” การสังหารผู้คนนั้นถูกต้อง  การช่วยผู้คนนั้นถูกต้อง  คนผู้หนึ่งมิควรแบกรับภาระในชีวิตสามัญนี้ ตราบใดที่หัวใจยังคงเป็นสุข  ข้า จวินโม่เซี่ย มิได้ทำงานเพื่อบ้านเมืองหรือผู้คน  ข้าจักทำงานเพื่อหัวใจ  ข้าจักทำเพื่อให้หัวใจของข้าเป็นสุข !  ทุกสิ่งสามารถทำได้ด้วยหัวใจ !  จักเป็นต้องคิดอันใดมากมาย ?  ความรุ่งโรจของบ้านเมืองคือสิ่งใด ?  เรื่องทางโลกคือสิ่งใด ?  ไร้สาระ เพียงเท่านั้น !


 


” ดังนั้น ข้าจักใช้ชีวิตตามทางของข้า !  ข้าจักเป็นอิสระ ข้าจักปลดปล่อย !  ไม่มีผู้ใดชักจูงความคิดข้าได้ !  ไม่มีผู้ใดควบคุมการกระทำของข้าได้ !  โลกอาจให้ร้าย หรือสรรเสริญข้า … มันอาจเป็นกลางกับข้า .. มันจักต่างอันใด ?  หัวใจข้าจักเป็นสุขตราบใดที่ข้าเดินไปในโลกนี้ตามเส้นทางของข้าเอง !  ข้าเพียงมองหาหัวใจที่สงบ และ จิตใจที่ไม่ย่อท้อ !  และ นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตนี้ ! ”


 


จวินโม่เซี่ยหัวเราะลั่น  กวนเซียงฮั่น ไขปัญหาของเขาได้โดยไม่ตั้งใจ


 


คุณชายน้อยจวินมีความสุขยิ่งนัก  แต่ ตู่กู้เซี่ยวอี้  และ กวนเซียงฮั่นกลับตกตะลึง  และ ผู้รักษาการแทนผู้นำ กลุ่มทำลายสวรรค์ และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  ชายทั้งสี่ที่ัยืนอยู่เบื้องหลังหญิงทั้งสอง สามารถเห็นการเปลี่ยนไปของจวินโม่เซี่ยได้อย่างชัดเจน


 


จวินโม่เซี่ยได้เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดในสายตาของพวกเขา


 


เขาเปลี่ยนไป จากคุณชายน้อยผู้เกเร ไร้ศีลธรรม เป็นนักบวชทรงศีล  การเปลี่ยนแปลงนี้ ยอดเยี่ยมและสง่างามอย่างไม่ต้องสงสัย  อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ยิดเยี่ยมและสูงส่งอีกสิ่งได้เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง  และ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาอยู่เหนือคนสามัญ  ความจริง มันเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นพลังที่เยือกเย็น


 


เขาคล้ายดั่งกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝัก  กระบี่ที่แหลมคมนี้ยืนหยัดระหว่าโลกและสวรรค์  ดูเหมือนว่าเขาสามารถส่องสะท้อนแสงสว่างไสว  สวรรค์และโลกยิ่งใหญ่  แต่ ดูเหมือนมิอาจยับยั้งเขาได้


 


ความรู้สึกสับสนมิอาจพรรณนาถูกกำจัดไปจากใจของเขา  เขาสามารถสัมผัสถึงการเพิ่มขึ้นของปราณภายในอย่างก้าวกระโดด


 


เขาผสานเข้ากับโลกและเขามิได้ยึดติดอยู่กับสิ่งใด


 


ข้าจักมีความสุขกับสภาพที่เป็นอยู่ในชีวิตนี้ได้อย่างไร ?  ข้าจักนอนหลับไหลอยู่ใต้สรวงสวรรค์นี้ได้อย่างไร ?


 


ข้าจักฝ่าโลกไปอย่างมิอาจขวางกัน !  ข้าจักถือยอดกระบี่ และโลกจักต้องไถ่ถาม


” วีรบุรุษผู้สูงส่งนั้นคือผู้ใด ? “


 


ข้าไม่ต้องการเอาชนะโลก  แต่ ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่จักมาบอกได้ว่าข้าต้องทำสิ่งใด !  พวกเขาจักไม่คิดจะรบกวนข้า หรือสกุลของข้า !


 


สุดท้ายเป้าหมายของข้าก็ชัดเจน !


 


ข้าต้องการให้สกุลจวินของข้าดำรงอยู่เนิ่นนานเกินกว่า นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น ข้าต้องการให้สกุลของข้านั่งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในโลกนี้ !


 


แม้แต่องค์จักรพรรดิ หรือปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็มิอาจมองมายังสมาชิกสกุลของข้าได้ !


 


และ สิ่งนี้จำเป็นต้องมีการนองเลือด


 


แต่หัวใจข้าจักสงบสุข !


 


นี่จะเป็นแนวทางในชีวิตข้า !  ข้า … จักต้องไม่เสียใจ !


 


มุมปากของจวินโม่เซี่ยเริ่มโค้งขณะที่เขายิ้มด้วยทีท่างเย็นชา  จากนั้น เขาเอ่ยนุ่มนวล


” แล้ว เส้นทางการสังหารของข้าเริ่มขึ้นกับเถียรฟา ! ”


กลิ่นอายเยือกเย็นและชั่วร้ายแผ่นซ่านออกมาจากร่างของเขาและตรงขึ้นสู่สรวงสวรรค์อย่างรวดเร็ว


 


กลิ่นอายชั่วร้ายมิอาจเทียบโหมกระหน่ำ และทำให้แขนเสื้อของสหายั้งหกสั่นกระพือ  เป็นช่วงเวลาท้ายฤดูใบไม้ร่วง และใบไม้ที่เหี่ยวเฉากำลังจะหายไป  พวกมันสั่นกระพือเนื่องจากกลิ่นอายชั่วร้ายสูงส่งของเขา  จากนั้น พวกมันหลุดออกจากก้าน และร่วงหล่นตามสายลม


 


ฉากนี้ดูราวกับสายฝนสีเหลือง


 


นกจำนวนหนึ่งบินออกจากแมกไม้  ปีกของพวกมันกระพือสองสามครั้งก่อนได้พบกับกลิ่นอายชั่วร้ายอันหนาแน่น จากนั้นพวกมันหอบหายใจชั่วครู่ก่อนจักร่วมลงสู่พื้นดิน


 


สามเงาร่างพุ่งผ่านป่าเขาห่างไกลอย่างรวดเร็ว  แต่ พวกเขากลับหยุดลงทันทีหลังจากได้เห็นสิ่งนี้  คนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง


” เป็นกลิ่นอายชั่วร้ายที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก  เป็นของผู้ใดกัน ? “


 


บุรุษสองคนที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้าระมัดระวังขณะมองตรงไปยังเส้นทางนั้น  จากนั้น พวกเขาเอ่ยขึ้น


” หรือ ฉือฉีฮั่นจักมาถึงแล้ว ? “


 


” ไม่น่าเป็นจริงดังนั้น  เป็นความจริงที่ กลิ่นอายชั่วร้ายของ ฉือฉีฮั่นจักทรงพลัง  แต่ มันเฉียบคมและเข้มข้น  เช่นนั้น มันจักพุ่งไปข้างหน้า ทิศทางเดียวกับเขา  แต่ กลิ่นอายของคนผู้นี้ท้วมท้นยิ่งนัก  มันทำให้แม้แต่สวรรค์ยังพร่าเลือน  สองกลิ่นอายนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เช่นนั้น ข้าสามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นมิใช่ ฉือฉีฮั่น !  อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายชั่วร้ายของคนผู้นี้มิได้ต่ำต้อยไปกว่ายอดมือสังหาร ฉือฉีฮั่น ความจริง มันอาจล้ำหน้ากว่าเขา ! ”


 


” ไม่สำคัญว่าคนผู้นี้เป็นใคร  … ดูสิ่ ! ”


อีกคนหนนึ่งเอ่ยขึ้น


” พวกเราทั้งสามนั้นทรงพลัง  มิจำเป็นต้องหวาดกลัวคนผู้นี้ … หรือแม้แต่ยอดมือสังหาร ฉือฉีฮั่น ! ”


 


” ดี ! ”


บุรุษเคราดำวัยกลางคนครุ่นคิดและตอบกลับด้วยท่าทางแน่วแน่ และกล้าหาญ


” ดี !  พวกเราคือสามกระบี่แห่ง ดงฝาง เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจึงต้องหวาดกลัว ?  แม้นจักเป็น ฉือฉีฮั่น… มีเหตุผลอันใดที่เราต้องกลัว ? “


 


” ถูกแล้วท่านพี่  ข้าได้ยินมาว่า ผู้บัญชาการสามแห่งสกุลจวินจักมาถึงที่นี่  พวกเราไม่ควร … ”


คนที่ตัวเตี้ยและอ้วน พึมพัม


 


” ไม่ !  เรื่องนั้นยังคงกวนใจท่านแม่ !  ยิ่งไปกว่่านั้น เขายังได้รับบาดเจ็บ และ เส้นลมปราณของเขายังเสียหาย  เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจึงควรไปยุ่งเกี่ยวกับสกุลจวิน ?  น้องสาวก็ยังคงหมดสติในช่วงสิบปีที่ผ่านมา  เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจำต้องก่อปัญหา ?  มันจักเป็นกิจธุระของเราหรือ หากฝีมือของจวินวูอี้จักกลับมา หรือตายไปที่นี่ ? “


คิ้วของบุรุษเคราดำวัยกลางคนเชิดขึ้น ขณะเขาเอ่ยด้วยโทสะ


 


” ถึงอย่างนั้น … จวินโม่เซี่ยก็เป็นหลานชายของเรา  เขาเกี่ยวข้องกับเราทางสายเลือด !  ท่านเแม่เอ่ยเรื่องนั้นกับเจ้า .. แต่ เจ้าไม่เป็นกังวลถึงโชคชะตาของเขา ? “


บุรุษอ้วนเตี้ยเอ่ยขึ้นแข็งขืน


 


” มันคือตราบาป ! ”


บุรุษเคราดำวัยกลางคนถอนใจลึก  จากนั้นเขาเอ่ยอย่างกล้าหาญ


“ข้าไม่ปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายจวินโม่เซี่ย  และข้ารู้วา จวินวูอี้เป็นคนดี  เขากล้าหาญและซื่อสัตย์  แต่ น้องสาวของเรา น้องเขย และ หลานทั้งสองของเราจักไม่ต้องตาย หากมิใช่เพื่อเขา  เช่นนั้น พวกเราจักไม่คุยเรื่องนี้กันอีก ! ”


 


ชายผู้นั้นถอนใจขณะเขาเอ่ย  จากนั้น ชายทั้งสามเปลี่ยนเส้นทาง และพุ่งตรงไปราวดาวตก  พวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ซึ่งกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่กระจายมา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม