Otherworldly evil monarch 304-310

ตอนที่ 304

 

ปู่จวินมิได้กังวลในวันแรก  ความแข็งแกร่งของจวินโม่เซี่ยมิได้น้อยนิด และเขามั่นใจอย่างมากในความสามารถของเขาเอง  ความจริง เขาได้กล่าวว่าสามารถป้องกันตัวเองจากยอดปรมาจารย์ได้หากต้องการ  จักมีสิ่งใดอันตรายกว่านั้นหรือ ?  ปู่จวินมิรู้ว่าจวินโม่เซี่ยไปยังที่ใด แต่เขาสนใจในแผนการของต่อหลานชายที่มีต่อเขามากกว่า ..


เขามิได้กลับบ้านสองวันสองคืน  เรื่องอันใดกัน ?  สิ่งนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน !  หรือเขาจักปรนเปรอตัวเองด้วยความสุขจนลืมหน้าที่ต่อสกุล ?


 


ท้ายที่สุด พวกเขามิอาจใจเย็นได้อีกต่อไปในวันที่สาม  สุดท้ายแล้ว ความสามารถในการปกป้องตัวเองจากยอดปรมาจารย์ยังมิได้เกิดให้ประจักษ์


 


ปู่จวินเริ่มตระหนกยิ่งขึ้น และประกาศภาวะฉุกเฉินไปทั่วทั้งนครหลวง  เขาเคลื่อนกำลังไปทุกหนแห่ง  กองกำลังลับของสกุลจวินถูกส่งออกไป และค้นหาทุกซอกมุมของเมือง  จากนั้น สกุลจวินส่งกองกำลังออกไปอีกเนื่องจากมิอาจหาตัวเขาพบ  ไฮ่เฉินเฟิง และ ก๊กจิ้นหยาง เริ่มออกค้นหา คนในก๊กและทหารเริ่มร่วมมือกัน !  ปู่จวินและ น้าสามเป็นผู้นำการค้นหาด้วยตัวเอง อย่างละเอียดทุกที่  พวกเขาค้นหาทุกสถานที่ที่น่าสงสัยอยู่หลายครั้ง


 


สีหน้าของน้าสามไม่เป็นที่พอใจนัก  เขาดูดุร้ายยิ่งในระหว่างการค้นหา  ทุกวาจาที่ออกมาจากปากของเขานั้นเกินกว่าความเร็วของคนธรรมากนัก เขาจู่โจมผู้คนและจากนั้น …เริ่มข่มเหง  วาจาของปู่จวินก็ดุร้ายยิ่งนัก


แม่เจ้าเอ๋ย !  ข้าจักค้นหาอย่างละเอียด … แม้นสวรรค์ต้องล่มสลาย !  และข้าจักสังหารทุกผู้ที่มิยอมร่วมมือ !


 


ข้าจักหักขาเจ้าหากเจ้ากล้าเปล่งเสียง !  เจ้าจักกล้าอันใดหลังข้าหักขาเจ้า ?  หรือข้าจักทุบกะโหลกเจ้าดี ?


 


โรงโสเภณีถูกปิดและโจมตี  โดยเฉพาะกับสถานที่ขึ้นชื่ออย่าง ศาลานีฉาง แห่ง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ คือสถานที่แรกๆในรายการ


 


พวกเขามุ่งหน้าต่อไปเพื่อนำพาหญิงสาวและเหล่าแมงดาที่ ศาลาสายรุ้ง เข้าสู่ห้องขัง  พวกเขาสกัดและจับกุมแม้แต่ แม่นางยี่เอ๋อ  ชัดเจนว่า แม่นางยี่เอ๋อเดินทางไปยังทุกจวนของสกุลผู้มีอำนาจเพื่อแสดงถึงฝีมือของนาง  ทุกซ่องโสเภณีพยายามอย่างมากเพื่อว่าจ้างนาง  แต่ นางวางแผนการเดินทางครั้งใหญ่ไว้  และนางทำสำเร็จไปเพียงครึ่งเมื่อนางโดนทหารซึ่งนำโดดย จวินวูอี้ขัดขวางและจับกุมสู่ตาราง …


 


แต่เหตุใดกัน ?


 


พวกเขามีเหตุผลอันใดที่ต้องจับตัวโสเภณี ?


 


ทุกผู้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายสองและศาลาสายรุ้ง  แต่ นี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายสองส่งนักวางแผน ฝางบูเหวิน เพื่อร้องขอในนนามของพระองค์  เขาเคารพในเกียรติแห่งสกุลจวิน  พวกเขาได้รับคำสั่งให้กลับหลังจากพวกเขาได้ปล่อยตัวแม่นางยีเอ๋อเท่านั้น  แต่ ใบหน้าของจวินวูอี้เยือกเย็นยิ่งนัก เมื่อเขาตัดสนใจ


” ไปให้พ้น ! ”


 


 


อาจกล่าวได้ว่า ขุนนางฝางผู้น่ายกย่องได้ลอยไปสู่โทสะ


 


และจากนั้น คุณชายน้องจวินสามได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง … ท่ามกลางความโกลาหล


 


คุณชายน้อยจวินที่ดูเหมือนขอทานปรากฏตัวขึ้นในลานบ้านของเขาราวกับสุนัขจรจัดที่หิวโหย  เขามุ่งหน้าไปยังครัวของสกุลจวินราวปลาที่สามารถหนีจากอวนได้ในตอนที่เขาปรากฏตัว


 


เคอน้อยกำลังน้ำตานองหน้า  นางกระโดดขึ้นด้วยความหวาดกลัวเมื่อเขามาถึง  แม้นนางมองไม่เห็นเงาของเขาเมื่อหันไปมอง


 


เคน้อยเร่งรีบมุ่งหน้าไปรายงาน กวนเซียงฮั่น ในทางกลับกัน นางรายงานต่อ จวินวูอี้ว่าคุณชายน้อยสามจวิน ได้กลับมาอย่างปลอดภัย


 


หลังจากนั้น หญิงสาวทั้งสอง มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่จวินโม่เซี่ยได้หายตัวไป  พวกนางตกตะลึงยิ่งนักเมื่อไปถังครัว


 


เสื้อผ้าของจวินโม่เซี่ยขาดรุ่งริ่งและผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าของเขาวีดเผือก และมีถุงใต้ตาของเขา  เขาดูราวสัตวที่เคราะห์ร้าย  มือของเขาแห้ง และดำราวตีนไก่ และรองเท้าของเขาเป็นรูจนนิ้วเท้าออกมา  เขาหยิบปลาด้วยมือซ้ายและนำใส่ปาก  และเมื่อดึงมันออกมา มันเหลือเพียงหัวและก้าง


 


เขาถือก้อนเนื้อในมือขวา  ดูเหมือนว่าเขามิทันได้เคี้ยวเมื่อมันไหลลงคอของเขาไป ชามซุปที่วางอยู่ตรงหน้าเขา  บางครั้งบางคราวเขาสำลักและเปล่งเสียงแปลกประหลาด  จากนั้นเขาก้มหัว และจุ่มมันลงไปในชาม มิสนใจความแปลกประหลาดของการกระทำเมื่อเขาทำให้ชามนั้นว่างเปล่าภายในชั่วอึดใจ


 


ที่พื้นเบื้องล่าง … คือ กองกระดูก ก้างปลา และเศษชิ้นเนื้อ …


 


พ่อครัวตัวอ้วนทำตัวราวประหนึ่งถูกอสุนีบาต  พวกเขาเพ่งมองไปยัง คุณชายน้อยผู้มือชื่อ  ใบหน้าของพวกเขากระตุก  เขากินมากมากยิ่งนัก


 


โอ้ว !  แม้แต่หมู … ไม่ .. แม้แต่หมูป่าตัวผู้ก็มิอาจกินมากมายด้วยความเร็วเช่นนี้ได้ !


พวกเขารู้สึกวิงเวียนเมื่อได้เห็สิ่งที่เกิดขึ้น


 


กวนเซียงฮั่น และเคอน้อย มุ่งหน้าไปและได้พบเขา  พวกนางขุ่นเคืองยิ่งนัก


เจ้าปิศาจ !  เจ้าหายไปไร้ผู้ใดล่วงรู้  เจ้าหายไปจากบ้านสามวันโดยมิบอกกล่างอันใด !  เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าทุกผู้เป็นห่วงเพียงใด ?


พี่สะใภ้ต้องการสั่งสอนบทเรียนแก้น้องเขย  ท้ายที่สุด นางก็อาวุโสกว่า  แต่ นางต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็น และมิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้


 


มารยาทบนโต๊ะอาหารเช่นนี้ ?!


ดวงตาของลูกสาวแห่งสกุลกวนเบิกกว้าง  และนางปิดปากน้อยของนางด้วยสีหน้าตกตะลึง  สีหน้าสวยงามและเย็นชาของหญิงสาวได้เแประเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ครั้งแรก …


 


ปากน้อยและอ่อนโยนของเคอน้อยเปิดกว้าง ขณะนางเริ่มเพ่งมอง จนสามารถมีคนนำใข่สองฟองใส่ไปในปากของนางได้


 


ในที่สุด จวินโม่เซี่ยถอนใจอย่างพึงพอใจ  จากนั้น หัวของเขาก้มลงไปอีกครั้งเพื่อกินซุปที่เหลือเพียงเล็กน้อย และเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมองเห็นก้นชามสีขาว


 


จากนั้น เขายกขาขึ้นข้างหนึ่งและเตะกองกระดูกไป … ซึ่งมันสูงเกือบถึงข้อเท้าของขา  จากนั้น คุณชายน้อยสะอึกด้วยความพอใจ  สุดท้าย เขาหยิบมีดพกขึ้นและแคะฟัน  จากนั้นเขาก็ได้เห็นสีหน้าของทุกคน …. ผู้ที่มีสีหน้าหลังจากได้เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้  เขาอดถามด้วยความสงสัยมิได้


” หน้าข้ามีดอกไม้ขึ้นหรือ ? “


 


ทุกผู้ไร้วาจา


 


พวกเขาไร้วาจามาเป็นเวลานาน  พวกเขาจักประหลาดใจมากหากมีผู้ใดเอ่ยวาจาได้เมื่อได้พบเห็นบางสิ่งทีไร้ยางอายเช่นนี้


 


” สองสามวันมานี้เจ้าไปทำอันใดมา ? “


พี่สะใภ้ กวนเซียงฮั่น ถามด้วยความสง่างาม หลังจากนางได้สติ


 


” ข้า ?   สองสามวันที่ผ่านมา ?  ฮ่า … ”


จวินโม่เซี่ยคาดได้ทันทีว่าสิ่งใดเกิขึ้น  จากนั้นเขาถอนใจขณะพยักหน้า


” ข้ามีกิจมากมายนักในสองสามวันนี้ วุ่นวายยิ่งนัก !  ไม่เหมือนพวกเจ้า ผู้ที่นอนจนหิว และกินจนพวกเขาพอใจ  เจ้าไม่มีสิ่งใดต้องทำ … เว้นเพียงดูแลความต้องการทางร่างกาย !


 


เขาเอ่ยสิ่งใด ?


กวนเซี่ยงฮั่นมีโทสะขณะเอ่ยขึ่นอย่างดุร้าย


” เจ้าว่าอันใด ? “


 


” ข้าเอ่ยอันใด ?  ฮี่ฮี่ … ข้าบอกว่าท่านพี่สะใภ้ และเคอน้อยดูแล้วสวยงามยิ่งกว่าทุกวันที่ข้าได้พบเจอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่สะใภ้ !  ไม่เพียงแต่เจ้าดูน่าดึงดู แต่เจ้ายังดูสาวขึ้นด้วย  ข้าเชื่อว่าผู้ที่ไม่รู้ว่าท่านคือพี่สะใภ้ คงจักคิดว่าท่านคือพี่สาวของข้า หากท่านกระทำเช่นนี้ ! ”


จวินโม่เซี่ยเอ่ยวาจาประจบเมื่อเขาพูดเรื่องไร้สาระ


 


กวนเซียงฮั่น และเคอน้อยตกตะลึง  พวกเขารู้ว่าวาของเขานั้นเกินจริง และรู้ว่าเขาเพียงพยายามเยินยอพวกนาง  แต่ พวกนางรู้สึกยินดีที่ได้รับการชื่นชม  อารมณ์ของพวกนางเปลี่ยนไป และสีหน้าสุขสันต์ปรากฏขึ้นเมื่อพวกนางเพ่งมองเขาไร้วาจา  ใบหน้าของ กวนเซียงฮั่น บึ้งตึงเมื่อเวลาผ่านไป


” น้าสามกลับมา  เขาจักทำให้เจ้ารู้สึกดี ”


นางเอ่ยจบและดึงร่างเคอน้อยไปด้วย


 


เชียงฮั่นพูดถูก  ยิ่งกว่านั้น มิได้เอ่ยเกินจริงเลย


 


ปู่จวินและน้าสามเร่งรีบมุ่งหน้ากลับมาหาจวินโม่เซี่ยเมื่อพวกเขาได้ยินว่าเขากลัยมา และเร่งรีบราวพายุ  ผมของคุณชายน้อยจวินเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อเขาได้เห็นสิ่งนี้ และเขาเริ่มตะกุกตะกัก …


 


คุณชายน้อยจวิน มิอาจทนต่อการดุด่าดั่งพายุนั้น  แต่เขาต้องการที่จักแสดงความสำเร็จของเขา  เช่นนั้น เขาจึงกระแอมและนำ ยาหยางลึกลับ ยาหัวใจอสูร และ ยากทศวรรษ แต่ อาวุโสทั้งสองยังคงกล่าวตำหนิเขาอย่างรุนแรงต่อไป


 


เอ่อ … ยาเหล่านี้ดีเลิศ  แม้นพวกเขามิสามารถกินในปริมาณที่เข้มข้นได้  ยาหยางลึกลับสามารถกินได้หนึ่งครั้งในเวลาสิบปี  และ มันเป็นเรื่องปกติที่จักกินยาเพื่อสุขภาพ  แต่ ยากทศวรรษนั้นกินได้เพียงครั้งเดียว มันไร้ประโยชน์ที่จักกินเป็นประจำ … ความจริงแล้ว มันไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง


 


ปู่จวิน และน้าสาม ยิบยาด้วยปลายนิ้ว  แต่เมื่อดูจากสีหน้าของพวกเขา … พวกเขามิดูมั่นใจนัก  ท้ายที่สุด คุณชายน้อยจวินผลของยาเหล่านี้เป็นสิ่งอัศจรรย์  พวกเขามองจวินโม่เซี่ยด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ


เจ้าปิศาจคดโกง !  ยาเม็ดเล็กๆนี้สามารถเพิ่มขั้นการฝึกฝนได้สิบปี ?  ไร้สาระ !


ความคิดเดียวกันเกิดขึ้นในสมองของทั้งสอง


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกว่า การบำเพ็ญของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากที่พวกเขากินยานี้เข้าไปภายใต้การจัดการของจวินโม่เซี่ย  พวกเขารู้สึกว่าฝีมือของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเป็นสิบปีหรือมากกว่านั้น  สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวดั่งเช่นคุณชายน้อยจวิน  พวกเขาเพิ่งมองไปยังคุณชายน้อยจวิน ราวกับ กลุ่มของ … หมาป่าหิวโหย !


 


“สิ่งนี้น่าประหลาดใจยิ่งนัก !  สิ่งเหล่านี้มีทั้งหมดเท่าใหร่ ?  สิ่งพวกมันมาให้อาวุโสผู้นี้ !  ข้ามีความสุขอีกครั้ง  เช่นนั้น อย่างทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับข้า !  ข้าจักไม่เป็นข้าจักไม่มีเรื่องไร้สาระสำหรับเจ้า เจ้าเด็กเหลือขอ ! ”


 


นี่คือเสียงคำรามของปู่จวิน  ใบหน้าของเขาชื่นมื่นด้วยความตื่นเต้น  เขาคว้าเอาเสื้อคลุมด้านหน้าของจวินโม่เซี่ย ยกเขาขึ้นกลางอากาศ และเขย่าราวกับเขาเป็นปลาแห้งกลางสายลม


 


ชายแก่อ้าปากกว้างอย่างตะกละตะกลามขณะเขาเอ่ยวาจาเหล่านี้ด้วยท่าทีป่าเถื่อน


 


” เนื่องจากท่านปู่เอ่ยปากก่อน … เจ้าต้องมอบสิ่งที่เขาต้องการก่อนสิ่งอื่นใด  ข้ามิได้สำคัญเช่นนั้น  เจ้ามาหาข้าได้เมื่อเจ้าต้องการ  เพียงแค่ส่งหนึ่งร้อยขวดมาให้ข้า  เจ้าจัดต้องส่งสิ่งที่เจ้ามีให้ปู่ของเจ้าทั้งหมก ไม่ว่าเจ้าจักมีเหลือเท่าใด ”


นั้นสิ่งที่จวินวูอี้เอ่ย  เขาต้องการยาเหล่านี้มากเกินกว่าร้อยขวด


 


พ่อลูกคู่นี้คิดว่ายาเหล่านี้ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ?  และ สามารถหยิบมันขึ้นมาจากพื้น ?  เหล่านี้เป็นยารักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง !


 


จวินโม่เซี่ยคร่ำครวญ เขาวิงเวียนด้วยความตะลึง …


 


แม้นว่าข้าสามารถถอนพวกมันจากพื้นดินได้ … ข้าก็ยังต้องทำงานหลังขดหลังแข็ง !  ยาเหล่านี้เป็นอาหารเสริมที่อัศจรรย์ … แต่ สองคนนี้คิดว่าพวกมันเป็นเหมือนกะหล่ำปลีอย่างนั้นหรือ … ?  พวกเขาจึงต้องการพวกมันมากมายเช่นนี้ ….


 


สองผู้นี้จักสังหารจวินโม่เซี่ยเพื่อยาเหล่านี้ ?  พวกเขาลืมเรื่อง หลานชาย และผู้สืบเชื้อสายสกุลด้วยยาที่ล่อตาล่อใจเช่นนี้ !  ปู่จวิน ดึงแก้มจวินโม่เซี่ยอย่างชั่วร้าย จนเกือบทำให้มันกลายเป็นดั่งแก้มหมู  จวินวูอี้เป็นผู้ที่อ่อนโยนกว่า  เขาเพียงสามารถบอกถึงวามรู้สึกของจวินโม่เซี่ยเป็นแนวทางเท่านั้น นอกจากนี้ ใบหน้าของจวินโม่เซี่ยอาจจะกลายเป็นสีม่วงจากการโดนดึง


 


หากเขาเป็นลมต่อหน้าพวกเรา ?  พวกเราจักตัดสินควาผิดในเจตนาของเจ้าเด็กเหลือของผู้นี้  พวกเราผิดพลาด มาก่อนกที่พวกเขาจักเกิด !


 


คุณชายน้อยจวินร้องไส้สะอื้น  เขาต้องการที่จักหลั่งน้ำตา แต่หาได้มีเลยสักหยด


” ข้ามิอาจทำมันได้อีกแล้ว …. ข้าอ่อนแรง … ข้ามิอาจทำมันได้อีก …. ท่านทั้งสอง … ปล่อยข้าเถิด ! ”


 


” เจ้าเด็กปิศาจ !  ข้าเพิ่งเห็นว่าเจ้าเอาขวดเหล่านั้นออกมาหลายขวด !  ตอนนี้ส่งมันมาให้ข้าเสียดีๆ  เจ้าต้องการมีปัญหาหรือ ? “


ปู่จวินช้อนจวินโม่เซี่ยขึ้นด้วยข้อเท้า และดึงเขาขึ้นมา  จากนั้น เขาเริ่มเขย่าอย่างดุร้าย  ทำให้เกิดเป็นภาพดั่งเด็กชายซุกซนที่ถูกแวนไว้บนกิ่งไม้  แต่สิ่งที่ต่างไปนั่นคือ เขากำลังห้อยหัวอยู่ …


 


จวินโม่เซี่ยมิอาจทนต่อการปฏิบัติเช่นนี้ได้อีกต่อไป


” ปล่อย .. ข้ากำลังจักตาย !  ข้ารู้สึกวิงเวียนยิ่งนัก !  ที่ข้าให้ … ที่ข้าให้ … ยังไม่เพียงพอหรือ ? “


 


ปู่จวินวางหลานชายของเขาลง และเพ่งมองไปยังเขาราวเสือที่เพ่งมงลูกแกะ  ไม่แม้แต่กระพริบตา


 


จวินโม่เซี่ยคลานไปและตบหน้าเขา


เจ้าต้องการที่จะอวดมิใช่หรือ ?!  เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าชัดนำปัญหาเข้ามา ?  เจ้ารู้ดีว่าสิ่งนี้สามารถส่งผลต่อหัวใจผู้คนได้  เจ้ารู้ว่าปู่ของเจ้า และน้าสามจักหลงลืมความสัมพันธ์เนื่องถูกล่อลวงจากยาอันนี้อัศจรรย์เหล่านี้ !


 


เขายังคงรู้สึกผิด


อย่างไรก็ตาม ข้าปรุงยาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของสกุลจวิน  เช่นนั้น เหตุใดข้าต้องได้รับการปฏิบัติอย่างน่าสังเวชเช่นนี้ ?!  เป็นความทรมาณที่แตกต่างกันยิ่ง !  ราวกับพวกเขากรอน้ำพริกลงคอหอยข้า !


 


เขาค่อยๆหยิบขวด ยาหยางลึกลับ ยาหัวใจอสูร ยาฟื้นฟูหลากหลาย และ ยากทศวรรษออกมาอย่างละขวด  จากนั้นเขาวางมันลงบนโต๊ะ


” นั่นคือทั้งหมดที่ข้ามี ! ”


 


” ข้าไม่เชื่อเช่นนั้น !  เอามาอีก ! ”


ผู้อาวุโสทั้งสองคำรามพร้อมเพรียง


 


” ข้ามีเพียงเท่านี้จริง ! ”


ใบหน้าคุณชายน้อยจวินเผยความจริงใจ


” เท่านี้เพียงหอสำหรับหนึ่งร้อยคน  อาจารย์ข้ามอบสิ่งเหล่านี้ให้ข้า … ”


เขาคิด


ท่านต้องการทั้งหมดเพื่อตัวเองหรือ ?  ข้าทำมันขึ้นมาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกองกำลังที่อยู่ภายใต้การดูแลของข้า … แต่ข้าจักมิให้มันแก่ผู้ที่ข้าไม่เชื่อถือ  เช่นนั้นข้าจัก เก็บที่เหลือไว้กับตัวเอง


 


” ทั้งหมดนี้เพียงพอต่อคนหนึ่งร้อย ? “


ผู้อาวุโสทั้งสองเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ  ยาล้ำค่าเช่นนี้หยายากยิ่งนัก  น้าสามขอขวดเหล่านี้นับร้อย แต่นั้นเป็นเพียงการล้อเล่น


 


มันเพียงพอแล้วหากหนึ่งขวดนั้นเพียงพอต่อสามถึงห้าคน  เช่นนั้น เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาจักไม่ตกตะลึงเมื่อได้คุณ คุณชายน้อยจวินเอ่ยว่า ขวดน้อยๆเหล่านี้เพียงพอแก่คนนับร้อย ?


 


” จริงสิ  อาจารย์ของข้าใช้ความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดเพื่อปรุงยาเหล่านี้  นั่นจึงเป็นเหตุที่ข้าหาส่วนผสมสมุนไพรมากมาย ?  แต่ อาจารย์ของข้า ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการรุปงยา  เขาจำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นฟูสามถึงห้าเดือน  ยิ่งกว่านั้น เขามิอาจปรุงยาเช่นนี้ได้อีกเป็นเวลานาน  เช่นนั้น พวกเราจึงต้องใช้ยาเหล่านี้อย่างระมัดระวัง ”


จวินโม่เซี่ยเอ่ยเกินจริงเป็นเรื่องปกติ  แต่ หากทั้งสองรู้ว่ายาเหล่านี้สามารถรปรุงได้เรื่อยๆ … พวกเขาจักไม่บังคับให้เขาปรุงยาเหล่านี้ทุกวันไปตลอดชีวิตหรือ ?


 


ทั้งสองคิดว่าสมเหตุสมผล  มันสมเหตุสมผลหาก อาจารย์ของจวินโม่เซี่ยมิอาจปรุง โอสถสวรรค์ เหล่านี้ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ท้ายที่สุดแล้ว มันจักมิกลายเป็นของเด็กเล่นหรือ หากยาเหล่านี้หาได้อย่างง่ายดาย ?


 


สองผู้อาวุโสปล่อยจวินโม่เซี่ยออกไปข้างๆ  จากนั้น พวกเขาแย่งกันคว้าขวด ….


 


“ของข้า ! ”


 


“ของข้า ! ”


 


” ปั่ง !  ฉึบ !  ตุ๊บ ! ”


ชัดเจนว่าทั้งสองเอื้อมมือไปยังขวดยา …


 


จวินโม่เซี่ยหายไปจากโถงรายกลุ่มควัน  เขามิสนใจชายผู้ไร้ยางอายเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม จักไม่มีเหตุร้าย … ไม่ว่าเขาจักต้อสู้กันเท่าไหร่ก็ตาม  แต่ พวกเขาก่อให้เกิดเสียงสั่นสะเทือนของพื้นดิน


ข้าหนีไปจักดีกว่า …


 


จักตั้งใจหรือไม่ จวินโม่เซี่ยได้แวะเข้าไปยังลานบ้านของกวนเชียงฮั่น  นางนั่งเงียบงันอยู่ภายใต้ต้นไม้ที่เบ่งบาน  หญิงสาวมองไปยังต้นไม้อย่างเงียบๆด้วยใบหน้าพึงพอใจ  ชัดเจนว่านางได้ยินเสียงฝีเท้าของจวินโม่เซี่ย แต่นางยังคงนิ่งสงบต่อไป ในความจริง นางไม่แม้แต่จักหันมามองเขาเลย


 


” เรื่องอันใดกัน ? “


นางถามเอื่อยเฉื่อย


 


” ไม่มีเรื่องันใดสำคัญ  ข้าเพียงนำยาจำนวนหนึ่งมา  เจ้าควรได้ลิ้มลอง แต่พวกมันไม่เลิศรสนัก  ฮ่า ฮ่า … ”


จวินโม่เซี่ยหัวเราะชั่วร้าย


 


” โอ้ ? “


กวนเชียงฮั่นค่อยๆหันหน้าอันงดงามและเยือกเย็นไปมองเขาเชื่องช้า


” ยารักษาสิ่งใด ? “


 


” ข้าปรุงยามากมาย  พวกมันส่งผลดีเลิศ  เจ้ากล้าลองมันหรือไม่ ? “


จวินโม่เซี่ยเอ่ยวาจายืดยาว  แต่ มีเพียงหนึ่งคำในความคิดของเขา ยากระตุ้นกำหนัด  แต่เขามิกล้าเอ่ยมันออกมา


 


” กล้าอันใด ?  เจ้าคิดว่าข้ากลัวว่าเจ้าจักวางยาข้าหรือ ? “


จากนั้น จากนั้นกวนเชียงฮั่นกระทำเกินการคาดการของจวินโม่เซี่ย … นางยิ้ม  จวินโม่เซี่ยหลงลืมศีลธรรมเมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มอันงดงามที่น่าตะลึงนั้น … มันน่าตกตะลึง … ประหลาดใจ… เกินกว่าการคาดฝัน …


 


” จวินโม่เซี่ยข้ามิอาจมั่นใจเจ้าได้ แต่ข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่ผู้ที่มีความเลวทรามอยู่ติดตัว  และอย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังเป็นพี่สะใภ้เจ้า ”


นางยื่นมือไปรับยาจวินจวินโม่เซี่ย  สามเม็ด ปริมาณที่กำหนดของหญิงสาว  ยาหยินขาดหาย ยาหัวใจอสูร และ ยาทศวรรษ นางมองจวินโม่เซี่ยอย่างเอาใจใส่  จากนั้น นางเงยหน้าโดยไม่ลังเล และกลืนยาลงไป


 


จวินโม่เซี่ยเบิกตกว้าง  เขากำลังจักบอกให้นางรอจนกว่านางจักเริ่มการฝึกฝน  แต่ นางอ้าปาก และกินยาเข้าไปเสียก่อนแล้ว  เป็นสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งนักสำหรับเขา


 


เกิดกลุ่มก้อนความเสียใจแก่จวินโม่เซี่ย เมื่อเขารู้ว่า กวนเซียงฮั่นเชื่อใจเขายิ่งนักจนนางกินยาเหล่านั้นเข้าไปโดยไม่คิดให้ดี


ข้าควรปรุงยาที่กระตุ้นกำหนัดหากข้ารู้ว่านางเชื่อใจข้ามากมายเช่นนี้  นี่คือความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ นะ !  นี่คงเป็นวิญญาณของจวินโม่เซี่ยที่ตามหลอกหลอนข้า  ข้าบริสุทธิ์ยิ่งนัก … ข้าจักเป็นคนเช่นนั้นได้อย่างไร …. ?


 


กวนเซียงฮั่นกำลังจักถามถึงเรื่อยา และมันเกิดปฏิกริยาเมื่อนางรู้สึกร้อนรุ่มที่จุดดันเถียน  ทันใดนั้น นางของนางร้อนรุ่ม และ ผ่อนคลาย มันเป็นความรู้สึกสบายเกิดนกว่าพรรณนา  จากนั้น ปราณเชวียนเริ่มเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณ มันหลั่งไหลรุนแรงประหนึ่งแม่น้ำเชี่ยวกราด  จุดดันเถียนของนางร้อนขึ้นเรื่อยๆขณะที่ปราณเชวียนยังคงเคลื่อนที่ไปตามเส้นลมปราณ  ความจริงแล้ว มันแปเปลี่ยนเป็นปราณชเวียนบริสุทธิ์…


 


ยาลึกลับของจวินโม่เซี่ยเพิ่มความสามารถของผู้คนได้อย่างลึกลับ


 


กวนเซียงฮั่นประหลาดใจเมื่อได้พบสิ่งนี้  นางรู้สึกคลางแคลงใจในตัวเขา  อย่างไรก็ตาม การบำเพ็ญของนางก่อนหน้านี้อยู่ในขั้นเชวียนเงินสูงสุด  ความจริงแล้ว นางกำลังจักบรรลุไปยังขั้นเชวียนทอง  แต่ นางสามารรู้สึกว่าได้บรรลุไปยังขั้นเชวียนทองอย่างรวดเร็วเนื่องจากพลังงานมากมายที่เริ่มหลั่งไหลไปตามร่างกายของนางหลังจากได้กินยาเข้าไป


 


อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว  และ ไม่มีผู้ใดแนะนำนางได้ในช่วงเวลาสำคุณนี้ … นอกจากน้องเขยของนาง …


 


เหตุใดเจ้าเด็กเหลือขอนี่ไม่อธิบายสิ่งนี้ ?  เขามิกังวลอันใดเลยหรือ ?  ข้าคิดว่ามันเป็นขนมหวาน !


 


อย่างไรก็ตาม ไม่มีเวลามากพอให้นางคิดถึงสิ่งนี้  พลังงานบริสุทธิ์ และมหาศาลจากยา หลั่งไปไปยังแขนขาของนาง  นางก้าวข้ามไปยังขั้นเชวียนทองอย่างกล้าหาญ  แต่ ทันใดนนั้นนางรู้สึกไม่สบายขึ้นอย่างรวดเร็ว  สติของนางแตกกระจาย


 


ขั้นการบำเพ็ญของกวนเชียงฮั่นนั้นต่ำมาก  มันอยู่เพียงขั้นเชวียนเงิน  ความจริง การบำเพ็ญของนางด้อยกว่าคุณชายน้อยจวิน จวินวูอี้และปู่จวินสามารถกินยาทศวรรษได้โดยไม่ต้องลังเลเนื่องจากพวกเขาอยู่ในขั้นสวรรค์เชวียน  พวกเขาสสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างง่ายดายผ่านกระบวนการยกระดับนี้  ความจริง พวกเขาสามารถบรรลุผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหาใด


 


นี่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม กวนเซียงฮั่นเกือบต้องตาย  ความแตกต่างระหว่าการบำเพ็ญของนาง และสองผู้นั้นคือ สิบขั้น !  นางเพิ่งบำเพ็ญมาเพียงสิบปีเท่านั้น  และตอนนี้ นางได้รับการพัฒนาถังสิบปีภายในครู่เดียว  นี่เป็นเหมือนการรวบรวมการบำเพ็ญของนางทั้งหมดก่อนที่ทางจะกินยาเข้าไป  อย่างไรก็ตาม ปราณเคลื่อนไหวในร่างกายในตอนนี้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าแต่ก่อน  ยิ่งไปกว่านั้น นางมิเคยผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายของจวินโม่เซี่ย …. เช่นนั้น นางจักต่อสู้ได้อย่างไร ?  โชคดีที่ นางได้กินยาหัวใจอสูร…มิเช่นนั้นนางคงจักลุกเป็นไปไปแล้ว


 


กวนเซียงฮั่นรู้สึกราวกำลังจักลุกเป็นไฟ  สติของนางแตกสลาย  นางรู้สึกสิ้นหวัง


ชีวิตของข้าจักจบลงด้วยเหตุลึกลับหรือ ?


 


น้องเขยของนางเปลี่ยนไปดีขึ้นจากความยากลำบากนี้  เขาใช้ เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ และค้นหาโอสถสวรรค์  ยิ่งกว่านั้น เขายังมิลืมถึงความต้องการของนาง  นี่แสดงให้เห็นว่าเขาปรับตัวให้ดีขึ้น  แต่ เขามิได้คิดว่าความสามารถของนางในการควบคุมพลังปราณจักขาดแคลน  โอสถสวรรค์กำลังจักสังหารนางโดยมิอาจคาดได้


 


กวนเซียงฮั่นรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขัน  ความจริง นางค่อยข้างลังเลที่จักปล่อยมันไป  หากสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน นางคงไม่รู้สึกเช่นนี้  ความจริงแล้ว นางจักรู้สึกเป็นอิสระ  แต่ เหตุใดนางจึงไม่ต้องการที่จักยอมแพ้ ?


 


นางยิ้มอย่างมีความสุขขณะคิด


แล้วเจอกันใหม่


จากนั้น นางหลับตา  แต่ ทันใดนนั้นนางต้องลืมตาขึ้นทันที … นางตกใจยิ่งนัก


 


กวนเซียงฮั่นนางนึกถึงสิ่งที่นางมิอาจเอ่ย


” ข้ามาแล้ว ”


ต่อหน้าความตาย แทนที่จักเอ่ยว่า


“เจอกันใหม่ ”


เหตุใดข้าจึงเอ่ยว่าไว้เจอกันใหม่ ? ข้ามิต้องการทิ้งผู้ใดกัน ?


 


 


กวนเซียงฮั่นรู้ว่านางไม่มีเวลาที่จักคิดเรื่องนี้


 


ทันใดนนั้น นางรู้สึกถึงฝ่ามือเย็นมาสัมผัสที่กลางหลังของนาง  จากนั้น นางรู้สึกถึงพลังอันอบอุนแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย  พลังงานที่อบอุ่นนี้ดึงสติของนางไว้  ราวกับนางวิงเวียนจากความร้อน  แต่จากนั้น นางรู้สึกเหมือนกำลังแช่อยู่ในอ่างน้ำเย็นอย่างรวดเร็ว  น่างรู้สึกผ่อนคลายไปถึงกระดูก …


 


จากนั้น นางรู้สึกว่ามีพลังอันบริสุทธิ์กระจายออกมาจากฝ่ามือนั้น และเริ่มไหลเข้าไปสู่เส้ลมปราณของนาง  นางรู้สึกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ชี้ทางให้แก่พลังปราณที่หลังไหลอย่างบ้าคลั่งในเส้นลมปราณของนาง


 


ปราณที่ไหลอย่างบ้าคลั่งก่อนหน้านี้  แต่มันเริ่มอ่อนลงเมื่อความอบอุ่นนี้มาถึง  มันเริ่มไหลไปตามที่พลังนั้นชี้นำไป


 


มีเสียงรบกวนลั่นในความคิดของกวนเชียงฮั่น และจากนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงเส้นลมปราณที่เปิดกว้างขึ้นอย่างมิอาจมีสิ่งใดเทียบ  แม้แต่จิตวิญญาณของนางก็ได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์แก่งใหม่


 


กวนเซียงฮั่นได้บรรลุไปยังขั้นเชวียนทองด้วยการช่วยเหลือของมือที่อยู่หลังนาง


 


ครั้งนี้ผู้ที่ช่วยนั้นมิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก คุณชายน้อยแห่งสกุลจวิน จวินโม่เซี่ย


 


กวนเซียงฮั่นแตกตื่น อาจกล่าวได้ว่านางไร้ประสการณ์ในเรื่องนี้  แต่ จวินโม่เซี่ยรู้ว่ายาที่เขาปรุงมานั้นแข็งแกร่ง แต่มิได้รุนแรง  เขาจึงมอบยาหัวใจอสูรเพื่อช่วยในการพัฒนาครั้งนี้  ดังนั้น จึงไม่มีทางที่นางจะได้รับรอยเขี้ยวปิศาจและตาย นางอาจหมดสติไปสองสามวัน แต่ความสามารถของนางจักยังคงเพิ่มพูน  แต่ นี่เป็นโอกาสทอง และจวินโม่เซี่ยมิใช่สุภาพบุรุษ  เช่นนั้นเข้าจักปล่อยมันไปได้อย่างไร ?  สุดท้ายแล้ว ก็ควรจักมีความสุขในกาารช่วยเหลือผู้อื่นตอบแทน !


 


เขาวางมือบนหลังของนาง มือของเขาห่างจากผิวหนังของนางด้วยเสื้อผ้าสองชั้น แม้นช่วงสาทรฤดูนี้  กวนเซียงฮั่นเป็นยอดฝีมือเชวียนเงิน  ดังนั้น นางจึงอดทนต้อความร้อนและเย็นได้ดี  เพราะฉนั้น ชัดเจนว่านางจักไม่ใส่เสื้อหลายชั้นเกินไป  นั่นจึงเป็นเหตุ นางจึงรู้สึกถึงความอ่อยโยนเมื่อจวินโม่เซี่ยปะทะมือไปยังหลังของนาง  นางรู้สึกสบายจนอยากตะโกนหาคนผู้นั้น ….

 

 

 


ตอนที่ 305

 

ความคิดของคุณชายน้อยจวินที่เดิมทีเต็มไปด้วยความสับสน  จากนั้นเข้าจำได้ว่าให้ความช่วยเหลือไป ….


กวนเชียงฮั่นตื่นขึ้นช้าๆ   นางรู้สึกร่างกายผ่อนคาย  หญิงสาวรู้สึกราวกำลังพุ่งทยานขึ้นสู่ท้องนภา และอดกลั่นความสู้สึกปิติไม่ได้  นางได้บรรลุไปยังขั้นเชวียนทองแล้ว !  นั้นหมายความว่านางมีความแข็งแกร่งมากยิ่ง  นางมิต้องการให้ผู้ใดปกป้องอีกต่อไป  ตอนนี้มันไร้ประโยชน์


 


กวนเชียงฮั่นสกัดกั้นความรู้สึกสำราญที่พุ่งพล่านนั้นได้ยากยิ่ง  นางตระหนักได้ว่าฝ่ามือที่วางอยู่บนหลัง และส่งผ่านพลังอันอบอุ่นก่อนหน้านี้ได้หยุดลงแล้ว  ตอนนี้ … นางยังคงรู้สึกได้ว่าฝ่ามือนั้นยังอยู่บนหลังของนาง


 


มันเป็นมือที่ อบอุ่น และยิ่งใหญ่ !


 


ผู้ใดช่วยข้า ?  จวินโม่เซี่ยผู้นั้นมิมีตะบะเพียงพอช่วยข้าได้


 


นางหันหน้าไปมองด้วยความอยากรู้  น่าประหลาดใจนัก นางพบจวินโม่เซี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่หลังนาง … พร้อมดวงตาที่ปิดอยู่  มือของเขายื่นออกมา ฝ่ามือยังคงประทับอยู่บนหลังของนาง …


 


เป็นไปได้อย่างไรกัน ?


 


ใช่เขาจริงๆ !


 


ทันใดนนั้น นางรรู้สึกวินเวียนขึ้นทันที


ตั้งแต่เมื่อใหร่กันที่เจ้าเด็กเหลือขอผู้มีมีตะบะสูงส่งเช่นนี้  ?  มันเป็นไปได้หรือ … ?


 


แต่เขายังคงสงบนิ่ง … เขาจำต้องใช้พลังมากมายเพื่อช่วยในการเพิ่มความแข็งแกร่งของข้า ใช่ไหม ?  ไม่แปลกใจเลยที่เขายังไม่ลืมตา  มันคงจักเหน็ดเหนื่อยอย่างที่สุด


 


แต่เมื่อนางคิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่าฝ่ามือที่วางอยู่บนหลังของนางเคลื่อนไหม  จากนั้น นางรู้ว่านิ้วทั้งห้าบิดไปมา  ทันใดนนั้นเอง นางเริ่มรู้สึกจั๊กจี้


หรือเจ้าเด็กเหลือขอนี่นวดหลังข้า ?


มือของเขาเคลื่อนไหวอีกครั้ง …


นี่ … นี่ … นี่ … เขามิได้ลูบไล้หลังข้าหรือ ?


 


ร่างของกวนเชียงฮั่นแข็งทื่อขณะที่นางหันหน้าไปมอง  ดวงตาของเด็กเหลือของผู้โชคร่ายยังคงปิดอยู่  แต่เขามีใบหน้าที่สุขสันต์  มุมปากของเขาบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มอันหยาบคาย  ราวกับใบหน้าที่เผยถึงตันหาในวิญญาณของเขา …


 


นี่เหมือนกับด้านที่หยาบคาของน้องเขบ  แต่ … เขามิได้แกล้งทำเป็นชั่วช้า ?


 


อย่างไรกัน …


 


ฝ่ามือนั้นเคลื่อนไหวอีกครั้ง  ครั่งนี้…. มันเคลื่อนไหวลงด้านล่าง …


 


กวนเซียงฮั่นจักปล่อยให้น้องเขยฉวยโอกาสจากนนางได้อย่างไรกัน ?


 


” เอ๊ะ ! “


นางอุทาน


 ” ตุบ ! ”


นางตบเขาโดยสัญชาตญาณ  จากนั้น นางประทับเท้าอย่างหนักแน่น และเตะออกไป  ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย  นางมิอาจพบหน้าผู้ใดได้อีก  เช่นนั้น นางจึงปิดหน้าและวิ่งหนีไป


 


ความเร็วของคุณหนูเพิ่มขึ้นเนื่องด้วยการบำเพ็ญของนาง  เงาร่างหายเข้าไปในห้อง หัวใจเต้นกระหน่ำราวเสียงกลอง  นางมีโทสะ และอับอาย อับอายอย่างรุนแรง  ใบหน้าของกวนเชียงฮั่นประหนึ่งผู้ที่เกลียดชัด  นางกระทืบเท้าลงบนพื้น  มิอาจกลั่นน้ำตามิให้ร่วงหล่นขณะที่นางนั่งอยู่ด้วยความงุนงง  จากนั้น นางนอนลงบนเตียง และคลุมโปง เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากแม้นว่านางพยายามที่จักอดกลั้น


 


 


จวินโม่เซี่ยสามารถสัมผัสถึงความนุ่มนวลของผิวนางได้แม้ว่าฝ่ามือของเขาจักมิได้สัมผัสถึงมันโดยตรง  ความคิดของเขากำลังมึนเมากับสิ่งนี้  ความจริง เขารู้สึกราวริมฝีปากแห้งผาก  ดูเหมือนฝ่ามือของเขามีความคิดเป็นของตัวเอง  ราวกับมันเคลื่อนที่ไปด้วยตัวของมันเอง …


 


ช่างนุ่มนวยิ่งนัก … มันคือสิ่งใดกัน ?


 


ความคิดของเขาติดอยู่กับการชื่นชม  เขามิสนใจถึงการกระทำของร่างกาย  เขารู้สึกราวกำลังล่องลอยอยู่ในสายลม  ความจริงเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นอำมตะ


 


จากนั้น จวินโม่เซี่ยสะดุ้งด้วยความกลัวอย่างรวดเร็ว  เขากำลังลืมตาขึ้นเมื่อ


” ตุ๊บ ”


เขารู้สึกถึงฝ่ามือที่ปะทะมาที่ใบหน้า  เสียงตบนั้นดังอย่างชัดเจน  ชัดเจนว่าเขามีโทสะในเรื่องนี้


อะไรกัน ?


 


เขากำลังจักตอบโต้เมื่อรู้สึกถึงการสัมผัสที่รุนแรงที่ช่องท้อง เขาไม่มีเวลามากพอให้รู้สึกเจ็บปวดเนื่องจากเขาถูกส่งให้ลอยไปราวกับหมอกควัน  เขาไถลไปสิบเมตรและชนเข้ากับแปลงดอกไม้


 


สิบเมตร !  คุณชายน้อยจวินมิได้กลับชาติมาเกิดเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่  เขามิได้สูง หรือมีร่างกายที่แข็งแกร่ง  ร่างกายของเขานั้นเป็นผู้ที่สมส่วน  น้ำหนักของเขาก็เช่นกัน  นั่นจึงเป็นเหตุให้การเตะของหญิงสาวนั้นรุนแรงเพียงพอที่จักส่งเขาให้ลอยออกไปได้ !


 


 


นางมีพลังมากมายเช่นนี้ด้วยการกินยาหรือ ?


 


ยานี่ … เจ้ามิควรกินมันโดยไม่คิดไตร่ตรองก่อน ….


 


และด้วยโชคชะตา … มีหนาวแหลมคมมากมายในแปลงดอกไม้นั้น  หนามแหลมคมจำนวนหนึ่งปักเข้าใส่หลังของคุณชายน้อยจวินโม่เซี่ย เขาเริ่มเจ็บปวดไปทุกหนแห่ง และความคิดทั้งหมดหายไปจากหัวของเขา  กระโจมที่เคยเกิดขึ้นมาตรงเป้าของเขาได้หายไปแล้ว …


 


เขาคลานออกมาจากเแปลงดอกไม้ด้วยความงุนงง ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ  คุณชายน้อยจวินพยายามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เขามิอาจกลั่นความกระวนกระวาย


ข้าเข้าใจว่ามือของข้าเคลื่อนไหวอย่างไม่มีคุณธรรม … และความคิดของข้านั้นผิดศีลธรรม … แต่ข้าพึ่งจะช่วยเจ้า !  แต่กลับได้ผลลัพธ์เช่นนั้น …


 


ข้าจักเอ่ยเช่นไร ?  เจ้าตบตีข้าอย่างไร้จุดประสงค์ได้หรือ ?  สิ่งนี้มันไร้เหตุผล !  แม้นว่า ข้าจักทำตัวไม่ดี ….


ยิ่งคุณชายน้อยจวินคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขายิ่งรู้ว่าเขานั้นผิด … และการตบและเตะนั้นเป็นการลงโทษที่เหมาะสม …


 


ข้ามิอาจอภัยการกระทำของข้าจากเหตุการณ์นี้ได้ !


มันมิน่าหดหู่หรอกหรือ ?


 


คุณชายน้อยจวิน เงียบไปครู่ใหญ่  เขามอบยาจำนวนหนึ่งให้ปู่ และน้าของเขา เพียงเพื่อให้พวกเขาฉีกเขาเป็นชิ้นๆ  จากนั้นจวินโม่เซี่ยมอบยาแก่กวนเชียงฮั่น และช่วยนางเพิ่มพูนตะบะ  เขาคิดว่าพี่สะใภ้ที่งดงามของเขาจักชื่นชม … หรืออย่างน้อยก็ทำตัวดีกับเขาหลังจากนั้น  ผู้ใดจักคิดว่านางจักเตะเขาที่ท้องเป็นการตอบแทน ?


 


แต่โชคดีที่นางเตะเขาที่ท้อง  จักเกิดอันใดหากนางเตะลงไปยังที่ต่ำกว่านั้น ?  นางจักไม่ทำไข่เขาแตกหรือ ?


 


จวินโม่เซี่ยปาดเหงื่อและหนีไปแบบหางจุกตูด  เขาตระหนักได้ว่าเขามิอาจไปยังป่าเถียรฟาได้หากโดนเตะเข้าที่ไข่  เช่นนั้น เขาจึงปิดระหว่างขาด้วยมือ และกระโดดออกจากลานบ้านของนาง


ชื่อเสียงอันเป็นตำนานของข้าจักพังทลาย …


 


คุณชายน้อยจวินออกคำสั่ง  องครักษ์ผู้แข็งแกร่ง สองร้อยห้าสิบสี่ฝึกฝนอย่างแข็งขันที่ลานฝึกสกุลจวิน  ไม้สำคัญว่ามันเป็นการฝึกฝนเพื่อเพิ่มทักษะหรือการฝึกฝนเพื่อป้องกัน หรือพวกเขากำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างร้อน ทุกผู้หยุดสิ่งเหล่านั้นทันที   พวกเขารีบรวมกับเข้าเป็นสองกลุ่ม และมายืนตามคำสั่งของจวินโม่เซี่ย


 


ทั้งสองกลุ่มนั้นมีสีหน้าที่มีชีวิตชีวา


 


” จำได้ไหมในวันที่ข้าเริ่มต้นฝึกฝนเจ้า ข้าบอกเจ้าว่าข้าต้องการเจ้าเพียงสองกลุ่ม  ทั้งสองกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด  กลุ่มหนึ่งคือ ทำลายสวรรค์ และอีกกลุ่มคือ ดูดกลืนวิญญาณ  และ ทั้งสองกลุ่มนี้มิเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาจักเป็นกำลังหลักในกองกำลังของข้า !  ทั้งสองกลุ่ม ทำลายสวรรค์ และดูดกลืนวิญญาณจักช่วยข้าเคลื่อนที่ผ่านได้ทุกดินแดน  และ สมาชิกของทั้งสองกลุ่นนี้จักได้รับคัดเลือกจากผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้า  และ ผู้ที่ถูกเลือกเหล่านั้นจักกลายเป็นฝันร้ายของทั้งโลก !  พวกเขาจักเป็นขุนศึกชั้นแนวหน้าของดินแดนนี้ !  เขาเขามิมีผู้ใดเทียบได้ ! ”


 


จวินโม่เซี่ยเดินไปด้านหน้าของเหล่าขุนศึกอย่างผ่อนคลาย  มีแววตางที่คมชัด  เขาเพ่งมองไปยังใบหน้าของทหารทุกผู้


 


ลมหายใจของทุกผู้หนักแน่น  ดวงตาของทุกผู้เต็มไปด้วยความปรารถนา


 


เพื่อที่จักเป็นขุนศึกที่แข็งแกร่งที่สุด !  กลายเป็นฝันร้ายของศัตรู !  นี่คือความปรารถนาสูงสุดของพวกเขา


 


นี่คือสิ่งที่พวกเขาปรารถนามาทั้งชีวิต !


 


” ข้ายังบอกอีกว่า เจ้าจักคู่ควรกับมันหรือไม่ … ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า !  ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพวกเจ้า !  ข้ามิรู้จักชื่อของพวกเจ้าจนถึงวันนี้ !  อย่างแรก เพราะข้าไม่สนใจจักต้องรู้ !!  อย่างที่สอง .. เพราะเจ้ายังไม่สมควรได้รับการยอมรับจากข้า !


จวินโม่เซี่ยเอ่ยช้าลง  การพูดที่ช้าลงของเขานั้นมีจังหวะที่ประหลาด  ราวกับมีพลังที่กดลงที่ทั่งทั้งพื้นที่  ราวกับเวลากำลังช้าลง


 


” ข้าจักส่งภารกิจแรกของเจ้าให้หลังจากสี่วัน  และ ผู้ที่รอดกลับมาจักได้เป็นสมาชิกของ กลุ่มทำลายสวรรค์และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ ของข้า !  ตั้งแต่นั้น พวกเขาจักได้เดินไปบนเส้นทางแห่งพลัง และการสังหาร !  ชื่อของพวกเขาจักทำให้ทั่วทั้งดินแดนสั่นกลัว ! ”


 


จวินโม่เซี่ยเพ่งมงไปยังพวกเขา  จากนั้น เขาพูดต่อดด้วยเสียงเบา


” แต่ ภารกิจนี้แตกต่างจากก่อนหน้า  ข้าต้องการเพียงขุนศึกที่แข็งแกร่ง  เช่นนั้น ภารกิจนี้จะเป็นการเสี่ยงตายอย่างมาก ข้าจักบอกเจ้าว่าภารกิจนี้อันตรายยิ่ง !  อัตราการตายสูงถึง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์  และ นั่นเป็นเพียงการประมาณการ ดังนั้น ทุกผู้ที่มิต้องการเข้าร่วม … เดินถอยหลังไป  ทั้งสกุลและตัวข้า ไม่บังคับเจ้าเพื่อทำสิ่งนี้  เช่นนั้น เจ้าสามารถถอนตัวได้หากต้องการ  ไม่ต้องละอายที่จักคิดถึงความปลอดภัยของตัวเจ้า ”


 


สายลมสาทรฤดูพัดเบา ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว  ความจริง ไม่มีผู้ใดกระพริบตา


 


” นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จักถอนตัว เจ้ามิอาจหันกลับไปได้อีกแล้ว  เป็นไปได้ที่ เข้าไปสิบ อาจจะตายทั้งสิบ  พวกเขาจักจากไปตลอดการ !  นี่คือโอกาสสุดท้าย ! ”


จวินโม่เซี่ยประกาศไปอย่างเยือกเย็น


 


ไม่มีผู้ใดขยับแม้แต่น้อย


 


จวินโม่เซี่ยพยักหน้าแผ่วเบา  จากนั้น เขาเอ่ยโหดเหี้ยม


” ผู้ที่ต้องการเข้าร่วม เดินมาข้างหน้า “


 


” ตึบ ! ”


 


บุรุษสองร้อยห้าสิบสี่ก้าวขึ้นหน้า  พวกเขาออกแรงขณะก้าวขึ้นหน้า  ความเป็นระเบียบ พละกำลัง การก้าวของพวกเขาทำให้พื้นสั่นสะเทือน


 


” ดีมาก !  เก้าในสิบอาจไม่รอบในภารกิจนี้  แต่ ตอนนี้เจ้ามิอาจเสียใจได้แล้ว  พวกเขากล่าวว่าผู้ที่ก้าวหน้าแม้นมีปัญหา คือบุรุษเลือดเหล็ก !  ให้ข้าบอกเจ้าบางอย่าง …”


 


จวินโม่เซี่ยพึมพัมอย่างลังเลครู่หนึ่ง  จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้านับร้อยในแววตา  ทุกผู้ตื่นตัว และหลังตรง  พวกเขาต้องการฟังวาจาของจวินโม่เซี่ยอย่างตั้งใจ


 


” การเดินทางของบุรุษมีเพียงเส้นทางเดียว  ชื่อเสียง และ ความสง่างามไม่ว่าเป็นหรือตาย … แต่ไม่ถอย !


 


” เลือดของบุรุษที่แท้จริง ทำมาจากเหล็ก เขาจักไม่ลังเลเมื่อเจอกับอันตราย !


 


“น้ำตาของบุรุษที่แท้จริงนั้นล้ำค่านัก  เขาจักไม่ถอยแม้นเมื่อเจอกับศัตรูมากมายเพียงลำพัง !


 


” กระดูกของเขาอาจหักได้  เลือดของเขาอาจไหลนอกงราวแม่น้ำ  แต่ บุรุษแท้จริงจักยืนหยัด ไม่ถอย ! ”


 


” บทกวีของบุรุษที่แท้จริงนี้สามารถท่องได้เพียง บุรุษที่แท้จริงเท่านั้น  ผู้ที่มิใช่บุรุษที่แท้จริง … มิอาจเข้าได้ได้ “


 


จวินโม่เซี่ยเอามือไพร่หลัง


” ข้าหวังว่าพี่น้องของข้าทุกคนจักกลายมาเป็น บุรุษที่แท้จริง  สุภาพบุรุษ จงก้าวย่างเพื่อกลายเป็นบุรุษที่แท้จริง !  ติดตามข้าในขณะที่ข้ายึดครองโลกอย่างภูมิใจ ! ”


 


ทั่งหมดเงียบสนิท


 


สีหน้าของทุกคนดุดัน  กวีแห่งบุรุษที่ให้เลือดของทุกคนเดือดพล่าน  ราวกับทุกรูขุมขนประทุไปด้วยพละลกำลัง พร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย


 


มันคือบทกวีที่ยอดเยี่ยม !


 


การเดินทางของบุรุษที่แท้จริงมีเพียงหนึ่ง  ชื่อเสียง และ ความสง่างามไม่ว่าเป็นหรือตาย … แต่ไม่ถอย !  บุรุษสามารถเดินไปเพียงทิศทางเดียวเท่านั้นหากเป้าหมายของพวกเขาชัดเจน และ เขาจะเดินไปตามเส้นทางนั้นตลอดชีวิต  บุรุษเช่นนี้มิเคยเสียใจ


 


เลือดของบุรุษที่แท้จริงนั้นทำจากเหล็ก  เขาจักไม่ลังเลเมื่อเจอกับอันตราย !  นี่คือปกติวิสัยของบุรุษที่แท้จริง


 


น้ำตาของบุรุษที่แท้จริงนั้นล้ำค่า  เขาจักไม่ถอยแม้นเมื่อเจอกับศัตรูมากมายเพียงลำพัง !  พระอาทิตย์อาจตก เมื่อสนามรบเต็มไปด้วยซากศพ และทะเลเลือด  พันธมิตรอาจจากไป และบุรุษที่แท้จริงจักเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายแม้นมีร้อยรอยบาดแผล  มันจักเป็นฉากที่น่าเศร้า  แต่ บุรุษที่แท้จริงจักล่าถอยได้อย่างไร ?


 


กระดูของเขาอาจถูกหัก  เลือดของเขาอาจไหลนอกงราวแม่น้ำ  แต่บุรุษที่แท้จริงจักยืนหยัด ไม่ถอย !  นั้นคือบุรุษที่แท้จริง !


 


ผู้นำกลุ่มทั้งสองนำกลุ่มของพวกเขาเดินผ่านด้านหน้าของจวินโม่เซี่ย  พวกเขารับยา กำมือ และ เดินไป


 


บุรุษสองร้อยห้าสิสี่รับยาของพวกเขาเพียงชั่วอึดใจ  จากนั้น พวกเขาจัดระเบียบตัวเอง


 


” ยาเหล่านี้เป็นสิ่งหายาก และเป็นตำนาน !  คุณชายน้อยผู้นี้ได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย และใช้เงินมากมายเพื่อปรุงยาเหล่านี้  และตอนนี้ พวกเจ้าแต่ละคนได้รับส่วนแบ่งในมือ  ยาเหล่านี้จักเพิ่มพูนพลังปราณเชวียนของเขาเทียบเท่าสิบปี  สุภาพบุรุษ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง ! ”


จวินโม่เซี่ยเอ่ยด้วยทีท่าจริงจังขณะเขาเอามือไขว้หลัง


 


ทุกผู้ประหลาดใจ  ผู้คนเคยได้ยินถึงตัวยาหากยากและล้ำค่ามากมายทั่วทั้งดินแดนเชวียนเชวียน  ดั่งเช่น … โสมพันปี เห็ด และผักไผ่ … ยาเหล่านี้สามารถเพิ่มความก้าวหน้าของแต่ละคนใด  แต่ มิเคยมีข่าวของยากที่สามารถเพิ่มปราณเชวียนได้มากมายเช่นนี้  และ คุณชายน้อยผู้นี้มิเพียงปรุ่งยาล้ำค่า .. แต่เขายังยังมอบมันให้แก่ผู้อื่น !


 


ทุกผู้ประทับใจกับสิ่งนี้


 


บุรุษมอบชีวิตไว้กับสหาย


 


และเข้าจักทำเช่นนั้นโดยไม่เอ่ยวาจา …


 


ผู้นำทั้งสองออกคำสั่ง และทั่งสองร้อยห้าสิบสี่ก็ทำตาม  พวกเขาเรียงแถวแยกจากสหายสามเมตร  จากนั้น พวกเขาเงยหน้า และกลืนยาสามเม็ดลงไป  หลังจากนั้น พวกเขานั่งขัดสมาธิ และมุ่งสมาธิไปยังจุกดันเถียน เพื่อดูดกลืนปราณเชวียนจากยา


 


จวินโม่เซี่ยยืนตรงหน้าพวกเขาด้วยท่าทางผ่อนคลาย  อย่างไรก็ตาม เขาซ่อนมีดบินไว้ในมือเพื่อป้องกันไว้ก่อน  ตอนนี้เขาอยู่ในบ้านของตัวเอง แต่เขาจำต้องระมัดระวังในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้


 


บุรุษมากกว่าสองร้อยพัฒนาการบำเพ็ญพร้อมกัน  สิ่งนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน !


 


ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงต้องระวังเป็นพิเศษ


 


หอคอยตั้งอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ฝึกฝน  จวินวูอี้เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นจากด้านข้าง  เขายิ้มและพึมพัม


“ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กเหลือของผู้นี้เก็บไว้กับตัวมากมาย และข้าถูก !  การเพิ่มความสามารถทหารสองร้อยห้าสิบสี่คนพร้อมๆกัน … เป็นสิ่งที่อัศจรรย์นัก ….”


 


ปู่จวินคำรามทาจมูก


” โม่เซี่ยควรใช้ยาเหล่านั้น แต่เขามิควรใช้มันอย่างขาดการพิจารณา  สถานการณ์เลวร้ายสามารถเกิดขึ้นได้ หากข่าวของเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป  คนธรรมดามิจำเป็นต้องซ่อนหลังกำแพง แต่ยาเหล่านี้สามารถทำให้สกุลจวินของข้าได้รับการสาปแช่งไปชั่วกัปช่วยกัน วูอี้ เราจักต้องระวังเป็นอย่างมา !  เป็นการดีที่จักฝังยาเหล่านี้ไว้ในดิน หากที่มาของพวกมันถูกเปิดโปง !  ข้าจักไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดกับจวินโม่เซี่ย !  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “


 


” ข้าเข้าใจ ”


จวินวูอี้พยักหน้าล้ำลึก และเอ่ย


“ยาที่ล่อตาล่อใจนั้นสามารถทำให้สกุลจวินมีเคราะห์ร้าย  พวกเรามิควรเสี่ยงหากมีวี่แววของปัญหา  จักเป็นการดีที่จักทิ้งโอกาสนี้มากกว่ายอมเสี่ยง ”


 


” ดี ! ”


ปู่จวินมองไปยังหลานของเขา  ความรักใคร่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะที่เอ่ยต่อ


” เวลาในการใช้ยาเหล่านี้ก็ควรแม่นยำเช่นกัน  และผู้ที่ได้รับผลจากมันมิควรรู้ว่ามันเกิดจากยา  เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันจักเป็นเช่นไร ? “


 


จวินวูอี้พยักหน้าเบาๆ


” ร่างกายของข้าพิการมานับสิบปี แต่สมองข้ามิได้เสื่อมถอย ข้าบังเอิญพัฒนาวิธีการเพิ่มการบำเพ็ญของข้า  ข้าแค่ขอให้เขาใช้วิธีเดียวกัน เพียงเท่านั้น ”


 


จวินจ้านเเทียนหรี่ตาลง


” แล้ว เจ้าทำให้ตัวเจ้าเสี่ยง ? “


 


คุณชายสามจวินยิ้มเงียบๆ และเยือกเย็น


” สบายใจได้ท่านพ่อ  ข้ารู้ว่าอันใดจักเกิดขึ้นต่อไป  แต่ จักไม่มีผู้ใดมองไปที่ตัวจวินโม่เซี่ยในเรื่องนี้ ”


 


” เจ้าจำต้องระวังอย่างมาก ! ”


ปู่จวินพยักหน้า และไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ  จากนั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงอันเยือกเย็น  ในที่สุด เขาเอ่ยด้วยท่าทางสง่างาม


” ข้าต้องการข้อมูลของทั้งสองร้อยห้าสิบสี่คนนี้ !  ข้าต้องการรู้ถึงประสบการณ์ของพวกเขา และผู้ที่ติดต่อกับพวกเขา  ข้าต้องการรู้ถึงเพื่อน สกุล และทุกผู้ที่พวกเขาอาจติดต่อด้วย  เพื่อนบ้าน ..​หรือคนรัก … แม้แต่โสเภณี่ที่พวกเขาอาจมีสัมพันธ์ !  เจ้าต้องกำจัดผู้ใดก็ตามที่ต้องสงสัย  แม้นว่าการกระทำของเราจักไม่ยุติธรรม .. เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “


 


” ขอรับ ! ”


จวินจ้านเทียนออกคำสั่งอย่างแน่วแน่และเข้มแข็ง  ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นวาจาดั่งคำสั่งของทหาร  โดยเฉพาะเมื่อเขาเอ่ยประโยคสุดท้าย


” แม้นว่าการกระทำของเราจักไร้ความยุติธรรม ”


เขาตัดสินใจออกคำสั่งสังหาร  เช่นนั้น จวินวูอี้จึงเอ่ยตอยอย่างเข้มขรึมประหนึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับคำสั่ง  จวินวูอี้เอ่ยตอบเพียงคำเดียว  แต่ ทั้งสองเข้าใจว่า คำสั่งนี้เทียบเท่ากับระเบียบทางารทหาร !


 


จวินจ้านเเทียนรู้ว่าจักมีการเคลื่อนไหมเมื่อข่าวยาของจวินโม่เซี่ยถูกเผยแพร่ออกไป  เขารู้ว่ามันอาจก่อให้เกิดการตื่นตัว และจากนำพาปัญหามาได้  เช่นนั้น ปู่จวินจึงวางแผนเพื่อจัดการกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้


 


เขาเสี่ยเพื่อความปลอดภัยของหลานชาย !


 


เช่นกันกับ คุณชายจวินสามที่เดิมพันทุกสิ่งเพื่อความปลอดภัยของหลานชาย  เขาเสี่ยงแม้กระทั้งตัวเอง


 


ทหารที่รับยาเข้าไปกำลังแสดงปฏิกริยา


 


พวกเขาบางคนอยู่ในระดับเชวียนทอง  พวกเขาสามารถดูดกลืนเชวยีนบริสุทธิได้อย่างง่ายดาย  และ สามารถดูดกลืนมันได้อย่างเหมาะสม  แต่ มากกว่า เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแสนสาหัส  พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเนื่องจากขั้นเชวียนเงินของพวกเขานั้นไม่เพียงพอที่จักอดทนต่อผลจากยา  กล้ามเนื้อและเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างแข็งแกร่ง  ผิวของพวกเขาเริ่มริบหรี่ด้วยเส้นแสง เนื่องจากปราณเชวียน เชวียนเงินปั่นป่วนอยู่ภายใน  พวกเขาอยู่ในขั้นเชวียนเงิน แต่ร่างกายนั้นไม่แข็งแกร่ง  ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกเว้นเพียงต้องอดทนความเจ็บปวดแสนสาหัสจากปราณเชวียนบริสุทธิ์ที่ระเบิดออกมา


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องพยุงตัวเองให้ผ่านการทดสอบนี้  พวกเขาจักได้เรียนรู้มากมายหากพวกเขาสามารถกระทำสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเอง  สิ่งนี้จักช่วยพวกเขาอย่างยิ่งในการก้าวหน้าในอนาคต  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจักมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น และได้ฝึกฝนวินัย


 


มีเพียงไม่กี่คนที่การบำเพ็ญนั้นอ่อนแก่กว่าผู้อื่น  ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ  ผิวของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีที่เหมือนเลือด  ความจริง มันดูราวกับเลือดของพวกเขาซึมออกมา  สีหน้าของพวกเขามืดมนและบิดเบี้ยว นั้นเพียงพอที่จักอธิบายถึงความเจ็บปวดมหาศาลที่พวกเขาได้รับ


 


ตะบะเชวียนมีขั้นต่างๆ  และ ผู้คนต้องฝ่าด่านต่างๆเพื่อก้าวหน้า  อย่างเช่น ยอดฝีมือเชวียนเงินจักบรรลุไปยังขึ้นเชวียนทอง และยอดฝีมือเชวียนทองจักบรรลุไปยังขั้นเชวียนหยกเป็นต้น  การบรรลุต่างๆนั้นเป็นไปตามธรรมาชาติ  อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความแตกต่างในความแข็งแกร่งของคนสองคน แม้นว่าพวกเขาจักอยู่ในขั้นเดียวกัน  อย่างเช่น ทหารส่วนใหญ่นี้อยู่ในขั้นเชวียนเงินในตอนนี้  แต่ การฝึกฝนของเขานั้นยังไม่ล้ำลึกนัก  เช่นนั้น พวกเขาส่วนใหญ่ก็มิอาจเทียบกวนเชียงฮั่นได้


 


สกุลของกวนเชียงฮั่นนั้นมิได้ทรงพลัง แต่นางได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสมตั้งแต่เด็ก ดังนั้น นางจึงสามารถบรรลุไปได้หลังจากที่ได้รับยาสามเม็ด ความจริง นางสามารถทำสำเร็จได้โดยไม่ต้องถึงพาความช่วยเหลือของจวินโม่เซี่ย  นางเพียงแค่อ่อนแรง เท่านั้น


 


อย่างไรก็ตม ทหารที่แข็งแกร่งเหล่านี้แตกต่างจากนาง  การฝึกฝนเชวียนของพวกเขายังไม่เพียงพอ  จึงเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จักควบคุมการบำเพ็ญสิบปีอันล้ำค่า เนื่องจากพวกเขาไม่เหมือนกวนเชียงฮั่น  ความจริง มีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาอาจไม่เห็นการพัฒนาไปตลอดชีวิตหากพวกเขาล้มเหลวในการดูดกลืน การบำเพ็ญสิบปีอันล้ำค่านี้


 


โชคดี ที่พวกเขาได้ผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายของจวินโม่เซี่ย  และ ความแน่วแน่นั้นเป็นเลิศเกินกว่าคนธรรมดา  ดังนั้น พวกเขาจึงอดทนต่อความเจ็บปวดแม้นว่ามันมิอาจทนได้  ความจริงแล้ว ในหมู่พวกเขาไม่มีคนใดกรีดร้อง … หรือปลดปล่อยเสียงใดออกมาจากลำคอเลย  แต่ พวกเขาขบฟัน และเสียงของการขบฟันนั้นดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย


 


ไม่มีแม้เพียงเสียงครวญครางที่เจ็บปวด มีเพียงเสียงขอบฟัน


 


เสียงของปู่จวินเริ่มสง่า ขณะที่เขาเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า


” ไม่คาดฝัน ทั้งสองร้อยสี่สิบห้าคนนั้นคือบุรุษเลือดเหล็กจริงๆ  กระดูกของพวกเขานั้นยอดเยี่ยมและแข็งแกร่ง  พวกเขาทำให้หัวใจของอาวุโสผู้นี้เต้นแรง ! ”


 


จวินวูอี้ยิ้ม  แววตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม


 


ในที่สุด … แสงสีเงินที่ปส่องประกายรอบร่างของคนผู้หนึ่งเริ่มลดลง  จากนั้นมันเปลี่ยนเป็นแสงสีทอง  แสงสีทองเหล่านั้นอาจไม่เจิดจ้า แต่มันมั่นคง  เขาได้ผ่านการทดสอบอันทารุณ และได้บรรลุไปยังขั้นเชวียนทอง


 


ตามมาด้วยคนที่สอง … คนที่สาม …


 


แสงสีทองกระพริบอย่างต่อเนื่องเมื่อมีหลายสิบคนบรรลุไปยังขั้นเชวียนทองไม่หยุดหย่อน  พวกเขาพึงพอใจอย่างยิ่งหลังจากได้ผ่านการพัฒนาอันเจ็บปวด  อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ยังไม่ยืนขึ้นในทันที  พวกเขาหลับตา และยังคงหายใจเชื่องช้าต่อไป  พวกเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากความอดทน พวกเขาไม่เคยรู้สึกแข็งแกร่งมามายเช่นนี้  พวกเขาเริ่มเคลื่อปราณเชวียนไปตามเส้นลมปราณอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงนี้


 


ในขณะที่ แสงสีเงินยังคงกระพริบอย่างต่อเนื่อง  ความจริง ความกระจ่างของพวกเขาจักเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป  ทั่วทั้งลานฝึกของสกุลจวินเริ่มอาบไปด้วยแสดงสีเงินเนื่องจาก คนมากกว่าสองร้อยได้ปลอดปล่อยแสงสว่างออกมา  แสงสว่างแหล่านี้เกือบทำให้คู่พ่อลูกบนหอคอยตาบอด


 


” เชวียนเงินคือผู้ที่อ่อนแอที่สุด พวกเขาส่วนใหญ่เป็นยอดฝีเมือเชวียนเงินสูงสุด !  พวกเขาบางคนได้ก้าวไปสู่เชวียนทอง และสี่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นอยู่ในขั้นเชวียนทองสูงสุด ! ”


ปู่จวินอ้าปากค้าง


” หากกองกำลังเหล่านี้ถูกส่งออกไปยังสนามรบ … ”


 


” พวกเขาจะไม่ถูกส่งไปยังสนามรบ  พวกเขามิใช่ทหารธรรมดาอีกต่อไปแล้ว ”


จวินวูอี้เอ่ยขึ้นไม่รีบร้อน


” พวกเขาจักต่อสู้เพื่อจวินโม่เซี่ยเท่านั้น และ การส่งพวกเขาไปสนามรบนั้นไร้ค่า  ข้าไม่ยอมรับในการไร้ค่านั้น …


 


” โม่เซี่ยเคยเอ่ยว่า ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาคือยอดฝีมือปฐพีเชวียนสูงสุด  ข้าคิดว่าเขาเพียงแค่ปากเก่ง .. แต่ตอนนี้ ข้าไม่คิดว่ามันจักเป็นไปไม่ได้ .. สามเดือนก่อน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือยอดฝีมืออันดับแปด  สิ่งนี้น่าประหลาดใจอย่างแท้จริง  มันเป็นการขัดต่อลิขิตสวรรค์ !”


จวินวูอี้เอ่ยเชื่องช้า  แสงแห่งความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแวววตาของเขา


 


” ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือยอดฝีมือปฐพีเชวียนสูงสุด … ?  นั่นมิได้หมายความว่า … พวกเรามียอดฝีมือสวรรค์เชวียนราวสองร้อย … ?  แม้ นครพายุหิมะสีเงินและ คฤหัสน์ฉือฮั่น ก็มิอาจต่อต้านข้า … แม้ว่าพวกเขาจักจับมือกัน … พระเจ้า … ”


 


ปู่จวินยังคงเงียบ  เขาลูบเครา และกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินวาจานี้  ความจริง เขาบังเอิญดึงเคราของเขาออาจากจำนวนหนึ่ง .. และไม่รู้ตัวเลย


 


นี่เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึง !

 

 

 


ตอนที่ 306

 

ทหารทั้งสองร้อยห้าสิบสี่ผ่านการบรรลุ โดยไร้ซึ่งผู้ที่ล้มเหลว  จากนั้น พวกเขาลุกขึ้นจากพื้น และรีบจัดระเบียบแถวอย่างรวดเร็ว  พวกเขามองจวอนโม่เซี่ยด้วยแววตาซาบซึ้ง… และ คลั่งไคร้ …


“ปั้ง! ”


 


ผู้คนสองร้อยห้าสิบสี่คุกเข่าลง และเอาหัวโขกพื้น เสียงที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพวกเขาดังสนั่นและก้องสะท้อนไปทุกทิศทาง


 


” ขอบคุณคุณชายน้อย ! ”


บุรุษกว่าสองร้อยคำรามขึ้นพร้อมเพรียง


 


” ข้าจักให้เวลาเจ้าสองวัน  ใช้การฝึกฝนตามปกติเพื่อปรับร่างกายของพวกเจ้า  ข้าต้องการให้ทุกผู้ผสานรูปแบบของตัวเองกับปราณเชวียนที่เปลี่ยนไป  และ ในเช้าวันที่สาม เจ้าจักได้ไปยังคลังสรรพาวุธและรับอาวุธของพวกเจ้า ! ”


 


จากนั้น จวินโม่เซี่ยพยักหน้าเชื่องช้า และเอ่ยต่อ


” ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้จักต้องเป็นความลับยิ่งยวด ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาติให้เปิดเผยแก่ผู้อื่น  พวกเจ้าทั้งหมดจักต้องรับผิดชอบร่วมกัน …หากมีการรั่วไหล ! ”


 


” ขอรับ !  ผู้ใต้บัญชาของท่านขอตายเสียดีกว่าเปิดเผย ! ”


 


ปู่จวินยังคงอยู่บนยอดหอคอย  มีความวิตกกังวลอยู่ในแววตาของเขา


” กลุยุธของจวินโม่เซี่ยนั้นเพียงพอให้เป็นผู้นำที่น่าหลงไหล เขามีเกียรติ  และเขา มีความอัฉริยะที่จำเป็น  แต่ ข้าไม่คิดว่าเขาเหมาะจะเป็นผู้นำกองทหาร ”


 


” เหตุใด ?  ท่านพ่อ โม่เซี่ยนำกองกำลังของเขาโดยการให้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง  วินัยที่เข้มงวดของเขาทำให้เกิดผลลัพธ์ชั้นเลิศนี้  ความเป็นผู้นำของเขาได้เปลี่ยนกองหทารนี้ให้เป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยม … เหตุใด เขาจึงไม่เหมาะจักเป็นผู้นำกองกำลัง ? “


จวินวูอี้สับสน


 


” เขามีความคิดที่ดุร้าย! ”


ปู่จวินคำรามทางจมูก  จากนั้นถอนใจ  ดูเหมือนว่าเขากำลังมองไปยังยิ่งสิ่งที่ยอดเยี่ยม … เว้นแต่มีข้อเสียหนึ่งข้อ  ” เขาเหมาะที่จักนำพากองกำลังพิเศษ มิใช่กองกำลังธรรมดา  วาจาที่เขาเอ่ยนั้นเป็นเพียงการข่มขู่ปกติ แต่เมื่อคิดถึงวาจาสุดท้าย


“พวกเจ้าจักต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากมีการรั่วไหล ! ”


 


ปู่จวินถอนใจอีกครั้ง


” โม่เซี่ยไม่ลังเลเมื่อเขาเอ่ยวาจากที่น่าหาดดกลัวนี้ ไร้ซึ่งอารมณ์ในนั้นเสียงของเขา  เมื่อข้าได้ยินวาจานี้ … ข้ารู้ว่าโม่เซี่ยจักทำตามสิ่งนั้น หากทหารของเขาล้ำเส้นและแพร่งพรายความลับ  และ ข้าจักทำมันกับทุกผู้…. ”


 


” นั่น คงมิได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ?  หากเขาสามารถฝึกฝนคนเหล่านี้ … เขาก็สามารถฝึกฝนผู้อื่น ”


จวินวูอี้ไม่เห็นด้วย


” ท่านพ่อ ท่านและข้ารู้ดีว่าวินัยเป็นสิ่งสำคัญ  และ สิ่งต่างๆจักโหดร้ายและเจ็บปวดเมื่อถึงเวลา แต่การรักษาความสงบนั้นสำคัญที่สุด  พวกเราจักใจอ่อนในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ?  นี่สิ่งสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ ”


 


” นั่นจึงเป็นเหตุที่เจ้าเป็นเพียงผู้บัญชาการ แต่เจ้ามิอาจเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ ”


จวินจ้านเทียนถอนใจ


” ผู้บัญชาการจักมีเพียงทหารจำนวนหนึ่งภายใต้บัญชาการ  และเจ้า สามารถปรับใช้งานพวกเขาได้ตามสถานการณ์ ทหารหยิบมือสามารถติดตามเจ้าไปได้ตามประสงค์ เนื่องจากพวกเขาได้รับการฝึกฝนและเข้าใจสิ่งต่างๆ  เช่นนั้น พวกเขาจักไม่เป็นปัญหา  ทหารส่วนตัวของเจ้า และกลุ่มคนของโม่เซี่ยเป็นตัวอย่างนี้ได้  แต่ ทหารเพียงหยิบมือนี้ เป็นเพียงส่วนเล็กๆในกองทัพ … มีทหารอยู่นับแสนคนภายใต้การบัญชาของผู้บัญชการสูงสุด  และ มันเป็นเรื่องสำคัญของผู้บัญชาการสูงสุดที่จักต้องควบคุมสถานการณ์โดยรวม  แต่ .. หากเจ้ากระทำหยาบคายต่อพวกเขา… ข้ากลัวว่าเจ้าจักนำเคราะห์ร้ายมาสู่กองทัพของเจ้า


 


 


” ความขัดแย้งและแตกแยกเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยง เมื่อกองทหารรวมเข้าด้วยกัน เนื่องจากทหารเหล่านี้เต็มไปด้วยบุรุษเลือดร้อน  เจ้าอาจมีข้อพิพาทนับร้อยภายในคืนเดียวเมื่อเหล่าทหารมารวมตัวกัน  ตอนนี้ หากเราปฏิบัติตามแนวทางของเจ้าและโม่เซี่ย … เจ้าจักทำให้พวกเขาทั้งหมดโดยตัดหัว ”


จวินจ้านเทียนถอนใจ


” ผู้บัญชาการต้องเข้มงวดและยุติธรรม แต่ผู้บัญชาการสูงสุดจำต้องรับฟังความเห็นต่าง  การเป็นผู้บัญชาการ และผู้บัญชาการสูงสุดนั้นไม่เหมือนกัน


 


” เจ้านั้นหัวแข็งมาก และโม่เซี่ยนั้นโหดเหี้ยมยิ่ง  นั่นคือจุดแข็งของเจ้า… แต่เจ้าก็ยังมีข้อบกพร่อง ”


จวินจ้านเเทียนเอ่ยด้วยท่าทีล้ำลึก


” จวินโม่เซี่ยอำมหิตยิ่ง แต่ก็เพียงพอจักปกป้องตัวเขาได้  แต่ เจ้ายังคงเจ้าสามารถสูญเสียได้เนื่องจากเจ้านั้นเด็ดเดี่ยวเกินไป  นี่คือความแตกต่างอย่างชัดเจนของเจ้าทั้งสอง ”


 


จวินวูอี้ยืนนิ่ง  เขาครุ่นคิดไปตามวาจาของพ่อของเจ้า และยังคงไร้อารมณ์เป็นเวลานาน


 


การฝึกฝนที่โหดร้ายเริ่มขึ้นในลานฝึก  แต่ ความรุนแรงของการฝึกฝนนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากแต่ก่อน


 


จวินโม่เซี่ยกลับไปยังลานบ้านของเขา และสูดหายใจยาว  เขาเพิ่มความสามารถของทุกคน  ตอนนี้ ผู้ที่เหลืออยู่มีเพียงตัวเขา  เขาปรุงยาเหล่านั้น แต่ยังมิได้ลองกับตัวเอง


 


ข้ายังคเพียงอยู่ในขั้นหยกเชวียนกลาง  เช่นนี้ ยาตัวใดที่จักให้ผลที่ดีกัน ?


 


จวินโม่เซี่ยไม่มันใจ  แต่ เขาก็รู้ว่าผลบวกอันใดที่สามารถสร้างประโยชน์ได้มาก


 


ดังนั้น เขาจึงมิได้ลังเลขณะกลืนยาทศวรรษลงไป


 


อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยมิได้กินยาหัวใจอสูร


 


ยาหัวใจอสูรนั้นเชื่อถือได้มาก แต่นี่เป็นโอกาสที่เขาจัดได้ฝึกฝนตัวเอง  ยิ่งไปกว่านั้น ยานี้มีผลกระทบด้านลบอย่างมากต่อจิตวิญญาณ


 


จวินโม่เซี่ยรู้สึกถึงปราณเชวียนมากมายที่หลั่งไหลอยู่ในจุดดันเถียร  เขาปิติยิ่งนัก


เป็นประโยชน์ยิ่ง …


 


ขณะที่ความคิดของเขาสงบลง เขาก็ตระหนักบางสิ่งได้ …


ข้าลืมบางสิ่ง  เขากระตุ้น เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ และ เส้นลมปราณของเขาเต็มไปด้วยคลื่นลมปราณ


 


พระบรมราชโองการ ถูกเผยแพร่ออกมาในวันต่อมา  เป็นดั่งคาด มีการแต่งตั้งจวินวูอี้ให้เป็นผู้บัญชาการของกองทัพที่จักเดินทางไปยัง ป่าเถียนฟา เขานำทัพทหารสองหมื่น  กองทัพเรียกรวมพลในวันต่อมา และเดินทางมุ่งหน้าไปยัง ป่าเถียนฟา ทุกสกุลสูงส่งต่างให้ความช่วยเหลือในการจัดการกับการปฏิวัติของสัตว์เชวียน


 


นอกจากจวินวูอี้ … องค์จักพรรดิเอ่ยถึงรายชื่อจำนวนหนึ่งที่เป็นสมาชิกสุกลสูงส่งเช่นกัน   ชื่อของจวินโม่เซี่ยนั้นเด่นอยู่ในหมู่รายชื่อนั้น  ผู้คนจากสกุลเมิ่งจำนวนหนึ่งก็ถูกเอ่ยถึงเช่นกัน  สกุลมูล่งได้ส่ง มูล่งเจียนจวิน และ มูล่งเจี้ยนลี่มา  สกุลตู่กู้ ส่ง บุรุษและตำนาน ทั้งสามไป  และ แม้แต่สกุลซ้งก็ได้ส่งคนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมด้วย


 


อย่างก็ก็ตาม ที่ไม่เป็นตามคาดของจวินโม่เซี่ยนั้นคือ … ชื่อของ ลี่โย่วหลานมิได้ปรากฏในรายชื่อนี้  หรือให้กล่าวอีกอยาง ลี่โย่วหลานมิได้เดินทางไปยัง ป่าเถียนฟา


 


เหตุใดพระองค์จึงเก็บบุคคลอันตรายเช่นนั้นไว้ในเมืองหลวงนี้ ? ลี่โย่วหลานนั้นทะเยอะทะยาน และ จวินโม่เซี่ยมิรู้ว่าองค์จักรพรรดิจะไม่ล่วงรู้  แต่มันเป็นปัญหาสำหรับจวินโม่เซี่ยเนื่องจากองค์จักรพรรดิตัดสินพระทัยเก็บ ลี่โย่วหลานไว้… แม้นจะรู้ถึงความทะเยอทะยานของเขา


 


รายชื่อนี้มีชื่อของ คุณชายน้อยจากทุกสกุลสูงส่งอย่างน้อยหนึ่ง  ดังนั้น จึงต้องส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งเพื่อปกป้องเชื้อสายของพวกเขา  ราชโองการขององค์จักรพรรดิมิได้อเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ทุกสกุลทรงพลังจักส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งของพวกเขาไปด้วย


 


จวินวูอี้มุ่งหน้าไปยัง ผู้บัญชาการทัพบกเพื่อทำตามธรรมเนียมเมื่อเขาได้รับฏีกาองค์จักรพรรดิ  องค์จักพรรดิต้องการให้เหล่าทหารเคลื่อพลภายในสองวัน แต่มันจักสำเร็จในเวลาอันสั้นนี้ได้อย่างไร ?  จำต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าวันเพื่อเตรียมการ


 


กองกำลังยังมิได้เคลื่อนพล แต่เสบียงก็ล่วงหน้าไปแล้ว


 


จวินจ้านเเทียน แม่ทัพสูงสุด มุ่งหน้าไปยังทุกเมืองดั่งพายุเพื่อเตรียมการ และมอบหมายหน้าที่ให้ทุกคน  กรมงานสาธารณะ กรมการภาษี กรมกะลาโหมร่วมมือกัน  พวกเขาดำเนินงานอย่างรวดเร็ว และทำให้ทุกสิ่งที่ช่วยในการเดินทัพนั้นสำเร็จภายในเวลาหนึ่งวัน


 


ความสามารถเรื่องการจัดการเวลานอาจทำให้ทุกผู้งุนงง


 


กองทัพที่ผ่านการศึกมาแล้วก็เช่นกัน  แต่ ผู้ใดกันจักเดินทางไปทั่วเพื่อเตรียมการโดยไม่ทิ้งความวุ่นวายเอาไว้เบื้องหลังกัน  ในความจริง กองทัพจะออกเดินทางแล้ว แต่เสบียงยังไม่พร้อม  สะเบียงของกองทัพจักล่าช้าเสมอ  มันยากที่จักเปรียบเทียบสิ่งนี้กับสิ่งใดก็ตาม …


 


อย่างไรก็ตาม ไร้ผู้ใดปฏิเสธที่จักทำตามในเวลานี้


 


จวินวูอี้คือผู้ใด ?  จวินวูอี้เพิ่งปลดประจำการเมื่อไม่นาน แต่เขายังได้รับการยกย่องว่าเป็นขุนพลในตำนานของอาณาจักรเทียนเชียง  เป็นเวลากว่าทศวรรษ แต่ขุนพลเลือดเหล็กผู้นี้ยังคงเป็นที่รู้จัก


 


และ เขาละจากการเกษียรเพื่อศึกนี้  เช่นนั้น ทั้งกองทัพจึงเฉลิมฉลอง  สหายเก่าของเขา และผู้ใดบังคับบัญชาต่างกระตือรือล้น  ไม่สำคัญว่าหน่วยงานใดอยู่ภายใต้การควบคุมของสกุลตู่กู้หรือสกุลจวิน …


จวินวูอี้จักได้รับไฟเขียวจากทุกที่  ไม่มีผู้ใดอาจหาญคัดค้าน … ไม่ว่าจักเป็นฝ่านพลเรือน หรือฝ่ายเสนาธิการ!


 


ทหารและเหล่าเจ้าหน้าที่ในกองทหารเริ่มภาวนา  พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพที่มีขุนพลผู้เป็นตำนานเป็นผู้นำ  พวกเขาหวังว่าจักถูกชี้นิ้วใส่และเลือกพวกเขาให้ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพ


 


กองทัพยังมิได้เริ่มเดินขบวน หากแต่ทุกผู้มีขวัญกำลังใจเปี่ยมล้น


 


ภายในพระราชวัง


 


” เจ้าคิดว่ามิแปลกหรือที่ข้าส่งจวินโม่เซี่ยไป แต่เก็บลี่โย่วหลานไว้ ? “


องค์จักรพรรดิยังไม่เดินหมาก  พระองค์จิบชา ขณะที่พระพักต์ปกคลุมด้วยพระสลวง


 


” พะยะคะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจวินโม่เซี่ยไร้ความทะเยอทะยานอันใด ในขณะที่ ลี่โย่วหลานมีความทะเยอะทะยานอย่างแจ่มชัด  เช่นนั้น กระหม่อม มิอาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดพระองค์ส่งจวินโม่เซี่ยไปและเก็บลี่โย่วหลานไว้ ”


ขุนนางเหวินนั่งอยู่ตรงข้ามพระองค์  เขาถามด้วยความสับสน


 


” ลี่โย่วหลานมีจุดอ่อนบางอย่าง  เขานั้นควบคุมได้ง่าย  เขามิอาจทำสิ่งใดเมื่ออยู่ภายใต้สายตาของข้า  และข้าต้องการเห็นว่าคนผู้นี้สามารถเป็นประโยชน์กับข้าได้ เช่นนั้น ข้าจึงเก็บเขาไว้เพื่อที่จะเฝ้าดูเขาอย่างระมัดระวัง “


 


องค์จักรพรรดิแย้มสลวงอ่อน


” สำหรับจวินโม่เซี่ย … เขานั้นไร้ซึ่งความปราถนา  เขาจักไปหากเจ้าขอให้เขาไป และเขาจักอยู่หากเจ้าขอให้เขาอยู่  เขาเป็นดั่งควันล่องลอย  แต่ เขานั้นมิอาจเป็นผู้ที่มิอาจถูกควบคุมได้  เช่นนั้น ข้าจึงส่งเขาไปยังการปฏิวัติของสัตว์เชวียน  ไม่ว่าเขาจักรอดหรือตาย … มันขึ้นอยู่กับเขา ”


 


” กระหม่อมยังไม่เข้าใจ  หากเขาเป็นดั่งหมอดควัน … เหตุใดต้อง … “


ขุนนางเหวินขมวดคิ้ว


 


” หมอกควันมันเป็นที่กังวลเมื่อมันอยู่เพียงลำพัง  แต่ หมอกควันสามารถสร้างหายนะได้เมื่อมันมีบางอย่างหนุนหลัง ”


ประกายแสงเยือกเย็นพาดผ่านสายพระเนตร เมื่อพระองค์ถอนพระทัย


” ปัญญานุภาพอาจทำให้โลกาสั่นคลอน แต่อำนามอันยิ่งใหญ่สามารถนำพาปัญหา ”


 


ขุนนางเหวินนิ่งเงียบ


 


” มีความเคลื่อนไหวอันใดของลูกชายรองของข้าหรือไม่ ? “


องค์จักรพรรดิทรงแย้มสลวงมีเลศนัย


 


“พะยะคะ หน้าไม้จักมาถึงชาญเมืองทางใต้ในเช้าวันที่สี่ ”


ขุนนางเหวิน ถอนใจอย่างมีเลศนัยเมื่อเขาเอ่ย


 


” ดีมาก ข้าต้องต้องการให้หน้าไม้ติดอยู่ที่อื่น ”


องค์จักพรรดิวางพระหัตลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา  นิ้วพระหัตถ์กางออก  พระองค์ทอดพระเนตรไปยังนิ้ว ราวกับชื่นชมความสมบูรณ์แบบของมัน


 


” พระองค์ทรงสบายพระทัย ”


ขุนนางเหวินเอ่ยตอบ


” และด้วยเหตุนี้ .. เหตุใดพระองค์จึงไม่ถ่ายทอดราชโองการ ”


 


” หากเป็นการกระทำของลูกชายรองของข้า ข้าก็ไร้ทางเลือกหากแต่ต้องทำลายเขา ”


องค์จักรพรรดิแย้มสลวงเล็กน้อย  พระองค์ทอดพระเนตรออกไปไกล  ในที่สุดพระองค์พึมพัมกับตัวพระองค์เอง


” มิสำคัญว่าผู้ใดนั่งอยู่ในท้องพระโรง ในโรงโสเภณี หรือทีใดก็ตามในดินแดนนี้ …  การกระทำนี้อาจทำให้ทุกผู้สั่นคลอน  คลื่นใต้น้ำแรงขึ้นในทุกทิศทาง  พวกเรามิอาจทนต่อการสั่นไหวนี้ได้ ”


 


ขุนนางเหวินมองต่ำ และยังคงเงียบ


 


เขาไม่คาดว่าองค์จักพรรดิจักทำเช่นนี้เนื่องจาก ความเป็นพ่อจักเข้าไปแทรกแซง  แต่ เขาตระหนักได้ว่าเขาเข้าใจผิด เข้าใจผิดอย่างรุนแรง  เขาหัวเราะกับตัวเอง


การวิเคราะห์ขององค์จักรพรรดินั้นก้าวไกลเกินกว่าข้าจักจินตนาการ …


 


” ส่งจสานส์ไป  ถ่ายทอดคำสั่งไปยัง หอกระบี่เลือด … และทั้ง สกุลโจวทางใต้ หรือกองคาราวาน … และรวมทั้งคนของลูกชายรองของข้า ไม่มีผู้ใดยกเว้น  ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเรื่องนี้ได้รับการจัดการให้เรียบร้อย ”


 


องค์จักรพรรดิถอนพระทัยล้ำลึก


” ลูกคนรองข้าจักต้องไม่ได้รับอาวุธที่น่ากลัวเช่นนี้  หอกระบี่เลือดเป็นผู้ริเริ่ม  แต่กระนั้น ลูกชายรองของข้าก็ยังไม่คลางแคลง … ข้าผิดหัวงในความฉลาดของลูกชายรองของข้า ”


 


ขุนนางเหวินยังคงเงียบต่อไป


 


ข้าไม่สงสัยเลย  … ว่าพระองค์ จักรพรรดิแห่งสี่โพ้นทะเล จักยังคงควบคุมมือสังหารอย่างลับๆอยู่ในความมืด ?


 


ความจริง ข้ายังคงเชื่อว่า คนส่วนใหญ่จักไม่เชื่อเรื่องนี้แม้นมันจักถูกเปิดเผย ….


 


ขุนนางเหวินมองไปยังองค์จักพรรดิ  คำถามก่อขึ้นในหัวใจของเขา แต่เขายังหวาดกลัวนักที่จักเอ่ยออกมา


องค์จักรพรรมีไพ่ตายอยู่มากมายเพียงใดกัน ?

 

 

 


ตอนที่ 307

 

เดิมทีแล้ว หากองค์ชายสอง หรือจวินโม่เซี่ยได้ฟังวาจานี้ … พวกเขาจักเข้าใจมันทันทีว่าเหตุใดองค์ชายสองขอให้ หอกระบี่เลือดจัดการภารกิจนี้  คนกลุ่มนี้จักล้มเหลวก่อนที่จักได้รับชัยชนะเพียงหนึ่งก้าว


หอกระบี่เลือดเป็นที่พำนักของเหล่ามือสังหารที่มีชื่อที่สุดใน อาณาจักรเทียนเชียง หรืออาจจะทั่วทั้งดินแดนเชวียนเชวียน  แต่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขานั้น … เป็นสิ่งที่น่าตกใจยิ่ง !


 


อย่างไรก็ตาม หากครุ่นคิดให้ดี … จักเห็นว่าเป็นสิ่งปกติ  ความจริง มันอาจมีเหตุผลมากมาย


 


หรือมันจัก ?


 


ผู้มีตำแหน่งสูงส่งในอาณาจักรเทียนเชียงรู้จักสำนักมือสังหารนี้ได้อย่างไร ?  และสำนักนี้สามารถกระทำการไร้ศีลธรรมต่างๆอย่างเปิดเผิยได้อย่างไรกัน ?  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจักมีความเกี่ยวของกับราชวงศ์ ..​. หรือชนรุ่นหลังในราชวงศ์ ?


 


การมีอยู่ของสำนักเช่นนี้เป็นเรื่องปกติในเมืองเล็กๆ เนื่องจากอาณาจักรเล็กๆนั้นมีกองกำลังทหารที่อ่อนแอ  แต่ ความแข็งแกร่งของกองกำลังทหารแห่งอาณาจักรเทียนเชียงนั้นยิ่งใหญ่ และสูงส่งยิ่ง  องค์จักรพรรดิเป็นผู้ที่มีความสามารถยิ่งกว่าทุกผู้  เช่นนั้น พระองค์จักปล่อยให้สำนักมือสังหารมากกระทำการอุกอาจเช่นนี้ในดินแดนของพระองค์ได้อย่างไร ?  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากล้าแม้กระทั่งลอบสังหารเชื้อพระวงศ์ .. ราวกับเด็กเล่น … ?


 


เรื่องนี้ยังมีอีกมากมาย  ตัวอย่างเช่นการลอบสังหารองค์หญิงหลิงเมิ่ง สำนักสังหารที่มีชื่อเช่นนี้น่าจะมีการข่าวที่ดีเลิศ  และ แม้นว่าการมีอยู่ของ อยี่กู้ฮั่น นั้นจักเป็นความลับ .. แต่สำนักอย่าง หอกระบี่เลือดจักไม่รู้เลยหรือว่าอยี่กู้ฮั่นคุ้มครองนางอยู่ ?  อย่างไรก็ตาม พวกเขาส่งมือหารเชวียนทองเพียงสองเพื่อลอบสังหาร องค์หญิงหลิงเมิง…


 


การเผชิญหน้ากับผู้คุ้มครองเป้าหมายที่เป็นสวรรค์เชวียน ด้วยยอดฝีมือเชวียนทองสองคนนั้นเพียงพอหรือ ?  มันสมเหตุผลหรือไม่ ?


 


น่าเสียหายที่องค์ชขายสองมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ทั้งหมด  โดยเฉพาะประโยคที่กล่าวว่า ความฉลาดของเจ้านั้นน่าผิดหวัง นั้นเหมาะสมกับเขา  องค์ชายสองอาจไม่เข้าพระทัยในความจริงนี้จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต … นั้น .. เพราะ บิดาของพระองค์ใช้การพระองค์เพื่อชำระและจัดการแก้ไขโครงสร้างของอาณาจักรใหม่  ความจริง พระองค์จักใช้เหตุการณ์นี้เพื่อชำระล้าง แหล่งซ่องสุมโสเภณีของพระองค์ด้วย


 


หากเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยออกไป มือสังหารจวินจักไม่ยอดมรับแล้วว่าเขาเป็นผุ้เล่นที่น่าเกรงขามที่สุดในโลก  ชื่อนั้น สงวนไว้สำหรับองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนเชียงเท่านั้น


 


สถานพำนักนางสนมราชวงศ์


 


” เมิ่งน้อย บอกแม่ของเจ้าตามความจริงเสีย มีปัญหาอันใด ?  เจ้าไม่สบายหรือ ? “


หญิงสาวผู้สง่างามเอ่ยถามด้วยที่น่าอ่อนโยน  นางสวมชุดเสื้อคลุมยาว และมงกุฏเก่าแก่บนศรีษะ  นางคือองค์ราชินี และเป็นมารดาขององค์หญิงหลิงเมิ่ง มูล่งฉิวฉิ้ว


 


 


” ข้า …. ไม่มีอันใด  ลูกสบายดี  ไม่มีปัญหาอันใด  ข้าไม่รู้ว่าเหตุใด ท่าแม่เอ่ยถามเช่นนี้ ”


หลิงเมิ่งมิยอมเอ่ยสิ่งใด  หลิงเมิ่งมิรู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นหากนางบอกแม่ของนางถึงความทรมาณที่อยี่กู้ฮั่นต้องประสบ  เช่นนั้น นางจึงโกหกต่อไป


 


” สบายดี ?  เด็กน้อย เจ้ามิอาจโป้ปดได้ดีเลย  เจ้าจักตะกุกตะกักนั้นเมื่อโป้ปด “


องค์ราชินีแย้มสลวงอ่อนโยนขณะมองไปยังลูกสาวของพระองค์ด้วยควารัก


” บางครั้ง เจ้าดูเหมือนกำลังเป็นกังวล  และบางครั้ง เจ้าก็ดูเหมือนมีความสุข  นอกจากนั้น เจ้ายังร้องไห้ยามค่ำคืน  น้ำตาทำให้หมอนของเจ้าเปียก  นี่…. เจ้ายังบอกว่าไม่เป็นอันใดอีหรือ ? “


 


” ท่านแม่ … ”


องค์หญิงหลิงเมิงปลดปลดเปลื้องความน่ารักของนาง


” ลูกผู้นี้เคยโป้ปดท่านหรือ ?  ข้าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป ”


 


” หรือว่า … ”


องค์ราชินี้แย้มสลวง  พระองค์แหย่งจมูกเล็กๆของลูกสาว


” หรือว่า เจ้าคิดถึงบุรุษ ? “


 


” ท่านแม่ … ท่านพูดสิ่งใด ? “


องค์หญิงหลิงเมิงโพล่งเสียงดัง  นางเริ่มอาย และใบหน้าแดงก่ำ  แต่ นานยังคงลังเล


หรือข้าจักใช้โอกาสนี้บอกท่านแม่เรื่องจวินโม่เซี่ย ?


องค์หญิงหลิงเมิงอดหน้าแดงเนื่องจากคิดถึงคนรักมิได้


 


องค์ราชินีเห็นสีหน้าของลูกสาว  พระองค์จักมิรู้ได้อย่างไร ?


ลูกสาวข้ามิใช่เด็กอีกแล้ว  เมื่อนางมีอายุเพียงพอ นางก็ต้องเติบโต !


 


” เด็กน้อย … แม้แต่ข้า ก็มีอาาจบอกได้ว่าบุรุษในสกุลใดที่รวบรวมความรักของลูกสาวข้าไปได้หรือ …. ? “


องค์ราชินี้มองยังลูกสาวน้อยอย่างเย้าแหย่


 


” ท่านแม่ … ”


องค์หญิงหลิงเมิงหันหลังไปและส่ายเอว  นางลังเลชั่วขณะ แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจจักเก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวเอง  องค์หญิงมิได้โง่  นางจักมิรู้ได้อย่างไร่ว่าความรู้สึกของจวินโม่เซี่ยอาจมิได้เหมือนกัน ?  นางกลัวว่าเขาอาจมิได้ชอบนาง  ดังนั้น นางอาจโดนปฏิเสธหากนางเอ่ยความรู้สึกของนางอย่างหุนหัน


 


อย่างไรก็ตาม หัวใจขององค์หญิงก็ถูกปฏิเสธ


เจ้าพยายามขอความรักข้ามาหลายปี แต่ข้ามิได้ประทับใจ  และไม่สนใจถึงความเอาใจใส่ที่เจ้ามีต่อข้า !  และตอนนี้ องค์หญิงผู้นี้ก็ไม่ได้คัดค้าน … ความเจ้าเล่ห์ของบุรุษผู้นี้ต่อข้า … อืม !


 


” เด็กน้อยของข้าเหมือนขี้อาย  มิต้องบอกข้า หากเจ้ามิต้องการ  แม่มิบังคับเจ้า  ฮี่ ฮี่ … เมิ่งน้อย บอกแม่เรื่องคนรักของเจ้าเมื่อถึงเวลา  เจ้ามิได้เป็นเด็กแล้ว  มันจักกลายเป็นปัญหา หากพ่อของเจ้า องค์จักพรรดิ หุนหันตัดสินพระทัยให้เจ้าแต่งงานในวันหนึ่ง … ”


องค์ราชินีเอ่ยขณะลูบผมของลูกสาวด้วยความรัก


 


” ลูกเข้าใจ ”


องค์หญิงกอดแม่ของนางด้วยความรักใคร่  ทันใดนนั้น นางก็นึกถึงการดูแลของน้าอยี่มานานหลายปี …และความทรมาณที่เขาได้รับในตอนนี้  นางรู้สึกปวดใจ และต้องการร้องไห้


 


” ข้ามิรู้เหตุใด … แต่หัวใจของข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างประหลาดมาหลายวัน …. ราวกับเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น … ”


รอยิ้มจางๆปรากฏบนพระพักต์  สีหระพักต์ครุ่นคิดปรากฏขึ้นขณะพระองค์พึมพัม


” หรือจักเป็น …. ?  สิ่งใดเกิดขึ้นกัน ?  ข้ารู้สึกปวดร้าวในหัวใจ …”


 


หัวใจองค์หญิงหลิงเมิ่งกระวนกระวาย แต่นางมิกล้าเอ่ย


ข้ามิรู้อาการของน้าอยี่  และข้ามิรู้ว่าเขามีศัตรูมากมายเพียงใดในราชวังนี้ …


 


สกุลจวิน


 


หน้าผากจวินโม่เซี่ยเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ  เขายังคงเผชิญกับเขี้ยวของสาวน้อย


 


เขายังคงเงียบ เนื่องจาก …


 


” ข้าประสงค์จักไปเช่นกัน ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ วางท่าทางอย่าเปิดเผย ขณะที่นางอุ้มเจ้าขาวน้อยในอ้อมแขน


 


” เจ้ากำลังเอ่ยสิ่งใดน้อยสาว ?  เจ้าต้องการเข้าไปอยู่ในท้องของสัตว์เชวียนหรือ ?  เจ้าต้องการจักช่วยข้าหรือสัตว์เชวียน ? “


จวินโม่เซี่ยกรอกตา


พระเจ้า !  ได้โปรดเถิด ?  เจ้าเด็กน้อยนี่ทำให้ข้ารำคาญทั้งเช้า …


 


” อืม !  เจ้าอาจจะจบลงด้วยการเข้าไปอยู่ในท้องของสัตว์เชวียน แต่ข้านั้นโหดร้ายและทรงพลัง !  แม้แต่พี่ชายทั้งเจ็ดของเข้าก็มิอาจเทียบได้ หากข้าใช้เคล็ดมีดบิน  ไม่มีเชวียนทองผู้ใดเทียบเทียมข้าได้ !  นอกจากนี้ สัตวก์เชวียนจักทำอันใดกับสาวน้อยผู็นี้ได้ ? “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยังคงท่าทีสูงส่ง


” เพียงแค่มองไปที่การกระทำของเจ้าขาวน้อย … เขามิได้ทำตัวดั่งลูกสุนัขหรือแม้นว่าเขาจักเป็นสัตว์เชวียนขั้นเก้าแล้ว ?  เช่นนั้น ข้าจักกลัวสิ่งใดหากพวกเขาเป็นเช่นนี้ ?  ข้าสามารถสังหารพวกมันได้นับพัน !  และ ข้าก็จักได้หาเพื่อนเล่นให้แก่เจ้าขาวน้อยด้วย ! ”


 


เจ้าขาวน้อยร้องครวญอย่างไม่พอใจ


เจ้าคิดว่ามันง่ายหรือที่จักหาสัตว์ระดับสูงได้ ?


เขาเงยขึ้นมองนาง  อย่างไรก็ตาม เขายังรู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังจากของนายหญิงของเขา  เขารู้ว่ามิฉลาดอันใดที่จักเคลื่อนไหว  เช่นนี้ เขาจึงมิสนใจนาง และกลับไปหลับ


 


จวินโม่เซี่ยรู้สึกไร้ทางเลือก


“เจ้าเปรียบเทียบเช่นนี้ได้อย่างไร ?  เจ้าขาวน้อยเป็นสัตว์เชวียนระดับสูง  แต่ เขามิได้เติบโต้ใช่หรือไม่ ?  ไม่ พวกเรามิควรเอ่ยเช่นนี้ .. เราควรบอกว่าเขายังเป็นทารก !  เช่นนั้น เจ้าจักเทียบเขากับพวกนั้นได้อย่างไร ?  เจ้าไม่เคยเห็นสัตว์เชวียนตัวอื่นหรือ ?  เจ้าไม่รู้อันใดเลยหรือ ? “


 


” เจ้าเอ่ยเรื่องไร้สาระอันใดกัน ?  เจ้าคิดว่าข้ามิรู้เรื่องจริงหรือ ?  และ สัตว์เชวียนหรือ ?  แล้วพวกเขาละ ?  สัตว์เชวียนอื่นๆจักสิ้นหวังเมื่อพวกเขาได้พบสาวน้อยผู้นี้  พกวเขามิกล้าแม้แต่จักเงยหน้า ! ”


สาวน้อยหยิ่งทะนงอย่างเปิดเผย


 


น้ำตาหลั่งไหลลงแก้มของจวินโม่เซี่ย


จริงหรือ ?  เด็กสาวเอาแต่ใจจากสกุลทรงพลังจักรู้ถึงความอันตรายนี้ได้อย่างไรกัน ?  เจ้าได้เห็นเพียงสัตว์เชวียนชั้นต่ำ ผผู้ที๋โดดเด่นจากผู้อื่น !


 


” เจ้าต้องเล่นตลกเป็นแน่ !  เจ้าน้ำพาเจ้าขาวน้อยไปกับเจ้าเสมอ  และ นครหลวงมีเพียงสัตว์เชวียนทั่วไปเท่านั้น  เช่นนั้น พวกเขาจึงสิ้นหวังเมื่อเห็นเจ้าขาวน้อย  เหตุผลนั้นเพียงพอสำหรับเจ้าหรือไม่ ?  เจ้าขาวน้อยนั้นน่าเกรงกลัวจริงๆที่นี่ … แต่เขานั้นไม่มีค่าอันใดในป่าเถียรฟา ! ”


จวินโม่เซี่ยอธิบายความน่ากลัว


 


เจ้าคิดว่าเจ้าจัดกลอกข้าได้ราวกับเด็กหรือ ?!  เจ้าขาวน้อยดุร้ายยิ่งนัก !  และเจ้ายังบอกว่ามันไร้ค่า ? อย่างไรก็ตามข้าจักไป !  และ เมื่อข้าต้องการจักไป ข้าจักต้องได้ไป ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ เอ่อยย่างไร้เหตุผล


ในอีกสองเดือนจักเป็นวันเกิดครอบรอบเจ็ดสิบปีของท่านปู่  เขาได้รับบากเจ็บที่เอวจากการต่อสู้เมื่อนานมาแล้ว  เขามิอาจโดดนลมได้นาน เขาจักหนาวเนื่องจากการบาดเจ็บนั้น  ข้าได้ยินว่าขนของเฟอร์เรนหิมะสามารถช่วยเขาจากการหนาวจับได้  เช่นนั้น ข้าจึงวางแผนจักล่า ฟอร์เรนหิมะในการเดินทางนี้  ข้าต้องการมอบมันให้แก่ท่านปู่ในวันเกิดเพื่อแสดงถึงความรักของข้า ”


 


เจ้าเด็กสาวผู้นี้คิดว่า ฟอร์เรนหิมะจักรอเขาอยู่เฉยๆหรือ  นางคิดว่านางสามารุไปจับมันได้หรือ …


 


จวินโม่เซี่ยเกือบอ่อนแรง


” น้องสาว คนดี … เจ้าคิดว่า ฟอร์เรนหิมะ เป็นแมวน้อยอย่างนั้นหรือ ?  … เจ้าเพียงแค่ไปคว้าตัวมันมาหรือ ?  สิ่งนี้นั้นขั้นสูงกว่า เสือดาวปีกเหล็กของเจ้า  พวกมันเป็นสัตวเชวียนขั้นแปดเป็นอย่างน้อย  และไม่เพียงแค่ในชื่อเท่านั้น  ความจริง ระดับแปดเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น … หรือจักบอกได้ว่า มันสามารถพัฒนาได้  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “


 


วันก่อนนั้นนางอ่อนโยน  เช่นนั้น จวินโม่เซี่ยจึงลืมความเอาแต่ใจของนาง  แต่ ดูเหมือนน่าจักกลับไปเป็นนิสัยเดิม  … บางคนอทาจจะพูดได้ว่า เป็นการง่ายที่จักย้ายเมือง แต่เป็นการยากที่จักเปลี่ยนนิสัย !


 


” มันจักยากขนาดนั้นหรือ ?  มันเป็นเพียง ฟอร์เรนหิมะตัวน้อยมิใช่หรือ ?  จักเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน ? “


เด็กสาวน้อยโบกมือและร้องออกมา  นางไม่ต้องการทำให้จวินโม่เซี่ยจริงจัง  จากนั้น นางจึงละสายตาขณะที่ก้มหัวและอ้อนวอน


“ท่านพี่โม่เซี่ย เจ้าสำรองม้าให้ข้าสักตัวได้ ?  ใช่ไหม ? “


 


” ข้ามิอาจ !  ข้ามิต้องการสนทนาเรื่องนี้ ! ”


จวินโม่เซี่ยแน่วแน่ขณะที่ปฏิเสธนาง


เจ้าคิดว่าข้าไม่มีม้าสำรอง ?  สกลุตู่กู้ผู้น่ารำคาญจักทำอันใดกับข้าไหมหากเจ้าเป็นอันใดไป ?  ข้ามิใช่สุภาพบุรุษ  มันจักเป็นปัญหาหากบางสิ่งเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง


 


” พี่โม่เซี่ย ข้าขอร้องเจ้า ! ”


ตู่กู้เซี่ยวอี้ จับแขนเขา และมองไปยังเขาด้วยท่าที่อ่อนแอและน่ารัก


 


“ไม่มีทาง !  ไร้ประโยชน์ที่จักหลอกล่อข้า ! ”


จวินโม่เซี่ยคำรามทางจมูก  จากนั้นเขาคิดถึงบางสิ่งและเอ่ยต่อ


“ล่อลวงบุรุษสกุลจวินนั้นไร้ประโยชน์ ”


 


” เจ้าคิดว่าเจ้าพอใจในตัวเองหรือ ? “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ คำรามทางจมูก กระทืบเท้าและแลบลิ้น


” อืม !  ข้าจักไปกับเหล่าพี่ชายของข้า หากเจ้าไม่พาข้าไป !  เจ้าคิดว่าข้าต้องการความใจบุญของเจ้าหรือ ?  เจ้าคิดว่าข้ามิสามารถไปยังเถียรฟาได้หากจ้าปฏิเสธที่จักพาข้าไปด้วย ? “


 


” ตามใจเจ้า ! ”


จวินโม่เซี่ยผายมือ


” ทุกสิ่งจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย ตราบใดที่ข้าไม่พาเจ้าไปด้วย !  หากพี่ชายทั้งสามของเจ้าจักพาเจ้าไป พวกเขาจักช่วยชีวิตข้า !  พวกเขาจักได้รับการขอบคุณจากข้าสำหรับการแบ่งเบาภาระ ! “

 

 

 


ตอนที่ 308

 

” แต่ ข้าต้องการไปกับเจ้า  … ฮี่ ฮี่ … ติดตามเจ้าไปน่าจะสนุก  เจ้ามิได้ชอบความสงบตามนิสัยอยู่แล้ว  เช่นนั้นการเดินทางนี้จึงน่าตื่นเต้น  มันจักสนุกอันใด หากข้าไปกับพี่ชายโง่เง่าทั้งสาม ? “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ รู้ทันทีว่าเลห์เหลี่ยมของนางมิได้ผล  เช่นนั้น นางจึงเข้าหาด้วยวิธีใหม่อย่างไร้ยางอาย


จวินโม่เซี่ยบอกได้อย่างชัดเจนว่าพี่ทั้งสามของนางคงจักปฏิเสธการคำขอร้องของนางเป็นแน่  เช่นนั้นนางจึงมาก่อความรำคาญแก่เขา


เหตุใดนางจึงมาหาข้า ?


 


” ข้าบอกเจ้าไปแล้ว  มันจักไม่เป็นเช่นนั้น  เจ้าจักมิได้เข้าร่วมการเดินทางนี้  ดังนั้นเจ้าลืมถึงการออกไปจากที่นี่เสีย ! ”


ราวกับหัวใจของจวินโม่เซี่ยทำมาจากหินและเหล็ก  เขาจักไม่ยอมรับไม่ว่าอย่างไรก็ตาม


” เจ้าจักต้องอยู่ที่บ้านกับพี่สะใภ้ข้า  เจ้ามิอาจไปยังสถานที่เช่นนั้นได้  เป็นการยากที่จักดูแลเจ้าได้  เราจักไม่ออกไปนอกบ้าน ”


 


“ข้าไม่เข้าใจว่านางมากับข้าได้อย่างไร … อย่างไรก็ตาม นางจักไม่ติดตามข้าไปเนื่องจากข้าจะไปยังป่าเถียรฟา ”


น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น  หลังของจวินโม่เซี่ยแข็งทื่อเนื่องจากได้ยินวาจาเหล่านั้น  เขาหันไปมอง


นั่นมิใช่ กวนเซียงฮั่น ?


 


กวนเซียงฮั่นรู้สึกว่าบางอย่างผิดแปลกในเรื่องการเดินทัพไปยังป่าทางใต้  มีคนไม่มากนักที่รู้ถึงปัญหาของ มณฑลฉือฮั่น แต่ สกุลที่ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างรู้เรื่องนี้ เช่นเดียวกับราชวงศ์


 


และตอนนี้ พวกเขาบอกว่า จวินวูอี้ และ จวินโม่เซี่ยจักต้องไปยังสถานที่นั้น … เหตุใดพวกเขาต้องทำเช่นนั้น ?


 


จวินวูอี้เป็นผู้นำกองกำลังในการต่อสู้นี้  เช่นนั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับได้  แต่ เหตุใดจวินโม่เซี่ยจึงถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ?  สิ่งนี้ ทำให้กวนเชียงฮั่นเป็นกังวล  และ สิ่งที่น่างเป็นกังวลที่สุดคือ …


จักเกิดอันใดขึ้น หาก มณฑลฉือฮั่นใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างปัญหาแก่จวินวูอี้ และจวินโม่เซี่ย ?  ทั้งหมดเป็นเพราะข้า .. ข้าควรทำอย่างไรดี ?  นิสัยของหลาน และลุงคู่นี้จักทำให้สิ่งต่างๆแย่ลง


 


ทั้งสองมิได้แข็งแกร่งมากมาย  เช่นนั้น พวกเขาจักจัดการขับ มณฑลฉือฮั่นได้อย่างไรกามีปัญหาเกิดขึ้น ?  จักต้องมีข้อโต้แย้ง หากทั้งสองฝ่ายเอ่ยถึงชื่อข้า  และ จวินโม่เซี่ย และ จวินโม่เซี่ย จักไม่กลับหลังเนื่องด้วยนิสัยของพวกเขา … เช่นนั้น มันจักจบลงอย่างไร ?


 


และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จวินโม่เซี่ยนั้นไม่เกรงกลัวสิ่งใด !


 


มีสิ่งใดที่เขาจักไม่ทำ ?


 


ดังนั้น กวนเซียงฮั่นจึงตัดสินใจว่านางจักต้องเดินทางไปด้วย  นางต้องเดินทางไป … แม้นว่ามันจักหมายถึงความตายของนาง


ข้าสัญญาว่าข้าจักเดินทางเพียงลำพัง หากเจ้าปฏิเสธมิให้ข้าวร่วมด้วย !


 


ทุกผู้จักได้กลับมาอย่างปลอดภัย หากทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยดี


 


อย่างไรก็ตาม กวนเซียงฮั่นจักใช้ตัวเองเพื่อต่อรองหากมีปัญหาเกิดขึ้น  นางจักสังเวยตัวเองเพื่อให้ จวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้กลับมาอย่างปลอดภัย  อย่างไรก็ตาม นางจักไม่ปล่อยให้ ทั้งน้าและหลานรู้ถึงเจตนาของนาง  หากพวกเขารู้เข้า .. พวกเขาจักหักขานางและทำให้ข้ามิสามารถไปได้  น้าสามของนางมิน่าจักทำสิ่งนี้  แต่ นางรู้ดีถึงนิสัยอันเลวทรามของน้องเขย  นางรู้ว่าจวินโม่เซี่ยสามารถกักตัวนางไว้ได้


 


 


กวนเซียงฮั่นรู้ถึงจุดนี้เป็นอย่างดี


 


” วันนี้มีอันใดกัน หืม !  พี่สะใภ้ … พี่สะใภ้ของข้าเองเข้ามาทำให้เกิดความวุ่นวาย … เหตุใดพวกเจ้ามาหาข้า … ?  ดูสิ ข้ามิอาจจัดการกับเรื่องนี้ได้ … ”


จวินโม่เซี่ยคว้าผมของเขา  ราวกับเขากำลังจักกลายเป็นบ้า


“อย่ามาหาข้าหากเจ้าต้องการไปยังป่าเถียรฟา  อย่างไรข้าก็จักบอกว่าไม่ … เช่นนั้นไปหาน้าสามเสีย ! ”


 


” เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นกิจธุระของเจ้า  แต่ ไม่ว่าข้าจักไปหรือไม่ นั้นเรื่องของข้า ! ”


กวนเซียงฮั่นมองจวินโม่เซี่ยไม่รีบร้อน  จากนั้น นางดึง ตู่กู้เซี่ยวอี้  และจากไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใด  อย่างไรก็ตาม ตู่กู้เซี่ยวอี้ มองจวินโม่เซี่ยอย่างคัดค้านในขณะที่นางจากไป


 


ความคิดที่อยู่เบื้องหลังกริยานางนั้นเรียบง่าย


ข้าจักทำตัวดีตราบใดที่เจ้าไม่เป็นปัญหาและรักข้า


 


ปากของจวินโม่เซี่ยกระตุกถี่


 


ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน จวินโม่เซี่ยและองครักษ์ของเขารวมตัวกัน และหายไปจากจวนสกุลจวิน


 


ค่ำคืนหลังจากนั้น …


 


ร่างสูงของปู่จวินยืงอย่างแข็งแกร่งในลานบ้านของเขา  เขาเอ่ยบางสิ่งกับเงาร่างนับสิบที่อยู่ตรงหน้า  จากนั้น เงาร่างเหล่านั้นแยกย้ายและหายไปจากลานบ้านอย่างไร้ร่องรอย


 


ปู่จวินถอนใจ และถามผู้เฒ่าผังผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา


” พวกเขาจักไปถึงเมื่อใด … ? “


 


ผู้เฒ่าผังครุ่นคิดชั่วครู่และเอ่ยตอบ


“พรุ่งนี้ช่วงค่ำโดยประมาณ ”


 


” อืมม … ”


ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว และเอ่ย


” ผู้เฒ่าผัง เตรียมหน้ากาและชุดดำ ”


 


ดวงตาของผู้เฒ่าผังเปล่งประกายความสุข


 


จวินวูอี้อยู่ภายในลานเล็กของเขา  คุณชายสามคลี่ม้วนกระดาษในมืองของเขา  เขาหัวเราะและพึมพัม


” พรุ่งนี้เย็น …”


 


ม่านราตรีเคลื่อนลง และกลับขึ้นไป  แสงตะวันยามเช้าทองประกายสู่ท้องนภา อีกครั้ง  ไม่นาน ก็ย่ำเย็น …


 


จันทราเคลื่อนสูงไม่นานหลังตะวันลาลับ  เวลาผันผ่านชั่วอึดใจ  โจววูจี้ลืมไปแล้วว่ากี่ครั้งที่เขาได้ขี่ม้าและหวดแซ่เพื่อเร่งมัน  เป็นเวลาสองเช้าตั้งแต่เขาออกเรือและขึ้นฝั่งมา  และเป็นเวลาสองวันที่เร่งรีบ


 


พวกเขาแทบจะไม่หยุดเลยตั้งแต่ออกจากทางใต้มา  พวกเขาเดินทางมาเก้าวันแล้ว  และ พวกเขาเร่งรีบตลอดวันคืน  ผลมันเป็นที่ชัดเจน  พวกเขาเดินทางได้เร็วกว่ากำหนดสองวัน  สองวันเต็ม !


 


เป็นการง่ายที่จักจินตนาการถึงโชคร้ายที่พวกเขาหลีกเลี่ยงมาสองวันนี้


 


สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นเล็กน้อย  ไร้สิ่งที่มิได้คาดการเกิดขึ้นเลยตลอดเก้าวันนี้ … ไม่ว่าจักเป็นการเดินทางทางบกหรือทางน้ำ  พวกเขาเดินทางได้อย่างราบรื่น  อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องยากที่เขาจักยอมรับได้ … ทุกสิ่งราบรื่นเกินไป


 


ทำให้ หัวใจของ โจววูจี้จึงไม่อาจผ่อนคลายได้  ในทางกลับกัน มันทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น  สถานการณ์เช่นนี้ผิดปกติยิ่งนัก  และ เขาประหลาดใจกับเคราะห์ร้ายต่างๆที่หายไป


 


ตั้งแต่เขาได้รับงานนี้ หัวหน้าสกุล โจววูจี้ พยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและความหมายของมัน  แต่ความเสียใจ … มันช้าเกินกว่าเขาจักเข้าใจ


 


เพราะการสร้างได้เริ่มขึ้นในเวลาที่เขาเข้าใจเรื่องนี้


 


องค์ชายสองขึ้นอยู่กับบางสิ่ง … !


 


อย่างไรก็ตาม องค์ชายประสงค์สิ่งใดถึงได้สร้างสิ่งนี้ ?  และ ยิ่งกว่านั้น เหตุใดพระองค์จึงต้องการให้มันเป็นความลับ ?


โจววูจี้ตระหนักได้ว่า เขาได้ก้าวลงสู่เรือโจรสลัดขององค์ชายสองโดยไม่รู้ตัว  และ ตอนนี้ มันยากที่จักลงแล้ว


 


ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาได้รับงานนี้ สกุลของเขาก็ถูกผูกติดอยู่กับราชรถศึกขององค์ชาย และการสังหารจากหน้าไม้เหล่านั้น  และ ยากยิ่งขึ้นที่จักออกจากสถานการณ์นี้หากเลือดขององค์ชายพระองค์อื่นๆหลั่งไหล


 


อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้จักต่อต้าน


 


ทิ้งความจริงที่ว่า การสร้างสิ่งนี้ได้เริ่มขึ้น .. จักถอยได้อย่างไร ?


 


สกุลของเขามีอิทธิพลอยู่บ้าง  แต่ มันไร้ค่าเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งขององค์ชายสอง  เขากลัวว่าสกุลของเขาจักพินาศไปภายในครึ่งค่อนวัย หากเขาปฏิเสธงานนั้น พวกเขาจักหายไปจากโลก


 


ความเสี่ยงสู่งส่งแลกมาด้วยผลกำไรที่มากมาย  ธุรกิจของเขาจักได้รับกำไรสามเท่าจากงานี้เพียงงานเดียว  มันจักทำให้กิจการของเขาได้รับประโยชน์มากมาย  ดังนั้น หากเขาแขวนชีวิตไว้กับงานนี้ … มันก็คุ้มที่จักเสี่ยง


 


ยิ่งกว่านั้น ทั้งหมดเป็นเรื่องทางการเมือง  เช่นนั้น หากเขาสามารถทำให้โครงสร้างการเมืองแข็งแกร่งก็จะได้เป็นรางวัล …


 


โจววูจี้รู้สึกว่าเขากลืนแมลงวันเข้าไป แต่เขายังคงยิ้มอย่างสำนึก


แมลงวันรสชาติน่าขยะแขยงเมื่อมันเข้าปาก  แต่ มันเป็นสิ่งที่บำรุงร่างกาย  ท้ายที่สุด มันก็มีโปรตีนมากมาย


 


หน้าไม้เอ็นเชวียน ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว  ไม่มีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นสระหว่างการก่อสร้าง  หัวหน้าสกุลโจว โจววูจี้ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย  อย่างไรก็ตาม ความเครียดของเขาเพิ่มขึ้นไม่นานหลังจากได้รับรู้สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน การเดินทางไปส่งหน้าไม้ที่นครหลวงคือการทดสองที่แท้จรงิ


 


ดังนั้น เขาจึงหยุดกิจราของสกุลชั่วคราว และรวบรวมผีมือทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อคุ้มกันหน้าไม้ไปยังนครหวลง  แต่เขายังมิอาจรู้สึกผ่อนคลายได้  เช่นนั้น เขาจึงมองหากำลังที่มากขึ้น  เขาจึงจ่ายเงินมากมาย เพื่อจ้างวานให้ผู้นำกองคาราวานการค้าทางใต้นำกองกำลังของเขาด้วยตัวเองเพื่อรับประกันความปลอดภัย


 


อย่างไรก็ตาม องค์ชายสองได้หยุดการดำเนินการเมื่อมันได้รับการเตรียมการเรียบร้อยแล้ว  เขาส่งองครักษ์ชั้นยอดของเขาเพื่อคุ้มกันพวกมัน  เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัย  แต่เรื่องนี้ทำให้ โจววูจี้หวาดกลัว  ดูเหมือนว่าการเตรียมการของเขานั้นเพียงพอ  ความจริง เขาคิดว่ามันมากเกิดพอในการรับมือกับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น


 


อย่างไรก็ตาม องค์ชายสองก็รู้สึกไม่สบายพระทัย  เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังยิ่ง  ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าสินค้าอาจได้รับการซุ่มโจมตีจากกองกำลังที่แข็งแกร่งได้  ความแข็งแกร่งของขบวนเดิมทีอาจไม่เพียงพอที่จักรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นนี้ได้


 


การใช้งานหน้าไม่นี้เริ่มชัดเจนขึ้นอย่างมาก  แผนการของเขาจักล้มเหลวก่อนที่จะเริ่ม


 


ทุกฝีเท้าของม้าของเขา .. เป็นการก้าวย่างเข้าสู่การนองเลือด


 


โดยเฉพาะเมื่อเขาเข้าใกล้เทียนเชียงมากขึ้น


 


” ท่านพี่ พวกเราปลอดภัยมายาวนาน  นครเทียนเชียงห่างไปอีกเพียงสองร้อยกิโลเมตรเบื้องหน้า  หากมีผู้ใดขัดขวางพวกเรา … ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจักสามารถกระทำความผิดใหญ่หลวงในพื้นที่ใกล้นครหลวงเช่นนี้ได้  ! ”


ชายร่างสมส่วนบังคับม้ามาด้านข้าง โจววูจี้ เขากำลังยิ้ม และมองอย่างพึงพอใจ


“ดูเหมือนว่าพวกเราจักกังวลเกินเกตุ  ข้าไม่คาดว่าสิ่งต่างๆจักดำเนินไปอย่างราบรื่น  ดูเหมือนว่าการรักษาความลับขององค์ชายสองนั้นเป็นที่โดดเด่น ! ”


 


ชายร่างสมส่วนผู้นี้คือน้องชายของ โจววูจี้ โจววูเทียน  เขาคือผู้หนึ่งในสกุลโจวที่รู้ว่าลูกค้าคือผู้ใด


 


” ข้าหวังเช่นนั้น ! ”


โจววูจี้ถอนใจขณะมองไปยังท้องฟ้ามืดมิด  ทันใดนนั้น เขารู้สึกว่าสรวงสวรรค์สีเทานั้นแปรเปลี่ยนหลุมยักษ์ดำทมิฬ  เขารู้สึกราวกับ หลุมดำนั้นจักดูดกลึนเขาและครอบครัวของเขาเข้าไป … และเขาไร้ความแข็งแกร่งที่จักต้านทาน


 


” เส้นทางเหลืออยู่เพียงน้อยนิด  ทุกผู้มีขวัญกำลังใจ และใช้พลังงานทั้งหมดที่เหลืออยู่ไปยังนครหลวงโดยเร็วที่สุดเพื่อส่งมอบสินค้า ความรับผิดชอบของเราจักจบลงที่นั้น และพวกเราจักได้พักผ่อน ”


โจววูจี้ถอนใจยาว  เขาก้มหัวขณะพยายามกำจัดความมัวหมองและความคิดอันสับสนนั้น


 


” ขอรับ ! ”


โจววูเทียนตอบกลับ และถอนม้าลงหลังอย่างรวดเร็ว  จากนั้นเขาหยิบธงขนาดเล็กออกมาจากหน้าอก และโบกสองครั้งอย่างรวดเร็วในอากาศ  ทั้งคาราวานที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว  แต่ มันเริ่มเคลื่อนไปเร็วกว่าเดิม


 


เกิดเสียงกีบเท้าที่ก้าวถี่อย่างรวดเร็วในทันที  ชายวัยกลางคนร่างสูงและแข็งแกร่งขี้ม้าสีแดงไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว  ใบหน้าอันเหนื่อยล้าของเขาดูร้อนรน


” นายท่านสกุลโจว ตอนนี้เราห่างจากนครหลวงไม่มากนัก  พวกเราต้องเร่งรีบเช่นนี้หรือ ?  พี่น้องเราหวาดกลัวและกระวนกระวายตลอดการเดินทางเนื่องจากพวกเราต้องเร่งรีบเดินทางมาตลอด  พวกเราเหนื่อยอ่อน  ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว  ข้าไม่รู้ว่าเส้นทางจักยากลำบากเพียงใดในเวลากลางคืน ทุกสิ่งอาจเปลี่ยนไปภายใต้แสงอันมืดมัวของท้องฟ้าค่ำคืน  ข้าคาดว่าเราอาจหาสถานที่เพื่อตั้งค่ายสำหรับคืนนี้  จากนั้นพวกเราค่อยเริ่มเดินทางใหม่พรุ่งนี้  อย่างไรพวกเราก็เดินทางเร็วกว่ากำหนดสองวัน  เช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเนื่องจากพวกเรามีเวลามากมายตอนกลางวันมิใช่หรือ ?


 


ผู้พูดคือ รองอุปนายก กองคาราวานการค้าทางใต้ เมิงเซี่ยวซ้ง

 

 

 


ตอนที่ 309

 

เขาควบคุมโทสะตลอดการเดินทาง บุรุษผู้นั้นไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคุ้มกันคืออะไร การเดินทางทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งที่มีเงื่อนงำสำหรับเขา  นอกจากนั้น พวกเขาเร่งรีบตลอดการเดินทาง  ทำให้ เขาและผู้อื่นอีกยี่สิบเกือบสลายไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ยิ่งกว่านั้น ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางนี้


นี่เป็นความยากลำบากที่เกินความจำเป็นหรือ ?


 


ดูเหมือนว่าสกุลโจวจักเคร่งเครียด  ราวกับแม่ของพวกเขากำลังตาย  และยังมีพวกลูกนอกสมรสอื่นๆ … มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขามาจากที่ใหน ! พวกเขากระทำการเย่อหยิ่งนัก … ราวกับคนของข้ามีคามหมายสำหรับงานประหลาดนี่!   ราชองครักษ์จักกระทำเช่นนั้นไหมหากพวกเขาอยู่ที่นี่แทนจักเป็นคนเหล่านี้ ?


เมิงเซี่ยวซ้งรู้สึกหม่นหมองยิ่งเนื่องจากความจริงนี้


 


พวกเขาเร่งรีบตลอดการเดินทาง  ก้นของพวกเขาระบมหลังจากขี่ม้ามาตลอดวันคืน  เช่นนั้น พวกเขาจึงถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อนเมื่อค่ำคืนมาถึง  พวกเขาเริ่มคิดว่าในที่สุดก็ได้พักผ่อน … ซึ่งพวกเขามองหาโรงเตี๊ยมและความสุขกับสุรา  พวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่จักหาหญิงสาวและใช้เวลาที่มีความสุขด้วย  แต่มิอาจคาด พวกเขาได้รับคำสั่งให้เร่งความเร็ว


 


นี่เป็นการขัดบัญชาสวรรค์ ! นี่มิไร้เหตุผลไปหรอ ?


 


ทุกภารกิจที่ข้าทำเริ่มเป็นการชมทิวทัศน์  เช่นนั้น เหตุใดพวกเราต้องมีเวลาที่ยากลำบากนี้ ?  เจ้าคิดว่าข้าจักร่วมกันเดินทางนี้หรือ หากมิใช่เพราะเจ้าสัญญาจักจ่ายด้วยราคาสูงส่งถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน ?  อย่างไรก็ตาม ข้าก็มอบความเคารพแก่เจ้า  เช่นนั้น อย่าให้ข้าทำงานดั่งลาโง่ !


 


นี่คือเหตุที่ เมิงเซี่ยวซ้ง อุปนายกแห่งคาราวาณการค้าทางใต้ มิอาจทนได้ต่อไป  เช่นนั้น เขาจึงถามออกมาดังด้วยน้ำเสียงหยาบคาด


 


“มันสำคัญยิ่ง ! เราทำได้เพียงระแวดระวัง ! อุปนายกเมิงใจกว้างยิ่ง แต่จักขอให้ท่านยกโทษให้เราในเรื่องนี้ “


โจววูจี้ฝืนยิ้มและปรบมือ


 


” เจ้าโง่  สำคัญยิ่ง สำคัญยิ่ง ข้าต้องได้ยินสิ่งนี้มากกว่าแปดร้อยครั้งตลอดการเดินทาง ! ข้าป่วยจากปัญหาที่เจ้าสร้างให้ ! โจววูจี้ข้าแนะนำให้เจ้าเคารพพวกเราบ้าง  เจ้าจ่ายเงินแก่พวกเรามากมายเพื่อปกป้องคาราวานของเจ้า  แต่พวกเรามิใช่คนรับใช้ของสกุลโจว  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน  อย่าคิดว่าพวกเราเป็นเป็นหมู่โง่ ! ”


 


เมิงเซี่ยวซ้งวิตก  เขาได้ยินวาจาที่ว่า สำคัญยิ่ง ! หลายครั้งในการเดินทางนี้ที่ทำให้ติดอยู่ในหูของเขา  เช่นนั้น เขามิอาจกลั้นความอดทนได้เมื่อได้ยินมันอีกครั้ง


 


โจววูจี้ฝืนยิ้ม  เขากำลังจักอธิบายเพื่อมิให้เกิดความคลางแคลง  แต่ ทันใดนนั้นบุรุษสี่คนปรากฏตัวขึ้นบนหลังม้า  ใบหน้าของทั้งสี่เยือกเย็นขณะพวกเขาใกล้เข้ามา  หูของพวกเขาเบิกกว้าขณะที่พวกเขาเพ่งมอง เมิงเซี่ยวซ้งและเอ่ยอย่างเยือกเย็น


” เกิดอันใดขึ้น ?  เจ้าโต้เถียงอันใด ?  เจ้าโง่ เหตุใดเจ้าไม่พอใจ … แม่ของเจ้ากำลังตายหรืออย่างไร ? ”


 


 


บุรุษขี่ม้าทั้งสี่มาจาก องครักษ์สวรรค์พิโรจ พวกเขาก็เข้าร่วมการเดินทางอันยากลำากเช่นกัน เช่นนั้นพวกเขาก็มีความไม่พอใจมากมายที่เก็บไว้ในใจเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม พวกเขามิได้ชื่นชอบเมื่อเห็น เมิงเซี่ยวซ้งเริ่มก่อนและมีน้ำเสียงที่ไม่พอใจ


พวกเรามิได้ร้องทุกข์แม้นเล็กน้อย  แล้ว เจ้าจักมีค่าอันใด ?


 


เมิงเซี่ยวซ้ง สามารถสัมผัสถึงจิตสังหารอย่างเข้มข้นที่มาจากบุรุษขี่ม้าทั้งสี่  ทันใดนนั้นโทสะก็เพิ่งขึ้นในหัวใจ


เชวียนเงินสามัญเช่นนั้นกล้าต่อกรกับปฐพีเชวียนเช่นข้า ?  ในความจริง พวกเขาตำหนิข้า ? นี่เป็นการขัดต่อกฏสวรรค์ ! มันจักสมเหตุสมผลได้อย่างไร ?


 


” เหตุใด ?  เจ้ามีสิ่งใดจักเอ่ยในเรื่องนี้ ? “


เมิงเซี่ยวซ้งมองพวกเขาเยือกเย็น และวางมือของเขาลงบนด้ามกระบี่


 


อย่างไรก็ตาม เมิงเซี่ยวซ้งกับต้องเสียใจต่อการทำเช่นนั้นทันทีเนื่องจากกลุ่มทหารนับสิบลอบเขาอย่างรวดเร็ว  กระบี่ของพวกเขาส่งเสียงขณะตะโกนและชักกระบี่ออกมา ใบมีดของพวกเขาเปล่งประกายด้วยแสงอันเยือกเย็น  จากนั้น ทหารเหล่านั้นพุ่งเข้าหาพวกเขาโดยไม่เอ่ยสิ่งใด และฟังลงไปอย่างไรปราณี


 


” ไร้เหตุผล !  เจ้าไร้เหตุผล !”


 


พวกเขามีมากมาย แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่เชวียนทอง  เช่นนี้ พวกเขาจึงมิควรเป็นปัญหากับผู้ที่เป็น ปฐพีเชวียนให้มากนัก  อย่างไรก็ตาม การกระทำของ องครักษ์สวรรค์พิโรจเป็นสิ่งที่มิอาจคาดเนื่องจากพวกเขาเป็นสหายกันตลอดการเดินทางนี้  … จากสีหน้าของ เมิงเซี่ยวซ้ง เห็นได้ชัดว่าเขามิได้มีความสุข แต่เขาก็ยังมิได้ทำสิ่งใด  แต่ คนเหล่านั้นเริ่มโจมีเขาโดยไม่เอ่ยสิ่งใน … หรือเอ่ยเหตุผลใด  ผู้อื่นยังมิทันได้เตรียมพร้อม …


 


” หยุด !  ทุกคนหยุด !  พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน !”


โจววูจี้เริ่มเหงื่อตก  แต่เขา มุ่งหน้าเข้าไปรวดเร็วเพื่อไกล่เกลี่ย


 


” ฉึบ ! ฉึบ ! “


ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มการต่อสู้รอบแรก  แต่ในเวลานั้น มีบุรุษขี่ม้าอื่นๆเข้ามาโจมตีพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้แข็งแกร่ง แต่พวกเขาเข้ามาแทนที่ช่องว่างของสหายที่ล้มลงไป  พวกเขาจักไม่ยอมแพ้นอกเสียจากทำให้ศัตรูพ่ายแพ้


 


โจววูจี้เป็นกังวลอย่างยิ่ง  เขาแทบมิอาจเอ่ยได้


” ทุกคน ! ทุกคนพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน  พวกเรากำลังไปยังนครหลวงเพื่อภารกิจสำคัญ  เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจึงโจมตีกันเอง ? ”


 


หลังจากพยายามไกล่เกลี่ย … ให้ทั้งสองฝ่ายยั้งมือไว้ชั่วคราว


 


ราชองครักษ์องค์ชายสองคุ้นเคยกับการบีบบังคับผู้คน เช่นนั้น พวกเขาจักยอมรับฟัง เมิงเซี่ยวซ้งได้อย่างไร ?


แล้วทำไมหรือ แม้นว่าเจ้าจักเป็นยอดฝีมือปฐพีเชวียน ?  ปฐพีเชวียนมากมายต้องตายด้วยน้ำมองของพี่น้องเรา  เจ้าจักต่างอันใด ?


 


เราเห็นว่าเจ้าเป็น ปฐพีเชวียน และพวกเราเป็นเพียงเชวียนทอง  แต่ พี่น้องเราเป็นราชองครักษ์  พวกเราเป็นคนขอราชำนัก และเจ้าเป็นเพียงสามัญ !  พวกเราจักปล่อยไป หากเจ้านั้นอยู่สูงกว่าสวรรค์เชวียน  แต่ เจ้ากล้าแสดงอารมณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ?  พวกเราจักตราเจ้าว่าเป็นคนทรยศเจ้าชั่วช้า !


 


ราชองครักษ์มองไปยัง เมิงเซี่ยวซ้ง อย่างชั่วร้าย


พวกเราได้ยินมาว่าอาชญากรชั่วร้ายร่วมเพศกันทางทวาร …


 


เมิงเซี่ยวซ้งเป็นผู้เริ่มต้นก่อน  แต่เขาใจเย็นลงหลังจาก โจววูจี้กระซิบวาจาบางอย่างในหูของเขา


 


” คนเหล่านี้เป็นคนของราชองครักษ์ ”


วาจาแผ่วเชานี้ทำให้โทสะของ เมิงเซี่ยวซ้งหายไปในทันที


ความจริง พวกเขาทำให้เขา หวาดกลัว


 


ผู้คนมิต่อสู้กับคนของราชสำนักมาตั้งแต่ครั้งอดีต


 


สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์


 


ราชองครักษ์สามารถสังหารขุนนางท้องถิ่นได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลอันใด และไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยสิ่งใด  เช่นนั้น คนจากแดนใต้จักมีค่าอันใด ?  และ กับคนในกองคาราวานการค้าจากทางใต้ก็เช่นเดียวกัน ?


 


ไม่แปลกใจที่ โจววูจี้กระทำเช่นหลานชายผู้เชื่อฟัง !  งานนี้สำคัญเทียบเท่าการรับใช้ราชวงศ์  พวกเราสามารถมีตำแหน่งกึ่งทางการได้หลังจากสำเร็จภารกิจนี้ได้หรือ ?


เมิงเซี่ยวซ้งเริ่มมองไปยังราชองครักษ์ด้วยความประจบขณะที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวของเขา


 


จากนั้น กองคาราวานก็เริ่มเดินทางต่อ อารมณ์เริ่มกลมกลืนเข้ากันหลังจากการทะเบาะเล็กน้อยนั้น


 


มีภูผาสูงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า  มันถูกเรียกว่า กำแพงเหล็กแห่งเทียนเชียง มันเป็นเหมือนกำแพงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่คอยปกป้องนครหลวง


 


พวกเขาสามารถมองเห็นนครเทียนเชียงได้รางๆหลังจากปีนขึ้นไปยังจุดสูงสุดของภูผานั้น


 


ถือได้วาภารกิจจักสำเร็จได้เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นหากพวกเขาไปถึงภูผานั้น


 


ในที่สุดพวกเขาก็จักได้พักผ่อน


 


โจววูจี้ยกฝ่ามือขึ้น และออกคำสั่งให้พักผ่อนที่ตีนเขา  คนเดินเท้า เอาหม้อและกระทะออกมาเพื่อเตรียมอาหาร  ทุกคนกินจนพอใจ และเดินหน้าต่อไปด้วยความเร็วสูดตลอดเส้นทางที่เหลือ  ในไม่ช้าพวกเขาก็จะเข้าไปอยู่ภายในกำแพงเมือง … ที่ทำให้พวกเขามีความสุข  พี่น้องเหล่านั้นหัวเราะอย่างมีความสุขด้วยกัน


 


กลุ่มควันลอยจากหม้อเหล็กและส่งกลิ่นข้าวสุก  เนื้อถูกย่างอยู่บนกองไฟ  กลิ่นของมันลอยไปในอากาศ  ทุกคนกลืนน้ำลายด้วยความโลภในสายตา  พวกเขาอดกลั่นจิตใจตลอดการเดินทาง และร่างกายของพวกเขาเหนื่อยอ่อนยิ่งนัก  มันเป็นการเดินทางที่มิอาจทนได้ …


 


อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็ได้ผ่อนคลายและกินอย่างตะกละตะกลาม


 


” เสริฟ์อาหาร ! ”


โจววูเทียนตะโกนอย่างมีความสุข  เขายกชามเหล็กขนาดใหญ่ และก้าวขึ้นหน้า


 


” ฮี่ฮี่ … เสิร์ฟอาหาร ?  เจ้าคิดว่าเจ้าจักได้กินอาหาร ?  …. เจ้าจักกินเอง ?  เจ้าปิศาจ !  เวลานั้นจำกัดนัก !  ไปลงนรกเสีย และกินอาหารที่นั่น “


น้ำเสียงเยาะเย้ย


ดูเหมือนลมอันเยือกเย็นจากวังมัจจุราชเริ่มพัด ทำให้ทุกคนหนาวไปถึงกระดูก !


 


” มันเป็นใคร ?  ออกมา ! ”


ทุกคนกระโดดขึ้น และชักกระบี่ออกมาพร้อมเพรียง


 


” พวกเรามาปล้นเจ้า ! ”


เสียงดังและตื่นตระหนกดังขึ้นขณะแสงสีฟ้าเปล่งประกาย  เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นโดยมิได้มีการเตือนล่วงหน้า  หม้อต้มที่อยู่บนพื้นระเบิดขึ้น และข้าวแตกกระจาย  เศษเหล็กจากหม้อกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง  จากนั้น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นให้ได้ยืนอย่างต่อเนื่อง  ความจริงคือ .. มีผู้คนโชคร้ายมากมายต้องล้มตายเมื่อเหล็กจากหม้อกระทบร่างของพวกเขา


 


” ยอดฝีมือสวรรค์เชวียน ?! “


ทุกผู้ร้องตื่นตระหนก โดยไม่เว้น…ว่าจะเป็นปฐพีเชวียน เมิงเซี่ยวซ้ง หรือ ราชองครักษ์ผู้เย่อหยิ่ง


 


ร่างการปกลคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าพุ่งออกมาราวดอกไม้ไฟ


” ฉึบ !  ตู้ม !”


ทหารจำนวนหนึ่งถูกส่งให้ลอยไป  พวกเขาลอยผ่านอากาศราวกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า  มีบุรุษในชุดและหน้ากากดำยืนอยู่ในสถานที่นั้น  เขายื่นมือออกมและคว้าคอของ โจววูเทียน จากนั้น เขายกร่างของ โจววูเทียน ขึ้นจากพื้น  เขากระทำได้เหมือนไม่ต้องพยายาม ที่ทำให้รู้สึกเหมือนการคว้าคอไก่ขึ้นมา  ใบหน้าของ โจววูเทียนแดงก่ำ และเป็นสีม่วงเนื่องจากเขากำลังสำลัก ในขณะที่มือและขาของเขาต่อสู้อย่างไร้ความหวังในอากาศ


 


” บอกข้า !  หน้าไม้เอ็นเชวียนถูกเก็บไว้ที่ใหน ? “


แสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นรอบๆร่างของชายสวมหน้ากวกขณะที่เขาคลายมือออก  ประกายแสงชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา


 


” สังหารเขา ! ”


เสียงตะโกนของคนสามสิบสี่ดังขึ้นทุกทิศทาง ขณะที่พวกเขากวัดแกว่งกระบี่อและชี้กระบี่ตรงไปยังชายในชุดดำโดยมิได้สนใจความปลอดภัยของ โจววูเทียน ในขณะที่ โจววูจี้ตะโกนด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง


” ระวัง … น้องชาย … ! ”


 


จากนั้น เสียงคำรามอีกเสียงดังขึ้นจากภูผามืดมิด  เสียงคำรามนี้ทำให้พื้นสะเทือน  ร่างที่สองนั้น ใบหน้าของเขาถูกซ่อนไว้หลังหน้ากาก และร่างปกคลุมอยู่ในชุดสีดำ พุ่งออกมาในทันที  เขาก็มีแสงสีฟ้าปกคลุมร่างไว้เช่นกัน  เขาถือกระบี่ไว้ที่มือขวา


 


ชายชุดดำคนแรก และชายสวมหน้ากากมองไปยัง โจววูเทียน และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียง เยือกเย็น โจววูเทียนดิ้นรนอย่างไร้หนทางอยู่ในเงื้อมมือของเขา


น้ำเสียงของชายสวมหน้ากากไม่มีร่องรอยแห่งอารมณ์ขณะที่เขาถาม


“มันจักเลวร้ายมากสำหรับเจ้าหากเจ้าไม่พูด  และ อย่าบอกข้าว่ามันอยู่ในรถม้า  ข้าไม่หลงเชื่อคำโกหกของเด็กเช่นนี้  เจ้าจักพบจุดจบเพียงสิ่งเดียวหากกล้าโกหกข้า ตาย ! ”


 


” ใน … ใน … ”


เท้าของ โจววูเทียนกระสับกระส่าย และดวงตาของเขาเปล่งความกลัว  แสงสีเหลืองเปล่งประกายผ่านร่างของเขาในเวลานั้น  เขากรีดร้องและกระตุกอยู่ชั่วครู่  จากนั้น ก็อ่อนแรง


 


” เจ้าชั่ว ! ”


ชายชุดดำสาปแช่งด้วยโทสะ  บุรุษในคาราวานตกอยู่ในความสับสน


 


โจววูจี้กรีดร้องด้วยความโศกเศร้าและทุกข์ยากท่ามกลางความสับสน


“น้องเล็ก ! ”


เขาเต็มไปด้วยความต้องการที่จักกระโจนเข้าใส่ราชองครักษ์


“เจ้าสังหารน้องข้า!”


 


นักรบผู้ที่ โจววูจี้กล่าวหา …เป็นหัวหน้า องครักษ์สวรรค์พิโรจขององค์ชายสอง .. ฉางชุ้นเซี่ยว เขาดุร้ายมากขึ้น เมื่อเห็นโจวเริ่มมีโทสะ  สีหน้าของเขาแดงก่ำ และตะโกนอย่างโหดเหี้ยม


” โจววูจี้ เจ้ากล้าทรยศต่อนายท่านสอง ?!  น้องของเจ้าปราถนาจะมีชีวิตและหวาดกลัวความตาย  เขาจักเผยความลับหากข้าลงมือช้ากว่านี้ !  ข้าตัดสินใจสังหารเขาเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ  มันเป็นการกระทำที่ควรเป็น !  หายนะจักเกิดขึ้นกับทุกคน หากเขาเปิดเผยความลับ !  และ สมาชิกทุกคนในสกุลโจวของเจ้าจักต้องถูกตัดหัวเพราะความโง่เขลาของเจ้า ! ”


 


โจววูจี้ สั่นสะท้าน  จากนั้น เข้าหยุดชั่วขณะ  ไม่มีที่ใดที่เขาจักปลดปล่อยความโศกเศร้าละขุ่นเคือง  เช่นนั้น เขาจึงคำรามออกมาอย่างชั่วร้าย  และหันกลับไปยัง ชายชุดดำคนแรก และ พุ่งตรงไปหาเขา

 

 

 


ตอนที่ 310

 

ใครบางคนตะโกนขึ้นกลางอากาศ


” พี่ใหญ่ พวกเราอาจจะต้องสังหารทุกคนและไปเอาหน้าไม้เหล่านั้นมา  คนเหล่านี้คุ้มกันหน้าไม้เหล่านั้นอยู่  แล้วหน้าไม้มิอาจลอยไปในท้องฟ้าได้ มิใช่หรือ ? “


ร่างที่ปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าตะโกนขึ้น  ประกายแสงสีฟ้าของกระบี่ของเขาส่องสว่างไปไกลถึงสามเมตร  การปรากฏตัวของคนผู้นั้นทำให้เกิดเสียงโหยหวน  คนผู้นี้ฝ่าเข้าไปในฝูงชนและเปิดเส้นทางที่เต็มไปด้วยเลือดเพื่อให้ตัวเขาผ่านไป  จากนั้นเขาสังสารผู้คนเพื่อเข้ามาสู่ใจกลางสนามรบ


 


ฉางชุ้นเซี่ยวตะโกนลั่น


” ทุกคน ล้อมพวกมันไว้ !  รวมตัวกันและแปรขบวนถังเหล็กไปสังหารพวกมัน !  ขัดขวางศัตรู !”


ทุกคนตอบกลับ และมุ่งไปข้างหน้า  เสียงสังหารเล็ดลอดออกมาจากทุกทิศทางขณะที่ราชองครักษ์มุ่งหน้าเข้าใกล้ใจกลางการต่อสู้  พวกเขามิอาจเทียบชั้นกับยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสามคนนี้ได้ แต่พวกเขาค่อยๆทำให้ตำแหน่งของพวกเขาคงที่  “


 


เสียงถอนใจเบาๆดังออกมาจากยอดไม้  อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดเห็นได้


 


คุณชายน้อยจวินหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้นั้น


 


จวินโม่เซี่ยผงกหัวต่อเนื่องขณะที่เขาเฝ้ามองการต่อสู้  สามผู้นั้นสังหารทุกคนโดยไร้เหตุผล  นี่ทำให้เขาไร้วาจา


พวกเขาเป็นโจรมือสมัครเล่น !  ข้าไม่รู้ว่าเรื่องไร้สาระอันใดที่ยอดปรมาจารย์เล่ยวูเบ้ยสั่งสอนพวกเขา !


 


ชัดเจนว่าจวินโม่เซี่ยรู้ว่าชายชุดดำเหล่านี้เป็นศิษย์ที่เหลืออยู่ของ เล้ยวูเบ้ย


 


ในที่สุดเขาก็รู้จักพวกเขา


 


พวกเขาทั้งสามมีโอกาสผิดพลาดสูงกว่าจักสำเร็จ !


มีค่าอันใด !


 


โจรมาถึงอย่างเงียบเฉียบและโจมตีหนึ่งหน  แต่ ไม่คาดว่าพวกเจ้าจักคิดว่าการเอ่ยวาจาบางอย่างจักสำคัญกว่าการโจมตี … !


 


สิ่งนี้ทำให้จวินโม่เซี่ยไร้วาจา


 


ทั้งหมดนี่ไร้สาระ !


 


สิ้นหวังสำหรับแผนการปล้นของพวกเจ้า  แต่เจ้ายังรบกวนแผนการอันสมบูรณ์แบบของคุณชายน้อยผู้นี้ !  เสียเงินเปล่า !  เสียแรงเปล่า !


โชคดี เล่ยเจียนฮ้ง มิได้เอ่ยว่า


” ภูผานี้เป็นของข้า และข้าปลูกต้นไม้เหล่านี้  เช่นนั้นเจ้องต้องจ่ายค่าผ่านทาง ”


หรืออันใดคล้ายสิ่งนี้  นอกจากนั้น นั่นทำให้มือสังหารจวินหงุดหงิดจนมิอาจหาเหตุผลได้ และทำให้เขาเขาหัวทิ่มลงจากต้นไม้


 


จวินโม่เซี่ยนำหน้ามาก่อน และนำองครักษ์ของเขามาที่นี่ก่อนหนึ่งวัน พวกเขาขุดหลุมและฝังตัวเองเอาไว้  ความจริง จวินโม่เซี่ยได้แจกจ่ายยาให้พวกเขาแต่ละคน ยาตัวนี้สามารถสกัดกลิ่นไอของพวกเขาได้  คนนับสองร้อยได้ซ่อนตัวอย่างเป็นระเบียบอยู่ในป่าใกล้ๆ  แน่นอนว่า พวกเขาได้ขุดอุโมงไว้ และหลบซ่อนตัวอยู่ในตอนนี้  พวกเขาเริ่มจู่โจมสายฟ้าแลป ในขณะที่กองคาราวานเข้าสู่วงล้อม  พวกเขายึดสิ่งของและหนีไปอย่างรวดเร็ว


 


 


สามคนนี้โจมตีกองราคาวานก่อนที่มันจักเคลื่อนเข้าสู่วงล้อมของข้า !


 


เจ้าชั่วพวกนี้ทำให้ข้าพูดไม่ออก


 


จวินโม่เซี่ยรีบกระจายข่าวไปยังคนของเขาในทันที  เขาบอกให้พวกเขาเงียบและยังมิต้องเคลื่อนไหว  อย่างแรกพวกเขาจักต้องเฝ้าดูผลของการต่อสู้ก่อน  เขาวิเคราะห์สถานการณ์ …


ชัดเจนว่าทั้งสองคนนั้นทรงพลัง มิเป็นการง่ายที่จักจัดการพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น นี่จักกลายเป็นการต่อสู้ที่มีแต่ชัยชนะ  ข้าจักคิดหาแผนการใหม่


 


ในตอนที่จวินโม่เวี่ยกำลังคิดถึงสิ่งนี้ … เล่ยเจียนฮ้ง มุ่งไปข้างหน้าและทำเสียงนกหวีด  ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบดังก้องขึ้น  กลุ่มคนชุดดำและสวมหน้ากากพุ่งเข้าร่วมการต่อสู้ในคราวเดียว  ทั้งสองฝ่ายล้มเหลวในการแก้ไขการขัดแย้งนั้นทันที


 


คนผู้นี้ องครักษ์สวรรค์พิโรจ ฉางชุ้นเซี่ยว ถูกฝ่ามือปะทะเข้าใส่หน้า  เขากระอักเลือดทางปากขณะกระเด็นถอยหลังไป  อย่างไรก็ตาม เขายื่นมืออกไปข้างหลัง และดึงจรวดไฟออกมาจากเข็มขัดด้านหลัง  จากนั้นยิงมันขึ้นไปบนท้องฟ้า  ทันใดนั้นเสียง ตู้มดังขึ้นให้ได้ยิน  ท้องฟ้ามืดดำส่องสว่างด้วยแสงสีของพลุ ปรากฏเป็นภาพที่คมชัดของกระบี่เลือดสีแดงที่อยู่เบื้องบน


 


” ดูเหมือนว่า หอกระบี่เลือด ก็หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่นี้เช่นกัน  ตอนนี้ รอก่อนและดูว่าฝ่ายใดแข็งแกร่งที่สุด และฝ่ายใดอ่อนแอ … อย่างไรก็ตาม ข้าจักนั่งอยู่ตรงนี้ และเฝ้าดูสองเสือต่อสู้กัน  ข้าจักปล่อยให้พวกเขาสู้กันจนกว่าพวกเขาจักหมดแรง และข้าจักไปช่วงชิงผลประโยชน์นั้น ”


จวินโม่เซี่ยนั่งหมอบลงบนยอดไม้ราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนหลังม้า  กิ่งก้านเคลื่อนขึ้นลงเนื่องด้วยสายลมและเป็นการเคลื่อนไหวที่..แปลกประหลาด  หากเขาต้องแสดงตัวออกมา และมีบางคนเห็นเขา … พวกเขาคงจักเชื่อว่าเขากำลังทำบางสิ่งที่เป็นความลับและส่วนตัวกับต้นไม้นั้น …


 


คุณชายน้อยจวินเอามือเท้าคาง  เขาเฝ้ารออย่าเงียบสงบ และจดจ่อ


ช่างน่าสนุกยิ่งนัก !  หอกระบี่เลือด ศิษย์ของ เล้ยวูเบ้ย ยอดฝีมือลับของลี่โย่วลหาน … มันจักเป็นการดีหากพวกเขาได้รับการสูญเสียมากมายมายในการต่อสู้นี้  ความจริง มันจักดีที่สุดหากพวกเขาทั้งหมดตายไป !


เขาต้องการให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น แต่เขาก็มิได้หวังมากมายเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม … ข้าจักเพียงแต่เฝ้าดู ไม่เอ่ยสิ่งใด


 


เป็นที่น่าเสียงดาย ที่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นตรงข้ามกับความคาดหวังของทุกคน  สัญญาณของหอกระบี่เลือดได้ถูกส่งออกไปแล้ว  แต่ ยอดฝีมือของหอกระบี่เลือดก็ยังไม่มาช่วยเหลือ ไม่มีแม้แต่เงา


 


ภูผาโดดเดี่ยวยังคงเงียบงัน มีเพียงเสียงโหยหวนให้ได้ยิน  แสงของลูกบอลไฟส่งอให้เห็นสีหน้าวีดเผือกของ โจววูจี้


 


” ข้าต้องการกองหนุนเพิ่มจริงๆ แต่เจ้านั้นมีเพียงเล่ห์เหลี่ยม ! ”


เล่ยเจียนฮ้ง คำรามทางจมูกขณะที่เขาเสียดสี


“นี่เป็นเรื่องตลกร้าย !  เลห์เหลี่ยมนี้อาจใช้กับผู้อื่นได้ แต่มิอาจใช้ได้กับข้า  เจ้ามิอาจเล่นกับข้าได้ .. แต่เจ้าสามารเล่นกับโอกาสของเจ้าได้ !  ดูเหมือนว่าเจ้าต้องการจักจากชีวิตนี้ไปแล้ว  ข้าควรจักต้องเติมเต็มความต้องการของเจ้า ! ”


 


โจววูจี้ กลิ้งไปรอบๆดั่งเช่นล่าโง่  เขาตัดร่างที่โศกเศร้านั้น ขณะที่หลบใบมีดที่เฉือนเข้ามา  เสียงร้องไห้ของเขาดังขึ้น


” ท่านผู้บัญชาการ !


นี่ .. นี่ … กำลังเสริมของเรา … เจ้ามิได้บอกว่ากำลังเสริมจักตาหลังเรามาหรือ ?  เหตุใดกัน ?  … เหตุใดกัน ?  … เหตุใดกัน ?  …”


 


เขาต้องการจักบอกว่า


” เหตุใดไม่มีการเคลื่อนไหวของพวกเขา? “


แต่แล้ว มีเสียงกระบี่สามเล่ม สับลงมาขณะที่เขากำลังพูด  สิ่งนี้ขัดจังหวะการพูดของเขา  และ สุดท้ายเสียงของเขาเหมือนติดอ่าง


 


” ตอนนี้ข้าจักทำอย่างไร ?  เจ้าคิดว่าข้าไม่เป็นกังวลหรือ ? “


ฉางชุ้นเซี่ยวสถปด้วยโทสะ


 ” ห่วงชีวิตของเจ้าก่อน ! ”


 


นักรบสกุลลี่ นำโดยสามยอดฝีมือสวรรค์เชวียน กำลังได้เปรียบอย่างมากในตอนนี้  พวกเขากดดันศัตรูหนักขึ้น ทีละขั้น  และ คนของ โจววูจี้ถูกบีบให้เป็นวงและเล็กลงอย่างมาก  มีผู้เหลือรอดที่อยู่ฝ่าย โจววูจี้ เพียงร้อยเศษ  พวกเขาตั้งแนวรับอย่างยากลำบาก  กระทำอย่างสุดความสามารถเพื่อต่อต้านการโจมตีที่แข็งแกร่งของศัตรู ขณะที่พวกเขาล้อมกันเป็นวงกลม  นอกวงกลมนั้น ไม่มีพวกเขาคนใดที่รอดชีวิต


 


เมิงเซี่ยวซ้ง เซี่ยววูอี้ ฉางชุ้นเซี่ยว ผู้นำทั้งสามอยู่ใจกลางวงล้อมป้องกัน  ใบหน้าของเขาซีดเผือกราวคนตาย


 


นับแต่มีการส่งสัญญาณ … เวลาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป  ตอนนี้ ไร้วี่แววของ กำลังหนุนของ หอกระบี่เลือด


 


เมิงเซี่ยวซ้งอดสถปออกมามิได้  น้ำเสียของเขาเริ่มคล้ายกับเสียงร้องไป


” อะไรกัน ?  มีคนโจมตีราชองครักษ์อย่างโจ่งแจ่งใกล้นครหลวงเช่นนี้ได้อย่าไงรกัน ?  ข้าอยากบอกท่านพี่ … ข้ามีครอบครัวต้องดูแล  ข้าติดตามท่านมาครั้งนี้ แต่มันมิได้ง่ายดายเลย  ตอนนี้ เหตุใดท่านจึงไม่เร่งรีบคิดหาหนทางเล่า ?  ท่านเป็นใหญ่ในนครหลวง .. แล้วเหตุใดท่านจึงมิเร่งรีบจับกุมคนเหล่านี้เล่า … ?


 


การบำเพ็ญของ เมิงเซี่ยวซ้ง สูงส่งยิ่ง เขาอยู่ในขั้น ปฐพีเชวียนกลาง  เขาคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของ โจววูจี้ อย่างไรก็ตาม เขามีชีวตอยู่อย่างองค์ชายมาหลายปี  เขาได้สูญเสียความมุ่งมั่นที่จักคว้าชัย และ กล่นอาสังหารมาเนิ่นนาน อีกทั้งเขายังมีชีวิตอยู่เพื่อครอบครัวมากกว่าแต่ก่อน  ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นห่วงชีวิตตัวเองมากกว่าโอกาสในการหาเงิน  เขาอดโอดครวญมิได้เนื่องจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้  แต่ มันช้าเกินกว่าจะเสียใจ


 


ข้ามิอาจได้ดื่มชาในบ้านที่ปลอดภัยได้แล้วหรือ ?  บางทีข้าอาจพาสุนัขไปเดินเล่น หรือกลั่นแกล้งประชานชน หรือฉุดหญิงสาว … เช่นนั้นมิใช่เรื่องสนุกหรือ ?  แต่ข้ากลับถูกหลอกลวงด้วยเงินห้าหมื่นตำลึงเงิน  ซึ่งข้ามิได้มีโอกาสจักครอบครองมันเลย  และตอนนี้ ชีวิตข้าจะต้องจบลงที่นี่ …


 


ฉางชุ้นเซี่ยวมิอาจกลั่นโทสะไว้ได้


“เจ้ากำลังตะโกนวาจาไร้สารในความวุ่นวายหรือ ?  หัวใจคนของข้าอยู่ในความสับสนอยู่แล้ว  และตอนนี้ เจ้ายังตะโกนเรื่องไร้สาระ ?  เจ้ายิ่งจักทำให้พวกเขาสับสน และทำให้ กำลังใจการต่อสู้ของพวกเราลดหายไป  ข้าบอกให้เจ้า .. หุบปาก !  หากเจ้าส่งเสียงอีก ข้าสัญญาว่า ข้าจักตัดหัวเจ้ากับกระบี่ของข้าเอง ! “


 


เมิงเซี่ยวซ้ง มิอาจอดกลั่นโทสะ  เขาใช้กระบี่ของเขาป้องกันร่างกาย ขณะที่เขาตะโกนขุนเคือง


” เหตุผลไร้สาระอันใดกัน ?  เจ้าเป็นองครักษ์ชั้นสูงผู้รับใช้องค์จักพรรดิ ! เจ้าเป็นตัวแทนของ ขุนนางราชสำนัก!  เราเป็นเพียงคนสามัญที่มีพลังเพียงน้อยนิด  เราเพียงช่วยเหลือเจ้าส่งของสิ่งนี้  เจ้าทำให้ชีวิตของพวกเราอยู่ในอันตราย และเจ้ายังมาทัศนะมากยิ่งเช่นนี้กับข้าหรือ ?  และตอนนี้ พวกเรามิอาจปริปากได้อีกหรือ ? “


 


เมิงเซี่ยวซ้งหยุดพูด จากนั้น เขาตะโกน …. ก่อนที่ ฉางชุ้นเซี่ยว จัดมีโอกาสตอบกลับ


” ช่วยด้วย !  ช่วยพวกเราด้วย ! ”


ปราณเชวียนของเขาเป็นรองเพียงสามสวรรค์เวียนที่อยู่ที่นี่  แต่กระนั้น เขายังล่าถอยตั้งแต่เริ่มการต่อสู้  เขายังมิได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย แต่เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง


 


จวินโม่เซี่ยเกือบร่วงจากกิ่งไม้ที่เขานั่งอยู่


ท่านน้า ไม่ว่าท่านจักพูดอันใด … ท่านยังคงเป็นยอดฝีมือปฐพีเชวียน  มิอาจถือได้ว่านท่านเป็นผู้สูงส่งในโลกนี้ แต่ท่านยังได้รับเกียรต์ให้เป็นผู้ที่อยู่ในอันดับที่สูงส่ง !  แต่กระนั้น ท่านมีความเห็นแก่ตัวมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ?


 


เล่ยเจียนฮ้งผู้สวมหน้ากากและชุดสีดำก็มิอาจหักห้ามความงุนงงได้  จากนั้นเขาหัวเราะ และตะโกนลั่นด้วยความชั่วร้าย


” ตะโกน !  ตะโกนออกไป !  ตะโกนออกไปเท่าที่เจ้าสามารถ !  มันไร้ประโยชน์แม้นว่าเจ้าจักตะโกนจนคอพัง !  ไม่มีผู้ใดจักมาช่วยเจ้า ! ”


 


จวินโม่เซี่ยสั่นไหว  เขายังคงเงียบ และไต่ถามต่อสรวงสวรรค์ … ด้วยความต้องการอันแรงกล้า


สวรรค์ปล่อยให้ข้าตายเถิด !  ปล่อยให้ข้าได้ยินวาจาดั้งเดิมเหล่านี้ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ได้อย่างไร ?!


 


เมิงเซี่ยวซ้งตะโกนขอความช่วยเหลือมากมายเนื่องด้วยความเห็นแก่ตัว  อย่างไรก็ตาม วาจาของ เล่ยเจียนฮ้งเป็นที่นิยมอย่างมากในโลกก่อนของเขา


 


จวินโม่เซี่ยกำลังงุนงง  เขาเกือบจักมองเห็น บุรุษผู้น่ากลัวที่เผชิญหน้ากับเด็กสาวในตรอก  บุรุษผู้นั้นแสดงความพึงพอใจอย่างมากขณะที่เขาตะโกน


” มันไร้ประโยชน์แม้นว่าเจ้าจักตะโกนจนคอพัง … ”


 


เขามิได้คิดว่ามสิ่งที่เกิดขึ้นนั่งถูกเสริมแต่งเล็กน้อย  แต่มันยังคงมิอาจเทียบกับฉากที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา  ยิ่งกว่านั้น ก็ยังเป็นบุรุษในโลกนี้ที่เอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมา !


 


เสียงประหลาดดังออกมาจากลำคอของจวินโม่เซี่ย  มันเป็นเสียงของการสำลักน้ำลาย ราวกับเขากำลังอยู่บนขอบเหวแห่งความตาย


ข้าอยากอาเจียน  สิ่งนี้น่าขยะแขยงยิ่งนัก !


 


สถานการณ์นี้ยังคงเป็นเช่นเดียวกับเมื่อก่อน


 


คนของ โจววูจี้ส่วนใหญ่ตายไป คนส่วนใหญ่ของ เมิงเซี่ยวซ้งที่มาจาก กองราคาวานการค้าทางใต้กลายเป็นศพ  เลือดของพวกเขากระจายข้ามเส้นของฟ้า  เขาไร้ทางเลือกเว้นจักยอมรับว่า องครักษ์สวรรค์พิโรจสองร้อย ที่ถูกส่งมาโดยองค์ชายนั้น แข็งแกร่งที่สุด  องครักษ์สวรรค์พิโรจ ราวร้อยห้าสิบนั้นยังคงมีชีวิตอยู่


 


ความแข็งแกร่งของ องครักษ์สวรรค์พิโรจนั้นมิได้สูงส่งเลย  ความจริง พวกเขาอ่อนแอกว่า สมาชิกของ กองราคาวานการค้า และ สกุลโจว  อย่างไรก็ตาม พวกเขามีข้อได้เปรียบในการต่อสู้  และพวกเขาคุ้นเคยในรูปแบบการต่อสู้เป็นกลุ่ม  ดังนั้น กำลังใจของพวกเขาจึงยังมั่นคงแม้นว่าพวกเขากำลังตกอยู่ที่นั่งลำบาก  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเป็นเลิศในการต่อสู้ตีฝ่าวงล้อม  ความแข็งแกร่งของทีมทำให้พวกเขาได้เปรียบอย่างมากแม้นในค่ำคืนที่มืดมิดที่กำลังเผชิญ


 


สำหรับคนของ สกุลโจว และคนจากกองคาราวานการค้า พวกเขาแต่ละคนนั้นมีความแข็งแกร่งกว่าคนจาก องครักษ์สวรรค์พิโรจ อย่างไรก็ตาม พวกเขาคุ้นเคยกับการต่อสู้แบบตัวคนเดียว และไร้ประสบการณ์เมื่อต้องมากต่อสู้ร่วมกับผู้อื่น  เช่นนั้น พวกเขาจึงเชื่อในความแข็งแกร่งของตัวเอง และมุ่งหน้าสังหารต่อไปแม้นว่าพวกเขาจักต้องเผชิญกับสงครามหรือความสับสนที่ยิ่งใหญ่  สำหรับผลที่เกิดขึ้นนั้น … พวกเขาจักตายเป็นกลุ่มแรก  พวกเขามีความแข็งแกร่งสูงส่งเมื่อเทียบกันระหว่างตัวต่อตัว แต่ความแข็งแกร่งของทีมของเขานั้นขาดแคลนยิ่งนักต่อหน้า ยอดฝีมือ


 


เล่ยเจียนฮ้ง และสหายที่ติดตามพวกเขาได้รับการโจมตีจากสามด้าน  เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นใจร้อน  อย่างไรก็ดี สถานที่นี้อยู่ใกล้นครหลวง  ผลที่ตามมาจักใหญ่หลวงนักหากข่าวขงอเหตุการณ์นี้แพร่กระจายออกไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม