Otherworldly evil monarch 304-310
ตอนที่ 304
ปู่จวินมิได้กังวลในวันแรก ความแข็งแกร่งของจวินโม่เซี่ยมิได้น้อยนิด และเขามั่นใจอย่างมากในความสามารถของเขาเอง ความจริง เขาได้กล่าวว่าสามารถป้องกันตัวเองจากยอดปรมาจารย์ได้หากต้องการ จักมีสิ่งใดอันตรายกว่านั้นหรือ ? ปู่จวินมิรู้ว่าจวินโม่เซี่ยไปยังที่ใด แต่เขาสนใจในแผนการของต่อหลานชายที่มีต่อเขามากกว่า ..
เขามิได้กลับบ้านสองวันสองคืน เรื่องอันใดกัน ? สิ่งนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน ! หรือเขาจักปรนเปรอตัวเองด้วยความสุขจนลืมหน้าที่ต่อสกุล ?
ท้ายที่สุด พวกเขามิอาจใจเย็นได้อีกต่อไปในวันที่สาม สุดท้ายแล้ว ความสามารถในการปกป้องตัวเองจากยอดปรมาจารย์ยังมิได้เกิดให้ประจักษ์
ปู่จวินเริ่มตระหนกยิ่งขึ้น และประกาศภาวะฉุกเฉินไปทั่วทั้งนครหลวง เขาเคลื่อนกำลังไปทุกหนแห่ง กองกำลังลับของสกุลจวินถูกส่งออกไป และค้นหาทุกซอกมุมของเมือง จากนั้น สกุลจวินส่งกองกำลังออกไปอีกเนื่องจากมิอาจหาตัวเขาพบ ไฮ่เฉินเฟิง และ ก๊กจิ้นหยาง เริ่มออกค้นหา คนในก๊กและทหารเริ่มร่วมมือกัน ! ปู่จวินและ น้าสามเป็นผู้นำการค้นหาด้วยตัวเอง อย่างละเอียดทุกที่ พวกเขาค้นหาทุกสถานที่ที่น่าสงสัยอยู่หลายครั้ง
สีหน้าของน้าสามไม่เป็นที่พอใจนัก เขาดูดุร้ายยิ่งในระหว่างการค้นหา ทุกวาจาที่ออกมาจากปากของเขานั้นเกินกว่าความเร็วของคนธรรมากนัก เขาจู่โจมผู้คนและจากนั้น …เริ่มข่มเหง วาจาของปู่จวินก็ดุร้ายยิ่งนัก
แม่เจ้าเอ๋ย ! ข้าจักค้นหาอย่างละเอียด … แม้นสวรรค์ต้องล่มสลาย ! และข้าจักสังหารทุกผู้ที่มิยอมร่วมมือ !
ข้าจักหักขาเจ้าหากเจ้ากล้าเปล่งเสียง ! เจ้าจักกล้าอันใดหลังข้าหักขาเจ้า ? หรือข้าจักทุบกะโหลกเจ้าดี ?
โรงโสเภณีถูกปิดและโจมตี โดยเฉพาะกับสถานที่ขึ้นชื่ออย่าง ศาลานีฉาง แห่ง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ คือสถานที่แรกๆในรายการ
พวกเขามุ่งหน้าต่อไปเพื่อนำพาหญิงสาวและเหล่าแมงดาที่ ศาลาสายรุ้ง เข้าสู่ห้องขัง พวกเขาสกัดและจับกุมแม้แต่ แม่นางยี่เอ๋อ ชัดเจนว่า แม่นางยี่เอ๋อเดินทางไปยังทุกจวนของสกุลผู้มีอำนาจเพื่อแสดงถึงฝีมือของนาง ทุกซ่องโสเภณีพยายามอย่างมากเพื่อว่าจ้างนาง แต่ นางวางแผนการเดินทางครั้งใหญ่ไว้ และนางทำสำเร็จไปเพียงครึ่งเมื่อนางโดนทหารซึ่งนำโดดย จวินวูอี้ขัดขวางและจับกุมสู่ตาราง …
แต่เหตุใดกัน ?
พวกเขามีเหตุผลอันใดที่ต้องจับตัวโสเภณี ?
ทุกผู้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายสองและศาลาสายรุ้ง แต่ นี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายสองส่งนักวางแผน ฝางบูเหวิน เพื่อร้องขอในนนามของพระองค์ เขาเคารพในเกียรติแห่งสกุลจวิน พวกเขาได้รับคำสั่งให้กลับหลังจากพวกเขาได้ปล่อยตัวแม่นางยีเอ๋อเท่านั้น แต่ ใบหน้าของจวินวูอี้เยือกเย็นยิ่งนัก เมื่อเขาตัดสนใจ
” ไปให้พ้น ! ”
อาจกล่าวได้ว่า ขุนนางฝางผู้น่ายกย่องได้ลอยไปสู่โทสะ
และจากนั้น คุณชายน้องจวินสามได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง … ท่ามกลางความโกลาหล
คุณชายน้อยจวินที่ดูเหมือนขอทานปรากฏตัวขึ้นในลานบ้านของเขาราวกับสุนัขจรจัดที่หิวโหย เขามุ่งหน้าไปยังครัวของสกุลจวินราวปลาที่สามารถหนีจากอวนได้ในตอนที่เขาปรากฏตัว
เคอน้อยกำลังน้ำตานองหน้า นางกระโดดขึ้นด้วยความหวาดกลัวเมื่อเขามาถึง แม้นนางมองไม่เห็นเงาของเขาเมื่อหันไปมอง
เคน้อยเร่งรีบมุ่งหน้าไปรายงาน กวนเซียงฮั่น ในทางกลับกัน นางรายงานต่อ จวินวูอี้ว่าคุณชายน้อยสามจวิน ได้กลับมาอย่างปลอดภัย
หลังจากนั้น หญิงสาวทั้งสอง มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่จวินโม่เซี่ยได้หายตัวไป พวกนางตกตะลึงยิ่งนักเมื่อไปถังครัว
เสื้อผ้าของจวินโม่เซี่ยขาดรุ่งริ่งและผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าของเขาวีดเผือก และมีถุงใต้ตาของเขา เขาดูราวสัตวที่เคราะห์ร้าย มือของเขาแห้ง และดำราวตีนไก่ และรองเท้าของเขาเป็นรูจนนิ้วเท้าออกมา เขาหยิบปลาด้วยมือซ้ายและนำใส่ปาก และเมื่อดึงมันออกมา มันเหลือเพียงหัวและก้าง
เขาถือก้อนเนื้อในมือขวา ดูเหมือนว่าเขามิทันได้เคี้ยวเมื่อมันไหลลงคอของเขาไป ชามซุปที่วางอยู่ตรงหน้าเขา บางครั้งบางคราวเขาสำลักและเปล่งเสียงแปลกประหลาด จากนั้นเขาก้มหัว และจุ่มมันลงไปในชาม มิสนใจความแปลกประหลาดของการกระทำเมื่อเขาทำให้ชามนั้นว่างเปล่าภายในชั่วอึดใจ
ที่พื้นเบื้องล่าง … คือ กองกระดูก ก้างปลา และเศษชิ้นเนื้อ …
พ่อครัวตัวอ้วนทำตัวราวประหนึ่งถูกอสุนีบาต พวกเขาเพ่งมองไปยัง คุณชายน้อยผู้มือชื่อ ใบหน้าของพวกเขากระตุก เขากินมากมากยิ่งนัก
โอ้ว ! แม้แต่หมู … ไม่ .. แม้แต่หมูป่าตัวผู้ก็มิอาจกินมากมายด้วยความเร็วเช่นนี้ได้ !
พวกเขารู้สึกวิงเวียนเมื่อได้เห็สิ่งที่เกิดขึ้น
กวนเซียงฮั่น และเคอน้อย มุ่งหน้าไปและได้พบเขา พวกนางขุ่นเคืองยิ่งนัก
เจ้าปิศาจ ! เจ้าหายไปไร้ผู้ใดล่วงรู้ เจ้าหายไปจากบ้านสามวันโดยมิบอกกล่างอันใด ! เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าทุกผู้เป็นห่วงเพียงใด ?
พี่สะใภ้ต้องการสั่งสอนบทเรียนแก้น้องเขย ท้ายที่สุด นางก็อาวุโสกว่า แต่ นางต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็น และมิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้
มารยาทบนโต๊ะอาหารเช่นนี้ ?!
ดวงตาของลูกสาวแห่งสกุลกวนเบิกกว้าง และนางปิดปากน้อยของนางด้วยสีหน้าตกตะลึง สีหน้าสวยงามและเย็นชาของหญิงสาวได้เแประเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ครั้งแรก …
ปากน้อยและอ่อนโยนของเคอน้อยเปิดกว้าง ขณะนางเริ่มเพ่งมอง จนสามารถมีคนนำใข่สองฟองใส่ไปในปากของนางได้
ในที่สุด จวินโม่เซี่ยถอนใจอย่างพึงพอใจ จากนั้น หัวของเขาก้มลงไปอีกครั้งเพื่อกินซุปที่เหลือเพียงเล็กน้อย และเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมองเห็นก้นชามสีขาว
จากนั้น เขายกขาขึ้นข้างหนึ่งและเตะกองกระดูกไป … ซึ่งมันสูงเกือบถึงข้อเท้าของขา จากนั้น คุณชายน้อยสะอึกด้วยความพอใจ สุดท้าย เขาหยิบมีดพกขึ้นและแคะฟัน จากนั้นเขาก็ได้เห็นสีหน้าของทุกคน …. ผู้ที่มีสีหน้าหลังจากได้เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ เขาอดถามด้วยความสงสัยมิได้
” หน้าข้ามีดอกไม้ขึ้นหรือ ? “
ทุกผู้ไร้วาจา
พวกเขาไร้วาจามาเป็นเวลานาน พวกเขาจักประหลาดใจมากหากมีผู้ใดเอ่ยวาจาได้เมื่อได้พบเห็นบางสิ่งทีไร้ยางอายเช่นนี้
” สองสามวันมานี้เจ้าไปทำอันใดมา ? “
พี่สะใภ้ กวนเซียงฮั่น ถามด้วยความสง่างาม หลังจากนางได้สติ
” ข้า ? สองสามวันที่ผ่านมา ? ฮ่า … ”
จวินโม่เซี่ยคาดได้ทันทีว่าสิ่งใดเกิขึ้น จากนั้นเขาถอนใจขณะพยักหน้า
” ข้ามีกิจมากมายนักในสองสามวันนี้ วุ่นวายยิ่งนัก ! ไม่เหมือนพวกเจ้า ผู้ที่นอนจนหิว และกินจนพวกเขาพอใจ เจ้าไม่มีสิ่งใดต้องทำ … เว้นเพียงดูแลความต้องการทางร่างกาย !
เขาเอ่ยสิ่งใด ?
กวนเซี่ยงฮั่นมีโทสะขณะเอ่ยขึ่นอย่างดุร้าย
” เจ้าว่าอันใด ? “
” ข้าเอ่ยอันใด ? ฮี่ฮี่ … ข้าบอกว่าท่านพี่สะใภ้ และเคอน้อยดูแล้วสวยงามยิ่งกว่าทุกวันที่ข้าได้พบเจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่สะใภ้ ! ไม่เพียงแต่เจ้าดูน่าดึงดู แต่เจ้ายังดูสาวขึ้นด้วย ข้าเชื่อว่าผู้ที่ไม่รู้ว่าท่านคือพี่สะใภ้ คงจักคิดว่าท่านคือพี่สาวของข้า หากท่านกระทำเช่นนี้ ! ”
จวินโม่เซี่ยเอ่ยวาจาประจบเมื่อเขาพูดเรื่องไร้สาระ
กวนเซียงฮั่น และเคอน้อยตกตะลึง พวกเขารู้ว่าวาของเขานั้นเกินจริง และรู้ว่าเขาเพียงพยายามเยินยอพวกนาง แต่ พวกนางรู้สึกยินดีที่ได้รับการชื่นชม อารมณ์ของพวกนางเปลี่ยนไป และสีหน้าสุขสันต์ปรากฏขึ้นเมื่อพวกนางเพ่งมองเขาไร้วาจา ใบหน้าของ กวนเซียงฮั่น บึ้งตึงเมื่อเวลาผ่านไป
” น้าสามกลับมา เขาจักทำให้เจ้ารู้สึกดี ”
นางเอ่ยจบและดึงร่างเคอน้อยไปด้วย
เชียงฮั่นพูดถูก ยิ่งกว่านั้น มิได้เอ่ยเกินจริงเลย
ปู่จวินและน้าสามเร่งรีบมุ่งหน้ากลับมาหาจวินโม่เซี่ยเมื่อพวกเขาได้ยินว่าเขากลัยมา และเร่งรีบราวพายุ ผมของคุณชายน้อยจวินเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อเขาได้เห็นสิ่งนี้ และเขาเริ่มตะกุกตะกัก …
คุณชายน้อยจวิน มิอาจทนต่อการดุด่าดั่งพายุนั้น แต่เขาต้องการที่จักแสดงความสำเร็จของเขา เช่นนั้น เขาจึงกระแอมและนำ ยาหยางลึกลับ ยาหัวใจอสูร และ ยากทศวรรษ แต่ อาวุโสทั้งสองยังคงกล่าวตำหนิเขาอย่างรุนแรงต่อไป
เอ่อ … ยาเหล่านี้ดีเลิศ แม้นพวกเขามิสามารถกินในปริมาณที่เข้มข้นได้ ยาหยางลึกลับสามารถกินได้หนึ่งครั้งในเวลาสิบปี และ มันเป็นเรื่องปกติที่จักกินยาเพื่อสุขภาพ แต่ ยากทศวรรษนั้นกินได้เพียงครั้งเดียว มันไร้ประโยชน์ที่จักกินเป็นประจำ … ความจริงแล้ว มันไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง
ปู่จวิน และน้าสาม ยิบยาด้วยปลายนิ้ว แต่เมื่อดูจากสีหน้าของพวกเขา … พวกเขามิดูมั่นใจนัก ท้ายที่สุด คุณชายน้อยจวินผลของยาเหล่านี้เป็นสิ่งอัศจรรย์ พวกเขามองจวินโม่เซี่ยด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
เจ้าปิศาจคดโกง ! ยาเม็ดเล็กๆนี้สามารถเพิ่มขั้นการฝึกฝนได้สิบปี ? ไร้สาระ !
ความคิดเดียวกันเกิดขึ้นในสมองของทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกว่า การบำเพ็ญของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากที่พวกเขากินยานี้เข้าไปภายใต้การจัดการของจวินโม่เซี่ย พวกเขารู้สึกว่าฝีมือของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเป็นสิบปีหรือมากกว่านั้น สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวดั่งเช่นคุณชายน้อยจวิน พวกเขาเพิ่งมองไปยังคุณชายน้อยจวิน ราวกับ กลุ่มของ … หมาป่าหิวโหย !
“สิ่งนี้น่าประหลาดใจยิ่งนัก ! สิ่งเหล่านี้มีทั้งหมดเท่าใหร่ ? สิ่งพวกมันมาให้อาวุโสผู้นี้ ! ข้ามีความสุขอีกครั้ง เช่นนั้น อย่างทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับข้า ! ข้าจักไม่เป็นข้าจักไม่มีเรื่องไร้สาระสำหรับเจ้า เจ้าเด็กเหลือขอ ! ”
นี่คือเสียงคำรามของปู่จวิน ใบหน้าของเขาชื่นมื่นด้วยความตื่นเต้น เขาคว้าเอาเสื้อคลุมด้านหน้าของจวินโม่เซี่ย ยกเขาขึ้นกลางอากาศ และเขย่าราวกับเขาเป็นปลาแห้งกลางสายลม
ชายแก่อ้าปากกว้างอย่างตะกละตะกลามขณะเขาเอ่ยวาจาเหล่านี้ด้วยท่าทีป่าเถื่อน
” เนื่องจากท่านปู่เอ่ยปากก่อน … เจ้าต้องมอบสิ่งที่เขาต้องการก่อนสิ่งอื่นใด ข้ามิได้สำคัญเช่นนั้น เจ้ามาหาข้าได้เมื่อเจ้าต้องการ เพียงแค่ส่งหนึ่งร้อยขวดมาให้ข้า เจ้าจัดต้องส่งสิ่งที่เจ้ามีให้ปู่ของเจ้าทั้งหมก ไม่ว่าเจ้าจักมีเหลือเท่าใด ”
นั้นสิ่งที่จวินวูอี้เอ่ย เขาต้องการยาเหล่านี้มากเกินกว่าร้อยขวด
พ่อลูกคู่นี้คิดว่ายาเหล่านี้ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ? และ สามารถหยิบมันขึ้นมาจากพื้น ? เหล่านี้เป็นยารักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง !
จวินโม่เซี่ยคร่ำครวญ เขาวิงเวียนด้วยความตะลึง …
แม้นว่าข้าสามารถถอนพวกมันจากพื้นดินได้ … ข้าก็ยังต้องทำงานหลังขดหลังแข็ง ! ยาเหล่านี้เป็นอาหารเสริมที่อัศจรรย์ … แต่ สองคนนี้คิดว่าพวกมันเป็นเหมือนกะหล่ำปลีอย่างนั้นหรือ … ? พวกเขาจึงต้องการพวกมันมากมายเช่นนี้ ….
สองผู้นี้จักสังหารจวินโม่เซี่ยเพื่อยาเหล่านี้ ? พวกเขาลืมเรื่อง หลานชาย และผู้สืบเชื้อสายสกุลด้วยยาที่ล่อตาล่อใจเช่นนี้ ! ปู่จวิน ดึงแก้มจวินโม่เซี่ยอย่างชั่วร้าย จนเกือบทำให้มันกลายเป็นดั่งแก้มหมู จวินวูอี้เป็นผู้ที่อ่อนโยนกว่า เขาเพียงสามารถบอกถึงวามรู้สึกของจวินโม่เซี่ยเป็นแนวทางเท่านั้น นอกจากนี้ ใบหน้าของจวินโม่เซี่ยอาจจะกลายเป็นสีม่วงจากการโดนดึง
หากเขาเป็นลมต่อหน้าพวกเรา ? พวกเราจักตัดสินควาผิดในเจตนาของเจ้าเด็กเหลือของผู้นี้ พวกเราผิดพลาด มาก่อนกที่พวกเขาจักเกิด !
คุณชายน้อยจวินร้องไส้สะอื้น เขาต้องการที่จักหลั่งน้ำตา แต่หาได้มีเลยสักหยด
” ข้ามิอาจทำมันได้อีกแล้ว …. ข้าอ่อนแรง … ข้ามิอาจทำมันได้อีก …. ท่านทั้งสอง … ปล่อยข้าเถิด ! ”
” เจ้าเด็กปิศาจ ! ข้าเพิ่งเห็นว่าเจ้าเอาขวดเหล่านั้นออกมาหลายขวด ! ตอนนี้ส่งมันมาให้ข้าเสียดีๆ เจ้าต้องการมีปัญหาหรือ ? “
ปู่จวินช้อนจวินโม่เซี่ยขึ้นด้วยข้อเท้า และดึงเขาขึ้นมา จากนั้น เขาเริ่มเขย่าอย่างดุร้าย ทำให้เกิดเป็นภาพดั่งเด็กชายซุกซนที่ถูกแวนไว้บนกิ่งไม้ แต่สิ่งที่ต่างไปนั่นคือ เขากำลังห้อยหัวอยู่ …
จวินโม่เซี่ยมิอาจทนต่อการปฏิบัติเช่นนี้ได้อีกต่อไป
” ปล่อย .. ข้ากำลังจักตาย ! ข้ารู้สึกวิงเวียนยิ่งนัก ! ที่ข้าให้ … ที่ข้าให้ … ยังไม่เพียงพอหรือ ? “
ปู่จวินวางหลานชายของเขาลง และเพ่งมองไปยังเขาราวเสือที่เพ่งมงลูกแกะ ไม่แม้แต่กระพริบตา
จวินโม่เซี่ยคลานไปและตบหน้าเขา
เจ้าต้องการที่จะอวดมิใช่หรือ ?! เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าชัดนำปัญหาเข้ามา ? เจ้ารู้ดีว่าสิ่งนี้สามารถส่งผลต่อหัวใจผู้คนได้ เจ้ารู้ว่าปู่ของเจ้า และน้าสามจักหลงลืมความสัมพันธ์เนื่องถูกล่อลวงจากยาอันนี้อัศจรรย์เหล่านี้ !
เขายังคงรู้สึกผิด
อย่างไรก็ตาม ข้าปรุงยาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของสกุลจวิน เช่นนั้น เหตุใดข้าต้องได้รับการปฏิบัติอย่างน่าสังเวชเช่นนี้ ?! เป็นความทรมาณที่แตกต่างกันยิ่ง ! ราวกับพวกเขากรอน้ำพริกลงคอหอยข้า !
เขาค่อยๆหยิบขวด ยาหยางลึกลับ ยาหัวใจอสูร ยาฟื้นฟูหลากหลาย และ ยากทศวรรษออกมาอย่างละขวด จากนั้นเขาวางมันลงบนโต๊ะ
” นั่นคือทั้งหมดที่ข้ามี ! ”
” ข้าไม่เชื่อเช่นนั้น ! เอามาอีก ! ”
ผู้อาวุโสทั้งสองคำรามพร้อมเพรียง
” ข้ามีเพียงเท่านี้จริง ! ”
ใบหน้าคุณชายน้อยจวินเผยความจริงใจ
” เท่านี้เพียงหอสำหรับหนึ่งร้อยคน อาจารย์ข้ามอบสิ่งเหล่านี้ให้ข้า … ”
เขาคิด
ท่านต้องการทั้งหมดเพื่อตัวเองหรือ ? ข้าทำมันขึ้นมาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกองกำลังที่อยู่ภายใต้การดูแลของข้า … แต่ข้าจักมิให้มันแก่ผู้ที่ข้าไม่เชื่อถือ เช่นนั้นข้าจัก เก็บที่เหลือไว้กับตัวเอง
” ทั้งหมดนี้เพียงพอต่อคนหนึ่งร้อย ? “
ผู้อาวุโสทั้งสองเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ยาล้ำค่าเช่นนี้หยายากยิ่งนัก น้าสามขอขวดเหล่านี้นับร้อย แต่นั้นเป็นเพียงการล้อเล่น
มันเพียงพอแล้วหากหนึ่งขวดนั้นเพียงพอต่อสามถึงห้าคน เช่นนั้น เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาจักไม่ตกตะลึงเมื่อได้คุณ คุณชายน้อยจวินเอ่ยว่า ขวดน้อยๆเหล่านี้เพียงพอแก่คนนับร้อย ?
” จริงสิ อาจารย์ของข้าใช้ความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดเพื่อปรุงยาเหล่านี้ นั่นจึงเป็นเหตุที่ข้าหาส่วนผสมสมุนไพรมากมาย ? แต่ อาจารย์ของข้า ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการรุปงยา เขาจำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นฟูสามถึงห้าเดือน ยิ่งกว่านั้น เขามิอาจปรุงยาเช่นนี้ได้อีกเป็นเวลานาน เช่นนั้น พวกเราจึงต้องใช้ยาเหล่านี้อย่างระมัดระวัง ”
จวินโม่เซี่ยเอ่ยเกินจริงเป็นเรื่องปกติ แต่ หากทั้งสองรู้ว่ายาเหล่านี้สามารถรปรุงได้เรื่อยๆ … พวกเขาจักไม่บังคับให้เขาปรุงยาเหล่านี้ทุกวันไปตลอดชีวิตหรือ ?
ทั้งสองคิดว่าสมเหตุสมผล มันสมเหตุสมผลหาก อาจารย์ของจวินโม่เซี่ยมิอาจปรุง โอสถสวรรค์ เหล่านี้ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุดแล้ว มันจักมิกลายเป็นของเด็กเล่นหรือ หากยาเหล่านี้หาได้อย่างง่ายดาย ?
สองผู้อาวุโสปล่อยจวินโม่เซี่ยออกไปข้างๆ จากนั้น พวกเขาแย่งกันคว้าขวด ….
“ของข้า ! ”
“ของข้า ! ”
” ปั่ง ! ฉึบ ! ตุ๊บ ! ”
ชัดเจนว่าทั้งสองเอื้อมมือไปยังขวดยา …
จวินโม่เซี่ยหายไปจากโถงรายกลุ่มควัน เขามิสนใจชายผู้ไร้ยางอายเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม จักไม่มีเหตุร้าย … ไม่ว่าเขาจักต้อสู้กันเท่าไหร่ก็ตาม แต่ พวกเขาก่อให้เกิดเสียงสั่นสะเทือนของพื้นดิน
ข้าหนีไปจักดีกว่า …
จักตั้งใจหรือไม่ จวินโม่เซี่ยได้แวะเข้าไปยังลานบ้านของกวนเชียงฮั่น นางนั่งเงียบงันอยู่ภายใต้ต้นไม้ที่เบ่งบาน หญิงสาวมองไปยังต้นไม้อย่างเงียบๆด้วยใบหน้าพึงพอใจ ชัดเจนว่านางได้ยินเสียงฝีเท้าของจวินโม่เซี่ย แต่นางยังคงนิ่งสงบต่อไป ในความจริง นางไม่แม้แต่จักหันมามองเขาเลย
” เรื่องอันใดกัน ? “
นางถามเอื่อยเฉื่อย
” ไม่มีเรื่องันใดสำคัญ ข้าเพียงนำยาจำนวนหนึ่งมา เจ้าควรได้ลิ้มลอง แต่พวกมันไม่เลิศรสนัก ฮ่า ฮ่า … ”
จวินโม่เซี่ยหัวเราะชั่วร้าย
” โอ้ ? “
กวนเชียงฮั่นค่อยๆหันหน้าอันงดงามและเยือกเย็นไปมองเขาเชื่องช้า
” ยารักษาสิ่งใด ? “
” ข้าปรุงยามากมาย พวกมันส่งผลดีเลิศ เจ้ากล้าลองมันหรือไม่ ? “
จวินโม่เซี่ยเอ่ยวาจายืดยาว แต่ มีเพียงหนึ่งคำในความคิดของเขา ยากระตุ้นกำหนัด แต่เขามิกล้าเอ่ยมันออกมา
” กล้าอันใด ? เจ้าคิดว่าข้ากลัวว่าเจ้าจักวางยาข้าหรือ ? “
จากนั้น จากนั้นกวนเชียงฮั่นกระทำเกินการคาดการของจวินโม่เซี่ย … นางยิ้ม จวินโม่เซี่ยหลงลืมศีลธรรมเมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มอันงดงามที่น่าตะลึงนั้น … มันน่าตกตะลึง … ประหลาดใจ… เกินกว่าการคาดฝัน …
” จวินโม่เซี่ยข้ามิอาจมั่นใจเจ้าได้ แต่ข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่ผู้ที่มีความเลวทรามอยู่ติดตัว และอย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังเป็นพี่สะใภ้เจ้า ”
นางยื่นมือไปรับยาจวินจวินโม่เซี่ย สามเม็ด ปริมาณที่กำหนดของหญิงสาว ยาหยินขาดหาย ยาหัวใจอสูร และ ยาทศวรรษ นางมองจวินโม่เซี่ยอย่างเอาใจใส่ จากนั้น นางเงยหน้าโดยไม่ลังเล และกลืนยาลงไป
จวินโม่เซี่ยเบิกตกว้าง เขากำลังจักบอกให้นางรอจนกว่านางจักเริ่มการฝึกฝน แต่ นางอ้าปาก และกินยาเข้าไปเสียก่อนแล้ว เป็นสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งนักสำหรับเขา
เกิดกลุ่มก้อนความเสียใจแก่จวินโม่เซี่ย เมื่อเขารู้ว่า กวนเซียงฮั่นเชื่อใจเขายิ่งนักจนนางกินยาเหล่านั้นเข้าไปโดยไม่คิดให้ดี
ข้าควรปรุงยาที่กระตุ้นกำหนัดหากข้ารู้ว่านางเชื่อใจข้ามากมายเช่นนี้ นี่คือความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ นะ ! นี่คงเป็นวิญญาณของจวินโม่เซี่ยที่ตามหลอกหลอนข้า ข้าบริสุทธิ์ยิ่งนัก … ข้าจักเป็นคนเช่นนั้นได้อย่างไร …. ?
กวนเซียงฮั่นกำลังจักถามถึงเรื่อยา และมันเกิดปฏิกริยาเมื่อนางรู้สึกร้อนรุ่มที่จุดดันเถียน ทันใดนั้น นางของนางร้อนรุ่ม และ ผ่อนคลาย มันเป็นความรู้สึกสบายเกิดนกว่าพรรณนา จากนั้น ปราณเชวียนเริ่มเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณ มันหลั่งไหลรุนแรงประหนึ่งแม่น้ำเชี่ยวกราด จุดดันเถียนของนางร้อนขึ้นเรื่อยๆขณะที่ปราณเชวียนยังคงเคลื่อนที่ไปตามเส้นลมปราณ ความจริงแล้ว มันแปเปลี่ยนเป็นปราณชเวียนบริสุทธิ์…
ยาลึกลับของจวินโม่เซี่ยเพิ่มความสามารถของผู้คนได้อย่างลึกลับ
กวนเซียงฮั่นประหลาดใจเมื่อได้พบสิ่งนี้ นางรู้สึกคลางแคลงใจในตัวเขา อย่างไรก็ตาม การบำเพ็ญของนางก่อนหน้านี้อยู่ในขั้นเชวียนเงินสูงสุด ความจริงแล้ว นางกำลังจักบรรลุไปยังขั้นเชวียนทอง แต่ นางสามารรู้สึกว่าได้บรรลุไปยังขั้นเชวียนทองอย่างรวดเร็วเนื่องจากพลังงานมากมายที่เริ่มหลั่งไหลไปตามร่างกายของนางหลังจากได้กินยาเข้าไป
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว และ ไม่มีผู้ใดแนะนำนางได้ในช่วงเวลาสำคุณนี้ … นอกจากน้องเขยของนาง …
เหตุใดเจ้าเด็กเหลือขอนี่ไม่อธิบายสิ่งนี้ ? เขามิกังวลอันใดเลยหรือ ? ข้าคิดว่ามันเป็นขนมหวาน !
อย่างไรก็ตาม ไม่มีเวลามากพอให้นางคิดถึงสิ่งนี้ พลังงานบริสุทธิ์ และมหาศาลจากยา หลั่งไปไปยังแขนขาของนาง นางก้าวข้ามไปยังขั้นเชวียนทองอย่างกล้าหาญ แต่ ทันใดนนั้นนางรู้สึกไม่สบายขึ้นอย่างรวดเร็ว สติของนางแตกกระจาย
ขั้นการบำเพ็ญของกวนเชียงฮั่นนั้นต่ำมาก มันอยู่เพียงขั้นเชวียนเงิน ความจริง การบำเพ็ญของนางด้อยกว่าคุณชายน้อยจวิน จวินวูอี้และปู่จวินสามารถกินยาทศวรรษได้โดยไม่ต้องลังเลเนื่องจากพวกเขาอยู่ในขั้นสวรรค์เชวียน พวกเขาสสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างง่ายดายผ่านกระบวนการยกระดับนี้ ความจริง พวกเขาสามารถบรรลุผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหาใด
นี่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม กวนเซียงฮั่นเกือบต้องตาย ความแตกต่างระหว่าการบำเพ็ญของนาง และสองผู้นั้นคือ สิบขั้น ! นางเพิ่งบำเพ็ญมาเพียงสิบปีเท่านั้น และตอนนี้ นางได้รับการพัฒนาถังสิบปีภายในครู่เดียว นี่เป็นเหมือนการรวบรวมการบำเพ็ญของนางทั้งหมดก่อนที่ทางจะกินยาเข้าไป อย่างไรก็ตาม ปราณเคลื่อนไหวในร่างกายในตอนนี้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าแต่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้น นางมิเคยผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายของจวินโม่เซี่ย …. เช่นนั้น นางจักต่อสู้ได้อย่างไร ? โชคดีที่ นางได้กินยาหัวใจอสูร…มิเช่นนั้นนางคงจักลุกเป็นไปไปแล้ว
กวนเซียงฮั่นรู้สึกราวกำลังจักลุกเป็นไฟ สติของนางแตกสลาย นางรู้สึกสิ้นหวัง
ชีวิตของข้าจักจบลงด้วยเหตุลึกลับหรือ ?
น้องเขยของนางเปลี่ยนไปดีขึ้นจากความยากลำบากนี้ เขาใช้ เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ และค้นหาโอสถสวรรค์ ยิ่งกว่านั้น เขายังมิลืมถึงความต้องการของนาง นี่แสดงให้เห็นว่าเขาปรับตัวให้ดีขึ้น แต่ เขามิได้คิดว่าความสามารถของนางในการควบคุมพลังปราณจักขาดแคลน โอสถสวรรค์กำลังจักสังหารนางโดยมิอาจคาดได้
กวนเซียงฮั่นรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขัน ความจริง นางค่อยข้างลังเลที่จักปล่อยมันไป หากสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน นางคงไม่รู้สึกเช่นนี้ ความจริงแล้ว นางจักรู้สึกเป็นอิสระ แต่ เหตุใดนางจึงไม่ต้องการที่จักยอมแพ้ ?
นางยิ้มอย่างมีความสุขขณะคิด
แล้วเจอกันใหม่
จากนั้น นางหลับตา แต่ ทันใดนนั้นนางต้องลืมตาขึ้นทันที … นางตกใจยิ่งนัก
กวนเซียงฮั่นนางนึกถึงสิ่งที่นางมิอาจเอ่ย
” ข้ามาแล้ว ”
ต่อหน้าความตาย แทนที่จักเอ่ยว่า
“เจอกันใหม่ ”
เหตุใดข้าจึงเอ่ยว่าไว้เจอกันใหม่ ? ข้ามิต้องการทิ้งผู้ใดกัน ?
กวนเซียงฮั่นรู้ว่านางไม่มีเวลาที่จักคิดเรื่องนี้
ทันใดนนั้น นางรู้สึกถึงฝ่ามือเย็นมาสัมผัสที่กลางหลังของนาง จากนั้น นางรู้สึกถึงพลังอันอบอุนแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย พลังงานที่อบอุ่นนี้ดึงสติของนางไว้ ราวกับนางวิงเวียนจากความร้อน แต่จากนั้น นางรู้สึกเหมือนกำลังแช่อยู่ในอ่างน้ำเย็นอย่างรวดเร็ว น่างรู้สึกผ่อนคลายไปถึงกระดูก …
จากนั้น นางรู้สึกว่ามีพลังอันบริสุทธิ์กระจายออกมาจากฝ่ามือนั้น และเริ่มไหลเข้าไปสู่เส้ลมปราณของนาง นางรู้สึกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ชี้ทางให้แก่พลังปราณที่หลังไหลอย่างบ้าคลั่งในเส้นลมปราณของนาง
ปราณที่ไหลอย่างบ้าคลั่งก่อนหน้านี้ แต่มันเริ่มอ่อนลงเมื่อความอบอุ่นนี้มาถึง มันเริ่มไหลไปตามที่พลังนั้นชี้นำไป
มีเสียงรบกวนลั่นในความคิดของกวนเชียงฮั่น และจากนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงเส้นลมปราณที่เปิดกว้างขึ้นอย่างมิอาจมีสิ่งใดเทียบ แม้แต่จิตวิญญาณของนางก็ได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์แก่งใหม่
กวนเซียงฮั่นได้บรรลุไปยังขั้นเชวียนทองด้วยการช่วยเหลือของมือที่อยู่หลังนาง
ครั้งนี้ผู้ที่ช่วยนั้นมิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก คุณชายน้อยแห่งสกุลจวิน จวินโม่เซี่ย
กวนเซียงฮั่นแตกตื่น อาจกล่าวได้ว่านางไร้ประสการณ์ในเรื่องนี้ แต่ จวินโม่เซี่ยรู้ว่ายาที่เขาปรุงมานั้นแข็งแกร่ง แต่มิได้รุนแรง เขาจึงมอบยาหัวใจอสูรเพื่อช่วยในการพัฒนาครั้งนี้ ดังนั้น จึงไม่มีทางที่นางจะได้รับรอยเขี้ยวปิศาจและตาย นางอาจหมดสติไปสองสามวัน แต่ความสามารถของนางจักยังคงเพิ่มพูน แต่ นี่เป็นโอกาสทอง และจวินโม่เซี่ยมิใช่สุภาพบุรุษ เช่นนั้นเข้าจักปล่อยมันไปได้อย่างไร ? สุดท้ายแล้ว ก็ควรจักมีความสุขในกาารช่วยเหลือผู้อื่นตอบแทน !
เขาวางมือบนหลังของนาง มือของเขาห่างจากผิวหนังของนางด้วยเสื้อผ้าสองชั้น แม้นช่วงสาทรฤดูนี้ กวนเซียงฮั่นเป็นยอดฝีมือเชวียนเงิน ดังนั้น นางจึงอดทนต้อความร้อนและเย็นได้ดี เพราะฉนั้น ชัดเจนว่านางจักไม่ใส่เสื้อหลายชั้นเกินไป นั่นจึงเป็นเหตุ นางจึงรู้สึกถึงความอ่อยโยนเมื่อจวินโม่เซี่ยปะทะมือไปยังหลังของนาง นางรู้สึกสบายจนอยากตะโกนหาคนผู้นั้น ….
ตอนที่ 305
ความคิดของคุณชายน้อยจวินที่เดิมทีเต็มไปด้วยความสับสน จากนั้นเข้าจำได้ว่าให้ความช่วยเหลือไป ….
กวนเชียงฮั่นตื่นขึ้นช้าๆ นางรู้สึกร่างกายผ่อนคาย หญิงสาวรู้สึกราวกำลังพุ่งทยานขึ้นสู่ท้องนภา และอดกลั่นความสู้สึกปิติไม่ได้ นางได้บรรลุไปยังขั้นเชวียนทองแล้ว ! นั้นหมายความว่านางมีความแข็งแกร่งมากยิ่ง นางมิต้องการให้ผู้ใดปกป้องอีกต่อไป ตอนนี้มันไร้ประโยชน์
กวนเชียงฮั่นสกัดกั้นความรู้สึกสำราญที่พุ่งพล่านนั้นได้ยากยิ่ง นางตระหนักได้ว่าฝ่ามือที่วางอยู่บนหลัง และส่งผ่านพลังอันอบอุ่นก่อนหน้านี้ได้หยุดลงแล้ว ตอนนี้ … นางยังคงรู้สึกได้ว่าฝ่ามือนั้นยังอยู่บนหลังของนาง
มันเป็นมือที่ อบอุ่น และยิ่งใหญ่ !
ผู้ใดช่วยข้า ? จวินโม่เซี่ยผู้นั้นมิมีตะบะเพียงพอช่วยข้าได้
นางหันหน้าไปมองด้วยความอยากรู้ น่าประหลาดใจนัก นางพบจวินโม่เซี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่หลังนาง … พร้อมดวงตาที่ปิดอยู่ มือของเขายื่นออกมา ฝ่ามือยังคงประทับอยู่บนหลังของนาง …
เป็นไปได้อย่างไรกัน ?
ใช่เขาจริงๆ !
ทันใดนนั้น นางรรู้สึกวินเวียนขึ้นทันที
ตั้งแต่เมื่อใหร่กันที่เจ้าเด็กเหลือขอผู้มีมีตะบะสูงส่งเช่นนี้ ? มันเป็นไปได้หรือ … ?
แต่เขายังคงสงบนิ่ง … เขาจำต้องใช้พลังมากมายเพื่อช่วยในการเพิ่มความแข็งแกร่งของข้า ใช่ไหม ? ไม่แปลกใจเลยที่เขายังไม่ลืมตา มันคงจักเหน็ดเหนื่อยอย่างที่สุด
แต่เมื่อนางคิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่าฝ่ามือที่วางอยู่บนหลังของนางเคลื่อนไหม จากนั้น นางรู้ว่านิ้วทั้งห้าบิดไปมา ทันใดนนั้นเอง นางเริ่มรู้สึกจั๊กจี้
หรือเจ้าเด็กเหลือขอนี่นวดหลังข้า ?
มือของเขาเคลื่อนไหวอีกครั้ง …
นี่ … นี่ … นี่ … เขามิได้ลูบไล้หลังข้าหรือ ?
ร่างของกวนเชียงฮั่นแข็งทื่อขณะที่นางหันหน้าไปมอง ดวงตาของเด็กเหลือของผู้โชคร่ายยังคงปิดอยู่ แต่เขามีใบหน้าที่สุขสันต์ มุมปากของเขาบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มอันหยาบคาย ราวกับใบหน้าที่เผยถึงตันหาในวิญญาณของเขา …
นี่เหมือนกับด้านที่หยาบคาของน้องเขบ แต่ … เขามิได้แกล้งทำเป็นชั่วช้า ?
อย่างไรกัน …
ฝ่ามือนั้นเคลื่อนไหวอีกครั้ง ครั่งนี้…. มันเคลื่อนไหวลงด้านล่าง …
กวนเซียงฮั่นจักปล่อยให้น้องเขยฉวยโอกาสจากนนางได้อย่างไรกัน ?
” เอ๊ะ ! “
นางอุทาน
” ตุบ ! ”
นางตบเขาโดยสัญชาตญาณ จากนั้น นางประทับเท้าอย่างหนักแน่น และเตะออกไป ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย นางมิอาจพบหน้าผู้ใดได้อีก เช่นนั้น นางจึงปิดหน้าและวิ่งหนีไป
ความเร็วของคุณหนูเพิ่มขึ้นเนื่องด้วยการบำเพ็ญของนาง เงาร่างหายเข้าไปในห้อง หัวใจเต้นกระหน่ำราวเสียงกลอง นางมีโทสะ และอับอาย อับอายอย่างรุนแรง ใบหน้าของกวนเชียงฮั่นประหนึ่งผู้ที่เกลียดชัด นางกระทืบเท้าลงบนพื้น มิอาจกลั่นน้ำตามิให้ร่วงหล่นขณะที่นางนั่งอยู่ด้วยความงุนงง จากนั้น นางนอนลงบนเตียง และคลุมโปง เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากแม้นว่านางพยายามที่จักอดกลั้น
จวินโม่เซี่ยสามารถสัมผัสถึงความนุ่มนวลของผิวนางได้แม้ว่าฝ่ามือของเขาจักมิได้สัมผัสถึงมันโดยตรง ความคิดของเขากำลังมึนเมากับสิ่งนี้ ความจริง เขารู้สึกราวริมฝีปากแห้งผาก ดูเหมือนฝ่ามือของเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ราวกับมันเคลื่อนที่ไปด้วยตัวของมันเอง …
ช่างนุ่มนวยิ่งนัก … มันคือสิ่งใดกัน ?
ความคิดของเขาติดอยู่กับการชื่นชม เขามิสนใจถึงการกระทำของร่างกาย เขารู้สึกราวกำลังล่องลอยอยู่ในสายลม ความจริงเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นอำมตะ
จากนั้น จวินโม่เซี่ยสะดุ้งด้วยความกลัวอย่างรวดเร็ว เขากำลังลืมตาขึ้นเมื่อ
” ตุ๊บ ”
เขารู้สึกถึงฝ่ามือที่ปะทะมาที่ใบหน้า เสียงตบนั้นดังอย่างชัดเจน ชัดเจนว่าเขามีโทสะในเรื่องนี้
อะไรกัน ?
เขากำลังจักตอบโต้เมื่อรู้สึกถึงการสัมผัสที่รุนแรงที่ช่องท้อง เขาไม่มีเวลามากพอให้รู้สึกเจ็บปวดเนื่องจากเขาถูกส่งให้ลอยไปราวกับหมอกควัน เขาไถลไปสิบเมตรและชนเข้ากับแปลงดอกไม้
สิบเมตร ! คุณชายน้อยจวินมิได้กลับชาติมาเกิดเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เขามิได้สูง หรือมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ร่างกายของเขานั้นเป็นผู้ที่สมส่วน น้ำหนักของเขาก็เช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุให้การเตะของหญิงสาวนั้นรุนแรงเพียงพอที่จักส่งเขาให้ลอยออกไปได้ !
นางมีพลังมากมายเช่นนี้ด้วยการกินยาหรือ ?
ยานี่ … เจ้ามิควรกินมันโดยไม่คิดไตร่ตรองก่อน ….
และด้วยโชคชะตา … มีหนาวแหลมคมมากมายในแปลงดอกไม้นั้น หนามแหลมคมจำนวนหนึ่งปักเข้าใส่หลังของคุณชายน้อยจวินโม่เซี่ย เขาเริ่มเจ็บปวดไปทุกหนแห่ง และความคิดทั้งหมดหายไปจากหัวของเขา กระโจมที่เคยเกิดขึ้นมาตรงเป้าของเขาได้หายไปแล้ว …
เขาคลานออกมาจากเแปลงดอกไม้ด้วยความงุนงง ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ คุณชายน้อยจวินพยายามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขามิอาจกลั่นความกระวนกระวาย
ข้าเข้าใจว่ามือของข้าเคลื่อนไหวอย่างไม่มีคุณธรรม … และความคิดของข้านั้นผิดศีลธรรม … แต่ข้าพึ่งจะช่วยเจ้า ! แต่กลับได้ผลลัพธ์เช่นนั้น …
ข้าจักเอ่ยเช่นไร ? เจ้าตบตีข้าอย่างไร้จุดประสงค์ได้หรือ ? สิ่งนี้มันไร้เหตุผล ! แม้นว่า ข้าจักทำตัวไม่ดี ….
ยิ่งคุณชายน้อยจวินคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขายิ่งรู้ว่าเขานั้นผิด … และการตบและเตะนั้นเป็นการลงโทษที่เหมาะสม …
ข้ามิอาจอภัยการกระทำของข้าจากเหตุการณ์นี้ได้ !
มันมิน่าหดหู่หรอกหรือ ?
คุณชายน้อยจวิน เงียบไปครู่ใหญ่ เขามอบยาจำนวนหนึ่งให้ปู่ และน้าของเขา เพียงเพื่อให้พวกเขาฉีกเขาเป็นชิ้นๆ จากนั้นจวินโม่เซี่ยมอบยาแก่กวนเชียงฮั่น และช่วยนางเพิ่มพูนตะบะ เขาคิดว่าพี่สะใภ้ที่งดงามของเขาจักชื่นชม … หรืออย่างน้อยก็ทำตัวดีกับเขาหลังจากนั้น ผู้ใดจักคิดว่านางจักเตะเขาที่ท้องเป็นการตอบแทน ?
แต่โชคดีที่นางเตะเขาที่ท้อง จักเกิดอันใดหากนางเตะลงไปยังที่ต่ำกว่านั้น ? นางจักไม่ทำไข่เขาแตกหรือ ?
จวินโม่เซี่ยปาดเหงื่อและหนีไปแบบหางจุกตูด เขาตระหนักได้ว่าเขามิอาจไปยังป่าเถียรฟาได้หากโดนเตะเข้าที่ไข่ เช่นนั้น เขาจึงปิดระหว่างขาด้วยมือ และกระโดดออกจากลานบ้านของนาง
ชื่อเสียงอันเป็นตำนานของข้าจักพังทลาย …
คุณชายน้อยจวินออกคำสั่ง องครักษ์ผู้แข็งแกร่ง สองร้อยห้าสิบสี่ฝึกฝนอย่างแข็งขันที่ลานฝึกสกุลจวิน ไม้สำคัญว่ามันเป็นการฝึกฝนเพื่อเพิ่มทักษะหรือการฝึกฝนเพื่อป้องกัน หรือพวกเขากำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างร้อน ทุกผู้หยุดสิ่งเหล่านั้นทันที พวกเขารีบรวมกับเข้าเป็นสองกลุ่ม และมายืนตามคำสั่งของจวินโม่เซี่ย
ทั้งสองกลุ่มนั้นมีสีหน้าที่มีชีวิตชีวา
” จำได้ไหมในวันที่ข้าเริ่มต้นฝึกฝนเจ้า ข้าบอกเจ้าว่าข้าต้องการเจ้าเพียงสองกลุ่ม ทั้งสองกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด กลุ่มหนึ่งคือ ทำลายสวรรค์ และอีกกลุ่มคือ ดูดกลืนวิญญาณ และ ทั้งสองกลุ่มนี้มิเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาจักเป็นกำลังหลักในกองกำลังของข้า ! ทั้งสองกลุ่ม ทำลายสวรรค์ และดูดกลืนวิญญาณจักช่วยข้าเคลื่อนที่ผ่านได้ทุกดินแดน และ สมาชิกของทั้งสองกลุ่นนี้จักได้รับคัดเลือกจากผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้า และ ผู้ที่ถูกเลือกเหล่านั้นจักกลายเป็นฝันร้ายของทั้งโลก ! พวกเขาจักเป็นขุนศึกชั้นแนวหน้าของดินแดนนี้ ! เขาเขามิมีผู้ใดเทียบได้ ! ”
จวินโม่เซี่ยเดินไปด้านหน้าของเหล่าขุนศึกอย่างผ่อนคลาย มีแววตางที่คมชัด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้าของทหารทุกผู้
ลมหายใจของทุกผู้หนักแน่น ดวงตาของทุกผู้เต็มไปด้วยความปรารถนา
เพื่อที่จักเป็นขุนศึกที่แข็งแกร่งที่สุด ! กลายเป็นฝันร้ายของศัตรู ! นี่คือความปรารถนาสูงสุดของพวกเขา
นี่คือสิ่งที่พวกเขาปรารถนามาทั้งชีวิต !
” ข้ายังบอกอีกว่า เจ้าจักคู่ควรกับมันหรือไม่ … ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ! ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพวกเจ้า ! ข้ามิรู้จักชื่อของพวกเจ้าจนถึงวันนี้ ! อย่างแรก เพราะข้าไม่สนใจจักต้องรู้ !! อย่างที่สอง .. เพราะเจ้ายังไม่สมควรได้รับการยอมรับจากข้า !
จวินโม่เซี่ยเอ่ยช้าลง การพูดที่ช้าลงของเขานั้นมีจังหวะที่ประหลาด ราวกับมีพลังที่กดลงที่ทั่งทั้งพื้นที่ ราวกับเวลากำลังช้าลง
” ข้าจักส่งภารกิจแรกของเจ้าให้หลังจากสี่วัน และ ผู้ที่รอดกลับมาจักได้เป็นสมาชิกของ กลุ่มทำลายสวรรค์และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ ของข้า ! ตั้งแต่นั้น พวกเขาจักได้เดินไปบนเส้นทางแห่งพลัง และการสังหาร ! ชื่อของพวกเขาจักทำให้ทั่วทั้งดินแดนสั่นกลัว ! ”
จวินโม่เซี่ยเพ่งมงไปยังพวกเขา จากนั้น เขาพูดต่อดด้วยเสียงเบา
” แต่ ภารกิจนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ข้าต้องการเพียงขุนศึกที่แข็งแกร่ง เช่นนั้น ภารกิจนี้จะเป็นการเสี่ยงตายอย่างมาก ข้าจักบอกเจ้าว่าภารกิจนี้อันตรายยิ่ง ! อัตราการตายสูงถึง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และ นั่นเป็นเพียงการประมาณการ ดังนั้น ทุกผู้ที่มิต้องการเข้าร่วม … เดินถอยหลังไป ทั้งสกุลและตัวข้า ไม่บังคับเจ้าเพื่อทำสิ่งนี้ เช่นนั้น เจ้าสามารถถอนตัวได้หากต้องการ ไม่ต้องละอายที่จักคิดถึงความปลอดภัยของตัวเจ้า ”
สายลมสาทรฤดูพัดเบา ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว ความจริง ไม่มีผู้ใดกระพริบตา
” นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จักถอนตัว เจ้ามิอาจหันกลับไปได้อีกแล้ว เป็นไปได้ที่ เข้าไปสิบ อาจจะตายทั้งสิบ พวกเขาจักจากไปตลอดการ ! นี่คือโอกาสสุดท้าย ! ”
จวินโม่เซี่ยประกาศไปอย่างเยือกเย็น
ไม่มีผู้ใดขยับแม้แต่น้อย
จวินโม่เซี่ยพยักหน้าแผ่วเบา จากนั้น เขาเอ่ยโหดเหี้ยม
” ผู้ที่ต้องการเข้าร่วม เดินมาข้างหน้า “
” ตึบ ! ”
บุรุษสองร้อยห้าสิบสี่ก้าวขึ้นหน้า พวกเขาออกแรงขณะก้าวขึ้นหน้า ความเป็นระเบียบ พละกำลัง การก้าวของพวกเขาทำให้พื้นสั่นสะเทือน
” ดีมาก ! เก้าในสิบอาจไม่รอบในภารกิจนี้ แต่ ตอนนี้เจ้ามิอาจเสียใจได้แล้ว พวกเขากล่าวว่าผู้ที่ก้าวหน้าแม้นมีปัญหา คือบุรุษเลือดเหล็ก ! ให้ข้าบอกเจ้าบางอย่าง …”
จวินโม่เซี่ยพึมพัมอย่างลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้านับร้อยในแววตา ทุกผู้ตื่นตัว และหลังตรง พวกเขาต้องการฟังวาจาของจวินโม่เซี่ยอย่างตั้งใจ
” การเดินทางของบุรุษมีเพียงเส้นทางเดียว ชื่อเสียง และ ความสง่างามไม่ว่าเป็นหรือตาย … แต่ไม่ถอย !
” เลือดของบุรุษที่แท้จริง ทำมาจากเหล็ก เขาจักไม่ลังเลเมื่อเจอกับอันตราย !
“น้ำตาของบุรุษที่แท้จริงนั้นล้ำค่านัก เขาจักไม่ถอยแม้นเมื่อเจอกับศัตรูมากมายเพียงลำพัง !
” กระดูกของเขาอาจหักได้ เลือดของเขาอาจไหลนอกงราวแม่น้ำ แต่ บุรุษแท้จริงจักยืนหยัด ไม่ถอย ! ”
” บทกวีของบุรุษที่แท้จริงนี้สามารถท่องได้เพียง บุรุษที่แท้จริงเท่านั้น ผู้ที่มิใช่บุรุษที่แท้จริง … มิอาจเข้าได้ได้ “
จวินโม่เซี่ยเอามือไพร่หลัง
” ข้าหวังว่าพี่น้องของข้าทุกคนจักกลายมาเป็น บุรุษที่แท้จริง สุภาพบุรุษ จงก้าวย่างเพื่อกลายเป็นบุรุษที่แท้จริง ! ติดตามข้าในขณะที่ข้ายึดครองโลกอย่างภูมิใจ ! ”
ทั่งหมดเงียบสนิท
สีหน้าของทุกคนดุดัน กวีแห่งบุรุษที่ให้เลือดของทุกคนเดือดพล่าน ราวกับทุกรูขุมขนประทุไปด้วยพละลกำลัง พร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย
มันคือบทกวีที่ยอดเยี่ยม !
การเดินทางของบุรุษที่แท้จริงมีเพียงหนึ่ง ชื่อเสียง และ ความสง่างามไม่ว่าเป็นหรือตาย … แต่ไม่ถอย ! บุรุษสามารถเดินไปเพียงทิศทางเดียวเท่านั้นหากเป้าหมายของพวกเขาชัดเจน และ เขาจะเดินไปตามเส้นทางนั้นตลอดชีวิต บุรุษเช่นนี้มิเคยเสียใจ
เลือดของบุรุษที่แท้จริงนั้นทำจากเหล็ก เขาจักไม่ลังเลเมื่อเจอกับอันตราย ! นี่คือปกติวิสัยของบุรุษที่แท้จริง
น้ำตาของบุรุษที่แท้จริงนั้นล้ำค่า เขาจักไม่ถอยแม้นเมื่อเจอกับศัตรูมากมายเพียงลำพัง ! พระอาทิตย์อาจตก เมื่อสนามรบเต็มไปด้วยซากศพ และทะเลเลือด พันธมิตรอาจจากไป และบุรุษที่แท้จริงจักเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายแม้นมีร้อยรอยบาดแผล มันจักเป็นฉากที่น่าเศร้า แต่ บุรุษที่แท้จริงจักล่าถอยได้อย่างไร ?
กระดูของเขาอาจถูกหัก เลือดของเขาอาจไหลนอกงราวแม่น้ำ แต่บุรุษที่แท้จริงจักยืนหยัด ไม่ถอย ! นั้นคือบุรุษที่แท้จริง !
ผู้นำกลุ่มทั้งสองนำกลุ่มของพวกเขาเดินผ่านด้านหน้าของจวินโม่เซี่ย พวกเขารับยา กำมือ และ เดินไป
บุรุษสองร้อยห้าสิสี่รับยาของพวกเขาเพียงชั่วอึดใจ จากนั้น พวกเขาจัดระเบียบตัวเอง
” ยาเหล่านี้เป็นสิ่งหายาก และเป็นตำนาน ! คุณชายน้อยผู้นี้ได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย และใช้เงินมากมายเพื่อปรุงยาเหล่านี้ และตอนนี้ พวกเจ้าแต่ละคนได้รับส่วนแบ่งในมือ ยาเหล่านี้จักเพิ่มพูนพลังปราณเชวียนของเขาเทียบเท่าสิบปี สุภาพบุรุษ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง ! ”
จวินโม่เซี่ยเอ่ยด้วยทีท่าจริงจังขณะเขาเอามือไขว้หลัง
ทุกผู้ประหลาดใจ ผู้คนเคยได้ยินถึงตัวยาหากยากและล้ำค่ามากมายทั่วทั้งดินแดนเชวียนเชวียน ดั่งเช่น … โสมพันปี เห็ด และผักไผ่ … ยาเหล่านี้สามารถเพิ่มความก้าวหน้าของแต่ละคนใด แต่ มิเคยมีข่าวของยากที่สามารถเพิ่มปราณเชวียนได้มากมายเช่นนี้ และ คุณชายน้อยผู้นี้มิเพียงปรุ่งยาล้ำค่า .. แต่เขายังยังมอบมันให้แก่ผู้อื่น !
ทุกผู้ประทับใจกับสิ่งนี้
บุรุษมอบชีวิตไว้กับสหาย
และเข้าจักทำเช่นนั้นโดยไม่เอ่ยวาจา …
ผู้นำทั้งสองออกคำสั่ง และทั่งสองร้อยห้าสิบสี่ก็ทำตาม พวกเขาเรียงแถวแยกจากสหายสามเมตร จากนั้น พวกเขาเงยหน้า และกลืนยาสามเม็ดลงไป หลังจากนั้น พวกเขานั่งขัดสมาธิ และมุ่งสมาธิไปยังจุกดันเถียน เพื่อดูดกลืนปราณเชวียนจากยา
จวินโม่เซี่ยยืนตรงหน้าพวกเขาด้วยท่าทางผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม เขาซ่อนมีดบินไว้ในมือเพื่อป้องกันไว้ก่อน ตอนนี้เขาอยู่ในบ้านของตัวเอง แต่เขาจำต้องระมัดระวังในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
บุรุษมากกว่าสองร้อยพัฒนาการบำเพ็ญพร้อมกัน สิ่งนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน !
ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงต้องระวังเป็นพิเศษ
หอคอยตั้งอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ฝึกฝน จวินวูอี้เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นจากด้านข้าง เขายิ้มและพึมพัม
“ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กเหลือของผู้นี้เก็บไว้กับตัวมากมาย และข้าถูก ! การเพิ่มความสามารถทหารสองร้อยห้าสิบสี่คนพร้อมๆกัน … เป็นสิ่งที่อัศจรรย์นัก ….”
ปู่จวินคำรามทาจมูก
” โม่เซี่ยควรใช้ยาเหล่านั้น แต่เขามิควรใช้มันอย่างขาดการพิจารณา สถานการณ์เลวร้ายสามารถเกิดขึ้นได้ หากข่าวของเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป คนธรรมดามิจำเป็นต้องซ่อนหลังกำแพง แต่ยาเหล่านี้สามารถทำให้สกุลจวินของข้าได้รับการสาปแช่งไปชั่วกัปช่วยกัน วูอี้ เราจักต้องระวังเป็นอย่างมา ! เป็นการดีที่จักฝังยาเหล่านี้ไว้ในดิน หากที่มาของพวกมันถูกเปิดโปง ! ข้าจักไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดกับจวินโม่เซี่ย ! เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “
” ข้าเข้าใจ ”
จวินวูอี้พยักหน้าล้ำลึก และเอ่ย
“ยาที่ล่อตาล่อใจนั้นสามารถทำให้สกุลจวินมีเคราะห์ร้าย พวกเรามิควรเสี่ยงหากมีวี่แววของปัญหา จักเป็นการดีที่จักทิ้งโอกาสนี้มากกว่ายอมเสี่ยง ”
” ดี ! ”
ปู่จวินมองไปยังหลานของเขา ความรักใคร่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะที่เอ่ยต่อ
” เวลาในการใช้ยาเหล่านี้ก็ควรแม่นยำเช่นกัน และผู้ที่ได้รับผลจากมันมิควรรู้ว่ามันเกิดจากยา เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันจักเป็นเช่นไร ? “
จวินวูอี้พยักหน้าเบาๆ
” ร่างกายของข้าพิการมานับสิบปี แต่สมองข้ามิได้เสื่อมถอย ข้าบังเอิญพัฒนาวิธีการเพิ่มการบำเพ็ญของข้า ข้าแค่ขอให้เขาใช้วิธีเดียวกัน เพียงเท่านั้น ”
จวินจ้านเเทียนหรี่ตาลง
” แล้ว เจ้าทำให้ตัวเจ้าเสี่ยง ? “
คุณชายสามจวินยิ้มเงียบๆ และเยือกเย็น
” สบายใจได้ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าอันใดจักเกิดขึ้นต่อไป แต่ จักไม่มีผู้ใดมองไปที่ตัวจวินโม่เซี่ยในเรื่องนี้ ”
” เจ้าจำต้องระวังอย่างมาก ! ”
ปู่จวินพยักหน้า และไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ จากนั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงอันเยือกเย็น ในที่สุด เขาเอ่ยด้วยท่าทางสง่างาม
” ข้าต้องการข้อมูลของทั้งสองร้อยห้าสิบสี่คนนี้ ! ข้าต้องการรู้ถึงประสบการณ์ของพวกเขา และผู้ที่ติดต่อกับพวกเขา ข้าต้องการรู้ถึงเพื่อน สกุล และทุกผู้ที่พวกเขาอาจติดต่อด้วย เพื่อนบ้าน ..หรือคนรัก … แม้แต่โสเภณี่ที่พวกเขาอาจมีสัมพันธ์ ! เจ้าต้องกำจัดผู้ใดก็ตามที่ต้องสงสัย แม้นว่าการกระทำของเราจักไม่ยุติธรรม .. เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “
” ขอรับ ! ”
จวินจ้านเทียนออกคำสั่งอย่างแน่วแน่และเข้มแข็ง ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นวาจาดั่งคำสั่งของทหาร โดยเฉพาะเมื่อเขาเอ่ยประโยคสุดท้าย
” แม้นว่าการกระทำของเราจักไร้ความยุติธรรม ”
เขาตัดสินใจออกคำสั่งสังหาร เช่นนั้น จวินวูอี้จึงเอ่ยตอยอย่างเข้มขรึมประหนึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับคำสั่ง จวินวูอี้เอ่ยตอบเพียงคำเดียว แต่ ทั้งสองเข้าใจว่า คำสั่งนี้เทียบเท่ากับระเบียบทางารทหาร !
จวินจ้านเเทียนรู้ว่าจักมีการเคลื่อนไหมเมื่อข่าวยาของจวินโม่เซี่ยถูกเผยแพร่ออกไป เขารู้ว่ามันอาจก่อให้เกิดการตื่นตัว และจากนำพาปัญหามาได้ เช่นนั้น ปู่จวินจึงวางแผนเพื่อจัดการกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้
เขาเสี่ยเพื่อความปลอดภัยของหลานชาย !
เช่นกันกับ คุณชายจวินสามที่เดิมพันทุกสิ่งเพื่อความปลอดภัยของหลานชาย เขาเสี่ยงแม้กระทั้งตัวเอง
ทหารที่รับยาเข้าไปกำลังแสดงปฏิกริยา
พวกเขาบางคนอยู่ในระดับเชวียนทอง พวกเขาสามารถดูดกลืนเชวยีนบริสุทธิได้อย่างง่ายดาย และ สามารถดูดกลืนมันได้อย่างเหมาะสม แต่ มากกว่า เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแสนสาหัส พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเนื่องจากขั้นเชวียนเงินของพวกเขานั้นไม่เพียงพอที่จักอดทนต่อผลจากยา กล้ามเนื้อและเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างแข็งแกร่ง ผิวของพวกเขาเริ่มริบหรี่ด้วยเส้นแสง เนื่องจากปราณเชวียน เชวียนเงินปั่นป่วนอยู่ภายใน พวกเขาอยู่ในขั้นเชวียนเงิน แต่ร่างกายนั้นไม่แข็งแกร่ง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกเว้นเพียงต้องอดทนความเจ็บปวดแสนสาหัสจากปราณเชวียนบริสุทธิ์ที่ระเบิดออกมา
อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องพยุงตัวเองให้ผ่านการทดสอบนี้ พวกเขาจักได้เรียนรู้มากมายหากพวกเขาสามารถกระทำสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้จักช่วยพวกเขาอย่างยิ่งในการก้าวหน้าในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจักมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น และได้ฝึกฝนวินัย
มีเพียงไม่กี่คนที่การบำเพ็ญนั้นอ่อนแก่กว่าผู้อื่น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีที่เหมือนเลือด ความจริง มันดูราวกับเลือดของพวกเขาซึมออกมา สีหน้าของพวกเขามืดมนและบิดเบี้ยว นั้นเพียงพอที่จักอธิบายถึงความเจ็บปวดมหาศาลที่พวกเขาได้รับ
ตะบะเชวียนมีขั้นต่างๆ และ ผู้คนต้องฝ่าด่านต่างๆเพื่อก้าวหน้า อย่างเช่น ยอดฝีมือเชวียนเงินจักบรรลุไปยังขึ้นเชวียนทอง และยอดฝีมือเชวียนทองจักบรรลุไปยังขั้นเชวียนหยกเป็นต้น การบรรลุต่างๆนั้นเป็นไปตามธรรมาชาติ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความแตกต่างในความแข็งแกร่งของคนสองคน แม้นว่าพวกเขาจักอยู่ในขั้นเดียวกัน อย่างเช่น ทหารส่วนใหญ่นี้อยู่ในขั้นเชวียนเงินในตอนนี้ แต่ การฝึกฝนของเขานั้นยังไม่ล้ำลึกนัก เช่นนั้น พวกเขาส่วนใหญ่ก็มิอาจเทียบกวนเชียงฮั่นได้
สกุลของกวนเชียงฮั่นนั้นมิได้ทรงพลัง แต่นางได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสมตั้งแต่เด็ก ดังนั้น นางจึงสามารถบรรลุไปได้หลังจากที่ได้รับยาสามเม็ด ความจริง นางสามารถทำสำเร็จได้โดยไม่ต้องถึงพาความช่วยเหลือของจวินโม่เซี่ย นางเพียงแค่อ่อนแรง เท่านั้น
อย่างไรก็ตม ทหารที่แข็งแกร่งเหล่านี้แตกต่างจากนาง การฝึกฝนเชวียนของพวกเขายังไม่เพียงพอ จึงเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จักควบคุมการบำเพ็ญสิบปีอันล้ำค่า เนื่องจากพวกเขาไม่เหมือนกวนเชียงฮั่น ความจริง มีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาอาจไม่เห็นการพัฒนาไปตลอดชีวิตหากพวกเขาล้มเหลวในการดูดกลืน การบำเพ็ญสิบปีอันล้ำค่านี้
โชคดี ที่พวกเขาได้ผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายของจวินโม่เซี่ย และ ความแน่วแน่นั้นเป็นเลิศเกินกว่าคนธรรมดา ดังนั้น พวกเขาจึงอดทนต่อความเจ็บปวดแม้นว่ามันมิอาจทนได้ ความจริงแล้ว ในหมู่พวกเขาไม่มีคนใดกรีดร้อง … หรือปลดปล่อยเสียงใดออกมาจากลำคอเลย แต่ พวกเขาขบฟัน และเสียงของการขบฟันนั้นดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ไม่มีแม้เพียงเสียงครวญครางที่เจ็บปวด มีเพียงเสียงขอบฟัน
เสียงของปู่จวินเริ่มสง่า ขณะที่เขาเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
” ไม่คาดฝัน ทั้งสองร้อยสี่สิบห้าคนนั้นคือบุรุษเลือดเหล็กจริงๆ กระดูกของพวกเขานั้นยอดเยี่ยมและแข็งแกร่ง พวกเขาทำให้หัวใจของอาวุโสผู้นี้เต้นแรง ! ”
จวินวูอี้ยิ้ม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม
ในที่สุด … แสงสีเงินที่ปส่องประกายรอบร่างของคนผู้หนึ่งเริ่มลดลง จากนั้นมันเปลี่ยนเป็นแสงสีทอง แสงสีทองเหล่านั้นอาจไม่เจิดจ้า แต่มันมั่นคง เขาได้ผ่านการทดสอบอันทารุณ และได้บรรลุไปยังขั้นเชวียนทอง
ตามมาด้วยคนที่สอง … คนที่สาม …
แสงสีทองกระพริบอย่างต่อเนื่องเมื่อมีหลายสิบคนบรรลุไปยังขั้นเชวียนทองไม่หยุดหย่อน พวกเขาพึงพอใจอย่างยิ่งหลังจากได้ผ่านการพัฒนาอันเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ยังไม่ยืนขึ้นในทันที พวกเขาหลับตา และยังคงหายใจเชื่องช้าต่อไป พวกเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากความอดทน พวกเขาไม่เคยรู้สึกแข็งแกร่งมามายเช่นนี้ พวกเขาเริ่มเคลื่อปราณเชวียนไปตามเส้นลมปราณอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงนี้
ในขณะที่ แสงสีเงินยังคงกระพริบอย่างต่อเนื่อง ความจริง ความกระจ่างของพวกเขาจักเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทั่วทั้งลานฝึกของสกุลจวินเริ่มอาบไปด้วยแสดงสีเงินเนื่องจาก คนมากกว่าสองร้อยได้ปลอดปล่อยแสงสว่างออกมา แสงสว่างแหล่านี้เกือบทำให้คู่พ่อลูกบนหอคอยตาบอด
” เชวียนเงินคือผู้ที่อ่อนแอที่สุด พวกเขาส่วนใหญ่เป็นยอดฝีเมือเชวียนเงินสูงสุด ! พวกเขาบางคนได้ก้าวไปสู่เชวียนทอง และสี่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นอยู่ในขั้นเชวียนทองสูงสุด ! ”
ปู่จวินอ้าปากค้าง
” หากกองกำลังเหล่านี้ถูกส่งออกไปยังสนามรบ … ”
” พวกเขาจะไม่ถูกส่งไปยังสนามรบ พวกเขามิใช่ทหารธรรมดาอีกต่อไปแล้ว ”
จวินวูอี้เอ่ยขึ้นไม่รีบร้อน
” พวกเขาจักต่อสู้เพื่อจวินโม่เซี่ยเท่านั้น และ การส่งพวกเขาไปสนามรบนั้นไร้ค่า ข้าไม่ยอมรับในการไร้ค่านั้น …
” โม่เซี่ยเคยเอ่ยว่า ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาคือยอดฝีมือปฐพีเชวียนสูงสุด ข้าคิดว่าเขาเพียงแค่ปากเก่ง .. แต่ตอนนี้ ข้าไม่คิดว่ามันจักเป็นไปไม่ได้ .. สามเดือนก่อน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือยอดฝีมืออันดับแปด สิ่งนี้น่าประหลาดใจอย่างแท้จริง มันเป็นการขัดต่อลิขิตสวรรค์ !”
จวินวูอี้เอ่ยเชื่องช้า แสงแห่งความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแวววตาของเขา
” ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือยอดฝีมือปฐพีเชวียนสูงสุด … ? นั่นมิได้หมายความว่า … พวกเรามียอดฝีมือสวรรค์เชวียนราวสองร้อย … ? แม้ นครพายุหิมะสีเงินและ คฤหัสน์ฉือฮั่น ก็มิอาจต่อต้านข้า … แม้ว่าพวกเขาจักจับมือกัน … พระเจ้า … ”
ปู่จวินยังคงเงียบ เขาลูบเครา และกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินวาจานี้ ความจริง เขาบังเอิญดึงเคราของเขาออาจากจำนวนหนึ่ง .. และไม่รู้ตัวเลย
นี่เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึง !
ตอนที่ 306
ทหารทั้งสองร้อยห้าสิบสี่ผ่านการบรรลุ โดยไร้ซึ่งผู้ที่ล้มเหลว จากนั้น พวกเขาลุกขึ้นจากพื้น และรีบจัดระเบียบแถวอย่างรวดเร็ว พวกเขามองจวอนโม่เซี่ยด้วยแววตาซาบซึ้ง… และ คลั่งไคร้ …
“ปั้ง! ”
ผู้คนสองร้อยห้าสิบสี่คุกเข่าลง และเอาหัวโขกพื้น เสียงที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพวกเขาดังสนั่นและก้องสะท้อนไปทุกทิศทาง
” ขอบคุณคุณชายน้อย ! ”
บุรุษกว่าสองร้อยคำรามขึ้นพร้อมเพรียง
” ข้าจักให้เวลาเจ้าสองวัน ใช้การฝึกฝนตามปกติเพื่อปรับร่างกายของพวกเจ้า ข้าต้องการให้ทุกผู้ผสานรูปแบบของตัวเองกับปราณเชวียนที่เปลี่ยนไป และ ในเช้าวันที่สาม เจ้าจักได้ไปยังคลังสรรพาวุธและรับอาวุธของพวกเจ้า ! ”
จากนั้น จวินโม่เซี่ยพยักหน้าเชื่องช้า และเอ่ยต่อ
” ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้จักต้องเป็นความลับยิ่งยวด ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาติให้เปิดเผยแก่ผู้อื่น พวกเจ้าทั้งหมดจักต้องรับผิดชอบร่วมกัน …หากมีการรั่วไหล ! ”
” ขอรับ ! ผู้ใต้บัญชาของท่านขอตายเสียดีกว่าเปิดเผย ! ”
ปู่จวินยังคงอยู่บนยอดหอคอย มีความวิตกกังวลอยู่ในแววตาของเขา
” กลุยุธของจวินโม่เซี่ยนั้นเพียงพอให้เป็นผู้นำที่น่าหลงไหล เขามีเกียรติ และเขา มีความอัฉริยะที่จำเป็น แต่ ข้าไม่คิดว่าเขาเหมาะจะเป็นผู้นำกองทหาร ”
” เหตุใด ? ท่านพ่อ โม่เซี่ยนำกองกำลังของเขาโดยการให้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง วินัยที่เข้มงวดของเขาทำให้เกิดผลลัพธ์ชั้นเลิศนี้ ความเป็นผู้นำของเขาได้เปลี่ยนกองหทารนี้ให้เป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยม … เหตุใด เขาจึงไม่เหมาะจักเป็นผู้นำกองกำลัง ? “
จวินวูอี้สับสน
” เขามีความคิดที่ดุร้าย! ”
ปู่จวินคำรามทางจมูก จากนั้นถอนใจ ดูเหมือนว่าเขากำลังมองไปยังยิ่งสิ่งที่ยอดเยี่ยม … เว้นแต่มีข้อเสียหนึ่งข้อ ” เขาเหมาะที่จักนำพากองกำลังพิเศษ มิใช่กองกำลังธรรมดา วาจาที่เขาเอ่ยนั้นเป็นเพียงการข่มขู่ปกติ แต่เมื่อคิดถึงวาจาสุดท้าย
“พวกเจ้าจักต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากมีการรั่วไหล ! ”
ปู่จวินถอนใจอีกครั้ง
” โม่เซี่ยไม่ลังเลเมื่อเขาเอ่ยวาจากที่น่าหาดดกลัวนี้ ไร้ซึ่งอารมณ์ในนั้นเสียงของเขา เมื่อข้าได้ยินวาจานี้ … ข้ารู้ว่าโม่เซี่ยจักทำตามสิ่งนั้น หากทหารของเขาล้ำเส้นและแพร่งพรายความลับ และ ข้าจักทำมันกับทุกผู้…. ”
” นั่น คงมิได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ? หากเขาสามารถฝึกฝนคนเหล่านี้ … เขาก็สามารถฝึกฝนผู้อื่น ”
จวินวูอี้ไม่เห็นด้วย
” ท่านพ่อ ท่านและข้ารู้ดีว่าวินัยเป็นสิ่งสำคัญ และ สิ่งต่างๆจักโหดร้ายและเจ็บปวดเมื่อถึงเวลา แต่การรักษาความสงบนั้นสำคัญที่สุด พวกเราจักใจอ่อนในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ? นี่สิ่งสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ ”
” นั่นจึงเป็นเหตุที่เจ้าเป็นเพียงผู้บัญชาการ แต่เจ้ามิอาจเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ ”
จวินจ้านเทียนถอนใจ
” ผู้บัญชาการจักมีเพียงทหารจำนวนหนึ่งภายใต้บัญชาการ และเจ้า สามารถปรับใช้งานพวกเขาได้ตามสถานการณ์ ทหารหยิบมือสามารถติดตามเจ้าไปได้ตามประสงค์ เนื่องจากพวกเขาได้รับการฝึกฝนและเข้าใจสิ่งต่างๆ เช่นนั้น พวกเขาจักไม่เป็นปัญหา ทหารส่วนตัวของเจ้า และกลุ่มคนของโม่เซี่ยเป็นตัวอย่างนี้ได้ แต่ ทหารเพียงหยิบมือนี้ เป็นเพียงส่วนเล็กๆในกองทัพ … มีทหารอยู่นับแสนคนภายใต้การบัญชาของผู้บัญชการสูงสุด และ มันเป็นเรื่องสำคัญของผู้บัญชาการสูงสุดที่จักต้องควบคุมสถานการณ์โดยรวม แต่ .. หากเจ้ากระทำหยาบคายต่อพวกเขา… ข้ากลัวว่าเจ้าจักนำเคราะห์ร้ายมาสู่กองทัพของเจ้า
” ความขัดแย้งและแตกแยกเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยง เมื่อกองทหารรวมเข้าด้วยกัน เนื่องจากทหารเหล่านี้เต็มไปด้วยบุรุษเลือดร้อน เจ้าอาจมีข้อพิพาทนับร้อยภายในคืนเดียวเมื่อเหล่าทหารมารวมตัวกัน ตอนนี้ หากเราปฏิบัติตามแนวทางของเจ้าและโม่เซี่ย … เจ้าจักทำให้พวกเขาทั้งหมดโดยตัดหัว ”
จวินจ้านเทียนถอนใจ
” ผู้บัญชาการต้องเข้มงวดและยุติธรรม แต่ผู้บัญชาการสูงสุดจำต้องรับฟังความเห็นต่าง การเป็นผู้บัญชาการ และผู้บัญชาการสูงสุดนั้นไม่เหมือนกัน
” เจ้านั้นหัวแข็งมาก และโม่เซี่ยนั้นโหดเหี้ยมยิ่ง นั่นคือจุดแข็งของเจ้า… แต่เจ้าก็ยังมีข้อบกพร่อง ”
จวินจ้านเเทียนเอ่ยด้วยท่าทีล้ำลึก
” จวินโม่เซี่ยอำมหิตยิ่ง แต่ก็เพียงพอจักปกป้องตัวเขาได้ แต่ เจ้ายังคงเจ้าสามารถสูญเสียได้เนื่องจากเจ้านั้นเด็ดเดี่ยวเกินไป นี่คือความแตกต่างอย่างชัดเจนของเจ้าทั้งสอง ”
จวินวูอี้ยืนนิ่ง เขาครุ่นคิดไปตามวาจาของพ่อของเจ้า และยังคงไร้อารมณ์เป็นเวลานาน
การฝึกฝนที่โหดร้ายเริ่มขึ้นในลานฝึก แต่ ความรุนแรงของการฝึกฝนนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากแต่ก่อน
จวินโม่เซี่ยกลับไปยังลานบ้านของเขา และสูดหายใจยาว เขาเพิ่มความสามารถของทุกคน ตอนนี้ ผู้ที่เหลืออยู่มีเพียงตัวเขา เขาปรุงยาเหล่านั้น แต่ยังมิได้ลองกับตัวเอง
ข้ายังคเพียงอยู่ในขั้นหยกเชวียนกลาง เช่นนี้ ยาตัวใดที่จักให้ผลที่ดีกัน ?
จวินโม่เซี่ยไม่มันใจ แต่ เขาก็รู้ว่าผลบวกอันใดที่สามารถสร้างประโยชน์ได้มาก
ดังนั้น เขาจึงมิได้ลังเลขณะกลืนยาทศวรรษลงไป
อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยมิได้กินยาหัวใจอสูร
ยาหัวใจอสูรนั้นเชื่อถือได้มาก แต่นี่เป็นโอกาสที่เขาจัดได้ฝึกฝนตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ยานี้มีผลกระทบด้านลบอย่างมากต่อจิตวิญญาณ
จวินโม่เซี่ยรู้สึกถึงปราณเชวียนมากมายที่หลั่งไหลอยู่ในจุดดันเถียร เขาปิติยิ่งนัก
เป็นประโยชน์ยิ่ง …
ขณะที่ความคิดของเขาสงบลง เขาก็ตระหนักบางสิ่งได้ …
ข้าลืมบางสิ่ง เขากระตุ้น เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ และ เส้นลมปราณของเขาเต็มไปด้วยคลื่นลมปราณ
พระบรมราชโองการ ถูกเผยแพร่ออกมาในวันต่อมา เป็นดั่งคาด มีการแต่งตั้งจวินวูอี้ให้เป็นผู้บัญชาการของกองทัพที่จักเดินทางไปยัง ป่าเถียนฟา เขานำทัพทหารสองหมื่น กองทัพเรียกรวมพลในวันต่อมา และเดินทางมุ่งหน้าไปยัง ป่าเถียนฟา ทุกสกุลสูงส่งต่างให้ความช่วยเหลือในการจัดการกับการปฏิวัติของสัตว์เชวียน
นอกจากจวินวูอี้ … องค์จักพรรดิเอ่ยถึงรายชื่อจำนวนหนึ่งที่เป็นสมาชิกสุกลสูงส่งเช่นกัน ชื่อของจวินโม่เซี่ยนั้นเด่นอยู่ในหมู่รายชื่อนั้น ผู้คนจากสกุลเมิ่งจำนวนหนึ่งก็ถูกเอ่ยถึงเช่นกัน สกุลมูล่งได้ส่ง มูล่งเจียนจวิน และ มูล่งเจี้ยนลี่มา สกุลตู่กู้ ส่ง บุรุษและตำนาน ทั้งสามไป และ แม้แต่สกุลซ้งก็ได้ส่งคนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมด้วย
อย่างก็ก็ตาม ที่ไม่เป็นตามคาดของจวินโม่เซี่ยนั้นคือ … ชื่อของ ลี่โย่วหลานมิได้ปรากฏในรายชื่อนี้ หรือให้กล่าวอีกอยาง ลี่โย่วหลานมิได้เดินทางไปยัง ป่าเถียนฟา
เหตุใดพระองค์จึงเก็บบุคคลอันตรายเช่นนั้นไว้ในเมืองหลวงนี้ ? ลี่โย่วหลานนั้นทะเยอะทะยาน และ จวินโม่เซี่ยมิรู้ว่าองค์จักรพรรดิจะไม่ล่วงรู้ แต่มันเป็นปัญหาสำหรับจวินโม่เซี่ยเนื่องจากองค์จักรพรรดิตัดสินพระทัยเก็บ ลี่โย่วหลานไว้… แม้นจะรู้ถึงความทะเยอทะยานของเขา
รายชื่อนี้มีชื่อของ คุณชายน้อยจากทุกสกุลสูงส่งอย่างน้อยหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งเพื่อปกป้องเชื้อสายของพวกเขา ราชโองการขององค์จักรพรรดิมิได้อเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ทุกสกุลทรงพลังจักส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งของพวกเขาไปด้วย
จวินวูอี้มุ่งหน้าไปยัง ผู้บัญชาการทัพบกเพื่อทำตามธรรมเนียมเมื่อเขาได้รับฏีกาองค์จักรพรรดิ องค์จักพรรดิต้องการให้เหล่าทหารเคลื่อพลภายในสองวัน แต่มันจักสำเร็จในเวลาอันสั้นนี้ได้อย่างไร ? จำต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าวันเพื่อเตรียมการ
กองกำลังยังมิได้เคลื่อนพล แต่เสบียงก็ล่วงหน้าไปแล้ว
จวินจ้านเเทียน แม่ทัพสูงสุด มุ่งหน้าไปยังทุกเมืองดั่งพายุเพื่อเตรียมการ และมอบหมายหน้าที่ให้ทุกคน กรมงานสาธารณะ กรมการภาษี กรมกะลาโหมร่วมมือกัน พวกเขาดำเนินงานอย่างรวดเร็ว และทำให้ทุกสิ่งที่ช่วยในการเดินทัพนั้นสำเร็จภายในเวลาหนึ่งวัน
ความสามารถเรื่องการจัดการเวลานอาจทำให้ทุกผู้งุนงง
กองทัพที่ผ่านการศึกมาแล้วก็เช่นกัน แต่ ผู้ใดกันจักเดินทางไปทั่วเพื่อเตรียมการโดยไม่ทิ้งความวุ่นวายเอาไว้เบื้องหลังกัน ในความจริง กองทัพจะออกเดินทางแล้ว แต่เสบียงยังไม่พร้อม สะเบียงของกองทัพจักล่าช้าเสมอ มันยากที่จักเปรียบเทียบสิ่งนี้กับสิ่งใดก็ตาม …
อย่างไรก็ตาม ไร้ผู้ใดปฏิเสธที่จักทำตามในเวลานี้
จวินวูอี้คือผู้ใด ? จวินวูอี้เพิ่งปลดประจำการเมื่อไม่นาน แต่เขายังได้รับการยกย่องว่าเป็นขุนพลในตำนานของอาณาจักรเทียนเชียง เป็นเวลากว่าทศวรรษ แต่ขุนพลเลือดเหล็กผู้นี้ยังคงเป็นที่รู้จัก
และ เขาละจากการเกษียรเพื่อศึกนี้ เช่นนั้น ทั้งกองทัพจึงเฉลิมฉลอง สหายเก่าของเขา และผู้ใดบังคับบัญชาต่างกระตือรือล้น ไม่สำคัญว่าหน่วยงานใดอยู่ภายใต้การควบคุมของสกุลตู่กู้หรือสกุลจวิน …
จวินวูอี้จักได้รับไฟเขียวจากทุกที่ ไม่มีผู้ใดอาจหาญคัดค้าน … ไม่ว่าจักเป็นฝ่านพลเรือน หรือฝ่ายเสนาธิการ!
ทหารและเหล่าเจ้าหน้าที่ในกองทหารเริ่มภาวนา พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพที่มีขุนพลผู้เป็นตำนานเป็นผู้นำ พวกเขาหวังว่าจักถูกชี้นิ้วใส่และเลือกพวกเขาให้ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพ
กองทัพยังมิได้เริ่มเดินขบวน หากแต่ทุกผู้มีขวัญกำลังใจเปี่ยมล้น
ภายในพระราชวัง
” เจ้าคิดว่ามิแปลกหรือที่ข้าส่งจวินโม่เซี่ยไป แต่เก็บลี่โย่วหลานไว้ ? “
องค์จักรพรรดิยังไม่เดินหมาก พระองค์จิบชา ขณะที่พระพักต์ปกคลุมด้วยพระสลวง
” พะยะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจวินโม่เซี่ยไร้ความทะเยอทะยานอันใด ในขณะที่ ลี่โย่วหลานมีความทะเยอะทะยานอย่างแจ่มชัด เช่นนั้น กระหม่อม มิอาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดพระองค์ส่งจวินโม่เซี่ยไปและเก็บลี่โย่วหลานไว้ ”
ขุนนางเหวินนั่งอยู่ตรงข้ามพระองค์ เขาถามด้วยความสับสน
” ลี่โย่วหลานมีจุดอ่อนบางอย่าง เขานั้นควบคุมได้ง่าย เขามิอาจทำสิ่งใดเมื่ออยู่ภายใต้สายตาของข้า และข้าต้องการเห็นว่าคนผู้นี้สามารถเป็นประโยชน์กับข้าได้ เช่นนั้น ข้าจึงเก็บเขาไว้เพื่อที่จะเฝ้าดูเขาอย่างระมัดระวัง “
องค์จักรพรรดิแย้มสลวงอ่อน
” สำหรับจวินโม่เซี่ย … เขานั้นไร้ซึ่งความปราถนา เขาจักไปหากเจ้าขอให้เขาไป และเขาจักอยู่หากเจ้าขอให้เขาอยู่ เขาเป็นดั่งควันล่องลอย แต่ เขานั้นมิอาจเป็นผู้ที่มิอาจถูกควบคุมได้ เช่นนั้น ข้าจึงส่งเขาไปยังการปฏิวัติของสัตว์เชวียน ไม่ว่าเขาจักรอดหรือตาย … มันขึ้นอยู่กับเขา ”
” กระหม่อมยังไม่เข้าใจ หากเขาเป็นดั่งหมอดควัน … เหตุใดต้อง … “
ขุนนางเหวินขมวดคิ้ว
” หมอกควันมันเป็นที่กังวลเมื่อมันอยู่เพียงลำพัง แต่ หมอกควันสามารถสร้างหายนะได้เมื่อมันมีบางอย่างหนุนหลัง ”
ประกายแสงเยือกเย็นพาดผ่านสายพระเนตร เมื่อพระองค์ถอนพระทัย
” ปัญญานุภาพอาจทำให้โลกาสั่นคลอน แต่อำนามอันยิ่งใหญ่สามารถนำพาปัญหา ”
ขุนนางเหวินนิ่งเงียบ
” มีความเคลื่อนไหวอันใดของลูกชายรองของข้าหรือไม่ ? “
องค์จักรพรรดิทรงแย้มสลวงมีเลศนัย
“พะยะคะ หน้าไม้จักมาถึงชาญเมืองทางใต้ในเช้าวันที่สี่ ”
ขุนนางเหวิน ถอนใจอย่างมีเลศนัยเมื่อเขาเอ่ย
” ดีมาก ข้าต้องต้องการให้หน้าไม้ติดอยู่ที่อื่น ”
องค์จักพรรดิวางพระหัตลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา นิ้วพระหัตถ์กางออก พระองค์ทอดพระเนตรไปยังนิ้ว ราวกับชื่นชมความสมบูรณ์แบบของมัน
” พระองค์ทรงสบายพระทัย ”
ขุนนางเหวินเอ่ยตอบ
” และด้วยเหตุนี้ .. เหตุใดพระองค์จึงไม่ถ่ายทอดราชโองการ ”
” หากเป็นการกระทำของลูกชายรองของข้า ข้าก็ไร้ทางเลือกหากแต่ต้องทำลายเขา ”
องค์จักรพรรดิแย้มสลวงเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรออกไปไกล ในที่สุดพระองค์พึมพัมกับตัวพระองค์เอง
” มิสำคัญว่าผู้ใดนั่งอยู่ในท้องพระโรง ในโรงโสเภณี หรือทีใดก็ตามในดินแดนนี้ … การกระทำนี้อาจทำให้ทุกผู้สั่นคลอน คลื่นใต้น้ำแรงขึ้นในทุกทิศทาง พวกเรามิอาจทนต่อการสั่นไหวนี้ได้ ”
ขุนนางเหวินมองต่ำ และยังคงเงียบ
เขาไม่คาดว่าองค์จักพรรดิจักทำเช่นนี้เนื่องจาก ความเป็นพ่อจักเข้าไปแทรกแซง แต่ เขาตระหนักได้ว่าเขาเข้าใจผิด เข้าใจผิดอย่างรุนแรง เขาหัวเราะกับตัวเอง
การวิเคราะห์ขององค์จักรพรรดินั้นก้าวไกลเกินกว่าข้าจักจินตนาการ …
” ส่งจสานส์ไป ถ่ายทอดคำสั่งไปยัง หอกระบี่เลือด … และทั้ง สกุลโจวทางใต้ หรือกองคาราวาน … และรวมทั้งคนของลูกชายรองของข้า ไม่มีผู้ใดยกเว้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเรื่องนี้ได้รับการจัดการให้เรียบร้อย ”
องค์จักรพรรดิถอนพระทัยล้ำลึก
” ลูกคนรองข้าจักต้องไม่ได้รับอาวุธที่น่ากลัวเช่นนี้ หอกระบี่เลือดเป็นผู้ริเริ่ม แต่กระนั้น ลูกชายรองของข้าก็ยังไม่คลางแคลง … ข้าผิดหัวงในความฉลาดของลูกชายรองของข้า ”
ขุนนางเหวินยังคงเงียบต่อไป
ข้าไม่สงสัยเลย … ว่าพระองค์ จักรพรรดิแห่งสี่โพ้นทะเล จักยังคงควบคุมมือสังหารอย่างลับๆอยู่ในความมืด ?
ความจริง ข้ายังคงเชื่อว่า คนส่วนใหญ่จักไม่เชื่อเรื่องนี้แม้นมันจักถูกเปิดเผย ….
ขุนนางเหวินมองไปยังองค์จักพรรดิ คำถามก่อขึ้นในหัวใจของเขา แต่เขายังหวาดกลัวนักที่จักเอ่ยออกมา
องค์จักรพรรมีไพ่ตายอยู่มากมายเพียงใดกัน ?
ตอนที่ 307
เดิมทีแล้ว หากองค์ชายสอง หรือจวินโม่เซี่ยได้ฟังวาจานี้ … พวกเขาจักเข้าใจมันทันทีว่าเหตุใดองค์ชายสองขอให้ หอกระบี่เลือดจัดการภารกิจนี้ คนกลุ่มนี้จักล้มเหลวก่อนที่จักได้รับชัยชนะเพียงหนึ่งก้าว
หอกระบี่เลือดเป็นที่พำนักของเหล่ามือสังหารที่มีชื่อที่สุดใน อาณาจักรเทียนเชียง หรืออาจจะทั่วทั้งดินแดนเชวียนเชวียน แต่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขานั้น … เป็นสิ่งที่น่าตกใจยิ่ง !
อย่างไรก็ตาม หากครุ่นคิดให้ดี … จักเห็นว่าเป็นสิ่งปกติ ความจริง มันอาจมีเหตุผลมากมาย
หรือมันจัก ?
ผู้มีตำแหน่งสูงส่งในอาณาจักรเทียนเชียงรู้จักสำนักมือสังหารนี้ได้อย่างไร ? และสำนักนี้สามารถกระทำการไร้ศีลธรรมต่างๆอย่างเปิดเผิยได้อย่างไรกัน ? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจักมีความเกี่ยวของกับราชวงศ์ ... หรือชนรุ่นหลังในราชวงศ์ ?
การมีอยู่ของสำนักเช่นนี้เป็นเรื่องปกติในเมืองเล็กๆ เนื่องจากอาณาจักรเล็กๆนั้นมีกองกำลังทหารที่อ่อนแอ แต่ ความแข็งแกร่งของกองกำลังทหารแห่งอาณาจักรเทียนเชียงนั้นยิ่งใหญ่ และสูงส่งยิ่ง องค์จักรพรรดิเป็นผู้ที่มีความสามารถยิ่งกว่าทุกผู้ เช่นนั้น พระองค์จักปล่อยให้สำนักมือสังหารมากกระทำการอุกอาจเช่นนี้ในดินแดนของพระองค์ได้อย่างไร ? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากล้าแม้กระทั่งลอบสังหารเชื้อพระวงศ์ .. ราวกับเด็กเล่น … ?
เรื่องนี้ยังมีอีกมากมาย ตัวอย่างเช่นการลอบสังหารองค์หญิงหลิงเมิ่ง สำนักสังหารที่มีชื่อเช่นนี้น่าจะมีการข่าวที่ดีเลิศ และ แม้นว่าการมีอยู่ของ อยี่กู้ฮั่น นั้นจักเป็นความลับ .. แต่สำนักอย่าง หอกระบี่เลือดจักไม่รู้เลยหรือว่าอยี่กู้ฮั่นคุ้มครองนางอยู่ ? อย่างไรก็ตาม พวกเขาส่งมือหารเชวียนทองเพียงสองเพื่อลอบสังหาร องค์หญิงหลิงเมิง…
การเผชิญหน้ากับผู้คุ้มครองเป้าหมายที่เป็นสวรรค์เชวียน ด้วยยอดฝีมือเชวียนทองสองคนนั้นเพียงพอหรือ ? มันสมเหตุผลหรือไม่ ?
น่าเสียหายที่องค์ชขายสองมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ทั้งหมด โดยเฉพาะประโยคที่กล่าวว่า ความฉลาดของเจ้านั้นน่าผิดหวัง นั้นเหมาะสมกับเขา องค์ชายสองอาจไม่เข้าพระทัยในความจริงนี้จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต … นั้น .. เพราะ บิดาของพระองค์ใช้การพระองค์เพื่อชำระและจัดการแก้ไขโครงสร้างของอาณาจักรใหม่ ความจริง พระองค์จักใช้เหตุการณ์นี้เพื่อชำระล้าง แหล่งซ่องสุมโสเภณีของพระองค์ด้วย
หากเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยออกไป มือสังหารจวินจักไม่ยอดมรับแล้วว่าเขาเป็นผุ้เล่นที่น่าเกรงขามที่สุดในโลก ชื่อนั้น สงวนไว้สำหรับองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนเชียงเท่านั้น
สถานพำนักนางสนมราชวงศ์
” เมิ่งน้อย บอกแม่ของเจ้าตามความจริงเสีย มีปัญหาอันใด ? เจ้าไม่สบายหรือ ? “
หญิงสาวผู้สง่างามเอ่ยถามด้วยที่น่าอ่อนโยน นางสวมชุดเสื้อคลุมยาว และมงกุฏเก่าแก่บนศรีษะ นางคือองค์ราชินี และเป็นมารดาขององค์หญิงหลิงเมิ่ง มูล่งฉิวฉิ้ว
” ข้า …. ไม่มีอันใด ลูกสบายดี ไม่มีปัญหาอันใด ข้าไม่รู้ว่าเหตุใด ท่าแม่เอ่ยถามเช่นนี้ ”
หลิงเมิ่งมิยอมเอ่ยสิ่งใด หลิงเมิ่งมิรู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นหากนางบอกแม่ของนางถึงความทรมาณที่อยี่กู้ฮั่นต้องประสบ เช่นนั้น นางจึงโกหกต่อไป
” สบายดี ? เด็กน้อย เจ้ามิอาจโป้ปดได้ดีเลย เจ้าจักตะกุกตะกักนั้นเมื่อโป้ปด “
องค์ราชินีแย้มสลวงอ่อนโยนขณะมองไปยังลูกสาวของพระองค์ด้วยควารัก
” บางครั้ง เจ้าดูเหมือนกำลังเป็นกังวล และบางครั้ง เจ้าก็ดูเหมือนมีความสุข นอกจากนั้น เจ้ายังร้องไห้ยามค่ำคืน น้ำตาทำให้หมอนของเจ้าเปียก นี่…. เจ้ายังบอกว่าไม่เป็นอันใดอีหรือ ? “
” ท่านแม่ … ”
องค์หญิงหลิงเมิงปลดปลดเปลื้องความน่ารักของนาง
” ลูกผู้นี้เคยโป้ปดท่านหรือ ? ข้าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป ”
” หรือว่า … ”
องค์ราชินี้แย้มสลวง พระองค์แหย่งจมูกเล็กๆของลูกสาว
” หรือว่า เจ้าคิดถึงบุรุษ ? “
” ท่านแม่ … ท่านพูดสิ่งใด ? “
องค์หญิงหลิงเมิงโพล่งเสียงดัง นางเริ่มอาย และใบหน้าแดงก่ำ แต่ นานยังคงลังเล
หรือข้าจักใช้โอกาสนี้บอกท่านแม่เรื่องจวินโม่เซี่ย ?
องค์หญิงหลิงเมิงอดหน้าแดงเนื่องจากคิดถึงคนรักมิได้
องค์ราชินีเห็นสีหน้าของลูกสาว พระองค์จักมิรู้ได้อย่างไร ?
ลูกสาวข้ามิใช่เด็กอีกแล้ว เมื่อนางมีอายุเพียงพอ นางก็ต้องเติบโต !
” เด็กน้อย … แม้แต่ข้า ก็มีอาาจบอกได้ว่าบุรุษในสกุลใดที่รวบรวมความรักของลูกสาวข้าไปได้หรือ …. ? “
องค์ราชินี้มองยังลูกสาวน้อยอย่างเย้าแหย่
” ท่านแม่ … ”
องค์หญิงหลิงเมิงหันหลังไปและส่ายเอว นางลังเลชั่วขณะ แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจจักเก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวเอง องค์หญิงมิได้โง่ นางจักมิรู้ได้อย่างไร่ว่าความรู้สึกของจวินโม่เซี่ยอาจมิได้เหมือนกัน ? นางกลัวว่าเขาอาจมิได้ชอบนาง ดังนั้น นางอาจโดนปฏิเสธหากนางเอ่ยความรู้สึกของนางอย่างหุนหัน
อย่างไรก็ตาม หัวใจขององค์หญิงก็ถูกปฏิเสธ
เจ้าพยายามขอความรักข้ามาหลายปี แต่ข้ามิได้ประทับใจ และไม่สนใจถึงความเอาใจใส่ที่เจ้ามีต่อข้า ! และตอนนี้ องค์หญิงผู้นี้ก็ไม่ได้คัดค้าน … ความเจ้าเล่ห์ของบุรุษผู้นี้ต่อข้า … อืม !
” เด็กน้อยของข้าเหมือนขี้อาย มิต้องบอกข้า หากเจ้ามิต้องการ แม่มิบังคับเจ้า ฮี่ ฮี่ … เมิ่งน้อย บอกแม่เรื่องคนรักของเจ้าเมื่อถึงเวลา เจ้ามิได้เป็นเด็กแล้ว มันจักกลายเป็นปัญหา หากพ่อของเจ้า องค์จักพรรดิ หุนหันตัดสินพระทัยให้เจ้าแต่งงานในวันหนึ่ง … ”
องค์ราชินีเอ่ยขณะลูบผมของลูกสาวด้วยความรัก
” ลูกเข้าใจ ”
องค์หญิงกอดแม่ของนางด้วยความรักใคร่ ทันใดนนั้น นางก็นึกถึงการดูแลของน้าอยี่มานานหลายปี …และความทรมาณที่เขาได้รับในตอนนี้ นางรู้สึกปวดใจ และต้องการร้องไห้
” ข้ามิรู้เหตุใด … แต่หัวใจของข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างประหลาดมาหลายวัน …. ราวกับเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น … ”
รอยิ้มจางๆปรากฏบนพระพักต์ สีหระพักต์ครุ่นคิดปรากฏขึ้นขณะพระองค์พึมพัม
” หรือจักเป็น …. ? สิ่งใดเกิดขึ้นกัน ? ข้ารู้สึกปวดร้าวในหัวใจ …”
หัวใจองค์หญิงหลิงเมิ่งกระวนกระวาย แต่นางมิกล้าเอ่ย
ข้ามิรู้อาการของน้าอยี่ และข้ามิรู้ว่าเขามีศัตรูมากมายเพียงใดในราชวังนี้ …
สกุลจวิน
หน้าผากจวินโม่เซี่ยเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ เขายังคงเผชิญกับเขี้ยวของสาวน้อย
เขายังคงเงียบ เนื่องจาก …
” ข้าประสงค์จักไปเช่นกัน ! ”
ตู่กู้เซี่ยวอี้ วางท่าทางอย่าเปิดเผย ขณะที่นางอุ้มเจ้าขาวน้อยในอ้อมแขน
” เจ้ากำลังเอ่ยสิ่งใดน้อยสาว ? เจ้าต้องการเข้าไปอยู่ในท้องของสัตว์เชวียนหรือ ? เจ้าต้องการจักช่วยข้าหรือสัตว์เชวียน ? “
จวินโม่เซี่ยกรอกตา
พระเจ้า ! ได้โปรดเถิด ? เจ้าเด็กน้อยนี่ทำให้ข้ารำคาญทั้งเช้า …
” อืม ! เจ้าอาจจะจบลงด้วยการเข้าไปอยู่ในท้องของสัตว์เชวียน แต่ข้านั้นโหดร้ายและทรงพลัง ! แม้แต่พี่ชายทั้งเจ็ดของเข้าก็มิอาจเทียบได้ หากข้าใช้เคล็ดมีดบิน ไม่มีเชวียนทองผู้ใดเทียบเทียมข้าได้ ! นอกจากนี้ สัตวก์เชวียนจักทำอันใดกับสาวน้อยผู็นี้ได้ ? “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยังคงท่าทีสูงส่ง
” เพียงแค่มองไปที่การกระทำของเจ้าขาวน้อย … เขามิได้ทำตัวดั่งลูกสุนัขหรือแม้นว่าเขาจักเป็นสัตว์เชวียนขั้นเก้าแล้ว ? เช่นนั้น ข้าจักกลัวสิ่งใดหากพวกเขาเป็นเช่นนี้ ? ข้าสามารถสังหารพวกมันได้นับพัน ! และ ข้าก็จักได้หาเพื่อนเล่นให้แก่เจ้าขาวน้อยด้วย ! ”
เจ้าขาวน้อยร้องครวญอย่างไม่พอใจ
เจ้าคิดว่ามันง่ายหรือที่จักหาสัตว์ระดับสูงได้ ?
เขาเงยขึ้นมองนาง อย่างไรก็ตาม เขายังรู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังจากของนายหญิงของเขา เขารู้ว่ามิฉลาดอันใดที่จักเคลื่อนไหว เช่นนี้ เขาจึงมิสนใจนาง และกลับไปหลับ
จวินโม่เซี่ยรู้สึกไร้ทางเลือก
“เจ้าเปรียบเทียบเช่นนี้ได้อย่างไร ? เจ้าขาวน้อยเป็นสัตว์เชวียนระดับสูง แต่ เขามิได้เติบโต้ใช่หรือไม่ ? ไม่ พวกเรามิควรเอ่ยเช่นนี้ .. เราควรบอกว่าเขายังเป็นทารก ! เช่นนั้น เจ้าจักเทียบเขากับพวกนั้นได้อย่างไร ? เจ้าไม่เคยเห็นสัตว์เชวียนตัวอื่นหรือ ? เจ้าไม่รู้อันใดเลยหรือ ? “
” เจ้าเอ่ยเรื่องไร้สาระอันใดกัน ? เจ้าคิดว่าข้ามิรู้เรื่องจริงหรือ ? และ สัตว์เชวียนหรือ ? แล้วพวกเขาละ ? สัตว์เชวียนอื่นๆจักสิ้นหวังเมื่อพวกเขาได้พบสาวน้อยผู้นี้ พกวเขามิกล้าแม้แต่จักเงยหน้า ! ”
สาวน้อยหยิ่งทะนงอย่างเปิดเผย
น้ำตาหลั่งไหลลงแก้มของจวินโม่เซี่ย
จริงหรือ ? เด็กสาวเอาแต่ใจจากสกุลทรงพลังจักรู้ถึงความอันตรายนี้ได้อย่างไรกัน ? เจ้าได้เห็นเพียงสัตว์เชวียนชั้นต่ำ ผผู้ที๋โดดเด่นจากผู้อื่น !
” เจ้าต้องเล่นตลกเป็นแน่ ! เจ้าน้ำพาเจ้าขาวน้อยไปกับเจ้าเสมอ และ นครหลวงมีเพียงสัตว์เชวียนทั่วไปเท่านั้น เช่นนั้น พวกเขาจึงสิ้นหวังเมื่อเห็นเจ้าขาวน้อย เหตุผลนั้นเพียงพอสำหรับเจ้าหรือไม่ ? เจ้าขาวน้อยนั้นน่าเกรงกลัวจริงๆที่นี่ … แต่เขานั้นไม่มีค่าอันใดในป่าเถียรฟา ! ”
จวินโม่เซี่ยอธิบายความน่ากลัว
เจ้าคิดว่าเจ้าจัดกลอกข้าได้ราวกับเด็กหรือ ?! เจ้าขาวน้อยดุร้ายยิ่งนัก ! และเจ้ายังบอกว่ามันไร้ค่า ? อย่างไรก็ตามข้าจักไป ! และ เมื่อข้าต้องการจักไป ข้าจักต้องได้ไป ! ”
ตู่กู้เซี่ยวอี้ เอ่อยย่างไร้เหตุผล
ในอีกสองเดือนจักเป็นวันเกิดครอบรอบเจ็ดสิบปีของท่านปู่ เขาได้รับบากเจ็บที่เอวจากการต่อสู้เมื่อนานมาแล้ว เขามิอาจโดดนลมได้นาน เขาจักหนาวเนื่องจากการบาดเจ็บนั้น ข้าได้ยินว่าขนของเฟอร์เรนหิมะสามารถช่วยเขาจากการหนาวจับได้ เช่นนั้น ข้าจึงวางแผนจักล่า ฟอร์เรนหิมะในการเดินทางนี้ ข้าต้องการมอบมันให้แก่ท่านปู่ในวันเกิดเพื่อแสดงถึงความรักของข้า ”
เจ้าเด็กสาวผู้นี้คิดว่า ฟอร์เรนหิมะจักรอเขาอยู่เฉยๆหรือ นางคิดว่านางสามารุไปจับมันได้หรือ …
จวินโม่เซี่ยเกือบอ่อนแรง
” น้องสาว คนดี … เจ้าคิดว่า ฟอร์เรนหิมะ เป็นแมวน้อยอย่างนั้นหรือ ? … เจ้าเพียงแค่ไปคว้าตัวมันมาหรือ ? สิ่งนี้นั้นขั้นสูงกว่า เสือดาวปีกเหล็กของเจ้า พวกมันเป็นสัตวเชวียนขั้นแปดเป็นอย่างน้อย และไม่เพียงแค่ในชื่อเท่านั้น ความจริง ระดับแปดเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น … หรือจักบอกได้ว่า มันสามารถพัฒนาได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “
วันก่อนนั้นนางอ่อนโยน เช่นนั้น จวินโม่เซี่ยจึงลืมความเอาแต่ใจของนาง แต่ ดูเหมือนน่าจักกลับไปเป็นนิสัยเดิม … บางคนอทาจจะพูดได้ว่า เป็นการง่ายที่จักย้ายเมือง แต่เป็นการยากที่จักเปลี่ยนนิสัย !
” มันจักยากขนาดนั้นหรือ ? มันเป็นเพียง ฟอร์เรนหิมะตัวน้อยมิใช่หรือ ? จักเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน ? “
เด็กสาวน้อยโบกมือและร้องออกมา นางไม่ต้องการทำให้จวินโม่เซี่ยจริงจัง จากนั้น นางจึงละสายตาขณะที่ก้มหัวและอ้อนวอน
“ท่านพี่โม่เซี่ย เจ้าสำรองม้าให้ข้าสักตัวได้ ? ใช่ไหม ? “
” ข้ามิอาจ ! ข้ามิต้องการสนทนาเรื่องนี้ ! ”
จวินโม่เซี่ยแน่วแน่ขณะที่ปฏิเสธนาง
เจ้าคิดว่าข้าไม่มีม้าสำรอง ? สกลุตู่กู้ผู้น่ารำคาญจักทำอันใดกับข้าไหมหากเจ้าเป็นอันใดไป ? ข้ามิใช่สุภาพบุรุษ มันจักเป็นปัญหาหากบางสิ่งเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง
” พี่โม่เซี่ย ข้าขอร้องเจ้า ! ”
ตู่กู้เซี่ยวอี้ จับแขนเขา และมองไปยังเขาด้วยท่าที่อ่อนแอและน่ารัก
“ไม่มีทาง ! ไร้ประโยชน์ที่จักหลอกล่อข้า ! ”
จวินโม่เซี่ยคำรามทางจมูก จากนั้นเขาคิดถึงบางสิ่งและเอ่ยต่อ
“ล่อลวงบุรุษสกุลจวินนั้นไร้ประโยชน์ ”
” เจ้าคิดว่าเจ้าพอใจในตัวเองหรือ ? “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ คำรามทางจมูก กระทืบเท้าและแลบลิ้น
” อืม ! ข้าจักไปกับเหล่าพี่ชายของข้า หากเจ้าไม่พาข้าไป ! เจ้าคิดว่าข้าต้องการความใจบุญของเจ้าหรือ ? เจ้าคิดว่าข้ามิสามารถไปยังเถียรฟาได้หากจ้าปฏิเสธที่จักพาข้าไปด้วย ? “
” ตามใจเจ้า ! ”
จวินโม่เซี่ยผายมือ
” ทุกสิ่งจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย ตราบใดที่ข้าไม่พาเจ้าไปด้วย ! หากพี่ชายทั้งสามของเจ้าจักพาเจ้าไป พวกเขาจักช่วยชีวิตข้า ! พวกเขาจักได้รับการขอบคุณจากข้าสำหรับการแบ่งเบาภาระ ! “
ตอนที่ 308
” แต่ ข้าต้องการไปกับเจ้า … ฮี่ ฮี่ … ติดตามเจ้าไปน่าจะสนุก เจ้ามิได้ชอบความสงบตามนิสัยอยู่แล้ว เช่นนั้นการเดินทางนี้จึงน่าตื่นเต้น มันจักสนุกอันใด หากข้าไปกับพี่ชายโง่เง่าทั้งสาม ? “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ รู้ทันทีว่าเลห์เหลี่ยมของนางมิได้ผล เช่นนั้น นางจึงเข้าหาด้วยวิธีใหม่อย่างไร้ยางอาย
จวินโม่เซี่ยบอกได้อย่างชัดเจนว่าพี่ทั้งสามของนางคงจักปฏิเสธการคำขอร้องของนางเป็นแน่ เช่นนั้นนางจึงมาก่อความรำคาญแก่เขา
เหตุใดนางจึงมาหาข้า ?
” ข้าบอกเจ้าไปแล้ว มันจักไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าจักมิได้เข้าร่วมการเดินทางนี้ ดังนั้นเจ้าลืมถึงการออกไปจากที่นี่เสีย ! ”
ราวกับหัวใจของจวินโม่เซี่ยทำมาจากหินและเหล็ก เขาจักไม่ยอมรับไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
” เจ้าจักต้องอยู่ที่บ้านกับพี่สะใภ้ข้า เจ้ามิอาจไปยังสถานที่เช่นนั้นได้ เป็นการยากที่จักดูแลเจ้าได้ เราจักไม่ออกไปนอกบ้าน ”
“ข้าไม่เข้าใจว่านางมากับข้าได้อย่างไร … อย่างไรก็ตาม นางจักไม่ติดตามข้าไปเนื่องจากข้าจะไปยังป่าเถียรฟา ”
น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น หลังของจวินโม่เซี่ยแข็งทื่อเนื่องจากได้ยินวาจาเหล่านั้น เขาหันไปมอง
นั่นมิใช่ กวนเซียงฮั่น ?
กวนเซียงฮั่นรู้สึกว่าบางอย่างผิดแปลกในเรื่องการเดินทัพไปยังป่าทางใต้ มีคนไม่มากนักที่รู้ถึงปัญหาของ มณฑลฉือฮั่น แต่ สกุลที่ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างรู้เรื่องนี้ เช่นเดียวกับราชวงศ์
และตอนนี้ พวกเขาบอกว่า จวินวูอี้ และ จวินโม่เซี่ยจักต้องไปยังสถานที่นั้น … เหตุใดพวกเขาต้องทำเช่นนั้น ?
จวินวูอี้เป็นผู้นำกองกำลังในการต่อสู้นี้ เช่นนั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ เหตุใดจวินโม่เซี่ยจึงถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ? สิ่งนี้ ทำให้กวนเชียงฮั่นเป็นกังวล และ สิ่งที่น่างเป็นกังวลที่สุดคือ …
จักเกิดอันใดขึ้น หาก มณฑลฉือฮั่นใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างปัญหาแก่จวินวูอี้ และจวินโม่เซี่ย ? ทั้งหมดเป็นเพราะข้า .. ข้าควรทำอย่างไรดี ? นิสัยของหลาน และลุงคู่นี้จักทำให้สิ่งต่างๆแย่ลง
ทั้งสองมิได้แข็งแกร่งมากมาย เช่นนั้น พวกเขาจักจัดการขับ มณฑลฉือฮั่นได้อย่างไรกามีปัญหาเกิดขึ้น ? จักต้องมีข้อโต้แย้ง หากทั้งสองฝ่ายเอ่ยถึงชื่อข้า และ จวินโม่เซี่ย และ จวินโม่เซี่ย จักไม่กลับหลังเนื่องด้วยนิสัยของพวกเขา … เช่นนั้น มันจักจบลงอย่างไร ?
และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จวินโม่เซี่ยนั้นไม่เกรงกลัวสิ่งใด !
มีสิ่งใดที่เขาจักไม่ทำ ?
ดังนั้น กวนเซียงฮั่นจึงตัดสินใจว่านางจักต้องเดินทางไปด้วย นางต้องเดินทางไป … แม้นว่ามันจักหมายถึงความตายของนาง
ข้าสัญญาว่าข้าจักเดินทางเพียงลำพัง หากเจ้าปฏิเสธมิให้ข้าวร่วมด้วย !
ทุกผู้จักได้กลับมาอย่างปลอดภัย หากทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยดี
อย่างไรก็ตาม กวนเซียงฮั่นจักใช้ตัวเองเพื่อต่อรองหากมีปัญหาเกิดขึ้น นางจักสังเวยตัวเองเพื่อให้ จวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้กลับมาอย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม นางจักไม่ปล่อยให้ ทั้งน้าและหลานรู้ถึงเจตนาของนาง หากพวกเขารู้เข้า .. พวกเขาจักหักขานางและทำให้ข้ามิสามารถไปได้ น้าสามของนางมิน่าจักทำสิ่งนี้ แต่ นางรู้ดีถึงนิสัยอันเลวทรามของน้องเขย นางรู้ว่าจวินโม่เซี่ยสามารถกักตัวนางไว้ได้
กวนเซียงฮั่นรู้ถึงจุดนี้เป็นอย่างดี
” วันนี้มีอันใดกัน หืม ! พี่สะใภ้ … พี่สะใภ้ของข้าเองเข้ามาทำให้เกิดความวุ่นวาย … เหตุใดพวกเจ้ามาหาข้า … ? ดูสิ ข้ามิอาจจัดการกับเรื่องนี้ได้ … ”
จวินโม่เซี่ยคว้าผมของเขา ราวกับเขากำลังจักกลายเป็นบ้า
“อย่ามาหาข้าหากเจ้าต้องการไปยังป่าเถียรฟา อย่างไรข้าก็จักบอกว่าไม่ … เช่นนั้นไปหาน้าสามเสีย ! ”
” เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นกิจธุระของเจ้า แต่ ไม่ว่าข้าจักไปหรือไม่ นั้นเรื่องของข้า ! ”
กวนเซียงฮั่นมองจวินโม่เซี่ยไม่รีบร้อน จากนั้น นางดึง ตู่กู้เซี่ยวอี้ และจากไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใด อย่างไรก็ตาม ตู่กู้เซี่ยวอี้ มองจวินโม่เซี่ยอย่างคัดค้านในขณะที่นางจากไป
ความคิดที่อยู่เบื้องหลังกริยานางนั้นเรียบง่าย
ข้าจักทำตัวดีตราบใดที่เจ้าไม่เป็นปัญหาและรักข้า
ปากของจวินโม่เซี่ยกระตุกถี่
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน จวินโม่เซี่ยและองครักษ์ของเขารวมตัวกัน และหายไปจากจวนสกุลจวิน
ค่ำคืนหลังจากนั้น …
ร่างสูงของปู่จวินยืงอย่างแข็งแกร่งในลานบ้านของเขา เขาเอ่ยบางสิ่งกับเงาร่างนับสิบที่อยู่ตรงหน้า จากนั้น เงาร่างเหล่านั้นแยกย้ายและหายไปจากลานบ้านอย่างไร้ร่องรอย
ปู่จวินถอนใจ และถามผู้เฒ่าผังผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
” พวกเขาจักไปถึงเมื่อใด … ? “
ผู้เฒ่าผังครุ่นคิดชั่วครู่และเอ่ยตอบ
“พรุ่งนี้ช่วงค่ำโดยประมาณ ”
” อืมม … ”
ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว และเอ่ย
” ผู้เฒ่าผัง เตรียมหน้ากาและชุดดำ ”
ดวงตาของผู้เฒ่าผังเปล่งประกายความสุข
จวินวูอี้อยู่ภายในลานเล็กของเขา คุณชายสามคลี่ม้วนกระดาษในมืองของเขา เขาหัวเราะและพึมพัม
” พรุ่งนี้เย็น …”
ม่านราตรีเคลื่อนลง และกลับขึ้นไป แสงตะวันยามเช้าทองประกายสู่ท้องนภา อีกครั้ง ไม่นาน ก็ย่ำเย็น …
จันทราเคลื่อนสูงไม่นานหลังตะวันลาลับ เวลาผันผ่านชั่วอึดใจ โจววูจี้ลืมไปแล้วว่ากี่ครั้งที่เขาได้ขี่ม้าและหวดแซ่เพื่อเร่งมัน เป็นเวลาสองเช้าตั้งแต่เขาออกเรือและขึ้นฝั่งมา และเป็นเวลาสองวันที่เร่งรีบ
พวกเขาแทบจะไม่หยุดเลยตั้งแต่ออกจากทางใต้มา พวกเขาเดินทางมาเก้าวันแล้ว และ พวกเขาเร่งรีบตลอดวันคืน ผลมันเป็นที่ชัดเจน พวกเขาเดินทางได้เร็วกว่ากำหนดสองวัน สองวันเต็ม !
เป็นการง่ายที่จักจินตนาการถึงโชคร้ายที่พวกเขาหลีกเลี่ยงมาสองวันนี้
สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นเล็กน้อย ไร้สิ่งที่มิได้คาดการเกิดขึ้นเลยตลอดเก้าวันนี้ … ไม่ว่าจักเป็นการเดินทางทางบกหรือทางน้ำ พวกเขาเดินทางได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องยากที่เขาจักยอมรับได้ … ทุกสิ่งราบรื่นเกินไป
ทำให้ หัวใจของ โจววูจี้จึงไม่อาจผ่อนคลายได้ ในทางกลับกัน มันทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ผิดปกติยิ่งนัก และ เขาประหลาดใจกับเคราะห์ร้ายต่างๆที่หายไป
ตั้งแต่เขาได้รับงานนี้ หัวหน้าสกุล โจววูจี้ พยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและความหมายของมัน แต่ความเสียใจ … มันช้าเกินกว่าเขาจักเข้าใจ
เพราะการสร้างได้เริ่มขึ้นในเวลาที่เขาเข้าใจเรื่องนี้
องค์ชายสองขึ้นอยู่กับบางสิ่ง … !
อย่างไรก็ตาม องค์ชายประสงค์สิ่งใดถึงได้สร้างสิ่งนี้ ? และ ยิ่งกว่านั้น เหตุใดพระองค์จึงต้องการให้มันเป็นความลับ ?
โจววูจี้ตระหนักได้ว่า เขาได้ก้าวลงสู่เรือโจรสลัดขององค์ชายสองโดยไม่รู้ตัว และ ตอนนี้ มันยากที่จักลงแล้ว
ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาได้รับงานนี้ สกุลของเขาก็ถูกผูกติดอยู่กับราชรถศึกขององค์ชาย และการสังหารจากหน้าไม้เหล่านั้น และ ยากยิ่งขึ้นที่จักออกจากสถานการณ์นี้หากเลือดขององค์ชายพระองค์อื่นๆหลั่งไหล
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้จักต่อต้าน
ทิ้งความจริงที่ว่า การสร้างสิ่งนี้ได้เริ่มขึ้น .. จักถอยได้อย่างไร ?
สกุลของเขามีอิทธิพลอยู่บ้าง แต่ มันไร้ค่าเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งขององค์ชายสอง เขากลัวว่าสกุลของเขาจักพินาศไปภายในครึ่งค่อนวัย หากเขาปฏิเสธงานนั้น พวกเขาจักหายไปจากโลก
ความเสี่ยงสู่งส่งแลกมาด้วยผลกำไรที่มากมาย ธุรกิจของเขาจักได้รับกำไรสามเท่าจากงานี้เพียงงานเดียว มันจักทำให้กิจการของเขาได้รับประโยชน์มากมาย ดังนั้น หากเขาแขวนชีวิตไว้กับงานนี้ … มันก็คุ้มที่จักเสี่ยง
ยิ่งกว่านั้น ทั้งหมดเป็นเรื่องทางการเมือง เช่นนั้น หากเขาสามารถทำให้โครงสร้างการเมืองแข็งแกร่งก็จะได้เป็นรางวัล …
โจววูจี้รู้สึกว่าเขากลืนแมลงวันเข้าไป แต่เขายังคงยิ้มอย่างสำนึก
แมลงวันรสชาติน่าขยะแขยงเมื่อมันเข้าปาก แต่ มันเป็นสิ่งที่บำรุงร่างกาย ท้ายที่สุด มันก็มีโปรตีนมากมาย
หน้าไม้เอ็นเชวียน ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นสระหว่างการก่อสร้าง หัวหน้าสกุลโจว โจววูจี้ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความเครียดของเขาเพิ่มขึ้นไม่นานหลังจากได้รับรู้สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน การเดินทางไปส่งหน้าไม้ที่นครหลวงคือการทดสองที่แท้จรงิ
ดังนั้น เขาจึงหยุดกิจราของสกุลชั่วคราว และรวบรวมผีมือทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อคุ้มกันหน้าไม้ไปยังนครหวลง แต่เขายังมิอาจรู้สึกผ่อนคลายได้ เช่นนั้น เขาจึงมองหากำลังที่มากขึ้น เขาจึงจ่ายเงินมากมาย เพื่อจ้างวานให้ผู้นำกองคาราวานการค้าทางใต้นำกองกำลังของเขาด้วยตัวเองเพื่อรับประกันความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม องค์ชายสองได้หยุดการดำเนินการเมื่อมันได้รับการเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เขาส่งองครักษ์ชั้นยอดของเขาเพื่อคุ้มกันพวกมัน เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัย แต่เรื่องนี้ทำให้ โจววูจี้หวาดกลัว ดูเหมือนว่าการเตรียมการของเขานั้นเพียงพอ ความจริง เขาคิดว่ามันมากเกิดพอในการรับมือกับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม องค์ชายสองก็รู้สึกไม่สบายพระทัย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังยิ่ง ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าสินค้าอาจได้รับการซุ่มโจมตีจากกองกำลังที่แข็งแกร่งได้ ความแข็งแกร่งของขบวนเดิมทีอาจไม่เพียงพอที่จักรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นนี้ได้
การใช้งานหน้าไม่นี้เริ่มชัดเจนขึ้นอย่างมาก แผนการของเขาจักล้มเหลวก่อนที่จะเริ่ม
ทุกฝีเท้าของม้าของเขา .. เป็นการก้าวย่างเข้าสู่การนองเลือด
โดยเฉพาะเมื่อเขาเข้าใกล้เทียนเชียงมากขึ้น
” ท่านพี่ พวกเราปลอดภัยมายาวนาน นครเทียนเชียงห่างไปอีกเพียงสองร้อยกิโลเมตรเบื้องหน้า หากมีผู้ใดขัดขวางพวกเรา … ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจักสามารถกระทำความผิดใหญ่หลวงในพื้นที่ใกล้นครหลวงเช่นนี้ได้ ! ”
ชายร่างสมส่วนบังคับม้ามาด้านข้าง โจววูจี้ เขากำลังยิ้ม และมองอย่างพึงพอใจ
“ดูเหมือนว่าพวกเราจักกังวลเกินเกตุ ข้าไม่คาดว่าสิ่งต่างๆจักดำเนินไปอย่างราบรื่น ดูเหมือนว่าการรักษาความลับขององค์ชายสองนั้นเป็นที่โดดเด่น ! ”
ชายร่างสมส่วนผู้นี้คือน้องชายของ โจววูจี้ โจววูเทียน เขาคือผู้หนึ่งในสกุลโจวที่รู้ว่าลูกค้าคือผู้ใด
” ข้าหวังเช่นนั้น ! ”
โจววูจี้ถอนใจขณะมองไปยังท้องฟ้ามืดมิด ทันใดนนั้น เขารู้สึกว่าสรวงสวรรค์สีเทานั้นแปรเปลี่ยนหลุมยักษ์ดำทมิฬ เขารู้สึกราวกับ หลุมดำนั้นจักดูดกลึนเขาและครอบครัวของเขาเข้าไป … และเขาไร้ความแข็งแกร่งที่จักต้านทาน
” เส้นทางเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ทุกผู้มีขวัญกำลังใจ และใช้พลังงานทั้งหมดที่เหลืออยู่ไปยังนครหลวงโดยเร็วที่สุดเพื่อส่งมอบสินค้า ความรับผิดชอบของเราจักจบลงที่นั้น และพวกเราจักได้พักผ่อน ”
โจววูจี้ถอนใจยาว เขาก้มหัวขณะพยายามกำจัดความมัวหมองและความคิดอันสับสนนั้น
” ขอรับ ! ”
โจววูเทียนตอบกลับ และถอนม้าลงหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาหยิบธงขนาดเล็กออกมาจากหน้าอก และโบกสองครั้งอย่างรวดเร็วในอากาศ ทั้งคาราวานที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แต่ มันเริ่มเคลื่อนไปเร็วกว่าเดิม
เกิดเสียงกีบเท้าที่ก้าวถี่อย่างรวดเร็วในทันที ชายวัยกลางคนร่างสูงและแข็งแกร่งขี้ม้าสีแดงไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าอันเหนื่อยล้าของเขาดูร้อนรน
” นายท่านสกุลโจว ตอนนี้เราห่างจากนครหลวงไม่มากนัก พวกเราต้องเร่งรีบเช่นนี้หรือ ? พี่น้องเราหวาดกลัวและกระวนกระวายตลอดการเดินทางเนื่องจากพวกเราต้องเร่งรีบเดินทางมาตลอด พวกเราเหนื่อยอ่อน ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเส้นทางจักยากลำบากเพียงใดในเวลากลางคืน ทุกสิ่งอาจเปลี่ยนไปภายใต้แสงอันมืดมัวของท้องฟ้าค่ำคืน ข้าคาดว่าเราอาจหาสถานที่เพื่อตั้งค่ายสำหรับคืนนี้ จากนั้นพวกเราค่อยเริ่มเดินทางใหม่พรุ่งนี้ อย่างไรพวกเราก็เดินทางเร็วกว่ากำหนดสองวัน เช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเนื่องจากพวกเรามีเวลามากมายตอนกลางวันมิใช่หรือ ?
ผู้พูดคือ รองอุปนายก กองคาราวานการค้าทางใต้ เมิงเซี่ยวซ้ง
ตอนที่ 309
เขาควบคุมโทสะตลอดการเดินทาง บุรุษผู้นั้นไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคุ้มกันคืออะไร การเดินทางทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งที่มีเงื่อนงำสำหรับเขา นอกจากนั้น พวกเขาเร่งรีบตลอดการเดินทาง ทำให้ เขาและผู้อื่นอีกยี่สิบเกือบสลายไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ยิ่งกว่านั้น ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางนี้
นี่เป็นความยากลำบากที่เกินความจำเป็นหรือ ?
ดูเหมือนว่าสกุลโจวจักเคร่งเครียด ราวกับแม่ของพวกเขากำลังตาย และยังมีพวกลูกนอกสมรสอื่นๆ … มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขามาจากที่ใหน ! พวกเขากระทำการเย่อหยิ่งนัก … ราวกับคนของข้ามีคามหมายสำหรับงานประหลาดนี่! ราชองครักษ์จักกระทำเช่นนั้นไหมหากพวกเขาอยู่ที่นี่แทนจักเป็นคนเหล่านี้ ?
เมิงเซี่ยวซ้งรู้สึกหม่นหมองยิ่งเนื่องจากความจริงนี้
พวกเขาเร่งรีบตลอดการเดินทาง ก้นของพวกเขาระบมหลังจากขี่ม้ามาตลอดวันคืน เช่นนั้น พวกเขาจึงถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อนเมื่อค่ำคืนมาถึง พวกเขาเริ่มคิดว่าในที่สุดก็ได้พักผ่อน … ซึ่งพวกเขามองหาโรงเตี๊ยมและความสุขกับสุรา พวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่จักหาหญิงสาวและใช้เวลาที่มีความสุขด้วย แต่มิอาจคาด พวกเขาได้รับคำสั่งให้เร่งความเร็ว
นี่เป็นการขัดบัญชาสวรรค์ ! นี่มิไร้เหตุผลไปหรอ ?
ทุกภารกิจที่ข้าทำเริ่มเป็นการชมทิวทัศน์ เช่นนั้น เหตุใดพวกเราต้องมีเวลาที่ยากลำบากนี้ ? เจ้าคิดว่าข้าจักร่วมกันเดินทางนี้หรือ หากมิใช่เพราะเจ้าสัญญาจักจ่ายด้วยราคาสูงส่งถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน ? อย่างไรก็ตาม ข้าก็มอบความเคารพแก่เจ้า เช่นนั้น อย่าให้ข้าทำงานดั่งลาโง่ !
นี่คือเหตุที่ เมิงเซี่ยวซ้ง อุปนายกแห่งคาราวาณการค้าทางใต้ มิอาจทนได้ต่อไป เช่นนั้น เขาจึงถามออกมาดังด้วยน้ำเสียงหยาบคาด
“มันสำคัญยิ่ง ! เราทำได้เพียงระแวดระวัง ! อุปนายกเมิงใจกว้างยิ่ง แต่จักขอให้ท่านยกโทษให้เราในเรื่องนี้ “
โจววูจี้ฝืนยิ้มและปรบมือ
” เจ้าโง่ สำคัญยิ่ง สำคัญยิ่ง ข้าต้องได้ยินสิ่งนี้มากกว่าแปดร้อยครั้งตลอดการเดินทาง ! ข้าป่วยจากปัญหาที่เจ้าสร้างให้ ! โจววูจี้ข้าแนะนำให้เจ้าเคารพพวกเราบ้าง เจ้าจ่ายเงินแก่พวกเรามากมายเพื่อปกป้องคาราวานของเจ้า แต่พวกเรามิใช่คนรับใช้ของสกุลโจว เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน อย่าคิดว่าพวกเราเป็นเป็นหมู่โง่ ! ”
เมิงเซี่ยวซ้งวิตก เขาได้ยินวาจาที่ว่า สำคัญยิ่ง ! หลายครั้งในการเดินทางนี้ที่ทำให้ติดอยู่ในหูของเขา เช่นนั้น เขามิอาจกลั้นความอดทนได้เมื่อได้ยินมันอีกครั้ง
โจววูจี้ฝืนยิ้ม เขากำลังจักอธิบายเพื่อมิให้เกิดความคลางแคลง แต่ ทันใดนนั้นบุรุษสี่คนปรากฏตัวขึ้นบนหลังม้า ใบหน้าของทั้งสี่เยือกเย็นขณะพวกเขาใกล้เข้ามา หูของพวกเขาเบิกกว้าขณะที่พวกเขาเพ่งมอง เมิงเซี่ยวซ้งและเอ่ยอย่างเยือกเย็น
” เกิดอันใดขึ้น ? เจ้าโต้เถียงอันใด ? เจ้าโง่ เหตุใดเจ้าไม่พอใจ … แม่ของเจ้ากำลังตายหรืออย่างไร ? ”
บุรุษขี่ม้าทั้งสี่มาจาก องครักษ์สวรรค์พิโรจ พวกเขาก็เข้าร่วมการเดินทางอันยากลำากเช่นกัน เช่นนั้นพวกเขาก็มีความไม่พอใจมากมายที่เก็บไว้ในใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขามิได้ชื่นชอบเมื่อเห็น เมิงเซี่ยวซ้งเริ่มก่อนและมีน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
พวกเรามิได้ร้องทุกข์แม้นเล็กน้อย แล้ว เจ้าจักมีค่าอันใด ?
เมิงเซี่ยวซ้ง สามารถสัมผัสถึงจิตสังหารอย่างเข้มข้นที่มาจากบุรุษขี่ม้าทั้งสี่ ทันใดนนั้นโทสะก็เพิ่งขึ้นในหัวใจ
เชวียนเงินสามัญเช่นนั้นกล้าต่อกรกับปฐพีเชวียนเช่นข้า ? ในความจริง พวกเขาตำหนิข้า ? นี่เป็นการขัดต่อกฏสวรรค์ ! มันจักสมเหตุสมผลได้อย่างไร ?
” เหตุใด ? เจ้ามีสิ่งใดจักเอ่ยในเรื่องนี้ ? “
เมิงเซี่ยวซ้งมองพวกเขาเยือกเย็น และวางมือของเขาลงบนด้ามกระบี่
อย่างไรก็ตาม เมิงเซี่ยวซ้งกับต้องเสียใจต่อการทำเช่นนั้นทันทีเนื่องจากกลุ่มทหารนับสิบลอบเขาอย่างรวดเร็ว กระบี่ของพวกเขาส่งเสียงขณะตะโกนและชักกระบี่ออกมา ใบมีดของพวกเขาเปล่งประกายด้วยแสงอันเยือกเย็น จากนั้น ทหารเหล่านั้นพุ่งเข้าหาพวกเขาโดยไม่เอ่ยสิ่งใด และฟังลงไปอย่างไรปราณี
” ไร้เหตุผล ! เจ้าไร้เหตุผล !”
พวกเขามีมากมาย แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่เชวียนทอง เช่นนี้ พวกเขาจึงมิควรเป็นปัญหากับผู้ที่เป็น ปฐพีเชวียนให้มากนัก อย่างไรก็ตาม การกระทำของ องครักษ์สวรรค์พิโรจเป็นสิ่งที่มิอาจคาดเนื่องจากพวกเขาเป็นสหายกันตลอดการเดินทางนี้ … จากสีหน้าของ เมิงเซี่ยวซ้ง เห็นได้ชัดว่าเขามิได้มีความสุข แต่เขาก็ยังมิได้ทำสิ่งใด แต่ คนเหล่านั้นเริ่มโจมีเขาโดยไม่เอ่ยสิ่งใน … หรือเอ่ยเหตุผลใด ผู้อื่นยังมิทันได้เตรียมพร้อม …
” หยุด ! ทุกคนหยุด ! พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน !”
โจววูจี้เริ่มเหงื่อตก แต่เขา มุ่งหน้าเข้าไปรวดเร็วเพื่อไกล่เกลี่ย
” ฉึบ ! ฉึบ ! “
ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มการต่อสู้รอบแรก แต่ในเวลานั้น มีบุรุษขี่ม้าอื่นๆเข้ามาโจมตีพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้แข็งแกร่ง แต่พวกเขาเข้ามาแทนที่ช่องว่างของสหายที่ล้มลงไป พวกเขาจักไม่ยอมแพ้นอกเสียจากทำให้ศัตรูพ่ายแพ้
โจววูจี้เป็นกังวลอย่างยิ่ง เขาแทบมิอาจเอ่ยได้
” ทุกคน ! ทุกคนพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน พวกเรากำลังไปยังนครหลวงเพื่อภารกิจสำคัญ เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจึงโจมตีกันเอง ? ”
หลังจากพยายามไกล่เกลี่ย … ให้ทั้งสองฝ่ายยั้งมือไว้ชั่วคราว
ราชองครักษ์องค์ชายสองคุ้นเคยกับการบีบบังคับผู้คน เช่นนั้น พวกเขาจักยอมรับฟัง เมิงเซี่ยวซ้งได้อย่างไร ?
แล้วทำไมหรือ แม้นว่าเจ้าจักเป็นยอดฝีมือปฐพีเชวียน ? ปฐพีเชวียนมากมายต้องตายด้วยน้ำมองของพี่น้องเรา เจ้าจักต่างอันใด ?
เราเห็นว่าเจ้าเป็น ปฐพีเชวียน และพวกเราเป็นเพียงเชวียนทอง แต่ พี่น้องเราเป็นราชองครักษ์ พวกเราเป็นคนขอราชำนัก และเจ้าเป็นเพียงสามัญ ! พวกเราจักปล่อยไป หากเจ้านั้นอยู่สูงกว่าสวรรค์เชวียน แต่ เจ้ากล้าแสดงอารมณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ? พวกเราจักตราเจ้าว่าเป็นคนทรยศเจ้าชั่วช้า !
ราชองครักษ์มองไปยัง เมิงเซี่ยวซ้ง อย่างชั่วร้าย
พวกเราได้ยินมาว่าอาชญากรชั่วร้ายร่วมเพศกันทางทวาร …
เมิงเซี่ยวซ้งเป็นผู้เริ่มต้นก่อน แต่เขาใจเย็นลงหลังจาก โจววูจี้กระซิบวาจาบางอย่างในหูของเขา
” คนเหล่านี้เป็นคนของราชองครักษ์ ”
วาจาแผ่วเชานี้ทำให้โทสะของ เมิงเซี่ยวซ้งหายไปในทันที
ความจริง พวกเขาทำให้เขา หวาดกลัว
ผู้คนมิต่อสู้กับคนของราชสำนักมาตั้งแต่ครั้งอดีต
สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์
ราชองครักษ์สามารถสังหารขุนนางท้องถิ่นได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลอันใด และไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยสิ่งใด เช่นนั้น คนจากแดนใต้จักมีค่าอันใด ? และ กับคนในกองคาราวานการค้าจากทางใต้ก็เช่นเดียวกัน ?
ไม่แปลกใจที่ โจววูจี้กระทำเช่นหลานชายผู้เชื่อฟัง ! งานนี้สำคัญเทียบเท่าการรับใช้ราชวงศ์ พวกเราสามารถมีตำแหน่งกึ่งทางการได้หลังจากสำเร็จภารกิจนี้ได้หรือ ?
เมิงเซี่ยวซ้งเริ่มมองไปยังราชองครักษ์ด้วยความประจบขณะที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวของเขา
จากนั้น กองคาราวานก็เริ่มเดินทางต่อ อารมณ์เริ่มกลมกลืนเข้ากันหลังจากการทะเบาะเล็กน้อยนั้น
มีภูผาสูงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มันถูกเรียกว่า กำแพงเหล็กแห่งเทียนเชียง มันเป็นเหมือนกำแพงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่คอยปกป้องนครหลวง
พวกเขาสามารถมองเห็นนครเทียนเชียงได้รางๆหลังจากปีนขึ้นไปยังจุดสูงสุดของภูผานั้น
ถือได้วาภารกิจจักสำเร็จได้เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นหากพวกเขาไปถึงภูผานั้น
ในที่สุดพวกเขาก็จักได้พักผ่อน
โจววูจี้ยกฝ่ามือขึ้น และออกคำสั่งให้พักผ่อนที่ตีนเขา คนเดินเท้า เอาหม้อและกระทะออกมาเพื่อเตรียมอาหาร ทุกคนกินจนพอใจ และเดินหน้าต่อไปด้วยความเร็วสูดตลอดเส้นทางที่เหลือ ในไม่ช้าพวกเขาก็จะเข้าไปอยู่ภายในกำแพงเมือง … ที่ทำให้พวกเขามีความสุข พี่น้องเหล่านั้นหัวเราะอย่างมีความสุขด้วยกัน
กลุ่มควันลอยจากหม้อเหล็กและส่งกลิ่นข้าวสุก เนื้อถูกย่างอยู่บนกองไฟ กลิ่นของมันลอยไปในอากาศ ทุกคนกลืนน้ำลายด้วยความโลภในสายตา พวกเขาอดกลั่นจิตใจตลอดการเดินทาง และร่างกายของพวกเขาเหนื่อยอ่อนยิ่งนัก มันเป็นการเดินทางที่มิอาจทนได้ …
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็ได้ผ่อนคลายและกินอย่างตะกละตะกลาม
” เสริฟ์อาหาร ! ”
โจววูเทียนตะโกนอย่างมีความสุข เขายกชามเหล็กขนาดใหญ่ และก้าวขึ้นหน้า
” ฮี่ฮี่ … เสิร์ฟอาหาร ? เจ้าคิดว่าเจ้าจักได้กินอาหาร ? …. เจ้าจักกินเอง ? เจ้าปิศาจ ! เวลานั้นจำกัดนัก ! ไปลงนรกเสีย และกินอาหารที่นั่น “
น้ำเสียงเยาะเย้ย
ดูเหมือนลมอันเยือกเย็นจากวังมัจจุราชเริ่มพัด ทำให้ทุกคนหนาวไปถึงกระดูก !
” มันเป็นใคร ? ออกมา ! ”
ทุกคนกระโดดขึ้น และชักกระบี่ออกมาพร้อมเพรียง
” พวกเรามาปล้นเจ้า ! ”
เสียงดังและตื่นตระหนกดังขึ้นขณะแสงสีฟ้าเปล่งประกาย เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นโดยมิได้มีการเตือนล่วงหน้า หม้อต้มที่อยู่บนพื้นระเบิดขึ้น และข้าวแตกกระจาย เศษเหล็กจากหม้อกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง จากนั้น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นให้ได้ยืนอย่างต่อเนื่อง ความจริงคือ .. มีผู้คนโชคร้ายมากมายต้องล้มตายเมื่อเหล็กจากหม้อกระทบร่างของพวกเขา
” ยอดฝีมือสวรรค์เชวียน ?! “
ทุกผู้ร้องตื่นตระหนก โดยไม่เว้น…ว่าจะเป็นปฐพีเชวียน เมิงเซี่ยวซ้ง หรือ ราชองครักษ์ผู้เย่อหยิ่ง
ร่างการปกลคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าพุ่งออกมาราวดอกไม้ไฟ
” ฉึบ ! ตู้ม !”
ทหารจำนวนหนึ่งถูกส่งให้ลอยไป พวกเขาลอยผ่านอากาศราวกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า มีบุรุษในชุดและหน้ากากดำยืนอยู่ในสถานที่นั้น เขายื่นมือออกมและคว้าคอของ โจววูเทียน จากนั้น เขายกร่างของ โจววูเทียน ขึ้นจากพื้น เขากระทำได้เหมือนไม่ต้องพยายาม ที่ทำให้รู้สึกเหมือนการคว้าคอไก่ขึ้นมา ใบหน้าของ โจววูเทียนแดงก่ำ และเป็นสีม่วงเนื่องจากเขากำลังสำลัก ในขณะที่มือและขาของเขาต่อสู้อย่างไร้ความหวังในอากาศ
” บอกข้า ! หน้าไม้เอ็นเชวียนถูกเก็บไว้ที่ใหน ? “
แสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นรอบๆร่างของชายสวมหน้ากวกขณะที่เขาคลายมือออก ประกายแสงชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
” สังหารเขา ! ”
เสียงตะโกนของคนสามสิบสี่ดังขึ้นทุกทิศทาง ขณะที่พวกเขากวัดแกว่งกระบี่อและชี้กระบี่ตรงไปยังชายในชุดดำโดยมิได้สนใจความปลอดภัยของ โจววูเทียน ในขณะที่ โจววูจี้ตะโกนด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง
” ระวัง … น้องชาย … ! ”
จากนั้น เสียงคำรามอีกเสียงดังขึ้นจากภูผามืดมิด เสียงคำรามนี้ทำให้พื้นสะเทือน ร่างที่สองนั้น ใบหน้าของเขาถูกซ่อนไว้หลังหน้ากาก และร่างปกคลุมอยู่ในชุดสีดำ พุ่งออกมาในทันที เขาก็มีแสงสีฟ้าปกคลุมร่างไว้เช่นกัน เขาถือกระบี่ไว้ที่มือขวา
ชายชุดดำคนแรก และชายสวมหน้ากากมองไปยัง โจววูเทียน และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียง เยือกเย็น โจววูเทียนดิ้นรนอย่างไร้หนทางอยู่ในเงื้อมมือของเขา
น้ำเสียงของชายสวมหน้ากากไม่มีร่องรอยแห่งอารมณ์ขณะที่เขาถาม
“มันจักเลวร้ายมากสำหรับเจ้าหากเจ้าไม่พูด และ อย่าบอกข้าว่ามันอยู่ในรถม้า ข้าไม่หลงเชื่อคำโกหกของเด็กเช่นนี้ เจ้าจักพบจุดจบเพียงสิ่งเดียวหากกล้าโกหกข้า ตาย ! ”
” ใน … ใน … ”
เท้าของ โจววูเทียนกระสับกระส่าย และดวงตาของเขาเปล่งความกลัว แสงสีเหลืองเปล่งประกายผ่านร่างของเขาในเวลานั้น เขากรีดร้องและกระตุกอยู่ชั่วครู่ จากนั้น ก็อ่อนแรง
” เจ้าชั่ว ! ”
ชายชุดดำสาปแช่งด้วยโทสะ บุรุษในคาราวานตกอยู่ในความสับสน
โจววูจี้กรีดร้องด้วยความโศกเศร้าและทุกข์ยากท่ามกลางความสับสน
“น้องเล็ก ! ”
เขาเต็มไปด้วยความต้องการที่จักกระโจนเข้าใส่ราชองครักษ์
“เจ้าสังหารน้องข้า!”
นักรบผู้ที่ โจววูจี้กล่าวหา …เป็นหัวหน้า องครักษ์สวรรค์พิโรจขององค์ชายสอง .. ฉางชุ้นเซี่ยว เขาดุร้ายมากขึ้น เมื่อเห็นโจวเริ่มมีโทสะ สีหน้าของเขาแดงก่ำ และตะโกนอย่างโหดเหี้ยม
” โจววูจี้ เจ้ากล้าทรยศต่อนายท่านสอง ?! น้องของเจ้าปราถนาจะมีชีวิตและหวาดกลัวความตาย เขาจักเผยความลับหากข้าลงมือช้ากว่านี้ ! ข้าตัดสินใจสังหารเขาเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ มันเป็นการกระทำที่ควรเป็น ! หายนะจักเกิดขึ้นกับทุกคน หากเขาเปิดเผยความลับ ! และ สมาชิกทุกคนในสกุลโจวของเจ้าจักต้องถูกตัดหัวเพราะความโง่เขลาของเจ้า ! ”
โจววูจี้ สั่นสะท้าน จากนั้น เข้าหยุดชั่วขณะ ไม่มีที่ใดที่เขาจักปลดปล่อยความโศกเศร้าละขุ่นเคือง เช่นนั้น เขาจึงคำรามออกมาอย่างชั่วร้าย และหันกลับไปยัง ชายชุดดำคนแรก และ พุ่งตรงไปหาเขา
ตอนที่ 310
ใครบางคนตะโกนขึ้นกลางอากาศ
” พี่ใหญ่ พวกเราอาจจะต้องสังหารทุกคนและไปเอาหน้าไม้เหล่านั้นมา คนเหล่านี้คุ้มกันหน้าไม้เหล่านั้นอยู่ แล้วหน้าไม้มิอาจลอยไปในท้องฟ้าได้ มิใช่หรือ ? “
ร่างที่ปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าตะโกนขึ้น ประกายแสงสีฟ้าของกระบี่ของเขาส่องสว่างไปไกลถึงสามเมตร การปรากฏตัวของคนผู้นั้นทำให้เกิดเสียงโหยหวน คนผู้นี้ฝ่าเข้าไปในฝูงชนและเปิดเส้นทางที่เต็มไปด้วยเลือดเพื่อให้ตัวเขาผ่านไป จากนั้นเขาสังสารผู้คนเพื่อเข้ามาสู่ใจกลางสนามรบ
ฉางชุ้นเซี่ยวตะโกนลั่น
” ทุกคน ล้อมพวกมันไว้ ! รวมตัวกันและแปรขบวนถังเหล็กไปสังหารพวกมัน ! ขัดขวางศัตรู !”
ทุกคนตอบกลับ และมุ่งไปข้างหน้า เสียงสังหารเล็ดลอดออกมาจากทุกทิศทางขณะที่ราชองครักษ์มุ่งหน้าเข้าใกล้ใจกลางการต่อสู้ พวกเขามิอาจเทียบชั้นกับยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสามคนนี้ได้ แต่พวกเขาค่อยๆทำให้ตำแหน่งของพวกเขาคงที่ “
เสียงถอนใจเบาๆดังออกมาจากยอดไม้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดเห็นได้
คุณชายน้อยจวินหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้นั้น
จวินโม่เซี่ยผงกหัวต่อเนื่องขณะที่เขาเฝ้ามองการต่อสู้ สามผู้นั้นสังหารทุกคนโดยไร้เหตุผล นี่ทำให้เขาไร้วาจา
พวกเขาเป็นโจรมือสมัครเล่น ! ข้าไม่รู้ว่าเรื่องไร้สาระอันใดที่ยอดปรมาจารย์เล่ยวูเบ้ยสั่งสอนพวกเขา !
ชัดเจนว่าจวินโม่เซี่ยรู้ว่าชายชุดดำเหล่านี้เป็นศิษย์ที่เหลืออยู่ของ เล้ยวูเบ้ย
ในที่สุดเขาก็รู้จักพวกเขา
พวกเขาทั้งสามมีโอกาสผิดพลาดสูงกว่าจักสำเร็จ !
มีค่าอันใด !
โจรมาถึงอย่างเงียบเฉียบและโจมตีหนึ่งหน แต่ ไม่คาดว่าพวกเจ้าจักคิดว่าการเอ่ยวาจาบางอย่างจักสำคัญกว่าการโจมตี … !
สิ่งนี้ทำให้จวินโม่เซี่ยไร้วาจา
ทั้งหมดนี่ไร้สาระ !
สิ้นหวังสำหรับแผนการปล้นของพวกเจ้า แต่เจ้ายังรบกวนแผนการอันสมบูรณ์แบบของคุณชายน้อยผู้นี้ ! เสียเงินเปล่า ! เสียแรงเปล่า !
โชคดี เล่ยเจียนฮ้ง มิได้เอ่ยว่า
” ภูผานี้เป็นของข้า และข้าปลูกต้นไม้เหล่านี้ เช่นนั้นเจ้องต้องจ่ายค่าผ่านทาง ”
หรืออันใดคล้ายสิ่งนี้ นอกจากนั้น นั่นทำให้มือสังหารจวินหงุดหงิดจนมิอาจหาเหตุผลได้ และทำให้เขาเขาหัวทิ่มลงจากต้นไม้
จวินโม่เซี่ยนำหน้ามาก่อน และนำองครักษ์ของเขามาที่นี่ก่อนหนึ่งวัน พวกเขาขุดหลุมและฝังตัวเองเอาไว้ ความจริง จวินโม่เซี่ยได้แจกจ่ายยาให้พวกเขาแต่ละคน ยาตัวนี้สามารถสกัดกลิ่นไอของพวกเขาได้ คนนับสองร้อยได้ซ่อนตัวอย่างเป็นระเบียบอยู่ในป่าใกล้ๆ แน่นอนว่า พวกเขาได้ขุดอุโมงไว้ และหลบซ่อนตัวอยู่ในตอนนี้ พวกเขาเริ่มจู่โจมสายฟ้าแลป ในขณะที่กองคาราวานเข้าสู่วงล้อม พวกเขายึดสิ่งของและหนีไปอย่างรวดเร็ว
สามคนนี้โจมตีกองราคาวานก่อนที่มันจักเคลื่อนเข้าสู่วงล้อมของข้า !
เจ้าชั่วพวกนี้ทำให้ข้าพูดไม่ออก
จวินโม่เซี่ยรีบกระจายข่าวไปยังคนของเขาในทันที เขาบอกให้พวกเขาเงียบและยังมิต้องเคลื่อนไหว อย่างแรกพวกเขาจักต้องเฝ้าดูผลของการต่อสู้ก่อน เขาวิเคราะห์สถานการณ์ …
ชัดเจนว่าทั้งสองคนนั้นทรงพลัง มิเป็นการง่ายที่จักจัดการพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น นี่จักกลายเป็นการต่อสู้ที่มีแต่ชัยชนะ ข้าจักคิดหาแผนการใหม่
ในตอนที่จวินโม่เวี่ยกำลังคิดถึงสิ่งนี้ … เล่ยเจียนฮ้ง มุ่งไปข้างหน้าและทำเสียงนกหวีด ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบดังก้องขึ้น กลุ่มคนชุดดำและสวมหน้ากากพุ่งเข้าร่วมการต่อสู้ในคราวเดียว ทั้งสองฝ่ายล้มเหลวในการแก้ไขการขัดแย้งนั้นทันที
คนผู้นี้ องครักษ์สวรรค์พิโรจ ฉางชุ้นเซี่ยว ถูกฝ่ามือปะทะเข้าใส่หน้า เขากระอักเลือดทางปากขณะกระเด็นถอยหลังไป อย่างไรก็ตาม เขายื่นมืออกไปข้างหลัง และดึงจรวดไฟออกมาจากเข็มขัดด้านหลัง จากนั้นยิงมันขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นเสียง ตู้มดังขึ้นให้ได้ยิน ท้องฟ้ามืดดำส่องสว่างด้วยแสงสีของพลุ ปรากฏเป็นภาพที่คมชัดของกระบี่เลือดสีแดงที่อยู่เบื้องบน
” ดูเหมือนว่า หอกระบี่เลือด ก็หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่นี้เช่นกัน ตอนนี้ รอก่อนและดูว่าฝ่ายใดแข็งแกร่งที่สุด และฝ่ายใดอ่อนแอ … อย่างไรก็ตาม ข้าจักนั่งอยู่ตรงนี้ และเฝ้าดูสองเสือต่อสู้กัน ข้าจักปล่อยให้พวกเขาสู้กันจนกว่าพวกเขาจักหมดแรง และข้าจักไปช่วงชิงผลประโยชน์นั้น ”
จวินโม่เซี่ยนั่งหมอบลงบนยอดไม้ราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนหลังม้า กิ่งก้านเคลื่อนขึ้นลงเนื่องด้วยสายลมและเป็นการเคลื่อนไหวที่..แปลกประหลาด หากเขาต้องแสดงตัวออกมา และมีบางคนเห็นเขา … พวกเขาคงจักเชื่อว่าเขากำลังทำบางสิ่งที่เป็นความลับและส่วนตัวกับต้นไม้นั้น …
คุณชายน้อยจวินเอามือเท้าคาง เขาเฝ้ารออย่าเงียบสงบ และจดจ่อ
ช่างน่าสนุกยิ่งนัก ! หอกระบี่เลือด ศิษย์ของ เล้ยวูเบ้ย ยอดฝีมือลับของลี่โย่วลหาน … มันจักเป็นการดีหากพวกเขาได้รับการสูญเสียมากมายมายในการต่อสู้นี้ ความจริง มันจักดีที่สุดหากพวกเขาทั้งหมดตายไป !
เขาต้องการให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น แต่เขาก็มิได้หวังมากมายเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม … ข้าจักเพียงแต่เฝ้าดู ไม่เอ่ยสิ่งใด
เป็นที่น่าเสียงดาย ที่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นตรงข้ามกับความคาดหวังของทุกคน สัญญาณของหอกระบี่เลือดได้ถูกส่งออกไปแล้ว แต่ ยอดฝีมือของหอกระบี่เลือดก็ยังไม่มาช่วยเหลือ ไม่มีแม้แต่เงา
ภูผาโดดเดี่ยวยังคงเงียบงัน มีเพียงเสียงโหยหวนให้ได้ยิน แสงของลูกบอลไฟส่งอให้เห็นสีหน้าวีดเผือกของ โจววูจี้
” ข้าต้องการกองหนุนเพิ่มจริงๆ แต่เจ้านั้นมีเพียงเล่ห์เหลี่ยม ! ”
เล่ยเจียนฮ้ง คำรามทางจมูกขณะที่เขาเสียดสี
“นี่เป็นเรื่องตลกร้าย ! เลห์เหลี่ยมนี้อาจใช้กับผู้อื่นได้ แต่มิอาจใช้ได้กับข้า เจ้ามิอาจเล่นกับข้าได้ .. แต่เจ้าสามารเล่นกับโอกาสของเจ้าได้ ! ดูเหมือนว่าเจ้าต้องการจักจากชีวิตนี้ไปแล้ว ข้าควรจักต้องเติมเต็มความต้องการของเจ้า ! ”
โจววูจี้ กลิ้งไปรอบๆดั่งเช่นล่าโง่ เขาตัดร่างที่โศกเศร้านั้น ขณะที่หลบใบมีดที่เฉือนเข้ามา เสียงร้องไห้ของเขาดังขึ้น
” ท่านผู้บัญชาการ !
นี่ .. นี่ … กำลังเสริมของเรา … เจ้ามิได้บอกว่ากำลังเสริมจักตาหลังเรามาหรือ ? เหตุใดกัน ? … เหตุใดกัน ? … เหตุใดกัน ? …”
เขาต้องการจักบอกว่า
” เหตุใดไม่มีการเคลื่อนไหวของพวกเขา? “
แต่แล้ว มีเสียงกระบี่สามเล่ม สับลงมาขณะที่เขากำลังพูด สิ่งนี้ขัดจังหวะการพูดของเขา และ สุดท้ายเสียงของเขาเหมือนติดอ่าง
” ตอนนี้ข้าจักทำอย่างไร ? เจ้าคิดว่าข้าไม่เป็นกังวลหรือ ? “
ฉางชุ้นเซี่ยวสถปด้วยโทสะ
” ห่วงชีวิตของเจ้าก่อน ! ”
นักรบสกุลลี่ นำโดยสามยอดฝีมือสวรรค์เชวียน กำลังได้เปรียบอย่างมากในตอนนี้ พวกเขากดดันศัตรูหนักขึ้น ทีละขั้น และ คนของ โจววูจี้ถูกบีบให้เป็นวงและเล็กลงอย่างมาก มีผู้เหลือรอดที่อยู่ฝ่าย โจววูจี้ เพียงร้อยเศษ พวกเขาตั้งแนวรับอย่างยากลำบาก กระทำอย่างสุดความสามารถเพื่อต่อต้านการโจมตีที่แข็งแกร่งของศัตรู ขณะที่พวกเขาล้อมกันเป็นวงกลม นอกวงกลมนั้น ไม่มีพวกเขาคนใดที่รอดชีวิต
เมิงเซี่ยวซ้ง เซี่ยววูอี้ ฉางชุ้นเซี่ยว ผู้นำทั้งสามอยู่ใจกลางวงล้อมป้องกัน ใบหน้าของเขาซีดเผือกราวคนตาย
นับแต่มีการส่งสัญญาณ … เวลาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ตอนนี้ ไร้วี่แววของ กำลังหนุนของ หอกระบี่เลือด
เมิงเซี่ยวซ้งอดสถปออกมามิได้ น้ำเสียของเขาเริ่มคล้ายกับเสียงร้องไป
” อะไรกัน ? มีคนโจมตีราชองครักษ์อย่างโจ่งแจ่งใกล้นครหลวงเช่นนี้ได้อย่าไงรกัน ? ข้าอยากบอกท่านพี่ … ข้ามีครอบครัวต้องดูแล ข้าติดตามท่านมาครั้งนี้ แต่มันมิได้ง่ายดายเลย ตอนนี้ เหตุใดท่านจึงไม่เร่งรีบคิดหาหนทางเล่า ? ท่านเป็นใหญ่ในนครหลวง .. แล้วเหตุใดท่านจึงมิเร่งรีบจับกุมคนเหล่านี้เล่า … ?
การบำเพ็ญของ เมิงเซี่ยวซ้ง สูงส่งยิ่ง เขาอยู่ในขั้น ปฐพีเชวียนกลาง เขาคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของ โจววูจี้ อย่างไรก็ตาม เขามีชีวตอยู่อย่างองค์ชายมาหลายปี เขาได้สูญเสียความมุ่งมั่นที่จักคว้าชัย และ กล่นอาสังหารมาเนิ่นนาน อีกทั้งเขายังมีชีวิตอยู่เพื่อครอบครัวมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นห่วงชีวิตตัวเองมากกว่าโอกาสในการหาเงิน เขาอดโอดครวญมิได้เนื่องจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ แต่ มันช้าเกินกว่าจะเสียใจ
ข้ามิอาจได้ดื่มชาในบ้านที่ปลอดภัยได้แล้วหรือ ? บางทีข้าอาจพาสุนัขไปเดินเล่น หรือกลั่นแกล้งประชานชน หรือฉุดหญิงสาว … เช่นนั้นมิใช่เรื่องสนุกหรือ ? แต่ข้ากลับถูกหลอกลวงด้วยเงินห้าหมื่นตำลึงเงิน ซึ่งข้ามิได้มีโอกาสจักครอบครองมันเลย และตอนนี้ ชีวิตข้าจะต้องจบลงที่นี่ …
ฉางชุ้นเซี่ยวมิอาจกลั่นโทสะไว้ได้
“เจ้ากำลังตะโกนวาจาไร้สารในความวุ่นวายหรือ ? หัวใจคนของข้าอยู่ในความสับสนอยู่แล้ว และตอนนี้ เจ้ายังตะโกนเรื่องไร้สาระ ? เจ้ายิ่งจักทำให้พวกเขาสับสน และทำให้ กำลังใจการต่อสู้ของพวกเราลดหายไป ข้าบอกให้เจ้า .. หุบปาก ! หากเจ้าส่งเสียงอีก ข้าสัญญาว่า ข้าจักตัดหัวเจ้ากับกระบี่ของข้าเอง ! “
เมิงเซี่ยวซ้ง มิอาจอดกลั่นโทสะ เขาใช้กระบี่ของเขาป้องกันร่างกาย ขณะที่เขาตะโกนขุนเคือง
” เหตุผลไร้สาระอันใดกัน ? เจ้าเป็นองครักษ์ชั้นสูงผู้รับใช้องค์จักพรรดิ ! เจ้าเป็นตัวแทนของ ขุนนางราชสำนัก! เราเป็นเพียงคนสามัญที่มีพลังเพียงน้อยนิด เราเพียงช่วยเหลือเจ้าส่งของสิ่งนี้ เจ้าทำให้ชีวิตของพวกเราอยู่ในอันตราย และเจ้ายังมาทัศนะมากยิ่งเช่นนี้กับข้าหรือ ? และตอนนี้ พวกเรามิอาจปริปากได้อีกหรือ ? “
เมิงเซี่ยวซ้งหยุดพูด จากนั้น เขาตะโกน …. ก่อนที่ ฉางชุ้นเซี่ยว จัดมีโอกาสตอบกลับ
” ช่วยด้วย ! ช่วยพวกเราด้วย ! ”
ปราณเชวียนของเขาเป็นรองเพียงสามสวรรค์เวียนที่อยู่ที่นี่ แต่กระนั้น เขายังล่าถอยตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ เขายังมิได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย แต่เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง
จวินโม่เซี่ยเกือบร่วงจากกิ่งไม้ที่เขานั่งอยู่
ท่านน้า ไม่ว่าท่านจักพูดอันใด … ท่านยังคงเป็นยอดฝีมือปฐพีเชวียน มิอาจถือได้ว่านท่านเป็นผู้สูงส่งในโลกนี้ แต่ท่านยังได้รับเกียรต์ให้เป็นผู้ที่อยู่ในอันดับที่สูงส่ง ! แต่กระนั้น ท่านมีความเห็นแก่ตัวมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ?
เล่ยเจียนฮ้งผู้สวมหน้ากากและชุดสีดำก็มิอาจหักห้ามความงุนงงได้ จากนั้นเขาหัวเราะ และตะโกนลั่นด้วยความชั่วร้าย
” ตะโกน ! ตะโกนออกไป ! ตะโกนออกไปเท่าที่เจ้าสามารถ ! มันไร้ประโยชน์แม้นว่าเจ้าจักตะโกนจนคอพัง ! ไม่มีผู้ใดจักมาช่วยเจ้า ! ”
จวินโม่เซี่ยสั่นไหว เขายังคงเงียบ และไต่ถามต่อสรวงสวรรค์ … ด้วยความต้องการอันแรงกล้า
สวรรค์ปล่อยให้ข้าตายเถิด ! ปล่อยให้ข้าได้ยินวาจาดั้งเดิมเหล่านี้ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ได้อย่างไร ?!
เมิงเซี่ยวซ้งตะโกนขอความช่วยเหลือมากมายเนื่องด้วยความเห็นแก่ตัว อย่างไรก็ตาม วาจาของ เล่ยเจียนฮ้งเป็นที่นิยมอย่างมากในโลกก่อนของเขา
จวินโม่เซี่ยกำลังงุนงง เขาเกือบจักมองเห็น บุรุษผู้น่ากลัวที่เผชิญหน้ากับเด็กสาวในตรอก บุรุษผู้นั้นแสดงความพึงพอใจอย่างมากขณะที่เขาตะโกน
” มันไร้ประโยชน์แม้นว่าเจ้าจักตะโกนจนคอพัง … ”
เขามิได้คิดว่ามสิ่งที่เกิดขึ้นนั่งถูกเสริมแต่งเล็กน้อย แต่มันยังคงมิอาจเทียบกับฉากที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา ยิ่งกว่านั้น ก็ยังเป็นบุรุษในโลกนี้ที่เอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมา !
เสียงประหลาดดังออกมาจากลำคอของจวินโม่เซี่ย มันเป็นเสียงของการสำลักน้ำลาย ราวกับเขากำลังอยู่บนขอบเหวแห่งความตาย
ข้าอยากอาเจียน สิ่งนี้น่าขยะแขยงยิ่งนัก !
สถานการณ์นี้ยังคงเป็นเช่นเดียวกับเมื่อก่อน
คนของ โจววูจี้ส่วนใหญ่ตายไป คนส่วนใหญ่ของ เมิงเซี่ยวซ้งที่มาจาก กองราคาวานการค้าทางใต้กลายเป็นศพ เลือดของพวกเขากระจายข้ามเส้นของฟ้า เขาไร้ทางเลือกเว้นจักยอมรับว่า องครักษ์สวรรค์พิโรจสองร้อย ที่ถูกส่งมาโดยองค์ชายนั้น แข็งแกร่งที่สุด องครักษ์สวรรค์พิโรจ ราวร้อยห้าสิบนั้นยังคงมีชีวิตอยู่
ความแข็งแกร่งของ องครักษ์สวรรค์พิโรจนั้นมิได้สูงส่งเลย ความจริง พวกเขาอ่อนแอกว่า สมาชิกของ กองราคาวานการค้า และ สกุลโจว อย่างไรก็ตาม พวกเขามีข้อได้เปรียบในการต่อสู้ และพวกเขาคุ้นเคยในรูปแบบการต่อสู้เป็นกลุ่ม ดังนั้น กำลังใจของพวกเขาจึงยังมั่นคงแม้นว่าพวกเขากำลังตกอยู่ที่นั่งลำบาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเป็นเลิศในการต่อสู้ตีฝ่าวงล้อม ความแข็งแกร่งของทีมทำให้พวกเขาได้เปรียบอย่างมากแม้นในค่ำคืนที่มืดมิดที่กำลังเผชิญ
สำหรับคนของ สกุลโจว และคนจากกองคาราวานการค้า พวกเขาแต่ละคนนั้นมีความแข็งแกร่งกว่าคนจาก องครักษ์สวรรค์พิโรจ อย่างไรก็ตาม พวกเขาคุ้นเคยกับการต่อสู้แบบตัวคนเดียว และไร้ประสบการณ์เมื่อต้องมากต่อสู้ร่วมกับผู้อื่น เช่นนั้น พวกเขาจึงเชื่อในความแข็งแกร่งของตัวเอง และมุ่งหน้าสังหารต่อไปแม้นว่าพวกเขาจักต้องเผชิญกับสงครามหรือความสับสนที่ยิ่งใหญ่ สำหรับผลที่เกิดขึ้นนั้น … พวกเขาจักตายเป็นกลุ่มแรก พวกเขามีความแข็งแกร่งสูงส่งเมื่อเทียบกันระหว่างตัวต่อตัว แต่ความแข็งแกร่งของทีมของเขานั้นขาดแคลนยิ่งนักต่อหน้า ยอดฝีมือ
เล่ยเจียนฮ้ง และสหายที่ติดตามพวกเขาได้รับการโจมตีจากสามด้าน เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นใจร้อน อย่างไรก็ดี สถานที่นี้อยู่ใกล้นครหลวง ผลที่ตามมาจักใหญ่หลวงนักหากข่าวขงอเหตุการณ์นี้แพร่กระจายออกไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น