Otherworldly evil monarch 297-303
ตอนที่ 297
จวินโม่เซี่ย จำได้ว่ามีการตกลงกับ กระเรียน และ หมีใหญ่ว่า หากพวกเขาสามารถสร้างความวุ่นวายที่ คฤหัสน์ฉือฮั่น และหักขาของคุณชายน้อยพวกนั้นได้ เขาจักช่วยพวกเขาพัฒนาการฝึกฝนและทลายปัญหาคอขวด สิ่งนี้จักเป็นรางวัลสำหรับการจัดการกับ คฤหัสน์ฉือฮั่น
พวกเขาเอ่ยวาจาไว้ว่าจักใช้เวลาครึ่งเดือนเพื่อจัดการงานนี้ให้สำเร็จ แต่ เขาได้ลดหย่อนกำหนดเวลาให้เป็นหนึ่งเดือน เขาคาดการณ์ว่าพวกเขาจักทำงานได้สำเร็จภายในเวลาอันสั้นยิ่งเนื่องจากพวกเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยท่าทีเรียบง่าย อย่างไรก็ตาม เขามิได้รับข่าวจากพวกเขาเลยมาระยะหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงเริ่มรู้สึกประหลาด
และตอนนี้สัตว์เชวียนเกิดการลุกฮือขึ้นมิคาดคิด ผู้ใดอื่นจักอยู่เบื้องหลังได้นอกจากสองผู้นั้น ?
ข้าเพียงขอให้พวกเขาตรวจสอบ คฤหัสน์ฉือฮั่น เพียงชั่วคราวเท่านั้น มิเคยขอให้พวกเขากระทำรุนแรงเช่นนี้ และตอนนี้ สถาณการณ์เกือบเป็นการสงครามแล้ว สองสิ่งนี้เหมือนกันได้อย่างไร ?
เรื่องนี้ยังคงเป็นเงื่อนงำสำหรับจวินโม่เซี่ย ไม่ว่าเขาจักครุ่นคิดเพียงใด
มีการเดิมพันมากมายในเรื่องนี้ พวกเขามิรู้เรื่องนี้ ? แต่ เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้ ? พวกเขามีเหตุผลอื่นใดหรือเบื้องหลังสิ่งนี้ ?
จวินโม่เซี่ยยอมรับว่ามิได้รู้อันใดมากถึงการลุกฮือของสัตว์เชวียน ราชันแห่งสัตว์เชวียนทั้งสองทำให้เขาสิ้นหวังในการลงทุนกับทางใต้ยิ่งนัก
แผนการของสวรรค์เข้ามาแทนที่แผนการของเรา !
ราวกับว่าการจัดการกับยอดฝีมือของคฤหัสน์ฉือฮั่นนั้นมิได้เป็นการใหญ่สำหรับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามิได้งเผชิญหน้ากับศัตรู พวกเขาเพียงแต่ก่อให้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย นั่นก็มากเพียงพอแล้ว
แต่พวกเขามิรู้ว่าการปรากฏตัวของพวกเขาในนครเทียนเชียงนั้นจักเป็นการเตือนซีฉางเซี่ยว ปรมาจารย์แห่งความเป็นตาย หลังจากการต่อสู้เพื่อแกนเชวียนจบลง ฉีฉางเซี่ยวออกไปยัง คฤหัสน์ฉือฮั่นทางใต้เพื่อเสาะหาข้อมูลเช่นกัน …
การที่ราชันแห่งป่าเกียรฟาแสดงตัวมา จักมิใช่เรื่องเล็กน้อยได้เช่นไร ?
ป่าเถียรฟานั้นตั้งอยู่ใกล้เคียงคฤหัสน์ฉือฮั่น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแปลกหากคฤหัสน์ฉือฮั่นมิได้เตือนภัยเมื่อ ราชันแห่งสัตว์เชวียน ออกจากป่าเถียรฟา จากนั้น ความบังเอิญอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีก ปรมาจารย์ ลีจื้อเทียนผู้เป็นเลิศ กำลังเดินทางกลับไปยัง คฤหัสน์ฉือฮั่นหลังจากเดินทางท่องเที่ยว …
สิ่งที่จักเกิดอย่าแน่นอน ..และสิ่งที่มิควรเกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้ก่อให้เกิดความสับสนยิ่งใหญ่
กระเรียน และ หมีใหญ่มุ่งหน้าตรงไปยัง คฤหัสน์ฉือฮั่น พวกเขาตัดสินใจทำตามคำขอของจวินโม่เซี่ยอย่างมุ่งมั่น จากนั้น พวกเขาทำลายประตูคฤหัสน์ และถล่มพวกมัน สิ่งแรกพวกเขารื้อค้นทั่วทั้งพื้นที่ และโจมตียอดฝีมือในจวน พวกเขาจักหยุดลงเมื่อสร้างปัญหาได้มากเพียงพอให้คำขอแรกนั้นสำเร็จ จากนั้น พวกเขาจึงมุ่งไปยังข้อที่สอง พวกเขาเริ่มมองหา คูณชายน้อยแห่งคฤหัสน์ฉือฮั่นเนื่องจากต้องการหักขาของเขา พวกเขาวางแผนจับตัวเด็กหนุ่มผู้นั้น เตะก้น และออกไปจาก คฤหัสน์
คฤหัสน์ฉือฮั่นจักตอบโต้เช่นไร ? ผู้ที่พวกเขาเรียกว่า เจ้าเหนือหัว จักต้องอับอายเนื่องด้วยเรื่องนี้
ราชัญแห่งสัตว์เชวียนทั้งสองนั้นมีการบำเพ็ญในขั้นสุดยอด และร่างกายพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก คฤหัสน์ฉือฮั่น มียอดฝีมือเทพเชวียน และ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนมากมาย แต่ ฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลังทั้งสองนั้น มิอาจเอามาเปรียบได้
ปรมาจารย์ คือ ปรมาจารย์ และ ราชันคือราชัน หมีใหญ่ และ กระเรียนเปรียบดั่ง เสือสองตัวในฝูงแกะ ทั้งสองต่อสู้ด้วยพลังอันแรงกล้า และ มิได้ยั้งมือ พวกเขาภาคภูมิในต้นกำเนิด และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าพวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ได้ ดังนั้น พวกเขาจึงใช้โอกาสในความวุ่นวายนี้ เข้าสู้คฤหัสน์ฉือฮั่น ทำลายกำแพงทางทิศตะวันออก และจุดไฟเผาทางฝั่งตะวันตก ยอดฝีมือเทพเขวียนแห่ง คฤหัสน์ฉือฮั่นเดือดดาลเนื่องด้วยสิ่งนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเขามิอาจจรับมือกับภัยคุกคามนี้ได้เนื่องด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขามิได้รวมเป็นหนึ่ง พวกเขาถูกโจมตี แทนที่จักจัดการกับผู้บุกรุก
พวกเขาทั้งสองเป็นดั่งปิศาจชั่วร้ายผู้ที่สำราญกับความวุ่นวาย แต่กระนั้น พวกเขาก็มิอาจสำราญได้เนิ่นนานนัก …
ปรมาจารย์แห่งความเป็นตาย ฉีฉางเซี่ยว ผู้ซึ่งมุ่งหน้ามายัง คฤหัสน์ฉือฮั่นอย่างร้อนรน เขามาถึงได้ทันเวลา และได้พบกับสถานการณ์นี้ เขาเลือกคู่ต่อสู้ และ เริ่มต่อสู้กับ หมีใหญ่ ในขณะนั้น ยอดฝีมือที่เหลือ ร่วมมือกันกละเผชิญหน้ากับ กระเรียน ความวุ่นวายนำไปสู่การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ และสถานการณ์แปรเปลี่ยนไปในทันที กระเรียน และ หมีใหญ่ เสียท่าลงในไม่ช้านาน
จึงมิใช่เรื่องสำคัญ หากราชันแห่งสัตว์เชวียนทั้งสองจักตัดสินใจล่าถอนในตอนนั้น งานของพวกเขาสำเร็จไปแล้วในส่วนใหญ่ แต่ พวกเขาเป็นราชญแห่งสัตว์เชวียน เช่นนั้น พวกเขาจักเสียหน้าเช่นนได้ได้อย่างไร ?
พวกเขามิอาจหันกลับได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น พวกเขาจักพบหน้า ยอดฝีมือลึกลับผู้ที่สัญญาจักช่วยพวกเขาทะลวงผ่านขีดจำกัดได้เช่นไรเมื่อพวกเขายังมิสามารถทำงานได้ลุล่วง ? พวกเขาเพียงแค่วางเผลิงบ้านเพียงไม่กี่หลัง มันจักถือเป็นการทำลายล้างได้เช่นไร ?
นอกจากนี้ พวกเขายังถูกขอให้หักขาของ ลี่เติ้งหยวน กระนั้น พวกเขาก็ยังมิอาจระบุที่อยู่ของเขาได้ในตอนนี้ พวกเขาจักหลอกลวง ปรมาจารย์ลึกลับผู้นั้นได้ง่ายดายเชียวหรือ ?
จักต้องเอ่ยว่า ปิศาจเหล่านั้นมีหัวใจที่จริงแท้ พวกเขาตัดสินใจยึดมั่นในงานที่ได้รับมาจากปรมาจารย์ลึกลับ
ฉีฉางเซี่ยวเป็นเพียงคนผู้หนึ่งมิใช่หรือ ? พวกเราจักกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้หากต้องพ่ายในวันนี้ จากนั้นเราจัดมาดูกันว่าผู้ใดจักจัดการผู้ใด !
มนุษย์เช่นพวกเจ้าจักสามารอดทนได้เท่าสัตว์เชวียนเช่นพวกเราหรือ ? ไร้สาระยิ่ง !
นอกจากสัตว์เชวียนทั้งสอง จักมีผิวหนังที่หนายิ่งแล้ว การโจมตีที่รุนแรงก็มิอาจทำอันตรายได้นัก พวกเขาเคยถูกล้อม แต่พวกเขาก็ต่อสู้อย่างห้าวหาณ และสังหารผู้คนเพิ่มได้อย่างง่ายดาย สัตว์เชวียนกระทำลงไปโดยไร้ซึ่งปราณี และยังคงกระทำต่อไปด้วยความกระหายที่จักทำลาย … ในขณะที่มิได้สนใจ ฉีฉางเซี่ยวแต่น้อย
จากนั้น …
พวกเขาจึงล่าถอยเพื่อรักษาชีวิตไว้ และกลับมาสร้างความหายนะใหม่ในเช้าวันต่อมา สัตว์เชวียนทั้งสองตัดสินใจว่าพวกเขาจักไม่หยุดจนกว่าจักสามารถสำเร็จภารกิจได้ลุล่วง ! พวกเขาทั้งสองมีความแข็งแกร่งในเรื่องนั้นอย่างแน่นอน
แต่ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เหล่าเทพเชวียนในคฤหัสน์ฉือฮั่นไม่พอใจ มียอดฝีมือ เทพเชวียนมากมายใน คฤหัสน์ฉือฮั่น แต่พวกเขามิอาจปกป้องประตูหรือลานบ้านได้เลย และสัตว์เชวียนชั้นเลิศทั้งสอง ยังคงลอบโจมตีปีกทางตะวันออกและตะวันตกอย่างต่อเนื่อง แม้แต่พระเจ้าก็มิอาจหยุดยั้งพวกเขาได้ …
ยอดฝีมือมากมายสามารถประมือกับพวกเขาได้ แต่มิได้แข็งแกร่งเพียงพอจักต้านทานได้เนิ่นนาน มิต้องกล่าวถึงการสังหารพวกเขา …
เหล่ายอดฝีมือเริ่มอ่อนแรง ขณะที่สัตว์เชวียนทั้งสองมีชีวิตชีวาขึ้น การต่อสู้ทีผ่านมาหลายวันนี้ ทำให้พวกเขาปิติยิ่ง
ลีจื้อเทียน กลับไปยังคฤหัสน์ ท่ามกลางความสันสบนี้
ผู้ใดจักจินตนาการได้ว่า ยอดปรมาจารย์ที่สองจักเกรี้ยวกราดเมื่อเขากลับไปถึง ? เขาออกไปท่องโลกหลายปี แต่เมื่อกลับมากลับต้องพบว่าบ้านของเขาถูกปิดล้อม ทุกสิ่งรอบคฤหัสน์ในระยะ สามร้อยหลากลายเป็นเถ้าธุลี ทุกสิ่งถูกทำลายลงทุกที่ และมีบางสิ่งล้มคว่ำ
นี่คือ คฤหัสน์ฉือฮั่น จริงหรือ ? นี่คือสิ่งที่ข้าอุสาหะสร้างสมมานานปี ?
คล้ายดั่งที่หลบภัย !
การตอบโต้ของ ลีจื้อเทียน นั้นพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้สัตว์เชวียนสิ้นใจได้
ราชัญแห่งสัตว์เชวียนทั้งสองผู้ที่ ดุร้ายยิ่ง และสำราญกับการต่อสู้ แต่มิอาจเทียบกับ ลีจื้อเทียน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้ใช้พลังหมดไปกับการหยอกล้อกับฝ่ายตรงข้ามก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาเหนื่อยอ่อนยิ่งนัก
แต่ พรสวรรค์ของ สองราชันสัตซ์เชวียนั้นคือร่างกายที่แข็งแกร่ง พวกเขาร่วมมือกัน และไม่นานก็สามารถรับมือกับ ลีจื้อเทียนได้ แม้นว่าจักยากลำบาก
ผลการต่อสู้ในที่สุด สองสัตว์เชวียนก็สามารถหลบหนีออกไปได้หลังจากได้รับบาดเจ็บรุนแรง ในขณะที่ คฤหัสน์ฉือฮั่นมีชัย
แต่กระนั้น มันจักเกินจริงไปสักหน่อยหากจักเรียกว่าชัยชนะ บางสิ่งบางอย่าง ที่ลีจื้อเทียนมุมานะสร้างมันขึ้นมากว่าครึ่งชีวิต … เกือบพังทะลาย ยอดฝีมือเทพเชวียนจำนวนมากล้มลงพร้อมการบาดเจ็บรุนแรง ลีจื้อเทียนเอาชนะ สองราชันแห่งสัตว์เชวียนได้ แต่ชัยชนะนี้ถือได้ว่าคือ โศกนาฏกรรม
กระนั้น ฉีฉางเซี่ยว ยังคงไปเยี่ยมเยือนพวกเขา เมื่อปรมาจารย์อาวุโสของพวกเขากลับมา และ สองราชันแห่งสัตว์เชวียนเกือบพ่ายแพ้ จึงต้องมีการเฉลิมฉลอง อย่างไรก็ตาม เคราะห์ร้ายก็ตกลงสู่หัวของพวกเขาอีกครั้ง ในเย็นแห่งงานเฉลิมฉลอง
ฝูงสัตว์เชวียน ปรากฏขึ้นจากสุดสายตา และมาถึงโดยมิได้มีปัญญาญใด
ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูง … สิ่งใดๆก็ตามที่มิอาจมีผู้ใดคาด … อยู่ที่นั่น
สิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้น .. ฝูงหมาป่าปิศาจกระหายเลือดพุ่งเข้าใส่พวกเขาราวกับคลื่นโหมกระหน่ำ ยิ่งไปกว่านั้น ฝูงหมาป่านี้มิอาจคาดจำนวนได้ …
แต่ ฝูงหมาป่านี้กระทำตัวแตกต่างยิ่ง และล่าถอยไปหลังจากสร้างความเสียหายให้แก่ คฤหัสน์ฉือฮั่น อย่างหนัก ความจิรงแล้ว เหล่าปิศาจเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขารู้สึกว่าโชคเข้าข้าง …
ทุกผู้เริ่มผ่อนคลาย … แต่ ในช่วงเวลานั้น ฝูงมดทองกินมนุษย์แห่งป่าเถียรฟาปรากฏขึ้น
พวกเขามิได้โชคดีนัก … ในความจริง พวกเขาโชคร้ายยิ่งกว่า !
พวกเขาเกือบสามารถรับมือกับเหล่าฝูงมดทองกินมนุษย์ได้แล้ว ในขณะที่เหล่าปิศาจเชวียนที่บินได้จู่โจมเข้ามา
จักเอ่ยได้ว่า มิอาจมีแสงตะวันส่องถึง คฤหัสน์ฉือฮั่น เป็นเวลาถึงสองวัน
สองราชันแห่งสัตว์ชเวียนมิอาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ดีนัก และได้กระตุ้นให้เกิดการลุกฮือของสัตว์เชวียน
นี่มิใช่เรื่องของการสำเร็จภารกิจของปรมาจารย์ลึกลับแล้ว แต่กลับกลายเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี สถานการณ์ก่อให้เกิดความเกลียดชังยิ่ง สองราชันแห่งสัตว์เชวียนถูกบังคับให้วิ่งหางจุดตูด หลังจากถูกมนุษย์ปราบปราม … สัตว์เชวียนถูกเอาชนะ ! พวกเขาจักเรียกตัวเองว่าราชันได้อย่างไร หากพวกเขามิอาจลบล้างความพ่ายแพ้นี้ได้ ?
ยิ่งไปกว่านั้น ยอดฝีมือแห่ง คฤหัสน์ฉือฮั่น มีกำลังใจยิ่งเมื่อ ลีจื้อเทียนสามารถเอาชนะ สองราชันแห่งสัตว์เชวียนได้ ทั้งสองกลั่นแกล้งพวกเขามานาหลายวัน แต่ในที่สุดกลับต้องถูดเจ้าเหนือหัวของพวกเขาขับไล่ไป ความยินดีนี้ มิใช่สิ่งที่รื่นหูนักสำหรับสองราชันแห่งสัตว์เชวียน การต่อสู้กับ ลีจื้อเทียน อาจมิสามารถสังหารสองราชันผู้นี้ได้ แต่พวกเขาเกือบสิ้นใจหลังงจากได้ยินเสียงกู้ร้องของยอดฝีมือจาก คฤหัสน์ฉือฮั่น
ดังนั้น สองราชันแห่งสัตว์เชวียนจึงเดือดดาลยิ่ง ความจริงแล้ว พวกเขาเกือบถลกขนตัวเองเนื่องจากโทสะนี้
จากนั้น อีกเหตุการณ์ที่มิอาจคาดจึงเกิดขึ้นในป่าเถียรฟา และทำให้ราชันแห่งสัตว์เชวียนทั้งสองไร้ยางอายยิ่งขึ้น มันเรียกว่า ไม่มีเสือในหุบเขา … ดังนั้นลิงจึงกลายเป็นราชา ดังนั้น พวกเขาจึงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ พวกเขาจักจัดการกับปัญหาใหญ่ได้เช่นไร หากพวกเขามิอาจรับมือได้กับสถานการณ์เล็กน้อยเช่นนี้ ?
ด้วยเหตุนี้ การกบฏของสัตว์เชวียนจึงเกิดขึ้นราวพายุคลั่ง และกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางทาง
แม้แต่ลี่จื้อเที่ยนก็ไร้ทางเลือกจำต้องล่าถอยเมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม สองสัตว์เชวียนก็มิได้ยอมรับสิ่งนั้นในตอนท้าย ราวกับพวกเขามิเต็มใจปล่อยให้เขาอยู่รอด ราวพวกเขาต้องการทำลายให้หมดสิ้นทุกสิ่ง
แต่กระนั้น พวกเขาทั้งสองก็คิดถึงเพียงสิ่งเดียว
ผู้อาวุโส พวกเราเพียงต้องการให้เจ้าส่งตัวลูกชายเจ้ามา พวกเราจักหักขาของเขาและจากไป เจ้ามิเข้าใจคำขอที่ง่ายดายเพียงนี้หรือ ? พวกเรามิได้ต้องการบดขยี่ขาของเขา … พวกเราจักหักมันอย่างนุ่มนวล … เจ้าจักสามารถต่อมันกลับไปได้เพียงเวลาไม่กี่เดือน ! เป็นเพียงธรรมเนียมที่พวกเราจำต้องกระทำเพื่อ ปรมาจารย์ลึกลับผู้นั้น ! เป็นเพียงแค่คำของที่เรียบง่าย เหตุใดเจ้าต้องทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเป็นตาย …
ตอนที่ 298
แต่ ผู้ใดคือ ลีจื้อเทียน ? เขาเป็นสองรองเพียงแค่ยอดปรมาจารย์ผู้ทรงพลัง จุ้นเป้ยเฉิน เช่นนั้น จักไม่เป็นปัญหาในภายภาคหน้าหรือหากเขาปล่อยให้บุตรชายตกอยู่ภายใต้สถานการณ์นี้ ? มิใช่เพราะไม่มีผู้ใดในทั้งสองฝ่ายพยายามเข้าเจรจา หากแต่ทุกการเจรจานั้นสั่นยิ่งและจบลงอย่างน่าสังเวช เช่นนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มโจมตีอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ไม่นาน คฤหัสน์ฉือฮั่นเหนื่อยอ่อนยิ่ง และเกือบถูกกำจัดไปโดยเหล่า อสูรเชวียน ราวกับพวกเขาจักกลายเป็นอาหาร ต่อจากนั้นถูกย่อยกลายเป็นมูล
ดังนั้น ลีจื้อเทียน และ ฉีฉางเซี่ยวไร้สิ้นหนทางจึง ประกาศขอความช่วยเหลือจากเหล่ายอดฝีมือเชวียนจากทั่วโลก
และ นั่นคือเวลาที่ จวินโม่เซี่ยและคนอื่นๆรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เรื่องนี้กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ …
ทุกผู้ต่างสับสนว่าเหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น ? พวกเขาประหลาดใจว่าสิ่งใดยั่วยุสองราชันอสูรเชวียน
พวกเขาลุกขึ้นต่อสู้กับ คฤหัสน์ฉือฮั่น … แต่ด้วยเหตุใด ? ข้ามิอาจเข้าใจ …
คำถามนี้ มิเพียงทำให้ผู้คนต่างหม่นหมอง แต่ยังทำให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อ ลีจื้อเทียนและผู้อื่นๆจาก คฤหัสน์ฉือฮั่นสันสนและโกรธเคืองยิ่ง
พวกเราไปทำสิ่งใด ? เหตุใดเหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้เกิดกับพวกเรา ? ผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ? ประหลาดยิ่งนัก !
ลีจื้อเทียน ไต่ถาม กระเรียน และ หมีใหญ่หลายหนว่า
” เหตุใด ? พวกเราอยู่อย่างสงบมาช้านาน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราทั้งสองยังมีการค้าร่วมกัน เช่นนั้น เหตุใดพวกเจ้าจึงโจมตีพวกเรากระทันหันเช่นนี้ ? หากพวกเราจักต่อสู้กัน … อย่างน้อยเจ้าจักมิบอกกล่าวเหตุผลเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้หรือ ? “
คำถามของ ลีจื้อเทียนมิได้ไร้เหตุผล ความจริงแล้ว นั่นคือคำถามที่ยุติธรรม มิควรมีเหตุผลที่ดีที่สองกองกำลังทำสงความกันหรือ ?
กระนั้น สองราชันอสูรเชวียนมิอาจตอบเขาได้ทุกครั้ง
ไม่ผิดหรอกหรือที่จักบอกเขาว่า พวกเราแพ้เดิมพันคนผู้หนึ่ง และ คฤหัสน์ฉือฮั่นของเจ้านั้น อุจาดนัยน์ตาคนผู้นั้น ดังนั้น พวกเราจึงมาที่นี่เพื่อหักขาลูกชายเจ้า … เพียงเท่านั้น … ?
ผู้เราจักไม่เสียหน้ามากยิ่งกระนั้น ?
มันจะดูคล้ายดั่งพวกเรากลายเป็น นักเลงรับจ้าง .. ที่ทำตากคำสั่งของผู้อื่น
การสอบถามเช่นนั้น ทำให้ หมีใหญ่ มิอาจควบคุมอารมณ์ .เจ้ามิใช่ปรมาจารย์อันดับสอง ? และ เจ้าอาจหาญไต่ถามพวกเราเช่นนั้น ? เจ้ามิรู้หรือพวกเราคือผู้ใด ?
ลีจื้อเทียนมิได้ไต่ถามผื่นใดหลังจาก ลีจื้อเทียนเอ่ยวาจานั้น แต่ ทั้งสองฝ่ายเริ่มโจมตีใส่กันหนักหน่วงขึ้น ความจริง หาเหล่าอสุรเชวียนล่าถอยในตอนนั้น … ลีจื้อเทียนก็จักตามพวกเขา และโจมตี ป่าเถียนฟา
ทุกผู้มีโทสะ …
จากนั้น หมีใหญ่จึงเอ่ยประโยคดั้งเดิม
” เหตุใดจะไม่ ? เจ้ามิได้ต้องตาข้า ข้าเฝ้าดู คฤหัสน์ฉือฮั่น ของเจ้ามาช้านาน และข้าต้องการโจมตีมัน ! วันนั้นเจ้ากลั่นแกล้งพวกเราทั้งสองมิใช่หรือ ? ตอนนี้ พวกเรากลับมาพร้อมกับอสูรมากมายเพื่อเอาคืนเจ้า มิได้หรือ ? เจ้าเฒ่าชั่วช้า ! เจ้านั้นอายุราว แปดสิบแล้ว และยังคงเล่นกับหญิงสาวเพื่อให้กำเนิดลูกชาย ! หากเจ้ามิอับอายในเรื่องนี้ … ข้าเพื่อนบ้านของเจ้า รู้สึกอับอายยิ่ง ! เช่นนั้น ข้าจึงตัดสินใจสั่งสอนบทเรียนแก่เจ้า ! ”
ปรมจารย์อับดับสอง อายุร้อยปีเกือบกระอักเลือด จากนั้น การต่อสู้งของทั้งสองฝ่ายเพิ่มความรุนแรงขึ้นหลังจากที่ ยอดปรมาจารย์ได้ฟังวาจานั้น
ในจุดนี้ ทั้งสองฝั่งมิอาจสามารถเจรจากันได้แล้ว ….
ดังนั้น มนุษย์และอสูรเชวียนมากมายรวมตัวกันต่อสู้จนถึงชีวิต สิ่งนี้ก่อให้เกิดกองภูเชาซากศพขนาดใหญ่ และทะเลแห่งสายโลหิต แต่ พวกเขามิเข้าใจถึงเหตุแห่งความเกลียดชังนี้ ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ …
แม้แต่ผู้ที่ก่อให้เหตุเหตุการณ์นี้ คุณชายน้อยแห่งสกุลจวิน จวินโม่เซี่ยก็สับสนและตกลึงงัน
ข้าเพียงแค่ของให้เจ้าสร้างความเสียหาย ? แต่ตอนนี้ ข้าเห็นว่าเจ้าก่อให้เกิดสงความโลก !
ข้ามิอาจรับผิดต่อการต่อสู้นี้ ! ข้ามิได้ประสงค์ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ข้ามิได้ผิด !
ลีจื้อเทียน ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตสร้าง คฤหัสน์ฉือฮั่น แต่มันกลับถูกทำลายพังพินาศ แต่ หากเขาได้รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ คือเขามีเมียเด็กสาวเพื่อให้มีบุตรชาย จักมิน่าประกลาดใจเลย หากเขาหน้าแดงด้วยโทสะและสิ้นใจ
สตรีชั่วร้ายคืออันใด ? ไม่มีบุรุษใดสามารถเข้าใจความหมายภายใต่สถานการณนี้ แต่ ซากศพมากมายของอสูรเชวียน และเลือดของยอดฝีมือเชวียนที่ค้นหาความจริงอยู่บนสรวงสวรรค์ และสุดท้ายก็ได้พบถึงเหตุที่แท้จรงิของเรื่องนี้ …
เมื่อเวลาช้านาน มีตำนานของสาวงามผู้ที่ทำให้ทั้งอาณาจักรเกิดปัญหากัน แต่ ไม่มีหญิงสาวคนใดเป็นเหตุให้เกิดปัญหากันระหว่า มนุษย์โลก และ อสูร…
กวนเซียงฮั่น หญิงสาวจากสกุลจวินนั้นเป็นสิ่งที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน นางทิ้งห่างสตีอื่นไม่เห็นฝุ่น !
หากมีรายชื่อไล่เรียงถูกเขียนขึ้น เป็นที่แน่นอนว่า หญิงสาวจากสกุลจวิน กวนเซียงฮั่น จะเป็นสตีผู้งดงามอันดับหนึ่งในโลกหล้า ! เป็นธรรมดาของความงดงามเช่นนี้ที่จักก่อให้เกิดความวุ่นวาย และ ความงดงามเช่นนี้มีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน … พวกนางไร้เดียงสา
และนางเป็นผู้ที่ไร้เดียงสาที่สุด !
กวนเซียงฮั่น มิเคยรู้เรื่องเหล่านี้เลยแม้ในตอนที่มันเกิด นางอยู่ห่างไกลไปนับร้อยลี้จากดินแดนแห่งโศกอนาฎกรรมและโศกเศร้านี้ ดังนั้น นางจักรู้ถึงเรื่องของกองภูเขาซากศพที่เกิดขึ้นเพราะนางได้อย่างไร ?
ความจริงแล้ว เรื่องทั้งมดนี้จักกลายเป็นปริศนาที่มิอาจแก้ได้ไปชั่วนิรันดิ์ !
ในเวลานั้น มียอดฝีมือเทพเชวียนหกคนอยู่ชั้นล่างสุดใน หอมณีวิจิตรซึ่งกำลังคาดเดาไปต่างๆนาๆ เช่นเดียวกัน จวินโม่เซี่ยก็ขมวดคิ้ว และคุ่นคิดถึงปัญหานี้ขณะที่เขาหลบอยู่ใตดิน
การก่อกบฏของอสูรเชวียน … มีจุดประสงค์อันใด ? การต่อสู่ของกองทัพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ? ไร้ค่านักในความเห็นข้า …
จวินโม่เซี่ยยังคงนิ่งเงียบอยู่ใต้ดิน ความคิดของเขาวนเวียนไปมาอยู่ในหัว อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่ามิอาจเข้าใจสิ่งสำคัญของเรื่องนี้ รู้สึกได้ว่าเกิดเหตุบางอย่างที่มิได้คาดคิดและเตรียมการ
ท้ายที่สุด เขาจึงล้มเลิกความสนใจในเรื่องนี้
การก่อกบฏของอสูรเชวียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า ? แท้จริงแล้ว ข้าคิดว่านี่คือเหตุบังเอิญยิ่ง ! นอกจกานี้ ข้าเพียงไปยัง ป่าเถียนฟาเพื่อหาสมบัติ ผู้อื่นอาจไปเพื่อยั้บยั้งการก่อกบฏนี้ แต่ข้าไม่มีเวลาทำเช่นนั้น …
ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้น่าเกลียดชังยิ่งนัก พวกเขาวางแผนจัดการน้าสามและสกุลจวินของข้า ความจริงแล้ว พวกเขาวางแผนการจักกำจัดสกุลจวินของเราในคราเดียว ! สิ่งนี้มิอาจยอมรับได้ !
จากนั้น จวินโม่เซี่ยจึงจากไป เขาเคลื่อนที่ไปใต้ดินอย่างเงียบๆ คุณชายน้อยจวินหลบซ่อนอย่างดีตลอดเวลานั้น
เคล็ดอิสระหยินหยางลึกลับยิ่ง แม้แต่ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่ง ก็ยากยิ่งจักสัมผัสเขาได้ ก่อนหน้านี้ เล้ยวูเบ้ยสามารถสัมผัสกลิ่นอายของคุณชายน้อยได้อย่างเลือนลาง แต่เขาก็มิอาจระบุตำแหน่งที่แท้จริงได้ จวินโม่เซี่ย ประหลาดใจต่อความเฉียบคมของสัมผัสแห่งยอดปรมาจารย์ยิ่ง กระนั้น ความเชื่อมั่นใน เคล็ดอิสระหยินหยางของเขายังคงเพิ่มมากขึ้นหลากหลายเท่า หาก ยอดปรมาจารย์ยังมิอาจสัมผัสร่องรอยของเขาได้ ผู้อื่นนั้นก็ลืมไปได้เลย
เซี่ยวเฟิงวู มิได้ปรากฏตัวขึ้นในการรวมตัวนี้ บางทีอาจเป็นเพราะสถานภาพของเขา บางที เขาอาจมีได้มีความสูงส่งเพียงพอที่จักได้เข้าร่วมการพบปะชั้นสูงเช่นนี้ กระนั้น จวินโม่เซี่ยก็มิได้หลงลืมประสงค์หลักที่มาที่นี่
เพียงสิ่งขอชั้นดีชิ้นเดียวที่สามารถยั่วยุปฏิกริยาเช่นนี้จาก เจดีย์หงษ์จวิน … หยกเสริมวิญญาณ ของสกุลเซี่ยว ? ชื่อนั้นออกเสียงได้ยากยิ่งนัก !
จวินโม่เซี่ยต มุมปากของเขาโค้งงอ แก่นวิญญาณ ของเซี่ยวปู้ยู ? เชื่อต่อกับกลิ่นไอวิญญาณข้า ห้าร้อยลี้ ?
อืม อืม ข้าจักเข้าไปยัง เจดีย์หงส์จวิน เมื่อข้าได้สิ่งที่ต้องการ แม้แต่ แก่นวิญญาณของผู้เป็นอัมตะก็มิอาจใช้ได้ ? และ สำหรับเคล็ดการ เชื่อมต่อกลิ่นไอวิญญาณนั้น … เคล็ดของเจ้าอาจจะเป็นเลิศ แต่ก็ยังมิอาจสัมผัสพบข้าได้ ?
ในความเป็นจริงนั้น อาจตรงกับวาจาที่ว่า
” คุณธรรมสูงเพียงหนึ่งฟุต แต่ความชั่วร้ายนั้นสูงสิบฟุต ”
เจ้าแข็งแกร่ง แต่ข้านั้นยิ่งกว่าเจ้า !
ยากยิ่งสำหรับผู้อาวุโสเซี่ยวที่จักแสดงถึงเจตนาที่ดีเช่นนี้ เซี่ยวเฟิงวูอยู่อย่างโดดเดี่ยวในห้องที่แยกออกไป ราวกับสิ่งของที่ถูกจัดใส่พาน เจตนาที่ดีเช่นนี้ เหมาะสมยิ่งกับข้า ราวกับว่ามันถูกหยิบยื่นมาให้ด้วยสองมือ ! เช่นนั้น ข้าจักเสียใจต่อ เจตนาการและจ้อเสนอที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร ?
จวินโม่เซี่ยจักรู้สึกผิดยิ่งหากเขาปฏิเสธเจตนาอันดีของผู้อาวุโสสองแห่งสกุลเซี่ยวที่มอบให้เข้า …
ผู้อาวุโสสองแห่งสกุลเซี่ยวมิได้เพียงใจบุญเท่านั้น แต่เขายังไม่ถือตัวเช่นกัน …
ดังนั้น จวินโม่เซี่ยเริ่มค้นหาไปทั่วทั้งอาคารเพื่อหาสมบัติที่ซุกซ่อนไว้ด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาจงใจจัดวางทุกอย่างในจุดที่ทำให้เขาสามารถขมอยมันไปได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้น จึงมิใช่เรื่องยากที่จักค้นหามัน
จวินโม่เซี่ยใจเย็นขณะที่เขาค้นหาทุกห้องด้วยจิตสัมผัส พบว่าแต่ละห้องมีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน ทุกห้องมีแก่นวิญญาณลึกลับบางส่วนอยู่ภายใน ไม่ว่าจักเบาบางหรือรุนแรง ซึ่งใช้เพื่อการเฝ้าดูห้องเหล่านี้ ในขณะที่ห้องลับที่อยู่กลางอาคารนี้เต็มไปด้วยกลิ่นไอแก่นนี้ ดังนั้น ผู้ที่บุกเข้ามาจึงไม่อาจล่าถอยไปได้โดยมิถูกตรวจจับ
จวินโม่เซี่ยยิ้มเนื่องจากเขามิได้รู้สึกหวาดกลัว จากนั้นเขาจึงเริ่มเคลื่อนที่ตรงไปยังห้องลับนั้น
เจ้าโง่ ! เจ้าคิดว่าเจ้าคือยอดปรมาจารย์ ? เจ้าคิดจักใช้ แก่นวิญญาณเพื่อเฝ้าดูห้อง ? จริงหรือ ? เจ้าถือตัวยิ่ง และดูถูกข้านัก !
แน่นอน ทุกสิ่งเป็นดั่งคาดการ
เซี่ยวเฟิงวูนั่งขัดสมาธิหลังตรงอยู่ภายในห้อง ดวงตาปิดลง ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย มือของเขาวางอยู่ตรงหน้าอกเพื่อคุ้มกันหยก หยกชิ้นนั้นคือเป้าหมายหลักของ คุณชายน้อยจวิน หยกเสริมวิญญาณ แห่งสกุลเซี่ยว !
ของสิ่งนี้เป็นของจริงแท้ มิปลอมแปลง จวินโม่เซี่ยสามารถสัมผัสพลังบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ปราณเชวียน วนเวียนในทุกลมหายใจของ เซี่ยวเฟิงวู ทีละนิด มันหลั่งออกมาจากหยก และแปรเปลี่ยนเป็นปราณเชวียน จากนั้นเริ่มไหลไปตามเส้นลมปราณของเขา สามารถเห็นได้จาก ผิวของ เซี่ยวเฟิงวูที่ดีขึ้นอย่างเชื่องช้าในทุกลมหายใจ
วิธีการใช้งาน หยกเสริมวิญญาณแห่งสกุลเซี่ยประจักชัดต่อคุณชายน้อยจวินในทันที
คุณชายน้อยจวินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันบริสุทธิ์ที่เซี่ยวเฟิงวูดูดซึมเข้าไป หยกซ่อนเร้นพลังอันมหาศาล แต่คุณชายผู้นั้น ดูดกลืนเข้าไปเพียงเศษเสี้ยว แต่ จวินโม่เวี่ยโศกเศร้ายิ่ง
เจ้าชั่วช้าผู้นี้คอบครองของสิ่งนี้ได้อย่างไร ! สกุลเซี่ยต่ำช้าได้รับอนุญาตให้ถือครองสมบัติล้ำค้านี้ได้อย่างไร ! พวกเขาเป็นผู้เหมาะสมที่จะได้เป็นเจ้าของสิ่งที่มิอาจประเมิณค่าเช่นนี้ได้อย่างไร ?
พวกเขามิควรได้รับอนุญาตให้ครอบครองสมบัติสวรรค์ ความคิดของพวกเขาน่ารังเกียจ พวกเขาทำให้สวรรค์โกรงเคืองและผู้คนโกรธแค้น
มีเพียงคุณชายน้อยผู้นี้ที่เหมาะสมกับหยกชิ้นนี้
ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงเหาะข้ามไปด้วยความเร็วอันยอดเยี่ยมไร้ลังเล มือขงอเขาแปรเปลี่ยนเป็นดั่งกรงเล็บเหยี่ยว ขณะที่ยื่นออกไปตรงร่างของเขา จากนั้นเขาคว้ามันอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวของเขาเป็นดั่งสายฟ้า !
ตอนที่ 299
เซี่ยวเฟิงวูดูโกลืนพลังจากหยกอย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุนั้น การบาดเจ็บของร่างกายและเส้นลมปราณของเขาได้รับการฟื้นฟู เขารู้ว่าเขาถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ เนื่องจาก หยกเสริมวิญญาณ ของเขา และ จักเป็นเท็จหากจะบอกว่าเขามิได้หวาดกลัว มีโอกาสที่ปรมาจารย์ลึกลับจักไม่สังหารเขาเนื่องจาก เด็กหนุ่มนั้นอยู่ด้อยกว่าเขาในเรื่องของอันดับ อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเฟิงวู แตกตื่นเมื่อคิดว่าการบาดเจ็บของเขาอาจไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่หาก ปรมาจารย์ลึกลับแสดงตัวออกมาในไม่ช้านี้ .. แม้นว่า ความกลัวนั้นไม่อาจเป็นจริง เขาได้รับบาดเจ็บมาหลายวัน…
ดังนั้น เขาจึงเร่งรีบดูดกลืนพลังบริสุทธิ์จากหยก ผลของพลังบริสุทธิ์ในเส้นลมปราณของเขา ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ราวกับร่างชุ่มด้วยเหงื่อในยามวสัตฤดู เขารู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ปลอดภัย และสุขใจ เส้นลมปราณที่เสียหายอย่างรุนแรงของเขาได้รับการรักษาด้วยความเร็วมิอาจเชื่อได้ ความรู้สึกประหลาดและสุขสบายนี้ ทำให้เขาเกือบร้องครางออกมา ราวกับสมองของเขาล่องลอยไปยังสุดขอบแห่งสรวงสวรรค์ เซี่ยวเฟิงวู รู้สึกมึนเมา และเพ้อฝัน
จากนั้น หยกที่เขาถือไว้หายไปในระหว่างช่วงเวลาแห่งความสุขสบายนั้น
เซี่ยวเฟิงวู ลืมตาขึ้นรวดเร็วด้วยตื่นตกใจ เขาเห็นว่าหยกมิได้อยู่ตรงหน้าอกของเขา แต่แท้จริงแล้วมันล่องลอยอยู่ในอากาศ อย่างไรก็ตาม มันเคลื่อนที่ห่างเขาไปอย่างรวดเร็วยิ่ง สิ่งที่ทำให้ เซี่ยวเฟิงวู ประหลาดใจที่สุดนั้นคือ เขามิได้เห็นแม้แต่เงา หรือสัมผัสถึงกลิ่นไอของผู้ใดได้ ราวกับหยกนั้นมีขา มีชีวิต และหลบหนีเขาไป
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? เกิดอันใดขึ้น ? หรือ ปรมาจารย์ลึกลับจักใช้ปราณเชวียน ดึงเอา หยกเสริมวิญญาณ ไปจากข้า … ? แต่มิได้มีความผันผวนของ ปราณเชวียนแม้แต่น้อย เซี่ยวเฟิงวูมิอาจคาดการถึงความจริงของสิ่งที่เขาได้ประสบได้
เซี่ยวเฟิงวู
สติของ เซี่ยวเฟิงวู ยังคงเลือนลางอยู่เล็กน้อย เขารู้สึกราวอยู่ในความฝัน เขาผงกหัวเพื่อเรียกคืนสติ และตระหนักได้ว่า หยกชิ้นนั้นได้หายไปแล้ว เขาตกตะลึง เมื่อคิดถึงการหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ของ หยกเสริมวิญญาณ แรกเริ่มเขาลัเงเลยิ่ง แต่เขารวบรวมความกล้าและตะโกนออกไปสุดเสียง
” ใครก็ได้ … มานี่ .. หยกวิ่งหนีหายไป ! ”
หยกวิ่งหนีหายไป ?
จวินโม่เซี่ยเกือบหัวเราะและแสดงตำแหน่งของเขาในความว่างเปล่านั้นออกมา
แม่เจ้า ! คนผู้นี้ช่างสามารถยิ่ง ! หยกเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างมิต้องสงสัย แต่ มันยังคงเป็นสิ่งของที่ไร้ชีวิต จักเอ่ยว่า .. มันวิ่งหนีไป … ข้าไร้วาจาอย่างแท้จริง …
อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเฟิงวูสิ้นหวังยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขามิรู้ว่าต้องอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเขาได้อย่างไร จักบอกว่ามีคนขโมยมันไปจากเขาและวิ่งหนีไป … เขาก็มองไม่เห็นผู้ใด .. ความจริง เขามิได้มองเห็นแม้แต่เงาของภูติผี ดังนั้น เซี่ยวเฟิงวูจึงตะโกนอย่างสิ้นหวัง ” หยกวิ่งหนีไป ” มิรู้เลยว่ามันฟังดูน่าขันเช่นไร แม้นว่า วาจาของเขาจักเอ่ยถึงรายละเอียดของสิ่งที่เขาเห็นได้อย่างชัดเจน
” ผู้ใดพยายามจักแย่งชิง หยกเสริมวิญญาณ ! ”
เซี่ยวปู้หยูอยู่ในอีกห้องหนึ่ง แต่ คิ้วสีขาวของเขากระตุกขึ้น ในตอนที่ จวินโม่เซี่ย คว้าเอาหยกไปจากมือของ เซี่ยวเฟิงวู เดิมทีเขามี เคล็ดแก่นวิญญาณ และมันได้ส่งข้อความไปยังสมองของเขาในทันที จากนั้น อินทรีสีเขียวอันงดงามบินออกมาจากหน้าอกของเขา และพุ่งตรงไปยังห้องของ เซี่ยวเฟิงวู
ผลเช่นนี้เป็นบางสิ่งที่เขามิอาจคาด ความจริง มันเกินกว่าจักเป็นเหตุผล !
ผู้อาวุโสสามารถ พรรณนาถึงความป่าเถื่อนและนิสัยใจคอของ ชายลึกลับ และ ตั้งแต่ดูถูกสถานะของคู่ต่อสู้ของเขา และช่วงชิงเอาสมบัติของเด็กหนุ่ม เป็นไปไม่ได้ที่เขาจักไม่พยายามเอาอีกครึ่งหนึ่งไป ความจริง เขามิได้คลางแคลงใจ
แต่ ห้องนั้นเต็มไปด้วยชั้นของ แก่นวิญญาณมากมาย ดังนั้น มันจึงมีกลไกการป้องกันที่ทรงพลัง แม้แต่ปรมาจารย์อันดับหนึ่ง จุ้นเป้ยเฉิน ก็ยากยิ่งจักปกปิดตำแหน่งของเขา ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจักรอดพ้น แก่นวิญญาณ ที่ใช้ป้องกันอยู่ไปได้ แต่ ผู้ลึกลับผู้นี้แทรกซึมเข้ามาได้โดยไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ ฝีมือเกินสามัญนี้หาได้ยากยิ่ง
เวลาถัดมา ร่างผอมบางของ เซี่ยวปู้หยูเหาะมาอย่างรวดเร็ว ราวกับแสดงของขนนกม่านหมอก
เขาเหาะไปยังห้องลับที่ซึ่ง เซี่ยวูที่บาดเจ็บรักษาตัวอยู่
ในเวลาเดียวกันที่ เซี่ยวปู้หยู กรีดร้องขึ้น เสียงกรีดร้องนั้นมีได้ดังนัก แต่มันสะท้อนก้องไปทั่วทั้ง หอมณีวิจิตร ยอดฝีมือเทพชเวียนตอบสนองด้วยความเร็วอันอัศจรรย์ ในทันที ที่นี่มียอดฝีมือยี่สิบคนผู้ยืนล้อมห้องของ เซี่ยวเฟิงวู ตามแผนการที่ได้วางเอาไวก่อนหน้านี้ ทุกผู้แน่วแน่และดูเหมือจักสามารถตอบโต้ได้ทุกเวลา
คนผู้นี้ แทรกซึมเข้าไปในชั้นของ แก่นวิญญาณ และขโมยเอาหยกไปได้ เขามิใช่ศัตรูโดยทั่วไป ทุกผู้เข้าใจถึงสิ่งนี้
คนผู้นี้เป็นศัตรูคนสำคัญ !
เสียงโหยหวนของ เซี่ยวปู้หยูยังไม่ทันหยุดลง ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยจิตสังหาร ผู้อาวุโสผู้ที่เคลื่อนไวไปยังห้อง เซี่ยวเฟิงวูเป็นคนแรก
เขาโจมตีใส่ประตูไม้จันทร์สีแดงด้วยปราณเชวียน ในตอนที่เขาอยู่ห่างจากห้องไปประมาณเจ็ดฟุต จากนั้น ประตูแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยและหายไปในอากาศ เซี่ยวปู้หยู พุ่งเข้าไปในห้อง ราวกับมังหรหนุ่ม เขาเคลื่อนที่รวดเร็วดั่ง อสุนีบาต
เซี่ยวปู้หยู สามารถนับไก่ได้ก่อนที่ไข่จักฟักออกมา เขากองกำลังของเขาจักเคลื่อนไหวพร้อมกันหากเขาเริ่มนำ แต่ เขามไต้องการให้มีคนไหลทะลักเข้ามาในห้องนี้ สิ่งนั้นจักทำให้เกิดความสับสน และช่วยให้ผู้ลึกลับผู้นั้นหลบหนีไปได้
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ที่จักผ่านประตูเข้ามาได้ ในขณะที่คนอื่นๆรอคอยและล้อมเป็นวงอยู่ภายนอก จากนั้นพวกเขาเริ่มการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และปิดกันเส้นทางทั้งหมดที่ผู้หลบหนีจักออกไปได้ มิเช่นนั้น หัวขโมยจักต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาคนหนึ่งหากก้าวออกมา ไม่ว่าเขาพยายามจักหลบหนีออกไปเส้นทางใด
หากมีผู้หนึ่งขวางเส้นทางเส้นทางของชายลึกลับผู้นั้นแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ และหยุดเขาได้ … เท่านั้นก็เพียงพอที่จักให้ผู้ที่เหลือล้อมศัตรูและเข้าร่วมโจมตีได้
เซี่ยวปู้หยู ไว้เนื้อเชื่อใจคนของเขายิ่ง แม้แต่ผู้ทีอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขา พวกเขาก็สามารถทำให้มันเป็นเรื่องยากยิ่งแม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เช่น แปดยอดปรมาจารย์ จุ้นเป้ยเฉิน ที่จักฝ่าวงล้อมออกไปได้ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ มีต้องเอ่ยถึงผู้อื่นเลย
เซี่ยวปู้หยู ไม่เชื่อว่ามีผู้ใดในโลกนี้ที่สามารถหลบหนีสายตาของเขาในช่วงเวลาอันคับขันนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ห้ายอดฝีมือเทพเชวียน และ เจ็ดกระบี่แห่ง นครพายุหิมะสีเงิน ก็รอคอยเขาอยู่ภายนอก !
ชายลึกลับผู้นั้นอาจสามารถแทรกซึมเข้าไปในห้องได้อย่างเงียบเฉียบ แต่มันจักเป็นเรื่องตลกหากจักคิดว่าเขาสามารถหลับหนีวงล้อมที่แน่นหนาขนาดนี้ไปได้
การเตรียมการนี้ปลอดภัย และไร้ที่ติ ไม่มีโอกาศให้เกิดเรื่องร้ายอันใด
แต่ เซี่ยวปู้หยูมิรู้เลยว่าเรื่องเลวร้ายนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างมิอาจคาด
เขาพังและเหาะเข้าไปใภายในห้องของเซี่ยวเฟิงวู ทั่วทั้งร่างปลกคลุมไปด้วยปราณเทพเชวียน และพุ่งเข้าไปราวกับพายุขนาดมหึมา
เขาเคยได้ยินคำร่ำลือถคงความแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัวของชายสวมหน้ากากผู้นั้น แม้นว่า เขาจักไม่เกรงกลัวในเรื่องนั้น อีกทั้งเขายังได้รับการพรรณาถึงลักษณะของคนผู้นั้นจากผู้อาวุโสสามและหก และ สิ่งที่เขากลัว เขากังวลว่าความหละหลวมของเขาจักทำให้ ชายสวมหน้ากากหลบหนีไปได้ ดังนั้น เขาจักกล้าละเลยจุดนั้นได้เช่นไร?
ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยปราณเชวียน จากนั้น เขาหมุนตัวเป็นวงกลมด้วยนิ้วเท้าอย่างรวดเร็ว ดูราวกับนางระบำกำลังพยายามจักเคลื่อนไหวในท่วงท่าที่ยากยิ่ง แต่ เซี่ยวปู้หยูไม่พบสิ่งแปลกประหลาดในห้อง
มีเพียงแค่ เซี่ยวเฟิงวู เท่านั้นที่ปรากฏตัวอยู่ภายในห้องนี้ เขากำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าโง่เขลา
” คนผู้นั้นอยู่ที่ใด ? “
เซี่ยวปู้หยูตะโกน เขาคิดกับตัวเอง
อย่าได้บอกว่าพวกเรามาช้าไป ! เป็นไปไม่ได้ ! อินทรีย์เสาวคนธ์บินทางทิศทางนี้ ! พวกเราพลาดสิ่งใด ?
” คนผู้ใด ? “
เซี่ยวเฟิงวู งุนงงในสิ่งที่ปูของเขาเพิ่งเอ่ยถาม ดังนั้น เขาจึงถามไปอย่างสับสน
” คนผู้ที่ขโมยหยกของเจ้า ! เจ้าโง่ไปแล้วหรือ ? “
เซี่ยวปู้ยู่รู้สึกเกือบกระอักเลือดเพราะหลานของเขา
แม่เจ้าเอ๋ย ! คนผู้นั้นแย่งชิงเอาหยกไปจากมือของเขา และตอนนี้เขายังจักมาถามว่า ” คนไหน ? “
เป็นสิ่งดีที่ เซี่ยวปู้หยูบำเพ็ญมาเพียงพอ มิเช่นนั้นเขาคงจักมอดไหม้ด้วยโทสะของตัวเอง
” ไม่มีผู้ใดที่นี่ ”
เซี่ยวเฟิงวูงุนงง เขามองไปยังมือที่ว่างเปล่า และโกรธเคืองปู่ของเขา เขาสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น และยังคงงุนงง
หยกบินหนีไปจกข้าได้อย่างไร ? แปลกประหลาดยิ่งนัก หรือมันแปรเปลี่ยนเป็นภูติผี ?
” ไม่มีผู้ใด ? ไม่มีผู้ใดเอาหยกไปจากมือของเจ้า ? เจ้าจักบอกอาวุโสผู้นี้ว่า หยกเสริมวิญญาณ มีปีกงอกออกมาและหินหนีไปด้วยตัวของมันเอง ? “
เสียงดุด่าดังกลับมา
” ใช่ ท่านปู่ แปลกประหลาดยิ่ง หยกมิได้มีปีก แต่มันลอยหนีไปด้วยตัวเอง … จริงๆ … ! ”
ใบหน้าของ เซี่ยวเฟิงวูจริงจัง
” เจ้าขยะ ! ”
เซี่ยวปู้หยูสาดคำสถบด้วยโทสะ เสื้อผ้าของเขา ส่งเสียง วู้วว ขณะเขาเหาะขึ้นในอากาศ ใบหน้าของเขามืดมนด้วยโทสะ
ข้าเคยเห็นคนพิการ .. ข้าเคยเห็นโง่เขลา …แต่มิเคยพบเจอขยะเช่นนี้ และมิคาดคิด ว่าขยะเช่นนั้นจักเป็นหลานชายข้า !
” เอาละ …. ข้ากำลังบอกความจริง … หยกหิยหนีไป … มันมิได้มีปีก … แต่มันบินหนีไป … และรวดเร็วยิ่งนัก … ”
เซี่ยวเฟิงวูพึมพัมต่อหน้าเซี่ยวปูยู่ เขารู้สึกผิด และรู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
เหตุใด เมื่อข้าพูดความจริงเมื่อใด ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อข้าเลย ? ข้าเพียงเอ่ยถึงสิ่งที่ข้าได้เห็นด้วยตาตัวเอง !
” ข้าเป็นปู่ของเจ้า ! เจ้าชั่ว เจ้ากล้าเอ่ยวาจาไร้สาระเช่นนี้ต่อหน้าข้าได้เช่นไร ! ”
เซี่ยวปู้หยูสาดคำสถบขณะอยู่กลางอากาศ ปราณเข้มข้นบนฝ่ามือของเขา พุ่งลงมาราวสายลม และปะทะเข้าไปใบหน้าของหลานชายขณะร้องเสียง ปั้ง !
เซี่ยวเฟิงวู โซเซเล็กน้อย และล้มลง หน้าของเขาบวมขึ้น
เซี่ยวเฟิงวู ป้องใบหน้าด้วยความไม่พอใจ แต่ เขาต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้
เจ้าโง่ ! เจ้าเป็นปู่ข้าหรือไม่ ? ไปหาคนผู้นั้นสิ แต่เจ้าจักมิใช่ปู่ของข้า หากเจ้ามิสามารถหาคนผู้นั้นได้ …
ร่างของ เซี่ยวปู้หยูพุ่งขึ้นราวดาวตกที่สุดขอบฟ้า และทะยานขึ้นไปสามสิบหลาเหนือ หอมณีวิจิตร เขาเริ่มวนไปเป็นวงกว้าง รวดเร็วดั่งสายฟ้า ดวงตาของขาจับจ้องทุกสิ่งภภายใต้แสงดาราในพื้นที่ ห้ากิโลเมตร แต่ เขามิอาจสาเบาะแสใดแม้แต่น้อย
หรือคนผู้นั้นเคลื่อนที่แบบหลบซ่อน ?
อินทรีย์เสาวคนธ์ขนาดเล็กก็บินวนไปกับเขา เห็นได้ชัดว่า มันได้หลุดจากเป้าหมายไปแล้ว
เป็นไปได้อย่างไรกัน ?
ตอนที่ 300
น้ำเสียงของ เซี่ยวปู้หยู นุ่มนวล อีกทั้งยังก้องสะท้อนอย่างรุนแรง ราวกับเสียงภูเขาไฟที่กำลังจะพวยพุ่ง เขามิอาจอดกลั้นอารมณ์ไว้ได้ ” เจ้าเห็นมีผู้ใดอออกไปหรือไม่ ? “
ยอดฝีมือร่วมยี่สิบที่ปิดล้อมเส้นทางหนีไว้ต่างมองหน้ากันตกตะลึง
พวกเรามิอาจพบตัวเขาได้ตอนที่เขาแทรกซึมเข้ามา เช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าพวกเราจักหาเขาพบในตอนนี้ ? ไม่มีผู้ใดออกมา อาห์ !
” ใจเย็น พี่สอง ยอดฝีมือยี่สิบปิดล้อมอยู่อย่างแน่นหนา แม้แต่ยุงก็มิอาจบินหนีอกไปได้ ดังนั้น ข้าจึงของให้พี่สองกระทำการต่อไป ”
ผู้อาวุโสสสามจับด้ามกระบี่ เขาเอ่ยวาจาเหล่านั้นด้วยทีท่าเลื่อมใส ผมสีขาวของเขาดูราวด้ายเงิน หนวดของเขาขาวดั่งหิมะ ในขณะที่กระบี่ปลดปล่อยประกายแสงอันเยือกเย็น
” น้องสามถูกต้องแล้ว ! ใจเย็นก่อน พี่สอง ! ”
ทุกผู้เอ่ยขึ้นพร้อมเพียง ราวกับพวกเขากระทำสาบานหนักแน่น
เซี่ยวปู้หยูคงจักยินดีหากเขาได้ยินวาจาเหล่านี้ก่อนหน้านี้ ความจริง เขารู้สึกทะนงตัวนัก สุดท้ายแล้ว ความสามารถของน้องชายของเขามิต้องคลางแคลงเลย
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ วาจาอันชัดเจนของพวกเขานั้นน่าขันนัก ความจริงแล้ว เขารู้สึกอับอาย ความรู้สึกหมดหนทางพุ่งทะยานขึ้นในหัวใจเขามหาศาล เขาเงยหน้าขึ้นและถอนใจยาวไร้ความสุข จากนั้น พี่สอง ร่อนไปยังดาดฟ้าของ หอมณีวิจิตรอย่างเชื่องช้า และยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง
” เป็นอะไรหรือพี่สอง ? “
ทุกผู้เห็นได้ชัดเจนว่าอารมณ์ของเขานั้นไม่ดีนัก ดังนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงรุมล้อมและเอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วง
” พวกเราแพ้ … ”
เซี่ยวปู้หยูถอนใจลึกและมองออกไปห่างไกล สีหน้าของเขาโศกเศร้าและว่างเปล่า เผยถึงความอัปยศที่หัวใจของเขาต้องประสบ
ผู้ที่ขโมย หยกเสริมวิญญาณ ผู้นี้คือใคร ?
ผู้ใดในโลกนี้ที่ได้ครอบครองวิชาอันล้ำเลิศที่พวกเขามิอาจตรวจจับเขาได้ ?
เขาเข้ามาได้โดยมิถูกตรวจเจอ …แม้แต่เงา !
เขาจากไปโดยไม่เหลือไว้ซึ่งร่องรอย !
อาจารย์ จุ้นเป้ยเฉินและผู้เป็นตำนานมิอาจทำได้ ?
” พวกเราพ่าย ? พี่สอง ท่านกำลังเอ่ยสิ่งใด ? “
ยอดฝีมือนับยี่สอบใบหน้าถอดสี หลังจากนั้น เซี่ยวปู้หยูเอ่ย
” มีใครบางคนขโมย หยกเสริมวิญญาณ ”
ทุกผู้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเชื่อว่า ในที่สุด ชายลึกลับผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นแล้ว ทุกผู้มีชีวิตชีวาและโหยหาการต่อสู้ พวกเขาประสงค์จะเห็นว่าผู้ใดเป็นยอดยิ่งกว่าระหว่างพวกเขาและชายผู้นั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามิอาจหาตัวเขาได้แม้เพียงเงา ทุกคนคิดว่าเป็นความผิดพลาดของสัญญาณเตือน แต่กระนั้น พวกเขาก็ได้ยินคำว่า
“พ่ายแพ้” จากปากของ เซี่ยวปู้หยู
มีหรือผู้ที่มีอายุเท่าเทียมพวกเขาที่มอาจเข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังประโยคนั้น ?
” หรือจะเป็น … ? “
ทุกผู้มองไปยัง เซี่ยวปู้หยูและเห็นใบหน้าของเขา พวกเขาเอ่ยวาจาอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าของพวกเขาเผยว่ามิอาจเชื่อได้ แต่น้ำเสียงของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มมีความเชื่อแล้ว
” ใช่ เจ้าคาดการได้ถูกต้อง หยกเสริมวิญญาณ ตกไปอยู่ในมือของคนผู้นั้น ”
น้ำเสียงอ่อนนุ่มของ เซี่ยวปู้หยูดูราวโศกเศร้า ความจริง เขามิอาจเอ่ยวาจาได้อย่างเหมาะสมเนื่องจากความหดหู่ ” ข้ามิได้เห็นแม้แต่เงาของคนผู้นั้น และ หยกได้หายไปโดยไร้ร่องรอย พวกเรามองไม่เห็นชายผู้นั้น แม้นว่าพวกเราจะเริ่มไล่ตามเขาในทันที ชัดเจนว่าพวกเจ้ามิอาจมองเห็น เข็มในพงหญ้าได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ นครพายุหิมะสีเงิน พ่ายแพ้ … “
” เป็นไปได้อย่างไร ? ที่สอง พวกเราจัดต้องไม่ลืมว่าท่านใช้เคล็ดแก่นวิญญาณกับหยก ”
ผู้อาวุโสเก้าเบิกตาเพ่งมองไป
” แต่เพื่อเป็นการป้องกัน .. มันจักมิเป็นการง่ายดายหรือพวกเราจักหาเขาเมื่อต้องการ ? ”
ทุกผู้แสดงสีหน้า คราวคำว่า เจ้ามันโง่ ในตอนที่วาจาเหล่านั้นออกมาจากปากของเขา
พี่สองจักแสดงสีหน้าโศกเศร้าหรือหากว่าตอนนี้คเล็ดวิชาของเขาสามารถใช้ได้ ?
กระนั้น สีหน้าของทุกผู้ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้
” มันไร้ประโยชน์ ในตอนที่คนผู้นั้นแตะมือไปยัง หยกเสริมวิญญาณ เคล็ดวิชาอันล้ำเลิศของเขาได้สกัดกั้นเคล็ดแก่นวิญญาณและ เชื่อมกลิ่นวิญญาณห้าร้อยลี้ของข้าไปแล้ว พวกเรามิอาจใช้งานมันได้ในตอนนี้ ”
เซี่ยวปู้หยูแหงนมองไปยังอินทรีเขียวที่โบยบินอยู่เบื้องบน เขารู้สึกสิ้นหวัง
” เป็นไปได้อย่างไร ? “
ยอดฝีมือนับยี่สิบถอนใจยาว
” เคล็ดแก่นวิญญาณ จักเชื่อมต่อกับร่างของเป้าหมายเมื่อมันสัมผัสกัน ดังนั้น คนผู้นั้นจักตัดการเชื่อมต่อโดยไร้ซึ่งร่องรอยได้อย่างไร ? ยิ่งกว่านั้น คนผู้นั้นจักต้องแข็งแกร่งเพียงใดที่จักกระทำเช่นนี้ได้ ? นอกจากนี้ เชื่อต่อกลิ่นวิญญาณห้าร้อยลี้ เป็นเคล็ดลับของ นครพายุหิมะสีเงิน มันจักตามติดวิญญาณของคนผู้นั้นเมื่อต้องสัมผัสกับเป้าหมาย มีเพียงยาถอนพิษเฉพาะจากนครพายุหิมะสีเงินเท่านั้นที่จักถอนกลิ่นนั้นได้ มิเช่นนั้น มันจักยังคงติดอยู่กับคนผู้นั้นตราบเท่าชีวิตของเขา เช่นนั้น คนผู้นั้นจักกำจัดมันออกไปได้อย่างไร ? เรื่องทั้งหมดนี้ดูเหมือนยากจะเชื่อได้ ! ”
” ท่านแน่ใจหรือ พี่สอง ? “
น้ำเสียงดุดันเอ่ยถาม ทุกผู้หันมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น และได้รู้ว่าเป็นวาจาของผู้อาวุโสห้า ถายในพี่น้องทั้งเก้า เขาคือผู้ที่รอบคอบเกินผู้ใด
” ข้ามั่นใจ ! ”
เซี่ยวปู้หยู้ถอนใจขมวดคิ้ว ราวกับเขามีอายุเพียงสิบขวบปี จากนั้น เขาเอ่ยต่อนุ่มนวล
” ความกังวลหลักของข้าเลยคือ … เขาได้จัดการกับ เคล็ดแก่นวิญญาณ และ เชื่อมต่อกลิ่นวิญญาณห้าร้อยลี้ได้ .. ดังนั้น … พวกเรามิอาจบอกได้ว่าเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า หากแต่ยังมีอีกหลายผู้ที่อยู่ในขั้นสูงกว่าพวกเรา ดังนั้น ข้าคาดว่าหากเขาประสงค์ หยกเสริมวิญญาณ … เขาก็สามารถได้มาอย่างง่ายดาย ความจริง มิใช่เรื่องยากสำหรับเขาหากจักบังคับให้พวกรายอมจำนนโดยการโจมตีนครพายุหิมะสีเงิน … ”
ทุกผู้เข้าใจถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลังวาจาเหล่านี้ชัดเจน
” ใช่แล้ว .. หากเขาเป็นยอดฝีมือที่มิอาจเทียบได้อย่างแท้จริง .. เหตุใดเขาจึงกระทำตัวเป็นหัวขโมยเช่นนี้ ? ชื่อของเขาจักมีชื่อเสียงนั้นติดตามไป และ เขามิอาจลบมันออกไปได้แม้นว่าเขาจักเป็นที่รู้จักไปทั่งทั้งแผนดินในภายภาคหน้า มิน่าใช่เรื่องที่อาจเข้าใจได้ ! ”
ทุกผู้เงียบลง
หากทุกผู้ในที่นี้ร่วมแรงใจกันต่อสู้ พวกเขาก็มีความแข็งแกร่งเกินกว่าแปดยอดปรมาจารย์ แต่ คนผู้นี้มิได้เปิดเผยตัว และ ยอดฝีมือจากนครพายุหิมะสิสามคนก็หุนหันเข้าสู้กับคนลึกลับผู้นั้น ดังนั้น ทุกผู้จึงรู้สึกสิ้นหวัง แต่ พวกเขามิได้เพียงหวาดกลัวเขา ความจริงแล้ว พวกเขาหวาดกลัวอย่างที่สุด …
พวกเราโชคดีที่เขาเพียงประสงค์จักขโมยหยก ! หากเขาประสงค์จักต่อสู้กับพวกเรา… เขามิสามารถสังหารพวกเราเพียงแค่ดีดปลายเล็บหรอกหรือ ?
เจ็ดกระบี่แห่งนครพายุหอมะสีเงินยื่นนิ่งไร้อารมร์ กระนั้น พวกเขากำด้ามกระบี่แน่นจนกระดูกของพวกเขาโผล่ออกมา
” ข้าภาคภูมิในนครพายุหิมะมาตลอดสามสิบปีนี้ แต่มิคาดว่ามันจักหมดสิ้นลงในวันนี้ …! ”
เซี่ยวปู้หยูแกว่งมือด้านหลังขณะที่เขายืนขึ้นบนยอดสูงสุดของ หอมณีวิจิตร เขาเหม่อมองไปยังนครเทียนเชียง ทั้งนครดูเหมือนสว่างไสวด้วยแสงไฟภายใต้แสดงดารา จากนั้นเขาถอนใจ และยืนนิ่งไร้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
ยอดฝีมือยี่สิบรู้สึกหนักอึ้งภายในอก การหายใจดูเหมือนเป็นงานยากลำบาก … ราวกับแผ่นฟ้าเหนือนครเทียนเชียงถล่มลงมาใส่พวกเขา พวกเขารู้สึกว่าแรงกดดันจากเบื้องบนเริ่มมุ่งเข้าสู้หัวใจของพวกเขา
” เร็วเข้า เหาะไปยังนครเทียนเชียง รายงานเรื่องวันนี้แก้นายท่าน พวกเราควรไปยังเถียรฟาให้เร็วที่สุด สถานที่นี้มิได้เมตตาแก่พวกเราแล้ว พวกเราต้องเร่งรีบ ”
ผม หนวดและเสื้อคลุมสีขาวของเขาโบกสะบัดขณะที่เขาลอยขึ้นสู่สายลม น้ำเสียงของเขาโศกเศร้าและสิ้นหัวงยิ่ง ดูราวทะนงและเย้อหยิ่ง ทุกสิ่งที่เขาบ่มเพาะมาตลอดหลายปี ได้ออกมาจากร่างของเขาขณะที่เอ่ยวาจาเหล่านั้น มีกลิ่นอายอันน่าหดหู่ที่มิอาจอธิบายรอบตัว …
ทำให้รู้สึกราวกับ … เป็นจุดสิ้นสุดแห่งเส้นทางของวีรบุรุษ !
” พี่สอง ! ”
ยอดฝีมือยี่สิบรองขึ้นพร้อมกัน
เซี่ยวปู้หยูสบัดปลอดแขน
” การคิดมากไปมิใช่สิ่งดีสำหรับพวกเจ้า ! ทุกผู้ต้องไปพักผ่อน ”
ร่างของเขาเคลื่อนไหวไปขณะที่เอ่ยจบ จากนั้น เขาหายไปจาก ทิ้งไว้เพียงกลิ่นไอที่โศกเศร้าและหนักอึ้ง
จวินโม่เซี่ยวาง หยกเสริมวิญญาณ เข้าไปใน เจดีย์หงส์จวิน อย่างนุ่มนวลภายในเสี้ยววินาที จากนั้น ใช้ความพยายามทั้งหมดกระตุ้นเคล็ดอิสระหยินหยาง และยืนนิ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งในห้องของ เซี่ยวเฟิงวู คุณชายน้อยจวินตัดสินใจเฝ้าดูเหตุการ์ณและความเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างเงียบๆ
กระนั้น เซี่ยวปู้หยูก็ผลีผลามเข้าในในตอนที่เขาขโมยหยกไป ปราณเชวียนอันคมกริบของผู้อาวุโสแพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง พร้อมด้วย เคล็ดแก่นวิญญาณ ราวกับกระบีนับพันล่องลอยในอากาศ จึงทำให้จวินโม่เซี่ยหายใจได้ยากยิ่ง เขาอดประหลาดใจมิได้
คนจากนครพพายุหิมะสีเงินผู้นี้น่าสนใจ กลิ่นไออันสง่างามของเขานั้นอ่อนด้วยกว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่ไม่ได้มากมายนัก
มิน่าประหลาดใจเลยที่ นครพายุหิมะสีเงินมั่นใจในแผนการของพวกเขายิ่งนัก
จากนั้น จวินโม่เซี่ยจึงอยู่ดูเรื่องราวดราม่า โดยมิต้องจ่ายเงิน สำหรับยอดฝีมือจาก นครพายุหิมะสีเงิน ทำให้เขารู้สึกได้เพียงหนึ่งสิ่ง
พวกเขาน่าประหลาดใจ เขาเป็นเพียงแมลวันตัวเล็กๆเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา แต่ ยอดฝีมือเทพเชวียนระดับสูงเหล่านี้ถึงได้ยกย่อง และเอ่ยกล่าวว่าเขาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในโลกหล้านี้
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พึงพอใจยิ่งสำหรับเขา ! ความจริง มันเป็นสิ่งที่เกือบจะน่าพึงพอใจ…
เพียงแต่เดิมที คุณชายน้อยจวินเฝ้ามองพวกเขาอยู่ข้างๆเท่านั้น เขาจักไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ดังนั้น ในตอนที่เซี่ยวปู้หยู ยืนอยู่อย่างหดหู่ จวินโม่เซี่ยก็มิได้ยืนอยู่ห่างไกลเขา เขาวางมือลงบนหัวเข่า และมองใบหน้าของผู้อาวุโสด้วยความสนใจ คุณชายน้อยจวิน มีความสุขกับความโศกเศร้าของเขา
จวินโม่เซี่ยรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นว่า เซี่ยวปู้หยูตัดสินใจไปยังป่าเถียนฟาอย่างกระทันหัน เขารู้ว่าผู้คนเหล่านี้พยายามสร้างความยากลำบากให้แก่เขาและน้าชายในป่าเถียรฟา ความจริงแล้ว พวกเขาอาจพยาายามสังหาร เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่เขามิกังวลในเรื่องนั้น
เขาตระหนักได้ว่า ผลของกลิ่นไอของเขาจักเลวร้ายในทางใต้ ยิ่งกว่าที่นี่ ดังนั้นเขาจักต้องกลัวพวกเขา ?
น่าขันยิ่งนัก !
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขากังวลคือ ผู้คนจากนครพายุหิมะเหล่านี้ จักขัดขวางและโจมตีกองทหารของจวินวูอี้ในระหว่างทาง โอกาศที่จักเกิดเรื่องนี้น้อยนิดยิ่ง แท้จริงแล้ว ดูเหมือนเป็นเรื่องน่าขัน แต่ นี่คือสิ่งที่จวินโม่เซี่ยเป็นกังวลที่สุด
ทุกสิ่งอาจมิเป็นเช่นนั้น
ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงไม่จากไปเนื่องจากเขาตัดสินใจจักเฝ้ามองอยู่บนดาดฟ้าของ หอมณีวิจิตร เขารู้สึกผ่อนคลายหลังจาได้เห็นพวกเขาจากไป จากนั้น เขาจักพยายามย่างยิ่งยวดเพื่อเหนี่ยวรั้งการเคลื่อนขบวนของกองทหาร เนื่องจากจักไม่เป็นสิ่งดีสำหรับเขาหากกองทหารถูกซุ่มโจมตี…
เช้าวันถัดมา จวินโม่เซี่ยได้เห็นหกผู้อาวุโส เจ็ดสวรรค์เชวียนสูงสุด เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง จากนครพายุหิมะสีเงินอีกครั้ง ใบหน้าอันซีดเผือกและอ่อนแรงของ เซี่ยวเฟิงวู องค์หญิงฮั่นหยานเมิง และกระเป๋าเดินทางของพวกเขาขณะที่ออกเดินทางอย่างยิ่งใหญ่ เขามองดูพวกเขาออกไปจาก นครเทียนเชียงและติดตามพวกเขาไปราวครึ่งลี้ เขาสังเกตได้ว่า พวกเขามีความมุ่งมั่นในการเดินทางยิ่ง ดังนั้น เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายและกลับบ้าน
ในที่สุดเจ้าก็หนี ! ตอนนี้ เทียนเชียงเป็นโลกของข้าแล้ว !
จวินโม่เซี่ยกลับจวนด้วยความรู้สึกเบาสบายดั่งขนนก เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมิอาจหาที่เปรียบ
เขาเกือบจะไปถึงประตูเมื่อจมูกของเขาถูกจู่โจมด้วยกลิ่นฉุนยิ่งยวด ทำให้เขาเกือบล้มลง .มันเป็นอันใด ?
เขาพยายามค้นหาแหล่งที่มาของมันอย่างระมัดระวัง และกระโดดขึ้นด้วยความตกใจ
สวรรค์ ! เอ๋ ! อะไรกันนี่ ?!
ตอนที่ 301
เขามิได้สังเกตเห็นกลุ่มทหารที่ คุ้มครองรถม้านับสิบที่ประตูจวนสกุลจวิน ทหารกลุ่มหนึ่งเคลื่อนย้ายกล่องจากรถมามาวางบนพื้น แต่ละกล่องนั้นมีขนาดใหญ่ เทอะทะ และกลิ่นฉุนของยาที่โจมตีรูจมูกของเขามาจากกล่องเหล่านี้
ช่างโชคดี ที่กล่องเหล่านั้นถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในบ้านมิได้ว่าอยู่ด้านนอก มิเช่นนั้น คำแรกที่จวินโม่เซี่ยจะเอ่ยขึ้นคือ
“มีคนจู่โจมจวนพวกเรา ! พวกเขากำลังยึดสิ่งของพวกเราอยู่ ! “
ทุกสิ่งอย่างวุ่นวายขึ้นมากยิ่ง แต่มันจักไม่จบเพียงแค่นั้น กลุ่มชายวัยกลางคนราวสิบห้าคนกำลังเบียดเสียดอยู่รอบๆ พวกเขาร้องอย่างโสกเศร้าออกมาเสียงดังขณะกำลังร้องกล่าว สิ่งนี้ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งวุ่นวาย
” เกิดอันใดขึ้น ? เกิดอันใดบนโลกใบนี้ ? นี่คืออันใด ?
จวินโม่เซี่ยเดินผ่านฝูงชนด้วยความงุนงงและสงสัย และ เมื่อเขากำลังจะเข้าประตูไป … เขาได้ยินเสียงร้องออกมาจากด้านข้าง ชายวัยกลางคนที่โศกเศร้าวิ่งตรงมาที่เขา และคุกเข่าลงตรงหน้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำหูน้ำตา พวกเขาเริ่มเอ่ยร้อง
” คุณชายน้อยจวิน ได้ปรดเมตตา ได้โปรดเมตตาให้เราออกไป ! พวกเราประสงค์ให้ท่านมีชีวิตยืนยาว ! พวกเราขอให้ท่านอายุยืนนับร้อยปี และมีตำแหน่งสูงส่งในราชสำนัก ! ได้โปรดเมตตาต่อกิจการขนาดเล็กของพวกเรา ! พวกเรามีครอบครัวต้องดูแล ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย ! ”
จวินโม่เซี่ยงุนงง
ข้าเกี่ยวกันใดกับเรื่องนี้ ? พวกเขาพูดถึงสิ่งใด ? พวกเขากระทำดั่งคุณชายน้อยเป็นปิศาจในตำนานผู้ทำให้หญิงสาวกลายเป็นโสเภณี … ราวข้าเป็นปิศาจป่าเถื่อนผู้นำพาโชคร้ายและกดขี่ผู้คน ! คนพวกนี้เป็นผู้ใด ?! อันใดกันนี่ ?!
” เรื่องอันใดกัน ? “
จวินโม่เซี่ยขมวดคิ้ว เขารู้ว่าพ่อค้าเหล่านี้มิอาจกล้ามาคุยกับผู้สูงส่งเช่นเขา ดังนั้น เขาจึงเอ่ยถามทหารผู้ที่อยู่ข้างๆเขา แต่ ทหารเพียงแต่ส่ายหัว มิคาด เขาไม่รู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายนี้
ในตอนที่คุณชายน้อยจวินเริ่มรู้สึกหดหู่ พื้นดินเริ่มสั่นไหว จากนั้น มีหัวอันใหญ่ทะมึนเคลื่อนมา
” ข้าได้นำตัวยาที่เจ้าต้องการมา ทั้งสิ่งที่เอามาได้ง่ายและอีกหนึ่งที่มิได้ ข้าเอามาทั้งหมด ”
น้ำเสียงเจ้าอ้วนถังดังก้องเป็นที่โดดเด่น ราวกับเขากำลังนำเสนอสมบัติของเขา จากนั้นเขาก็แผ่มืออ้วนๆของเขาเพื่อแสดงท่าที
” และมันคือสิ่งนั้น ! น้องชายของเจ้ากระทำการรวดเร็วและทำงานสำงเร็จสมบูรณ์! ”
จวินโม่เซี่ยรู้สึกวิงเวียน
ข้าบอกให้เจ้านำส่วนผสมของยาจำนวนหนึ่งเท่าที่เจ้าหามาได้ แต่ นี่มากเกินไป และการจัดการกับชายวัยกลางคนเหล่านี้คือสิ่งใดกัน ?
เขาอดโพล่งออกมามิได้
” เจ้าเอาส่วนผสมยามากมายนี้มาได้อย่างไรกัน ? และ เกิดอันใดขึ้นกับคนเหล่านี้ ? “
” เอ๋ ! คุณชายน้อย ทุกผู้อยู่ฝ่ายเดียวกัน เช่นนั้น เหตุใดท่านถึงพูดจาเป็นทางการเช่นนี้ ? และเหตุใดท่านจึงดูสับสน ? “
ถังหยวนเบียดเสียฝ่าฝูงชนและขยับตา ราวกับจักบอกเป็นนัยถึงความเข้าใจอย่างชัดเจนของทั้งสอง
” คุณชายน้อยถัง คุณชายน้อยจวิน ได้โปรดเมตตาพวกเรา ได้โปรดปล่อยพวกเราด้วย ! พวกเราขออ้อนวอน เหลือช่องทางให้พวกเราอยู่รอดด้วย ! ”
ชายวัยกลางคนเริ่มร้องไห้เมื่อพวกมองถังหยวน จากนั้นพวกเขาจึงไปล้อมรอบคุณชายน้อยทั้งสอง คุกเข่าลงต่อหน้าพวกเขาและเริ่มโขกหัวกับพื้น
” เจ้า … ”
จวินโม่เซี่ยตกตะลึงชั่วขณะ จากนั้น เขาเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ … ที่ละนิด
ดูเหมือนว่าถังหยวนไปยังสกุลขายยาจำนวหนึ่ง และยึดเอาส่วนผสมเหล่านี้จากร้านของพวกเขาและหากข้าคาดไม่ผิด … ผู้คนเหล่านี้มิได้อยู่ในฐานะที่แจกจ่ายวัตถุดิบมากมายได้
” ท่านร้องขอส่วนผสมเหล่านี้อย่างเร่งด่วน แต่ มันมากมายยิ่งนัก ข้าจักจัดหาของมากมายเช่นนี้ภายในเวลาอันน้อยนิดได้อย่างไร ? และ ข้าจักไปหาส่วนผสมเหล่านั้นให้เจ้าได้จากที่ใด ? เช่นนั้น คุณชายน้อยผู้นี้จึงขมวดคิ้ว และวางแผ่นการอย่างรอบคอบด้วยการมองการไกล ! ”
ถังหยวนรู้สึกภาคภูมิในตัวเองขณะเขาเอ่ยวาจา
” ดังนั้น ข้าจึงเตรียมตัวไปยังร้านยาเหล่านี้ จากนั้น ข้าจึงแสดงเจตนาจักซื้อส่วนผสมให้พวกเขารู้ อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องการส่วนผสมจำนวนมากมาย และพวกเขาเอ่ยว่าไม่ประสงค์จักแบ่งส่วนผสมออกไปมากมายนัก พวกเขาบอกว่าพวกเขามิอาจดำเนินธุรกิจหาเช้ากินค่ำได้หากพวกเขาขายส่วนผสมที่เจ้าจ้องการ … ”
จวินโม่เซี่ย ไร้วาจา เขากรอกตา
เจ้าช่าทำตัวโง่เขลา ! พวกเขาจักทำการค้าได้เช่นไรหากเจ้าฉกฉวยสินค้าในคลังของพวกเขามาจนหมด ? เจ้าไม่รู้หรือต้องใช้เวลากี่วันกว่าสกุลของพวกเจ้าจักพลิกผันกลับมาได้ ? และเจ้าเพียงแต่พูดว่า “ทั้งหมดนั้น ” ? เจ้าเอาทุกสิ่งอย่างมาจากคลังของพวกเขา ?
” เช่นนั้น พี่ชายผู้นี้จึงมีโทสะยิ่ง ”
ดวงตาของถังหยวนเบิกกว้าง และเผยถึงสีหน้าอันชั่วร้าย
” พวกเขาปฏิเสธที่จักทำการค้ากับข้า พวกเขามิต้องการขายสิ่งใดแก่ข้า นั่นชัดเจนว่าพวกเขาพยายามโกงข้า ! จริงหรือ ?! พวกเขาจักทำเช่นนั้นได้อย่างไร ?! พวกเขากล้ากลั่นแกล้งเราสองพี่น้อง ! และ นี่มิใช่การฝ่าฝืนกฏหมาย ? เช่นนั้น ข้าจึงมุ่งตรงไปยังกรมการยุติธรรม และได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้น ข้าแสดงให้คนเหล่านี้ดู จากนั้นข้าไปยังสกุลใหญ่ๆมากมาย และเนื่องจากพวกเขากระทำแข็งกร้าวในวันก่อน ข้าจึงเอาทุกสิ่งจากพวกเขา และปิดร้านพวกเขา ตอนนี้ ข้านำส่งส่วนผสมเหล่านั้นมาที่นี่ ”
จวินโม่เซี่ยเซไปมา
” เจ้าให้เหตุผลใดกับเจ้ากรมเพื่อฉกฉวยสิ่งของเหล่านี้จากสกุลต่างๆ ? เจ้าได้บอกแก่ กรมการยุติธรรมหรือไม่ว่านั้นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ … และพวกเขาคิดว่ามันยอดเยี่ยม … และให้หนังสืออนุญาตแก่เจ้า ? “
” คุณชายน้อยสาม… ท่านโง่เขลากระนั้นหรือ ? เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยวาจาดั่งมิรู้ว่ากิจการดำเนิดไปด้วยวิธีใด ? “
ถังหยวนมองเขาด้วยความฉงน
” พวกเราสามารถฉกฉวยทุกสิ่งที่พวกเราต้องการได้ เพราะสถานะของพวกเรา เหตุใดพวกเราจักต้องอธิบายถึงเหตุผล ? พวกเขาจักเรียนรู้ที่จักเคารพพวกเราหากพวกเราสามารถไปยึดทรัพยากรณ์จากสกุลเหล่านี้มาได้ ! นั่นคือเหตุที่ผู้มีอำนาจไปจับกุมเพื่อส่งที่ไม่มีมูลความจริง ! พวกเขายึดครองกิจการ และรอคอยสองสามวัน จากนั้น พวกเขาจักปล่อยให้เจ้าของไปหากพวกเขาอารมณ์ดี แต่ พวกเขาจักตัดหัวทุกคนออก หากพวกเขารังเกียจเมื่อได้ฟังถึงเรื่องอันน่าโศกเศร้าไร้สาระเพียงเล็กน้อยที่ทำให้รำคาญใจ … ”
มุมปากของถังหยวนยกขึ้น จากนั้นเขาทำเสียงเย้ยหยัน
จวินโม่เซี่ยเพ่งงมองไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าเขายังมิได้หลอมรวมเข้ากับสถานะทางสังคมอย่างถูกต้องตั้งแต่เขามายังโลกใหม่ใบนี้ ทัศนของถังหยวนนั้นมีเหตุผลยิ่ง ในสังคมแห่งศักดินานี้ … ขุนนางรุ่นเยาว์เช่นถังหยวนและจวินโม่เซี่ยจำต้องมีเหตุผลใดๆหรือหากเขาต้องการสิ่งของทั้งหมดจากร้านค้า ?
แต่จักมิเป็นการป่าเถื่อนไปหรอกหรือ ?
ไร้วิธีอื่นใดที่ดีจักอธิบายเรื่องนี้ จวินโม่เซี่ย และ ถังหยวนสามารถกระทำตัวต่ำทรามและไร้เหตุผล สถานะของพวกเขาทำให้พวกเขาเดินเข้าไปในร้านใดๆ และยึดครองกิจการทั้งหมดของพวกเขาได้ แม้นว่าพวกเขาจักสังหารผู้คนเหล่านี้ พวกเขาก็สามารถกลับไปยัง กรมการยุติธรรมได้ หลังจากนั้น พวกเขาก็สามารถเดินวางมาดไปทั่ว และเอ่ย
” พวกเราสังหารพวกเขา แต่มันเป็นเรื่องสำคัญที่จักมอบความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่สมควรได้รับการลงโทษ พวกเราเพียงแต่ปกป้องตัวเอง และสมควรได้รับการยกย่องจากราชสำนัก ! โอ้ และเดี๋ยวก่อน … ครอบครัวของผู้ตายจัดต้องเป็นหนี้เพื่อชดใช้ค่าเสียขวัญของพวกเรา ! ฮึ่ม ! พวกเราประสบความทรมารยิ่ง ! …. แต่เกิดอันใดกับสกุลของผู้ที่ถูกพวกเจ้าสังหาร ? …. ส่งพวกเขาทั้งหมดเข้าตาราง มิเช่นนั้นพวกเขาจักก่อปัญหาให้แก่ข้าหากพวกเขาได้อยู่อย่างอิสระภายนอก และ หากเจ้าหน้าที่ชั่นต่ำมีปัญหา ข้าก็ส่งพวกมันเข้าตารางตามไปในไม่กี่วันต่อมาโดยมิต้องสนสิ่งใด นี่ คือสิ่งที่ข้าได้ประจัก “
นี่คือความได้เปรียบของผู้ที่อยู่ในสถานะสูงส่งในสังคมนี้ อาจเป็นการดีหากถาม ในนครเทียนเชียงจักมีกี่มากน้อยที่อาจหาญยั่วยุสกุลอันยิ่งใหญ่เช่นสกุลถังและจวัน ?
ข้ามิอาจบอกได้ในโลกนี้ … แต่ข้ามิเคยกระทำเช่นนี้ในชีวิตก่อน … ที่มีอินเตอร์เน็ต … เช่นนั้น โลกนี้จึงแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง !
จวินโม่เซี่ยหันมองไปยังใบหน้าวิงวอนที่อยู่โดยรอบ เขานับจำนวนพวกมัน ในที่สุด ร่างของนายห้างใหญ่จากสกุลการปรุงยานับเจ็ดปรากฏขึ้นด้านนอกประตูของเขา
เขาเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าอ้วนถังได้กระทำตัวดั่งเช่นมือสังหารจวิน เขาสังหารเป้าหมาย และก้าวต่อไปโดยมิได้ติดใจ แต่ ศูนย์กลางของเรื่องนี้คือ ….
” ทุกผู้ได้ยินข้า ใช่ไหม ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดคือปัญหา ? ให้ข้าได้บอกกับเจ้า … อาวุโสผู้นี้มิได้มีความสุข ขอให้ข้าถามเจ้า มีผู้ใดในนครเทียนเชียงที่อาจหาญปฏิเสธการค้าขายกับพี่ผู้นี้ ?! “
ถังหยวนกู่ร้องสิ่งนี้อย่างไร้เหตุผล เภสัชกรเหล่านี้จักคิดถึงเขาได้อย่างไรกัน ?
.ตอนนี้ข้าเสียใจยิ่ง … จากก้นบึ้งหัวใจ..และแม้แต่ความกล้าหาญของข้า ข้าควรจะให้สัญญาซื้อขายกับเขาในราคาถูกหากรู้ว่าต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ .. บางทีเขาอาจจะทิ้งข้าไปหากข้าให้ของขวัญเขาด้วย พวกเรามิอาจทำการค้าได้ในอีก สิบ สิบห้าวันภายใต้สถาการณ์เช่นนี้ หกมองออกไป สกุลของข้าล่มสบายแล้วตอนนี้ !
สมาชิกของผู้ที่วิงวอนอยู่พยักหน้าเห็นด้วยกับบางสิ่ง
” พวกเรายินดีเสนอทรัพย์สินทั้งหมดของสกุลแก่คุณชายน้อยทั้งสอง พวกเราวิงวอนคุณชายน้อยทั้งสอง อย่าได้เอาสินค้าของพวกเราไปทั้งหมด และ แสดงความเมตตาต่อพวกเราด้วย ”
” เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าคุณชายน้อยผู้นี้ยากจนหรือ ? เจ้าคิดว่าข้าต้องการข้อเสนของเจ้า ? นอกจากนี้ เจ้าจักให้อะไรแก่ข้านอกเสียจากยา ? แม่เจ้า ! เจ้าจักมอบยาและของกำนัลแก่ข้าหรือ ? และเจ้าหวังให้ข้าล้มป่วย ? เจ้ามีความสุขหรือหากข้าต้องตาย ? “
ถังหยวนตะโกนออกไปขณะเขาแสดงถึงสถานะตัวเองบนใบหน้าอีกหน
พวกเราหวังให้เจ้าทั้งสองล้มป่วย ผู้คนสามัญจักได้รับโชคดีหากเจ้าล้มป่วยและตายไป
นายห้างใหญ่คิดออกมาอย่างขุ่นเคือง แต่กระนั้น ใบหน้าของพวกเขายังแสดงออกถึงการเคารพและน้ำตา
” ทุกคนฟัง ! หอชนชั้นสูง ของพกวเราต้องการส่วนผสมเหล่านี้อย่างเร่งด่วน ! พวกเราไม่มีทางเลือกจึงใช้วิธีการนี้เพื่อให้ได้มันมา ข้าจักยินดียิ่งหากได้รับยาของเจ้ามาในตอนนี้ แต่หลังจากนี้ เจ้าสามารถทำบัญชี และรับการชำระบัญชีจากคุณชายน้อยถัง คุณชายน้อยผู้นี้จักทำให้มั่นใจว่าพวกเจ้าได้รับการชดใช้ ทั้งหมดที่พวกเราเอามาจากพวกเจ้า พวกเราจักซื้อสินค้าของเจ้าในราคาที่ยุติธรรม พวกเราไม่พยายามจักฉ้อโกงเจ้า พวกเราควรเห็นพ้องกันในเรื่องนี้ไหมคุณชายทั้งหลาย ?”
จวินโม่เซี่ยไตร่ตรองเนิ่นนานก่อนเขาเริ่มเอ่ยปาก เหตุใดเขาประสงค์จักใช่สถานะของเขาเพื่อเอาเปรียบนายห้างเหล่านี้ ? มันมิใช่ความรู้สึกที่ดี ในเรื่องนี้เจ้าอ้วนได้กระทำล้ำเส้นมากเกินไปหน่อย เช่นนั้น จึงเป็นการดีที่จักแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เนื่องจากจักเป็นการไม่เหมาะสมหากจักก่อให้เกิดปัญหามากเกินความจำเป็น
” ใช่แล้ว ขอรับ ผู้น้อยเช่นพวกเรามิกล้าคัดค้าน ”
” เจ้ามิกล้าคัดค้าน ? ข้ารับผิดชอบที่นี้ การตัดสินใจเช่นไรก็ต้องเป็นข้า ! ดี ! ตอนนี้ ทุกคนกลับบ้านเจ้าไปได้แล้ว เรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว “
จวินโม่เซี่ยขมวดคิ้วไปยังถังหยวน
” ส่งใบเก็บเงินสำหรับส่วนผสมที่ต้องการเริ่มด้านเหล่านี้มาให้ข้า จ่ายพวกเขาเป็นสองเท่า นอกจากนี้ ข้าได้สั่งสอนให้เจ้าจ่ายเป็นราคาที่สูงลิ่ว และใช่ บอกเจ้าหน้าที่ให้ลบล้างข้อกล่าวหาเล็กน้อยเหล่านั้นไปเสีย คนเหล่านี้ไร้ความผิด ปล่อยพวกเขาไป ”
ใบหน้าถังหยวนกระตุกด้วยความกังวล
จ่ายพวกเขาสองเท่า….
” ชนชั้นต่ำเช่นพวกเรามิกล้า … ”
ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวนี้จึงได้รับการแก้ไขในที่สุด เหล่านายห้องใหญ่ ผ่อนคลายและทอดถอนใจ พวกเขามิเอ่ยสิ่งใดเนื่องจากพวกเราไม่ประสงจักก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของส่วนผสมอีก แต่ อย่างน้อยสกุลการค้าของพวกเขาก็ได้รับความปลอดภัย
” เอ่อ และข้ามิได้ต้องการมากมายเช่นนั้น ข้ามิต้องการสิ่งที่หลงเหลืออยู่ หลังจากที่ค้าได้คัดเลือกพวกมันเสร็จแล้ว ”
จวินโม่เซี่ยชี้ไปยังส่วนผสมและเอ่ยขึ้น เขาก้าวไปเล็กน้อยก่อนหยุดลง
” โอ้ว ใช่แล้ว … ส่งคนขายของเจ้ามาช่วยด้วย มิเช่นนั้น ข้าก็มิรู้ว่าเมื่อใดที่ข้าจักจัดการกับสิ่งของจำนวนมากมายเช่นนี้จนเสร็จ ”
เหล่านายห้างใหญ่เห็นด้วยพร้อมใบหน้าเจ็บปวด พวกเขาเพียงได้คิด
เป็นเส้นทางของโลกใดกัน ? พวกเราดำเนินกิจการซื่อตรง พวกเรามิได้ก่อกวนผู้ใด แต่กระนั้น มีคนผู้หนึ่งออกมาและแย่งชิงเอากิจการของพวกเราไป จากนั้น พวกเขาข่มขู่พวกเราด้วยความตาย และปล่อยพวกเราไปโดยไม่คาดคิด และ พวกเราสำนึกในบุญคุณนั้น .. แต่ตอนนี้ พวกเราต้องส่วนผู้ช่วยเพื่อมาคัดเลือกสิ่งที่คนผู้นี้มิต้องการ ? โอ้ และ พวกเราจักต้องแสดงใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ?! อยุติธรรมนัก … อยุติธรรมยิ่งนัก …
เหตุใดข้าต้องมาพบเจอสิ่งนี้ ?
นายห้างทั้งเจ็ดคิดถึงสิ่งเดียวกัน
” ดี ! ตอนนี้ผ่อนคลายและทำในสิ่งที่ข้าบอกให้เจ้าทำ และ รีบเข้า ทุกผู้ตอนนี้ไปได้แล้ว ! ”
จวินโม่เซี่ยดึงเสื้อคลุมของเขาและเดินตรงไปยังประตู เขาได้ยินเสียงของถังหยวนด้านหลังได้อย่างแผ่วเบา ดูเหมือนเขากำลังกัดฟัน
” แล้ว แล้ว แล้ว … พวกเจ้า เจ้าเอ่ยปากและโนมน้าวให้คุณชายจ่ายเป็นสองเท่า … ”
” พวกเรามิกล้า … ”
น้ำเสียงตอบกลับด้วยความเคารพและถ่อมตน
จวินโม่เซี่ย อดยิ้มมิได้ เขารู้สึกว่า ฐานะและอำนาจมีประโยชน์ในการจัดการกับสิ่งต่างๆ
เอ เหตุใดก่อนหน้านี้ ข้ามิได้คิดถึงเรื่องนี้ ?
เภสัชกรเหล่านี้มิได้มีตัวยาตามตำนานใดๆในคลังของพวกเขา แต่พวกเขามียาสามัญที่ทุกคนคาดหวังต้องการ
ข้าจักประหยัดเวลาได้มาก หากคิดได้ก่อนหน้านี้ !
ตอนที่ 302
เดิมทีจวินโม่เซี่ยคนเก่าจักใช้วิธีการเดียวกับถังหยวนหากเขาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
จวินโม่เซี่ยในตอนนี้ และก่อนหน้านี้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จวินโม่เซี่ยเคยมีจิตวิญญาณอันชั่วร้าย และ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนกที่อิสระ แต่เขามิได้ถูกสร้างมาให้มัวเมาในเรื่องโลกีย์ดั่งเช่นถังหยวนและจวินโม่เซี่ยคนเก่า จวินโม่เซี่ยพึ่งพาตัวเองเสมอ ความจริง เขาจักไม่เตือนพวกตำรวจหากเขาได้พบกับอาชญากรที่รายกาจ เขาจักปฏิบัติต่อความชั่วร้ายในฐานะศัตรูของเขาและทวงคืนความยุติธรรมด้วยตัวเอง
จวินโม่เซี่ยคนก่อนนั้นจักมีกิจวัตรที่กดขี่ผู้อื่นโดยใช้อำนาจของเขา เขาจักใช้มันเพื่อกดขี่ผู้คนให้ต่ำลง ทั้งสองคนนี้มีนิสัยที่แตกต่างกัน เช่นนั้น พวกเขาจักผสมผสานกันได้ง่ายๆได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตาม เสียงสวรรค์ของถังหยวนก็มาถึงได้ทันเวลาเพื่อช่วยจวินโม่เซี่ยจัดการเรื่องเร่งด่วน เวลาเป็นสิ่งสำคัญ และจวินโม่เซี่ยเป็นเพียงมือใหม่ในการปรุ่งยา ความจริง เขามิเคยฝึกฝนแม้แต่วิชาพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังมีการขาดแคลนส่วนผสมอยู่เสมอ แต่ เจ้าอ้วนถังได้ช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่ของคุณชายน้อยจวินได้ และ จวินโม่เซี่ยจักไม่กล่าวโทษเขาแม้นวิธีการที่เขาใช้นั้นจักเลวทรามยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ชดเชยแต่การเสียขวัญของเหล่านายห้างด้วยเงินจำนวนมากมาย เช่นนั้น นั้นคือการชดเชยในสิ่งที่สุญเสีย
นี่เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับพวกเขา กระนั้น โลกนี้มีความยุติธรรมที่แท้จริงหรือไม่ ? คุณชายน้อยผู้นี้ได้ก้าวข้ามผ่านมายังโลกนี้ พวกเขาทำอย่างนั้นได้หรือ นั้นก็มิใช่ความยุติธรรมเช่นกัน …
โลกมิได้ตั้งอยู่อย่างสมดุลบนความยุติธรรมและความถูกต้อง เช่นนั้น อันไรคือสิ่งที่ต้องเข้าใจในความสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ?
” อย่างไรก็ตาม มิใช่เรื่องสำคัญว่าจักยุติธรรมหรือไม่ ข้าจักปรุงยาในคืนนี้ !
สิ่งนี้สำคัญที่สุด
และจวินโม่เซี่ยมองออกไป
เมื่อข้ากลั่นส่วนผสมเหล่านี้แล้ว ผลจักเป็นเช่นไร ?
จากนั้น เสียงคำรามดั่งมังกรก้องสะท้อนขึ้น ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ยปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนือจวนสกุลจวิน ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ขณะเอ่ยขึ้น
” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เหตุใดเจ้าไม่ออกไปเมื่อคนจาก นครพายุหิมะสีเงินล้มตาย ? เจ้าจักผลัดวันประกันพรุ่งไปอีกสักเพียงใด ? เจ้ามิหวาดกลัวการก่อกบฏของเหล่าสัตว์เชวียน ? “
ดวงตาที่ถี่ถ้วยนั้นมองเห็นได้ว่า ผิวพรรณของปรมาจารย์เลือดเย็นนั้นมิสู้ดีนัก ดวงตาของเขาแดงด่ำ และอาการของเขามิค่อยจะดี ผู้ที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพเช่นนั้น จะต้องภูมิใจยิ่งนัก
” ข้าจักไป หากต้องการ และ มิไปหากมิต้องการ เช่นนั้น ข้าจักไปต่อเมื่อเขารู้สึกอยากไป เจ้ามีอันใดหรือไม่ ? “
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตอบกลับด้วยอารมมิได้นัก
เหยี่ยมผู้โดดเดี่ยวกำลังหดหู่
การอัญเชิญอันไร้สาระมาในช่วงเวลาสำคัญ เจ้ามิรอคอยให้ข้าสำเร็จเคล็ดวิชา เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูรก่อนหรือ ? เมื่อใดกันที่ข้าจักสามารถกลับมาฝึกฝนอย่างเงียบสงบได้ หากข้าไปยังเถียรฟาในตอนนี้ … เมื่อใดกันที่ข้าจักได้มีโอกาสเช่นนี้ ? นอกจากนั้น ข้าอาจจะพลาดตัวยาด้วยเช่นกัน !
เล้ยวูเบ้ยคำส่งเสียงทางจมูกเยือกเย็น
” มันสำคัญที่ต้องไป ทั้งเจ้าและข้าอยู่ใน นครเทียนเชียง เหยี่ยวเฒ่า ข้ารู้ว่าพวกเรามีความแค้นต่อกัน แต่ เมื่อมีการอัญเชิญสูงสุดมาถึง พวกเราต้องวางทุกอย่างลง เจ้าคือหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ เจ้าควรจะรู้ว่าผลของการปฏิเสธ การอัญเชิญสูงสุดจะเป็นเช่นไร อาวุโสผู้นี้ประสงค์จะเดินทางไปกับเจ้า แต่ ข้ามิรู้ได้เลยว่าเจ้าอกตัญญูเช่นนี้ ”
ไม่เพียงแต่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว … จวินโม่เซี่ยเองก็ตกใจในวาจาของ เล้ยวูเบ้ย
ปรมาจารย์เลือดเย็นต้องการเดินทางไปพร้อมกับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ? เป็นส่ิงที่แปลกประหลาดยิ่งนัก !
ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เล้ยวูเบ้ยเป็นบ้าไปแล้ว ในขณะค้นหาศัตรูของ ฉือฉีฮั่น เข้าประสงค์จักหาผู้ที่สามารถสังหารเขาได้ เขาเคร่งเครียดตลอดวัน และและเฝ้าระวังศัตรูในจินตนาการของเขา เนื่องจากเขาเชื่อว่ามือสังหารอันดับหนึ่งสามารถทำการโจมตีอย่างร้ายแรงได้จากภายในเงามืด ในที่สุด ร่างของเล้ยวูเบ้ยเริ่มเหน็ดเหนื่อย และความคิดของเขาเริ่มหมดสิ้น ความจริง ยอดปรมาจารย์ผู้นี้เกือบจะสูญเสียสัมปัชชัญญะ
เมื่อนั้น การอัญเชิญสูงสุด ก็มาถึง เล้ยวูเบ้ย ตระหนักได้ว่า ป่าเขา หรือที่พักแรมอันโดดเดี่ยวสักแห่งระห่างทางไปยังเถียนฟาจักเป็นสถานที่ซึ่งอาจถูก ฉือฉีฮั่นโจมตีได้ ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูของเขาเป็นปิศาจ และฉลาดล้ำ เล้ยวูเบ้ยรู้ว่า งานทั้งหมดในชีวิตของเขา จะไร้ค่าหากเขามิระมัดระวัง เช่นนั้น เขาจึงบังเกิดความคิดที่จะเดินทางไปพร้อมกับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว … สองยอดปรมาจารย์มีความแค้นบางอย่างต่อกัน แต่มิได้หมายความว่ามันเป็นความเกลียดชังที่มิอาจไกล่เกลี่ย
หากเขาสามารถทำให้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวช่วยเหลือเขาได้ … สองยอดปรมาจารย์อาจข่มขวัญ ฉือฉีฮั่นได้ ..และเขาอาจมิกล้าโจมตีพวกเขา
เงาร่างเท่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวปรากฏขึ้นตรงหน้า เล้ยวูเบ้ย
” เอ่ยความจริง เล้ยวูเบ้ย เจ้ามีแผนการอันใด ?“
” เจ้าหวาดกลัวหรือ ?“
เล้ยวูเบ้ยคำรามทางจมูกยั่วยุ
” ข้า ? กลัว ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า … อาวุโสผู้นี้รู้ว่านี่คือ วิธการทางอ้อมที่จักให้เขาไปกับเจ้า ข้ารู้เห็นสิ่งที่เจ้าวางแผน ! “
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะลั่น
” หยุด ! ”
คุณชายน้อยจวินมิอาจนิ่งเฉยได้ ขณะที่เขาตระหนักได้ว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอาจจากไปกับ ยอดปรมาจารย์คนอื่น เช่นนั้น เข้าจึงกระทำการเพื่อหยุดพวกเขาอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่า นครพายุหิมะสีเงินมุ่งหน้าไปก่อนแล้ว และอาจกำลังรอคอยเพื่อโจมตี เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว คุณชายน้อยจวินมิได้คาดไว้ว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจัก ชักชวนให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพื่อป้องกัน ฉือฉีฮั่น ยิ่งไปกว่านั้น เขาเชื่อว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจักมิให้ความช่วยเหลือใดๆหาก เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวต้องกับกับโชคร้ายระหว่างทาง ความจริง เขาต้องการที่จะเดินทางไปกับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหากมันเป็นจุดประสงค์ของเขา
” อะไรหรือ ? “
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขมวดคิ้ว
” นักเรียนผู้นี้จำต้อง ผ่านหลายสิ่งอย่างก่อนที่อาจารย์จักกลับมา ”
จวินโม่เซี่ยกรอกตา
หัวใจของเหยี่ยวผู้โดดเดียวโลดเต้นเมื่อได้ยินวาจานั้น และเริ่มตื่นเต้นกับความคาดหวัง
” สิ่งใด ?! เจ้าโง่ เจ้าทำให้ข้ามีความสุขด้วยจานั้น ”
เล้ยวูเบ้ย ประหลาดใจ
อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด ? เขาแข็งแกร่งเพียงใด ? เขาจึงสามารถทำให้ หนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ กระโดดโลดเต้นได้โดยใช้คำเพียงไม่มาก … ?
” อาจารย์ของข้าบอกให้ข้าท่องวาจาเหล่านี้ให้เจ้าฟัง เหยี่ยวบินโดดเดี่ยว ราวหมอกควันล่องลอยท่ามกลางท้องนภาว่างเปล่า มันละลายไปในความโดดเดี่ยวนี้ เหยี่ยวที่ตายแล้วมิอาจมีชีวิตอยู่ในความโดดเดี่ยวของท้องนภา และ เคล็ดนับหมื่นมิอาจมีอยู่ในท้องนภาที่โดดเดี่ยว เคล็ดนับหมื่นคือความโดดเดี่ยว ”
จวินโม่เซี่ยมิได้ใช้วาจามฟุ่มเฟือย และเขานำชื่อของเขาเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเข้ามาเพื่อให้ความจำของเขาดีขึ้น
” เหยี่ยวบินโดดเดี่ยว ราวหมอกควันล่องลอยท่ามกลางท้องนภาว่างเปล่า มันละลายไปในความโดดเดี่ยวนี้ เหยี่ยวที่ตายแล้วมิอาจมีชีวิตอยู่ในความโดดเดี่ยวของท้องนภา และ เคล็ดนับหมื่นมิได้มีอยู่ในท้องนภาที่โดดเดี่ยว … ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขมวดคิ้วขณะคุร่นคิด ราวกับเขารู้ถึงความหมาย แต่มิอาจเข้าใจ ดวงตาของเขาเผยถึงความงุงงงน
” เป็นประโยคที่ ฉลาดและสร้างสรรค์ยิ่ง เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่มิอาจอธิบาย ข้ามิอาจพูดมันออกมาได้ อาจารย์รู้ว่าเจ้าจะต้องมุ่งหน้าไปยังเถียรฟา เขารู้ว่าเจ้าจะมีส่วนในการต่อสู้ เช่นนั้น เขาจึงเตรียมให้ข้าบอกเรื่องนี้แก่เจ้าเนื่องจากเขามิต้องการให้เรื่องนี้รบกวนการฝึกฝนของเจ้า … ”
” ขอบคุณมาก ! ”
ใบหน้าหยาบการ้านของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวปรากฏความสำนึก จากนั้นเขาพนมมือ
” อาจารย์บอกให้ข้ารายงานเจ้าว่า หกยอดฝีมือสวรรค์เชวียนจาก นครพายุหิมะสีเงินได้ล่วงหน้าไปแล้ว และอาจรอเจ้าอยู่ในระหว่างทางไปยังเถียนฟา พวกเขามี เจ็ดกระบี่ติดตามไปด้วย ข้าขอให้เจ้าระมัดระวังอย่างมาก และเดินทางให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ”
” ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนหกคน ? เจ็ดกระบี่ ? หรือจะเป็น เจ็ดกระบี่จากนครภายุหิมะสีเงิน ? “
สีหน้าเยี่ยวผู้โดดเดี่ยวซีดเผือกขณะที่หัวใจของเขาสิ้นหวัง เขาจักมิเชื่อหากมีผู้อื่นบอกเขาถึงสิ่งนี้ แต่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเชื่อข่าวนี้เนื่องด้วยมาจากปากของปรมาจารย์ลึกลับ
” เช่นนั้น ข้าควรเดินทางไปพร้อม เล้ยวูเบ้ย อาจมีชื้อเสียบางอย่าง แต่ก็อาจมีข้อดีบางสิ่ง หากเรารวมมือกัน ยิ่งไปกว่านั้น อตีดมีค่ามากกว่าก่อนหน้านี้ ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพึมพัมเนิ่นนาน จากนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
” อาจารย์พูดเช่นไรอีก ? “
” อาจารย์เอ่ยว่ากำลังใจของศิษย์พี่จักทะยานขึ้นราวเหยี่ยวในเวลาที่เขากลับมา ”
จวินโม่เซี่ยหัวเราะ จากนั้น เขาพนมมือขึ้นและเอ่ย
” เทพแห่งความเร็ว ! เดินทางอย่างระมัดระวัง ! ”
” ลาก่อน ! ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโค้งคำนับด้วยความเคารพที่หาได้ยากยิ่ง และพนมมือ
” อีกครั้ง มอบความเคาระพอย่างจริงใจของข้า แก่ท่านอาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนับถือเขาอย่างสูงส่งยิ่ง ข้าจักใช้เรื่องนี้แก้สกุลจวินอย่างจริงจัง บอกให้เขาสบายใจ ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว คำรามดังยาวหลังจากที่เขาเอ่ยวาจาจบ จากนั้น เขาพุ่งทะยานขึ้นไปยังท้องนภาอันโดดเดี่ยว เล้ยวูเบ้ย หัวเระลั่น และตามเขาไป สองร่างโผ่ขึ้นสู่ท้องฟ้าชั่วครู่ก่อนจางหายไป
” ยอดปรมาจารย์มิใช่ผู้ที่จักล้อเล่นด้วยได้ … ”
จวินโม่เซี่ยถอนใจล้ำลึก และหันหลังเดินกลับเข้าห้อง
ยอดฝีมือเชวียนมากมายรวมตัวกันในนครเทียนเชียงในค่ำคืนนั้น โดยมิได้คำนึงถึง ระดับและพื้นเพ จากนั้น พวกเขาเร่งรุดมุ่งไปยังเถียรฟา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม หรือเพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ดี นี่คือ การอัญเชิญสูงสุด ไม่มีผู้ใดไม่เอาใจใส่
แม้แต่ ซ้งฉาง และ ไฮ่เฉินเฟิง ก็มาขอให้ไปยัง เถียรฟาเนื่องจากพวกเขาคิดจักไปช่วยเหลือ ต่อจวินโม่เซี่ยก็ห้ามมิให้เขาไปทำเช่นนั้น
” เจ้ากำลังทำสิ่งใด ? เจ้ามิชอบที่จักมีชีวิตยืนยาวกระนั้นหรือ ? ข้าห้ามเจ้าไปยังสถานที่นั้น พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ซ้งฉาง กลับไปหมักสุรา ข้าจักยกเลิกการฝึกฝนของเจ้า หากเจ้าอิดออด และสำหรับ ไฮ่เฉินเฟิง กลับไปดูแลก๊กของเจ้า ! เจ้าไม่ต้องมีส่วนร่วมในเรื่องอื่น เจ้าต้องตั้งใจพัฒนาก๊กของเจ้า ”
นี่คือเรื่องตลก คุณชายน้อยจวิน ไม่มีอำนาจในการห้าม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหากเขาประสงค์จักไป แต่ เขายึดถือว่าสองคนนี้คือคนของ สกุลจวิน เช่นนั้น เขาจักอนุญตให้พวกเขาไปได้อย่างไร ?
จักเกิดสิ่งใดขึ้นหากจวินโม่เซี่ย ปล่อยครอบครัวจวินไว้กับคนธรรมดา ? แต่ หากยอดฝีมือทั้งสองยังอยู่เบื้องหลัง .. พวกเขาสามารถสามารถดูแลครอบครัวจวินได้หามีบางสิ่งเกิดขึ้น ความจริงแล้ว สกุลจวินนั้นถือ่าแข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่นี้ และจวินโม่เซี่ยก็รู้อยุ่แก่ใจ
กลับมายังปัญหาเดิม … เขาไม่ยอมให้พวกเขาจากไปแม้ว่าเขาจักไม่ต้องการดูแลสกลุจวิน เนื่องจากตอนนี้พวกเขาได้มีชื่อว่า คนของสกุลจวินไปแล้ว เช่นนั้น การส่งพวกเขาไปยัง เถียรฟา เป็นดั่งการใช้พวกเขาเป็นเบี้ยที่ไปต่อสู้กับ สกุลเซี่ยว และ สกุลลี่ ทั้งสองผู้นั้นเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียน แต่เถียรฟานั้นตอนนี้มีกลุ่มของยอดฝีมือเทพชวียนอยู่ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนเป็นดั่งเช่นสุนัขในทางใต้ ดังนั้น พวกเขาจักมีประโยชน์กว่าในเทียนเชียง
ข้าเลือกสมาชิกฝ่ายข้าอย่างถี่ถ้วนยิ่ง ! เช่นนั้น เหตุใดขึ้นถึงต้องโยนพวกเขาไปยังเถียรฟา ? การลุกฮือของสัตว์เชวียน ? มันจักแตกต่างอันใดหากมีผู้คนมากมายล้มตาย ?
ไฮ่เฉินเฟิง และ ซ้งฉาง ไปพบจวินโม่เซี่ยด้วยจิตวิญญาณอันรุ่งโรจน์ แต่กระนั้น พวกเขาก็ไร้ทางเลือกและกลับไปอย่างอับอายหละงจากได้ฟังวาจาของจวินโม่เซี่ย
… ตำหนักองค์ชายสอง …
องชายสองอยู่ในอารมร์ชื่นมื่นยิ่งนัก พระองค์รู้สึกมีความสุขยิ่ง
รู้สึกว่าทุกผู้ใต้สรวงสวรรค์นี้มาเพื่อช่วยเหลือพระองค์ สอง ยอดปรมาจารย์ ถูกได้รับการอัญเชิญสูงสุดในเวลาที่ หน้าไม้สัตว์เชวียนกำลังจะมาถึง เช่นนั้น ยอดฝีมือที่เป็นที่รู้จัก และไม่เป็นที่รู้จักก็เริ่มไปยังเถียรฟา ยอดฝีมือของนครเทียนเชียงก็มิได้ยกเว้น
ความแขงแกร่งของ นครหลวงลดลออย่างมิอาจเปรียบ เนื่องจากยอดฝีมือมากมายจากไป เขาสามารถใช้โอกาสนี้ในการขนส่งอาวุธพิฆาตอย่างปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธนี้จักได้รับการขนส่งที่ดี เนื่องจากคนของพระองค์มิต้องแข่งขันมากนัก เช่นนั้น เสือจึงมีปีกเมื่อเวลามาถึง และสามารถโยกย้ายเข้ามาในเวลาที่นครเป็นสุญญากาศ พระองค์จักสามารถยึดนครได้อย่างง่ายดายหรือไม่ ?
องค์ชายสองและที่รปึกษาของพระองค์กำลังทำการสนทนาอย่างตึงเครียดในห้องลับ ทุกผู้แลดูตื่นเต้น
“ขุนนางฝาง แจ้งให้ ผู้พิทักษ์พายุวิญญาณเร่งรีมมายังนครหลวง บอกให้พวกเขารีบออกจากหัวเมืองทางใต้และมาที่นี่ให้เร็วที่สุดท ”
องค์ชายสองมองอย่างไมตรีไปยังผู้ร่วมขบวนการ
” ขุนนางฝาง ข้าของให้ท่านดำเนินการตามแผนการต่อไป ”
“ข้าขอให้นายท่านสองสบายใจ นี่คืองานของ ฝางบูเหวิน และพระองค์สามารถเชื่อพระทัยได้ว่ามันจักปลอดภัย ”
ฝางบูเหวิน พึมพัมกับตัวอ่างอย่างลังเล
” ข้ารู้ว่า กองคาราวานการค้าโจวส่งคนสองร้อยไปคุ้มกัน เชวัยนหกสองเป็นผู้นำพวกเขา จากนั้น ยังมีอกล่มของ อุปนายก… เมิงเซี่ยวซ้ง… เขาเป็นผู้นำกลุ่มของยอดฝีมือแปดคน เมิงเซี่ยวซ้งผู้นั้นเป็นยอดฝีมือ ปฐพีเชวียน ด้วยพวกเขา ไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวล กองคาราวานการค้าโจว จักเดินทางอย่างราบลื่น และสมาคมในเงามืด พวกเขาจักจักเคลื่อนที่พร้อมกัน ในที่สุดจักเป็นไปอย่างราบลื่น ผู้พิทักษ์พายุวิญญาณ และ กองคาราวานการค้าโจว จักเดินทางด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีการ แจ้งเตือน หอกระบี่เลือดด้วยเช่นกัน พวกเขาจักส่งสองมือสังหารสวรรค์เชวียน ห้ามือสังหารปฐพีเชวียน และ ยี่สิบมือสังหารหยกเชวียน มือสังหารเหล่านี้จักเดินทางคุ้มกันอย่างลับๆ เพื่อทำให้ทุกสิ่งปลอดภัยอย่างแน่นอน และ กองกำลังส่วนใหญ่ได้ออกไปจาก นครหลวงแล้ว ซึ่งทำให้เกิดความอ่อนแอ เช่นนั้น กองกำลังพวกเขาจึงเป็นการรกับประกันชัยชนะ ! ”
” อืม ! หอกระบี่เลือดนี่มิเคยส่งยอดฝีมือที่สูงส่งกว่า เชียนหยกเพื่อทำภารกิจให้ข้ามาก่อน นี่อาจเป็นผลให้มือสังหารพวกเขาทำสิ่งใดก็ไม่ได้สำเร็จ มันเป็นการสิ้นเปลืองแรงงงานและเงิน แต่ ทันใดนนั้นพวกเขาก็ส่ง สองสวรรค์เชวียน และหากปฐพีเชวียนเมื่อมันเป็นเรื่องของ หน้าไม้เอ็นสัตว์เชวียน ?! และ มือสังหารอันดับต่ำที่สุดที่พวกเขาส่งมาคือ หยกเชวียน ! พวกเขาเพียงแค่พยายามแสดงถึงความแข็งแกร่งที่น่ากลัว ! ”
องค์ชายสองเสียพระพักต์ยิ่งนัก พระองค์เอ่ยวาจาเหล่านี้ด้วยโทสะ
” วิธีการรับมือสิ่งต่างๆของ หอกระบี่เลือดนั้นลึกลับอย่างล้ำลึก อาวุโสผู้นี้มิรู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง ”
ฝางบูเหวินขมวดคิ้วและเอ่ยต่อ
” หน้าไม้เอ็นสัตว์เชวียนนร้สำคัยกับพวกเขายิ่งนัก ดังนั้น พวกเขาถึงรอบคอบ และ ไม่มีเหตุผลอื่นใด คนเราควรดีกับตัวอย่างมากก่าผู้อื่น… สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ทำเพื่อตัวเอง ”
จากนั้น ฝางบูเหวินเงียบลงทันควัน มีร่องรอยแห่งความคลางแคลงในดวงตา จากนั้น เขาเริ่มสั่นด้วยความกลัว ราวกับเขานึกถึงเรื่องราวอันน่าสะพรึ่งได้
อย่างไรก็ตาม องค์ชายสองมิได้สังเกตุเห็นความผิดปกติของผู้ร่วมแผนการ พระองค์ยังคงเดือดดาลด้วยโทสะ จากนั้นพระองค์เอ่ยน้ำเสียงเยือดเย็น
” ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ! พวกเขาจะไร้ประโยชน์กับข้าในเวลาที่ข้าได้รับหน้าไม้แล้ว และ นั่นจักเป็นสิ่งดี ข้าจักไม่โกรธจากการทำงานของพวกเขาอีกแล้ว ! ”
คิ้วสีขาวประดุจหิมะของ ฝางบูเหวินเลิกขึ้น และร่อยรอยความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตา เขาประสงค์จักเอ่ยบางสิ่ง แต่รู้สึกได้ว่าความคิดของเขานั้นไร้ความหมาย ความจริง ดูเหมือนเป็นเรื่องแปลกประหลาด เช่นนั้นเขาจึงกลืนกินคำนี้กลับลงไป แต่ ความกังวลเริ่มลึกซึ้งขึ้นในดวงตาของเขา
เขาไร้อารมณ์จักฟังผู้พูด
เสียงขององค์ชายสองเป็นเพียงเสียงเห่าหอนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม วาจาของพระองค์ดังก้องในหูของ ฝางบูเหวินราวพายุในวันอันร้อนรุ่ม
เรื่องที่คลุมเครือมาก่อนหน้า … เริ่มแจ่มชัด …
หรือข้าต้องคิดหาวิธีอื่น … ? หรือข้าวควรจักต้องล่าถอยจากเสน้ทางนี้ ?
องค์ชายสองโน้มพระวรกายลงด้านข้าง และเอามือไพร่หลัง พระพักต์พระองค์เต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจขณะทรงพระสรวง พระองค์เปล่งประกายด้วยความมั่นใจดั่งได้รับชัย จากนั้น พระองค์พึมพัม
” ข้าสามารถใช้โอกาสอันดีนี้เพื่อจัดการกับพี่หนึ่งและน้องสาม …. “
พระองค์มิได้ตรัสในสิ่งที่คิด แต่ใบหน้าของพระองค์แสดงความดุร้าย จากนั้นพระองค์หันหลังไป
” นั้นมัน ! ขุนนางเหวิน ท่านพร้อมหรือยัง ? “
” ไม่มีข่าวคราวของ แม่นางยู่เอ่อมาหลายวันแล้ว นางมา…ปรากฏตัวต่อสาธารณะน้อยยิ่ง สายของเราใน ศาลานีฉาง…มิได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก อาวุโสผู้นี้ … งุนงงมากในเรื่องนั้น ”
ฝางบูเหวินเอ่ยวาจาเปล่านี้เชื่องช้า ความจริงแล้ว เขามิได้เอ่ยมันออกมาได้ลื่นไหล บางครั้งเขาก็ตะกุกตะกัก ชัดเจนว่ามันรบกวนเขา และเขามิได้คิดในเรื่องเดียวกัน
“ฮึ่ม”
ประกายเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงพระเนตรองค์ชายสอง พระองค์ยังคงเงียบต่อไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงตรัสขึ้น
” ตอนนี้ปล่อยนางไปก่อน อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่านางจะขวางทางน้ำได้ด้วยตัวคนเดียว แล้ว เฉิงเคอโฉ้ว เล่า ? เขาทำสิ่งใดอยู่ ? เหตุใดเขาไม่โผล่หน้าออกมาหลายวันแล้ว ?
มีร่องรอยความเกลียดชัดในดวงตาของ ฝางบูเหวิน เห็นได้ชัดว่าชื่อเสียงของ คุณชายน้อยเฉินมิสู้ดีนัก
เขาตอบ
” อาวุโสผู้นี้มิได้เห็นคุณชายน้อย เฉิงมาเนินนาน ราวกับเขากำลังยุ่งอยู่กับบางสิ่ง แมนเขามิได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องยังมาไม่ถึง เขาอาจจะได้พบกับเคราะห์ร้ายบางอย่าง ….”
องค์ชายสองขมวดคิ้ว พระองค์เดินไปรอบๆเล็กน้อยก่อนตรัสขึ้นน้ำเสียงหม่นหมอง
” ปล่อยเรื่องไม่สำคัญนี้ไปก่อน … ทุกอย่างจักถูกกำหนดด้วยการมาถึงของหน้าไม้ ”
พระพักต์ของพระองค์แสดงถึงเจตนารมณ์ชั่วร้าย
อืม ! หญิงสาวและคุณชายน้อย ! ฮึ่ม ! เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ ? เช่นนั้น เจ้าจึงเห็นด้วยกับข้าต่อหน้า แต่ท้าทายข้าลับหลัง ? ยู่เอ๋อ เจ้าไม่ต้องคิดว่าเจ้าสามารถใช้ประโยชน์ต่อส่ิงที่ข้าปฏิบัติต่อเจ้าได้ ! เจ้าจักเสียใจในเรื่องนี้ !
เฉิงเคอโฉ้ว ผู้นี้คิดว่าตัวเองนั้นน่าเกรงขาม ? องค์ชายสองสามารถทำลายเจ้าลงได้เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ต้องการ !
” ใช่ ”
ฝางบูเหวินสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารขององค์ชาย คิ้วสีขาวของเขาสั่นกระตุก ผู้บงการอดตัวสั่นมิได้
พระองค์ช่างโหดเหี้ยมและไร้ปราณียิ่ง แต่ เหตุใดเจ้าจึงตื่นเขินเช่นนี้ ? เหตุใดเจ้าจึงครอบงำในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ? เจ้าจักทำสิ่งใดหากสำเร็จเรื่องยิ่งใหญ่ในอนาคต ?
ทันใดนนั้น เขาเริ่มเบื่อจนอยากตายและตาลอย เขาเงียบปาก และครุ่นคิดกับตัวเอง
องค์ชายสองทอดพระเนตรออกไปยังแสดงจันทรา ความรุนแรงสว่างวาปขึ้นบนพระพักต์ เป็นสีหน้าแห่งความปรารถนา ดวงตาพระองค์ดูเหมือนแผดเผาด้วยเปลวไฟ ราวพระองค์คิดว่าตัวเองเป็นสิ่งยิ่งใหญ่
…
จวนสกุลจวิน จวินโม่เซี่ยนอนไม่หลับ
เขาคัดกรองส่วนผสมอย่างระมัดระวัง รายชื่อโอสถที่จวินโม่เซี่ยต้องการในที่สุดก็ถูกต้องเหมาะสม มิคาดว่าเขาจักได้รับสมุนไพรถึงสองร้อยชนิด มิได้มีสมุนไพรหายาก และไม่มีสมุนไพรส่วนผสมล้ำค่า แต่ มีกองสมุนไพรระดับต่ำมากมาย นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรระดับต่ำที่มิเคยพบเจอผสมอยู่ด้วย ราวกับผู้หนึ่งสามารถหาทุกสิ่งอย่างได้ภายในกองพะเนินเหล่านั้น ทั้งหมดกองอยู่ในห้องพิเศษในลานของจวินโม่เซี่ย
จากนั้นเขาจึงให้ผู้ที่มิรู้เรื่องแยกย้าย เขายังไล่ตะเพิตเจ้าอ้วนออกไปพักผ่อน จากนั้น เขาเลือกผู้ช่วยที่สามารถไว้ใจได้สองคนเพื่อคัดกลรองส่วนผสมเหล่านั้น
ที่เรียกได้ว่า ผู้ช่วยที่ไว้ใจได้นั้นมีอยู่น้อยนิดนัก ความจริงทั่วทั้งจวนสกุลจวินมีเพียงสีเท่านั้นเท่าที่จวินโม่เซี่ยเชื่อได้ แต่ เขามิกล้าใช้งาน ปู่จวินและน้าสาม สำหรับสองผู้นั้น … เขาคิดว่ามันจักเป็นการไม่สุภาพหากจะใช้ เคอน้อยทำการนี้ พี่ จิ้งฮั่นก็เช่นกัน เช่นนั้น เขาจึงต้องมองหาผู้ช่วยเนื่องจากเขาต้องการคนมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม กวนเซียงฮั่นเป็นลูกสาวสกุลปราณชเวียน นางอาจมิคุ้นเคยกับตัวยาเหล่านี้ เช่นนั้น นางจึงเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของจวินโม่เซี่ย ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถเชื่อใจได้ที่ได้เอ่ยไปก่อนหน้านี้
จวินโม่เซี่ยนั่งอยู่ในสถานที่ซึ่งแสดงตะเกียงมิสามารถส่องถึง เขานั่งนิ่งดั่งเงาของต้นไม้ เขาขมวดคิ้วล้ำลึก สิงหญิงสาวคิดว่าเขากำลังครุ่นคิดหนักหน่วงในเรื่องที่จริงจังเนื่องจากเขาขมวดคิ้วอย่างล้ำลึก เช่นนั้นพวกนางจึงตัดสินใจไม่รบกวนเขา และปล่อยให้เขาครุ่งคิดไปอย่างสงบ …
ทั้งสองเดินเขย่งไปรอบๆ พวกนางพูดกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนจวินโม่เซี่ย มือทั้งสองคู่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตามคำแนะนำของจวินโม่เซี่ย อย่างแรกพวกนางแยกส่วนผสมตามน้ำหนัก จากนั้น รวมเข้าด้วยกันตามต้องการ ถายหลัง พวกนางห่อส่วนผสมและเขียนตัวเลขในแต่ละถุง
งานมิได้ยากลำบากนัก แต่การทำงานต่อเนื่องด้วยเวลาเนิ่นนานเช่นนี้ทำให้พวกนางเห็นดเหนื่อย ความจริงแล้วมันเป็นงานที่น่าเบื่อและเหน็ดเหนื่อยสำหรับพวกนาง ทั้งสองทำงานอย่างเร่งรีบผ่านค่ำคืน พวกนางตั้งใจจักจัดยาให้ได้ร้อยชุด หนึ่งชุดมีร้อยรายการ
ดวงตาของสองหญิงสาวง่วงซึมในตอนที่พวกนางยืนขึ้นเมื่อเสร็จสิ้น พวกนางมิรู้เหตุใดจวินโม่เซี่ยต้องการยาพวกนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาต้องการพวกมันอย่างเร่งร้อน เช่นนั้น พวกนางจึงมิกล้าทำงานอย่างเชื่องช้า และทำงานไม่หยุดหย่อนตลอดค่ำคืน และตอนนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นลง สองหญิงสาวยืนขึ้น และยิ้มให้กันเล็กน้อย พวกนางรู้สึกหมดสิ้นแรง และรู้สึกปวดเอวเรียมงามเล็กน้อย
แต่กระนั้น ทั้งสองอดรู้สึกชุ่มชื่นมิได้ที่ทำงานได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว พวกนางจึงยิ้มให้กัน จากนั้นมองไปยังจวินโม่เซี่ยพร้อมเพียง
งานมากมายมหาศาลสำเร็จแล้ว ! เช่นนั้นเหตุใดเขายังขมวดคิ้ว ? ปัญหาอันใดจึงต้องใช้เวลาครุ่นคิดมากมายเช่นนี้ ?
จวินโม่เซี่ยยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม หัวของเขาก้มต่ำลงเล็กน้อย คุณชายน้อยมีความเร่งเครียดบนใบหน้า เขาชขมวดคิดล้ำลึกยิ่ง จนดูราวเขาได้พบความล้ำลึกแห่งยุคสมัย
เขาตั่งสมาธิมั่นจนมิอาจสัมผัสได้ถึงการเดินเข้ามาของสองหญิงสาว …
” เอ๋ ! เจ้าชั่วนี่ ! เขาหลอกลวงเราให้ทำงานหนักให้กับเขา ! เจ้าชั่วนี่หลับมานานแล้ว ! ”
กวนเซียงฮั่นเฝ้ามองเขามาระยะหนึ่งก่อนสรุปเช่นนั้น ชันเจนว่านางเริ่มมีโทสะยิ่งขึ้น พวกนางมิอาจบอกได้ว่าเขากำลังหายใจหรือกรนหากพวกนางมิได้เดินเข้าไปใกล้เขา
เขาจะมากไปแล้ว ! ผู้ใดจักทำเช่นนี้ ?!
เราทั้งสองทำงานอย่างขวักไขว่ตลอดคืน เจ้ามิเอ่ยสิ่งใด เจ้ามิได้ช่วย ! พวกเราไม่รบกวนเจ้าเนื่องจากคิดว่าเจ้าครุ่นคิดถึงบางสิ่งที่สำคัญ แต่ … แท้จริงแล้วเจ้าหลับหลับมาตลอดเวลา ! จะมากเกินไปแล้ว !
โทสะเบ่งบานขึ้นในหัวใจ กวนเซียงฮั่น นางขยี่ตา แต่นางเหลื่อยมากจนมิอาจลืมขึ้นได้ นี่ทำให้นางบูดบึ้งมากขึ้น นางยกขาขึ้น และมอบลูกเตะสำหรับความไร้ยางอายไปยังต้นขาของเขา
“ตุบ!”
จวินโม่เซี่ยร่วงลงจากเก้าอี้ และตื่นขึ้น เขาลืมตา และเข้าใจถึงเหตุของการโดนเตะ จากนั้น คุณชายน้อยลุกขึ้นอย่างสงบ และหูดหายใจ จากนั้นเขาอุทาน
” ปัญหานี้ยากยิ่งนัก ! ข้าครุ่นคิดตลอดคืน จนตอนนี้ข้ายังมิอาจเข้าใจ ปวดหัวยิ่งนัก ! ”
ใบหน้าคุณชายน้อยม่นหมองยุ่ง เขาโอดครวนด้วยความเจ็บปวด จวินโม่เซี่ยพยายามอย่างที่สุดให้มีสีหน้ากังวล …รากวับเขาเกรงกลัวเพื่อบ้านเมือง ผู้ใดก็ตามที่มองไปยังใบหน้าของเขาจักต้องหวาดกลัวว่าดินแทนทั่วหล้าจักล่มสลายหากเขาหยุดครุ่นคิดปัญหานี้
กวนเซียงฮั่นคำรามทางจมูก ขาอันงดงามของนางปะทะลลงไปยังสะดือของจวินโม่เซี่ยขณะที่นางตำหนิ
” คุณชายน้อยจวิน เป็นธรรมดาของเจ้าหรือที่จักมากน้ำลายเช่นนี้เมื่อเจ้าจดจ่ออยู่กับปัญหาใหญ่หลวง ? “
จวินโม่เซี่ยทำเสียง ” อึก ” จากนั้นเขาตอบด้วยท่าทีท้อแท้
” นี่คือหนึ่งในหลายปัญหาที่ข้ามา ข้ามิได้สนใจว่าร่างกายข้าจักกระทำสิ่งใดเมื่อข้าครุ่นคิดเรื่องสำคัญเป็นเวลานาน เช่นนั้น ปากของข้าจะเปิดเมื่อข้าคิดมาเป็นเวลานานแล้ว และข้าลืมหุบปาก น้ำลายจำนวนมากจักจบลงด้วยการรวบรวมผลลัพธ์ …?
โง่เง่าอันใดกัน ?!
กวนเซียงฮั่น อารมณ์ดีและพบว่าเป็นเรื่องตลก แม้นใบหน้าของนางจักเยือกเย็นขณะที่ดุด่าจวินโม่เซี่ย ทันใดนั้นนางตระหนักได้ว่าดวงตาของจวินโม่เซี่ยเปลี่ยนทิศทางไป เขายิ้ม
” อ่าห์น้าสาม ! ท่านมาทำอันใดที่นี่ช้านัก ?”
กวนเซียงฮั่นและ เคอน้อยมองไปรอบๆด้วยความสยอง แต่ พวกนางมิได้เห็นแม้แต่เงาของน้าสาม พวกนางตระหนักได้ว่าโดนหลอก และเริ่มมีโทสะ แม้แต่เคอน้อยที่มักสุภาพใบหน้านางก็เริ่มรุนแรงขณะมองหลับไป อย่างไรก็ตาม ดวงตาของพวกนางเบิกขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อหันกลับไยังจวินโม่เซี่ย ที่นั่น ไม่มีเก้าอี้ของจวินโม่เซี่ยอีกแล้ว เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย …
ความเร็วช่าง … วิเศษนัก …
หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันด้วยความว่างเผล่า จากนั้น พวกนางนึกถึงการแสดงตัวอััน่าขบขันของจวินโม่เซี่ยก่อนหน้านี้ ” ฮิ ฮิ ” เสียงเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากขณะพวกนางเริ่มหัวเราะ
เคอน้อยเม้มปากและหัวเราะ จากนั้นนางมองไปยังกวนเชียงฮั่นลึกล้ำ และอุทาน
“คุณหนู ท่านมีรอยยิ้มน่าดึงดูนัก ข้าได้เห็นยิ้มของท่านหลังจากเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ท่านควรจักยิ้มให้มากกว่าปกติ … มันช่างน่ารักยิ่งนัก ”
” ข้าได้เห็นรอยยิ้มของท่านหลังจากผ่านมาเนิ่นนนาน…”
สิ่งนี้ทำให้ร่างของกวนเซียงฮั่นสั่นเทา แววตาหวาดกลัววาบขึ้น จากนั้นนางกลับมาแสดงสีหน้าเยือกเย็นและถอนใจ
” ดึกแล้ว ไปพักผ่อนเสีย ”
นางเอ่ยสิ่งนี้และเดินไปยังลานบ้านอย่างเงียบๆ
เงาของนางดูโดดเดี่ยว และว่างเปล่าในยามค่ำคืน นางดูเหมือน บัวหิมะ บนยอดเขาห่างไหลที่ปกคลุมด้วยหิมะและหมอก โดดเดี่ยว ทะนงและตั้งมั่น
” พระเจ้า ! ”
จวินโม่เซี่ยหลบซ่อนอยู่ในเจดีย์หงษ์จวิน เสือสองตัวโผล่ออกมารวดเร็ว ! เหตุใดข้าไม่หลบไปก่อนหน้านี้ ?
เขามิได้หลับนอนมาสองวันสองคืน จึงเป็นเหตุที่เขาหลับไปเช่นนั้น เขาเห็นดเหนื่อยยิ่งนัก อีกเหตุผลคือ เขาฟื้นฟูกำลังเพื่อการปรุงยา
สำหรับการเลือกสูตรและส่วนผสมนั้นคือความกังวล จวินโม่เซี่ยค้นหาทั่วทั้ง หนังสือการรักษาพื้นบ้าน และมั่นใจว่าเขาพบยา ห้า ชนิด
ยาหยางลึกลับ ยาหยินขาดหาย ยาหัวใจปิศาจ ยาหลายผสาน และ ยาเชื่อลมปราณ!
ตอนที่ 303
ยาหยางลึกลับ และ ยาหยินขาดหาย เป็นตัวอย่างที่ใช้บำรุงร่ายกาย โดยใช้จากชายและหญิง พวกมันได้รับการปรุงจากสมุนไพรธรรดา และสามารถใช้ได้กับปุตุชน โดยมิได้รับผลกระทบน่ากลัวอันใด อย่างไรก็ตาม ยารวมวิญญาณนั้นเป็นตัวยาขั้นสูง และมีเพียงหมอผู้มีฝีมือเท่านั้นที่สามารถจัดการกับมันได้
ยารวมวิญญาณรู้จักกันดีในนาม ยาหัวใจอสูร ยาตัวนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับผู้ที่ได้รับการฝึกฝนการต่อสู้ มันจักเพิ่มความเข้มข้นของพลังปราณถายในร่างของผู้ใช้อย่างมีนัยยะ ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสในการเกิดผลสะท้อน หรือ รอยเขี้ยวอสูร จักถูกจำกัดไว้มากหรือน้อย แม้นว่าผู้นั้นจักฝึกฝนอย่าดื่มด่ำสักเพียงใด การทำงานของ ยาหัวใจอสูร ดูเหมือนเรียบง่าย แต่มิได้เล็กน้อย ยาตัวนี้มิใช้สมบัติหายาก แต่มิได้รับให้ขายอย่างสาธารณะในท้องตลาด มันมิได้มีราคา
ฝู้ฝึกฝนศาสตร์มิได้หวาดกลัวต่อสิ่งแปลกปลอม พวกเขาหวาดกลัวความเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม รอยเขี้ยวอสูร มิใช่อุปสรรคใหญ่เพียงหนึ่งในเส้นทางของพวกเขา และ ผู้คนส่วนใหญ่หวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ยากที่จะบอกว่ามีผู้ฝึกฝนการต่อสู้เท่าไหร่ที่ตายไปเนื่องจาก รอยเขี้ยวอสูรระหว่างการฝึกฝน ความจริง ผลของรอยเขี้ยวอสูรดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นในระดับการฝึกฝนที่สูงขึ้น แต่ ยาหัวใจอสูร สามารถยับยังผลนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ยาตัวนี้จึงถือเป็นยาช่วยชีวิต
การเผยแพร่ ยาหัวใจอสูร จักเป็นการสร้างความโกลาหลอย่างมากให้กับดินแดนเชวียนเชวียน ยาเม็ดเล็กๆนี้สามารถเป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดได้ เป็นสิ่งที่น่าสลดใจยิ่งนัก ความจริง การแย่งชิงตัวยานี้รุนแรงไม่ต่างกับการแย่งชิง แกนเชวียนระดับเก้า
ยาฟื้นฟูหลากหลายคือชื่อที่มันได้รับ เป็นยามหัศจรรย์ ที่สามารถรักษาโรคได้หลากหลาย ยาที่สามารถรวมเข้ากับเชื้อและพิษหลายชนิดภายในร่างกายของคน และสามารถขับเชื้อโรคและพิษเหล่านั้นออกมาได้ โดยมิทำร้ายร่างกาย มันคือเส้นทางยาวไกลสู่เถียรฟา ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางและเป้าหมายเต็มไปด้วยสภาพอากาศที่หลายหลายซึ่งสามารถทำให้เกิดโรคระบาดแก่กองทหารได้ และ ยาตัวนี้สามารถป้องกันสุขภาพของกองกำลังจากสภาพอากาศเหล่านั้น ดังนั้น จวินโม่เซี่ย จึงให้ความสำคัญกับยาตัวนี้มากกว่าตัวอื่นๆ
สุดท้าย คือยา เส้นลมปราณ จวินโม่เซี่ย เรียกอีกชื่อหนึ่งคือ ยาทศวรรษ จากประสบการณ์ของเขา ปราณเชวียน และความแข็งแกร่งภายในของคนนั้นเหมือนจักเพิ่มขึ้นหลังจากใช้ยาตัวนี้ ยาตัวนี้มิได้เพียงแค่เปิดเส้นลมปราณของคน หากแต่มันสามารถเพิ่มระดับการเพาะปลูกได้นับสิบปี
ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มความสามารถนี้เป็นไปอย่างถาวร !
หรือกล่าวอีกนัยว่า ยาตัวนี้สามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของคนได้ตลอดชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ยาอัศจรรย์นี้สามารถออกฤิทธิได้ในระยะเวลาอันสั้น จวินโม่เวี่ยสามารถเพิ่มขั้นการเพาะปลูกของ องครักษ์สามร้อยที่เขาฝึกฝนอยู่ไปสู่ระดับใหม่ได้ หากยาตัวนี้สามารถรวมเข้ากับ ยาหัวใจอสูรได้
เดิมทีจวินโม่เซี่ยสามารถกลั่นยาได้จำนวนหนึ่งจากการใช้เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ขั้นสอง แต่ยาเหล่านั้น เป็นยาบำรุงเช่น ยาชำระวิญญาณ ยาเหล่านี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพเช่นนั้น แต่จวินโม่เซี่ยมิได้คาดหวังกับพวกมันมากนัก และเขามิต้องการมันอย่างเร่งด่วน เช่นนั้น เขาจึงมิได้สนใจพวกมันนักเมื่อเขา สร้างรายชื่อตัวยาที่เขาต้องการ
เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเขาที่จักเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุดตราบเท่าที่เป็นไปได้ ไม่เพียงแค่ตัวเขา แต่กองกำลังทั้งหมดของสกุลจวิน
จวินโม่เซี่ย นั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน เจดีย์หงษ์จวิน เขาเผชิญหน้ากับ เตาหลอมแห่งโชคลาภ และ พยายามสงบจิตใจลง เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ที่เคยหลั่งไหลดั่งกระแสน้ำเชี่ยว แต่มันเริ่มหลังไหลราบเรียบเมื่อจิตใจเขาสงบลง ทันใดนนั้น เขารู้สึกถึงการระเบิดอย่างชัดเจนในใจ
ดีละ !
จวินโม่เซี่ย ยกมือขึ้นหลังจากตะโกนลั่น และกวาดเป็นวงกลมท่ามกลางอากาศอันว่าเปล่า จากนั้น เขาใช้นิ้ววาด อักขระหลายตัวอย่างรวดเร็ว เขามิได้ใช้หมึกใดๆ แต่อีกขระแปลกประหลาดปรากฏขึ้นภายในวลกลมที่เขาวาดไว้ก่อนหน้า และ อักขระเหล่านั้น ล่องลอยเข้าไปใน เตาหลอมแห่งโชคลาภเมื่อมันสำเร็จเป็นรูปร่าง
ตู้ม !
เปลวเพลิงแห่งปฐมภูมิ สว่างไสวภายใต เตาหลอมแห่งโชคลาภเมื่อเขาเริ่ม มันสว่างไสวและรุนแรงขึ้นทันที เปลวไฟสีดำพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา และปกคลุมทั่วทั้ง เตาหลอมแห่งโชคลาภ
จวินโม่เซี่ยชี้นิ้วตรงไปยัง เตาหลอมแห่งโชคลาภขณะที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เสียงหึ่งๆดังขึ้นจากเตา และเริ่มลอยวนขึ้นกลางอากาศ ไม่นาน เตาหลอมเริ่มเปล่งประกายเป็นแสงสีรุ้ง และมีสีสรรค์อันเปลกประหลาดเกิดขึ้นบนผิวหน้าของมัน จากนั้น รูปแบบเหล่านั้นหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ ลำแสงสีรุ้งยังคงถูกปลดปล่อยออกมาจากเตาหลอมอย่างต่อเนื่อง เตาหลอมยังคงหมุนวนส่งเสียงอยู่กลางอากาศขณะที่ฝาเปิดออกและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
จวินโม่เซี่ย โยนส่วนผสมเข้าไปภายในเตาหลอมด้วยมือขวา และอากาศรอบๆอบอวลไปด้วยกลิ่นยาอันเข้มข้นในทันใด กลิ่นอันรุนแรงแผ่ออกมาในตอนที่ ส่วนผสมสัมผัสเข้าไปเตาหลอม จากนั้น ฝาเตาหลอมปิดลง และ เปลวเพลิงแห่งปฐมภูมิ ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง จากนั้น จวินโม่เซี่ย ชี้นิ้วตรงไปยังเตา และมันปกคลุมด้วยเปลวไฟสีดำทะมึนอีกครั้ง
ทันใดนนั้น จวินโม่เซี่ยรู้สึกราวกับ พลังภายในของเขาพุ่งพลานออกมาราวกับสายน้ำเชี่ยวราดที่ถูกปลอยออกมาจากเขื่อน
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น คุณชายน้อยจวินจักโลดแล่นอย่างรวดเร็วเสมอ แม้นจักเป็นการสวนกระแส อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าตัวเขาเองคร่ำครวญอย่างมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
พระเจ้า ! ยาตัวนี้เป็นการแปรธาตุหรือดูดเลือด ? ความรู้สึกจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้น่ากลัวนัก ! กลั่นยาจำนวนน้อยนิดเช่นนี้ จำต้องใช้ความแข็งแกร่งมหาศาล และลมปราณมากมายเพียงนี้ ?! และ นั้นเป็นเพียงแค่ตัวยาธรรมดาและพื้นฐานที่สุด ! หากนี่เป็นเพียงการเริ่มต้น… ข้าจักไม่ตายหรือหากต้องกลั่นยาที่สูงส่งกว่านี้ ? มันมากเกินไป …. !
แม่เจ้าเอ๋ย ! ข้าเคยดูหนัง ! นักแปรธาตุเต๋าปรุงยาได้อย่างง่าดายยิ่ง พวกเขาเพียงแค่ลูบหนวดเครา และทุกอย่างสำเร็จลุล่วง หมอกควันสั่นไหว และตัวยาปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา และ สามารถนำผู้คนกลับจากความตาด้วยยาที่พวกเขาปรุงขึ้น ความจริง ผู้คนเหล่านั้นอาจจะเบาดั่งขนนก และล่องลอยขึ้นสรวงสวรรค์เพื่อความอมตะ …
เอ ..เหตุใดกับข้าจึงยากยิ่ง ? ข้าเพียงต้องการรักษาการบาดเจ็บ ติดเชื้อและเพิ่มพูนขั้นการเพาะปลูกของคนขึ้นเพียงไม่กี่ปี …เท่านั้น ! แต่ เหตุใบสิ่งที่ง่ายดายกลับต้องการพลังงานจากวิญญาณของข้ามากมายเช่นนี้ ?
จวินโม่เซี่ยพร่ำบ่นในใจ แต่มิกล้าเอ่ยออกมา เขาพยายามรักษาสมาธิไว้ และปล่อยให้พลังปราณของเขาหลั่งไหลราวกับแม่น้ำ …
เนิ่นนานหลังจากนั้น …
“ตุบ!”
เตาหลอมแห่งโชคลาภ ส่งเสียงดังสนั่น และกลับไปตั้งอยู่ตรงจุดเดิมบนพื้น เปลวเพลิงแห่งปฐมภูมิ ริบหรี่ลง กลับไปเป็นสีเดิม
สำหรับคุณชายน้อยจวิน เขาเหนื่อยอ่อนอย่างยิ่ง ไม่มีเรี่ยวแรงแม้นขยับนิ้ว เขาหายใจหอบขณะ กระตุ้น เจดีย์หงษ์จวินให้ปลดปล่อยลมปราณไปยังเส้นลมปราณของเขาอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกเหมือนวิ่งมา ห้ากิโลเมตร พร้อมแบกถุงทรายห้าร้อยกิโลกรัมไว้บนร่างกาย เขาเกือบเอาลิ้มออกมาจากปากเพื่อให้สูดอากาศได้มากขึ้น ความจริง คุณชายน้อยจวินอาจจักหลับไหลไปแล้ว หากมิได้พลังมหาศาลที่ เจดีย์หงษ์จวิน ส่งมาให้ร่างของเขา
ความเหนื่อยล้าทางกายนั้นเป็นเพียงรอง สิ่งสำคัญคือจิตวิญญาณของเขาเหนื่อยอ่อน ซึ้งเป็นสถานการณณ์ที่ค่อนข้างน่าหวาดกลัว ผลที่ตามมาจักร้ายแรงยิ่ง หากจิตวิญญาณของเขามิได้รับการฟื้นฟูให้ทันเวลา
เวลาเนิ่นนานหลังจากนั้น … ท้ายที่สุดจวินโม่เซี่ยรู้สึกได้ว่า เส้นลมปราณที่แห้งขอดของเขาได้รับการเติมเต็ม เขาลุกขึ้นจากพื้นด้วยการช่วยเหลืองของ พลังอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ในร่างของเขา และยกฝาหม้อขึ้น จากนั้น เขาชะโงกหน้าเข้าไปมองด้านใน และร้องออกมาอย่างรุนแรงหลังจากเหลือยมอง ในขณะที่แขนของเขาเริ่มสั่น
ไม่มีสิ่งใดอยู่ใน เตาหลอมแห่งโชคลาภ …นอกเสียจากเถ้าธุลี …
” แม่เจ้า ! ”
มือสังหารตกตะลึง เขาสถปด้วยโทสะ
” ข้าไม่เชื่อ ! ข้าใช้ความพยายามทั้งหมดที่ข้ามี และยาตัวนี้ยังมิอาจกลั่นออกมาได้ ?! ข้าไม่เชื่อว่าต้องใช้ความพยายามครั้งที่สองกับตัวยาธรรมดาเช่นนี้ ! ”
เขานั่งขัดสมาธิ กระตุ้นเจดีย์หงษ์จวิน และเริ่มดูดกลืนพลังปราณ …
ข้าจัดไม่พลาดเป็นครั้งที่สอง …
จากนั้น …
” เจ้าเตาหลอมขี้เกียจ ! ”
มือสังหารมิอาจเชื่อผลในการพยายามครั้งที่สองของเขา
” อีกแล้วหรือ …อ่า … เอาละ ข้าเริ่มจริงจังแล้ว ! มาดูกันว่าใครคือพ่อที่แท้จริง ! ”
จากนั้น เขาเริ่มทดลองอีกครั้ง …
ปั้ง ! จากนั้น …
” แม่เจ้า ! ข้ามิเชื่อปิศาจนี่ ! ข้ามิรู้ว่าความพยายามกี่ครั้งแล้วที่ไร้ประโยชน์ … สิบครั้ง … ข้าต้องพยายามเป็นร้อยครั้งอย่างนั้นหรือ ? พันครั้งหรือ ? “
เขายังคงสาปแช่งต่อไปด้วยโทสะ เขาระบายโทสะออกมากระทั้งเหนื่อยอ่อน และจากนั้นนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้ง เขากระตุ้นเจดียหงษ์จวิน เพื่อเติมเต็มพลัง และเริ่มกระบวนการอีกครั้ง ..
เขามิอาจเชื่อถึงผลลัพธ์อีกครั้ง … สาปแช่งจนเหนื่อยอ่อน … และเริ่มกระทำให้อีกรั้ง …
ยากจักบอกว่ามันต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุด …
” วู้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า … ข้าเป็นเพื่อเจ้า ! ชิ้นขยะอย่างเจ้าจักเปลี่ยนสิ่งของของข้าเป็นเถ้าได้อย่างไร ? เอ ? เจ้าชั่ว ! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าหรือ ? สารเลว ! ฮ่า ! เจ้ามันปิศาจชั่วตัวน้อย ! เจ้คิดว่าเล่นงานข้าได้หรือ ? ฮืม …. ”
ผมที่ยุ่งเหยิงและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสกปรก ดูมิต่างอันใดกับขอทาน ความจริง แม้แต่ขอทานก็ยังดูดีกว่า คุณชายน้อยจวินในตอนนี้ ใบหน้าของเขา เขียวดั่งผีดิบ ทั่วทั้งร่างของเขาสั่นเทาราวกับเป็นโรคลมบ้าหมู เขายื่นมืออกไป และคว้าเอายาเม็ดเล็กจิ๋มที่มันวาวออกจากเตา จากนั้นยกมันขึ้นในอากาศ และเริ่มกระโดดโลดเต้นประหนึ่งคนเสียสติ …
เขาขบฟัน ขณะถือยาไว้ในมือ จวินโม่เซี่ย มีแรงกระตุ้นอันรุนแรงที่จักโยนเม็ดยาลงพื้นและเหยียบย่ำมัน
แม่เจ้าเอ๋ย ! ข้าเดือดร้อนยิ่งเพื่อขยะชิ้นเล็กแค่นี้หรือ ?! ข้าเป็นตะคริ้วจากการทดสอบอันเจ็บปวดนั้น ! จักเกิดอันใดหากข้าโยนเจ้าลงพื้น และเยียบย่ำเจ้า … คงจักสนุก… มันคงจักรู้สึกดียิ่ง จักรู้สึกดีเพียงใด ?
อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยผู้ไร้หัวใจและความปราณีก็มิได้ประสงค์จักทำลายมัน
แม่เจ้า ! กระทืบสิ่งนี้ ? สมองข้ารวนไปหรือ ? ยังไม่พอ ! ข้าจักกลืนกินเจ้า ! เจ้าจักถูกบดในกระเพาะของข้า จนเจ้าย่อยเสร็จ และจากนั้น เจ้าจักกลายเป็นอุจจาระของข้า นั่นคือบทลงโทษที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า !
เขายังคงสาปแช่งต่อไปขณะค่อยๆวางมันลงในขวดหยก จากนั้น หยิบยาเม็ดหนึ่งขึ้นจากขวดหยดและ ยกมันขึ้นเหนือปากของเขา มือของเขาจับมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ขณะที่ปากยังคงสาปแช่ง
” เจ้าเศษขยะ ”
จากนั้น ยาหลุดจามือเขาและลงไปในปาก แกร็บ แกร็บ แกร็บ … เขาเคี้ยวสองสามหน และกลืนมันลงไป …
” ดูดีนี่ ”
ใบหน้าของจวินโม่เซี่ยเผยถึงรสชาติของ ยาหยางลึกลับ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปากเมื่อมันสัมผัสกับปากของเขา จากนั้น ใบหน้าของ จวินโม่เซี่ยเผยถึงความขื่นขมเมื่อตระหนักได้ว่ายากเพียงกว่าที่จะกลั่นมันออดมาไป
ทำมันขึ้นมาต้องใช้เวลาเพียงใด ?
ลืมเรื่องสิ่งที่ต้องใช้สำหรับ ยาหยางลึกลับไป … ข้าเอาสมุนไพรเข้ามา ร้อยห่อ … และตอนนี้ข้าเหลือเพียง เจ็ดสิบแปด ข้าต้องพยายาม ยี่สิบสองครั้งเพื่อให้สำเร็จเพียงหนึ่ง และ มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ ! ในหนึ่งครั้ง ข้าสามารถปรุงยาได้เพียง สามสิเม็ด ดังนั้นข้าต้องทำให้ได้ สิบครั้งเพื่อให้มีเพียงพอต่อผู้ฝึกฝนของข้า ต้องพยายามเพียงใดถึงจักสำเร็จได้สิบครั้ง … ?
” เตาโง่เง่านี่ ! ”
จวินโม่เซี่ยนั่งลงอีกครั้ง และเริ่มเติมเต็มพลังปราณ …
อาจเอ่ยได้ว่า จวินโม่เซี่ยมีพลังใจที่แข็งแกร่ง ชัดเจน่าเกินกว่าสามัญนัก สามัญชนนั้นจักไม่กลับหลังหากพวกเขาพบกำแพงบนเส้นทางของพวกเขา อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยไม่เพียงปฏิเสธที่จะยอมแพ้..เขายังคงเตาะกำแพงจนกระทั่งมันพังทลายลง
จวินโม่เซี่ย กระตุ้นเจดียหงษ์จวิน เพื่อเติมเต็มพลังปราณของเขาถึง ยี่สิบสองครั้ง เขาต้องการติด เตาหลอมแห่งโชคลาภและ เปลวเพลิงแห่งปฐมภูมิขึ้นใหม่เพื่อให้เขาสามารถปรุงยาได้ตามจำนวนที่เขาต้องการ อย่างไรก็ตาม พลังปราณในร่างของเขาหมดสิ้นแล้ว ความจริง มันไม่มีเหลือเลยแม้นเพียงน้อยนิด
นักต้อสู้จักต้องรู้สึกเช่นไรเมื่อปราณเชวียน และพลังปราณของเขาหมดสิ้นไป ? ความเคร่งเครียดเช่นนี้จักทำให้แขนขาพวกเขาเย็นเยือก และความคิดของพวกเขาสับสน และหากผู้ใดมีประสบการณ์ในการรู้สึกเช่นนี้เกินกว่า ยี่สิบสองครั้ง … ผู้นั้นจักรู้สึกว่าทะเลแห่งจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งของพวกเขาเริ่มสั่นเทา … ราวกับพวกมันจะแห้งเหือดไป เป็นความน่าหวาดกลัวที่ทำให้ขนของพวกเขาลุกชูชันในที่สุด ! คล้ายดั่งการเตร็ดเตร่ไปตามกำแพงแห่งนรก
ผู้คนทั่วไปจักอดทนได้ในครั้งแรกเนื่องด้วย วินัยของพวกเขา แต่ พวกเขาจักมิสามารถในครั้งที่สอง ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกเช่นนี้จักเป็นดั่งการทำลายกำลังใจของพวกเขา และทำให้พวกเขาบอบช้ำ ความจริง แม้นแต่ผู้สละตนที่มีกำลังใจหนักแน่น ก็มิอาจพยายามได้เกินกว่าสามครั้ง
อย่างไรก็ตาม คุณชายน้อยจวิน พยายามถึง ยี่สิบสองครั้ง ! เขาผิดพลาดไป ยี่สิบเอ็ดครั้ง … แต่ด้วยความมุมานะของเขา เขาจักยังคงทำต่อไปแม้นว่าจักไม่สำเร็จในครั้งที่ ยี่สิบสอง
ผู้ใดจักดื้อดึงได้เกินกว่า มือสังหารจวิน ? ผู้ใดจักอ้างว่าโหดเหี้ยมกว่ากัน ?
มิต้องเอ่ยถึง พลังปราณ … แม้นแต่วินัยทางใจที่ต้องใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จก็ไม่สำคัญแต่น้อย ! เกินกว่าจินตนาการ !
สำหรับตอนนี้ คุณชายน้อยจวินสำเร็จเพียงครั้งเดียว และปรุงยาได้ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม เขายังคงไม่หยุด ความจริง เขาปรามาณยิ่งว่าจักปรุงส่วนผสมทั้งหมดที่เขาเอามา …
แม้นว่าอาจารย์แห่งการแปรธาตุผู้ยิ่งใหญ่ได้มาเห็นความดื้อรั้นเช่นนี้ … พวกเขาคงกรอกตาไปมาและเป็นลม !
จักเรียกเขาว่าประหลาด หรืออาจจะเรียกจิตวิญญาณปิศาจ !
อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยมิอาจรู้ ความจริง เขาจักไม่ทุกข์ร้อยแม้นเป็นเช่นนั้น ดังนั้น เขาจึงรวมรวมพลังทั้งหมด และหมกมุ่นเพื่อปรุงยา จากนั้น เขาแสดงหน้าตาตระหนี่ขึ้นขณะค่อยๆหยิบยาใส่ขวดหยวกใบเล็ก …
หนึ่งขวดสามารุบรรจุยาได้เพียงร้อยเม็ด เมื่อเห็นว่าหนึ่งขวดเต็มแล้ว … เขาก็นำอีกขวดขึ้นมา … และเติมมันจนเต็ม … และขวดต่อไป … บางทีอาจเอ่ยว่าก่อนหน้าเขาเคยล้มเหลว แต่ตอนนี้จวินโม่เซี่ยเชี่ยวชาณยิ่งขึ้น ความจริง ดูราวกับเขาเป็นนักแปรธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ …
เขาอาจล้มเหลวมากมายในตอนเริ่มต้น แต่ จำนวนของความล้มเหลวจักลดลงหลังจากที่เขามีประสบการณ์มากขึ้น ตอนนี้ เขาทำได้สำเร็จหนึ่งในสามครั้ง …
อย่างไรก็ตาม นี่มิใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความเร็วในการฟื้นฟูพลังปราณของจวินโม่เซี่ยเพิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของจวินโม่เซี่ยคล้ายดั่ง สุนักที่ตายแล้ว หลังเขาพยายามครั้งแรก แต่ ตอนนี้เขากลับหอบเหนื่อย จากนั้น เขาสูดอากาศเข้าไปหนึ่งอึก นั่งลงทำสมาธิ ฟื้นฟูตัวเองชั่วครู่ และเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง … ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นสองหรือสามเท่า …
อัตตราความสำเร็จของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน !
ยากจักพรรณาว่ายาเหล่านี้จักนำพาประโยชน์มากมายเพียงใด แต่ พลังปราณของจวินโม่เซี่ยได้ปรับประโยชน์อย่างมากในการปรุงยาเหล่านี้ และ ประโยชน์เหล่านี้จักมีอย่างลึกซึ้ง และยาวนาน
ความเข้มข้นของพลังปราณและความแข็งแกร่งของปราณรรับรู้ของจวินโม่เซี่ยแสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากความผิดพลาดยี่สิบเอ็ดครั้ง และ มันระเบิดออกมาอย่างมิอาจคาดหลังจากที่เขาปรุงยาเม็ดแรกสำเร็จ สิ่งเหล่านี้เผยให้เห็นถึงความก้าวหน้าของจวินโม่เซี่ยจากการปรุงยาเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยมิอาจรู้เรื่องนี้ ความจริง เขามิได้มองถึงสิ่งนี้เลย
จวินโม่เซี่ย มิได้คาดคิด หรือ มิได้ตั้งใจที่จักบรรลุขั้นการปลดปล่อยร่างกาย
เขาสามารถแยกออกจากตัวตนของเขาได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงสิ่งเดียวในความคิดของเขา
ปรุงยา ปรุงยา ! ปรุงยา ! ปรุงยา ! ปรุงยา ! ข้าต้องการปรุงยาตลอด ! …. ไม่มีเวลาแล้ว ! ข้าไม่มีเวลาเพียงพอ ! ข้าต้องใส่ใจอย่างยิ่งกับเวลาที่ข้าใช้ปรุงยาเหล่านี้ ….
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนนจากความตื่นเต้น … เป็นความสงบนิ่ง … เพียงแค่เรื่องของเวลา … แสดงสีหน้าแข็งทื่อออกมา … และในที่สุดก็กลายเป็นชายผู้ที่นั่งกินกะหล่ำปลีทุกวัน …
และเป็นกะหล่ำที่ถูกที่สุด ! แบบที่จักขายได้สิบช่าง … แบบที่คนทั่วไปรู้สึกเบื่อหน่าย …
แต่จากนั้น จวินโม่เซี่ยได้ค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจในตอนที่เขาเริ่มปรุง ยาเชื่อลมปราณ และ ในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้นในตอนที่เริ่มนั้น….
อันใดกันนี่ !
พลังปราณในร่างข้าได้รับการฟื้นฟูถึงสามครั้งติดต่อกัน และข้ายังมิรู้สึกเหนื่อยอ่อน ? นี่มัน … เกิดอันใดขึ้น ? ยาเหล่านี้มีระดับที่ต่ำกว่าก่อนหน้าหรือ ? เอ่… พวกมันก็ระดับเดียวกัน แต่ ยาเชื่อลมปราณนี่เป็นตัวยาที่อยู่ในระดับสูงสุด… มีความยากในการปรุง และและต้องการลมปราณในปริมาณที่สูงที่สุด … ข้าจำได้ว่าข้าแทบสิ้นแรงเมื่อข้าปรุงยาชุดแรกสำเร็จ … เหตุใดตอนนี้ข้าไม่รู้สึกอ่อนแรงแล้ว ? เกิดอันใดขึ้น ….
ความคิดของจวินโม่เซี่ยเคลื่อนไหว และจากนั้นเขาจึงแอบเข้าไปในร่างของเขา ไม่ช้า เขาตกตะลึงอย่างมาก !
ร่องรอยแห่งพลังปราณที่ไร้รูปร่างยังคงติดอยู่ในเส้นลมปราณของเขา มันผ่านชั้นแรก และจากนั้นผ่านชั้นที่สองขณะที่มันหมุนวนไปมาในเส้นลมปราณของเขา พลังลมปราณของเขายังคงอยู่ในรูปของหมอกควัน แต่มันหนาแน่นกว่าเดิม ! ความจริง มันทำให้รู้สึกเหมือนจะเป็นของแข็ง !
อย่าบอกข้า ?! พลังลมปราณของข้าดูเหมือนจักเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลจากการปรุงยาเหล่านี้ ?
จวินโม่เซี่ยมิอาจเข้าใจสิ่งนี้ ท้ายที่สุด เขามิได้เพียงปรุงยา ?
เขาใช้พลังปราณในร่างของเขาทั้งหมดทุกครั้งที่ปรุงยา แต่เขา กระตุ้น เจดีย์หงส์จวิน เนื่องจากเขาไม่มีเวลาเพื่อฟื้นฟูพลังปราณของเขา และ เจดีย์หงส์จวินได้เติมเต็มเส้นลมปราณของเขาด้วยปราณบริสุทธิ์ และฟื้นฟูลมปราณของเขา อย่างไรก็ตาม มันเติมเต็มเส้นลมปราณของเขาด้วยลมปราณที่มากกว่าเดิมเล็กน้อย
ยากจักบอกถึงจำนวนครั้งที่เขากระทำเช่นนี้ … แต่เขาใช้ความพยายามทั้งหมดในแต่ละครั้ง และเขากดดันตัวเองมากเกินไป …
อาจบอกได้ว่า จวินโม่เซี่ยจักตายไปโดยไร้ผุยผงหากมิใช่เพราะเจดีย์หงส์จวิน อย่างไรก้๖าม เจดีย์หงส์จวินยังคงอยู่ และร่างของเขาก็อยู่ข้างในนั้น นี่เป็นผลอย่างใหญ่หลวงสำหรับเขา แต่เป็นการยากที่จักอธิบายออกมาเป็นคำพูด …
ความแข็งแกร่งของเขามากขึ้นเป็นสองเท่าจากตอนที่เขาเริ่มปรุงยาในเจดีย์ !
สำหรับปราณเชวียน เขาบรรลุไปถึงขั้นเชวยนหยกกลางเป็นอย่างน้อย และเขาสามารถบรรลุไปยังขั้นต่อไปได้ทุกเมื่อ สำหรับ เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ เขาได้ไปถึงขั้นกลางของชั้นที่สอง ! เขาสามารถไปถึงขั้นสูงสุดในชั้นแรกหลังจากก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด จากนั้น เขาสามารถก้าวหน้าต่อไปโดยการเผชิญหน้ากับคอขวดของขั้นที่สาม !
ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเวลาไม่ถึงสิบห้าวันหลังจากที่เขาบรรลุถึงชั้นที่สอง !
หรือกล่าวอีกนัย เขาก้าวข้ามถึงสองขั้นเต็มจากการปรุงยาเหล่านี้ สองก้าวใหญ่ๆ ! คนสามัญมิอาจคิดถึงความก้าวหน้าเช่นนี้ได้ !
การฝึกฝนปราณเชวียนเป็นเรื่องง่ายก่อนที่ผู้คนจักบรรลุไปถึงขั้นเชวียนเงิน เช่นนั้น การเติบโตจึงรวดเร็ว แต่ ทุกขั้นจักยากขึ้นเมื่อพวกเขาบรรลุไปยังเชวียนเงิน ความจริง เป็นความจริงเดียวกันกับทุกการฝึกฝนการตอสู้ทุกแขนง เป็นการยากที่จักสร้างความก้าวหน้าในทุกระดับการฝึกฝน
ให้ ราชัญปิศาจแห่งเถียรฟาเป็นตัวอย่าง พวกเขาห่างไกลเกินกว่าสามัญ ความจริง ผู้คนเอ่ยกันว่าพวกเขาได้รับพรจากสวรรค์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ติดกับคอขวดเดียวกันมานับทศวรรษ และยังคงไม่เห็นวี่แววของการบรรลุ พวกเขาก้าวหน้าในทุกวันมานับสิบปี แต่พวกเขายังคงไม่สามารถที่จักบรรลุไปได้ ดังนั้น จักสามารถมารถจินจนาการได้ว่าพวกเขาจักบ้าคลั่งเพียงใด เมื่อจวินโม่เซี่ยเสนอที่จักช่วยเหลือพวกเขา นี่เป็นการอธิบายที่ง่ายที่สุดหรับความความยากของการก้าวหน้า
สำหรับคนสามัญมิอาจเข้าใจสิ่งนี้ได้ !
จวินโม่เซี่ยหายใจเข้าออกม ยืดยาว สมองของเขาปกคลุมไปด้วยความปิติ และทันใดนนั้นเขาก็ผ่อนคลาย จากนั้น เขารู้สึกปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาในหัว ราวกับกะโหลกของเขาถูกเจาะด้วยเข็มมากมาย จวินโม่เซี่ยลืมวันเวลาที่ผ่านไปเนื่องจากเขาเข้ามาใน เจดีย์หงษ์จวิน ความจริง เขามิรู้ว่าเขาใช้เวลาในนี้นานเท่าไหร่ !
อย่างไรก็ตามเขามิอาจทนอาการปวดหัวนั้นได้ในตอนนี้ เขารู้สึกทั้งร่างไร้พลัง พลังปราณของเขาได้รับการฟื้นฟู แต่ร่างกายของเขาเหนื่อยอ่อนมายาวนาน จากนั้น ความหิวโหยอย่างรุนแรงแสดงขึ้นที่ท้องของเขา ยิ่งกว่าจวินโม่เซี่ยถูกทรมาณให้ตาย
ข้าอยู่ที่นี่โดยไร้อาหารมานานเท่าใหร่กัน ? เอ ไม่ต้องบอกเลยว่า … ไม่มีแม้แต่น้ำ …
จวินโม่เซี่ยสำรวดพื้นข้างไเท้าของเขา และตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่เขาได้ทำไป …
แต่ละเแถวของขวดหยกที่วางเรียงรายอยู่บนพื้น
เขานับจำนวนขวดเหล่านั้น ….
พระเจ้า !
จวินโม่เซี่ยสูดอากาศเยือกเย็นเข้าไป
ข้าปรุงยามากมายเช่นนี้จริงหรือ ? ไร้สาระ ! ข้านี่ประหลาดนัก ! ความจริง ข้าคงมิใช้แม้แต่ปุถุชน …
มียาหยางลึกลับห้าขวด สามขวดยาหยินขาดหาย หกขวดยาหัวใจปิศาจ แปดขวดยาเชื่อต่อลมปราณ และ ห้าขวดยาหลายผสาน …
พระเจ้า !
ข้าเป็นเลิศนัก ! เป็นเลิศยิงนัก ! ข้าช่างหล่อเหลาเสียจริง ! ประหลาดใจยิ่งนัก ! ….. ไม่มีวาจาใดที่จะอธิบายถึงฝีมืองของข้าได้ !
ยาเหล่านี้ … พวกมันมี … พลังอำนาจ เอ ! เหล่าองครักษ์ทั้งสามร้อยของข้าจักก้าวหน้าไปได้เพียงใดเมื่อข้ามอบยาเหล่านี้ให้พวกเขา ? มันต้องน่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน !
จวินโม่เซี่ยใช้เวลายกย่องตัวเอง จากนั้น เขารีบเร่งหลบออกจาก เจดีย์หงส์จวิน … ข้าคงจักทรมาณจนตายหากยังไม่ออกจากสถานที่นี้ …
อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยมิรู้เลยว่าเขาใช้เวลาสามวันสามคืนภายใน เจดีย์หงษ์จวิน แทนที่จะเป็นเพียงคืนเดียวตามที่เขาตั้งใจไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เขามิรู้ถึงความวุ่นวายเนื่องด้วยเขามิได้อยู่เลย …
คุณชายน้อยแห่งสกุลจวินหายตัวไปจากจวนของเขา … ไม่มีผู้ใดพบร่องรอยการเดินทาง และเขามิได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดเลย ยิ่งปกว่านั้น เขามิเคยหายตัวไปยาวนานเช่นนี้มาก่อน …
นอกเหนือจากนั้นจวินโม่เซี่ยหายตัวไปหลังจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไปจากจวินสกุลจวิน สิ่งนี้บ่งบอกถึงสิ่งใด ? มีผู้ใดจักจินตนาการได้ ?
ทั่วทั้งสกุลจวินวุ่นวายสับสน และทุกผู้กำลังร้อนใจ บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น !
เป็นสิ่งอุกอาจ !
คุณชายน้อยสามแห่งสกุลจวิน ! สายเลือดเพียงหนึ่งที่หลงเหลือ ! หยางสำหรับบุรุษ หยินสำหรับอิสตรี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น