Otherworldly evil monarch 289-296

ตอนที่ 289

 

เมิงไฮ่โจวและคนอื่นๆใช้โอกาสนั้นเพื่อเข้าฝ่าย ลี่โย่วหลาน และเริ่มยั่วยุจวินโม่เซี่ย  พวกเขามิอาจรู้ได้ว่าลี่โย่วหลานได้ท้าทายความสามารถของเขาอย่างสุดซึ้ง


” คุณชายน้อยโย่วหลาน อารมร์ขันแท้จริง “


คุ้งหลิงหยางรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง


 ” บางที คุณชายน้อยจวิน… อาจมีฝีมือในด้านอื่นๆของชีวิต … แต่ ความรู้ในด้าน วรรณกรรมนั้นมิได้โดดเด่น … “


 


บางผู้มิอาจกลั้นหัวเราะอยู่ใต้ปลอกแขนได้  น้ำเสียงของ คุณชายค้งครุมเครือยิ่งนัก  แต่ ทุกผู้ก็ได้ตัดสินไปว่า คุณชายน้อยจวินนั้นเป็นเลิศในเรื่องโสเภณีและ ตีหมาและตีไก่ และกิจกรรมน่ารังเกียจอื่นๆ  เด็กหนุ่มผู้นี้จักรู้ถึงแง่มุมที่สำคัญของชีวิตได้เช่นไร ?  ทุกผู้เริ่มนิยมชมชอบในตัว อาจารย์อาวุโสของสถาบัน


อาจารย์อาวุโสผู้นี้ปราดเปรื่องนัก พวกเขาสามารถดูถูกผู้คนด้วยทีท่าสุภาพเช่นนี้ได้!


 


” อาจารย์คง มิจำเป็นต้องกังวลสิ่งใด ฮี่ฮี่ … เหตุใดพวกเรามิให้ศิยษ์ของเจ้าแข่งขันกับจวินโม่เซี่ย  จากนั้น พวกเราจักได้รู้ หากเขาคู่ควรกับคุณชายน้อยลี่ … ฮี่ ฮี่ … “


เมิงไฮ่โจวยิ้มและเอ่ยตอบ  พวกเขาประสงค์ให้อาจารย์ค้งก่อสงคราม


 


คุ้งหลิงหยางมีโทสะยิ่งในเรื่องนี้  เขาคิด


ข้าดูแลศิษย์เหล่านี้อย่างเอาใจใส่ยิ่ง  ข้าอาจจะแขวนคอตัวเองกับเพดานและยอมรับการปลิดชีพตัวเองหากศิษย์ของข้ามิอาจต่อกรกับเจ้าอันธพาลผู้นี้ได้


เขามิได้เอ่ยวาจาโตตอบอันใด  เขาเพียงแค่โบกมือและเลือกศิษย์ผู้หนึ่งเพื่อเข้าแข่งกัขน


 


” ศิษย์ ฮั่นจีตุ้ง ขอให้ คุณชายน้อยจวิน แนะนำด้วย “


ชายหนุ่มยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้ม  จากนั้นเขาประสานมือคาราวะและมองขึ้นมา  ประกายความดูหมิ่นวาบขึ้นในดวงตาเขา  ขณะมองไปยังคู่ต่อสู้


 


” เอ่อ … ข้าจะมิมอบคำแนะนำให้เจ้า แต่จักสั่งสอน สักหนึ่งหรือสองเคล็ดลับแก่เจ้า  เจ้าจักเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมายไปยัง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ หลังจากที่ข้าเสร็จกิจกับเจ้าแล้ว  สิ่งใดจักดีไปกว่าการแสดงให้เห็นถึงความลึกลับอันลึกซึ้งของจักรวาล ?  ข้าจักนำทางหากเจ้ามิอาจคิดได้ “


 


จวินโม่เซี่ยมองเห็นถึงความคิดจากแววตาของชาอหนุ่มผู้นั้น  ดังนั้นเขาจึงตระหนักได้ถึงการดูถูกที่เด็กหนุ่มมอบแก่จวินโม่เซี่ย  ดังนั้น คุณชายน้อยจวิน จึงขยับตาขณะยืนขึ้น และหัวเราะลั่นท่ามกลางฝูงชนขณะเขาเสแสร้งกระทำเป็นอับอาย


 


” ศิษย์หนุ่มผู้นี้ได้หลบเลี่ยงอิทธิพลอันชั่วร้ายที่จะเข้ามาในชีวิต  เขาจึงมิเคยได้เข้าใจความน่ากลัวของ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ “


น้ำเสียงของ ฮั่นจีตุ้ง เย็นชา  เขาคิดอย่างดูถูก


เขาชั่วร้ายยิ่ง  ข้าขอคำแนะนำทางวิชาการแก่เขา และเข้าก็เริ่มเอ่ยถึง ซ่องโสเภณี !  เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นงานสาธารณะ ?  น่าอัปยศยิ่ง !


 


” เจ้ามิเคยไปยัง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ ?  แล้ว เจ้าไปที่ใด ? “


หัวใจของจวินโม่เซี่ยโชติช่วงด้วยความดูหมิ่น


ข้ายังมิได้เสร็จกิจกับเจ้า


จากนั้นเขาไขว้ขาและเอ่ยต่อไม่รีบร้อน


” อ้า ใช่แล้ว  คุณชายน้อยผู้นี้หลงลืมไปว่า นักปราชญ์ฮั่น มิได้ร่ำรวยเพียงพอที่จะจ่ายเพื่อรับบริการจากสถานที่แห่งนั้น  เหมือนว่าเขาจักจับหอกของเขาด้วยมือภายในกระโจม ขณะจินตนาถึงกระบวนการต่อสู้  เขาจำเป็นจักต้องฝ่าฟันขึ้นๆลงๆในสนามรบ  เขาจักต้องจัดการเพื่อปลดปล่อยทหารนับล้านจนกว่าเขาจะหมดเรี่ยวแรง … “


 


 


ไร้สาระอันใดกัน !


ใบหน้าของ ฮั่นจีตุ้งแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับเลือดไก่  ความจริงแล้ว คอของเขาก็กลายเป็นสีแดงเช่นกัน


 


จวินโม่เซี่ยเลือกถ้อยคำที่สง่างามและน่าฮึกเหิม  ทันใดนั้น ทุกผู้ที่อยู่ในโถงดูราวจิตใจล่องลอย  พวกเขาครุ่นคิดวาจาของเขาอย่างถี่ถ้วนเพื่อหวังจักได้เข้าใจความหมายที่ถ่องแท้ แต่ ส่วนใหญ่เกือบต้องพ่นอาหารออกมาขณะที่พวกเขาเคี้ยวอยู่และหัวเราะลั่นเมื่อเข้าใจถึงความหมายของเขา …


 เจ้าเด็กนี่…จักมากเกินไปแล้ว !


 


บุรุษทุกผู้ที่อยู่ในโถงนี้เข้าใจถึงวาจาของจวินโม่เซี่ยเมื่อครู่  แต่ การหัวเราะอย่างหยาบคายของพวกเขานั้นมิอาจเอ่ยเป็นวาจาได้ …


 


องค์หญิงหลิงเมิง ตู่กู้เซี่ยวอี้  ฮั่นหยานเมิง และหญิงสาวผู้อื่นมองดูด้วยแววตาประหลาดใจ  พวกนางมิอาจเข้าใจถึงปฏิกริยาเช่นนี้  สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งนี้มิใช่เรื่องดี  แต่ พวกนางมิอาจคิดว่าอันใดคือสิ่งที่ผิดนั้น


วาจาของจวินโม่เซี่ยเซี่ยดูคล้ายดั่งการพรรณนาถึงขุนพลคู่บารมี .. แต่เหตุใดจึงรู้สึกถึงความแปลกประหลาด ?


 


ชายชราหลายผู้ แสดงอากัปกริยาออกมาด้วยสายตา  แต่ พวกเขาเป็นเพียงไม่กี่ผู้ที่สามารถหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งได้โดยมิต้องกังวลถึงผลที่จะตามมา  บางผู้ตบมือลงบนโต๊ะ ขณะบางผู้ตบลงบนต้นขา ขณะที่ดวงตาของพวกเขาหลับไปเนื่องด้วยการหัวเราะที่บ้าคลั่งนี้  ร่างของ ตู่กู้ซ้งเฮงสั่นสะเทือนเนื่องจากการหัวเราะ ขณะที่เขาตบไปที่บ่าของถังหว่านลี่  จากนั้นกระซิบ


 ” ผู้เฒ่าถัง ข้าเพิ่งนึกงถึงครั้งที่เราทั้งสองเพิ่งได้เข้าร่วมกองทับ  พวกเราถูกส่งไปยัง หุบเขาหมาป่าสวรรค์… ผู้เฒ่าจวินยังเป็นเพียงแค่นายกองหนุ่ม…. พวกเรามองสายตาของเจ้าเมื่อครั้งออกไปสู้ศึกในยามอรุณรุ่ง … “


 


ถังหว่านลี่ หน้าแดงก่ำด้วยโทสะในทันใด  เขาลืมถึงชื่อเสียงที่น่าหวาดกลัวของ ตู่กู้ซ้งเฮง ขณะยื่นมือออกไปกำคอที่แข็งแรงของเขา  จากนั้นเขาคำรามด้วยเสียงกระซิบ


” เจ้าชั่ว !  เอาสิ หากเจ้ากล้าเอ่ยอีกวาจา …. “


 


ตู่กู้ซ้งเฮงเริ่มสำลัก  เขาดูราวหัวเราะขณะวิงวอน  หัวหน้าสกุลอื่นๆยกนิ้วขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะชี้ไปทาง ถังหว่านลี่   ราวกับมีผู้คนมากมายได้ยินวาจานี้ …


 


ใบหน้าผู้เฒ่าถังแดงเดือดด้วยโทสะ  เขายืนขึ้นเหนื่อยหอบและพยายามออกไปจากโถง  แต่ มีผู้เฒ่าสองสามผู้ลุกขึ้นในเวลาเดียวกัน และโน้มน้าวให้เขาใจเย็น


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ มองพี่ทั้งเจ็ดของนางหัวเราะด้วยริมฝีปากแบนราบ  ใบหน้าสนุกสนานของพวกเขาเผยถึงความสุขในหัวใจขณะหัวไหล่ขยับเนื่องจากการหัวเราะ  นางคิดว่าสิ่งนั้นจักต้องเป็นบางอย่างที่น่าขบขันยิ่ง  ดังนั้นนางถึงมิอาจกลั่นใจ ถามไป


” สิ่งนั้นหมายความเช่นไร ?  น่าขันหรือ ? “


 


เอ่อ ….


พี่น้องทั้งเจ็ดมองหน้ากันด้วนความตกตะลึง  พวกเขาตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่อึดอัดนี้และรีบปรับตัว  หยักหน้าพร้อมเพรียงขณะพวกเขาตอบ


” มิใช่เรื่องน่าขันอันใน มันน่าขันได้เช่นไร ?  มันมิใช่เรื่องน่าขัน ! “


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ พ่นลมทางจมูก  นางหันหัวไปทางอื่นด้วยโทสะ  นางรู้สึกหงุดหงิดทันทีเมื่อเห็นพี่ชายของนาง และจวินโม่เซี่ย เนื่องจากวันนี้พวกเขามิอาจตอบคำถามนางได้เลย


 


นางหวนนึกถึงวาจาของจวินโม่เซี่ย และทวนมันซ้ำอีกครั้งเพื่อจดจำให้ฝังในใจ


เจ้าคิดว่าหากพวกเจ้ามิตอบ ข้ามิอาจหาคำตอบได้เองกระนั้นหรือ … ?  ข้าจักกลับไปถามท่านแม่เมื่อถึงบ้าน … ข้าคิดว่านางมิอาจปฏิเสธข้า …


 


ฮั่นจีตุ้งสูดหายใจยาว  เขารู้ว่าอันธพาลผู้นี้สร้างความได้เปรียบขณะที่เขาเอ่ย


“พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำทองคำนี้ดำเนินตามประสงค์ของฝ่าบาท  แต่ ศิษย์หนุ่มผู้นี้ละอายใจที่ต้องเป็นคู่ต่อสู้ของเขา  การจับคู่ศิษย์หนุ่มผู้นี้กับคุณชายน้อยจวินในการถกปรัชญาเป็นดั่งการจับคู่ ดอกเบญจมาศสีทอง และดอกหอมหมื่นลี้สีส้มโดยบังเอิญ


 


เขามิได้รอคอยการตอบกลับของจวินโม่เซี่ย และเอ่ยต่อ


” กลิ่นหอม เบญจมาศ กล้วยไม้ ดอกหอมหมื่นลี้จากสวนดอกไม้ของอาณาจักร … กลิ่นเล่านั้นล่องลอยไปทั่วเทียนเชียง … สุคนธรสสรวงสวรรค์ ล่องลอยนับพันลี้ .. และนับพันลี้ที่สุคนธรสสวรรค์ล่องลอยไป … “


 


กวีนี้จับใจของทุกคน


 


กวีบทนี้อาจฟังดูสามัญหากแต่ไม่  โดยเฉพาะส่วนท้าย  เขาเลือกใช้คำว่า สุคนธรสสวรรค์ เพื่ออุปมาดั่งการประทานพรแด่เทียนเชียง ทุกผู้เริ่มหัวครุ่นคิดถึงการแสดงฝีมือของเขาต่อหน้าองค์จักรพรรดิ


 


พวกเขากำลังจะลืมการมีส่วนร่วมของจวินโม่เซี่ย


เขาสามารถทำให้เรื่องขบขันกลายเป็นบทกวีได้เช่นไร ?  เขามิอาจทำให้หวนคืนได้แม้นจะมีชีวิตที่สอง …


 


” คุณชายน้อยจวินฝีมือของ ศิษย์หนุ่มผู้นี้ต่ำต้อย และความรู้ช่างตื้นเขิน  ศิษย์หนุ่มผู้นี้ใช้คำได้เพียงผิวเผิน  คงจักมิได้เป็นปัญหาใหญ่ในสายตาท่าน ? “


ฮั่นจีตุ้งหัวเราะ จากนั้นเขามองนอบน้อมไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยสีหน้าจริงใจ


” ข้าหวัง คุณชายน้อยจักสองสอนข้าสักเล็กน้อย ! “


 


ทุกผู้ต่างรอคอยคำตอบจากจวินโม่เซี่ยในประโยคสุดท้ายที่ยังมิได้เอ่ยออกมา พวกเขาดูถูกเขาแต่มิได้กล่าวโทษหากเขาพ่ายแพ้รวดเร็ว เนื่องจากกวีบทนี้ยอดเยี่ยมและยากจักตอบโต้  ท้ายที่สุดไม่มีผู้ใดถือว่า เขาจักสามารถเทียบชั้นได้กับ ปราชญ์หนุ่มผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้น บัณฑิตหนุ่มได้ทิ้งผลกระทบที่พิเศษไว้ในใจของทุกผู้นามเนื่องจากเดิมทีฝีมือของเดิมทีแล้วน่าประหลาดใจ  แต่ ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ทุกผู้ต้องถอนใจ


 


ประโยคสุดท้ายซึ่งไร้เหตุผล เปิดเผยถคงความโหดร้ายในนิสัยของเขา และลดศักดิ์ศรีของเขาลง


 เจ้าได้เล่าเรียนใน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง มานานปี  มีสิ่งใดที่น่าภูมิใจจากการเอ่ยบทกวีเพียงไม่กี่บรรทัด ?


 


เรียกได้ว่า ความสำเร็จของ บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นจบลงอย่างรวดเร็ว


 


ในภาพรวมแล้ว เขาอาจได้ไต่เต้าขึ้นไปตามอันดับในสกุล  แต่ พวกเขาจัดไม่ส่งเสริมบุคคลเช่นนี้ให้ไปสู่สุดสูงสุด


  สิ่งใดจักรับประกันได้ว่า เขาจักไม่กำจัดพวกเราทิ้ง ในครั้งที่เขาสร้างอำนาจแก่สกุลได้เพียงพอ ?


ฮั่นจีตุ้ง มิตระหนักรู้เลยว่าเขาได้ประกาศชะตากรรมแห่ง อาชีพทางการเมืองของเขาไว้แล้วด้วยประโยคสุดท้ายนี้ ดังนั้น เขาจึงยืนอยู่ด้วยความพึงพอใจในหัวใจ


 


จวินโม่เซี่ยย่นคิ้ว  กลอนใดๆที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อตอบกลับไปนั้นเป็นเพียงการลอกเลียน  แต่ การลอกเลียนกวีในระดับสูงเช่นนี้เกินกว่าเขาจักสามารถ


 เอ …หรือข้าจักคิดหากวีไร้สาระจากชีวิตก่อน ?  ไม่ … มิอาจทำได้  นี่มันช่าง … !


 


อาจารย์ คุ้งหลิงหยางเลิกคิ้ว  ราวกับพึงพอใจตัวเอง


“มิเป็นอันใดหากคุชายน้อยจวินมิอาจคิดหาบนกลอนที่เท่าเทียมได้ … คุณชายน้อยจวินจักมิต้องเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ … “


 


ทุกผู้หัวเราะ


อาวุโสผู้นี้จักมิอภัยให้ง่ายๆ  เขาเพียงแค่ใช้วิธีสามัญทั่วไป … เขาดูหมิ่นผู้อื่นโดยมิใช้วาจาเหยียดหยาม …


 


พลังพุ่งหล่านในหัวใจจวินโม่เซี่ย  เขาตะโกนขึ้นเสียงดังรวดเร็ว


 ” สิ่งนี้มีอันใดที่ยากยิ่ง ?  นั่นมิใช่บทกวี ?  ข้าจักเหนือกว่าเขา และก้าวขึ้นสูงกว่าความโง่เขลาของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ! “​


 


ผู้คนมากมายแสดงออกถึงความไม่พอใจ


เจ้าเด็กผู้นี้กล้ายิ่งนักเมื่อเอ่ยวาจา  เขาถูกท้าทายให้คิดกวีแข่ง .. เขาเสียสติไปแล้ว  เขาควรจักคิด ก่อนเอ่ยวาจา  ราวกับเขาได้รับการสั่งสอนครั้งยิ่งใหญ่จากศิษย์หนุ่มผู้นั้น ….


 


แต่ สีหน้าของ ลี่โย่วหลาน และ จวินจ้านเเทียน แตกต่างจากหมู่คนยิ่งนัก  ลี่โย่วหลานมั่นใจว่าเขามีฝีมือที่จักต้อบกลับ  แต่ เขาเองก็พยายามแต่มิอาจทำได้  กระนั้น จวินโม่เซี่ยประกาศว่าเขาจักต่อกวีด้วยคำกลอนที่เหมาะสม ….


เขาเก่งกว่าข้า ?


 


ปู่จวินกระวนกระวายยิ่ง


เรามิควรเห็นด้วยหรือว่าเขามิได้กระทำโง่เขลา ? เขาจักชนะได้เช่นไร ?


 


คุ้งหลิงหยาง คำรามทางจมูก และเอ่ย


” คุณชายน้อยจวินดูเหมือนมั่นใจ ข้าขอเสนข้อตกลง  สถาบันนี้จักยอมรับความพ่าย หาก คุณชายน้อยจวิน สามารถคิดหากลอนต่อได้ก่อนหมดก้านธูป  แต่ หากเขาพ่ายแพ้ … คุณชายน้อยถัง จักต้องเป็นผู้ทำการไกล่เกลี่ยความพ่ายแพ้ของเขา  หลังจากนั้น เขาจักต้องคืนศิษย์ผู้ยากจนของข้ากลับมา… ? “


 


ชัดเจนว่าเขาหมายถึงศิษย์ผู้ที่ ถังหยวนกลั่นแกล้งโดยการให้ซักชุดชั้นในของอิสตรี บัณฑิต โจเฉิงซ้ง อย่างไรก็ตาม ถังหยวนเป็นกังวลกับการปล่อยคนเช่นนี้อยู่ในบ้านของเขา ดังนั้น ถังหยวนจึงหวดเขาจนตายหลังจากถูกไล่ออกจากบ้าน เช่นนั้นแล้วเขาจักไปหาจากที่ใดมาคืนสู้สถาบัน ?  กระดูกที่เน่าเหม็นมิอาจรองรับวิญญาณของเขาได้แม้นจักได้กลับมาจากนรก


 


” เป็นตามนั้น ! “


จวินโม่เซี่ยเกาคอ


ข้ามิได้มีปัญหาอันใดในการยอมรับเรื่องนี้  พวกเราจักคืนกระดูกของเขาหากข้าพ่ายแพ้  เจ้ามิได้บอกว่าเจ้าต้องการเขากลับไปเป็นๆหรือเป็นศพ … ?  แล้วเหตุใดข้าต้องเป็นทุกข์ร้อน …


 


” อย่างไรก็ตาม เจ้าจักต้องยอมรับความเป็นเลิศของข้าหากข้าชนะ  สถาบันของเจ้าจักต้องไม่เอ่ยคำว่า บทกวีต่อหน้าข้าอีกหลังจากนั้น  ยอมรับหรือไม่ ? “


จวินโม่เซี่ยยิ้ม

 

 

 


ตอนที่ 290

 

” เป็นตามนี้ ! “


คุ้งหลิงหยางมิได้ประเมินจวินโม่เซี่ยไว้สูงมากมาย


เขามิสามารถคิดหาบทกลอนที่ตอบโต้กับ ฮั่นจีตุ้ง ได้  และหากแม้นเขาพยายามคิดหา… บทกลอนตื้นเขินของอันธพาลผู้นี้จักเทียบเท่ากับ มาตราฐานแห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ได้เช่นไร ?  น่าขันยิ่งนัก !


จวินโม่เซี่ยตบต้นขาพร้อมทั้งเสียงดังเป๊าะชัดเจน  จากนั้นเขายกขวดสุราขึ้นจากโต๊ะ และยกข้าข้างหนึ่งขึ้นวางบนเก้าอี้  เงยหน้าขึ้น ดื่มสุราอึกใหญ่และครุ่นคิดชั่วครู่  จากนั้น เขามองขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง ดื่มสุรา และยังคงครุ่นคิดต่อไป


สายตาอของทุกผู้จับจ้องจวินโม่เซี่ย  ไม่แม้กระทั้งองค์จักรพรรดิ  ปรากฏความสนใจและร่องรอยอันเย็นชาในดวงตาองค์จักรพรรดิ  เขาจักประเมินสกุลจวินอีกหน หากจวินโม่เซี่ยสามารถคิดหาบทกวีที่เหมาะสมได้ …


ตู่กู้เซี่ยวอี้  และ องค์หญิงหลิงเมิง เพ่งมองเขาใจจดจ่อ


เขาจักชนะได้เช่นไร ?  เขาจักต้องประสบกับความยากลำบากมากมายหากบทกวีเของเขามิเป็นตามเป้า …


แต่ พวกนางมิได้เอ่ยออกมา เนื่องจากมิได้สงค์รบกวน


แต่ ตู่กู้อญิ่งเริ่มกระวนกระวาย ขณะเขาเห็นจวินโม่เซี่ยกลืนกินสุราไปเกินกว่าครึ่งไถ


” เห้ย … !  เจ้าคงมิได้ใช้โอกาสนี้ในการดื่มสุราให้มาก ใช่ไหม ? “​


ตู่กู้เซี่ยวอี้ เพ่งมองพี่ชายนางด้วยสายตาดุร้าย


” ไม่มีผู้ใดกังวลในเรื่องนั้น เหตุใดเจ้าจึงเป็น ? “


ตู่กู้อญิ่งเกาหัวสับสน  เขายังคงนั่งอยู่ ขณะทำได้เพียงจับจ้องไปยัง โถสุราในมือจวินโม่เซี่ย …


ทันใดนนั้นเอง !


จวินโม่เซี่ยยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว  เป๊าะ ! เสียงดังชัดเจนขณะเขาเอ่ย


” ข้าคิดออกแล้ว ! “


ทุกผู้ฟังอย่างกระวนกระวายขณะจวินโม่เซี่ยร่ายกวีของเขาด้วยพึงพอใจ


” ท้องถนนได้กลิ่นอาจม  บุรุษอาจมคละคลุ้ง สุนัขอาจมคละคลุ้ง สุกรอาจมคละคุ้ง อาจมคละคลุ้งอาจมคละคลุ้ง และคละคลุ้งด้วยอาจม เพียงหนึ่งนามจารึกประวัติศาสตร์ บัณฑิตอาจมคละคลุ้งเป็นที่สุด ! “


ราวกับทุกผู้สับสนงุนงง


” ปราดเปรื่องยิ่งนัก !  ปราดเปรื่องยิ่งนัก !  ใช้กลิ่นเหม็นคละคลุ้งเพื่อต่อสู้กับกลิ่นหอมหวน และใช้อาจมต่อกรกับดอกไม้ …. อึก อึก … “


ถังหยวนเอ่ยสรรค์เสริญรวดเร็ว  แต่ เขายังมิทันได้เอ่ยจบ ในขณะที่ปากของเขาเริ่มส่งเสียง อึก  จากนั้นเขาไร้วาจาเอ่ยขณะสีหน้าปรากฏราวกประสงค์อาเจียน …


บทกวีทั้งสองนี้…. น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก  โคลงกลอนนี้ทำให้ทุกผู้สะอิดสะเอียน  ดังนั้น จึงมิเป็นเรื่องแปลกหากผู้ใดจักสำรอกออกมา … โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกินอาหารไปมากมาย …


ทุกใบหน้าปรากฏสีหน้าแปลกประหลาด  พวกเขามองจวินโม่เซี่ยด้วยความโทมนัสและเดือดดาล  ทัดในนั้นเสียง อึก ดังขึ้นให้ได้ยิน  องค์หญิงฮั่นหยานเมิงแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน เอามือปิดปากตัวเองและวิ่งออกไป  สาวใช้จำนวนหนึ่งตามนางไปพร้อมด้วยมือปิดาก …


ในที่สุด ตู่กู้เซี่ยวอี้ ก็วิ่งมือกุมปากตามพวกนางไป  นางเหลือบมองจวินโม่เซี่ยเกลียดชังก่อนจะวิ่งออกไป ….


” ผู้ใดจักกล้าเอ่ยกล่าวว่าข้าผิด ? ข้าเพียงแค่สมดุล สิ่งที่มิได้สมดุล! “


จวินโม่เซี่ยร้องออกมาตื่นเต้น  จากนั้นเขาคว้าเอาปู เนื้อปลาชั้นดี เข้าปาก และเริ่มเคี้ยว


ทุกผู้เฝ้าดูขณะเขาเริ่มเคี้ยวเนื้อปูสีเหลือง  ทันใดนนั้น สีหน้าทุกคนซีดเผือกขณะนึกถึงโคลงกลอนที่เขาเพิ่งได้เอ่ยไป …


ทุกผู้ตกตะลึง  โคลงบทสองบรรทัดนี้ถือได้ว่าเหมาะสมกันยิ่ง  ยิ่งไปกว่านั้น โคลงกลอนที่โต้แย้งกลับมานี้เป็นการ เหยียดหยามฝีมือของ บัณฑิตอย่างยิ่ง  ในส่วนที่กล่าาว่า อาจมบัณฑิตนั้นต้องคละคลุ้งเป็นที่สุด ทำให้ สองอาจารย์เฒ่าตัวสั่นด้วยโทสะ  คุ้งหลิงหยาง และ เหม๋ยเกาเจี้ย ไร้วาจาเอ่ยขณะเขาครุ่นคิดถึงโคลงกลอนนี้ … แต่กระนั้น …


เจ้าแต่งบทกลอนเช่นนี้ในขณะที่ผู้อื่นกำลังกินอาหาร  เจ้าคงมิได้จงใจทำให้พวกเราดูไม่ดี ?  บทกลอนของเจ้านั้นอาจดีเข้าขั้น แต่เจ้าทำให้ทุกผู้นามมิอาจกินสิ่งใดได้ …


 


” เวลาผันผ่าน ครานี้ถึงตาข้าไต่ถาม ! “


จวินโม่เซี่ย สบัดปูครึ่งตัวที่ยังคงเหลืออยู่ไปมา


” ข้าจำได้ว่าอาทิตย์ก่อนข้าอยู่ที่บ้าน … อ่านบทกลอน … แล้วทันใดนนั้น … เพื่อเก่าของท่านปู่ปรากฏตัวขึ้น  เขาได้ประทับติดตรึงในใจข้าลึกซึ้งเนื่องด้วยชื่อแซ่อันแปลกประหลาดของเขา แซ่ เคอ ..​และนามว่า ฉาง … เขาได้มอบของขวัญเป็นภาพที่เขาวาดด้วยมือของตัวเอง  มันคือ ภาพวาดดอกบัว  เขาเสวากับท่านปู่เป็นบทกวีก่อนจากไป  ปู่ของข้าไต่ถามผู้คนมากมาย แต่มิอาจมีผู้ใดตอบได้ … “


ตู่กู้เซี่ยวอี้  และ หญิงผู้อื่นกลับมายังโถง  ใบหน้าพวกนางซีดเผือก และเหลือบมองจวินโม่เซี่ยด้วยแววตาเกลียดชังยิ่ง  แท้จริงแล้ว ราวกับพวกนางประสงค์จะกัดเขา


ผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างกระหายใคร่รู้ก่อนจวินโม่เซี่ยจะได้มีโอกาสเอ่ยต่อ


 ” กวีบทนั้นว่าอย่างไร คุณชายน้อยสามจวิน ? “


 


” กวีนั้นเรียบง่ายยิ่ง  มีเพียงเจ็ดคำเท่านั้น ภาพดอกบัวเบื้องบนภาพพระ “


จวินโม่เซี่ยครวญครางสองหนขณะเอ่ยประโยคนี้ออกมา  เขาใช้ปู่ของเขาเป็นเครื่องมือในการสร้างอุบายอันน่ารื่นรมย์นี้  รู้ว่าท่านปู่จะไม่ทรยศเขา  ที่นี่ มีผู้คนมากมายที่เขามิอาจเชื่อถือ  กระนั้น ปู่ของเขาคือหนึ่งในผู้ที่คู่ควรแก่การที่เขาจักเชื่อถือ


ปู่จวินมิเคยเช็ดก้นของเขาด้วยหน้าของหลานชาย  ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงเอ่ยคำโป้ปดเหล่านี้ด้วยสีหน้าซื้อตรงต่อสาธารณะ


” ภาพดอกบัวเบื้องบนภาพพระ… ภาพดอกบัวเบื้องบนภาพพระ … “


ทุกผู้ขมวดคิ้วขณะเอ่ยกวีนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  กวีบทนี้ดูราวเรียบง่าย แต่ซับซ้อนยิ่ง ทำให้ทุกผู้สูดอากศเยือกเย็น …


มิได้สำคัญหากจักมองดูจากรูปแบบของกวี … ผู้คนจักเห็นเพียง ชื่อของผู้นั้นและของขวัญที่ฝากฝังมากับกวี  ยิ่งไปกว่านั้น จุดจบและจุดเริ่มของบทกวีนี้คเหมือนกัน  แต่ พวกมันกลับเคารพซึ่งกันและกัน


ผู้เชี่ยวชาญในบทกวีในโถงนั้นต่างขมวดคิ้ว  พวกเขามิเคยคาดคิดว่า อันธพาลไร้สามารถนี้จะแต่งปัญหาที่ยากยิ่งเช่นนี้


บัณฑิตทุกผู้จาก สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง พบว่าพวกเขาตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสนอย่างมิเคยได้เกิดมาก่อน  พวกเขาขมวดคิ้วขณะที่สมองมิอาจคิดหาคำตอบ


จวินโม่เซี่ย คิดกวีบทนี้ขึ้นมาเนื่องด้วยเขามิรู้จักโต้ตอบอย่างไร  ความจริงแล้ว ปริศนาที่เขาคิดนี้มิอาจหาคำตอบได้  ตัวเขาเองจักพบกับปัญหา หากฝ่ายตรงข่ามคิดหาคำตอบที่เหมาะสมได้  เนื่องเพราะพวกเขาจำต้องไขปริศนาที่พวกเขามิอาจคิดหาคำตอบได้  และทุกผู้นามจาก สถาบันจักต้องรุมเถียงเขาหากเขามิสามารถตอบคำถามของตัวเองได้ …


ทางออกของปัญหานี้เป็นดั่งปาฏิหาริย์สำหรับพวกเขา และพวกเขาประสงค์ให้ ปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้น !


มันจักมิเป็นความอับอายหรอกหรือ หากเหล่ามันสมองของ สถาบันมิอาจตอบปัญหาของอันธพาลได้ … ?  ดังนั้น ทุกผู้จึงคาดคั้นสมอง และคิดหากทางออกมากมายหลังจากประยุกต์แนวคิดเชิงสร้างสรรค์มากมาย  แต่ ดูเหมือนไม่มีกวีบทใดที่คู่ควร


เหล่าบัณฑิตผู้มากสามารถจำต้องคิดหาคำตอบให้ได้ก่อนธูปจะหมดก้าน  สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเป็นกังวลยิ่งเมื่อเวลาผันผ่านไป


สองปรมาจารย์ทั้งสองของสถาบันต่างดิ้นรน


คิวของ เหม๋ยเกาเจี้ย ย่นขณะเดินไปมา  เขาพยักหน้าหนแล้วหนเล่าและพึมพัม


” ไม่  มิอาจได้ “


จากนั้นเขาพยายามลองในหนทางใหม่


ปรมาจารย์อาวุโส คุ้งหลิงหยาง นิ่งสงบไม่ไหวติง  ดวงตาของเขาปิดลง  ใบหน้าแหงนมองขึ้นสรวงสวรรค์  กำลังจมดิ่งลึกซึ้งสู่ห้วงความคิด  แต่ หากมองเข้าใกล้แล้ว .. พวกเขาจักได้เห็นร่องรอยความมืดมนในสีหน้า … ผมสีขาวดั่งหิมะประลงใบใบหน้า  มิอาจกลั้นให้รู้สึกถึงความโศกเศร้าแปลกประหลาดขณะมองใบหน้าของเขา


กวีบนทนี้เป็นดั่งปริศนาแห่งเหล่า ศิษย์แห่งสถาบัน  ดังนั้น การมีส่วนของสองปรมาจารย์นั้นถือได้ว่ามิถูกต้อง  แต่กระนั้น มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงอันช้านานของสถาบัน  ด้วยเหตุนี้ สองปรมาจารย์จึงมิอาจกลั้นตัวเอง …


จวินโม่เซี่ยมิได้สนใจเรื่องนี้มากนัก  เขามิได้ทุกข์ร้อน หากเหล่าอาจารย์สิบ ยี่สิบของสถาบันจักเข้าร่วม … ไม่ต้องเอ่ยถึงสองท่านนี้ …


เวลาผันผ่านถึงจุดสิ้นสุด  ควันจากธูปหอมล่องอลายเป็นเกลียวายต่อเนื่องกระทั่ง ทั้งก้านเหลือเพียงขี้เถ้า


ปาฏิหาริย์มาอาจก่อเกิด !


” ข้ามิสามารถ !  ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ! “


หัวของ ฮั่นจีตุ้ง ก้มลงด้วยสิ้นหวัง  มิอาจหักห้ามความรู้สึกผิดหัวงในหัวใจ  ปราชญ์อันดับสุงสุดของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง จักพ่ายแก่เจ้าเลวนั้น ?!


เขาประสงค์จักตาย ..


” ไม่ !  เจ้าพ่ายแพ้ แต้าเจ้ามิได้มีความผิด  เอาละ ความผิดนั้นมิได้จำกัดเพียงเจ้า ! “


จวินโม่เซี่ยขยับตัวจากเก้าอี้ขณะเขาชี้นิ้วออกไปและแกว่งไปมาแผ่วเบา


” เจ้ามิได้ผิดในการเดิมพันกับข้าในครั้งนี้ !  อย่างน้อยถือได้ว่าเจ้าเป็นตัวหมากรุกชั้นดีในเกมนี้ และเป็นธรรมดายิ่ง  เจ้ามิสามารถมากพอจักเดิมพันกับข้า !  ไม่ว่าเจ้าจัดหาวิธีการเช่นไร … เจ้าก็มิอาจสามารถเพียงพอจักแข่งขันกับข้า !  เจ้าน้อยต่ำต้อยกว่าข้ายิ่งในเรื่องนั้น “


จากนั้น จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้นยิ้มขณะเขามองไปยัง คุ้งหลิงหยาง และ เหม๋ยเกาเจี้ย


 ” อาจารย์ ?  เจ้ามีสิ่งใดจะเอ่ย ? “


 


” พวกเราพ่ายแพ้ “


ใบหน้าสองผู้อาวุโสมองดูพร่ามัว  พวกเขามาที่นี่ด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยมในฐานะของตัวแทนผู้นำของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง สถาบันซึ่งได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่และมากสามารถสุดซึ้งในทั่วทั้งอาณาจักร  แต่ พวกเขามิอาจคาดว่าจักพ่ายแพ้ต่อน้ำมือของจวินโม่เซี่ย  อาจารย์ทั้งสองรู้สึกราวชีวิตถูกพรากไปทั้งเป็น


ริมฝีปาก คุ้งหลิงหยาง สั่นเทาขณะเขาเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม


” อาวุโสผู้นี้จักรักษาสัญญา  สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงจักมิเอ่ยถึงกวีต่อหน้าจวินโม่เซี่ย “


ทั่วทั้งโถงเงียบงันชั่วครู่


จวินโม่เซี่ยถอนใจ  พฤติกรรมของสองผู้นี้ทำให้หัวใจของเขาเคารพยิ่ง  เขามิได้ประสงค์ให้พวกเขาต้องประสบกับสภาพเช่นนี้  ทั้งสองก่อตั้ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงด้วยคุณธรรมของพวกเขา  พวกเขาปุกปั้นเหล่าศิษย์ด้วยมือของตัวเอง และทำนุบำรุงยอดฝีมือของอาณาจักรอย่างไร้เหน็ดเหนื่อย  พวกเขามิเคยละทิ้งคนจนและต้อยต่ำ  พวกเขาคัดเลือกเหล่าศิษย์เพียงความล้ำเลิศและความสามารถในการเรียนรู้  พวกเขาละทิ้งชีวิตอันมั่งคั่ง และรักษาระยะห่างจากอิทธิพลการเมืองของมหาเสนาบดี  พวกเขาคู่ควรแก่การได้รับการยกย่องจาก มือสังหารผู้นี้


ชายสองผู้นี้น่าชื่นชมยิ่ง  แต่ เพียงแค่สั้นๆ  ความรู้และการสั่งสอนของพวกเขาแน่นอนเหมาะสมกับการยกย่อง แต่คติและวิธีการของพวกเขานั้นเป็นความผิดพลาด  พวกเขาสนใจเพียงศิษย์ที่ปราดเปรื่องและใฝ่เรียน แต่มิได้สนใจลักษณะในด้านอื่นๆ


การสั่งสอนมิจำเป็นต้องบอกกล่าวเพียงความรู้


จวินโม่เซี่ยเชื่อเช่นนั้นเสมอมา อาจารย์คือผู้สรรค์สร้างจิตวิญญาณของมนุษย์


ชัดเจนว่าอาจารย์เหล่านี้เป็นเลิศในชนรุ่นเขา  พวกเขาถ่ายทอดความรู้อันมากมายแก้เหล่าศิษย์  ศิษย์ของพวกเขารอบรู้ในบทกวี  พวกเขารอบรู้ในด้านกลยุทธ์ เล่ห์กล  พวกเขารอบรู้ในการรักษาความสำคัญของฐานะทางการเมือง  แน่นอนพวกเขาจักพบความสำเร็จในอาชีพหากสามารถนำสิ่งที่เล่าเรียนไปใช้ได้ อย่างรวดเร็ว  แต่ อาจารย์ทั้งสองนั้นละเลยหากศิษย์ของพวกเขาจักแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาแม้นว่าพวกเขามิได้ดีมาจากจิตใจ  การกระทำของพวกเขาจักส่งผลถึง ความรุ่งโรจน์ มั่งคั่ง และรายได้ … ดั่งเช่น พวกเขาได้สร้าง ผู้รับใช้ที่น่ากลัวแก่อาณาจักร


มิจำเป็นต้องเอ่ยว่า อาจารย์ทั้งสองนี้ได้สร้างศิษย์มากมายภายใต้ชื่อเสียงของเขา และ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง


พวกเขาจำต้องทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เมื่อพวกเขาออกจากสถาบันและเริ่มต้นชีวิตในราชการ … โดยไม่คำนึงถึงความมั่งคั่ง และ ฐานะ  ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์เหล่านี้ได้เล่าเรียนที่ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง และมีแนวโน้มจักได้รับตำแหน่งสูงในกลุ่มหรือสกุลอันทรงพลัง  แท้จริงแล้ว แม้ผู้ที่ย่ำแย่ที่สุดก็จักได้รับราชการในตำแหน่งต่ำ … เช่นเสมียหรือผู้ดำแลบัญชี


ภัยอันตรายมากมายเพียงใดที่พวกเขาสามารถก่อขึ้นแก่สังคมได้หากพฤติกรรมของพวกเขามิได้ถูกลับคมด้วยคุณธรรมที่เหมาะสม ?  หายนะที่พวกเขาสามารถก่อนั้นเกินกว่าจินตนาการ


นี่จึงเป็นเหตุที่จวินโม่เซี่ยไม่ชอบพวกเขา ความจริง เขามิเพียงไม่ชอบพวกเขา … เขารังเกียจ


สองอาจารย์เกี้ยวกราดยิ่ง  แต่ จวินโม่เซี่ยมิเชื่อว่าพวกเขานั้นผิด  เขาค่อนข้างเชื่อว่า พวกเขาควรได้รับการส่งเสริมที่ดี


 ข้ามิใช่คนดี  หรือ สนใจในความทุกข์ยากของผู้คนในแผ่นดิน แต่ หากเจ้ากลั่นแกล้งข้าเช่นนั้น ข้าคงจักต้องยืนหยัดในการลงโทษสวรรค์ !


 


” นี่คือเรื่องในทางโลก ! “


จวินโม่เซี่ยถอนใจ  จากนั้น มือสังหารจวินจึงกลายเป้ฯผู้ชนะด้วยเหตุนี้  เขาเริ่มคิดว่าตัวเองสง่างาม


ข้าจักต้องปลดปล่อยผู้คนจากความเจ็บปวด และความทุกข์ไม่ว่าจักเป็นโลกใหนที่ข้าอยู่ ข้าจักออกมาเมื่อผู้คนต้องการ …


เอาละ ถานการณ์นั้นยังมิได้เกิดขึ้น…


———————————————————————————-


ตอนที่ 291 ไม่มีนะคับผม

 

 

 


ตอนที่ 292

 

______ ขอข้ามตอน 291 นะขอรับ เพื่อให้ตรงกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ ขออภัยด้วยน๊า _______


” คุณชายน้อยจวิน อาจารย์ทั้งสองของเรานั้นสง่างามยิ่ง  พวกเขามักจะพิจารณาชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นดั่งหมอกเมฆ  ดังนั้น พวกเขาจึงมิได้ทุกข์ร้อนต่อ ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้เพียงชั่วคราวนี้  ข้ารังเกียจความคิดที่ต้องลดตัวลงมาที่ระดับเจ้า … ข้าคิดว่ามันเป็นอุปสรรค์ที่จะไต่ถามคุณชายน้อยสาม อันใดเล่าเหมาะสมกับกวีที่คุณชายน้อยเอ่ยขึ้น ?  หากมีกวีตอบโต้ที่เหมาะสมอยู่ … ได้โปรดเอ่ยและแนะนำพวกเรา “


บัณฑิตตัวสูงจาก สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงเอ่ยขณะยืนขึ้น  เด่นชัดว่า เขามิได้มั่นใจในความพ่ายแพ้นี้


” หรือ เจ้านั้นเสแสร้งได้ยิ่งกว่า ลี่โย่วหลาน ? “


 


จวินโม่เซี่ยมองไปที่เขาด้วยสีหน้าตะลึงงัน


” ข้าขอให้เจ้าใช้สมองของเจ้าคิดก่อนจะเอ่ยถาม  อย่าได้ใช้ก้นของเจ้าจัดการกับทุกปัญหา !  ข้าจักจงใจสร้างความยุ่งยากให้ทุกผู้หรือ หากข้ามิได้มีกวีตอบที่เหมาะสม ?  วัยเด็กเจ้าโดนลาดีดมาหรืออย่างไร ?  สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงสร้างผู้ที่โง่เขลาเช่นเจ้าได้อย่างไร ?! “


 


” โอ้ข้าเข้าใจแล้ว … นอกจากจะโง่แล้วเจ้ายังหูหนวกหรือ ?  ข้าเอ่ยได้ชัดเจนว่าไม่มีผู้ใดสามารถแก้ไขมันได้ก่อนที่ข้าจักตั้งปัญหานี้ต่อหน้าทุกคน !  ข้าเพียงแค่ยืมมันมา เจ้าได้ยินจากที่ใดว่าข้านั้นคิดมันขึ้นเอง ?  ข้าคิดว่าเจ้านั้นไร้สมอง … หรืออาจจะติดเชื้อรา !  เจ้าต้องการให้ข้าบอกถึงกวีตอบโต้ ?  เจ้าเอ่ยวาจาอย่างไร้ความคิด !  สถาบันของเจ้าจักจ่ายเมื่อชนะ และต่อสู้เมื่อพ่ายแพ้ ?  ไร้เหตุผลยิ่งนัก ? “


 


ไร้ผู้ใดโต้แย้งเมื่อจวินโม่เซี่ยเอ่ยวาจานี้ขึ้น  ท้ายที่สุด …  เขาเอ่ยอย่างชัดเจนว่า กวีนั้นมิได้เป็นของเขา … แต่ของใครบางคน มันแสดงให้เห็นว่าเป็นการยากเพียงใดที่จักลงโทษผู้ผิด  บัณฑิตมิสามารถตอบกลับกวีนั้น  ดังนั้น เมื่อผู้หนึ่งไต่ถามเพื่อพยายามกอบกู้ชื่อเสียงของสถาบัน  กระนั้น มันกลับเป็นอุบายที่ล้มเหลว  ยิ่งกว่านั้น … ความพยายามของเขาเป็นการยั่วยุความอดทนของผู้อื่น


 


บัณฑิตผู้นั้น หน้าแดงก่ำด้วยโทสะ


 


ส่วนผู้อื่นไม่รู้จักทำเช่นไร  จากนั้น ลี่โย่วหลานลืมตาขึ้นทันใด


” เกิดอันใดกับชายผู้นี้ ?  เขาดึงข้าเข้าไปเกี่ยวพันกับปัญหาของเขา … เจ้าหมายถึงอันใดที่เอ่ยว่า เสแสร้งยิ่งกว่า ลี่โย่วหลาน ? “


 


แม่เจ้าเอ๋ย !  เจ้าผู้นี้เอ่ยอันใด ?  กล่าวหาข้าเสแสร้งได้เช่นไร ?


 


” เป็นไปได้หรือที่ อาจารย์อาจจะส่งศิษย์ออกไปเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงหลังจากพวกเขายอมรับความพ่ายแพ้ ?   เป็นไปได้หรือ ที่ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง จักเป็นผู้แพ้ ? “


ปรากฏว่า จวินโม่เซี่ย โกรธเคืองยิ่งขณะเขาเอ่ย


” แต่กระนั้น ก็มิใช่เป็นการยากสำหรับคุณชายน้อยผู้นี้ หากเจ้ามิอาจยอมรับความพ่ายแพ้  ข้าอาจจะมิใช่คนดี แต่ข้านับถือความรอบรู้ และ เคารพในสิ่งที่คู่ควร “


 


แล้ว เจ้ารู้ว่าเจ้ามิใช่คนดี ?


ทุกผู้ในท้องพระโรงกรอกตา


 


เจ้านับถือเพียงความรู้ และเคารพในสิ่งที่คู่ควร ?  ราวกับเจ้าพยายามจักฉุดรั้งอาวุโสทั้งสองลงสู่อเวจร


 


 


” หยานเฟิง นั่งลง !  พ่ายแพ้คือพ่ายแพ้ ไร้ประโยชน์จักโต้แย้ง  เหตุใดเจ้าพยายามจักชนะอย่างไร้ความสมบูรณ์ ?  นี่เป็นเพียงครั้งแรก เจ้าเชื่อหรือว่า สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง จักมิอาจกู้คืนมาได้ในโอกาสหน้า ? “


ริมฝีปาก คุ้งหลิงหยางสั่นเทาขณะเขาใช้วาจาสกปรกเพื่อดุด่าและตำหนิศิษย์ของเขา


 


พวกเรามิได้ประสงค์จักรับประโยชน์เพียงครึ่ง …


อาจารย์ค้งผู้น่านับถือมิอาจเก็บความคิดไว้กับตัวได้เนื่องด้วยความเจ็บปวด  นี่คือสิ่งที่มันจักต้องเป็นไปเสมอ ไม่ว่าจักพ่ายแพ้หรือชนะ  แต่ ดูเหมือนว่าเขาจักสูญเสียความเคารพที่มีต่อ อาจารย์  เขาเคยได้รับชัยชนะมากมายในอดีต  แต่ งานฉลองนี้จักจัดขึ้นบนเกาะกลาง ทะเลสาปจันทรา เสมอ  และ องค์จักรพรรดิมิเคยปรากฏตัวในโอกาสนั้น  แต่ ในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นในวังหลวง  ดังนั้น องค์จักรพรรดิจึงเข้าร่วม .. ยิ่งไปกว่านั้น …. ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอาณาจักรมากมาย  ความสำคัญของงานพิธีนี้จึงมากยิ่งกว่าแต่ก่อน  แต่ ครั้งนี้เขาพ่ายแพ้ …


 


เหตุใดจึงมิรู้สึก โศกเศร้า …  ?


 


ดูเหมือนว่าเจ้าอ้วนถังเป็นอันธพาลผู้ที่ทั้งสถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง เกลียดชังเป็นที่สุด  แต่ เขากลับตกอันดับลงมาทันที และตำแหน่งนั้นถูกแทนที่โดย คุณชายน้อยจวิน  ราวกับคนใน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง จักไม่ลืมความแค้นนี้ .. แม้นเวลาจักผ่านไปนานนับพันปี  ความเกลียดชัดต่อจวินโม่เซี่ย ฝังลึกลงไปยังกระดูกทุกซี่ของพวกเขา


 


” ฮี่ ฮี่ … อาจารย์ คุ้งที่เคารพ เอ่ยมาถูกต้องแล้ว  บัณฑิตเพียงไตร่ตรองถึงกวีตอบโต้เท่านั้น  ความสามารถทางการศึกษาทีแท้จริงของคนผู้นั้น อยู่ในกวีที่สำเร็จสมบูรณ์แล้ว … “


ลี่โย่วหลานยิ้มโดยมิได้หลุบเปลือกตา และเอ่ยต่อ


” เป็นไปได้หรือที่สถาบันจักมิอาจเทียบชั้นได้กับ คุณชายน้อยจวินในเรื่องนี้เช่นกัน … ? “


 


ประโยคนี้รุนแรงยิ่ง


 


หากสถาบันเหวินเซียงยอมรับในจุดนี้ … ต่อหน้าผู้นำทางการเมืองและกลาโหม … มันจักมิเป็นการต่างว่าสถาบันได้ยอมรับว่าฝีมือมิอาจเทียบอันธพาลจวินกระนั้น ?  สถาบันเหวินเชียงจักตกต่ำถึงขั้นนั้นได้เช่นไร ?  เขาจักยอมรับในเรื่องนี้ได้เช่นไร ?


 


พวกเขาได้ชักมีดออกมาอีกหน


 


” ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว  เจตนาของ ลี่โย่วหลานผู้นี้มิใช่เรื่องดี  เด็กผู้น่ารักผู้นี้มิได้ดีเลิศ  เขาบังคับใช้อาจารย์ผู้นั้นเพื่อให้ข้าหงายไพ่ ! “


 


จวินโม่เซี่ยกรอกตาและโน้มตัวไปข้างหนึ่ง  ความจริงแล้ว เขาหันเข้าไปใกล้ใบหน้าของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ อย่างมาก  จากนั้น เขายิ้ม และพยักหน้า ขณะดึงไพ่ที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา


” สถาบันเหวินเชียงนำพา บัณฑิต มากมาย หากแต่พวกเราก็มีผู้มากสามารถเช่นเดียวกันในฝั่งของเรา  คุณชายน้อยจากสกุลอันยิ่งใหญ่จักอับอายในเวลานี้เช่นไร ?  นี่จะเป็นตำนานที่งดงามเนื่องจากคุณชายน้อยผู้นี้ และคุณชายน้อยลี่โย่วหลานได้ร่วมมือกันเผชิญหน้ากับ สถาบันเหวินเชียง มิอาจรู้ผู้ใดจักชนะ อย่าไรก็ตาม คุณชายน้อยลี่โย่วหลานเพิ่งจะเอ่ยว่าเขายอมรับคุณชายน้อยผู้นี้ในหลากหลายสิ่ง  ฮี่ฮี่ … หมายความว่าคุณชายผู้นี้เหนือกว่าเขา  หรือจะกล่าวอีกอย่าง .. ข้านั้นเป็นเลิศยิ่งกว่า คุณชาย … ฮี่ฮี่ฮี่ … ทุกผู้ได้ยินเช่นนั้นหรือ ?  ดังนั้น จึงไร้เหตุผลจักท้าทาย้ขา หากเจ้ามิได้อยู่ในระดับเดียวกับ ลี่โย่วหลาน  คุณชายน้องผู้นี้ยุ่งยิ่งนัก ทุกนาทีของข้ามีค่าดั่งทอง  ดังนั้นมิควรเสียเปล่า ! “


 


ประโยคนี้เป็นการตอบโต้ที่งดงาม  มิเพียงเขาลากพาคุณชายน้อยทุกคนลงในเรือรบของเขา ยังทำให้ ลี่โย่วหลาน กลายเป็นแพะรับปาบไปด้วย  วาจาเหล่านี้มีทั้งไม่เหมาะสมและเป็นวาจาที่ป้องกัน  ความจริง เขาได้สร้างผลกระทบอย่างชัดเจน


 


ทุกผู้อุทานและเบนสายตา  แต่ สิ่งที่พวกเขามองนั้นมิใช่ จวินโม่เซี่ย หากแต่เป็น ตู่กู้เซี่ยวอี้  จวินโม่เซี่ยโน้มตัวไปหานาง พยักหน้า ยิ้ม และเอ่ยวาจาเหล่านั้น  ซึ่งทำให้เขามีที่ว่างสำหรับการโจมตีและล่าถอย  แม้แต่ผู้ที่โง่เขลาที่สุดยังรู้ได้ว่าเขากำลังติดอยู่ในจุดที่ยุ่งยากยิ่ง  พวกเขาสามารถจับได้ว่า เขาใช้ใบหน้าอันงดงามของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เพื่อใช้หลอกล่อ


เจ้าชั่วไร้ยางอายผู้นั้นสามารถเอ่ยวาจายาวเหยียดเช่นนี้โดยไร้ซึ่งความหยาบคายได้เช่นไร ?


 


วาจาของคนผู้นี้ผิดกับนิสัยของเขา  ฟังราวกับการเข้าข้างตัวเอง แต่ไร้ซึ่งว่าจาดูหมิ่น !  แปลกประหลาดยิ่งนัก  ราวกับเขาเตรียมการไว้ล่วงหน้า !


 


ทุกผู้มองจวินโม่เซี่ยย่อนตัวลงบนเก้าอี้ของเขาและหลับตา  ชัดเจนว่าเขามิได้อธิบายอันใดในสิ่งที่เขาทำไปแม้นจักถูกถาม  ทุกผู้จาก สถาบันเหวินเชียงรู้สึกสิ้นแรง  ดังนั้น พวกเขาจึงหันไปทาง ลี่โย่วหลาน เนื่องจากพวกเขามิมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า


”  เช่นนั้นพวกเราจึงเปลี่ยนมาขอคำแนะนำจากคุณชายน้อยลี่ในรอบที่สองนี้ “


 


ลี่โย่วหลานยืนขึ้น และพยักหน้าเล็กน้อย


” เป็นเกียรติของข้ายิ่ง “


เขาประหลาดใจ มิได้เคียดแค้น จวินโม่เซี่ย ที่ผลักเขาออกไปในท่าทีเช่นนี้


 


คุณชายน้อยจวินชนะในรอบนั้นด้วยความสุจริตยิ่ง  มิสำคัญว่าชัยชนะจักรุ่งโรจน์หรือไม่  ชนะ คือ ชนะ  เขาเชื่อว่าเขาคือบุตรแห่งสวรรค์  เช่นนั้น คุณชายน้อยลี่จักโค่นล้มเขาได้อย่างไร ?


 


สายตาองค์จักรพรรดิกวาดไปทั่วโถงจากเหนือบัลลังก์ และหยุดตรง ลี่โย่วหลาน อย่างไรก็ตาม เขายังคงเฝ้ามองจวินโม่เซี่ย ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกับ ตู่กู้เซี่ยวอี้  อย่างต่อเนื่องด้วยหางตา  ความคิดภายในของพระองค์นั้นยากยิ่งหยั่งถึง


 


” พวกเราได้ยินกวีจากฝ่ายตรงข้ามแล้ว  แต่ ทุกผู้นามรู้ว่า คุณชายน้อยลี่นั้นมีชื่อในเพลงขลุ่ย เช่นนั้น เป็นเช่นไรหากพวกเราจักมาร่วมบรรเลงเปรียบกัน ?  ข้า  จินหยินเจิ้น หวังให้คุณชายน้อยลี่ แนะนำในท่วงทำนอง “


บัณฑิตยืนขึ้นและเดินตรงไปยัง องค์จักรพรรดิและเหล่าผู้ยิ่งใหญ่  จากนั้นเขาหันไปเผชิญหน้ากับลี่โย่วหลาน หลังจากคาราวะพระองค์ตามพิธีการ เขาขยับมือและหยิบขลุ่ยหยกขาวออกมา


 


” ทำนองของ คุณชายน้อย จินหยิงสามารถเคลื่อนสวรรค์โลกาได้ !  ลี่โย่วหลานผู้นี้มีหวังอันใดจักเปรียบเจ้า ?  รอบนี้พวกเรามิอาจเปรียบกันได้ ข้ายอมรับความพ่ายนี้ “


ลี่โย่วหลานยิ้มเล็กน้อย  กระนั้น การยอมรับในความพ่ายแพ้ของ ลี่โย่วหลาน นี้มีประสงค์อื่นซ่อนเร้น เขามิต้องการจักเผยตัวหากมิจำเป็น  อย่างไรก็ดี เวลานี้เขาอยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ  ดังนั้น เขาจึงต้องการจักให้พระองค์ประทับใจ  มองหาความสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม


 


แต่กระนั้น จินหยิงเจิ้นก็เป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขาม  ยากยิ่งจักต่อกรกับเขาในสมรภูมิเช่นนี้  เหล่าบุรุษในสกุลของเขาถูกส่งไปให้ฝึกฝนวิชาขลุ่ยดั้งเดิมหลังจากที่พวกเขามีอายุสิบห้า   บทเพลงของพวกเขานั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในดินแดนแห่งนี้  ดังนั้น ลี่โย่วหลานจักมีโอกาสในการชนะศึกชี้ได้เช่นไร ?  สถาบันเหวินเชียง ส่งเขาลงมาเพื่อหวังจักชนะในรอบที่สอง และทำให้ทั้งสองฝั่งเสมอกัน การประลองในครั้งนี้เริ่มเข้มข้น


 


” ฮี่ ฮี่ … คุณชายน้อยจวินและข้าอับอายยิ่ง  ฝีมือพวกเรานั้นอ่อนด้อยในเรื่องนี้ และพวกเราประสงค์ยอมรับในความพ่ายแพ้ “


สีหน้าลี่โย่วหลายมิเปลี่ยนแปลงขณะเขาเอ่ยต่อ


” รอบถัดไปจักเป็นของ คุณชายน้อยจวิน ลี่โย่วหลาน ประสงค์ในตัว คุณชายน้อยสามยิ่ง “


 


ข้า จวินโม่เซี่ย เอ่ยว่าแม่เจ้า !  เจ้าเหลือขอนี่อ่อนแอ่ยิ่ง  เขายอมรับความพ่ายแพ้ในทันที  มากเกินไปแล้ว … หากข้าเจอคู่ต่อสู้ที่ยากยิ่ง ข้าจักคำรามบทเพลงอันเป็นที่นิยอมออกมาจากคอหอย !  ข้าอยากตายมากกว่าจักต้องถูกข่มขู่จนตาย !


 


งานพิธีนี้เริ่มต้นด้วยบทกวี  จึงเป็นปกติที่จักตามมาด้วยความสำเร็จของผู้ยิ่งใหญ่และรอบรู้  จากนั้น ตามมาด้วย กลยุทธิ์ ยุทธวิธี นโยบายสวัสดิการ นโยบายต่างแดน เป็นต้น กระทั่งศิลปะทุกแขงจนกล่าวได้ว่าครบถ้วนครอบคลุม


 


ตอนนี้ วาจาของจวินโม่เซี่ยได้เตรียมพร้อมให้ทั้งสองกลุ่มเผชิญหน้ากันแล้ว  กระนั้น การเผชิญหน้านี้มีความร้อนแรงยิ่งกว่ากลิ่นฉุนดินปืนที่เขาเคยเผชิญมาก่อนในชีวิต  ทุกผู้ที่เข้าร่วมงานฉลองนี้รู้เป็นอย่างดีว่า คุณชายน้อยจวินโม่เซี่ยและถังหยวนเข้าร่วมกันแข่งขันนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้น ชัดเจนว่าพวกเขาขาดแคลนประสบการณ์


 


พวกเขามิเคยเข้าร่วมกันแข่งขันมาก่อน  แต่ … พวกเขาจักแข่งขันในหัวข้อเช่น … การอุ้มหญิงสาวขึ้นมา สถานการณ์เหล่านั้นมิอาจเอ่ยได้เช่นเดียวกับเรื่องเหล่านี้ …


 


เสนาบดีกรมยุติธรรม ซุนเฉิงเคอ เวลานี้เสวนากับผู้อื่นและกำลังกำหนดหัวข้อสำหรับกวี  ผู้แข่งขันกำลังแข่งขันอย่างดุเดือด และจากนั้นผู้ที่ดีงามจักได้รับการตัดสินให้ชนะ


 


” หัวข้อในการเสวนานี้คือ ความรู้  ข้าอยากขอทั้งสองฝ่ายให้เลือกผู้สมัคร “


ซุนเฉิงเคอมองไปยังจวินโม่เซี่ย พยักหน้า และส่งสัญญาณ  เขาได้เลือกตัดสินผู้แพ้ชนะไว้แล้ว


 


จวินโม่เซี่ยจักมิได้รับชัย เขาจักทำให้ตัวเองถูกหัวเราะเยาะ


 


บัณฑิตชุดสีฟ้ายืนขึ้น  จากการกล่าวนำเหล่านั้นเขามีนามว่า ฉินฉิ้วฉี  ชัดเจนจากชื่อว่าพ่อแม่ของเขานั้นประสงค์ยิ่งจะให้เขาได้รับเกียรติทางวิชาการ


 


” ข้าขอให้คุณชายน้อยจวินยอมรับการเสวนากับข้า “


ฉินฉิ้วฉีกระแอมและเอ่ยขึ้น  ธุปหอมครึ่งก้านมอดไหม้ลง เขาใช้เวลาเหล่านั้นครุ่นคิดเคร่งเครียด


 


ขันทีราชสำนักที่ได้รับมอบหมายให้เขียนบทกวีกำลังเตรียมตัว เขาวางข้อศอกลงบนโต๊ะ ยกข้อมือขึ้นเหนืออากาศ และรอคอยให้ ฉินฉิ้วฉีเริ่ม เขาควรจะบันทึกทุกสิ่ง


 


” ผู้กล้าปีนป่ายภูผาหิมะเสียดฟ้า


 


อาจหาญก้าวข้ามทะเลรอบรู้


 


หัวใจอันบากบั่นมิต้องการเส้นทาง


 


ดาราบนนภามิห่างไกล


 


หวังเพียงบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง


 


เลือดอันเล่าร้อนก่อร่างสร้างสะพานสายรุ้ง


 


ดูราวเขาเคลื่อนไปทีละก้าว


 


กวัดแกว่งพู่กันเขียน อย่างมิเคยย่อท้อ “


 


ฉินฉิ้วฉีมากฝีมือยิ่ง  เขาไม่มีทางเลือกเนื่องจากธูปมอดไหม้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ กวีบทนี้ก็ยอดเยี่ยม ความคิดสร้างสรรค์ของของนั้นมิได้เป็นเลิศนัก แต่สมดุลยิ่ง ถือได้ว่าดี  เขาออธิบายถึง การเรียนรู้ได้อย่างดี  ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้แสดงถึงอุดมคติอันสูงส่งของบ้านเมือง และความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขา


 


ขันทีราชสำนักบันทึกบทกวีเสร็จสิ้น  จากนั้นเขาถวายมันแก่ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตร  จากนั้นพระองค์ ทอดพระเนตรไปยังใบหน้าของ ฉินฉิ้วฉี สายพระเนตรล้ำลึก แต่สีพระพักมิเปลี่ยนแปลง  จากนั้น พระองค์โบกมือและส่งกวีให้แก่เจ้าหน้าที่ราชสำนัก และส่งต่อไปรอบๆเพื่อให้ทุกผู้ได้ดู ขุนนางราชสำนักพยักหน้าหลังจากพวกเขาได้อ่าน และประกาศว่า ยอดเยี่ยม  ขุนนางต่างๆนั้นมากฝีมือ  แต่ พวกเขาคิดหากเขาเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้…​ภายใต้แรงกดดันอันมากมาย … ในการคิดหาบทกวี … เพียงแค่ระยะครึ่งก้านธูป พวกเขาเองก็อาจมิสามารถสร้างสรรค์ให้ได้ออกมาเช่นนี้


 


จวินโม่เซี่ยปรบมือลั่น


” ข้ายอมรับความพ่ายแพ้  เจ้าช่างมีเชาว์ยิ่ง มีเชาว์ยิ่ง … “


 


” ขอบคุณยิ่งสำหรับคำสรรเสริญนี้ คุณชายน้อยจวิน ข้าด้อยความรู้และสามารถ  ดังนั้น ข้าจึงลำบากใจยิ่งที่เจ้าและเหล่าผู้อาวุโสยกย่อง … “


ฉินฉิ้วฉีเอ่ยนอบน้อมต่อกวีอันล้ำลึกนี้ จากนั้นเขาต่อ


 ” กระนั้น ข้าจำต้องของให้คุณชายน้อยจวินชี้นำในเรื่องนี้ คนผู้นี้ประสงค์ฟังคำตอบของเจ้า “


 


” คำตอบของข้า ?  คุณชายน้อยผู้นี้มิได้มากสามารถ  ข้ามิอาจมีเชาว์เช่นนั้น มิใช่ธรรมชาติของข้าที่จักสามารถสำเร็จงานศิลป์ได้รวดเร็วยิ่ง “


จวินโม่เซี่ยตัดสินใจปฏิเสธคำเชิญอย่างสุภาพและรวดเร็ว  แต่ เสียงของเขาทำให้ทุกผู้ในที่ีนี้สับสนยิ่ง


 


ถังหยวนหัวเราะลั่น  เขามิอาจควบคุมได้  ตบพุงตัวเองหลายหน ใบหน้าของเขากระตุก ราวกับอยู่บนหุบเหวแห่งความตาย  ถังหยวนอดทนต่อแรงกดดันของจวินโม่เซี่ยมาเป็นเวลานาน  เขาเข้าใจถึงการยุแหย่และความสามารถของจวินโม่เซี่ยมายาวนาน  แต่ ผู้อื่นมิได้เข้าใจวาจาของจวินโม่เซี่ย  มีเพียงเจ้าอ้วนเท่านั้น ที่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง และมิอาจกลั้นหัวเราะได้ …


 


ทุกผู้มองถังหยวนด้วยความรังเกียจเนื่องจากพวกเขามิเข้าใจความลึกลับของวาจาหล่านั้น


เจ้าอ้วนนี้ปลิ้นปลอกยิ่ง !  เจ้าอยู่ที่นี่กับจวินโม่เซี่ย แต่เจ้ากลับหัวเราะเมื่อเห็นเขาพ่ายแพ้ .. พฤติกรรมเช่นนี้น่ารังเกียจยิ่ง !


 


” คุณชายน้อยจวินมากฝีมือ เหตุใดเขาจึงยอมแพ้ ?  มิควรเป็นเช่นนี้ เขาจำต้องเอ่ยกวีเพื่อให้ทุกผู้ได้ฟังตัดสิน “


ฮั่นจีตุ้งกระโดดขึ้นและยกยอจวินโม่เซี่ยอย่างไร้ยางอาย


 


” คุณชายน้อยรังเกียจจักแข่งขันกับพวกเรา ? “


ดวงตา เหม๋ยเกาเจี้ย เคลื่อนไปยังจวินโม่เซี่ยขณะเขายังคงสร้างแรงกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง


” นี่อาจเป็นวิธีการที่มิอาจยอมรับได้ในวิธีการของบัณฑิต ! “


 


” คุณชายน้อยจวินมาจากสกุลทางทหาร .. เช่นนั้น จึงมิอาจเลี่ยงได้ว่าเขานั้นมิได้มากสามารถนัก “


เหล่าปราชญ์หัวเราะ  เขาโบยบินด้วนความรู้สึกพึงพอใจและเป็นสุกใสความสำเร็จนี้  ดูราวพึงพอใจที่ได้เห็นจวินโม่เซี่ยตกอยู่ในความอัปยศ


” เช่นนั้น น่าประหลาดใจอันใดที่เขายอมแพ้ในเรื่องนี้ ? “


 


ประโยคนี้จึงเป็นมุขตลกที่ไม่ควรทำให้ผู้ใดหัวเราะ  แต่ ทุกผู้หัวเราะลั่น และเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย


 


. ความจริงแล้ว ข้าดูถูกเจ้า !


 


จวินโม่เซี่ยมิได้เอ่ยวาจานี้ออกมา


แต่ตอนนี้เจ้าขอให้ข้าดูหมิ่นเจ้า และทำมันด้วยความพยายาม  ราวกับครั้งก่อนเจ้ายังได้รับมันไม่เพียงพอ  อีกไม่นานเจ้าจักเสียใจ …


 


จวินโม่เซี่ยพ่นลมทางจมูกเยือกเย็น


” ข้ามิได้ไม่สุภาพเนื่องจากทุกผู้รอคอยกวีของข้า  แต่ ข้ามิได้เจอกวีมากมายในระหว่างที่ได้เล่าเรียน ดังนั้น ข้าควรจักแต่งเพลงเพื่อความสุขของทุกผู้ …”


 


” แต่งเพลง ?  คุณชายน้อยจวิน มากสามารถมิอาจคาด !  ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นราวบทกวี  น่าเลื่อมใสยิ่งนัก น่าเลื่อมใสยิ่งนัก ! “


ฮั่นจีตุ้งกระทำอีกหน  เขายิ่งเกลียดชังจวินโม่เซี่ยมากยิ่งขึ้นตั้งแต่เขาพ่ายแพ้ในการแต่งกลอน  แต่ เขาจักปล่อยให้ตัวเองโดนจวินโม่เซี่ยโจมตีได้อย่างไร ?  การพ่ายแพ้ในงานนี้เป็นดั่งการทำลายอนาคตของตัวเอง


 


แต่ ตอนนี้เขาได้รับโอกาสในการล้างแค้น  เขาจักปล่อยมันไปได้เช่นไร ?  มิใช่เพื่อ สถาบันเหวินเชียง หากแต่เขาทำมันเพื่อตัวเอง


 


” สถาบันเหวินเชียง … ปราชญ์มากฝีมือ .. “


จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้น และยิ้มอย่างมีนัย


” นี่คือพฤติกรรมที่เหมาะสมแล้ว ?  จักดักว่าหากข้าขี่ม้าไปยังหอนางโลม คว้าหญิงสาว และจากนั้นกระทำการอันป่าเถื่อน … โดยมิต้องงดเว้นจากอาชญากรรมและความมึนเมา นี้หรือเป็นผู้ที่สถาบันจักส่งให้อาณาจักร ?  เหตุใดเจ้ามีทัศนคติทางการเมืองเช่นนั้น … และกระทำดั่งเจ้าบ่าวผู้ประสงค์จักเปลี่ยนเจ้าสาวในทุกราตรี ? “


 


เขาเอ่ยประโยคนั้นอย่างอ่อนนุ่มราวกับราวกับเขาหลงไปนอกลู่ทาง แต่ มันทำให้ผู้ฟังสนใจ  แววตาขององค์จักรพรรดิลุกโชน สีหน้าครุ่นคิด


 


เพ่งมองไปออกไป


 


ทุกผู้ตระหนักได้ว่าประสงค์ของ สถาบันเหวินเชียง ที่จักต้องได้รับชัยนั้นแข็งแกร่งเสมอ และดื้อดึงในทุกการแข่งขันที่ผ่านมา ..


 


ทันใดนนั้น ทุกผู้เพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ย


เด็กผู้นี้มิได้สนใจในการแข่งขันนี้จริงหรือ ?  หรือ เขาบอกเรื่องนี้ออกมาโดยเจตนา ?


 


ทุกผู้ดูสิ้นหวังอย่างยิ่ง


คิดถึงเรื่องนี้เรื่องนี้ … ชั่วร้าย ยิ่งนัก


 


จากนั้นจวินโม่เซี่ยขมวดคิ้ว ยืนขึ้นและเดินจากเก้าอี้เชื่องช้า  คอของเขาตั้งตรงขณะที่เดินก้าวที่แปด  ราวกับมันเคลื่อนตรงไปเนื่องจากการเคลื่อนไหวของขาและเอว แต่ ในความเป็นจริง … ทั้งร่างของเขาเคลื่อนถอยหลัง  ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นผลักเขาถอยหลัง  อกของเขาสั่น … ราวถูกไฟฟ้าช็อต การเคลื่อนไหวของคุณชายน้อยจวินแปลกประหลาดและไม่เป็นธรรมชาติ … ตอนนี้ … มันเป็นอิสระ และเรียบง่าย


 


ทุกผู้จากโลกก่อนของเขารู้ถึงการกระทำของเขาในทันที การเหลื่อนไหวเหล่านั้นเป็นของ ไมเคิลแจ็คสัน ตำนานแห่งมูลวอร์ค และ ท่าหุ่นยนต์ !   การเคลื่อนไหวระดับโลกจากชีวิตก่อนของเขาตอนนี้ได้มาปรากฏขึ้นในโลกนี้แล้ว …


 


ในเวลานี้เหล่าผู้ที่รู้จักต้องเริ่มกรีดร้องแล้ว


การเคลื่อนไหวนี้น่าตกตะลึงยิ่ง!  มุมของคอนั่นบ้ายิ่งนัก !  มูลวอร์คนี้ช่างเป็นเลิศ ว้าว !  ราวกับเจ้ามีวิญญาณแห่ง ไมเคิลแจ็คสันสิงสู่ !


 


น่าเสียดายยิ่งที่ไร้ผู้ใดในโลกนี้ซาบซึ้งในศิลปะของมัน  ผู้คนเหล่านี้มิได้เห็นการเคลื่อนไหวอันสวยงามของคุณชายน้อยจวิน


อ่าห์ …. สามารถยิ่ง  เวลานี้ไร้ผู้ใดยอมรับ .. แต่พวกเขาจักตัดสินในเวลาที่ข้าเริ่มดูหมิ่นพวกเขา ?  โลกนี้มิได้เข้าใจในความสามารถ !  เช่นนั้น ข้ามิคาดว่าคนเหล่านี้จักเข้าใจสิ่งนี้  ข้าจักไม่หยุดจนกว่าข้าจักพอใจ !  วันนี้ข้าจักมิถอย !


 


ทุกผู้ในท้องพระโรงเพ่งมองเขาราวคนเขลา  พวกเขารู้สึกว่ามิอาจทนดูสิ่งนี้ได้อีกต่อไป


หลานชายจวินจ้านเทียนตลกยิ่งนัก สกุลจวินสร้างผลงานเช่นนี้ขึ้นมาได้เช่นไร ?


ทุกผู้ไร้วาจา …


 


พวกเขาเห็นเขาส่ายเอว … และกลายมาเป็นท่าเต้นราวหุ่น มือขวาเขาสบัดขึ้นชูเหนือหัว ขณะมือซ้ายสบัดไปมาขณะดีดนิ้ว จากนั้นเคลื่อนมาที่ท้อง และเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่าทางตุ้งติ้ง


 


จักเป็นที่ยอมรับได้หากจวินโม่เซี่ยแสดงท่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้ในชีวิตก่อน … ซึ่งพวกเขาถือได้ว่านี่เป็นท่วงท่าการเต้นที่ยากยิ่ง และถือได้ว่าเป็นการเต้นที่ยอดเยี่ยม แท้จริงแล้ว ท่วงท่าเหล่านี้มิอาจทำได้หากขาดตกซึ่งการฝึกฝน แต่จวินโม่เซี่ยเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?  หากพวกเขาสามารถกระทำเช่นนี้ได้ จักถือได้ว่าเป็นการเต้นขั้นสุดยอด


 


แต่ ผู้คนในโลกนี้สามารถเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวที่ยุ่งยากและศิลปะชั้นสูงเช่นนี้ได้เพียงการกระทำของเหล่าบุรุษในห้องนอนเท่านั้น แม้แต่สตรีก็รู้สึกเช่นเดียวกัน  พวกเขามองดูการเคลื่อนไหวที่ยั่วยวนและรวดเร็วของร่างส่วนล่างของเขา … . เป็นสิ่งที่ … มิอาจทนได้ !​


 


” อู้ววว … “


จวินโม่เซี่ยกรีดร้อง ราวกเขากำลังคร่ำครวญ ในท้องพระโรงมีเหล่าองค์ชาย … รวมถึงสตีผู้มีชื่อ และองค์จักรพรรดิ … นั่งอยู่  พวกเขาทุกผู้สาปแช่งด้วยโทสะ


ชายผู้นี้หยาบคายยิ่งนัก !  เขาไร้ยางอายสิ้นดี !  การแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย !


 


ดวงตาอของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เริ่มลุกโชน ขณะที่ใบหน้าอันงดงามขององค์หยิงหลิงเมิงเริ่มซีดเผือก  พวกนางปรารถนาจักมุดลงในดิน เจ้าสัตว์ร้ายนั้นฉีกพวกนางเป็นชิ้นๆ !


สิ่งนี้น่าอับอายยิ่ง !  หยาบคายยิ่งนัก !


 


” ฟังข้า … เนื่องจากข้าเอ่ยด้วยความหงไหล


 


ผู้ที่อัปลักษณ์มิอาจกระทำ


 


มิต้องเอ่ยว่าเจ้ารักข้า


 


ข้าชั่วช้าเกินไป


 


มิต้องลุ่มหลงในบุรุษผู้นี้


 


บุรุษผู้นี้เป็นตำนาน


 


อย่าทำให้ข้ามีโทสะ


 


ข้าจักทำให้เจ้าต้องกระอักเลือด “


 


จวินโม่เซี่ยเอ่ยร้องท่อนนี้ต่อหน้าสายตาแห่งสาธารณะ  แต่ น้ำเสียงของเขามิอาจมีผู้ใดทนได้ ขณะเขาเอ่ยต่อ


 


” อย่าได้ใจแขบกับข้า


 


บุรุษผู้นี้คือบิดาเจ้า


 


มิควรยั่วยุข้า


 


ข้าจัดเฉือดเจ้าเป็นชิ้นน้อย


 


หัวใจของบุรุษผู้นี้รกร้างว่าเปล่า


 


ข้าจักสังหารเจ้าและแผดเผาทุกสิ่ง


 


เจ้ากล้าหรือทำให้ข้าอับอาย ?


 


มารดาเจ้า ! “


 


ขณะจวินโม่เซี่ยเอ่ยจบ นิ้วของเขาชี้ตรงไปยัง บัณฑิตของ สถาบันเหวินเชียงเพื่อบ่งบอกถึงผู้ที่เอาเอ่ยอ้าง  ใบหน้าของเขามีโทสะและชั่วร้าย


ข้าดูถูกเจ้าอยู่ เจ้าเฒ่าน่ารังเกียจ !  เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถทำให้ข้าอับอายหรือ ?  แม่เจ้า !  เจ้ามิรู้หรือข้าเป็นผู้ใด เจ้าเฒ่า ?


 


เกิดความวุ่นวายขึ้นในเหล่าผู้ชม


 


ใครคือผู้ที่ดูเขา ?  พวกเขาคือเจ้าหน้าที่ทางการซึ่งเฝ้าเอ่ยวาจาเพียงมุมมองตัวเองมาตลอดชีวิต  พวกเขาอดทนต่อทุกการดูหมิ่น และใคร่ครวญว่าจาเพื่อมิเอ่ยวาจายหยาบคาย แต่ จวินโม่เซี่ยชี้ตรงไปยังฝ่ายตรงข้ามของเขาและดูหมิ่น


 


ทุกคำประพันธ์ของเขาอันธพาลผู้นั้น ทุกถ้อยคำของคนชั่ว จากนั้น ท้ายที่สุดเขาชี้นิ้วตรงไปยัง บัณฑิตแห่ง สถาบันเหวินเชียง และโยนวาจาดูหมิ่นไปยังพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น เขายังข่มขู่และดูหมิ่นใครบางคนที่อาวุโสกว่าเขา


 


” เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า….เจ้า…เจ้า…. “


เหม๋ยเกาเจี้ยและ คุ้งหลิงหยางเป็นที่เคารพของเหล่า บัณฑิต เขาจักเคยได้ประสบความอับอายเช่นนี้มาก่อนได้อย่างไร ?  และไม่เพียงเท่านั้น อันธพาลผู้นั้นดูหมินเขาต่อหน้าเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการระดับสูง เขากระทำเช่นนี้ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ !  พวกเขามีโทสะยิ่งนัก  ร่างของพวกเขาเริ่มสั่นรุนแรง ไปถึงหนวด  ใบหน้าของเขาเริ่มเป็นสีฟ้า และดวงตากรอกกลับหลัง .. ราวกำลังจะเป็นลมด้วยโทสะ


 


” เจ้าชั่ว ! “


จวินจ้านเทียนกระโดดขึ้น  หนวดของเขายุ่งเหยิงขณะเดินมาด้วยโทสะ  เขามิได้ยับยังโทสะขณะเตะอย่างรุนแรงไปที่ก้นของหลานชาย  ดูเหมือนจวินโม่เซี่ยจักลอยเข้าไปยังกลุ่มควันอย่างแม่นยำและกำลังจักกระแทกเข้ากับเสาของท้องพระโรง สมองของเขาคงจะไหลออกจากกระโหลกหากกระแทกเข้ากับเสานั่น


 


แต่ มีชายผู้หนึ่งเข้ามาและช่วยเขาไว้


 


แต่ผู้ใดกัน ?


 


ผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับปู่จวิน … คือ ตู่กู้ซ้งเฮง


 


ทั้งสองทำงานด้วยกันมานานับปี  เช่นนั้น จักมิรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างไรกัน ?  เขาไปยืนอยู่ในจุดที่เหมาะสม และคว้าตัวจวินโม่เซี่ยไว้  ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะตะโกน


 ” จวินจ้านเทียน !  เจ้าโง่เขลาอันใดเช่นนี้ ?  เจ้าประสงค์จักสังหารเด็กหนุ่มที่เหลือเพียงผู้เดียวในสกุลกระนั้นหรือ ?! “


 


อาวุโสผู้นี้มีบางสิ่งที่ต่างออกไป … เขาถามจวินจ้านเทียนอย่างตรงไปตรงมาว่าจวินจ้านเทียนประสงค์จักสังหารเด็กหนุ่มเพียงผู้เดียวในสกุล และดูเหมือนจักหยุดเขาด้วย … หากจำเป็น


 


” พวกเจ้าไม่มีผู้ใดหยุดข้าได้ !  ข้าจักต้องสังหารเจ้าสัตว์นี่ !  พวกเราต้องเสียเกียรติ !  เขามิได้มีสกุลจวิน !  เขาจักมิเปลี่ยนเป็นคนใหม่หากข้ามิสั่งสอน ! “


จวินจ้านเป็นบ้าไปด้วยโทสะ  ดวงตาเขาแดงก่ำ และราวกับกำลังจะถลนออกมา  ดูราวเขาประสงค์จักถลกหนังของหลานชายออกจนเหลือเพียงกระดูก


 


แต่ วาจเหล่านั้นทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ทางทหารและพลเรือนดูหมิ่นสกุลของเขา


..เกียรติอันใดที่เขาต้องมัวหมอง ?  จวินจ้านเทียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกียรติคืออะไร ?  ตอนนี้เจ้ายังมิคุ้ยเคยกับการกระทำของหลานชายเจ้าอีกหรือ ?  วันนี้ กี่ครั้งแล้วที่เขาทำให้ชื่อเสียงขอสกุลเสื่อมเสีย ?  แต่ตอนนี้เจ้าเพียงเอ่ยว่าจักสังหารเขาเท่านั้น ?  เจ้าเปลี่ยนความคิดจักสั่งสอนเขาขึ้นมาตอนนี้หรือ ?  น่าชมเชยยิ่งนัก !


 


กระนั้น พวกเขายับยั้งคำสาปแช่งเหล่านั้นเพียงในใจและกระทำตามปู่ตูกู้  ทุกผู้พุ่งตรงไปยังจวินจ้านเทียน ดึงแขนและขาเพื่อหยุดยังเขา  เขาจักรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ?


 


ถังหยวนร้องขึ้น  เสียงของเขาสะท้อนก้อง


” เขาตายแน่ … เขาตายแน่ ผู้ใดก็ได้ช่วยเขาที !  คุณชายน้อยสาม ท่านพี่ข้า … อย่าตายนะ … ว๊ากกกกก ! “


น้ำตาน้ำมูกถังยหวนกระเด็นใส่จวินโม่เซี่ยราวน้ำทะเลขึ้น


 


ทันใดนนั้นเกิดเสียงดังลั่นเนื่องจา องค์จักรพรรดิทุบเข้าที่พักแขนบัลลังก์ และตะโกนด้วยโทสะกึกก้อง


” เงียบ !  เงียบ  เรื่องน่าอายอันใดกัน ! “


 


อำนาจที่ส่งมาจากบัลลังก์นั้นทำให้ทุกผู้หยุดนิ่งและมองหน้ากันในทันที  พวกเขาเริ่มส่งเสียงครวญคราง  รู้สึกราวความแข็งแกร่งของพวกเขาจางหายไป  แต่ แต่บางผู้ก็มิได้ใช้้ความพยามอันใดกับความวุ่นวายนี้ …


 


” ฝ่าบาท โปรดมอบความยุติธรรมให้เราด้วย   ได้โปรดลงโทษเจ้าชั่วช้าไร้ยางอายผู้นี้ ! “


เหม๋ยเกาเจี้ยหลั่งน้ำตาเล็กน้อยขณะคุกเข่าลงบนพื้น  มีเหล่บัณฑิตมากมายที่สำเร็จละล้มเหลวในหลายปีนี้  แต่กระนั้น มีผู้ใดได้รับการกระทำให้อับอายด้วยการเหยียดหยามเช่นนี้หรือไม่ ?  กรณีเช่นนี้เป็นความอัปยศอย่างยิ่งกับเขา


 


จวินโม่เซี่ยหมดสติอยู่บนพื้น มุมปากของเขาเคลื่อนลง เขานอนนิ่ง


 


” ข้าผิดหวังยิ่งในเรื่องวันนี้ !  ผิดหวังยิงนัก ! “


องค์จักระพรรดิสบัดปลอกแขนไปด้านหลัง


” สกุลอันยิ่งใหญ่จักทะเลาะเบาะแว้งกันทุกค่ำคือนกระนั้น ?   สถาบันเหวินเชียง จักใจแคบและคิดเล็กน้อยแทนที่จักกระทำคุณประโยชน์แก่ผู้คนสามัญได้อย่างไร ?  งานรื่นเริงนี้จบแล้ว !  พวกเจ้าทั้งหมดกลับบ้านไป และพิจารณาตัวเอง ! “


 


ทุกผู้สับสนในสิ่งที่ได้ยิน  องค์จักรพรรดิเอ่ยวาจาเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


ทันใดนนั้น พวกเขาทั้งหมดได้ยินเสียงฝีเท้าอันรีบเร่ง เสียงตื่นตกใจร้องดังขึ้นทันที


” รายงานความขัดแย่งเร่งด่วน ! “


 


เจ้าหน้าที่ทหารนิ่งงันขณะพวกเขามองขึ้นมา  การต่อสู้เป็นบางสิ่งที่ผู้เฒ่าอาวุโสเหล่านี้ปรารถนา แต่มีได้รับความสุขเหล่านั้นมาเนิ่นนาน


 


ราชองครักษ์เร่งรีบมา คุกเข่า และแสดงม้วนกระดาษต่อองค์จักรพรรดิ


 


” เหล่าสัตว์เชวียนในป่าเถียนฟาโจมตีหัวเมืองทางใต้ของเรา ?  เป็นไปได้เช่นไร ? “


องค์จักรพรรดิมิอาจไม่กลั้นมิให้ใบหน้าบูดบึ้ง  พระองค์งุนงงในสิ่งที่ได้อ่าน  ใบหน้าบูดบึ้งของพระองค์นั้นลึกซึ้งยิ่ง


” ผู้คนอยู่ในอันตราย  อาจารย์ ฉีฉางเซี่ยว และ ฉือฮั่นออกคำสั่งเรียกทุกคนแล้วหรือไม่ ?  สิ่งเหล่านี้เป็นความจริง ? “

 

 

 


ตอนที่ 293

 

ภายใน้ห้องลับส่วนตัว…


มีกระดานหมากรุกวางอยู่ …


 


ทหารม้าสีขาวและดำกำลังเผชิญหน้ากัน และการต่อสู้นั้นขมขื่นนัก


 


” พี่เหวิน ท่านคิดเช่นไรกับเหตุกรณ์วันนี้ ? “


องค์จักรพรรดิวางชิ้นหนึ่งในพระหัตพระองค์ลงบนกระดานอย่างนุ่มนวล  การกระทำของพระองค์ก่อให้เกิดเสียง กึก


 


เหวินฉางยู่ผู้นั่งตรงข้ามพระองค์  เขาอยู่ในชุดสีหมึกดำ เป็นหนแรกที่องค์จักรพรรดิได้เห็นสหายคนสนิทแต่งตัวด้วยชุดที่มืดมนเช่นนี้ภายในวังหลวง


 


” ยากยิ่งเกินสรุปได้ ไร้ความผันผวนของลมปราณในร่างของเขา ข้ามั่นใจ “


สีหน้าของ เหวินฉางยู่ยังคงนิ่ง  กระนั้น ดวงตาของเขาส่องประกาย ขณะมองไปยังตัวเบี้ยสีขาวที่กำลังถูกกินอยู่บนกระดาน


 


” พี่เหวิน เจ้าคิดว่าเจ้าจักสังหารควีนของข้าได้ด้วยตัวเบี้ยนี้กระนั้น ? มิง่ายดายเช่นนั้น “


พระองค์อธิบายการเดินหมากและต่อ


 ” หากแต่ข้ารู้สึกเสมอว่าเจ้าชั่วน้อยจวินผู้นั้นมิใช่ตัวละครที่เหมาะสมยิ่ง ท่านคิดเห็นเช่นไร ? “


 


” เขานั้นห่างไกลเกินกว่าตัวละครที่เหมาะสม  เช่นนั้น จึงควรจักน่าสงสัย “


นายเหวินหลับตา และครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นเขาต่อ


” เจ้าเด็กจวินผู้นี้แปลกยิ่ง เขากระทำชั่วช้า และมิได้สนใจอันใดในโลก ราวกับอันธพาลผู้ที่มีความสุขกับการก่อกวนผู้อื่น  แต่เขาก็มิได้ดูเสแสร้งเกินกว่าที่อาวุโสผู้นี้คาดไว้ “


 


” พี่เหวินหมายถึง … “


องค์จักรพรรดิโน้มเศียรเล็กน้อย เขาชี้นิ้วไปยังหน้าผากและเริ่มส่งสัญญาณ


 


” บางทีเขาอาจกลัวที่จักเปิดเผยตัวตนกับทุกคน ! “


นายเหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงธรรมดา เป็นที่ชัดเจนว่าเขาได้ศึกษาการเคลื่อนไหวของจวินโม่เซี่ยกระจ่างนัก และนำมันมาพิจารณาอย่างลึกซึ้ง  เขาเพียงแต่ใช้โอกาสนี้ในการเอ่ยสิ่งที่เขาคิด


” เขามิประสงค์จักสดงตัวตนออกมาต่อหน้าผู้อื่น รวมถึงพระองค์ “


 


” โอ้ว นั่นคือสิ่งที่ท่านหมายถึง ! “


องค์จักรพรรดิกำลังหยิบชิ้นหมากรุกที่พ่ายแพ้ออกจากกระดาน แต่ต้องหยุดมือไว้


” ท่านรู้เช่นนั้นได้อย่างไร ? “


 


” ไร้วาจาที่เหมาะสมจักพิสูจน์ได้  แต่ข้าเชื่อว่าจวินโม่เซี่ยผู้นั้นใช้พฤติกรรมที่มีชื่อเสียงเพื่อแสดงความเย่อหยิ่งต่อผู้อื่น หากแต่เขายังบอกถึงสิ่งสำคัญแก่พระองค์เช่นกัน “


เหวินฉางยู่ยิ้มและหัวเราะ


 


” เขามิได้ต้องการจักขัดแย้งกับโครงสร้างอำนาจของโลก ! “


จักรพรรดิตอบกลับด้วยพระองค์เอง


” การกระทำของเขาบอกข้าเช่นนี้ชัดเจนยิ่ง จนข้าสามารถสัมผัสถึงมันได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นข้าจึงมิจำเป็นต้องหวาดกลัวเขา  และ เขาได้ใช้ทักษะซึ่งมิถูกต้องของเขาเพื่อบอกข้าถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง เขาพยายามบอกข้าถึงความผิดพลาดอันไร้เหตุผลที่พวกเขาเรียกว่า บัณฑิต !  เขาประสงค์ให้ข้าเห็นถึงภัยซึ่งมองไม่เห็นที่มาจาก เหล่าเจ้าหน้าที่และข้าราชบริพารที่ฉ้อฉน  ความรักในสวัสดิภาพของอาณาจักรทำให้ข้าต้องติดหนี้ “


 


” ใช่แล้ว  นั่นถูกต้อง  นั่นคือสิ่งที่เขาเป็น  มิสำคัญที่ต้องระแวดระวังในตัวเขา  ระบบการศึกษาของเหวินเซียงเป็นเลิศมานานปี และการที่เขามีส่วนร่วมในอาณาจักรนั้นมิอาจปฏิเสธ  แต่ นานปีมานี้พวกเขามุ่งเน้นไปยังเรื่องการรักษาซึ่งพรสวรรค์มากเกินยิ่ง แต่พวกเขาหลงลืมที่จะหล่อหลอมความสามารถเข้ากับความมีศีลธรรม  บัณฑิตแห่งเหวินเชียงนั่นพุ่งทยานขึ้นสู่จุดสูงสุด หากแต่มีรากฐานที่สั่นคลอน  พวกเขาฝึกฝนความสามารถ หากแต่ไร้ซึ่งสิ่งอื่น พวกเขาเป็นตัวเลือกที่ดีในระยะสั้น แต่ เมื่อเป็นเรื่องความสุขสบายของผู้คน และการใฝ่หาผู้นำที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้คน บัณฑิตเหล่านี้ห่างไกลนัก


 


 


” เช่นนั้น ปัญหาของโครงสร้างสถาบันเหวินเชียงนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยในเวลานี้


 


” ยังมีกลุ่มกองสามารถไม่สามัญของทายาทรุ่นเยาว์ถึงสกุลทรงอำนาจอยู่ภายในเทียนเชียง แต่มิได้ดึงดูดความสนใจมากมายนัก  มีเพียงสองผู้ที่มากฝีมือเพียงพอให้เราต้องเป็นกังวล … “


เหวินฉางยู่ยิ้ม


” หนึ่งคือ ลี่โย่วหลาน และอีกหนึ่งคือ จวินโม่เซี่ย ! “


 


” ลี่โย่วหลาน ? “


องค์จักรพรรดิยิ้ม


” ลี่โย่วหลานทะเยอทะยานยิ่ง แต่ท่าทีของเขานั้นมิใช่ เขามิเคยเผยความรู้สึกตัวเอง และถือตัวด้วยท่าทีอ่อนโยนเสมอ เขานั้นไร้จุดอ่อน ข้ามักได้ยินผู้คนเอ่ยกันว่าเขานั้นมากฝีมือนัก และกลยุทธ์ของเขาสามารถชนะสงครามได้แม้นอยู่ห่างไกลไปพันลี้  เขาอาจมากฝีมือ แต่พรสวรรค์ที่มีมาแต่เกิดนั้นมิควรค่าเพียงพอให้สนใจ “


 


” เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?”


พระองค์มิเข้าใจเหตุใดผู้มีฝีมือเป็นเลิศจึงมิควรค่าพอให้พิจารณา


 


” บางที ลี่โย่วหลานก็มิได้เข้าใจมันด้วยตัวเอง แต่เขานั้นมีวิธีการมากมาย การศึกษมากมาย และมากสามารถ … แต่เขาขาดแคลนคุณสมบัติพื้นฐาน เขามีทุกสิ่งที่จักทำให้เป็นขุนนางผู้เป็นเลิศในวันข้างหน้า และจักโดดเด่นยิ่งในสายงานของเขา  กระนั้น อุปนิสัยของเขานั้นสอดคล้องกับขุนนางมากกว่า มิใช่ไม้บรรทัด ! “


 


องค์จักรพรรดิยิ้ม


” ดังนั้น ลี่โย่วหลานสามารจักเป็นขุนนางชั้นยอดได้ แต่ความทะเยอทะยานของเขาขัดขวางเขาไว้  เขาควรค่าให้ข้ากังวลหากเขาสามารถก้าวขึ้นไปได้อีกหนึ่งขั้น แต่เขาไม่มีสิ่งที่จักได้เป็นราชา !  ….. ความทะเยอทะยานของเขามิควรค่าพอให้ข้ายกย่อง ข้ามั่นใจว่าคามทะเยอทะยานของเขาจะจางหายไปในไม่ช้า  เช่นนั้นเหตุใดพวกเราจึงต้องกังวล ? “


 


” ราชาจักวางแผนอยู่เบื้องหลัง ?  ลี่โย่วหลาน ลี่โย่วหลานคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง  เขาจักมิทำสิ่งใดแม้นว่าเขาจะออกมาเบื้องหน้า  นิสัยของเขาทำให้ เขามิคุ้นเคยกับทบาทของ จักรพรรดิ !  แต่ จักรพรรดิจำเป็นต้องเป็นผู้นำ  เขาต้องมีหน้าตาต่อสาธารณะ  ดังนั้น ลี่โย่วหลานเป็นเป้าหมายชั่วคราวที่ควรตรวจสอบ แต่เพียงชั่วคราวเท่านั้น  พวกเราเพียงแต่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเขาเพื่อดูว่าเราจักใช้งานเขาได้หรือไม่ เพียงเท่านั้น  แต่ มิจำเป็นต้องกำจัดเขาออกไปเนื่องจากเขาสามารถเป็นเหตุให้เกิดระรอกคลื่นได้ แต่เขามิอาจก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ได้ “


 


องค์จักรพรรดิตัดรายชื่อของผู้มีฝีมืออันดับหนึ่งของ นครเทียนเชียงออกไปจากรายชื่อผู้มีชื่อเสียง


 


” กระบวนการคิดของพระองค์นั้นน่าชมเชย “


เหวินฉางยู่ ครุ่นคิดในมุมนั้นอย่างละเอียดและยอมรับ เขายอมรัยว่า พระราชอำนาจของสหายนั้นเหนือกว่าความสามารถชั้นเลิศของเขา  นั่นคือโลกซึ่งแตกต่างกันระหว่างความคิดของราชาและนักปราชญ์แห่งศิลปะการต่อสู้  แตกต่างยิ่งเทียบได้กับสวรรค์และพื้นดิน  อุดมการณ์ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางคนละสาย


 


” จวินโม่เซี่ยผู้นั้น อันตรายยิ่งกว่า ลี่โย่วหลาน ความแตกต่างระหว่างภัยคุกคามที่พวกเขามีนั้นมิอาจเปรียบกันได้ ความก้าวหน้าของ ลี่โย่วหลานจักมีข้อจำกัดเพียงจุดหนึ่ง  แต่จวินโม่เซี่ยนั้นเป็นมังกรที่หลบซ่อนอยู่ เขาจักพุ่งทะยานสูงเมื่อโตขึ้นและสยายปีก  เขาแสดงชัดเจนว่าเขามิได้กระหายในอำนาจ แต่เป็นผู้หนึ่งที่น่าสังเกตุว่าชีวิตของเขาจักพัฒนาไปเช่นไร  ลี่โย่วหลาน สามารถกลายเป็นหมอกควัน และทำให้ฝนคะนองได้ภายในกระบวนท่าเดียว แต่สามารถควบคุมได้  กระนั้น จวินโม่เซี่ยจักกลายไปเป็นยอดกระบี่ที่มิอาจยับยั้งเมื่อเขาสุกงอม และ ไม่มีผู้ใดยับยั้งเขาได้ ! “


 


องค์จักรพรรดิถอนใจลึกซึ้ง


” เวลานี้มีผู้คนมากมายในแผ่นดินใหญ่  กระนั้น ดินแดนนี้ก็มิเคยได้พบเห็นผู้มีฝีมือไร้เทียมทานเช่น จวินโม่เซี่ย และ ลี่โย่วหลาน ข้าหัวงว่าข้าจักมีเวลาสักห้าสิบปีเพื่อนั่งและเฝ้าดูเด็กเหล่านั้น  ความสำเร็จของเขาจักกลายเป็นเสาหลักของอาณาจักรเมื่อถึงอายุ !  พวกเขาสามารถเขียนประวัติศาสตร์  ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของพวกเขาน่าชื่นชมยิ่ง  มันจักทำให้พวกเขารักษาระดับอำนาจที่สมดุลย์เอาไว้  ดังนั้น พวกเขาหมาะสมจักเป็นหุ้มส่วนที่ยอดเยี่ยม !  กระนั้น ข้าก็มิรู้ได้ว่าเด้กเหล่านี้จักเป็นสิ่งใดในอนาคตสำหรับคนรเทียนเชียงของข้า พร .. หรือ คำสาป .. ? “


 


” พระองค์เป็นเลิศในวัยหนุ่ม เขายังหนุ่มและมากด้วยพลัง ความคิดเช่นนี้กำเนิดมาจากที่ใด ? “


เหวินฉางยู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม


 


” ข้ารู้ถึงสภาพร่างกายข้าเป็นอย่างดี  บางทีร่างกายของข้าอาจทนอยู่ได้เพียง สิบหรือยี่สิบปี แต่มันก็อาจจะอยู่ไปได้ไม่เกินกว่านั้น  ความเจ็บปวดจากบาดแผลเหล่านั้นจักแสดงผลออกมาเมื่อถึงเวลา  แม้แต่ ราชันยาผู้ชั่วร้าย ก็ยืนยันเช่นนั้นชัดเจน ข้าจักมิได้มีชีวิตอยู่ยืนนาน มิจำเป็นที่เจ้ามาปลอบใจข้า


 


” ข้าเพียงมีเรื่องหนึ่งกังวล และเป็นเหตุให้ข้าเป็นกังวลยิ่งนัก  ข้าได้พบกับสองสิ่งมีชีวิตที่โลกมิเคยได้เห็น  ข้าสามารถเฝ้าดูเขาได้ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่  แต่เมื่อข้าสิ้นไป … ลูกชายทั้งสามของข้าจักไร้ฝีมือควบคุมพวกเขาได้  พวกเขาจักไร้ฝมือยับยั้งแม้นว่าเด็กหนึ่งในสองผู้นี้เมื่อพวกเขาสยายปีก … “


จักรพรรดิถอนพระทัยด้วยด้วยร่องรอยที่ผิดหวังและท้อใจ


 


” ทะเลทั้งสี่สงบนิ่ง ชายแดนสงบสุข ทุกสกุลภักดีต่อบัลลังก์ ข้าเชื่อว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจักมิเกิดในเร็ววัน “


เหวินฉางยู่เอ่ยต่อ


” พระองค์โปรดสบายพระทัย “


 


” เนื่องด้วยสถานการณ์นี้ไร้ความวุ่นวายจึงทำให้ข้าลังเล บางทีพี่เหวินอาจยังมิเห็น … แต่จวินโม่เซี่ยและลี่โย่วหลานได้เข้ามาแทนที่ความสมดุลของคนรุ่นอาวุโสแล้ว  ทั้งสองนี้เป็นกุญแจหลักในการสมดุลสถานการ์ของกองทัพและพลเรือน หากผู้หนึ่งเกิดปัญหา … ความสมดุลนี้จักพังทะลายลงในทันที และความสงบของบ้านเมืองในปัจจุบันจักแหลกสลาย ทั้งสองเลือกที่จักรักษาสมดุลในเวลานี้ แต่  แต่มิอาจรับประกันได้ว่าในอนาคตพวกเขาจักยังคงรักษาไว้  หายนะที่พวกเขาอาจก่อขึ้นมิใช่เล็กน้อย อาจมีสิ่งต่างๆเปลี่ยนปลงไปในอนาคต “


 


” พระองค์มีความคิด … จัก … กำจัดพวกเขา ..? “


เหวินฉางยู่พิจารณาวาจาองค์จักรพรรดิชั่วครู่  จากนั้นเขาก้มหัว และถามด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม


 


” สกุลจวินประสบความสูญเสียมากมาย  เช่นนั้น ข้าจักกำจัดทายาทที่เหลือเพียงหนึ่งได้เช่นไร ? “


 


องค์จักรพรรดิยิ้มเล็กน้อย  กระนั้น นายเหวินก็ยังมิอาจมั่นใจวาจาพระองค์


 


” เพียงแต่นี่มิใช่เวลาที่เหมาะสม  ลองคิดดูพี่เหวิน … อาจมีความวุ่นวายก่อเกิดเป็นวงกว้างหากจวินโม่เซี่ยตาย อาณาจักรจักสามารถคงทนต่อความวุ่นวายมหาศาลเช่นนี้ได้หรือ ?  หากเขาตาย เขาจักต้องตายด้วยอุบัติเหตุที่แท้จริง  มิเช่นนั้น นี่ก็มิใช่เวลาที่จักกำจัดเขา ฝักฝ่ายจวิน จักตอบโต้  กลายเป็นสถานการณ์เป็นตาย  พวกเรามิอาจเคลื่อนไหวจนกว่าสกุลจวินจักเสื่อมถอย “


 


พระองค์ถอนใจ


” ยิ่งกว่านั้น อย่าได้หลงลืมว่า มีอีกสกุลนอกเหนือจากสกุลจวินที่ยังคงหนุนหลังจวินโม่เซี่ยอยู่ ความแข็งแกร่งของพวกเขาอาจมิน่าหวาดกลัวเท่า คฤหัสน์ฉือฮั่น หรือ นครพายุหิมะสีเงิน แต่ควาแค้นของพวกเขาเมื่อจวินวูเห่ยตายลงนั้นสั่นสะเทือนทั้งปฐพี ! “


 


พระองค์ถอนใจโศกเศร้า  ดูคล้ายดั่งความโศกในลมหายใจนี้จักมาจากจิตวิญญาณส่วนลึกของพระองค์


 


เหวินฉางยู่บอกได้อย่างชัดเจนจากเสียถอนใจที่ได้ยิน  กระนั้น เขาก็มิอาจบอกได้ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงเลือกแสดงความโศกเศร้าจากก้นบึ้งหัวใจต่อเรื่องนี้ เขามิอาจเข้าใจ เหตุใจองค์จักรพรรดิจึงโศกเศร้าและรู้สึกผิดบาปต่ออุบัติเหตุนี้ …


 


” สกุลต้งฝ๋าง !  สกุลมือสังหารอันดับหนึ่งของโลก ! “


เหวินฉางยู่เบิกตากว้างขณะเขาอุทาน


” พวกเขามิได้สาปสูญไปเมื่อแปดปีก่อน ?  จวินโม่เซี่ยมีสกุลต้องฝ๋างหนุนหลังหรือ ?


”  เจ้าคาดการได้ถูกต้อง ! “


องค์จักรพรรดิหลับพระเนตรลงอย่างเจ็ปวด และเงยพระพักต์ขึ้น


” หลังจากจวินวูเห่ย และจวินวูเมิงถูกลอบสังหารในสมรภูมิอย่างลึกลับ … มือสังหารระดับสูงจาก สกุลต้งฝ๋าง มุ่งหน้าออกไปล้างแค้นอย่างบ้าคลั่ง  พวกเขาออกมาเผชิญหน้ากับอาณาจักรเทียนเชียง และ นครพายุหิมะสีเงิน พวกเขาออกมาเผชิญหน้ากับทุกผู้ทั่งทั้งดินแทน และ อาบผืนแผ่นดินด้วยเลือดเพื่อล้างแค้นต่อการตายของ จวินวูเห่ย เจ้าพนักงานต่างเมืองของ นครพายุหิมะสีเงินเกือบทั้งหมดถูกลอบสังหารภายในปีหลังจากนั้น  ขุนพลผู้ที่ต่อสู้กับจวินวูเห่ยในสมรภูมิจำนวนหนึ่งถูกลอบสังหารเช่นกัน !  และนั้นคือตอนที่ข้าได้รับบาดเจ็บ … สกุลต้งฝ๋างส่งยอดมือสังหารสิบเจ็ดคนมาสังหารข้า และพวกเขาได้มอบบาดแผลที่ทำให้ถึงตายนี้แก่ข้า  ข้ายังมิสามารถรักษามันได้  ร่างกายข้ามิอาจฟื้นคืนกลับมาได้เนื่องจากบาดแผลนั้น ! “


 


” มิได้มีเพียง นครพายุหิมะสีเงิน ที่ส่งยอดฝีมือเพื่อต่อกรกับ พวกเขา คฤหัสน์ฉือฮั่นก็ออกมาเผชิญหน้ากับ สกุลต้งฝ๋างเช่นเดียวกัน  ยอดฝีมือเหล่านี้ต่อสู้กันอย่างเป็นความลับ  สงครามดำเนินยืดเยื้อนับปี ในที่สุด สกุลต้งฝ๋าง ก็ถูกปราบปรามลง  เซียงยุ่นและ ปู้ยู๋ แห่งสกุลเซี่ยว เป็นผู้นำในกาต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับ สกุลต้งฝ๋าง ลีจื้อเทียน และ ฝานเฟิงฉื๋อ ได้ลงนามและเป็นสักขีพยานว่า พวกเขาได้กำจัดผู้แข็งแกร่งครึ่งหนึ่งของ สกุลต้งฝ๋างลงในเวลานั้น แต่กระนั้น สกุลต้งฝ๋างก็ยังมิได้ถูกทำลาย  พวกเขารวบรุมคนหนุ่มสาวและมุ่งหน้าข้าไปยังหุบเขาลึกลับเพื่อหลบซ่อน  พวกเขาได้กระทำสัตย์สาบาญในตอนที่ล่าถอย สกุลต้งฝ๋างจักมิปรากฏตัวในแผ่นดินใหญ่อีก … เว้ยเพียงแต่ ยอดกระบี่ที่ถูกหิมะปกคลุมจักพังทะลายลงด้วยดินถ่มและ สัตว์เชวียนแห่งป่าเถียนฟาหมดสิ้นไป ! “


 


” เว้นเพียงแต่ ยอดกระบี่ที่ถูกหิมะปกคลุมจักพังทะลายลงด้วยดินถล่มและ สัตว์เชวียนแห่งป่าเทียนฟาจักพบจุดจบ ! “


เหวินฉางยู่รู้จักคำปฏิญาณนี้ กระนั้น เขาก็ยังมิอาจกลั้นมิให้ตัวสั่นได้เมื่อได้ยินมันอีกหน


 


” ยอดกระบี่ สถิตย์อยู่บนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมมานานนับหมื่นปี มันจักพังทลายลงด้วยดินถล่มได้อย่างไรกัน ?  สัตว์เชีวยนอาศัยอยู่ในวิมานอันศักดิสิทธ์ภายในป่าเถียรฟา พวกเขาจักพบจุดจบได้เช่นไร ?  เช่นนั้น มิได้หมายความว่า สกุลต้งฝ๋าง จักมีออกมายังโลกภายนอกอีกแล้วกระนั้นหรือ … ? “


 


” นั่นมิสำคัญ  สกุลต้งฝ๋างจักส่งกองกำลังออกมาหากมีผู้ใดก่อกวนที่มั่นของพวกเขา และกับผู้ที่พวกเขาห่วงใย จวินโมโย่วและ จวินโม่โชวสิ้นชีพในสมรภูมิห้าปีหลังจากพวกเขาได้กระทำสัตย์สาบาน สกุลต้งฝ๋างได้ส่งกองกำลังออกมาอีกครั้ง พวกเขาอ้างว่าประสงค์จักแก้แค้น แม่ทัพเทียนเชียงผู้บัญชาการในสงครามนั้นมิอาจรอดพ้นการลอบสังหาร หัวของพวกเขาถูกโยนเข้าไปในวังหลวงในยามค่ำคืน มีข้อความจารึกไว้บนหัวเหล่านั้น กล่าวว่า หากจวินโม่เซี่ยต้องประสบกับเคราะห์ร้าย ราชวังแห่งอาณาจักรเทียนเชียงจักเป็นเป้าหมายต่อไป ! ข้ามิเคยล่วงรู้ถึงความลับนี้ ไม่แม้แต่จวินจ้านเทียน ! “


 


” และ พี่เหวิน .. เป็นเวลาสามปีแล้วนับแต่นั้น … และพวกเรายังมิสามารถหยุดมือสังหารเหล่านั้นจากการเข้ามาในวังหลวง “


น้ำเสียงองค์จักรพรรดิอบอวนด้วยโทสะ มีร่องรอยแห่งความอ่อนแอและเสียเกียรติอันรุนแรงเช่นเดียวกัน


” จวินโม่เซี่ยเป็นลูกชายที่เหลือรอดเพียงผู้เดียวของลูกสาวพวกเขา หลานชายคนสุดท้ายจากสายเลือดฝั่งผู้หญิงของพวกเขา !  โชคชตากับชีวิตของเขาอาจเป็นผลถึงความตายของทั้งราชวงศ์ ! “


 


” จวินจ้านเทียนยืนกรานที่จักต่อต้านการสนับสนุนของพวกเขา ความจริง เขาได้ตัดขาดทุกความสัมพันธ์กับ สกุลต้งฝ๋าง !”


องค์จักรพรรดิกระแทกหมากรุกสีขาวลงบนกระดานเสียงดังตุ๊บ และ ทำให้ตัวหมากในกระดานเคลื่อนไป นิ้วมือพระองค์สั่นเทาขณะโน้มพระเศียรลง


” ท่านพี่จวินแสดงถึงความรักที่มิอาจลบล้างต่อข้า … ข้า … ข้ามิอาจกระทำสิ่งนี้ต่อท่านพี่ได้ ! “


 


จากนั้นพระองค์ เงยพระพักษ์ขึ้นและเอ่ย


” ข้ายอมรับ !  ข้าอาจ … ข้าเป็นจักรพรรดิเสมอมา !  ข้าเป็นราชาแห่งชนชาติเสมอ ข้ามิเคยเป็นพ่อ ในสกุลเทียนของข้าเลย !  จักรพรรดิควรจักต้องไร้ปราณี … ข้าจักต้องคิดถึงการเชิดชูอำนาจอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอ ข้าจักต้องเป็นกังวลต่ออนาคตแห่งดินแดนนี้ ข้ามิอาจปล่อยให้มีสิ่งในคุกคามต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ของข้า … มีอยู่ได้ !  และข้ามิสามารถคิดถึงความรู้สึกของท่านพี่ได้เมื่อ … เป็นเดิมพันที่มากมายเช่นนั้น … “


 


” บางที … นี่อาจเป็นเหตุผลให้ตำแหน่งองค์จักรพรรดินั้น อ้าว้างเป็นที่สุด !  เขาจักต้องตัดขาดจากทุกสิ่ง … เขาจักต้องตัดขาดจากทุกสิ่ง … เห้อ … “


เหวินฉางยู่เงียบเป็นเวลานานก่อนจักถอนใจลึก


 


 ” ดังนั้นเราจึงมิอาจเคลื่อนไหวอันใดต่อผู้ที่ยังเหลือรอดของสกุลจวินได้  ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ฝ่ายใด … พวกเรามิอาจกระทำอันใดกับพวกเขาได้  แม้นมันจักเป็นเหตุผลทีจักกำจัดพวกเขา … พวกเรามิสามารถกระทำอันใดกับพวกเขาได้ ! หากพวกเขาตาย .. พวกเขาต้องตายจากเหตุร้ายโดยแท้จริง !  และไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น … สมาชิกในราชวงศ์จักต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดทั้งสิ้น  มิเช่นนั้น … พวกพวกเราถูกจับได้ .. และสกุงต้งฝางบ้าคลั่งอีกหน .. น้องเหวิน สถานการณ์จักมิต่างไปจากสิบปีก่อน  พวกเราพึ่งพิงตัวเองตั้งแต่ จุ้นเป้ยเฉิน จากไป !  หาก สกุลต้งฝ๋างกลับมา … สกุลเทียนของข้าจักเป็น…อันตรายใหญ่หลวง !”


 


” เหตุร้ายโดยแท้จริง … สังหารคนเช่นจวินโม่เซี่ยในเหตุร้ายโดยแท้จริง …”


นายเวินถอนใจ


” … จักเป็นการยากยิ่ง … “


 


” มิได้ยากยิ่งเช่นนั้น ! “


จักรพรรดิยิ้มลึกล้ำ  ปรากฏความซับซ้อนในสายพระเนตรพระองค์


” เหตุร้ายนี้จำเป็นต้องมีเวลาที่เหมาะสม  และเวลาที่เหมาะสมนั้นจักปรากฏขึ้นมาเอง ! “


จากนั้นพระองค์ดึงม้วนกระดาษออกจากปลอดแขน และกางออกบนกระดาน


 


” สัตว์เชีวยน ?  พระองค์ประสงค์จัก …. “


ดวงตา เหวินฉางยู่เปล่งประกายขณะเขาถอนใจโล่งอก


 


” เหตุนี้เกินขึ้นทางตอนใต้ของเทียนเชียง ไม่มีประเทศอื่นมีส่วนเกี่ยวข้อง กระนั้นหากกองกำลังของ คฤหัสน์ฉือฮั่นล่มสลาย … ผู้แรกที่จักต้องทนทุกข์จักต้องเป็นเทียนเชียงของข้า !”


 


องค์จักรพรรดิเลิกพระขนง เอนร่างถอยหลัง และพลิกฝ่ามือ ” เช่นนั้น พวกเราจำต้องเคลื่อนกำลังพล  และกองกำนยลังนี้จักต้องไม่พ่ายแพ้ในเวลาอันสั้น  เช่นนั้น ทุกสกุลสำคัญจากนครหลวงจำต้องจัดหาอาสาจากสกุลพวกเขา  พวหเราจักต้องสร้างกองทัพชนชั้นสูง และจากนั้นจักเกนทหารนับหมื่น “


 


” อาสาสมัครของกองกำลังนั้นจะต้องมาจาก สกุลมูล่ง  สกุลถัง สกุลลี่ สกุลซ้ง สกุลจวิน … ฮ่าฮ่า  ทั้งเมืองหลวงจักว่างเปล่าอีกครั้งเมื่อผู้คนเหล่านี้เดินขบวนไปทางใต้ และข้าจักใช้เวลาเหล่านั้นและตระเตรียมลูกชายทั้งสามของข้า “


 


” จากนั้นพวกเราจักรอคอยพวกเขากลับมา ข้าเชื่อว่าเรื่องนั้นจักเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  ทุกสถานการณ์จักเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขากลับมา “


จักรพรรดิแย้มสรวงและเอ่ย


” กองกำลังนี้จักยิ่งใหญ่และ ทุกสกุลใหญ่ๆจักต้องมีอาสาสมัคร  ผู้ใดจักไม่ต้องการเข้าร่วมกองทัพนี้เมื่อพลังและความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่เช่นนี้ … ฮ่าฮ่า .. “


 


เสียงหัวเราะขององค์จักรพรรดิปะปนความเยือกเย็นและประสงค์อันชั่วร้าย  ผู้ใดจักมิเห็นชอบกับกองกำลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ? ผู้ใดกันที่ไม่ประสงค์จักเข้าร่วมกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ? ไม่มีผู้ใดสนใจถึงการคุกคามของสัตว์เชวียนก่อนสมัครเข้าร่วมกองทัพนี้ ! ส่วนใหญ่แล้วจักต้องพบจุดจบเป็นความตาย !


 


” พระองค์ได้เลือกผู้นำทัพในครั้งนี้ ? “


เหวินฉางยู่เอ่ยถามแม้นเขาจักคาดการคำตอบไว้แล้ว


 


” จวินวูอี้ ! “


จักรพรรดิยิ้มอย่างั่วร้าย


” ผู้ในนอกจากจวินวูอี้จักสามารถนำกองทัพเช่นนี้ได้ !  มีผู้อื่นหรือที่เหมาะสม ? “


แสงอันเยือกเย็นสว่างวาปในดวงเนตรพระองค์


ข้ามิรู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงจัดการประมูลใน หอชนชั้นสูง  จวินวูอี้ …ครั้งนี้ข้านำเจ้าหนึ่งก้าว  และ ข้าจักขัดขวางแผนการของเจ้า  !  สัตว์เชวียนเทียนฟาเหล่านี้ …เป็นดั่งพรประทาน !


 


ด้านนอกราชวัง  ใบหน้าจวินโม่เซี่ยมืดมนท่ามกลางความมืดมน  ดวงตาของเขามององค์จักรพรรดิ ราวกับดวงตาของอินทรีย์ที่แหลมคมและเต็มไปด้วยโทสะ  ดูเหมือนเขามองไปยังด้านหลังขององค์จักรพรรดิ แท้จริงแล้ว เขามิอาจอดกลั้นตัวเองไว้


 


คุณชายน้อยจวินเริ่มกระตุ้น เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ เพื่อมองหาสายลับที่แอบซ่อนอยู่ใกล้เคียง   กระนั้น ก็ได้พบเข้ากับบางสิ่งที่มิอาจคาดคิด  เขากระซิบ


” เจ้าอ้วน ข้าขอให้เจ้ารวบรวมสมุนไพร เจ้ารวบรวมมาได้มาเท่าใดแล้ว ? “


 


” ข้าเพียงเพิ่งเริ่มต้น  เจ้าคิดว่าจักมากเท่าใด ? “


ถังหยวนตกตะลึง คุณชายน้อยจวินร้องขอให้เขารวบรวมสมุนไพรหายากเมื่อไม่กี่วันก่อน  ดังนั้น จึงแปลกประหลาดหากจักสามารถจัดหาได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้


 


” ฟังนะ ข้าต้องการให้เจ้ารวบรวมสมุนไพรเหล่านั้นมาให้ข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  ข้ามิสนว่าเจ้าจักใช้วิธีการใดเพื่อให้งานนี้สำเร็จ ยิ่งเร็วยิ่งดี ! ป่าวประกาศให้ทั่วหากเจ้าต้องการ กระจายข่าวไปเพื่อให้ได้สมุนไพรเหล่านี้มา  เจ้าต้องจัดซื้อพวกมันแม้นจักต้องจ่าย สองหรือสามเท่า ! เช่นกัน ข้าได้เอ่ยถึงสมันไพรพิเศษสามอย่าง ..หากเจ้าหามันได้ ซื้อมา ไม่ว่าราคาจักสูงส่งเช่นไร !  เดิมทีแล้ว ข้าต้องการพวกมันเร็วเท่าที่เป็นไปได้ และไม่สนใจว่าราคาจักเท่าใด  ข้าต้องการให้เจ้าส่งสมุนไพรทุกอย่างที่เจ้าได้มาให้ข้าทุกวัน … และข้าต้องการให้เจ้าส่งมันมาในทุกเช่าเย็น แม้นเจ้าจักได้รับสมุนไพรมาเพียงหนึ่งอย่าง ข้าก็ต้องการให้เจ้าส่งมันมาให้ข้า  ข้าต้องการพวกมันอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ !  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “


 


” ข้าเข้าใจ !  ข้าจักพยายามให้ดีที่สุด ! “


ถังหยวนสัมผัสได้ถึงความเร่งด่วนในภาษากายของจวินโม่เซี่ย  ดังนั้น เขาจึงเห็นด้วยโดยไร้ลังเล


 


จวินโม่เซี่ยถอนใจยาว ดวงตาของเขาดูราวเปล่ประกายผ่าเผย  เขาหมุนตัวไป และเพ่งมองไปยังราชวังซึ่งเปล่งประกายทองอร่ามภายใตแสงตะวัน ราวกับเขากำลังเพ่งมองไปยังดวงตาสองคู่ที่มิอาจมองเห็นซึ่งเพ่งมองกลับมยังเขา


 


เขาหวนนึกถึงการกรทำในงาน ครุ่นคิดถี่ถ้วน และจากนั้นสงบสติตัวเองลง


 


องค์จักรพรรดิคลางแคลงเขา  เขาตระหนักสิ่งนี้ได้ในการประมูลภายใน หอชนชั้นสูง  งานฉลองในราชวังนี้เป็นเพียงการพิสูจน์ขององค์จักรพรรดิ  ไม่สำคัญว่าจวินโม่เซี่ยจักกระทำอวดดีเช่นไร .. ไม่สำคัญว่าเขาจักวางแผนการพฤติกรรมของเขาถี่ถ้วนเช่นไร .. ไม่สำคัญว่าเขาจักพิถีพิถันเพียงใด … เขาก็มิอาจปรับเปลี่ยนความจริงนี้ได้


 


เขาเพียงผ่อนปรนเพียงชั่วราวหากเขายอมแพ้ต่อความอวดดี และกลับไปเป็นจวินโม่เซี่ยคนก่อน  แต่ การผ่อนปรนนี้จักเป็นการปล่อยให้ ราชวงศ์ยิ่งกระทำการต่อต้านสกุลจวิน


 


กระนั้น จวินโม่เซี่ยจักต้องตายก่อนจะได้กลับมา


 ” การมีลูกมิอาจทำให้เจ้าเป็นชาย ! มันคือ จิตวิญญาณที่ทรหดอันหาที่เปรียบไม่ได้  ! “


คำสอนของบรรพชนนี้กลายมาเป็นคติของมือสังหารจวิน


 


ดังนั้น แม้นว่าจวินโม่เซี่ยจักกระทำดั่งอันธพาลต่อผู้คนในราชวัง แต่เขาได้แสดงให้เห็นถึงความจริงและความอวดดีอย่างเปิดเผย  เขากระทำเช่นนี้เนื่องจากเขาได้ตระหนักถึงสิ่งสำคัญเมื่อเจ้าอ้วนถังกระเพกขาเดินมายังท้องพระโรงพร้อมด้วยเก้าอี้ที่อยู่ในก้นของเขา …


 


หากองค์จักรพรรดิประสงค์จักเคลื่อนไหวต่อต้านสกุลจวิน … พระองค์มิจำเป็นต้องมีเหตุผล … พระองค์ไม่ต้องมีเหตุผลอันใด !  แม้นว่าจวินโม่เซี่ยจักอันธพาลอย่างแท้จริง และองค์จักรพรรดิตัดสินใจกำจัดเขา … พระองค์ก็จักทำมันโดยมิคิดให้รอบคอบ  หรืออีกนัย … หากองค์จักรพรรดิไม่ประสงค์จักต่อต้านสกุลจวิน .. พระองค์ก็จักไม่ทำ   แม้นว่าจวินโม่เซี่ยจักเป็นผู้ที่มากสามารถที่สุดภายในอาณาจักร ก็จักมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นในสกุลของพวกเขา


 


จวินโม่เซี่ยตระหนักได้ว่า ความกลัวของเขานี้ไร้มูลความจริง


 


ยิ่งกว่านั้น สกุลจวินก็มีผู้ปกป้องมากมายในจุดนี้  ชื่อเสียงของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในฐานะหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์มิน่าจักทำให้พวกเขาล้มเหลวได้ในช่วงเวลาปีที่จักมาถึงนี้  สำหรับปีถัดไป … จวินโม่เวี่ยมั่นใจว่า ทุกผู้ที่ต้องการจักต่อต้านสกุลจวินนั้นจักต้องจบลงด้วยการสูญเสียอันหนักหน่วง


 


จวินโม่เซี่ยมิได้วางแผนจักดึงรั้งเรื่องราวของ นครพายุหิมะสีเงินไว้นานนัก


 


เขาถอนใจขณะนึกได้ว่ามี แกนเชวียนระดับเก้าอยู่ในมือ แกนเชวียนนั้นกำลังรอคอยเพื่อเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของผู้หนึ่ง คนผู้นั้นมีอยู่แล้ว แต่ เขายังมิได้รับสมุนไพรที่ต้องการ …


 


เจดีย์หงษ์จวิน เปลวเพลิงแห่งปฐมภูมิ เตาหลอมแห่งโชคลาภนั้นพร้อมแล้ว … แต่เขายังมิได้ครอบครองสมุนไพรสำคัญ


 


สมุนไพร … เป็นปัญหาสำคัญในเรื่องนี้ ความยุ่งยากทั้งหมด สามารถพรรณนาได้เพียงหนึ่งคำ


 


จวินโม่เซี่ยเลิกคิ้วขณะถอนใจ


 


เขาท่องตำราแพทย์พื้นบ้านในความคิดมากมายหลายหนใจหลายวันที่ผ่านมา ความจริงแล้ว เขาได้จดจำขั้นตอนการตระเตรียมสมุนไพรและส่วนผสมทุกอย่างได้ขึ้นใจ  กระนั้น จวินโม่เซี่ยก็ตระหนักได้ว่า เขาสามารถสกัดโอสถบางอย่างได้ในระดับต่ำเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จในการสกัดนี้ก็มิได้สูงส่ง


 


เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ในชั้นที่สองนี้มิได้อนุญาตให้เขา สกัดโอสถที่สามารถเพิ่มความสามารถของผู้คนได้ ยิ่งไปกว่านั้น สมุนไพรที่ใช้สำหรับสกัดตัวยาที่เรียกว่า ยาระดับต่ำนี้มิได้มีค่าหรือหายากแต่อย่างใด  กระนั้น จวินโม่เวี่ยมิพอใจนัก เนื่องจากคำแนะนำในหนังสือกล่าวว่าตัวยาเหล่านี้อาจเพิ่มความสามารถของคน แต่มันก็อยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น   ผนของมันยังมิถาวร และมิน่าจะอยู่ได้เกิน แปด ถึง สิบ ปี  ยิ่งกว่านั้น ยาเหล่านี้มิอาจใช้ซ้ำได้


 


สิ่งเหล่านี้ทำให้จวินโม่เซี่ยผิดหวังยิ่งนัก


 


เขารู้สึก


หรือ ความสามารถในการสกัดตัวยาของ เจดีย์หงษ์จวินนั้นมิอาจเทียบเท่าแกนเชวียน ?


กล่าวได้ว่า แกนเชวียนขั้นเก้านั้นสามารถเพิ่มความสามารถของคนได้หลายระดับในหนเดียว  ยิ่งไปกว่านั้น ตัวยาจักมิสนใจระดับความสามารถของผู้ใดเลย  เช่นนั้น มันจักส่งผลชั่วคราวได้เช่นไร ?  ผู้คนนั้นมีปัญหาคอขวดที่พวกเขามิอาจบรรลุไปได้  และผู้คนส่วนใหญ่มิสามารถก้าวหน้าไปในขั้นสูงได้แม้นจักสิ้นชีพไปแล้ว


 


นั่นจึงเป็นเหตุว่าเหตุใดที่ยอดปรมาจารย์นั้นมีเพียงน้อยนิด


 


จวินโม่เซี่ยคาดหวังห่างไกลยิ่ง  เขาบรรลุเพียงแค่ชั้นสองของเจดีย์  เช่นนั้น ความสามารถในการสกัดตัวยาจึงเป็นสิ่งทีเขาควรถามหา !  แกนเชวียนขั้นเก้านั้นล้ำค่ายิ่งนัก  จักมีอยู่เพียงใดในโลกนี้ ?  แม้นมันจักมีมาก .. จักมีสักกี่คนที่สามารถหามาและสกัดมันได้ ?


 


มันเอ่ยถึงว่ามีเพียงบางผู้ที่สามารถรับตัวยาและเพิ่มระดับความสามารถของเขา แต่มิเคยมีผู้ใดที่สามารถสกัดตัวยาซึ่งสามารถเสริมสร้างความสามารถของพวกเขาได้ถาวร


 


วิธีการของเขา สามารถทำให้เขาสกัดยาซึ่งเพิ่มความสามารถของคนได้ราวแปดถึงสิบปี  และ ราคาของวัตถุดิบนั้นมิได้สูงเลย ข่าวของเรื่องนี้สามารถสร้างความโกลาหลอย่างที่มิเคยได้เกิดขึ้นมาก่อนในโลกนี้


 


ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายน้อยจวินวางแผนที่จักผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก  ดังนั้น ความสามารถในการสร้างยาอันทรงพลังของเขาอาจเพิ่มขึ้นด้วยการเพิ่มความสามารถในการสกัดตัวยาของเขา


 


แต่ ผู้ที่มีอยู่มีกินจักมิเข้าใจถึงความหิวของผู้ที่หิวโหย


 


จวินจ้านเทียน อยู่บนหลังม้า  เขาเพ่งมองไปยังหลานชายด้วยสีหน้านิ่งตึง  กระนั้น ภายในเขาก็รู้สึกมีความสุข


 


เขามิเชื่อว่าการกระทำของจวินโม่เซี่ยในราชวังจักนำไปสู่ส่ิงสำคัญ ดังนั้นเขาจึงมิได้สนใจมันมากนัก  . ผู้ใดในเทียนเชียงที่อาจหาญกลั่นแกล้งหลานชายเพียงหนึ่งของข้า ?  แท้จริงแล้ว มีผู้ใดในอาณาจักรนี้ที่อาจหาญกลั่นแกล้งเขา ?


 


หลานชายข้าจักก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด!  นั่นคือสิ่งที่จวินจักทำ !


 


เกิดความเปลี่ยนแปลงกระทันหันต่อหน้าทุกผู้ขณะปู่จวินกำลังจมอยู่กับความรู้สึกพึงพอใจ


 


เงาอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้นภายใต้แสงตะวัน  ก่อให้เกิดคลื่นความเคลื่อนไหวในอากาศ  มีปรากฏขึ้นมาจากต้นไม้ข้างทางด้วยความเร็วเป็นเลิศ และพุ่งตรงไปยังจวินโม่เซี่ยราวกับลำแสง


 


ลำแสงนี้มาถึงหน้าอกของจวินโม่เซี่ยราวสายฟ้า


 


ความแม่นยำและจังหวะของการโจมตีนั้นมิอาจเทียบ


 


ความเร็วและเวลานั้นยอดเยี่ยม แม้สวรรค์เชวียนเช่นจวินจ้านเทียนมิอาจกระทำสิ่งใดได้ทัน  เหตุนี้เกิดขึ้นตรงหน้าราชวัง  มีบางผู้ตัดสินใจลอบสังหารจวินโม่เซี่ยในช่วงเวลาที่มิอาจคาดถึง


 


ทุกผู้รู้สึกราวกำลังอยู่ในความฝัน ขณะพวกเขาเฝ้ามองลำแสงแทรกซึมเข้าใปในหน้าอกของจวินโม่เวี่ย  ลำแสงนั้นยังคงหลังไหลเข้าไปอย่างต่อเนื่อง  จากนั้น ลำแสงนั้นก็ได้ถอยร่นกลับไปยังจุดที่มันปรากฏขึ้นและกลับเข้าไปอยู่หลังต้นไม้  ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่อยู่ข้างถนน จากนั้น ต้นไม้นั้นสั่นและเงาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย …


 


จากแรกเริ่มจนจบ ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในพริบตา และตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว !

 

 

 


ตอนที่ 294

 

มือสังหารบิดเอวเมื่องมองดูขณะเขาปีนขึ้นต้นไม้  แต่ ไม่มีผู้ใดสัมผัสได้จากทุกผู้มุ่งความสนใจไปยังจวินโม่เซี่ย


ต่อหน้าทุกคน รวมถึงปู่จวิน เป็นเวลาที่น่าเศร้ายิ่ง … จวินโม่เซี่ยคำราม


” อ๊ากกก ! “


แต่ผู้ที่มิได้ตั้งใจฟังจักคิดว่าเขาร้องว่า


“จ๊ากก ! “


 


หน้าอกของจวินโม่เซี่ยถูกแทงจนเป็นรูเท่าที่ตาของพวกเขาเห็นได้  นั่นหมายความว่ามันควรจักโชกไปด้วยเลือด  แต่ เขายังมิตาย ความจริงแล้ว เขายังปกติดี  ไร้ซึ่งเลือดสักหยดหรือรอยบาดเจ็บบนร่างของเขา


 


ทุกผู้เริ่มงุนงง


” เกิดอันใดขึ้น ?  อกของจวินโม่เซี่ยถูกแทงด้วยกระบี่สองคม … เขา…


 


สัมผัสของจวินโม่เซี่ยร้องเตือนในตอนที่เขาเข้ามาอยู่ในระยะลอบสังหาร  ในชีวิตก่อน เขาเป็นมือสังหารที่ชั่วช้า  เขาเจนจัดในศิลปะการลอบสังหาร  สัญชาตญาณของเขาว่องไวยิ่งต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น  ดังนั้น เขาจึงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเขาก่อนการโจมตีจักเกิดขึ้น


 


สีหน้าของจวินโม่เซี่ยยังคงมิแปรเปลี่ยน แต่จิตของเขาตระเตรียมการเพื่อรับมือการโจมตี


 


กระนั้น ความเร็วของมือสังหารผู้นี้ทำให้ คุณชายน้อยจวินประหลาดใจ


 


เขาเคลื่อนที่ไวยิ่ง !


 


มือสังหารปรากฏตัวขึ้นมาราวกับเงา และพยายามจักแทงไปยังหน้าอกขงอจวินโม่เซี่ย  เขาว่องไวจนจวินโม่เซี่ยเกือบป้องกันไม่ทัน  ความจริงแล้ว เขาเข้าใจมากเสียจนจวินโม่เซี่ยสามารถสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่เยือกเย็นของกระบี่มือสังหาร


 


จวินโม่เซี่ยเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถมองเห็นดวงตาของผู้ร้ายได้  พวกมันไร้ซึ่งความอบอุ่น  อีกทั้งอันตรายราวปรากชีวิต  ความจริงนั้น ความเยือกเย็นที่เขามองเห็นในดวงตาของเขามิต่างอันใดกับปลาที่ตายแล้ว


 


และจากนั้น ความเร็วของเขาได้ก่อให้เกิดเงาสีดำมืด


 


ชายผู้นี้เร็วยิ่งนัก !  ช้าเกินกว่าจักหลบหลีก !


 


ประสปการณ์ของเขานั้นไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเร็วของมือสังหาร เพียงแรงลมก็ทำให้ถึงตาย !


 


จากนั้นจวินโม่เซี่ยจึงตัดสินใจโดยเร็ว เขาไร้ทางเลือกจึงต้องเปิดเผยตัวเอง จากนั้นคุณชายน้อยจวินจึงใช้ไพ่ตาย และหนีเข้าไปในเจดีหงษ์จวินเพื่อเอาตัวรอด แต่ ความเร็วของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดูเหมือนจะช้ากว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นนั้นทุกผู้จึงได้เห็นว่ากระบี่สองคมนั้นผ่านหน้าอกของเขาไป


 


จากนั้น เขาจึงออกมาจากเจดีย์หงษ์จวิน และกลับมาอยู๋ในท่วงท่าเดียวกับก่อนหน้า  ทุกสิ่งอย่างเหล่านี้เกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา ซึ่งรวดเร็วจเกินกว่าดวงตาจะมองได้  เช่นนั้น ผู้ใดจักคลางแคลงใจว่าจวินโม่เซี่ยได้ใช้เคล็ดวิชาขั้นเทพเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง ?


 


เช่นนั้น ทุกผู้จึงร้องขึ้นอย่างตกใจ


 


ลำแสงปฐพีเชวียนของคนผู้นั้นยังคงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นจึงเคลื่อนไปตามแนวการโจมตีของเขา


 


 


ตอนนี้จวินจ้านเทียนมาอยู่ต่อหน้าหลานชาย ร่างของเขาโชติช่วงด้วยแสงสีฟ้าขณะที่เขากระตุ้นพลังทั้งหมด จากนั้น เขาเริ่มปล่อยหมัดอย่างรวดเร็ว  และ ทุกหมัดของเขาระเบิดออกไปราวเสียงอสุนีบาต เป็นที่ชัดเจนว่าเขาได้ใช้พลังอย่างเต็มกำลัง


 


แต่ การโจมตีของเขานั้นประทะเข้าเพียงอากาศอันว่าเปล่า


 


ลำแสดงสีเหลืองที่ยังคงอยู่ในตอนนี้ปะทะเข้ากับลำแสงสีฟ้า จากนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่


 


” เป็นเพียงภาพลวงตา ! “


จวินโม่เซี่ยอ้าปากเอ่ยขณะเขามองลำแสงเชวียนจางหายไป ใหน้าของเขาปรากฏความจริงจังยิ่ง


 


ระดับเชวียนของผู้ร้ายนั้นมิได้ถือว่าสูงส่งมากนักเนื่องจากเขาอยู่เพียงขั้นปฐพีสูงสุด แต่ ความเร็วของเขานั้นแปลกประหลาดยิ่ง  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นมีชื่อในเรื่องความเร็ว แต่ จวินโม่เซี่ยคาดว่าสามารถเทียบได้เพียงความเร็วของมือสังหารเท่านั้น


 


เขาว่องไวมากจนกระทั่งทิ้งภาพลวงไว้เบื้องหลัง ?!  ความเร็วของเขาน่ากลัวเพียงใดกัน ?!


 


ปฐพีเชวียนจักมีความเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร ?


 


จวินโม่เซี่ยมิใช่เพียงผู้เดียวที่ไม่เข้าใจถึงสิ่งนี้ ทุกผู้ที่อยู่รอบตัวเขานั้นเป็นยอดฝีมือเชวียน แต่พวกเขาก็มิอาจเข้าใจได้เลย


ผู้ที่มีความเร็วเช่นนั้นมีอยู่จริงหรือ ?


 


จวินโม่เซี่ยแสดงรอยยิ้มอ่อนแรงขณะที่รู้ว่าทุกผู้เตรียมตัวเพื่อต่อสู้กับศัตรู


 ” มิต้องกังวล  เขานั้นว่องไวยิ่ง แต่ข้าคิดว่าเขาสามารถโจมตีด้วยความเร็วเช่นนั้นได้เพียงหนึ่งครั้ง  เขาจังมิน่าเกรงกลัวกว่า จุ้นเป้ยเฉิน หรอกหรือหากเขาสามารถโจมตีต่อเนื่องได้ ?


 


ทันใดนนั้น ทุกผู้จึงได้สติ พวกเขาตระหนักได้ว่า แม้นความเร็วของมือสังหารจักน่าหวาดกลัวยิ่ง เขาก็สามารถโจมตีได้เพียงครั้งเดียว


แต่เพียงไม่กี่ผู้เท่านั้นที่สามารถหลบเลี่ยงการระเบิดนี้ได้ …


 


แม้นสวรรค์เชวียนก็อาจได้รับบาดเจ็บรุนแรงได้ เขาจักมิตาย แต่มั่นใจได้ว่าจัดต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้น จวินโม่เซี่ยสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีนั้นได้เช่นไรกัน ?


 


แต่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่า คุณชายน้อยจวิน นั้นเปียดชุ่มไปด้วยเหงื่อ  ความกลัวจากเหตุการ์นั้นยังคงอยู่ภายในใจของเขา


 


การโจมตีถึงตายราวสายฟ้า !


เขาไม่เคยพบเจอความเร็วเช่นนี้ แม้นในชีวิตก่อนหน้า


 


แม้นเคล็ดวิชามือสังหารพิเศษของจวินโม่เซี่ยก็มิอาจรับมือกับมันได้


 


ความเร็วเช่นนี้ เกินกว่าความสามารถของร่างกายมนุษย์


 


มิได้บอกว่าไม่มีผู้ใดสามารถกระทำเช่นนั้นได้จนกว่าจักสำเร็จระดับ มหาปรมาจารย์ อย่างเช่น มิใช่เรื่องน่าประหลาดใจ หากจักเปรียบความเร็วของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกับระดับฝีมือของเขา   แต่ ความเร็วอันน่าเหรงขามของเผู้ที่อยู่เพียงระดับปฐพีเชวียนผู้นี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายนัก


 


จวินโม่เซี่ยมักจะเชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเองเสมอ  เขามุ่งมั่นจักเป็น ยอดนักรับ และเทพแห่งสงคราม และรู้สึกว่าอายุของเขานั้นเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่เขายังมิได้สำเร็จ  เขาภูมิใจในความเร็วของตัวเองยิ่ง  ความจริงนั้น เขายอดเยี่ยมยิ่งในชีวิตก่อน เนื่องจากเขาสามารถหลบหลีกกระสุนที่ถูกยิงออกมาจากนักเม่นปืนที่อยู่ห่างออกไปเพียง สิบเมตร  และมิโดนเฉียดแม้แต่เส้นผม


 


ในความจริง ความเร็วของเขานั้นมิได้ช้าไปกว่าผู้ใดในโลกนี้เมื่อเขากระตุ้น เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์  แต่ เขามิสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีที่น่าหวาดกลัวนี้ได้ด้วยวิธีการปกติของเขา


 


หรือเป็นได้ว่า ความเร็วของเขานั้นเกินกว่าความเร็วของลูกรกระสุนที่ถูกยิงออกมาจากปืนยาว ?  ลูกกระสุนนั้น เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เก้าร้อยเมตร ต่อวินาที  ซึ่งเร็วเกือบ สามเท่าของความเร็วเสียง


 


จวินโม่เซี่ยตกตะลึงยิ่ง  เขาเตรียมการหลบหลีกการโจมตีที่น่ากลัวนั้น แต่เหงื่อของเขานั้นออกมากเพียงพอจักทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่ม


 


เท้าของเขาตั้งมั่นอยู่บนพื้นเสมอมาในทุกการต่อสู้ในชีวิตก่อน  แต่ ในตอนนี้เขานั่งอยู่บนอานม้า  นี่คือสิ่งที่แตกต่างกัน  แต่ ความเร็วของมือสังหารผู้นั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก …


 


จากนั้น จวินโม่เซี่ยเกิดความคิดขึ้นมาทันที


เป็นไปไม่ได้ที่ ปฐพีเชวียนจักสามารถแสดงความเร็วเช่นนี้ได้  แต่ อาจเป้นไปได้ที่ผู้นั้นอาจมีความเร็วดังกล่าวได้หากเขาสำเร็จในเคล็ดวิชาบางอย่าง … เหมือนกับการทำลายตัวเองของไฮเฉินเฟิง หากแต่ครั้งนี้คือความเร็ว …


 


จากการวินิจฉัยนี้ … มือสังหารผู้นั้นอาจมีสภาพไม่สู้ดีนักหลังจากใช่เคล็ดวิชานี้  ความจริงเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บจนถึงอวัยวะภายใน


 


ดวงตาของจวินโม่เซี่ยดุดันขึ้นขณะเพ่งมองไปยังทิศทางที่มือสังหารมุ่งไป


 


คนผู้นี้อันตรายอย่างแท้จริง !


 


โชคดีนักที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บในการลอบสังหารนี้  แต่ทุกคนยังคงระแวดระวังเผื่อเขาจักหวนกลับมา  ขณะนั้น ถังหยวนแยกทางไป และรีบเร่งมุ่งไปยัง หอชนชั้นสูง เพื่อเอาเงินไปซื้อสมุนไพร


 


ไม่นาน พวกเขาก็เดินทางมาถึงประตุแห่งจวนสกุลจวิน  ในที่สุด จวินจ้านเเทียนก็ได้ถามคำถามหลานชายที่เขาอดกลั้นมาตลอดเวลา


” โม่เซี่ย เจ้าหลบการโจมตีนั้นได้อย่างไร ? “


เขาระงับคำถามนี้ไว้ตลอดเส้นทางมายังจวน  เขาพิจารณาและรู้ได้ว่า ตัวเขาเองก็มิอาจหลบการโจมตีนั้นได้  เช่นนั้น  หลานชายอันเป็นที่รักของเขาสามารถหลบการโจมตี้นั้นได้อย่างไร ?  เป็นที่รู้กันว่า จวินโม่เซี่ย ได้ครอบครองความสามารถบางอย่าง แต่นี่มิใช่เรื่องของฝีมือ  มันเป็นเรื่องของเวลา  ไม่มีเส้นทางลัด ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่ปู่จวินจักงุนงง


 


จวินโม่เซี่ยยิ้มโง่เขลาขณะมองไปยังปู่  จากนั้น เอ่ยวาจาด้วยทีท่าจริงจัง


” ท่านมิจำเป็นต้องกังวล ท่านปู่  ตราบใดที่ข้าเป็นหลานของท่าน ไม่มีผู้ใดสามารถสังหารข้าได้ !  แม้แต่ แปดยอดปรมาจารย์ก็มิอาจกระทำอันตรายต่อข้าได้แม้เพียงเส้นผม  ข้ามั่นใจในเรื่องนั้นยิ่งนัก ! “


 


” เอ่ ! “


จวินจ้านเเทียนเดินห่างไป


มิใช่เจ้าเลวนี่อวดดีเกินไปหรือ ?


 


” ท่านปู่ สิ่งนี้เกี่ยวพันถึงความลับที่สำคัญของข้า “


จวินโม่เซี่ย ขยิบตาด้วยท่าที่ขบขัน


 ” มันเป็นที่พึ่งสุดท้ายเพื่อช่วยชีวิตของข้าในทุกสถานการณ์  ท่านคงมิต้องให้ข้าเปิดเผยความลับนี้ ? “


 


” ข้าเข้าใจ “


ปู่จวินถอนใจผ่อนคลาย  จากนั้น เขาเลิกคิ้ว และยิ้ม  ปู่จวิน มิได้ถามว่าความลับนั้นคือสิ่งใด  เขาคือผู้อาวุโส ผู้ที่ได้พบเห็นสิ่งต่างๆมากมาย  เช่นนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจักต้องรู้ว่า ความลับสำคัญนั้นจักต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี  และ ยิ่งมีผู้คนที่รู้ความลับนั้นมากเท่าไหร่ โอกาสที่มันอาจถูกเปิดเผยออกมาได้นั้นก็ยิ่งมากขึ้น  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมิต้องการจักไต่ถามต่อไปตราบใดที่รู้ว่า หลานชายของเขามีสิ่งเช่นนี้อยู่


 


” โม่เซี่ย เช่นนั้นเจ้าต้องถือมันเป็นความลับอันล้ำค่าของเจ้า “


ปู่จวินมีสีหน้าโล่งใจ ขณะเอ่ยเตือน


” ห้ามบอกแม้จักเป็นเมียของเจ้า  เจ้าจักต้องเก็บมันไว้ลึงลงไปถึงก้นบึ้งหัวใจ  ชีวิตของเจ้าขึ้นอยู่กับสิ่งนี้  การมีสิ่งนี้เปรียบเหมือนการมีไพ่ตาย  มันคืออำนาจลับของเจ้า  แต่เจ้าจักเสียอำนาจลับนี้ไปเมื่อไพ่ตายของเจ้าถูกเปิดเผย “


 


” มิต้องกังวลท่านปู่  ข้าเข้าใจ “


จวินโม่เซี่ย เอ่ยมั่นใจ


ท่านปู่ใส่ใจข้าจากก้นบึ้งหัวใจ


ไม่มีผู้ใดใส่ใจเขาเช่นนี้ในทั้งสองช่วงชีวิต


 


” องค์จักรพรรดิจักต้องเคลื่อนพลอย่างแน่นอนในครั้งนี้ “


จวินวูอี้เป็นผู้เดียวในสกุลที่มิได้ไปยัง พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำ เช่นนั้น ปู่และหลายชายจึงบอกเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนถึงความมั่นใจ


” ครั้งนี้พระองค์จักต้องเคลื่อไหวอย่างแน่นอน !  ที่พระองค์อ่านออกมาเสียงดังนั้นมิใช้ความบังเอิญ แม้นว่าสวรรค์จักล่มสลาย “


 


ปู่จวินพยักหน้า แต่ยังคงสงบเงียบ  จวินวูอี้ได้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสกุลจากพ่อของเขาหลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว  มันคือ ความรับผิดชอบของ จวินวูอี้ ที่เขาจักต้องตัดสินใจ  ดังนั้น ปู่จวิน จึงพูดให้ห้อนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อ ปล่อยให้จวินวูอี้ แบรับภาระของสกุลไว้  เขาจักออกความคิดเห็นเฉพาะในสถานการณ์ที่ยุ่งยากยิ่ง หรือมิอาจคาดคิดได้เท่านั้น  ถึงกระนั้น เขาก็เพียงแค่แนะนำในมุมมองของเขา  เขาเพียงดำดิ่งสู่เรื่องต่างๆอย่าใจจดจ่อ  มิเคยแสดงถึงการแทรกแซงที่มากเกินไป


 


” ดูเหมือนว่าข้าจำต้องเตรียมพร้อม “


จวินวูอี้หัวเราะมีความสุข  ดวงตาเขาเผยถึงการต่อสู้ที่ใฝ่ฝัน  นักรบผู้หลับไหลยาวนานตื่นขึ้นในตัวเขา


 


” เหตุใด ? “


จวินโม่เซี่ยฉลาดล้ำ แต่เขามิเข้าใจประโยคนี้  เขามิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเหตุใดจวินวูอี้จึงต้องเตรียมพร้อมหากองค์จักรพรรดิส่งกองทัพของพระองค์ไปรบ เป็นเรื่องสำคัญที่รู้กันว่า มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าจวินวูอี้ ฟื้นฟูอย่างเต็มตัวแล้ว แต่เขายังคงพิการในสายตาของคนทั่วไป


 


” แท้จริงแล้ว งานฉลอง ยอดนักปราชญ์ทองคำ นั้นมิใช่งานฉลองตามที่เขียนไว้ “


จวินวูอี้พ่นลมทางจมูกและเอ่ย


” งานฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อเจ้า จวินโม่เซี่ย เจ้าคือเหตุผลหลักที่ทำให้ งานนี้เกิดขึ้น !  เจ้าจักได้รับการเปิดเผย มิว่าเจ้ากำลังทำอันใด เว้นแต่เจ้าจักรับความสบประมาทเหล่านั้นด้วยความเต็มใจ  กวีตอบโต้ของเจ้านั้นหยาบคาย … แต่เจ้ากลับคิดมันขึ้นมาได้ภายในเวลาอันสั้น  นี่คือพรสวรรค์อย่างหนึ่ง  ด้วยเหตุนี้ งานฉลองนี้จึงจบลงหลังจากกวีตอบโต้ของเจ้า นั้นก็เหมือนกันคำสั่งขององค์จักรพรรดิ  นั่นหมายความว่า องค์จักรพรรดิได้รับข้อสรุปแล้ว ! “


 


จวินวูอี้ยิ้มกว้าง


” โม่เซี่ย เจ้ายังมิได้เห็นข้อพิพาททั่วไปที่เกิดขึ้นในราชสำนัก  สถานการณ์นั้นยุ่งเหยิงยิ่งในวันนี้ แต่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมากมายทีผ่านมา บางทีก็แย่กว่านี้  ดังนั้น วันนี้เหตุใดองค์จักรพรรดิจึงมิอาจทนได้ ?  นั่งจึงเป็นเหตุ …. ให้ข้าคิดว่าสกุลจวินของเราเป็นเป้าหมายในการจักงานนี้ขององค์จักรพรรดิ !  โม่เซี่ย เจ้าต้องทิ้งเบาะแสงบางอย่างไว้  และ องค์จักรพรรดิเป็นผู้ที่ขี้สงสัยเกินกว่าจักถามว่า เหตุใด ?  พระองค์ไม่คิดว่าการกระทำของเรานั้นเพื่อตัวเราเอง  พระองค์เฝ้ามองพวกมันอย่าง ริษยาและคลางแคลงใจ  องค์จักรพรรดิทรงคิดว่า พวกเราเฝ้ารอเวลาและวางแผนการยิ่งใหญ่บางอย่าง !  ไม่ว่าเจตนาของเราจักเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ! “


 


ปู่จวินถอนใจยาวจากอีกฝั่ง  ดูเหมือนเขามิประสงค์จักฟังสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง  เขาได้คิดถึงในสิ่งเดียวกันเมื่อจวินวูอี้เอ่ยถึงจุดนี้  กะนั้น เขาก็ยังมิได้เอ่ยออกมา  เขารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้ แต่เขามิได้เอ่มันออกมาเนื่องจากเขาถือว่ามันเป็นความเข้าใจผิด  เมื่อคิดว่าหลังจากที่เป็นดั่งพี่น้องกันมานับสิปี … องค์จักรพรรดิจักกระทำกับสกุลของเขาเช่นนี้ …


เขารู้สึกโศกเศร้าเมื่อคิดถึงมัน


 


” องค์จักรพรรดิมีนิสัยที่ ขี้ระแวงและรอบคอบ  ดังนั้น ข้าเชื่อว่าพระองค์คงจักมิให้การเคลื่อนไหวที่รุนแรงเพื่อต่อต้านสกุลของเรา  สิ่งแรกพระองค์จักหาทางทำให้สกุลของเราอ่อนแอลงทีละนิด  และข้าจักเป็นผู้แรกที่จักแสดงความรุนแรงออกไป การโจมตีของสัตว์เชวียนแห่งป่าเถียรฟานี้ทำให้พระองค์มีโอกาสที่ดีเพื่อจัดการกับข้าเป็นคนแรก “


จวินวูอี้เอ่ยวาจาเหล่านี้อย่างไม่รีบร้อน แต่มีแววตาที่เยือกเย็นและแหลมคม  บุรุษสามารถมองภาพใหญ่ได้


 


จวินโม่เซี่ยยิ้มชั่วร้าย


” พระองค์จักทำผิดพลาดหากคิดเช่นนั้น … ท่านน้าสาม ข้าจักติดตามเจ้าไปในการต่อสู้หากเขาถูกบังคับให้ไป  ป่าเถียรฟานั้นเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมของสกุลเรา เท่าที่ข้าคิดได้ ! “


 


จวินวูอี้หรี่ตา


” เจ้าต้องการไป ?  หากเป็นเช่นนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจักต้องเสี่ยงตาย  แต่ สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดคือ … “


จากนั้นเขามองไปยังพ่อของเขา


” หากโม่เซี่ยและข้าออกไปยังป่านั่น ท่านจักต้องอยู่บ้านเพียงผู้เดียว … “


 


จวินจ้านเทียนหัวเราะสุภาพ


” พระองค์มิจำเป็นต้องรีบเคลื่อนไหวเพื่อจัดการข้าหรอก  อุ่นใจได้ สกุลจวินของเรายังมิได้สูญสียพลังอำนาจทั้งหมดไป  เหตุใดพระองค์จึงต้องลองวัดเจ้าก่อน ? “


 


จวินวูอี้เอามือจับหัว


“เด็กผู้นั้นยังมิได้พาจารณาในมุนั้มน “


 


จวินโม่เซี่ยยิ้ม


” ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้จักทำให้ท่านน้าสาม เป็นกังวลมากนัก “


 


ชายทั้งสามในสกุลสรุปการสนทนา วิธีแการแก้ไขสถานการณ์นี้เปลี่ยนแปลงไปตลอด


 


ชายทั้งสาม รู้สึกว่าเรื่องนี้ … เกินกว่าที่พวกเขาจักรับมือได้


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณชายน้อยจวิน เขารู้สึกว่ายังสามารถควบคุมเรื่องนี้ได้  เหตุใดเขาต้องเป็นกังวล ?


 


” โม่เซี่ย เจ้าสามารถลดความเข้มข้นในการฝึกฝน องครักษ์ทั้งสามร้อย นั้นลงสักหน่อยได้หรือไม่ ?  … พวกเขาเหนื่อยออ่นยิ่งนัก  ราวกับเจ้าต้องการให้พวกเขาวิ่งได้ ก่อนที่พวกเขาจักเดินเป็น “


สีหน้าจวินวูอี้จริงจัง ขณะเอ่ยหัวข้อนี้ขึ้น


 


จวินโม่เซี่ย เพิ่งมองอย่างงุนงงอยู่ชั่วครู่  จากนั้น เขาเริ่มเอ่ยขึ้นเชื่องช้า


” ท่านน้า ข้าเข้าใจความกังวลของท่าน แต่สิ่งที่ข้าต้องการจากการฝึกฝนพวกเขานั้นยังห่างไกลยิ่งนัก !  ข้าจักเพิ่มความ เข้มข้นใจการฝึกฝนพวกเขาทีละขั้น   แต่ ข้าจักไม่ลดลง !  สิ่งที่ข้าตั้งไว้ …และสิ่งที่ข้าต้องการ … คือกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ! “


 


จวินวูอี้ตกตะลึง


จำเป็นหรือที่ต้องฝึกฝนอย่างไร้ปรานี้เช่นนี้ต่อไป ?  หากข้าส่งทุกคนจากกลุ่มนั้นไปยังสนามรบในตอนนี้ … พวกเขาคงมิต่างอะไรจากเครื่องมือสังหาร !  ตอนนี้ … เขาบอกว่า การฝึกฝนของพวกเขานั้นยังห่างไกลเกินฝนสำเร็จ ?


 


หลานชายของข้าต้องการฝึกฝนสิ่งใด ?


 


และเหล่าทหารธรรมดาพวกเนี้จักสามารถทนต่อการฝึกฝนเหล่านั้นได้ ?


 


ในขณะนี้ ทหารเหล่านั้นถูกแบ่งแยกเป็นกลุ่ม และมุ่งหน้าเข้าหากันในสนามฝึกซ้อม  ทุกคนตัวเปียกชุ่มเหงื่อ  จวินโม่เซี่ยได้เริ่มการฝึกฝนที่เข้าข้นขึ้นตั้งแต่พวกเขากลับมาจากป่าเถียนฟา เขาเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเป็นสองเท่า และให้พวกเขาทำงานตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงทุกวัน คุณชายน้อยจวินใส่ใจรายละเอียดสุดท้าย


 


ถุงทรายถูกผูกไว้ที่แขน กระดูกสะโพก และขาของทุกคนในเวลานี้  ถุงทรายแต่ละถุงนั้นใส่น้ำหนักไว้มากยิ่ง พวกเขาได้รับอนุญาตให้ถอดออกได้เมื่อพวกเขากินอาหาร .. หรือหลับนอน  การฝึกฝนของพวกเขาต้องใช้กำลังมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปในทุกใน  เป็นดั่งการดิ้นรนระหว่างความเป็นตาย


 


และผู้คนภายนอกจักต้องตกตะลึงอย่างที่สุดหากพวกเขาได้เห็นสิ่งนี้  มันไม่คล้ายกับการต่อสู้ของ มนุษย์ หรือการฝึกฝนของกองทหารทั่วไป  แต่ดูเหมือนกับสัตว์ป่าชั่วร้ายกำลังฉีกทึ้งกันเอง ดวงตาของทุกคนมีแววแห่งความดร้าย และกลิ่นอายที่ชั่วช้าแผ่ออกมารอบตัว  ราวกับพวกมันเต็มไปด้วยความเกลียดชังลึกซึ้งที่มีต่อศัตรู … และก่อให้เกิดการต่อสู้ถึงความตาย


 


พวกเขาอดอนต่อการฝึกฝนที่โหดร้ายตลอดช่วงบ่าย  ปราณเชวียนที่อยู่ในร่างพวกเขาคล้ายกับธูปที่กำลังถูกมอดไหม้  พวกเขาพึ่งพาเพียงแต่ความแข็งแกร่งทางร่างกายและสัญชาตญาณของตัวเองเมื่อเข้าต่อสู้กัน


 


ไร้ฝุ่นละอองเพียงหนึ่งเม็ดในลานฝึกของสกุลจวิน  ทุกตารางนิ้วของลานฝึกเต็มไปด้วยเหงื่อและเลือด  ผู้คนต่างถูกกระแทกเข้ากับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูเหมือนว่า ฆ้อนเหล็กเหล่านั้นมิอาจสร้างความเสียหายแก่พื้นของสนามรบได้  ลานฝึกนั้นจึงมีพื้นผิวที่มันวาว …


 


เมื่อมองดู จึงทำให้รู้สึกน่าหวาดกลัว !


 


การต่อสู้มาถึงจุดสุดยอดเมื่อจวินโม่เซี่ยมาถึงที่นี่  ไม่มีผู้ใดหลงเหลือความแข็งแกร่งอยู่แล้ว


 


ทหารคำรามอย่างบ้าคลั่งและวิ่งเข้าใส่ผู้ที่ตัวใหญ่ เขาถูกทุบตีด้วยหมัดและการเตะ  ฝ่ายตรงข้ามมิได้หลบเลี่ยงการโจมตี และเขาก็มิยอมพ่าย เสียงตุ๊บดังก้องเมื่อหมัดและขาปะทะเข้ากับร่างของเขา ทั้งสองร่วงถอยหลังไป  จากนั้น เสียงระเบิดดังขึ้นขณะที่ก้อนของพวกเขากระแทกลงกับพื้น  จากนั้น ทหารทั้งสองคลานและลุกขึ้นมาต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง  ราวกับแรดยักษ์ทั้งสองเข้าปะทะกัน


 


สระน้ำของสกุลจวินแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ หม้อต้มขนาดใหญ่สิบใบวางอยู่ด้านข้าง หม้อเหล่านี้มีฟองผุดไม่สิ้นนสุด พวกมันถูกใช้เพื่อตระเตรียมสมุนไพร และจะมีคนเทยาน้ำเหล่านั้นลงไปเมื่อมันพร้อมแล้ว จากนั้น พวกเขาก็จะเติมน้ำ และสกัดยาต่อไป


 


ทหารนับร้อยเปลือยเปล่าอยู่ในบ่อ  ดวงตาพวกเขาบิดสนิท และมีสีหน้าจิงจัง และสุภาพ พวกเขามิได้อาบน้ำ  นี่คือการฝึกฝนอีกอย่างหนึ่ง  ในระหว่างนี้ จวินโม่เซี่ยจวินโม่เซี่ยให้พวกเขาแต่ละคนแช่ร่างในสระน้ำขณะที่ตัวยาถูกรินลงไป น้ำในบ่อจักถูกเปลี่ยนทุกสามวัน รวมถึงตัวยาเช่นกัน  ดังนั้น ทหารเหล่านี้จักแช่ร่างในสระยาทุกวันหลังจากการฝึกฝนเพื่อฟื้นฟูร่างกายและการบาดเจ็บโดยการดูดซึมตัวยาเหล่านี้


 


เหตุผลที่นี่ คือหนึ่งในวิธีการฝึกฝนนั่นคือ น้ำในสระจักเดือดอยู่เสมอ  แต่ไม่เพียงพอที่จักต้มพวกเขาทั้งเป็น  นอกจากนี้ ในน้ำยังผสมด้วยยาสมุนไพรล้ำค่า ที่จักฟื้นฟูงกำลังและบำรุงร่างกาย ทำให้พวกเขาสามารถทนต่อการฝึกฝนที่โหดร้ายได้


 


เป็นเรื่องปกติที่ทหารเหล่านั้นจำต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสมเพื่อน้ำสมุนไพรที่มาคุณค่าเช่นนี้  ดังนั้น การเปลี่ยนน้ำตัวยาจึงถูกกระทำโดยพวกเขาเท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น งานนี้ก็ต้องมิไปรบกวนเวลาการฝึกฝน


 


การฝึกฝนของจวินโม่เซี่ยมิเพียงถูกเรียกว่า โหดร้าย  จวินวูอี้เป็นทหารที่โหดร้าย แต่เมื่อเขาได้เหฯถึงสภาพอันเลวรายของทหารเหล่านี้ … เขารู้สึกว่าการฝึกฝนนี้เป็นสิ่งที่ผิดมนุษย์


 


จวินโม่เซี่ย หลบอยู่ด้านข้าง เขาเฝ้ามองทุกผู้อย่างพิถีพิถัน  คุณชายน้อยปรับเปลี่ยนความเข้มข้นของการฝึกฝนของพวกเขาทุกวัน  และทุกวัน ทหารเหล่านั้นก็ประหลาดใจเมื่อพบว่าเมื่อพวกเขาปรับตัวกับการฝึกฝนในวันหนึ่งได้ .. พวกเขาจักเกือบตายในอีกวัน ..


 


ขีดจำกัดของพวกเขาเพิ่มขึ้นในทุกวัน !


 


พวกเขาฝึกฝนทุกวัน ตลอดเวลา  และพวกเขาบรรลุขีดจำกันได้อย่างต่อเนื่อง  ร่างของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกสองวัน และพวกเขาประหลาดใจยิ่งเมื่อพบว่าระดับปราณเชวียนของพวกเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในทุกสองวัน  และ แม้นว่าการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นจักมิได้สำคัญ … แต่ถือว่ามันเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเวลาที่ผ่านไป

 

 

 


ตอนที่ 295

 

การบำเพ็ญปราณเชวียนของทหารในระดับนี้นั้นมิได้สูงส่งนัก ผู้ที่เป็นสุดยอดในหมู่พวกเขาเป็นเพียงแค่เชวียนทอง ในขณะที่สกุลอื่นๆนั้นอยู่ในระดับเชวียนเงิน แต่ ความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกเขานั้นสูงส่งจนน่าขนลุก !


ชายหน้าสิบคนยืนเรียงแถวห่างไปมิไกลนัก พวกเขาทิ้งมือค้ำไปด้านข้างด้วยท่าม้า  พวกเขาอยู่ใกล้เชิงกำแพง ด้านข้างผู้ที่ยืนในท่านั้น จะยังมีอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่พร้อมด้วยไม้ในมือ  ทุกผู้ที่อยู่ด้านข้างนั้นจักขบฟันและหวดไม้จนเกิดเสียง ฉึบ  เขาตีเข้าไปยังร่างกายทุกส่วนของผู้ที่ยืนอยู่  เสียงปะทะเหล่านั้นดังโหดร้าย คล้ายดั่งการหวดหนังวัว  แต่ ไม่มีผู้ใดที่ถูกตีจักแสดงสีหน้าแห่งความเจ็บปวดออกมา  อาจจะมีบางผู้ที่แสดงสีหน้ากระตุกหรือขมวดคิ้ว  แต่ พวกเขามิได้แสดงสัญญาณใดอื่นออกมาเลย


 


พวกเขายังคงยืนอยู่เช่นนั้น


 


แม้นจะโดนตีนับร้อยครั้ง  จากนั้น พวกเขาหายใจหอบขณะลุกขึ้นจากท่าม้า  แล้วยืดคอ บิดข้อมือ และหัวเข่าเพื่อออกกำลัง  ซึ่งก่อให้เกิดเสียง ป๊อก !  เสียงเหล่านั้นดังขึ้นคล้ายดั่งเสียงประทัด  จากนั้นพวกเขารับท่อนไม้มา  และผู้ที่เคยตีเขาก็ไปอยู่ในท่วงท่าของม้าแทน กล้ามเนื้อของพวกเขาอัดแน่นดั่งมังกรหนุ่ม


 


เสียงหวีดหวิวดังต่อเนื่องไป  เพียงเวลานี้เท่านั้น พวกเขาสลับกันฟาด และโดดนฟาด


 


คำสั่งจักถูกแพร่ไปหลังขากที่จบรอบของพวกเขา  จากนั้น พวกเขานับร้อยก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ  ทั้งสองกลุ่มต่างยืนอยู่บนสนาม ที่กลุ่มก่อนหน้านี้ได้รับคำสั่งให้ต่อสู้ด้วยเมือเปล่า  สองกลุ่มที่ต่อสู้กันในสถานที่นี้ ตัดระเบียบตัวเองและเดินไปยังเชิงกำแพง  จากนั้น พวกเขาทุบตีเพื่อนของเขา … และจากนั้นเปลี่ยนเป็นผู้ที่ถูกทุบตี …


 


จากนั้น ก็มีคำสั่งอื่นแพร่ออกมา จากนั้น อีกร้อยที่เพิ่งเข้ามาในสนามก็เริ่มการต่อสู้มือเปล่าที่น่ากลัว  ทุกหมัดและเท้าปะทะเข้ากับจุดสำคัญ ลิ้นปี่ คอหอย หน้าผาก ท้ายทอย ระหว่างขา หลังเข่า … ทุกๆจุดสำคัญ …


 


ฉากนี้ยากยิ่งจินตนาการ แต่จักทนต่อการทุบตีที่ขมขื่นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกกระนั้น ?  อย่างไรก็ดี พวกเขาเคยชินกับมัน  พวกเขาสามารถทนต่อทุการทุบตี  พวกเขาพยายามแยกแยะทุกความเป็นไปได้ในการป้องกันของคู่ต่อสู้  รักษาความสงบนิ่ง และหากติดกับดัก พวกเขาจักพยายามอย่างหนักเพื่อให้รอดพ้น


 


บางครั้ง คนผู้หนึ่งโจมตีคู่ต่อสู้ของเขาเข้าที่จมูก  ซึ่งอาจทำให้มีเลือดหลั่งไหลออกมามากมาย  แต่ สีหน้าของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และไร้ความรู้สึก  …ราวกับผู้ที่โจมตีเขามิใช่สหาย … หากแต่เป็นศัตรู


 


 


จากนั้น เกิดเสียงผิวปาก คนที่อยู่ในสระน้ำ ขึ้นจากสระ สวมเสื้อผ้า และเรียงแถวด้านข้างสระ  ในขณะที่คนที่อยู่ในสนามหยุดลง เดินไปยังสระอย่าเป็นระเบียบ และ จุ่มตัวลงไปหลังจากถอดเสื้อผ้า


 


คนที่เพิ่งขึ้นจากสระก็กลับไปเรื่องต้นการฝึกฝนอันหนักหน่วงอีกครั้ง  พวกเขามิได้ต่อสู้เช่นนี้เพียงครั้งเดียว  รอบนี้จะเป็นการโจมตีอย่างบ้าคลั่งระหว่างสองกลุ่ม  อาจจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว … หรืออาจเป็นการต่อสู้ที่ผู้หนึ่งปะทะกับคนจำนวนมาก


 


คนผู้หนึ่งอาจถูกล้อมจากคนมากมายในช่วงเวลาหนึ่ง และเขาอาจจะเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มที่ไปล้อมคนอื่นในช่วงเวลาต่อไป  ความวุ่นวายเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นตา และกินกว่าจะพรรณนา หลายครั้งที่ได้เห็นคนผู้หนึ่งล้มลงไปบนพื้น และโดนโจมตีอย่างชั่วร้ายไปยังช่องท้องและท้องน้อย ต่อมา ก็ได้เห็นเขาเหาะขึ้นมาและโจมตีใส่ผู้ที่อยู่โดยรอบ ทุกคนต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณแห่งมังกรและความป่าเถื่อนดั่งเสือในการต่อสู้ที่บ้าคลั่งนี้ …


 


ตลอดเหตุการณ์เหล่านี้ นอกจากหัวหน้าผู้ออกคำสั่ง และเสียงร้องปลุกใจแล้ว ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากสิ่งอื่นใดอีก  พวกเขาพูดด้วยสิ่งอื่น  พวกเขาใช้หมัด ขา ศอก และแม้แต่ไหล่ของพวกเขาในการเอ่ยวาจา …


 


ทั้งสามกลุ่มกระทำเช่นนี้วนไป  คนเหล่านี้เล่นในบทบาทของคู่ฝึกฝน แต่ สิ่งนี้เป็นเพียงกิจวัตรการฝึกฝนในช่วงวันเท่านั้น  พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนปราณเชวียนในช่วงเย็น กระบวนการฝึกฝนนี้เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความโหดร้ายยิ่งกว่าการฝึกฝนที่พวกเขาประสบในช่วงกลางวัน… การฝึกซ้อมแขน !


 


ทุกผู้ขบฟัน และใช้จิตวิญญาณและสติทั้งหมดเพื่อการฝึกฝนนี้  พวกเขาจะมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเท่านั้น


ข้าจักต้องทำตามมาตรฐานของคุณชายน้อย !


เนื่องเพราะคุณชายน้อยได้เอ่ยวาจาว่าการตรวจสอบครั้งสุดท้ายนั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา  พวกเขาจักถูกถอดจากทีมหากไม่ผ่านการทดสอบ  จากนั้น ผู้ที่เรียกได้ว่าล้มเหลว จักได้รับมอบหมายให้เป็น ผู้รักษาความปลอดภัย และ คนครัว !


 


… หลังจากได้สัมผัสถึงการพัฒนาที่รวดเร็วและมั่นคง …หลังจากได้พบกับความหวังอันชัดเจนที่จักได้เป็นยอดฝีมือทรงพลัง..ไม่มีพวกเขาคนใดประสงค์กลับไปมีชีวิตอันเสื่อมโทรมเช่นแต่ก่อน  มันคือความอับอายอย่างที่สุดของพวกเขา !


 


กองกำลังเหล็กเหล่านี้เป็นเหมือนดั่ง ปักษาสวรรค์ ที่เข้าสู่นิพพานหลังจากตายด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง และรอคอยการกลับคืนอีกครั้ง …


 


ดวงตาของจวินโม่เซี่ย ไร้ความปรานี้และเฉยเมย ขณะเฝ้ามองการฝึกฝนอันโหดร้ายในสนาม  ท่าทีของเขาสงบนิ่งและมั่นคง


 


เขามิได้ตั้งใจจะหยุดเพียงเท่านั้น  เขาจักใช้ยาอันเป็นเอกลักษณ์กับทหารเหล่านี้เมื่อพวกเขาบรรลุไปถึงขีดจำกัดขึ้นสูงของความแข็งแกร่ง  เมื่อนั้นตัวยาจักแสดงถึงผลอันเป็นเลิศ และความสามารถของทุกคนจักพุ่งทะยาน !


 


จวินโม่เซี่ยมอบหมายงานสังหารหมู่ให้กับทหารเหล่านี้ในอนาคต  เพียงแค่การสังหารหมู่เท่านั้น ! สังหารหมู่อย่างบ้าคลั่ง !  สังหารหมู่โดยไร้สิ้นสุด !


 


ปู่จวิน และ จวินวูอี้ ยืนเคียงข้างกันบนชั้นบนสุดของหอคอนในจวนสกุลจวิน  คิ้วของพวกเขากระตุกชั่วครู่ขณะได้เห็นการฝึกฝนที่โหดร้ายเบื้องล่าง


 


” วูอี้ เจ้าเห็นการฝึกฝนที่เขามอบให้พวกนั้นแล้ว … เจ้าคิดว่าเขาวางแผนการเช่นไรกับพวกเขา ?  เหตุใดเขาจึงฝึกฝนคนเหล่านี้เช่นนี้ ? “


ปู่จวินมีสายตาเซื่องซึม


 


” การฝึกฝนเช่นนี้จักทำให้ทหารเหล่านี้เป็น เจ้านายชีวิตของศัตรู !  ทหารเหล่านี้อาจพ่านแพ้ต่อศัตรูของเขาหรือไม่ แต่ข้าคิดว่าจวินโม่เซี่ยฝึกฝนเช่นนี้ด้วยความคิดเดียวคือ สังหาร ! “


จวินวูอี้เอ่ยวาจาพร้อมสีหน้าหิวกระหาย  ซึ่งเป็นธรรมดาที่ขุนพลทุกคนประสงค์จะได้ครอบครองทหารเช่นนี้หลังจากพวกเขาได้เห็น ความจิรง มันจักเป็นเรื่องไร้สาระยิ่ง หากจวินวูอี้ไม่รู้สึกปราถนาต่อกองกำลังที่มีความสามารถเช่นนี้


 


กองกำลังเช่นนี้เป็นความใฝ่ฝันของขุนพลทุกคน  มิต้องถึงสามร้อย แม้แต่ทหารเช่นนี้เพียงหนึ่งร้อยก็ทำให้กองทัพของขุนพลผู้นั้นมิอาจหยุดยั้งได้แล้ว  ทหารเหล่านั้นไร้เทียมทาน ไม่มีสิ่งใดจักมายับยั้งได้ !


 


พวกเขาจักกลายเป็นฝันร้ายของศัตรู !


 


” สังหาร … ! “


จวินจ้านเเทียนสีหน้ากระวนกระวาย


” แม้นพวกเขาจักฝนให้สังหาร … คำถามที่สำคัญคือ พวกเขาจักสังหารเพื่อสิ่งใด และเพื่อใคร ?  คำถามนี้สำคัญยิ่งเมื่อเจ้า ทำให้ผู้อื่นในอาณาจักรนี้ ในมุมมองของเจ้า … “


 


“เด็กผู้นี้จักแตกต่างจากคำพูดของพ่อเขา เด็กผู้นี้เชื่อว่าไม่ว่าสิ่งใดจักเกิดขึ้น กองทหารเหล่านี้จักพบว่าเขาตอสู้ให้คนเพียงหนึ่ง ! “


จวินวูอี้มองต่ำเยือกเย็น


” ทหารทั้งสามร้อยนี้จักต่อสู้เพื่อโม่เซี่ย จวินโม่เซี่ย และสกุลจวิน !  อนาคตของสกุลเราอยู่บนบ่าของจวินโม่เซี่ย  เช่นนั้น สำคัญอันใดที่คนทั้งอาณาจักรรอคอย ? “


 


” ความแข็งแกร่งเช่นนี้ … “


ดูเหมือนปู่จวินจักมิลดความกังวลลงเลย


” จักนำมาซึ่งความริษยา และคลางแคลงใจ เมื่อมันถูกเปิดเผย ! “


 


” ริษยา และคลางแคลง ?  เหตุใดกัน ? “


จวินวูอี้หรี่ตา  มีลำแสงอันคมกริบและเยือกเย็นพุ่งผานไป


” เมื่อใดกันที่สกุลจวินข้องเกี่ยวกับความผิดบาป ?  และสกุลจวินมิได้ค้ำจุนผู้คน ? “


 


ความคิดของจวินวูอี้เริ่มได้รับอิทธิพลมาจากความคิดของจวินโม่เซี่ย  เขาดูไม่เหมือนตัวเอง


 


ชายอาวุโสถอนใจ


ในวันนั้นข้าตัดสินใจถูกต้องแล้วหรือ ?  ผู้มีความสามารถของสกุลจวินเสื่อมลง …. ข้าควรจักรับผิดชอบอันใดบ้างไหม ?


 


” ด้วยจวินโม่เซี่ย … สกุลจวินของเราจักเติบโตอย่างรวดเร็ว !  ไม่มีอำนาจใดจักดึงพวกเรากลับไปได้ !  ข้ามั่นใจในเรื่องนี้ ! “


จากนั้น จวินวูอี้หันหน้ามองไปยังลานฝึก  และเอ่ยต่อไปเชื่องช้า


” แต่กระนั้น พวกเราต้องการเวลาและความแข็งแกร่งเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย  พวกเราต้องการความแข็งแกร่งที่แท้จริง !  และตอนนี้ พวกเราได้มีต้นแบบของความแข็งแกร่งนั้นแล้ว! “


จวินวูอี้กำหมัด  เสียงข้อต่อของเขาลั่นดัง


 


” เจ้าโม่เซี่ยเลวนั้นมิได้บอกว่าเขาจักตรวจสอบการฝึกฝนนี้ ?  เช่นนั้น เหตุใดข้าจึงมิเห็นแม้เงา ? “


ปู่จวินมองไปรอบๆ


 


” การฝึกฝนของคนเหล่านี้มิต้องมีผู้ใดมาควบคุม “


จวินวูอี้เอ่ย  ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม


” การฝึกฝนนี้บรรลุไปถึงขั้นที่น่าประหลาดใจ !  และสำหรับจวินโม่เซี่ย … ข้ามิรู้ว่าเขาอยู่ที่ใหนหรือทำสิ่งใด  แต่ พวกเรามิควรพยายามควบคุมเขา เขาสามารถดูแลตัวเองได้  พวกเรามิควรเป็นกังวลเรื่องนั้น ท่านพ่อ เขาเป็นดั่งมังกรที่กำลังซ่อนเร้น  พวกเราควรให้อิสระกับเขา “


 


” เจ้าคิดว่าเรามิควรเป็นห่วงเขา ?  เจ้าคิดทุกสิ่งดีแล้วหรือ … ?  แล้วเจ้าควรทำตัวเหมือนที่ น้า ควรทำ  นี้ยังไม่เพียงพอ  โม่เซี่ยนั้นไม่เด็กแล้ว  เจ้าไม่คิดถึงการแต่งงานของเขาหรือ ? “


 


” ท่านไม่ได้เห็นการเติบโตของเขาในวันนั้นหรือ ?  เช่นนั้น ข้าจักรู้ได้อย่างไรหากเขาโตพอจักมีเมีย … ?  เป็นเช่นไร สินทรัพย์ของเขานั้นดีพอหรือไม่ ? “


จวินวูอี้เอ่ยถามด้วยท่าทีสูงส่ง


 


” ดียิ่งนัก แท้จริงแล้ว เขานั้นเกินกว่าอาวุโสผู้นี้ในวันเก่าเสียอีก … ฮ่า !  เจ้าชั่วช้า !  เจ้ากำลังพูดสิ่งใด !  เจ้าประสงค์การลงโทษกระนั้น ?! “


ปู่จวินรู้ตัวทันใดและยกมือขึ้น  เขาประสงค์จักสังสอนลูกชายคนนี้


 


คุณชายสามหัวเราะ


” เหตุใดท่านจึงมีโทสะ ท่านพ่อ ?  เจ้ามิได้มีความสุขหรอกหรือที่จวินโม่เซี่ยเติบโตขึ้น ?  เป็นเพียงแค่ว่าเมื่อถึงเรื่องการแต่งงาน … แน่นอนเขาจำต้องใช้เวลาเพื่อตัดสินใจ  แต่ หากท่านวางแผนเพื่อบังคับเขาให้ทำบางสิ่งที่เขาไม่ต้องการ … ข้าจักไม่คัดค้านใดๆ  และข้าอยากจะเห็นมันเกิดขึ้น “


 


เผชิญหน้ากับลูกชายข้าก็เหมือนเผชิญหน้าศัตรู…


ปู่จวินพบว่าตัวเองเจอปัญหาเมื่อคิดเช่นนั้น  เขารู้ว่ามิอาจหว่านล้มหลานชายอันมีค่าของเขาในการทำเรื่องที่ขัดกับความต้องการของเขาได้ …. ปล่อยให้เรื่องที่สำคัญเป็นเพียงสเรื่องการแต่งงาน ….


 


” เจ้าเด็กสาวตู่กู้น้อยผู้นั้นดีกับโม่เซี่ย และข้าเห็นว่าโม่เซี่ยก็สนใจนาง  มีผู้ใดอื่นอีกไหม ?  ข้ามิอาจทนดูเด็กสาวผู้นั้นกับโม่เซี่ยได้ ! “


จวินจ้านเทียนถาม ดูเหมือนเขาไม่เต็มใจ


 


ไม่มีสิ่งใดสง่างามในเรื่องนี้ พ่อและหลานชายเริ่มสร้างฮาเร็มสำหรับหลานชายของเขา


 


” นอกจากนี้ …. โม่เซี่ยให้ความสนใจกับ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ อาจมีบางผู้ที่นั่น … “


จวินวูอี้ขยิบตา


 


จวินจ้านเทียนเกือบเป็นลม เขาใช้มือประคองตัวเอง


” มีใดอื่นนอกจากที่นั่นไหม ? “


 


” ข้าจำได้ว่า … โม่เซี่ยมีความฝักใฝ่ในตัว จิ้งฮั่น… “


จวินวูอี้กระแทกและเหาะออกไปทางหน้าต่างในตอนที่เขาเอ่ยวาจาเหล่านั้นจบ  แม้แต่เงาของเขาก็มิหลงเหลือไว้เบื้อหลัง  เขารู้สิ่งที่รอคอยเขาอยู่ หากเขายังคงอยู่ที่นั่น


 


” เจ้าเลว !  ออกไปเสีย ! “


จวินจ้านเทียนกระโดดขึ้นด้วยโทสะ แต่ เขาตระหนักได้ว่าลูกชายของเขาก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไร้ทางเลือก ทำได้เพียงเบิกตากว้าง กระทืบเท้า และคำรามลงมาจากหอคอย อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็หยุดคำราม และเริ่มครุ่นคิด …


 


” สกุลจวินของเราจำต้องรอนานอีกหรือ ? “


เขาถอนใจยาวและพยักหน้า


 ” ไร้สาระ !  ไร้สาระที่สุด ! “


ผู้อาวุโสไร้วาจาอื่นนอกจากคำว่า ไร้สาระ


 


จวินโม่เซี่ยอยู่ข้างลานฝึกเมื่อเขาได้ยินเสียงคำรามเบาๆของปู่ เขาอดที่จะพึมพัมด้วยความสับสนมิได้


” เหตุใดท่านปู่จึงคำราม ?  ครั้งนี้ ผู้ใดเป็นคนจุดไฟ ?”


 


คุณชายน้อยจวินมิรู้เลยว่าเขาอยู่เบื้องหลังการมีโทสะของปู่ … แม้นว่าเขานั้นไร้ความผิดจริงๆ


 


ร่างของจวินโม่เซี่ยหายไปจากด้านข้างลานฝึกอย่างไร้ร่องรอย


 


จวินโม่เซี่ยมองขึ้นบนฟ้าและคาดว่าอีกมินานจักค่ำ  หัวใจเขาเต็มไปด้วยการคอคอยอย่างคาดหวัง  เขากำลังจะจัดการกับเรื่องสำคัญในคืนนั้น


 


สิ่งแรก คือเครื่องประดับที่ถูกสวมใส่โดย เซี่ยวเฟิงวูแห่งนครพายุหิมะสีเงิน  มันเป็นสิ่งของที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง  เหตุใด สิ่งของสามัญเช่นนี้ทำให้เจดีย์หงษ์จวินตอบสนองเช่นนั้น ?   คุณชายน้อยจวินมิรู้ถึงจุดกำเนิดของสิ่งนั้น  แต่ มิสำคัญว่าเขาจักรู้หรือไม่  เขาก็คิดแผนการขึ้น และค่อนข้างมั่นใจในการกลับมาพร้อมของชิ้นนั้น


 


ต่อมา การลอบสังหารผู้ที่ลอบสังหารเขา ! จวินโม่เซี่ยมีความสนใจยิ่งในเรื่องนั้น


 


ไม่เพียงแต่จวินโม่เซี่ยชื่นชอบการดำเนินการของผู้นั้น … เขายังยอมรับมันอย่างสูง


 


คนผู้นั้นไม่แม้แต่จักหันไปมองแม้นว่าการกรพทำของเขาจักไม่ได้ผล  แต่เขากลับหนีไปไกล และเขาก็มิได้กระทำงานนั้นอย่างเลินเล่อ ชายผู้นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับที่ มือสังหารจวินได้ใช้ในชีวิตก่อน  คนผู้นี้เป็นเพียงผู้เดียวที่ จวินโม่เซี่ยยอมรับว่าเป็นมือสังหาร ในโลกนี้  มือสังหารกลุ่มอื่นที่เขาได้เผชิญหน้าในโลกนี้มิได้เป็นอะไรไปมากกว่ายอดฝีมือเชวียนชั้นดี


 


พวกเขาได้รับขนานนามว่ามือสังหาร ?


 


คนเหล่านั้นมิสมควรได้รับชื่อเสียงของมือสังหาร !


 


ยิ่งไปกว่านั้น มือสังหารผู้นั้นมีเคล็ดวิชาเป็นเอกลักษณ์และรวดเร็วยิ่ง  ความสามารถในการสังหารของจวินโม่เซี่ยนั้นสามารถยิงออกไปได้รามลมบ้าหมู หากเขาได้รับความสามารถเช่นนั้น  จากนั้น เขาก็มีหวังที่จะสามารถสังหาร เทพเชวียนได้ดด้วยวิธีการเช่นเดียวกันนั้น


 


จักต้องมีความลับบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังความเร็วของเขา


 


จวินโม่เซี่ยซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าจนเขาเข้าใกล้ลานบ้านเล็กของเขา  ความคิดของเขาหยุดลง และเพ่งมองออกไปด้วยความสับสนเมื่อเห็นเงาสองร่างอยู่เบื้องหน้า


 


สองร่างเงานั้นอยู่ตรงทางเข้าลานบ้านของเขา  พวกเขาเตี้ยและบอบบาง  คุกเข่าอยู่บนพื้น หลังของพวกมเขายืดตรง ไม่มีหนทางจักจินตนาการได้เลยว่าพวกเขาคุกเข่าอยู่เช่นนี้นานเพียงใด  กระนั้น พวกเขาดูดื้อรั้นและไม่ประสงค์จะหยุด


 


โม่เซี่ยถอนใจขณะที่ร่างอันไร้เงาของเขาเดินฝ่านพวกเขาไป ทั้งสองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเด็กที่เขาและน้าชายช่วยเหลือมาจาก หอฮ้งฮั๊วะ เด็กที่เหลือถูกย้ายไปอยู่ในสถานที่ ที่ดี  แต่ เด็กสองคนนี้ปฏิเสธที่จักออกจากชีวิตพวกเขา  พวกเขาเพียงประสงค์จะเรียนรู้วิชาที่พวกเขาสามารถเอาไปแก้แค้นได้


 


ความพิการของเขานั้นมิได้ถือว่ารุนแรง  แต่ พวกเขาทั้งสองนั้นเป็นใบ้ ลิ้นถูกตัดขาด  พวกเขามิสามารถพูดได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคนหนึ่งมีเพียงมือซ้าย


 


มิใช่ว่าหัวใจของจวินโม่เซี่ยจักไม่ถูกกระตุ้นด้วยความเพียรของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธพวกเขาอย่างไม่เต็มใจหลังจากการทดสอบ เด็กเหล่านี้มีความตั้งใจอย่างน่าประหลาด และความเกลียดชังที่มีต่อศัตรูนั้นก็สูงส่ง แต่ ความสามารถในการเรียนรู้ของพวกเขานั้นสามัญนัก มิต้องเอ่ยกล่าวถึงความจริงที่ว่าร่างกายของพวกเขามีความพิการ


 


หอฮ้งฮวะมิได้ละทิ้งโกาศในการบำเพ็ญของพวกเขาอย่างไร้เหตุผล


 


จวินโม่เซี่ยฝึกฝนเด็กทั้งสองสุดกำลัง เขาคาดว่าเขาสามารถใช้วิธีการฝึกฝนที่โหดร้ายเพื่อให้เหมาะกับความตั้งใจของพวกเขา  พวกเขาสามารถพัฒนาไปได้อย่างมีนัยยะภายในเวลาเพียงสิบปี ตราบใดที่พวกเขาสามารถอดทนต่อการฝึกฝนที่โหดร้าย และมีการล้างบาปด้วยไฟโบราณ  ความจริง พวกเขาอาจมีโอกาสไปถึงขั้นปฐพีเชวียน


 


ขั้นปฐพีเชวียนนั้นมิได้ถือว่าน้อย คนสามัญนั้นดิ้นรนทั้งชีวิตเพื่อให้บรรลุไปถึงขั้นนั้น มันเป็นเป้าหมายที่สูงส่งสำหรับสามัญชน แต่ แต่เป้าหมายนี้ไร้ความหมายในสายตาของคุณชายน้อยจวิน และเด็กเหล่านี้


 


แต่ จวินโม่เซี่ย สามารถฝึกฝนพวกเขาได้หรือ ?  เขาใช้เวลาและเงินทองมากมายในการฝึกฝนและฟื้นฟู ยิ่งไปกว่านั้น มันจักเสียหายยิ่งหากการพัฒนาของพวกเขาหยุดอยู่เพียงแค่ขั้น ปฐพีเชวียน ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงใคร่ครวญข้อนี้เป็นเวลานาน จากนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าการบำเพ็ญของพวกเขานั้นไม่มีค่าเพียงพอให้พยายาม


 


ยิ่งไปกว่านั้น ความรุนแรงในความต้องการล้างแค้นของเขานั้นมิได้ช่วยส่งผลอันใดในระยะเวลาอันสั้นนั้น  ดังนั้น มันจึงไม่มีความสำคัญอันใด


 


จวินโม่เซี่ย สงสารพวกเขา  ความจริงแล้ว เขาแอบสรรเสริญในจินตานุภาพของพวกเขา แต่ เขารู้ว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น


 


แต่ เห็นได้ว่าเด็กสองคนนั้นคุกเข่าอยู่นอกลานของจวินโม่เวี่ยตั้งแต่เขาปฏิเสธไม่ฝึกฝนให้  พวกเขาไม่เอ่ยวาจา แต่แววตาของพวกเขาอ้อนวอนเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นเขา


 


มันเป็นเวลาเก้าวันแล้ว ที่พวกเขาคุกเข่าอยู่หน้าทางเข้าลานบ้านของจวินโม่เซี่ย


 


ร่างเพรียวบางของพวกเขาสั่นเทาขณะเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยของจวินโม่เซี่ย  พวกเขายืดหลังขึ้นอีก แต่ยังคงคุกเข่ามิเคลื่อนไหว


 


คุณชายน้อยจวินถอนใจ ขณะเขาเดินเชื่องช้าไปยืนตรงหน้าพวกเขา


” เงยหน้า และมองข้า ! “


 


น้ำเสียงของเขาเป็นเหมือนดั่งคำสั่งที่พวกเขามิอาจท้าทาย


 


ร่างของพวกเขาสั่นเทาขณะมองไปยังใบหน้าของจวินโม่เซี่ยตามคำสั่ง


 


จวินโม่เซี่ยเหลือบมอง  ทั้งสองจักต้องมีอายุราว สิบสามหรือสิบสี่ปี  กระนั้น แววตาของพวกเขาก็มิได้แสดงถึงความรีบเร่งและความปรารถนาดั่งเช่นวันที่ผ่านมา สีหน้าเหล่าหน้าเหล่านั้นเป็นดั่ง ความสงบแห่งชีวิต


 


แต่ก็มิได้เหมือนดั่งความสงบนิ่งที่ว่างเปล่า  ดูเหมือนพวกเขาไม่ยี่ระ ความเป็นตาย สงบนิ่งดั่งผู้ที่มิได้สนใจในโลกคนเป็น


 


ความสงบนิ่งแห่งชีวิตนั้น มิได้มีความหมายเหมือนกับความว่างเปล่า


 


จวินโม่เซี่ยถอนใจภายในใจ


สายตาเหล่านี้เหมือนดั่งเช่นมือสังหารอันดับหนึ่ง


ผู้ที่สามารถแสดงความรู้สึกนี้ออกมาทางแววตาเนื่องจากพวกเขาถูกกดขี่อย่างรุนแรง และเริ่มคิดว่าชีวิตนั้นไร้ค่า  ความจริง คนเช่นนี้ถือว่าชีวิตของพวกเขานั้นไร้ค่า


 


หากพลังตามธรมมาชาติของพวกเขาดีกว่านี้ … ตราบใดที่มันดีกว่านี้อีกนิด จวินโม่เซี่ยจักรับพวกเขามาโดยไม่ลังเล อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนั้นเขาหมดหนทาง  พลังตามธรรมชาติของเขาพวกเขานั้นต่ำต้อยเกินไป …


 


ขอเพียงความตั้งใจเพียงหนึ่งส่วน และหยาดเหงื่อเก้าสิบเก้าส่วนจึงจักน่าเกรงขามได้  แต่ ความตั้งใจ หนึ่งส่วนนั้นคือจุดสำคัญ  สำคัญยิ่งกว่า หยาดเหงื่อเก้าสิบเก้าส่วน


 


” บอกเหตุผลพวกเจ้ามา ! แสดงถึงความมุ่งมั่นของเจ้าให้ข้าดู ! “


จวินโม่เซี่ยรู้สึกเห็นใจ  เด็กทั้งสองนั้นมีความอดทนยิ่ง  คนสามัญมิอาจคาดคิดถึงความอดทนของพวกเขาได้  หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อศัตรู แต่พวกเขาไม่มีความสามารถในการฝึกยุทธ์  ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงอดถอนใจมิได้


 


ความมุ่งมั่น ?


 


เด็กทั้งสองมองหน้ากัน  จากนั้น พวกเขาพยักหน้าแข็งขัน


 


เด็กที่อยู่ด้านซ้ายเอานิ้วมือที่ยังเหลืออยู่เขาไปในปากของตัวเอง  จากนั้นล้วงลงไปอย่างเด็ดเดี่ยว เด็กคนนั้นกัดลงไปด้วยความพยายาม และหันหัวไปด้านข้างจนกระทั้งเนื้องของเขาหาดเป็นชิ้น  สายเลือดหลั่งไหลจากนิ้วของเขา  ทั้งร่างของเขาสั่นด้วยความเจ็บปวด และใบหน้าซีดเผือก  แต่ เขายังคงนิ่งเฉย  จากนั้น เด็กผู้นั้นเริ่มเขียนตัวอักษรลงบนพื้นด้วยเลือดของเขา เขาเขียนไปได้เพียงครึ่งหนึ่งเมื่อเลือดของเขาไหลช้าลง เขามองไปด้วยความไม่พอใจ  จากนั้นจึงเอานิ้วเข้าไปในปากอีกครั้ง  เขากัดลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง จนเนื้องของเขาฉีกยิ่งขึ้น


 


กระดูกนิ้วมือชิ้นเล็กของเขาโผล่ขึ้นมา  เนื้อสีขาวและเลือดที่ผสมบนเปกันร่วงหล่นลง สายเลือดพุ่งกระจาย มันกระจายไปไกลจนกระเด็นใส่หน้าของจวินโม่เซี่ย


 


เด็กอีกคนทำตามคนก่อน และกัดนิ้วของเขา  ร่างของเด็กทั้งสองสั่นเทา แต่พวกเขายังคงควบคุมตัวเองได้ในขณะที่เลือดพุ่งกระจาย จากนั้นพวกเขาเขียนตัวอักษรที่ตรงและใหญ่บนพื้น


 


เด็กที่อยู่ด้านซ้ายเขียนว่า


” ข้าจักสังหารพวกเขาโดยการฟัน  ข้าจักไม่เสียใจจนวันตาย “


 


เด็กด้านขวาเขียนว่า


” คนเหล่านั้นมิได้ทรงพลัง พวกเขาสามารถตายได้ “


 


คำพูดของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยพลัง  ทั้งสองตัวสั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ พวกเขาเขียนตัวหนังสือแต่ละตัวอย่างพิถีพิถันและความพยายามอย่างยิ่ง


 


เด็กทั้งสองมองหน้าจวินโม่เซี่ยหลังจากเขียนจบ และเอาหัวโขกพื้นอย่างรุนแรง


 


ทันในนั้นดวงตาจวินโม่เซี่ยแดงก่ำ  เขารู้สึกประหลาดใจใน หัวใจของเขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรง


 


จวินโม่เซี่ยใช่ชีวิตอย่างเย็นชามาเสมอทั้งสองช่วงชีวิต เขาไม่เคยมีความเมตตา และมองทุกสิ่งอย่างดั่งหญ้าเตียน หรือ หมาชั้นต่ำ  เขาเย็นชา และไม่คิดสิ่งใดกับคนสามัญ เขามิเคยรู้สึกกระวนกระวายแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อพบเจอกับความน่าหวาดกลัวของ หอฮ้งฮัวะ ในวันนั้น  ไม่รู้หวั่นไหวแต่น้อย  แต่ การกระทำอันดื้อรั้นของเด็กสองผู้นั้นส่งผลต่อเขาลึกซึ้ง


 


” ดี !  หากนี่คือสิ่งที่เจ้ารู้สึก ข้าจักไม่ปกปิดโอกาสของเจ้า !”


จวินโม่เซี่ยถอนใจยาว  สีสันในดวงตาของเขาเปล่งกระกายขณะเขาลดเสียงลงต่อเนื่อง


”  โอกาสที่ข้าให้เจ้าอาจมอบพลังอำนาจที่ท้าทายกฏสวรรค์ให้แก่เจ้าในวันหนึ่ง  แต่ สำคัญที่เจ้าต้องจำไว้ว่า เส้นทางเหล่านั้นจักเต็มไปด้วยการสังหารและความตาย !  ข้าหวังว่าเจ้า .. จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง “


 


เด็กทั้งสองมองขึ้นมาพร้อมเพรียง  พวกเขาไร้วาจา เพียงแต่สายตาเต็มไปด้วยความปิติ  จากนั้น ความปิติเหล่านั้นเลือนหายไปเหลือไว้เพียงความแน่วแน่ในการติดสินใจ ราวกับพวกเขาได้ตัดสินใจมาจากก้นบึ้งแห่งจิตวิญญาณ  พวกเขามองจวินโม่เซี่ยและโขกหัวกับพื้น  หัวของผู้หนึ่งบาดเจ็บ และเลือดเริ่มหลั่งไหล


 


จวินโม่เซี่ยรีบคว้าเด็กผู้นั้นเข้ามาในวงแขนและเหาะเข้าด้านใจ จนเขาเกือบจะระเบิดเข้ามา ทั้งสองได้รับบาดเจ็บอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่น  พวกเขามิได้เปล่งเสียงใดเพื่อแสดงความเจ็บปวด แต่พวกเขาจักพบกับปัญหายิ่งหากมิได้รับการรักษาทันเวลา  สิ่งนี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่


 


จวินโม่เซี่ยตัดสินใจจะช่วยหเหลือแล้ว  เช่นนั้น เขาจักมิปล่อยให้เหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นอีก


 


พวกเขามิความมุ่งมันอันยอดเยี่ยม  อาจจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่ความมุ่งมั้นอันมหาศาลของพวกเขามิอาจทดแทนได้เลยหรือ ?  จำนวนของผู้ที่มีความสามารถอันสำคัญนั้นเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในแผ่นดินนี้  แต่ จักมีผู้คนสักเท่าไหร่ที่มีความมุ่งมั่งอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ ?


 


จักบรรลุความสามารถอันใดได้หากพวกเขามิได้ปราถนา .. ?


 


เมื่อคนผู้หนึ่งจัดการกับตัวเองอย่างอำมหิต พวกเขาจักจัดการกับศัตรูเช่นไร ?


 


สองวลีที่เขียนด้วยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตรงทางเข้าลานบ้าน  แต่ละคำที่อยู่ในวลีเหล่านั้นเปล่งประกายเจิดจ้า


 


” ข้าจักสังหารพวกเขาโดนการฟันให้ล้มลง ข้าจักไม่เสียใจจนวันตาย “


 


” ผู้คนเหล่านั้นมิได้ทรงอำนาจ สามารตายได้เช่นกัน “


 


ม่านหมอกแห่งความมืดมิดปกคลุมท้องนภา


 


จวินโม่เซี่ยขมวดคิ้วและครุ่นคิดล้ำลึกขณะเขามองไปยังร่างอันผอมบางและอ่อนแอที่นอนอยู่บนเตียงของเขา


 


ที่พำนักของเขาเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บ  กลิ่นยาปกคลุกคละคลุ้งทั่วไปในอากาศ


 


อยี่กู้ฮั่น นอนอย่างสงบบนเตียงขนาดใหญ่ด้านข้าง  ลมหายใจของเขาเบาบาง แต่มิได้เป็นอันตราย


 


จวินโม่เซี่ยกางเตียงอีกหนึ่งตัวขึ้นด้านข้าง  ซึ่งตอนนี้เป็นของเด็กทั้งสองผู้นั้น


 


ผู้บาดเจ็บทั้งสาม สามผู้ที่ไร้ความสามารถ


 


เด็กทั้งสองได้ใช้พลังของเขาจนถึงขีดจำกัด  พวกเขาหมดสติไปหลังจากจวินโม่เซี่ยสัญญาว่าจักช่วยเหลือ แต่พวกเขาหมดสติไปอย่างไร้ซุ่มเสียง  ไม่มีแม้แต่เสียงกรน


 


จวินโม่เซี่ยได้พบเห็นผู้ที่โหดเหี้ยมมากมาย  แต่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้ที่มีความโหดร้ายอย่างยิ่ง และไร้ซึ่งความสามารถในการต่อสู้


 


ปิศาจตัวน้อยเหล่านี้จักโหดร้ายยิ่งกว่าข้ากระนั้น ?


 


เนื่องจากข้าสัญญาจักช่วยเหลือเขา … ข้าจักฝึกฝนผู้ไร้ความสามารถเหล่านี้ภายในเวลาอันสั้นได้เช่นไร ?


จวินโม่เซี่ยรู้อันใดเลยในเรื่องนี้


 


ด้วยปราณเชวียน ?  ไม่ วิธีการนี้มิอาจทำได้  หอ ฮ้งฮัวะ คงจักไม่จับพวกเขาใส่โถยักษ์เหล่านั้นไว้หากพวกเขาม่ความสามารถในการฝึกฝนปราณเชวียน


 


หากมองในมุนนั้น !


 


จวินโม่เซี่ยยืนขึ้นทันใด ประกายชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา


อย่างน้อย ข้าสามารถสั่งสอนพวกเขาด้วยวิธีการหลักในชีวิตก่อนของข้า !  ข้าจักฝึกฝนพวกเขาตามกฏเกณฑ์ที่ข้าได้ฝึกฝนในวันเหล่านั้น  และพวกเขาจักก้าวหน้าไปได้มากเช่นไร … มันจะต้องฝากไว้กับโชคชะตาของพวกเขา  ! และข้าน่าจะสามารถกลั่นยา ชำระแก่น ได้หากข้าสามารถบรรลุ เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ ถึงขั้นที่สี่


 


ข้าจักฝึกฝนสองผู้นี้ให้เป็นสิ่งที่จักทำให้ทั้งดินแดนเชวียนเชวียนต้องตกตะลึงด้วยตัวเอง  จนท้ายที่สุดพวกเขาจักมีความสามารถในการสังหารแม้แต่เทพแห่งดินแดนนี้ !  ด้วยความมุ่งมั่นของพวกเขา เคล็ดสำคัญของข้า และ ตัวยา … ปิศาจที่น่ากลัวทั้งสองจักเปล่งประกายขึ้นราวกับดวงดารา !


 


จวินโม่เซี่ยออกจากห้องไปอย่างแผ่วเบา และนั่งลงตรงธรณีประตู  เขามองขึ้นไปบนท้องนาภาค่ำคืน  ความคิดของเขายืดยาว และในที่สุดเวลาอันเนิ่นนานผันผ่านไป  ความดื้อรั้นของเด็กทั้งสองก่อให้เกิดความคิดถึงห่วงเวลาแห่งอตีดของเขา


 


ในชีวิตก่อนข้างคงจักไม่เหมือนกับเด็กสองคนนี้ ?  ข้าเคยเล่นสนุกกับชีวิต  ข้าผลักดันตัวเองถึงขีดจำกัดในการฝึกฝน กี่ครั้งหนที่ข้าก้าวผ่านการช็อคจากความเจ็บปวด ?  กี่คราวที่ข้าผลักดันตัวเองไปจนถึงความตาย ?


 


ชื่อเสียงอันไร้ผู้ใดเปรียบของจวินเซี่ย กำเนิดขึ้นได้เช่นไร ?  ผู้ใดจักรู้ว่าต้องใช้ความพยายาม หยาดเหงื่อ และน้ำตามากมายเพียงใดเพื่อชื่อเสียงของเขา …​?  สหายศิษย์ของเขาพยายามอย่างมาก แต่การฝึกฝนของเขานั้นยิ่งกว่าเป็นสามเท่า


 


ทุกผู้ที่ประสงค์จักประสบความสำเร็จและเป็นเลิศ จักต้องโหดร้ายกับตัวเองมากยิ่ง !


 


เผชิญกับศัตรูด้วยความดุร้ายนั้นไม่สำคัญ การดุดันกับตัวเองคือสิ่งสำคัญ  มือสังหารที่แท้จริงมิสนถึงชีวิตของตัวเองหรือความสำเร็จของพวกเขา  กังวลเพียงความสามารถในการก่อให้เกิดความเสียหาย  ความกังวลในใจพวกเขาจักเป็นดั่งอุปสรรค


 


เหล่านี้ … คือคำพูดของอาจารย์ของเขาในชีวิตก่อน !


 


ภาพของใบหน้าล่องลอยขึ้นตรงหน้าจวินโม่เซี่ย มันเป็นใบหน้าซึ่งมืดดำราวเหล็ก และ เยือกเย็นราวน้ำแข็ง  กลิ่นไออันชั่วร้ายหลังไหลออกมาจากดวงตา  แต่ เขารู้สึกผ่อนคลายเมื่อใดก็ตามที่ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขา  กระนั้น จวินโม่เซี่ยสามารถรู้สึกถึงการมีอยู่ของดวงตาคู่นั้นได้แม้ว่าเขาพยายามจะหลีกเลี่ยง


 


ดวงตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่า  ราวกับพวกมันเคลื่อนผ่านสองโลก และเพ่งมองเขามาจากที่ห่างไกล


 


เขาสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น ดั่งเช่นในอดีต หากแต่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นมงคลและสงบ


 


” อาจารย์ … “


จวินโม่เซี่ยก้มหัว และเอามือกุมเข่าด้วยความโศกเศร้า  ประตูเปิดออก ลำแสงส่องผ่านรอยแยกออกมา ก่อให้เกิดเงาของจวินโม่เซี่ย เงาของเขาสั่นสะท้านท้ามกลางลมหนาว  ค่อนข้างโดดเดี่ยว


 


อำนาจ … มีค่าพอแสวงหา ?


 


เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากเบื้องหลัง จากนั้นรู้สึกถึงเสื้อคลุมอันอบอุ่นปกคลุมร่าง


 


จวินโม่เซี่ยยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม และเอ่ยถาม


” บอกข้าเคอน้อย … เจ้าประสงค์จักกลายเป็นผู้ทรงอำนาจไหม ? “


 


” เอ๋ ? “


เด็กสาวตัวน้อยเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ  ชัดเจนว่าไม่เป็นสิ่งคาดคิด


” กลายเป็นผู้ทรงอำนาจ ?  จักเอาไปใช้อันใด ? “


 


” จักเอาไปใช้อันใด ?  เป็นคำถามที่น่าสนใจ  หากเจ้าเป็นดั่งเช่นตาเฒ่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เจ้าสามารถสังหารผู้ใดก็ตามที่เจ้าต้องการ เจ้าสามารถอยู่ในโลกนี้อย่างอิสระ เจ้าไม่ต้องการมีชีวิตเช่นนั้นหรือ ? “


จวินโม่เซี่ยถามจริงจัง


 


สาวน้อยเดินไปด้านข้างเขา และนั่งลงเชื่องช้า  จากนั้นนางเงยหน้า และเอามือเท้าคาง  จากนั้นเด็กสาวมองจันทราและเริ่มครุ่นคิดจริงจัง  แสงจันทร์ประพรมลงบนใบหน้าของนางซึ่งดึงความงดงามและความอ่อนโยนออกมาจากใบหน้า


 


เวลาผ่านไปไม่นาน    จากนั้น สาวน้อยยิ้มเล็กน้อย และเอ่ย


” อำนาจ .. ข้าไม่ประสงค์จักเป็นคนเช่นนั้น “


 


” โอ้ว ?  เหตุใด ? “


จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้นและมองไปยังสาวน้อย  วาจาของเคอน้อยเป็นสิ่งที่เขามิอาจคาด  จากมุมมองต่อโลกของมือสังหารจวิน ทุกผู้จักตอบตกลงหากพวกเขามีโอกาสจักได้เป็นผู้ทรงอำนาจ  ไม่สำคัญว่าพวกเขาจักทำสิ่งใดเพื่อให้ไปถึง


 


เคอน้อยก้มหัวต่ำด้วยความเขินอาย และเริ่มหยิกเล็บเบาๆ “


คุณชายน้อย ข้ามิรู้จักต้องรู้สึกเช่นไรหากต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง  แต่ข้าไม่คิดว่า …. บางทีข้าอาจมีความสุขกับการยกย่องสรรค์เสริญ  แต่ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใด … แต่ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น  ข้าเป็นเพียงสาวน้อย เด็กสาวตัวน้อยของคุณชายน้อย  ทั้งหมดที่ข้าต้องการ … คือการดูแลคุณชายน้อยในทุกวัน  ข้าหวังเพียงซักเสื้อผ้าให้คุณชายน้อย ทำอาหาร และเฝ้ารอเขากลับมาเมื่อออกไปข้างนอก  ข้าต้องการเป็นเพียงคนใช้สามัญเท่านั้น “


 


สาวน้อยยิ้มอย่างเขินอายอกครั้งและเอ่ย


” คุณชายน้อย วาจาเหล่านั้นหมายความว่าข้าไร้ความมุ่งมั่น ?  แต่ .. ข้ามิต้องการเป็นผู้แข็งแกร่ง ! “


 


” ไม่ สิ่งที่เจ้าเอ่ย .. ข้าชอบมันจริงๆนะ  เจ้าเป็นเด็กสาวที่น่ารัก ผู้ที่ข้ารักใคร่ยิ่งนัก ! “


จวินโม่เซี่ยมองไปยังสาวน้อยผู้ที่นั่งอยู่ข้างเขาอย่างเอาใจใส่เป็นครั้งแรก  แสงจันทร์ สาดส่องผิวพรรณของนาง  ผมสีขาวทองของนางถูกผูกไว้เป็นปม และส่วนปลายผมโบกสะบัดท่ามกลางสายลม  ขนตาเส้นยาวของนางกระพริบ และปอยผมปลิวมาติดอยู่ที่ผิดด้านข้างดวงตาของนาง


 


สาวน้อยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเนื่องจากนางถูกจับจ้องโดยจวินโม่เซี่ย  นางบิดนิ้วแต่เสแสร้งไม่รู้เห็น  แต่ หัวใจของนางโลดเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในทรวงอก  ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเชื่องช้า ขณะที่นางก้มหน้า รู้สึกเหมือนเป็นกวางอยู่ภายในใจ


 


สีหน้าของจวินโม่เซี่ยเผยถึงรอยยิ้มอันดึงดูดในขณะที่เขารู้สึกผ่อนคลาย  หัวใจของเขารู้สึกผ่อนคลายเมื่อมีหญิงสาวที่น่ารักเช่นนี้อยู่ข้างๆเขา  สัมผัสได้ถึงความสุขอยู่เต็มหัวใจอย่างมิอาจคาด


 


ทุกคนต่างมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง  นี่เป็นสิ่งที่ทำได้น้อยที่สุดโดยไร้ซึ่งปัญหา


 


ราวกับสาวน้อย ความฝันของนางเรียบง่าย เป็นจริง และอบอุ่นยิ่งนัก …


 


เขาลูบผมอันอ่อนนุ่มและงดงานของนาง และเอ่ย ” เจ้ารีบกลับไปห้องของเจ้า และนอนเสีย ” จวินโม่เซี่ยประหลาดใจเมื่อพบว่าน้ำเสียงของเยานุ่มนวลยิ่ง เขารู้สึกราวกับได้พบกับน้อยสาวของอาจารย์ในชีวิตก่อนของเขา …


 


” เจ้าค่ะ … “


สาวน้อยตอบขณะนางก้มหัว  นางยืนขึ้นเชื่องช้า  รู้สึกถึงความอบอุ่นที่คาง  ราวกับทั้งร่างของนางคลาดแคลนความแข็งแกร่งขณะนางเดินไปยังห้องของนางอย่างเชื่องช้า


 


นางเดินไปสองก้าวก่อนคิดบางสิ่งขึ้นได้ และจากนั้นจึงหันกลับมาและเอ่ย


” คุณชายน้อย .. ท่านจักรีบไปนอน … ? “


นางพบว่าคุณชายน้อยที่เพิ่งนั่งอยู่ตรงนี้เมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอยในตอนที่นางหัวหน้าไป


 


” เขารวดเร็วยิ่ง … “


สาวน้อยกัดริมฝีปากและยิ้มเขินอายอีกครั้ง  จากนั้นนนางเม้มปากและเงยหน้าขึ้นขณะที่นางนึกขึ้นได้สิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้  สิ่งนี้ทำให้นางต้องกุมหน้าตัวเอง … . ข้ากำลังคิดไร้สาระ …


 


จวินโม่เซี่ยเผชิญกับสายลมยามราตรี  เขาไม่ทิ้งเงาไว้เลยขณะเหาะไปด้วยความเร็ว  เขารู้สึกถึง เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ ที่ไหลวนอยู่ภายใน  ทุกรอบนำพาซึ่งความแข็งแกร่งอันน่าเกรงขามภายในร่าง ไม่มีแนวโน้มจักหยุดปราณที่หลั่งไหลไปตามเส้นลมปราณของเขาได้  เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมากในเวลานั้น


 


เป้าหมายแรกคือ หอมณีวิจิตร


 


จวินโม่เซี่ยยับยั้งกลิ่นไอของเขาอย่างระมัดระวัง  เขาล่องลอยเงียบๆอยู่ชั่วครู่ และจากนั้นร่อนลงไปใต้พื้นดิน  จากนั้นคุณชายน้อยจวินใช้ จิตสัมผัสของเขาเพื่อค้นหาทุกสิ่งที่อยู่เหนือหัวของเขาอย่างช้าๆ


 


จวินโม่เซี่ยไม่ลืมว่าครั้งล่าสุดเขาเกือบถูก เล้ยวูเบ้ย ตรวจพบได้  เขารู้ว่ามือเทพเชวียนอย่างน้อยสามคนอยู่ภายใน หอมณีวิจิตร เช่นนั้นเขาจักมิระมักระวังได้เช่นไร ?


 


ความรอบคอบและระมัดระวัง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมือสังหาร


 


อย่างไรก็ตาม ผลจากการใช้จิตสัมผัสของเขาตรวจสอบทำให้เขาตกใจ


 


เมื่อใดกันที่ หอมณีวิจิตร มียอดฝีมือมากมายเช่นนี้ ?


 


เป็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัวยิ่ง !


 


จวินโม่เซี่ยค้นหาไปทุกซอกมุมของ หอมณีวิจิตร มีผู้ทรงพลังจำนวนหนึ่งอยู่ภายใน  ชัดเจนว่าพวกเขาบางคนนั้นเป็นเทพเชวียน ในขณะที่ผู้อื่นอยู่ในขั้นสวรรค์เชวียนสูงสุดเป็นอย่างน้อย  เขาสามารถสัมผัสได้ถึงผู้ทรงพลังเจ็ดคน !  มีพวกเขาสองคนที่อ่อนแอที่สุด  จักต้องเป็น เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง


 


เมื่อใดกันที่ยอดฝีมือร่วงลงจากฟากฟ้า ?


 


เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาคือผู้คุมกฏจาก นครพายุหิมะสีเงิน ?


 


และจิตสัมผัสของจวินโม่เซี่ยได้พบกับผู้ที่น่าเกรงขามยิ่งปรากฏตัวอยู่ตรงกลาง


มันต้องเป็นเทพเชวียน


มีผู้หนึ่งท่ามกลางพวกเขา ผู้ที่ แม้นว่ามิได้แข็งแกร่งเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่ก็มิได้อ่อนแอนัก  ความจริงแล้วเขาแข็งแกร่ง เกือบเทียบเท่ายอดปรมาจารย์ !


 


หนึ่ง สอง สาม .. สี่ .. หาก ..​.และผีกหนึ่ง !  มียอดฝีมือเทพเชวียนอีกหกคนอยู่ที่นี่ !  จวินโม่เซี่ยรู้สึกว่าร่างของเขาชุ่มด้วยเหงื่อ  ท่าม้า เป็นท่าการฝึกฝนการต่อสู้  จินตนาการถึงผู้ที่นั่งบนหลังม้า  ตอนนี้เอาม้าออกไป และคิดถึงคนผู้นั้น  นั่งคือกลายเป็นภาพของ ท่าม้า

 

 

 


ตอนที่ 296

 

หกยอดฝีมือเทพเชวียน เจ็ดยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสูงสุด และสองสวรรค์เชวียนกลาง !  นี่คือกองกำลังที่น่าสะพรึ่งอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับ นครเทียนเชียง !


เหตุใด นครพายุหิมะสีเงินถึงส่งยอดฝีมือมากมายเช่นนี้ ?  แม้แต่ก้นของจวินโม่เซี่ยก็สามารถคิดคำตอบของคำถามนี้ได้ … กองกำลังนี้ถูกเรียกมาเพื่อจัดการกับสกุลจวิน จักเห็นผู้ใดอื่นได้อีก ?  พวกเขาเคลื่อนกองกำลังนี้เนื่องจาก แปดยอดปรมาจารย์ผู้หนึ่ง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้เข้ามาพำนักอยู่ในสกุลจวิน


 


หากความแข็งแกร่งเช่นนี้ผนวกรวมกัน ก็สามารถใช้เพื่อเอาชนะเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้ !


 


จวินโม่เซี่ย ควบคุมเคลHดอิสระหยินหยางของเขาอย่างระมัดระวังและเข้าไปยังสถานที่นั้น  จากนั้น เขาซ่อนตัวลงไปใต้พื้นดินอย่างเงียบเฉียบ


 


เขามิอาจจดจ่ออยู่กับเป้าหมายหลักของเขาได้ในเวลานี้ เนื่องจากสิ่งที่สำคัญกว่าคือการเข้าใจถึงเป้าหมายที่แท้จริงของเหล่ายอดฝีมือจาก นครพายุหิมะสีเงินเหล่านั้น  เมื่อเรียนรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของศัตรูได้แล้ว จากนั้นเขาก็รีบคิดหาการตอบโต้ที่เหมาะสมกับความแข็งแกร่งของศัตรู


 


มิเช่นนั้น ผลของสถานการณ์นี้จักก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ …


 


เขามิได้คาดว่า ช่วงเวลาแห่งความ ละโมบของเขาจักทำให้เขาได้พบกับข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้  จวินโม่เซี่ย ถอนใจจากใต้พื้นดิน


สหาย ความโลภของข้าเป็นรางวัลที่มากมาย  ข้าจักได้รู้เรื่องนี้หรือไม่หากข้าไม่ทำตามความโลภนี้ ?  ข้ามิได้เพียงสะดุดเข้ากับสุภาษิตที่ว่า วิมานกลางอากาศ ?


 


สรวงสวรรค์นั้นชื่นชอบความดี  สวรรค์ตอบแทนการทำดีของคุณชายน้อยผู้นี้  ข้าลงโทษคนชั่วและเช่นนั้นความดีของข้าจึงเป็นสะพานทอดสู่ความสำเร็จ … สวรรคจักให้รางวัลมากมายเช่นนี้กับคุณชายน้อยผู้นได้เช่นไรหากข้ามิได้มีคุณธรรม ?  อืมมม ?  ฮึ่มม …


 


” เพื่อสิ่งใด … ?  อย่าบอกข้าว่า เจ้าคนพิการนั้นจักเหิมเกริมขึ้นอีก ?  ข้าคิดว่าจักเป็นการดีหากใช้โอกาสนี้เพื่อถอนรากถอนโคนปัญหาเหล่านั้น !  มิเช่นนั้น พวกเขาจักต้องเผชิญกับปัญหานี้ต่อไปอีกนาน ! “


น้ำเสียงนั้นมิอาจตัดสินใจ  กระนั้น ดูเหมือนจักเต็มไปด้วยความไม่พอใจและท้าทาย  ดังนั้น ผู้เอ่ยวาจาจึงมิใช่ เซี่ยวฮั่น


 


” ความโอหังเช่นนั้น …. !  พวกเรามาจากระดับสูงของ นครพายุหิมะสีเงิน ตอนนั้น เจ้ายังจะกล้าสงสัยในวาจาพวกเรา ?  ดูเหมือนว่าเจ้ามิรู้จักที่สูงต่ำ ! “


 


น้ำเสียงอ่อนโยนตำหนิขึ้น


” พวกเราจักวุ่นวายหรือไม่หากมิใช่เราะปิศาจผู้ที่เริ่มจุดไฟและทำให้มันลุกลาม ?  สถานการ์ของ นครพายุหิมะสีเงินตกต่ำเนื่องจากการกระทำของเจ้า  หากสกุลต้งฝ๋างมิได้ สังหารสมาชิกของพวกเรา และทำให้ผู้คนโกรธเคือง ข้าเกรงว่า สมาพันธ์สูงสุดจักพยายามเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องนั้น !  และการกระทำดื้อรั้นของเจ้าเป็นเหตุของความวุ่นวายนี้ !  และ เจ้ายังคงจักทำลายนครพายุหิมะสีเงินอยู่อีกหรือ ? “


 


” สกุลจวินเล็กๆจักสามารถทำลาย นครพายุหิมะสีเงิน ได้หรือ ?  เหตุใดจึงกล่าวหาข้าในเรื่องนี้ ท่านปู่ ?  ปัญหาเริ่มต้นได้เช่นไร ?  เขาพยายามชิงตัวภรรยาข้า !  เขาเริ่มความเกลียดชังระหว่างพวกเรา !  บอกข้า บุรุษผู้ใดสามารถยืดหยัดต่อการดูหมิ่นเช่นนี้ได้ ? “


เซี่ยวฮั่นถามมีอารมณ์


 


 


ท่านปู่ ?  ปู่ของ เซี่ยวฮั่น ?  คงมิใช่ผู้ที่อยู่ในอันดับสูงสุดในสกุลเซี่ยวแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน ?


กระนั้น เขาก็มิรู้ว่าคนผู้นั้น คือ เซี่ยวเซียงหยุน หรือ เซี่ยวปู้หยู คุณชายน้อยจวินกลั้นใจและยังคงสงบนิ่ง  เขายังคงไร้อารมณ์ขณะลอบฟังต่อไป  มือสังหารจวินฟังทุกเสียงที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน … ไม่ว่าจะดังหรือเบา ..โดยไม่ละเลย


 


” แต่เจ้าได้ทำลายสมาชิกคนสำคัญสี่คนของสกุลจวินและผู้ค้ำจุนอำนาจของพวกเขาไป !  และ จวินวูอี้พิการเพื่อปิศาจเช่นเจ้า !  เจ้าต้องการสิ่งใดอีก ?  เจ้าจักมิเมตตาต่อหมาหรือไก่ในสกุลของวพวกเขาเลยหรือ ? “


น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นตำหนิด้วยความไม่พอใจและผิดหวัง


” และ สถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นไร ?  คฤหัสน์ฉือฮั่น และ ฉีฉางเซี่ยว ร่วมมือกันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเจ้า ?  พวกเราควรมุ่งหน้าไปทางใต้  และตอนนี้เจ้าปิศาจทำให้พวกเราล่าช้าเนื่องด้วยเรื่องเบาะแว้งไร้สาระของเจ้า …. ? “


 


ข้ายอมรับ … วิธีการจัดการกับเรื่องนี้ของคนผู้นี้น่าประทับใจ  อย่างน้อย เซี่ยวฮั่น มิอาจดื้อรั้นได้


 


” ตอนนี้ท่านเอ่ยถึงเรื่องนั้น ข้านึกอีกสิ่งขึ้นได้  เรื่องทั้งสองนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน  ข้าขอให้ท่านปู่พิจารณา “


กำลังใจของเซี่ยวฮั่นคล้ายจักเพิ่มขึ้น​


” พวกเราได้รับข้อความในตอนที่อยู่ที่ราชวังวันนี้  มีข้อความเพียงเล็กน้อย  มันบอกว่า จวินวูอี้ นำกองกำลังไปทางใต้เพื่อเผชิญหน้ากับ การปฏิวัติขิง สัตว์เชวียน ท่านปู่ มันจักเป็นการดีหากเรา … “


 


” ใช้ทหารธรรมดาเพื่อรับมือกับ การปฏิวัติของสัตว์เชวียน ? “


น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นยุดลงทันใด …. ขณะที่กำลังครุ่นคิด  จากนั้น เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


“อ่า !  ดี … หากเป็นเช่นนั้น … นี่เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ .. บางที … “


 


” น้องสอง … ม้วนกระดาษมอบโอกาสที่ดีให้เรา หากแต่เรามิควรหลงลืมการเรียกรวมตัว !  พวกเราเรียกชุมนุมยอดปรมาจารย์ !  นั้นหมายความว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอาจไปทางใต้ !  และ ทั้งหมดที่อาจเป็นไปได้ … เขาจักสนับสนุน จวินวูอี้ ตลอดการเดินทาง  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นั้นมิง่ายหากต้องเผชิญ แม้นว่าพวกเราจักรับมือกับจวินวูอี้ได้อย่างง่ายดาย  จากนั้น ปัญหาจักดำเนินต่อไปเป็นวงกลม  ด้วยเหตุนี้ข้าจึงขอให้ พี่สองสนใจเพียง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาจักเป็นปัญหาหลักของเรา ! “


 


พี่สอง ?  ดูเหมือนว่าจักเป็นทายาทอันดับสองของสกุลเซี่ย เซี่ยวปู้หยู !


 


” ถูกของเจ้า !  เจ้าเฒ่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวผู้นั้นจักต้องได้รับการชดใช้ที่เหมาะสม เนื่องจากเขาตัดสินใจจักก้าวก่าย !  พวกเราจักปล่อยโกาสในการล้างแค้นให้น้องหกได้เช่นไร ? ! “


 


น้ำเสียงอ่อนโยนของ เซี่ยวปู้หยูเต็มไปด้วยความอาฆาตร


 ” เราจักรอคอยโอกาศที่เหมาะสมเมื่อเราไปยังทางใต้  สิ่งแรก พวกเรากระบี่ทั้งหกและเจ็ด เราทั้งสิบสามจักร่วมมือกันและสังหาร เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จากนั้น พวกเราจักตัดสินใจอีกทีว่าจักจัดการกับ จวินวูอี้หรือไม่  อย่าไรก็ตาม ทุกสิ่งจักชัดเจนขึ้นเมื่อพวกเรากำจัด เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไปแล้ว  ความจริง พวกเราสามารถจบเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากภัยคุกคามตามธรรมชาติของพื้นที่นั้น เมื่อพวกเราปราบปรามการปฏิวัติของ สัตว์เชวียน “


 


” เช่นนั้น น้องสองจึงเสนอว่า เราจักรอคอยและจัดการเรื่องนี้หลังจากการปฏิวัติของสัตว์เชวียนถูกจัดการไปแล้ว ? “


เป็นน้ำเสียงที่อาวุโสและคุ้นเคย  จวินโม่เซี่ยฟัง และมันเป็นของผู้อาวุโสสาม


 


” เช่นนั้น !  ยอดปรมาจารย์ทุกคนรวมตัวกันในครั้งนี้ เช่นนั้นหากพวกเราเคลื่อนไหวและโจมตียอดปรมาจารย์ก่อนเรื่องทางใต้จักได้รับการจัดการ … ข้ากลัวว่ายอดปรมาจารย์ที่เหลือจักโต้กลับนครพายุหิมะสีเงิน  ด้วยเหตุนี้ พวกเราจักจัดการกับเขาหลังจากสถานการ์นี้ได้รับการจัดการแล้ว “


เซี่ยวปู้หยูเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยความชั่วร้าย


 


” นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของ ที่มาและความสามารถของชายสวมหน้ากากชุดดำนั่น “


เซี่ยวปู้หยูเอ่ยด้วยทีท่าอ่อนโยน


” เขาขโมย หยกเสริมวิญญาณที่เป็นสัญลักษณ์ของสกุลเซี่ยวเรา  ไม่นานเขาเข้าใจถึงความสำคัญของมัน  จากนั้น เขาจักรู้ว่าหยกถูกสวมใส่โดย เฟิงวู แล้ว เขาก็ยังขโมยมันไป  สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก เฟิงวูอยู่เพียงผู้เดียว  พวกเราจักทำให้สะดวกสบายสำหรับเขาเท่าที่ทำได้ “


 


เขายิ้มอย่างชั่วร้ายอีกครั้ง


” นี่อาจเป็นโอกาสของคนที่จักต้องตายหาก หยกชิ้นนั้นอยู่ในมือของ ผู้อาวุโส  เช่นนั้น พวกเราจึงมิอาจยอมเสี่ยง  อย่างไรก็ตาม เฟิงวูจักเป็นเป้าหมายที่ง่ายดาย และเขามิชอบรู้สึกว่าถูกคุกคาม  ดังนั้น เขาจักไม่ทำรายเด็ก อาวุโสผู้นี้เป็นได้สำเร็จการสกัดสวรรค์แล้ว ข้าสามารถตรวจจับกลิ่นอายวิญญาญของเขาได้ในระยะ ห้าร้อยลี้  เซี้ยงฉุน จักเตรียมพร้อมเสมอ  ดังนั้น เขาจึงมิอาจหลบหนีเราไปได้หากเขาขโมยหยกนั่นไป  พวกเราจักหาแม้นว่าเขาจักหนีไปสุดขอบโลก !  จากนั้น พวกเราจักเพิ่มความแข็งแกร่ง ไล่ล่าเขา และแก้ไเขเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว  พวกเราจักสามารถยึดคืน หยกเสริมวิญญาณ  สองชิ้นกลับมาได้ ! “


 


” เป็นความคิดที่ดี น้องสอง ! “


ทุกคนหึกเหิมเมื่อได้ฟังแผนการ  กระนั้น จวินโม่เซี่ยตะลึง


นั่นคือแผนการของพวกเขาหรือ ?  พวกเรายอมรับมันอย่างง่ายดาย ?


 


อาจบอกได้ว่า แผนการของ เซี่ยวปู้หยู มีผลอย่างมากในการจัดการกับทุกคน  แม้น จุ้นเป้ยเฉิน ก็มิอาจมองข้ามเรื่องนี้  อย่างไรก็ตาม มันไร้ค่าในสายตาของจวินโม่เซี่ย …


 


แผนการนี้ดูเหมือนกับ นารีพิฆาตร  แต่เหมือนถูกใช้กับ ชายผู้ถูกตอนแล้ว  อุปมานี้ฟังดูหยาบคาย … แต่ผลลัพธ์ของเรื่องนี้จกพิสูจน์


 


ทันใดนนั้น อาวุโสทุกผู้เรื่องขึ้นตกใจ


” น้องสอง ท่าสามารถใช้ แก่นวิญญาณ?  เจ้าบรรลุไปยังขั้นเทพเชวียนสี่แล้ว ! “


 


” ฮี่ฮี่ … “


เซี่ยวปู้หยูมีน้ำเสียงพึงพอใจชัดเจน


” ข้าละอายใจ ที่ใช้เวลาเกือบสิบปีเพื่อบรรลุสิ่งนี้  อย่างไรก็ตาม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถจับตัว ชายสวมหน้ากากลึกลับนั่นได้ “


 


” ยินดีกับความสำเร็จนี้ด้วย น้องสอง ! “


ทุกผู้เอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยหัวเราะในใจ


มั่นใจ ?  เจ้าเอ่ยว่ามั่นใจต่อหน้าคุณชายน้อยผู้นี้ ?  เจ้าทำตัวโง่ๆเช่นนั้นได้อย่างไร ?  เคล็ดสกัดสวรรค์ของเจ้าจำกัดที่หาร้อยลี้  มันมีค่าเพียงการผายลมของคุณชายน้อยผู้นี้


 


” อะแฮ่ม … ห้ามผู้ใดแพร่งพรายหากพวกเราสามารถจัดการกับสสกุลจวินได้สำเร็จ … เข้าใจหรือไม่ ? “


มีพลังแผ่ออกมาจากดวงตาของ เซี่ยวปู้หยูขณะที่เขามองไปรอบๆ


 


” ชัดเจนเช่นนั้น ! !  มิฉะนั้น เจ้าเหนือหัวของนครจักกล่าวโทษพวกเราทุกคน และผลที่ตามมาจักมิน่าพึงพอใจนัก  นอกจากนี้ สกุลจวินมี สกุลต้งฝ๋าง คอยหนุนหลัง  เช่นนั้น ทุกผู้จักต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นความลับ “


ทุกผู้พยักหน้าขณะพวกเขาถกเรื่องนี้กัน


 


สิ่งนี้ทำให้จวินโม่เซี่ยมีโทสะยิ่ง


สกุลเซี่ยวชั่วร้ายนัก !  คุณชายน้อยผู้นี้จักดูว่าผู้ใดจักถูกถอนรากถอนโคนเมื่อพวกเราทั้งหมดอยู่ทางใต้


 


” น้องสอง กับเรื่องของสัตว์เชวียนนี้ … ชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดปกติอย่างมาก  เป็นได้ได้ไหมว่า ราชันแห่งป่าเถียนฟาตัดสินใจจักแทรกแทรงในเรื่องนี้ ? มิเช่นนั้นจักเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่หลวงเช่นนี้ได้อย่างไร ?  ยอดปรมาจารย์ทุกคนมารวมตัวกัน  พี่สอง ท่านคิดว่า แปดยอดปรมาจารย์คนใดจักตอบรับการเรียกตัวนี้ ? “


นี่คือเสียงของ ผู้อาวุโสเก้า


 


” นั่นมิใช่เรื่องยากจักตัดสิน ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นร่องรอยของ จุ้นเป้ยเฉิน มาหลายปี  ข้ากลัวว่าคราวนี้จักเป็นเช่นเดียวกัน  จากนั้น ปรมาจารย์สีคราม เมิงฮ้งเฉิน อยู่ห่างไกลจากป่าเถียนฟา  เขามิอาจไปได้แม้นว่าเขาจักได้รับข่าวทันเวลา  แต่ ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจักต้องไปเป็นแน่  ท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้มาอยู่ใน นครเทียนเชียง พวกเขามิอาจหันหลังกลับได้แม้พวกเขาอยากจักทำ  เช่นเดียวกัน ผู้ที่ได้รับการเชิญนี้ คือ ฉีฉางเซี่ยว ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ คฤหัสฉือฮั่น  ลีจื้อเทียนอาจจะกลับมายัง คฤหัสน์ของเขาเนื่องจากสิ่งนี้คุกคามสกุลของเขามากที่สุด  ข้าคาดการว่า จักมี สี่ในแปดยอดปรมาจารย์มา   สำหรับนครพายุหิมะสีเงิน … พวกเราจักไป และทำหน้าที่แทนเจ้าเหนือหัว และบางที พวกเราอาจเป็นที่สุดในเรื่องของความแข็งแกร่ง  และสำหรับ ยอดปรมาจารย์ เหวินเทียน ข้ามิอาจเอ่ย  เขาอาจจะไป หรือไม่  แต่ข้าคิดว่าความแข็งแกร่งของทั้งหมดนี้เพียงพอจักจัดการกับการปฏิวัติของสัตว์เชวียน แม้ว่าจักไม่มี ปรมาจารย์เหวินเทียนร่วมด้วย “


เซี่ยวปู้หยูยิ้มด้วยมั่นใจยิ่ง


 


” การลุกฮือของสัตว์เชวียนนั้นแปลกประหลาดนัก  บางผู้กล่าวว่าพวกเขามุ่งเป้าโจมตีไปยัง คฤหัสฉือฮั่น พี่สอง ข้ามิจำได้เลยว่า คฤหัสฉือฮั่น และ ป่าเถียนฟานั้นมีเรื่องบาดหมางอันใดกัน “


ผู้อาวุโสสามขมวดคิ้ว


 


” จักต้องมีเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการที่สัตว์เชวียนตัดสินใจออกจากป่าเถียรฟาและโจมตี คฤหัสฉือฮั่น พวกเราจักได้รู้หลังจากไปถึงที่นั่น “


เซี่ยวปู้หยูเอ่ยแผ่วเบา  แววตาของเขาแสดงว่าเขามิประสงค์จักสนทนาในเรื่องนี้


 


ทุกผู้เงียบลง


 


ทุกคนสับกับเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการ ลุกฮือของสัตว์เชวียน  แม้นจักอยู่ใต้ดิน จวินโม่เซี่ยพอดรู้คร่าวๆว่าเหตุใด …


 


คุณชายน้อยจวินยิ้มเล็กน้อย


 


” หากการคาดการข้าถูกต้อง … ข้าอาจมีสิ่งมากมายต้องทำกับการลุกฮือของสัตว์เชวียนนี้ “

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม