Otherworldly evil monarch 275-281

ตอนที่ 275

 

” หากข้ามีผู้ช่วย ข้าจักเกรงกลัวสิ่งใด ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะชั่วร้าย  เขาพ่นลมทางจมูก ขณะมือของเขากางเป็นกรงเล็บราวกับเหยี่ยว


” เล้ยวูเบ้ย การบำเพ็ญของเจ้าสูงส่งกว่าข้าเล็กน้อย  ข้ายอมรับ  แต่ การชนะการต่อสู้นั้นมิใช่เพียงแค่ปราณเชวียนเท่านั้น  แต่ วันนี้เจ้าโชคดีเนื่องจากข้าได้สั่งสอนบทเรียนสำคัญกับเจ้า  อาวุโสผู้นี้มาพร้อมกระบวนท่าพิเศษ  กระบวนท่าของข้า จะทำให้ ปรมาจารย์ห้าต้องถอนคำพูด !  ฮ่า ฮ่า …. “


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เริ่มเร่งความเร็ว และร่างของเขาดูผิดปกติขณะหัวเราะลั่น  มันเริ่มผิดมนุษย์และกลายเป็นเงาร่างของนกที่น่าเกรงกลัว  ทั่วทั้งโลกหล้าดูราวกำลังกรีดร้องขณะเขาเอากรงเล็บมาไขว้กัน กระบวนท่านี้ทำให้ก่อเกิดพายุที่รุนแรง กรงเล็บของเขาก่อเกิดเป็นตาข่ายอากาศที่ดูคล้ายจะเจาะไปทั่วทุกที่


 


หากนกตัวนี้ ควรจะเป็นเหยี่ยว จากนั้นปรากฏเป็นเงาร่างของเหยี่ยวที่กำลังโจมตี


 


เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร !


 


” กรงเล็บเหยี่ยวชั้นเลิศ ! “


เล้ยวูเบ้ยตะโกนสรรเสริญ  เขามิเคยพบเจอสิ่งเช่นนี้มาก่อน  กระบวนท่านี่ทำให้เขาสนใจ แม้แต่สมองของเขาหลงลืมการตอบโต้


 


ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง …


 


เล้ยวูเบ้ย มิเคยเห็นวรยุทธที่อัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน  การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เขาไร้จุดอ่อน  กรงเล็บของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ก่อให้เกิดรอยสามรอยบนร่างของ เล้ยวูเบ้ย แต่ เล้ยวูเบ้ยหาได้ตกใจ … แม้นเขาจะมิได้เตรียมตัวเผชิญกับการโจมตีเช่นนี้  เขาล่าถอยเล็กน้อยใจเย็น  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เห่าหอนขณะมีความได้เปรียบ  จากนั้นเขาได้ปลดปล่อยกระบงนท่าที่สอง


 


มหาปรมาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้เรียนรู้เพียงสองกระบวนท่าแรกใหน เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร เขามั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นผลของกระบวนท่าแรก  ด้วยเหตุนี้ เขาตัดสินใจโจมตีด้วยกระบวนท่าที่สอง ในขณะที่เหล็กยังคงร้อนอยู่


 


” ปัง !  ปั้ง !  ปั้ง ! “


เสียงระเบิดดังขึ้นจากร่างของ เล้ยวูเบ้ย  จากนั้น เขาคำรามดุร้าย และเริ่มรวบรวมลมปราณในร่าง ปราณเชวียนเริ่มพุ่งพล่านราวคลื่นยักษ์  เล้ยวูเบ้ย คือปรมาจารย์ลำดับที่ห้า  เขามิอาจปล่อยให้ตัวเองตกจากลำดับนั้น ขณะที่ต่อสู้กับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาไม่รอช้า ขณะปลดปล่อย องคุลีไร้รู้สึก


 


ก่อกำเนิดเสียงระเบิด และจากนั้นผงะถอยเนื่องแรงสะท้อน


 


เล้ยวูเบ้ยตกตะลึงยิ่ง เมื่อได้เห็นรอยฝีมือสีแดงโลหิตตรงหน้าอก  จากนั้น เขาเงยขึ้น


” กระบวนท่ากรงเล็บเหยี่ยวอันนี่ทึ่งนี้มีชื่อว่าอันใด ?  มีกีกระบวนท่ากัน ? “


 


ใบหน้าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แดงโลหิต หน้าอกของเขากระเพื่อมรวดเร็ว เขาตอบเยือกเย็น


” เคล็ดใหม่ของข้าเป็นเช่นไร ?!  มันมีนามว่า เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร !  จากชื่อหมายความว่า มีเก้ากระบวน  เจ้าชอบบทเรียนนี้หรือไม่ ? “


 


” เก้ากระบวน ?  การเคลื่อนไหวที่น่าทึ่งนี้มีเก้ากระบวนท่า ?  เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร ?!  คู่ควรขนานนามเหยี่ยวอสูร “


เล้ยวูเบ้ยครวญหดหู่  จากนั้นเขาพยักหน้า


” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เจ้าไม่เหมือนเช่นแต่ก่อน !  อาวุโสผู้นี้ไม่ประสงค์เสียเวลาวันนี้  เช่นนั้นข้าจักปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนจนกว่าจะถึงเวล  ฮึ่ม !  แต่ ข้าจักไปหาเจ้าเมื่อข้าต้องการ ! “


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หัวเราะเบิกบาน


” เจ้าสามารถมาหาพี่ผู้นี้ได้เมื่่อประสงค์ลิ้มรสฝีมือใหม่นี้ ! “


 


” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว พวกเราได้รับนามว่า แปดยอดปรมาจารย์ เช่นนั้นข้าขอเตือนเจ้า  อยู่ให้ห่างจากสกุลจวิน “


เล่ยวูเบ่ยพ่นลมออกจามูก


” สกุลจวินทำให้สองผู้ทรงอำนาจขุ่นเคือง  และตอนนี้ก็เพิ่มอาวุโสผู้นี้ไปด้วย  ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการกับพวกเขา !  อาวุโสผู้นี้ไม่ประสงค์เห็นเจ้าที่นั่นเมื่อเขาทำลายล้างสกุลนั้น !  มิเช่นนั้น ข้าไม่สงสัยหากจะปล่อยเจ้าไป ! “


 


” ทำลายล้างสกุลจวิน ?  เช่นไร ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพ่นลมทางจมูกเยือกเย็น


” เหตุใด เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจัดต้องฟังเรื่องไร้สารเช่นนี้ เมื่อเขาสามรถจัดการกับ เล้ยวูเบ้ย ได้โดยง่าย ?  และเจ้าไม่จำเป็นต้องรี่รอในเรื่องนี้หากเจ้าสมารถต่อกรกับ เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร ได้ ! “


 


” เจ้าจักต้องเสียใจ !  เจ้าหุนหันเสมอมา ! “


 


เล้ยวูเบ้ยพ่นลมออกจมูกขณะคอตก  จากนั้น ร่างของเขาลอยขึ้น และ หายไปรวดเร็ว  เล้ยวูเบ้ยตัดสินใจกระทำบางสิ่งเมื่อเห็นความผิดปกติิ  เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร ของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แปลกประหลาดและมิอาจคาดเดา  ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละท่วงท่าแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน  ท่วงท่านี้ทำให้เขารู้สึก ถึงรางร้าย  เขาไม่มั่นใจว่าจะชนะเช่นแต่ก่อน  ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์ผู้รั้งท้ายมีชื่อในเรื่องความเร็ว  ดังนั้น จึงเป็นการยากที่ เล้ยวูเบ้ยจะหลบหนีหาก เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมีผู้สนับสนุนที่ทรงพลัง


 


ด้วยเหตุนี้ เล้ยวูเบ้ย จึงตัดสินใจรวดเร็ว และ หลบหนีไป


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไร้วาจาชั่วครู่  จากนั้นถอนหายใจ


” เอาละ รอดอย่างหวุดหวิด ! “


 


ด้วยคู่ต่อสู้ของเขาอยู่ในอันดับที่ ห้าของ แปดยอดปรมาจารย์


 


ดูเหมือนว่าในการต่อสู้ กรงเล็บของทั้งคู่จักเท่าเทียม  แต่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวรู้ว่าเขาจักพ่าย


 


ยอมรับว่า เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร นั้นส่งผลได้ดี  แต่ เขาจักอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย หากฝ่ายตรงข้ามเพิ่มกำลังขึ้นเมื่อการต่อสู้ดำเนินไป  เขาใช้เคล็ดไปทั้งหมดแล้ว  แต่ คู่ต่อสู้เพิ่งเริ่มใช้ องคุลีไร้รู้สึก   กระบวนที่สอง ใน เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร เขาเพิ่งฝึกฝนได้ไม่นาน นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ลึกลับ  ทั้งสอง ค้นหาทั่วทุกพื้นที่แล้ว แต่ยังไม่พบร่องรอยของผู้สังเกตุการณ์แม้นเพียงเล็กน้อย  ทั้งคู่จึงไร้ความสนใจในการสู้ต่อ


 


พวกเขาเกรงว่า ชาวประมงผู้นั้นจักฉวยโอกาสจับปลาทั้งสองที่ต่อสู้กัน  และชาวประมงจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ความจริงนี้มิอาจป้องกัน !  หากทั้งสองประสบกับการบาดเจ็บที่รุนแรงระหว่างการต่อสู้ … บุคคลที่สามจะเข้ามาแทรกแซงและคว้าเอาชัยชนะไป


 


เขาสามารถโจมตีและสังหาร ยอดปรมาจารย์ได้ ! เขาจักทำสิ่งที่บ้าคลั่งเช่นนั้นได้อย่างไร ?  คนลึกลับผู้นั้นคือใคร ?


 


ดังนั้น ทั้งสองจึงคิดในสิ่งเดียวกัน และยุติการต่อสู้


 


ข้าเกรงว่าจักต้องอับอายหากมิได้ฝึกเคล็กกรงเล็บ เหยี่ยวอสูรนี้  ความเข้าใจในกระบวนที่สองของข้าสำคัญยิ่ง … เล้ยวูเบ้ยแข็งแกร่งเกินกว่าข้ายิ่งนัก !


 


เขานั้นช่างคู่ควรนามขนาน ปรมาจารย์เลือดเย็นยิ่ง !


 


ข้าต้องขอบคุณผู้ที่ทำให้เกิดเสียงนั่น โดยไม่ต้องสนใจในเจตนาแฝงเร้นของเขา !


 


ดูเหมือนว่า เขาจักได้เรียนรู้เกี่ยวกับ เก้ากรงเล็บเหยี่ยวอสูร ได้มากยิ่งขึ้น  จำเป็นที่เขาต้องช่ำชองในกระบวนที่น่านี้โดยไม่ล่าช้า  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ถอนใจ และจากไปโดยเร็ว


 


คุณชายน้อยจวินจากไปแล้ว ก่อน ปรมาจารย์ทั้งสอง


 


จวินโม่เซี่ย เดือดด้วยโทสะในเวลานั้น


 


มือสังหารจวิน ฉุนเฉียว เล้ยวูเบ้ย ยิ่ง


 


ถูกแล้ว !  สกุลข้าสร้างความขัดข้องใจให้แก่สอง มหาอำนาจ !  แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้ใดจักเข้ามาเหยียบย่ำพวกเราได้ดั่งใจปรารถนา !


 


คำพูดที่ถูกต้องคือ


“สกุลจวินทำให้สองผู้ทรงพลังขุ่นเคือง และตอนนี้ก็เพิ่มอาวุโสผู้นี้ไปด้วย  ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการกับพวกเขา !  อาวุโสผู้นี้ไม่ประสงค์เห็นเจ้าที่นั่นเมื่อเขาทำลายล้างสกุลนั้น !  มิเช่นนั้นข้าไม่สงสัยเลยว่าข้าจักปล่อยเจ้าไป ! “


เพียงคำพูดนั้นของ เล้ยวูเบ้ย ทำให้จวินโม่เซี่ยร้อนรุ่มด้วยเปลวเพลิง


 


นี่คือการข่มขู่ให้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ละทิ้งสกุลจวินอย่างชัดเจน


แม่เจ้าเอ๋ย !  ข้าหลอกล่อให้ ยอดปรมาจารย์ มาอยู่เคียงข้า และปกป้องข้า !  แล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้า ปรมาจารย์ที่ห้า !  แม่เจ้า !  เจ้าเป็นเพียง อาจารย์ห้า และยังกล้างต่อกรกับข้า ?  หากเป็น มหาปรมาจารย์ หยุนเป้ยเฉิน … เจ้าจักทำสิ่งใด ?  ข้าจักสังหารเจ้า …. ในครั้งแรกที่ข้ามีโอกาส !


 


เหตุใดต้องรอโอกาส ?  จัดการเสียเลย !  ดูสิ ผู้ใดจะจัดการผู้ใด !


 


จวินโม่เซี่ยเต็มเปี่ยมด้วยโทสะ เกลียดชังยิ่งจนเข้าไส้


 


แม่เจ้า ตาเฒ่า !  เจ้ามีศิษย์สิบคน และสี่คนตายไปแล้ว !  ดูเหมือนจักยังไม่เพียงพอ ! ข้าไม่สามารถจัดการกับเจ้า หรือ ศิษย์ สวรรค์เชวียน ของเจ้าในเวลานี้ได้ .. แต่ ข้าสามารถลอบสังหารศิษย์พิการของเจ้าได้ !  เจ้าคิดว่ามันเป็นการยากำหรับข้าหรือ ?


 


เจ้าเจ็บใจกับศิษย์ผู้ล่วงลับ ?  เช่นนั้น คุณชายน้อยผู้นี้ จักทำให้หัวใจเจ้าต้องเจ็บปวดอีกครั้ง !


 


จวินโม่เซี่ยร้อนรนด้วยโทสะ


 


มิอาจกลั้น มิอาจกลั้นมิให้คิดถึง คำสั่งสอนของ บรรพบุรุษสกุลจวินได้


” การมีลูกมิได้ทำให้เจ้าเป็นชาย !  แต่มันคือ จิตวิญญาณที่ทรหดอันหาที่เปรียบไม่ได้  ! “


 


ดีละ !  ข้าจักส่งพวกเขาไปหาบรรพบุรุษ !


จวินโม่เซี่ย สาปแช่งด้วยโทสะ ขณะเขากระตุ้น เคล็ดอิสระหยินหยาง เต็มกำลัง  เขามุ่งตรงไปในเมืองราวกับหมอกควัน เป้าหมายของเขาคือ จวนสกุลลี่


 


ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจักอยู่อันดับที่ ห้าหรือหก ในอันดับยอดปรมาจารย์ !  ข้าจักทำให้เจ้ากรีดร้องออกมาในวันนี้  ข้าจักทำให้เจ้าต้องเสียน้ำตา และกลายเป็นดั่งว่าว !


ความเร็วของเขารวดเร็วยิ่งเนื่องด้วยโทสะ …


 


เขาค้นหาทั่วจวนสกุลลี่ แต่ไม่พบผู้ใด


 


ไม่มีผู้ใดอาศัยในจวนสกุลลี่ ?  น่าตกใจยิ่ง .. เกิดอันใดขึ้น ?


 


คุณชายน้อยจวินเกาหัวขณะค้นหาอยู่ในสถานที่อันว่างเปล่า  ท้ายที่สุด เขากระทืบเท้าด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นแทรงลงไปยังพื้นดิน เขาเฝ้าฟังเสียงที่สะท้อนของห้องลับที่แอบซ่อนไว้ …


 


รอบที่หนึ่ง … รอบที่สอง … จนสุดท้าย…


 


เสียงแปลกประหลาดกระตุ้นความสนใจจวินโม่เซี่ย …


 


” … หน้าไม้ เอ็นสัตว์เชวียนสำคัญยิ่ง … ทุกสิ่งถูกตระเตรียมอย่างรอบคอบ … แต่สิ่งที่ดีคือ … “


คำพูดที่ดังไม่ต่อเนื่องเข้ามาในหูของจวินโม่เวี่ย   เขาตื่นตัวทันที และติดตามต้นเสียงไปอย่างช้าๆและระมัดระวัง


 


ข้าวางแผนการเข้ายึด หน้าไม้เอ็นอสูรเชวียน  แต่ ประหลาดใจที่พบผู้ที่สนใจเช่นเดียวกัน ?  นี่คือประโยชน์ที่มิได้คาดการณ์ไว้ !


 


” เอ็นอสูรเชวียน และวัดสุที่ใช้ทำหน้าไม้นี้ชั้นเลิศยิ่ง  ความตายของพวกเขาจักยิ่งใหญ่  แม้ปฐพีเชวียนก็ยากยิ่งหลบหลีก หากพวกเขาไม่ระวังตัว !  เป็นอาวุธสังหารที่หายาก !  น่าเสียตายที่เราต้องล้มเลิก “


ผู้ที่มีน้ำเสียงไพเราะถอนใจ


 


” เหตุใดพวกเราล้มเลิก ?  ศิษย์น้องลี่ พวกเรามิอาจปล่อยพวกมันไปได้ง่ายๆ !  นี่คือโอกาสที่หาได้ยากสำหรับสกุลลี่ของเจ้า !  อาวุธนี้ทำเสร็จและพร้อมใช้งาน !  สิ่งเหล่านี้ทำขึ้นไม่สามัญ  หน้าไม้เหล่านี้จะกลายเป็นอาวุธสังหารที่น่าเกรงกลัว !  เจ้าจักปล่อยให้โอกาสดีนี้หลุดลอยไป ?  เหตุใดจึงทำเช่นนั้น ? “


อีกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความกระวนกระวาย


 


ตอนนี้ จวินโม่เซี่ย สามารถได้ยินอย่างชัดเจน  นี่คือเสียงของ ศิษย์พี่ใหญ่ เล่ยเจียนฮ้ง เขาพยายามชักจูงคนผู้หนึ่งอยู่


 


” พี่เล่ย ข้าจักไม่เห็นความสำคัญของ หน้าไม้นี้ได้เช่นไร ? “


เสียงตอบกำลับมาดั่งสนั่น สง่างาม และ สุภาพ  จนสามารถจิตนาการได้ถึงความสง่าของผู้นี้ได้จากน้ำเสียง


 


จวินโม่เซี่ยได้ยิน ขณะเขาพูดต่อ


” ศิษย์พี่น้องสิบคนมายัง นครเทียนเชียงเพื่อช่วยโย่วหลาน  แต่ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทน อาจารย์  ข้าเพียงได้รับความช่วยเหลือจาก อาจารย์ และเหล่าพี่น้อง  น่าละอายใจยิ่ง  !  และ ศิษย์พี่ทั้งสี่ได้จากไปสวรรค์ เนื่องด้วยเรื่องของข้า  และศิษย์พี่อีกสามต้องพิการตลอดชีวิต  น้องเล็กรู้สึกผิด … น้องผู้นี้ควรทำสิ่งใดต่อท่านพี่ ?  หากเกิดเรื่องร้ายกับท่านพี่อีก … การกระทำของ ลี่โย่วหลาน จักมิต่างไปาก อสูรกระนั้นหรือ ? “


 


” ศิษย์น้องลี่ เหตุใดเจ้าถึงพูดราวกับพวกเราเป็นคนอื่นไกล ?  พวกเราคือศิษย์พี่น้อง !  เรื่องของเจ้า คือเรื่องของเรา ! “


เล่ยเจียนฮ้ง ตอบกลับห่วงใย


” หากหน้าไม้นี้ตกสู่มือองค์ชายสอง … สวรรค์จะรู้สิ่งที่เจ้าโง่เขลาผู้นั้นจะทำหรือ ?  สิ่งนี้จะกลายเป็นภัยอันยิ่งใหญ่ !  ไม่เพียงแต่สกุลจวินจักได้รับผลกระทบหาก องค์ชายทำสำเร็จ … สกุลลี่ของเจ้าก็จักได้รับผลกระทบเช่นกัน … พร้อมกับเกราะเหล็กแห่งองค์จักรพรรดิ์ !   เจ้ามองไม่เห็นสิ่งนี้ ?  ศิษย์น้อง !  เรื่องนี้จักต้องลงมือเร่งด่วน !  เจ้าแน่วแน่เสมอมา  เหตุใดเจ้าจึงอ่อนไหวในเวลาสำคัญเช่นนี้ ? “

 

 

 


ตอนที่ 276

 

” ไม่ พี่ใหญ่  แต่ศิษย์น้องของท่านชื่นชมในความรู้สึกของท่าน “


ลี่โย่วหลาน ดูเหมือนเจ็บปวดขณะเขาพยักหน้า


” ท่านพี่ รู้หรือไม่ ?  เมื่อข้าหลับในยามราตรี … ข้าเห็นศิษย์พี่ทั้งสี่ยืนตรงหน้า  พวกเขาชุ่มโชกด้วยเลือด และรอยแผล  ข้า … ข้า … ข้า … ลี่โย่วหลาน ละอายที่ต้องพบหน้าพวกเขา !  องค์ชายสองจักใช้ทุกสิ่งเพื่อคุ้มกันหน้าไม้นี้มายังนครหบวง  มียอมฝีมือลับมากมายเกินกว่าจะนับ  หากมีสิ่งเลวร้ายเกิดแก่ท่าน น้องเล็ก…อาจต้อง…ตาย ! “


 


จวินโม่เซี่ยมิอาจกลั้นการสถบในใจเมื่อเขาได้ยินเสียงถอนใจด้วยอารมณ์เหล่านั้น


อะไร ?!  อะไร ?!  ลี่โย่วหลานผู้นี้ช่างอวดเก่ง !  เป็นเลิศยิ่ง !  คนผู้นี้อาจเอาชนะข้าได้ …


 


เจ้าบอกพวกเขาด้วยเหตุใด หากมิใช่เพราะต้องการให้ทำบางสิ่ง ?  เจ้าเพิ่งบอกพวกเขาถึงเหตุผล และภัยของการกระทำนี้  และเจ้ายังบอกว่าเจ้าไม่อยากเข้าร่วม …


 


แต่พวกเขาจักไม่หยุด แม้นว่าเจ้าจะพยายามห้ามสักเพียงใด  พวกเขาประทับใจเมื่อเจ้าเอ่ยว่าไม่ต้องการให้พวกเขาไป … ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอาจจะไปโดยไม่บอกเจ้า  อุบายนี้ช่างแยบยล !  ก่อนหน้านี้ข้าดูหมิ่นเด็กเหลือขอเช่นนี้ ?!


 


เจ้าประสงค์ใช้พวกเขาเป็นตัวเบี้ยในกระดาน  แต่เจ้าต้องการให้พวกเขาไปโดยสมัครใจ  เจ้าต้องการทำให้พวกเขารู้สึกเป็นหนี้เจ้า และเจ้าประสงค์จะให้พวกเขารู้สึกว่า การเป็นห่วงพวกเขาคือปัญหาใหญ่ของเจ้า …


 


เจ้าเป็นคนใจร้อนและสับสนใจเวลาเดียวกัน  เจ้าแสร้งทำเหมือนเป็นจริงทั้งที่หลอกลวง


 


เป็นเช่นนั้นแท้จริง !


 


” เป็นไปได้เช่นไร ? “


สามเสียตะโกนขึ้นพร้อมกัน


” พวกเราจักนิ่งเฉยเมื่อเห็นสกุลของศิษย์น้องต้องเผชิญกับสถานการณ์อันตรายได้เช่นไร ?  เช่นนั้นพวกเราเป็นสิ่งใด ?  ศิษย์น้องให้พวกเราเป็นคนแบบใด ?  พวกเราจักสบายใจเมื่อ สกุลลี่ ได้ครอบครองหน้าไม้เหล่านั้น  เรื่องนี้มิจำเป็นต้องใคร่ครวญให้มาก มันถูกตัดสินใจไปแล้ว เมื่อถึงเวลา พวกเราทั้งสามจักลงมือ !  พวกเราจักเอาหน้าไม้ เอ็นอสูรเชวียนมาเพื่อ ลี่โย่วหลาน พวกเราจักส่งมันให้เจ้ากับมือ  หากน้องลี่ยังไม่สะบายใจ … เช่นนั้นส่งคนของเจ้าไปเพื่อสนับสนุนพวกเรา ! “


 


” พี่ใหญ่… พี่สอง … พี่หญิง … “


ลี่โย่วหลาน ดูราวไร้วาจา  แต่ ดูเหมือนเขาเด็ดเดี่ยวมากขึ้น


” แต่ น้องของท่านจะตอบเช่นไร ?  … ข้า … น้องชายพวกท่านช่างละอาย .. และข้าไม่สะบายใจ … “


 


” บุรุษแสดงท่าที่ลังเล ?! เจ้ากำลังทำสิ่งใด ?  เจ้าแน่วแน่แล้ว แต่เหตุใดไม่ไปที่นั่น ? “


เสียงอันเด่นชัดนี้เป็นของหญิงสาว


” น้องลี่ ! เหตุใดเจ้าไม่ให้พวกเราไป  เจ้าต้องการให้พวกเราเฝ้ามอง ในเวลาที่สกุลของเจ้าก้าวเข้าสู่หายนะ ? “


 


” ท่านอาจารย์เมตตายิ่ง  ข้าไม่ปล่อยให้ท่านพี่สาว และท่านพี่ ก้าวเข้าสู่หายนะเป็นแน่ !


ลี่โย่วหลาน ได้ยินคำพูดเหล่านี้  ดูคล้ายเขาขบฟันแน่วแน่


 


” เรื่องนี้เล็กน้อย ! “


ศิษย์พี่ทั้งสามตะโกนและทุบโต๊ะด้วยโทสะ  จากนั้น เล่ยเจียนฮ้ง เริ่มเอ่ย


” น้องลี่ พวกเราจักไม่ยอมรับเจ้าเป็นศิษย์พี่น้อง หากเจ้ายังเอ่ยวาจาดูหมิ่นพวกเราเช่นนี้ !  ข้าจะเตะก้นเจ้า  และไม่หันมาดูเจ้าอีก ! “


 


ราวกับ วีรบุรุษก้าวขึ้นจุดสูงสุด  ราวกับรู้สึกว่า ทั้งสองฝ่านปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ


 


คุณชายน้อยจวิน ยังคงหลบซ่อนอยู่ในผิวดิน  เขาเกือบหัวเราะลั่น


อะไรกัน ?  เล้ยวูเบ้ย สั่งสอนขยะแบบใดกัน ?  เล้ยวูเบ้ยไม่สมัครใจจะลงมือด้วยตัวเอง ?


 


” หากเป็นเช่นนี้ .. ท่าน .. พี่ใหญ่ … จะต้องระวังตัว ! “


คำพูดของ ลี่โย่วหลาน ไม่ชัดเจน  ราวกับเขาสำลักอารมณ์


” ข้าขอให้ท่านระวังตัวให้มาก  ไม่สำคัญว่าข้าจักได้หน้าไม้มาหรือไม่ .. ท่านจักต้องกลับมาอย่างปลอดภัย !  ข้าจักให้กองกำลังจำนวนมากติดตามพวกท่านไป  โปรดอย่าได้ตระหนี่ในกำลังพล  และข้าไม่สนใจหากต้องสังเวยพวกเขา เพื่อให้ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย  ท่านจักต้องไม่พะวงในการสูญเสีย ! “


 


” อุ่นใจได้ พวกเราจักจัดการทุกสิ่ง  เตรียมตัวสำหรับข่าวดีไว้ น้องชาย ! “


ทั้งสามตบหน้าอกตัวเอง  พวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกกล้าหาญ ซึ่งสามาถทำให้พวกเขาสละชีวิตเพื่อเพื่อนได้


 


จวินโม่เซี่ย มิได้หัวเราะในครั้งนี้  เขากลับถอนใจล้ำลึกแทน


ดูเหมือนว่าพวกเขาจักพยายามช่วย ลี่โย่วหลาน ชัดเจนว่า ลี่โย่วหลาน ล้างสมองทั้งสามแล้ว ..


 


ศิษย์คนโต และอีกสอง กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนา ! ไม่ประหลาดใจ ที่ห้ายอดฝีมือนี้ ก่อให้เกิดผลที่เลือดเย็นเช่นนั้นเมื่อ เข้าล้อมและต่อสู้กับ อยี่กู้ฮั่น ผู้อยู่ลำพัง !


 


ผู้ที่ไร้ความฉลาดน่าสมเพชยิ่ง !


 


” ขอบคุณมากท่าพี่ ท่านพี่สาว !  จากข้อมูลข้า ข้าเชื่อว่าหน้าไม้เหล่านั้นจักมาถึงนอกนครหลวงในสามวัน  พวกเราจักเคลื่อนไหวเมื่อถึงเวลา ! “


คาดได้ว่า ลี่โย่วหลาน จักต้องโค้งคำนับก่อนเอ่ยรายละเอียดแผนการ


 


ทุกสิ่งชัดเจนแก่จวินโม่เซี่ย เมื่อเขาได้ฟังพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง  เขาไม่ประสงค์จะฟัง ลี่โย่วหลานเล่นกับคนโง่เหล่านี้  ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดแผนการใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ..


 


แน่นอน .. ไว้หนหลัง


 


เวลานี้ต้องสังหารใครบางคนแล้ว  มือสังหารจวินไม่ลืมจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่  การได้ฟังเรื่องสำคัญนี้มิได้ ขัดขวางแผนการสังหารของ จวินโม่เซี่ย


 


เขาขึ้นเหนือพื้นอย่างเงียบๆ และพบว่าตัวเองอยู่กลางลานอันว่างเปล่า


 


จวินโม่เซี่ย เงยขึ้นและตระหนักได้ว่า ที่เขามิอาจระบุถึง ห้องแผนการหลัก ของสกุลลี่ได้ เนื่องจากมันอยู่ด้านนอกจวนสกุลลี่ เป็นพื้นที่ถัดไปจากจวน


 


เช่นนั้นเอง !


 


จากนั้นเขาหันไปขณะได้ยินเสียงผู้หนึ่งใคร่ครวญ ราวกับเขากำลังเจ็บปวด  มาจากด้านข้าง  ห้องนี้ห้อมล้อมด้วยไผ่เขียว  ปากจวินโม่เซี่ยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะเขาเข้าไปในห้องนั้น ราวสายฟ้า


 


ห้องอบอวลด้วยกลิ่นยา  ศิษย์สามคนทอดตัวอยู่บนฟูกอ่อนนุ่มภายในห้อง  พวกเขามิอาจขยับตัว เว้นแต่กระตุกเป็นครั้งคราว  และดูราวกำลังสิ้นใจ


 


อ่าห์ !  น่าเวทนาที่ได้เห็นพวกเจ้าเจ็บปวด ท่านพี่  ให้น้องเล็กผู้นี้ทำให้ท่านเป็นอิสระจากโลกที่ต้องทนทุกข์นี้เถิด !


จวินโม่เซี่ยถอนใจเวทนา จากนั้น กระบี่ขนาดใหญ่บนผนัง ซึ่งอาจเป็นของหนึ่งในสามผู้นี้ ลอยขึ้นรวดเร็ว  จากนั้นกระบี่เริ่มเคลื่อนไปดั่งมีดหั่นเนื้อ …


 


” ฉึบ !  ฉึบ !  ฉึบ ! “


 


ทั้งสามได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการ ต่อสู้ อัศจรรย์ที่พวกเขาสามารถยืนหยัดได้นาน  แต่ไม่ล่าช้าไปกว่าชั่วงหนึ่งลมหายใจหากพวกเขาประสงค์จะต่อต้านโชคชะตา


 


เลือดและเนื้อสาดกระจาย …


 


เหลือเพียงศิษย์หกซึ่งรวดเร็ว  เขาเพ่งมองไปอย่างสงสัยเมื่อเห็นกระบี่ลอยไป  มิอาจเชื่อในสายตาในทีแรก  จากนั้น เขาเห็นมันเคลื่อนลงมาบนร่างของ ศิษย์พี่และน้องที่นอนอยู่ด้านข้างราวสายฟ้า  เขาสัมผัสได้ถึงโชคชะตาเมื่อเห็นหัวของพวกเขาถูกตัดออกจากร่าง และกลิ้งไปดั่งแตงโม  เขาหวาดกลัวยิ่งจากสิ่งที่เห็น  เขากำลังจะกรีดร้อง แต่มีบางสิ่งที่มองไม่เห็นปิดปากของเขาไว้ จนมิอาจตะโกนได้  สิ่งที่ปิดปากเขาไว้ดูคล้าย มือ  มันอุ่น  แต่ เหตุใดจึงมองไม่เห็น ?


 


เหตุใดจึงไม่เห็น ?  โลกนี้มีภูติผีจริงหรือ ?


…. เขากำลังคิดถึงส่ิงนี้เมื่อเห็นกระบี่สับลงมาที่คอของเขา …


 


จวินโม่เซี่ยยั้งมือหลังจากตัดเสร็จ และหยิบเศษผ้าขึ้นมาอย่างเยือกเย็น  เลือกปกคลุมทุกที่  เขายิ้มชั่วร้าย และโน้มตัวขณะเอาเศษผ้าจุ่มลงไปที่เลือด และ เขียนข้อความลงบนผนัง


” ข้ามิได้พอใจหลังจากสังหารสามคนนั้นไป  เช่นนั้นข้าจึงสังหาร สามนนี้ด้วย  แต่พวกเขากำลังจะตายแล้ว … ข้าจักพอใจได้เช่นไร ?  รอก่อน ข้าจักจัดการกับอีกสามคนที่เหลือ  หากข้ายังไม่พึงพอใจ เมื่อนั้นจะเป็นเวลาของเจ้า ปรมาจารย์เลือดเย็นที่รักของข้า วูเบ้ย … “


 


แต่เขาไม่พอใจกับภัยคุกคามนี้  ดังนั้น จึงเขียนเพิ่งไปอีกเล็กน้อย  เขาออกจากห้องเมื่อพึงพอใจในผลงาน


 


ระยะระหว่างห้องด้านข้าง และตำแหน่งของ ลี่โย่วหลานไม่เกิน สามสิบหลา  มือสังหารจวินใช้เคล็ดวิชาเพิ่มความเร็วและลงมืออย่างว่องไว  เขาสามารถสังหารทั้งสามได้โดยไร้การขัดขืน  การลงมือของเขาไร้เสียงใด มีเพียงแต่เสียง ฉึบ ฉึบ ฉึบ … และทุกสิ่งจบลง  นี่คือฝีมือพื้นฐานสำหรับมือสังหารที่ดี ไม่ถือว่ามีสิ่งใดอัศจรรย์


 


นอกจากนี้ … กระบี่เล่มนี้คมยิ่ง …


 


เขามั่นใจว่าหากผู้ใดได้ยิน .. พวกเขาจะคิดว่าเป็นเสียงผายลม  ดังนั้น จึงไม่มีผู้ได้รู้ว่า เหล่าผู้ที่อยู่ในห้องเล็กนั้นหลดพ้นจากความทรมาณและไปยังสวรรค์เมื่อจวินโม่เซี่ย ทำงานสำเร็จลง …


 


มือสังหารจวิน เพ่ิงจะออกจากลานนั้น เมื่อเขาเห็นเงาร่างของชายผู้หนึ่งลอยตรงมาทางเขา  มือเขาเปรอะเปื้อน  การเคลื่อนไหวสงบนิ่ง ไม่เร็วหรือช้าเกินไป  เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับพบเจอความยุ่งยากบางอย่าง ..


 


ชื่อของเขาสามารถสั่นสะเทือนทั่วหล้า เขาคือ ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย


 


ตาเฒ่าชั่ว เจ้ามาช้าไป !


จวินโม่เซี่ย ยิ้มโหดร้าย และ จงใจพุ่งทะลุเขาไป


 


ขณะที่จวินโม่เซี่ยกำลังพุ่งผ่านเขา คล้ายว่า เล้ยวูเบ้ย สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง  ท่วงท่าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาปลดปล่อยพลังปราณออกมาภายในเสี้ยววินาที และมันระเบิดออก


 


จวินโม่เซี่ย สัมผัสได้ถึงปราณอันทรงพลังอย่างรวดเร็วและเริ่มเศร้าใจ  จวินโม่เซี่ย แลบลิ้นล้อเลียน และเข้าไปใน เจดีย์หงส์จวิน


 


เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถซ่อนตัวจากเจ้าได้ ?  ตอนนี้ข้าอยู่นี่ .. หากประสงค์ ก็ลองค้นหาข้าสิ


 


แต่ ไม่มีผู้ใดเคยสัมผัสการมีอยู่ของข้าได้เช่นนี้  เหตุใด เล้ยวูเบ้ยจึงสามารถ ?


จวินโม่เซี่ยเข้าไปใน เจดีย์หงส์จวิน และครุ่นคิด  หรือ เคล็ดอิสระหยินหยางจะมีข้อบกพร่องบางอย่าง ?


 


หรือเป็นไปได้ว่า ปรมาจารย์ผู้นี้บำเพ็ญขั้นสูงจนสามารถสัมผัสข้าได้ ?


จวินโม่เซี่ยนึกได้ว่าเขาเพิ่งสังหารคนไป  หมายความว่าในร่างของเขาจักเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


เขาคาดว่า เล้ยวูเบ้ย จักต้องสัมผัสได้ถึง จิตสังหารที่อันตราย ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของเขายังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกต่อต้าน เล้ยวูเบ้ย ทันใดนั้น จวินโม่เซี่ยจึงตระหนักได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเรื่องสามัญ


 


เช่นนั้น ข้าสามารถหลบซ่อนได้อย่างง่ายดาย เมื่อข้ามิได้มีความเกลียดชัง หรือจิตสังหาร แต่ ข้าอาจพลาดเมื่อมีอารมณ์เช่นนั้น ชัดเจนว่าเขาได้ละเลิกความคิดที่จะลอบสังหาร ยอดปรมาจารย์ไป …

 

 

 


ตอนที่ 277

 

การอนุมานของมือสังหารจวินสมเหตุผล  แต่ค่อนข้างสะเปะสะปะ ไปเสียหน่อย


 


เคล็ดอิสระหยินหยาง เป็นเคล็ดหลบหนีที่อัศจรรย์  ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ แปดยอดปรมาจารย์ ก็มิอาจติดตามจวินโม่เซี่ยได้  แต่ เคล็ดอิสระหยินหยาง มิได้ใช้ธาตุทั้งห้าในเวลาเดียวกัน  เมื่อทำการหลบซ่อน พวกเขายังสามารถถูกค้นพบได้เนื่องจากมิได้กลายเป็นความว่างเปล่า  เคล็ดวิชอาจก่อให้เกิดลมที่ผิดปกติ ในมุมนี้เคล็ดวิชานี้จึงมิได้ผิดปกติมากนัก  ความจริงแล้ว มันค่อนข้างสามัญ  ผู้คนนั้นเวลาเดินไปใหนจักมีลมก่อตัวขึ้นรอบตัวอยู่เสมอ


 


ผู้คนส่วนใหญ่สามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ได้


 


แต่ เล้ยวูเบ้ยคือผู้ใด ?  เขาไม่ควรถูกขนาดนาม หากไม่สามารถตรวจจับสิ่งนี้ได้


 


เขาสามารถสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของอากาศได้ในนาทีสุดท้ายอย่างง่ายดาย  แต่ สถานการณ์ตอนนั้นประหลาดยิ่ง  เขามิเคยสัมผัส จิตสังหาร ที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน  เขาบอกได้ว่า ความแข็งแกร่งของผู้ที่ให้กำเนิดมันขึ้นมา ล้ำลึกยิ่ง  ดังนั้น เล้ยวูเบ้ยจึงปลดปล่อย ปราณอันทรงพลังเพื่อปกป้องตัวเอง


 


แต่ เล้ยวูเบ้ย มิอาจสัมผัสมันได้อีก เมื่อ จวินโม่เซี่ย เข้าไปใน เจดีย์หงส์จวิน


 


จวินโม่เซี่ยตระหนักสิ่งนี้ได้ทันเวลา เขารู้สึกผิดหวัง และยังคงอยู่ภายใน เจดีย์หงส์จวินด้วยสีหน้างุนงง ยังคงอยู่ต่อไปชั่วครู่ และคิดว่าจะออกไปเมื่อ เล้ยวูเบ้ย จากไปแล้ว  เขาออกมาแอบดู และไม่คาดคิดว่า เล้ยวูเบ้ย ยังคงไม่ขยับไปใหน  ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายน้อยจวิน เพิ่งออกมาจาก เจดีย์หงส์จวิน …. ในขณะที่ยังพรางตัวอยู่ … แล้วดวงตาของ เล้ยวูเบ้ย หันมองมาทิศทางเขาอย่างรวดเร็ว …


 


ดูราวดวงตาเขาเป็น ตะเกียงฟักทอง


 


แม่เจ้า !  เจ้าโง่นี่มีเวลาว่างยิ่งนัก !


จวินโม่เซี่ยรู้สึกสิ้นหวัง เนื่องจากต้องกลับเข้าไปด้านในโดยไร้ทางเลือก  เขาสาปแช่ง เล้ยวูเบ้ย ในใจ


ข้างคงมิอาจได้ออกไปก่อนรุ่งสาง  ไม่ดีเป็นแน่ …


 


ยอดปรมาจารย์ ไม่เคยสงสัยใน จิตสัมผัส ของเขา  แม้น กลิ่นอายของ คุณชายน้อยจวิน จะเล็กน้อย แต่มันประทับลงลึกในใจของ อาจารย์เล่ย และเขาไม่กล้าเพิกเฉย


 


เล้ยวูเบ้ยไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวล ขณะที่เขากลับจากการเผชิญหน้ากับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ดังนั้น เขาจึงลดความเร็วลง  ยิ่งกว่านี้ เขาจดจ่อกับการมองหาผู้ที่ทำเสียงครวญครางลึกลับในระหว่างทาง  ทำให้เขาช้าลงชิ่งขึ้น …


 


เขาเพิ่งกลับมาถึงบริเวณจวนสกุลลี่ แต่ทันใดนนั้นกลับรู้สึกถึง จิตสังหาร กระหายเลือดใกล้ตัวยิ่ง  จึงไร้หนทางเพียงแต่ปลดปล่อย ปราณเชวียนพร้อมเคลื่อนไหวหากพบเจอบางสิ่งอีกหน เขาสัมผัสถึง จิตสังหารได้อย่างชัดเจน


น่าเกรงกลัวยิ่งนัก !


 


มีเพียงมือสังหารระดับโลกเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อย จิตสังหาร เช่นนี้ได้


จิตสังหารที่ชั่วร้ายซึ่งสามารถสังหาร ยอดปรมาจารย์เช่นข้าได้


ด้วยเหตุนี้ เล้ยวูเบ้ยจึงมิกล้าเพิกเฉย  เขาปลดปล่อยปราณอันทรงพลังเพื่อกดดัน และรอคอยอย่างระมัดระวัง


 


จิตสังหารและกลิ่นอายอันชั่วร้ายของ มือสังหารจวิน เกินกว่าผู้คนสามัญนัก  และ จวินโม่เซี่ยก็ตระหนักถึงมันได้  ความแข็งแกร่งของเขา อาจมิได้โหดร้าย  แต่ มิได้ลดทอดจิตสังหารของเขาลงเลย


 


เล้ยวูเบ้ยครุ่นคิดหนักในขณะที่ยังคงนิ่งเงียบ


จิตสังหารอันเยือกเย็นนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว และทุกสิ่งสงบลงอีกครั้ง  ความจริง ไร้วี่แววแห่งอันตราย … ข้ามิอาจคาดคิดว่ามันผิดปกติ  ข้าคิดไปเอง ?  แต่เหตุใดข้าจินตนาการถึงสิ่งเช่นนี้ ?


 


เขายังไม่ลดการป้องกันลงเนื่องจาก ยังคงสงสัยว่าศัตรูยังคงซุ่มอยู่  แต่ กลิ่นอายอันชั่วร้ายนั้นกลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง  ยิ่งไปกว่านั้น มันปรากฏขึ้นใกล้ตัวเขามาก  แต่ ไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้เขาเลย …


 


เล้ยวูเบ้ย กำลังเริ่มเคลื่อนไหวในขณะที่ จิตสังหารที่รุนแรงและน่ากลัวหายไปอย่างรวดเร็ว ไร้ร่องรอย


 


เล้ยวูเบ้ย หวาดกลัวยิ่ง !


มือสังหารไร้เทียมทานผู้ใดกันที่สามารถครอบครองฝีมืออันน่าเกรงขามนี้ได้ ?


ทั้งร่างของ เล้ยวูเบ้ย เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ  เนื่องจากมันทำให้เขาคิดถึงผู้ที่น่าหวาดกลัว


 


ขั้นเชวียนของคนผู้นี้อาจไม่ใกล้เคียงกับ หยุนเป้ยเฉิน และ ลีจื้อเทียน แต่อกของ เล้ยวูเบ้ยแข็งทื่อเมื่อนึกถึงเขา คนผู้นี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก   เขาเคลื่อนไหวมาหลายสิบปี และไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีเขาไปได้ เมื่อเขาจัดสินใจจะสังหารผู้ใด


 


คนผู้นี้คือตำนานในท่ามกลางมือสังหาร  ทุกผู้คนหลีกเลี่ยงเขาราวกับ กาฬโรค  แม้แต่ หยุนเป้ยเฉิน และ ลีจื้อเทียน ก็มิกล้าก่อกวคนผู้นี้


 


เขาคือมือสังหารที่มีความสามารถระดับตำนาน ได้รับขนานนามว่าเป็น ยมทูตมีชีวิต


 


เขาคือเทพเจ้ามือสังหาร ฉือฉีฮั่น !


 


จักมีผู้อื่นที่สามารถ ปลดปล่อย จิตสังหารที่รุนแรง ทรงพลัง และแหลมคมเช่นนี้ได้อีกหรือ ?  ผู้ใดอีกนอกจาก ฉือฉีฮั่น ที่สามารถหลบซ่อนตัวข้างกายข้าได้ … โดยที่ข้ามิอาจรับรู้ได้เลย ?  ผู้ใดนอกจาก ฉือฉีฮั่นสามารถหายตัวไปเมื่อข้าสัมผัสถึง จิตสังหารของเขาได้ ?


 


ไร้ผู้ใดอื่น … ไร้ที่ใดในโลกนี้ … !


 


แม้ หยุนเป้ยเฉิน และ ลีจื้อเทียน ก็ไม่สามารถทำได้ !  พวกเขาสามารถเอาชนะข้าได้  ความจริง พวกเขาสามารถสังหารข้าได้ !  แต่ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ข้างๆโดยที่ข้าไมรู้ .. แต่ ฉือฉีฮั่น นั้นสามารถ


 


เล้ยวูเบ้ย เริ่มรอบคอบเมื่อเขาเริ่มมั่นใจในสิ่งนี้  และยิ่งรอบคอบเขาย่ิง … ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว


 


คนจักคลางแคลงใจและหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จัก  และ ยอดปรมาจารย์ ก็มิอาจเว้น… โดยเฉพาะอย่างย่ิง เมื่อเขารู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่มิอาจรับมือได้


 


เล้ยวูเบ้ย มั่นใจว่า ระดับเชวียน และความแข็งแกร่งของเขาไม่ต้อยต่ำไปกว่า ฉือฉีฮั่น แต่ ฉือฉีฮั่นชื่นชอบการชิงลงมือก่อนโดยไม่คาดคิด  จึงทำให้ อาจารย์เล่ย ยังไม่ลดการป้องกันลง  การโดนซุ่มโจมตีโดยผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันมิใช่เรื่องล้อเล่น


 


เล้ยวูเบ้ย รู้สึก …. หวาดกลัว


 


ฉือฉีฮั่น ถือได้ว่าเป็นยอดปรมาจารย์ในเคล็ดของเขา แต่เขามิได้อยู่ในอันดับ แปดยอดปรมาจารย์ ดังนั้น มือสังหารจักไม่โจมตีซึ่งหน้า แม้เมื่อสังหารผู้ที่อ่อนแอกว่า  ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ผู้ที่ ฉือฉีฮั่นสามารถเอาชนะได้เพียงเป่าลมใส่ .. เขาก็มิเคยโจมตีเขาซึ่งหน้า


 


เทพเจ้ามือสังหารผู้นี้ พิถีพิถันยิ่งกว่ามือสังหารทั่วไป  เขามิเคยอ่อนข้อแม้แต่น้อย  ความสามารถของเขาก้าวล้ำสู่ความวิปลาส  ชื่อของเขา สามารถทำให้ผู้คนขนลุก  นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ เทพเจ้ามือสังหารไร้ชื่อเสียงดั่งเช่น แปดยอดปรมาจารย์


 


แม้น ฉือฉีฮั่น มิได้ถือว่าเป็นหนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ แต่เขายังคงเป็นผู้ที่น่ากลัวที่สุดในโลก  สิ่งนี้เป็นที่รู้กัน  แม้แต่ แปดยอดปรมาจารย์ ก็ยอมรับในสิ่งนี้


 


เล้ยวูเบ้ย ยังคงระมัดระวังรอบตัวขณะเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ


” ผู้ที่อยู่ที่นี่คือ เทพเจ้ามือสังหาร ?  พี่ใหญ่ ฉือฉีฮั่น ?  เอ่อ ข้ามิอาจล่วงรู้ว่าความผิดใดที่ทำให้ พี่ใหญ่ ฉือฉีฮั่น มาหาข้าด้วยตัวเอง  และถือว่าเป็นเกียรติยิ่งที่ได้รับความสนใจ แต่พวกเราอยู่ในระดับสูงสุด … เช่นนั้นทักทายกันก่อนการต่อสู้คงไม่เป็นการเสียหาย ?


 


รอบตัวยังคงเงียบงัน … สายลม สาทรฤดู หวีดหวิว … ใบไม้แห้งร่วงหล่นและปลิดปลิวตามสายลม  แต่ไร้การโต้ตอบ


 


หากมีผู้ใดตอบกลับมา … อาจหมายความว่า ผีมีอยู่จริง  ผู้ที่เฝ้าดูไร้หนทางเพียงแต่หลบซ่อนตัวใน เจดีย์หงส์จวิน ผู้ที่หลบซ่อนอยู่ใน เจดีย์หงส์จวิน ชัดเจนคือ จวินโม่เซี่ย แต่ มือสังหารตัดสินใจเงียบวาจา  เขากระหายจักเฝ้าดู เล้ยวูเบ้ย เข้าใจสถานการณ์ให้ผิดไป  การเข้าใจผิดที่รุนแรง … จะเป็นการดีสำหรับ คุณชายน้อยจวิน ..


 


” พี่ใหญ่ ฉือ ไม่ไว้หน้าข้า ? “


เล้ยวูเบ้ยขบฟัน  เสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ


” พี่ใหญ่เปลี่ยนใจแล้ว ?  เขาไม่ประสงจะต่อสู้กับข้าจนตาย ? “


 


ไร้เสียงใดตอบกลับ


 


เล้ยวูเบ้ย สงบลง แต่พฤติกรรมของเขายิ่งน่าประทับใจยิ่งขึ้น  เขาเอ่ยเสียงล้ำลึก ฟังดูคล้ายความสงบก่อนภูเขาไฟจะปะทุ


” ฮี่ ฮี่ … พี่ใหญ่ ฉือ หวาดกลัวจักเผชิญหน้ากับข้า ?  เอาละ .. พี่ใหญ่สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ ที่เขามั่นใจยิ่งขึ้น  ข้าจะต้องหน้าตั้งตารอพบท่านอีกครัง “


 


เขาเอ่ยจบ จากนั้น ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นดั่งวิญญาณมังกรที่พุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเก้า และหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


จวินโม่เซี่ย เดินออกจาก เจดีย์หงส์จวิน ขณะที่ เล้ยวูเบ้ยจากไป  เขายืดคอขึ้นครึ่งหนึ่งเพื่อฟังคำพูดของ เล้ยวูเบ้ย เกือบจะระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อ เล้ยวูเบ้ย พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนั้น


 


แต่ เขาตกใจกลัวเมื่อตระหนักได้ว่า สหายมือสังหารของเขา พึงพอใจในชื่อเสียงที่ทำให้ ยอดปรมาจารย์หวาดกลัว  ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เขาห่วงใย ปรมาจารย์ห้าแห่ง แปดยอดปรมาจารย์ แท้จริงแล้ว ดูเหมือนว่า ปรมาจารย์เลือดเย็น หวาดกลัว


 


เทพเจ้ามือสังหารผู้นี้จักต้องเกินกว่าสามัญ  ความจริงแล้วมือสังหารที่สามารถสร้างผลเช่นนี้จะเกิดจากความสำเร็จของตัวเอง


 


จวินโม่เซี่ย กลับจวนด้วยความผ่อนคลายและประหลาดใจยิ่งเมื่อคิดถึง เทพเจ้ามือสังหาร …


 


เล้ยวูเบ้ย ไปถึงยังลานบ้านเล็กๆอย่างรวดเร็ว  ร่างของเขาลอยอยู่ขณะเปิดประตู  ผู้ที่อยู่ภายในสี่คนยืนขึ้นเมื่อเห็นเขา และกล่าวทักทายสุภาพ


” อาจารย์ ท่านกลับมาแล้ว ! “


 


เล้ยวูเบ้ย พ่นลมทางจมูกเยือกเย็น ใบหน้าเขาไร้อารมณ์ขณะนั่งลง


 


” อาจารย์ การเดินทางเป็นเช่นไร ?  พวกเรา คิดว่า อาจารย์ได้สั่งสอนบนเรียนแก่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ? “


 


เล่ยเจียนฮ้งคือลูกชายของ เล้ยวูเบ้ย แต่ เขาไม่เคยเรียกเขาว่า พ่อ ต่อหน้าศิษย์คนอื่น  นี่แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม  แต่ เขาเป็นเพียงผู้เดียวในห้องที่มีความกล้าเพียงพอถามคำถามนี้


 


” เรื่องนี้ซับซ้อน พวกเราจักถกเถียงภายหลัง “


เล้ยวูเบ้ยเอ่ยวาจาเหล่านี้ ท่าทีเข้มขรึม


” จากนี้ไปเจ้าจักต้องระมัดระวังการกระทำ บรรยากาศใน นครเทียนเชียง ลวงตายิ่ง !  มีเสือหมอบ และมังกรหลบซ่อน มากมาย ในนครแห่งนี้ !  เจ้าจักต้องใคร่ครวญให้ดีหากจะกระทำสิ่งใด … “


 


เขาครุ่นคิดชั่วครู่ ในที่สุดเขาหยุดลง  เล้ยวูเบ้ย ตัดสินใจไม่เอ่ยถึง เทพเจ้ามือสังหาร ฉือฉีฮั่น เขารู้ว่าเพียงแค่ชื่อก็เกินพอจะข่มขู่ศิษย์ได้  ซึ่งจะทำให้พวกเขาลักเลที่จะลงมือ  ศิษย์ของเขา อยู่ในขั้นสวรรค์เชวียน … แต่นั่นยังขาดแคลนนัก  พวกเขาจักไม่ได้สิ่งใด จากการได้รับรู้การมีส่วนร่วมของเขา


 


ฉือฉีฮั่น ตัดสินใจเลือกข้าเป็นเป้าหมาย ข้าไม่ควรบอกศิษย์จนกว่าผลดการต่อสู้จักถูกตัดสิน  เหตุใดข้าจึงต้องทำให้ศิษย์เป็นกังวลโดยการเอ่ยถึงเรื่องนี้ ?


 


ศิษย์ทั้งสีมิได้โง่เขลา  พวกเขาได้ยินน้ำเสียงของ อาจารย์ และตระหนักได้ว่าเรื่องของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นมิได้ราบรื่นดั่งพวกเขาคิด  พวกเขาจึงยับยั้งตัวเอง และไม่ถามในเรื่องนั้นต่แ


 


เล้ยวูเบ้ยยืนขึ้นและเอ่ยด้วยท่าทีสงบ


” ไปเถิด !  ไปดูน้องหกกับข้า !  ดูเหมือนว่าเขาจักสูญเสียปราณเชวียน ไปดูว่าพวกเราสามารถฟื้นฟูสิ่งใดได้บ้าง  หากมิได้ … พวกเราคงไร้หนทางเพียงแต่ส่งเขาแก่ ราชันยาผู้ชั่วร้าย “


 


เล่ยเจียนฮ้งตัวสั่นและร้องตกใจ


” อาจารย์ ! “


 


เล่ยเจียนฮ้ง พ่นลลมทางจมูก เนื่องจากอาจารย์ของเขาออกจากห้องไปโดยไม่ตอบสิ่งใด  สีหน้าของศิษย์ทั้งสี่ มัวหมองขณะติดตามไป การได้ยิน อาจารย์เอ่ยถึง ราชันยาผู้ชั่วร้าย ทำให้หัวใจของพวกเขาหม่นหมอง

 

 

 


ตอนที่ 278

 

ราชันยาผู้ชั่วร้าย จากชื่อนี้ บ่งบอกได้ว่าคนผู้นี้มีหัวใจที่ชั่วร้าย   เขาคือ หมอผู้ทรงเกียรติ และมีชื่อ รวมถึงข่าวลือ  นับได้ว่า คือผู้ที่ ไร้เทียมทาน  ยิ่งไปกว่านั้น ค่ารักษาของเขาแพงมหาศาล


 


แท้จริงแล้ว ไม่เพียงแต่เงินปากถุงที่สูงลิบลิ่วแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่สำคัญ  ผู้นั้นจักติดหนี้บุญคุณหากมาให้เขารักษา ไม่ว่าผลการรักษาจะเป็นเช่นไร  และ ผู้นั้นจักต้องชำระหนี้เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ  ขณะที่ผู้ใดจำเป็นต้องการ การรักษามากยิ่ง สิ่งที่เขาประสงค์จากคนเหล่านั้นจะยิ่งยุ่งยาก


 


มีข่าวลือเกี่ยวกับ ราชันยาผู้ชั่วร้าย ซึ่งแพร่กระจายไปทั่ว  คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ สี่สิบปีก่อน  สกุลหยวน คือสกุลหนึ่งที่ทรงอิทธิพลในโลกสามัญ  สนมน้อยของ หัวหน้าสกุลพวกเขาได้รับบาดเจ็บ และ เขาไปหา ราชันยาผู้ชั่วร้าย เพื่อการรักษา  ราชัญยา เก็บเงินสกุลหยวน หนึ่งล้านตำลึงเงิน และหัวหน้าสกุลพวกเขาจัดการสิ่งหนึ่ง  แต่ ราชัญยามิได้เอ่ยว่าคือสิ่งใด


 


หัวหน้าแห่งสกุลหยวนยอมรับข้อเสนอนี้ เนื่องด้วยความรักที่มีต่อสนมผู้นั้น  และแล้ว นางปลอดภัย  สองปีผันผ่าน และ ราชันยาผู้ชั่วร้ายส่งคำขอสำคัญมา  เขาประสงค์ให้ หัวหน้าสกุลสกุลหยวนสังหารคนผู้หนึ่ง  และคนผู้นี้อยู่ในสกุลหยวนเนื่องด้วยแต่งเข้ามา


 


หัวหน้าสกุลหยวนจักทำสิ่งใดได้ ?  เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใหนหาทำตามคำขอ ?  ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธ  ราชันยาผู้ชั่วร้าย หัวเราะลั่น เขาไม่ถือว่านี่คือปัญหา  จากนั้นเขาหายไปท่ามกลางฝุ่นควัน โดยไร้ร่องรอย


 


หลังจากนั้น ราชันยาผู้ชั่วร้าย เผยแพร่ข่าวหนึ่ง  เขาขอทุกผู้ที่ติดหนี้เขา ไม่ว่าพวกเขาจักเป็นผู้ใด ให้ทำหนึ่งสิ่ง คือ ทำลายสกุลหยวน  แม้แต่ไก่และหมาของพวกเขาก็ไม่ละเว้น  ทั้งสกุลถูกทำลาย จนไปถึงรุ่นที่เก้า


 


ราชันยาผู้ชั่วร้ายสะสมหนี้บุญคุณมานับสิบปี  จะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้เยี่ยงไร ?  ลูกหนี้ของเขาส่วนใหญ่คือผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม  และส่วนใหญ่นั้นคือยอดฝีมือระดับสูง  พวกเขาส่วนใหญ่พบกับความเจ็บป่วยที่มิอาจรักษา  กระนั้น ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ  แต่ คนรวยและผู้ทรงอิทธิพลก็เป็นหนี้เขาเช่นกัน  และพวกเรากลับกลายเป็นผู้ที่น่าเกรงขาม  การรวมพลังของพวกเขานั้นหาได้ยากยิ่ง และ ทรงพลังพอจะสั่นสะเทือนโลกาได้


 


สิ่งนี่คือคำสั่งตาย  โลกแห่งคนสามัญสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น  สิ่งนี้ก่อให้เกิดการสังหารหมู่สกุลหยวน  แม้แต่พี่น้องและสหายก็มิได้รับการละเว้น  พวกเขามั่นใจว่า แม้แต่ไก่และหมาก็มิอาจรอดชีวิต ตามประสงค์ของ ราชันยาผู้ชั่วร้าย


 


มีข่าวลือว่า หัวพวกเขาเก็บไว้ด้านนอกที่อาศัยของ ราชันยาผู้ชั่วร้าย กล่าวกันว่าเลือดจำนวนมหาศาลเจิ่งนองไกลนับลี้ …


 


สวรรค์รู้ดีว่าสิ่งแปลกประหลาดใดที่คนผู้นั้นชื่นชอบ หาก เล้ยวูเบ้ยตัดสินใจส่งศิษย์ของเขา สู่ ราชันยาผู้ชั่วร้าย …  เล่ยเจียนฮ้ง รู้ว่า อาจารย์ของเขาคือหนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ !  เช่นนั้น เงื่อนไขนั้นจะง่ายดายได้อย่างไร ?


 


แต่ ความกังวลของพวกเขาถูกลบล้าง และแทนที่ด้วยความขุ่นเคือง


 


สีหน้าของ เล้ยวูเบ้ย แปรเปลี่ยน ขณะเขามาถึงด้านข้างกำแพงไม้ไผ่ด้านข้างห้อง  เขาเอ่ย


” เหตุใดจึงเหม็นคาวเลือดยิ่งนัก ? “


ทั้งห้ามองหน้ากัน  พวกเขาสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติอย่างรุนแรง  พวกเขากรีดร้องด้วยความตกใจและผลักประตูเปิด


 


ศิษย์ทั้งสี่ สายตาโศกเศร้า และอุทานด้วยความเสียใจ  พวกเขาตกตะลึง และ มองไปรอบๆด้วยความงุนงง


 


สิ่งที่เห็นทำให้พวกเขาบ้าคลั่ง และโกรธเคือง


 


สามศพแน่นิ่งบนเตียง พวกเขาถูกสับเป็นชิ้น  เลือดยังคงหลั่งไหลภายในห้อง  บางส่วนจับเป็นก้อน แต่ยังคงมีส่วนที่ยังไหลอยู่เชื่องช้า


 


ทั้งห้องกลายเป็นอ่างเลือด


 


ดวงตา เล้ยวูเบ้ยแดงก่ำขณะเขาก้าวเข้าห้อง  ชุดของเขาไม่มีการพริ้วไหวแม้เขาขยับตัว  โทสะของเขามากยิ่ง และต้องใช้พลังเทพเชวียนของเขาเพื่อควบคุมตัวเอง  และควบคุมแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของเสื้อผ้า


 


เขามองไปรอบๆ และเห็น ลี่โย่วหลาน ยืนนิ่งหน้ากำแพง  ท่าทาง แปลกประหลาด  เล้ยวูเบ้ยเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้ในทันใด  จากนั้นเขาตะโกน


” หลีกไป โย่วหลาน ! “


 


ลี่โย่วหลานแสดงสีหน้าอัปลักษณ์  จากนั้นเขาเอ่ยอ่อนแรง


” ท่านอาจารย์ … “


 


” ข้าบอกให้เจ้าหลีกทางไป ! “


เล้ยวูเบ้ยคำรามด้วยโทสะ ขณะที่ต่อยเข้าที่ใบหน้าของ ลี่โย่วหลาน อย่างรุนแรง เด็กหนุ่มถูกส่งให้ลอยไปพร้อมเสียง ตุบ  เล้ยวูเบ้ย มองไปยังกำแพง  เพ่งมองมันครู่หนึ่ง  ใบหน้ากลายเป็นสีแดง และตะโกนขึ้นอีกด้วยโทสะรุนแรง  เชือกมัดผมของเขาฉีกขาดเป็นล้านชิ้นขณะที่ผม ของเขาชี้ตรง  พวกมันพุ่งขึ้นสู่สรวงสวรรค์อยู่นาน


 


” อาาาาาาก์ ! “


 


เล้ยวูเบ้ยกระอักเลือดแดงฉานออกมาทางปาก  และเลือดเหล่านั้น กลับกลายเป็นหมอกควันไปในทันที  อาจารย์เล่ยร้องออกมาเป็นสายเลือด ดังนั้นมันจึงทำให้ตับของเขาเสียหาย ขณะที่ครวญ


” ตัวร้ายผู้นี้ไร้ยางอายยิ่ง !  เขากระทำเช่นนี้กับข้า !  ไม่ว่าเจ้าคือผู้ใด ข้าจะสังหารเจ้า ! ข้าจักทำลายสกุลของเจ้านับเก้าชั่วโคตร !  แม้แต่ไก่และหมาก็ไม่หลงเหลือ !  ข้าคงมิใช่ เล้ยวูเบ้ย หากข้าไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ ! “


 


เขากระอักเลือดอีกหนขณะร่างเพรียวงามของเขาเอนไปข้างหน้า  การทำให้ ปรมาจารย์ เลือดเย็น ผู้มีชื่อระดับโลกตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้เพียงการทิ้งข้อความไว้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน …


 


ศิษย์สามคนที่เหลืองุนงง  ดังนั้น พวกเขาจึงเข้าใกล้ขึ้นเพื่อมองดูรอยเลือดสองแถวที่เขียนไว้บนกำแพง ข้อความนั้นยึกยือ เขียนด้วยมือเปล่า  เห็นได้ชัดว่าข้อความเหล่านั้นคือเลือดของผู้เคราะห์ร้าย


 


บรรทัดแรก อ่าน่า


” ข้ายังไม่พึงพอใจหลังจากสังหารสี่คนนั้น  เช่นนั้นข้าจึงสังหาร สามคนนี้ด้วย  แต่พวกเขากำลังจะตายแล้ว … ข้าจักพอใจได้เช่นไร ?  รอก่อน ข้าจักจัดการกับอีกสามคนที่เหลือ  หากข้ายังไม่พึงพอใจ เมื่อนั้นจะเป็นเวลาของเจ้า ปรมาจารย์เลือดเย็นที่รักของข้า วูเบ้ย … “


 


บรรทัดที่สองอ่านว่า


” พี่สาวเล่ยวูเบ้ย ข้าจักกระทำมิดีแม่ของเจ้า … ล๊าลาลา … “


 


ศิษย์ทั้งสามรู้สึกหม่นหมอง รุนแรงเช่นเดียวกับเล่ยวูเบ้ย  พวกเขากระอัดเลือด มากเกินไปแล้ว  คนผู้นั้นสังหารศิษย์พี่น้องพวกเขา  ยิ่งกว่านั้น ยังเรียก เล้ยวูเบ้ยผู้กล้าหาญว่า … พี่สาว  และสิ่งที่เกินกว่านั้น … เขาหยามอาจารย์ของพวกเขา


 


เป็นการดูหมิ่นที่รุนแรงยิ่ง !  โดยเฉพาะกับท่านอาจารย์ !  เพียงแค่ บรรทัด พี่สาว เล้ยวูเบ้ย จะตราตรึงไปตลอด .. และสะสมความเกลียดชังต่อไป  ไม่เพียงแต่คนผู้นั้นจะสังหารพี่น้องพวกเขา แต่เขายัง ดูหมิ่นผู้สืบทอดของอาจารย์  พฤติกรรมของคนผู้นี้ช่างเลวทรามและน่ารังเกียจ !


 


” อาจารย์ … “


ศิษย์ทั้งสี่คุกเข่าลงด้วยความกังวลอย่างพร้อมเพรียง  พวกเขาคลานขึ้นหน้าสองหน  จากนั้นเกาะขา เล้ยวูเบ้ย และหลั่งน้ำตา


 


” ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน !  เลือดยังไม่แห้ง  เจ้ามิได้อยู่ห่างไกลจากที่นี่  และ ไม่มีผู้ใดสามารถสัมผัสได้เลย ?  ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเพราะเหตุใด ?! “


 


ร่างของ เล้ยวูเบ้ย เซไปมาเล็กน้อย  จากนั้น เขาลอยขึ้นในอากาศอย่างด้วยเร็วด้วย โทสะ และ เตะสี่หนใส่ผู้ที่คุกเข่าอยู่  ร่างศิษย์ทั้งสี่ลอยขึ้นในอากาศ และพวกเขาเริ่มกระอักเลือดออกมารุนแรง


 


” ไร้ค่า !  พวกเจ้าทั้งสี่นั้นไร้ประโยชน์ ! “


ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย เดือดดาล  เขามิเคยแสดงถึงโทสะเช่นนี้มาก่อนในชีวิต  ดวงตาแดงก่ำ และ สีหน้า แปลกประหลาดและน่ากลัว  ราวกับเขากำลังมองใครบางคนเพื่อปลดปล่อยอารมณ์


 


” ตู้ม ! “


 


ปราณเชวียนของ เล้ยวูเบ้ย ทั้งหมดปะทุขึ้นในเวลาเดียวกัน  ปะทะเข้ากับ เพดานห้อง  หลังคาแตกออกและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี ราวกับร่มที่ลอยอยู่ …


 


กำแพงโค่นลง กลับกลายเป็นฝุ่นและหายไป  ก่อไผ่ด้านนอกห้องดูคล้ายโดนพายุเข้าปะทะ  พวกมันถูกถอนรากถอนโคนและลอยขึ้นในอากาศก่อนจะถูกบดขยี้ …


 


เล้ยวูเบ้ย ยังไม่เคลื่อนไหวไปจากจุดเดิม  แต่ ในที่สุด หัวใจของเขาสงบลง  จากนั้นคิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้  เพียงเหตุผลเดียวที่สามารถอธิบายสิ่งนี้ …


 


ดวงตาของ เล้ยวูเบ้ย กลายเป็นทะเลเลือด  เขาสูดหายใจลึกล้ำ  จากนั้นเอ่ยเชื่องช้า แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ” ฉือฉีฮั่น !  เจ้าและข้า มิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้อีกต่อไป !


 


” ข้าจักสังหารเจ้า ! “


เล้ยวูเบ้ยเงยหน้าขึ้น และ คำรามยาว  คล้ายดั่ง ลิงในตำนานกำลังร่ำร้องในยามราตรี โศกเศร้าและโหยหวน  เสียงคำรามยาว และดังยิ่ง  มันแพร่กระจายไปไกลทุกทิศทาง  ผู้คนใน นครเทียนเชียง ได้ยินเสียงนี้ดังชัดเจน  มันดังก้องสะท้อนไร้สิ้นสุด  ทุกผู้ใน นครเทียนเชียง ตื่นขึ้นจากหลับใหลด้วยความตกใจไม่เว้นผู้ใด …


 


… จวนสกุลจวิน …


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ถอดเสื้อผ้าและนั่งลง  เขาขมมวดคิ้วและ มองไปทางทิศที่เสียงคำรามดังมาขุ่นเคือง  จากนั้นเขา สถบ


” ตาย ตาย !  แม่เจ้า !  เจ้ากรีดร้องสองหนแล้วในคืนนี้ !  เจ้าสับสนหรืออย่างไร ?  แม่เจ้า !  ยิ่งเจ้าแก่ ยิ่งป่วย !  น้าเจ้า !  เหตุใดเจ้าต้องมากดขี่ข้า ?!  และ เป้าหมายครั้งนี้ คือ ฉือฉีฮั่น เจ้าประสงค์จะตายกระนั้นหรือ ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสถบเล็กน้อย จากนั้นก็นอนลง


 


จวินโม่เซี่ยอยู่ในห้อง เมื่อเขาได้ยินเสียงคำราม กรอกตาและ พึมพำ


” ข้าควรเขียนกวีทั้งหมด !  น่าเสียกาย ภาษาข้าไม่ค่อยดี  ดังนั้นจึงมิอาจเขียนมันออกมาได้ … ผู้เฒ่าเล่ย ประโยคที่ข้าทิ้งไว้มิได้มีวรรณศิลป์แม้แต่น้อย พวกเขาต้องเข้าใจมันได้อย่างง่ายดาย  แต่ เจ้าไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์เช่นนี้  โอ้ ข้าลืมเอ่ยอ้างถึงนามของ สหายมือสังหารของข้า  เจ้าคิดว่าเป็นเขาได้อย่างไรกัน ?  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ อาจารย์ ฉือ แต่เป็นฝีมือข้า  แต่ คุณชายน้อยผู้นี้ไม่ติดใจหากสุนัขบ้ากัดใครบางคนด้วยความสับสน  เช่นนั้น อย่าองหาข้าหากเจ้ารู้สึกพ่ายแพ้ … “


 


เขากำลังอยู่ในอารมณ์สุข  ขำขันในใจอยู่ชั่วระยะ  แต่ คุณชายน้อยจวินผู้มากฝีมือเหน็ดเหนื่อยยิ่ง หลังจากตรากตรำงานหนักมาหลายวัน  ดังนั้น เขาจึงทอดตัวลงและดำดิ่งสู่การหลับไหล  จวินโม่เซี่ย เพลิดเพลินกับความฝันอย่างรื่นรมย์มากมายตลอดค่ำคืน  มีหนึ่งครั้งที่เขากำลังอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน  และรายล้อมไปด้วยสาวงามผู้งามเด่น จนสามารถทำให้อาณาจักรล่มสลาย  พวกนางบริสุทธิ์ และ น่าหลงไหล  พวกนางมีลักษณะทั่วไปหนึ่งสิ่ง … คือพวกนางเปลือยเปล่า และเชื้อเชิญเขาอย่างเงียบๆ …


 


แต่ มือสังหารจวินรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย แม้นว่าเขาจะอยู่ในความฝัน


ข้าไม่รู้เลยว่าจักมีผู้ใดสามารถสร้างความฝันเช่นนี้ได้ในทุกวี่วัน  ราวกับ จรรยาข้าเลวทรามลงทุกวี่วัน !  ดูเหมือน สุภาพบุรุษมิอาจเอาชนะสิ่งนี้ได้ … สิ่งนี้หมายถึงการล่มสลายแห่งศีลธรรม …


 


จากนั้นเขากลายร่างเป็นเสือในทันใด  เป็นธรรมชาติของเสือที่จะมองหาอาหารเมื่อย่างก้าวเข้าสู่ป่า  เสือเปลือยเปล่า กระโดดเข้าสู่ป่าที่งดงาม และเริ่มกัด  เขาต่อสู้ไปทุกหนแห่ง สังหารเหยื่อ และได้รับชัยในทุกครั้ง


 


มีคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาในห้อง คุณชายน้อยจวิน แต่เด็กสาวสะดุ้งตกใจ และกระโดดถอยออกมา


 


ดูเหมือนจวินโม่เซี่ยกำลังหลับตรงหน้าของนาง  สีหน้าของเขา สัปดนอย่างน่ากลัวและชั่วร้าย  รอยยิ้มนี้คล้ายกับที่ คุณชายน้อยจวิน แสดงบ่อยๆ เมื่อครึ่งปีก่อน  ผู้ที่ได้เห็นจักรู้สึกว่า ..มิอาจอนทนดูได้


 


นางสถบเบาๆ เนื่องจากอับอายที่ได้เห็นสีหน้าที่หยาบคายนี้  สาวน้อยละสายตาลงต่ำ  ตัวตาเล็กๆของนางเบิกกว้างขึ้นในทันใด  นางเกือบกรีดร้องด้วยความตกใจ  แต่โชคดียิ่งที่นาง ขยับมือมาปิดปากได้ทันเวลา …


 


น่ากลัวยิ่งนัก !


 


ข้าเกือบจะเป็นลม !


 


สาวน้อยไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เกือบลมจับ  ร่างของนางสั่นชั่วครู่  จากนั้น เร่งรีบออกจากห้อง  จากนั้นนางรู้สึกถึงบางสิ่งตรงแก้มอันหอมหวานของนาง  นางมิรู้ว่าเมื่อไหร่กันที่มันร้อนรุ่มเช่นนี้


 


เอามือปิดใบหน้างดงามที่ร้อนรุ่ม นางนอนไม่หลับ เพียงแต่กลิ้งไปมาตลอดคืน  เมื่อดที่หลับตา นางจะเห็นรอยยิ้มของ คุณชาย ที่รักของนาง


 


สาวน้อยกระชับผ้าห่มของนางให้แน่นขึ้น ขณะที่นางใช้มันคลุมหัว …


 


. เขาเป็นวายร้าย ร้ายยิ่งนัก !  เจ้าสามารถ … ? ข้าจักตั้งท้องไหม … ?


หัวใจสาวน้อยเริ่มกระหน่ำ ขณะนางติดอยู่กับจินตนาการ …

 

 

 


ตอนที่ 279

 

วันถัดมา ตะวันยังไม่ปรากฏ


 


จวินโม่เซี่ย ยังมิลุกออกจากเตียง  เขายังคนครุ่นคิดถึงความฝัน และ พบว่าเป็นสิ่งน่าอับอายยิ่ง  เขามิได้สวมชุดชั้นในเนื่องจากพบว่ามีการเปียกเป็นจุดใหญ่  ถึงขั้นที่เขาพิสูจน์จุดที่ข้นเหนียวนั้นด้วยมือ …


 


น่าอับอายยิ่งนัก !  ฝันเปียกเช่นนี้เกิดขึ้นกับข้า มือสังหารจวิน ?! เป็นสิ่งที่อัปยศยิ่งสำหรับข้า !  เวรกรรม !  ผู้ใดจักเชื่อ ?  ….ชื่อเสียงของข้าตกต่ำขีดสุด !


 


คุณชายน้อยจวิน ดึงผ้าห่มมาปิดร่างที่พ่ายแพ้ของเขา  จากนั้น เขามองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง และยกก้นขึ้นเพื่อถอดกางเกงอย่างรวดเร็ว  เขารู้สึกไม่สบายตัวหากมิได้เปลี่ยนมัน


 


การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วและว่องไว ขณะที่เขาถอดเสื้อผ้า  เขาเอามือข้างหนึ่งถือผ้าห่ม และ อีกข้าถือกางเกงเพื่อหาสถานที่ซึ่งเขารู้สึกว่าสามารถทิ้งมันได้ …


 


แต่ กระนั้น …


 


ทันใดนนั้น …


 


” ตู้ม ! “


 


ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่น่ากลัวนั้น ปู่จวินบุกเข้ามาด้านในพร้อมด้วยหนวดสีขาวที่กระพืออยู่บนใบหน้า  เขาเข้ามาด้วยโทสะและตะโกนด้วยปากที่เบิกกว้าง


” เจ้าชั่ว !  ยังไม่ลุกขึ้นอีก !  เจ้าไม่รู้หรือตอนนี้เวลาใด ?! “


 


เขาปะทะเข้ากับผู้ที่กำลังอับอายอย่างยิ่งเนื่องจากเหตุการณ์ที่บริสุทธิ์  โชคดี ที่เขาเป็นผู้ชาย อาวุโส


 


จวินโม่เซี่ยรู้สึกอยากตาย  มือของเขายืดออกไป จากนั้นดึงผ้าห่มกลับมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า จากนั้นเขารับคำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากภายในสิ่งที่ปกคลุมอยู่


” ข้าตื่นแล้ว !  ข้าตื่นแล้ว !  แต่ท่านออกไปก่อน ! “


 


” เจ้าถือสิ่งใดอยู่ในมือ ? “


ปู่จวินสงสัย  และไม่เพียงแต่ไม่ออกไปเท่านั้น … เขายังเดินขึ้นหน้าอีกสองก้าว  จากนั้นขมวดคิ้วและเพ่งมองอย่างขุ่นเคือง ก่อนตะโกน


” เอามันออกมา ให้อาวุโสผู้นี้ดู ! “


 


” ไม่มีสิ่งใด !  ไม่มีสิ่งใด .. ไม่มีสิ่งใดๆจริงๆ ! “


จวินโม่เซี่ยรู้สึกว่าไม่เคยพบกับสถานการณ์ยุ่งยากเช่นนี้มาก่อนในชีวิต  เขาซ่อนมันลึกลงในผ้าห่มขณะที่เขาอธิบาย


” ท่านปู่ ท่านไร้มารยาท !  ข้ากำลังหลับ และท่านบุกตูมเข้ามา ! โชคดี ที่ข้ายังไม่มีภรรยา  แต่ เผื่อท่านหาภรรยาให้หลานชาย .. ท่านจักบุกเข้ามาเช่นนี้หรือไม่ หากนางอยู่ที่นี่กับข้า ? “


 


เขาเอ่ยถึงสิ่งใด ?


 


ปู่จวิน โมโหยิ่ง  ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความมืดมนขณะเอ่ย


” ชาติชั่ว !  เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยเช่นนี้ ?!  ข้าคือผู้เฒ่า … เจ้าเลว ยังไม่รีบเร่งลุกขึ้นอีก ?  เจ้าต้องการมีปัญหากับอาวุโสผู้นี้ ? “


 


ปู่จวินดึงผ้าห่มด้วยมือข้างหนึกงและดึง  เด็กน้อยเช่นจวินโม่เซี่ยจะต่อต้านยอดฝีมือสวรรค์เชวียนได้ ?


 


ปู่จวินมองไปยังส่ิงที่อยู่ตรงหน้าของเขา  จวินจ้านเทียน มีสีหน้าราวกับเพิ่งตื่นจากหลับฝัน เขามิอาจห้ามหน้าไม่ให้แดงได้  เขาเหวี่ยงแขนและ ตบลงไปยังก้นเปลือยเปล่าของจวินโม่เซี่ย อย่างรุนแรงดังก้อง ปั้ง !


” แสดงสิ่งที่เจ้าแอบซ่อนเอาไว้ ! “


เขายื่นมือออกไปและคว้าผ้าที่ยับยู่ยี่จากจวินโม่เซี่ย


 


ก้อนเสื้อผ้าเปียกเพราะบางอย่าง  มิได้คาดคิด และเขามิอาจรู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้  เขาเพ่งพินิจอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นยกขึ้นมาที่จมูก และดม  และได้รับกลิ่นที่คุ้นเคยล่องลอยออกมา …


 


เข้าใจทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว


 


สีหน้าที่อับอายของเขาแดงยิ่งขึ้น และโยนมันไป  จากนั้น เขายังคงเดือดดาล


” … อาวุโสผู้นี้จักสังหารเจ้า เจ้าเด็กไร้ยางอาย … “


เสียงกรีดร้องปางตายดังก้องทั่วทุกทิศ น้ำเสียงโศกเศร้ายิ่ง …


 


จวินวูอี้ได้ยินเสียงกรีดร้องปางตายนั้น และรีบมุ่งหน้าไป  เขาไปถึงทันเวลาและปะทะกับพ่อของเขา  ผู้อาวุโสหน้าแดงเดินออกมาจากห้องของจวินโม่เซี่ย ในขณะที่เขาปัดเครา  แต่ หางตาของเขายังคงแสดงความรู้สึกขำขัน …


 


” ท่านพ่อ โม่เซี่ยทำให้ท่านโกรธอีกแล้ว ? “


คุณชายสามถามจริงจัง


 


” ข้ามิได้เลี้ยงเจ้าเด็กเลวผู้นั้น ! “


ปู่จวินตัวสั่นขณะที่เขย่ามือขวาเงียบๆ  ราวกับเขาประสงค์จะเอ่ยบางสิ่ง แต่ไม่มีคำใดออกมา  เขายังคงตัวสั่นอยู่เป็นเวลาน และในที่สุดจึงเอ่ยขึ้น


” อนิจจัง … เจ้าเลวนั่นโตขึ้น … ถึงเวลามองหาลูกสะใภ้แล้ว “


จากนั้นเขาจึงเดินผ่านไปพร้อมมือไขว้หลัง


 


แต่ เขานึกขึ้นได้ทันทีถึงเหตุที่มาที่นี่เมื่อไปถึงประตูลานบ้านของจวินโม่เซี่ย  ดังนั้น เขาจึงคำรามมาแต่ไกล


” โอ้ ใช่ !  ลูกสาม เจ้ารีบเตรียมเจ้าปิศาจน้อยตัวนั้นให้พร้อม  เขาจำต้องเข้าพบองค์จักรพรรดิ ! “


จากนั้นเขาหายตัวไปพร้อมเสื้อผ้าที่ส่งเหสียง ฉึบ


 


ผู้บัญชาการแห่งกองกำลังอาณาจักร ยอดขุนพลจวิน ดูราวเขาอับอายยิ่งในเรื่องวันนี้  วีรบุรุษในรุ่นของเขา ได้สัมผัสกับ อาวุธที่รุนแรงของหลานชาย … น่าอัปยศยิ่งนัก  แต่ เขามิอาจกลั้นยิ้มแม้นจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า …


 


ดูคล้ายผู้อาวุโสมั่นใจ


มันใหญ่ … เขามีต้นทุนที่ดี … ต้นทุนของเขาอาจจะยังมิได้อยู่ในวัยผู้ใหญ่  แต่เขากำลัมาถูกทางแล้ว  อายุเขาเพียงสิบหก และยังคงเติบโตได้อีก …


 


เร็วเข้า เร่งรีบเพิ่มพูนผู้สืบสานให้สกุลจวินเติบใหญ่ !


ปู่จวินวางมือบนอก และเริ่มเคลื่อนไหวราวเขากำลับอุ้มทารก  ใบหน้าของเขาเผยยิ้มขณะคิดถึงสิ่งนี้ …


 


คุณชายสาม เข้าไปในห้อง และเห็นหลายชายผู้ลึกลับของเขามีท่าทีสงบเสงี่ยม ไม่เหมือนที่เขาเคยพบเห็น  จวินโม่เซี่ย ก้มหัวต่ำ ราวกับหญิงสาวที่อับอาย และดึงเสื้อผ้าขึ้น


มีบางสิ่งน่าสงสัยยิ่งเกิดขึ้นที่นี่


 


” เกิดอันใดขึ้นจึงส่งเสียงร้องเช่นนั้น ?  ข้ามิได้เห็นสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าปิศาจน้อย … แต่ปู่ของเจ้า โกรธเคืองชัดเจน  แต่ ดูเหมือนเขาดีใจ … สีหน้าของเขาคล้ายกำลังดุด่าเจ้า แต่ยังยิ้มอยู่  เร็วเข้า อธิบายแก่ข้า ! “


จวินวูอี้ งุนงง


 


จวินโม่เซี่ยไร้ทางเลือก  เขาเงยขึ้นด้วยความอับอาย และเอ่ยถามอย่างเคารพ


” ท่านน้าสาม ข้าขอ … อย่าถาม … “


 


สิ่งนี้มิอาจเอ่ยต่อหน้า


 


คุณชายน้อยจวิน อับอาย  หน้าของเขาหนากว่า กำแพงเมืองจีน แต่เรื่องนี้ อัปยศยิ่งสำหรับเขา ไม่ว่าเขาจักไร้ยางอายเพียงใด  เป็นเรื่องร้ายแรงยิ่ง


 


จวินวูอี้ ได้รู้ส่ิงที่เกิดขึ้นจากพ่อของเขาในเวลาอาหาร  พวกเขาร่วมทานอาหารกับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เช่นนั้นเขาจึงได้ยินเช่นกัน  จวินวูอี้ กำลังกินข้าวอยู่เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้  ข้าวนั้นพุ่งกระจายเป็นเส้นสีขาวขณะที่เขาสำลักมันออกทางจมูก  แท้จริง เขาเกือบพ่นอาหารใส่ร่าง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


 


อาจารย์เหยี่ยว มิได้ขุ่นเคือง แม้นเขาเกือบถูกถ่มน้ำลายใส่  บนใบหน้าของเขามีสีหน้างุนงงชั่วขณะ  จากนั้น เขาหัวเราะจนหอบเหนื่อย  มิได้มีความสุขเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว  เขาได้ต่อสู้กับ เล้ยวูเบ้ย ในคืนก่อน  ซึ่งทำให้เขามีความสุขยิ่ง  แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าขบขันยิ่งนัก …


 


จวินโม่เซี่ย และปู่ของเขามิได้สนใจทั้งสองผู้ที่หัวเราะมิหยุดหย่อย และสนใจเพียงทานอาหารเช้า  ขุนพล ในรถเข็น และ ยอดปรมาจารย์ที่แปด ยังมิได้หยุดหัวเราะกระทั่งจบมื้ออาหาร  ดังนั้น ทั้งคู่หลานปู่จึงเร่งรีบจบมื้ออาหาร ขึ้นขี่ม้า และตรงไปยัง ราชวัง


 


จวินวูอี้ และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังคงหัวเราะขณะที่ทั้งสองจากไป  ราวกับชายทั้งสองถูกห้อมล้อมไปด้วยปิศาจเพลิง


 


มิอาจรู้เหตุใดองค์จักรพรรดิจึงต้องการพบจวินโม่เซี่ย  เป็นคำขอที่บ้าบออันใดเช่นนี้ ?  เขาควรจะรั้ง งาน ยอดนักปราชญ์ทองคำ ที่ได้ยกเลิกไปก่อนหน้านี้ และมันเกิดขึ้นในราชวังเช่นเดียวกัน …


 


เป็นเรื่องที่ผิดปกติยิ่ง


 


ข่าวนี้ถูกส่งมาเมื่อกลางดึก  เจ้ากรมยุติธรรม เสนาบดี ซุนเฉิงเคอ วิ่งอุตลุต  เดิมดี ผู้ที่กิจธุระวุ่นวายกว่าเขาคือ เจ้ากรมสถาบันอักษรสวรรค์ เนื่องจากนักศึกษาของพวกเขารอคอยการเฉลิมฉลองอย่างกระตือรือล้น  นักศึกษาของพวกเขาผิดหวังยิ่ง เมื่อพบว่างานฉลองถูกยกเลิก แต่ ข่าวข่าวนี้ถูกส่งไปอย่างรีบเร่ง โดยเฉพาะเมื่องานนี้จัดขึ้นในราชวัง


 


เกิดการตัดสินใจในช่วงเย็นว่างานจักมีขึ้นในวันถัดไป  แต่ นั้นหมายความว่าจักมีผู้คนมากมายที่มิอาจเข้าร่วมได้ …


 


อาวุโสหนวดขาวมากมายสาปแช่งในใจ


เป็นคำสั่งอันใดกัน ?  เจ้าควรรู้วิธียับยั้งตัวเองแม้นว่าเจ้าประสงค์จักดูดนม …


 


แต่เขาคือ จักรพรรดิผู้ทรงอำนาจที่สุดภายใต้สรวงสวรรค์  หากเขาประสงค์ในวันนั้น … มันจักต้องเกิดขึ้นในวันนั้น  ดังนั้น ผู้อาวุโสหนวดขาวเหล่านี้จึงมิกล้าปฏิเสธบัญชาของเขา และยกเลิกงาน เนื่องจากมันอาจนำพาหายนะมาสู่ เส้นทางทองคำแห่งการพัฒนานักปราชญ์ของพวกเขา …


 


เวลางวดเข้ามามาก สถานที่นั้นยิ่งใหญ่ และขนาดของงานเป็นประวัติการณ์  คุณชายน้องของทุกสกุลชั้นสูงได้รับเชิญ  ในงานนั้นรวมถึงองค์ชายทั้งสาม องค์ชายอื่นๆก็มีส่วนร่วม  แม้แต่เด็กสาวมากฝีมือในสกุลใหญ่ๆก็มาแสดงตัว


 


จวินโม่เซี่ย ถังหยวน และอันธพาลฉาวโฉ่อื่นๆก็อยู่ในรายชื่อเช่นกัน  ดังนั้น ทั้งสองจึงได้รับเชิญ


 


ใบหน้าปู่จวินสงบนิ่งตลอดเส้นทาง เขามิได้ยิ่นวาจา จวินโม่เซี่ย ครุ่นคิดหนักอึ้ง และรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติในงานนี้  ทั้งปูหลานรู้สึกเช่นเดียวกันว่า สิ่งที่เรียกว่า งานยอดนักปราชญทองคำ นั้นมิใช่งานฉลองที่ดี


 


ผิดปกติอย่างมาก !  ผิดปกติยิ่งนัก !… ไร้เหตุผลสิ้นดี !


 


จวินโม่เซี่ย รู้สึกจางๆว่ามีตาข่ายที่มิอาจมองเห็นกำลังเข้าใกล้ตัวเขา …


จวินโม่เซี่ยงุนงง


เหตุใดข้าจึงรู้สึกเช่นนี้ ?


 


แม่เจ้าเอ๋ย !  ไม่มีผู้ใดมุ่งเป้ามาที่ข้า !  ยอมรับว่า ความสามารถการศึกษาและเล่าเรียนของข้านั้นเป็นเลิศ  ข้าเคยชินกับสิ่งเหล่านี้จากอดีตจนปัจจุบัน และคุ้นเคยกับบทกวีมากมาย … ข้าคือปรมาจารย์แห่งจตุรศิลป์ ! แต่ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้จักสิ่งนั้น  เช่นนั้น ข้าควรอยู่บนสถานะใดในสายตาพวกเขา … ?


 


” โม่เซี่ย !  เรื่องวันนี้ … อาวุโสผู้นี้รู้สึกบางสิ่งผิดปกติ “


ปู่จวินจ้านเทียนสายตาสง่างาม


” เจ้า … ควรหลีกเลี่ยงการหลอกตัวเองให้มากยิ่งเท่าที่ทำได้ “


 


จวินโม่เซี่ยยิ้มเพื่อผ่อนคลายปู่ของเขา


” ท่านปู่ ท่านเชื่อข้า ?   ไม่มีทางที่ข้าจักกระทำโง่เขลาและบ้าคลั่ง ข้าคือ อันธพาลอันดับหนึ่งแห่ง นครเทียนเชียง เหตุใดต้องเก็บซ่อนความโง่เขลาของข้า  ?!  ข้ากำเนิดมาโง่เขลา ! “


 


” ปิศาจน้อย ! “


ปู่จวินรู้สึกถูกเย้าหยอก  เขายิ้มหลังความกดดันลดลงอย่างมาก


 


กองเนื้อสูงตระหง่านตรงหน้าราชวัง


 


จวินโม่เซี่ยเหลือบมองเพื่อนของเขาและหัวเราะ  แน่นอน ถังหยวนและเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว


 


ปู่จวินมุ่งหน้าไปยังราชวังก่อน  จวินโม่เซี่ย และถังหยวน ย่อตัวลงและพิงกำแพงด้านนอก  พวกเขาดูราวนั่งอยู่ในท่าทางที่ชั่วร้าย


 


คุณชายน้อยในทุกสกุล และเหล่านักปราชญ์นั่งอยู่เคียงข้างพวกเขา  ท่าทีสดใสเรียบร้อย  มีกลิ่นไอแห่งความสง่าและจริงใจ  ดูคล้ายคุณชายน้อยทั้งสองจะอยู่ไม่ถูกที่


 


บางผู้ไม่รู้จักวายร้ายทั้งสองที่นั่งอยู่ไม่ไกลนี้ พวกเขาสอบถามคนอื่นๆเกี่ยวกับสองคนนี้


 


” เจ้ามิรู้หรือ ?  เจ้ามิรู้จักสองคนนี้ ? “


น้ำเสียงประหลาดใจเอ่ยถาม น่าอัศจรรย์ยิ่ง  ดั่งเช่น ชาวอเมริกันมิรู้ว่า วอชิงตันคือผู้ใด … ชาวฝรั่งเศษมิรู้ว่านโบเลียนคือผู้ใด … และชาวเยอรมันมิรู้ว่าฮิตเลอร์คือผู้ใด

 

 

 


ตอนที่ 280

 

” เหตุใด ?  ข้าจักรู้ทุกสิ่งบนโลกได้เช่นไร ?  พวกเขามีชื่อเสียง ? “


ผู้ถามประหลาดใจ


ทั้งสองผู้ที่ดูชั่วร้าย และแปลกแยก เป็นคนที่น่าอัศจรรย์ ?  ดูไม่เป็นเช่นนั้น … จากสิ่งที่ได้เห็น …


 


” เจ้ามิเคยได้ยินถึง วัชพืชแห่งนครหลวง ? “


อีกผู้หนึ่งตอบด้วยน้ำเสียงปราศรัย


 


” หรือทั้งสองคือ เจ้าหมูอ้วนถัง และ ทรราชจวินผู้ชั่วร้าย ?  เห็บในส้วม และ แมลงวันบนโต๊ะ ? “


 


” ใช่แล้ว !  ทั้งสองคือตำนาน เจ้าหมูอ้วนถังหยวน และ  พวกเขาคือ เห็บในส้วม และ แมลงวันบนโต๊ะ จริงๆ  พวกเขาคืออภิมหาหายนะแห่งชนรุ่นนี้ ! “


 


” ไม่แปลกใจที่ข้ารู้สึกอยากเฆี่ยนพวกเขาเมื่อได้เห็นครั้งแรก  นั่นคือเหตุผล !  วัชพืชแห่งนครหลวงแน่นอนเป็นดั่งชื่อของพวกเขา “


 


” ใช่แล้ว  และการมาของพวกเขาคือเหตุการณ์อันตราย  หากคิดว่า เจ้าวัชพืชทั้งสองมีคุณสมบัติเพียงพอเข้าร่วม ยอดนักปราชญทองคำ  อนิจจา … ศีลธรรมกำลังเสื่อมถอย ! “


 


” ความเสื่อมถอยนี้เป็นชนรุ่นเดียวกับข้า …  ข้าประสงค์จักคว้าหัวตัวเอง น่าอายยิ่งนัก !”


 


ราวกับผู้ที่เอ่ยวาจา ถอนใจยาว  ความเห็นถูกถกทั่วทุกที่  พวกเขาเหลือบตาขณะมองไปยังผู้ชั่วร้ายทั้งสอง  อีกทั้ง ยังชี้ไปที่พวกเขา และกระซิบ  ดวงตาพวกเขาปลดปล่อยความเกลียดชัง ขณะที่สีหน้าแสดงการดูหมิ่น


 


ราวกับ จวินโม่เซี่ย และ ถังหยวนมิได้ยินสิ่งใด  พวกเขายังคงทำตัวปกติ


 


” เจ้าอ้วน จำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าในวันก่อนได้หรือไม่ ? “


จวินโม่เซี่ยเอ่ยเสียงต่ำ


 


” ข้ามิอาจลืมลง “


ถังหยวนลืมตาเฉื่อยชา


” เจ้ายังสงสัยข้า ? “


 


” ข้ากลัวว่าดวงตาอ้วนๆและเต็มไปด้วยน้ำมันของเจ้า จักเห็นมันได้อย่างไม่ถูกต้อง ! “


จวินโม่เซี่ยสถบ


 


” สุภาพบุรุษมิได้สนใจเรื่องไร้สาระ !  เอ่อ ปู่ข้าเอ่ยเช่นนั้นเสมอ “


ถังหยวนดูเหมือนภาคภูมิใจยิ่ง


 


” เจ้ากล้าเรียกตัวเองว่า สุภาพบุรุษ … ?! “


จวินโม่เซี่ยเกือบสำรอก


เวลานี้มีผู้ใดอีกที่จักเรียกตัวเองว่า สุภาพบุรุษ ?!


 


จวินโม่เซี่ยพอใจยิ่งขณะได้เห็นสีหน้า ถังหยวน


เขาดูคล้ายดั่งตัวร้ายจริงๆในวันนี้ !  ยากยิ่งสำหรับตัวร้ายในตัวข้าที่จักห้ามมิให้สังหารเขา !


 


พวกเราเพียงรอคอยที่นี่ ?  พวกเราจำต้องรออีกนานเท่าไหร่ ?  ฮึ่ม !  เมื่อใดกัน ที่เราจักได้โอกาสแสดงฝีมือ ?


 


” เฮ้ยเจ้า มองอันใด ?  มิเคยพบเจอคุณชายผู้หล่อเหลาหรือเช่นไร ? “


จวินโม่เซี่ย เหลือบมองและถามเด็กหนุ่มที่กำลังแอบมองเขา  ผมของเด็กหนุ่มทาน้ำมัน และมีการตบแต่งหน้า  เป็นที่รู้กันว่าเขาคือสมาชิกสกุล เมิง  จวินโม่เซี่ย และ ถังหยวน เคยเกี่ยวข้องกับ เขา และ เมิงไฮ่โจม ในคราก่อน พวกเขากล่าวหาว่า จวินโม่เซี่ย และ ถังหยวนโกง หลังจากสูญเสียเงินมากมาย  ดังนั้น เขาจึงแกล้งมิรู้จักพวกเขา


 


” ข้ามิได้มองหาสิ่งใด “


เมิงเฟ้ย เหลือบตา และเงยหน้าขึ้นขณะตะโกน และมองผ่านหัวจวินโม่เซี่ยไป  ทุกสกุลที่ทรงอิทธิพลได้รับเชิญ  สกุลเมิงมิใช่สกุลเล็กๆ ดังนั้น พวกเขาจึงได้รับเชิญเช่นกัน


 


” แม่เจ้า ! “


จวินโม่เซี่ยตะโกนยาว  เขาดึงปลอกแขนขึ้น ขณะก้าวขึ้นหน้า


” เจ้าคือผู้ใด ?!  เจ้ารู้หรือไม่เอ่ยวาจากับผู้ใดอยู่ ?  แม่เจ้า !  แม่เจ้าจักมิได้เห็นเจ้าเมื่อข้าเสร็จกิจกับเจ้า  ข้าจักควักลูกตาเจ้าออก และยัดมันเข้าก้นเจ้า เชื่อข้าสิ ! “


 


เส้นเลือดสีฟ้าโป่งขึ้นที่ลำคอของจวินโม่เซี่ย ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะน้ำลายกระเต็นจากปาก


 


เฟ้ยเมิงยังยืนกับที่ พร้อมด้วยผมที่ทาน้ำมัน และ แป้งบนใบหน้า


” เหตุใดเขาจึงสนใจข้า ในขณะที่ทุกผู้มองเขา ?  เหตุใดข้าต้องไปรับเคราะห์เมื่อทุกผู้เอ่ยถึงพวกเขา ?


การสถบของจวินโม่เซี่ยทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความขุ่นเคือง  ปากของเขาขยับไร้เสียงด้วยความขุ่นเคือง


 


” ปล่อยไปเถิดคุณชายน้อยสาม  มิจำเป็นต้องลดตัวลงไปคลุกคลีกับสามัญชั้นต่ำ ! “


ถังหยวนรีบเร่งปลอบโยนสหาย


 


วายร้ายทั้งสอง เฝ้าดูอยู่นาน การพูดคุยของพวกเขาต่อเนื่องไป  ถังหยวน ดึงรั้งจวินโม่เซี่ย และ เอ่ย


” ไปเถิด ไม่ช้าพวกเราต้องไปยัง พระที่นั่ง  และพวกเราจักทำให้ทุกผู้ประหลาดใจจากฝีมืออันโดดเด่น  พวกเราจักแสดงให้พวกเขาเห็นถึงฝีมือซึ่งไร้เทียมทาน และผู้ใดจักรู้ … องค์จักรพรรดิอาจประทับใจ  พระองค์อาจประทานตำแหน่งราชการระดับสูงให้พวกเรา … จากนั้น พวกเราจักตอบสนองความต้องการจากตำแหน่งราชการ ! “


 


” ดั่งเจ้าว่า “


จวินโม่เซี่ย รวบผม และปล่อยลงไปด้านหลังขณะหน้าอกของเขายกขึ้น


” ข้ามิควรลดตัวต่ำดั่งเช่นสามัญหล่านี้ ! “


 


ทั้งสองเอ่ยดังก้อง ขณะที่ผู้อื่นสำลักและอยากอาเจียนออกมาในทันที


หาประโยชน์จากตำแหน่งราชการระดับสูง ?  กับพฤติกรรมของพวกเจ้าเช่นนั้น ?  และฝีมืออันไร้เทียมทาน ?  บ้าสิ้นดี …


 


ลามิรู้จักหาที่อยู่ ..


 


” จวินโม่เซี่ย !  เจ้าหมายความเช่นไร ?!  เจ้าคิดว่าข้ามิอาจกลั่นแกล้งเจ้าได้ ?! “


เม่ยเฟิงที่ปะหน้าทาแป้งและอ่อนช้อย สิ้นวาจาชั่วครู่  แต่ ทันใดนั้นเขาควบคุมลมหายใจรวดเร็วและปลดโทสะลงขณะสาปแช่งจวินโม่เซี่ย


 


” ทุกคนดู !  หนุ่มผู้นี้สร้างเรื่องขึ้นมา !  เจ้าไม่สามารถโทษข้าได้ ! “


จวินโม่เซี่ย เสแสร้งเป็นผู้บริสุทธิ์ และผายมือ


”  ข้าคิดว่าทุกสกุลที่ทรงอิทธิพลนั้นเป็นสหายกัน  เช่นนั้น ข้าจึงมาที่นี่ มิใช่ว่าทุกสกุลที่มีอิทธิพลจักรู้จักกันหรือ ?  แต่เดรัชฉานผู้นี้มิยอมปล่อยสิ่งที่ข้าอาจเคยเอ่ยกับเข้าไว้ !  ที่นี่คืออะไร ?  ที่นี่คือ ราชวัง !  หนุ่มผู้นี้นยังร้องลั่นเช่นนี้  เขาประสงค์จะก่อกบฏหรือ ?  หรือสกุลเมิงประสงค์แย่งชิงบัลลัง ? “​


 


ทุกผู้สับสน


ไร้ยางอายยิ่ง !  เขาช่างไร้ซึ่งเศษเสี้ยวความอับอาย !  การกล่าวหาของเขาไร้เหตุผลยิ่ง  มากเกินไปแล้ว …


 


” เจ้า …. เจ้าเอ่ยวาจา …​ไร้สาระ ! “


เมิงเฟ้ยเริ่มตาลายด้วยโทสะ  ร่างของเขาเริ่มสั่นราวกับใบไม้แท้ท่ามกลางสายลม


 


อันธพาลจวินมิได้มองข้ามสิ่งนี้  เขาเร่งรีบพุ่งไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้น และตบเข้าไปที่ใบหน้าเสียงดังสองหน  จากนั้น จับขาของเขา และเตะเข้าใส่ท้อง  การเคลื่อนไหวของ จวินโม่เซี่ย ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว


 


เมิงเฟ้ยตกใจ  เขามิได้คาดว่าฝ่ายตรงข้ามจะกระทำเช่นนี้ในราชวัง  เด็กหนุ่มนิ่งตะลึง  ความจริง เขาเห็นดาวขณะเอวของเขาบิดไป  ร่างเขางอดั่งกุ้งขณะกุมท้อง  คุณชายน้อยจวินมิได้ล่าถอย  เขายังคงโจมตีต่อแม้นศัตรูจักลมลงเจ็บปวด  เขามิอาจปล่อให้โอกาสนี้หลุดลอยไป


 


ใบหน้าปะแป้งของ คุณชายน้อยสกุลลี่ บวมขึ้นราวกับหมูอย่างรวดเร็ว แท้จริงแล้ว มันด฿คล้ายคลึงกับถังหยวนยิ่ง


 


คนอื่นๆยืนขึ้น


จวินโม่เซี่ยผู้นี้กระทำเกินไปแล้ว !


 


” ปล่อยมันไป คุณชายน้อยจวิน !  ทุกผู้สามารถผิดพลาดได้ อภัยให้เขา ! “


หนุ่มผู้มีใบหน้าขุ่นเคืองเข้าขวาง จวินโม่เซี่ย ขณะเขายกขาเพื่อกระทืบ เมิงเฟ้ยอีกหน


 


ทุกผู้มองฉากนี้ด้วยความตื่นเต้น  คุณชายน้อยจากสกุลอันทรงเกียรติมองดูอันธพาลผู้ยิ่งใหญ่แห่งนคร จวินโม่เซี่ยขุ่นเคือง


 


” และ เจ้าคือผู้ใด ?  และเจ้ามาช่วยเขาหรือ ?  เจ้าอยู่ในฐานะอันใด ?  เจ้ารู้หรือไม่ว่า คุณชายน้อยผู้นี้มีความผิดอันใด ?  เจ้าเห็นสิ่งที่เขาทำก่อนที่เจ้าตัดสินใจสนับสนุนเขาหรือ ?


 


ร่างกายส่วนล่างของจวินโม่เซี่ยบิดไปมา  เขาบิดเอว และร่างเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรูปตัว S  จากนั้นเขาวางมือลงบนเอว และเชิดหน้าขึ้น  และตอนนี้ คุณชายน้อยจวิน ดูคล้ายดั่งกาน้ำชาขนาดใหญ่


 


” ข้าคือ มูล่งเจี้ยนลี่ ข้ามาจากรุ่นสามแห่งสกุลมูล่ง ! “


คุณชายน้อยในชุดคลุมที่มีเครื่องประดับเอ่ยตอบ  ใบหน้าเต็มไปด้วยความยะโส ขณะเงยขึ้นมองจวินโม่เซี่ย  จากนั้นเอ่ยถึงจวินโม่เซี่ย ด้วยน้ำเสียขยะแขยง


” คุณชายสามจวิน … โอ้ว เจ้าไม่ไว้หน้าข้าหรือ ?  ทั้งหมดนี้คือเรื่องเข้าใจผิด  เหตุใดพวกเรามิควรเปลี่ยนความขัดแย้งนี้ให้กลายเป็นพันธมิตร ? “​


 


” โอ้ว !  สกุลมูล่งนี่เอง …  ข้ากลัวแล้ว …  ข้ากลัวยิ่งนัก !  … เจ้าอ้วนมาช่วยข้าหน่อย …  ข้าหายใจมิออก ! “


 


จวินโม่เซี่ยแสร้งตกตะลึงยิ่งยวดขณะเขากระโดดขึ้น  กระทั่งเขาตะโกนลั่นเกินความเป็นจริง ขณะทุบหน้าอกตัวเอง แท้จริงแล้ว ดูราวเขาได้รับข่าวที่น่าตกใจย่ิงจนหัวใจเกือบหลุดออกมา  จากนั้น สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนรวดเร็วราวกับสวมหน้ากาก


” เจ้าประสงค์ให้ข้ากลัวกระนั้น ?  สกุลมูล่งมากดดันข้า ?!  ชิ ชิ … “​


 


จวินโม่เซี่ยยืดคอไปยัง มูล่งเจี้ยนลี่ก่อนยิ้ม และขบฟัน


” ฮ่าฮ่า มูล่งเจี้ยนลี่ เจ้าน่าเกรงขามยิ่ง !  ผู้ใดจักมิรู้จักชื่อเสียงสกุลมูล่ง ?  ฮี่ ฮี่ “


 


จวินโม่เซี่ย เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงประหลาด เขาไม่ปล่อยให้ มูล่งเจี้ยนลี่มีโอกาศได้เอ่ยวาจา


” เจ้าคิดว่าสกุลมูล่งของเจ้าจักแข็งแกร่งกว่าสกุลของข้า ?  ฮี่ ฮี่ … มูล่งเจี้ยนลี่ เจ้าพูดแทนสกุลมูล่ง … ดูราวกับสกุลมูล่งและสกุลเมิงมีแผนการจะก่อจลาจลในนครเทียนเชียง ข้ามองเห็นมันได้อย่างชัดเจน “


จวินโม่เซี่ยพยักหน้า


 


” ข้ามิเคยอ้างว่าพูดแทนสกุลมูล่ง !  และ ข้าไม่เคยเอ่ยวาจาถึงการกบฏ !  เช่นนั้นจงหยุดสร้างข่าวลือ !  จวินโม่เซี่ย เจ้าใช้วิธีการนี้กับผู้อื่นได้ … แต่มิได้สำหรับข้า ! “


มูล่งเจี้ยนลี่ สังเกตได้ว่า พวกพ้องของเขาหลายคนแสดงสีหน้าที่มีนัยยะ  ดังนั้น จึงรีบเร่งอธิบายเสียงดัง


 


” เจ้ามิได้พูดแทนสกุลมูล่ง ?  เหตุใดเจ้าจึงร้อนตัวเช่นนี้ … ?  แม่เจ้า !  เช่นนั้น ผู้คนเหล่านี้กลั่นแกล้งข้า ?!  น่างผิดหวังยิ่งนัก ! “


 


จวินโม่เซี่ยขมวดคิ้วก่อนเชิดขึ้นอีกครัง


” เหตุใดเจ้าจึงแสร้งพูดแทนสกุล มูล่งหากมิได้เป็นความจริง ?  เจ้าขัดขวางข้า  ดูนี่ ข้าบอกว่าดูที่นี่ เจ้าลูกสุนัข !  เจ้าประสงค์ให้ข้า ตอนเจ้าและใช้มันทำใส่กรอกในราชวัง ?  เร็วเข้าปล่อยมือข้า !  เจ้าลูกสุนัข ! “


 


ความโอหังและพฤติกรรมที่น่าเศร้าของจวินโม่เซี่ยทำให้เหล่าบัณฑิตและคุณชายน้อยทั้งหลายขุ่นเคืองมากมาย การถกเถียงที่ครึกครื้นทำให้ทุกคนเริ่มวิพากษ์เขา  จวินโม่เซี่ย วางมือไว้บนสะโพก และ จากนั้นเผชิญหน้ากับทุกคนหน้าท้องพระโรง  จากนั้น เขาเริ่มโต้เถียงทุกคนด้วยลิ้นอันเหม็นเน่า น้ำลายของเขากระเด็นไปทุกหนแห่ง  ภาษาที่สกปรกมากมายถูกสาดใส่มากยิ่ง แต่เขาไม่ล่าถอยแม้แต่น้อย


 


ราวกับบอกว่า มิสำคัญว่ากองกำลังจักมากมายเพียงใด ข้าจัดรอคอยพวกเขา


 


ยังมีอีกหลายกวีที่อ้างถึงเขาได้ เขาอ้าปากเอ่ยวาจาสาปแช่งนับพัน


 


เจ้าอ้วนถัง มองยังร่างสูงและเพรียวของจวินโม่เวี่ยด้วยความชื่นชมยิ่ง เขาอุทานต่อเนื่อง


” คมคายยิ่ง !  การตอบโต้เช่นนั้น !  หลักแหลมยิ่ง !  เจ้าน่าเกรงขาม จนทำให้ผู้อื่นหมดสิ้นหนทาง !  เป็นได้เพียงส่ิงเดียว ราวกับเด็กเคี้ยวขนม ! “


 


หลายคนเริ่มแสดงความคิดเห็นและไม่ช้า ทุกคนเริ่มตื่นตัว ตรงหน้าท้องพระโรง  ไม่นานเสียงเริ่มดังขึ้นราวกับตลาดปลา  ดูเหมือนว่าอีกไม่ช้าจะเริ่มมีการต่อสู้กันด้วยหมัดมวย


 


” ช่างอวดดี ?!  ที่นี่คือราชวัง !  ผู้ใดอาจหาญส่งเสียงก่อกวน ?!  เจ้ามิประสงค์จะคงศรีษะเจ้าไว้กระนั้น ?! “


เสียงอันสง่าและดังก้องสะท้อนราวกลองพิธี


 


ทุกผู้ที่กำลังตะโกนลั่น เงยหน้าขึ้นมอง  พวกเขามิอาจกลั้นมิให้ตะโกนก้องร้องเรียกสวรรค์มิได้  ผู้อาวุโส และ เหล่าหัวหน้าสกุลมากมาย ยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าหม่นหมอง  ทันใดนั้น ใบหน้าของทุกคนราวถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง


 


” อับอายยิ่งนัก ! “


เสียงตะโกนลั่นของ ตู่กู้ซ้งเฮง ทำให้โลกพวกเขาสับสน


 


เหล่าคุณชายเริ่มมีใบหน้าบูดบึ้งและก้มหัว  หัวใจพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังจวินโม่เซี่ย


ความประทับใจที่พวกเราต่างสรรค์สร้างขึ้นในใจของเหล่าผู้อาวุโสได้มลายหายไปในทันที พวกเราต้องตกอยู่ในความดูแลของเหล่าพี่ๆ และเป็นเพราะเจ้าเด็กผู้นี้ !   ชิ … !

 

 

 


ตอนที่ 281

 

ผู้คนจำนวนมากกำลังต่อสู่กันอยู่หน้าท้องพระโรง กฎหมายแห่งอาณาจักรเหล่าผู้คนมิอาจท้าทาย  ดังนั้นจึงไร้หนทางอื่น เรื่องนี้จึงจบลงอย่างง่ายดาย


ทุกคนกลับไปยังตำแหน่งของตัวเอง เหล่าใต้เท้าเฝ้ามองจวินโม่เซี่ยยืนขึ้นและปัดฝุ่นที่หลัง  ทันใดนนั้นพวกเขาจึงตระหนักได้ว่า เหตุใดความปั่นป่วนนี้จึงเกิดขึ้น  เพื่อทำให้เรื่องแย่ลง … จวินโม่เซี่ยเผชิญหน้ากับห่าฝนแห่งคำสาปแช่งขณะเขานั่งลง …


 


ทุกผู้ไร้วาจาเอ่ย  ไร้ม้านั่งหรือก้อนอิฐให้นั่ง แต่ดูเหมือนจวินโม่เซี่ยจะมิได้สนใจ  น่าตกตะลึง มีร่างหนึ่งนอนอยู่ใต้ก้นนั้น ใบหน้าของคุณชายน้อยผู้นั้นคล้ายดั่งหัวหมู ดูราวกับเขากำลังจักหายใจเฮือกสุดท้าย  คุณชายน้อยผู้นั้น คือ คุณชายแห่งสกุลเมิง เมิงเฟ้ย … คุณชายน้อยจวิน นั่งลงบนร่างที่ล้มลงไปของเขา สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดหมู่มวลแห่งโทสะ และก่อให้เกิดคำสาปแช่งในที่สุด


 


มิแปลกใจที่เขาสถบเช่นนั้น ความรู้สึกของผู้คนจักต้องไม่เกิดขึ้นเพียงแค่เขาส่ายก้นไปมา …


 


เช่นนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น …


 


ชัดเจนจากอาการของคุณชายน้อยเมิง เขาจำต้องพลาดงานฉลองเป็นแน่ …


 


” เขาดูไม่ค่อยดีนัก นำตัวเขาไปหา หมอหลวง ! “


หัวหน้าสกุลเมิง   เมิงซือเชิงตะโกนด้วยโทสะและกังวล  จากนั้นเขาหันไปยิ้มให้กับ จวินจ้านเเทียน


” ขุนพลจวิน หลานชายของท่านมีแววยิ่งนัก … “


 


” ฮี่ ฮี่ … พี่เมิงชื่นชมเกินไป  ฮ่า ฮ่า โม่เซี่ยยังเด็กและอ่อนหัด  ท่านมิควรกล่าวหาเขาเช่นนี้ ! “


ปู่จวินลูบเครา หรี่ตาขณะแสดงสีหน้าขอบคุณ


 


เมิงซือเชิง เซไปขณะได้ยิน เขาเกือบล้มลง  หัวหน้าสกุลอื่นก็เช่นเดียวกัน


ชัดเจนว่า ความไร้ยางอายนี้ตกทอดทางสายเลือด … !


 


อันธพาลจวิน จงใจสร้างเรื่องน่าขันต่อหน้าท้องพระโรง  แรงผลักดันของเขาช่างดุร้าย  เสียงที่เกิดขึ้นนั้นดังยิ่ง  เขาล่อลวงให้คนอื่นๆเข้าร่วมเรื่องน่าขันนี้ จนทำให้เสียงดังเข้าไปถึงด้านใน  ในท้องพระโรงกำลังถกเถียงถึงเรื่องการทหารและกิจการบ้านเมือง และเสียงรบกวนเหล่านี้เข้าสู่หูของเหล่า เสนาบดี และ องค์จักรพรรดิเนื่องจากพวกเขามิได้หูหนวก  เสียงดังรุนแรงต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นทุกขณะ ไม่นานความอดทนพวกเขาก็หมดลง  ดังนั้น จึงเร่งรีบจบการถกเถียง การสนทนาเหล่านี้มักต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง  แต่ ในวันนี้กลับใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น


 


การถกเถียงจบลงก่อนกำหนดเนื่องจากความคิดของทุกผู้สนใจเพียงความวุ่นวายด้านนอก  เหล่าคุณชายที่ วิวาทกันอยู่ภายนอกนั้นคือ แก้วตาดวงใจของพวกเขา  ดังนั้น ทุกคนจึงกังวลถึงความปลอดภัยของผู้เป็นที่รักของพวกเขา …


 


 


จวินโม่เซี่ย ยิ้มในใจเนื่องจากเขารู้สึกถูกกลั่นแกล้ง


ฮี่ ฮี่ ไม่มีผู้ใดที่จักเอาชนะข้าได้ นอกจากผู้ที่ตายไปแล้ว …  เจ้าทำให้ข้าต้องรอด้านหน้าท้องพระโรง คงมิเป็นการเร่งรัดเจ้ามากเกินไป หากข้าไม่ทำอะไรบางอย่าง ?


 


ยังมีเวลาอีกเนินนานก่อน งานยอดนักปราชญ์ทองคำจักเริ่มต้นขึ้น  แต่ เหล่าขันทีและนางข้าหลวง กระตือรือร้นทักทายแขกเหรื่อ


 


” นี่ คุณชายน้อย … เจ้าคิดว่าสิ่งใดอยู่ในโถงเหล่านั้น ?  เจ้ารู้หรือไม่ ? “


ถังหยวน ถามจวินโม่เซี่ยขณะดวงตาของเขามองไปด้านใน


” ข้าเห็นเพียงเหล่าหนอนหนังสือ และหนองหนังสือ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเป็นบุรุษ  สาวงามที่พวกเขาเอ่ยถึงอยู่ที่ใดกัน ?  ข้าต้องการอาหารตา … “


 


” อย่าได้ถามข้า  เป็นการดีหากเจ้าปรึกษา องค์จักรพรรดิในเรื่องนี้ “


จวินโม่เซี่ยดึงฟางข้าวจากริมรั้วหยกและนำมาใส่ปาก  เขายับปากไปมาเพื่อพลิกมัน  จากนั้นเขาใช้ฟันบดขี้ราวกับเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้เขาดูปราดเปรื่องย่ิงเมื่อทำเช่นนี้


 


ถังหยวนมองไปยังใบหน้าของเขาด้วยความริษยา  ริมฝีปากของเขาหนาเกินไปและลิ้นของเขาสั้นกว่าคนปกติ  ในทางกลับกันปากของ จวินโม่เซี่ย นั้นอ่อนช้อยกว่า  เขาพ่นลมทางจมูกและถาม


” ข้าคาดว่า ปู่ของข้าคงจักถลกหนังข้าออกหากข้ากล้าถามสิ่งนี้กับพระองค์  เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้ แต่เจ้าบอกให้ข้าถามพระองค์ซึ่งมันก่อให้เกิดหายนะได้  …. เจ้าเป็นพี่ใหญ่ของข้า …. “


 


” แม่เจ้า !  ข้ามายังราชวังเป็นหนแรก  ข้าตามเจ้ามาเนื่องจากเจ้าเคยมาที่นี่ก่อน เช่นนั้น ข้าจักรู้ได้อย่างไรหากเจ้าไม่รู้ ?  และเจ้า อย่างเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้  มีน้องชายอ้วนเช่นนี้ ข้าประสงค์จะอ้วก “


 


จวินโม่เซี่ยกรอกตา  จากนั้น ประกายอันมีนัยยะเปล่งขึ้นในดวงตาของเขา หลังจากที่เขาเหลือบมองบางสิ่ง  เขากระแอม


” เจ้าอ้วนดู มีคนอีกกลุ่มมา พวกเขาดูไม่คล้ายบุรุษ  จักต้องเป็นสหายรู้ใจเจ้า  พวกเขามิใช่นักปราชญ์แห่งจาก สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ?  การเดินที่เป็นระเบียบของพวกเขาดูคล้ายดังขบวนทหาร  แม่เจ้าเอ๋ย  เสแสร้งยิ่งนัก ! “


 


เหล่าเยาวชนชุดขาวมาถึงยัง บันใดหยกเรียบตรงหน้าท้องพระโรง  พวกเขาแต่ละคนหลังตรง ท่าทีสุภาพเรียบร้อยและเคลื่อนไหวอย่างอิสระ  ทุกผู้ดูละเอียดอ่อน กรียาท่าทางเกินกว่าเหล่าสามัญหยาบช้า  พวกเขามีไม่มากนัก ราวยี่สิบคน  สองอาวุโสเคราขาวนำหน้าพวกเขาอย่างเชื่องช้าขณะเดินเข้าไป


 


ชายทั้งสองที่นำขบวนมีใบหน้ายาว และผมยาวสีขาวถูกผูกไว้ตามรูปแบบนักปราชญ์  ปลอกแขนกว้างของพวกเขาดีเลิศตามรูปแบบ ยอดนักปราชญ์  อาจารย์ทั้งสองแห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง คือปราชญ์ผู้ที่ทั้ง นครชื่นชม เหม๋ยเกาเจี้ย และ คุ้งหลิงหยาง


 


จมูกเจ้าอ้วนบานออกขณะเขาเขากรีดร้องเสียงแผ่ว


” เจ้าชั่วทั้งสอง ศิษย์พวกเขา ทายาทพวกเขา ทั้งสกุลพวกเขาเป็นพวก ปากว่าตาขยิบ  ดูสิ !  ข้ารู้สึกอยากสำรอกเมื่อได้เห็นพวกเขา !  พวกเขาทำให้ข้าต้องต้องซักชุดชั้นในเมื่อใดก็ตามที่ข้าขาดการงาน ข้าเคยคิดถึงพวกเขายิ่งในวันนั้น  แต่ตอนนี้ข้าเสียใจ เมื่อได้เห็นทุกสิ่งชัดเจนขึ้น “


 


จวินโม่เซี่ยยกคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น  มองพวกเขาด้วยสีหน้าเสียดสี และจากนั้นพ่นลมทางจมูกเห็นด้วยกับถังหยวน  เขารู้ถึงความผิดที่ชั่วร้ายของเจ้าอ้วน  แต่เขาก็เห็นด้วยกับเจ้าอ้วน


 


บังเอิญยิ่ง ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตุผู้ที่ถอนใจอยู่ด้านหลัง


” พวกเขาคู่ควรกับชื่อเสียงของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง มันคือสถานที่รวบรวมความงดงาม มีบันทึกวรรณกรรมมากมาย นักศึกษาใน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง เป็นดั่งยักษ์ใหญ่ใน นครเทียนเชียง พวกเขามีทิตฐิมากยิ่ง ! “


 


” เจ้าไม้ซักผ้า ! “


จวินโม่เซี่ย และ ถังหยวนเย้ยหยันขึ้นพร้อมกันขณะพวกเขาหันมองข้างหลังด้วยความดูถูก จากนั้นพวกเขาเชิดหน้าขึ้นพร้อมเพรียง


 


ฉากนี้คล้ายกับการ เหยียบเท้าของผู้ที่มีกลิ่นเท้า ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าคุณชายผู้มีตาเป็นประกาย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมิขาดเหล่าคุณชายน้อยผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสกุล  น่าประหลาดใจยิ่ง ที่ศิษย์แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง บางคนต้องสูญเสียความสง่างามเนื่องจากการประจบเหล่าคุณชายผู้มีแววเหล่านี้  การเรียกร้องให้มีผู้สนับสนุนนั้นน่ารังเกียจ


 


พวกเขาทั้งสองล่าถอยรวดเร็ว แต่เวลานี้ทั่วทั้งโถงเงียบกริบ  แต่ทั้งสองยังคงเอ่ยกับเสียงดัง  ดังนั้น ความสนใจทั้งหมดจึงตกมายังพวกเขา


 


สองผู้นำนักปราชญ์แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงมองไปยัง จวินโม่เซี่ย และถังหยวน คล้ายดั่งพวกเขามองไปยัง อุจจาระ  สายตาของพวกเขานั้นรังเกียจยิ่ง


 


เจ้าอ้วนถัง กระโดดขึ้นด้วยความกลัวเนื่องจากเหล่าปราชญ์จำนวนหนึ่งเริ่มมองมาที่พวกเขาด้วยความรังเกียจ  สีหน้าเขาเปลี่ยนไปขณะตัวสั่น  เขาต้องการทำลายปราชญ์เหล่านั้น  แต่ ผู้คนที่น่ารังเกียจไม่สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าปราชญ์เหล่านี้  แววตาอันตระหง่านจากปราชญ์และคนอื่นๆในที่นี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไร้ความกลัว ทันใดนนั้น เจ้าอ้วนถังจึงเริ่มสูญเสียความมั่นใจ


 


เจ้าอ้วนถังหวาดกลัวเล็กน้อย แต่อันธพาลจวินนั้นราวกับไม่ได้รับผลอันใด  เขาเงยหน้าขึ้น เอียง หัว และเหลือบมองเหล่าผู้ที่มองมา …


 


จวินโม่เซี่ยเผชิญหน้ากับแววตาอันรังเกียจจากผู้คนนับรอบด้วยความอดทน  เขามองไปที่พวกเขาอย่างอวดดี  ท่าทีของเขาโอหังเนื่องด้วยไร้ความกลัว


ข้าคือวายร้าย เพียงมารยาเท่านั้นที่ทำให้ข้าตกใจ …


 


แม้นเขาแข็งแกร่ง ข้าแข็งแกร่งกว่าเขา !


 


นี่คือ คติแห่งมือสังหาร


 


” ไม้ผุมิอาจใช้ในการแกะสลัก !”


เหม๋ยเกาเจี้ยเพ่งมองไปยัง อันธพาลทั้งสองด้วยทีท่าเยือกเย็น  จากนั้นเขาเขี่ยเคราะแพะไปด้านหนึ่งขณะตำหนิพวกเขา  สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ  เขาเป็นปราชญ์ผู้ทรงความรู้และมากประสบการณ์  มีถ้อยคำน่ารังเกียจมากมายแต่เขามิอาจใช้มันได้  เขาจึงเอ่ยเพียงแค่นั้น  แต่ เป็นประโยคที่ดูหมิ่นยิ่ง แต่สง่างามอย่างที่สุด


 


คำว่าสง่างามนั้นอาจสูงส่งเกินไป  สายตาอันแหลมคมของ อาวุโส ยังคงจับจ้องทั้งสอง ขณะเขานำขบวนผ่านพวกเขาไป  ไม่ช้าพวกเขาขึ้นไปถึงสุดบันได ที่นั่นพวกเขา มอบขอบขวัญและทักทายเหล่าเสนาบดี  จากนั้นแนะนำนักศึกษาผู้น่าเลื่อมใสทุกคน


 


จวินโม่เซี่ย สังเกตเห็นสายตาที่เหลือบมองของชายทั้งสอง ขณะที่พวกเขานำขบวนผ่านไป ความรังเกียจในสายตาพวกเขานั้นส่งผลกับถังหยวน


 


เหล่านักปราชญ์แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง มิได้รังเกียจ ดูหมินจวินโม่เซี่ย  คนที่พวกเขารังเกียจที่สุดในนครเทียนเชียง คือ ถังหยวน


 


แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ถังหยวนใช้วิธีที่น่ารังเกียจเพื่อให้จบจากสถาบันของพวกเขา  จากนั้น เขาใช้อำนาจของสกุล ขูดรีดจากเหล่า ปราชญ์ในสถาบัน  ยิ่งไปกว่านั้น เขาใช้สกุลของเขาเพื่อต้อนให้สถาบันจนมุม  แท้จริงแล้ว เขาพยายามใช้อำนาจเงินเพื่อเข้าควบคุมพวกเขา


 


หากมีเพียงแค่นั้น … ยังคงพออดทนไหว  แต่ เจ้าปิศาจอ้วนถังไม่หยุดเพียงแค่นั้น  เขาบังคับให้ศิษย์ของสถาบันทำงานให้เขา  จากนั้น เขาให้ปราชญ์ผู้นั้นซักชุดชั้นในสาวใช้ … สถาบันจักทนต่อความอับอายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?


 


เหตุใดเจ้าจึง ดูหมิ่น สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงถึงเพียงนี้ ?  เหตุใดเจ้าจึงดูหมิ่นสถานที่ซึ่งให้กำเนิดเหล่าปัญญาชนของนคร ?


 


เจ้าอ้วนมิได้เก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับ เขากระจ่ายข่าวนี้ออกไป  เหม๋ยเกาเจี้ยและ คุ้งหลิงหยาง กระอักเลือดเมื่อได้ยินว่าศิษย์ผู้หนึ่งของเขาได้รับความอัปยศเช่นนี้  ถังหยวนจึงถูกล่าวว่าเป็น อันธพาล ภายในสถาบันนับตั้งแต่นั้น … แท้จริงแล้วเขาถูกขนานนามนั้นทั่วทั้งนครเทียนเชียง


 


สำหรับปราชญ์ผู้ที่ยอมรับการกระทำที่อัปยศเพื่อปีนป่ายสูงขึ้นในสังคมด้วยดวงตาอันมือบอดด้วยความโลภนั้น … ไม่มีผู้ใดสนใจจักช่วยเหลือเขา


พวกเราทำได้ดีตราบใดที่ สถาบันเต็มไปด้วยปราชญ์  เป็นเรื่องปกติที่จักมีผู้ที่ชั่วร้ายบ้าง แต่ พวกเขาเป็นเพียงตำหนิเล็กน้อย  วันนี้ผู้คนมิได้เป็นเช่นนั้นหรือ ?  คนเช่นนั้นนักได้รับการลงโทษจากสวรรค์ในที่สุด !


 


แต่ เจ้าอ้วนถังกระทำผิดที่ดูหมิ่นและทำอันตรายกับ ปราชญ์ผู้มีอารยะ !


 


เป็นเรื่องที่ยอมรับกันใน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ที่อาวุโสทั้งสองจักตายตาไม่หลับ หากพวกเขามิได้เอาคืน  และเนื่องจากพวกเขาได้โอกาสนั้นในวันนี้ พวกเขาจึงมิอาจปล่อยให้หลุดมือไปได้


 


เด็กหนุ่มชุดดำยืนสงบนิ่งในมุมหนึ่ง  ใบหน้าของเขาปกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้า  ราวเขาไม่แยแสสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า  เหมือนดั่งฉาดนี้เป็นเพียงควันในสายตาของเขา ไร้ค่าจะชายตามอง


 


สายตาของเขาแจ่มชัดและเฉยเมย แต่อบอุ่นและสุขใส  แม้นใบหน้าของเขาจะถูกคลุมด้วยผ้า แต่ทุกคนบอกได้ว่าคุณชายน้อยผู้นี้เกินกว่าสามัญยิ่งนัก


 


เขาคือ หลานชายของ ราชครูลี่ คุณชายน้อย ลี่โย่วหลาน !


 


เขาเผยตัวออกมาในเวลานี้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม