Otherworldly evil monarch 268-274

ตอนที่ 268

 

ลืมเรื่องหนึ่งไป นางมิได้นำนิสัยของจวินโม่เซี่ยมาพิจารณา


เขาแตกต่างจากผู้อื่นยิ่ง  คนผู้นี้มิได้เผยตัวเองต่อผู้ใด  ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับกฏนั้น !


 


เขาจักทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ !


นางเจตนาจะช่วยเหลือ องค์หญิงหลิงเมิง และ มอบความหวังให้นาง  กระนั้นกลับทำให้จวินโม่เซี่ยโมโห  ซึ่งทำลายทุกความหวังที่จักช่วยชีวิต อยี่กู้ฮั่น ได้


 


ตำแหน่งในการบ้านเมืองของ องค์หญิง และ อยี่กู้ฮั่น อ่อนไหวนัก  ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในสกุลจวินก็ย่ำแย่เช่นกัน  สิ่งนี้ ทำให้จวินโม่เซี่ยไม่ประสงค์จะช่วยเหลือคนผู้นี้


 


” เหตุใดกัน ?  สิ่งใดอีกที่เจ้าต้องการให้ข้าทำ ?  สิ่งใดในโลกที่เจ้าต้องการจากข้า ?  เจ้าจงบอกข้า !  ข้าจักให้คำมั่น ข้าจักมอบทุกสิ่งที่เจ้าร้องขอ ! “


องค์หญิงหลิงเมิงยังคงคุกเข่าลงพื้นอย่างสิ้นหวัง สีหน้าเหม่อลอย  แต่กระนั้น นางยังคงคว้าความหวังสุดท้าย ขณะนางถามจวินโม่เซี่ย


 


” ไม่ว่าเจ้าจะพยายามเช่นไรก็ไร้ซึ่งความต่าง ข้าไม่เชื่อเจ้า “


จวินโม่เซี่ย เงยหน้าขึ้น มองไปยังท้องนภา  เขาถอนใจยาว  จากนั้นเอ่ยท่าที่เด็ดเดี่ยว


” องค์หญิง ข้าประสงค์จะช่วยเข้าอย่างแท้จริง แต่เจ้าจักต้องเข้าใจถึงสถานการณ์ของสกุลจวิน  … อาจจะบอกว่ามันล่อแหลม … ก็มิน้อยไป  และหากข้าสามารถรักษาอาการที่หมอชั้นยอดทั้งสามในนครมิอาจทำได้ สิ่งนั้นจะหมายถึง … “


 


จวินโม่เซี่ย ทอดถอนใจ


” ตอนนี้ … ผู้คนเพียงคลางแคลงใจ … และสงสัยในตัวข้า   แต่กระนั้น มันจักกลายเป็นเรื่องจริง หากข้าสามารถช่วยชีวิต อยี่กู้ฮั่น ได้ !  องค์หญิง อยี่กู้ฮั่น คือหนึ่งในราชชื่อต้องห้ามสำหรับ องค์จักรพรรดิ  การรักษาเขาอาจเทียบได้กับการต่อต้านองค์จักรพรรดิ !  เพียงหนึ่งเรื่องนี้ อาจเกี่ยวพันถึงชีวิตของสมาชิกสกุลจวินนับพัน … และผู้ติดตามนับหมื่น  ในสถานการ์เช่นนี้ … เอ่อ … องค์หญิง … ท่านไม่คิดหรือว่า การสละชีวิต อยี่กู้ฮั่น จะเป็นความคิดที่ดี ?  องค์หญิงจักทำในสิ่งที่แตกต่างไปหรือไม่ หากอยู่ในที่นั่งเดียวกับข้า ?


 


องค์หญิงคาดหวังให้ข้าเชื่อใจท่านได้เช่นไร ?!  ในเมื่อ สกุลเทียน ยังมิอาจซื่อสัตย์ต่อผู้ใด  องค์หญิงไม่รู้เรื่องนั้นกระนั้น ?”​


จวินโม่เซี่ยเอ่ยไม่หยุดหย่อน


 


” ข้าสามารถปฏิญาณรักษาความลับของเจ้า … เจ้า … เจ้าถามว่าเจ้าจักเชื่อข้าได้ …. เช่นไร … ?   … “


องค์หญิงหลิงเมิงกุมหัวคอตก  นางรู้ว่ามิมีคำมั่นใดที่นางสามารถทำได้เพียงพอ นางไม่รู้ว่าจักอธิบายได้ว่า คำมั่นของนางนั้นแตกต่างจากผู้อื่นในสกุล  เช่นนั้น นางจึงไร้วาจาไปชั่วขณะ


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ขบริมผีปาก  ราวกับนางประสงค์จะเอ่ยบางสิ่ง  แต่ ท้ายที่สุดนางยังคงเงียบปากไว้


 


ซุนเซี่ยวเหม่ย ถอนใจในใจ  คำพูดของนางน้อยจวินนั้นสมเหตุผล  นางรู้ว่า นางเองก็จักปฏิเสธการร้องของความช่วยเหลือใดๆ ในสถานการณ์เช่นนี้  นางตระหนักได้ว่า พฤติกรรมของนางนั้นอ่อนเยาว์และโง่เขลา


 


จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ปราดเปรื่องย่ิง  แต่จุดอ่อนบางอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้นั้นคือ พระองค์ขี้ระแวง …


 


ซุนเซี่ยวเหม่ยจมลงไปในความคิด  จากนั้น นางเห็นองค์หญิงลุกขึ้นรวดเร็ว  ร่างอันบอบบางของนางเปลี่ยนทิศไป และคุกเข่าลงอีกครั้ง  องค์หญิงหลิงเมิงกัดริมฝีปากรุนแรง และ หยดเลือดเริ่มซึมจากมุมปาก  จากนั้น มันเริ่มไหลลงไปตามใบหน้าของนาง และหยดลงสู่พื้น


 


นางลังเลชั่วครู่  แต่แล้ว ในที่สุดนางวางมือซายของนาลงบนหน้าอก  จากนั้น นางเอ่ยวาจาน้ำเสียงนุ่มนวล และ เด็ดเดี่ยว


” สวรรค์เบื้องบน และนรกเบื้องล่าง พระเจ้าแห่งโลกนี้ และเหล่าบรรพชนของข้า จงรับฟังคำสาบาน !   ข้า หลิงเมิง ขอให้คำมั่น … “


 


นางหยุดชั่วขณะ ใบหน้าของนางกระตุกทันที  จากนั้น นางต่อ …


” หากจวินโม่เซี่ย สามารถช่วยชีวิตน้าอยี่ของข้าได้ … จากนั้นข้า หลิงเมิง จักกลับไปยังราชวัง และ จักพยายามร้องขอท่านพ่อข้า … ว่าข้าจักแต่งเข้าสู่สกุลจวิน  ไม้ว่าจะเป็นภรรยา หรือสนม … ข้าจักยินยอมตามปรารถนา ไม่ขัดขืน  ข้าจักใช้ชีิวิตที่เหลือ เพื่อเป็นหญิงผู้ภักดีกับจวินโม่เซี่ย  ข้าจักปิดบังทุกความลับของเขา และข้าจักไม่เผยสิ่งหนึ่งใดแก่ผู้ใด  หากข้าผิดต่อคำสาบานนี้ … ข้าขอให้ทั้งสกุลข้าต้องสูญสิ้น !  และ เหล่าบรรพชนของข้าจักไม่พบกับความสงบสุข !  ตัวหลิงเมิงเองจักถูกลงโทษโดยการสับเป็นชิ้นๆ  และสายฟ้าฟาดใส่ห้าหน … ไม่มีผู้สืบทอดคนใดในสกุลของข้าจักมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้  !  ข้าสาบานเลือดนี้ต่อหน้าสรวงสวรรค์ โลก และ พระเจ้าแห่งโลกนี้ ! “


 


องค์หญิงชักมือกลับหลังจากพูดจบ  นางกำมีดบินอันประณีตไว้ในมือ  ใบมีดเปล่งประกาย ราวอสุนีบาต ขณะนางวางมันลงบนแขน และ เฉือน  นางไม่สะดุ้งแม้แต่น้อย … เลือดหลังไหลออกมาดั่งน้ำพุ จากนั้น องค์หญิงวาดวงกลมตรงหน้านางด้วยเลือด  และคุกเข่าลง และ ก้มหัวคำนับลงไปยังกึ่งกลางของวงกลมนั้น  ผมอันงดงามประหนึ่งวารีร่วงไหลลงสู่ธรณี  นางไม่เงยหน้าขึ้นมาเป็นเวลาเนิ่นนาน …


 


พร้อมด้วย สวรรค์และโลกเป็นพยาน และในนามของพระเจ้าและบรรพชน .. ดวงวิญญาณและเลือดของนาง ได้ซึมซาบเข้าสู่คำสาบานนี้ !


 


นี่คือการสาบานที่โหดร้ายและศักดิสิทธิ์ที่สุดในดินแดนเชวียนเชวียน  ไม่มีผู้ใดอาจหาญผิดคำสาบานนี้  และ องค์หญิงหลิงเมิง ได้โขกหัวตัวเองเข้าตรงกลางของวงกลมเรียบร้อยแล้ว


 


คำสาบานถูกประทับแล้ว


 


มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ กรีดร้องเตือน  นางจ้องเขม็งขณะมือของนางกุมปากไว้ ในขณะที่น้ำตาเจิ่งนองรวดเร็ว


 


องค์หญิงหลิงเมิง ยืนขึ้น  ใบหน้าของนางปกคลุมไปด้วยน้ำตา หากแต่นางมิได้ร่ำร้อง  จากนั้น หันไปทางจวินโม่เซี่ย และเอ่ย


” ข้าทำให้เจ้ามั่นใจได้แล้วหรือยัง … จวินโม่เซี่ย ? “


 


จวินโม่เซี่ย ตกตะลึงไร้วาจา


 


นายน้อยจวิน ไม่คาดว่า องค์หญิงจักกระทำสาบานเช่นนี้ แม้แต่ในความฝัน


 


เจ้ากำลังเอ่ยสิ่งใด ?


 


ก่อนหน้านี้ จวินโม่เซี่ยตัดสินใจจะช่วยชีวิต อยี่กู้ฮั่น  แต่กระนั้น เขายังมิอาจเริ่มการรักษาได้เนื่องจากมีปัญหายุ่งยากบางอย่าง  จากนั้น การมาถึงขององค์หญิงหลิงเมิงพร้อมด้วยผู้ที่ไม่สามัญ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง


 


อย่างไรก็ตาม เขาจักช่วยชีวิต อยี่กู้ฮั่น อย่างลับๆ ในนามของ ยอดฝีมือลึกลับที่ไม่มีอยู่จริง  บางผู้อาจคลางแคลงใจ แต่มันจักไม่เป็นอุปสรรค์ใหญ่อันใด  แต่กระนั้น เขามิได้คาดคิดว่า องค์หญิงจะมายังจวนของเขา หลังจากกลับไปยัง ราชวังโดยคนผู้นั้น  ยิ่งไปกว่านั้น นางได้นำพา สามหมอหลวงมาด้วย  และ ทั้งสามคือผู้เชี่ยวชาญการรักษาใน นครเทียนเชียง


 


การที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้ทำลายแผนการของจวินโม่เซี่ย เขาจักมิอาจช่วยชีวิตคนผู้นี้ได้ แม้นว่าเขาจักสามารถ เนื่องจาก องค์จักรพรรดิอาจล่วงรู้ฝีมือของเขา หากองค์หญิงหลุดปากเอ่ยความลับของเขาเข้าสู่หูองค์จักรพรรดิ  ฝีมือของ นายน้อยจวินมิอาจนำมาตัดสินได้ง่ายดาย …


 


สิ่งแรก ปู่ของเขาได้ใช้อิทธิพลของสกุลจวินอย่างไม่เหมาะสมในการกวาดล้าง  จากนั้น น้าชายที่บาดเจ็บของเขา ได้รับการรักษาอย่างลึกลับ  และตามมาด้วยการเกิดขึ้นอย่าลึกลับของ หอชนชั้นสูง   ทุกการคาดการถึงข้อเท็จจริงจะชี้ตรงมายังสกุลจวิน และ จักเริ่มวุ่นวาย ….


 


ด้วยเหตุนี้ จวินโม่เซี่ย จึงปฏิเสธการรักษา อยี่กู้ฮั่น


 


อย่างไรก็ตาม องค์หญิงหลิงเมิง ได้ให้การสบานเลือด เพื่อให้จวินโม่เซี่ยไว้วางใจ …


 


นางได้กระทำปฏิญาณ นี้เพื่อผ่อนปรนสถานการณ์ของนางและจวินโม่เซี่ย…


 


ร่างขององค์หญิงสั่นเทา  สีหน้าดุร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะนางมองไปยังจวินโม่เซี่ย


 


นางรู้ว่า จวินโม่เซี่ย ได้รบเร้าให้ ปู่ของเขา ร้องขอให้เขาแต่งกับองค์หญิงแห่งราชวงศ์เมื่อปีก่อน  แต่แล้ว นางปฏิเสธเขา และพ่อของนางก็มิได้สนใจในสกุลจวิน  เรื่องทั้งหมดจางหายไปหลังจากนั้น


 


การตัดสินใจขององค์หญิงถูกบดบังด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน  นางมิสนใจวาจาของจวินโม่เซี่ยถี่ถ้วน  นางได้ยินว่า


” ข้าไม่เชื่อเจ้า “


และตีความว่ามันคือความต้องการ ความสัตย์จากนางโดยการแต่งงาน


สิ่งนี้เผยถึงเป้าหมายที่แท้จริงของ เจ้าเสเพลผู้นี้ !  แต่กระนั้น ข้าเกรงว่า เขาจักไม่ช่วยชีวิตน้าอยี่ หากข้าไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขของเขา …


 


ข้าทำได้เพียง มองดูน้าอยี่จากไปอย่างสิ้นหวังกระนั้นหรือ ?


 


ในที่สุดองค์หญิงหลิงเมิงตัดสินใจหลังจากสำรวจจิตวิญญาณ


 


ดังนั้น นางจึงตัดสินใจกระทำสาบานเลือดนี้ หลังจากลังเลเล็กน้อย


 


ข้าจักสละชีวิตที่เหลืออยู่ตราบใดที่ น้าอยี่ สามารถมีชีวิตรอด  มันคงไม่เป็นการเสียสละที่มากไป ?  แต่กระนั้น ผู้ใดจักบอกได้ว่า พ่อข้าจักไม่ใช้การแต่งงานของข้า เพื่อผูกมัด ท่าเสนาบดีในอนาคต ?  แต่ไม่มีการรับประกันว่า ข้าจักได้รับอนุญาติให้แต่งงานจากผู้ที่ข้าเลือก  ความจริง เขาอาจจะส่งข้าให้จวินโม่เซี่ย เนื่องจาก เขานั้นทรงอิทธิพล …


 


น้าอยี่กระทำการมากมายเพื่อช่วยชีวิตข้า  ข้าจักทำเช่นนี้เพื่อเขามิได้เลยหรือ ?


 


ด้วยเหตุนี้ ในที่สุด องค์หญิงหลิงเมิง ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวนี้


 


มีดบินที่เปื้อนเลือดของนาง ยังคงอยู่ในมือ


 


อย่างไรก็ตาม ความคิดของ องค์หญิงเยือดเย็นราวน้ำแข็ง


 


เจ้าต้องการสิ่งใดอีก ?  จงบอกในสิ่งที่เจ้าต้องการมา …


 


แต่กระนั้น นางยังคงมึนงง


 


องค์หญิงหลิงเมิง มองจวินโม่เซี่ย  และ จวินโม่เซี่ย มองไปยัง องค์หญิงหลิงเมิง  ความคิดของพวกเขาสับสน  ซุนเซี่ยวเหม่ย สามารถเข้าใจความคิดของพวกเขาได้  และ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตะลึง …


 


ทันใดนั้น ตู่กู้เซี่ยวอี้  สะอื้นเสียงดังท่ามกลางความเงียบสงบนี้ … จากนั้น นางเริ่มร่ำไห้ … นางเสียใจสุดซึ้ง


 


ท่านน … ฮือออ … พี่โม่เซี่ยยย.. ข้าชอบเขาก่อน … และเจ้ากระทำสาบานเช่นนั้นโดยไม่บอกข้าก่อน !  เจ้าแย่งเขา !  ไม่มีทาง !  ท่านพี่ไม่แม้แต่คุยกับข้า !  เจ้ามันขี้โกง !


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้  รู้สึกผิด นางโศกเศร้ายิ่ง  และ เมื่อนางมองไปยังทั้งสองผู้ ซึ่งเพ่งมองกันและกันเงียบงัน … นางคิดว่าพวกเขามองหน้ากันด้วยความรัก  ด้วยเหตุนี้ นางมิอาจกลั่นน้ำตาได้


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ รู้สึกตื่นตาในความจริง  นางเพียงคิดไปเองดั่งเช่นองค์หญิงหลิงเมิง  ไม่มีสิ่งอื่นใด  สิ่งที่นางเห็นว่าเป็นแววตาแห่งความรักระหว่างสองผู้นั้น … แท้จริงแล้ว จวินโม่เซี่ย รู้สึกตกตะลึง และตระหนก   มีร่องรอยแห่งความลำบากใจ ในภาษากายของเขา และ เขากำลังลำบากในการควบคุมโทสะ  และ องค์หญิงกำลังเสียใจกับการ เสียสละ ที่นางเพิ่งทำไป


 


สายตาของคู่รักทั้งสองนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


” ดีละ !  ข้าสัญญาณเจ้า !  ข้าจักช่วยเขา ! “


จวินโม่เซี่ยสูดหายใจยาว


” แต่กระนั้น ข้าไม่ยอมรับในคำสาบานของเจ้า ! เจ้าและข้าไม่คู่ควรกัน !  ดังนั้น แม้นการเอ่ยถึงการแต่งงานของเราทั้งสองนั้นไร้สาระ ! “


 


” อยี่กู้ฮั่น จักยังอยู่ที่นี่อีกเนิ่นนาน  ข้าสามารถฟื้นฟูสุขภาพของเขาได้อย่างเชื่องช้า  และข้ามิอาจประกันได้ว่าเขาจะฟื้นฟูได้เพียงใดเขา  เจ้า … เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่ ? “


 


ข้าสามารถช่วยเข้า หรือสังหารเขาได้


 


เจ้าเอาคำสาบานนั่นไป แม้นว่าเจ้าจักสาบาน .. มันควรจักเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าจักไม่แพร่พรายความลับ  ข้าสามารถยึดแผนการเดิมของข้าได้ โดยการใช้เรื่องราวของ ยอดปรมาจารย์ลึกลับบังหน้าเพื่อช่วยชีวิต อยี่กู้ฮั่น และเจ้าจักเป็นเครื่องมือชั้นเลิศเพื่อให้ทั้งโลกเชื่อในสิ่งนี้  เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว !  แต่เจ้ายังไปเพิ่มส่วนที่ จะแต่งกันข้า .. หรือ มาเป็นสนมของข้า และปฏิบัติตามความปรารถนาของข้า !  เป็นการสาบานบ้าบอใดกัน !


 


ชิ !  แม้นว่าเจ้าประสงค์จะแต่งกับข้า .. ข้าก็ไม่อยากแต่งกับเจ้า !  ข้าไม่สนใจจักทำเช่นนั้น !  เจ้ามิได้งดงามเลิศเลอ  เจ้าเปรียบกับแม่สาวน้อยผู้นั้นได้หรือ ?!  และ เจ้าสามารถเปรียบกับ สาวน้อยจาก นครพายุหิมะสีเงิน ได้กระนั้น ?  …. มิสำคัญว่าหญิงผู้นี้เป็นเช่นไร … นางนั้นได้เปรียบในเรื่องนี้  ความงดงามของเจ้านั้นเป็นเพียงลมตดสำหรับข้า !


 


แต่กระนั้น จวินโม่เซี่ย ตกตะลึงด้วยความรุนแรงของคำสาบานที่องค์หญิงได้กระทำลงไป  เขาประหลาดใจกับสิ่งที่นางเสียสละเพื่อ อยี่กู้ฮั่น ความจริง เขามั่นใจว่าจักไม่ตัดสินใจที่รุนแรงเช่นนี้ หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกับนาง !


 


” เมื่อทำสบานเลือดแล้ว … มันมิอาจเปลี่ยนได้ แม้นเจ้าไม่ยินยอม !  นี่คือความจริงที่รู้กันดี ! “


หัวใจขององค์หญิงหลิงเมิงอัดแน่นด้วยความสำราญเมื่อนางได้ยินว่าเขายินยอมช่วยชีวิต อยี่กู้ฮั่น แต่นางยังคงสงบนิ่งต่อไป


” ข้าหวังเพียงความจริงของเรื่องนี้ จักไม่ไปถึงหูของ น้าอยี่ของข้า “


 


” ข้าเพียงแต่รับรองได้ว่า จักพยายามอย่างเต็มที่ในรื่องนี้เท่านั้น “


จวินโม่เซี่ยถอนใจด้วยความมึนงง


อะไรกัน ?  เหตุใดข้าจึงรู้สึกราวกับบังคับให้หญิงสาวผู้ใสซื่อขายตัวเอง … ?

 

 

 


ตอนที่ 269

 

” การบาดเจ็บของ อยี่กู้ฮั่น รุนแรงอย่างมาก  ข้าจักพยายามอย่างที่สุด แต่ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำให้เขาฟื้นฟูได้สมบูรณ์  อีกทั้ง แขนขวาของเขา แตกหักเกินกว่าจะแก้ไข  ดังนั้น เขาจักใช้มันถือกระบี่ได้อย่างยากลำบาก … แม้นว่าสุขภาพของเขาจักได้รับการฟื้นฟูแล้ว  ร่างของเขา จักต้องใช้เวลา เจ็ดสิบ ถึง แปดสิบวัน เพื่อฟื้นฟู  ด้วยเหตุนี้ เจ้าควรจักปล่อยเรื่องราวเท็จเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตของเขา  เจ้าจักต้องประกาศสู้สาธารณะว่า อยี่กู้ฮั่น สิ้นแล้วจากการบาดเจ็บ  และ … จักเป็นการดี หากเจ้าบอกข้าเมื่อเจ้าต้องการพบเขาในภายหน้า  และ ข้าจะปรับเปลี่ยนบางสิ่งเท่าที่จำเป็น  เจ้าคงไม่มีปัญหา ใช่หรือไม่ ? “


 


องค์หญิงหลิงเมิงขบริมฝีปาก และ พยักหน้า  นางรู้เป็นอย่างดีกว่า จวินโม่เวี่ยหมายถึงสิ่งใด เมื่อเขาบอกว่า หลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต  ตอนนี้ทั้งสองได้เข้าใจกัน  ไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม


 


องค์หญิงหลิงเมิง ถอนใจ เมื่อนางเห็น ตู่กู้เซี่ยวอี้ น้ำตานอง  จากนั้นนางเดินไปหาสาวน้อย หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากเสื้อ และ เช็ดน้ำตาของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ นุ่มนวล


 


” น้องสาวงี่เง่า  ข้าไม่ต้องการแข่งขันกับเจ้า  อาจเพราะ …. ที่พวกเราพี่น้อง … จักมีชะตากรรมที่โหดร้ายเช่นนี้ ?  เจ้านั้น …สำหรับชายผู้นี้… เขาคู่ควรหรือไม่ ? “


นางกำลังจะเอ่ยว่า เสเพล แต่ระลึกได้ว่า นางสาบานไว้ว่าจักไม่เอ่ยมัน


 


เสียง ร่ำไห้ของ ตู่กู้เซี่ยวอี้  เบาบางลง  จากนั้นนางลืมตา น้ำตานอง


” จริงหรือ ?  แต่เจ้า … เมื่อครู่ … “


 


” เป็นจริงดังนั้น  แต่ ข้ากระทำไปเนื่องจากข้าไม่มีหนทางอื่น … “


องค์หญิงหลิงเมิง ยิ้มนุ่มนวล  องค์หญิงน้อย อายุเกือบเท่าสาวน้อย  แต่กระนั้น คล้ายดั่งนางจะอาวุโสขึ้นมาทันที


” ข้าจักขอท่านพ่อให้ข้าแต่งกับ จวินโม่เซี่ย แล้วข้าจักสำเร็จในคำสาบาน  แต่เพียงหลังจากเจ้าทำสิ่งดีเพื่อวิวากับเขาก่อน … ข้าสัญญาว่านี่เป็นการกระทำเพื่อคำสาบานไม่มีสิ่งอื่นใด  เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่ ? “​


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้  หน้าแดง  จากน้ำตานางแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม  นางบ่นกับตัวเองชั่วครู่ จากนั้น เอ่ย


” เจ้าเป็นพี่ข้า เช่นนั้นเจ้าก่อน … “


แม้นว่าจักเอ่ยเช่นนั้น แต่นางไม่รู้สึกอ่อนไหว


 


จวินโม่เซี่ย เดินผ่านพวกนาง  ตอนนี้เขากำลังนั่งข้าง อยี่กู้ฮั่น  เขาเกือบหัวคะมำ เมื่อได้ยินคำนี้


 


ยังไร้วี่แววสำเร็จ  เหตุใด หญิงสาวทั้งสองจึงเอ่ยเช่นนี้ ?


 


ข้ายังไร้ประสงค์จะหาภรรยา …  แล้วหญิงสาวทั้งสองนี้ยังเร่งรีบแต่งกับข้า ?


 


ข้ายังไร้แผนการในเรื่องนี้ !


 


สีหน้าจวินโม่เซี่ยเริ่มไร้อารมณ์ ขณะเขาเริ่มถ่ายทอดลมปราณให้กับ อยี่กู้ฮั่น จากนั้นเอ่ยเยือกเย็น


” แม่นางซุน ! “


 


ซุนเซี่ยวเหม่ย ขออภัยเสียงต่ำ


” เจ้ามิจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใด  ข้ารู้สิ่งที่เจ้ากำลังจะพูด  ข้าจักไม่ทำเช่นนั้นอีก  ข้าขอโทษ ! “


 


” เจ้าคือ คู่หมั้นของเจ้าอ้วน อีกทั้งยังเป็นพี่ของสาวน้อยผู้นี้  เช่นนั้นข้าจึงมิได้สนใจ  แต่หากเจ้าทำเช่นนั้นอีก ข้าจักสังหารเจ้า  สิ่งที่ข้างรังเกียจที่สุดคือ … การทรยศ ! “


จวินโม่เซี่ยเลิกเปลือกตา  จิตสังหารเปล่งประกายรุนแรงในดวงตาเขา  จากนั้นเขาปลดปล่อยกลิ่นอายอาฆาตรอันเข้มข้น และ หญิงสาวทั้งสามเริ่มหนาวเย็น


 


วาจาจวินโม่เซี่ยเต็มไปด้วยจิตสังหาร  ไม่มีผู้ใดคลางแคลงถึงความร้ายแรงที่เขาคุกคาม  พวกนางมิอาจหาญทำให้เขาขุ่นเคืองเนื่องจากพวกนางรู้ว่าเขาจักทำตามสิ่งที่ข่มขู่ไว้


 


ซุนเซี่ยวเหม่ยนิ่งเงียบ  นางรู้จวินโม่เซี่ยมิได้พูดเล่น  จวินโม่เซี่ย และ จวินวูอี้ กำลังสนทนากันโดยไร้อดกลั้น  แท้จริงแล้ว เขามิได้หยุดเอ่ยสิ่งที่คิดต่อหน้า ตู่กู้เซี่ยวอี้  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เขาถือว่าพวกนางเป็นคนของเขา  เขาเชื่อว่าพวกนางจักไม่ทรยศ  หากพวกนางเผยความลับของเขาแก่ องค์หญิงหลิงเมิง … เขาจักถือเป็นเรื่องผิดพลาด … มิใช่การทรยศ …


ความจริงนี้จักไม่เปลี่ยน เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์และเหตุผล !


 


ข้ามืดบอดต่อพฤติกรรมแท้จริงของจวินโม่เซี่ยมาตลอด ?  นิสัยของคุณชายน้อยผู้นี้เป็นดั่งเช่น … จงเชื่อฟังข้ามิเช่นนั้นเจ้าตาย มันคือโองการทรราช


ทันใดนนั้น เซี่ยวเหม่ยเริ่มสั่นเทา  นางตระหนกยิ่งในวาจาที่เขาเอ่ย


 


เจ้าเป็นคนเช่นนั้น จวินโม่เซี่ย?


 


องค์หญิงหลิงเมิงตกตะลึง  นางมองไปยังจวินโม่เซี่ยดวงตาเบิกกว้าง


จวินโม่เซี่ยมีบุคลิกน่าประทับใจเช่นนี้ เมื่อไหร่กัน ?  เขา … เปลี่ยนไป ?


 


หรือนั่นคือเหตุที่ ตู่กู้เซี่ยวอี้ หลงรักเขาอย่างบ้าคลั่ง ?


 


องค์หญิงหลิงเมิง ไม่มั่นใจ  นางเดินไปหา อยี่กู้ฮั่น เชื่องช้า  โน้มตัวลงมอง ใบหน้าซีดเผือกและผอมบางของ อยี่กู้ฮั่น  สายตาของนางหม่นหมองในใจ แต่ปิดซ่อนน้ำตา


 


” เซี่ยวยี่ ! “


จวินโม่เซี่ยหลับตา ขณะใช้กำลังทั้งหมดแปรเปลี่ยนกลิ่นอาย


 


” อันใด ? “


อารมณ์ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เริ่มนิ่ง เวลานี้  อารมณ์ของนางแปรเปลี่ยนว่องไว  น้ำตาของนางเหือดแห้ง และ รู้สึกอับอายกับโทสะของนางเมื่อครู่  นางสะดุ้งขึ้นเมื่อได้ยิน จวินโม่เซี่ย เรียกชื่อนาง


 


” ไปหาท่านน้าสาม และ ขอให้เขาส่งใครบางคนไปยัง หอชนชั้นสูง   บอกให้เขานำ ส่วนผสมยาเหล่านี้กลับมา “


จวินโม่เซี่ย เขียนรายชื่อสมุนไพรโดยไร้ซึ่งลังเล


” ยิ่งข้าได้มันมาเร็ว พวกมันจักยิ่งเป็นประโยชน์ “


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ พยักหน้า และหายไปราวหมอกควัน


 


องค์หญิงหลิงเมิง เคลื่อนตัวเข้าใกล้จวินโม่เซี่ย  นางมิเคยเข้าใกล้เขาเช่นนี้มาก่อน  เฝ้าดูขณะเขานั่งหลับตา และ ถ่ายทอดลมปราณแก่ อยี่กู้ฮั่น  ใบหน้าของเขามิได้เยือกเย็นหรือบ้าเลือด  แต่ดูคล้ายประหนึ่งเขาชิงชังทุกสิ่งภายใต้สรวงสวรรค์  นางมิอาจกลั่นความรู้สึกตื้นตันภายใน


 


จากนั้นนางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันคุ้นเคยเจือจางในใจ


 


ความรู้สึกช่างคล้ายกับ … ผู้ที่ทำให้ปล่อดภัยอย่างยิ่ง  ช่างอบอุ่นและสุขสบาย … ข้ารู้สึกเช่นนี้ที่ใดกัน ?


 


เหตุใดข้ารู้สึกอบอุ่นเช่นนั้น ?


องค์หญิงหลิงเมิงขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดหนักหน่วง …


 


ทันใดนั้น ลำแสงเปล่งประกายในความคิด


ความรู้สึกเช่นนี้ … เหตุใดจึงละม้ายยิ่ง.. ?


 


องค์หญิงหลิงเมิง มิอาจกลั่นใจมิให้เข้าใกล้จวินโม่เซี่ยยิ่งขึ้น  และ ยิ่งนางเข้าใกล้เขา … ความรู้สึกนั้นยิ่งรุนแรง  สิ่งนี้ ตักเตือนนางถึงบางสิ่งอย่างเชื่องช้า  แม้น นางมิอาจบอกได้ว่าคือสิ่งใด


 


นางลงไปนั่งเคียงข้าง แต่ไร้ซึ่งวาจาขณะครุ่นคิดหนักหน่วง


 


ซุนเซี่ยวเหม่ย กำลังนั่งเคียงข้างนางพร้อมด้วย สีหน้ารำคาญ


 


” พี่ เซี่ยเหม่ย … เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่จวนสกุลจวิน ? “


องค์หญิงหลิงเมิง นั่งเกียจคร้าน  ด้วยเหตุนี้ นางจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้รวดเร็ว และ มิอาจยับยั้งคำถาม  จิตใจองค์หญิงหลิงเมิงยังคงหลอกหลอนที่นางตัดสินใจกระทำสาบานเลือด …


 


” เจ้าขาวน้อย นำพา จวินโม่เซี่ย และ จวินวูอี้มาหาพวกเราหลังจากที่เจ้าถูกจับตัว … “


ซุนเซี่ยวเหม่ย เอ่ยซื่อตรง


” นายท่านสามแห่งสกุลนำพาน้าอยี่ มาที่นี่  และ จวินโม่เซี่ยออกไปตามหาเจ้า … “


 


” อะไรนะ ?  จวินโม่เซี่ย ออกไปตามหาข้าเพียงผู้เดียว ? “


องค์หญิงหลิงเมิง ลืมสงวนท่าที่ และถามเสียงลั่น  นางกระโดดยืนขึ้น ขณะ ความตกตะลึงแพร่บนใบหน้า


 


พยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อปลดความสับสนนั้น  แต่ ทันใดนนั้น ราวกับหมอกมืดดำในใจนางจางหายไปด้วยแสงตะวัน ทุกสิ่งราวเปล่งประกาย


 


ปรมาจารย์ลึกลับแบกนางขึ้น ขณะหนีออกจากถ้ำ  แท้จริงแล้ว ยอดฝีมือลึกลับผู้ปามีดบินปกป้องนางมาเสมอ  และสิ่งที่นางรู้สึกภายใต้อ้อมแขนของผู้นั้นละม้ายคล้ายกับสิ่งที่นาง … สัมผัสได้เมื่อเข้าใกล้ร่างของจวินโม่เซี่ย …


 


มันจักเป็นเช่นนั้นได้หรือ … ?


 


มันจักเป็นไปได้อย่างไร ?


องค์หญิงหลิงเมิง ส่ายหัวขันแข็งเพื่อปลดความคิดไร้สาระนั้น  แต่ ท้ายที่สุด ทั้งสองร่างนั้นเริ่มรวดเข้าเป็นหนึ่งในความคิดของนาง …


 


นางระลึกได้ว่า จวินโม่เซี่ย อยู่ใกล้ๆ เมื่อครั้งนางได้รับการลอบสังหารครั้งก่อน  จากนั้นเขาหายไปรวดเร็ว


 


หรือจักเป็นเขา ?


 


หัวใจ องค์หญิงหลิงเมิง เริ่มเต้นรุนแรง  นางมองจวินโม่เซี่ยด้วยพิศวง หัวใจนางสัมผัสถึงความรู้สึกที่มิเคยเกิดขึ้นในบัดดล


เขาช่างหล่อเหลา …


ใบหน้านางมีเลือดฝาดทันที


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ กลับมาว่องไว หลังจากเสร็จกิจธุระ  หัวใจของสาวน้อยฟื้นคืน และ เต็มไปด้วยกำลังใจ


ครั้งนี้เขาเรียกข้า เซี่ยวอี้  ช่างประเสริฐที่ได้ยิน  ต่อไปข้าหวังให้เขาเรียกข้าเช่นนี้ทุกครั้ง ฮี่ ฮี่ …


 


” น้องเล็กเซี่ยวอี้ “


องค์หญิงหลิงเมิง พยายามยิ่งยับยั้งอารมณ์  น้ำเสียงของนางราบเรียบขณะถาม


” ข้าได้ยินว่า คุณชายน้อยจวิน ได้สร้าง มีดประดับอัญมณีให้แก่เจ้า ?  ข้าจำได้ว่า มันมีชื่อที่น่ารื่นรมย์เมื่อครั้งก่อนที่เจ้าให้ข้าดู มีดพับเล่มแรกแห่งเทียนเชียง ?! เจ้าให้ข้าดูอีกหนได้หรือไม่ ? “


 


” ท่านดูหมิ่นมัน เมื่อครั้งก่อนที่ข้าพยายามให้ท่านดู  แต่ตอนนี้ ท่านประสงค์จะดูมันอีก  เอาละเช่นนั้น .. ข้าจะให้ท่านได้ดู “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ พึมพัม  จากนั้นนาง ล้วงเขาแขนเสื้อ และดึงมีดเรียวออกมา


 


จวินโม่เซี่ย เกือบเป็นลมหลังจากได้เห็นเหตุการณ์นี้


 


” ตู่กู้เซี่ยวอี้  !  ข้าให้มีดเล่มนั้นแก่เจ้า เพื่อตัดคนเป็นชิ้นๆ … มันมิใช้เป็นสายรัดแขน !  เสียของสิ้นดี ! “


จวินโม่เซี่ย เห่าหอนอย่างโกรธเคือง  เขาจริงจังอย่างมาก


 


สาวน้อยผู้นี้ ผูกมีดเล่มนั้นไว้ที่แขนของนาง  ซึ่งหมายความว่า บางครั้งนางสามารถดึงมันออกมาได้เมื่อต้องการ


สายรัดแขนและสิ่งนั้น ต่างอันใดกัน ?   การต่อสู้จักจบลงเมื่อนางดึงมีดออกมาเผชิญหน้ศัตรู !  แล้วมันใช้งานเช่นไร ?


 


ใบหน้า ตู่กู้เซี่ยวอี้ เป็นสีแดง  นางโอดครวญลำบากใจชั่วครู่  จากนั้น ตอบกลับ


” นี่ … เจ้าให้ข้า … ในฐานะ ป้ายตราแห่งความสัตย์ …. ข้าจักใช้มันหากต้องการ … เหตุใดเจ้าต้องโวยวายใส่ข้า … ? “


 


ใบหน้า งดงามของนางก้มต่ำ ขณะเอ่ยวาจา  สาวน้อยลูบชายเสื้อของนางด้วยความอับอาย ขณะโอดครวญคล้ายยุง  จากนั้นนางถาม


” จี้หยก … ของข้า … เจ้ายังใส่มัน ? “


 


คำสาบานเลือดขององค์หญิงหลิงเมิง มิได้มาจากหัวใจ  แต่ องค์หญิงยังคงเป็นภัยใหญ่ในสายตา ตู่กู้เซี่ยวอี้   ดังนั้น นางจึงเพิ่มเข้าไปสองคำคือ ป้ายตรา และ ความสัตย์ ทั้งที่ลำบากใจเมื่อ จวินโม่เซี่ย ถามนางถึงมีดนั่น  เป็นความคิดเพื่อสื่อสารว่า


” ไม่ว่าเจ้าจักชอบหรือไม่ … ข้านำหน้าเจ้าอยู่ !  พวกเราได้แลกเปลี่ยน ป้ายตราแห่งความสัตย์กันแล้ว ! “


 


อืม !  พวกเราอาจเป็นพี่น้องที่ดี แต่ข้าจักไม่รีรอ !  ข้า ตู่กู้เซี่ยวอี้  จะต่อสู้เพื่อคนรักถึงที่สุด !  ฮึ่ม !  และข้าก็จักกระทำสาบานเลือดเช่นกัน หากเจ้าทำให้ข้าขุ่นเคือง !  เจ้าอาจทำมันโดยไม่เต็มใจ แต่ข้าเต็มใจ แล้วมาดูกันว่าผู้ใดน่ากลัวกว่ากัน ?!


 


จี้หยก ?  ป้ายตราแห่งความสัตย์ ?


จวินโม่เซี่ยเพ่งมองไปไร่อารมณ์  เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด  สำหรับ ชิ้นหยกที่ได้รับจากนาง ….


ข้าเก็บมันไว้สักที่ … แม้นข้าจำมิได้ว่าข้าเก็บมันไว้ที่ใด ..


 


องค์หญิงหลิงเมิง มิได้ใส่ใจ วาจาของ ตู่กู้เซี่ยวอี้   แต่ มือของนางสั่นเครือเล็กน้อย  ดวงตานาง ลุกโชนด้วยความประหลาดใจอย่างรื่นรมย์เมื่องนางมองไปยัง มีดเล่มนั้น  จากนั้น นางเห็นแสงแปลกประหลาด เปล่งสะท้อนออกมาจาก อัญมณีที่ด้ามจับ  มันทำให้นางหลงไหล  เป็นอาวุธที่แน่วแน่  ด้ามของมีดเล่มนั้น และ มีบิน ชัดเจนว่าสร้างขึ้นด้วยคนผู้เดียวกัน


 


ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการตีขึ้นรูป ความชำนาญ การตกแต่ง หรือแม้นวิธีการหล่อใบมีด ช่างสร้างสรรค์และดั้งเดิม รวมถึงปลายแหลมของมีดนั้น  ชี้ให้เห็นถึงสิ่งหนึ่งและความจริงที่ชัดเจน !


 


มีดนี้จับถือง่ายดาย  มันประณีต เล็ก และ วิจิตร มันเหมาะสำหรับการเฉือน เช่นเดียวกับการเสียบแทง  ยิ่งไปกว่านั้น มันมิได้ทำให้มือผู้ถือบาดเจ็บ  จุดต่างๆของมีด ขอบ สันมีด ดามจับ … ทุกสัดส่วน … รวมทั้งส่วนโค้ง นั้นประณีต และละเอียดถี่ถ้วน  ยิ่งไปกว่านั้น ด้ามจับและใบมีด มิได้หล่อขึ้น … ชัดเจนว่า ผู้นั้นจักต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างยาวนานเพื่อหลอมมันขึ้น


 


รวมไปถึง ด้ามจับที่สั้น  ชัดเจนว่า ด้ามของมีดเล่มนั้นถูกสร้างมาเพื่อมือของหญิงสาว  แท้จริงแล้ว เจตนานี้อาจมีมาตั้งแต่การรวบรวมวัตถุดิบ


 


ด้ามจับแจ่มจรัส  เส้นโค้งเปล่งประกายราวดวงดาราท่ามกลางฟ้ายามราตรี  ราวกับทางช้างเผือกร่วงล่นลงจากชั้นฟ้า  ทั่วทั่งใบมีดหลั่งไหลประหนึ่งแม่น้ำแห่งแสงสว่าง


 


องค์หญิงรู้สึก ริษยาขึ้นทันที ขณะนางเฝ้ามองมีดเล่มนั้น


เขาดีกับนาง … ดียิ่งนัก …

 

 

 


ตอนที่ 270

 

” เป็นมีดที่ดี ! “


องค์หญิงหลิงเมิงมองมันด้วยริษยา ราวกับไม่เต็มใจจะแยกจากมัน จากนั้นนางยอมรับ ชายลึกลับในใจ แต่กระนั้น นางยังไม่พร้อมเผยเรื่องนี้แก่ผู้ใด


 


นางรู้สึกว่า ….


จวินโม่เซี่ย เสแสร้งเสเพล และโอ้อวดพฤติกรรมชั่วช้าทุกหนแห่ง  คงมิใช่เพื่อปิดบังตัวตนแท้จริง ?


 


เขาสามารถทำในสิ่งอัศจรรย์ ที่ต้องการความ ความกล้า และห้าวหาญ  ความรู้ทางยารักษาที่สั่นสะเทือนโลกาของเขา สามารถสร้างความโกลาหลให้แก่เมืองหลวงได้ !  เขาควรยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งโลกนี้  เขาสำราญไปกับคำชื่นชนของทุกผู้นาม นั่นคือความต้องการของคนรุ่นใหม่  แต่กระนั้น เขาเลือกเส้นทางเพื่อประโยชน์ของสกุล …


 


เช่นนั้น สิ่งที่เขาเอ่ยก่อนหน้านี้คือความจริง ?  หัวใจของเขามิได้รอคอยข้า !


 


เขาและข้ามิได้เหมาะสม แม้นเขามิคู่ควรกับข้า มันคือข้าที่คู่ควรกับเขา !


 


ชีวิตของเขา จะต้องไม่พบเจอแต่ความยากลำบาก !


 


ผู้ที่ความสามารถเป็นเลิศนั้นคู่ควรแก่ความภาคภูมิใจ  แต่กระนั้น เขาจำต้องทนทุกข์ที่ทุกผู้เฝ้ามองเย้ยหยัน แต่เขายังคงแสดงท่าทางที่น่ารังเกียจต่อผู้อื่นต่อไป !  มิอาจแสดงถึงความสำเร็จ … เขาจักต้องทนทุกข์ทรมาณต่อไป !


 


สิ่งนี้ จำต้องมองการไกลอย่างมาก  เหตุใด ผู้ที่ใจกว้าง สงบ และ มากฝีมือจำต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ … ?


 


ผู้ใดไม่ประสงค์จะเป็นที่ต้องการ ?  ผู้ใดไม่ประสงค์จะให้ผู้อื่นเชิดชู ?  ผู้ใดไม่ต้องการจะยืนอยู่บนจุดสูงสุด ?  แต่กระนั้น จวินโม่เซี่ยไร้ทางเลือกจำต้องประสบกับความอัปยศแห่งโลกล้าด้วยสถานการ์ของสกุล …


 


องค์หญิงหลิงเมิง รู้สึกเสียใจขึ้นทันที


 


อายุเขามิได้ห่างไกลจากข้า … แต่ประสบการณ์ของเขานั้นล้ำเลิศยิ่งกว่า … ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ประสงค์จะได้รับการยกย่องกับการกระทำที่ดีของเขา …  ไม่เคยร้องขอสิ่งใดตอบแทน  ความจริง เขายังต้องทนกับการดูถูกของผู้ที่เขาช่วยไว้ …


 


คนเช่น ลี่โย่วหลาน จักเปรียบกับผู้นี้ได้อย่างไร ?!


 


ทันใดนนั้น ภาพของจวินโม่เซี่ย เปลี่ยนไปจากตัวร้ายผู้ที่ไม่ห่างหายจากเรื่องเลวทราม มาเปลี่ยน บุรุษผู้สูงส่งที่ร่างอาบได้ด้วยลำแสงที่เปล่งประกายภายในใจองค์หญิง


 


คล้ายกับการเปลี่ยนจาก ก้นบึ้งแห่งนรกชั้นสิบแปด ไปยัง สวรรค์ชั้นสามสิบสาม  อย่างรวดเร็วยิ่ง !


 


องค์หญิงหลิงเมิงสัมผัสได้ทันทีว่า สาบานเลือดของนางนั้น … มิได้ยอมรับไม่ได้อีกแล้ว … แท้จริงนั้นมีความเลือนลาง … ของความปิติในใจนาง


 


น่าเสียดาย จวินโม่เซี่ยมิอาจรับรู้ความรู้สึกนี้  มิเช่นนั้น เขาคงหัวเราะลั่น


” จิตใจแปรปรวนยิ่ง ! “


เขาถอนใจ


” สวรรค์และโลกา !  จินตนาการขององค์หญิงล้ำเลิศยิ่ง  นางติดอยู่ในจินตนาการซึ่งข้ามิกล้าแม้นหยั่งลง ! “


 


ในความจริง จวินโม่เซี่ย ไม่เคยแสร้งทำตัวเสเพล และอันธพาล  เขานั้นไร้ค่าอย่างแท้จริง  ไม่ใช่การเข้าใจผิด สำหรับ คุณชายน้อยจวิน … เขาจักทำสิ่งต่างๆในแบบตัวเองเสมอ  ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองเช่นไร ..


 


หากสรุปว่า การเปลี่ยนภาพ ของ จวินโม่เซี่ย จากเสเพลไร้ความดี ไปยังผู้สูงสิ่งและตระหง่าน ในหัวใจอันบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของ องค์หญิงหลิงเมิง … ถือได้ว่า มันคือความเข้าใจผิดที่สมบูรณ์อย่างงดงาม …


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้ มองเห็นท่าทางหลงไหลขององค์หญิงขณะถือมีดเล่มนั้น ราวกับนางชอบมั่นยิ่งจนมิอาจลาจากมันไปได้  หัวใจของเด็กสาวจึงวุ่นวาย  จากนั้น นางส่งเสียงทางจมูก


ท่านไม่คิดถึงความรู้สึกของน้องสาว ข้าจะไม่เอามีดเล่มนี้ให้ท่านดูอีก !


 


นางมองและเม้มปากด้วยโทสะ  จากนั้นเอ่ย


” ข้าคาดว่า พี่เมิ่งดูมันเพียงพอแล้ว ?  มันเป็นเพียงมีด มิใช่สิ่งหายาก “


จากนั้นนางยื่นมือไปคว้ามีด  จากนั้น ตู่กู้เซี่ยวอี้ หรี่ตาภูมิใจ และ ยิ้ม


” มีดเล่มนี้มิใช่สิ่งหายาก … แต่พี่โม่เซี่ยบอหว่า มีนั้นมีเพียงหนึ่งและไร้ใดเปรียบ ไม่ว่าลักษณะ หรือคุณภาพ … “


 


” มีเพียงหนึ่ง ?  ไม่จริง ? “


องค์หญิงหลิงเมิงไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นตู่กู้เซี่ยวอี้พึงพอใจเช่นนี้  นางมิอาจกลั้นตัวเองไม่ให้เอายวาจาท่าทางเยาะเย้ย


” ข้ามีมีดที่คล้ายคลึงเช่นนี้หลายเล่ม  เพียงแต่มันมีขนาดเล็ก … “


 


” เจ้ามีมีดเช่นนี้หลายเล่ม ?  ข้าไม่เชื่อ  เจ้าวายร้ายผู้นั้นบอกว่ามีดประดับอัญมณีเล่มนี้ทำมาเพื่อข้า เพียงแค่ข้า ! “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ร้องออกมา  ดวงตากลมโตของนางเบิกกว้าง


” เป็นไปได้อย่างไร ? “


 


” เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้ ?  เหตุใดจึงมีมีเช่นนี้หลายเล่มมิได้ ? “


องค์หญิงหลิงเมิงยิ้มลึกลับ


” เจ้าต้องการดูมันสักหน่อยไหม ? “


 


องค์หญิงหลิงเมิง มิอาจกลั้นตัวเองไม่ให้แสดงอัตตาได้  นางรู้ว่า มีดบินที่นางมีอยู่นั้น ถูกสร้างโดย คุณชายน้อยจวิน แต่กระนั้น นางได้มันมาโดยบังเอิญ มิใช่ในฐานะของขวัญ ไม่ต้องพูดถึงว่ามันทำมาเพื่อนางโดยเฉพาะ  ความจริง นางรู้ว่าอาจมีหลายอย่างคล้ายเช่นที่นางครอบครอง  และ นางรู้ว่ามิอาจนำมันออกมาเวลานี้ได้เนื่องจากจวินโม่เซี่ยอยู่ไม่ไกล  นางรู้ว่าเขามิได้สนใจเมื่อเห็น ป้ายตราแห่งความสัตย์ของเขา  หากนำมันออกมานางอาจทำให้เขาขุ่นเคือง  แต่นั่นคือเรื่องรอง  นางจักเสียหน้า ต้องหน้าน้องสาวได้เช่นไร ?


 


” แน่นอนเรามีเวลาเพื่อชมสมบัติของพี่หลิงเมิง ! “


ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยิ้มขณะประกายแสงคมกริบปรากฏขึ้นในดวงตา  องค์หญิงหลิงเมิง มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าเช่นเดียวกัน  พี่น้องเหล่านี้ยิ้มแย้มดั่งปุบผา แต่ทุกคนสามารถสัมผัสถึงความปรปักษ์อย่างรุนแรงระหว่างทั้งสอง


 


การเผชิญหน้าครั้งนี้ เกินกว่าหญิงสาวแรกรุ่น แต่มันเกินไปถึงหญิงสาวที่เติบโตแล้ว  อิสตรี สามารถกระทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างไร้ยางอายเพื่อปกป้องตำแหน่งในชีวิตรัก  พี่น้องคู่นี้กำลังอยู่ในเส้นทางนั้น ..


 


ซุนเซี่ยวเหม่ย เห็นถึงความต่อต้าน และหึงหวงระหว่างเด็กสาวทั้งสอง  แต่กระนั้น ซุนเซี่ยวเหม่ย ผู้ปราดเปรื่องมิอาจกลั้นความประหลาดใจ


 


ความหลงไหล จวินโม่เซี่ย ของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ นั้นเป็นที่รู้กัน  ดังนั้น ท่าทีของนางจึงไม่แปลกประหลาด  แต่ หลิงเมิง .. ท่าทีของนางกับ คุณชายน้อยจวิน เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและรวดเร็ว  ไร้ซึ่งคำอธิบายโดยแท้จริง


 


องค์หญิงหลิงเมิงได้ทำสาบานเลือดเพื่อแต่งกับจวินโม่เซี่ย  แต่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มิใช่เต็มใจ  องค์หญิงหลิงเมิง ไม่เคยประทับใจ จวินโม่เซี่ย ตามที่ ซุนเซี่ยวเหม่ยเข้าใจ  แท้จริงแล้ว นางชิงชังเขา


เช่นนั้น เหตุใดฉับพลันสองพี่น้อง จึงกลายมาเป็น คู่แข่งความรักในตำนานกัน ? ยิ่งหว่านั้น เหตุใด ความรู้สึก ปรปักษ์จึงรุนแรงแม้นพวกเขาจักมีความผูกพันธ์พี่น้อง ?  เกิดอันใดกัน ?


 


สับสนนัก สับสน ..


 


ซุนเซี่ยวเหม่ย ถือว่าตัวเองมากสามารถเสมอ  นางสามารถใช้สมองอันมหึมาของนางในทุกสถานการณ์ได้  แต่ มันกลับนิ่งงันในเวลานี้


 


จวินโม่เซี่ยสูดหายใจลึก  เขาหมดแรงในที่สุด  เขาจับมือ อยี่กู้ฮั่น และ ถ่ายลมปราณเป็นเวลาเนิ่นนาน ตอนนี้เขาถ่ายทอดมันไปจำนวนมหาศาล  แต่ อาการของ อยี่กู้ฮั่นยังคงที่  ปราณเชวียนของ อยี่กู้ฮั่น ถูกขับออกจากร่าง และถูกแทนที่ด้วยลมปราณทรงพลังของจวินโม่เซี่ย


 


ยิ่งกว่านั้น กระดูกที่แตกหักถูกห่อหุ้มด้วยลมปราณของ คุณชายน้อยจวิน


 


จึงไร้ซึ่งปัญหาตราบใดที่ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหวร่างของเขาหรือยุ่งเกี่ยวกับกระดูกเหล่านั้น


 


จวินโม่เซี่ย เหนื่อยอ่อนยิ่ง  เขาลืมตามองไปยังสามเด็กสาว และถอนใจด้วยทีท่าสลด  เขาไม่ประสงค์จะเอ่ยวาจา หญิงสาวเพียงหนึ่งเปรียบดั่งเป็ดนนับพันในสายตาของ มือสังหารจวิน … วุ่นวายและสับสน  แต่เขาต้องเผชิญพวกนางถึงสาม …


 


นี่เป็นปัญหาที่น่ากลัวยิ่ง !  และหากมีชายเพียงหนึ่งท่ามกลางพวกนาง … โชคชะตาของชายผู้นั้นจำต้อง น่าสลดยิ่งนัก


 


” เขาเป็นเช่นไร ? “


องค์หญิงหลิงเมิง ถามขณะนางตรงเข้ามา  สีหน้านางมีร่องรอยประจบสอพลอ


 


” เขาเป็นเช่นไร ? “


หัวของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยื่นเข้ามา จมูกเรียวงามของนางบานออก ขณะคิ้วกระตุกไม่หยุดหย่อน  จวินโม่เซี่ยสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของนาง  จนสามารถได้กลิ่นอันหอมหวาน


 


” เจ้าเหนื่อยไหม ? “


ซุนเซี่ยวเหม่ยไม่กล้าเข้าร่วมวง  แต่กระนั้น นางยังคงเอ่ยปากหลังจากนั่งลง


 


หญิงทั้งสามต่างสอบถามถึงความเหน็ดเหนื่อยของจวินโม่เซี่ย  เขามิอาจตะโกนออกมาได้ แต่สิ่งเหล่านั้นเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตา  เขาคิดจะเอ่ยบางสิ่งขณะลืมตา  เขาพยายามทำสีหน้าไร้อารมณ์ขณะมองไปยังหญิงทั้งสาม มันเยือกเย็นยิ่ง ดั่งน้ำแข็งพันปี


 


เขาเพ่งมองเย็นชาไปที่พวกนาง ทั้งสามจึงสั่นเทาด้วยความกังวล  พวกนางรู้สึกอับอายไร้เหตุผล  ราวกับพวกนางทำสิ่งผิดพลาด  แม้นแต่สาวน้อยก็ไม่เว้น …


 


” หญิงสาว เฮ้อ หญิงสาว ! “


ปากจวินโม่เซี่ยโค้งลงต่ำ  เขายกมือขึ้นเหนือหัวด้วยพยายามส่งสาร  ใบหน้ากระตุกด้วยฉุนเฉียว


” ข้าไม่ประสงค์จะสนทนาไร้สาระกับเจ้า แต่ตอนนี้ข้าคิดว่ามันจำเป็น !  มิเช่นนั้น พวกเจ้าจักทำให้นายน้อยผู้นี้ วุ่นวายจนตาย ในไม่ช้า ! “


 


” อะไรนะ ?! “


หญิงทั้งสามประหลาดใจ  พวกนางมองหน้ากันครู่หนึ่ง  และ โศกเศร้า


 


” อย่างแรก … เจ้า !  เจ้าทำความผิดพลาดยิ่งใหญ่ ! “


จวินโม่เซี่ยชี้นิ้วไปยัง องค์หญิงหลิงเมิง ไร้ร่องรอยอ่อนโยนใน อากัปกริยาของเขา


” ยกตัวอย่างเช่นเรื่องในวันนี้  ไม่จำเป็นต้องสังเวยทุกสิ่ง  แต่ เจ้ากลับสร้างทุกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา !  ทั้งหมดเพราะการกระทำของเจ้า !  อยี่กู้ฮั่น ไม่ควรบาดเจ็บเช่นนี้ !  เขาสามารถล่าถอยไปได้ด้วยการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย !  แต่ทุกสิ่งกลับกลายเป็นเช่นนี้เนื่องด้วยความเขลาของเจ้า !  น้าอยี่ของเจ้า เสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อเจ้า  และตอนนี้เจ้าได้ทำสัญญาเลือดเพื่อรักษาเขา  น่าประทับใจยิ่ง ข้ารู้สึกผิดหวังยิ่งสำหรับ อยี่กู้ฮั่น อาการของเขาน่าสลดยิ่ง  และ ทั้งหมดนั้นเพื่อบางสิ่งที่ไร้ค่า !  น่าเศร้ายิ่งนัก !


 


ข้าได้รู้เรื่องนี้จากน้องสาวของเจ้า  องค์หญิงหลิงเมิง เจ้าอยู่ในขั้นเชวียนทอง  อาจดูว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งในหมู่คนทั่วไป  แต่กระนั้น เจ้ามิอาจต่อสู้กับมือสังหารผู้ทรงพลังได้  แต่ อยี่กู้ฮั่นได้ขัดขวางศัตรูไว้แล้ว  แล้วเจ้าไม่มีความสามารถที่จะหนีไปกระนั้น ?  ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเมืองหลวง  เหตุใดเจ้าไม่ส่งเรื่องนี้ไปยัง เหล่าจวนสกุลใหญ่ ใกล้ๆ ?  เจ้าคิดว่าการหลั่งน้ำตามันสำคัญยิ่งกระนั้น ?  สิ่งลวงตาเหล่านั้นสร้างความเสียหายแก่ อยี่กู้ฮั่นมากยิ่ง !


 


” สิ่งเดียวที่เจ้าสามารถทำได้ เมื่อสิ่งเช่นนี้กำเนิดขึ้น แท้จริงแล้วคือสิ่งเดียวที่เจ้าควรทำ คือหาโอกาส หลบหนีไป !  ยิ่งเจ้าวิ่งไปไกล และเร็วเท่าใหร่ … อยี่กู้ฮั่น จักผ่อนคลายลงเท่านั้น  เจ้ามิควรกังวลเดี่ยวกับความปลอดภัยของ อยี่กู้ฮั่น หรือคิดว่าเจ้าละทิ้งเขา  เจ้าควรคิดเพียงแต่พาตัวเองหนีไป !  เจ้าควรคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง เนื่องจาก อยี่กู้ฮั่น ต่อสู้เพื่อเหตุผลเพียงหนึ่ง !  อยี่กู้ฮั่น จักล่าถอยเมื่อเจ้าปลอดภัย  เขาอาจจะไม่หนีไปได้โดยไร้ซึ่งบาดเจ็บ  แต่ มันจะไม่ก่อให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ !  แต่เจ้าทำเช่นนั้น ?  ไม่  เจ้ามิได้ทำ  เจ้าเพียงแค่มองกลับมากระทั่ง อยี่กู้ฮั่นบาดเจ็บรุนแรง จนใกล้ความตาย ความจริง เจ้าวิ่งไปไม่ถึงสามร้อยหลา  และเจ้าจักไม่ไปไกลเช่นนั้น หากมิใช่เพราะ เซี่ยวอี้ และ ซุนเซี่ยวเหม่ย ฉุดลากเจ้าไป … เจ้าไร้สมองหรือ ?  เจ้ากำลังคิดสิ่งใดกัน ? “


 


จวินโม่เซี่ยตำหนิ องค์หญิง หยาบคายและโหดร้าย  ดวงตาองค์หญิงหลิงเมิงเริ่มแดง นางกำลังจะร่ำไห้


 


” ห้ามร้อง  ข้าจะโยนเจ้า และ น้าอยี่ของเจ้าออกไปเสีย หากวันนี้ได้เห็นน้ำตาร่วงหล่นมาจากดวงตาของเจ้าอีก ข้าไม่เคยขอให้เจ้ากระทำสัญญาเลือดบ้าบอนั่น !  เป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่ง !  หากน้ำตาใช้ได้กับน้าอยี่ของเจ้า …. !  น้าอยี่ของเจ้าคงสิ้นอายุไข เพราะน้ำตาเคราะห์ร้ายของเจ้า !  แต่มันจะทำให้ข้าต่อสู้กับศัตรูได้ ?  การร่ำไห้มีค่าเพียงผายลม !  เจ้าสามารถทำสิ่งอื่นนอกจากร่ำไห้ได้หรือไม่ ?  เจ้าลองพยายามร้องออกมาอีกหนสิ และดูว่าสิ่งใดจักเกิดขึ้น ! “


จวินโม่เซี่ย คำรามรุนแรง

 

 

 


ตอนที่ 271

 

ทั้งร่างองค์หญิงเริ่มสั่นเทา  สีหน้าชั่วร้ายของจวินโม่เซี่ยทำให้นางผวา  ยิ่งกว่านั้นนางมิกล้าร่ำไห้ออกมา


 


” ความจริง เจ้ามิได้พยายามหลบหนีไปเลย เมื่อ อยี่กู้ฮั่น กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส !  แน่นอน มันคือสิ่งดีสำหรับเจ้า ! เจ้าน่ากลัวยิ่ง !  พระองค์ ท่านผูกพันธ์กับเขามาก  เจ้าเต็มใจทำทุกสิ่งเพื่อ น้าอยี่ของเจ้า !  น่างประทับใจยิ่งนัก !  ข้ามากยิ่งนับถือเจ้า ! “​


 


จวินโม่เซี่ย ขบฟันขณะพยักหน้าไม่หยุดหย่อน  จากนั้นเขาคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น


” เจ้ามิได้คิดถึงผู้อื่นเลย !  เจ้ามิได้คิดถึงสองพี่น้องสาวผู้แสนดี !  เจ้านั้นเอาแต่ใจมากยิ่งจนไม่ยอมหนีไปไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  แต่เจ้าคิดว่า พวกเขาจักทิ้งเจ้าและหนีไป ?  เจ้าอาจเป็นเหตุให้พวกเขาประสบอันตรายใหญ่หลวง แท้จริง เจ้าอาจทำให้พวกเขาถูกสังหาร !  พวกเจ้าทั้งสามจักถูกสังหาร และกลายเป็นกองเนื้อเน่าหากมือสังหารต้องการฆ่าแทนการลักพาตัวเจ้า !  ความงามของเจ้ามิอาจะใช้ประโยชน์อันใดได้ !  ความตายของเจ้า อาจไม่เป็นเรื่องน่าเศร้า หากเจ้าคือเป้าหมายของศัตรู  แต่ เจ้าทำให้พี่น้องทั้งสองของเจ้ามาเกี่ยวพัน !  เจ้าจักรู้สึกเช่นไร หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกนาง ? “


 


” แต่ … “


องค์หญิงหลิงเมิง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์ลึกในใจ  อีกทั้งยังละอายใจ  ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่กล้าสบตาจวินโม่เซี่ย  ยิ่งกว่านั้น นางมิกล้ามองพี่น้องที่ยืนอยู่เคียงข้าง


 


” แต่อันใด ?! “


จวินโม่เซี่ยน้ำเสียงรุนแรง


” แต่กระนั้น เมื่อ อยี่กู้ฮั่น ล้มลงสู่พื้น … จวนเจียนความตาย  เกิดอันใดขึ้นในหัวของเจ้า ?  เป็นวิธีคิดที่ยุ่งเหยินยิ่ง !


 


” เว้นเสียแต่  อยี่กู้ฮั่น มิได้ตายขณะปกป้องเจ้า .. และเจ้าปลอดภัย และไร้ปัญหาอื่นใดในสถานการณ์นั้น  แท้จริงแล้ว หาก อยี่กู้ฮั่น สิ้นไปในการปกป้องเจ้า มันจะเป็นการตายที่เต็มใจ !  แต่เขาเอาชีวิตตัวเองเข้าขวางทางให้เจ้าหนี การหลบหนีของเจ้าคือราคาที่เขาจ่ายด้วยชีวิต !   แต่ไม่เพียงเจ้าไม่หนีไป … เจ้ายังยืนนิ่ง !  เจ้าทำให้การตายของเขาไร้ซึ่งความหมาย !  ไร้ประโยชน์อันใด !  เขาใช้ชีวิตเข้าแลกเพื่อโอกาสให้เจ้าหนี  แต่เขาจักสิ้นชีพอย่างขุ่นเคืองเพราะเจ้า !


 


” หญิงโง่ !  แต่เจ้าจักเข้าใจได้อย่างไร ?  สมองเจ้าเต็มไปด้วยโคลนตม !  หึ  เจ้าโง่เขลายิ่ง … เกินกว่าจักช่วยเหลือ !  เจ้าเชื่อว่าสองของเจ้ามิได้แย่ ?  และเจ้ายังโอ้อวดความปราดเปรื่อง  เจ้าคิดว่าว่าเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าไม่ควรดูแคลนสินะ …. ชิ ! “


เขารู้สึกปิติ และกลั่นแกล้งนางได้สำเร็จ  สิ่งนี้เป็นเพียงเรื่องปกติเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ องค์หญิง นิ่งเฉย และรังเกียจการมีตัวตนของเขา


 


” และเจ้า ! “


เขาชี้ไปยัง ตู่กู้เซี่ยวอี้


” มีดที่ข้าให้ เจ้าคิดว่าการผูกมันไว้ที่แขนเป็นเรื่องน่าขัน ?  …. เหตุใดเจ้าจึงไม่ผูกมันไว้ในกางเกาง ?!  เจ้าไม่รู้หรือว่าเคล็ดมีดเหมาะสมกับเจ้า ?  และใช้มันกับมีดเล่มนี้จะส่งผลที่ยอดเยี่ยม ?!  แต่การผูกมันไว้ที่แขนจะมีประโยชน์อันใด ?  เจ้าโดนลาเตะหัวมากระนั้นหรือ ? “


 


จวินโม่เซี่ยหอบรุนแรง แต่เขาดุด่าต่อ


” เหตุใดเจ้าไม่เต็มใจทำ ?  เจ้าว่าแผนจักทำอันใดกับมันอีก ?  มันคือมีด !  มันใช้ทำสิ่งใด ?  มีดมิได้ใช้เป็นเครื่องประดับ หรือ ของตกแต่ง  มีดใช้เพื่อฟันแทงผู้คน ฟาดฟันและสังหารศัตรู !  ผูกไว้กับแขนเจ้าจักให้การมันได้เช่นไร ?  ข้าหล่อหลอมมันด้วยความพยายามมากยิ่ง  เจ้าไม่คิดว่า เหงื่อและกลิ่นตัวของเจ้า อาจทำให้มีเล่มนี้เป็นสนิม เนื่องจากผูกไว้ตรงแขนกระนั้นหรือ ?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องใช้ความพยายามทางกายและจิตใจ เวลา และกำลังมากเท่าใด เพื่อตีมีดที่สวยงามเล่มนี้ขึ้นมา ?  เสียของ !


 


” โง่เขลา !  เจ้าโง่เขลามิอาจแก้ไข !  หากหัวของนางเต็มไปด้วยดินโคลน … ของเจ้าจักต้องท่วมท้นไปด้วยน้ำ !  ต้องมีบางผู้ เทเรื่องไร้สาระเหล่านั้นออกมาจากหัวของเจ้า ! “


จวินโม่เซี่ยชี้ไปยัง ตู่กู้เซี่ยวอี้  น้ำลายเขาเกือบกระเด็นโดนหน้านาง  ใบหน้าของ ตู่กู้เซี่ยวอี้  เริ่มซีดลง ขณะนางหลบเลี่ยง


 


” ยิ่งกว่านั้น เป้าหมายของพวกเขามิใช่เจ้า !  องค์หญิงหลิงเมิง ไม่ประสงค์จะหนี แต่เจ้าทั้งสองยังไม่รีบเร่งวิ่งไปหากองกำลังเสริม  เจ้ามองอย่างโง่เขลากระทั่งศัตรูมาถึง !  ศัตรูเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียน !  เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าสวรรค์เชวียนคืออันใด ?  เจ้าเป็นดั่งขอทานที่ประสงค์ก่อกบฏกับเจ้าเหนือหัว เจ้าเป็นเช่นนั้นต่อหน้าพวกเขา !  ศัตรูสามารถซีกร่างของเจ้าเป็นชิ้นได้ด้วยปลายนิ้ว  พวกเขาสามารถบดขยี้เจ้าทั้งสองเป็นชิ้นได้เพียงบีบนิ้ว !  ไม่ !  ร่างของเจ้าจักไม่เหลือเพียงเศษเสี้ยว !  เจ้าเป็นดั่ง มดที่พยายามเขย่าต้นไม้  เพียงการยกย่องเดียวที่ข้ามอบให้เจ้าทั้งสองคือ … กระทำการโจมตีศัตรูขั้นสวรรค์เชวียนเหล่านั้น ! “


 


” เจ้าเป็นหญิงเขลาคนที่สองในกลุ่มนี้ ! “


จวินโม่เซี่ยสูดหายใจยาวขณะเขาจบ


 


” และเจ้า !  เจ้าคิดว่าความปราดเปรื่องเจ้าเป็นเลิศ ? “


จวินโม่เซี่ยไม่ปล่อย ซุนเซี่ยวเหม่ย ไป


” พวกเขาไม่เข้าใจ … แต่เจ้าก็โง่เขลาเช่นกัน ?  เจ้ามิอาจมือได้ ?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าควรหนี … และ ไม่ต้องเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ท้องถนน ?  เจ้าไม่ควรหนีเพื่อชีวิตของเจ้า ?  และเส้นทางหลบหนีที่เจ้าเลือก เป็นเพียงเส้นทางที่คนไร้มันสมองเท่านั้นที่เลือก  เจ้าจะไม่พบถนนคดเคี้ยวหลากหลายเส้นเบื้องหน้า  แต่ที่นั้นมีบ้านมากมายขนาบข้างถนน  และ บ้านเหล่านั้นมีประตูหน้า ซึ่งรวมไปถึงประตูหลัง  ซึ่งนำพาเจ้าไปยังซอยด้านหลัง  ซึ่งจักปลอดภัยยิ่งขึ้น ?  แต่คาดไม่ถึง เจ้าวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปบนถนนสายหลัก !  เจ้าคิดว่า เจ้ามีความเร็วเกินกว่ายอดฝีมือสวรรค์เชวียน ?!


 


” ข้ารู้ว่าหน้าตาเจ้ามิได้ดีเด่น  ดังนั้น พฤติกรรมของเจ้าจึงผิดเพี้ยน  เจ้ามองปัญหา  เจ้ามองไปยังผู้คน และ เจ้ามองไปยังเรื่องต่างๆอย่างคมคาย !  ดังนั้นเจ้าจึงอวดดีในเรื่องนี้ !  แต่ความอวดดีของเจ้านั้น ไร้ค่า !  มันมีประโยชน์อันใด ?  เจ้าไม่เคยมองกลับตัวเอง  เจ้าทำเพียงพินิจผู้อื่น และส่วนใหญ่มิใช่แท้จริง !  เจ้ามีสมองหรือไม่ ?  เซี่ยวอี้ไร้เหตุผลในเรื่องนั้น และ สมอง องค์หญิงหลิงเมิงเต็มไปด้วยดินโคลน  เจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่ปราดเปรื่องท่ามกลางพวกนาง  เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่ ทำให้องค์หญิงสลบและหนีไปกับนาง ?  ข้ามั่นใจว่าเจ้าสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย หากเจ้าทำให้หญิงโง่เขลาผู้นั้นสลบอย่างรวดเร็ว  และแม้แต่ อยี่กู้ฮั่น ก็จักหนีออกมาได้ หากเจ้าสำเร็จส่วนนั้น  เจ้าบอกข้า ข้าผิด หรือถูก ?!


 


” อย่าได้คิดว่าเจ้าสามารถเข้าใจผู้อื่นได้ โดยไม่เข้าใจตัวเอง ! “


จวินโม่เซี่ย ทุบโต๊ะ


” และอย่าได้คิดว่าเจ้าฉลาดล้ำจนสามารถเข้าใจเจตนาของผู้อื่นได้ !  เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจจิตใจของบุรุษ และความอ่อนแอของสตรี ?  ให้ข้าได้บอกกับเจ้า !  ความคิดของบุรุษและอิสตรีเป็นของพวกเขา และ ไม่มีผู้ใดต้องการให้ผู้อื่นควบคุม  อย่าได้ชั่งทีท่าผู้อื่นด้วยความรอบรู้อันเวทนาของเจ้า !  ดูเหมือนว่าเจ้ายังขาดแคลนอยู่มากมายยิ่ง !  แม้นเรื่องบังเอิญเล็กน้อยสามารถเป็นอันตรายจนสังหารผู้คนได้  และสิ่งที่เกิดกับ อยี่กู้ฮั่น คือตัวอย่างชั้นเลิศในเรื่องนั้น !


 


” ไม่เป็นไรที่เจ้าโง่เขลา  แต่ เจ้ามิควรลากผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง  โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดเจ้า ! “


จวินโม่เซี่ย คำราม


 


จากนั้น เขาหยุดการดุด่าดั่งสายฝน  น้ำลายเขากระเด็นไปทั่ว  แม้นในใจจะสำราณ  เขาก็ได้ตำหนิองค์หญิง และ เหล่าลูกสาวของสกุลใหญ่ดั่งสั่งสอนหลานชาย


 


” แต่ … เป็นดั่งที่เจ้าเอ่ยมา … พวกเราอยู่ในขั้นเชวียนทอง … ห่างไกลจากขั้นสวรรค์เชวียน  ยิ่งกว่านั้น พวกเราก็ได้แก้ไขทุกสิ่งภายใต้ความแข็งแกร่งที่แตกต่างอย่างมหาศาล  และพวกเราสามารถพึ่งพาได้เพียงตัวเองเท่านั้น  เช่นนั้น ข้าควรทำเช่นไร ? “


ซุนเซี่ยวเหม่ยพ่นลมหายใจทางจมูกขณะนางชี้ไปที่จมูก  นางยืดคือและตอบกลับ ค่อนข้างขุ่นเคือง  หญิงผู้นี้ไม่เหมือน องค์หญิง และ เซี่ยวฮั่น  นางทะนงยิ่ง  ดังนั้น นางจึงโต้แย้งกลับ


 


” เจ้าคิดว่าความแข็งแกร่งร่วงหล่นจากฟากฟ้า ? “


เสียงคำรามพ่นออกมาจากจมูกจวินโม่เซี่ย


” เจ้ามิได้แต่งองค์ทรงเครื่องทุกวันหรือ แทนที่จะฝึกฝนความแข็งแกร่ง ?  เจ้าคิดว่าความแข็งแกร่งเจ้าจะเป็นเลิศหากเจ้า กระทำตัวดั่งแจกันดอกไม้งามที่ละเอียดอ่อนและได้รับการปกป้อง ?  เจ้ารู้จักทุนรอนของการเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศจริงๆหรือ ?  ชันเจนว่ามันคือสิ่งซึ่งสาวน้อยอย่างเจ้ามิอาจตระหนักถึง  ผู้นั้นจักอุทิศชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อฝึกฝัน แม้นแต่คนสามัญยังเข้าใจได้ ! “


 


จวินโม่เซี่ยยิ้ม


” เจ้ายังเด็กนัก แต่เจ้าเป็นยอดฝีมือเชวียนทอง !  แท้จริงแล้ว ถือได้ว่าฝีมือเจ้าไม่สามามัญท่ามกลางคนรุ่นเดียวกัน  มากมายผู้คนจักนับถือว่า การบรรลุไปยังขั้นเชวียนทองขณะยังเด็กนั้นคือผู้ที่แสนประเสริฐ  และข้ายอมรับว่าเป็นจริงเช่นนั้น  การฝึกฝนปราณเชวียนเป็นสิ่งที่ขัดกับธรรชาติ  และ เพื่อเดินไปบนเส้นทางอันยากลำบากนี้ หมายความว่าจักต้องใช้กำลังมากมาย  และ สิ่งสำคัญที่สุดคือการยอมแพ้แต่โลก  เจ้าจักต้อต่อสู้กับร่างของเจ้าทุกวี่วัน !  แต่ เจ้าอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตหญิงสาว !  มีสตรีมากฝีมือมากมายอยู่เสมอ !  แต่ เพียงหญิงที่ไม่สนใจรูปลักษณ์และความเยาว์วัยเท่านั้นที่จะสำเร็จเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศ  พวกนางมีเพียงน้อยนิดในระหว่างหลายปีนี้ จากอดีตจนปัจจุบัน !


 


” ข้าเอ่ยสิ่งเหล่านี้เพื่อมั่นใจว่าเจ้ามิได้ทำความผิดพลาดอันโง่เขลาดั่งเช่นวันนี้ !  ความแข็งแกร่งเจ้าอ่อนด้อย  และ ข้ามั่นใจสิ่งที่เกิดเช่นวันนี้จักเกิดขึ้นอีก !  แต่ข้ามั่นใจว่า ไม่มีผู้ใดประสงค์ให้การเสียสละของ อยี่กู้ฮั่น ไร้ค่า เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าเอ่ยวาจา ? “


 


จวินโม่เซี่ยพึมพำชั่วครู่  เขาไม่สนใจจะระบายความรู้สึก จวินโม่เซี่ยเดินไปยังเก้าอี้และโค้งตัวเข้าหามัน  จากนั้น หลับตา  จากนั้นเอ่ยกระวนกระวาย


” อย่าได้โต้แย้งความจริง ที่ข้าเอ่ยกับเจ้า  มันไร้ประโยชน์ !  อาจดีหากเจ้าสามารถใช้มันโต้เถียงเพื่อโน้มน้าวศัตรู  หากไม่ … เงียบไปเสีย  คุณชาย ทำงานหนักมาเนิ่นนาน เขาประสงค์พักผ่อน “


 


สามหญิงสาวเดือดดาลด้วยโทสะในตอนแรก  จากนั้น ตระหนักได้ว่าคำพูด จวินโม่เซี่ย มีเหตุผลยิ่ง แม้พวกนางไม่ประสงค์รับฟัง  พวกนางมิอาจกลั่นไม่ให้ก้มหัว และพินิจคำพูดของเขา


 


ตู่กู้เซี่ยวอี้  ตีปากตัวเอง และหันไป  จากนั้น จมูกนางพ่นลม และวางท่าที นางย่นจมูกและพึมพำ


” เจ้าไร้เหตุผลยิ่ง !  ฮึ่ม !  เมื่อข้าขุ่นเคือง … ข้าจักเอามีดออกมา … ทำให้รู้สึกเหมือนข้ากำลังมองเจ้า … “


 


ฉับพลันนั้น พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าหนักหน่วงดังจากภายนอก  ตอนแรก คล้ายดั่งปิศาจขนาดเท่าช้ากระทืบเท้าตรงมายังทิศทางพวกเขา  ความเร็วของมันน่าหวาดกลัว  มิได้รวดเร็วจนน่ากลัว แต่เชื่องช้า


 


สามหญิงสาวมองหน้ากัน  อ้าปากค้าง  จากนั้น ได้ยินเสียงร้องขึ้นจากด้านนอก


” คุณชายน้อยข้า … เจ้าทำให้ข้าต้องวิ่งจนขาหัก!  น่าสงสาร … ข้าต้องแบกของราวห้ากิโลกรัมในการเดินทางครั้งนี้  สำคัญอันใดที่เจ้าต้องใช้ยาเหล่านี้เร่งด่วน ?  ยิ่งกว่านั้น เหตุใดจึงสำคัญที่ข้าต้องนำพามาด้วยตัวเอง ?  ข้าควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษในเรื่องนี้ !  ไปยัง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ เย็นนี้ !


 


“ชิ ชิ … เพียงคิดถึงหญิงสาวผู้งดงามเหล่านั้น ท่านพี่ !  ปากของข้าเลอะไปหมดเมื่อคิดถึง !  ข้าประสงค์มองหาพวกนางสักเล็กน้อย จากนั้น ข้าจักลองพยายาม หากจ้าไม่จ่ายเจ้าไม่ได้ แต่มันมีกลวิธี  แท้จริง คุณชายปราดเปรื่องแท้จริง  น้องเล็กผู้นี้ยอมรับเจ้า เขาโค้งแก้เจ้า ! “


 


ไม่ต้องบอกว่าผู้มาใหม่คือผู้ใด …


 


สีหน้าของหญิงสาวในห้องแปรเปลี่ยนเป็นสีดั่งก้นหม้อ  มันมืดมน และ น่ากวาดกลัว  ใบหน้าหญิงสาวทั้งสามแสดงเจตนาเดียวกัน สังหาร !


 


เป็นความตั้งใจที่กดขี่ยิ่ง !


 


คุณชายน้อยสกุลถังลากพุงใหญ่ๆของเขาไปยังธรณีประตูขณะเขาโหยหวน  พร้อมด้วยเสียงร้องและการเยินยอ  จากนั้นเขาส่งเสียงดัง แทบจะเอามือโกยท้องตัวเองจนผ่านประตูมาได้ในที่สุด  ทันใดนั้น เขาตกตะลึงเมื่อเห็นสามหญิงสาวเพ่งมองชั่วร้ายมาที่เขา  เขากลืนน้ำลายคำใหญ่ และกลืนลงท้องไป  จากนั้นมองไปรอบๆด้วยท่าทางใจลอย และกรีดร้องตกใจสุดขีด


” อ๊ากกกกกก !  … “


 


เขาปล่อยยาและพวกมันหกลงพื้น  จากนั้น เขาวิ่งและหายไป

 

 

 


ตอนที่ 272

 

หญิงทั้งสามเห็นพ้องที่จะจับตัวเขา และจากนั้นพวกนางจึงกระโจนใส่เขาอย่างคล่องแคล่ว  ความเร็วของถังหยวนมิอาจเทียบชั้นกับหญิงสาวทั้งสาม  ซุนเซี่ยวเหม่ยคว้าเข้าที่หู และดึงเขากลับมา  เจ้าอ้วนถัง ร้องขอความเมตตาต่อเนื่องขณะเขาอดทนต่อการถูกกระทำ


 


” เอาละเจ้าอ้วนถัง  เจ้ากำลังพยายามล่อลวง คุณชายน้อยจวิน ให้ไปยังสถานที่ซึ่งถูกละทิ้งนั้นหรือ !  วันนี้ข้าจักตีเจ้าจนไขมันหลุดออกจากร่าง  เจ้ากล้าเอ่ยถึงเด็กสาวเหล่านั้นได้เช่นไร … “


 


ซุนเซี่ยวเหม่ย เป็นผู้เริ่ม ขณะที่หญิงทั้งสามเริ่มสาปแช่งใส่เขาราวสายฝน  พวกนางกระทืบเขา ต่อหน้าจวินโม่เซี่ย  แต่ละนางมีความโทสะอยู่เต็มท้อง  เจ้าอ้วนถัง มาถึงในช่วงเวลาที่สำคัญ  เขาจึงได้เป็น กระสอบทรายให้แก่พวกนางเพื่อปลดปล่อยโทสะ  มันจักไร้ค่า หากพวกนางมิได้ใช่เขาเพื่อจุดประสงค์เหล่านั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ พวกนาง มีเหตุ อันสมเหตุผลเพื่อใช้ประโยชน์ …


 


น้ำมูก น้ำตา หลั่งไหลบนใบหน้าอ้วนๆของเขา ร่างอวบอ้วน ใบหน้าจ้ำม่ำและมืออวบๆ เขามิอาจนับจำนวนครั้งที่เขาโดนต่อยได้  และ ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนจากขาวเป็นเขียว ม่วง และจากนั้นสีดำเข้ามาแทนที่  เขากรีดร้องลั่นสั่นสะเทือนโลกา  เจ้าอ้วน ร้องขอให้จวินโม่เซี่ย เห็นใจและช่วยน้องเล็กจากเรื่องราวอันรุนแรงไม่หยุดหย่อนนี้แต่กระนั้น เขามิได้รับการตอบกลับใดๆ


 


การซ้อมเจ้าอ้วนถังนั้น ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก  หญิงทั้งสามเหนื่อยหอบ  พวกนางหยุดลง เมื่อจำได้ว่าวายร้ายตัวจริงนั่งอยู่ด้านข้าง  พวกนางตระหนักได้ทันทีว่าเพิ่งคว้าโอกาสเพื่อสลัดความทุกข์ทั้งหมดไปแล้ว  เจ้าอ้วนถังลุกขึ้น  จากนั้น อธิบายต่อเนื่องอยู่ชั่วครู่


 


” จวินโม่เซี่ย ข้ามิคาดว่าเจ้า … “


หญิงทั้งสามเงียบลงทันที  ซึ่งทำให้ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด


 


สถานที่ซึ่ง คุณชายน้อยจวิน นั่งอยู่ว่างเปล่า  ทั้งสี่ มองหา จวินโม่เซี่ย ในห้องอย่างโง่เขลา  พวกเขาไม่รู้เลยว่า จวินโม่เซี่ยหายไปเมื่อไหร่


 


แม้แต่ ตัวยาสมุนไพรซึ่งร่วงอยู่บนพื้นก็หายไปเช่นกัน …


 


การกระทำของเขารวดเร็วดั่งสายฟ้า


 


ปู่ถัง ได้รับข่าวจากราชสำนัก ว่าหลานชายคนโตของเขา ถังหยวนได้รับการเรียกตัวในวันพรุ่ง และร่วมสนทนากับ องค์จักรพรรดิ  ถังหว่านลี่ ไม่รู้ว่าเหตุใดหลานชายจึงถูกเรียกตัว แต่เป็นการยากที่จะปฏิเสธคำบัญชา องค์จักรพรรดิ ดังนั้น เขาจึงส่งผู้หนึ่งไปยังจวนสกุลจวิน และนำตัวหลานชายซึ่งเคยถูกขับไล่กลับจวน


 


ในตอนนั้น คุณชายน้อยถัง ยังเปอระเปื้อด้วยดินโคลน  ด้วยเหตุนั้น เขาจึงขอบคุณสวรรค์ที่ได้นำพาเขาออกจาทะเลแห่งทุกข์ยากที่กำลังประสบอยู่  เขารีบออกจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว แท้จริงแล้ว เขามิได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย  เขามิเคยรู้สึกรักปู่ของเขาเช่นนี้มาก่อน  ที่ได้ช่วยชีวิตเขาจากควาทรมาณเช่นนี้  ปู่จึงกลายเป็นเทพเจ้าในสายตาของเขา


 


ฟากฟ้าเริ่มมืดลงเมื่อเวลาผันผ่าน แสงสว่างเริ่มจุดติดขึ้นในลานที่จวนสกุลจวิน  งานสังสรรค์ถูกตระเตรียมในห้องรับรองเพื่อเป็นเกียรติกับแขกมีสกุล ตู่กู้วูตี้  และ เสนาบดีซุน


 


งานสังสรรค์นี้มิได้สามัญ  ปู่จวิน และ จวินวูอี้ ไปร่วมงานกับแขกด้วยตัวเอง แต่กระนั้น จวินโม่เซี่ย กลับหายไปดั่งฝุ่นควัน  หญิงสาวทั้งสามขบฟัน  ท้องของพวกนางถูกแผดเผาด้วยเปลวแห่งโทสะ และ พวกนางประสงค์จะลบล้างมัน


 


จวินโม่เซี่ย แอบออกมาจาก เจดีย์หงส์จวิน ช่วงกลางดึก  เวลานั้น ทุกผู้หลับไหล เขาเหลือบซ้ายขวา และมุ่งตรงไปห้องนอนของเขา


 


น่าขันยิ่งนัก  ข้ามิได้หลบซ่อนจากสามเด็กสาวนั้น  เหตุใดข้าจึงเกรงกลัวพวกนาง ?  ข้าหลบไป… เพียงเพื่อตระเตรียมยาให้แก่ อยี่กู้ฮั่น เท่านั้น


 


ช่วยผู้อื่นเป็นดั่งการดับไฟ  ข้าจักมัวชักช้าได้เช่นไร ?  และการรักษานี้จะต้องใช้เวลา … คนเหล่านี้จำต้องพักผ่อนในเวลานี้จริงหรือ ?  ไม่มีสิ่งใดที่จะยุ่งยาก !


 


จวินโม่เซี่ยปลอบใจตัวเอง พร้อมด้วยยาชาซึ่งเขาได้ตระเตรียมมาในช่วงเวลาครึ่งวันหลังนี้  ยาตัวหนึ่งต้องใช้กิน และยาภายนอกอีกจำนวนหนึ่ง จวินโม่เซี่ย มุ่งไปยังห้องนอนของเขา และเริ่มรักษากระดูกที่ได้รับบาดเจ็บของ อยี่กู้ฮั่น


 


จำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ซี่โคร่งที่หักตรงหน้าอกของเขา อยี่กู้ฮั่น เริ่มประสานกันราวได้รับการเย็บปัก  พวกมันได้รับการควบคุมอย่างสมบุรณ์เมื่อเขาเสร็จสิ้น  เสื้อผ้าของ คุณชายน้อยจวิน เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ  เขาเหน็ดเหนื่อยยิ่ง และ แทบมิได้นั่งเลย เขาพยักหน้าและพึมพำ


” แม่ของข้าไม่ทำงานหนักเพื่อข้า … ครั้งต่อไปที่ข้าทำเช่นนี้ .. ข้าจักตายเสียก่อน  ความพยายามนี้ เกือบฆ่าข้าตาย ! “


 


ทันใดนั้น จวินโม่เซี่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอลึกลับหลั่งไหลรอบตัว ทำให้ขนบนร่างของเขาชูชัน อากาศเริ่มขาดแคลน และเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและรุนแรง  บรรยากาศหนาวเย็นยิ่ง


 


จวินโม่เซี่ยเงยขึ้นรวดเร็ว  เขาตัวสั่นเมื่อเห็นปราณจิตวิญญาณอันน่าอัศจรรย์ในอากาศ …


 


ปราณที่บ้าคลั่งและสั่นสะเทือนโลกาเพิ่งมขึ้นอย่างรวดเร็วใน นครเทียนเชียง จากนั้นมันปะทุขึ้น  ไม่นานมันปกคลุมไปทั่วระยะห้าลี้ …


 


ปราณนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโกรธเคือง …


 


ใช่ เจ็บปวด !  มองเห็นได้อย่างเจือจาง  แต่ทุกผู้ที่สัมผัสมันได้ จักรู้ได้ว่าผู้ที่ปลดปล่อยปราณนี้ออกมาโศกเศร้ายิ่งนัก  เป็นความรู้สึกที่แท้จริงอย่างมาก


 


จวินโม่เซี่ย มั่นใจว่าผู้ที่ปลดปล่อยปราณนี้ออกมา เป็นยอดฝีมือชั้นสูง และเกินกว่าทุกผู้คน  แต่กระนั้น มือสังหารจวินยังคงถือว่าคนผู้นี้เป็นรองเพียงเขา  อย่างไรก็ตาม คล้ายว่าคนผู้นี้จักแข็งแกร่งกว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และ ฉีฉางเซี่ยว


 


ผู้ที่ทรงพลังยิ่ง กำลังมีโทสะมหาศาลและโศกเศร้าอย่างที่สุด …


 


จวินโม่เซี่ย  เริ่มไตร่ตรองกังวลใจ  เขามิอาจพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้  ทันใดนนั้น เสียงเยือกเย็นและเลื่อนลั่นดังขึ้นสู่ฟากฟ้า ทำลายความสงัดยามค่ำคืน มันม้วนผ่าน นคร ดั่งคลื่นซึนามิ


” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !  เหวินฉางยู่ !  มาหาข้า เจ้าคนเลวทั้งสอง ! “


 


ทันใดนนั้น เสียงร้องอันอ้างว้างและขุ่นเคืองดังออกมาจากท้องฟ้า  และทำให้ทุกผู้ตื่นตกใจ


 


คนสามัญมากมายอาศัยอยู่ในนครหลวงเบื้องล่าง แต่กระนั้น เสียงที่ดั่งก้องดูคล้ายจะไร้ความน่ากลัว  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีความวิตกอันใดในค่ำคืนนี้  ดังนั้นผู้นั้นตะโกนออกมาด้วยการบรรจุลมปราณที่ไหลวเวียนอยู่ทั่วทั้งร่างลงไป  การร้องเรียกอย่างสง่างามนั้น เพียงพอที่ทำให้ ทุกชีวิตใต้นภานี้ตื่นตกใจ


 


เสียงเห่าหอนดังก้องต่อไป ราวเสียงคำรามของเขามังกร  ทำให้พื้นที่รอบๆสั่นสะเทือนขณะที่สะท้อนภายใน นครเทียนเชียง  มันยังคงมีอยู่แผ่วเบา..แม้นจะไม่นานนัก ดูเหมือนว่าเสียงจะไม่เร่งรีบแต่ผืนดินก็แตกเป็นเสี่ยง  มีผู้คนมากมายมิอาจนับคำรามออกมาพร้อมเพรียงราวกับแม่น้ำไหลย้อนกลับ และ


 


ทุกผู้ตื่นจากหลับไหล  แม้แต่ผู้ที่หลับดั่งตายก็มิอาจละเว้น พวกเขาไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงอื่น เนื่องจากเสียงนี้ยังคงดังก้องในหู


 


ชายร่างผอม เสื้อคลุมดำ ยืนอยู่บนหลังคาของ หอมณีวิจิตร เสียงคำรามของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโกรธเคือง


 


… และ รุนแรง อันตราย และมีลมปราณที่เกรี้ยวกราดรุนแรง…


 


” เจ้าอาจหาญสังหารศิษย์ของข้า เจ้ากลับไม่กล้าจะมาพบหน้าข้า ?  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เหวินฉางยู่ เจ้าตายแล้วกระนั้นหรือ ?  เจ้าไม่กล้า ทำตัวดั่งคนขงลาด ! “


ชายชุดดำ ร่ำร้องออกมาทรงพลังยิ่งกว่าในครานี้


 


ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงจำนวนมากหูมืดบอดลงหลังจากได้ยิ่งเสียงคำรามนี้  หูของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือด  ราวกับมันฉากขาดเนื่องจากเสียงที่ดั่งก้องนี้


 


สองเสียงคำรามลั่นดังขึ้น หนึ่งเสียงมาจาก ราชวัง และ อีกหนึ่งมาจากจวนสกุลจวิน  เสียงคำรามทั้งสามดังก้องสะท้อนผ่านนภา ปะทะเข้าด้วยกัน  ทันใดนนั้น ความกดดันของเสียงคำรามก่อนหน้านี้เริ่มเสื่อถอย


 


” ตู้ม ! “


 


ร่างนกขนาดมหึมาปรากฏบนลานเล็กๆของจวินวูอี้ และ เหาะขึ้นรวดเร็ว  ก่อกำเนิดเสียงคำรามต่อเนื่องขณะพุ่งขึ้นไป  เขาพุ่งขึ้นไปเหนือท้องฟ้าสามสิบลี้ จากนั้นวนอยู่บนนภาราวกับ อินทรีย์ที่กำลังพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเก้า  จากนั้น จึงมุ่งหน้าไปยัง หอมณีวิจิตร


 


” ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย !  ในที่สุดเจ้าก็มาถึง เจ้าต่ำช้า !  ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ ! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะลั่นขณะเขาพุ่งไปราวดาวตก


” ดูเหมืนอว่า เจ้าปิศาจเลือดเย็นผู้นี้มาถึงแล้ว แต่เหตุใด ปรมาจารย์ระดับห้าใน แปดยอดปรมาจารย์จึงมาที่นี่ ? “


 


อีกเสียงคำรามหนึ่งดังขึ้นให้ได้ยินต่อเนื่อง  มันสะท้อมาจากราชสำนัก


” พี่เล่ย และ น้องเหยี่ยว เจ้ามาถึงแล้ว !  น้องเล็ก เหวินฉางยู่ ยินดีต้อนรับท่านทั้งสอง ! “


 


เหวินฉางยู่ หรือ ขุนนางเหวินจากราชสำนัก  เสียงของเขาล้ำเลิศมิสามัญ  นุ่มนวล ไม่เร่งรีบ  เห็นได้ชัดว่ามันถูกปล่อยออกมาอย่างไร้ความพยายาม แต่กระนั้น น้ำเสียงที่นุ่มนวลของเขาก็สามารถต่อสู้กับน้ำเสียงที่รุนแรงทั้งสองได้  มันดังให้ได้ยินอย่างชัดเจน และดูเหมือนจะไม่เบาบางลง


 


ชัดเจนว่า ขุนนางเหวินมิได้แข็งแกร่งเช่นปรมาจารย์ทั้งสอง แต่ใกล้เคียงกับพวกเขาในระดับเชวียนของเขา


 


ชายทั้งสามยืนบนหลังคา หอมณีวิจิตร ดวงดารามากมายเปล่งประกายในสวรรค์เบื้องบน  สายลมกรีดร้องพาดผ่านถนนระหว่างบ้านแต่ละหลัง  ชุดคลุมของทั้งสามโบกสะบัดรุนแรงท่ามกลางสายลม ราวกับเทวาแห่งสวรรค์ชั้นเก้าเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์


 


น่าประหลาดใจที่ได้เห็น ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย มาด้วยตัวเอง


 


อาวุโสผู้นี้มีศิษย์ทั้งหมด สิบคน  พวกเขาสี่คนตาย สามคนเกินกว่ารักษา … และที่เหลือได้รับบาดเจ็บ และยังไม่ฟื้นคืน  อาวุโสบ้าคลั่งด้วยโทสะหลังจากได้เห็น  มันเป็นการต่อรองที่ดีหากพวกเขาสังหารเป้าหมายของจักพรรดิพวกเขาได้  แต่มิได้  ดังนั้น เขาจึงรีบมาเพื่อจัดการ


 


มือสังหาร จวิน รู้ว่า เล้ยวูเบ้ย คือ ปรมาจารย์เลือดเย็นผู้ไร้เทียมทาน แต่กระนั้น จวินโม่เซี่ยก็มิได้รู้สึกถึงความกลัวในใจเมื่อได้ยินเสียงของเขา  กลับกัน เขาเร่งรีบกระตุ้นเคล็ดอิสระหยินหยาง และตามติดเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไป  แท้จริงแล้ว เขาติดตามไปอย่างใกล้ชิดไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว  จวินวูอี้ เดินไปยังห้องของจวินโม่เซี่ย เร่งรีบ  เสื้อคลุมสีฟ้าของเขาโบกสะบัดท่ามกลางสายลม  แต่ เขาพบเพียงอยี่กู้ฮั่น  ไร้ผู้อื่นภายในห้อง  จวินวูอี้ มิอาจกลั้นยิ้ม แน่นอน เคล็ดวิชาของหลานชายเขา ล้ำเลิศยิ่งกว่าสวรรค์   ความกล้าหาญของเขาน่าประทับใจ แต่


 


ร่างของ เล้ยวูเบ้ย สู่งส่ง  ฟ้ากฟ้ายังไม่สว่าง แต่มันยังส่องประกาย ทั่วทั้งโลกมืดมิด แต่ ดวงตาของ เล้ยวูเบ้ย ลุกโชนท่ามกลางความมืดมิดด้วยความแสงที่เยือดเย็น และเลือดเย็น แต่หากมองเขาอย่างถี่ถ้วน … จะเห็นว่าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า


 


เขามีชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ผู้เลือดเย็นที่สุด  แต่ ศิษย์ สามในสิบต้องพิการตลอดไป ขณะที่อีกสี่ถูกสังหาร  เป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงของ ยอดฝีมือเลือดเย็นผู้ทรงพลัง  และเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอภัยได้ !


 


บางทีไม่มีผู้ใดสามารถอภัยได้ …


 


เล้ยวูเบ้ย ฝึกฝนยอดฝีมือ สวรรค์เชวียน ทั้งสิบพร้อมกัน ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น เป็นสิ่งที่ ไม่มียอดปรมาจารย์คนใดสามารถ


 


แต่ เขาต้องสูญเสีย ศิษย์ สองในสามจากสิบคนภายในหนึ่งเดือน แม้นว่าขั้นบำเพ็ญของพวกเขามิได้อยู่ในขั้นสวรรค์เชวียน … เขาก็มิอาจสงบลงได้


 


คุณชายน้อยจวิน ติดตามเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไปอย่างใกล้ชิด  แต่ เขาไร้อารมณ์จะเข้าใจความโศกและโกรธของ เล้ยวูเบ้ย แต่ เขาพบว่าตัวเองได้ประสบกับเหตุการณ์อันอัศจรรย์ยิ่ง  หรือ อาจจะเรียกว่า ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม


 


ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือสิ่งหนึ่งที่เขาพบ เมื่อเผชิญกับยอดฝีมือชั้นสูงในโลกนี้ …. ฉีฉางเซี่ยว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เล้ยวูเบ้ย ราชครูแห่งอาณาจักรยูถัง สามอาวุโสเทพเชวียนแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน ขุนนางเหวิน และ แม้แต่สองราชัญปิศาจ แห่งป่าเถียนฟา …


 


แม้นจะไม่ชัดเจนสำหรับ ขุนนางเหวิน … แต่เมื่อมองไปยังผู้คนจากความแข็งแกร่งระดับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ขึ้นไป … พบได้ว่า ยอดฝีมือสูงสุดเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน


 


พวกเขาโดดเดี่ยว !

 

 

 


ตอนที่ 273

 

แน่นอน โดดเดี่ยว !


 


ราวกับไม่สำคัญว่าพวกเขาจะยืนที่ใด หรือ มีผู้คนมากมายเพียงใดเคียงข้าง พวกเขาจักโดดเดี่ยวเสมอ  พวกเขามิอาจลงรอยกับผู้คนโดยรอบ  คล้ายดั่งพวกเขาโดดเดี่ยวภายในโลกและสวรรค์อันกว้างใหญ่นี้


 


ความอ้างว้างเช่นนี้ คือความห้าวหาญแท้จริง


 


กระนั้น ก็ยังเป็นความรู้สึกที่อ้างว้าง


 


นี่คือราคาที่ต้องแลกมาเพื่อกลายเป็น ปรมาจารย์ไร้เทียมทาน ?  หรือที่เรียกกันว่า … การโดดเดี่ยวบนจุดสูงสุด ?  เมื่อผู้ใดบรรลุไปถึงขั้นเดียวกับพวกเขา … พวกเขาจักต้องโดดเดี่ยวเช่นนี้ ?


 


แต่ ข้ามั่นใจ เมื่อเอ่ยถึงความโดดเดี่ยว … ข้าก้าวเกินไปกว่าพวกเขา


จวินโม่เซี่ยพ่นลมทางจมูกเยือกเย็น


ข้ามิอาจเทียบความแข็งแกร่งกับเจ้าได้ แต่ความโดดเดี่ยวนั้นข้าเกินกว่ายิ่งนัก !


 


จวินโม่เซี่ย ครุ่นคิดลึกล้ำชั่วครู่  จากนั้น เขาเห็นเงาหนึ่งคู่ฉับพลัน สองคนปีนขึ้นหลังคา  หนวดสีขาวของพวกเขา ปลิวไสวในสายลม พร้อมใบหน้าสง่างาม  ผู้มาใหม่มิใช่ใครอื่นนอกจาก ผู้อาวุโสสามและเก้าแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน


 


” อาวุโสทั้งสองให้เกียรติพบเราด้วยตัวเอง  เรายินดียิ่งที่พี่เหวินมายังห้างร้านเรา  นครพายุหิมะสีเงินของเราเป็นเกียรติแท้จริง  เหตุใดพวกเราไม่ลงไปดื่มชากันสักหน่อย ? “


ผู้อาวุโสสามประมือและยิ้ม


 


เขาเห็นได้ว่า ทั้งสาม ไม่เป็นมิตรกันอย่างยิ่ง  เขารู้ว่าคำพูดของเขาไม่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้  แต่ เขายังคงร้องขอให้พวกเขา ติดตามเข้าไปใน หอมณีวิจิตร  ไม่มีผู้ใดประสงค์จะให้ นครพายุหิมะสีเงินเสียความพอใจ  ดังนั้น เขาจึงแสดงความกล้าหาญและเชิญพวกเขา


 


เล้ยวูเบ้ย โศกเศร้ายิ่ง  เขายิ้มเป็นเวลานาน แต่มิได้สนใจคำเชิญของ ผู้อาวุโสสาม  จากนั้นตะโกน


” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !  ศิษย์หกของข้า ต้องกระดูกหักรุนแรง และ เอ็นฉีกขาด  จำต้องพิการไปตลอดชีวิต  เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้น ? “


 


ใบหน้า ผู้อาวุโสสามเต็มไปด้วยความลำบากใจ  ในด้านความแข็งแกร่ง เขามิอาจเทียบ แต่เขาคือตัวแทนแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน ท่าทีของ เล่ยวูเบ้ย ทำให้ผู้อาวุโสสามโกรธเคือง  แต่กระนั้น เขาเก็บโทสะเอาไว้ เนื่องจากเห็นถึงความโศกเศร้าและใบหน้าที่บ้าคลั่งของเล่ยวูเบ้ยได้ชัดเจน


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หัวเราะด้วยท่าทีเข้าใจ


” เหตุใดท่านจึงโกรธเคืองยิ่งนัก พี่เล่ย ?  เขาเป็นเพียงศิษย์  อาวุโสผู้นี้เพียงเมตตา และสั่งสอนบทเรียนของเขาแทนท่าน เจ้ามีศิษย์สิบคน เพียงหนึ่งต้องพิการคงมิใช่เรื่องใหญ่มากมาย  และเขาเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาศิษย์ของเจ้าที่ยังไปไม่ถึงขั้น สวรรค์เชวียน  ข้ากำจัดขยะซึ่งจะก่อความหายนะให้ชื่อเสียงของท่าน  ข้ากำจัดขยะเพื่อท่าน ข้าทำให้ท่านมิต้องอับอาย !  ฮ่าฮ่าฮ่า … “


 


ปราณที่ชั่วร้ายปะทุขึ้นในร่าง เล้ยวูเบ้ย ราวกับมีลูกคลื่นก่อตัวขึ้นภายในร่างของเขาอย่างช้าๆ  เขาเพ่งมอง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ดวงตาแสดงจิตสังหารไร้สิ้นสุด  เขาพยักหน้าเชื่องช้า และเอ่ยเสียงล้ำลึก


” เอาละ !  ดีมาก !  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เจ้าไม่มีค่าพอเรียกตัวเองว่า ครู ของชนรุ่นอาวุโส  เจ้าโจมตีผู้อ่อนด้วยกว่า !  เจ้าจักต้องได้รับความอับอาย ! “


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว พ่นลมทางจมูก และมอง เล้ยวูเบ้ย ดูหมิ่น  เขาพ่นลม


” อะไรนะ ?  ท่านจะแก้แค้นให้ศิษย์ ?  เช่นนั้นเข้ามา เล้ยวูเบ้ย ข้ารอคอยโอกาสนี้มาสามสิบปี !  ข้ารู้สึกมาอย่างยาวนานว่าการจัดอันดับนั้นไม่ถูกต้อง ! “


 


เล้ยวูเบ้ย อดกลั่นความรู้สึกและยิ้ม


” ข้ามิกังเวลาเรื่องนั้น  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แท้จริงแล้วสิ่งที่ข้าประสงค์จะรู้คือ … ศิษย์ของข้ากระทำผิดเช่นไรกับเจ้า ?  สิ่งใดทำให้เจ้ากระทำชั่วร้ายเช่นนี้ ทั้งที่รู้ถึงตัวตนของเขา ?! “​


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตอบเยือกเย็น


” เขากล้าขัดใจข้า ?  เขาไม่เป็นที่น่าพอใจ ในสายตาข้า !  เป็นเหตุผลที่พอเพียงหรือไม่ เล่ยวูเบ้ย ? “


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ฉีฉางเซี่ยว และคนอื่นๆ ต่อสู้กันเพื่อ แกนเชวียน  ศิษย์หกของ เล้ยวูเบ้ย ลอบเข้ามาขโมยแกนเชวียนจาก เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และเขาเกือบสำเร็จ  สิ่งนี้ทำให้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อึดอัดใจย่างยิ่ง แต่กระนั้น ในตอนนี้เขาจักยอมรับมันได้เช่นไร ?


 


ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีทางที่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จักอธิบายสิ่งต่างกับ ปรมาจารย์เลือดเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อน้ำเสียงของ เล่ยวูเบ้ย หยิ่งยโสขณะถามเขา  ปรมาจารย์ผู้หยิ่งผยองมิเคยก้มหัว


 


ผู้ใดจักผิดหรือถูก … ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งเดียวที่แท้จรองในโลกนี้


 


” เป็นเหตุผลที่ดี !  ดียิ่งนัก !  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ข้าจักจดจำเหตุผลนี้ไว้ “


เล้ยวูเบ้ย หัวเราะจริงใจ จากนั้นเขาเปลี่ยนทิศทางเพ่งมอง และเอ่ยวาจากับ เหวินฉางยู่ด้วยน้ำเสียงสง่าผ่าเผย


” พี่เหวิน .. ท่านอยู่นี่ ? ท่านอยู่ในนครเทียนเชียง ? “


 


เหวินฉางยู่ยิ้มอ่อนโยน


” อาจารย์เล่ยสายตากว้างไกล !  เหวินมาเพื่อปกป้องสัญญาอันศักดิสิทธิ์กับอาณาจักร ! “


 


เล้ยวูเบ้ยหลับตา  ดวงตาเขาเปล่งประกาย และเริ่มหม่นหมอง  จากนั้น ลืมตาขึ้นรวดเร็ว และเริ่มเปล่งประกายความเยือกเย็น อันตราย และ แสดงสีเขียวอันอนาถใจ  ราวกับเขาเป็นปิศาจ และทำให้ลมรอบตัวไม่หยุดนิ่ง ดูเหมือนว่าลมนี้จะกรีดร้องอย่างเจ็บปวดในหัวใจ  เขาเอ่ยด้วยท่าทีเยือกเย็นยิ่ง


” พี่เหวินฉางยู่ การปกป้องสนธิสัญญามิใช่เหตุผลในการสังหารศิษย์สี่คนของข้า !  การคุ้มคันสนธิสัญญามิได้หมายความว่าท่านจักกระทำไร้ยางอายได้ ! “


 


เหวินฉางยู่มองขึ้นบนฟากฟ้า และถอนใจไร้เรี่ยวแรง  ประกายโทสะเปล่งขึ้นบนใบหน้า … เล้ยวูเบ้ย อยู่ในตำแหน่งที่ไม่อาจแยกแยะความชั่วดี  ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทีของเขาแข็งแกร้าว และไร้เหตุผล  แต่ ขุนนางเหวินตระหนักถึงหน้าที่ของเขา เขาถอนใจลึกและยับยั้งโทสะ


 


ครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก้มหัวลง  เขามอง เล้ยวูเบ้ยไร้อารมณ์


” อาจารย์เล่ย … ข้ามิได้สังหารศิษย์ของท่าน ! “


 


เหวินฉางยู่ เสียงต่ำ


” ข้ากล่าวกับ อาจารย์เล่ย เนื่องจากท่านไต่สวนและถากถาง แต่ข้า ประสงค์เพียงอธิบายแก่ท่าน !  ไม่ว่าท่านจักเชื่อหรือไม่ .. ยอมรับหรือไม่ … ! “


 


เล้ยวูเบ้ย ยังคงเงียบ จากนั้นเขาตอบกลับเยือกเย็น


” เมื่อพี่เหวินเอ่ยเช่นนั้น … ข้าจักไม่เชื่อท่านได้เช่นไร ! “


น้ำเสียงของเขายังเยือกเย็น ความชั่วร้ายดูจะลดลง  น้ำเสียงของเขาเริ่ม นุ่มนวล


” หากพี่เหวินบอกข้า … ข้าจักไปทุกเมื่อ !


 


แต่ ผู้ใดสังหารศิษย์ข้า ?  ท่านสามารบอกได้หรือไม่ พี่เหวิน ?  หากพี่เหวิน ประสงค์จะตอบคำถามและบอกความจริง … เล้ยวูเบ้ยผู้นี้จำต้องขออภัยกับกริยา ! “


เล้ยวูเบ้ยดึงมืออาจากปลอกแขน และปล่อยลงด้านข้าวเชิงเป็นมิตร


 


เล่ยวูเบ้ยคือยอดปรมาจารย์  ศิษย์ของเขาถูกสังหาร  แต่เขายังคงเอ่ยวาจาท่าที่วง่างาม และรับฟังเหตุผล  ถือได้ว่าน่ายกย่อง แม้นว่าฝ่ายตรงข้ามจักเป็นเทพเชวียนเช่นเดียวกับเจ้า


 


” ที่มาและความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นลึกลับยิ่ง  เหวิน ก็สนใจเขาเช่นกัน  โชคร้ายที่เรื่องนี้ยิ่งเหยิงและสับสน  ยิ่งไปกว่านั้น เหวินมั่นใจว่าเขาโยนความผิดให้ข้า “


 


ไม่นานรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ เหวินฉางยู่ คล้ายเขามิได้ละอายใจ  รอยิ้มของเขา เป็นดั่งหมอกควันที่ปะทะกับลมซึ่งไร้ชีวิตชีวา  ราวกับเรื่องนี้มิได้สลักสำคัญ


 


” และตอนนี้ ข้าได้พบว่า อาจารย์เล่ย ค้นหาเขาด้วยตัวเอง  แต่เหวินไร้หนทาง และเต็มใจยอมรับความผิดนี้ “


 


” ข้าต้องขอบคุณท่านมากยิ่งในเรื่องนี้ พี่เหวิน “


ดวงตา เล้ยวูเบ้ยเปล่ประกายเยือกเย็นขณะเขาป้องมือ


” ตามประสงค์พี่เหวิน ต้องขออภัยสำหรับเรื่องวันนี้ “


 


เหวินฉางยู่หัวเราะ และป้องมือกลับ


” เป็นเกียรติยิ่ง  ข้าหวังได้พบท่านอีก  เหวิน มีงานการเร่งด่วน ขออภัย ! “


 


เขาป้องมืออีกครั้ง  จากนั้น จากไปราวกับใบไม้แห้งกลางสายลมกระหน่ำ  เขาเหาะขึ้นท้องฟา ร่างผอมบางราวกระพือดั่งกระดาษ  เขาวนไปในอากาศชั่วครู่ จากนั้น หายไปไร้ร่องรอย


 


คุณชายน้อยจวิน แอบเฝ้ามอง  เขามิอาจกลั่นคำสถบในใจ


คำอธิบายอาวุโสผู้นี้เรียบง่ายยิ่ง  เขาเอ่ยเพียงว่ามันคือความเข้าใจผิด … ง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ ?  และ ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย เหตุใดจึงเชื่อย่างรวดเร็ว ?!  …. เพียงแค่ผู้หนึ่งบอกว่าเขามิได้ทำ น่าประหลาดใจที่ ปรมาจารย์ระดับห้าใน แปดยอดปรมาจารย์หลงเชื่อ ?!


 


หรือขุนนางเหวินไม่เคยโป้ปด ?  หรือ เขาดีเกินกว่าจะหลอกลวง !


 


ข้าไร้วาจา .. อย่างแท้จริง !


 


จวินโม่เซี่ยเข้าใจถึงหนึ่งสิ่งขณะเขาสาปแช่ง ผู้ที่อยู่ในขั้นการบำเพ็ญระดับนี้ไม่จำเป็นต้องหลอกลวง  ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจักเกรงกลัวส่ิงใดเมื่ออยู่ในระดับนี้  แต่ การอธิบายเช่นนี้ยังดูแปลกประหลาด


 


การชี้แจงนั้นมิควรหยุดลง แม้นจะเป็นการเข้าใจผิด …  คำชี้แจงนั้นเบาบาง !


 


ท่าทีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็มิได้แตกต่าง … !


 


เล้ยวูเบ้ยเชื่อคำชี้แจงของ เหวินฉางยู่ ยิ่งกว่านั้น ท่าทีของ ปรมาจารย์เลือดเย็นต่อเขาก็แตกต่างสิ้นเชิง ราวกับ เล้ยวูเบ้ยไร้หนทางแต่ต้องเห็นด้วยกับ เหวินฉางยู่แม้นว่าเขามิได้ชี้แจงอย่างเหมาะสม  และดูราวกับมีบางสิ่งเกี่ยวกับตัวตนของ เหวินฉางยู่


 


ระดับปราณเชวียนของ ขุนนางเหวินนั้นอ่อนด้อยกว่า เล้ยวูเบ้ย แต่ ที่ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นมิได้อธิบาย เพราะเขาไม่ประสงค์จะดูหมิ่น ปรมาจารย์เลือดเย็น


 


หรือคนผู้นั้นจะมาจากสถานที่นั้น ?


ความสนใจของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาใคร่ครวญในใจ


แต่สถานที่นั้นอยู่ที่ใด ?  เหตุใด เล้ยวูเบ้ย หนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ ดูจะเกรงกลัวเขา ?  มีบางสิ่งต้องสงสัย ?


 


จากนั้น เล้ยวูเบ้ยหันไปหา เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาลดมือลงและ พ่นลมทางจมูกเยือกเย็น


” ตอนนี้เหลือเพียงเราสอง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว “


จากนั้นเขาสบัดปลอกแขนด้วยโทสะไปยัง ผู้อาวุโสเก้าและสาม ตะโกน


” เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า !  นครพายุหิมะสีเงิน ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเกี่ยวพันในเรื่องนี้ ! “


 


ราวกับสายลมรุนแรงกรีดร้องไปยังพวกเขา  ผู้อาวุโสสามและเก้าเจ็บปวด  พวกเขาโกรธเคืองอย่างรุนแรง แต่อีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเกินไป  ดังนั้น พวกเขาไร้ทางเลือกเพียงแต่ป้องมือ กระโดดเข้าสู่สายลมและหายตัวไป  แต่กระนั้น ความคิดของพวกเขาแตกต่างกัน


ข้าจะเฝ้าดูหากเจ้ากล้าอวดดี้ เมื่อคนจาก นครสีเงินพวกเรามาถึง !


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หัวเราะ  ร่างสูงของเขาลอยขึ้นสู่อากาศราวกับอินทรีย์ขณะพ่นลมทางจมูก


” เจ้ามีสัมพันธ์ที่ดีกับศิษย์ !  เช่นนั้น เจ้าประสงค์จะล้างแค้นให้พวกเขา ?  ตามข้ามา ! “


 


เล้ยวูเบ้ย กรีดร้อง  ราวกับวิญญาณนับพันหลบหนีออกมาจากประตูนรก ร่างของเขาลอยขึ้นในอากาศเชื่องช้า  ติดตาม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวใกล้ชิด จากนั้นหายไปภายในพริบตา


 


ทางช้างเผือกเปล่งประกายขึ้นยามราตรีราวกับแม่น้ำแห่งดาราที่เยือกเย็น


 


จวินโม่เซี่ย กระตุ้นเคล็ดอิสระหยินหยางติดตามพวกเขาไป


 


เขายอมรับในความแข็งแกร่งของ อาจารย์ผู้นี้  จวินโม่เซี่ยกระตุ้นเคล็ดอิสระหยินหยางระดับสูงสุด  กระนั้นเขายังต้องใช้ความยายามอย่างหนักเพื่อติดตามพวกเขา


 


จวินโม่เซี่ยเป็นเลิศในฝีมือการพรางตัว  เขามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดในนครเทียนเชียงสำเร็จได้เช่นเขา  นั่นรวมถึง ขุนนางเหวินผู้ลึกลับ


 


การเคลื่อนไหวดั่งนกของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว รวดเร็วที่สุดใน ดินแดนเชวียนเชวียน ยิ่งไปกว่านั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลาง แปดยอดปรมาจารย์ ดังนั้น เขาจึงใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดเพื่อแสดงถึงอำนาจต่อ เล้ยวูเบ้ย ชัดเจนว่า เล้ยวูเบ้ย ไม่กล้าละเลยเรื่องนี้  ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงเริ่มแข่งขันความเร็วกันทันที


 


ชายทั้งสองได้ปะทะวาจากันอย่างหนักหลังจากพบกัน  แต่ พวกเขาก็มาถึงสุดขอบแห่งการแข่งขันที่ดุเดือด


 


การโต้เถียงกันเป็นดั่งการประลองรอบแรก  แต่ ปรากฏว่า การบำเพ็ญของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขาดแคลนในเรื่องนี้  แต่เหมือนว่า ความเร็วจะเป็นการแข่งขันในรอบที่สองของพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 274

 

ดังนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และ เล้ยวูเบ้ย รีบเร่งตรงไปยังสมรภูมิด้วยความเร็วชั้นเลิศ  ดึงพลังทั้งหมดออกมาเนื่องด้วยกลัวจะเสียหน้า พวกเขาจึงความพยายาม ปราณเชวียนของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เริ่มก่อกำเนิดคลื่นเสียงขณะเขาบินไป  ความเร็วของเขาอยู่ในระดับชั้นเลิศเสมอ  มิอาจยินยอมให้ เล้ยวูเบ้ย เอาชนะได้


 


เล้ยวูเบ้ย มาเพื่อล้างแค้นแก่ศิษย์  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ยอมให้ฝีมือได้รับการดูหมิ่น  ดังนั้น จึงไล่ตาม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ด้วยกำลังสูงสุด


 


จากมุมนี้  เคล็ดอิสระหยินหยางของ จวินโม่เซี่ย ควรค่าให้ขนานนามว่า น่าเกรงขามและอัศจรรย์  แต่ ความสามารถของมันยังอ่อนด้อยนัก  เขายังมิได้ค้นพบความลึกลับของ เคล็ดอิสระหยินหยาง เขาจักแข่งขันกับ ปรมาจารย์ผู้ทรงพลังทั้งสองได้เช่นไร ?


 


แต่ เขาสามารถติดตามยอดปรมาจารย์เหล่านั้นได้  เป็นความจริงที่อัศจรรย์และสะเทือนโลกา เนื่องด้วยอายุและขั้นการบำเพ็ญของเขา


 


เงาชายทั้งสองส่องประกายติดกันราว ดาวตก  พวกเขาข้ามผ่านบ้านแต่ละหลังไป ไม่นานก็ออกไปนอกนคร  จากนั้นหายไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่


 


นครนี้ไม่ถือวาเล็กเนื่องด้วยมีผู้คนอาศัยอยู่นับล้าน แต่ อาจารย์ทั้งสองข้ามผ่านใจกลางนครในเพียงช่วงลมหายใจ  จวินโม่เซี่ยคาดว่า แม้แต่เครื่องบินขับไล่ เอฟสี่ จากชีวิตก่อนของเขาก็มิอาจเทียบชั้นความเร็วนี้ได้ …


 


คุณชายน้อยจวินรู้สึกท้อใจเล็กน้อยขณะเห็นทั้งสองหายไปจากสายตา  ผู้ที่เขากำลังติดตามหลบหนีเขาไปได้  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่สิ่งเช่นนี้เกิดแก่เขา  เขามิอาจกลั้นรอยยิ้มขณะเหลือบตาขึ้น


 


เป็นเรื่องของโชคชะตาแท้จริง !  ข้าเข้ามายังสถานที่นี้เมื่อเย็นวันนี้ และเพิ่งจะดึงตัวเองออกจากปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น  และตอนนี้ ข้าได้กลับมาอีกหน … ในช่วงกลางดึก !


 


สถานที่แห่งนี้ มีสัมพันธ์อันใดกับข้า ?


 


จวินโม่เซี่ย มองไปรอบๆเพื่อยืนยันความเห็นนี้


 


สถานที่แห่งนี้ เป็นชนทบไร้ผู้คน  ล้อมรอบไปด้วยป่าทึบ เหมาะสมจะสังหารผู้คน


 


เขายืนอยู่บนยอดไม้ สายลมลูบไล้ร่างเขาราวกับเสียงกระซิบเชื่องช้า  จวินโม่เซี่ย รู้สึกพึงพอใจชั่วครู่  แท้จริงแล้ว เขารู้สึกห้าวหาญ  ราวกับมิอาจกลั้นตัวเอาจากการร้องเพลง


” สวมเสื้อผ้า และก้าวข้ามผ่านหิมะปกคลุมป่าเขา … โอ้ว โทสะซัดสาดดั่งนาวา .. โอ้ว อี้ ..​! “


 


เสียงร้องเหล่านี้ไม่หลุดผ่านคอหอยเขาออกมา  ทันใดนนั้น เเสียงดังลั่นสองครั้งดังขึ้นจากกลางป่าลึก  พวกมันท่วมท้นส่วนนั้นของป่าราวคลื่นซึนามิ คลื่นมหึมาราวขุนเขา


 


ข้าคิดว่าผู้เฒ่าโง่เขลาทั้งสองจากไปไกลแล้ว  แต่ราวกับพวกเขาเพิ่งเริ่มต่อสู้กันไม่ใกลจากนี่นัก  เหมือนว่าสถานที่นี้มิได้เรียกร้องเพียงข้า หากแต่พวกเขาเช่นกัน  พื้นที่ ชั้นเลิศ !


 


ต้นไม้มากมายโน้มเอียงไปฝั่งตรงกันข้าม  พื้นที่เหล่านั้นส่งเสียงประปราย  ราวกับต้นไม้สามารถแตกหักได้ทุกขณะ


 


เขากำลังยืนอยู่บนยอดไม้ และสัมผัสถึงความน่ารื่นรมย์ในบรรยกาศนี้  ความจริง เขากำลังจะร่ำร้องเป็นเสียงเพลง … แต่ คุณชายน้อยจวิน โซเซลงมาอย่างรวดเร็ว  จากนั้นเขา สถบในใจ


เจ้าผู้เฒ่าเลวเหล่านี้ไร้ซึ่งความสุนทรีย์ พวกเขามิรู้หรือว่าการต่อสู้ต้องการความสง่างาม ?


 


จากนั้นเขามองตรงไปยังส่วนลึกของป่าอย่างเงียบๆ  โอกาสในการได้เฝ้าดูการต่อสู้ระกว่าปรมาจารย์เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง …


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และ เล้ยวูเบ้ย ยืนตรงข้ามกันใจกลางป่า  พวกเขาห่างกันราวสามสิบหลา


 


ธรณีตรงกลางระหว่างพวกเขาเรียบเป็นพิเศษ  ก่อนหน้านี้ไม่นาน บริเวณนั้นมิต้นไม้ใหญ่  แต่ มันแตกสลายและหายไปอย่างเงียบๆ เนื่องจากโดนระเบิดจากการปะทะกันของสองปราณเชวียน


 


ในตอนนี้ พื้นที่นั้นเรียบยิ่งกว่าพื้นสนาม บาสเก็ตบอลในชีวิตก่อนของเขา


 


ฝีมือเช่นนี้น่าอัศจรรย์ !  เหตุใด เจ้าปิศาจสองตัวเหล่านั้นไม่ไปซ่อมถนน ?  พวกเขาควรจะไปยังขุนเขาห่างไกล และสร้างถนน  มันเรียบเนียนยิ่งกว่ารถบดถนน  และสะดวกยิ่งกว่านัก  ถนนเส้นนนี้เรียบจนสามารถทำการแข่งรถได้ … เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดมีฝีมือเพียงพอจะทำเช่นนี้ในพื้นที่นี้ …


 


สนามลมปราณที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นระหว่างคู่ต่อสู้ทั้งสอง  หลังหัวของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ปกคลุมไปด้วยเส้นผมที่ยุ่งเหยิง  ดูเหมือนผมของเขายกขึ้นราวกับโบกสบัดในสายลม  เล้ยวูเบ้ยยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา  แต่ มิได้เคลื่อนไวแม้นเพียงระยะนิ้ว  แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็มิได้เขยื่อนแม้แต่น้อย


 


ชายทั้งสองตัดสินกับว่าการบำเพ็ญของผู้ใดถือว่าเป็นเลิศ


 


” เหยี่ยว การบำเพ็ญของเจ้าก้าวหน้าอย่างมากในหลายปีนี้ ! “


เล้ยวูเบ้ยพ่นลมทางจมูกเยือกเย็น


” ข้ามิอาจแข่งขันกับเจ้าในความเร็ว แต่ระดับเชวียนของเจ้าอ่อนด้วนเกินกว่าข้า !  เจ้าจักต้องพบความจริงต่อหน้าข้า !  “


 


” เช่นนั้นหรือ ?  ไม่จำเป็น ! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกระโดดขึ้นและพุ่งตัวสู่อากาศทันใด  ราวกับความกดอากาศสูงแห่งวสันตฤดูที่เพิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทั้งร่างเขาเป็นดั่งเช่นหอกซึ่งพุ่งทยานขึ้นสู้ท้องฟ้า


 


ปราณเชวียนของ ปรมาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ผู้สง่า ขาดแคลนเล็กน้อย  เป็นการยากสำหรับเขาหากจะรักษาระดับนี้ต่อไป  ยิ่งไปกว่านั้น เขาไร้พลังจักช่วยตัวเองหากร่วงลงมาใน สนามลมปราณ ของ เล้ยวูเบ้ย ดังนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จึงตัดสินใจรวดเร็ว และกระโจนขึ้น  เขาพุ่งผ่านกำแพงลมปราณของ เล้ยวูเบ้ย


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว มีตำแหน่งรั้งท้ายในท่ามกลาง แปดยอดปรมาจารย์ อีกทั้งปราณเชวียนของเขายังต่ำต้อยที่สุดในเหล่าปรมาจารย์  สิ่งนี้เป็นที่รู้กัน  แท้จริงแล้ว เขาอาจไม่ได้ขนานนามว่า ยอดปรมาจารย์ หากเขาเข้าไปพัวพันกับผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งอย่างโง่เขลา


 


แต่ละคนมีความแข็งแกร่ง  และ ข้อได้เปรียบของ อาจารย์เหยี่ยวมิใช่ปราณเชวียนที่ทรงพลัง


 


การกระโดดขึ้นสูงในครั้งนี้ ทำลายขีดจำกัดเดิมของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขากระโดดขึ้นสูงเกินกว่าเจ็ดสิบหลา  มองดูราวกับจุดอันเลือนลางท่ามกลาท้องฟ้ายามราตรี


 


เล้ยวูเบ้ย คำรามเยือกเย็น ขณะประกายเจิดจ้าปรากฏขึ้นในดวงตา  เขาเริ่มหมุนเท้า และทันใดนั้นทั้งร่างของเขาก็หมุนวน  จากนั้น พายุปรากฏขึ้นรอบตัวเขาในทันใด  มันก่อตัวขึ้นจาก ปราณเชวียนที่เปล่งประกายสีดำแปลกประหลาด  ต้นไม้และใบหญ้ารอบๆ เริ่มลอยขึ้นด้วยแรงพายุ  ขณะที่ขนาดของมันขยายใหญ่ขึ้น กำลังของมันยิ่งเพิ่มสูง


 


ความรุนแรง และเสียงโหยหวนแสบแก้วหูสะท้อนขึ้นสู่นภา  เสียงโหยหวนที่โศกเศร้าลอยลงมาดั่งสายฟ้า


 


” ปัง !  ปั้ง !  ปั้ง ! “


เสียงระเบิดก้องสะท้อนจากฟากฟ้าขณะ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไปถึงขีดสุดของความเร็ว  การเสียดสีระหว่างร่างและเสื้อผ้าของเขากับอากาศโดยรอบ  ก่อให้เกิดเสียงดังลั่น


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว กางมือขวาเป็นกรงเล็บ ขณะเขาขยับแขนซ้ายไปที่ไหล่  ชายผู้นั้นทะยานลงจากนภา แต่ผมยาวเปล่งประกายของเขาตั้งฉากกับพื้น …


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เป็นดั่งเทพสงครามผู้ชั่วร้าย ขณะเขายิงธนูอันน่าเกรงขามที่สร้างจากอากาศออกไป  เขากรีดร้องลั่นขณะปล่อยมันตรงไปยัง เล้ยวูเบ้ย


 


” ดี !  เข้ามา ! “


เล้ยวูเบ้ยตะโกนเยือกเย็น  พายุรอบตัวเขาพุ่งสูงส่งจากพื้นเพื่อปะทะกับร่างสีดำอันแข็งแกร่งจากฟากฟ้า  ไม่นานทั้งสองปะทะกัน  ก่อให้เกิดเสียงคำรามลั่น  พลังอันแข็งแกร่งทั้งสอง หายไปในช่วงพริบตา ไร้ร่องรอย  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ยืนต่อหน้า เล้ยวูเบ้ยอีกครั้ง  กรงเล็บของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอด ขณะที่คว้าคู่ต่อสู้


 


เล้ยวูเบ้ยโหยหวนชั่วร้าย  ฝ่ามือของเขาปกคลุมไปด้วยปราณสีดำ  เขารับการโจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยไร้ความกลัวในดวงตา  มือชายทั้งสองปะทะกันนับร้อยครั้งในชั่วพริบตา  ทันใดนนั้นก่อเกิดเสียง ปั้ง ดังลั่น !  ร่างของ เล้ยวูเบ้ยลอยไปไกล ขณะที่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ผงะถอยเนื่องจากแรงสะท้อน


 


การล่าถอยไปทำให้เกิดระยะห่างระหว่างชายทั้งสองราวสามสิบหลา


 


เกิดระเบิดรุนแรงขึ้นในบริเวณที่พลังของเขาปะทะกัน  ชายทั้งสองถูกโยนถอยไป  จวินโม่เซี่ยหลบซ่อนอยู่ไกลกว่าหกสิบหลา  แต่ คลื่นกระแทกจากการระเบิดส่งมาถึงเขา  ความจริง ต้นไม้ที่เขายืนอยู่นั้นหักลงเนื่องจากแรงระเบิด


 


เป็นการระเบิดที่ยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์


 


มือสังหารจวิน เฝ้าดูการต่อสู้ที่แตกหักระหว่างยอดปรมาจารย์ทรงพลังทั้งสองต้องความกระหายใคร่รู้  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นยอดนักสู้ในโลกนี้  และสามารถเปรียบพวกเขาได้กับผู้หนึ่งในชีิวิตก่อนของเขา  เขารู้สึกได้เรียนรู้มากมายจากการเฝ้ามองจากด้านข้าง  สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เขาทรงพลังยิ่งขึ้น


 


เขาเพิ่งค้นพบที่หลบซ่อนตัวใหม่ได้ไม่นานเมื่อต้นไม้ต้นนั้นแตกหัก  แต่มันแตกหักเป็นสิบๆชิ้น  จวินโม่เซี่ยกระเด็นสู่พื้นในทันที  เขากระแทกอย่างรุนแรง และกลิ้งไปชั่วขณะ  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นฉับพลัน และไม่มีเวลามากพอให้เขาตั้งตัว  ยิ่งไปกว่านั้น เขามิอาจกลั่นเสียงคร่ำครวญเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้


 


เสียงคร่ำครวญของเขาเบายิ่ง  แต่ เสียงนั้นเป็นดั่งเสียงอัสุนีบาตกับ ยอดปรมาจารย์ทั้งสอง  มีใครบางคนสอดแนมพวกเขา และพวกเขาตกตะลึงที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของคนผู้นั้น


 


ชายทั้งสองร้องตะโกนขึ้นพร้อมกัน


” ผู้ใด ?!  ออกมาจากที่หลบซ่อนซะ ! “


 


คุณชายน้อยจวิน มิอาจกล้า  เขาหดคอและหลบหนีเข้าไปในป่า  เขาเคลื่อนตัวเข้าไปในต้นไม้อีกต้นขณะศึกษาการแข่งขันของชายทั้งสอง เขาสามารถตัดสินใด้ว่าผู้ใดเป็นเลิศกว่ากัน …


 


การต่อสู้เพียงเริ่มต้น แต่สามารถเห็นได้ว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว มิอาจเทียบ เล้ยวูเบ้ย


ข้ากลัวสิ่งที่ข้าต้องเผชิญหากเขาพ่ายแพ้


 


สิ่งนี้เป็นดั่งการต่อสู้ระหว่างสองผู้มั่งคั่ง  ผู้หนึ่งต่อสู้ด้วยเงินหนึ่งล้าน ขณะที่อีกผู้ต่อสู้ด้วยเงินหนึ่งล้านห้าแสน  ชายทั้งสอง มั่งคั่งยิ่งเมื่อเทียบกับสามัญในโลกนี้  พวกเขาใช้มันมากมาย แต่ ยิ่งพวกเขาคลั่งใคล้มัน พวกเขายิ่งใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  แต่ ผู้ที่มีเงินหนึ่งล้านห้าแสนจักชนะ หากทั้งคู่ต่อสู้จนจบ  สุดท้ายแล้ว … เขาเหนือกว่าอีกผู้หนึ่ง


 


แต่ เหยี่ยว อยู่ฝ่ายเดียวกับข้า !  ข้าทำได้เพียงเฝ้ามองไร้หนทางขณะที่เขาประสบความอับอาย ?  อ่า ข้าคาดว่าข้าจะก่อปัญหาให้พวกเขาสักเล็กน้อย


จวินโม่เซี่ย คิดแผนการขึ้นได้ทันที  เขาพ่นลมทางจมูกเยือกเย็น  จากนั้นเคลื่อนไหวอีกครั้ง


 


สองร่างมุ่งไปยังสถานที่ซึ่งเขาใคร่ครวญในไม่กี่วินาทีที่แล้ว


 


แต่ เคล็ดอิสระหยินหยางนั้นอัศจรรย์  เขาสามารถหลบซ่อนจากสายตาของ สองปรมาจารย์ได้


 


ปรมาจารย์ทั้งสองสำรวจพื้นที่นั้นถี่ถ้วน  พวกมองหน้ากันด้วยความกลัว เนื่องจากมิอาจหาเขาพบ


 


ชายทั้งสองตกตะลึงยิ่ง  ผู้นั้นสามารถแทรกซึมเข้าใกล้พวกเขาเช่นนี้ได้อย่างไร ?  สิ่งนั้นมีเหตุผลในสายตาพวกเขา


 


ระดับปราณเชวียนของชายผู้นี้ไม่อ่อยด้อยกว่าพวกเขา  และอาจจะสูงส่งเกินกว่าพวกเขา


คนผู้นี้คือใคร ?  เขามุ่งหมายสิ่งใด ?


 


เวลานั้นเอง ผู้หนึ่งคำรามทางจมูกเยือกเย็น  ราวกับคนผู้นี้ดูถูกพวกเขา


ผู้ใดช่างอวดดียิ่ง ?


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้สติทันใด  จากนั้นเขาสถบ


” เล้ยวูเบ้ย เจ้าไร้ยางอาย  เจ้ามีผู้ช่วย !  ข้ารังเกียจเจ้า !  นี่คือวิธรปฏิบัติของเจ้า ?  แล้วเจ้ายังกล้าเรียกตัวเอง ว่า แปดยอดปรมาจารย์ ! “


 


” ไร้สาระ ! “


เล้ยวูเบ้ยมีโทสะยิ่ง


” ข้าสามารถจัดการกับเจ้าด้วยตัวเอง  เหตุใดจึงต้องการผู้ช่วย ?  ช่างน่าขันนัก !  คนผู้นี้คือผู้สนับสนุนเจ้า ?  เหยี่ยว หยุดร้องว่า ขโมยเสียที เมื่อเจ้ากำลังปล้นสดม ข้าจักสั่งสอนเจ้า ! “


 


ทั้งสองสาปแช่ใส่กัน  แต่ภายในตื่นตัว  ผู้หนึ่งอาจะเป็นเลิศกว่าผู้อื่น แต่พวกเขามีขีดจำกัดเสมอ  ดังนั้น พวกเขาสามารถเปลี่ยนใจได้อย่างง่ายดาย ผู้ใดผู้หนึ่งมีผู้ที่แข็งแกร่งควยช่วยเหลือ  ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงมีความคิดจะหยุดการต่อสู้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม