Otherworldly evil monarch 240-246
ตอนที่ 240
หัวใจของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เต้นรัว เมื่อมือของจวินโม่เซี่ยลูบคางของนาง จึงมิอาจปกปิดความเขินอายได้อีกต่อไป นางหวนนึกบางสิ่งได้ และเอ่ย
” แม่ง … ข้าจักไปพบเจ้าในวันพรุ่งอย่างแน่นอน “
เสียงของนางยังคงเบาและก้มหัวเช่นก่อนหน้า กระนั้น เห็นได้ชัดว่านางไม่ตระหนักได้เลยว่าเขาจะได้ยินหรือไม่
” เป็นเลิศ … ข้าจะรอคอยการมาถึงของเจ้า “
คำพูดของนายน้อยจวินที่ชัดเจนและยินดีนั้นตรงเข้าสู่หูของหญิงสาว และอยู่เช่นนั้น จนนางมองขึ้นมา … แม้นว่าเงาของเขามิได้อยู่ที่นี่แล้วก็ตาม
ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยืนขึ้นร้อนรน จากนั้นนางก้าวเท้าอย่างรวดเร็วขณะมุ่งหน้าไปยังทางเข้าโถง กระนั้น นางเงยหน้าขึ้นมองออกไป เห็นเพียงแต่ชายบนหลังม้าที่เพิ่งจะหายลับไปจากมุมถนน แววตามึนเมาปรากฏขึ้นในดวงตาของนางราวกับจินตนาการ ขณะเพ่งมองไปยังท้องถนนอันว่าเปล่า รอยยิ้มดั่งฝันปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันแดงก่ำของนาง นางมิอาจเอ่ยสิ่งใดหรือเคลื่อนไหวได้
” วายร้าย … ฮึ่ม ! เขากล้าหยิกแก้มข้าได้อย่างไรกัน ? ข้า … เขา … เขาสามารถ … ข้าจักต้องไปพบเขาในวันพรุ่ง ! และข้าจักชำระหนี้ด้วยการเตะก้นเขา ! “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ ผู้น่าสงสารคำรามทางจมูกขณะนางพยายามแสดงความโกรธ แต่กระนั้น ในดวงตาของนาง ซึ่งมิอาจควบคุมได้ โค้งงองดั่งจันทร์เซี่ยว เผยถึงความเขินอาย มีความสุข และพึงพอใจในดวงจิต
จวินโม่เซี่ย เดินทางกลับบ้านเพียงลำพัง เขาคิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก เนื่องจาก ดวงจิตของเขาไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งนี้มาก่อน นอกจากนี้ เขาเริ่มรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยและมีความสุข เขามิได้ดื่มสิ่งใด แต่ตอนนี้เขายังรู้สึกมึนเมา ชัดเจนว่าเขามิได้ฟังเรื่องตลก แต่มุมปากของเขายกขึ้นดั่งรอยยิ้มน้อยๆ …
เจ้าเด็กสาวน่ารังเกียจนั่น ! เจ้าเด็กสาวนั่นวางยาข้ารึ ?
อารมณ์เช่นนี้เป็นดั่งพิษเมื่อดื่มสุรา ซึ่งส่งผลไปตลอดชีวิต และไม่มียารักษา !
ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้ทำให้เขาปวดหัว แม้นว่าเขาจักพักฟื้นร่างกายมาเนิ่นนาน … เขาก็ยังอยู่ในร่างของเด็กอายุสิบหก เขายังมิได้ไปถึงวัยผู้ใหญ่ดั่งเช่นโลกที่แล้ว หรือจะพูดง่ายๆ … เขายังอยู่ในระดับ มัธยมต้น บางทีเขาอาจจะถูกมองว่าเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กหนุ่ม ดีละ ! ดูเหมือนว่าเด็กสาวผู้นั้นจะรุ่นราวคราวเดียวกัน อาจจะเด็กกว่าเล็กน้อย !
นี่คือความรักแรกอันบริสุทธิ์ !
วู้ว ช่างน่ากลัว ! รักแรกที่รู้สึกผิด ! ข้าจักต้องหาใครสักคนที่มีประสบการณ์เพื่อเรียนรู้เรื่องนี้ …
นายน้อยจวินตกอยู่ในห้วงอันอัศจรรย์ตลอดเส้นทางกลับ
สำหรับคนทั่วไป เสียงฝีเท้าม้าของเขาดังเช่นเสียงกลองแห่งการหวนคืนของ ขุนพลผู้มีชัย สำหรับเขานั้น เสียงฝีเท้าม้านี้เป็นดั่งท่วงทำนองอันหวานชื่น ประส่วนบทกลอนโครงกวี …
จวินโม่เซี่ย ลงจากหลังม้าอย่างนุ่มนวลดั่งขนนก เขายิ้มแจ่มใสขณะเดินก้าวเขาสู่ประตูบ้าน ทันใดนนั้น มีเสียงดังก้องขัดจังหวะความคิดอันเป็นภัยของเขา ภัยนี้เป็นดั่งการนำพาเขาเข้าใกล้คำคืนแห่งกางแต่งงาน
ทุกผู้รังเกียจคนผู้นี้ ความจริง คนส่วนใหญ่แนะนำว่าให้นำเขาไปโบยจนกว่าผิวหนังอันไร้ยางอายของเขาจะหลุดร่อน จากนั้น บดขยี่ร่างของเขาจนไม่หลงเหลือสิ่งใด
น่าแปลกใจ ที่คนเช่นเขาคิดว่า รักแรกนี้เป็นสิ่งอันตราย ในขณะที่ผู้อื่นนั้นเฝ้าฝันถึงการแต่งงาน ….
” เจ้า ! เด็กน้อย ! ในที่สุดเจ้าก็กลับมา อาวุโสผู้นี้เข้าใจเรื่องหนึ่งได้วันนี้ มาดูเร็วเข้า …. “
เสียงของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความจริง มันเป็นดั่งการที่เขาพยายามโอ้อวดสมบัติแก่ผู้อื่น เขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้ามาหลายวัน และในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบ แรกเริ่มเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หัวใจของนายน้อยจวิน ทำให้เขาเห็นเพียงแต่ภาพหมู่มวน บุปผา แต่กระนั้น ปรากฎชายผมยาวและโบกสะบัดขึ้นตรงหน้าของเขาในทันที ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าของชายผู้นี้ดูดุรายและเยือกเย็น ซึ่งมันทำให้เกิดการแตกต่างกันอย่างยิ่ง ! แตกต่างอย่างหาที่สุดมิได้ !
นายน้อยจวิน ขมวดคิ้ว เขาหงุดหงิดอย่างมาก เมื่อได้เห็นคนผู้นี้เนื่องจากมันทำลายฝันกลางวันของเขา ทำให้เขาเกิดอยากจะเตะ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวให้ล่องลอยไป แม้ว่าเขาจะมีแรงกระตุ้นให้ทำตามความคิดนั้นมากมาย เขาก็ยังคงต้องอดกลั่นเนื่องจากเขายังมิอาจยั่วโมโหชายผู้นี้ ในช่วงเวลานี้ได้
” ข้าไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้ ! ไปเสีย เสียงดังรบกวนข้า ! “
นายน้อยจวิน ถลึงตาและใบหน้าของเขาเริ่มดุร้าย เขาเข้าห้องไป และปิดประตูด้วยเสียง ปุ้ง ยอดปรมาจารย์ ผู้ที่ตามหลับเขามาอย่างใกล้ชิด เกือบจะถูกประตูหนีบจมูก
” เรื่องอะไรกัน ?! เห็นได้ชัดว่าข้าเพิ่งจะเห็นเจ้าเด็กนี่ยิ้มอยู่เมื่อครู่ เขากลับมาด้วยสีหน้ามีความสุขและมึนเมา … แล้วเหตุใดโลกจึงให้เขาทำเช่นนี้กับข้า … ดังเช่นยายผู้ โกรธแค้นเมื่อได้เห็นหลานชายที่นางรังเกียจ ? “
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เก้าหัวด้วยความสับสน เขาสับสนอย่างที่สุด
เริ่มต้นวันดั่งเช่นวันธรรมดาวันหนึ่ง อย่างไรก็ตาม จดหมายเชิญมากมายทำให้มันกลายเป็นวันที่แปลก !
ทั่วทั้ง นครเทียนเชียง ลุกเป็นไฟ โชติช่วง !
ชายทุกผู้ ซึ่งสกุลของพวกเขามีอิทธิพล แม้นเพียงน้อยนิดก็ถกกันในเรื่องนี้
โถงชนชั้นสูงคืออะไรกัน ? นี่มิใช่ความยโสอันน่าประหลาดใจ ?
บัตรเชิญเงินนี้ประดับด้วยดอกพลัมสีทอง ดอกไม้นี้ถูกวาดด้วยสีทองอย่างแม่นยำ แต่ละกลีบนั้นงดงามจัดจ้าน ความจริงแล้ว แม้แต่เกษรก็ยังสามารถเห็นได้ชัดเจน !
หีบห่อของบัตรเชิญยังถือได้ว่าเป็นงานศิลปะที่มีค่า !
ข้างในมันมีสิ่งใด ?
เมื่อเปิดใบปลิวออกมา สิ่งที่เปล่งประกายต่อสายตานั้นมิใช่อื่นใด นอกจากตัวอักษรสองแถวขนาดใหญ่ ที่เป็นสีทอง บรรทัดแรก
ขอแสดงความเสียใจ คนจน และ ผู้เป็นโรคหัวใจ ให้อยู่ห่างเส้นทางนี้
ในขณะที่บรรทัดด้านล่าง
สกุลใดมั่งคั่งน้อยกว่าหนึ่งล้าน ไม่สามารถผ่านประตูนี้ได้ !
ในขณะที่เปิดใบปลิวอีกแผ่น สามารถเห็นตัวอักษรสีทองจำนวนมากมาย
สิ่งที่ควรเอ่ยถึงมิควรเป็นของฟรี !
ความต้องการพื้นฐานของขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคือ ของชั้นดี พวกเขาจักสามัญได้เช่นไร ? พวกเขาสวมใส่ไหมชั้นดี อ่านข้อความสีทอง ฟังบทเพลงอันเป็นอมตะ เพราะรสนิยมที่ดีของพวกเขา ชาที่ดี และ สุราหนึ่งล้านจะไม่สูญเปล่ากับผู้ใด
ใบใบปลิวสุดท้าย มีตัวหนังสีขนาดใหญ่ที่หรูหรา
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดชีวิตจึงกลับกลายเป็นโลกีย์ ?
ผู้คนต่างตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าพวกเขาต้องมีฐานะสูงกว่าหนึ่งล้าน หากต้องการจะเข้าไปยังสถานที่นั้น ! สถานที่นี้เป็นที่ ส่งเสริมคนรวยและดูถูกคนจน … แม้แต่ชื่อของมัน โถงชนชั้นสูง ! ซึ่งเป็นการเลือดปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม บัตรเชิญนี้กลายเป็นเหตุแห่งความอลหม่านในทันที … แม้แต่ในสกุลที่ไม่สง่างามอย่างที่สุด นั่นเป็นเพราะ มีตราประทับสามสกุล !
ตราประทับส่วนตัวของ นายท่านสามสกุลจวิน จวินวูอี้ !
ตราประทับสกุลถัง !
และอีกผู้ที่น่าประหลาดใจและคาดไม่ถึงอย่างแท้จริงคือ ตราประทับส่วนตัวของ องค์รัชทายาทเพียงหนึ่งแห่งอาณาจักรเทียนเชียง !
เมื่อตราประทับทั้งสามรวมกัน มันทรงพลังมากพอจะทำให้ทุกผู้หายใจได้ไม่สะดวกนัก ! ในการปฏิเสธคำเชิญของพกวเขา … เป็นดั่งการสร้างศัตรูที่มิอาจต่อกรได้ … แม้แต่สกุลมูล่ง และสกุลตู่กู้ ก็มิอาจรุกรานพันธมิตรที่น่าเกรงกลัวนี้ได้ !
ชั่วพริบตา สกุลชั้นสูงแห่ง นครเทียนเชียง ได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ !
เพียงแค่หนึ่งวัน เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่มีการพูดคุยกันอย่างแพร่หลาย ในตอนแรก สกุลผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายคิดว่า การกระทำของ โถงชนชั้นสูง นั้นมิต่างอะไรจากเรื่องน่ารำคาญ หลายผู้คิดว่ามันเป็นการยกย่องคนร่ำรวยและละทิ้งคนจนอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งบางคนมิอาจรับได้ อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น ความคิดเห็นของทุกคนกลับตาลปัตรไป
หลายผู้ที่ได้รับคำเชิญนี้ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย พวกเขายังคงมีสีหน้าที่พึงพอใจ แม้นจะไม่เห็นด้วย ในขณะที่ อีกหลายคนไม่พึงพอใจ
เหตุใดข้าจึงไม่ได้รับบัตรเชิญ แม้นว่าสกุลของข้านั้นจะร่ำรวยกว่าหนึ่งล้าน ? เห็นได้ชัดว่าคำเชิญนี้เป็นดั่งการรวบรวม สกุลชั้นสูงที่ร่ำรวยใน นครเทียนเชียง ดังนั้นเหตุใดจึงไม่มีชื่อของข้าอยู่ในนั้น ? อย่าบอกข้านะ ว่าสถานะของข้านั้นต่อกว่าผู้อื่น ? ในความจริงแล้ว พวกเขาดูต่ำต้อยกว่าข้า ? เหตุผลมันควรเป็นเช่นไร ?
ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถประนีประนอมในการถกเถียงเป็นการส่วนตัวได้ และเริ่มวิพากษ์กันอย่างเปิดเผยเนื่องจากพวกเขาต้องเก็บดกดความขุ่นเคืองและอัปยศ … ในทางกลับกัน ผู้ที่เริ่มกังวงเมื่อได้รับบัตรเชิญนี้ก็เริ่มรู้สึกภูมิใจ …
ดูสิ ท่านปู่คือชนชั้นสูง ! ข้าเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ! เจ้าเข้าใจไหม ? จุ๊ จุ๊ องค์รัชทายาท สกุลจวิน และสกุลถังเป็นสามผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดใน นครเทียนเชียง พวกเขาตัดสินใจเชิญข้า ! เจ้ายังคลางแคลงใจอีกรึ ? เจ้าคิดว่าข้าร่ำรวยกว่าข้า ? เจ้าคิดว่าเจ้ามีเงิน ? เจ้าได้รับคำเชิญหรือไม่ ?
ฐานะ ! ฐานะ !
การพิสูจน์ฐานะนั้นง่ายดาย คนผู้นั้นได้รับคำเชิญหรือไม่
หากพวกเขามิได้รับคำเชิญ … นั่นก็หมายเพียงแค่หนึ่งในสอง สกุลพวกเขามิได้ร่ำรวยเกินกว่าหนึ่งล้าน หรือพวกเขาเป็นเพียงปุถุชน
บัตรเชิญนี้จึงกลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งชนชั้นสูง เพียงเวลาแค่ไม่นาน ! ผู้คนต่างแต่งตัวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ และห้อยบัตรเชิญเหล่านี้ไว้ที่ปกเสื้อ พวกเขาเดินไปโดนไม่สนใจว่าพวกเขาจะดูเช่นไร อกผาย และหน้าเชิด สิ่งนี้กลายมาเป็น สมัยนิยมของนคร สัญลักษณ์ที่แท้จริงของความงดงามและชนชั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึง สถานะชนชั้นสูง !
และผู้ที่มิได้รับคำเชิญ … ก็มิต้องการจะออกไปเผยตัวอยู่ภายนอก ความจริง พวกเขาทำให้ความคิดว่างเว้นด้วยแผนการนับร้อย คนเหล่านั้นเพ่งมองอย่างยอมรับไปยังผู้ที่พวกเขาไม่ถือว่าเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะหันไปทางอื่น เมื่อคนเช่นนั้นโบบัตรเชิญตรงใบหน้า มิเช่นนั้นพวกเขาจะมิอาจเลี่ยงความปรารถนาและไล่พวกนั้นไปด้วยโทสะ …
ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่จะมิกล้าย่างออกจากบ้าน แต่กระนั้น พวกเขาเริ่มออกไปพบเพื่อนและครอบครัวหลังจากได้รับบัตรเชิญ ความจริง ช่างไร้เหตุผลที่ที่พวกเขาไปเคาะประตูบ้านผู้อื่นนับสิบ คนเช่นนี้เป็นดั่งสุนัขที่เห่าหอนไม่เคยเบื่อหน่าย …
แต่กระนั้น ไม่มีผู้ใดที่ถือได้ว่ามากเกินไป เพราะพวกเขาบางคนไร้เหตุผลกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนั้นเกินกว่าคนเหล่านี้ … มากยิ่ง …
คำเชิญเพียงหนึ่ง เป็นเหตุให้ก่อเกิดปัญหาวุ่นวายทั่ว นครเทียนเชียง ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ผู้ที่สร้างมัน นายน้อยแห่งสกุลจวินยังมิได้คาดถึงผลลัพธ์เช่นนี้ เรื่องราวยิ่งใหญ่ขึ้นจนบางผู้คนรวบรวมความกล้าเพื่อไปหาจวินวูอี้ ความจริง มีบางผู้คนที่เสนอเงินจำนวนมากเพื่อแลกเปลี่ยนกับคำเชิญเพียงหนึ่ง
เมื่อเห็นถึงเรื่องนี้ จวินวูอี้ไม่แน่ชัดว่าสิ่งดีคือการร้องได้หรือหัวเราะ ที่แย่ยิ่งกว่า บางผู้ร้องขอให้เขาช่วย เรื่องนี้เกินจะรับมืออย่าแท้จริง …
มิอาจโต้เถียงได้ว่า โลกนั้นมักจะแบ่งชนชั้นเสมอ อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดที่จะกระทำมันอย่างโจ่งแจ้งเช่น โถงชนชั้นสูง
.ผู้คนต่างมีเพียงหนึ่งชีวิต ผู้ใดเล่ามิต้องการชื่อเสียงเพื่อตัวเอง ?
ตอนนี้ ผู้คนต่างได้รับโอกาสที่จะอยู่เหนือผู้อื่น … พวกเขาจึงต่างไล่ล่าห่านป่านี้อย่างบ้าคลั่ง เช่นเดียวกับ สังคมสมัยนิยม ที่สองหญิงสาวแต่งงานแล้วจะมีแหวนทองคำเช่นเดียวกัน … แต่กระนั้นยังคงมีความแตกต่างกันที่ขนาดของแหวนที่ผู้หนึ่งใหญ่กว่า ดังนั้น ผู้คนสามารถกล่าวโทษสังคมชั้นสูงแห่งนครสำหรับเรื่องวุ่นวายนี้ …
ยิ่งไปกว่านั้น หอชนชั้นสูงเปิดอยู่ตรงข้ามกับ หอมณีวิจิตร จึงทำให้เป็นที่สนใจของเหล่าผู้สูงศักดิ์ในนครอย่างรวดเร็ว !
กิจการนี้ ยังมิได้ประมูลสินค้าแม้แต่สิ่งเดียว แต่ได้กระตุ้นความกังวลและกระหายใคร่รู้ในหัวใจของพวกเขาเสียแล้ว ชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกในนครเทียนเชียง !
แสงแรกทอทอดลงตะวันออก ยามรุ่งสาง
และประตู หอชนชั้นสูง เปิดออกอย่างเงียบเฉียบ
ตรงทางผ่าน สองกลุ่มกองยามเฝ้าประตูพุ่งตัวออกมา และแบ่งแยกเป็นสองแถวเพื่อทักทายผู้คน ทุกผู้ที่ได้เข้าไปต่างประหลาดใจกับ ลานที่เขียวขจี ! ยิ่งไปกว่านั้น หมู่บุปผาภายในต่างส่งกลิ่นหอมที่รุนแรง จนสามารถทำให้พวกเขาเมามายได้ !
ไม่มีผู้ใดสามารถปกป้องหัวใจมิให้ผ่อนคลายได้ และ ใจเย็นลงหลังจากเข้ามาภายในลาน ความจริง แม้นแต่ผู้ที่เจ้ากี้เจ้าการก็มิอาจหักห้ามตัวเองมิให้ตกตะลึงได้ !
หมู่มวลบุปผาภายในหอมหวนแม้นจะอยู่ในช่วงปลายสาทรฤดู ความจริง เหล่าบุปผกาเหล่านี้ต่างชูช่อละม้ายคล้ายดั่งวสันตฤดู ความหลากหลายของดอกไม้ภายในลานขนาดใหญ่นี้ทำให้ทุกผู้ประทับใจ เส้นทางดูเหมือนจะอยู่เพียงภายใต้เงามืดของร่มไม้ตั้งตระหง่าอยู่สองข้างทาง กลิ่นของต้นไม้เพิ่มรสชาติให้กับอากาศ เส้นทางคดเชี้ยวเลี้ยวไปมาขณะที่มันค่อยๆแคบลง ความจริง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเส้นทางนั้นทอดยาวต่อไปเพียงใด จนดูราวกับไม่มีที่สิ้นสุด !
สิ่งนี้ได้แบ่งแยกสถานที่นี้ออกมา และทำให้มันอยู่เหนือกว่าสถานที่อื่นใด !
เหมาะควรจะขนานนามว่า หอชนชั้นสูง อาห์ !
อีกสิ่งที่ทุกคนต่างเอ่ย …
เจ้าจะสามารถหาสถานที่ซึ่งมีหมู่มวลบุปผกามากมายในช่างปลาย สาทรฤดู ซึ่งพวกมันเบ่งบานราวกับ วสันตฤดู ได้ที่ไหนอีก ! ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสัมผัสพวกเขาไม่รู้สึกเลยว่ามันถูกประดิษฐ์ขึ้นมา ! ผู้ทรงอำนาจ และ ทรงเงินตรามากมายเช่นไรกัน จึงสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ?
ตอนที่ 241
เสียงแผ่วเบาดังจากชั้นบนของ หอชนชั้นสูง ที่มาของเสียงนั้นดูเหมือนห่างไกล แต่กลับใกล้ ราวกับเหล่านางอัปสรกำลังร้องรำอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก เสียงดนตรีฟังเลือนลาง ไม่มีผู้ใดที่สามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน แต่ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้มันน่าลุ่มหลง
เสียงที่อ่อนโยนและสง่างามเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย อย่างไรก็ตาม ทุกผู้ที่ได้รับบัตรเชิญเหล่านั้นต่างชื่นชมยินมีเมื่อได้สดับ มากยิ่ง จนมิได้คำนึงถึงผลลัพธ์ของการประมูลที่กำลังจะมาถึงว่าเป็นเช่นไร พวกเขาก็ยังถือว่ามันเป็นผลดีแล้ว แม้นพวกเขาจะมิได้สิ่งใดเลยก็ตาม
กระนั้น ยังมีผู้อื่นที่มิได้บัตรเชิญ แต่พวกเขายังยืนอยู่ท่ามกลางหมู่ชน คนเหล่านี้รู้สึกได้เพียงแต่ ระคายเคืองในหัวใจ พวกเขาเกลียดตัวเองที่มิได้รับบัตรเชิญหลังจากได้รับชมบรรยากาศที่สง่างามในสถานที่นี้ เนื่องจากมันหมายถึงว่าพวกเขามิอาจจะอยู่ได้
ข้าคงจะเสียดายภายหลัง … ข้าจักต้องได้รับบัตรเชิญแม้นมันจักมีราคาสักเพียงใดก็ตามแต่ …
ราคาของบัตรเชิญสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับแสงอุทัยที่เจิดจ้ามากขึ้น จริงแล้ว ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นจนน่ากลัวยิ่ง เมื่อเทียบกับลมกรด เดิมทีเจ้าอ้วนถัง เป็นทุกข์ยิ่งจากเงินมากมายที่ใช้ในการสร้างบัตรเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เขายืนเพ่งมองฉากที่ได้รับการออกแบบโดยความวิริยะของนายน้อยจวินอย่างยินดี
เขาไม่ควรได้รับขนานนามว่าผู้เป็นเลิศทางการค้ากระนั้นหรือ ? ข้านั้นมองใกล้เกินไป !
เจ้าอ้วนถังเยาะเย้ยตัวเอง
จวินโม่เซี่ยนั่งอย่างสงบนิ่งท่ามกลางความวุ่นวายนี้ อย่างไรก็ตาม แม้แต่เขามิได้คาดว่าแผนการของเขาจะสามารถสร้างผลกระทบที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ได้ สิ่งเดียวที่อธิบายสิ่งนี้ได้คือ นครเทียนเชียงมีผู้มั่งคั่งมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคลั่งไคล้ในการเปรียบเทียบ …
ทิวากรส่องประกายเจิดจ้ากลางนภา
คำเชิญลดราคาของ หอชนชั้นสูง หมดลง และเหล่าผู้ที่ได้รับมันตั้งแต่แรกมาถึง ภายในหนึ่งส่วนสามชั่วยาม ถนนหลักเต็มไปด้วยรถม้าชั้นเลิศ รถม้าราคาสูงส่งมากมายจอดนิ่งข้างกัน ความจริง สามารถบอกได้ว่า พาหนะเหล่านี้มีราคาในตัวมันเอง เมื่อพูดเช่นนั้น เป็นการยากที่จะบอกว่า รถม้าคันใดหรูหราที่สุด ผู้ได้รับเชิญทั้งหมดใส่เครื่องเทียมลาดที่ดีที่สุดเพื่อ โอ้อวดอัตลักษณ์ของชนชั้นสูงของพวกเขา ความจริงพวกเขามิได้ใช้จ่ายมากมายไปกับอัญมณีที่แขวนอยู่บนรถม้า
ผู้ใดก็สามารถเงยหน้าขึ้นแลัคาดว่าจะพบกับผู้มั่งคั่งมากมาย !
เหมาะสมที่สุดที่ใช้ความอ้วนเพื่อเป็นอุปมาอธิบายถึงภูเขาทองคำที่เคลื่อนที่ได้ แม้นว่าพวกเขาจักต้องสูญเสียชิ้นเนื้อบ้าง แต่เพียงแค่ชิ้นเดียวนั้นสามารถค้ำจุนสกุลธรรมดาได้ตลอดชีิวิต
สองเด็กหนุ่มมีสมบัติผู้ดีในชุดคลุมขาวกำลังยืนอยู่หน้าประตูพร้อมด้วยสองหญิงงาม พวกเขาทั้งสี่ได้รับตำแหน่งให้เป็นคณะต้อนรับ พวกเขาตรวจสอบบัตรเชิญของแขกเหรื่อ และกวักมือเรียกในทันที ไม่นานจากนั้น มีเด็กหนุ่มเกราะขาวปรากฏตัวขึ้น และต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่นและพาเข้าไปด้านใน
แม้นว่าสามสกุลผู้ทรงอิทธิพลจะประทับตราลงบนบัตรเชิญ แต่ยังไม่มีคนในสกุลเหล่านั้นคนใดเผยตัวออกมา มีเพียงคนเหล่านี้ที่ต้อนรับแขกเหรื่อ อย่างไรก็ตาม แม้นว่าบัตรเชิญส่วนตัวจะได้รับการตรวจสอบก่อนจะอนุญาติให้พวกเขาเข้าไป แต่ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติที่ไม่สุภาพแม้แต่น้อย แต่กลับกัน พวกเขารู้สึกได้รับเกียรติและภูมิใจ
สิ่งนี้สอดคล้องตามเหตุและผล มันจะทำให้ชื่อเสียงของสกุลทั้งสามลดลงอย่างมาก หากสมาชิกสกุลของพวกเขาออกมาต้อนรับแขกด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำเช่นนั้น
แขกทุกคนดูสงบและมีชีวิตชีวา โดยไม่ถือว่ามันจะเป็นพฤติกรรมที่แท้จริง หรือพวกเขาพยายามสร้างภาพลักษณ์ ขณะเดินเข้าด้านใน พวกเขาหันมามองกลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกโดยไม่ตั้งใจ ผู้คนเหล่านั้น ประกอบไปด้วยผู้ที่มิได้รับบัตรเชิญ เส้นเลือดของแขกที่ได้รับเชิญยอมแปรเปลี่ยนเป็นสีครามอย่างเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากกังวลขณะที่พวกเขารีบเดินผ่านฝูงชนเหล่านั้นไป พวกเขายอมรับถึงสิ่งนี้อย่างสงบ จากนั้นแขกเหรื่อเดินเข้าสู่ตัวอาคารอย่างสง่างาม และหายเข้าไปท่ามกลางหมู่บุปผาและพฤกษาที่เขียวชอุ่ม
ผู้ที่ได้รับบัตรเชิญทั้งหมด ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่คัดค้าน พวกเขาเคลื่อนที่เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แต่ละคนต่างทำตัวมีเกียรติ ยิ่งไปกว่านั้น มีหายผู้ที่เดิมทีไม่ยอมรับถึงเงื่อนไขนี้ แต่พวกเขายังคงปฏิบัติอย่างสุภาพเพื่อแสดงถึงน้ำใจ
แต่กระนั้น เหล่าขุนนางไม่ควรประพฤติตัวสูงส่งดอกหรือ ? เห็นได้ชัดว่าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวพันกับพฤติกรรมในปัจจุบันของพกวเขา … ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทนกับชื่อที่พวกเขาได้รับสลักไว้ว่าเป็น ชนชั้นสูง
ภายในโถงราชวัง ใครบางคนหัวเราะลั่น มีเพียงหนึ่งที่สามารถหัวเราะเช่นนี้ได้ภายในเขตพระราชฐาน เห็นได้ชัดว่ามิใช่หนึ่งในสนมผู้งดงาม ความจริง แม้แต่ สมเด็จพระพันปีหลวง ก็ยังยึดมั่นในกริยามิอาจแสดงกริยาหัวเราะที่หยาบกร้านเช่นนี้ แม้แต่ องค์หญิง หรือ องค์ชาย ก็ยึดมั่นในกริยาและงดเว้นการแสดงถึงสิ่งเหล่านี้ แม้แต่ข้าราชสำนักก็มิอาจกล้า ! จงระลึกไว้ว่า ผู้ที่สามารถหัวเราะเช่นนี้ได้จักต้องมีความประจักชัด
องค์สมเด็จ มือองค์จักรพรรดิกกำชิ้นหมากรุกสีขาว เขาพึมพำกับตัวเองอย่างต่อเนื่องขณะหัวเราะลั่น
” ช่างเป็นกลวิธีที่งดงามยิ่ง ไม่ธรรมดาแต่สร้างสรรค์อย่างแท้จริง ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของแผนการที่งดงามนี้ ยากยิ่งจะจินตนาการว่าผู้ใดในนครเทียนเชียงของข้าจะสามารถสร้างเมฆในมือข้างหนึ่ง และฝนในมืออีกข้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ ฮี่ ฮี่ เป็นเลิศ เป็นเลิศ “
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขานั้น คือชายผู้มิอาจบอกอายุ เขาสวมชุดสีขาวดั่งหิมะ เขาสูงและตระหง่านแม้นจะกำลังนั่ง หลังและไหล่ของเขาผายออก เพียงแต่รูปลักษณ์ของเขา สามารถทำให้ผู้คนสั่นกลัวได้ ผมสีดำยาวตรงลงมาจากศรีษะของเขา และประลงตรงไหล่ก่อนกระจายลงไปด้านหลัง เคราสามแฉกงดงาม ห้อยยาวลงจากคาง อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเขาไม่มีริ้วรอยแม้แต่น้อย เดิมแท้แล้วใบหน้าของเขาอ่อนนุ่มดั่งหญิงสาว
ร่างเงาอันตระหง่านนั้นครุ่นคิดถี่ถ้วนขณะเพ่งมองยังกระดานหมากรุก
” การเคลื่อนไหวเหล่านี้วิจิตรอย่างแท้จริง สุราของคนผู้นั้นจักต้องอัศจรรย์ยิ่งนัก หากแม้นมันเป็นความลับสวรรค์และยากยิ่งจะค้นพบ … ราคาก็มิควรเกินกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงินต่อเหยือก แย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ทำให้สกุลทรงอิทธิพลต่างแข่งขันกัน ความจริงแล้ว วิธีการนี้จะทำให้เขาสามารถขายสุราเหล่านั้นในราคาที่สูงหว่า หมื่นตำลึงเงินได้ เขาอาจจะคาดการเกินกว่าจำนวนนั้น เป็นแผลการที่ดีอย่างแท้จริง ! แต่พระองค์บอกว่า สร้างเมฆหมอกด้วยหนึ่งมือและอีกหนึ่งคือฝน คนผู้นี้ยังคงมิสามารถ “
” เช่นนั้นหรือ ? “
องค์จักพรรดิยิ้มด้วยความพึงพอใจจากนั้นต่อ
” ในความคิดเห็นข้า กระนั้น … เขาคือ “
” พระองค์หมายถึงสิ่งใด ? “
ชายเกราะขาวเพ่งมองกระดานหมากตั้งใจ แม้นเขาจะนั่งอยู่ต่อหน้าผู้ทรงอำนาจเช่นนี้ เขายังดูไม่มีท่าทีนอบน้อม
” คล้ายกับว่า วิธีการขายสุราเช่นนี้ช่างแยบยล และถือได้ว่ามีฝีมือช่ำชอง ยิ่งไปกว่านั้น มันสำคัญว่าสิ่งนี้เกินกว่าที่คนธรรมดาจะคิดคำนวนได้ อัศจรรย์โดดยแท้ “
องค์จักรรพดิลูบเคราเชื่องช้าขณะเอ่ยเคร่งขรึม
” ดูเหมือนเป็นเป็นการที่ง่ายดาย และอาจคิดว่าเกือบทุกผู้จะกระทำได้สำเร็จ แต่กระนั้น หากมันง่ายดาย แล้วเหตุใดทุกคนมิอาจทำได้ ? “
” ข้าจำต้องเข้าใจให้ดีกว่านี้ “
ชายสีขาวเริ่มแสดงความสนใจ เลิกคิ้วเล็กน้อย แววตาเขาแสดงความอยากรู้อยากเห็น
” สำคัญที่ต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของคนในขณะที่วางกฎเกณฑ์แผนการนี้ ผู้นั้นจักต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์และจุดอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิทยาของหน่วยงานเก่าและหน่วยงานทรงอิทธิพล มันสำคัญว่าเขาจักต้องศึกษาเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน โดยไม่พลาดถึงความจริงที่สำคัญที่สุด ! โดยไม่คำนึงว่าคนเหล่านั้นจักเป็น ขุนนาง ปุถุชน อันธพาล หรือ ขอทาน ผู้นั้นจักต้องเข้าใจจุดอ่อนทั้งหมดนี้ หากเพียงแค่หนึ่งเท่านั้นที่จะเข้าใจประเด็นนี้ เขาจะเข้าใจถึงความล้มเหลวของผู้คน ! จากนั้น ไม่ต้องคำนึงว่าเขาเป็นใคร … แม้แต่ผู้มีตำแหน่งในราชสำนักก็จะโค้งคำนับแก่เขา แต่กระนั้น ส่วนนี้เป็นเพียงแค่รากฐาน และการเริ่มต้นของแผนการ “
ดวงตาขององค์จักรพรรดิปะปนไปด้วยความกังวลและการชื่นชม
” ชัดเจนว่าชายผู้นี้มีพรสวรรค์ในการเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ! “
องค์จักพรรดิเอ่ยข้อสรุปแรก
” อย่างที่สอง ข้าคาดว่า ผู้ที่ไปที่นั่นในวันนี้ไม่ประสงค์จะออกมามือเปล่า และพวกเขาจักต้องประมูลสุราอยู่ภายใน ! ดังนั้น แต่ละสกุลจะต้องไม่ออกมามือเปล่า .. แม้ว่าสุรานั่นจะไร้คุณภาพก็ตามที ! ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเปิดประมูลสุราในราคาที่สูงส่ง ด้วยเหตุนี้ จะไม่มีผู้ใดซื้อมาในราคาถูก ราคาจึงมิใช่สิ่งสำคัญ และพวกเขาจะไม่คิดให้ถี่ถ้วน หรือระมัดระวังการใช้จ่าย เพียงสิ่งเดียวที่เขาสนใจคือชื่อเสียง ! “
มุมพระโอษฐ์องค์จักรพรรดทรงแย้มขึ้นเล็กน้อย
” เพราะมีผู้คนมากมายที่มิได้บัตรเชิญรออยู่ภายนอก ผู้คนเหล่านั้นคงจะรอคอยที่เยาะเย้ยผู้ที่เรียกว่า ชนชั้นสูง มิใช่รึ ? ทุกผู้ที่ได้รับจดหมายเชิญ และไปยังการประมูลไม่ประสงค์จะพ่ายแพ้ พวกเขามิอาจทนเสียหน้าได้ ชายผู้นั้นคิดว่าข้าสามารถ กระทำการอย่างโจ่งแจ้งและไร้ซึ่งความกลัว เขาตกเอาเงินจากกระเป๋าของเหล่าสกุลที่แสดงตัวในวันนี้เข้ากระเป๋าตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ทุกผู้คนจักตื่นเต้น พวกเขาจักมุ่งมั่นให้เป็นที่หนึ่ง และหวาดกลัวการถูกทิ้งท้าย ! ทั้งหมดนั่นเพราะพวกเขากลัวจะถูกผู้อื่นดูหมิ่น การใช้จ่ายเงินกว่า หมื่นตำลึงต่อหน้าเหล่าประชาเมืองหลวงนั้นจะเป็นการดีต่อชื่อเสียงของพวกเขา เป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานะของพวกเขา … ตราบใดที่พวกเขาซื้อบางสิ่งอย่าง !
เหมาะสมแล้วที่ชายผู้นี้จะได้รับเงินเหล่านั้น ช่างเป็นโชคร้ายสำหรับผู้อื่น … “
องค์จักพรรดิสรุปครั้งที่สอง
ชายสีขาวผู้นั่งอยู่ตรงข้ามเขากำลังฟังด้วยท่าทางสงบเงียบ ใบหน้าของเขานิ่งเรียบไม่มีแม้แต่ร่องรอยตอบสนอง
” สาม เจ้าบันทึกรายชื่อในรายการเหล่านั้นไว้ หากเจ้ามองมันอย่างถี่ถ้วน เห็นได้ชัด แม้นว่ารายชื่อเหล่านั้นจักมีแต่สกุลใหญ่ๆในเมืองหลวง แต่ยังมีบางสิ่งที่น่าสนใจ รายการนี้ยังไม่สมบูรณ์ !
” ทุกธุรกิจการค้า ปกติแล้ว สกุลขุนนางผู้ร่ำรวยจะมีคู่แข่งเป็นของตัวเอง บ่อยครั้ง ที่คู่แข่งเหล่านั้นเป็นดั่งการจับคู่ที่ดีเพื่อให้กิจการยั่งยืน รายชื่อนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาสมดุล มิเช่นนั้นราคาจะตกลงและผู้ขายมิได้กำไร หรือ ราคาจักสูงขึ้นจนไม่มีผู้ใดสนใจ อย่างไรก็ตาม รายการของชายผู้นี้ ไม่ว่าจะเจตนาหรือกระไร จะทำลายความสมดุลที่ข้าสร้างสมมานานปี ! ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ปล่อยเงื่อนงำไว้แม้แต่น้อย ดังนั้น แม้ว่าข้าต้องการจะกล่าวหาผู้ใดสำหรับเรื่องนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าต้องกล่าวหากับผู้ใด ! “
ดวงตาของชายชุดขาวดูสับสนหลังจากได้ยินสิ่งนี้ ชัดเจนว่าเขาไม่เข้าในใจสิ่งที่ได้ยินนั้น
” ฮี่ ฮี่ … “
องค์จักรพรรดิหัวเราะ
” ข้าจะอธิบายเป็นตัวอย่าง สกุลซุน สกุลมู่ และ สกุลโจว ต่างเป็นที่รู้จักกันดีใน ตลาดเกลือของเมืองหลวงทั้งสามเปรียบได้ดั่งเสาหลักทั้งสาม ในหมู่พวกเขาทั้งสาม สกุลโจวทรงอำนาจที่สุด กลยุทธ์ทำให้พวกเขาทรงอำนาจกว่าอีกสองสกุล เป็นที่ยอมรับว่า สกุลซุน และ สกุลมู่นั้นอ่อนแอกว่า แต่พวกเขาร่วมมือกันเพื่อต่อต้านอำนาจของสกุลโจว สกุลซุนและมู่ จึงเปรียบได้กับสมดุลอำนาจ รายการนี้มีสกุลโจว แต่หาได้มีอีกสองสกุลไม่ ในเมื่อความจริงทุกผู้รู้ว่าอีกสองสกุลนั่นร่ำรวยกว่าล้านในเมืองหลวง ตอนนี้ เหตุใดพวกเขาจึงมิได้รับบัตรเชิญ ? แต่กระนั้น ไม่มีผู้ใดกล่าวโทษผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หอชนชั้นสูง เนื่องจากเขาได้เชิญตัวแทนสูงสุดแห่งอุตสาหกรรมเกลือ คือสกุลโจว !
แผนการนี้ มีใช้ในหลายอุตสาหกรรมเพื่อให้ได้กำไรจำนวนมา เพียงแค่เชิญตัวแทนของสกุลผู้ที่ทรงอำนาจเท่านั้น “
สีหน้าองค์จักรพรรดูเป็นกังวลมากขึ้น
” และใช้วิธีรการชวนเชื่อนี้เพื่อเติมเชื้อไประหว่างสกุลคู่แข่งทั้งสอง … ข้าเกรงว่าความขัดแย้งนั้นจักเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่นาน ! หนึ่งในสองสกุลที่เหลือ ที่ได้บัตรเชิญจักโอ้อวด ในขณะอีกผู้ที่มิได้…. จัดมีโทสะ พวกเขาจะรู้สึกดั่งถูกกวางออกไปนอกเส้นทาง และถือว่าต่ำต้อยกว่าชาชั้นสูง ทำให้เกิด … ความสับสนอลหม่านขึ้น !
” ทั้งหมดนี้เปิดเผยถึงบางสิ่ง คนผู้นี้เป็นปรมาจารย์แห่งกลยุทธ์อย่างแท้จริง ! “
องค์จักรพรรดิสรุปครั้งสาม
ตอนที่ 242
” คนผู้นี้มองหาความมั่งคั่งอย่างแท้จริง แต่กระนั้น จำนวนที่เขามองหานั้นมากมายยิ่ง ! แต่เรามิควรถือว่าเรื่องนี้เป็นธรรมดา เนื่องจากจำนวนมหาศาลนี้สามารถสั่นสะเทือนถึงเสาหลักได้ !
เป็นไปได้ว่าจักมีปัญหามากมายอุบัติขึ้น เนื่องจากสมาชิกของสกุลใหญ่มากมายไปรวมตัวกันที่นั่น แท้จริงแล้ว ข้าเกรงว่าคนผู้นี้อาจจงใจสร้างสถานการณ์ เขาอาจพยายามหาประโยชน์จากความสับสนที่ตามมาหลังจากนี้ … เขาอาจหาสิ่งประโยชน์ใส่ตัวโดยใช้สิ่งที่เกิดวันนี้เป็นประกัน ! “
องค์จักรพรรดิยืนขึ้นและเดินไปมาชั่วครู่ จากนั้นพระองค์สูดหายใจลึกและพึมพำ
” หากคนมากฝีมือผู้นี้ทำงานให้ข้า .. น่าเสียดาย … “
” แม้นว่าชายผู้นี้จักปราดเปรื่อง แต่เขายังต้องการให้สามสกุลเหล่านั้นหนุนหลัง แท้จริงแล้ว มันเป็นการยากสำหรับเขาหากจะก่อความวุ่นวายขึ้นโดยไม่มได้รับการสนับสนุนจากสกุล จวิน สกุลถัง และ องค์รัชทายาท “
ชายในชุดขาวดั่งหิมะเอ่ยปลอบประโลม
” ข้าเป็นกังวลถึงจุดที่เจ้าเน้นย้ำ มันเป็นเรื่องสำคัญ ชายผู้นี้ชักชวนสามสกุลให้ร่วมมือกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสามสกุลมีสัมพันธ์อันดี ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นแข็งแกร่ง มีข่าวลือว่า แรกเริ่มการขายสุรานี้ก่อเกิดจากการท้าประลอง นายน้อยแห่งสกุลจวิน จวินโม่เซี่ย และ ขุนพลตู่กู้วูตี้ เดิมพันกันถึงคุณภาพของสุรา และราคาที่มันควรจะขายได้ … จึงบอกได้ว่า กลยุทธ์นี้ก่อกำเนิดมากจากจวินโม่เซี่ย แม้นว่าข้าจักไม่มั่นใจเรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม หากเป็นจริงดังนั้น … ข้าควรพิจารณาเขาในแง่มุมใหม่อย่างแท้จริง “
องค์จักรพรรดิหัวเราะเบาครู่หนึ่ง แต่กระนั้น พระองค์มิอาจปิดบังความกังวนที่คิ้วได้
” แผนการนี้ต้องถูกสร้างโดยผู้อื่น ! “
” ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ใด ผู้นั้นอันตรายและมากฝีมือ ! การกระทำของเขาจะสร้างความสับสนโดยไม่แสดงถึงประสงค์ที่อยู่เบื้องหลัง! “
องค์จักรพรรดิ หน้าหนิ่วชั่วหนึ่ง จากนั้น สีหน้าพระองค์เปลี่ยนไป และยิ้มขึ้นทันใด
” ไม่ว่าอย่างไร นี่จะเป็นการประมูลที่น่ารื่นรมย์ เจ้าสนใจจะไปกับข้าด้วยไหม ขุนนางเหวิน ? “
” องค์จักรพรรดิทรงประสงค์จะดำเนิน ? “
ชายชุดขาวนามเหวินเงยหน้ามอง จักรพรรดิ สีหน้าของเขาชัดเจน ราวกับทะเลสาปที่มองเห็นลงไปถึงก้นได้อย่างง่ายดาย เนื่องด้วยปราศจากสิ่งสกปรก ผิวของเขาดู … นุ่มนวลราวผิวพรรณเด็กแรกเกิด
” เป็นเรื่องน่าสนใจ ยิ่งไปกว่านั้น ที่นั่นมีผู้มากฝีมือและน่าหวั่นเกรง เหตุใดข้าจึงไม่สนใจ ? “
องค์จักรพรรดิหรี่ตา
” ข้าจักไม่ไปยังงานรื่นเริงนี้ได้อย่างไรกัน ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของเมืองหลวง ? และมันจะนำพาซึ่งประสบการณ์ใหม่ ข้าประสงค์ลิ้มรสสุรา เหยือกละกว่าหมื่นตำลึงเงิน ! “
ขุนนางเหวินยืนขึ้นท่วงท่าอิสระและง่ายดายขณะเขารอยยิ้มจริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าดั่งทารกของเขา เขาหัวเราะสุภาพ
” เช่นนั้น โปรดพระองค์ทรงอนุญาติให้อาวุโสผู้นี้ติดตามท่านไปด้วย “
” ด้วยท่านอยู่ข้างๆ ข้ามั่นใจว่าจักสำเร็จ ! “
องค์จักรพรรดิแย้มและยืนขึ้น พระองค์พูดขึ้นขณะพวกเขาเดินออกไป
” กระนั้น สิ่งแรกพวกเราจักต้องไปพบใครบางคนที่ได้รับเชิญเนื่องจากพวกเรามิได้ … “
” องค์ชายทั้งสาม และองค์หญิง หลิงเมิ่ง ได้รับบัตรเชิญ หากเป็นดั่งรายงาน เช่นนั้น พระองค์จะตามองค์หญิงไป ? “
ขุนนางเหวินขยับตา ทังสองยิ้มอย่างมีนัยยะ
” ข้าตรวจสอบลูกชายทั้งสามได้ไม่ยากขณะพวกเขาต่อสู้และวางแผนต่อต้านกัน มันควรจะน่าขัน สิ่งใดจักดีไปกว่านี้ ? “
องค์จักรพรรดิแย้มพระสรวลอย่างลึกซึ้ง แต่กระนั้นยังคงมีความกังวลปะปนอยู่ในรอยยิ้มของพระองค์
” พี่จูได้กินสิ่งใดในช่วงสองสามวันผ่าน ? ข้ามิได้ยินเรื่องของเขาเลย “
ขุนนางเหวินเดินเคียงข้างองค์จักรพรรดิ เขายิ้มขณะพูด
” ปัญหานี้ของเขาควรจะรับมือได้ แต่กระนั้น หลานชายของถังหว่างลี่ก็เป็นหนุ่มสาว … เช่นกัน จึงไม่มีหวังสำหรับอนาคตของพวกเขา เขาหวาดกลัวชายผู้รักสะอาดจนขับของเสียใส่ร่างของเขา สำหรับโอกาศนั้น จูน้อยยังคงมุ่งต่อไป … และแม้นว่าเขาจะรักษาความสะอาดมาหลายปี แต่รางน้ำของเหล่าคนจนก็เต็มไปด้วย … “
เขาอ้างถึง จู้จูจู ด้วย จูน้อย คนผู้นั้นดูเหมือนว่าจะสูงศักดิ์กว่าผู้อื่นในรุ่นราวคราวเดียวกับ จู้จูจู แม้นจะดูว่าเขาอายุน้อยกว่าตู่กู้วูตี้ แท้จริงแล้ว หากดูจากหน้าตาแล้ว เขาคล้ายจะรุ่นราวคราวเดียวกับจวินวูอี้
แปลกประหลาดยิ่ง
” ฮ่า ฮ่า … “
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลเสียงดัง พระองค์หันหน้าไปด้านข้าง และเอ่ยกับขันทีเฒ่า
” หากครัวหลวงค้นพบวิธีการรักษาขันทีจูได้เป็นอย่างดี ขอให้เขาปรับปรุงส่วนผสมบางอย่างเพื่อทำให้เขาอยากอาหาร และจากนั้นให้เขาดื่มกิน เขามิได้กินสิ่งใดเลยจนถึงวันนี้ มันจะเป็นการดี ?! “
ขันทีเฒ่ารับคำสั่งอย่างสุภาพและจริงจัง เขาใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิอย่างมาก และรับใช้พระองค์มายาวนานสามสิบปี เหวินเชียนยีน ตระหนักถึงความคิดที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งนี้อย่างชัดเจน อีกมุมหนึ่ง คือเรื่องที่ จู้จูจู ร้องขอการปรากฏตัวส่วนตัวของเขา แต่ องค์จักรพรรดิมิสามารถลดฐานะลงเพื่อจัดการเรื่องเล็กน้อยนั้นได้
รอยยิ้มขึ้นปรากฏบนพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิขณะพระองค์ทอดพระเนตรขุนนางราวกับพระองค์กำลังส่องสะท้อนบางสิ่งจากอดีต
” กระนั้น ไม่ง่ายนักที่ข้าจักได้ออกนอกราชวัง วันเหล่านั้น .. ข้ารักพวกเขามากจริงๆ “
” เจ้าคนฉลาดผู้นั้นมิอาจหลบซ่อนตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเจ้าเหนือหัวจักออกไปเปิดเผยแผนการของเจ้าด้วยพระองค์เอง ! “
นายเหวินยิ้มสวยงาม
” หรือบางทีพระองค์อาจจะได้ผู้มากฝีมือมาเพราะการประมูลนี้ เหวินประสงค์จะยินดีกับพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ …. “
” ข้าหวังเช่นนั้น ! “
องค์จักรพรรดิ แย้มสรวลรำไร ขณะสีพระพักตร์แปรเปลี่ยน คลับคล้ายพระองค์ทรงปกปิดความคลางแคลง เขาอ้างชื้ออยู่บ่อยครั้ง แต่มิได้พูดเสียงดัง หากมองไปใกล้ๆ พวกเขาจะตระหนักได้อย่างแน่ชัดว่า เขาพยายามพูดคำสามคำ จวิน วู อี้
ประกายเยือกเย็นส่องสะท้อนในดวงตา
ในที่สุด พระอาทิตย์ ปรากฏขึ้นสู่นภาเป็นการบ่งบอกถึงการมาของรุ่งสาง สกุลใหญ่สุดท้ายเดินทางมาถึง
ผู้แรกมาถึงคือ สกุลตู่กู้ สกุลนี้มีชื่อเป็นหนึ่งในสกุลผู้ที่ใหญ่ยุคปฐมในเมืองหลวง พวกเขาแสดงตัวด้วยสมาชิกแปดคนในสกุล พวกเขาขี่ม้าตัวใหญ่ ซึ่งทั้งหมดเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญ ตู่กู้วูตี้มาถึงพร้อมด้วยหลานชายร่างกำยำอีกเจ็ด วีรบุรุษและตำนานผู้มุ่งต่อไป ซึ่งเกาะกลุ่มอยู่รอบๆเกี้ยวสีเขียว พวกเขาปรากฏตัวขึ้นดั่งหมี ที่ระเริงด้วยกลิ่นอันหอมหวนของน้ำผึ้งชั้นดี
กองกลุ่มคนและม้าเหล่านี้ มาหยุดตรงหน้าประตูหลักทีสุดท้าย เมื่อคำสั่งดั่งขึ้น และพวกเขาเรียงแถวเพียงหนึ่ง ประตูของเกี้ยวสีเขียวเปิดออก และร่างที่สง่างาม ผิวพรรณดี และน่าชังเคลื่อนออกมา คิ้วของนางคล้ายดั่งภูผาอันห่างไกล ดวงตากลมโตของนางร่างเริง ขณะที่คางดูราวลูกพีช และใบหน้าประหนึ่งภาพวาด สเน่หา … ความน่ารัก และ อ่อนหวานทั้งหมด หลั่งไหลออกมาจากเด็กสาวผู้นี้ นางดูสดใส บริสุทธิ์ และ บอบบาง
ตู่กู้เซี่ยวอี้ หนึ่งในหญิงงามผู้มิอาจหาใดเปรียบแห่งนครเทียนเชียง มาถึงแล้ว
ดวงตาของจวินโม่เซี่ยคงจะหลุดออกมา หากเขาอยู่ที่นี่ ตรงหน้าของเขา นี่คือหญิงสาวผู้งดงามและอ่อนโยน ผู้ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ นางมิได้เป็นเด็กสาวหัวรุนแรงที่จะโกนใส่เขา ต่อสู้และทำรายเขาทุกวัน !
สมาชิกคนสำคัญแห่งสกุลจวิน คำนับต้อนรับแก่สกุลตู่กู้ขณะพวกเขามาถึง
จวินวูอี้ ลูกชายที่สามแห่งสกุลจวิน รอคอยพวกเขาอยู่ที่สุดของเส้นทางที่มีดอกไม้ขนาบข้าง เขากำลังนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้เลื่อน ชุดของเขาเป็นสีดำขลับ ใบหน้าของเขาแหลมคม ดั่งใช้มีดตัด แต่กระนั้น ยังมีรอยยิ้มอันเรื่องรางปรากฏอยู่ ซึ่งเพิ่มความสง่าให้แก่เขา เด็กหนุ่มชุดขาวผลักเก้าอี้เลื่อนของเขาไม่รีบร้อน
” พี่ตู่กู้ “
จวินวูอี้ประกบมือ ปรากฏร่องรอยดีใจบนใบหน้า
” ท่านมาถึงแล้ว “
” น้องจวิน “
ตู่กู้วูตี้ กระโดดลงจากหลังม้า และก้าวยาวตรงมา
” สกุลจวินเปิดกิจการสำคัญ เหตุใดไม่ให้พี่มาเยี่ยมเยียนและช่วยเหลือ เหตุใดเจ้ากระเสือกระสนมารับพวกเราด้วยตัวเอง ? ข้า พี่ของเจ้า สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง มิใช่คนแปลกหน้าสำหรับเจ้า “
” ไม่เสียหายที่จักมาพบปะผู้คน แต่ท่านพี่ เป็นเพียงผู้เดียวในนครที่เหมาะควรได้รับความสำคัญ เช่นนั้น ข้าจักละเลยหน้าที่ เมื่อท่านมาถึงได้กระไร ? “
จวินวูอี้ยิ้ม จากนั้น เขาใช้มือชี้พร้อมดวงตาคาดหวัง
” พี่ตู่กู้ เชิญด้านใน ! “
ตู่กู้วูตี้ มองขึ้นทันที และดวงตาของเขาปรากฏความสุขขึ้นมาในทันที
” น้องสามจวิน ได้โปรด ! “
เขาเดินไปยืนอยู่หลังจวินวูอี้ จากนั้น สะกิดเด็กหนุ่มชุดขาวผู้ที่ยืนอยู่หลังเก้าอี้เลื่อนให้ขยับได้ด้านข้าง ขณะเขาหัวเราะเสียงดัง
” เจ้าไปพักก่อน ข้าจะพาน้องสามเข้าด้านใน “
ร่างของจวินวูอี้เอนหลังผ่อนคลาย ขณะให้ ตู่กู้วูตี้ ผลักเก้าอี้เลื่อน พวกเขาพูดคุณกันขณะจวินวูอี้บอกเส้นทางข้างหน้า บรรยากาศแปรเปลี่ยนปรองดองในทันที และเหมือนทั้งสองมีอารมณ์ร่วมเล็กน้อย
หรือวันเก่าจะหวนคืนอีกครั้ง ?
ตู่กู้วูตี้ หัวเราะลั่น เขาร่าเริงจากก้นบึ้งหัวใจ เขาปาดน้ำตาซึ่งปรากฏขึ้นในดวงตาดั่งพยัคฆ์ อดถอนหายใจอย่างเป็นสุดไม่ได้
น้องผู้นี้อภัยให้ข้าในวันนี้ … เขาเรียกข้าว่าพี่อีกครั้ง … ช่างมีความสุขยิ่ง ข้ามิต้องโศกเศร้าอีแล้ว
สิบปีที่ต้องทนทุกข์และเงียบงัน และมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนั่น แต่มันกลับละลายหายไปเพียงหนึ่งคำนี้ !
ชายทั้งสองดูมีความสุขอย่างมาก และพูดคุยกันอย่างร่าเริง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะยังมีชั้นแห่งความเชื่อบางๆเนื่องจากเหตุนองเลือดในอดีตที่ยังห่อหุ้มพวกเขาอยู่ !
เป็นการติดต่อที่แปลกประหลาดของ สองบุรุษเลือดเหล็ก
จวินวูอี้ได้กำจัดกระบี่แห่งความขุ่นเคืองด้วยร้อยยิ้มของเขา !
สิบปีแห่งความขัดแย่งและเกลียดชัง หายลับไปเพียงแค่รอยยิ้ม !
ช่วงเวลาที่เหมาะสมนี้ ประกาศถึงจุดจบแห่งความขุ่นเคืองของสองยอดขุนพล ผู้ที่เคยฝังมันไว้ในใจนานนับทศวรรษ !
สิงมีชีวิตร่างกำยำดั่งกระบือแห่งสกุลตู่กู้ยังคงเงียบสนท ซึ่งตรงข้ามกับกริยาปกติ พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของช่วงเวลานี้ และ ผ่อนลมหายใจแผ่วเชาเนื่องเกรงจะรบกวนพี่น้องทั้งสอง ที่สายใยได้รับการหล่อหลอมด้วยสมรภูมิมากมาย
พวกเขาแบกเอาเกียรติของเหล่าทหารหาญและอาณาจักรเทียนเชียงไว้บนบ่า !
ดวงตาของตู่กู้เซี่ยวอี้กลายเป็นสีแดงขณะนางสะอื้นอย่างเงียบๆ นางนั้นยังเด็กเกินกว่าจะรับรู้ถึงความสนิทสนมเกินธรรมดาระหว่างชายทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ในฐานะลูกสาว นางได้รับรู้เรื่องราวซึ่งเป็นปัญหาในหัวใจของพ่อตั้งแต่เริ่ม !
ตู่กู้วูตี้ เป็นชายผู้ซื่อตรงมาตลอดชีวิต และไม่เคยจักต้องรู้สึกเสียใจ อย่างไรก็ตาม ยังมีหนึ่งเรื่องที่ทำให้เขาต้องโศกเศร้าอยู่รางๆ
จวินวูเห่ย !
ตู่กู้วูตี้ จะเมามายในทุกปีเมื่อถึงครบรอบวันตายของจวินวูเห่ย เขาจะร่ำร้องออกมาแม้นว่าเขาจะเป็นผู้ที่บึกบึนและนักรบที่แข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่พยายามจะปกปิดเสียงร้องอันดังก้องของเขาเลยแม้แต่น้อย … แม้นเขาจะร้องไห้ออกมา
ตลอดชั่วชีวิตของ ตู่กู้วูตี้ ไม่เคยเลยที่เขาจะเสียน้ำตามากมาย และทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเพราะ ผู้ที่จบชีวิตลงไปคือพี่น้องร่วมสาบาน
บ่อยครั้งที่ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เห็นพ่อของนางเข้าห้องหนังสือกลางดึก เขาถอนหายใจไม่หยุดหย่อนขณะลูบกระบี่ซึ่งจวินวูเห่ยให้ไว้เป็นของขวัญ
แต่กระนั้นในวันนี้ จวินวูอี้ได้ปัดเป่าสิ่งที่ยากจะลบล้างออกจากใจของ ตู่กู้วูตี้ด้วยรอยยิ้ม ! ตู่กู้เซี่ยวอี้ จักไม่รู้สึกพึงพอใจได้อย่างไรกัน ? นางจะไม่ร่ำไห้ออกมาได้อย่างไร ? นางจะไม่หลั่งน้ำตาได้อย่างไร ?
ตามหลังสกุลตู่กู้มาคือ อีกสกุลนึ่งที่สำคัญ สกุลซ้ง สกุลถังและสกุลเมิง มาถึงอย่างต่อเนื่อง ตามเวลาที่กำหนด
หอมณีวิจิตร ซึ่งอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามก็ยังได้รับบัตรเชิญ เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง อยู่ในชุดเกราะสีขาวเช่นปกติ พวกเขามาถึงพร้อม ฮั่นหยานเมิง ผู้งดงามราวบุปผา
และในเวลานั้น ….
ตอนที่ 243
ราชรถสัมฤทธิ์ควบมาเต็มกำลัง ม้าศึกสี่คู่ซึ่งลากมันอยู่นั้น คือสัตว์เชวียนขั้นสี่ เกี้ยวประดับไปด้วยดอกเบญจมาศสีทองอร่าม และแปล่งประกาย ทหารม้าสี่คน ควบม้าเคียงข้างราชรสนั้นด้วยม้าตัวใหญ่อย่างห้าวหาญ
สกุลมูล่งมาถึงในสุดท้าย
เพียงผิวเผิน ปรากฏได้ว่าสกุลมูล่งมิอาจเทียบสกุลลี่ได้ แต่ในเรื่องของ อำนาจและอิทธิพล ไม่อาจะเทียบได้เลยกับสกุลจวินและตู่กู้ ในความเป็นจริง สกุลมูล่ง เป็นหนึ่งในสกุลที่ทรงอิทธิพลที่สุดภายใน นครเทียนเชียง ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะพวกเขาคือสกุลเก่าแก่และแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์
อิทธิพลของสกุลมูล่งจึงมิอาจะละเลย
นอกเหนือจากนั้น สกุลมูล่ง เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ด้วยการสมรส
ไม่มีสกุลชั้นสูง สกุลใดมีความสุขกับเกียรตินี้
อาจจะบอกได้ว่า สกุลลี่ ทรงพลังมากพอจะทำลายสังคมในทุกระดับชั้น ยิ่งไปกว่านั้น ลี่โย่วหลานถือได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้โดดเด่น พร้อมกับฝีมืออันน่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม แม้นว่าเขาตั้งมั่งจะเอาชนะใจองค์หญิงหลิงเมิงตั้งแต่สามปีก่อน องค์จักรพรรดิก็มิได้ถือเรื่องนี้หรือมีความคิดเห็นใดๆ สกุลจวินเป็นสกุลที่เสียสละ ซึ่งเสียสละเหล่าชายชาตรีไปมากมายเพื่อรับใช้ประเทศชาติ
ดังนั้น ปู่จวินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ปล่อยวางความยึดมั่นต่อหน้าองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนเชียง เพื่อมองหาความสัมพันธ์โดยการแต่งงาน ข้อเสนอนี้ได้รับการปฏิเสธอย่างแนบเนียน ไม่มีผู้ใดเชื่อใจเจ้า ชั่วนั้น แม้ว่าผู้อื่นจะเชื่อถือ ดังนั้น ข้อเสนอการแต่งงานของสกุลจวินจึงได้รับการปฎิเสธ … จึงสามารถจินตนาการได้ว่ามันยากสักเพียงใด
ความสำคัญของสกุลมูล่งในสายตาราชวงศ์นั้นยากยิ่งจะแปรเปลี่ยน
เนิ่นนานมาแล้ว มูล่งเจียนจวิน ได้ถ่ายทอดข้อมูลไม่ถูกต้อง ซึ่งสร้างความปั่นป่วนมากมาย และเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นจนจวินจ้านเทียนออกมาชำระล้างนครหลวง ในที่สุด เขาได้สังหารเหล่าคณะเสนาบดีหนึ่งในสามจากการกวาดล้างนั้น จึงไม่ต้องบอกเลยว่า หากเป็นผู้อื่น พวกเขาคงจะถูกประหารไปแล้วนับหมื่นครั้งเนื่องด้วยเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม มูล่งเจียนจวิน จึงได้รับการถอดจากตำแหน่ง และมิอาจเข้ามาได้อีก
เพียงเท่านี้
นี่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความใกล้ชิดของสกุล มูล่งและ ราชวงศ์ และเห็นถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา ดังนั้น ผู้อื่นจักดูหมิ่นอิทธิพลและอำนาจของพวกเขาได้อย่างไรกัน ?
เกี้ยวนี้หยุดลงอย่างรวดเร็ว ทหารม้าแปดคนกระโดลงจากอานด้วยเสียง ฉึบ ลั่น ในหมู่พวกเขา องครักษ์ แยกเกี้ยวและม้าให้เป็นอิสระจากกัน จากนั้น เขาจึงมุ่งไปยังประตูทรงด้วยเครื่องประดับ และเปิดมันออก จากนั้น ยืนตัวตรงดั่งไม้กระทุ้ง ประคองประตูให้เปิดไว้ด้วยหนึ่งมือ
ไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มหล่อเหล่าเดินตัวตรงออกมาจากภายใน เขามิใช่ใครอื่นนอกจาก มูล่งเจียนจวิน จากนั้น มีเท้าอันอ่อนนุ่มยืดเหยียอดออกมาจากประตู เผยถึงการมาของหญิงสาว ที่สวมชุดเกราะสี่เหลืองอร่าม ใบหน้าของนางสะท้อนความภาคภูมิ ขณะนางลงจากเกี้ยวด้วยสง่างาม ไม่นาน ชายแก่ปรากฏตัวขึ้น เขากระแอมและตัวสั่นขณะลงจากเกี้ยว โดยมีสองคนช่วยพยุงร่างจากด้านล่าง
ผู้ที่ยืนดูสูดอากาศอันเยือกเย็น
สกุลมูล่ง เหมาะสมกับ หอชนชั้นสูง ในทุกเงื่อนไขในโลกนี้
สกุลมูล่งที่ยิ่งใหญ่ได้ส่งผู้บัญชากรลำดับสองมา ผู้นั้นคือน้องของนายท่านอาวุโส มูล่งเฟิงจุ้น มูล่งเฟิงยู่
บางที ชื่อเสียงของพวกเขาอาจจะเทียบเท่ากับ สกุลจวิน สกุลถัง หรือแม้แต่ องค์รัชทายาท
มูล่งเจียนจวินและหญิงสาวในชุดสีเหลือง พยุง มูล่งเฟิงยู่ขณะพวกเขาเริ่มเดินเข้าด้านใน
” สกุลมูล่ง ? ไม่ธรรมดาเลย ? แต่พวกเขา ยโสยิ่งนัก ! “
ทันใดนนั้นเสียงสบประหม่าเยือกเย็นดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคำรามทางจมูกแปลกประหลาด ทุกผู้ในสกุลมูล่งตัวแข็งทื่อ และคนจำนวนมากวางมือบนกระบี่ของพวกเขา ทุกผู้คนคล้ายมีโทสะ ผู้ใดในเทียนเชียงกล้าเยาะเย้ยสกุลมูล่ง ? โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สมาชิกผู้นำของเขาปรากฏตัวอยู่ด้วย ? พวกเขามิเกรงกลัวจะสูญสิ้นหรือ ?
สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะกำลังหันไปเพื่อดูว่าคือผู้ใด สายตาของพวกเขาตกลงไปยังสองชายวัยกลางคนในชุดสีขาว และมีสีหน้าเยือกเย็น หนึ่งในพวกเขามีสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ เสื้อคลุมสีขาวอาบได้ด้วยโคลนและสิ่งสกปรก หญิงสาวยืนอยู่ข้างเขา
เขาคือ เพื่อนสามของเซี่ยวฮั่น !
ผู้ไร้อำนาจก็มิอาจะทำในสิ่งใดได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ก่อกวนนั้นเกินกว่ามนุษย์ ?
นครพายุหิมะสีเงินนั้นสูงส่งเกินกว่าสายตาของโลกมนุษย์
เซี่ยวฮั่นรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างต่อต้านเข้าเมื่อเร็ววันนี้ ซึ่งทำให้เขาหดหู่อย่างมาก
เขาเริ่มบูดบึ่งเมื่อมาถึง นครเทียนเชียง ก่อนหน้านี้เขามายังสกุลจวินเพื่อดูหมิ่นคู่แข่งเนื่องด้วยความพอการ แต่คาดไม่ถึงว่า เหล่าเด็กสาวในสกุลจะทำให้เขาดูโง่เง่าและเจ็บปวด ยิ่งไปกว่านั้น มูซื้อทงซ้ำเติมความเจ็บปวดของเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาโมโหอย่างแท้จริงนั้น คือในเวลาที่ ฮั่นหยานโย่ว แอบส่งของขวัญให้แก่จวินวูอี้ เขามิอาจทนต่อเปลวแห่งความริษยานี้ได้
หลังจากนั้น หลานชายของเขาได้รับการโจมตีจากปรมาจารย์ลึกลับ หลังจากมายัง นครเทียนเชียงได้ไม่นาน เคราะห์ดี ที่การฟื้นตัวของเด็กผู้นั้นไม่เกิดปัญหาหลังจากได้รับการวินิจฉัย และฟื้นฟูด้วยตัวยาที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้หมายถึงความล้มเหลวของเขาในการปกป้องหลานชาย
จากนั้น เขาก็ได้ยินข่าวว่าความพิการของสกุลจวินได้รับการฟื้นฟูอย่างกระทันหัน
สิ่งนี้ทำให้ เซี่ยวฮั่น มิอาจทนไหว
เวลานี้ สกุลทั้งสามร่วมมือกันเปิด หอชนชั้นสูง ตรงข้ามกับ หอมณีวิจิตร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามแข่งขันกับ หอมณีวิจิตร แต่กระนั้น สิ่งที่เขามิอาจทนไหวนั้นคือ …. หนึ่งในสามสกุลพันธมิตรนี้คือ สกุลจวิน
เขาไม่สามารถอดกลั้นต่อสิ่งนี้ได้
จากนั้น เขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเขามายังสถานที่นี้ในฐานะตัวแทนแห่ง หอมณีวิจิตร จิตใจของเขาดีขึ้นหลังจากได้ไล่ คู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างมูซื่อทงได้ อย่างไรก็ตาม เหล่ารถม้าได้สาดดินโคลนใส่ร่างของเขาในขณะที่เขากำลังเดินมายังประตูของ หอชนชั้นสูง
ชีวิตของเขามิได้หยุดพักเลยหรือ ? เขาเกือบจะอกแตกตายด้วยโทสะ
เขาสถบดั่งสายฝนพร้อมกระแทกส้นเท้าลงพื้น การปะทะนั้นทำให้ส้นเท้าของเขาปวดเคล็ด ความปวดร้าวในหัวใจของเซี่ยวฮั่นเเกิดขึ้นอีกครั้ง
โทสะในหัวใจของเซี่ยวฮั่นเพิ่มขึ้น และในไม่ช้ามันแพร่ไปยังความกล้าขณะเขามองเห็นสมาชิกสกุลมูล่งลงมาจากรถม้านั้น สามารถบอกได้จากสายตาว่าเขาจงใจจะก่อกวน เนื่องจากหาได้มีแววแห่งเมตตาเลยไม่
ฝ่ายหนึ่งคือ เซี่ยวฮั่น ผู้ที่มิได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก ในขณะอีกหนึ่งคือ มูล่งเจียนจวิน ผู้ที่เป็นดั่งโทสะในอตีด เนื่องจาก มีใครบางคนดูหมิ่นพวกเขาต่อหน้าคนทั้ง นครเทียนเชียง เขายกข้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
” เจ้า เช้านี้เจ้าประสงค์จะตายอย่างรวดเร็วสินะ ! “
ชายหนุ่มผู้นี้ได้ประสบเคราะห์ร้ายมามากมาย การติดตามองค์หญิงหลิงเมิงของเขาส่วนใหญ่ไม่สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น เขาโดนปลดจากตำแหน่งในราชสำนักหลังเผยแพร่ขาวเท็จ ด้วยเหตุนี้ จึงชัดว่าเขาผิดหวังในชีวิตเช่นเดียวกัน และมองหาใครบางคนเพื่อผ่อนปรนมันออกมา
ผู้อาวุโส มูล่งเฟิงยู่ ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากที่กำลังไอขณะดึงเดกหนุ่มถอยหลังด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
การเคลื่อนไหวของ มูล่งเฟิงยู่ นั้นไม่เร็วนัก และดูค่อนข้างเชื่อช้า แต่กระนั้น เขายื่นมือออกไปเพื่อขัดขวางเส้นทางของ มูล่งเจียนจวิน ผู้ห้าวหาญได้ทันเวลา
มูล่งเฟิงยู่นั้นมากประสบการณ์ และดวงตาของเขาแสดงให้เห็นว่า เซี่ยวฮั่น และคนในกลุ่มของเขามีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา ซึ่งเขาสามารถรู้ได้ว่าคำสาปแช่งทั้งหมดที่ชายผู้นี้โยนใส่สกุลของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่เห็นพวกเขาทั้งสามในชุดสีขาวบริสุทธิ์ และเดินออกมาจาก หอมณีวิจิตร เขาจึงคาดการถึง ที่มาของฝ่ายตรงข้าม
” เจ้าว่าอย่างไร เจ้าเด็กชั่ว ? “
ความอาฆาตรของ เซี่ยวฮั่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เซี่ยวฮั่นมาจากเมืองสีเงิน และสวมชุดในวัยหนุ่มสาว ในขณะที่การแต่งกายด้วยสีอื่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามใน นครพายุหิมะสีเงิน เด็กผู้นี้ทำให้มีสีอื่นๆเปราะเปื้อนชุดของพวกเขา ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาไว้ทุกข์ ไม่เพียงแค่เซี่ยวฮั่น แต่ทุกคนจาก นครพายุหิมะสีเงิน จะมีโทสะเมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น
” เด็กหนุ่มผู้นี้หยาบคายเสียจริง เขาควรจักขออภัยนายท่าน “
สายตาของ มูล่งเฟิงยู่ ไม่ชัดเจนขณะมองไปยังเซี่ยวฮั่น ชายผิวขาวแสดงความจริงใจขณะที่เขายิ้มงดงามดั่งดอกเบญจมาศที่กลีบปลิดปลิวไปตามสายลมและฝน
” เพียงแค่มองดูการแต่ตัวของนายท่าน ก็สามารถเห็นได้ถึงความโดดเด่นของวีรบุรุษในสกุลทรงพลังอันดับหนึ่งของโลกนี้ นครพายุหิมะสีเงิน ผู้นี้มิรู้จักนายท่านได้อย่างไรกัน ? และ เซี่ยวปู้หยู แห่งสกุลเซี่ยวเป็นเช่นไรบ้าง ? “
ร่างของเซี่ยวฮั่นกระตุกเล็กน้อยขณะเขาเริ่มหม่นหมองยิ่งขึ้น
อาวุโสผู้นี้เจ้าเลห์ยิ่งนัก เขาได้ชดเชยการสูญเสียด้วยการขออภัย และจากนั้นจึงชักชวน เซี่ยวปู้หยู สนทนา ด้วยวิธีนี้ เขาแสดงให้เห็นว่าเขารู้จักชายผู้นั้นพร้อมยืนยันถึงอายุขัยพร้อมกัน การปฏิบัติของชายผู้นี้ต่อ เด็กหนุ่มสกุลเซี่ยวเป็นสกุลเซี่ยวนั้นสามารถลดโทสะของเขาลงได้
เซี่ยวปู้หยูมีชื่อเสียงโด่งดัง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าชายผู้นั้นจักโกหก แต่กระนั้น คนผู้นี้คือผู้บัญชาการอันดับสองแห่งสกุลมูล่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจักอ้างถึงความสัมพันธ์ที่ไม่จริง
เซี่ยวฮั่นมองตรงไปยังอาวุโสและพยายามควบคุมโทสะ
” ผู้อาวุโสเซี่ยว เป็นบุญคุณในความเป็นห่วงของเจ้า “
” ฮี่ ฮี่ พวกเรามิใช่คนอื่นไกล ไม่จำเป็นจักต้องพิธีการเช่นนั้น “
มูล่งเฟิงยู่หรี่ตาลง และค้อมต่ำ
” พวกเราผิดในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น และสกุลมูล่งของข้ายอมรับในความผิดนั้น ในทางกลับกัน พวกเราหวังซึ่งความเมตตาจากท่าน “
เซี่ยวฮั่น ครวญรุนแรง
” ไม่จำเป็น ! “
มูล่งเฟิงยู่ ผ่อนคลายเล็กน้อยหลังจากตระหนักได้ว่าปัญหานั้นแก้ไขแล้ว เขาลืมตาขึ้นและเหลือบมองดุร้ายไปยัง มูล่งเจียนจวิน จากนั้นเขาเพ่งมองไปยัง มูล่งเจียนจวิน ผู้ที่กำลังเพ่งมองอย่างเฉยชามายังเขา จากนั้น สายตาไปตกลงที่หญิงสาวผู้ที่ยืนอยู่ข้าง เซี่ยวฮั่น หน้าตาของนางงดงามดั่งบุปผาซึ่งเบ่งบานท่ามกลางหุบผาน้ำแข็ง
เขาใคร่ครวญในใจ
หากข้าได้เกี้ยวพาหญิงผู้นี้ … ข้าจะไม่ทำให้สกุลของข้ามีความสัมพันธ์กับ นครพายุหิมะสีเงินหรือ ? กระนั้น เรื่องนี้ … ข้าจักต้องใช้เวลาที่เหมาะสมเพื่อตัดสินใจ หญิงสาวผู้นี้ เป็นดั่งเนื้อหงส์ในสกุลของข้า ไม่ว่านางจะอยู่ในตำแหน่งใดใน นครพายุหิมะสีเงิน
ในเวลานั้น เสียงกีบเท้าม้ามากมายดังขึ้นในทิศห่างไกล ไม่นานก็มีกองกำลังจำนวนมากตามมา แท้จริงแล้วนี่คือ องค์ชายทั้งสาม แต่กระนั้น ที่อยู่ด้านหน้าพวกเขาคือเกี๊ยวของ องค์หญิงหลิงเมิง
มูล่งเฟิงยู่ จึงมีเวลาไม่มากนักให้สนทนา จากนั้น เขาจึงทักทายเซี่ยวฮั่นและเดินเข้าด้านใน พร้อมกับผู้ที่ประคองเขาอยู่
ในช่วงเวลานี้ อีกเสียงราชรถดังขึ้นจากทิศทางอื่น ราชรถนี้เป็นของ องค์รัชทายาท และมาถึงเวลาเดียวกันกับพวกเขา บุคคลสูงศักดิ์เหล่านี้มาถึงในวินาทีสุดท้ายในเวลาเดียวกัน พวกเขามาถึงในช่วงหมดเวลาพอดี
องค์หญิงหลิงเมิงนั่งอยู่ภายในรถม้า พร้อมความคิดที่รบกวนนาง
นางไม่ต้องการจะมาที่นี่ในวันนี้ มันมิใช่งานอดิเรกของนาง และนางไม่ต้องการจะทำในสิ่งที่ผิดพลาด อย่างไรก็ตาม พ่อของนาง องค์จักรพรรดิ ตัดสินใจว่าเขาต้องการมาสอดส่อง และขอให้นางมาด้วยในทันที จากนั้น พระองค์ และ นายท่านเหวินจึงปลอมตัว และตามนางมาด้วย
ด้วยไม่มีทางเลือก องค์หญิงหลิงเมิงจึงต้องทำตาม เวลานี้ นางไม่รู้ว่าบิดาของนางมีแผนการใด พรองค์ทรงสั่งให้เกี้ยวของนางหยุด และให้เกี๋ยวของพี่ชายทั้งสามของนาง ไปอยู่ด้านหลังตลอดการเดินทาง ดูราวกับพระองค์ประสงค์จะก่อปัยหาให้ลูกชายทั้งสาม โดยการบังคับให้ราชรถของพวกเขาชนกันบนถนน
จึงทำให้องค์หญิงไม่รู้สึกสงบสนตลอดการเดินทางนี้
ตอนที่ 244
แท้จริงแล้ว องค์หญิงหลิ่งเมิงมิได้คาดว่าองค์ชายทั้งสามจะติดตาม องค์จักรพรรดิมาด้วย น่าตกใจ ที่ราชรถของพวกเขา เคลื่อนที่ขนาบกันไปตามถนน และกระแทกกระทั้นกับสองข้างทางและด้วยกันเอง เคราะห์ดี ที่ถนนนั้นกว้างพอให้พวกเขาผ่านไปได้ แต่กระนั้น บ้านเรือนที่อยู่สองข้างทางนั้นได้รับความเสียหายจากพวกเขาทั้งสามและพังลง
.ข้ายังมิรู้เลยว่าสิ่งที่ท่านพ่อประสงค์ในแผนการนี้คือสิ่งใด อาจเป็นเพราะ พระองค์ไม่พอใจในการเผชิญหน้า หรือยังไม่ถือว่ามันรุนแรงมากพอ ? หรือจะให้พวกเขาทั้งสาม เผยถึงจุดอ่อนและฉีกหน้าตัวเองต่อหน้าผู้อื่น ? ด้วยพฤติกรรมาของพี่ข้าทั้งสาม สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลย !
แต่กระนั้น สิ่งที่องค์หญิงหลิงเมิคาดการไว้นั้นจะไม่เป็นจริง
เพราะว่าราชรถขององค์ชายสามารถฝ่านเส้นทางที่คับแคบไปได้ และไปถึงจุดหมายในเวลาเดียวกันได้ โดยไม่มีผู้ใดรั้งท้าย ทำให้ ความตึงเครียดระหว่างพวกเขาปลดเปลื้องลงรวดเร็ว ถนนที่ หอมณีวิจิตร และ หอชนชั้นสูง ตั้งอยู่นั้นกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม มันยังมีข้อจำกัด และ ท้ายที่สุด ขบวนขององค์ชายทั้งสามเบียดเสียเข้าไปในถนนนี้ ในที่สุด ด้านข้างราชรถของเขาชนเข้าด้วยกัน
แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่โชคดีที่ราชรถอีกคันหนึ่งเสียเวลา ราชรถคันนี้เป็นของ องค์รัชทายาท
จึงมี ราชรถของราชวงศ์อยู่ที่นี่ห้าคัน ซึ่งสี่คันแรกนั้นมาด้วยกัน และพบกับอีกคันหนึ่ง
ข้าเกรงว่าจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์แห่งปัญหาได้ยากยิ่ง ทั้งหมดนี่บังเอิญจริงหรือ ? หรือเป็นความตั้งใจ ?
สถานการณ์นี้ทำให้ องค์หญิงหลิงเมิง วิงเวียน เพียงสิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การฉลอง คือ ในที่สุด อนุชาขององค์จักพรรดิได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของราวงศ์ เนื่องจาก เขาเป็นส่วนหนึ่ง หากพี่ชายทั้งสามของนางตัดสินใจยอมแพ้ นางจะสามารถไกล่เกลี่ยสถานการณ์นี้ไม่ยากเย็น
หนุ่มสาวหลายผู้มีรับหน้าที่ต้อนรับแขก ออกมาจาก หอชนชั้นสูง แต่กระนั้น พวกเขากลับจ้องมองสถานการณ์นี้อย่างเบาปัญญา ถนนที่ หอมณีวิจิตร และ หอชนชั้นสูง ตั้งอยู่นั้นถือได้ว่าเป็นสถานที่ ที่ดีที่สุดใน นครเทียนเชียงเนื่องด้วยเป็นถนนที่กว้างที่สุดในนคร ความจริงแล้ว ถนนเส้นนี้สามารถให้เกี้ยวสามคันขนานกันได้โดยไม่ชนกัน จำเป็นต้องพูดว่า มิเคยมีสิ่งใดกองพะเนินอยู่ที่นี่
ยิ่งไปกว่านั้น หอมณีวิจิตร บนถนนเส้นนี้ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ผู้ที่เหมาะจะเข้ามาสถานที่นี้นั้นรู้จักที่มาของ หอมณีวิจิตร เป็นอย่างดี ไม่มีผู้ใดโง่เขลาพอจะก่อปัญหาในถนนเส้นนี้
แต่กระนั้น ในตอนนี้ …
ราชรถของ พระอนุชานั้นหยุดลงเป็นคันแรก สองคนรับใช้เปิดม่านคลุมเกี้ยว มีเดินก้าวออกมาจากเกี้ยวพร้อมการช่วยเหลือ เด็กผู้นั้นคือ ลูกชายของ พระอนุชา ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่จวินโม่เซี่ย เย้าหยอกว่า เด็กสาวน้อยน่ารัก หยางมู่
องค์หญิงหลิงเมิง หลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ พระอนุชาองค์รัชทายาท เขาคือสมาชิกในสกุลของนาง ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่รวมสเด็จพ่อของนาง เขาคือผู้อาวุโสอีกเพียงหนึ่งในราชวงศ์รุ่นราวคราวเดียวกับเขา แม้นว่าท่านพ่อของนางจะอยู่บนเกี้ยวของนางในขณะนี้ นางก็ยังคงหลบทางให้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่า นางยังชอบพระญาติของนางด้วย นอกเหนือจากนี้ พระอนุชาเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมใน หอชนชั้นสูง ดังนั้น จึงเหมาะสมแล้วที่นางจะหลีกทางให้เขาก่อน
แต่กระนั้น สถานการณ์ในขบวนขององค์ชายทั้งสามเป็นเช่นเดิม
พวกเขายังคงต่อสู้กันเพื่อมาถึงเป็นที่หนึ่ง และสิ่งต่างๆแย่ลงเมื่อพวกเขามุ่งหน้าไปถึงประตู ซึ่งก่อให้เกิดเสียงดังวุ่นวาย
ท่ามกลางกลุ่มเหล่าองค์ชาย มีชายชุดดำผู้ที่เพ่งมองขบวนขององค์ชายอย่างเยือกเย็นอยู่ เขาเฝ้ามองกิจกรรมที่เกิดขึ้นในราชรถขององค์ชายแต่ละพระองค์ แต่กระนั้น เขาก็มิได้เอ่ยสิ่งใด แม้นว่าดวงตาของเขาจะแหลมคมดั่งมีด
ในตอนนี้ จวินโม่เซี่ยได้รับข่าวเรื่องนี้แล้ว แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์น่าอายเช่นนี้ เขาจะมัวรอช้ามิได้
นายน้อยจวิน สถบไม่หยุดหย่อน
พี่น้องทั้งสามนั้นแยกดีเลวไม่ออกรึ ? การจลาจลของพวกเจ้าจำสร้างปัญหามากมายแก่ข้า ! หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าจะส่งบัตรเชิญให้พวกเจ้าเพียงหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายนี่
นี่คือช่วงเวลาสำคัญ และข้ามีงานมากมายที่ต้องสำเร็จ ข้าพยายามจัดการสถานที่อันมโหฬารนี่เพื่องานประมูล เจ้าคิดว่ามันคือเรื่องตลกกระนั้น ? ทำตัวดีๆหน่อยเจ้าสามตัวสกปรก ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า !
เจ้าอ้วนถัง และ ซ้งฉางคือเจ้าภาพใหญ่ในการประมูล ชัดเจนว่าพวกเขายังมิได้ออกมา แม้นว่าพวกเขาจะออกมา ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ เนื่องด้วย สถานะของชายทั้งสามนี้สูงส่งยิ่ง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมิใช้กำลังเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ เป็นที่ยอมรับกันว่า จวินวูอี้ นายท่านสามแห่งสกุลจวินสามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม หากจวินวูอี้ปรากฏตัวขึ้น เป็นไปได้ว่าเขามีส่วนในการแข่งขันององค์ชายทั้งสาม ซึ่งนั่นไม่ช่วยอะไรมากนัก ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงมิใช่ตัวเลือก
สำหรับผู้อื่นนอกจากนี้ …
ขุนพลตู่กู้วูตี้อาจจะออกมา และคำรามใส่ทั้งสาม เป็นไปได้มาก ว่าเขาจะเป็นกลาง องค์ชายทั้งสามนั้นสูงส่งเกินกว่าสายตาของผู้คน แต่กระนั้นพวกเขาก็มิได้ให้ความสำคัญกับขุนพล กระนั้น ทั้งสามก็เป็นแขกของจวินโม่เซี่ย การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นมิใช่สิ่งรื่นรมย์
นอกจากนี้ จวินโม่เซี่ยคาดว่า หากเขาชนะการพนัน เขาจะไม่รับสิ่งตอบแทนจากขุนพลตู่กู้ หากเขาใช้กำลังเพื่อยุติข้อพิพาทนี้
คนอื่นช่วยเจ้าแก้ปัญหานี้หรือ
ดังนั้น ยอดขุนพลตู่กู้วูตี้จึงไม่ต้องถามถึง
บางทีจวินโม่เซี่ยอาจะเป็นเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม แม้นว่าสถานะของจวินโม่เซี่ยเป็นรององค์ชายทั้งสาม เขายังสามารถรับมือได้ ด้วยเหตุนี้ การใช้ชื่อเสียงจอมเสเพลอันโดดเด่น ซึ่งมีนิสัยขี้โกงและอันธพาล จึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่น่าสงสัย ดังนั้น หลังจากได้รับรายงาน จวินวูอี้และถังหยวนจึงมองไปยังใบหน้าของ นายน้อยจวินอย่างรวดเร็ว
” โม่เซี่ย มันสำคัญที่จักต้องตัดสินเรื่องนี้ มันจะต้องมีวิธีการโกงบางอย่าง ด้วยเหตุนี้มีเพียงเจ้าที่สามารถ “
จวินวูอี้เอ่ย
ท่าทางเช่นนี้เรียกว่าอะไร ? เหตุใดจึงเปรียบข้าเป็นตั่งตัวโกงและอันธพาล ?
จวินโม่เซี่ยเริ่มหม่นหมอง
” นายท่าน เป็นดั่งที่เอ่ยกันว่า ใช้ปิศาจปราบปิศาจ การมีส่วนของตัวท่านเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด “
ถังหยวนตบขณะยกยอ
คำเยินยอของเจ้าอ้วนทำให้ นายน้อยจวิน มีโทสะ
ใช้ปิศาจปราบปิศาจ ? ข้าเป็นปิศาจในร่างคน ?
คำพูดเยินยอที่เสื่อเสียทำให้นายน้อยจวินต้องสถบ
แม่เจ้าเอ๋ย !
เขาพูดว่ากระไร ? เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าเป็นปิศาจ ? ช่างไร้สาระ !
อย่าไรก็ตาม ปัญหาระดับนี้สามารถแก้ไขได้โดยผู้ที่สามารถเท่านั้น
ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงรีบมุ่งไปยังสถานที่ซึ่งเสียงโหวกเหวกดังขึ้น
กระนั้น ก่อนที่เขาถึงสถานที่นั้น เขาพุ่งเข้าใส่ เซี่ยวฮั่น มูซื้อทง และ น้องสาวของ ฮั่นเซี่ยวโย่ว และตามมาด้วย สมาชิกระดับสูงสกุลมูล่ง
มูซื้อทงยิ้มแผ่วเบา และพยักหน้า ในขณะที่ เซี่ยวฮั่นคำรามทางจมูกเยือกเย็น เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยโสและทำประหนึ่งมองไม่เห็นจวินโม่เซี่ย มีเพียงเด็กน้อยที่มองไปยังใบหน้าของจวินโม่เซี่ยและคว้าปกเสื้อของเขา นางทำปากห้อยขณะเพ่งมองไปที่จวินโม่เซี่ยและพูด
” เด็กน้อยสกุลจวิน ทักทายอาของเจ้า และนางจะทำดีกับเจ้า “
จวินโม่เซี่ยในเวลานี้อารมณ์ไม่ดีนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงกรอกตาและตอบกลับ
” ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่า พี่สาวเจ้าและน้าของข้ายังมิได้แต่งกัน ยิ่งไปกว่านั้น จะกล่าวให้ถูกต้องคือ พวกเขาประสงค์จะแต่งงานกัน เช่นนั้น เจ้าจะสามารถเงียบปากลงได้หรือไม่ ? โอ้ว เจ้ารู้อะไรไหมท่านป้า ? ดูเจ้าสิ หน้าอกของเจ้าแบนราบ เอวและก้นของเจ้ายังไม่มีส่วนโค้ง ดูผมเจ้าสิ ดูเช่นไรก็คลับคล้ายกับเส้นขน แม้แต่กลิ่นน้ำนมก็ยังไม่จากหายไปจากตัวเจ้า ตอนนี้เจ้าเข้าใจผิดไปหรือว่าเจ้ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาวุโสผู้นี้ ? หอให้ตัวเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อน ค่อยมากคุย และเสแสร้งทำเป็นคนในวัยเดียวกับข้า “
คำพูดเหล่านี้ของจวินโม่เซี่ยทำให้โกรธเคืองอย่างแท้จริง ความจริงแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใดที่เอ่ยเช่นนี้
เด็กสาวผู้นี้เติบโตกว่าเด็กชาย แม้ว่า น้องเล็กของ ฮั่นหยานโย่ว อายุสิบสีหกเดือน หากแต่นางก็ยังมิได้เป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม อาจจะบอกได้ว่ามันเป็นดั่งการเริ่มเอ่ยคำมั่น หากเทียบกับตูกู้เซี่ยวอี้นางมิได้ขาดในด้านใด ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงไม่อาจถูกต้องเมื่อบอกว่า นางแบนดั่งแผ่นเนื้อ
” เจ้า … เจ้า “
น้องสาวฮั่นหยานโย่วได้ยินคำพูดไร้สาระของจวินโม่เซี่ย นางกระทืบเท้า นางอดจะรู้สึก อับอายและโกรธเคืองมิได้ นางกระทืบเท้าเล็กๆลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะใบหน้าน้อยๆอันโสภาของนางกลายเป็นสีแดง ทันใดนั้นเอง ดวงตาของนางเปลี่ยนทิศไปขณะพูดอย่างระมัดระวัง
” ข้าไม่สนใจ แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าเจ้ามีเรื่องเร่งรีบเล็กน้อย เช่นนั้น ข้าจะไม่ให้เจ้าผ่านไปหากเจ้ายังมิเรียกข้าว่าท่านน้า ไม่ว่าเจ้าประสงค์สิ่งใด ! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าไม่เป็นกังวล “
มือเล็กๆของนางคว้าคอเสื้อของเขาไว้
สถานะของนางสูงส่งมากใน นครพายุหิมะสีเงิน แม้ว่านางจะยังเด็ก อย่างไรก็ตาม สถานะของนางก็มิได้สำคัญ เพราะเรื่องนั้นเป็นของคนรุ่นก่อน เดิมทีแล้ว นางเรียกผู้อื่นว่า อาจารย์ นายท่าน ท่านลุง ลุงใหญ่ ปู่ ทวด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางเป็นเด็กในสกุล นางจึงได้แต่เรียกคนในรุนราวคราวเดียวกับนางว่า พี่สาว พี่ชาย
เมื่อนางได้มาพบกับเด็กน้อยสกุลจวินในนครเทียนเชียง นางจึงต้องการให้เจ้าปิศาจน้อยผู้นี้แสดงความเคารพต่อนางโดยเฉพาะ เมื่อนางได้รู้ว่า พี่ใหญ่ของนางจะแต่งงานกับลุงของเขา จวินโม่เซี่ยจึงถือได้ว่าเด็กกว่านาง นั่นจึงเป็นโอกาสที่น่ายินดีสำหรับนาง เป็นดั่งการที่นางได้เจอสมบัติซึ่งนางเฝ้าฝัน นางจะปล่อยเขาไปง่ายๆได้อย่างไร ? เดิมที นางรังวานเขา และต่อสู้หลังชนฝาเพื่อให้ถูกเรียกว่าน้าสาว
” เฮ้ย … “
จวินโม่เซี่ยได้ยินเสียงดังจากด้านนอก และมันยิ่งดังขึ้นทุกขณะ ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าทันที
” เอาละ ข้าเกรงจะบอกเจ้าว่าจะเรียกเจ้าว่าอะไรดีจึงไร้ซึ่งคำถาม หมู … น้อย ! เจ้าเป็นหมูน้อย ? “
เสียงของเขาคลุมเครือและพูดคำนี้อย่างนุ่มนวล ดังนั้น สาวน้อยจึงมิอาจได้ยินมันได้อย่างถูกต้อง แม้นว่าจะดูเหมือนมีพิรุธ แต่นางก็ยังคิดว่าเขาเรียกนางว่า น้า ด้วยพึงพอใจ นางยกคางเล็กๆ หน้าอกน้อยๆ และ ปล่อยมือจากปกเสื้อจวินโม่เซี่ย ขณะนางโบกมือและพูด
” ไป ทำตัวดีๆเด็กน้อย แต่ในวันหนึ่งข้างหน้า เจ้าจะต้องเรียกข้าว่าท่านน้า ก่อนเอ่ยชื่อ และน้าสาวผู้นี้จะปกป้องเจ้า “
คล้ายว่าจวินโม่เซี่ยจะลอกลวงเพื่อการได้อภัย เขาหายตัวไปดั่งกลุ่มควัน
” โอ้ เขาเพิ่งเรียกข้าว่า น้า … เหตุใดมันจึงรู้สึกไม่ถูกต้อง ? “
เด็กสาวพึมพำกับตัวเอง
” เขาเรียกเจ้าว่า หมูน้อย มิได้เรียกเจ้าว่า น้า “
มูล่งเจียนจวินเคยเกี้ยวพา องค์หญิงหลิงเมิง และจวินโม่เซี่ยคือคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวผู้นี้งดงามยิ่ง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพยายามทำให้จวินโม่เซี่ยดูแย่ลง เพื่อหวังเอาชนะใจของหญิงสาวผู้นี้
ปากของ ฮั่นหยานเมิง ดูคล้ายกาน้ำชาขณะนางบุ้ยปาก นางหันไปด้วยควาโศกเศร้าในหัวใจ ขณะที่เห็นเพียงแค่ด้านหลังของจวินโม่เซี่ยห่างออกไป นางกำมือน้อยๆแน่น
” ไปตายซะเจ้าชั่ว ! “
เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง เหลือบมองอย่างโหดร้ายพร้อมกัน
” เงียบ ! “
ทั้งสองจากนครพายุหิมะสีเงินมีสีหน้าไร้อารมณ์ พวกเขาทั้งสองนั้นมีเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน เนื่องจากไม่เคยจะเห็นด้วยในเรื่องเดียวกัน แต่กระนั้น กลับกลายเป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขา ที่ทั้งสองเอ่ยในสิ่งเดียวกัน พวกเขามองหน้ากัน คำรามทางจมูกพร้อมกัน และหันหน้าหนี …. ในเวลาเดียวกัน
มูล่งเจี้ยนจวินเงียบปากลงเนื่องด้วยกลัว
เห็นได้ชัดว่า เซี่ยวฮั่น รังเกียจ มูล่งเจียนจวิน เพียงแค่มองจากใบหน้าของเซี่ยวฮั่น ก็บอกได้ว่าเขาต้องการจะเตะก้นเจ้าเด็กนี่ สิ่งที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นคือ ฮั่นหยานเมิง เป็นเป้าหมายในหัวใจของหลานชาย และได้รับอนุญาติจากสกุลเซี่ยวให้เป็นสะใภ้ เห็นได้ชัดว่าเขาจักไม่ปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นต่อหน้าของเขา
เด็กๆจากสกุลมูล่งอันต้องต่ำของเจ้า ต้องการจะเคลื่อนไหวเช่นนี้ ? เจ้าเชื่อจริงๆหรือ ว่าคางคกสามารถกินเนื้อหงส์ได้ ? เจ้าประเมินความสามารถตัวเองสูงเกินไป
สำหรับมูซื่อทง การไล่เตะผู้อื่นในขณะที่พวกเขาย่ำแย่นั้นเป็นเรื่องเลวทราม ดังนั้น เขาจึงไม่ประเมิน มูล่งเจียนจวิน ดีเกินไป
ในขณะที่จวินโม่เซี่ย มาถึงที่นี่ องค์ชายสามอยู่พร้อมกับลูกของ องค์รัชทายาท หยางมู่ ความจริงแล้ว พวกเขาเริ่มก่อปัญหายิ่งขึ้น
หยางมู่ น้องผู้น่ารักได้พบกับจวินโม่เซี่ยหลายครั้ง น่าประหลาดใจ ที่เขาดูมีความสุขกับความเจ็บปวดที่ก้น อันธพาล ตัวโกง และเด็กเสเพลสำหรับพี่ๆ เขาลงจาก รถม้าอย่างกระตือรือล้น และวิ่งตรงไปยัง หอชนชั้นสูง สถานที่นี้คุ้นเคยสำหรับเขา เนื่องด้วยเคยมาหลายหนแล้ว
องค์ชายหนึ่ง และสองยังคงเฝ้ามองอยู่ใน ราชรถ เนื่องจากพวกเขายังคงคิดว่า สิ่งนี้มิได้สำคัญกับตัวเอง แต่กระนั้น องค์ชายสามมิได้มีความสุข ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขาพยายามไล่กวดพี่ชายทั้งสองนั้นมิอาจทำได้ แม้นว่าความแข็งแกร่งของเขาจะน้อยที่สุดในท่ามกลางสาม และเป็นอีกครั้ง ที่ดูเหมือนว่าจะโชคร้ายสำหรับเขา เขาพยายามเบียดทั้งสองอย่างหนัก แต่ยังถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่ามันทำให้เขาหม่นหมอง แม้นในตอนนี้ เขาจะมองตัวเองเป็นองค์ชาย และรู้สึกว่าเขายังไม่สามารถเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยหยางมู่ก็แซงหน้าองค์ชายทั้งสามและกำลังจะเข้าไปด้านในก่อนพวกเขา ตอนนี้เขาจะเหลือเกียรติใดอีก ?
เขารับในสิ่งที่เด็กผู้นี้มอบให้ แต่กระนั้น เขาลืมไปว่า สกุลของ องค์รัชทายาทนั้นเป็นหนึ่งในสามผู้ก่อตั้ง หอชนชั้นสูง
” นั้นคงมิใช่ลูกพี่ลูกน้องมู่ ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าต้องทักทายญาติผู้พี่เมื่อเจ้าเจอเขา ? ยิ่งเจ้าอาวุโสขึ้น เจ้าลืมกำพืดกระนั้นหรือ ? เจ้าเป็นส่วนหนึ่งในราชวงศ์ เจ้าหาได้มีสมบัติผู้ดีและเที่ยวเดินชนผู้คนไปทั่วได้กระนั้น ? สมาชิกสกุล องค์รัชทายาท นั้นช่างหยาบคายยิ่ง พวกเขาไม่รู้จักรอคอยเจ้าเหนือหัวก่อนหรือกระไร ? “
องค์ชายสามร่างผอม และใบหน้าขาวเผือกเล็กน้อย เสียงของเขาฟังคล้ายนุ่มนวลขณะออกมาจากราชรถ เขายืนยึดมั่นอยู่บนพื้นขณะตำหนิลูกพี่ลูกน้อง
อย่างน้อยยังมีผู้หนึ่งที่ไม่ทิ้งข้าไว้เบื้องหลัง
” โอ้ว … คาราวะ … องค์ชายสาม “
หยางมู่ เหลือบมองเขาตระหนก หยางมู่ ไม่สามารถพูดสิ่งใดได้มาก แต่เขาเกลียดลูกพี่ลูกน้อง องค์ายสามผู้นี้
” แล้วองค์ชายสาม ? องค์ชายหนึ่งและสองก็รออยู่ และเจ้ายังมิได้เอ่ยปากกับเขา กริยาของเจ้าช่างน่าเกรงกลัว ! เจ้าคิดว่าผู้อื่นต้อยต่ำกว่าเจ้าหระนั้น ? หรือว่าเจ้ามิเคยศึกษามารยาท ? อืม ? “
องค์ชายสามมองหยางมู่เย่อหยิ่ง เขาพึงพอใจเนื่องด้วยได้ระบายโทสะ
เขารู้ว่าหยางมู่นั้นมิมีนิสัยครหา นั่นเพราะเขาต้องการผู้ที่มีสถานะเหมาะสมให้เขาสามารถปลดปล่อยโทสะและความรู้สึกได้ หยางมู่ ยังเด็กแต่ฐานะของเขาก็สูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้น เด็กผู้นี้มีท่าทางอ่อนโยน จึงกลายเป็นเป้าหมายที่ดีของเขา มากไปกว่านั้น แม้นว่า องค์รัชทายาทจะมีอำนาจมากมาย และเป็นเป็นพี่ของเขา เขาก็ยังใช้ชีวิตเรียบง่าย และไม่เคยแสดงความสนใจในเรื่องของ ราชวงศ์เลย อาจกล่าวได้ว่า อิทธิพลของเขาในราชวงศ์นั้นน้อยนิด ดังนั้น องค์ชายสามจึงน่าจะละอายต่อหยางมู่ ผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าของเขาโดยไม่ต้องสงสัย ความจริงแล้ว เขาไม่เคยสนใจถึงเรื่องจริงที่เด็กน้องผู้นี้มีชื่อแซ่เดียวกับเขา
ภายในขบวนองค์หญิงหลิงเมิง ชายชุดดำมีสีหน้าหมดหมองมากขึ้นเมื่อได้เห็นสิ่งนี้
หยางมู่นั้นเพียงแค่สิบขวบ เขาจะสามารถทนต่อคำวิพากษ์ที่น่าเกลียดนี้ได้อย่างไร ? ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่เด็กก็รู้ว่านั่นมิใช่ความผิดของเขา ดังนั้น มันจึงทำให้รู้สึกผิดตามธรรมชาติ ด้วยเหตุนั้น ขอบตาของเขาจึงเริ่มแดงขณะน้ำตาเริ่มเอ่อนอง ไม่นาน มุมปากของเขาเริ่มกระตุก และดูเหมือนว่าเขากำลังจะร้องไห้
” นั่นจะมากไปแล้ว พี่สาม ! เด็กนั่นยังมิได้เอ่ยสิ่งใด เหตุใดท่านจึงทำให้เขากลัว ? “
องค์หญิงหลิงเมิงมิอาจทนดูได้อีกต่อไป ความจริง นางเกือบจะวิ่งออกไปจากราชรถ และพุ่งไปหาพวกเขา ในขณะนั้นเอง ชายเกราะสีดำผู้ใจเย็นและสงบที่อยู่ด้านหลัง ดึงนางกลับไป
” เด็กน้อย ? เด็กนี่มิได้เข้าใจมารยาทแม้แต่น้อย พวกเราเป็นสมาชิกราชวงศ์ พวกเราคือชนชั้นสูงแห่ง นครเทียนเชียง เจ้าจะเปรียบเขากับเด้กธรรมดาได้เช่นไรกัน ? ข้าเพียงแค่สั่งสอนเขา เนื่องจากมันสำคัญที่เขาต้องเข้าใจถึงมารยาทการเคารพ หลังจากนั้น เมื่อเขาต้องรับมือเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง เขาจะได้ไม่ต้องทำตัวแย่ๆ เขาจักต้องไม่นำความเสื่อมเสียมาสู่ราชวงศ์ “
มุมปากขององค์ชายสามยกขึ้นขณะยิ้มเยือกเย็น เขามิได้ให้ความสำคัญกับน้องสาว หรือจริงจังกับนาง
” โอ้ …. โอ้ … โอ้ …. นั่นคงมิใช่องค์ชายสาม ? กริยาท่านด้อยลงยิ่ง ! ความจริงแล้ว ท่าทางของท่านก็ต่ำช้าลงไปมาก ! ท่านมายืนอยู่นห้าประตูโดยไม่ยอมเข้ามาได้เช่นไร ? คงมิได้ต้องการให้ สกุลจวิน สกุลถัง และองค์รัชทายาทเสียหน้าใช่ไหม ? “
ทั้งหมดได้ยินเสียงอันแปลกประหลาดขณะจวินโม่เซี่ยเดินออกมา คิ้วของเขาชี้ขึ้น และมีประกายเจ้าเล่ห์ในดวงตา เขาก้าวตรงไปอย่างโอ้อวด และหยุดตรงหน้าหยางมู่ ด้วยเท้าข้างหนึ่งอยู่ด้านหน้า และอีกข้างอยู่ด้านหลัง บิดเอวไปฝั่งหนึ่ง และทำท่าทางให้เลิศหรูดูดี
ยกมือขึ้นสู่อากาศ ขณะโบกพัดสีทองในมือ ตอนนี้คือช่วงปลายสาทรฤดู และความร้อนยิ่งยวดที่มีอยู่นั้นหายไปในบัดดล ความจริงแล้ว อาจจะบอกได้ว่ามันเริ่มเย็นขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ จวินโม่เซี่ย โบกพัดด้วยท่าทีสง่างาม เห็นได้ชัดว่าเขาขาดศีลธรรมอย่างชัดเจน ทุกผู้ที่มองไปยังเขาอดรู้สึกว่าเขาเป็นบ้าไปไม่ได้
” นายน้อยสามจวิน องค์ชายผู้นี้กำลังสั่งสอนบทเรียนแก่ลูกผู้น้อง เรื่องนี้หาเกี่ยวกับเจ้าไม่ “
องค์ชายสามดูหมิ่นคนเลวผู้นี้ ในสายตาของเขา เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงปลิดที่เกาะกินสิ่งที่พ่อแม่ของเขากระทิ้งไว้
” เจ้าบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไร ? พระองค์สาม ท่านกำลังขัดขวางเจ้าของคนที่สามแห่ง หอชนชั้นสูง และสั่งสอนเขาไม่รู้จบ สิ่งนี้ทำให้การประมูลของข้าล่าช้า แล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าได้เช่นไร ? สิ่งนี้ไร้เหตุผลกระนั้นหรือ ? “
จวินโม่เซี่ย มองไปยังใบหน้าของเขา ในสายตาของนายน้อยจวิน คนผู้นี้สามารถอยู่รอดได้เนื่องด้วยบารมีรุ่นพ่อ ความจริงแล้ว คนผู้นี้มิอาจอยู่รอดได้ หากเขาจักต้องกระทำมันด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ส่ิงที่ทำให้คนผู้นี้ไร้คุณค่านั้นคือความทะเยอทะยานของเขา หากแต่เขาไม่มีฝีมือใดๆเลย
จวินโม่เซี่ยเสแสร้งมักใหญ่โดยการยืดอก ร่างของเขาเอนไปเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถยืนหยัดได้มั่นคงขณะเขาต่อ
“เรื่องเล็กน้อยนี้เกี่ยวข้องกับการที่ หอชนชั้นสูง ของข้าจะได้รับเงินสีสาวและทองสีเหลือเปล่งปลั่ง ความจริงแล้ว เรื่องนี้สำคัญเนื่องจาก เมื่อพวกเราหาเงินมาได้ พวกเราจะจ่ายส่วยแก่นคร หากเจ้าขัดขวาง มันจึงหมายถึงว่าเจ้า กีดกันส่วยที่นครของเจ้าจะได้รับ หากเจ้ากีดกันส่วยเหล่านั้น มันยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากมันหมายถถึงความเป็นอยู่ของผู้คน ! เจ้าพยายามล้มล้าระบบนี้กระนั้นหรือ ? “
ขณะที่ปากของนายน้อยจวินกระพือไป น้ำลายของเขากระจายไปทั่ว บางส่วนพุ่งไปยังเสื้อผ้าขององค์ชายสาม รวมถึงหมกที่อยู่บนศรีษะของเขาด้วย
องค์ชายสามตัวสั่นเนื่องด้วยโกรธ
” เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระสามานย์อันใดกันจวินโม่เซี่ย ? เจ้ากำลังคิดว่าข้า ก่อกบฏ จริงๆกระนั้นหรือ ? “
จวินโม่เซี่ยสีหน้าเยีนยหยัน
” ในที่สุดเจ้าก็ละทิ้งผู้คนในนครเทียนเชียง ? ผู้คนในนครนี้มอบชีวิตอันหรูหราให้แก่เจ้า หนึ่งในผู้ที่ครองตำแหน่งสูงส่งและมั่งคั่ง … และตอนนี้เจ้ายังต้องการจะก่อกบฏ เจ้า …. เจ้า …. เจ้า … เหตุใด ? เจ้าหาได้มีมนุษยธรรมเลยกระนั้น ? “
สีหน้าจวินโม่เซี่ยเต็มไปด้วยความปวดร้าวและขุ่นเคือง
” เจ้าถือกำเนิดมาในราชวงศ์ ความจริงแล้ว เจ้าเป็นหนึ่งในองค์ชายผู้สง่างาม แต่เจ้ากลับยังไม่เพียงพอ ? อย่าบอกข้านะว่าเจ้าประสงค์ให้พี่ของเจ้าทะเลาะกัน ? เพื่อให้เจ้าปีนขึ้นสู่จุดสูงสุด ? เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ของสกุลเพื่อสิ่งนี้ ? ยิ่งมีเชื่อสายราชวงศ์อยู่ในเลือดเนื้อของเจ้าอีกหรือไม่ ? “
องค์ชายสามรู้สึกโง่เขลา
เจ้าชั่วนี่พูดอย่างเกลียดชังและทุกข์ทนไม่หยุดหย่อน เขากล่าวโทษข้าอย่างขุ่นเคือง ขณะที่คำต่างๆที่เขาพูดออกมานั้น มากพอให้เห็นว่าเขามีหัวใจที่โหดร้ายและเจตนาที่ไร้ยางอาย ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าปล่อยให้จวินโม่เซี่ยพูดต่อไป ข้าก็มิอาจรู้ได้ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใดอีก ความจริงแล้ว การขอบคุณทุกผู้ที่อยู่ใต้สุริโยนี้มิอาจเพียงพอหากข้าต้องใช้ชีวิตเช่นนี้
เจ้าชั่วช้านี้มิรู้ที่ต่ำที่สูง … เขากล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? เจ้านั่นฟุ่มเฟือยและเสเพล ผู้ที่หาได้รู้ว่าสิ่งใดควรหลีกเลี่ยง ! และเจ้าคิดว่า ข้าเป็นเช่นเดียวกับเจ้ากระนั้นหรือ ?
ขณะนั้นเอง องค์ชายสามเริ่มรู้สึกอับอาย ในขณะที่เป็นฝ่ายเขาที่กำลังพ่าย สิ่งที่แย่คือ หากมีผู้ใดส่งข่าวนี้ไปถึงหูท่านพ่อของข้า …
องค์ชายสามก้าวถอยว่องไวขณะปิดปากแน่น เสียงที่เล็ดรอดออกมาเป็นดั่งการอ้อนวอน
” นายน้อยจวิน … เจ้า … เจ้า … อย่าเอ่ยเช่นนี้ ! เจ้า … เจ้า … เจ้า … ข้าตายแน่ .. ข้าอาจทำผิดไปแล้ว … ข้าจักไม่ขัดขวางเจ้า … “
มุมปากจวินโม่เซี่ยยกขึ้นขณะสีหน้าเยือกเย็น จากนั้นครางหนหนึ่ง และใบหน้าของเขาเริ่มเปล่งปลั่ง
” โว้อาา ! ไม่บ่อยนักที่ได้เห็นองค์ชายสามและองค์หญิงหลิงเมิงมายังโถงอันโสมมของข้าพระองค์เอง ว้าว ฮ่าฮ่า หอชนชั้นสูง และข้าจะได้รับความคุมครองจ้าท่าน ได้โปรดเชิญด้านใน เข้ามาเข้ามา ! “
จากนั้นหันหลัง เขาคำราม
” พวกเจ้ามัวทำสิ่งใดกันอยู่ ? องค์ชายสามรอคอยเนิ่นนานแล้ว พวกเขายังไม่ทักทายและอัญเชิญเขาเข้าอีก ! ข้าโมโหยิ่ง ! ที่พระองค์ได้รับการละเลย ! นี่เป็น คำกล่าวหาที่ร้ายแรง ผู้ใดเป็นผู้จัดการ ? ข้าจักคุ้มกัน พระองค์และองค์หญิงหลิงเมิงเข้าด้านในด้วยตัวเอง ! “
หือ ? คุ้มกันพวกเขาเข้าโถง
ทุกผู้มีสีหน้าแปลกประหลาด
เขาต้องการคุ้มกันองค์ชายสามและองค์หญิงเข้าในโถง ?
เจ้าคิดจริงๆหรือว่าองค์หญิงและองค์ชายต้องการการเรียนเชิญจริงๆ ? นั่นเพียงสิ่งที่เจ้าคิด การเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่า ตอนนี้ข้าได้เห็นทุกสิ่งอย่าง
มีผู้คนยืนอยู่ทั่วทุกทิศ แม้นจะได้เห็นถึงการกระทำของเขา แต่ไม่ค่อยมีผู้ใดเห็นถึงความเป็นจริง
อย่างเช่น ….
” เกิดสิ่งใดขึ้น ? “
องค์ชายหนึ่งถามคนของพระองค์ด้วยสีหน้าหม่นหมอง
” ยากจะบอกได้ ! “
เงาร่างมีหนวดคล้ายแพะตอบกลับ
” นายน้อยจวินผู้นี้ช่างโอ้อวดยิ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นดั่งข่าวลือ เขาช่างโง่เขลาเบาปัญญาเป็นแน่แท้ แต่กระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ฉลาดล้ำอย่างแท้จริง หากเจ้าเหนือหัวของพระองค์ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามดึงตัวผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายเขา ข้าคาดว่าเขาจักต้องสังเกตุชายผู้นี้ให้ถี่ถ้วน “
อีกผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาพยักหน้าเห็นพ้อง
” อืม สหายท่านนี้ มิใช่สิ่งที่ข้าดว่าเขาจะเป็น ข้าเชื่อว่าเขามิอาจรับมือกับปัญหานี้ได้ ความจริง ข้าเพียงแค่ขำขันเขาดั่งเรื่องตลก แต่กระนั้น เรื่องนี้จะต้องอยู่ในใจอย่างแน่แท้ “
องค์ชายโตพยักหน้า และยิ้ม
“กระนั้น วิธีคดโกงเช่นนี้มักทำให้ข้าปวดหัว เจ้าไม่คิดว่ามันจะคุ้มค่าที่ได้เฝ้ามองเขาอย่างถี่ถ้วนกระนั้นรึ ? ฮ่า ฮ่า … “
ทั้งสองยิ้ม
อีกตัวอย่างหนึ่ง …
” การเสแสร้งเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายอย่างมาก เหมือนดั่งเช่นอดีต ! “
องค์ชายสองเฝ้ามองจวินโม่เซี่ยจากที่ห่างไกล ขณะที่ไม่พยายามปิดบังความรังเกียจในสายตา
เฉิงเคอเฉา กัดฟันเอ่ย
” สิ่งเช่นนี้น่าอัปยศยิ่ง ! นายน้อยแห่งสกุลจวินช่างเหลืออดยิ่งนัก หากมิใช่เพราะชื่อแซ่สกุล ข้าคงจะสังหารเขาไปเนิ่นนานแล้ว ! “
ดวงตาของเขาเปล่งประกายเยือกเย็นขณะนี้
จวินโม่เซี่ย ข้ามาถึงแล้ว และข้าเห็นว่าเจ้ายังกระทำอวดดีดั่งเช่นแต่ก่อน ข้าจะให้เจ้าชดใช้เป็นสองเท่าสำหรับความอัปยศครั้งล่าสุด ข้ารอความตายของเจ้าอยู่ !
ด้านข้างของเขา ฝางบูเหวินหนวดขาวเพ่งฌานและเอ่ยเชื่องช้า
” เรื่องวันนี้แปลกยิ่งนัก “
เขาพยักหน้าหลังจากเขาฌานอีกเล็กน้อย
” แปลกยิ่ง ! “
ชายชุดดำที่อยู่หลังองค์หญิงหลิงเมิงเอ่นอย่างรวดเร็ว ด้วยเสียงต่ำ
” นี่นายน้อยสามแห่งสกุลจวินที่ลือกัน ? จวินโม่เซี่ย ? เขาดูคล้ายไม่ประสาแม้นจะอายุเช่นนี้ ดูเหมือนว่ามิได้เป็นความจริง เขาช่างเป็นนายน้อยที่น่าสนใจยิ่ง “
ตอนที่ 245
” ใครนะ ? เจ้าเสเพลนั่น ? เขาน่าสนใจ ? รูปกายชายผู้นี้น่าขยะแขยง คนผู้นี้เลวทราม โอ้อวด และ ขาดความสง่างาม เขาไม่มีคุณสมบัติเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่มองไปยังชายผู้นั้นทำให้ข้าป่วยได้ ! “
องค์หญิงหลิงเมิงดูคล้ายจะมีโทสะขณะมองไปยัง จวินโม่เซี่ย ยังมีอีกสิ่งในใจนางที่มิอาจเอ่ยได้
ข้ามิรู้ว่าสิ่งใดที่เซี่ยวยี่เห็นในตัวอันธพาลผู้นี้
องค์หญิงรู้ว่าคำนั้นอันตราย เนื่องจากพ่อของนางหลีกเลี่ยงการพูดคุยในเรื่องนี้ ดังนั้น นางจึงมิกล้าเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา
” ทุกผู้มีความเห็นเป็นของตัวเอง “
ชายชุดดำเอ่ยด้วยท่าทีลึกซึ้ง แต่กระนั้น ดูเหมือนจะมิใช่ข้ออ้างในคำโต้แย้งขององค์หญิง เขาเฝ้ามองจวินโม่เซี่ยกลับมาปลอบประโลม
หลานชายของจวินจ้านเทียนนี่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ลูกชายคนเล็กของข้าเลือกต่อสู้โดยไม่จำเป็น แต่กระนั้น เจ้าเด็กนี่จัดการกับเหตุการณ์ทั้งหมดภายในเวลาไม่นานด้วยคำพูดเพียงน้อยนิด เขาทำให้ปัญหาหายไป เพียงแค่การตีเบาๆที่อีกฝั่งของหอก วิธีการของเขานั้นไร้เกียรติ แต่มันรวดเร็วและส่งผลอันยิ่งใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่สำคัญว่าวิธีการนี้เป็นเช่นไร มันเป็นวิธีการที่ดีในการจัดการกับปัญหาอย่างรวดเร็ว เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขสถานการณ์หากเขาโต้แย้งโดยไม่มีการวางแผนดั่งเช่นลูกชายของข้า ในฐานะพ่อ เหตุใดข้าจึงไม่รู้นิสัยของลูกชาย ? มันผิดที่เขาเกิดมาในราชสกุล มันผิดที่เขาอยู่ในฐานะองค์ชาย ความจริงแล้ว เขาคือคนที่จะเกาะติดความสำเร็จของพ่อแม่ และจะใช้สอยมันหากต้องการ เขาคือคนไร้ประโยชน์โดยไร้ซึ่งฝีมือ
ไม่สำคัญว่ามันเป็นวิธีการแบบใหน ตราบใดที่มันส่งผลอย่างรวดเร็ว มันเป็นวิธีการที่ดี ชัดเจนว่าจวินโม่เซี่ยเลือกนำวิธีการที่ดีที่สุดมาใช้
ข่าวลือเกี่ยวกับคนเสเพลนั้นไม่ได้เป็นดั่งที่คิด ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วเขามิได้เป็นดั่งข่าวลือ…
ชายเกราะดำขมวดคิ้ว ขณะเขาไม่รู้จักเชื่อสิ่งใด
จวินโม่เซี่ยเริ่มต้อนรับแขกจากราชสกุลอย่างสุภาพ ทีละคน และ ให้มีผู้ติดตามเข้าไปในหอชนชั้นสูงได้ แต่กระนั้น ผู้ได้รับเชิญสามารถมีผู้ติดตามได้เพียงสองคน ในขณะผู้ที่เหลืออยู่จักต้องรออยู่ภายนอก
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงคราวขององค์ชายสอง พระองค์ยืนกรานจะนำผู้ติดตามสามคนเข้าด้านใน จวินโม่เซี่ยเห็นทั้งสามที่ติดตามองค์ชายมา และพบว่าชายคนแรกนั้นเป็นที่ปรึกษาขององค์ชายสอง ดังนั้น เขาจึงอนุญาติให้คนผู้นี้เข้าไป คนที่สองคือหญิงสาวที่งดงามและเปราะบาง ผู้ที่เกลียดชังจวินโม่เซี่ยเป็นที่สุด นางคือคนรู้จักขององค์ชายสอง แม่นางยู่เออจากศาลานี่ฉางแห่งทะเลสาปหมอกวิญญาณ นางประกาศก้องว่านางขายเพียงฝีมือด้านดนตรี และไม่ค่าประเวณี ไม่น่าประหลาดใจที่เขาจะให้หญิงสาวคนสนิทขององค์ชายสองเข้าไปด้านใน
ที่เหลือคือ เฉิงเคอโฉว …
นายน้อยจวินยกมือขึ้นไร้เมตตา และขัดขวางมิให้ เฉิงเคอโฉ้ว เข้าขณะพูด
” ขออภัย บัตรแต่ละใบอนุญาติเพียงสามเท่านั้น นั่นหมายรวมแขกคนพิเศษแล้ว ข้าเกรงว่ามิอาจให้เจ้าเข้าไปได้ ในขณะที่องค์ชายสองมีสองผู้ติดตามแล้ว แต่กระนั้น พวกเราตระเตรียมเครื่องดื่มให้ผู้ที่อยู่ด้านนอกแล้ว “
” เหตุใดข้าจึงมิอาจเข้า ? “
เฉิงเคอโฉ้ว เหลือบมอง ราวกับพร้อมจะแผดเผาจวินโม่เซี่ย
คนผู้นี้มิได้หยุดผู้อื่นมิให้เข้าไป แต่กระทำเช่นนี้กับข้าเพียงผู้เดียวนั้นหมายความเช่นไร ? เขาดูหมิ่นข้ากระนั้นหรือ ?
องค์ชายสองเข้าไปพร้อมกับอีกสองคนแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาหันหลับมา และเหลือบมองฉากนี้ องค์ชายสองจะต้องไม่ละทิ้ง เฉิงเคอโฉ้ว เนื่องด้วยต้องการผู้มีอิทธิพลเช่นนี้เพื่อใหสำเร็จ ดังนั้น เมื่อไร้ซึ่งทางเลือกอื่น เขาจึงยืนยันตัวเองเพื่อเข้าไป เนื่องจากเขาเชื่อว่าด้วยฐานะของเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชาย ผู้คนมากมายแสร้งตาบอดกับเรื่องนี้เนื่องจากสถานะของเขา กระนั้นเขามิอาจคาดถึงความไร้ยางอายแล้วความสามารถในการก่อปัญหาของจวินโม่เซี่ยได้ ความกล้าของจวินโม่เซี่ยนั้นเพียงพอจะทำให้องค์ชายเสื่อมเสีย
หากมีผู้อื่นในสถานที่นี้ จวินโม่เซี่ยจะทำเป็นตาบอดและปล่อยให้เขาเข้าไป อย่าไรก็ตาม สำหรับ เฉิงเคอโฉ้ว ผู้นี้ … คือผู้ที่เขามิอาจช่วยได้
ไม่ต้องเอ่ยถึงที่ปล่อยให้เจ้าทำลายกฎที่มีอยู่นั้น … ข้าจะสร้างกฎใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เจ้ามีปัญหาหากเจ้ามิได้ผิดกฎ
เจ้านั้นเป็นรางร้าย อย่างแรก ชื่อของเจ้านั้นน่ากลัว และหน้าตาเจ้าดูน่ารำคาญ
” เจ้าสมควรอับอายสหายเจ้า “
จวินโม่เซี่ยแหงนคอ หน้าตาของเขาดูราวกับลิงในสวนสัตว์
” เจ้าตั้งใจตะโกน ? “
เจ้าละเมิดกฎของหอนี้ ดังนั้น มากฎของสถานที่นี้ ข้าจึงมิอาจให้เข้าไปได้ มันเป็นการทำลายเกียรติของหอหากทุกคนแหกกฎใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ “
” เหตุใด ? “
เฉิงเคอโฉ้ว ถามร้อนรน
ทุกสิ่งจะเป็นปกติหากข้าไม่พยายามเข้าไป แต่ข้าอยู่ที่นี่แล้ว และเพียงแค่เข้าไปไม่กี่ก้าว ข้าจะไม่กลายเป็นตัวตลกไปหรอกหรือหากข้ากลับไป ?
” ข้ามากับองค์ชายสอง เหตุใดข้าจึงมิอาจเข้าไปได้ ? “
จวินโม่เซี่ย จงใจคำรามทางจมูกไปยังเขาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
” ข้อโต้แย้งของเจ้ามีเหตุผล ก้นมักจะต้องไปด้วยกัน แต่กระนั้น เป็นไปได้ที่พวกมันมิอาจเข้าไปในที่เดียวกันก็ได้ใช่หรือไม่ ? เหตุใดเจ้าจึงรบกวนข้าหากเจ้ารู้ชัดถึงตัวเจ้า ? ? เจ้าเป็นผู้ที่พิเศษกระนั้น ? หากเช่นนั้นเจ้าจักต้องเป็นเลิศในฝีมือ เจ้าจึงจะสามารถเข้าไปได้ “
เฉิงเคอโฉ้ว โมโหอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดของจวินโม่เซี่ย ความจริงเขาเกือบจะกระอักเลือดออมาก สำหรับการเปรียบเทียบอันน่าอับอายของจวินโม่เซี่ย
ชายทั้งสองที่อยู่หลัง องค์หญิงหลิงเมิง อดหัวเราะออกมามิได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่นานจากนั้นพวกเขาจึงปิดปาก เมื่อรู้สึกผิดกับการหัวเราะนี้ แต่กระนั้น ร่างของพวกเขาก็สั่นกระตุกเนื่องด้วยการหัวเราะ
ทุกผู้ที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้หน้าแดง แท้จริง ดูคล้ายพวกเขาตื่นเต้น เนื่องต้องอดกลั้นมิให้ตัวเองหัวเราะออกมา องค์ชายหนึ่งและสามอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ แต่มิได้ขุ่นข้องอันใด ทหารผู้หนึ่งของน้องสองนั้นอับอายแต่พวกเราก็ยังร่าเริง
แม้นคำอุปมาของจวินโม่เซี่ยจะชั่วร้าย แต่องค์ชายสองและสหายของเขาไม่ยิ้มแม้แต่น้อย จริงแล้ว องค์ชายสองมีโทสะอย่างมาก และสีหน้าชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้า
” จวินโม่เซี่ย หยุดกลั่นแกล้งข้า ! “
เฉิงเคอโฉ้ว ตัวสั่น เขามองไปยังผู้ที่ก่อกวนเขาด้วยดวงตากระหายเลือด ความจริง ดูคล้ายดั่งเขาอยู่บนปากป่องภูเขาไฟ
” ข้ากลั่นแกล้งเจ้า ? ล้อข้าเล่นกระนั้น ? “
จวินโม่เซี่ยหันหลังมองยังผู้ก่อกวน และบิดเอวไปอีกด้าน ส่วนล่างของเขาส่ายไปมาเป็นจังหวะ
” กลั่นแกล้งเจ้า ! กลั่นแกล้งเจ้า ! ข้าต้องการกลั่นแกล้งเจ้า ! “
” หึ ! “
เฉิงเคอโฉ้ว เหลือบมองจวินโม่เซี่ยด้วยสายตาโกรธเคือง
” ตาโตเหลือเกิน ! ลาตัวนี้จักทำให้ข้ากลัว ? เจ้าขู่ข้า ? ชิ ! “
จวินโม่เซี่ยมีอารมณ์มากมาย จากนั้นเขาหันไปมององค์ชายสอง ผู้ที่มองมาที่เขาอย่างชั่วร้าย นายน้อยจวินหัวเราะขณะ อธิบาย
” เจ้ามิจำเป็นต้องใช้วิธีการใด … เจ้ามิได้ฟังคำพูดข้าผิดไปหรอก … ข้าพูดกับเจ้า … “
คำอธิบายของเขาเป็นดั่งการเติมเชื้อไฟ
คิ้วขมวดขึ้นตรงหน้าผากองค์ชายสอง ขณะเขาคำรามทางจมูกและเดินเข้าด้านในขณะสลัดปลอดแขน ทุกผู้ตามไป อย่างไรก็ตาม บางครั้ง เป็นการยากในการกลั้นหัวเราะ พวกเขายกมือป้องปาก และกระแอมเพื่อปิดบังการหัวเราะ
แม้นแต่สองผู้ที่ตามองค์หญิงหลิงเมิงก็ไม่เว้น ชายสองคนนี้หัวเราะอย่างไม่มั่นใจนัก ซึ่งทำให้จวินโม่เซี่ยสัมผัสได้
จวินโม่เซี่ยประหลาดใจอย่างมากที่พบว่ามีผู้ชายสองคนในชุดเกราะสีดำท่ามกลางคณะผู้ติดตามองค์หญิง
องค์หญิงเสด็จมาโดยไม่มีนางกำนัล ?
เกิดอันใดขึ้น ?
นายน้อยจวินคลางแคลงใจอย่างมาก จึงพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน แม้นเขามิได้แสดงถึงความคลางแคลงออกมาทางสีหน้า และหัวเราะไปพร้องกับทุกผู้ แต่เขายังคงระแวดระวังในทุกสิ่ง
ทั้งสองผู้นี้ อัธยาศัยดี และเข้าถึงได้ง่าย
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีเครา ดังนั้นจึงมิใช่ขันที
ดูเหมือนองค์หญิงจะมิได้โดนบังคับ จึงหมายความว่านางรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี
ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะเคารพนับถือพวกเขา ตัวตนของพวกเขาจึงมิธรรมดาเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น อยี่กู้ฮั่นก็มิได้เคียงข้างนาง ไม่มีกลิ่นอายของเขาอยู่รอบๆตัวนางเลยในบริเวณนี้ ! เหตุใดเขาจึงปล่อยนางไว้เพียงลำพังเช่นนี้ ?
จากนิสัยของ อยี่กู้ฮั่น ผู้ใดในนครเทียนเชียงที่เขาเชื่อใจเช่นนี้ ?
น่าสับสนยิ่งนัก
บางที … คำตอบของปริศนานี้อยู่ภายใต้ตัวตนที่แท้จริงของสองผู้ที่ติดตามนาง
หากรู้ว่าสองผู้นี้คือใครทุกสิ่งจักชัดเจน
ทันใดนนั้น จวินโม่เซี่ยนึกถึงข่าวลือเรื่องที่ อยี่กู้ฮั่น และ องค์จักรพรรดิเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กได้
หรือว่าข้าอาจจะคิดมากเกินไป ? แต่เหตุใดพวกเขาทั้งสองจึงมาที่นี่ ?
. ข้าสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนหากเป็นเขาจริงๆ … แต่อีกผู้ที่มากับเขาคือผู้ใดกัน ?
ดูเหมือนว่าข้ามิได้รู้จักคนผู้นี้
จวินโม่เซี่ยครุ่นคิดไม่หยุดพัก
เหนือขึ้นไปด้านบน ทางเข้าสถานประมูลของ หอชนชั้นสูง ขนาบไปด้วย ดอกหอมหมื่นลี้ ก้านและใบของพวกมันเขียวชอุ่ม ในขณะที่กลีบดอกเปล่งสีทองประกาย ในความจิรง ดอกไม้ที่เบ่งบนเหล่านี้ไม่มีทีท่าเหี้ยวเฉา และมันหอมหวลและอบอวนไปทั้งพื้นที่
ทุกผู้ประหลาดใจเมื่อประตูเปิดออก และพวกเขาได้เห็นโถงขนามโหฬารด้านใน ทุกผู้อาจจะเรียกมันว่า จัตุรัสสาธารณะเนื่องด้วยขนาดพื้นที่มหาศาล
นายน้อยจวินทำงานอย่างหนักเพื่อให้เกิดผลเช่นนี้ ทางเข้าสู่ห้องอื่นๆที่ติดกับโถงนี้ถูกปิดเอาไว้ เสาที่รองรับสถานที่นี้ ถูกแกะสลักด้วยรูปมังกรและหงส์
โต๊ะมาดมายเรียงรายอยู่ด้ายใน จำนวนหนึ่งร้อย ไม่ขาดไม่เกิน
ด้านหลังโต๊ะแต่ละตัวมีเก้าอี้เพียงหนึ่ง เก้าอี้อีกสองตัวนั้นถูกวางให้ห่างจากโต๊ะไปหนึ่งระยะ เก้าอี้เหล่านั้นมีโต๊ะเล็กขนาบข้างไว้
ต้นบนไซแต่ละคู่วางไว้แต่ละด้านของโต๊ะ บนไซเหล่านี้เขียวชอุ่มและมีดอกสะพรั่งละมุนและงดงาม โต๊ะอื่นๆแต่ละโต๊ะ ห่างออกไปประมาณสามเมตร ยิ่งไปกว่านั้น ระยะระหว่างโต๊ะเล็กสองตัวก็เท่ากัน ทั้งหมดนี้ถูกจัดการโดนเจ้าอ้วนถัง แม้แต่คนที่ขนาดตัวเท้าเจ้าอ้วนก็สามารถเดินไปมาได้ บอกได้ว่า เจ้าอ้วนนั้นเป็นเพียงหนึ่ง ใต้สวรรค์นี้จะหาผู้ที่มีร่างเช่นเขาได้ยากยิ่ง
คนมากกว่าสามร้อยเข้าสู่โถง แต่น่าประหลาดที่ไม่รู้สึกแออัด แท้จริงแล้ว กลับรู้สึกกว้างขวาง อากาศสะอาดและบริสุทธิ์ ขณะที่หน้าต่างเหนือหัวถูกเปิดไว้ ดังนั้น ทุกผู้จึงไม่รู้สึกอึดอัด การเดินเข้าสู่โถงนี้ เป็นดั่งการก้าวเข้าสู่วสันตฤดู มันสามารถปลอบประโลมทุกคนได้
ตอนที่ 246
เสียงบรรเลงอันเลือนลางล่องลอยจากชั้นบน และก้องสะท้อนลงมายังโถง งานประพันธ์นั้นมิใช่ผลงานชิ้นเอกที่หาได้ยาก หากแต่ไม่มีผู้ใดเห็นนักบรรเลง บางที มันก็เพิ่มความสง่าให้แก่บทเพลงเช่นนี้
บนพื้น มีพรมสีเขียวครามเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหนาเกินธรรมดา ผู้ที่เหยียบลงไปรู้สึกถึงความอบอุ่นและหรูหรา แม้ว่าสีของมันจะมิได้พิเศษนัก
ทุกโต๊ะมีบัตร พร้อมชื่อ เป็นปกติที่แถวแรกถูกจัดไว้รับรอง ราชวงศ์ พวกเขาเป็นดั่ง นกกระสา ในหมู่ไก่ โต๊ะทั้งสี่ ระบุตำแหน่งที่นั่งของพวกเขา
ทุกผู้อาจจะคิดว่า
หอชนชั้นสูง นี้ช่างเลิศเลอ แม้แต่เหล่าสมาชิกราชวงศ์ก็มิอาจมีพื้นที่ส่วนตัว …
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่อยู่ในโถงรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นสูงส่งในสังคม พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าเป็นชนชั้นสูงโดยแท้จริง เนื่องจากมิได้อยู่ห่างจากราวงศ์มากนัก
นี่คงมิใช่สิ่งที่หมายถึงชนชั้นสูง ?
ทุกผู้คาดว่าสมาชิกราชวงศ์จะรู้สึกปิติอย่างมากเนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้
แถวที่สองสำหรับเหล่าสกุลใหญ่ โดยไม่มีการแบ่งตามตำแหน่ง แถวที่สาม สำหรับเหล่าลูกหลานของข้าหลวง รวมถึงขุนนางผู้ร่ำรวย และแถวที่สี่ ตระเตรียมไว้สำหรับเหล่าเศรษฐีและผู้ทรงอำนาจอื่นๆแห่ง นครเทียนเชียง
ระหว่างแถวนั้นจะมีม่านไข่มุขห้อยไว้เหนือหัว ม่านเหล่านี้จะปิดบังอยู่บริเวณหัวขณะนั่งลง ซึ่งทำให้มองเห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่แถวหน้าของพวกเขานั้นคือผู้ใดได้ยาก …
ทุกซอกและมุมมี กรถางธูปรูปปั่นนกกระเรียนมงกุฎแดงวางไว้ ดูคล้ายดั่งนกระเรียนเหล่านี้พ่นควันสีน้ำเงินออกมา ควันลอยล่องขึ้นสู่อากาศ และกลิ่นควันแพร่กระกายส่งให้บรรยากาศสงบ
บางผู้ที่มาถึงก่อน และต้องรอยาวนานครึ่งค่อนวัน แต่กระนั้นพวกเขาก็มิได้กระวนกระวายแม้แต่น้อย ความจริง ดูเหมือนพวกเขาจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
หญิงสาวในชุดสีเหลืองอร่ามยกน้ำชาบริการในจอกเล็ก เสื้อผ้าและความสง่างามของพวกนางทำให้ดูคล้ายดั่งผีเสื้อ พวกนางดูงดงามขณะเคลื่อนไหวอย่างมีมารยาท และความรู้สึกที่เหมาะควร
ด้านหน้าสุด มีสิ่งทอสีขาวนวลทอดยาวลงจากเบื้องบน จนดูเหมือนจะลงมาจากฟากฟ้า สิ่งทอนี้ปกปิดสิ่งที่อยู่ด้านหลังมิดชิด ซึ่งดูคล้ายกำแพงซึ่งหน้าเกินกว่าปกติ
เสียงดนตรีหยุดลง
ทุกผู้ตื่นตา
ในที่สุด เสียงฆ้องเปิดการแสดงดังขึ้น
สิ่งทอด้านหน้าลอยขึ้นอย่างเงียบเฉียบเผยเวทีสีสาวสะอาด จากนั้น มีแสงระยิบระยับส่องเข้ามาอย่างรวดเร็ว แสงเหล่านี้ส่องสะท้อนออกมาจากเหล่าเพชรพลอยที่ประดับอยู่ตามตำแหน่งค่างๆของเวที
มีโต๊ะตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง
เหนือโต๊ะมี ค้อน ค้อนเพื่อการตัดสิน
การเตรียมการนี้อัศจรรย์ยิ่ง ความจริง ทั้งหมดนี้เป็นการตระเตรียมที่แตกต่างกับหอมณีวิจิตร ซึ่งรู้จักกันว่าเป็นหอประมูลที่ดีที่สุดในนครอย่างสิ้นเชิง ดูราวกับไก่ฟ้าที่ปะทะเข้ากับหงส์ทอง … หรือขอทานที่เผชิญหน้ากับองค์ชาย …
เกิดเสียงฝีเท้าดังก้องขึ้นฉับพลันทำให้ทุกคนเกิดความสนใจ เสียงฝีเท้าเหล่านี้ทำให้ทุกคนกระหายใคร่รู้
ผู้ที่เป็นเจ้าของฝีเท้านี้จะยิ่งใหญ่แค่ใหนกัน ?
แสงส่องสว่างขึ้น
ก้อนเนื้อขนาดใหญ่เท่าภูเขาเดินออกมา มองไปรอบๆครู่หนึ่ง ทุกย่างก้าวของเขาสง่างาม ผิวขาวผ่องภายใต้ชุดสีดำของเขา ทำให้เขาดูคล้ายกับหมูต้มที่อยู่ระหว่างขนมปัง ทั่วทั้งร่างของเขาเด้งกระเพื่อมตามจังหวะการก้าว
” เนื่องจากทุกผู้ในที่นี้ได้รับบัตรเชิญจากหอของเรา หมายความว่าพวกท่านนั้นคือเหล่าชนชั้นสูงแห่ง นครเทียนเชียง และด้วยเหตุนี้ ท่านจึงเป็นแขนผู้มีเกียรติของเรา ! ข้า ถังหยวน หัวหน้านายประมูลแห่ง หอชนชั้นสูง ตัวแทนแห่งหอนี้ จะเป็นตัวแทนแห่งสกุลทั้งสาม สกุลองค์รัชทายาท สกุลจวิน และสกุลถัง ข้ามาเพื่อต้อนรับเหล่าชนชั้นสูงในนามของสกุลเหล่านี้ และขอต้อนรับทุกท่านด้วยความอบอุ่น ! ”
ถังหยวนเอ่ยคำปราศรัยเสียงดังจากใจ หลังจากพูดจบเขาโค้งตัวลงอย่างน่าประหลาดใจ
ความจริงแล้วเจ้าอ้วนถังได้ทำในสิ่งที่เขาซ้อมมากก่อนหน้านี้ เขาพูดในสิ่งที่นายน้อยจวินได้เขียนไว้ในกระดาษ คำพูดที่ยืดยาวเหล่านี้สร้างสภาวะที่ศิวิไล
เหล่าผู้ชมปรบมืออย่างอบอุ่นแต่ตื่นตา ให้สำหรับคำว่า ชนชั้นสูงแห่งนครเทียนเชียง ไม่ว่าการสรรเสริญของเขาจะแท้จริงหรือไม่ เพราะว่าจากนี้ไป ผู้คนเหล่านี้จะใช้ชื่อเสียงนี้เพื่อต่อสู้กับกับผู้ที่พวกเขามิเคยประจันหน้าได้
” หอชนชั้นสูง ตามชื่อนี้ เป็นโถงที่มีเพียงแต่เหล่าชนชั้นสูงเท่านี้ที่จะเข้ามาได้ แล้ว ชนชั้นสูงคือสิ่งใด ? ”
เจ้าอ้วนถังพยายามอย่างมากเพื่อประสานมือไว้ด้านหลัง มันเป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังอย่างมาก ไม่อาจพูดได้มากมายนักในการจัดการกับน้ำหนักของเจ้าอ้วน เขามิได้ตัวเตี้ยมาก และแขนขาก็เป็นสัดส่วนตาความสูง แม้นว่าเขามิได้สูงและแข็งแกร่ง แต่ร่างของเขาก็ยังอ้วนเกินไป อย่างไรก็ตาม เขามิอาจกำจัดไขมันเหล่านั้นไปได้ และเขาพยายามเท่าที่ทำได้ในการไพร่มือไปด้านหลัง แต่กระนั้น เจ้าอ้วนก็ทำตามคำแนะนำของจวินโม่เซี่ย เพื่อให้ดูสง่างาม สงบนิ่ง และมีเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย
อัตตาของถังหยวนก่อตัวขึ้นเนื่องจากเขารู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่เขาได้เฉิดฉาย แม้นว่าสำหรับผู้อื่น เขาจะดูคล้ายหมีดำซึ่งพยายามประสานมือไว้ด้านหลังและเดินอย่างงดงาม ในความจริง ทุกย่างก้าวของเขาดูงุ่นง่ามสำหรับพวกเขา แต่กระนั้น ทุกผู้ที่ได้เห็นสิ่งนี้จำต้องยับยั้งมิให้ตัวเองหัวเราะออกมา
เจ้าอ้วนถังเหลือบมองไปทุกด้านด้วยความเคารพ
” สิ่งที่เรียกว่าชนชั้นสูง คือผู้ที่เหนือผู้อื่นด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่น ! อย่างเช่น ”
ถังหยวนหงายมือ บนฝ่ามือของเขาคือวัตถุทรงกลม
” ข้าเชื่อวาทุกคนเคยได้ลิ้มรสสิ่งนี้และรู้ว่ามันคือมันเทศ ทุกผู้รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้จำนวนครึ่งกิโลสามารถหาซื้อได้ในตลาดทั่วไปในราคาสามอีแปะ ด้วยเหตุนี้ มันจึงถือได้ว่าเป็นผักธรรมดา แต่กระนั้น ! … ”
ถังหยวนหยุดชั่วครู่ เนื่องจากมันผลนี้กระตุ้นความหิวของเขา
ทุกคนสับสนเนื่องจากชายผู้นี้กำลังพูดถึงชนชั้นสูง … เหตุใดเขาจึงเอามันเทศออกมา ? ของสิ่งนี้มิใช่อาหารของเหล่าเศรษฐีและผู้มีอำนาจ !
” ครึ่งกิโลของสิ่งที่มีราคาสามอีแปะนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูกเท่านั้น แต่มันยังสามารถทำอาหารได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่พวกท่านกลับบ้าน และเพียงต้มมันในน้ำ ท่านก็สามารถกินมันได้ หรือบางทีท่านอาจจะตัดมันออกเป็นแผ่นบาง ความจริงแล้ว ท่านสามารถหั่นมันได้มากเท่าที่ต้องการ “
ถังหยวนรู้สึกราวกับเป็นบัณฑิตขณะที่พูดคำแหล่านี้ เขาอดภูมิใจในตัวเองมิได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ้มด้วยทีท่ามีมารยา อย่างไรก็ตาม ในสายตาของเหล่าชนชั้นสูงในสถานประมูลนี้ มันดูเหมือนว่ามันเทศหนักครึ่งกิโลนี้ถูกดึงออกมาจากหมูแก่ตัวเมีย พวกเขาเขม่นเพราะมันเป็นภาพที่มิอาจทนได้ !
” แต่กระนั้น ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ไม่สำคัญว่าผักจะถูกหั่นกี่ครั้งตราบใดที่มันยังสามารถทำอาหารได้ ดังนั้น แม้แต่มันเทศราคาถูกก็สามารถสร้างกำไลได้นับร้อยเท่า ! ”
ถังหยวนพูดออกมาดั่งน้ำเชี่ยวกราด
” ผู้ที่กินมันเทศราคาครึ่งตำลึงเงินนี้ในโรงเตี้ยม ถือได้ว่าเขาคือคนชั้นสูงหากเทียบกับผู้ที่กินมันที่บ้าน สิ่งที่เหล่าชนชั้นสูงบริโภคคือราคา ! อย่างไรก็ตาม แม้นว่ามันจะเป็นของชั้นต่ำ
หากโรงเตี๊ยมชั้นสูงเสิร์ฟสิ่งเดียวกันนี้ แต่ในราคาสองหรือสามตำลึงเงิน ก็จะถือได้ว่ามันมีคุณภาพที่สูงกว่า และอีกเช่นเคย มันก็ยังเป็นธรรม หากผู้ใดเกี้ยวพาผู้ที่มีฝีมือด้านศิลปะในซ่องที่ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ แม้นเมื่อนางวาดมันเทศฝานและขายมันในราคายี่สิบตำลึงเงิน ความจริงแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางได้หากมีผู้ใดตัดสินใจจะขายพวกมันในภายหลัง และเสนอเพียงมันสำปะหลังที่ตระเตรียมในวิธีการที่เหมือนกันนี้ แม้นว่าจะเป็นราคาห้าสิบตำลึงเงินก็ยังไม่มากเกินไป ไม่ว่าอย่างไร เมื่อชนชั้นสูงไปยัง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ … ”
ถังหยวนพูดอย่างตื่นเต้นเนื่องจากเขารู้สึกราวกับอยู่ในซ่องและพูดถึงเหล่าลูกค้า เขากระพริบตาและยิ้มอย่างต่อเนื่องด้วยท่าทางของผู้ที่เข้าใจสิ่งนี้เป็นอย่างดี
ทั้งโถงหัวเราะเพราะเข้าใจถึงสิ่งนี้เช่นเดียวกัน และตามคาด มันทำให้เหล่าสตรีในโถงต้องขมวดคิ้ว แต่มีเพียงแค่ผู้ติดตามองค์ชายสองผู้หนึ่ง … ใบหน้าอันงดงามของนางเขียวด้วยความโกรธ …
องค์หญิงหลิงเมิงได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านหลังของนางในทันที ในขณะที่หันหน้าไป นางเห็นท่านพ่อ องค์จักรพรรดิ หรี่ตาขณะลูบเครา ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับได้พบกับสหายเก่าคนสนิท ดูราวกับพระองค์รู้สึกเกษมอยู่ภายใน พระองค์อดที่จะกระแอมมิได้ และจากนั้นก็แรงขึ้น พระองค์พูดด้วยเสียงต่ำและน้ำเสียงขุ่นเคือง
” อะแฮ่ม ! ผู้ชายมิใช่สิ่งมีชีวิตที่ดี ! ”
องค์จักรพรรดิไอด้วยความเขิลอายเป็นครั้งแรก จากนั้นพระองค์ก้มหัว และประคองมันด้วยมือสองข้าง ก่อนเงยขึ้นอีกครั้งหลังจากนึกถึงความทรงจำในอดีตได้ จากนั้นนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ ด้วยใบหน้านิ่งเฉย จากนั้นพระองค์คิด
โถ่ ! เจ้าอ้วนนี่เกือบทำข้าเสียสมาธิ ! แต่กระนั้น สิ่งเช่นนี้เกิดขึ้นกับข้าเมื่อนานมาแล้ว ….
” … เดิมทีหากเข้าไปยังโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดในนครเทียนเชียงเพื่อมันเทศงฝาน … เจ้าจะพอใจในการใช้จ่ายเงินนับร้อยตำลึงเงิน แม้ว่ามันเทศเหล่านั้นจะมิได้พิเศษ ! “
ถังหยวนชูนิ้ว และ กระดิกไปมาดั่งลูกตุ้ม
การเคลื่อนไหวนี้เลียนแบบมาจากจวินโม่เซี่ย นายน้อยจวินนั้นสูง และนิ้วของเขาเรียวงาม ดังนั้นมันจึงสง่างามเมื่อเขาทำเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น สามารถสัมผัสได้ถึงความอวดดีในอากาศเมื่อจวินโม่เซี่ยเคลื่อนไหวเช่นนี้ ถังหยวนแอบชื่นชมในสิ่งนี้มานาน ใบหน้าของเขาเชิดขึ้นขณะชูมันขึ้นมาต่อหน้าผู้คนมากมาย
อาจจะเอ่ยได้ว่า สีหน้าของเจ้าอ้วนนั้นเปิดเผยอย่างมากในความเป็นจริง …
เมื่อมองเขาในฐานะของผู้ชม … ถังหยวนดูราวกับหมู ที่มีแครอท โผล่ออกมาจากกีบเท้าซึ่งเขากระดิกมันราวกับลูกตุ้ม ผู้ชมจำนวนมากเริ่มขนลุกในสิ่งที่เห็น อีกทั้ง สีหน้าไร้สาระที่เผยขึ้นบนใบหน้าของเขาทำให้ ขนของเหล่าชนชั้นสูงลุกชูชัน แม้แต่เหล่าผู้ที่แข็งแกร่งก็มิอาจเว้น
สหายผู้นี้น่ารังเกียจยิ่ง
” เงินนับร้อยตำลึงเงินนั้นมากพอจะซื้อมันเทศเพื่อเป็นอาหารให้คนในครอบครัวได้สี่หรือห้าปี ! อย่างไรก็ตาม ผู้คนสามารถกินมันฝานในโรงเตี๊ยมชั้นสูงด้วยราคานั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น อาหารจานนี้ยังคงเป็นอาหารที่ถูกที่สุดไม่ว่าเจ้าจะกินมันที่ใหน ! ”
แขนของถังหยวนกระเพื่อนขณะหัวเราะลั่นและเอ่ย
” ชนชั้นสูงกินมันเทศกระนั้นหรือ ? ไม่ ! สิ่งที่ท่านกิน …
คือความงดงาม มันคือความสง่างาม !
สิ่งที่เจ้ากิน คือสถานะ !
สิ่งที่เจ้ากิน คือรสนิยมของเจ้า !
สิ่งที่เจ้ากิน เป็นราคา !
สิ่งที่เจ้ากิน คือความโดดเดี่ยวบนที่สูงสุด !
และชนชั้นสูงที่แท้จริง จะมีความสุขไปกับความรู้สึกนี้ !
และในจุดนี้ พวกเราสามารถพูดได้ว่า นายท่านและนายหญิง ผู้ที่นั่งอยู่ ณ. หอชนชั้นสูง ของเราแห่งนี้ เป็นเหมือนกับการนั่งอยู่ใน โรงเตี๊ยมชั้นเลิศแห่ง นครเทียนเชียง ! ”
ถังหยวนตะโกนลั่น ทุกมัดกล้ามเนื้อของเขาสั่นสะท้านขณะเขากระโดดขึ้นด้วยอารมณ์พุ่งพล่านพร้อมใบหน้าดุร้าย
” ที่นี่คือสวรรค์แห่งชนชั้นสูงที่แท้จริง ! แม้แต่น้ำที่เจ้าดื่มถือได้ว่าเป็นสินค้าแห่งชนชั้นสูง ! ตามที่เอ่ยก่อนหน้านี้ สิ่งที่พวกเราดื่มมิใช่เพียงแค่น้ำ แต่มันคือความเหงาบนที่สูงสุด ! การอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อสัมผัสถึงความสันโดษ เป็นเครื่องหมายที่แท้จริงของชนชั้นสูง ! ”
เสียงปรบมือสั่นสั่นสะท้าน เนื่องจากคำพูดของเจ้าอ้วนได้รับการตอบรับที่ดีจาผู้ชม ความจริง เสียงปรบมือนี้ยังคงดังก้องต่อไปอีกชั่วครู่
ในอีกห้องชั้นบน จวินโม่เซี่ยหัวเราะ
” เจ้าอ้วนเพิ่งจะพูดว่า ชนชั้นสูงที่แท้จริงกินมันเทศฝานและน้ำเปล่าอย่างโดดเดี่ยว ! “
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น