Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ 226-232

ตอนที่ 226

 

” ซื่อท้ง ! ”


ผู้อาวุโสสามตะโกนขึ้นร้อนรน  แม้นจะเชื่อในคำพูดที่มีเหตุผลของมูซื้อทงอย่างมาก แต่รู้สึกว่าไม่เป็นการดี ที่จะปุกปั่นผู้อาวุโสหกในเวลานี้เนื่องจากเขากำลังกล่าวโทษตัวเองสำหรับเรื่องเลวร้ายในวันนี้ !


” วางข้าลง !  ตาเฒ่าผู้นี้ยังมิได้สิ้นใจ ข้าสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง ! ”


ผู้อาวุโสหกตะโกนด้วยโทสะ


” อาวุโสผู้นี้ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องจรรยาจากเด็กหนุ่มเช่นเจ้า !  เจ้าควรระวังคำพูด !  เจ้าไม่สามารถพูดกับอาวุโสผู้นี้ได้แม้นว่าเจ้าจะมีบุญคุณอย่างมากก็ตาม !  ดูระดับของเจ้าให้ดีก่อนจะเอ่ยคำแนะนำอันใดต่ออาวุโสผู้นี้ ! “


ใบหน้าของมูซื้อทงซีดเผือกด้วยโทสะ ขณะที่เอ่ยความคิดของเขาขึ้นอีก


” เจ้าช่างมีความกล้ายิ่งนัก !   ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเจ้าดูไม่ดื้อดึงเช่นนี้ แต่เจ้ากลับทำกับข้าในเวลานี้ ?  และคิดจริงๆหรือว่าข้ามีความสุขที่ต้องแบกเจ้าขึ้นหลัง ?! ”


แม้นมูซื้อทงจะลังเลเล็กน้อย ผู้อาวุโสหกก็ได้ผละจากหลังของเขาลงไปยังพื้น  แต่กระนั้น ความเจ็บปวดเนื่องจาการบาดเจ็บและกระดูกหน้าอกที่แตกหักกำเริบขึ้น ทำให้เหงื่อของเขาไหลออกจากหน้าผาก


” เจ้านี่ ช่างดื้อดึงเสียจริง  ก่อนหน้านี้หากเจ้าหยิ่งทะนงเช่นนี้ต่อหน้าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เจ้าอาจจะได้รับความเคารพจากข้าแทนที่จะต้องมาอยู่ในจุดนี้ ! ”


ผู้อาวุโสสามซึ่งเป็นคนกลางไม่มีเวลาทันทำสิ่งใดขณะที่เสียงอันเยือกเย็นและคมกริบ ดังขึ้นด้วยคำพูดอันเย้ยหยัน


ขอบเขตปราณขนาดมหึมาปรากฏขึ้นมาจากที่ใดสักแห่ง ในเวลาเดียวกับชายหน้ากากดำร่อนลงมาจากท้องฟ้าเบื้อบนด้วยท่าทางราวกับเทพเจ้า  แต่กระนั้น ชายท่าทางแปลกประหลาดผู้นี้ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนด้วยแววตาที่เยือกเย็นซึ่งดูเหมือนจะกระพิบด้วยประกายที่เยือกเย็นยิ่งกว่า นั่นทำให้เขาดูราวกับปิศาจก็ไม่ป่าน


” นั่นเขา ! “


องค์หญิงน้อยฮั่นหยานเมิงกรีดร้องขณะหลบตัวสั่นด้านหลังผู้อาวุโสสาม พร้อมกับดึงชุดคลุมของผู้อาวุโสสามไว้พร้อมแสดงสีหน้าหวาดกลัวที่มิอาจหาคำใดมาอธิบายได้ อย่างชัดเจน  การปรากฏตัวของชายหน้ากากดำนั้นทำให้นางหวาดกลัวเข้าไปถึงกระดูกดำในทันที


” เขาคือคนที่ทุบตีพี่เซี่ยว ก่อนมาโจมตีข้า ! ”


ผู้อาวุโสสามใจสลาย ! 


ความหวาดกลัวมากมายถาโถมเข้ามา !  ในที่สุด … ปัญหาที่แท้จริงก็มาถึง !


และฝันอันเลวร้ายนี้ยิ่งกว่าการคุกขามที่พวกเขาพบเจอจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยิ่งนัก


เหล่าผู้สูงศักดิ์แห่งเมือพายุหิมะขาวรู้สึกถึงความกดดันอันมหาศาลของสิ่งที่แข็งแกร่งนี้ และทำให้พวกเขาตัวสั่นสะท้าน  พวกเขาทั้งสี่ องค์หญิงน้อย หวาดกัวคนผู้นี้เพราะลักษณะที่ดุร้ายซึ่งเขาได้กระทำกับ เซี่ยวเฟิงวู และมันได้ฝังลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณของนาง  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคิดถึงท่าทางที่ชายผู้นี้แสดงออกมาในเวลานั้น และพบว่ามันคล้ายคลึงกัน จึงทำให้นางหวาดกลัวชายผู้โง่เขลาและไร้ความกลัวผู้นี้มากยิ่งขึ้น !


ในทางกลับกัน ความหวาดกลัวของชายอีกสามคนนั้นมีความเป็นจริงมากกว่า  เนื่องจากมีความรู้มากกว่านาง พวกเขาเข้าใจได้เลยว่าชายผู้นี้มีความเกรี้ยวกราดอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากการแววตาที่มุ่งร้ายของเขา  พวกเขาเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งว่า ชายผู้นี้จักไม่ปล่อยให้อารมรมณ์ของเขาพุ่งไปถึงจุดที่สามารถกลืนกินสวรรค์และโลกได้ เว้นแต่ว่าเขาต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำลายล้างที่เขาสามารถทำได้ !


ความจริง กระแสปราณนี้คล้ายคลึงกับสิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้ในตอนที่มาถึงเมืองเทียนเชียง  ยิ่งไปกว่านั้น กระแสนี้ยังรุนแรงยิ่งกว่า กว้างขวางสูงส่งยิ่งกว่าสวรรค์ และล้ำลึกยิ่งกว่าพื้นสมุทร มันได้เพิ่มความหวาดกลัวให้แก่พวกเขา 


ช่างสูงส่ง !  มิอาจเทียบ !  มิอาจต้านทาน !


คนผู้นี้คือคนเดียวกับผู้ที่ปลดปล่อยขอบเขตปราณอันรุนแรงเมื่อวันก่อน และเป็นผู้ที่ทำลายป่าเมเปิ้ลทางใต้ในวันนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย !  แม้นว่าเขาเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาไม่นาน ผู้อาวุโสสามและคนอื่นๆก็สามารถบอกอะไรได้มากมาย !


พวกเขาไม่รู้เลยว่า ขอบเขตปราณขนาดมหึมานี้มิได้ถูกควบคุมโดยจวินโม่เซี่ย เพียงแต่มันออกมาจากเจดีย์หงษ์จวินที่อยู่ในร่างของเขาเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดสามารถบอกความแตกต่างได้ เนื่องจากเจดีย์หงษ์จวินที่อยู่ในร่างของนายน้อยจวินนั้น ก่อขอบเขตปราณที่มีลักษณะเช่นเดียวกับของจวินโม่เซี่ย


กระนั้น แม้ว่านายน้อยจวินจะมีความสามารถในการกระตุ้นเจดีย์หงษ์จวินได้ แต่เขาก็ยังมิอาจควบคุมมัน เนื่องจากการเพาะปลูกของเขายังต้อยต่ำยิ่ง  จึงทำให้ ผู้อื่นสัมผัสได้ว่าปราณนั้นคล้ายกับของเจดีย์หงษ์จวิน ไม่ว่าจวินโม่เซี่ยจะมีโทสะหรือมีความสุข ! 


อย่างไรก็ตาม กระแสที่รุนแรงของยอดฝีมือลึกลับนี้ก็มากเพียงพอที่ทำให้ผู้อาวุโสสามและคนอื่นๆรู้ได้ว่าชายผู้นี้กำลังเกรี้ยวกราดอย่างมาก


ยิ่งไปกว่านั้น กระแสที่เขย่าโลกของปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้แสดงออกมานั้น ก้าวล้ำเกินกว่า แปดยอดปรมาจารย์ คนใดจะสามารถ !


ทั้งสามหวาดกลัวยิ่งขึ้นเมื่อได้เปรียบความแข็งแกร่งของชายผู้นี้กับผู้นำนครของพวกเขา ฮั่นเฟิงฉือ และพบว่า แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในโลกตอนนี้ ก็ยังคงเป็นเพียงมดปลวกและมีความแข็งแกร่งราวกับเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ !


ยอดฝีมือทั้งสาม ไร้ความกล้าจะต่อกรกับชายผู้นี้ เมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งต่างๆ ขณะเดียวกันใบหน้าของผู้อาวุโสหกซีดเผือกเนื่องจากความหวาดกลัว


ข้าเกรงว่าการเพาะปลูกที่สูงส่งเช่นนั้นจะเกินกว่าที่มนุษย์จะไปถึง  ข้าเป็นเพียงลูกแกะที่รอคอยการถูกเชือด ? 


ชายหน้ากากดำเพ่งมองไปยังคนทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้าของเขาอย่างเยือกเย็น ขณะที่เคลื่อนที่เข้าใกล้พวกเขาอย่างช้าๆ ทีละก้าว พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


แต่ ฝีเท้าที่ยังคงมีเสียงนี้ทำให้ผู้อาวุโสสามและคนอื่นๆประหลาดใจยิ่งขึ้น !


จากระดับการเพาะปลูกที่สูงส่งของเขา คนผู้นี้แข็งแกร่งพอที่จะเดินข้ามน้ำ ผูภา และเหาะผ่านไปเหนือหมู่เมฆได้อย่างเงียบเฉียบ แต่กลับมีเสียงฝีเท้าที่ดังเพียงเล็กน้อย … นั่นหมายความว่าโทสะของเขายังคงไปไม่ถึงขีดจำกัด


ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งสี่อาจจะไม่รอดจากสิ่งนี้ไปได้ !


” พวกเจ้าเป็นคนของเมืองพายุหิมะขาว ? “


ชายหน้ากากดำถามขึ้นพร้อมกับมือที่ไขว้สูงอยู่ด้านหลัง ราวกับมันลอยอยู่บนสายลมขณะที่เสียงของเขาชัดเจนอย่างมาก


” ผู้ใด … ขอให้ท่านแนะนำตัวได้หรือไม่ … “


ผู้อาวุโสสามยืนหลังตรงขณะถามด้วยความสุภาพพร้อมมือที่ประกบกัน  การแสดงความสุภาพต่อผู้อื่นนั้นจักไม่นำพาซึ่งความเลวร้าย อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดกล่าวโทษผู้อาวุโสสามสำหรับการแสดงความเคารพอย่างยิ่งยวดในครั้งนี้ เนื่อง จากความสุภาพนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้


” โอ้ว …. ”


ชายหน้ากากดำร้องเสียง โอ้ว ยาวโดยไร้ซึ่งร่องรอยแห่งโทสะหรือความสุข และมันทำให้ดูราวกับว่าเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นจากการหลับไหลอันยาวนาน


” หากจะว่าไป อาวุโสผู้นี้มีความสัมพันธ์กับ ผู้อาวุโสแห่งเมืองสีเงินมาหลายชั่วอายุ ย้อนกลับไปตั้งแต่ ฮั่นเฟิงฉือ ถูกใช้เป็นเพียงปลายนิ้วของผู้นำนคร  อย่างไรก็ตาม เวลานั้นผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยัง … ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเมืองพายุหิมะขาวจะตกต่ำถึงเพียงนี้ !  มันเป็นเพียงแค่โชคร้ายหรือ ?  หรือสมบัติและความมั่งคั่งนั้น มิอาจอยู่ยืนยาวได้เกินสามชั่วอายุคนจริงๆ ? ”


เขาพยักหน้าราวกับรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง จากนั้นถอนหายใจและพูด


” น่าเศร้า ช่างน่าเศร้า ! ”


” เนื่องจากอาวุโสผู้นี้ และ อาวุโสของนครเป็นเพื่อเก่าแก่กัน พวกเราจึงมิใช่คนอื่นใกล   นะ … “


แม้นผู้อาวุโสสามจักตอบกลับอย่างสุภาพ แต่ความคิดของเขานั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


ผู้นำนครคนก่อน เขาหมายถึงอะไร ?  เขารู้จักอาจารย์รุ่นที่สองของพวกเราอย่านั้นหรือ ?  หรือ เป็นรุ่นแรก ? … โอ้วพระเจ้า ชายผู้นี้อาจจะมีอายุเกินกว่าสองชั่วอายุคน …


” การลงโทษเล็กน้อยจักต้องเกิดขึ้นเนื่องจากเด็กๆรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของข้า และรบกวนการฝึกฝนของข้า และสำหรับผู้อาวุโสของเจ้า แทนที่จะสั่งสอนกริยาของลูกหลาน แต่เจ้ากลับปล่อยให้พวกเขาทำในสิ่งต่างๆตามอำเภอใจ และเจ้าไปดึงลากผู้อื่นเข้ามาข้องเกี่ยวอย่างนั้นหรือ ?  นี่คือสิ่งที่เมืองพายุหิมะขาวถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างนั้นรึ ? ”


น้ำเสียงของชายหน้ากากดำดุร้ายขึ้นในท้ายที่สุด


หัวใจของผู้อาวุโสสามและคนอื่นๆเริ่มเต้นรัวด้วยความหวัาดกลัว ขณะที่ใบหน้าขององค์หญิงน้อยแสงดความงุนงงออกมาในช่วงวิฤตนี้  นางพบว่ามันแปลกประหลาดอย่างมากที่ชายเกรี้ยวกราดผู้ที่วิ่งแก้ผ้าก่อนหน้านี้ กลับสร้างภาพตัวเองราวกับเป็นสมาชิกผู้สูงศักดิ์ในสังคม และต้องได้รับความเคารพจากความอาวุโสของเขา ….


คนผู้นี้เป็นคนเดียวกันจริงๆหรือ ?  ในตอนนั้นทั้งร่างของเขาปกคลุมไปด้วยดินโคลน แต่ข้าก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายในตัวของเขา …  แต่หากเป็นคนเดียวกัน เหตุใดถึงได้แตกต่างกันมากมายเช่นนี้  ?  หรือเพราะตอนนี้เขากำลังใส่เสื้อผ้า ?


ชายหน้ากากดำเงียบอยู่ครู่ใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าโทสะของเขายังคงมากยิ่งขึ้น  สุดท้าย เขาพึมพัมและพูด


” ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังตามหาข้า ?  และเจ้าต้องการจะชำระความแค้นกับข้า ?  เช่นนั้น ข้าจึงมาที่นี้ด้วยตัวเองเพื่อให้เจ้าได้มีโอกาสนั้น ! ”


” ฮ่า ฮ่า โปรดอภัยแก่ความไร้เดียงสาของพวกเราที่ไม่รู้ถึงความเป็นจริงในเหตุการณ์นี้ด้วย นายท่าน พวกเราเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และจะสั่งสอนพวกเขาเช่นกัน แต่ด้วยที่พวกเราเป็นผู้อาวุโส พวกเราจึงจะไม่ปล่อยประในเรื่องนี้   ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำนครของพวกเราได้มอบหมายงานนี้แก่พวกเราก่อน ที่พวกเราจะออกจากเมืองมา …  ข้าขอให้ ท่านอาจารย์โปรดละเว้นในเรื่องที่พวกเขาได้ก่อกวนท่านด้วย ”


ผู้อาวุโสสามยิ้มขณะ อธิบายถึงสถานการณ์โดยไม่มีการปฏิเสธ


พ่อแม่จะไม่ถามอะไรเลยหรือ หากเด็กๆของพวกเขาไปกลั่นแกล้งคนภายนอก ?  หากพ่อแม่รู้ถึงสถานการณ์นี้อย่างดี พวกเขาจักต้องถกเถียงกันในเรื่องนี้เป็นแน่ !


ผู้อาวุโสสามผู้ที่ถือได้ว่าเป็น ปรมาจารย์แห่งการใช้คำพูด แม้นว่าเขาจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยความสุขภาพอย่างมาก แต่เขากลับไม่ทิ้งจุดอ่อนอันใดที่ชายหน้ากากดำจะโตีเถียงได้เลย


” เช่นนั้นหรือ ?  หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะไม่สนใจในเรื่องนี้  อย่างไรก็ตาม เจ้าได้ไปยังสกุลจวินเมื่อสืบสวนหาตัวตนของข้า !  และ เนื่องจากเจ้าจู่โจมสกุลจวิน ข้าไม่ควรกล่าวโทษผู้ใดหรอกหรือ ?  ยิ่งไปกว่านั้น เทพเชวียนผู้สง่างามยังโจมตีใส่เด็กหนุ่ม ?! “​


ชายหน้ากากดำเริ่มเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้น และไม่นานเขาจึงชายตามองไปยังผู้อาวุโสหก


” เทพเชวียนผู้มากประสบการณ์ทำร้ายเด็กตัวน้อยๆ !  นี่คือการแสดงพลังที่ดีอย่างนั้นหรือ ?!  ข้าเกรงว่าข้าจะได้พบคนผู้ที่ทำตัวน่าสมเพชและชั่วร้ายยิ่ง ! ”


” นายท่าน ข้าเกรงว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นจะเกินวิสัย เนื่องจากสกุลจวินและเมืองพายุหิมะขาวนั้นมีความขุ่นเคืองกันมาแต่ก่อน ซึ่งมันได้ฝังรากลึกอย่างมาก  เนื่องจากเรื่องนี้นั้นยากจะอธิบาย ข้าจึงอยากของให้ ท่านปรมาจารย์อย่าได้ยุ่งเกี่ยวเนื่องจากมันจะเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของเขา … ”


ผู้อาวุโสหกยังไม่ฟื้นคืนจากอาการจุกหลังจากได้รับความอัปยศจากฝีมือของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และยังรู้สึกละอายใจ จากนั้นไม่นานหลังออกมาจาก จวนสกุลจวิน เขากลับต้องเผชิญกับสุดยอดปรมาจารย์อย่างไม่คาดคิด ผู้ที่แสดงตัวเพื่อถามถึงการกระทำของเขา


ผู้อาวุโสหกเกือบจะเป็นลมไปอีกครั้ง !


ผู้อาวุโสหกตกอยู่ในความคิดที่ว่า เขาจะทำสิ่งใดดีเพื่อหลีกหนีจากเรื่องเลวร้ายที่เขาต้องพบเจอมาทั้งหมดในวันนี้ ?  


 ความอัปยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า … อาวุโสผู้นี้มีอยู่มากเกินพอแล้ว ….


ข้าไม่สามารถทำอันใดได้จริงๆ !  ข้าไม่สามารถอดทนต่อสิ่งอื่นใดที่ออกมาจากปากของเจ้าได้อีกแล้ว แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากพอจะสังหารข้าได้ตามต้องการก็ตาม !   เจ้าคิดว่าข้าผิดหรือ ? ดีละ ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า !


” เจ้าพยายามบอกว่าข้าจุ้นจ้านอย่างนั้นหรือ ? “


ชายหน้ากากดำมีโทสะเพิ่มขึ้นมาในทันที จากนั้นร่างของเขาหายไปในอากาศภายในพริบตา โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เบื้อหลัง


ชายผู้ที่ ยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนเมื่อไม่กี่นาทีก่อน หายไปแล้วในตอนนี้ มันไม่มากเกินไปที่จะบอกว่าพวกเขาไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นไปได้ สำหรับสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยิน แม้แต่ในตำนาน !


ผู้อาวุโสสามเป็นคนแรกที่มีปฏิกริยาเนื่องจากการเพาะปลูกของเขานั้นสูงกว่าคนอื่นๆ  แต่กระนั้น ตอนนี้ก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นใด เขาจึงตะโกนออกไปสุดกำลัง


” โปรดเมตตา นายท่าน ! ”

 

 

 


ตอนที่ 227

 

ผู้อาวุโสสามรู้สึกผิดอย่างมากจากการกระทำของผู้อาวุโสหกเนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถปกป้องตัวเองได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถแก้แค้นได้ในภายหลัง !


ฉึบ !  ฉึบ ! 


มีเสียงดังขึ้นอย่างไม่ทันคาดคิดสองครั้งดังขึ้นขณะที่ชายหน้ากากดำกลับมายืนอยู่ในจุดเดิมของเขาอีกครั้ง  ดูเหมือนว่าสถานการณ์นั้นไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน … นอกเสียจากมีรอยนิ้วมือห้านิ้วประทับอยู่บนแก้มของผู้อาวุโสหก !


สำหรับคนที่อยู่ในสถานะของผู้อาวุโสหก และความแข็งแกร่งเทพเชวียนการกระทำเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่า การบาดเจ็บทางร่างกายใดๆเสียอีก ! 


ไม่มีผู้ใดเห็นว่ายอดฝีมือลึกลับผู้นี้เคลื่อนที่อย่างไร และไม่มีผู้ใดเห็นเคล็ดที่เขาใช้ขณะตบหน้าของผู้อาวุโสหก  ดูเหมือนว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากอากาศ เช่นเดียวกับการปรากฏตัวของปรมาจารย์ลึกลับก่อนหน้านี้ !


พวกเขาทั้งสี่เอ่ยเป็นเสียงเดียว


ปาฏิหาริย์ !


แม้นผู้อาวุโสหกมิได้บาดเจ็บรุนแรง แต่เขาก็มิได้พบเจอเหตุการณ์แบบนี้ได้ง่ายนัก เนื่องจากเขาเป็นยอดฝีมือเทพเชวียน !  โดยไม่มีทางเลือกอื่น เขาเพ่งมองกลับไปยังชายแปลกประหลาดที่อยู่ภายใต้หน้ากากด้วยสายตาที่เบิกกว้าง !  ในครั้งที่เยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโจมตีเขานั้น อย่างน้อยเขายังสามารถตอบสนองได้แม้นว่าเขาเองจะไม่สามารถหลบได้   แต่กระนั้น ผู้อาวุโสหกมิอาจได้มีโอากาศได้ขยับตัวจากการโดนประทับฝ่ามือสองข้างในครั้งนี้ !


ชายผู้นี้ทำอะไรกัน ?


อย่างไรก็ตาม ท่าทางของชายหน้ากากดำนั้นดูเหมือนว่าเขาได้กระทำมันลงไปได้สำเร็จแล้ว 


” อาวุโสผู้นี้เพียงแต่จะทำให้เจ้ารู้ว่า เจ้าจะต้องไม่รบกวนข้าโดยการไประบายโทสะกับผู้อื่นอีก !  ข้าจะไม่อภัยให้เจ้าอีกหากเจ้าไปบ้านของผู้อื่นและดูหมิ่นชื่อเสียงของข้า ! ”


ชายหน้ากากดำดูเฉยชาขณะเขาพูดต่อ


” ข้าเพียงแต่พยายามสั่งสอนบทเรียนเพียงเล็กน้อยกับเจ้า เนื่องจากเจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก !  รอยประทับฝ่ามือทั้งสองผู้อาวุโสผู้นี้บรรจุไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ยังมีคนอีกมากในโลกนี้ที่แม้แต่ เทพเชวียนก็มิควรก่อกวน !  ประสบการณ์นี้จะช่วยปกป้องไม่ให้เจ้าต้องสูญเสียชีวิตของเจ้าไปในวันข้างหน้า !  ข้าสั่งสอนเจ้าเพียงคำพูดนั้นเพราะว่าข้ามีความสัมพันธ์อันเก่าแก่กับเมืองสีเงิน ! ”


ฟังดูราวกับอีกฝ่ายพูดราวกับว่า


” ข้าทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้า ”


ซึ่งเป็นการอธิบาย ที่ทำให้ผู้อาวุโสหกคลั่งด้วยโทสะ  เลือดพ่นกระจายออกมาจากปากของเขาขณะที่โทสะภายในร่างของเขานั้นเดือดพล่าน ทำให้การบาดเจ็บก่อนหน้านี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น และหอบหายใจเฮือกสุดท้าย ! 


รอยประทับของฝ่ามือบนใบหน้าของเขามิได้นำพาไปสู่ความตาย แต่มันคือความอับอาย  เห็นได้ชัดว่ามิใช่เรื่อใหญ่สำหรับคนธรรมดาที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากผู้ที่ทรงพลังกว่าเขา แต่กระนั้น ผู้อาวุโสหกกลับรู้สึกถึงโทสะอันรุนแรงจากสิ่งนี้


มิใช่เพราะการโดนดูถูก แต่เพราะว่าทั้งหมดนี้ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างมาก !


ก่อนหน้านี้ เขาได้พูดบางอย่างเช่นเดียวกันนี้หลังจากโจมตีจวินโม่เซี่ย ในจวนสกุลจวินเพื่อสั่งสอนบทเรียนแก่เขา  ในตอนนี้ บางอย่างที่เหมือนกันนั้นได้เกิดขึ้นกับเขาเช่นเดียวกัน !  แม้นพระเจ้าก็มิอาจเผยตัวเมื่อต้องเผชิยหน้ากับเรื่องเย้ยหยันเช่นนี้ …


เพียงหนึ่งประโยคนี้ก่อให้เกิดความคิดมหาศาลในหัวของ มูซื้อทง


ชัดเจนแล้วว่า ปรมาจารย์ผู้นี้ถูกสิ่งมาโดยจวินโม่เซี่ยและสกุลจวิน เช่นนั้นพวกเขาจึงสามารถระบายโทสะออกมาได้ มิเช่นนั้นเขาคงจะไม่พูดเช่นนี้ 


ทันใดนนั้นเขาก็มิได้กังวลถึงความเป็นตายของเขาอีกต่อไป …


จากทั้งหมดที่ เขามีความแข็งแกร่งระดับเทพเชวียน จึงรู้ดีว่าการสังหารคนธรรมดา แม้นว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุ ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา และเข้าใจว่ามันง่ายดายเช่นไรสำหรับชายผู้มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ …


อย่างไรก็ตาม หากปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้เป็นเพื่อนกับสกุลจวิน จวินวูอี้จะได้รับประโยชน์อย่างมากมายจากการช่วยเหลือของชายผู้นี้ ! 


แต่กระนั้น วันนี้ก็เป็นวันที่สุดแสนเลวร้ายของผู้อาวุโสหก  อย่างแรก สิ่งที่เขาดูถูกจวินวูอี้ได้กลับมาสู่ตัวเขาเองโดยการได้รับบาดเจ็บเพราะเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และจากนั้นบทเรียนที่เขาสั่งสอนจวินโม่เซี่ยด้วยความแข็งแกร่งอันเย่อหยิ่งของเขาก็ถูกส่งกลับมาโดยการประทับฝ่ามือสองรอยของ ปรมาจารย์ลึกลับใบหน้าของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสหกก็ฝืนใจไม่ตอบโต้แม้นว่าจะต้องประสบกับการสบประมาทอย่างหนักที่สุดในชีวิตถึงสองครั้ง … เห็นได้ชัดว่าการเก็บโทสะในระดับนี้ของเขาไว้นั้นมิใช่เรื่องง่าย


” น้องหก ! “


ผู้อาวุโสร้องขึ้นขณะรีบเร่งพุ่งตัวไปยังผู้อาวุโสหก กระตุ้นเทพเชวียนของเขา   เขากดบางสิ่งที่ผู้อาวุโสหกใส่ไว้ที่หน้าอกและมันสงบลงในทันใด ลำแสงสีขาวเปล่งออกมาจากออกมาจากอกของผู้อาวุโสหก และมันได้ปกคลุมตัวของเขาไว้ 


ผู้อาวุโสสามถอนหายใจขณะเห็นสิ่งนี้ และยืนขึ้นอีกครั้ง  เขาตระหนักได้ว่า เลือดและปราณเชวียนของผู้อาวุโสหกนั้นเริ่มพุ่งพล่านจากโทสะที่อยู่ในใจของเขา ซึ่งทำให้สถานการณ์นั้นวิกฤตอย่างมาก !


หากเขาทำการรักษานี้ไม่ทันเวลา ผู้อาวุโสหกคงจะต้องตายลงไปก่อนจะกลับไปถึง หอมณีวิจิตร เป็นแน่  ดังนั้นเขาจึงยื่นมือเข้าไป และกระทำสิ่งต้องห้าม !


ยอดฝีมือเทพเชวียน สิ้นลมด้วยโทสะนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน !


” เขาตายไม่ได้ ! ”


ดวงตาของชายหน้ากากดำฉายแววว่า เป็นเช่นนั้น ขณะที่เขามองไปยัง หมอกที่โปร่ง สีขาว หน้าแน่น ส่องประกายอยู่รอบๆร่างของผู้อาวุโสหก ก่อนเอ่ยขึ้นมาอย่างเยือกเย็น


” นี่เรียกว่า ผลของกรรม จากกฏสวรรค์  เราจักต้องเตรียมพร้อมสำหรับคำสบประมาทของผู้อื่น เมื่อเราไปดูแคลนใครบางคน !  เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงเนื่องจากเจ้าไม่คู่ควรกับข้า แต่ยอดฝีมือจากเมืองสีเงินของเจ้ายินดีที่จะตามมาก่อปัญหาให้ข้า หากเจ้าไม่เป็นด้วยกับการกระทำของข้า ! ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาติให้ไปเที่ยวทำตามอำเภอใจราวกับพวกเขาเป็นพรที่เกิดมาเพื่อโลกนี้  ทุกคนจะต้องมีสิ่งที่ต้องชดใช้ ! ”


” ข้าไม่รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากมันเป็นการตัดสินใจของ ผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองสีเงิน … ”


ผู้อาวุโสสามยืนขึ้นช้าๆขณะประกายแห่งโทสะอัดแน่นอยู่ในแววตาของเขา


” แต่กระนั้น ข้าขอให้ท่านบอกชื่อของท่านมา และข้าจะให้คำอธิบายที่เหมาะสมกับเหตุการณ์นี้แก่เมืองสีเงิน ! ”


” คำอธิบาย ?  เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าเจ้าสามารถออกไปจากที่นี่ได้หากข้ายังมิได้ปลดปล่อยโทสะ ? ”


ชายหน้ากากดำหัวเราะ และจากนั้น ร่างของเขาค่อยๆหายไปจากจุดที่เขายืนอยู่ในทันที และกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าของผู้อาวุโสหก ดูเหมือนว่าคว้าบางสิ่งอย่างไป จากนั้นจึงหายไปในอากาศราวกับหมอกควัน …


แต่มีเสียงดังออกมาจากร่างอันเลือนรางก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย


” กลับไปถาม ฮั่นเฟิงฉือ ว่าเขามีความสุขมากนักหรือจากการพรากคู่รักให้จากกัน และทำลายความสุขของหลานสาวของเขา ?  ฮ่า ฮ่า … … ”


ในที่สุดเสียงหัวเราะก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับร่างของชายลึกลับขณะม่านหมอกแห่งความมืดค่อยๆคืบคลานขึ้นสู่ท้องฟ้า  ดูราวกับว่าชายหน้ากากผู้นี้ได้คว้าเอาแสงสว่างสุดท้ายของโลกนี้ไปกับเขาด้วย


” นายท่าน ได้โปรดทิ้ง หยกเสริมวิญญาณ ของสกุลเซี่ยวไว้เบื้องหลังด้วยเถิด ! ”


ผู้อาวุโสสามตะโกนออกไป แต่กลับมิได้ยินสิ่งใดกลับมานอกจากเสียงสะท้อน เนื่องจากชายหน้ากากดำได้มะลายหายไประหว่างสวรรค์และโลกเสียแล้ว …


สิ่งที่ชายหน้ากากดำความเอาไปจากคอของ ผู้อาวุโสหกนั้นคือ จี้หยก !  ยิ่งไปกว่านี้ สมบัติอันล้ำค่านี้มีเพียงอีกสองชิ้นในเมืองสีเงินเท่านั้น !  นอกจากนี้ เมื่อพูดถึงสกุลเซี่ยว สิ่งนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตของพวกเขา !


บรรพบุรุษของสกุลเซี่ยวได้พบหยกที่อบอุ่นและแปลกประหลาดชิ้นนี้ในภูเขาที่มีหิมะปกคลุม  เมื่อสวมใส่มันบนร่างกาย หยกชิ้นนี้จะป้องกันบาดแผลบนร่างของผู้สวมใส่จากอันตราย แม้นว่าหัวใจของผู้สวมใส่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็หมายความว่า ยังสามารถพาคนผู้นั้นให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง !  ไม่มีผู้ใดรู้ถึงที่มาและความลึกลับที่อยู่เบื้อหลังหยกชิ้นนี้ !


หยกชิ้นนี้ถูกตัดแบ่งเป็นสาม และมีเพียงผู้ที่มีความสามารถสูงในสกุลเซี่ยวเท่านั้นที่จะได้รับมันมาสวมใส่ ซึ่งผู้อาวุโสหกมีมันอยู่หนึ่งชิ้น  ชิ้นที่สองได้มอบให้แก่ ทายาทคนสุดท้ายของสกุลเซี่ยว เซี่ยวเฟิงวู และชิ้นสุดท้ายนั้นอยู่กับ องค์หญิงน้อย ฮั่นหยานเมิง เนื่องจากชีวิตของเด็กทั้งสองนี้จะตกอยู่ในความเสี่ยงไม่ได้ !


อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเครื่องรางหยกชิ้นนี้ จะถูกคว้าไปก่อนที่มันจะได้ใช้ประโยชน์ !


ยิ่งไปกว่านี้ ผู้ใดจะคาดว่าผู้ที่ทรงพลังและไม่มีผู้ใดเทียบได้นี้จะขโมยสิ่งของล้ำค่านี้ไปราวกับอาชญกรรมธรรมดา …


น่าสมเพช !  ข้าไม่เคยเห็นผู้ที่สามารถพูดถึงตัวเองอย่างสง่าเช่นนี้ กลับกระทำในสิ่งที่น่ารังเกียจได้อย่างไร้ยางอาย


ชายผู้นี้ช่างต่ำทรามยิ่งนัก ! 


ผู้อาวุโสสาม ถ่มน้ำลายอย่างฉุนเฉียว


ผู้มีฝีมือเช่นนี้เป็นหัวขโมย …


อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่า ปรมาจารย์ซึ่งหาผู้ใดเปรียบไม่ได้นี้ จะไม่ขโมยเครื่องรางหยกนี้ หากเขารู้ถึงความสำคัญของมัน   ไม่ว่าเขาจะมีโทสะมากมายเช่นไร จวินโม่เซี่ยจะไม่กล้าเสี่ยงภัยเช่นนี้ หากเขารู้ว่าการกระทำของเขาจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตอบโต้กลับมา …


เพราะ สิ่งที่เรียกว่า ปรมาจารย์ที่หาผู้ใดเปรียบไม่ได้ นี้จะได้รับการเปิดโปงในทันทีหากทั้งสามพยายามขัดขวางเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันทำให้เขาหนีไปได้ไกล ไกลโพ้นพร้อมกับสิ่งที่ซุกอยู่ระหว่างขาของเขา …


แต่กระนั้น ผู้อาวุโสสามก็ได้พบว่าตัวเองสับสนอย่างสิ้นเชิง


กระนั้น เขาก็ยังเป็นสมาชิกชั้นสูง แห่งเมืองพายุหิมะขาว แต่ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นผู้อาวุโส และแม้นว่าเขาจะไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมด แต่เขายังอยู่ข้างเดียวกับเมืองภายุหิมะขาว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม !


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้แสดงตัวว่าเขานั้นยืนอยู่ข้างสกุลจวิน และแม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะเป็นฝ่ายตรงข้ามที่รับมือได้ยาก แต่เขาก็มิใช่ผู้ที่เป็นที่สุด


แต่มากกว่านั้น วันนี้พวกเขาได้วิ่งเข้าใส่คนลึกลับที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ผู้ที่ดูเหมือนจะหนุนหลังสกุลจวินอย่างชัดเจน  ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของผู้ที่ลึกลับนี้น่าเกรงกลัวยิ่ง น่าเกรงกลัวมากพอจะทำให้ผู้อาวุโสสามสิ้นหวัง  จึงไม่ต้องพูดสิ่งใดอีกแล้ว เพียงแค่ท่าทางที่เขาโจมตีผู้อาวุโสหกก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนหวาดกลัวเกินกว่าสิ่งชั่วร้ายในตำนานแล้ว !


ก่อนหน้านี้ สกุลจวินนั้นอ่อนแออย่างมาก แต่ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ในตอนนี้พวกเขามีผู้แข็งแกร่งทั้งสองนี้หนุนหลังอยู่  ยิ่งไปกว่านี้ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างสกุลจวินและเมืองสีเงินนั้นยิ่งทำให้ปวดหัว !


ข้าเชื่ออย่างมากว่าสกุลเซี่ยวจะไม่ปล่อยให้สกุลจวินลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง !  พวกเขาทนกับสกุลจวินกระทั่งตอนนี้ เพราะพวกเขารู้สึกว่าสกุลจวินั้นอ่อนแออย่างมาก และไม่มีค่าพอคู่ควรกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ก๊กอันแข็งแกร่งทั้งสองแห่งเมืองสีเงินจึงได้เผชิญกับมุมมองที่ตรงข้ามกัน และนี่ทำให้เกิดการแตกแยกของก๊กภายในเมืองพายุหิมะขาวครั้งแรกในชั่วเวลาหลายร้อยปี เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการเติมเชื้อให้กับความรุนแรงของสถานการณ์นี้ ! 


ตอนนี้ สกุลจวินได้ยกระดับพวกเขาขึ้นมา สกุลเซี่ยวจะไม่พยายามกำจัดพวกเขาไป !  ความจริงการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของ ผู้อาวุโสสูงสุด อาจจะไม่ได้รับการขัดขวางใดๆจาก ผู้นำนคร !


กระนั้น มันจะเป็นความยากลำบากหาก ผู้อาวุโสสูงสุด กระทำการอย่างผลีผลาม และยั่วยุเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่ข้ากลัวว่าพวกเขาอาจจะยั่วยุผู้ที่พวกเขามิอาจเทียบได้ หากเขาก่อกวนปรมาจารย์ที่หาผู้ใดเปรียบไม่ได้และลึกลับผู้นี้ …


ยิ่งไปกว่านั้น หากดูจากกิริยาของปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้ เขาเต็มใจจะทำทุกสิ่งตามประสงค์ของตัวเอง และหากผู้ที่ไร้ยางอายได้ครอบครองฝีมือและความแข็งแกร่งเช่นนี้ …


เขาอาจจะปวดหัวเกินกว่าจะวัดได้


ผู้อาวุโสหกสูดหายใจลึก จ่อมจมอยู่กับความวิตกกังวล

 

 

 


ตอนที่ 228

 

ในอีกมุมหนึ่ง ความคิดของมูซื้อทงและองค์หญิงน้อย นั้นต่างออกไป พวกเขามีความสุขกับจวินวูอี้และฮั่นหยานโย่ว คู่รักทั้งสองจำต้องแยกจากกันเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ถูกบังคับให้ต้องทนกับความยากลำบากมากมายนับทศวรรษ … แต่ตอนนี้พวกเขามีสองผู้ทรงพลังหนุนหลัง ในที่สุดพวกเขาจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง !  ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างที่สุด !


สิ่งแรกที่ ผู้อาวุโสสามทำหลังจากกลับไปถึง หอมณีวิจิตร คือการเขียนจดหมายร่ายยาวเพื่ออธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในหลายวันที่ผ่านมา  จดหมายนั้นส่วนใหญ่คือความคิดเห็นส่วนตัวของเขาเกี่ยวกับปัยหาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว รวมไปถึง ปรมาจารย์ลึกลับที่หาผู้ใดเปรียบไม่ได้ หลังจากเขียนรายงานสิบสองหน้ากระดาษเสร็จเขาจึงผูกมันไปกับอินทรีย์สื่อสาร จากนั้นเขาจึงยืนบนหลังคาของ หอมณีวิจิตรอยู่ลำพัง เฝ้ามองความมืดและขะมุกขะมัวของท้องฟ้าอย่างเงียบๆ  อดถอนหายใจเนื่องจากมองเห็นพายุที่กำลังจะพัดมาทางพวกเขาไม่ได้ !


ข้าไม่รู้เลยว่าจะมีผู้คนมากมายเพียงใดที่ต้องตายลงไปหลังจากได้เผชิญกับพายุนี้ !


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนนี้ หยกเสริมวิญญาณ  ของสกุลเซี่ยวได้ถูกแย่งชิงไป !  นี่คือของสิ่งหนึ่งที่พวกเขามิอาจจะสูญเสียได้ !  และในตอนนี้พวกเขาจะไปทุกสารทิศเพื่อยึดมันกลับมา !


อย่างไรก็ตาม เวลานี้เครื่องรางหยกได้ตกไปอยู่ในมือของชายหน้ากากดำลึกลับ !


ดังนั้น พวกเขาจะเอามันกลับมาได้อย่างไรกัน ?  หากแม้นพวกเขารวบรวมยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่สุดในเมืองสีเงิน ซึ่งมากฝีมือในการปล้นสะด้ม ก็อาจไม่รอดกลับมาจากการต่อสู้นั้นได้ !  พวกเราอาจจะจบลงด้วยการแผดเผาหยกเช่นหินธรรมดา …


อินทรีย์สื่อสารอีกสองตัวซึ่งมีสารผูกไว้ถูกส่งตัวออกไปยังทิศทางของเมืองสีเงินเช่นกัน สารเหล่านี้เป็นข้อความจาก มูซื้อทง และ องค์หญิงน้อย ฮั่นหยานเมิง ตามลำดับ ซึ่งพวกเขาส่งไปยังคนเพียงผู้เดียว ฮั่นหยานโย่ว !


หญิงสาวผู้นั้นได้สูญเสียความเป็นเด็กไป ซึ่งวันนึงนางจะได้กลายไปเป็นสะใภ้สกุลจวิน


ข้าไม่อาจคิดเลยว่าข่าวคนรักของนางจะทำให้หัวใจของนางมีความสุขได้เพียงใด …


” อะไรนะ ?! ”


เสียงก้าวเท้าเต็มไปด้วยโทสะของ เซี่ยวฮั่น ถูกกลบไปด้วยเสียงคำรามด้วยความโกรธ


” การบาดเจ็บของจวินวูอี้ได้รับการรักษาแล้วอย่างนั้นหรือ ?  เป็นไปได้อย่างไรกัน ?  เขาฟื้นตัวได้อย่างไร !  ไร้สาระ !  ข้าจักไม่ปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ! ”


ผู้อาวุโสสามหลับตา 


 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า เซี่ยวฮั่น !  แล้วตอนนี้เจ้าจะทำเช่นไร ?


ขณะความมืดยามค่ำคืนย่างกรายขึ้นสู่ฟากฟ้า เหล่าแกนนำของ ก๊กจินหยางมุ่งหน้าผ่านเมืองเทียนเชียงตรงไปยัง ค่ายใหญ่ อย่างรวดเร็ว


แกนนำ ก๊กจินหยาง รู้กันในนาม ผู้เรืองปัญญาจินหยาง ซึ่งสามารถเรียกประชุมได้โดยคำสั่งของผู้นำก๊กเท่านั้น  วัตถุประสงค์ในการเรียกประชุมนั้นไม่ใช่เพียงช่วยเหลือ ผู้นำก๊ก แต่ยังรวมถึงการที่ ก๊กต้องเผชิยกับสถานการณ์เป็นตายด้วย  นี่คือครั้งแรกที่มีการเรียกประชุมเกิดขึ้น ความจริง การเรียกประชุมไม่เกิดขึ้นแม้ต้องเผชิญกับอำนาจที่คาดไม่ถึงเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


จึงพูดได้ว่า จิ้นเฟิงเล่ย งดเว้นการดำเนินการนี้เนื่องจากความแข้งแกร่งของ อาวุโสผู้นั้น น่าเกรงกลัวเกินกว่าเหล่าแกนนำจะรับมือได้ ยิ่งไปกว่านั้น การพาพวกเขาออกมาก็มิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้เขาจึงพบว่ามันเหมาะสมกว่าที่จะหันไปหาพี่ชายของเขา พี่ไฮ่ แต่กระนั้น สถานการณ์นี้แตกต่างออกไป …


ชายชุดสีฟ้ายืนอยู่บนแท่นพร้อมด้วยมือไพร่หลัง ท่าทางของเขาสงบนิ่งราวกับมหาสมุทร หากแต่ความแข็งแกร่งนั้นสูงส่งเยี่ยงขุนเขา ขณะยืนรอ ผู้เรืองปัญญาจินหยาง มารวมตัวกัน ด้วยความอดทนราวกับท้องทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด  จิ้นเฟิงเล่ย ผู้นำก๊กจินหยางนั่งอยู่ด้านหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง  เขาสามารถสัมผัสได้ว่า ทัศนะของพี่ชายและผู้มีบุญคุณของเขาได้เปลี่ยนไปนับแต่กลับมา


เขาเต็มไปด้วย … ความก้าวร้าว !  ราวกับว่า … มีความปราถนาครอบงำ !


ซึ่งมันแตกต่างจากเขาแต่ก่อน ซึ่ง ไม่สนใจโลก …


บางที นี่อาจจะเป็นเหตุที่ พี่ไฮ่ ร้องขอการควบคุม ก๊กจินหยาง !


และ สิ่งที่แปลกประหลาด คือ เขาเรียกรวม ผู้เรืองปัญญาจินหยาง …


จิ้นเฟิงเล่ย ยืนด้วยควาหม่นหมองบนใบหน้า ขณะเห็นแกนนำนับสี่สิบมุ่งหน้าเข้าโถงมาทีละคน หลังจากโบกมือ กลุ่มคนเหล่านั้นเงียบลงทันที และเพ่งมองมาเพื่อรอให้เขาพูดขึ้น


” วันนี้ ผู้ทรงอำนาจได้เรียกรวมตัวพี่น้องทั้งหลาย เพื่อเป็นพยานในการประกาศเรื่องสำคัญนี้ ! ”


แววตาที่คมกริบและเยือกเย็นของ จิ้นเฟิงเล่ย ค่อยๆมองหน้าทุกคนที่อยู่ในที่นี้


” จากวันนี้เป็นต้นไป ก๊กจินหยาง ของเราจะไม่เพียงแต่ยินดีกับการมีผู้นำคนใหม่ พี่ไฮ่ แต่ยังเริ่มรวบรวมพันธมิตรใต้ดินในเมืองหลวงอีกด้วย  พวกเรารู้จักพี่ไฮ่ ไฮ่เฉินเฟิง และเหตุนี้ข้าจึงรู้สึกไม่จำเป็นต้องแนะนำเขา  พี่ไฮ่และข้าไม่เคยแบ่งแยกกัน สถานะของเขาในก๊กจินหยางนั้นสูงส่งกว่าข้าเสมอ แต่จากวันนี้ไป พี่ไฮ่จะเป็นผู้สั่งการและรับตำแหน่งผู้นำก๊ก !  เขาจะเป็นผู้บัญชาการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ! ”


หลังการประกาศของเขามีความเงียบขึ้นขึ้นในทันที


จิ้นเฟิงเล่ย รออย่างเงียบๆชั่วขณะหลังจากประกาศออกไป แต่จากนั้นเขาจึงเริ่มก่อนเนื่องจากไม่มีผู้ใดพูดขึ้นมาเลย


” มีผู้ใดเห็นต่างหรือไม่ ? ”


มือของ ไฮ่เฉินเฟิง ยังคงไพร่หลังขณะการกระกาศนี้ดำเนินไป ขณะดวงตาเขาเพ่งมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า 


 คนเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นแกนหลักของ ก๊กจินหยาง … แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นดั่งก้อนหิน …


” ข้ามีความคิดเห็นบางอย่าง ! “​


ชายตัวใหญ่กำยำเดินหน้าขึ้นจากฝูงชน


” ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงตัดสินใจเช่นนี้ ?  ความสามารถในการต่อสู้ของพี่ไฮ่นั้นเป็นหนึ่งและไร้ผู้ใดเทียบ และพวกเรายกย่องเขาในเรื่องนั้น แต่ แขกของก๊กจะสามารถเติมเต็มตำแหน่งผู้นำก๊กได้หรือ ?  พวกเรามีการเปลี่ยนแปลงการควบคุมเพื่อสิ่งใด ?  ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายได้เช่นไร แต่พี่ไฮ่นั้นมิได้อยู่ในรากฐานของก๊กมาเสมอ อย่างไรก็ตาม สถานะของเขาในก๊กก็ได้รับการเคารพเสมอเนื่องจากเขาได้ช่วยเหลือก๊กจากปัยหาภายนอกมาตลอด … แต่เหตุใดเจ้าจึงต้องการให้เขาเข้ามาควบคุมจัดการ ? ”


” ก๊กเหล่าใหญ่ๆทั้งหลายในเมืองหลวงกำลังรวบรวมยอดฝีมือ และพูดได้ว่าพายุกำลังจะพัดมาที่พวกเรา ดูเหมือนว่าสกุลใหญ่ๆต่างกำลังมีการเคลื่อนไหวถึงแม้นว่าพวกเราจะได้รับการติดต่อเพื่อเป็นพันธมิตรจาก สกุลมูล่ง สกุลลี่และสกุลซ้ง …   เจ้าเชื่อมากเพียงใดว่าเจ้าจะสามารถพาพวกเราออกจาพายุนี้ไปได้ ?  แม้นก๊กจินหยางจะเรียกได้ว่ามิอาจแตะต้อง พวกเราก็มิอาจทำอันใดได้ต่อหน้าสกุลเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขาสามารถทำลายก๊กจินหยางทั้งหมดได้ก่อนแสงแรกจะปรากฏ … ข้าควรทำสิ่งใดเมื่อต้องเผชิญกับอนาคตเช่นนี้ ? ”


จิ้นเฟิงเล่ยถอนหายใจ


” พวกเรานั้นมิอาจแตะต้อง กระนั้นยังมีบางคนที่ยังคงก่อกวนพวกเรา !  พี่ไฮ่จะแบกรับความรับผิดชอบนี้ในการนำพาพวกเราไปสู่สิ่งที่พวกเรายังไม่มีในตอนนี้  พวกเราไม่จำเป็นต้องเข้าพวกกับสกุลใด พวกเราไม่ต้องการเป็นหมาล่าเนื้อของพวกเขา และพวกเราจะต้องอยู่รอดต่อไป  ข้าอาจะดำรงตำแหน่งผู้นำของก๊กจิงหยาง แต่กระนั้น พี่ไฮ่คือผู้นำที่แท้จริงมาตลอด แม้ว่าเขาจะอยู่ในนามแขกก็ตาม  แต่เนื่องจากมันไม่เป็นการสมควรและยุติธรรม ข้าจึงตัดสินใจสละตำแหน่ง และยกมันให้กับเขา  ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง ? ”


ริมฝีปากของชายกำยำผู้นำเคลื่อนไหวอย่างเงียบเฉียบอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาถอยกลับไปยังตำแหน่งของตัวเองในที่สุดโดยไม่เอ่ยสิ่งใดเลย


” ข้ามีความเห็น ! ”


ชายผอมแทรกตัวออกมาจากกลุ่มคน ผลักผู้อื่นไปด้านข้าง


” ความแข็งแกร่งของก๊กในเมืองหลวงนั้นขึ้นอยู่กับกองกำลังทั้งหมดของพวกเราเสมอ มิใช่กำลังพลเพียงน้อยนิด  หากก๊กจินหยางอยากขึ้นมาทรงพลังอีกครั้ง พวกเราจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราในตอนนี้ ความจริง พวกเราไม่สามารถประกันได้ว่าจะรอดไปได้ในวันหรือสองวัน !  ดังนั้น เหตุใดพวกเราจึงไม่เลือกสกุลที่ทรงพลังสักสกุล และตราบใดที่พวกเราสามารถรับเงื่อนไขของพวกเขาได้ การเป็นพันธมิตรกับพวกเขาในขณะที่ยังคงรักษาผลประโยชน์หลักเขาเราเอาไว้ได้ พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกเขาอย่างสมบูรณ์  และเส้นทางนี้ พวกเราจะมีผู้อุปถัมภ์ที่แข็งแกร่ง และยังสามารถช่วยเหลือกันและกันได้ในเวลาที่ต้องการ ท่านพี่ โปรดบอกข้าเถิดความคิดใหนดีกว่ากัน ?  เหตุใดพวกเราจึงต้องปกป้องที่มั่นเล็กๆจากปัญหาที่หนักหน่วงเช่นนี้ด้วย ? ”


” แล้ว ผู้ใดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และเหมาะสมในความคิดของเจ้า ? ”


มือของไฮ่เฉินเฟิงยังคงไขว้อยู่ด้านหลังขณะเสียงของเขาพุ่งผ่านโถงไป


” สกุลมูล่ง และสกุลลี่นั้นเหมาสมกับพวกเรา ในความคิดอันต่ำต้องของข้า !  เพียงแค่นี้ ข้าไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ในเรื่องของการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดเนื่องจากมันเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้ประโยชน์ ! ”


ชายผอมเอ่นเสียงดัง


ร่างสีน้ำเงินหันและพุ่งตรงไปทันที การเคลื่อนไหวของเขาดูคล้ายระรอกคลื่นในมหาสมุทร


ปั้ง !


อกของชายผอมผู้นั้นโดนโจมตีด้วยฝ่ามือของ ไฮ่เฉินเฟิง และร่างของเขาลอยขึ้นไปในอากาศในขณะที่อวัยวะภายในของเขาห้าอย่างในหน้าอกทะลักออกมาในทันที ร่างของเขายังไม่ทันร่วงลงมาบนพื้นในตอนที่มันระเบิดออกเป็นชิ้นๆกลางอากาศ


เขาได้ตายไปแล้ว แม้นว่าซากศพอันน่าสังเวชของเขาร่วงหล่นลงบนพื้น !


” ผู้ที่เกิดขึ้นมาระหว่างโลกและสวรรค์ ผู้ใดพึ่งจมูกคนอื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดนั้น ก็เหมือนกับตายไปแล้ว ! “


ไฮ่เฉินเฟิงหันมองไปยังกลุ่มคนในทันที


” หากเจ้าอยู่อย่างหวาดกลัว เจ้าไม่คู่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของก๊กจินหยางของข้า !  หากเจ้าแอบรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น เจ้าก็ไม่คู่ควรจะยืนอยู่ที่นี่ !  ตอนนี้บอกข้า มีผู้ใดอีกไหมที่มีความเห็นอื่น ? ”


” พวกเราจะอยู่และตายด้วยกัน ดังนั้นพวกเราสามารถสร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับพี่น้องก๊กจินหยาง นั่นคือเส้นทางที่จะก้าวไป ! ”


แววตาอันเยือกเย็นของไฮ่เฉินเฟิงเพ่งมองไปยังกลุ่มคนด้วยความละเอียดราวอินทรีย์


” จากนี้ไป ข้าเป็นผู้นำคนใหม่ของก๊กจินหยาง !  ทุกคนมีเวลาหนึ่งวันให้พิจารณาก่อนจะกลับมาหาข้า !  หากเจ้าต้องการอยู่ จงทำตามที่ข้าพูด !  ก๊กจินหยางจะเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ในวันพรุ่งนี้ !  และห้ามมีผู้ใดขัดขวาง ! ”


” ผู้ใดฝ่าฝืนกฏจะต้องตาย ! “


ในที่สุดไฮ่เฉินเฟิงได้เผยถึงความก้าวร้าวและความแข็งแกร่งของเขา !  ในตอนที่ชายผอมคัดค้านคำสั่งของไฮ่เฉินเฟิง เขาก็ได้คัดค้านคำสั่งของเขาไปด้วยแม้นว่ายังไม่ได้ยอมรับความช่วยเหลือจากสกุลใดๆก็ตาม !  การนองเลือดเป็นสิ่งสำคัญเสมอเมื่อมีการแปรเปลี่ยนโครงสร้างของอำนาจ !


ชายผู้นั้นเพียงแค่โชคร้าย !


ทุกคนต่างแยกย้ายขณะ ค่ำคืนย่างกรายเข้าสู่เมืองเทียนเชียง พวกเขาทั้งหมดยังคงสั่นกลัวเนื่องจากได้รู้เห็น ถึงความน่ากลัวจากร่างของชายผอมที่ต้องแตกสลาย และมันทำให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว


ในที่สุด ไฮ่เฉินเฟิง ก็ได้คุมบังเหงียนก๊กจินหยาง !  เห็นได้ชัดว่าขั้นตอนต่อไปคือการก้าวไปให้ถึงเป้าหมาย !


ในที่สุดไฮ่เฉินเฟิงก็ได้เริ่มก้าวแรก ก้าวแรกจากประสงค์ของ จวินโม่เซี่ย รวบรวมก๊กเหล่าใต้ดิน ! 


แต่กระนั้น มันเป็นเพียงแค่สิ่งเริ่มต้น !


ตะเกียงถูกจุดขึ้นตอนที่จวินโม่เซี่ยกลับไปถึงจวนสกุลจวิน


นายน้อยจวินนั้นเต็มไปด้วยพลังตลอดเส้นทางกลับ เนื่องจากเขาไม่เพียงแต่ตอบโต้ผู้อาวุโสหกได้สำเร็จ แต่ยังคว้าเอาจี้หยกลึกลับกลับมาด้วย !  อย่างไรก็ตาม ความสามารถที่แท้จริงของจี้หยกนี้ จวินโม่เซี่ยยังไม่ได้ตรวจสอบ


แต่เนื่องจาก เจดีย์หงษ์จวินตื่นตัวอย่างมากตั้งแต่หยกชิ้นนี้ปรากฏขึ้นมา ซึ่งทำให้จวินโม่เซี่ยเชื่อว่าของสิ่งนี้มิใช่ชิ้นหยกธรรมดา


เขารู้สึกได้ว่าหยกชิ้นนี้มิใช่หยกจริงๆ แต่เป็นบางสิ่งที่เขาไม่รู้จัก  จวินโม่เซี่ยโยนหยกชิ้นนี้ไปในเจดีย์หงษ์จวินหลังจากที่ขโมยมันมาได้ …


เมื่อมาถึงจวนสกุลจวิน จวินโม่เซี่ยได้รับรายงานว่าเขาได้รับการเรียกตัวให้ไปยังลายบ้านของจวินวูอี้โดยเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ผู้ที่กำลังรอการมาถึงของเขาอยู่  . เจ้าเด็กผู้นี้เป็นคนเช่นไร ?  ดูท่าจะไม่ดี … ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดในบ้านพยายามยั่วยุเขาในตอนนี้ … พวกเขาคิดถูกที่เลือกคนเช่นนี้หรือ ? 


” เจ้าเด็กเลว !  ในที่สุดเจ้าก็กลับมาจนได้สินะ ?!  เจ้าลากข้ามาเผชิญกับปัญหาใหญ่ ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว กระโดดออกไป คว้าตัวจวินโม่เซี่ย และพาตัวเขาเข้าไปในห้องหนังสือ

 

 

 


ตอนที่ 229

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว พ่นวาจาใส่ใบหน้าจวินโม่เซี่ย


 


” แม่เจ้า เจ้าหลอกให้อาวุโสผู้นี้มาอยู่ในจวนสกุลจวิน ด้วยวาจาเจ้าเล่ห์ของเจ้า !  แม้นว่ามันจะมีกับดักใหญ่เช่นนี้ซ่อนอยู่อย่างนั้นรึ ?!  อย่างแรก คือเมืองพายุหิมะขาว และตอนนี้ยังมี คฤหัสน์ฉือฮั่น …. เจ้าเด็กเลว เจ้าคิดจริง ๆหรือว่า กระดูกแก่ๆและอ่อนแอ่ของข้าจะสามารถต้านทานสิ่งนี้ได้ ?  เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้าก่อนหน้านี้ ? “


 


” บอกเจ้าก่อนหน้านี้ ? “


นายน้อยจวิน กระพริบตาขณะเขาแก้ตัว


” เจ้าคงหนีไปอยู่ที่ทุ่งหญ้านานแล้วหากข้าบอกกับเจ้าก่อนหน้านี้ … เจ้าเจ้าจะยังอยู่ที่นี่ต่อจริง ๆหรือ ?   เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร ? “


” เจ้า … “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวดูเหมือสิ้นหวัง


ใช่เจ้านั่นมิได้โง่ เด็กน้อย ความจริงแล้ว เจ้านั้นฉลาดยิ่ง แต่ข้าก็มิได้โง่เช่นกัน


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคงจะทิ้งหน้าที่ไปหลังจากประเมินสถานการณ์หากยังไม่ได้เห็นกระบานท่าอินทรีย์ของจวินโม่เซี่ย และพบกับปัญหาเหล่านี้แทนในวันนั้น  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่ต้องการล่าถอยแล้ว แม้นว่าเขาจักต้องเผชิญกับกับศัตรูผู้ทรงพลังทั้งสอง เนื่องจากเขาได้เห็นถึงเคล็ดวิชาที่เขาบอกได้ว่ามันคือ สุดยอดเคล็ดระดับโลก !


 ข้าจักถือโอกาศนี้เป็นเรื่องตลกได้อย่างไรกัน ?  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้าเด็กนี่มี ปรมาจารย์ผู้เป็นสุดยอดหนุนหลังอยู่ !


มันชัดเจนว่าแม้นเขาจะพูดความจริง ข้าก็ยังคงไม่สบายใจกับเรื่องนี้  หัวใจข้ามิอาจสงบลงได้หากเขายังคงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ …  เพราะเขานั้นช่างเจ้าเล่ห์ ! และแม้นว่าผลประโยชน์นั้นช่างน่าอัศจรรย์ แต่ …


และท่าทางโอ้อวดในตอนที่เจ้าปิศาจน้อยพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ข้าโมโหจริง ๆ !


” ข้าเข้าใจเด็กน้อย เมื่อไหร่ที่ปรมาจารย์ของเจ้าจะมาที่นี่? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถาม


” อาวุโสผู้นี้ต้องการถกเรื่องของ คฤหัสน์ฉือฮั่น และ เมืองพายุหิมะขาว กับเขา “


หากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมั่นใจว่าปรมาจารย์ลึกลับจะหนุนหลัง เขาจะโยนปัญหาของเมืองพายุหิมะขาวและคฤหัสน์ฉือฮั่นทิ้งไป …


” อาจารย์ของข้า? “


จวินโม่เซี่ยเริ่มกระพริบตาอีกครั้ง


 ” เพราะตาแก่นั่นง่วนอยู่กับการไปเที่ยวรอบโลก จึงมิอาจระบุที่อยู่ของเขาได้ เขาเป็นมังกรที่หัวและหางไม่อาจบรรจบ และข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่เขาจะมา ?  แต่ เขาจะมาหาข้าเสมอเมื่อข้าได้สำเร็จในงานที่เขามอบหมาย ! “


” เจ้าคิดหรือว่าข้าสามารถต่อสู้ในสมรภูมินี้ได้โดยลำพัง? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพ่งกลับไปที่เขาอย่างรวดเร็ว สั่นสะท้านไปทั้งตัว


” เจ้าจะโดดเดี่ยวได้อย่างไร? “


จวินโม่เซี่ยเบิกตาอย่างสับสน


น้ำเสียงของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวฟังดูหดหู่


” มีผู้ใดอีก ?  คงมิใช่ ปู่และน้าที่อ่อนแอของเจ้า เพียงแต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นยังไม่เพียงพอในการแทรงแซงข้อพิพาทระดับนี้ แล้ว หากยังมีอาจารย์ของเจ้า แล้วยังมีผู้ใดอีก ? “


” เจ้าพยายามพูดอะไร?  เจ้าคิดว่าข้าไม่ร่วมด้วยหรือ ? “​


จวินโม่เซี่ย ชี้นิ้วมาที่อกตัวเอง ดูเหมือนไม่เต็มใจละทิ้งความรับผิดชอบ


 ” ข้าจักต่อสู้เคียงข้างเจ้า ! “


” เด็กน้อย เจ้านั้นถือได้เพียงลมตด! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเศร้าลง


” แม้แต่ลมตดก็ยังมีเสียงเบาๆ แต่เจ้าไม่มีความสามารถแม้นจะทำเช่นนั้น !  เพียงแค่มีคนเป่าใส่หน้า เจ้าก็ตาย !  ทั้งเมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น ต่างมีเทพเชวียนนับสิบอยู่ในครอบครอง และสองกำมือของอาวุโสผู้นี้สามารถรับมือกับพวกนั้นได้แค่สอง นั่นหมายความว่าข้าสามารถรับมือกับยอดฝีมือได้ครั้งละสี่หรือห้าคน แล้วพวกเขาที่เหลือละ ?  เจ้าจะปกป้องสกุลจวินของเจ้ากับพวกที่เหลืออย่างไร ? “


” เอาละ เพียงแค่เจ้าทำให้ดีที่สุด! “


จวินโม่เซี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียจริงจังขณะเขามองไปที่คางตัวเอง


” ข้า … แม่เจ้าเด็กน้อย ! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว มิอาจะหักห้ามโทสะได้อีก ในที่สุดเขาสถบออกมา


” ความพยายามของข้าจักมีความหมายอะไร หากเจ้าไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง ?  เจ้านี่ช่างโง่เง่าไม่มีผู้ใดเทียบได้จริง ๆ ! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกำลังจะหันหลังและจากไป


” อย่าได้กังวลไป เรือจะมุ่งหน้าไปข้างหน้าด้วยกระแสน้ำเมื่อมันไปถึงท่า และจะมีเส้นทางต่อไปเมื่อเราไปถึงภูผา “


จวินโม่เซี่ยพยายามสร้างความมั่นใจ


” แล้ว อะไรกันที่ทำให้เจ้าร้อนใจ ? “


” และจะเป็นอย่างไรหากมันไม่มุ่งไปข้างหน้า ?   แล้วจะทำเช่นไร ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เบิกตากว้าง ดูราวกับมันจะดูดกลืนเขาลงไป  . ข้าไม่เคยพบเจอคนไร้ประโยชน์เช่นนี้มาก่อน !


” จากนั้นมันก็จะถูกบดขยี้ ! “


คำพูดของ นายน้อยจวิน มิได้ช่วยให้โทสะของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวลดลงเลยแต่น้อย


” เจ้าไม่อายเลยหรือที่พูดว่ามันจะถูกบดขยี้ ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพ่งมองกลับไป ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะโต้เถียง … เขาเป็นดั่งสุนัขโง่ที่ไม่รู้เลยว่าการกินเม่นจะทำให้มันปวดท้อง …


” ข้ามั่นใจว่ามันจะไม่ถูกบดขยี้ แล้วเจ้าละ ? “


จวินโม่เซี่ยทำตาปรือราวกับคนใกล้ตาย


” อย่าลืมว่าเจ้าคือหนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ แม้ท้องฟ้าจะถล่ม เจ้าก็ยังสามารถยกมันขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย  และข้าเชื่อว่า ตราบใดที่เจ้ายังสามารถต่อตีได้ เจ้าก็จะสามารถเอาชนะความพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย  หากเจ้าล้มเหลว อย่างน้อยเจ้าก็ยังสามารถหลอมรวมหยกและหินธรรมดาได้ และเจ้ายังสามารถโจมตีพวกเขาลึกถึงกระดูกได้ จากนั้นมันจะง่ายที่ข้าจะหาประโยชน์จากสถานการณ์นั้นได้ มิใช่หรือ ?! “​


ทันใดนั้นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็พบว่าเขาตกอยู่ที่นั่งลำบาก !


เขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง


การเชื่อใจเจ้าเด็กนี่คือความผิดพลาดใหญ่หลวง !


เจ้าเด็กนี่วางแผนจะใช้ข้าเป็นเบี้ยล่าง จนกว่าเขาจะสามารถรับมือกับปัญหาหล่านี้ได้ …


คนน่ารังเกียจเช่นนี้มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างไรกัน ?


เขาเพิ่ง …


เขาเพิ่งจะได้เห็นความกระจ่างในวันนี้ !


” เด็กน้อย เจ้ารู้จักเมืองพายุหิมะขาวหรือไม่ ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยืนขึ้นด้วยความตั้งใจจะจากไป


.การอยู่ใกล้ๆเด็กนี่จะทำให้ชีวิตข้าพบกับความยุ่งยาก !  อย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกอยากจะกระทืบเขาก่อนจะจากไป


” เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับ คฤหัสน์ฉือฮั่น ?  เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าพวกเขามีความสามารถเช่นไร ?  ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงปากเก่งยิ่งนัก !  เด็กน้อย หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ แต่เจ้าถูกลิขิตมาให้ตายในไม่ช้านาน ! “


เห็นได้ชัดว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวต้องการจะจากไปโดดเร็วที่สุดหลังจากพูดจบ แต่เขารู้ว่าจวินวูอี้พักผ่อนอยู่ในลานบ้าน หลังจากที่สำเร็จการฝึกฝนตลอดวัน และจะไม่ปล่อยให้เขาจากไปอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเขาจะยืนกรานขนาดใหนก็ตาม


อย่างไรก็ตาม เขาไม่พอใจนายน้อยผู้นี้อย่างมาก


จวินโม่เซี่ยไม่ชอบที่จะเห็นความก้าวร้าวบนใบหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้พูดคุยกับเขาด้วยท่าทางที่เหมาะควร  แต่หลังจากได้ยินน้ำเสียงของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาตระหนักได้ว่าชายผู้นั้นได้รู้เรื่องภายในมามากแล้ว  แต่กระนั้น หากเทียบกับความคาดหวัง นายน้อยจวิน อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เนื่องจากรู้ว่าเขาสามารถ ใช้ข้อดีนี้ได้ หากเขาได้แบ่งปันข้อมูลแก่ชายผู้นี้อีกหน่อน


” บางทีข้าอาจจะไม่เข้าใจเรื่องนั้น แต่ เมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น นั้นททรงพลังยิ่งจนแม้แต่หนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ ก็ยังกลัวที่จะยืนหยัด ? “


นายน้อยจวิน เปลี่ยนความคิดไปโดยสิ้นเชิงขณะพูดต่อด้วยสีหน้าที่จริงจังและจริงใจ


” หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะไม่สนใจการแยกตัวออกไปของเจ้า หรือผู้ใดก็ตาม  แต่กระนั้น หากเจ้าเห็นเช่นเดียวกับข้า …  ข้าจะต้องเกรงกลัวผู้ใดเมื่อเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั่งอยู่ภายในบ้านของข้า ?  ฮ่าฮ่า … นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมข้าจึงมั่นใจยิ่งนัก ! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว กำลังจะเดินออกไปในตอนที่เขาตระหนักได้ว่า


ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าเด็กนี่จึงดูมั่นใจมาตลอด เขาใช้ข้าเป็นเพียงมายา คำพูดของเขามีเหตุผลยิ่งนัก … มีผู้ใดต้องกลัวหากหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์กำลังดูแลเขาอยู่ ?  ไม่น่าแปลกใจเลย…


เขาใช้เพียงชื่อเสียงของข้า !


กระนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ยังคงหงุดหงิดเล็กน้อย


เขาใช้ชื่อเสียงของข้ามาตลอด และนั่นทำให้เขามั่นใจอย่างมาก ?  … ไม่แปลกที่เขากระโดดไปมาโดยไม่สนใจโลกยิ่งไปกว่านั้น เขากล้าเผชิญหน้ากับ เมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น…


อย่างไรก็ตาม  มันจะเป็นการยากหากเขายังคงความคิดนี้ต่อไปเป็นเวลานาน


 


หัวของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อัดแน่นไปด้วยความคิด และตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า


สกุลจวินนั้นได้รับความสะดวกสะบายอย่างมาก เนื่องจากเขากำลังปกป้องพวกเขาอยู่ หาก เมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น มาหาพวกนี้ พวกเขา … จะยังทำให้สกุลจวินบอบช้ำอยู่อีไหม ?


ไม่มีทาง พวกเขาจะไม่มา เพราะชื่อเสียงของข้านั้นกระฉ่อน !


” เด็กน้อย ข้าอาจจะเป็นหนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ แต่ความสามารถในการเพิ่งกำลังพลของข้านั้นน้อยมาเสมอ “​


น้ำเสียงของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวผ่อนลงอย่างมีนัยยะ แต่ดวงตาของเขาดูคล้ายกับลูกแกะที่สับสน แม้นว่าเขายังคงมีโทสะ แต่ชัดเจนจากน้ำเสียงของเขาว่าไม่มีความหยิ่งยโสอกีแล้ว ซึ่งชัดเจนว่าคำพูดของจวินโม่เซี่ยส่งผลกับเขาอย่างมาก


” นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด “


จวินโม่เซี่ยพูดต่อน้ำน้ำเสียงจริงใจ


” เจ้าเห็นไหม แม้ว่า เมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น ก็ยังได้รับความคุ้มครองจาก หนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ แต่ข้างสงสัยว่า สองคนนั้นจะลดสถานะตัวเองลงและมาต่อกรกับสกุลจวินเป็นการส่วนตัว … และเจ้าเชื่อจริง ๆหรือว่าพวกเราไม่สามารถต่อกรกับผู้อื่นได้ ตราบใดที่สองคนนั้นยังไม่เข้ามาก้าวก่าย ?  โดดเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เบิกตากว้างขณะพยักหน้าและยิ้ม ก่อนพูดขึ้น


” นั่นมีเหตุผล หากเจ้ากัน ลีจื้อเทียน แล ฮั่นเฟิงฉือ ให้อยู่ห่างๆ คนอื่น ๆก็เป็นเพียง … ฮี่ ฮี่ … ไก่น้อยในสายตาของข้า … แม้แต่เทพเชวียนของพวกเขา ก็ไม่เว้น เพราะพวกเขานั้น อ่อนแอเกินไป … “


จวินโม่เซี่ยเอ่ยปากไปด้วยหวังว่าจะนำพาชายผู้นี้กลับมาสู่ความเป็นจริง แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้ามกับสิ่งที่ตั้งใจ …


จริง ๆแล้ว … นี่ควรจะเป็นเวลาที่เจ้ากระทำตัวหยิ่งยโสอย่างที่สุดมิใช่หรือ ?   อย่าสำคัญตัวเองมากไป เรื่องนี้คือความเป็นตาย รีบตื่นขึ้นมาสู่ความจริงได้แล้ว !


” แน่นอน แล้วเราจะต้องกลัวสิ่งใด ?  แม้นว่าพวกเขาจะมาที่นี่ด้วยกัน พวกเขาก็ยังคงพบว่าตัวเองตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ตราบใดที่เจ้ายังอยู่กับพวกเราที่นี่ !  เจ้าคือผู้ค้ำจุนสกุลจวิน และมิอาจทำลายได้  ตราบใดที่เจ้าต้อบโต้ มันก็เป็นเพียงการโยนหิน … ใส่ไข่ เจ้าเป็นดั่งค้อน ที่ฟาดลงไปยังยุงตัวน้อย … “


” ไม่ ไม่ ไม่ มิใช่เช่นนั้น “


แม้นว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะมีนิสัยอวดดี แต่เขาก็มิได้อวดดีมากพอจะใช้เพียงความแข็งแกร่งของเขาต่อกรกับ เมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น


” ความแข็งแกร่งอื่น ๆของพวกเขานั้นมิอาจะมองข้าม  มันยังคงยุ่งยากสำหรับข้าที่จะรับมือกับพวกเขาด้วยตัวข้าเอง “


เจ้ากลัวว่ามันจะยุ่งยากสำหรับเจ้า ?  เจ้ามิอาจะเทียบพวกเขา !


นายน้อยจวิน แสงดท่าทางกลั้นอาเจียน ขณะเขายิ้มอย่างไร้เดียงสา


 ” ข้าคิดว่า … เจ้าสามารถ !  ดั่งเช่นวันนี้ พวกเขามิได้สงบลงหลังจากเจ้ายื่นมือเข้ามาหรอกหรือ ?  เจ้าไม่สามารถรับมือกับเทพเชวียนหลายคนได้อย่างง่ายดาย หากเจ้าต้องการจะทำหรอกหรือ ?


” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เอามือไขว้หลังขณะเดินไปมาในห้องอย่างช้า ๆ  แม้ว่าเขาจะร่าเริง เขาก็ยังมีสีหน้าเข้มขรึม ” อย่าพูดไร้สาระเช่นนั้น ..  เจ้าไม่ควรดูแคลนศัตรู “


เจ้าเป็นนกแบบใหนกัน … ข้ากำลังกอดเจ้าไว้อยู่ …


นายน้อยจวิน ตะลึงงัน


ข้าเพิ่งจะยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เจ้าไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง และเจ้ายังคงไม่นั่งลงอีกหรือ !  เจ้าช่างสำคัญตัวเองยิ่งนัก … ท่านปรมาจารย์ เจ้าอาจจะเป็นเลิศในสมัยเจ้า แต่เจ้ายังเป็นมนุษย์ .. เจ้ายังเลือดออก เมื่อโดนตี มิใช่หรือ ?


” เอ่อ ในความจริง มีบางอย่างที่ข้ายังไม่เข้าใจ สวรรค์เชวียน  นั้นเหนือกว่า ปฐพีเชวียน และเทพเชวียนอยู่เหนือกว่าทั้งหมดนั้น ซึ่งสูงสุด … แต่เหตุใดเจ้าจึงแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือเทพเชวียนทั่วไป ดั่งเช่น ผู้อาวุโสหกแห่งเมืองพายุหิมะ ?  เขามิได้เป็นเทพเชวียน เหมือนเจ้าหรอกหรือ ?  ข้าสับสนจริง ๆ อย่าบอกข้าว่ามีสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้ ?  มันมีอะไรอีกหรือ ? “

 

 

 


ตอนที่ 230

 

( พายุหิมะขาว = พายุหิมะสีเงิน )


จวินโม่เซี่ยหมดความอดทนหลังจากได้พบเห็นว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกำลังหลงตัวเองขนาดหนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงถามคำถามที่เขาต้องการคำตอบมากที่สุด


ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ไม่เข้าใจว่า การเปรียบเปรยคืออะไร จริง ๆ !  การเปรียบเปรยในทางอ้อมนั้นเป็นการสูญเสียพลังงานอย่างไร้ค่า เนื่องจากมันยากที่จะเข้าใจ … มันจะดีกว่าหากจะพูดตรง ๆกับเขา


” ผู้ใดบอกเจ้าเรื่องเทพเชวียน ?  ว่ามันคือระดับที่สูงที่สุด ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว กระพริบตาสองครั้งขณะเพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยความไม่พอใจ  เขากำลังง่วนอยู่กับการคิดถึงการเอาชนะก๊กสองก๊กที่ทรงพลังที่สุดในโลก ราวกับวีรบุรุษผู้กล้าหาญ แต่ทันใดนนั้น เขาได้รับการขัดจังหวะจากคำถามของจวินโม่เซี่ย ราวกับทหารที่ถูกพักรบ


” ผิดแล้ว !  เทพเชวียนนั้นสูงที่สุดได้อย่างไร ?  มันเป็นเรื่องน่าขันยิ่งนัก ! ”


” โอ้ .. เช่นนั้น .. ยังมีขั้นที่เกินกว่าเทพเชวียน ?  ขอให้ข้าได้เรียนรู้จากประสบการณ์ และความรู้อันมากมายของเจ้า  “​


แม้นจวินโม่เซี่ยจะแกล้งไม่รู้ เขาก็ไม่รู้ถึงความจริงทุกสิ่งในเรื่องนี้


” เจ้ากำลังบอกข้าว่า ยอดปรมาจารย์ผู้นั้นมิใช่ยอดฝีมือเทพเชวียน ?  แล้ว พวกเขาเป็นอะไร ? “


” เจ้าโง่ ! ” 


โทสะของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพุ่งขึ้น เนื่องจากเขาไม่พอใจนายน้อยจวิน


” เทพเชวียนคือยอดฝีมือเทพเชวียน และยอดปรมาจารย์ก็เคือสุดยอดปรมาจารย์ !  เข้าใจไหม ?  ความแข็งแกร่งของเทพเชวียนนั้นธรรมดานัก และด้วยเหตุนี้สิ่งที่เจ้าอ้างนั้นไร้เหตุผลและน่างุนงง ! ”


” โอ้ ? “


ดวงตาของจวินโม่เซี่ยเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ 


” ปราณเชวียนคือสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก ! “


ใบหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจริงจังราวกับนักบุญ


หัวใจของจวินโม่เซี่ยแอบหัวเราะด้วยความดูถูก


ปราณเชวียนเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลกอย่างนั้นหรือ ?  ปราณของเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ ของข้านั้นทรงพลังกว่าเป็นร้อยเท่า แล้วเจ้าจะเรียนมันว่าอย่างไร ?


” ปราณเชวียนนั้นสามารถชะลอความแก่ เพิ่มพูนกำลัง ทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว เคลื่อนภูเขาและสูบน้ำทะเล เรียกลมและฝน … เจ้าสามารถทำทุกสิ่งที่เจ้าต้องการได้ ! ”


แววตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวบ้าคลั่ง


” แต่ผู้คนก็ใช้มันเพื่อสังหารผู้อื่น … ”


” เคลื่อนภูเขาและสูบน้ำทะเล ?  ทำได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ ? “


จวินโม่เซี่ยยืนขึ้น แต่ครานี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างแท้จริง !  ดวงตาของ นายน้อยจวิน เกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า ขณะที่คางของเขาเกือบจะชนกับพื้น


” อืมม บางที อาวุโสผู้นี้อาจจะพูดเกินจริงไปเสียหน่อย … “​


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังไม่หยุดอวดดี


“  แต่อาจารย์ของเจ้านั้นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เขากำจัดป่าเมเปิ้ลทั้งป่าภายในหนึ่งมือโบก จุ๊ จุ๊ ข้าเชื่อปาฏิหาริย์นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของฝีมือที่แท้จริงของเขา … ”


” โอ้ … “


จวินโม่เซี่ยนั่งลงด้วยความท้อใจ ราวกับลูกบอลที่หมดลม


ข้อสรุปที่เขาได้นั้น ทำให้เขาเป็นอัมพาต …


” ผู้ที่มีปราณเชวียนขั้นต่ำกว่าเก้านั้นเป็นเพียงมดปลวก แม้นว่าประโยคนี้จะเป็นจริง มันก็ยังมิใช่ความจริงทั้งหมด”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพูดต่อ


” ขั้นเก้านั้นต่ำต้อยจนสามารถเปรียบได้กับมดปลวก   คำพูดที่ถูกต้องนั้นควรจะเป็น ผู้ที่มีขั้นการเพาะปลูกที่ต่ำกว่าเทพเชวียนนั้นเป็นมดปลวก ! ”


” ซึ่งนั่นหมายความว่า มีคนเพียงกำมือที่ควรค่าพอจะเรียกว่ามนุษย์ ”


จวินโม่เซี่ยพึมพัมในลำคอ 


” ที่เหลือนั้นเป็นเพียงมดปลวก ”


” ซึ่งมีอีกสิบสองขั้นที่อยู่เหนือกว่าเทพเชวียน คนธรรมดานั้นเป็นเพียงสิ่งเริ่มต้น พวกเขาเป็นเพียงตัวตลกสำหรับผู้ที่อยู่ในระดับสูง ! ”


ภาษากายของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวแสดงออกถึงความภูมิใจและหยิ่งทะนงอย่างชัดเจน


” และสิบสองขั้นของเทพเชวียน แต่ละขั้นนั้นสูงขึ้นสู่นภา ! ”


” สิบสองขั้นของเทพเชวียน แต่ละขั้นนั้นสูงขึ้นสู่นภา ? “


จวินโม่เซี่ยทวนประโยคอย่างเงียบๆ และถาม


” หมายความว่าเช่นไร ? ”


” เทพเชวียนนั้นเหนือกว่าสวรรค์เชวียน และยังมีอีกสิบสองขั้นที่อยู่เหนือเทพเชวียน การเลื่อนขั้นจากหนึ่งถึงสิบสองนั้นยากยิ่งดั่งการก้าวขึ้นสู่สวรรค์ !  ยิ่งไปกว่านั้น ช่องว่างระหว่างขั้นนั้น อาจเทียบได้ดั่งพื้นดินและแผ่นฟ้า !  ดังนั้น แต่ละขั้นนั้นก้าวขึ้นสู่นภา ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพึมพัม จากนั้นพูด


” ทั้งสิบสองขั้นนั้นคือการฝึกปราณเชวียนที่แท้จริงในสายตาข้า และมีเพียงผู้ที่สามารถไปสู่ขั้นสิบสองได้จึงเรียกได้ว่าคนจริง !  ความต่างระหว่างขั้นสิบสองและเทพเชวียนธรรดานั้นมากมายยิ่งกว่าเทพเชวียนเหล่านั้นควรค่าพอจะตระหนักถึง !  ความจริงแล้ว เขาไม่ควรค่าพอจะได้รู้สิ่งนี้ ! ”


” ดังนั้น เจ้าก็ได้ก้าวข้ามไปหลายระดับแล้ว ? ”


จวินโม่เซี่ยถามด้วยความอยากรู้


” อาวุโสผู้นี้ และตาเฒ่า เฟิงจวนจุ้น นั้นอยู่ในระดับที่ห้า ซึ่งเป็นขั้นต่ำที่สุดที่ถือได้ว่าเป็น ยอดปรมาจารย์ ” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากพูดจบ  ”


ระดับห้า … ข้าไม่รู้ว่าข้าจะสามารถไปถึงขั้นหกได้หรือไม่ อนิจจัง … ”


” ระดับห้า … เพราะทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับห้านั้นไม่มีค่าเพียงพอจะเรียกว่ายอดปรมจารย์ เนื่องจากศิลปะการต่อสู้นั้นไม่อาจะถือได้ว่าเป็นสุดยอดอย่างแท้จริง ยอดฝีมือเทพเชวียนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นยอดปรมาจารย์ แต่ยอดปรมาจารย์นั้นต้องเป็นเทพเชวียน ! “


” การขึ้นสู่ขั้นห้านั้นเป็นความแตกต่างแรกที่ยิ่งใหญ่ !  ในความจริง ผู้คนจะต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาลเพื่อบรรลุไปถึงขั้นที่ห้า เพียงเท่านั้นพวกเขาจึงเข้าใจความสามารถที่แท้จริงของขั้นห้า และความเข้าใจนี้ช่วยพวกเขาในการยืมพลังจากรอบตัวเพื่อใช้งาน … นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นยอดปรมาจารย์ !  และทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นห้านั้นไม่เข้าใจว่าขั้นนี้สามารถให้พวกเขาดึงพลังจากรอบ ๆตัวได้ … ซึ่งแม้แต่เทพเชวียนขั้นสี่สูงสุดยังเป็นเพียงแค่เทพเชวียนธรรมดา !  และมิใช่ ยอดปรมาจารย์ ! ”


” เช่นนั้น จุ้นเป้ยเฉิน และ ลีจื้อเทียน อาจจะอยู่ในขั้นเทพเชวียนสิบสอง ? “


ความรู้แห่งโลกใหม่นี้ทำให้จวินโม่เซี่ยรู้สึกเปิดหูเปิดตาอย่างมาก


” ไม่ ไม่เป็นเช่นนั้น ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพยักหน้า แต่มิได้อ้างเหตุผลอันใด  แม้ว่าจวินโม่เซี่ยจะถาม แต่เขายังคงเงียบอยู่  หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง


” จุ้นเป้ยเฉิน นั้นบรรลุไปเพียงขั้นที่แปด … “


” ทฤษฎีเกี่ยวกับขั้นทั้งสิบสองนี้ถูกถ่ายทอดมาจากผู้เป็นตำนาน ซึ่งกล่าวไว้ว่าจะมีกำแพงขนาดใหญ่ขวางกันระหว่างขั้นต่าง ๆหลังจากขั้นที่สี่ อย่างเช่น จากสี่ไปยังห้า จากห้าไปยังหก …​ ความแตกต่างระหว่างขั้นสี่ไปห้านั้นใหญ่หลวงนัก ซึ่งพวกเขาจะได้กลายเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่ายอดปรมาจารย์ ! ”


เนื่องจากเขาตัดสินใจจะบอกนายน้อยจวินถึงเรื่องนี้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงเห็นว่าไม่เสียหายหากจะอธิบายสิ่งต่าง ๆอย่างละเอียดเพื่อให้ จวินโม่เซี่ยมีความรู้และเข้าใจมากขึ้น


” หากเช่นนั้น ขั้นที่เหนือกว่าเทพเชวียนแปดละ ?  และเนื่องจาก จุ้นเป้ยเฉิน นั้นเป็นเพียงผู้เดียวที่อยู่ขั้นแปด ผู้ที่สามารถบรรลุไปยังขั้นเก้าได้เป็นคนแรกนั้น จะกลายเป็นคนแรกในโลกที่ทำได้ ! ”


นายน้อยจวินพูดถึงสิ่งนี้เนื่องจากเขาได้คำนวนความเร็วในการไปถึงขั้นเทพเชวียนของเขา


 ข้าสามารถบรรลุไปยังขั้นเทพเชวียนได้ภายในสามถึงห้าปี


และด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกตกตะลึงแม้แต่ แปดยอดปรมาจารย์ ก็มิอาจไปถึง !


” เทพเชวียนขั้นแปดนั้นเป็นโลกใหม่ และข้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะมีความรู้ในเรื่องนั้น … มีเพียง จุ้นเป้ยเฉิน และ ลีจื้อเทียน และเหล่าผู้คนจาก ป่าเถียนฟา เท่านั้น ที่คู่ควรจะพูดถึงมัน แน่นอนว่ามิได้รวมถึงอาจารย์ของเจ้า  ขอบเขตของอาจารย์เจ้านั้นสูงเกินกว่าคนรุ่นของข้า ความจริง การเพาะปลูกของเขานั้นสูงเกินกว่า จุ้นเป้ยเฉิน จะสามารถตามได้ทันในสักวัน คนเช่นข้านั้นทำได้เพียงแค่ฝัน ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ถอนหายใจ ยืนขึ้น เดินไปข้างเตียง ดึงเหยือกสุราออกมาจากใต้เตียง เปิดมันออก และดื่มลงไปอึกใหญ่ โดยหวังว่ามันจะช่วยลดความวิตกของเขาลงได้


” การแบ่งระดับขั้นนี่น่างุนงงยิ่งนัก ! ”


จวินโม่เซี่ย สูดหายใจลึกทันที


การแบ่งแยกความแข็งแกร่งในโลกนี้ช่างแปลกและรุนแรง !   หากเจ้ายังไปไม่ถึงขั้นนั้น เจ้าก็ไม่คู่ควรจะเรียนรู้มัน …


ข้อเท็จจริงยังคงไม่ชัดเจน ในความจริง แม้ว่าขั้นทั้งสิบสองนั้นจะแตกต่างกันอย่างมาก แต่หากว่ากันไปตามท้องเรื่อง ทุกระดับขั้นนั้นจะแสดงออกมาเหมือนกัน แต่ภายในนั้นแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว  จึงเป็นธรรมดา ที่ขั้นต่ำ มิอาจเข้าใจขั้นที่สูงกว่า และแม้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปตามขั้น ความจริงพื้นฐานนี้ก็ยังคงใช้ได้ …


ทุกสิ่งที่เคยได้ยินจากท่านปู่ และท่านน้านั้นไม่ต่างอะไรจากโลกแห่งข่าวลือ  บางที มันอาจเป็นมากกว่าสิ่งที่ผู้อื่นรู้ แต่ยังคงหมายความว่า ยอดฝีมือสวรรค์เชวียน ก็มิอาจต้านทานความแข็งแกร่งของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า !


และจากสิ่งที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพิ่งพูดไป มันก็เป็นการเปิดโลกใหม่เสมอ  ดังนั้น จุ้นเป้ยเฉิน และ ลีจื้อเทียน นั้นจะสามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงนี้ได้หรือไม่ ? แม้นว่าเขาจะอยู่ในขอบเขตเดียวกับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่ก็ยังต่างระดับกัน … ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจหากเขาไม่มีความรู้อะไรเลย !


แต่จุดสูงสุดในการเพาะปลูกของโลกใบนี้อยู่ที่ใดกัน ?


เป็นเวลานาน จวินโม่เซี่ยหลงอยู่ในวังวนความคิดจนลืมความเสียดายต่อสิ่งที่มีค่าของเขา สุรา ราคาเหยือกละ หมื่นสองพันตำลึง …


” แล้ว เมืองพายุหิมะสีเงิน และ คฤหัสน์ฉือฮั่น .. เจ้าไม่กังวลหรือว่าพวกเขาจะมีความสามารถขนาดใหน ? “


จวินโม่เซี่ย เงยหน้าขึ้น  แววตาส่องประกาย


” เพียงสิ่งเดียวที่ อาวุโสผู้นี้พูดได้คือ … ทั้งสกุลจวินนั้นช่าง กล้าหาญและโชคดีอย่างยิ่ง ! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถอนหายใจยาว พูดถึงเรื่องนี้ ความหม่นหมองปกคลุมหัวใจของเขาอีกครั้ง ทำให้เขาอดที่จะเพ่งมองไปที่จวินโม่เซี่ยไม่ได้


” นี่มันประหลาดอย่างมาก !  สกุลจวินของเจ้านั้นเป็นสกุลทางโลกมนุษย์ และเจ้ายังคงรอดมาได้เป็นเวลานาน ต่อหน้า เมืองพายุหิมะสีเงิน นี่มิใช่ปาฏิหาริย์ ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว พยักหน้าอีกครั้ง


” ปล่อยเรื่องของ คฤหัสน์ฉือฮั่น ไปก่อน แล้วมาพูดถึง เมืองพายุหิมะสีเงิน ก่อน เจ้าไม่ควรที่จะก่อกวนพวกเขาในตอนนี้ !  หากข้าไม่รู้ว่าเจ้ามี ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นอาจารย์ของเจ้าหนุนหลังอยู่ ข้าคงจะตบก้นของเจ้า และ จากไปแทนที่จะอยู่กับเรื่องบ้าๆเช่นนี้เนื่องจากมันเป็นดั่งการขายชีวิตของเจ้าให้แก่ยมบาล แม้นความพยายามของเจ้าจะน่าสนใจ ข้าก็ยังเห็นค่าชีวิตของข้ามากกว่า ! “


แม้นว่าผิวเผิน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จะใจกว้าง เขารู้เพียงแค่จะระงับอาเจียนได้อย่างไรเมื่อข้างหน้าคือรังแตน …


” เมืองพายุหิมะสีเงิน นั้นทรงพลังจริง ๆหรือ ?  ทรงพลังจนแม้แต่พวกเรามิอาจเอาชนะได้เลยอย่างนั้นหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยขมวดคิ้ว


ข้ายังคงสับสนหลังจากได้รู้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสสามแห่งเมืองพายุหิมะสีเงิน … แม้นเขาเป็นเทพเชวียน แต่ยังไม่แข็งแกร่งมากพอเมื่อเทียบกับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว .. ข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาพูดเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง แทนที่จะโอ้อวดตัวเอง … ? 


ความคิดที่ชั่วร้ายของนายน้อยจวินนั้นยังมิอาจคิดคำนวนเรื่องนี้ได้ 


” ผู้อาวุโสหก และ เก้าแห่งเมืองพายุหิมะสีเงินนั้นมิใช่สิ่งที่น่ากังวล แต่ตอนนี้ปัญหาคือเจ้าได้ก่อกวนสกุลเซี่ยวแห่งเมืองพายุหิมะสีเงิน !  ซึ่งเทียบได้กับการเผชิญหน้ากับเมืองพายุหิมะสีเงิน !  เจ้าเข้าใจความต่างนี้หรือไม่ ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว มองจวินโม่เซี่ยอย่างสมเพช และถอนหายใจขณะคิดว่า


เจ้าโง่นี่ไร้ความกลัวจริง ๆ


” ผู้นำเมืองพายุหิมะสีเงินมิใช่แซ่ฮั่นอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าพวกเรากำลังต่อกรกับเมืองพายุหิมะสีเงิน ? ”


จวินโม่เซี่ยยังคงไม่เข้าใจ


” เจ้าช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้หรือไม่ ? “

 

 

 


ตอนที่ 231

 

” หากจะอธิบายถึงเรื่องนั้น … จะต้องย้อนถึงประวัติศาสตร์ของเมืงพายุหิมะสีเงิน … กลับไปถึงสามร้อยปีที่แล้ว มีพันธมิตรขนาดใหญ่ระหว่างก๊ก รู้จักกันในนาม สมาพันธ์สูงสุด ซึ่งควบคุมขบวนการใต้ดินกว่าครึ่งของโลกนี้ ชื่อเสียง อำนาจ  และ ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นไม่มีผู้ใดเทียบ และพูดได้ว่า แม้แต่เทพเชวียนก็หลีกเส้นทางเมื่อได้พบเจอสัญลักษณ์ของ สมาพันธ์สูงสุด กลัวว่าจะไปขัดขวางเส้นทางพวกเขา ! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เล่าอย่างช้าๆ


” โดยไม่คาดคิด วันหนึ่ง นายน้อยแห่ง สมาพันธ์สูงสุด ยู่หลิงเฟิง เกิดพบหญิงสาว ดวงตาประกายงาม และมีลักษณะอันวิจิตร ที่ผู้คนเรียกนางว่า หงส์หยกเก้าเวหา นามว่า คุ้งหยานหลั๋ว และถือได้ว่านางนั้น เป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดในโลก … ”


” ยู่หลิงเฟิง ปรารถนานางอย่างมาก และด้วยเหตุนี้ เขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะหัวใจของนาง เช่นเดียวกับยอดฝีมือมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดไขว่คว้าไปได้  เมื่อเห็นว่า คุ้งหยานหลั๋ว ปฏิเสธความรู้สึกของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยู่หลิงเฟิงทุกข์ ทรมาณจนเขาสั่งให้กวาดล้างสกุลลู่ทั้งหมด แม้กระทั่ง คุ้งหยานหลั๋ว อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ ความหอมหวนของ คุ้งหยานหลั๋ว กำลังจะมะลายไปชายสามคนปรากฏตัวขึ้น ช่วย และหนีไปกับนางในทันที  นางตกหลุมรักกับผู้อาวุโสที่สุดในสามคนนั้น และพวกเขาได้ฝากชีวิตสมรสไว้ด้วยกันต่อมาไม่นาน  จากนั้นนักข่าวนี้ได้แพร่ไปถึงหูของ ยู่หลินเฟิง  วันหนึ่ง เขาล้อมทั้งสามด้วยหมายจะสังหารเพื่อล้างแค้น แต่ถูกชายทั้งสามสังหารในการต่อสู้หลังจากนั้น ”


จวินโม่เซี่ยอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องเล่าของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นั้นคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของ กวนเซียงฮั่น และ คฤหัสน์ฉือฮั่น ? 


” ในสามคนนั้น ผู้อาวุโสที่สุดนั้นนามว่า ฮั่นเซี่ยวโย่ว คนที่สองคือ เซี่ยวซิงเฉิน และคนที่สามคือ ฉือต้วนเฉียง  ทั้งสามเป็นยอดขุนศึกในเวลานั้น และมีฝีมือด้านวิทยายุทธ์แต่กำเนิด !   หลังจากสังหาร ยู่หลินเฟิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้เป็นศัตรูกับ ผู้นำ สมาพันธ์สูงสุด ยูซานยุ๋น ผู้ที่สั่งให้ผู้ที่อยู่ใต้บัญชาของเขาว่า


งดเว้นการติดตามและสังหารพวกเขา !


ทั้งสามรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาดี และรู้ว่าไม่อาจะเทียบกับ สมาพันธ์สูงสุด ในสมรภูมิได้ ทั้งสี่จึงตัดสินใจจากไป และ หายไปอย่างไร้ร่องรอย  อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าทั้งสี่พบที่หลบภัยในดินแดนหิมะที่ห่างไกล !  ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสี่ซุ่มสร้างกองกำลังเหนือภูผาหิมะนั้น !  ทั้งสามกลายมาเป็น สามบรรพบุรุษแห่งเมืงพายุหิมะสีเงิน พวกเขาได้ก่อตั้งสกุลเก่าแก่สามสกุล คือ สกุลฮั่น สกุลเซี่ยว และ สกุลฉือ “


” ทศวรรษหลังจากนั้น ทั้งสี่ได้จากหุบเขามาหลังจากรวบรวมกองกำลัง ซึ่งพวกเขาได้ตัดสินใจมาก่อปัญหาให้แก่ สมาพันธ์สูงสุด แต่กระนั้น ในเวลานี้ สมาพันธ์สูงสุด ได้ประสบกับปัญหามากมาย เนื่องจากทั่วหล้าต่างโกรธเคืองใน พฤติกรรมของพวกเขา   ดังนั้น เมื่อทั้งสามเริ่มการโจมตีสมาพันธ์สูงสุด พวกเขาจึงได้รับการตอบรับจาก ยอดฝีมือมากมายทั่วทั้งโลกในการร่วมมือ  ภายในสามปี สมาคมที่ทรงพลังที่สุดในโลกซึ่งมิอาจล้มลงได้ กลับถูกทำลายให้หายไปอย่างสิ้นเชิง”


” อย่างไรก็ตาม ยูซานยุ๋น และ ฮั่นเซี่ยวโย่ว ได้มาเผชิญหน้ากัน ในช่วงเวลาอันสำคัญในสมรภูมิสุดท้าย  เมื่อทั้งสองหมดแรง ยูซานยุ๋น โจมตีอย่างสิ้นหวังใส่ ฮั่นเซี่ยวโย่ว แต่ก็ไม่อาจะต้านไว้ได้ เมื่อเห็นเช่นนั้น เซี่ยวซิงเฉิน เข้าไปขัดขวางการโจมตีของ ยูซานยุ๋น ก่อนมันจะะไปถึง ฮั่นเซี่ยวโย่ว โดยใช้ร่างกายของเขาบังไว้ แต่ได้นำพา ยูซานยุ๋น ไปจากโลกนี้กับเขาด้วย ! “


” ในเวลานั้น วรยุทธ์ของ เซี่ยวซิงเฉิน นั้นเกินกว่า ฮั่นเซี่ยวโย่ว และกำลังก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด เนื่องจาก  เขาต้องการจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก !  เขามี ภรรยาที่สวยงาม และลูกชายซึ่งรอเขากลับบ้าน … และบอกได้ว่านั่นคือช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของเขา … แต่เขายังเลือกที่จะตายเพื่อปกป้องพี่น้องร่วมสาบาน !  พวกเขาบอกว่า ใบหน้าของเขาเผยถึง จิตวิญญาณแห่งพี่น้อง และวีรบุรุษในตอนที่เขาตาย ”


” ฮั่นเซี่ยวโย่ว โศกเศร้าจากการตายของน้องมากจนยกกระบี่ขึ้นมาและตัดนิ้วสองนิ้วของเขาออก ทำให้เลือดหยดลงไปบนพื้น เสียงถึงก้องสั่นสะเทือนปฐพีขณะเขาสาบานด้วยเลือดว่า ตราบใดที่เมืองพายุหิมะสีเงิน( พายุหิมะขาว )ยังคงอยู่ลูกหลานสกุลเซี่ยวจะต้องไม่สิ้นสลาย !  และ ลูกหลานของเขาได้ถือคำสาบานของเขาตราบจนทุกวันนี้ ! ”


ดูเหมือนว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จะเคลื่อนไหวเล็กน้อยขณะที่บรรยายถึงการเสียสละและความเป็นพี่น้อง ซึ่งเห็นได้ชัดจากโทสะที่ฝังอยู่ในน้ำเสียงของเขา


จวินโม่เซี่ยถอนหายใจยาว  ในที่สุดเขาได้เข้าใจความหมายที่อยู่ภายใต้คำพูดของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


สกุลจวินนั้นโชคดีอยงมากที่อยู่รอดมายาวนานเช่นนี้ .. โชคดีมากจริงๆ !


” แม้นสกุลเซี่ยวจะไม่ได้ควบคุม เมืองพายุหิมะสีเงิน แต่ความคิดเห็นของพวกเขาสำคัญมาเมื่อเป็นการตัดสินใจทีสำคัญภายใน เมืองพายุหิมะสีเงิน !  และไม่มีผู้ใดสามารถทำอะไรได้ !  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ครองนคร ได้สืบทอดสายเลือดของสกุลเซี่ยวตั้งแต่นั้นมา จนทำให้ทัศนคติของพวกเขาแย่งลง !  ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วยัง ?  หากสกุลของเจ้าลุกขึ้นต่อต้านสกุลเซี่ยว ก็หมายถึงการเผชิญหน้ากับ เมืองพายุหิมะสีเงิน !  ความจริง มันเป็นสิ่งเดียวกัน ! ”


หลังจากที่เล่าเรื่องราวมาาวนาน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อ้าปากกว้างและดื่มสุราอึกใหญ่ก่อนถอนหายใจและพูด


” ไม่อาจะโทษ ฮั่นเซี่ยวโย่วได้จริงๆ … ข้าเองก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้พี่น้องของข้าได้สุขสบายเช่นกัน !   สำหรับคนรักของพี่น้อง ข้า ไม่สนความเป็นตายของพวกเขา ! ” 


” แต่เพราะเหตุนี้ มันจึงยากยิ่งในการปกป้องสกุลของเจ้าจากสกุลเซี่ยว !  แม้นว่าข้าจะไร้ประโยชน์ในเรื่องนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่า หญิงสาวของลุงเจ้าได้จัดการมานานแล้ว … “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหดหู่


” แต่ข้ามั่นใจว่าไม่สำคัญว่านางจะทำเช่นไร แต่ละขั้นมันก็จะยากยิ่งขึ้น !  ชีวิตของเด็กสาวผู้นั้นจักต้องขื่นขมยิ่งขึ้น ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโน้มตัวไปด้านข้างหลังจากเล่านิทานจบ และเริ่มเพ่งมองออกไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด ดวงตาของเขาสะท้อนถึงความแปลกประหลาด ไม่รู้ และอามรณ์ที่ซับซ้อนขณะที่เขาเพ่งมองออกไป  ดูเหมือนจะปกปิด… ความเจ็บปวดในความทรงจำอันยาวนาน …


” และนั้นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น ! “


นายน้อยจวินถอนหายใจ การเกิดมาทั้งสองครั้งของเขา นี่เป็นความคิดที่รู้สึกถึงภาระอันหนักอังของมือสังหาร เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญกับปัญหาที่เขาไม่อาจหาทางแก้ได้


สถานการณ์ของสกุลจิวนก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เสาหลักได้ถูกทำลายลง นำพาสกุลให้อ่อนแอ  ผู้เดียวที่รอด จวินวูอี้ที่ขาทั้งสองของเขาไม่สามารถใช้การได้ และไร้ซึ่งความหวังในการรักษา  แม้นว่าหัวใจของปู่จวินจะเต็มไปด้วยโทสะที่ได้สูญเสียลูกชาย แต่เขาก็หมดหนทาง สุดท้ายแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถบิดขาได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว และด้วยเหตุนี้ เขาจึงพยายามปกปิดโทสะของเขาเอาไว้เงียบๆ


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสกุลเซี่ยวจะอยู่ในตำแหน่งอันทรงอำนาจในเมืองพายุหิมะสีเงิน พวกเขาก็หยุดคิดที่จะทำลายสกุลจวิน แต่เหตุใดพวกเขาจึงไม่ถอนรากถอนโคนเสีย ?  มีเพียงเหตุผลเดียวที่อยู่เบ้ืองหลังจากตัดสินใจของสกุลเซี่ยวในการทิ้งงานนี้ไว้กลางทาง !


และเหตุผลนี้คือหญิงสาวผู้หนึ่งที่น่าสงสาร !


ฮั่นหยานโย่ว !


พระเจ้าจะรู้หรือไม่ว่านางต้องเสียสิ่งใดบ้างเพื่อให้สกุลจวินไม่ต้องประสบเคราะห์กรรม … ?  และต้องใช้ความพยายามมากสักเพียงใด …?


เพียงพระเจ้าที่รู้ว่าหญิงสาวผู้น่าสงสารต้องใช้ชีวิตแบบใหน บนภูผาหิมะ … ความน่าสังเวชเพียงใดที่น้องต้องประสบ .. ?


แน่นอนว่าชีวิตของสกุลจวินนั้นน่าสมเพชและลำบาก แต่มันยังห่างไกลนักเมื่อเทียบกับชีิวิตของหญิงสาว ?


แม้นว่า สกุลเซี่ยว และ จวินที่บาดหมางกันจะห้ามิให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน แต่ ความดีความชอบของ ฮั่นเซี่ยวโย่ว ผู้น่าสงสารก็ไม่ได้จางหาย นางต่อสู้กับสกุลของนางเพื่อผลประโยชน์ของสกุลจวิน ในขณะที่ยังคงรักษาความสง่างามของสกุลนางเอาไว้ !


ข้าต้องทำให้แน่ใจว่า ฮั่นหยานโย่ว และน้าสามจะต้องกลับมาอยู่ร่วมกันและแต่งงานกันให้เร็วที่สุดตราบเป็นไปได้ !


มือสังหารจวินเริ่มรู้สึกหงุดหงิด


สุดท้ายเขาก็ได้เข้าใจถึงโชคชะตาที่จวินวูอี้ได้ประสบมานับสิบปี … ความเจ็บปวด และสิ้นหวัง ที่ซ่อนเร้นอยู่บนใบหน้าของเขา …


อย่างไรก็ตาม มือสังหารจวินนั้นมิอาจจินตนาการถึงชะตาของ ฮั่นหยานโย่ว ดังนั้น จวินวูอี้จะทนได้เช่นไรเมื่อต้องมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนรักในชีวิตของเขา ?   เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการโยนสติของเขาลงไปยังหุบเหวแห่งความโศกเศร้า !


หากไม่ได้เป็นภาระในอนาคตของสกุล หากไม่ได้เป็นภาระของพี่ทั้งสอง หากไม่เพราะอายุของพ่อของเขา … น้าของเขาคงจะเอากระบี่ตัวเองปาดคอหอยไปแล้ว !


ในเหตุการณ์เช่นนี้ การมีชีวิตอยู่อย่างว่างเปล่านั้น ยากกว่าความตายนับร้อยเท่า !  และเป็นความเจ็บปวดนับร้อยเท่า !


ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจของเขายังคงรอคอยอย่างทุกข์ทรมาณอยู่เงียบๆในที่ห่างไกล เพื่อรอคอยลำแสงแห่งความหวัง …


เขาจะทนสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน ?! 


มือสังหารไม่อาจคิดถึงความเจ็บปวดที่ จวินวูอี้ต้องแบกรับมานับสิบปีได้ ลากร่างอันไร้ประโยชน์ของเขาไปตามชีวิตที่น่าสมเพชนี้ เพื่อพ่อและคนรุ่นหลัง … มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น .. เขาคือวีรบุรุษ ! 


ความจริง การตายนั้นง่ายกว่ามาก แม้แต่มีดก็เพียงพอ … แต่การมีชีวิตอยู่เช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการทนบาดแผลนับพันภายในจิตวิญญาณ … ทุกวัน และทุกคืน !


” เหยี่ยว เจ้าเพิ่งบอกข้าว่าเจ้าเป็นเทพเชวียนขั้นห้า และการบรรลุไปยังขั้นที่หกนั้นไม่ยากเท่ากับการบรรลุจากขั้นที่สี่ไปขั้นที่ห้า … แต่หากเจ้าต้องการจะบรรลุ  เจ้าก็ทำไม่ได้เพราะว่ามันยากมากในการเพิ่มพูนวรยุทธ์ของเจ้า และเจ้ายังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ใช่หรือไม่ ? ”


จวินโม่เซี่ยกัดฟัน ขณะที่ดวงตาแสดงถึงความตั้งใจอย่างชัดเจน  ความจริง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไม่เคยได้ยินเขาพูดด้วยท่าทางที่จริงจังและช้าเช่นนี้มาก่อน


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว สามารถสัมผัสได้ถึงพลังและความแน่วแน่ในคำพูดของจวินโม่เซี่ย และอดตกใจไม่ได้เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังจวินโม่เซี่ย ขณะที่ดวงตาของขาปลดปล่อยประกายที่ดุร้ายและแหลมคม


” เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น … เจ้า เจ้าหมายถึงอะไร เด็กน้อย เจ้าพยายามจะพูดอะไร ? ”


ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเยาะเย้ยกัน แต่ในครั้งนี้ พวกเขาจริงจังอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาเข้าใจถึงประสงค์ของผีกฝ่ายอย่างชัดเจน


  ความจริง ทุกสิ่งรอบตัวของพวกเขาจริงจังขึ้นตามความเข้มข้นและจริงจังของการสนทนา


ราวกับมีใครบางคนยกคันศรขึ้นในความมืดยามค่ำคืน !  พร้อมกับเกาทัณฑ์ที่สัมผัสอยู่บนสาย !


” อาจารย์ของข้าหมกมุ่นอยู่กับการปรุงแต่งตัวยา เมื่อหายปีก่อน เขาได้พัฒนาตัวยาพิเศษขึ้น ! “


จวินโม่เซี่ยเพ่งเข้าไปในดวงตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


” ยาชนิดนี้ต้องการสมุนไพรและอัญมณีหายาก รวมถึงวัตถุดิบหายากอื่นๆ  ยิ่งไปกว่านั้น การกลั่นยานี้ยังมีความยุ่งยากอย่างมาก  อย่างไรก็ตาม เมื่อมันพร้อม มันจะมีความสามารถในการเพิ่มระดับวรยุทธ์ โดยไม่สนถึงความแข็งแกร่ง และ ไม่มีผลกระทบอันใด   เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร ?! ”


ดวงตาอันคมกริบดั่งอินทรีย์ของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพ่งมองกลับไปเป็นเวลานาน จวินโม่เซี่ยก็เช่นกัน โดยไม่เอ่ยอันใด และจ้องตากันต่อไปอย่างสงบและใจเย็น


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวต้องการยาตัวนี้ !  และเขาต้องการมันอย่างเร่งด่วน !


ความสิ้นหวังก่อกำเนิดขึ้นในหัวใจของคนที่ทำจนสุดความสามารถ และยังมีคนที่เขาจักต้องไล่ตาม แต่กลับทำอะไรไม่ได้  เป็นเหตุที่คนที่มีเกียรติเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวลดตัวลงมาและขอให้เด็กผู้นี้สั่งสอนวรยุทธ์ มันจึงเป็นข้อพิสูจน์ที่ว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้ไปถึงขีดจำกัดแล้ว แต่เขายังปรารถนาจะมุ่งหน้าต่อไป !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่อายเลยที่จะต้องไปยังทุกที่หรือใช้ความพยายามเช่นไรในการที่จะได้ยาตัวนี้มา หากมันมีอยู่จริง !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว รู้ดีว่าจวินโม่เซี่ยไม่ได้เสนอยาตัวนี้แก่เขาดั่งเช่นของขวัญโดยไม่ต้องตอบแทน  ดังนั้น สิ่งต่อไปที่จะถกกันนั้นคือ เงื่อนไข !  ทั้งคู่เข้าใจมันเป็นอย่างดี

 

 

 


ตอนที่ 232

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวรู้ว่าการจะได้ยานี้มาเขาจักต้องจ่ายด้วยราคาสูง !


 


ความจริงแล้ว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว รู้ว่าอะไรคือราคาที่ต้องจ่าย


 


ดังนั้น แม้นว่าจวินโม่เซี่ยจะยังพูดไม่จบ ก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็นสำหรับเขาอีกแล้ว !


 


ทั้งสองรู้ดีว่าข้อตกลงคืออะไร !


 


แม้นว่าดวงตาทั้งสองจะประสานกัน ด้วยเหมือนจะเข้าใจกัน แต่รอยยิ้มเล็กๆ และ เงียบสงบบนใบหน้าก็ได้ปิดบังถึงการต่อสู้ที่ทั้งสองเก็บซ่อนไว้ !  การต่อสู้เงียบๆ เพื่อผู้ที่ใจร้อนกว่า จักเป็นผู้แพ้ !


 


…. และมันเป็นเช่นนั้นอยู่เนิ่นนาน


 


ทันใดนนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพยักหน้า หัวเราะ ถอนหายใจ และพูด


” ทั้งหมดที่ข้าจะพูดคือ เจ้าสามารถเสนอเงื่อนใขใดๆก็ได้ เพราะ การเสนอนี้ช่างล่อใจยิ่ง … ความจริง ข้าไม่อาจปฏิเสธได้ และที่เจ้า … สามารถบรรลุในการรักษาอารมณ์เช่นนี้ไว้ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นมิใช่สิ่งอัศจรรย์แม้แต่น้อย !  ข้า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เดินทางมาทั่วโลก แต่หากเจ้าถามข้า ข้าไม่เคยเห็นสิ่งใดเทียบได้กับปิศาจตัวน้อยที่เจ้าเป็น  กระนั้น ข้าก็ยินดีที่ได้พบเจ้าในวันนี้ !  แต่ครั้งนี้ เจ้าคิดผิดไป ! “


 


” โอ้ว ! “


สีหน้ามือสังหารไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยขณะเขารักษาท่าทีไว้ระหว่างเหลือบขึ้นมาเล็กน้อย


 


” ไม่มีผู้ใดในโลกใบนี้ ที่จะสามารถปฏิเสธยาอัศจรรย์ที่เจ้าพูดถึงได้  สำหรับที่ข้าคิด ข้าปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้ามิอาจะทนต่อการเย้ายวนให้ก้าวข้ามจากขั้นที่ห้าไปยังขั้นที่หกได้ “


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ยิ้ม


” อย่างไรก็ตามแม้นมันยากจะต้านทาน แต่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวผู้นี้ไม่เคยปล่อยให้ผู้ใดดูหมิ่นตัวเขาเอง !  ข้าไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขนี้ แม้นว่าปรมาจารย์ของเจ้าจะกำหนดมันด้วยตัวเอง ! เพราะ… ข้าคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวแห่ง ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ! “


เปลวไฟคุกร่นอยู่ในดวงตาของเขาขณะคำรามทางจมูก


” ข้าจักทำตามประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าอันสิงสถิตอยู่บนชั้นฟ้า และจะไม่เป็นทาสของผู้คน !  และมันไม่มีข้อยกเว้น ! “


 


” พูดได้ดี ! “​


จวินโม่เซี่ย ปรบมือชื่นชมคำพูดของเขาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ


” บางทีท่านอาจารย์เหยี่ยวอาจเข้าใจข้าผิดไป ข้าไม่เคยขอให้อาจารย์เหยี่ยวมาเป็นทาสของผู้คน !  แต่กระนั้น จะผิดอะไรไหม หากข้ายังมิได้เอ่ยข้อตกลงของข้า ? ! “


 


” ฮี่ ฮี่ … นายน้อยจวิน ดูเหมือนว่าแม้แต่ตอนนี้ข้าก็ยังประเมินเจ้าต่ำไป อย่างไรก็ตาม เจ้ามิอาจปฏิเสธได้ว่าประโยคนี้ขัดกับความคิดของเจ้าอย่างสิ้นเชิง ? “


 


ตอนนี้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวดูเหมือนจะตำหนิ


” เจ้าเป็นคนที่ประสงค์จะบรรลุเป้าหมายด้วยวิธีอันยุติธรรมหรือตะกละตะกราม  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะกอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเองมากที่สุดหากเจ้าพบช่องทาง !  นี่คือสิ่งที่ข้ามั่นใจ ข้ามิได้เข้าใจผิด ! “


 


จวินโม่เซี่ย เงียบอยู่นาน …


เขาดูถูกผู้ที่มีฝีมือที่สุดในโลกจริงๆหรือ ?


 


เขาจัดการให้ทุกคนทำตามความต้องการของเขาตั้งแต่มาจุติยังโลกนี้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขาดความมั่นใจ ทำให้เขาตกตะลึง และ พูดไม่ออก !


 


นายน้อยจวินยิ้มเล็กน้อยขณะพูด


” อาจารย์เหยี่ยวพูดถูกแล้ว ข้าเป็นคนเช่นนั้น  เจ้าไม่ผิดที่ตัดสินข้าเช่นนั้น แต่ … เจ้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูด ..​อย่างไรก็ตาม … “


 


” ข้ายังสามารถช่วยเจ้าเพิ่มระดับการบำเพ็ญได้ตราบใดที่เจ้าสัญญาจะช่วยทำสิ่งหนึ่งแก่ข้า !  และหากเจ้าสัญญาณ ข้าจะพยายามแจ้งให้อาจารย์ของข้ารวบรวมวัตุดิบหายากสำหรับการกลั่นตัวยานี้ในทันที ! “


 


” เงื่อนไขนั้นคืออะไร ?  ข้ากำลังฟังอยู่ “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวดูเหมือนไม่ตื่นเต้นแม้แต่น้อย แต่ปรากฏว่าเขาตื่นตัวแทน  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวติดต่อกับนายน้อยผู้นี้มานานพอจะเข้าใจว่าการหาประโยชน์จากความเห็นแก่ตัวนั้นยากยิ่งกว่าการขึ้นไปยังชั้นฟ้า !


แม้ว่าสิ่งที่เขาให้นั้นจะไม่ธรรมดา แต่เขาไม่เคยทำมันโดยปราศจากสิ่งเย้ายวน ด้วยเหตุนี้ ราคาที่เขาจะเรียกร้อง จึงเหนือกว่าทั่วไปอย่างแน่นอน


 


ดังนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงอดที่จะระวังตัวไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของเขาเป็นสีเทาโดยไม่ตั้งใจ


 


” ข้าเพียงจะขอว่า หากสกุลเซี่ยวต้องการจะจบข้อพิพาทนี้ และสกุลจวินจะต้องทำสงครามกับเมืองพายุสีเงิน เจ้ายื่นมือเข้ามาช่วยข้าหน่อย หากข้าตัดสินใจช่วยเหลือป้าของข้า ! “


ดวงตาของจวินโม่เซี่ยเปล่งประกาย


 ” มันเป็นภารกิจช่วยเหลือ แต่เจ้าจะถูกเรียกว่ามือสังหาร “


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเดินไปมาทั่วห้องขณะที่เขาครุ่นคิด สุดท้ายเขากัดฟันพร้อมตัดสินใจ


 ” ดี !  เพียงแค่สิ่งเดียว ! “


 


” เป็นอันตกลง ! “


จวินโม่เซี่ยยิ้ม


 


” อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยหนึ่งปีหลังจากนี้ !  หากสิ่งนี้เกิดในช่วงหนึ่งปีนี้ ข้อตกลงนี้ถือเป็นอันยกเลิก “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยิ้มอย่างภูมิใจ


” ข้าจะไม่ช่วยเหลือเจ้า หากเจ้าข้อให้ข้าทำสิ่งนี้ภายในหนึ่งปีหลังจากยานั่นช่วยให้ข้าบรรลุ เพราะข้ายังไม่แข็งแกรมากพอจะรับมือกับงานนี้ !  อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ข้าจักสามารถแน่นอน ! “


 


ใบหน้าของจวินโม่เซี่ยเผยถึงร้อยยิ้มอันจริงใจเป็นครั้งแรก


” เป็นเช่นนั้น ! “


 


นิสัยหนึ่งอย่างของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังคงอยู่กับจวินโม่เซี่ยได้เป็นเวลานาน


 


เขาไม่เคยเอาเปรียบผู้ใด


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาไม่เห็นด้วยที่จะเสียเปรียบ !


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเดินไป พร้อมกับสุราสองเหยือก


 


จวินโม่เซี่ย เอาชิ้นหยกแปลกประหลาดออกมาจากเจดีย์หงส์จวิน และเฝ้ามองมันอย่างถี่ถ้วนอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วก็ใส่กลับเข้าไปเหมือนเดิมเนื่องจากเขาไม่อาจะเข้าใจมัน  กระนั้น จวินโม่เซี่ยสามารุสัมผัสถึงกลิ่นอายของ เจดีย์หงส์จวินซึ่ง สะอาด สดชื่น และ  สดใสได้อย่างชัดเจน ขณะที่เขาเอาจี้หยกนั้นใส่กลับเข้าไปในเจดีย์ และรู้สึกได้ว่า กลิ่นอายของเจดีย์นั้นแข็งแกร่งขึ้น และหนาแน่นขึ้น ตลอดเวลาที่ พลังอันแปลกประหลาดทั้งสองรวมตัวกัน


 


จวินโม่เซี่ย ย่อเข่าขณะนั่งลง และเริ่มเพ่งมอไปยัง พระจันทร์นอกหน้าต่าง ขณะง่วนอยู่กับการวางแผนการ


 


ข้าต้องหา สมุนไพรวิญญาณทั้งสามให้เร็วที่สุดเพื่อเร่งการบำเพ็ญของท่านปู่ อีกทั้ง ยังต้องคิดถึงวิธีการช่วยชีวิตของเขาหากมีบางอย่างผิดพลาด … นั่นเป็นอันดับแรก


 


อันดับที่สอง การกลั่นยานี่เริ่มกลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาแล้ว !


 


ไม่ว่าจะเป็นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หรือ ท่านลุง ( ขอเปลี่ยน จากน้า เป็นลุงนะขอรับ เนื่องจากผู้แปลสับสนการลำดับเครือญาติ แหะๆ ) ความแข็งแกร่งของพวกเขาจำต้องเพิ่มขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  อีกทั้ง ข้ามิอาจละเลยผู้คนจ้า ป่าเถียนฟา ได้เลย


 


สาม ข้าจักต้องเร่งให้ ไฮ่เฉินเฟิง ให้รวบรวมขบวนการใต้ดินของเมืองเถียนฟาให้เร็วที่สุด  พวกเราจะต้อง รู้ถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมดภายในเมืองเหลวงให้ได้


 


… งานแต่ละอย่างนั้น ไม่มีสิ่งใดง่ายเลย ทำให้มือสังหารต้องขมวดคิ้วขณะยังคงเพ่งมองไปยังแสงจันทร์อย่างต่อเนื่อง …


 


ขณะตะเกียงน้ำมันถูกจุดขึ้น  เงาของนายน้อยจวินยังคงโดดเดี่ยวอยู่ในความมืดค่ำคืนนี้ …


 


ทันใดนั้นเอง ร่างสีขาวเด่นตาปรากฏขึ้นบนกำแพงลานบ้าน  แม้นจะมองมาจากที่อันห่างไกล ก็ยังสามารถเห็นว่า จวินโม่เซี่ย ย่นคิ้วของเขาได้อย่างชัดเจน ว่า นายน้อยผู้หล่อเหลาผู้นั้นกำลัง จมอยู่กับความคิด ตลอดวันคือเพื่อประโยชน์ในอนาคตของสกุลของเขา …


 


ร่างอันสวยงามนี้เฝ้ามองเขาอยู่เป็นเวลานาน ก่อนสุดท้ายนางจะถอนหายใจและจากไป หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นอันหอมหวนนั้น …


 


ในอีกส่วนหนึ่งของลานบ้าน จวินวูอี้เอนกายพิงหน้าต่าง เขาหลับตา และใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น … เขาเลิกคิ้วอย่างโศกเศร้าและกัดฟันจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาอย่างไม่รู้ตัว แสดงถึงความโศกในหัวใจอย่างชัดเจน …


 


… …


 


ทั้งร่างของ ไฮ่เฉินเฟิง ดูเหมือนจะกระเพื่อมไปด้วยคลื่นสีฟ้าแห่งท้องทะเล ขณะเขาลอยผ่านฝูงชนที่มีสมาชิก ก๊กจินหยาง นับสิบอย่างนุ่มนวล


 ” เริ่มดำเนินการ !  คณะจัดการต้องการเห็นผลลัพธ์ก่อนแสงแรกในวันพรุ่ง ! “


 


แสงจันทร์อันอ่อนโยนฉโลมอาวุธที่พวกเขาถือ ขณะคนเหล่านั้นเหาะขึ้นสู่อากาศอย่างเงียบเฉียบ ราวกับชั้นเหล็กบางๆ ของเงามืด …. แห่งการนองเลือด !


 


คนจำนวนหนึ่งปีนขึ้นกำแพงจากในจวนสกุลลี่ แยกออกเป็นสองกลุ่ม และหายไปในความมืดยามค่ำคืนในทันที


 


คืนนี้ ถูกกำหนดให้เป็นอีกหนึ่งการนองเลือดในเมืองเทียนเชียง …


 


หนึ่งในหก ขบวนการใต้ดิน ก๊กวิญญาณมังกร  ได้นำพาภัยมาสู่ตัวเอง


 


แม้นว่า หกขวนการใต้ดินหลักในเมืองหลวงนั้นจะได้รับการยอมรับในฝีมือของพวกเขาเสมอ แต่ความแข็งแกร่งของกองกำลังของพวกเขานั้นไม่ต่างกันมา  แม้ว่า อันดับหนึ่ง คือ ก๊กจินหยาง จะแข็งแกร่งกว่าระดับต่ำสุดคือ ก๊กเมืองเหนือ อย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ไม่มาก จนทำให้พวกเขาเป็นกังวล


 


ยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นที่รู้กันระหว่างก๊กทั้งหก ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่กันได้อย่างสงบสุข โดยไม่มีความขัดแย้งอันใดสามารถลดระดับพวกเขาลงได้ หากมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้น ก๊กที่เหลือจะรวมตัวกันเพื่อต่อต้านผู้รุกราน


 


แต่วันนี้ ก๊กวิญญาณมังกร ได้รับข้อความตอบกลับ จาก ก๊กจินหยาง


 


สถานการณ์ของก๊กทั้งหกนั้น มีอันตรายกับผลประโยชน์ของพวกเขามากยิ่งขึ้น เนื่องพวกเขาถูกสกุลอันทรงพลังลอมมากขึ้น ซึ่งมันจะกัดกร่อนความแข็งแกร่งของก๊กเหล่านี้  ความจริงแล้ว ก๊กเมืองเหนือ เพิ่งถูกทำลายลงไปด้วยฝีมือของ ผู้อาวุโสถัง เมื่อไม่นานมานี้


 


ทำให้เกิดการ ตื่นตระหนก หวาดกลัว และวิตกกังวล จนก๊กไม่อาจดำเนินการแม้แต่ ปฏิบัติการพื้นฐาน  ดังนั้น ก๊กวิญญาณมังกร จึงเสนอการเป็นพันธมิตรระหว่างก๊กหลัก เพื่อหวังจะฝ่าพายุนี้ไปด้วยเรือลำเดียวกันได้  เดิมที พวกเขาต้องการเป็นก๊กที่ทรงพลังที่สุด ก๊กจินหยางจึงเป็นพันธมิตรหลักของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พวกเขากำลังจะยื่นข้อเสนอ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้มาอาละวาดในก๊กจินหยาง โจมตี จิ้นเฟิงเล่ย สีดำและสีน้ำเงิน จนทำให้การเป็นพันธมิตรหยุดลงชั่วคราว


 


แต่กระนั้น วันนี้ ทั้ง ก๊กวิญญาณมังกร ก็มีความสุขเมื่อได้รับการตอบกลับอย่างไม่คาดคิดจากก๊กจินหยาง  แต่ จดหมายนั้นถูกฉีดทิ้งหลังจากที่ ผู้นำ ก๊กวิญญาณมังกร  หลงต้าเห่ย อ่านจบไม่นาน


จดหมายฉบับนี้เสนอให้พวกเรายอมจำนนต่อความเหนือกว่า และสวามิภักดิ์แก่พวกเขา !


 


นี่ช่างอวดดียิ่งนัก !  เขาไม่เคยได้ยินถึงการยอมจำนนต่อก๊กอื่นมานับสิบปี ตั้งแต่พวกเราได้ก่อตั้งขั้น ?  จิ้นเฟิงเล่ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หกก๊กหลักนั้นมีความเท่าเทียมกันมาเสมอ ?  เหตุใดเจ้าจึงกล้าทำเช่นนี้ ?


 


ขณะที่เดือพล่านด้วยโทสะ หลงต้าเห่ย เรียกรวมแกนนำก๊กเพื่อตอบโต้ในทันที  ความจริง คนของเขาจำนวนมาได้ปลุกปั่นให้ต่อสู้กับ ก๊กจินหยางตาย ในขณะที่คนอื่นๆต้องการใช้โอกาสนี้ในการเข้าควบคุมก๊กจินหยาง  อย่างไรก็ตาม ผู้นำ ก๊กวิญญาณมังกร ยังคงต้องใช้เวลาเพื่อการตัดสินใจ …


 


ในขณะที่มีเสียงอันวุ่นวายนี้ ประตูทางเข้าระเบิดขึ้นในทันใด สิ่งให้เศษไม้กระเด็นไปทุกทิศทาง  คนจำนวนหนึ่ง ถูกทิ้งให้เจ็บปวด ขณะที่เศษไม้ตัดผ่านใบหน้าของพวกเขาจนชุ่มไปด้วยเลือด


 


ทุกคนหันไปตรงทางเข้าอย่างรวดเร็ว


 


ลำแสงสีฟ้าครามเปล่งประกายผ่านกลุ่มหมอกยามค่ำคืน


 


ขณะที่เศษฝุ่นขี้เลื่อยจางลง มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้า


 


ดูเหมือนกับ ชาย ยืนในชุดสีครามพร้อมสองมือไพร่หลังขณะดวงตามองไปทั่วห้องด้วยดวงตาเปล่งประกายสีฟ้า แม้แต่ดวงตาของชายผู้นี้ยังเปล่งประกายเป็นสีฟ้าดั่งทะเล !


 


” ยอดฝีมือสวรรค์เชวียน  ! “


 


สมาชิก ก๊กวิญญาณมังกร อดที่จะร้องด้วยความตื่นตระหนกเมื่อได้เห็น ยอดฝีมือเทพเชวียนไม่ได้ !


 


ยอดฝีมือเทพเชวียนมา !


 


ทั่วทั้ง ก๊กวิญญาณมังกร สั่นสะท้าน !


 


” ข้าขอถาม … “


หนวดของ หลงต้าเห่ยสั่นขณะยื่นขึ้นอย่างลังเลและถามด้วยท่าทางสุภาพ


 


” ก๊กจินหยางต้องการปกครองขบวนการใต้ดิน เจ้ามีสองทางเลือก สวามิภักดิ์หรือยอมตาย ! “


ดวงตาอันเยือกเย็นของชายชุดฟ้าดูแปลกประหลาด ราวกับพวกมันถูกอาบไปด้วยกลิ่นอันลึกลับ ขณะที่เขามองสำรวจกลุ่มคนอีกครั้งขณะประกาศ


 


ความจริง แม้แต่คำพูดของเขาก็เหมือนจะเต็มไปด้วยความอาฆาต !

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม