Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ 204-225

ตอนที่ 204

 

จวินโม่เซี่ยเฝ้ามองดูกระบวนท่าใหม่ของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอย่างจดจ่อ และรู้สึกว่ากระบวนท่านี้ยังไม่สละสลวย และการเคลื่อนไหวยังไม่สอดคล้องกัน แต่ละท่วงท่าของกระบวนท่านี้ซับซ้อนอย่างมาก อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่เขาเคยได้ฝึกฝนมาก่อนที่เขาจะมายังโลกนี้ แต่มันก็ยังคงทรงพลัง ! เนื่องจากกระบวนท่านี้ใช้กระบวนการต่อสู้ของปราณเชวียน มันก็ยังคงก่อให้เกิดพลังได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งทำให้จวินโม่เซี่ยหัวเราะเยาะ และนับถือในเวลาเดียวกัน !


สิ่งที่น่าตกตะลึงนั่นคือ แม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะใช้การเคลื่อนไหวที่เหมือนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาได้เปลี่ยนอะไรบางอย่างเล็กๆน้อยๆในแต่ละรอบที่ผ่านไป และมันเป็นการกำจัดจุดอ่อนของกระบวนการของเขาไปทีละน้อย ดังนั้นเมื่อเขาสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้นานพอ เขาอาจจะสามารถกำจัดจุดอ่อนของกระบวนท่าออกไปได้หมด และอาจจะสามารถทำให้กระบวนท่านี้พร้อมกับการต่อสู้ได้ !


จะต้องบอกว่าการเรียนรู้และการสร้างกระบวนการต่อสู้นั้นแตกต่างไปอย่างมาก การสร้างกระบวนท่าการต่อสู้นั้นเป็นการทำงานอย่างหนัก เนื่องจากท่าทางนั้นจะต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า และผู้สร้างนั้นจะต้องทำไปทีละขั้นไม่ข้ามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไป ขั้นตอนเหล่านี้ใช้เวลาหลายสิบปี และบางครั้งก็ใช้ระยะเวลาเป็นชั่วอายุคนก่อนที่จะสำเร็จและเป็นกระบวนท่าที่ถูกขัดเกลาให้สวยงามอย่างสมบูรณ์


ในโลกโบราณนี้ก็มีความคิดนี้เช่นเดียวกัน แต่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังคงละทิ้งการบวนการต่อสู้ดั้งเดิมและทำการสร้างการะบวนท่าที่เป็นของเขาเองด้วยความก้าวหน้าที่รวดเร็ว ซึ่งแสดงถึงความรู้และความเชี่ยวชาญของเขาในโลกแห่งการต่อสู้  และฝีมือของเขานี้คือบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่คนในรุ่นหลัง กระบวนท่าที่เขาพยายามจะสร้างนั้นถือเป็นความก้าวหน้าในยุคที่ผ่านมา !


เพียงแค่มุมนี้ก็มากพอที่จะนับว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเป็นหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นนักปราชญ์และช่างฝีมือที่ฉลาดหลักแหลมอีกด้วย !


ในอีกมุม แม้ว่าชายผู้นี้จะนับว่าเป็นหนึ่งในอาจารย์ซึ่งเป็นตำนานในโลกนี้ เขาก็ยังคงต้องละทิ้งสถานะของเขา และลดตัวลงมาเพื่อต่อสู้กับคนธรรมาดา และคนที่ไร้ค่าในสายตาของเขา ดังนั้นเขาจึงจะสามารถที่จะปรับปรุงกระบวนท่าที่เขาพยายามสร้างนั้นให้สมบูรณ์ได้ ความสำเร็จที่มีคนไม่มากนักที่จะสามารถทำได้ !


เดียวก่อน !


มีความคิดผุดขึ้นมาในหัวของจวินโม่เซี่ย


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพยายามอย่างหนักเพื่อค้นหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม เขาก็ยังไม่ …. คฤหัสน์ฉือฮั่นและเมืองพายุหิมะขาวนั้นมีความสามารถมากพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมได้ใช่ไหม ?


ตอนนี้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวง่วนอยู่กับการปรับปรุงให้กระบวนท่าของเขาดีขึ้น แต่ข้าก็เคยได้เรียนรู้กระบวนท่าที่เหมือนกันในชีวิตก่อน …


อินทรีย์จู่โจม อินทรีย์คำราม กระบวนอินทรีย์ทั้งเก้า …


หากข้าไม่ใช่ของเหล่านี้ แล้วมันจะไม่เสียเปล่าไปหรอกหรือ ? ที่จริงแล้วมันเปล่าประโยชน์มากสำหรับพวกเขา !


ความวิตกในในของจวินโม่เซี่ยหายไปในทันที


ในอีกมุมหนึ่งเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ปรับเปลี่ยนท่าทางของเขาอยู่ตลอด แต่ยังคงรักษาความสมดุลย์ในการต่อสู้นี้ไว้ อย่างไรก็ตาม ความคิดของเขาก็ง่วนอยู่กับการหาทางให้กระบวนท่าของเขานั้นสอดคล้องกัน ยิ่งไปกว่านั้น การเคลื่อนไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่ายิ่งทำให้เขาคุ้นเคยกับพวกมัน รวมถึงค่อยๆปรับปรุงรูปแบบและประสิทธิภาพของมันให้มากขึ้นที่ละนิด แม้ว่ากระบวนการมันจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แต่เขากลับมีความสุขที่สุด


โลกนี้แตกต่างจากโลกที่จวินโม่เซี่ยจากมาอย่างมาก เนื่องจากในโลกนี้ศิลปะการต่อสู้นั้นเกี่ยวข้องกับปราณเชวียน แม้ว่าปราณเชวียนจะทรงพลัง และมีข้อดีที่ความรุนแรง แต่ความสามารถในการระเบิดและความละเอียดอ่อนของมันทำให้มีขีดจำกันในกระบวนท่าการฝึกฝน ซึ่งเป็นเหตุที่กระบวนการต่อสู้ส่วนใหญ่นั้นจะใช้การเคลื่อนไหวพื้นฐานที่เสริมเข้ามาด้วยปราณเชวียนในการต่อสู้ และมันยากที่จะใช้ท่าทางที่ซับซ้อน เว้นเสียแต่ว่าผู้ต่อสู้จะมีกลวิธีจำนวนมาก ซุ่งเขาสามารถที่จะใช้มันในท่าทางเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้


หากมีผู้ใดติดตามด้วยความเร็วและพลังในเวลาเดียวกัน ปราณเชวียนนั้นไม่สามารถทำได้ และหากมองไปที่ความอดทน พวกเขาก็ไม่สามารถใช้การเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนได้


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าท่าทางของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นยังคงหยาบกระด้าง แต่มันก็ยังแตกต่างกับท่าทางทั่วไปอย่างมาก เมื่อเคล็ดวิชานี้พัฒนาขึ้นจนสมบูรณ์ มันจะเปิดเผยออกมาในรูปแบบการต่อสู้แห่งอนาคต ! ในความจริง อาจจะบอกได้ว่าสิ่งนี้เป็นการปูทางไปสู่อนาคต !


ในอีกมุมหนึ่ง ไฮเฉินเฟิงสงบอย่างผิดปกติในขณะที่กระบี่ของเขายังคงฟัน แทง ตัด ฟาดไป … เขาแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวที่เป็นจุดเด่นของอาจารย์สีฟ้า และบ่อยครั้งที่เขาสามารถหาจังหวะในการยับยังศัตรู แต่ชายในชุดดำก็กลับมาทรงตัวได้ใหม่เสมอ


ด้วยเวลาที่ผ่านไป ไฮเฉินเฟงเริ่มรู้ว่าการใช้การพลิกแพลงที่มากมายนั้นค่อยๆลดลงไป ในขณะที่ช่องโหว่ในกระบวนท่าของฝั่งตรงข้ามก็เริ่มหาได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายตรงข้ามของเขาก็โจมตีอย่างหนัก และทำให้เขาถึงกับเซไป


การต่อสู้ของเขาไปถึงจุดที่เกิดการพลิกผัน และตอนนี้ไฮเฉินเฟิงกำลังต่อสู้อย่างเต็มกำลัง และมีเหงื่อออกมาทั่วร่าง ในขณะที่เขาเขาหายใจหอบ ในอีกมุมหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามของเขายังคงหายใจอย่างคงที่ และกระบวนท่าของเขาก็เริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเริ่มมองเห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้สามารถเอาชนะไฮเฉินเฟิงได้ตลอดเวลาที่เขาต้องการ แต่เขาก็ยังไม่ทำเช่นนั้น ดูราวกับชายในชุดดำนี้เป็นม้าพันธ์ดีที่กระโจนขึ้นไปในสรวงสวรรค์โดยที่ไม่มีจุดประสงค์อันใด มิเช่นนั้น ตอนนี้ไฮเฉินเฟิงคงจะตายไปหลายครั้งแล้ว


ในการต่อสู้ระหว่างสองยอดฝีมือนี้เริ่มรุนแรงมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป อาจจะบอกได้ว่าความรุนแรงและอันตรายนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับศิลปะการต่อสู้ ความรุนแรงใช้ในการต่อสู้อ่างโหดร้ายกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือเท่าเทียมกัน ซึ่งแต่ละฝ่ายต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อชัยชนะ และในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กับไปถึงจุดที่สำคัญและทั้งสองฝ่ายเริ่มมีโอกาสชนะ และผลการต่อสู้ก็อาจะไม่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ในกรณีทั่วไป โอกาสที่จะพลาดพลั้งจนตายนั้นมีน้อยมากเนื่องจากทั้งสองฝั่งใช้พลังของพวกเขาไปจนหมดแล้วเมื่อถึงจุดสำคัญ ทำให้ทั้งคู่ต่อสู้กันด้วยประสิทธิภาพที่ลดลง


อย่างไรก็ตาม ความอันตรายนั้นแตกต่างออกไปในเรื่องนี้ มันเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างคู่ต่อสู้ที่ไม่เหมาะสมกัน เนื่องจากผู้ที่อ่อนแอกว่าจะไม่สามารถป้องกันความบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับตัวเองไ้ด้ และตอนนี้เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นกับไฮเฉินเฟิงแล้ว !


ฝ่ายตรงข้ามของเขามิใช่ใครอื่นนอกจากสุดยอดปรมาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และแม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะไม่ตั้งใจให้คู่ฝึกของเขาได้รับบาดเจ็บในตอนแรก แต่ความคิดของเขาก็ถูกครอบงำด้วยการทดลอง และดูเหมือนกว่าเขาจะเริ่มต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณ แม้ว่าเขาจะยังคงควบคุมปราณเชวียนของเขาไว้ให้อยู่นระดับเดียวกับไฮเฉินเฟิง แต่เขาก็ยังคงเป็นอาจารย์ซึ่งยังเป็นตำนาน และไฮเฉินเฟิงก็ไม่เหมาะสมกับเขาอย่างสิ้นเชิงในเรื่องนี้ !


แม้ว่าไฮเฉินเฟิงจะไม่ได้ตายในชั่วพริบตาในเร็วๆนี้ แต่ความแตกต่างในความสามารถของพวกเขานั้นเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นแล้ว !


ไฮเฉินเฟิงล้มเลิกความคิดที่จะชนะการต่อสู้ด้วยความบังเอิญแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเขาได้รู้ถึงสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง 


 ชายผู้นี้เล่นกับข้ามาตั้งแต่ต้น … เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะสั่งสอนบนเรียนที่ดีให้แก่เขา … แม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม !


ไฮเฉินเฟิงนั้นเป็นยอดฝีมือเทพเชวียน และไม่เคยเจอใคนก็ตามที่คู่ควรกับการเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันทำให้ความหยิ่งทะนงในตัวของเขาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ เขาพบกว่าตัวเองกลายเป็นของเล่นของคนอื่น ซึ่งทำให้เขาไห้เขาต้องอับอายมากกว่าการกำจัดมันออกไป !


ในสายตาของเขา สถานการณ์นี้เป็นเหมือนกับแมวที่เล่นกับหนู ซึ่งแมวพยายามทำให้หนูหมดแรงก่อนที่จะสังหารมัน …


เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์นี้เหมือนกับการเล่นเกมส์หมากรุก แม้ว่าฝั่งตรงข้ามของเขาจะสามารถเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว ฝั่งตรงข้ามก็ยังคงยื้อเวลาจนคู่ต่อสู้ของเขาหมดแรงและพบกับความอับอาย …


กลยุทธ์ที่ชั่วร้ายนี้ใช้ได้ง่ายกับผู้เล่นที่เพิ่งเริ่มต้น แต่หากชายผู้นั้นไม่พอใจในความเป็นยอดฝีมือที่ชอบธรรม … สถานการณ์เช่นนี้เป็นเหมือนกับการบังคับให้คนกลายเป็นบ้า …


สถานการณ์ที่ยากลำบากของไฮเฉินเฟิงก็เป็นเช่นเดียวกัน และดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถหาทางออกได้


อย่างไรก็ตาม ไฮเฉินเฟิงก็ยังคงมีกลลับซ่อนอยู่ !


ไฮเฉินเฟิงเริ่มฟาดกระบี่เป็นวงกลมอย่างไม่คาดคิด และทันใดนนั้นก็เริ่มสร้างรูปร่างพายุหมุนรอบๆตัวของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ลมพายุนั้นเริ่มกลายเป็นสิฟ้าอย่างช้าๆ และจากนั้นมันก็เริ่มรุนแรงขึ้น ! ซึ่งผลที่ตามมาคือ  ทำให้พายุที่ลงมาจากท้องฟ้าจากสีฟ้า เป็นสีน้ำเงิน สีครามและเกือบจะกลายเป็นสีของหมึก !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นพอใจกับประสบการณ์นี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาได้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หัวใจของเขาปราถนา ในเวลานี้ เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่อยู่รอบๆตัวของเขาในทันที ก่อนที่เขาจะขยับตัว ก็ดูเหมือนว่ารอบๆตัวเขานั้นมีทะเลล้อมรอบ ราวกับกับสายฝนที่รุนแรงเริ่มร่วงหล่นลงมากระทบกับเรือ ในขณะที่แท้จริงนั้นใกล้เข้ามา


ทันใดนนั้นเขาก็ได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่เขาก็นึกถึงกระบวนที่ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาจารย์สีฟ้า 


 คลื่นภิภพ !


เคล็ดวิชานี้ทำให้เกิดการทำลายล้างอย่างรุนแรง มันจะหลอมรวมหยกและหินทั่วไปได้เหมือนกัน !


กลยุทธ์นี้สามารถที่จะระเบิดปราณชเวียนของคนออกมา และสามารถที่จะรวบรวมปราณเชวียนทั้งหมดเข้าสู่จุดดันเถียนของคนนั้น และจากนั้นมันก็จะระเบิดออกมาและเป็นการต่อสู้ที่ทำให้ถึงแก่ความตายทักษะที่พิเศษนี้สามารถให้ผู้ใช้เอาชนะระดับขั้นที่แตกต่างกันได้อย่างน้อยหนึ่งหรือสองขั้น หรือมากกว่านั้น ! และด้วยการช่วยเหลือของการโจมตีนี้ สามารถสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าผู้ใช้ได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว หากศัตรูนั้นเหนือกว่าเขาอยู่หนึ่งหรือสองขั้น !


อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีข้อด้อยอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ไม่ว่าศัตรูจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ผู้ใช่นั้นจะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน !


ก่อนที่ศัตรูจะได้รับบาดเจ็บ ผู้ใช้นั้นจะต้องได้รับความเจ็บปวดก่อน และไม่ว่าศัตรูจะรอดจากการโจมตีหรือไม่ ผู้ใช้จะต้องตายไปก่อน !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสถบออกมาด้วยความตกตะลึง


“ เจ้าชั่ว เจ้ากำลังเล่นกับความตายของเจ้า ! ข้าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว … ”


เขาต้องการจะพูดว่า


“ ข้าคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว พี่น้องอาจารย์ของเขา ! ”


อย่างไรก็ตาม คำพูดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ถูกขัดจังหวะด้วยการหัวเราะของไฮเฉินเฟิง ผู้ที่ตะโกนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้าจากความเจ็บปวด


“ เจ้าแก่ชั่ว ! ตอนนี้เจ้ากลัวมันหรือ ? ตอนนี้เจ้าควรจะรู้ความผิดพลาดของเจ้า ! ”


เขายังคงหมุนกระบี่วนไปเรื่อยๆ และดูราวกับว่ากระบี่ของเขานั้นคือจุดศูนย์กลางของพายุ ที่ก่อให้เกิดคลื่นที่รุนแรง พายุนี้เริ่มทำให้เกิดเสียงที่ดังเหมือนเสียงของโซ่แล้ว ราวกับมังกรในตำนานที่ขู่อย่างโกรธเคืองด้วยลมหายใจสุดท้าย !


เขายังคงหมุนกระบี่เป็นวงกลม ทำให้เสียงของลมพายุนั้นดังมากขึ้น ! ทันใดนนั้น มีแสงสีขาวเปล่งประกายขึ้น ซึ่งตามมาด้วยเสียงที่ดังสนั่น มันแสดงให้เห็นว่าได้เกิดฟ้าฝ่าขึ้นจากท้องฟ้าเบื้องบน ซึ่งตอนนี้ก่อตัวอยู่ด้านบน และมันจะพุ่งลงมาสู่เบื้องล่างอย่างแน่นอน !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตกตะลึงจนพูดไม่ออก !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยววิตกและเศร้าหมองจากการโจมตีนี้ และสถบออกมาอย่างรุนแรง


“ เจ้าเด็กเลว รีบหยุดความบ้าคลั่งนี่ซะ ! หรือไม่ข้าจะไปตัดสินแพ้ชนะกับเขา ที่มอบเคล็ดวิชาลับที่บ้าคลั่งนี้ให้แก่คนเช่นเจ้า ! เจ้าไม่เพียงแค่บ้า เจ้ามันโง่ด้วย ! ”


“ ข้าคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! เจ้าจะต้องหยุดนี่ซะ …. ”


มีความโศกเศร้าเต็มเปี่ยมอยู่ภายในใจเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ว่าสถานการณ์นี้ไปไกลเกินกว่าจุดที่จะถอยกลับได้แล้ว

 

 

 


ตอนที่ 205

 

ไม่ใช่เพราะว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกลัวว่าจะบาดเจ็บ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะไม่บาดเจ็บรุนแรงเลย เว้นแต่ว่าอาจารย์สีฟ้าจะใช้เคล็ดวิชานี้ด้วยตัวเอง


ความแตกต่างระหว่างเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและไฮเฉินเฟิงนั้นสูงมากจน คลื่นพิภพนี้ไม่อาจจะหยุดได้ และต้องมีคนตายไปเพียงคนเดียว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่ชอบที่จะต้องเจ็บปวดจากการโจมตีนี้ !


แม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ยังกลัวว่าการโจมตีนี้จะมีผลกระทบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงก็ตาม …


แล้วตอนนี้ ! ความสนุกที่ข้าเคยมีได้หมดลงแล้ว ข้าได้เรียนรู้มากมายจากการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ตอนนี้ คนผู้นี้กลับบังคับให้มันจบลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ … แต่ข้าจะบอกอะไรแก่เมิงฮ้งเฉินได้เมื่อเขาต้องการคำตอบละ ? ข้าบังคับให้ศิษย์ของเขาตายในระหว่างที่ข้าฝึกฝนอย่างนั้นหรือ ? ข้ากลายเป็นฆาตรกรไปแล้วงั้นสิ ?


เมิงฮ้งเฉินคงจะไม่ให้อภัยแก่ข้าในเรื่องนี้ … เขาจะต่อสู้กับข้าจนใครสักคนต้องตายไปอย่างแน่นอน ! แต่ตอนนี้ข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง ?


ไฮเฉินเฟิงได้ยินคำพูดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และเขาโมโหมากขึ้นในทันที !


ตาแก่ชั่ว ! เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าก่อนหน้านี้ ?! มันไกลเกินจะแก้แล้ว และข้าก็ได้ส่งปราณไปยังจุดดันเถียนของข้าทั้งหมดแล้ว … ศรถูกปล่อยออกไปจากธนูแล้ว ! ตอนนี้ข้าไม่สามารถที่จะหยุดได้แล้ว !


ข้าจะต้องถูกทำลาย !


ในตอนนี้ ไฮเฉินเฟิงรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย ด้วยการกลั่นแกล้งที่เป็นที่รู้กันในโลกนี้ !


ไม่มีคำใหนที่จะอธิบายถึงความอยุติธรรมบนโลกนี้ได้ !


ชายผู้นี้คือ พี่น้องของอาจารย์ข้า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจริงๆหรือ ?


เจ้าชั่วนี่พูดอะไรกัน ?


 เหตุใดเขาถึงไม่พูดก่อนหน้านี้ ? เหตุใดเขาถึงไม่บอกว่าเขาคือยอดฝีมือเทพเชวียนสูงสุด ? หากข้ารู้จักเขาก่อนหน้านี้ ข้าจะหนีไปโดยไม่คิดอะไรเลย ! ข้าไม่สามารถทำอะไรชายผู้นี้ได้ !


ข้าเพียงแค่ใช้การโจมตีนี้เพื่อสั่งสอนเขา แต่มันไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้เลย แต่ข้าจะต้องตายอย่างแน่นอน !


ไฮเฉินเฟิงโศกเศร้าเกินกว่าที่จะอธิบายได้ …


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาต้องการจะหยุดมันมากสักเพียงใด ไม่สำคัญว่าเขาจะสาปแช่งสักเพียงใด การโจมตีของคลื่นพิภพก็ไม่สามารถที่จะเรียกคืนได้แล้ว


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นโมโหเช่นเดียวกับไฮเฉินเฟิง เขาด่าทอและตำหนิชายผู้นี้ท่ามกลางเคล็ดวิชานี้ในใจเช่นเดียวกัน !


ความสิ้นหวังของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นสามารถเห็นได้จากดวงตาของเขา ในขณะที่ความกังวลของเขานั้นสามารถเห็นได้อย่างแจ่มชัดบนใบหน้า …


ตอนนี้ข้าจะทำอย่างไร ? ข้าควรจะสังหารเขา … อย่างน้อยศพของเด็กนี่จะได้รับการรักษาไว้ หากข้าสังหารเขาก่อนการโจมตีจะเกิดขึ้น !


ปังง !


ตู้มมม !


หมอกที่สับสนก่อตัวขึ้นทันทีในอากาศ ปกคลุมท้องฟ้าจนเป็นสีดำ มากจนไม่สามารถมองเห็นสีฟ้าของท้องฟ้าได้เลย การโจมตีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวส่งให้ไฮเฉินฟิงลอยไปในฝุนควันราวกับว่าวที่ขาดจากเชือกไป …


หมอกควันจางหายไปในไม่นาน บ่อยให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพ่งมองไปยังมือของเขาด้วยความเศร้าหมองที่อยู่ในใจ และดูเหมือนว่าเขาจะหลังน้ำตาออกมาได้ตลอดเวลา !


อะไรกัน !


ไฮเฉินเฟิงนอนราบอยู่บนพื้นห่างไปไม่กี่เมตร ปากของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเอง ในขณะที่หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างแผ่วเบา ทุกๆคนสามารถบอกได้ว่าชายผู้นี้กำลังหายใจเฮือกสุดท้าย และไม่มีอะไรสามารถดึงเขากลับมาได้อีกแล้ว


ไฮเฉินเฟิงแสดงสีหน้าที่แปลกประหลาด และดูเหมือนว่าเขากำลังจะร้องไห้ แต่เหมือนว่าเขากำลังหัวเราะในเวลาเดียวกัน นี่เป็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของคนที่ใกล้ตาย


ตอนนี้ ไฮเฉินเฟิงนั้นไม่มีแรงเหลือแล้ว จนเขาไม่สามารถแม้แต่จะขยับนิ้วตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพยายามที่จะขยับปาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ อาจจะคิดได้ว่าเขาต้องการจะหัวเราะให้กับโชคชะตาของตัวเอง และจากนั้นก็สาปแช่งออกมาเสียงดัง


สวรรค์เชวียนจำนวนมากตายไปตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แล้วมันเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกับข้า ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกผิดเช่นนี้ ?


ทำไม ? ทำไมกัน ?


แม่งเอ้ยย !


นี่คือเส้นทางของชีวิต ! แต่ข้ากลับเกิดมาด้วยโชคชะตาที่โชคร้าย ! 


ด้วยสภาพของไฮเฉินเฟิงในตอนนี้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตั้งใจยั้งมือเอาไว้ในขณะที่ทำการโจมตีที่รุนแรงนั้นเนื่องจากเขาต้องการที่จะรักษาร่างกายของชายผู้นั้นไว้ มิฉะนั้นแล้ว คนเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้น มีความสามารถมากพอที่จะทำให้ร่างของไฮเฉินเฟิงกลายเป็นเถ้าถ่านได้หากเขาต้องการ


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเอามือปิดหน้าตัวเองไว้เพราะไม่ต้องการที่จะเห็นสภาพของไฮเฉินเฟิงในตอนนี้


ตอนนี้ไม่มีหวังสำหรับเขาแล้ว ข้าช่างโชคร้ายเสียจริง … ทำไมมันถึงต้องเกิดกับข้า ? ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จุดจบมันจะดีหรือร้าย … และข้าจะบอกอะไรกับเมิงฮ้งเฉินเมื่อข้าพบเขาครั้งต่อไป ? เหตุใดชีวิตของข้าถึงต้องทุกข์ระทมขนาดนี้ ?


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมองขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหวังในแววตา แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องก้มลงอีกครั้ง รู้ว่าความหวังนั้นได้สิ้นไปแล้ว เขาหันไปกำหมัดด้วยความโกรธและเตะเข้าไปที่ต้นไม้ จนทำให้มันลอยหายไปในอากาศ


“ ฮ่าฮ่า เจ้าคิดว่าเจ้าได้ส่งศิษย์น้องของเจ้าไปสู่ความตายในการฝึกฝนของเจ้าหรือ ? ไร้เดียงสายิ่งนัก เขาเพียงแค่เล่นจนตาย หรือบางทีเขาอาจจะฝึกฝนจนตาย …. ”


ทันใดนนั้นมีเสียงดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล แต่ก็มีร่องรอยแห่งการเยาะเย้ยอยู่ด้วย


“ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจ้าก็มีค่าพอที่จะได้ชื่อว่าเป็น ยอดปรมาจารย์ ! ข้านับถือเจ้าจริงๆ ! จริงๆ ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโศกเศร้ามากพอที่จะเสียสติ และประโยคนี้ได้ทำให้เขาเสียสติไปในทันที จากนั้นเขาก็สถปออกมาด้วยความโกรธ


“ เจ้าชั่ว ! ไปให้พ้น ! ข้ารู้ว่าคือเจ้า ฉีฉางเซี่ยว เจ้าเต่าเขียวเฒ่า ! ”


สิ่งที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคิดนั้นในเมืองเทียนเชียงมีเพียงคนเดียวที่มีความสามารถมากพอที่จะพูดกับเขาเช่นนี้ได้ และเห็นได้ชัดว่าชอยผู้นั้นคือ ฉีฉางเซี่ยว ! แต่เดี๋ยวก่อน เขาไม่ได้ไปแล้วหรือ ? แล้วคนผู้นี้คือใครกัน ?


มีใครมาเล่นตลกกับข้า !


บรรยากาศเงียบสนิท ในขณะที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกำลังบ้าคลั่ง และในตอนที่เขาสถปออกมาอีกครั้ง เขากลับต้องตกตะลึงไปในทันทีที่ได้เห็นชายในชุดสีดำทั้งหมด อยู่ตรงหน้าของเขา


ชายในหน้ากากสีดำ ผู้ที่ดูเหมือนว่าเขาจะจำไม่ได้นั่งยองๆอยู่ตรงหน้าของเขาโดยที่มือข้างหนึ่งจับข้อมือของไฮเฉินเฟิงอยู่ ดูคล้ายว่าเขากำลังนับชีพจร โดยที่ไม่ได้สนใจเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และระยะห่างระหว่างชายชุดดำและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นน้อยกว่าสามฟุต !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกำลังจะพุ่งตัวออกไปด้วยความโหดร้าย แต่เขากลับต้องเอามือกุมท้องในทันที


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถือได้ว่าเป็นผู้ที่เร็วและคล่องแคล่วที่สุดในโลกนี้ และเชื่อเสมอว่าไม่มีผู้ใดสามารถเทียบกับเขาได้ในเรื่องนี้ !


ความเร็วและความคล่องแคล่วของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นไม่เป็นสองรองใคร และความจริงนี้ก็เป็นที่รู้กันทั่วทั้งโลก !


ว่ากันว่า แม้แต่ยุ้นเบ้ยเฉินก็ยังไม่สามารถเข้าไปใกล้เขาโดยที่เขาไม่รู้ไม่ได้ !


ชายหน้ากากดำผู้นี้เป็นใครกัน ?


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขนลุกทั้งตัวไปในทันที !


เขามาอยู่ใกล้ข้าในระยะสามฟุตโดยที่ข้าไม่รู้ตัวเลย !


คนผู้นี้เป็นผีหรือปิศาจอย่างนั้นหรือ ?


เพราะคนผู้นี้เข้าใกล้ข้าได้เงียบมาก เห็นได้ชัดว่าเขามิใช่ยอดฝีมือข้างถนนใช่ไหม ? แล้วเมื่อใหร่กันที่มียอดฝีมือทรงพลังเช่นนี้เกิดขึ้นบนโลกนี้ ?


“ นี่เป็นเคล็ดที่โหดร้ายมาก มันจะต้องทำให้จุดดันเถียนของเขาแตกละเอียดเพื่อที่จะให้เขาใช้พลังชีวิตได้อย่างเต็มที่ เป็นเคล็ดวิชาที่โหดร้ายอย่างมาก ! ค้าไม่ถึงเลยว่า ก้อนหินถึงกับไหม้ แม้แต่หยกก็ยังเสียหาย …. ”


ชายในชุดดำพูดต่อ


“ เด็กผู้นี้ตัดสินใจได้เด็ดขาดมาก ข้าชอบ หากผู้อาวุโสผู้ไม่ก้าวออกมา เจ้าคงจะสังหาศิษย์น้องของเจ้าไปแล้ว …. ”


“ นี่ … พี่ …. เจ้าหมายความว่าอย่างไร … ยังพอช่วยเขาได้ไหม ? ”


เห็นได้ชัดว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกำลังดีใจ ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถพูดอย่างต่อเนื่องได้


“ อย่าพูดเช่นนั้น เขายังไม่ได้ตาย ผู้เฒ่าผู้นี้อยู่ที่นี่แล้ว และข้าสามารถช่วยเขาได้แม้ว่าเขาจะจวนเจียนแล้วก็ตาม เข้าใจไหม ? ”


ชายหน้ากากดำกรอกตา


“ ตอนนี้เงียบไปซะ ! ”


“ … ”


มีเส้นสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไม่มีใครในโลกที่สามารถพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคนผู้นั้นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา


“เอ๋ ? เจ้ามายืนทำอะไรตรงนี้ ? มันเกะกะข้า ”


ชายหน้ากากดำพูดขึ้นด้วยความเป็นกันเอง


“ ดีละ ไปสิ มากวนข้า หรือว่าข้าควรจะปล่อยให้ศิษย์น้องของเจ้าตายดีละ ?  รีบหลีกทางข้าสิ ! มิเช่นนั้นข้าจะไปโดยไม่สสใจชีวิตของเขานะ ! ”


“ … ”


ใบหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวแดงก่ำ จนเหมือนกับสีของก้นเหยี่ยว และเขาก็เดินกระแทกเท้าออกไปโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเขาพูดขึ้น


“ หากเจ้าช่วยเขาไม่ได้ ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต ! ”


“ โอ้ว จริงหรือ ? เจ้ากล้าขู่ผู้เฒ่าผู้นี้หรือ ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความกล้าหาญ นะ! ”


ชายชุดดำยืนขึ้นอย่างใจเย็น


“ ตอนนี้ข้าไม่ช่วยเขาแล้ว ! ”


เขายืนขึ้นกอดอกมองเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวด้วยความดูถูก


“ เจ้าจะให้ข้าชดใช้ด้วยชีวิต ? มาสิ ! ผู้เฒ่าผู้นี้ต้องการจะเห็นว่าฝีมือยอดปรมาจารย์อะไรของเจ้าที่สามารถทำให้ข้าชดใช้ด้วยชีวิตได้ เจ้าคิดว่าเจ้าไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะเจ้าเป็นหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์งั้นหรือ ? ข้าละอยากถ่มน้ำลายให้คนอย่างเจ้า ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพ่งมองกลับไปยังชายผู้นั้นอย่างดุร้าย ราวกับว่าตาของเขาจะหลุดออกมาจากเบ้า ซึ่งหน้าอกของเขาก็กระเพื่อมด้วยความโกรธ และดูเหือนว่าเขาจะกระอักเลือดได้ตลอดเวลา


การดูถูกนี้มันเลยขีดจำกัดการอดทนของเขาแล้ว !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอยากจะคำรามออกมาเสียงดัง 


ข้าจะฆ่าเจ้า !


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้คิดมาพอสมควร เขาตัดสินใจว่าหากการช่วยชีวิตไฮเฉินเฟิงนั้นยังสามารถทำได้ มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำก่อน จากนั้นเขาค่อยมาทะเลาะกับคนผู้นี้ในภายหลัง มิฉะนั้นเมื่อความตายของยอดฝีมือรุ่นหลังนั้นถูกสลักไว้ด้วยชื่อของยอดปรมาจารย์ ตำแหน่งและสถานะของเขาจะต้องตกลงไปอย่างแน่นอน


“ เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพยายามยับยั้งความโกรธ


“ รีบช่วยเขา ! ข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว ! เลิกชักช้าเสียเวลาเสียที … ”


ขณะที่เห็นได้เห็นว่าไฮเฉินเฟิงหายใจเบาลง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเริ่มถลึงตาใส่ชายหน้ากากดำ แต่น้ำเสียงของเขาฟังเหมือนว่าเร่งรีบอย่างมาก ….


“ อ้อนวอนข้า ! ”


ชายชุดดำยังคงกอดอกอยู่ขณะที่เขาพูดอย่างใจเย็น


“ ขอให้ข้าช่วยเขา ข้าต้องการที่จะช่วยเขา เพราะว่าเขานั้นน่าพอใจในสายตาของข้า แต่ตอนนี้เจ้าเริ่มพูดมาก และข้ายังไม่เห็นความเมตตาของเจ้าเลย ดังนั้นข้าจะไม่ช่วยเขาจนกว่าเจ้าจะอ้อนวอนข้า ”


“ ข้าขอ … ?!! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกระซิบสองสามคำ ไม่มีแรงที่จะพูดออกมาเสียงดังๆ และไม่เชื่อว่าเขาจะได้รับการขอให้วิงวอน และดูเหมือนว่ามันเห็นได้ชัดจากสีหน้าของเขาที่ดูเหมือนจะติดกับเมื่อใครบางคนให้เจ้าคืบหนึ่ง แต่คนผู้นั้นเริ่มจะเอาศอก


ชายหน้ากากดำคำรามทางจมูกและหันไป  และเริ่มเดินจากไปโดยไม่แสดงความขัดข้องใจ


“ หยุด ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเปียกไปด้วยเหงื่อทั้งตัว และเกือบจะไม่สามารถพูดคำนี้ออกมาได้


สภาพของไฮเฉินเฟิงนั้นทำให้เขาละอายใจ ดังนั้น หากเขาไม่ต้องการผลประโยชน์ของไฮเฉินเฟิง เขาคงจะปล่อยให้ไฮเฉินเฟิงตายไปแล้ว !


“ ผู้เฒ่า … ข้าขอร้องท่านผู้เฒ่า ได้โปรดช่วยเขา …. ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกัดฟันแน่นและแก้มของเขาก็เป็นสีแดงก่ำในตอนนี้ และดวงตาของเขาเพ่งมองไปยังชายที่อยู่ตรงหน้าของอย่างดุร้ายราวกับว่าเขาต้องการจะกินชายผู้นี้ทั้งเป็น


แม้จะใช้แม่น้ำทั้งห้า แต่ก็ไม่มากพอที่จะชะล้างความอับอายที่ข้าได้ประสบในวันนี้ได้ !


ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ข้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยความอับอายได้ และข้าก็จะแบกเอาความอับอายนี้ขึ้นสวรรค์ไปกับข้าด้วย …


ชายหน้ากากดำคำรามทางจมูก แสร้งมองไปที่เขาอีกครั้งหนึ่ง และชี้นิ้วไปทางเขา


“ เจ้าคิดว่าเจ้าขออะไรบางอย่างจากข้าได้เพราะว่าเจ้านั้นมีชื่ออยู่ในแปดยอดปรมาจารย์อย่างนั้นหรือ ? ข้ากำลังจะช่วยชีวิตเขา และเจ้าก็มีขู่จะเอาชีวิตของข้า ? มีเรื่องอะไรสาระอะไรอยู่เต็มหัวของเจ้าเนี่ย ? เจ้าจะต้องเอาหัวไปราน้ำสักวันหนึ่ง ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหายในหนักๆจนลมที่ออกมาจากรูจมูกของเขานั้นแรงพอที่จะพัดเอาใบไม้รอบๆไป ในขณะที่ท่าทางกัดฟันของเขาบอกบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องการจะหั่นชายผู้นี้ออกเป็นสองท่อน ! และจากนั้นคว้านท้องของเขาออกมา ! หักกระดูกทุกชิ้น ทีละชิ้น ! และกินเศษกระดูกของชายผู้นี้จนกว่าจะอิ่มท้อง ! และเฝ้าดูกระดูกของเขากลายเป็นขี้ในท้องของเขา

 

 

 


ตอนที่ 206

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหันไปทางอื่น และไม่มีวี่แววที่จะหันมองกลับมาเลย ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงว่า เขาต้องการที่จะหักคอชายหน้ากากดำทิ้ง


“ การต่อสู้แบบนกที่โง่เง่านั่นทำให้เขามันทำให้เขาฝังใจ ! เขาอาจจะออกไปข้างนอกทุกๆวันเพื่อที่จะมองหากุ้งที่เขาสามารถต่อสู้ด้วยได้ และคิดว่าเขาจะช่วยให้มันกลายเป็นปรมจารย์ในวันใดวันหนึ่ง ? ”


ดูเหมือนว่าชายหน้ากากดำจะคิดออกมาเสียงดัง


“ มันเป็นเพียงแค่ชุดกระบวนท่าสิบเจ็ดกระบวน … และการเคลื่อนไหวมันยังไม่สอดคล้องกัน ช่างน่าเศร้า น่าอายอะไรเช่นนี้  เขายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์อีก ! บางคนคงจะต้องให้เขาตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองสักหน่อย ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหันมาเมื่อได้ยินคำนี้ และมองไปที่ด้านหลังของชายใส่หน้ากากด้วยแววตาที่มีร่องรอยแห่งความประหลาดใจ


“ เจ้า เจ้า เจ้าพูดอะไรออกมา ? ”


“ ข้าพูดอะไรออกมางั้นหรือ ? ข้าเพิ่งบอกว่าทั้งหมดนั่นมันผิด ! ”


ชายหน้ากากดำกรอกตา


“ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าที่เจ้าเรียกว่า ท้วงท่าการต่อสู้นั้นจะสามารถสรุปผลการประลองยุทธ์ที่แตกต่างกันไปนับร้อยแบบได้อย่างที่นกทำ ? ที่เจ้ายังคิดมันไม่ออก เพราะว่าเจ้านั้นขาดความรู้ การต่อสู้ของอินทรีย์ของเจ้านั้นมันคล้ายกับการบินต่อสู้ ไม่น่าประหลาดใจเลยที่เจ้าไม่สามารถที่จะสร้างพลังที่แท้จริงจากมันได้ ! และเจ้าเองก็ยังพึงพอใจกับเคล็ดที่โง่เขลาเช่นนี้อีกหนะหรือ ? มันเป็นแค่เรื่องน่าอาย .. และน่าขัน ! ”


ตอนนี้ แม้ว่าน้ำเสียงของชายหน้ากากดำนั้นจะฟังดูไม่น่าพึงพอใจนัก และต่ำช้าลงกว่าตอนแรก แต่ ทุกคำที่เขาพูดออกมานั้นได้กระทบเข้ากับหูของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและทำให้เขาต้องกลับมาพิจารณาตัวเองใหม่ สำหรับผลลัพธ์นั้น แทนที่เขาจะดื้อรั้นและมีอารมณ์ เขากลับรู้สึกเหมือนมีใครบางคนดึงเขาลงจากสรวงสวรรค์และปาเขาลงไปบนพื้นพร้อมกับเสียง ตุ๊บ


“ โปรดชี้แนะข้าด้วย ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพูดออกมาอย่างสุภาพ สิ่งที่เขากำลังคิดนั้น


เขาสามารถที่จะชี้ปมด้อยของข้าได้ในทันที แสดงว่าเขาจะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากจริงไหม ? เขาจะต้องเป็นใครบางคนที่อาวุโสกว่าข้า ! ในจุดนี้เหมือนทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยววางตัวตนและความหยิ่งทะนงของเขาลง


“ อย่างแรกเจ้าจะต้องใจเย็น เมื่อข้าช่วยชีวิตเขาเสร็จ ข้าจะแสดงเคล็ดลับเล็กน้อยให้เจ้าดู และดูว่ามันจะคุ้มค่ากับเวลาของข้าหรือไม่ ”


ชายหน้ากากดำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป


“ ขอรับ ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหันหน้าไป นั่ลงบนพื้น และครุ่นคิดไตร่ตรองในทันที


ชายหน้ากากดำนั่งยองๆลงไปบนพื้นอย่างช้าๆ เขาพึมพัมอย่างผ่อนคลาย และจากนั้นก็จับข้อมือของไเฉินเฟิงอีกครั้ง


แปดยอดปรมาจารย์ ว้าว !  ผู้ใดจะกล้าไปสั่งสอนรูปแบบการต่อสู้ของเขา ? อืมมมม ! ข้าทำได้ ! และเมื่อข้าฝึกฝนเขาสำเร็จ ข้าจะได้รับความเคารพจากเขา ! ข้าเป็นสุดยอดปรมาจารย์ ! ข้าคือที่สุด !


เห็นได้ชัดว่าชายหน้ากากดำนั้นคือนายน้อยจวิน จวินโม่เซี่ย !


อาจจะบอกได้ว่า การบาดเจ็บของไฮเฉินเฟิงนั้นรุนแรงยิ่งนัก และไม่สามารถรักษาได้เลยในโลกนี้โดยไม่ได้รับยากที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ด้วยเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ที่เขามีอยู่ มันเป็นสิ่งที่จวินโม่เซี่ยสามารถรักษาได้ได้ เนื่องจากการบางเจ็บนี้ไม่ได้รุนแรงเท่ากับการบาดเจ็บของจวินโม่เซี่ย อย่างไรก็ตาม การบาดเจ็บนี้ยังสดใหม่ ดังนั้นนายน้อยจวินจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก


แน่นอนว่า งานเช่นนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้นอกจากจวินโม่เซี่ย ดังนั้นไฮเฉินเฟิงจะต้องตายอย่างแน่นอน !


จวินโม่เซี่ยเริ่มทำให้เจดีย์หงษ์จวินเคลื่อนไหว และลมปราณที่มีพลังอย่างน่าเกรงขามพุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างของเขา จากนั้นเขาจึงส่งลมปราณนี้ไปยังฝ่ามือ และใส่มันเข้าไปในเส้นลมปราณของไฮเฉินเฟิง มันเริ่มซ่อมแซมกระดูกที่แตกหักทีละนิด จากนั้นเริ่มเชื่อต่อเส้นลมปราณของเขา และค่อยๆซ่อมแซมจุดดันเถียนของเขา ….


สีหน้าของไฮเฉินเฟิงที่ดูซีดเผือกเหมือนคนตายก่อนหน้านี้ ค่อยๆมีสีเลือดฝาดขึ้นมา ในขณะที่ร่างของเขาเริ่มขยับทีละนิด และเขาเริ่มร้องออกมาเสียงดัง ตอนแรกเขาสามารถที่จะลืมตาได้อย่างแล้วเท่านั้น ไฮเฉินเฟิงมองไปยังชายที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากด้วยความขอบคุณ


การขอบคุณนี้ไม่ใช่เพราะการช่วยชีวิตเขา แต่เพราะการดูถูกเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ซึ่งมันทำให้ไฮเฉินเฟิงพอใจ ! ในตอนที่เขาใกล้ตาย คำดูถูกเหล่านั้นเป็นเพียงกรรมตามสนองที่เขาคิดว่าเขาไม่สามารถจะทำได้ !


แต่โชคดี ที่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ชีวิตของเขาจะต้องจบลง !


ปราณที่น่าเกรงขามนี้ค่อยๆเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณของเขา จนทั่วทั้งร่าง ซึ่งก่อนหน้านี้มันหยุดทำงานไปแล้ว แต่ในตอนนี้มันกลับถูกเติมเต็มไปด้วยพลังงาน ! ไฮเฉินเฟิงรู้ดีว่าพลังเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่อาจารย์ของเขาจะสามารถเรียกออกมาได้ !


ช่างน่าอัศจรรย์ !


ดวงตาของไฮเฉินเฟิงมองไปยังใบหน้าของจวินโม่เซี่ยอย่างไม่หวั่นเกรง และความขอบคุณในแววตาของเขา เริ่มเปลี่ยนไปเป็นความเลื่อมใส และศัทธา !


คนผู้นี้เป็นใครกัน ? เขาเป็นคนลึกลับ แต่มีฝีมือที่ก้าวหน้าไปขนาดนี้ เขาจะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหันไปในตอนที่ไฮเฉินเฟิงร้องออกมา และทันใดนั้นเขาพบว่าตัวเองมังไปยังภาพที่น่าตกตะลึง


ศิษย์น้องของเขาที่ได้ทำลายจุดดันเถียนไปจากการพลีชีพ และการบาดเจ็บของเขานั้นก็ได้ไปถึงจุดที่ไม่มีผู้ใดหรือยาชนิดใหนในดินแดนเชวียนๆจะสามารถรักษาให้เขากลับมาสมบูรณ์ได้แล้ว ! อย่างไรก็ตาม ไฮเฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าของเขายังหายใจได้อย่างมั่นคงกว่าก่อนหน้านี้ และแม้ว่าการบาดเจ็บของเขาจะรุนแรงอย่างมา แต่มันไม่เป็นอันตรายกับชีวิตของเขาอีกต่อไปแล้ว ! อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการรักษาการบาดเจ็บเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดคิดว่ามันจะสามารถทำได้ ในสภาวะเช่นนี้


มันปรากฏได้อย่างชัดเจนต่อสายตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จากปราณที่กระจายตัวอยุ่ในอากาศในตอนนี้ ว่าชายหน้ากากดำผู้นี้ คือคนที่เหนือกว่าทุกคนที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเคยเจอ หรือได้ยินมา ! แม้ว่าเขาจะเป็หนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ของโลกนี้ เขาก็อดที่จะแจ๊บปากตัวเองเสียงดังเพื่อแสดงความหิวกระหายไม่ได้


โชคดีที่ข้าไม่โจมตีชายผู้นี้ในตอนที่ข้าโมโหก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นข้าคงจะนอนกองอยู่บนพื้นข้างๆไฮเฉินเฟิงไปแล้ว ! ครั้งนี้ข้างช่างโชคดีจริงๆ !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ชายผู้ที่รู้กันดีกว่ามีความกล้าหาญ และหุนหันอย่างมาก กลับต้องเหงื่อตกในเวลานี้


มันช่างไม่น่าเชื่อ ! แม้แต่ยุ่นเบ้ยเฉินจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าชายผู้นี้ได้หรือไม่ ?


เนื่องจากความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวของเขา เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเริ่มวาดภาพเปรียบเทียบระหว่างชายทั้งสอง และเกือบจะอุทานออกมาเมื่อการวิเคราะห์ของเขาสิ้นสุดลง


เขาสามารถวินิจฉัยความแข็งแกร่งของยุ่นเบ้ยเฉินได้อย่างชัดเจน ในตอนที่เขาได้พบกับชายผู้นั้นเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่แม้แต่จะอยู่ในระดับเดียวกับชายผู้นี้ ! หากความแข็งแกร่งของยุ่นเบ้ยเฉินเป็นดั่งสายน้ำที่หลั่งไหล ความแข็งแกร่งของชายหน้ากากดำนี้ก็เป็นดั่งท้องทะเล !


ข้าคิดว่าแม้ว่ายุ่นเบ้ยเฉินจะพัฒนาไปไกลตั้งแต่ตอนที่ขาได้พบกับเขาเมื่อครั้งก่อน เขาก็ยังเทียบกับชายผู้นี้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว !


เม็ดเหงื่อที่เยือกเย็นเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวแล้วในตอนนี้


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกำลังเพ่งมองไปอย่างตกตะลึง ในขณะที่ไฮเฉินเฟิงเพ่งมองไปอย่างสำนึกในบุญคุณ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจวินโม่เซี่ย ที่กำลังเป็นจุดสนใจอยู่ในตอนนี้ค่อยๆเลือนหายไปแล้วในช่วงเวลาที่สำคัญนี้


แม้ว่าจวินโม่เซี่ยตั้งใจจะปลดปล่อยปราณจากเจดีย์หงษ์จวินออกมาเพียงเล็กน้อยเมื่อรักษาการบาดเจ็บของไฮเฉินเฟิง ไม่นานนัก พายุแห่งลมปราณก็เริ่มพุ่งไปตามเส้นลมปราณของเขา ซึ่งตามมาด้วยเสียงก้องกังวาลราวกับเสียงที่อยู่ในหัวของเขา และความคิดของเขาก็เริ่มสับสนและงุงงง ทันใดนั้น ดูเหมือนว่านายน้อยจวินกำลังใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ติดอยู่กับความว่างเปล่าและ … อยู่อย่างโดดเดี่ยว


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ทำให้หัวใจของเขารู้สึกถึงความโดดเดี่ยว


ในขณะที่ลมปราณจำนวนมากไหลไปตามเส้นลมปราณของเขา และดูเหมือน่าเส้นลมปราณของเขาจะเก็บซ่อนทะเลลมปราณที่ปั่นป่วนเอาไว้ ซึ่งลื่นแต่ละลูกนั้นรุนแรง และอันตรายกว่าเมื่อก่อน !


จากเดิมที ที่จวินโม่เซี่ยโศกเศร้ากับโชคชะตาของเขา !


ข้ารู้สึกคาดหวังกับช่วงงเวลานี้มานาน และสุดท้ายมันก็เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้ มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่โชคร้าย เมื่อข้าใกล้จะทำงานใหญ่สำเร็จ ….


สถานการณ์ที่อยู่ในจิตใจของเขาเร็วขึ้นพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ในขณะที่เจดีย์หงษ์จวินพร้อมที่จะบ้าคลั่ง และเริ่มเปล่งประกายแสงมากมายออกมาในสมองของเขา !


และแรงดึงดูดที่รุนแรงนี้ได้ดึงสติของจวินโม่เซี่ยเข้าไป และความรุนแรงของมัน ทำให้จวินโม่เซี่ยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะต้องหลบออกไปจากสถานที่นี้ก่อน


ไฮเฉินเฟิงประหลาดใจอย่างมากเมื่อพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน และอดที่จะกระอักเลือดออกมาไม่ได้ ในขณะที่จวินโม่เซี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออก


จวินโม่เซี่ยพยายามฝืนตัวเองขณะที่เขาพูดอย่างช้าๆ 


“ ข้าได้ประคับประคองอาการของเขาไว้แล้ว ไม่มีอะไรเป็นอันตรายกับชีวิตของเขาอีกแล้ว แต่ข้าต้องให้เขาผ่านขั้นตอนอีกมากมายก่อนที่เขาจะหายสนิท อย่างไรก็ตาม ข้ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องไปจัดการ และข้าจะต้องไปจากที่นี่ในทันที ”


“ นี่ … ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเลิกคิ้ว ไม่สามารถคิดถึงขั้นต่อไปของเขาได้


“ นกเหยี่ยว เจ้าจะต้องพาเขาไปยังที่พักสกุลจวินในเมืองเทียนเชียงทันที ที่นั่น เจ้าจะพบกับศิษย์ของข้า นายน้อยสาม จวินโม่เซี่ย เขาจะช่วยให้ไฮเฉินเฟิงฟื้นฟูจากการบาดเจ็บนี้ ข้าได้ถ่ายทอดความรู้ในการรักษาชายผู้นี้ไว้หมดแล้ว และงานนี้ควรจะเป็นงานที่ง่ายดายสำหรับเขา ! เด็กผู้นี้ควรจะฟื้นฟูสุขภาพได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพยักหน้า


“ สำหรับเจ้า ข้าได้สอนกระบวนท่าบางส่วนให้แก่จวินโม่เซี่ย ซึ่งมันคล้ายคลึงกับสิ่งที่เจ้ากำลังพยายามสร้าง หากเจ้าต้องการที่จะทำให้กระบวนท่าของเจ้าสมบูรณ์ เจ้าจะต้องไปหาเขา นอกจากนี้ ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าขอเตือนเจ้า ว่าอารมณ์ของเขานั้นไม่ได้อ่อนโยนเช่นชายแก่ผู้นี้ และหากเจ้าต้องการที่จะเรียนรู้การเคลื่อนไหวจากเขา เจ้าจะต้องอดทนต่อการดูถูดเหยียดหยามให้ได้ ! ”


จวินโม่เซี่ยรีบจบการแนะนำเนื่องจากเขารู้สึกว่า ช่วงเวลาที่เขาจะบรรลุนั้นใกล้เข้ามามากแล้ว !


“ จงจำไว้ อย่าได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างผู้เฒ่าผู้นี้ และสกุลจวินแม้แต่นิดเดียว ! ”


เขาตั้งใจจะไม่เตือนพวกเขา และพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ เนื่องจากเขารู้ว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะต่อต้านเจตจำนงของเขา


“ จวินโม่เซี่ย ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพึมพัม และมองขึ้นไปอีกครั้ง แต่พบว่าชายลึกลับผู้นี้ได้หายไปแล้ว …


“ เร็วอย่างน่างอัศจรรย์ ! ”


เวลานี้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอดที่จะร้องออกมาด้วยความกลัวไม่ได้


เขาพูดถึงสกุลจวินก่อนที่เขาจะไป … เอ่อ ข้าคิดว่าข้าต้องรีบไปที่นั่นทันที


เขายกร่างของไฮเฉินเฟิงด้วยมือข้างเดียว และพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม


“ เด็กน้อย เจ้าจะต้องไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กับใครก็ตาม เข้าใจไหม ? หากมีใครรู้เรื่องนี้ ข้าจะถลกหนังของเขาด้วยตัวข้าเอง !! ”


แม้ว่าร่างของไฮเฉินเฟิงจะอ่อนแอราวกับคนตาย เขาก็ยังฝืนใจพูดออกมา


“ ข้าจะไม่พูดเรื่องปรมาจารย์ลึกลับกับผู้ใด ”


“ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ” 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหยุดอยู่กับที่ในทันที ในขณะที่ผมของเขาลอยขึ้นมาด้วยแรงของลม


“ เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าจะพูดเรื่องการต่อสู้ของเรางั้นหรือ ? ”


“ ข้าไม่แน่ใจ ”


ไฮเฉินเฟิง พึมพัม และดูเหมือนว่าหัวใจของเขาจะปิดบังความดูถูกศิษย์พี่ของเขาเอาไว้


 อย่างแรกเจ้าไล่บี้คนที่อ่อนแอกว่าเจ้า และเจ้ายังกล้าที่จะมาสั่งให้ข้าหุบปากในเรื่องนี้อีกหรือ ? เกิดอะไรขึ้นกับความกล้าหาญของเจ้าต่อหน้าปรมาจารย์ลึกลับผู้นั้นละ ?!


“ เจ้าจะต้องไม่พูดเรื่องอะไรเลย ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตอบกลับมาอย่างรุนแรง


“ หากเจ้าบอกคนอื่นๆว่า เจ้าทำร้ายข้า มันจะทำให้เกิดความสงสัยมากมาย และหากเจ้าบอกว่าข้าช่วยเจ้าหลังจากที่เจ้าทำลายจุดดันเถียนของตัวเอง ผู้คนก็จะมีคำถามขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีแล้วหากเรื่องของการต่อสู้นี้เปิดเผิยขึ้นมา ผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือเจ้าไว้จะถูกเปิดเผยต่อโลก และให้ข้าบอกกับเจ้าอีกครั้ง แม้ว่าอาจารย์ของเจ้าและข้าร่วมมือกันก็ไม่สามารถที่จะยั่วยุชายผู้นี้ได้ ฮืมมม เจ้าประเมินสถานการณ์ของเจ้า และตัดสินใจเอา ”


เมื่อคนที่มีความสามารถเช่นเดียวผู้โดดเดี่ยวพูดขึ้นมาว่า


“ แม้แต่อาจารย์ของเจ้าและข้ารวามมือกัน ก็ไม่สามารถที่จะยั่วยุชายผู้นี้ได้ ”


เห็นได้ชัดว่า ความหวาดกลัวและตกตะลึงต่อความสามรถของจวินโม่เซี่ยได้ฝังตรึงลงไปในใจของเขาแล้ว !


Translate by iHaveNoName

 

 

 


ตอนที่ 207

 

เนื่องจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นพึงพอใจอย่างมาก เขาจึงมั่นใจอย่างมากว่าไฮเฉินเฟิงจะหุบปากไว้เพราะว่าเขาได้สั่งเอาไว้ และตอนนี้เขาก็ไม่กังวลที่จะเสียหน้า ต่อหน้าโลกอีกต่อไป เขาเริ่มตั้งใจค้นหาจวินโม่เซี่ย ตราบใดที่เขาหาจวินโม่เซี่ยเจอ เขาก็จะสามารถพัฒนาพัฒนาสิบเจ็ดกระบวนท่าของเขาได้ !


งานนี้มันดีจริงๆ …


อะไรคือความพิเศษของตัวตนของจวินโม่เซี่ย ?


ความไร้ยางอายของนายน้อยจวินนั้นเป็นที่รู้กันทั่วไป แต่เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะขับไล่ศิษย์ที่มีคุณภาพสองคนนี้ นายน้อยจวินจึงตัดสินใจให้พวกเขาไปยังที่พำนักสกุลจวิน และชี้ให้เห็นว่าศิษย์ผู้นั้นขี้หงุดหงิด !


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รู้โดยทั่วกันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะใส่ในการเรียนรู้ในอดีต


หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข และความปราถนา อาจจะบอกได้ว่า หากปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้พยายามที่จะหลอกลวงเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาก็จะไม่ใส่ใจมันเลย …


สิ่งที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคิด ฝีมือของปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้ไม่สามารถที่จะเทียบกับใครได้ แต่ในความจริง นายน้อยจวินก็ไม่ได้ออกไปใหนเลย เขาเพียงแค่หนีลงไปใต้ดิน แต่เนื่องจากไฟลนก้นของเขาอยู่ เขาก็ไม่ได้สนใจว่าเขาหนีลงไปลึกเท่าใหร่ด้วย ! อย่างไรก็ตาม มันก็บอกได้ว่าเขาได้ลงไปลึกกว่าข้อจำกัดนั้นแล้ว


เห็นได้ชัดว่า นายน้อยจวินต้องการที่จะหาสถานที่ ที่มั่นคงเพื่อเริ่มการบรรลุนี้ แต่ในตอนที่เขาพูดประโยคสุดท้ายกับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังพยายามที่จะระงับความรุนแรงของทะเลลมปราณ ซึ่งไม่นานนักเจดีย์หงษ์จวินก็ก่อให้เกิดสียง ตูมดังขึ้นมา และหลังจากนั้นลมปราณจำนวนมากได้กลังไหลเข้ามาในร่างของเขา ความคิดของเขาสับสนอย่างมากภายใต้แรงปะทะของลมปราณที่อยู่ในเส้นลมปราณของเขา ในขณะที่เจดีย์หงษ์จวินสั่นอย่างรุนแรง …


ข้ารับมันไม่ไหวแล้ว …


ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงไม่รอให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตอบกลับมา และใช่เคล็ดอิสระหยินหยาง และมุดลงไปในดินราวกับหนูที่ตกอยู่ในอันราย เขาไม่รู้เลยว่าการหายตัวไปของเขานั้น จะทำให้โลกของแปดยอดปรมาจารย์เปลี่ยนไป !


แม้ว่าเคล็ดอิสระหยินหยางนั้นจะมีความพิเศษและไม่มีอะไรมาเทียบได้ แต่ผลของมันก็ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในมุมของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


ฝีมือของเขานั้นน่าเหลือเชื่อจริงๆ


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมั่นใจในความสามารถของตัวเขาเป็นพิเศษ และเชื่อว่าไม่มีผู้ใดอยู่เหนือกว่าเขาในเรื่องนี้ แต่ในวันนี้เขาได้เห็นถึงฝีมือที่อยู่เหนือกว่าทุกอย่างที่เขาเคยจินตนาการ !


นี่ทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความกล้าหาญของยอดปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้ ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจค้นหาจวินโม่เซี่ย ดูเหมือนว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะไม่ได้เป็นกังวลว่า เขาจะต้องเรียนรู้จากผู้ที่เด็กว่าเขา เขาขัดเจนในความจริงที่ว่า ผู้ที่มากไปด้วยความรู้และประสบการณ์นั้นควรค่าแก่การนับถือ อย่างมาก !


ในอีกมุมหนึ่ง จวินโม่เซี่ยก็ไม่ได้สนใจถึงการมีอยู่ของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวที่อยู่บนพื้นเลย และนั่งขัดสมาธิอยู่ในพื้นดินเบื้องล่าง และทันใดนั้นเขาก็ได้รู้ว่าสถานการณ์ของเขานั้นรุนแรงมากขึ้น และไม่นานนายน้อยจวินก็ไม่สามารถที่จะต้านทานพลังของเจดีย์หงษ์จวินได้อีกแล้ว และพบว่าสติของเขาถูกดึงเข้าไปในเจดีย์


ประตูของเจดีย์เปิดอออกอย่างเงียบๆ


ขณะที่ยืนอยู่ในชั้นที่หนึ่งของเจดีย์หงษ์จวินที่โอ่อ่า ทันใดนนั้นก็มีข้อความปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา


ปกป้องประสงค์ของหยินหยาง !


เข้าใจให้ชัดเจน !


เข้าใจมันอย่างชัดเจน !


หลังจากที่ผู้นั้นเข้าใจ ผู้นั้นจะสามารถปกป้องประสงค์แห่งสวรรค์และโลก !


ขณะที่อ่านข้อความเหล่านั้น มีแสงเปล่งประกายขึ้นมาด้านหน้า ในขณะที่กลิ่นอันหอมหวานพุ่งเข้ามาปะทะกับรูจมูกของเขา และภาพลวงตาของบันได้ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา และกลายเป็นจริงในทันที บันไดเหล่านี้ดูเหมือนจะนำไปยังประตู เป็นประตูที่เรียบง่าย ซึ่งดูเหมือนจะเปิดออกมาอย่างช้าๆในตอนนี้ !


ในที่สุด ชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวินก็เปิดให้แก่จวินโม่เซี่ย !


ความตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ได้เกิดขึ้นในหัวใจของจวินโม่เซี่ย ! ชั้นแรกของเจดีย์หงษ์จวินได้มอบเคล็ดวิชาลับที่ทรงพลังดั่งเช่นเคล็ดอิสระหยินหยาง ซึ่งทำให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของสิ่งต่างๆเพื่อปกป้องตัวเขาและความสนใจของเขาต่อโลกนี้ ความแข็งแกร่งของนายน้อยจวินอยู่ในระดับเดียวกับเชวียนทอง อย่างไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของเคล็ดนี้ เขาสามารถที่จะเดินเล่นท่ามกลางยอดฝีมือเทพเชวียนได้โดยที่ไม่กลัวการบาดเจ็บทางร่างกายเลย !


ราวกับเด็กสามขวบที่มีพลังเหนือกว่าผู้ใหญ่ และทำให้เขาสามารถสนทนากันได้ในระดับเดียวกัน !


เพียงแค่จินตนาการถึงผลประโยชน์ที่ข้าจะได้จากชั้นที่สองของเจดีย์ ?


ทำให้ตัวเองสงบลงและค่อนเดินตรงไปยังประตู และค่อนข้างจะคุ้นชินกับบรรยากาศขณะที่เขามาถึงประตูของชั้นที่สอง


ทันใดนนั้น มีแสงเปล่งประกายออกมาจากชั้นที่สองของเจดีย์ และภาพมากมายปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดภาพเหล่านั้นเคลื่อนไปรอบๆเป็นวงกลม เหมือนกับรูปทรงของรังนก และค่อยๆทะลุเข้าไปในพื้นที่ระหว่างคิ้วของเขา และจากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยที่มีวีแววของสถานที่แรกอยู่เลย


ในเวลาเดียวกัน จวินโม่เซี่ยก็ได้เห็นข้อความมากมายและภาพหุ่นยนต์ที่อยู่ภายในอย่างรวดเร็ว ภาพที่ทะลุเข้าไปในหัวของเขานั้นได้ลอยไปตามเส้นลมปราณของเขา


ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่เขาเข้าสู่ชั้นแรกของเจดีย์ !


“ ผู้ใดที่เข้ามาในเส้นทางของสวรรค์และโลก จะต้องปกป้องประสงค์ของสวรรค์และโล ผู้ที่เข่นฆ่าผู้อื่นอย่างใจร้อน หล่อเลี้ยงหัวใจน้ำแข็ง ความซื่อสัตย์ทั้งเก้าจะเปลี่ยนจิตวิญญาณที่มั่นคงโดยประสงค์ของสวรรค์ และรักษามันไว้เช่นนั้น … ”


จวินโม่เซี่ยเริ่มตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบถึงคำพูดเหล่านั้นอีกครั้ง 


 จากสิ่งที่ข้าบอกได้ มันดูเหมือนว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นของเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ !


รักษาไว้ด้วยประสงค์ของสวรรค์ !


จากนี้ไป เพียงแค่นี้จึงสามารถมองเห็นเส้นทางที่ถูกต้องได้ !


เขายืนนิ่งๆอยู่ที่ประตูทางเขาในชั้นที่สอง !


นายน้อยจวินไม่ได้รับรู้ว่าร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายในตอนนี้ !


รวมถึงปราณจำนวนมากที่พุ่งไปตามเส้นลมปราณของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งมันพุ่งผ่านรูขุมขนบนหัวและฝ่าเท้าของเขา และกระแสลมปราณที่บ้าคลั่งนี้ได้ขยายเส้นลมปราณในร่างของเขาออกด้วยความรุนแรง จนทำให้เสื้อผ้าของเขาไม่สามารถที่จะต้านทานอยู่ได้ และค่อยๆกลายเป็นเถ้าถ่าน และปลิวหายไป !


ของเหลวออกมาตามร่างของนายน้อยจวินราวกับน้ำพุ และเปล่งแสงสีม่วงออกมาอย่างต่อเนื่อง …


ลมปราณที่อยู่ในเส้นลมปราณของเขาเคลื่อนที่อย่างล้าคลั่งจนเขาสามารถได้ยินเสียงที่ของมันได้อย่างชัดเจน


เนื่องจากสติของจวินโม่เซี่ยได้จมไปในทะเลแห่งความรู้ สมองของเขาเลยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายนอก ซึ่งทำให้เขาไม่รู้ว่าร่างกายของเขาต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงที่มากมายเช่นนี้


ในชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวินนั้นบอกว่า ความซื่อสัตย์ทั้งเก้าจะเปลี่ยนจิตวิญญาณที่มั่นคง ซึ่งเหมือนอย่างมากกับคำสั่งของชั้นแรก จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ทั้งเก้าและผู้นั้นจะไม่ตกนรก !


คำสั่งทั้งสองของเจดีย์หงษ์จวินนั้นมีบางอย่างเหมือนกัน และคำนั้นคือ ความบริสุทธ์ทั้งเก้า และ การเปลี่ยนแปลงทั้งเก้า !


จำนวนชั้นของสิ่งก่อสร้างนี้มีเก้าชั้น แต่มันกำลังเผยอะไร ?


มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ?


สมองของจวินโม่เซี่ย ประมวลผลทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เขามาอยู่ในโลกนี้อย่างรวดเร็ว และหลังจากที่คิดคำนวนข้อมูลเหล่านั้น นายน้อยจวินจึงตระหนักได้ว่า ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปก่อนที่ชั้นที่สองจะเผยให้เขาเห็น จากการพิจารณาอย่างระมัดระวัง เขารู้ได้ในทันทีว่า การเปลี่ยนแปลกทั้งหมดนั้นมีเก้าครั้ง !


ครั้งแรกที่เกิดขึ้นนั้น คือ เขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้ และวิญญาณของเขาก็มายังโลกนี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ และนี่คือครั้งที่เก้า ซึ่งสุดท้ายมันได้พาเขาเข้ามาสู้ชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวิน


ไม่แปลกใจที่ร่างกายของข้าจะตกลงในนรกหลังจากที่ตาย !


“ จิตวิญญาณที่บริสุทธิทั้งเก้า และผู้นั้นจะไม่ตกนรก ! ”


นั่นคือเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ….


เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ 


 ดูเหมือนว่าข้าจะต้องผ่านสิ่งที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งเก้านี้ก่อนที่จะได้เข้าไปสู่ชั้นที่สาม ! เห็นได้ชัดว่างานของข้านี้จะต้องยากกว่าขึ้นแย่างแน่นอน !


ในขณะที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวของเขา ทันใดนั้นหัวใจของเขารู้สึกเยือกเย็นอย่างแปลกประหลาด และดูเหมือนว่ากรอบความคิดของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างมาก ในบรรยากาศที่เงียบและสงบนี้ สติของเขาเริ่มลอยเขาไปในชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวินอย่างช้าๆ !


ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องด้านล่าง แต่มันว่างเปล่า


มีเตาหลอมสามขาวางอยู่กลางห้อง มีเปลวไฟหลากหลายสีเผาไหม้อยู่อย่างนุ่มนวลและมั่นคงอยู่ภายใต้เตา


มีวัตถุที่เหมือนหนังสือแขวนเอาไว้ข้างเตา ซึ่งมันเป็นสีทอง และมีพื้นผิวที่มันวาว


มีตัวอักษรจารึกอยู่บนเตาเผา เตาหลอมโชคดี !


ในตอนที่เขาอ่านคำเหล่านี้ พวกมันหายไปในทันทีโดยที่เขายังไม่ทันได้คาดคิด !


แม้แต่มือสังหารที่กล้าหาญก็ประหลาดใจกับสิ่งนี้ !


จวินโม่เซี่ยอดที่จะสำรวจเตาหลอมลึกลับนี้อยู่ห่างๆไม่ได้ และค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ ดูเหมือนจะเริ่มมีเสียงร้องเรียกเขาดังมาจากเตาลึกลับนี้ ราวกับต้องการจะดึงให้เขาเข้าไปใกล้มัน !


พลังที่อธิบายไม่ได้นั้นดูเหมือนว่าจะไม่อาจต้านทานได้เลย แต่จวินโม่เซี่ยก็ไม่ต้องการที่จะต้านทานมัน เพราะเขารู้สึกราวกับว่าเสียงนี้เป็นเสียงของเพื่อนของเขา ….


ในตอนที่เขาเข้าใกล้เตา เปลวไฟที่อยู่ภายใต้เตานี้ซึ่งดูเหมือนจะเรียกหาเขา มันกระโดดออกมาและห่อหุ้มจิตของเขาไว้ในทันที จวินโม่เซี่ยมีเวลาเพียงน้อยนิดที่จะสัมผัสกับมัน แต่มันทำให้รู้สึกราวกับร่างกายของเขาได้ผ่านการลงโทษสิบแปดชั้นในนรก แต่เมื่อจิตของเขาสงบลง เขาก็สมามารถสัมผัสถึงความเจ็บปวดอ่างแสนสาหัสอย่างชัดเจน และความเจ็บปวดนี้ก็ได้หายไปภายใต้ความสามารถในการอดทนของเขา …


ด้านนอก ร่างของจวินโม่เซี่ยได้หยุดขับของเหลวที่แปลกประหลาดนั่นแล้ว ร่างของเขาเริ่มรู้สึกแสบร้อนเนื่องจากมันถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยสีสัน !


ที่พื้นเบื้องบน ป่าเมเปิ้ลขนาดใหญ่ที่เจริญเติบโตอยู่ด้านบน เหี่ยวแห้งลงไปภายในพริบตา พืชพรรณทั้งหมดในบริเวณนั้นเหี่ยวแห้งจนหมด เนื่องจากพวกมันไม่สามารถทนต่อความร้อนได้ แม้แต่ใบหญ้าที่อดทนก็ไม่สามารถทนได้ ป่าที่สวยงามก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนพื้นที่แห้งแล้ง !


หมอกควันเริ่มลอยขึ้นมาจากพื้นดิน และหายไปในอากาศเบื้องบนอย่างรวดเร็ว น้ำในรัศมีหลายลี้แห้งเหือดไปในทันที !


มันดูเหมือนว่าส่วนนี้ของเมืองเทียนเชียงนั้นจะกลานเป็นพื้นที่แห้งความตายไปในทันที !


แม้จะมีน้ำท่วมในพื้นที่แห้งแล้งแห่งนี้ น้ำเหล่านั้นมันก็จะจะซึมลึกลงไปมากพอที่ไม่สามารถจะขุดเจอได้เลย …


ร่างที่มั่นคงและสวยงามของจวินโม่เซี่ยเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง และบิดเบี้ยวท่ามกลางเปลวไฟนี้ จนกระทั่งเปลวไฟนี้ค่อยๆเบาลงไปหายไปในที่สุด เผยให้เห็นร่างที่ไม่ได้รับความเสียหายของจวินโม่เซี่ย !


ทันใดนั้น ก็มีเสียงเรียกที่เหมือนกันอีกครั้ง และร่างของจวินโม่เซี่ยหายไปจากพื้นที่นั้นในทันที


ในเวลาเดียวกัน และเป็นครั้งแรก เขาพบว่าร่างกายจริงๆของเขายืนอยู่ในชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวิน !


Translate by iHaveNoName

 

 

 


ตอนที่ 208

 

ตอนนี้มีร่างสองร่างของจวินโม่เซี่ยอยู่ในเจดีย์หงษ์จวิน ร่างหนึ่งเป็นร่างจริง และอีกร่างคือร่างมายาจิต


มีพลังที่ไม่อาจต้านทานผลักทั้งสองร่างเข้าหากัน ไม่นานร่างทั้งสองก็ผสานและกลายเป็นหนึ่ง


เตาแห่งโชคลาภ เริ่มส่งเสียงดังก้องกังวาลอีกครั้ง และจากนั้นมันปลดปล่อยแสงออกมาเป็นวงรอบเตา และหายไป


ทันใดนนั้น จวินโม่เซี่ยจึงตระหนักได้ว่าข้อมือของเขานั้นถูกตัด และมีเลือดไหลออกมาราวกับน้ำพุ อย่างไรก็ตาม แทนที่มันจะไหลลงไปบนพื้น มันกลับพุ่งเข้าไปที่เตา !


เปลวไฟหลากหลายสีที่เริ่มแผ่วมเบา เริ่มลุกโชยขึ้นมาอีกครั้ง และไม่นานมันได้ห้อมล้อมเตาทั้งหมดด้วยเปลวเพลิงขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยไม่รู้สึกถึงความร้อนจากกองเพลิงมหึมานี้ แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ใกล้มากก็ตามที


เปลวเพลิงแห่งปฐมภูมิ !


คำนี้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาทันที และจากนั้น มีแสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากเตาแห่งโชคลาภ และเข้าไปในร่างของจวินโม่เซี่ยในทันที นายน้อยจวินสัมผัสได้ในทันทีว่าบาดแผลที่ข้อมืองของเขานั้นหายไปอย่างรวดเร็ว และไม่รู้สึกเลยว่าร่างกายของเขาจะกระอักกระอ่วมเนื่องจากเสียเลือดไปจำนวนมาก เหมือนเขาไม่รู้เลยว่า ข้อมือของเขาเพิ่งจะถูกตัดไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


เปลวไฟหลากสีหยุดเผาไหม้ไปอีกครั้ง และทั่วทั้งห้องก็เงียบลงในทันที ทำให้บรรยากาศในห้องนั้นเป็นเหมือนกับ บรรยากาศตอนที่เขาเข้ามายังชั้นสองครั้งแรก


เตาสามขายังคงตั้งนิ่งและเงียบสงบอยู่ตรงหลางห้อง


เปลวไฟหลากสีเผาไหม้อยู่อย่างแผ่วเบา แต่แต่เปลวไฟนี้ดูเหมือนว่ามันจะเผาไหม้ต่อไปจนนิจนิรันด์


หนังสือยังคงตั้งอยู่อย่างเงียบเฉียบด้านข้างเตา


จวินโม่เซี่ยเพ่งมองไปรอบๆด้วยดวงตาที่เบิกกว้าเป็นเวลานาน ขณะที่กำลังเชื่อว่าเขาอยู่ในความฝัน และทันใดนั้นก็หยิกขาตัวเอง แม้ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บจากการหยิก ก็ดูเหมือนว่าเขายังคงตกตะลึงอยู่กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ….


ร่างของข้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ?


เป็นเวลานานที่เขายังไม่เชื่อในส่ิงที่ตาเขาเห็น และหยิกตัวเองอยู่หลายครั้ง เขาหยิกตัวเองแรงมากจนดูเหมือนว่าเขาจะฉีกเนื้อตัวเองออกมา แต่ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็ทำให้เขาได้รู้ว่า 


 เจ็บจริงๆ ! ดูเหมือนว่าร่างของเขาเข้ามาอยู่ในเจดีย์หงษ์วินจริงๆ !


นั่นหมายความว่าข้าจะเข้ามาที่ในได้ตลอดเวลาที่ข้าต้องการอย่างนั้นหรือ ? จวินโม่เซี่ยยังคงรู้สึกมึนงง ราวกับสวรรค์ได้โยนพายเนื้อลงมาใส่หัวของเขา และเขาไม่มีที่ให้หลบเลย


อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นายน้อยจวินยังคงรู้สึกมีความสุขอย่างแปลกประหลาด !


เขาไม่ได้พบความสุขในที่ร่ม หรือภายในน้ำพุที่สุกไสว แต่แค่ในเจดีย์หงษ์จวิน …


เขา เขา …


“ เลือดกลายเป็นข้อพิสูจน์ ปัญญาของจิตวิญญาณจะเป็นเครื่องป้องกัน และจิตวิญญาณจะเปลี่ยนเป็นความแข็งแกร่ง เปลวแห่งปฐมภูมิ ทำให้ทุกอย่างนี้ดำเนินไปในโลก เตาแห่งโชคลาภ กลายเป็นผู้สร้างที่สุดวิเศษ ! ”


คำเหล่านี้เกิดขึ้นในหัวของจวินโม่เซี่ยในทันที นายน้อยจวินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านี่คือร่างของเขา เตาแห่งโชคลาภที่ดูโบราณ และเปลวแห่งปฐมภูมินี้เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนไม่อาจแยกจากกันได้


จวินโม่เซี่ยเดินไปสองก้าว และเอนตัวไปหาหนังสือสีทอง


ในตอนที่มือของเขาสัมผัสกับมัน หนังสือได้เพิ่มจำนวนขึ้นมามากมาย ล้อมรอบเตาแห่งโชคลาภ และหายเข้าไปในพื้นที่ระหว่างคิ้วของจวินโม่เซี่ย เหมือนกัน รูปภาพและข้อความก่อนหน้านี้


ตำหรับยา แผนโบราณ !


คำที่ดูโบราณนั้นหมุนไปรอบๆความคิดของจวินโม่เซี่ยอยู่สักครู่ และจากนั้นก็ถูกแทนทีด้วยตัวอักษรและรูปภาพมามายที่บรรยายถึงวิธีการเล่นแร่แปรธาตุที่ใช้ในการปรุงยามากมาย นอกจกานี้ยังมีขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างส่วนประกอบของวัตถุดิบ เมื่อเคล็ดต่างๆหมุนวนอยู่รอบหัวของเขาอีก พวกมันก็เปลี่ยนเป็นคำสองคำแรกอีกครั้ง


“ ข้าเข้าใจ ”


จวินโม่เซี่ยพึมพัมสองคำนี้ในขณะที่เขาอ่านหัวอักษรที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขา


ตอนนี้ข้าเข้าใจจริงๆแล้ว !


หัวใจของมือสังหารกระโดดโลดเต้นด้ยความตื่นเต้น แต่ความสงบของมือสังหารได้บังคับความตื่นเต้นในหัวใจของเขา และทำให้ตัวเองสงบลง ในเวลาเดียวกัน เขาตระหนักได้ถึงบางอย่างที่น่าประหลาดใจและน่าปลื้มใจอย่างมาก ปราณที่เคลื่อนที่อยู่ในเส้นลมปราณของเขา ได้เปลี่ยนสีไปให้เมือนกับสีของปราณจากเจดีย์หงษ์จวิน และตอนนี้ มันค่อยๆเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณของเขาด้วยท่าทีที่เหมือนกับหมอกควัน !


กระบวนการเช่นนี้ช่างน่าอัศจรรย์ !


แน่นอนว่า เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์นั้นต้องการในสิ่งที่ยาก แต่เมื่อข้าฝึกฝนและชำนาญในเคล็ดนั้น มันก็จะมอบรางวัลที่ดีกลับคืนมา !


จวินโม่เซี่ยประมาณเอาว่า ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้อยู่ในขั้นเชีวยนทองสูงสุด เขาได้พัฒนาจาก เชวียนเงินสูงสุดไปยังเชวียนทองก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้มันคงที่อยู่ในขั้นเชวียนทอง และก้าวล้ำขึ้นไปยังขั้นสูงสุด !


และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงหกวินาที !


จะต้องบอกว่า จวินโม่เซี่ยเพิ่งมาถึงโลกนี้เมื่อสองเดือนก่อนเท่านั้น !


เขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นปัญหาอย่างมากในโลกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องมาอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าขอทาน !


สกุลและชีวิตของเขา ประสบปัญหาที่ร้ายแรง !


ความแข็งแกร่งของร่างกายของเขาเปรียบได้กับมดในโลกนี้ !


หากจวินโม่เซี่ยคนเดิมยังอยู่ในโลกนี้ เขาคงจะยอมแพ้ต่อจุดจบของเขาไปอย่างง่ายดาย


ความจริง หากไม่มีความช่วยเหลือจากเจดีย์หงษ์จวิน ตอนนี้จวินโม่เซี่ยคนใหม่ก็คงจะตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ! เขาเชื่อใจในความลึกลับที่นำพาเขาจากสถานการณ์ที่อันตรายไปยังความปลอดภัยเสมอ !


แต่กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความแข็งแกร่งของเขาก็ก้าวหน้าไปไม่เพียงพอ !


ความแข็งแกร่งของร่างกายของเขานั้นไปถึงขั้นเชวียนเงินสูวสุดเมือสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ! อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งระดับเชวียนเงินนั้นก็ยังไม่มากพอที่จะอยู่อย่างปลอดภัยในโลกนี้


อาจจะบอกได้ว่า ในจุดนั้นชีวิตของเขายังอยู่ในอันตราย และเขาก็ยังยับยั้งมันได้ในกรณีที่สถานการณ์เปลี่ยนไปจากความตั้งใจของเขา !


ดังนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เขาได้รับเคล็ดอิสระหยินหยาง และนายน้อยจวินก็ได้ค้นพบเส้นทางที่จะใช้ปกป้องชีวิตของเขาได้ ! ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดนี้ทำให้เขามีวิธีที่จะปกป้องตัวเองเมื่อมีอันตรายได้ !


แต่กระนั้น มั้นก็ยังคงไม่เพียงพอ ! มันไม่ใช่นิสัยของจวินโม่เซี่ยที่จะรีรอ ! ดังนั้น เขาจึงต้องการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่ง และเอาออกมาใช้ได้ในยามที่เขาต้องการ !


จวินโม่เซี่ยไม่เคยเป็นหนี้บุณคุณผู้ใด ไม่เคยขอให้ใครช่วย หรือปล่อยให้ใครรังแกเขา ด้วยนิสัยเช่นนี้ ! 


 หากเจ้าขโมยจากข้า ข้าก็จะเอาคืนเจ้า หากเจ้าทำให้ข้าขายหน้า ข้าจะทำให้เจ้าต้องอับอายกว่าเป็นร้อยเท่า หากเจ้าทำให้สกุลของข้าต้องเจ็บปวด ข้าจะสังหารคนในสกุลของเจ้าทั้งหมด และหากเจ้าหลอกลวงข้า ข้าจะจดจำมันไปชั่วนิรันด์


การทรยศคือสิ่งที่ไม่อาจจะทนได้ !


การทรยศเป็นปิศาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในสายตาของจวินโม่เซี่ย !


แม้ว่าร่มเงานั้นจะไม่เท่ากับขนาดของโลก แต่นี่คือสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงเขาเข้ากับระดับคุณธรรมของสกุล !


หากเจ้ากล้าที่จะทำอันตรายข้าแม้เพียงเส้นผม ข้าจะตัดแขนเจ้า ! และใครก็ตามที่กล้าทำร้ายข้า ข้าจะทำลายสกุลของมันทั้งสุดล !


ไม่สำคัญว่าเป็นใคร ! พวกเขาจะได้รับการปฏบัติเช่นเดียวกัน !


อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งตามสถานภาพนั้นมิใช่ทุกสิ่ง ความแข็งแกร่งทางร่างกายนั้นจะตัดสินทุกอย่างในตอนท้าย หากผู้ใดแข็งแกร่งเพียงแค่สถานภาพ ผู้นั้นก็จะได้พบกับเส้นทางไปสู้หายนะ !


ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงมองหาทางที่จะเปิดชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวินให้เร็วที่สุดตราบเท่าที่เป็นไปได้ และจากนั้นก็ชั้น สาม สี่ และ …. ชั้นที่เก้า !


เขารู้ว่าเจดีย์หงษ์จวินนั้นเป็นการสนับสนุนเดียวที่เขามีอยู่ในโลกใบนี้ !


ประโยชน์ของอำนาจเงินนั้นสามารถหายไปได้ราวกับหมอกควัน แม้แต่สกุลของเขาก็อาจจะไม่มั่นใจได้ว่า ที่พวกเขาอยู่รอดในตอนนี้ได้เพราะอำนาจเงินเพียงอย่างเดียว


อย่างแรก ปัญหาที่ยืดเยื้อกับเมืองพายุหิมะขาวนับสิบปี และตอนนี้ก็มีปัยหาของคฤหัสน์ฉือฮั่น ที่ทำให้น้ายน้อยจวินต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ! ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละสกุลในเมืองเทียนเชียงก็ไล่หลังมาทุกวัน ในขณะที่การแย่งชิงอำนาจเริ่มต้นขึ้น ซึ่งทำให้สถานการณ์ของเขาเป็นอันตรายมากขึ้น !


ไม่มีใครรู้ถึงแรงกดดันที่จวินโม่เซี่ยรู้สึก แม้ว่าเขาจะไม่เคยแสดงมันออกมา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงมัน


แต่แล้ว ในตอนนี้เขาได้เปิดชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวินได้แล้ว แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขายังคงต้อยต่ำ แต่สุดท้ายเขาก็ได้พบข้อได้ปรียบที่เป็นจริง !


เขารู้ว่าแค่เพียงความแข็งแกร่งระดับเชวียนทองของเขานั้นยังไม่เพียงพอ ! ความจริงแล้ว มันห่างไกลจากคำว่าเพียงพอนัก ! อย่างไรก็ตาม ! ….


ด้วยการช่วยเหลือจากเตาแห่งโชคลาภ และตำรายาแผนโบราณ ตอนนี้จวินโม่เซี่ยจึงสามารถสร้างทหารที่ไว้ใจได้และซื้อสัตย์ของสกุลได้ภายในระยะเวลาไม่นาน


ยิ่งไปกว่านั้น มันยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาได้อย่างรวดเร็ว !


แล้ว เมื่อเวลามาถึง จวินโม่เซี่ยก็จะสามารถเปิดเผยเขี้ยวเล็บของเขาให้ทั้งโลกได้เห็น !


ทันใดนั้นจวินโม่เซี่ยก็ได้เห็นลมลอยตัวขึ้นตรงหน้าของเขา


เหล่ามหาอำนาจของโลกนี้ ในที่สุด ข้า จวินโม่เซี่ยก็ได้พบกับสิ่งสำคัญที่ใช้เผชิยหน้ากับเจ้าได้ !


ทันใดนนั้น นายน้อยจวินก็พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในพื้นสีดำ ดูเหมือนว่าจะไม่รู้เลยว่าเขาออกมาจากเจดียืหงษ์จวินเมื่อใหร่ ขณะที่ความคิดที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและไฮเฉินเฟิงมุ่งหน้าไปที่บ้านของเขาเกิดขึ้นในหัว เขาก็พบว่ามันคือสถานการณ์ฉุกเฉิน และรีบออกมาจากใต้ดิน


แสดงแดด !


ดูเหมือนว่าจวินโม่เซี่ยจะยืนอยู่บนพื้นไม่ไหว ขณะที่เขาหรี่ตาเพราะแสงแดด


ความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าไปอย่างมากภายในเวลาอันสั้น ! มันจึงเป็นปกติที่เขาจะตื่นเต้นอย่างมาก ในความจริงเขารู้สึกพึงพอใจ ราวกับขอทานที่ถูกรางวัล ! แม้จะรู้ว่าเขาจะต้องเก็บมันเป็นความลับ หัวใจของเขาก็ยังปราถนาที่จะโอ้อวดความแข็งแกร่งใหม่นี้สักเล็กน้อย และทำให้เขาอดที่จะรวบรวมพลังของเขาไม่ได้


ในขณะที่เขาตื่นเต้น นายน้อยจวินไม่รู้เลยว่าตรงที่เขายืนอยู่ในตอนนี้นั้นเคยเป็นป่ามาก่อน …


“ อ้า !!!! …. ”


เสียงกรีดร้องแหวกผ่านอากาศมา และตามมาด้วยเสียงสาปแช่งด้วยความโกรธและไม่พอใจ


“ คนเลว ! เขากล้า … กลางแจ้ง …. ”


จวินโม่เซี่ยหันไปและรู้ว่ามีสองคนยืนอยู่ห่างจากเขาไปราวสิบเมตร ชายหนุมและหญิงสาว ผมของหญิงสาวประบ่า และยาวลงมาตามชุดสีขาวของนาง นางมีรูปร่างที่งดงาม และกำลังจะหันไปในขณะที่นางกระทืบเท้าไปด้วย ดูเหมือนว่ามือของนางจะยกขึ้นมาปิดตา


คนที่ยืนถัดจากนางคือชายหนุ่มที่หล่อเหลา แต่จมูกที่โค้งงอราวกับอินทรีย์ และสีหน้าที่มีอารมณ์ของเขา แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นอารมณ์ไม่ดีในตอนนี้ มือซ้าของขาชี้มาที่จวินโม่เซี่ย ในขณะที่มือขวาของเขาควานหาด้ามกระบี่


“ เจ้าเจ้ากล้าที่จะมาทำเช่นนี้อย่างโจ่งแจ้ง ! นายน้อยผู้นี้มิอาจจะอดทนได้ ! ข้าจะไปสั่งสอนเจ้า ! ”


“ สั่งสอนอะไร ? ข้าไม่เข้าใจ ? ”


จวินโม่เซี่ยอดที่จะสงสัยไม่ได้


สองคนนี้มีจิตใจไม่ปกติหรือย่างไร ? ข้ากำลังยืนอยู่จรงนี้ และเจ้าก็มาสาปแช่งข้า ? เจ้าจะมาตัดสินว่าข้านั้นอันธพาลจากรูปลักษณ์ภายนอกของข้าไม่ได้นะ ? เจ้ามาหาเรื่องทะเลาะวิวาทสินะ !


ยากมากที่จวินโม่เซี่ยจะใส่ใจคำพูดของคนอื่น แต่ก็พบว่าตัวเขาเองเดินไปข้างหน้า


หญิงสาวแอบากงนิ้วของนางออกเพื่อแอบมองจวินโม่เซี่ย และรุ้เพียงแต่ว่าเขากำลังเดินเข้ามาใกล้ๆนาง และอดที่จะรู้สึกเขิลอายและโกรธไปในเวลาเดียวกันไม่ได้ ดังนั้นนางจึงร้องออกมาด้วยความกังวล


“ เจ้า เจ้า เจ้า มันคนไร้ยางอาย … อย่าเข้ามาใกล้ข้า ! ข้านั้นทรงอำนาจ … อย่ามาใกล้ข้านะ …. ”


น้ำเสียงของนางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ! เนื่องจากนางได้เห็นผู้ชายแก้ผ้าเป็นครั้งแรก ทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ภายใน และแม้ว่านางจะรู้ว่านางมองไปที่เขาไม่ได้ แต่ก็อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ และพบว่าตัวเองแอบมองชายแก้ผ้าที่อยู่ตรงหน้านางผ่านช่องเล็กระหว่างนิ้วของนางอยู่ ….


Translate by iHaveNoName

 

 

 


ตอนที่ 209

 

นายน้อยจวินงุนงงเล็กน้อย 


 สำหรับสิ่งที่เขาคิด 


 ข้าดูน่ากลัวเช่นนั้นจริงๆหรือ ? ข้าหมายถึงข้าแค่มองไปยังหญิงผู้นี้ แล้วนางมองมาราวกับว่านางจะร้องตลอดเวลา !


ทั้งสองห่างกันไม่มากนัก และเพียงแค่ก้าวสั้นๆของนายน้อยจวินก็ทำให้พวกเขาเข้าใกล้กันมากขึ้น !


“ หยานเมิง อย่าได้กังวลไป ข้าจะตัดหัวเจ้าชั่วไร้ยางอายนี่ด้วยกระบี่ของข้า ! ”


ชายหนุ่มยิ้มขณะที่เขากล่าวออกมาอย่างมั่นใจ จากนั้นค่อยๆเข้าไปใกล้จวินโม่เซี่ย พร้อมที่จะชักกระบี่ออกมา และตะโกน


“ เจ้าชั่วไร้ยางอาย หากก้าวไปอีกเจ้าจะต้องตาย ! ”


ขณะที่มองไปยังกระบี่ที่เปล่งประกายของเขามันทำให้จวินโม่เซี่ยหม่นหมอง และด้วยคำพูดของเขานั้นทำให้เขาโมโหมากขึ้น 


 และข้าไร้ยางอายอย่างไรกัน ? เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้กลั่นแกล้งข้ามิใช่หรือ ?


เจ้าอาจจะชอบกลั่นแกล้งผู้คน แต่วันนี้เจ้านั้นกลั่นแกล้งผิดคนแล้ว !


เจ้าไม่สามารถที่จะปกป้องตัวเองได้เลย ! และเจ้ายังจะบอกหญิงผู้นั้นว่าเจ้าจะสังหารคนแปลกหน้าสวมหน้ากากเพื่อนาง ? แม่ของเจ้าให้กำเนิดคนเลวระยำจริงๆ ! แม่งเอ้ย ข้าจะแสดงให้เจ้าดู เจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต !


ความรู้สึกตื่นเต้นที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกโมโห ดังนั้นเขาจึงก้าวยาวๆไปสองก้าว รู้สึกว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อสั่งสอนเด็กหนุ่มที่หยิ่งทะนงนี้


ขณะที่เขาเดินตรงไป เขาก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆที่พัดผ่านร่างกายของขาาในทันที และก้มลงไปมองพร้อมกับตกอยู่ในช่วงเวลาที่ประหลาดใจ !


“ เจ้านี่มันชั่วจริงๆ ! ”


นายน้อยจวินตะโกนกลับไป ขณะที่เขาปิดโม่เซี่ยน้อยเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง


ในที่สุดเขาจึงรู้ว่าเขานั้นกำลังเปลือยเปล่า !


เห็นได้ชัดว่ามันช่างน่าอายมากกว่าการวิ่งแก้ผ้ากลับบ้านไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร !


ก่อนหน้านี้ ร่างของเขานั้นเกิดการเผาไหม้ ในขณะที่เขาได้รับการขัดเกลาด้วยเปลวแห่งปฐมภูมิ และแม้ว่าร่างของเขาจะได้รับผลดีมากมายโดยไม่ได้มีบาดแผลพุพองใดๆ แต่ในตอนนี้เสื้อผ้าของเขาได้กลายเป็นเถ้าถ่านไป


อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ร่างของจวินโม่เซี่ยนั้นอยู่ใต้ดิน ในขณะที่จิตของเขาอยู่ในเจดีย์หงษ์จวิน ซึ่งเป็นเหตุให้เขาไม่รู้ถึงสิ่งนี้ เขาไม่รู้ว่าในตอนที่เขาหยิกร่างตัวเองเนื่องจากงุงงงอยู่กับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และลืมทุกอย่างไปเลยเพราะเรื่องนี้


หลังจากที่ออกมาจากเจดีย์หงษ์จวิน นายน้อยจวินยังคงตื่นเต้นเมื่อได้รู้ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นได้ก้าวหน้าไปไกลจนทำให้เขาไม่ได้สังเกตุมันเลย และไม่นานเขาก็พบว่าตัวเองถูกสาปแช่ง และรังแกโดยคนแปลกหน้า …


ระหว่างนี้ มันก็เปลี่ยนจากความรู้สึกของ วีรบุรุษเป็นคนชั่วไปในทันที จวินโม่เซี่ยไม่รู้เลยว่าเขานั้นยืนอยู่อย่างเปลือยเปล่า …


“ เจ้า เจ้า เจ้า เจ้ามันคนไร้ยางอายที่ล้อเลียนคำพูดของผู้อื่น ! ”


หญิงสาวยังคงกระทืบเท้าต่อไปในขณะที่นางปิดตา


“ เจ้ามันคนชั่ว และเจ้ายังกล้ามากล่าวหาผู้อื่นว่าชั่ว … เจ้ามันไร้ยางอายที่สุด ! ”


แม้ว่านายน้อยจวินจะปิดปังโม่เซี่ยน้อยด้วยมือข้างหนึ่ง แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงถึงสัญญาณแห่งความลำบากใจขณะที่เขาโต้เถียงกลับไปด้วยถ้อยคำเสียดสี


“ ไม่มีเรื่องเลวทรามสำหรับคนที่วิ่งไปทั่วพร้อมกับเปลือยเปล่า พวกเราเกิดมาอย่างเปลือยเปล่า และพวกเราตายไปอย่างเปลือยเปล่า พ่อแม่พวกเราเปลือยในตอนที่พวกเขาทำเราขึ้นมา แล้วเหตุใดผู้คนถึงเรียกมันว่าเลวทราม ? อย่างไรก็ตาม ดวงตาที่มองสิ่งเช่นนี้จากระหว่างช่องว่างของนิ้วและตะโกนออกมาว่าชั่วช้า นั้นละคือความต่ำช้าที่น่ารำคาญที่สุดในโลกนี้ ! ”


“ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาดูข้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงจ้องมองมาที่ข้า ? เจ้าดูหมิ่นความสริสุทธิ์ของข้า ! เจ้ามันเป็นขโมยที่ตะโกนว่าขโมย และเจ้ายังกล้ามาเรียกข้าว่าเป็นคนชั่วช้าอีกงั้นหรือ ? เจ้านี่ช่างไร้เหตุผลเสียจริง ! ”


จวินโม่เซี่ยเปลี่ยนคำพูดของเขาเพื่อเปลี่ยนความถูกผิดอย่างไร้สาระที่สุดด้วยความไร้ยางอาย


“ เจ้าหญิงสาว ที่ชั่วช้าจริงๆ ! ”


นายน้อยจวินสนับสนุนเหตุผลที่แปลกประหลาดของ้ขาด้วยน้ำเสียงเดียวกับหญิงสาว ดูเหมือนจะล้อเลียนนาง และยกระดับมาตรฐานของเขาใหม่และไร้ยางอายอย่างเทียบไม่ได้ !


“ เจ้า เจ้า เจ้า …. เซี่ยวเฟิงวู เร็วเข้า สังหารคนชั่วช้าผู้นี้ซะ เขาดูถูกข้า ! ”


หญิงสาวตะโกนออกไปขณะที่นางกระทืบเท้าลงไปบนพื้นอีกครั้ง


“ เขากล้ามาสั่งสอนข้า และกล้าที่จะมาเรียกข้าว่าคนชั่วช้า หลังจาก …. ”


“ ชื่อสกุลของเจ้าคือ เซี่ยว ? ”


จวินโม่เซี่ยกรอกตา


“ ข้าเกลียดชื่อสกุลเซี่ยว ! จากประสบการณ์ข้า ไม่มีอะไรดีเลยที่มาจากชื่อสกุลนั้น ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่เด็กผู้หยิ่งทะนงจากสกุลที่น่าเกลียดนี้กระทำตัวชั่วช้าเช่นนี้ ! ”


ขณะที่คิดถึงความเจ็บปวดและความทุกข์ยากที่เมืองพายุหิมะขาวทำกับน้าของเขา มันจึงชัดเจนว่าจวินโม่เซี่ยจึงอ่อนไหวอย่างมากกับชื่อสกุลนั้น !


ชายหนุ่มนามว่าเซี่ยวเฟิงวูโมโหขึ้นมาในทันที และตะโกน


“ เจ้าชั่วไร้ยางอาย เจ้ากล้าหยาบคายต่อสุกลของข้า ? ข้าจะเอาชีวิตเจ้า ! ”


เขายกกระบี่ขึ้น ขณะที่แสงสีทองเปล่งประกายขึ้นมาจากร่างของเขา !


นายน้อยผู้นี้ได้บรรลุไปถึงขั้นเชวียนทองแล้ว ! ด้วยอายุของเขา ความสามารถเช่นนี้เทียบได้กับลี่โย่วหลานเป็นอย่างน้อย !


ความแข็งแกร่งเช่นนี้อาจจะเป็นเหตุของปัญหาเล็กๆสำหรับนายน้อยจวินเมื่อเดือนก่อน แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาไปมาก เขาจึงไม่สนใจในการคุกคามของฝ่ายตรงข้าม !


ในตอนที่เซี่ยวเฟิงวูยกกระบี่ขึ้น ร่างที่เปลือยเปล่าตรงหน้าของเขาหายไปในทันที และตามมาด้วยเสียงลมเย็นๆ และไม่นานเขาก็พบว่ามีมือเย็นๆมาตบหน้าของเขา ในขณะเดียวกันกับที่ระหว่างขาของเขาสัมผัสถึงเท้าที่ทรงพลัง ส่วนบนของร่างกายของชายผู้นั้นโค้งลง ราวกับก้อง ในขณะที่กระบี่ร่วงลงมาด้านข้างของเขา


แควก แควก เสียงที่ดังขึ้นมา ในขณะที่เสื้อผ้าของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แม้ว่าเซี่ยวเฟิงวูจะไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาก็ยัง ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ และการเตะของนายจวินทำให้ตับและกระเพราะปัสสาวะของเขาได้รับบาดเจ็บ ชายผู้นั้นตีลังกาสามตลบก่อนที่จะร่วงลงไปบนพื้น แต่ใบหน้าของเขายังคงมองไปยังร่างเปลือยเปล่าที่อยู่ตรงหน้า


เขามองไปยังชายที่เปลื่อนเปล่าและไร้ยางอายกำเศษเสื้อผ้าที่ฉีกไปจากชุดของเขา และมัดเป็นปมๆอย่างไม่รีบร้อน และจากนั้นเขากระโดดไปมาสองครั้งในขณะที่บิดก้นเพื่อมองหาว่ามีส่วนใหนของร่างกายที่ยังคงมองเห็นอยู่หรือไม่ จากนั้นเขาหันหน้ากลับมาอีกครั้ง


ส่วนบนของเขายังคงเปลือยเปล่า ในขณะที่ขาเรียวยาวของเขายังคงเผยให้เห็นได้ ขณะที่ผ้านั้นปกคลุมอยู่แค่ไหล่ และยาวลงมาถึงเอว ทำให้ชุดของเขาดูหลวม และยังคงมีเสน่ห์ชวนมอง ตามมาตรฐานของโลกใบนี้ !


ภาพลักษณ์ของชายผู้นี้เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ แม้ว่าริมฝีปากบางๆ และคิ้วที่ลาดเอียงของเขา และรอยยิ้มจางๆก็มากพอที่จะสร้างความกลัวในหัวใจของทุกคนได้ ผู้คนอดที่จะหลงไหลในสไตล์ของเขาไม่ได้


เขาเผยตัวออกมาในช่วงที่น่าอับอายเช่นนี้ แต่นายน้อยจวินก็ไม่มีสีหน้าที่เขินอายเลยแม้แต่น้อย ! นี่พิสูจน์ให้เห็นว่า ความไร้ยางอายของเขานั้นล้ำหน้าเกินไปกว่าเมื่อก่อนมาก !


หญิงสาว ผู้ที่ยืนอยู่ห่างออกไปลืมที่จะเอามือปิดตาตัวเองในตอนที่เหตุกรณ์เปลี่ยนไป และตอนนี้กำลังมองจวินโม่เซี่ยพร้อมกับปากสีชมพูของนางที่เปิดกว้าง ไม่เคยคิดฝันว่าเพื่อนของนาง ยอดฝีมือเชีวยนทอง ผู้ที่มีความสามารถที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ในรุ่นเดียวกันถูกพิชิดด้วยชายผู้ที่ไร้ยางอายเช่นนี้ !


แม้ว่าใบหน้าของชายผู้นี้จะปกคลุมไปด้วยโคลน ซึ่งทำให้ยากที่จะระบุตัวตนของเขา แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นยังเด็ก และในความจริงที่ว่าอาจจะเด็กกว่าเพื่อนของนาง


เหตุใดเขาถึงทรงพลังเช่นนี้ ?


“ เจ้าชื่ออะไร และเจ้ามาจากใหน ? เจ้ามาถึงเมืองเทียนเชียง และยังกล้าที่จะมาราวีข้า เจ้าพยายามท่จะขุดหลุมศพตัวเองหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยก้าวสั้นๆไปข้างหน้าเนื่องจาชุดของเขานั้นทำให้เขาก้าวๆยาวๆไม่ได้


“ เจ้าต้องการจะสั่งสอนข้า และสังหารข้าจริงๆหรือ ? ดีละ เข้าใจนี่ด้วย ที่เจ้ายังมีชีวิตรอดนั้นต้องขอบคุณความดีของข้า มิเช่นนั้นข้าจะตัดเจ้าเป็นชิ้นๆและส่งไปให้ยายของเจ้าถึงหน้าบ้าน ? ”


จวินโม่เซี่ยสถบ และจากนั้นเขาหันหลังและจากไปเรื่องจากเขาไม่ต้องการจะพูดอะไรไปมากกว่านี้


“ ทำไมเจ้าช่างกล้า ? อย่าให้ข้าเห็นเจ้าในเมืองพายุหิมะขาว มิเช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้ ! ”


เซี่ยวเฟิงวูร้องออกมา พร้อมกับแววตาที่มุ่งร้ายและจิตที่อาฆาตร


“ เด็กน้อย เจ้าจงภาวนาว่าข้าจะไม่ต้องเจอเจ้าอีก ! ข้าจะสังหารหมู่สกุลของเจ้า ! หากข้าไม่ทำให้พวกเขาหนีออกจากบ้าน และจ้าจะสังหารพวกเขาดั่งเช่นหมา แล้วข้าก็มิใช่เซี่ยว ! ”


จวินโม่เซี่ยกำลังจะจากไปในขณะที่เท้าของเขาหยุดกลางคัน แววตาของเขาเยือกเย็นราวกับเหล็ก และเขาหันมองไปยังเซี่ยวเฟิงวู


“ เมืองพายุหิมะขาว ? เจ้ามาจากสกุลเซี่ยวแห่งเมืองพายุหิมะขาว ? ”


น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น และหม่นหมองอย่างมาก


“ ใช่ ถูกแล้ว !”


เซี่ยวเฟิงวูตะเกียจตะกายขณะที่เขาพยายามที่จะยืนขึ้น และยิ้มอย่างชั่วร้าย


“ ตอนนี้เจ้ากลัวแล้วหรือ ? ดีละ มันสายไปแล้ว ! ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าและสกุลของเจ้าจะคุกเข่าและอ้อนวอนขออภัยข้า ข้าจะสังหารหมู่สกุลของเจ้าต่องหน้าเจ้า ! ”


“ ดีมาก ! นั่นดีมาก ! ”


จวินโม่เซี่ยพยักหน้าอย่างช้าๆ ใบหน้าของเขาบึ้งตึงแต่ไม่ได้โกรธ 


เนื่องจากนั่นคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความหยิ่งยะโสของเจ้า และข้าก็ไม่ได้เป็นหลานของน้าหากข้าไม่ลงโทษเจ้า !


เจ้าจะต้องไม่อะไรพูดเช่นนั้น !


“ คุกเข่าต่อหน้าข้า ! ”


เซี่ยวเฟิงวูนั้นคิดว่าชายผู้นี้จะอ่อนข้อลง และเขาจะได้มีโอกาสที่จะรักษาหน้าตัวเอง ดังนั้นเขาถึงสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของเขาไม่ได้ !


“ คุกเข่าต่อหน้าข้า พ่องสิ ! ”


จวินโม่เซี่ยเดินไปข้างหน้าและตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขาอย่างรุนแรงในทันที มันส่งให้เขาลอยไปข้างหลังสองสามก้าว และมีเลือดกระจายออกมาจากปาก


จวินโม่เซี่ยเดินตามเขาไป และต่อยเข้าไปที่ตาอของเขาสองครั้ง ทำให้มีรอยคล่ำเหมือนกับหมีแพนด้า


“ ข้าจะแสดงให้เจ้าดู ! ข้าจะแสดงให้เจ้าดู ! ข้าจะทำให้เจ้าพิการไร้ประโยชน์ ! เจ้าคิดว่าเมืองพายุหิมะขาวนั้นเป็นที่หนึ่งอย่างนั้นหรือ ? ”


“ เจ้าคุกคามข้า ! ”


ต่อย !


“ เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถรังแกข้าได้เพราะ แซ่ของเจ้าหรือ ! ”


เตะ !


“ เจ้าต้องการจะทำลายสกุลของข้า ! ”


ตุบ ตุบ ตุบ …


“ ข้าจะทำลายเจ้า ! ข้าแม่งจะทำลายเจ้า ! ข้าจะไม่แค่ทำร้ายเจ้า ! ข้าจะทำลายเจ้า ! ”


ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ …


“ เจ้าต้องการให้ข้าคุกเข่าและขออภัย ! ไม่ แม้ว่าจะเป็นย่าของเจ้า ! ”


ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ….


“ เจ้าชั่ว ! เจ้าชั่ว ! เจ้าชั่ว ! …. ”


จวินโม่เซี่ยคว้าผมของเขา และยกร่างอันสั่นเทาของเขาขึ้นแลสาปแช่ง


“ เจ้าชั่ว ! ”


และจากนั้นก็โยนเขาลงไปที่พื้นอีกครั้ง และทำเช่นนี้ซ้ำไปอีกหลายครั้ง และกระชากผมของเขาขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันยังคงทำให้หนังศรีษะของเขาเจ็บปวด และจากนั้นมองไปที่ใบหน้าของเขา และส่งร่างของเขาให้ลอยขึ้นไป และชายผู้นั้นร่วงลงมาบนพื้อีกหลายเมตรถัดไป อย่าสิ้นสติ และไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย


จวินโม่เซี่ยยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น และเหาะตามชายผู้นั้นไปอีกครั้ง และเริ่มโจมตีไปยังร่างกายของเขาอีก แแม้ในขณะที่ร่างของชายผู้นั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง


ชายรู้สึกตัวขึ้นมาหลายครั้ง แต่เขานั้นไม่สามารถที่จะตอบโต้กลับไปได้ เนื่องจากร่างกายของเขาไม่รับคำสั่งแล้ว เนื่องจากความเจ็บปวด …


ชายผู้นั้นนอนแผ่อยู่บนพื้น และชายผู้ที่เกือบจะเปลือยเปล่ายืนอยู่เหนือตัวของเขา และโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง ….


“ อ่าา ….. ”


หญิงสาวไม่สามารถที่จะกระพริบตาหรือเข้าใจได้เลยในตอนนี้ว่าทำไมเพื่อนของนางถึงกลายมาเป็นกระสอบทรายไปได้ตอนนี้ …


ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มันทำให้นางเวียนหัว สมองของญิงสาวนั้นไม่สามารถที่จะคิดทบทวน หรือเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ หรือนางไม่สามารถที่จะติดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไปได้


“ เจ้าชื่ออะไร ! ”


จวินโม่เซี่ยมองไปที่นางอย่างดุร้าย ขณะที่หอบหายใจ และชี้ไปที่นางอย่างฉุนเฉียวพร้อมกับตะโกนด้วยเสียงที่แหบห้าว


“ แม่ง บอกข้ามา หรือไม่เจ้าก็ตาย ! ”


หญิงสาวเกือบจะร้องไห้ขณะที่นางพยายามที่จะอ้าปากที่สั่นเทา ในขณะที่สีหน้าของนางซีดเผือกลงด้วยความกลัว


“ …. ข้า ? ”


Translate by iHaveNoName

 

 

 


ตอนที่ 210

 

“ เจ้าเป็นผีรึ ? ”


จวินโม่เซี่ยไม่มีวี่แววที่จะผ่อนปรณ และเพ่งมองไปที่นางด้วยความดุร้ายขณะที่ถามอีกครั้ง


“ เจ้าชื่ออะไร ? ”


“ ข้า … ข้า … ข้ามีนามว่า ฮั่นหยาน …เมิง … ข้านั้นทรงอำนาจ … อย่าได้กล้ามาโจมตีข้า … ”


ดูเหมือนว่าหญิงสาวนั้นจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเนื่องจาก มันปรากฏออกมาได้ชัดเจนจากสีหน้าที่เคยเปล่งปลั่งของนางกลับกลายเป็นซีดเผือก


ตั้งแต่เกิด นางได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพเสมอไม่ว่านางจะไปที่ใด นางไม่เคยโดนคุกคามมาก่อนในชีวิต


ชายผู้นี้เป็นลูกผสมระหว่าง ความชั่วร้าย และ ความอันธพาล !


ดังนั้นมันจึงเป็นนิสัยของหญิงสาวที่จะต้องตกใจอย่างมากในตอนนี้ !


เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยคิดว่าการลอบออกมาจากหอมณีวิจิตรในเวลาว่างนั้นจะทำให้นางต้องมาประสบกับ อสูรเช่นนี้ ! หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวราวกับกลอง และความคิดถึงอันตรายมากมายที่อาจจะเกิดขึ้น นั้นอัดเน้นอยู่ในสมองของนาง น่างเริ่มตัวสั้นมากขึ้น และกลัวมากขึ้น …


“ ฮั่นหยานเมิง ? ”


จวินโม่เซี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออก


“ เจ้าเด็กผู้นี้มาจากสกุลในเมืองพายุหิมะใช่ไหม ? และเจ้ามาจากสกุลของฮั่นหยานเย่า ? ”


“ นาง .. นายคือพี่สาวของข้า .. อย่าได้กล้ามาโจมตีข้า พี่สาวข้ารักข้าที่สุด และนางก็ทรงอำนาจอย่างน่ากลัว … ”


ฮั่นหยานเมิงขู่ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา และดูเหมือนว่านางพยายามป้องกันไม่ให้ตัวเองโดนโจมตี …


จวินโม่เซี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออกในจุดนี้


ดั้งนั้น นี่คือหญิงของมูซื่อท้งผู้น่าหวาดกลัว ? นางคือคนที่เขาเรียกว่าองค์หญิงน้อยแห่งเมืองพายุหิมะขาว ? นั่นทำให้นางเป็นน้องสะใภ้ของน้าสามของข้า !


ดังนั้นหมายความว่า วันหนึ่งนางจะต้องมาเป็นพี่ของข้า … ฆ่าข้าเถอะ !


“ นี่คือสุนัขของเจ้าหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยชี้ไปยังเซี่ยวเฟิงวูที่มีท่าทางทุกข์ทรมาณขณะที่เขาถาม


“ ไม่ ไม่ ไม่ ”


ฮั่นหยานเมิงโบกมืออย่างประหม่า


“ ไม่ เขามิใช้สุนัขของข้า … ”


ฮั่นหยางเมิงยังไม่ทันพูดจบ ในตอนที่นายน้อยจวินขัดจังหวะนาง


“ เจ้าไม่เคยสั่งสอนเขาเลยหรือ เขามิใช่เพียงแค่หมา แต่เขาเป็นหมาป่า ! ”


หญิงสาวโบกมืออย่างรวดเร็วเพื่อปฏเสธ


“ เขามิใช่หมาป่าว … เขาเป็นคน เขาคือพี่ของข้า มีสกุลว่าเซี่ยว และเขา …. ”


“ เขาเป็นคน ? เข้าไม่คิดอย่างนั้น ! เขาเป็นสุนัข ! ”


จวินโม่เซี่ยขัดจังหวะหญิงสาวอีกครั้งขณะที่เขาเช็ดมือและเอาเลือดของเซี่ยวเฟิงวูออก


“ ข้าบอกว่าเขาเป็นสุนัข ก็หมายความว่าเขาเป็นสุนัข ! หมาป่าที่ไม่ได้รับการสั่งสอน ! เจ้าเข้าใจไหม ? ”


“ ไม่ เขา เขา เขามิใช่สุนัขจริงๆ เขา …. ”


หญิงสาวนั้นถูกสกุลตามใจมาโดดยตลอด และไม่เคยพบผู้ใดที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่านางไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร ทันใดนนั้นก็มีความคิดผุดขึ้นมาใสหัวของนาง


“ เจ้า เจ้า ดู เขา เขา เขา เข้าไม่มีหาง … สุนัขนั้นมีหาง ดังนั้นหมายความว่าเขานั้นคือคน … ”


จวินโม่เซี่ยต้องประหลาดใจอีกครั้ง ลังเลอยู่ชั่วครู่ และหัวเราะลั่น และพูดออกมาอย่างสุขุม


“ เจ้ายังไม่รู้ว่าตอนนี้ หางของเขาถูกตัดออกไปแล้ว พวกเขาจะทำให้เขาดูเหมือนคนมากกว่าหมายังไงละ ! ”


เขาต้องการจะใช้คำว่า จ้องดูสิ แต่ก็ตัดสินใจจะไม่ใช้ และทันใดนนั้นก็ค้นพบบางอย่างที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับคน


ข้าโจมตีเขาอย่างรุนแรง แต่เขาก็ยังหายใจอยู่ … หน้าอกของเขายังคงกระเพื่อม แม้แต่นิ้วของเขายังเคลื่อนไหว และดูเหมือนว่าเขาจะตื่นขึ้นมาได้ตลอดเวลา …


จวินโม่เซี่ยจึงคิดใหม่คิดครั้ง


การเพาะปลูกของเขานั้นมีขีดจำกัดมาก จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะสามารถอดทนต่อการโจมตที่รุนแรงเช่นนี้ได้ เกิดอะไรขึ้นกันนี่ ? ต้องมีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ !


เขามัดผ้าที่เอว ก้าวตรงไป ยืนอยู่ตรงหน้าของเซี่ยวเฟิงวู และเริ่มยืดตัวขึ้นพร้อมกับหน้าที่บึ่งตึง จากนั้นเขาหัวเราออกมาดังลั่น จากนั้นก็ฉีกเสื้อตรงหน้าอกออกเพื่อเผยให้เห็น เกราะอ่อน ที่มันเป็นเงาสีเงิน ที่เซี่ยวเฟิงวูใส่ไว้ที่หน้าอก จวินโม่เซี่ยคว้าเกราะนั้นไว้ด้วยมือ และออกแรงเล้กน้อยเพื่อเปิดมันออก แต่เกราะนั้นยังคงไม่ขยับขเยื้อน !


เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ !


จวินโม่เซี่ยวางตัวชายผู้นั้นคลอย่างรวดเร็ว และปลดเกราะอ่อนออกจากร่างของเขา เขาคว้ากระบี่ซึ่งวางอยู่บนพื้นขึ้นมา และแทงเกราะนั้นด้วยปลายกระบี่ แม้ว่ากระเกราะจะอ่อนอย่างมาก มันก็ยังสามารถป้องกันการเจาะของปลายกระบี่ได้ และแม้ว่าจะไม่ได้แทงโดยใช้แรงมาก เกราะก็ไม่มีร่องรอยเลยสักนิด


นี่จึงเป็นเหตุผลเดียวที่เซี่ยวเฟิงวูสามารถรอดจากการโจมตีนี้ไปได้เนื่องจากเขาสวมเกราะนี้เอาไว้ เซี่ยวเฟิงวูนอนสิ้นสติอยู่บนพื้น และไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ อย่างไรก็ตามจวินโม่เซี่ยก็ได้เข้าใจว่า แม้ว่าเขาจะโจมตีคนผู้นี้จนสิ้นสติแต่ก็ไม่สามารถที่จะสังหารชายผู้นี้ได้ตราบใดที่เขายังคงสวมเกราะนี้อยู่ !


ฮั่นหยานเมิงต้องการที่จะเข้ามาช่วยเพื่อนของเขา แต่ก็กลัวถึงความแข็งแกร่งของจวินโม่เซี่ย และกลัวว่าเขาจะตบหน้านางจนทำให้นางต้องลอยออกไป ดังนั้นนางจึงนั่งยองๆ เอามือปิดหน้า และร้องได้ออกมา


“ อะไรกัน ? ”


จวินโม่เซี่ยถามฮั่นหยานเมิง


เด็กนรกอะไรกัน ข้าละอย่างรู้จริงๆ


“ เกราะไหมหิมะ ”


ฮั่นหยานเมิงพูดพร้อมกับเปลือกตาที่สั่นเทา และเริ่มเพ่งมองไปที่เขาอีกครั้งพร้อมกับหัวใจที่เต็มไปด้วย


ความไม่พอใจ เขาช่างไร้ยางอาย ผิวของเขานั้นบอบบางราวกับของข้า และยังหน้าตาดีด้วย แต่เขาก็ยังไม่มียางอายเลยแม้แต่น้อย !


เขาช่างน่าอาย ! ผู้ใดสามารถคุกคามหญิงสาวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?


“ เกราะไหมหิมะ นี่เป็นของดี ดีมากๆ ”


จวินโม่เซี่ยมองไปยังเกราะนี้ด้วยความรักใคร่ ขณะที่เขาพลิกไปมา และจากนั้นก็ยกมันขึ้นลง


ฮั่นหยานเมิงแอบคิดอะไรบางอย่าง และพยายามที่จะปิดบังมันจากสีหน้าของนาง แต่มันไม่สามารถทำให้น้ำตาของนางหยุดไหลได้


เห็นได้ชัดว่า เกราะไหมหิมะนั้นเป็นสมบัติที่หายากในแผนดินใหญ่ แต่สามารถหาได้ทั่วไปในชนชั้นสูงของเมืองพายุหิมะ เกือบทุกคนมีเกราะเช่นนี้ นี่คือสมบัติที่มีเพียงแต่ในเมืองพายุหิมะขาว ความจริงแล้ว เมื่อพูดถึงสิ่งของล้ำค่า เกราะไหมหิมะนั้นไม่มีอะไรพิเศษสำหรับพวกเขาเนื่องจากพวกเขานั้นมีสิ่งของที่ดียิ่งกว่านี้อยู่ในคลังสมบัติ นายน้อยจวินจึงสามารถคิดและเดาได้อย่างรวดเร็วว่าชายผู้นี้อาจจะมีสมบัติล้ำค่าอย่างอีก


“ เขาเอาสมบัติล้ำค่าอะไรมาอีก ? ”


ตอนนี้จวินโม่เซี่ยไม่มองไปที่นางเลย แต่ตอนนี้สีหน้าของนางได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เด็กสาวนั้นไร้ประสบการณ์ในเรื่องการเจรจา และแม้ว่านางจะคิดอะไรบางอย่างได้ แต่การกระทำของนางก็ยังดึงดูดความสนใจของจวินโม่เซี่ย และเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านางมองมาที่เขาอย่างเหยียดหยาม


“ เกราะที่ดีที่สุดคือเกราะไหมเชวียน  และข้าก็มีมัน … ข้าไม่ได้ใส่มัน … ”


ฮั่นหยานเมิงตกใจเมื่อได้ว่างจวินโม่เซี่ยมองมาที่นางอย่างกระหายเลือด และหวาดกลัวในท่าทางของเขามากจนหัวใจอันไร้เดียนสาของนางเกือบจะหยุดเต้น และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะพูดออกไปว่านางไม่ได้ใส่มันมา


ข้าคิดว่าเจ้าคนเลวนี่จะต้องพยายามเอาเกราะของข้าได้ และอาจจะโจมตีข้า และเปลื้องผ้าข้าเพื่อเอาเกราะไหมเชวียน …


“ ไหมเชวียน ? ดีละ ฮี่ ฮี่ ฮี่ …. ”


จวินโม่เซี่ยมองไปที่นางด้วยจิดอาฆาตร และทำให้ความหวาดกลัวเกาะกุมฮั่นหยานเมิง และยกมือนางขึ้นมากลางอากาศในทันที


“ ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ว่าเจ้าใส่เกราะไหมเชวียนอยู่ แต่ข้าจะไม่ปล้นผู้หญิง ข้าต้องปรับปรุงในเรื่องนั้น ”


จวินโม่เซี่ยเพ่งมองไปที่นางขณะที่ความทุกข์ใจเพิ่มขึ้นมาในใจนาง 


 หากข้าสามารถที่จะจัดการกับสกุลเซี่ยว และจากนั้น น้าข้าและแม่นางฮั่นหยานเย่าที่รักได้พบกัน และพวกเขาลงเอยด้วยการแต่งงาน และเจ้าเด็กนี่กลายมาเป็นพี่ของข้า !


ข้าจะต้องเรียกเขาว่าน้า ? หรือ พี่สะใภ้ ?


โอ้ว นี่ช่างวุ่นวาย ! และเกราะไหมเชวียนนั้นอยู่ต่อหน้าของข้า และข้าไม่สามารถเอามันมาได้ … ยังไม่ได้ในตอนนี้ !


จวินโม่เซี่ยยื่นมือออกไปแล้วดึงแก้มของนางมา ทำให้ความกลัวของนางเพิ่มขึ้น และจากนั้นก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมาขณะที่เขาหันหลังและรีบไป


“ แม่นางฮั่น ฮี่ ฮี่ ข้าได้ยินว่าเจ้าเรียกเขาว่าพี่ อย่าเรียกเขาว่าพี่อีก ฮ่า ฮ่า … ”


ฮั่นหยานเมิงหายใจอย่างผ่อนคลายขณะที่นางเห็นว่า ปิศาจตนนั้นจากไปในที่สุด และสุดท้ายนางจึงสงบลง นางจับหน้าอกของนาง และถอนหายใจ แต่ไม่นานนางก็ย่นคิ้วเพราะว่านางนึกถึงคำสุดท้ายที่ปิศาจนั้นพูดขึ้นมาก่อนจะจากไปได้


“ ทำไมกัน ? มันชัดเจน ไม่ใช่หรือ ? เขามาจากสกุลเซี่ยว แล้วเหตุใดข้าถึงเรียกเขาเช่นนั้นไม่ได้ ? เข้าไม่เข้าใจจริงๆ ! จากคำพูดของชายผู้นี้ เขาจะต้องเป็นประเภทที่บ้าสงครามแน่ๆ ! แต่กระนั้น ตัวตนของเขาก็ไม่ธรรมดา ! ”


ฮั่นหยานเมิงเบิกตากว้างในขณะที่นางยังคงบ่นกับตัวเองด้วยความสับสน ในที่สุดนางก็สรุป


คนบ้า ไม่คิดเหมือนคนปกติทั่วไป ! ข้าไม่เคยเห็นคนบ้าเช่นนี้มาก่อน !


ในที่สุด ลมฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัดขึ้นมาอีกครั้ง และเนื่องจากการบาดเจ็บของเซี่ยวเฟิงวูนั้นรุนแรงอย่างมาก จึงไม่มีวี่แววที่เขาจะตื่นขึ้นมา ปล่อยให้ฮั่นหยานเมิงผู้ไร้ประสบการณ์ยืนอยู่ตามลำพัง ในขณะที่นางยืนอยู่ตามลำพัดพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ความกลัวในหัวใจนางก็เริ่มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในเวลานี้ 


 ในขณะที่ลมหนาวแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดมา ป่าเมเปิ้ลค่อยๆจางหายไป และเหล่าต้นไม่ค่อยๆกลายเป็นเถ้าถ่าน ดูเหมือนว่าป่านั้นไม่สามารถที่จะทนทานต่อลมหนาวได้


Translate by iHaveNoName


 

 

 


ตอนที่ 211

 

นายน้อยจวินใช้เคล็ดอิสระหยินหยาง และแอบเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้า ขโมยชุดมาใส่ แทนที่บนไม้แขวนนั้นด้วยชุดที่ทำจากเศษผ้าของเขา และหาทางกลับไปยังที่พำนักสกุลจวิน


นายน้อยจวินยังไม่มีผีมือมากพอที่จะใช้เคล็ดอิสระหยินหยางและกลับไปยังที่พักสกุลจวินภายในคราวเดียว ซึ่งเป็นเหตุให้การเดินทางกลับไปของเขานั้นจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง !


ในตอนนี้ ที่พำนักสกุลจวินอึกกระทึกไปด้วยความตื่นเต้น !


มันเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะอธิบาย ไม่เพียงแต่เหล่าพ่อบ้านวิ่งไปมาด้วยความตื่นเต้น แม้แต่ผู้อาวุโสจวินก็ยังวิ่งไปมาด้วย !


หนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมายังที่พำนักสกุลจวินอย่างกระทันหัน ซึ่งมันเป็นเกียรติอย่างมากสำหรับพวกเขา !


นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถพบได้ทั่วไป แม้แต่กับสกุลที่ทรงอิทธิพลเช่นนี้ !


ในตอนที่มาถึงสกุลจวิน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้เผยนามจริงของเขาในทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการปิดบังประสงค์ที่แท้จริงของการมาถึงของเขา และเลือกที่จะใช้ประสงค์ที่จะรักษาไฮเฉินเฟิงเพื่อเป็นจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเขาอย่างชาญฉลาด


แม้แต่แปดยอดปรมาจารย์ยังไม่อับอายที่จะขอคำชี้แนะ และมุ่งมั่นที่จะมองหาความช่วยเหลือ แต่มันค่อนข้างเป็นเรื่องแปลกสำหรับเขาที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กต่อหน้าผู้คนมากมาย


การมาถึงของเขานั้นทำให้ที่พำนักสกุลจวินวุ่นวาย มากจนจวินจ้านเทียนและจวินวูอี้ต้องพุ่งออกมาพบและต้อนรับ ตัวเขาและไฮเฉินเฟิงที่ใกล้ตาย ด้วยตัวเอง พวกเขาละทิ้งงานของตัวเองและเชิญให้ทั้งสองเข้ามายังห้องทานอาหารอย่างจริงใจ


หลังจากที่ได้ยินว่า นายน้อยสามจวินยังไม่กลับมาจากการเดินทาง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกล่าวออกมาอย่างใจกว้างว่า ไม่เป็นไร และ ลิ้มรสชาติของน้ำชาพื้นบ้านของสกุลจวิน ในขณะที่ฟังเรื่องราวเรื่อยเปื่อยจากจวินวูอี้และจวินจ้านเทียน


จวินจ้านเทียนเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านศึกสงครามมาอย่างมากมาย มีชื่อเสียงว่าเป็นยอดขุนพลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่กลับสงบเสงี่ยมเจียมตัวลงอย่างรวดเร็วเนื่องด้วยตกตะลึง และต้อนรับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวด้วยท่าทางที่สงบและเป็นปกติ ทำให้เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ


ผู้อาโสจวินเจตนาที่จะยอมรับความไว้วางในของสกุลต่อหน้าของแขกผู้นี้อย่างรวดเร็ว


“ วูอี้ เจ้าไปดูว่าโม่เซี่ยกลับมาแล้วยัง เมื่อเขากลับมา เจ้าจะต้องรีบพาเขากลับมาที่นี่ การช่วยชีวิตนั้นเป็นดั่งการต่อสู้กับกองเพลิง ไม่สามารถรอได้แม้แต่น้อย ”


เห็นได้ชัดว่าความหมายของจวินจ้านเทียนนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมายังสกุลของเราเพื่อมองหาการช่วยเหลือทาการรักษา แต่หลานชายของเขานั้นมีความสามารถจะรักษาเพื่อนของเขาหรือ ? หลานรักของเขาอาจจะสามารถรักษาการบาดเจ็บที่ฝังลึกของลูกชายของข้าได้ แต่พวกเราก็ไม่ได้เห็นความสามารถทางการรักษาที่แท้จริงของเขาอีกเลยนับแต่นั้น และมันจะเป็นอันตรายกับพวกเราหากเขาไม่สามารถที่จะทำตามความต้องการของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้ …


เนื่องด้วยที่เข้าใจสิ่งนี้ จวินวูอี้จึงรอหลานชายของเขาอยู่ที่ประตูอย่างเต็มใจ เนื่องจากเขาต้องการที่จะรู้เรื่องราวเหล่านั้น และจะไม่ปล่อยให้หลานชายของเขารีบร้อนเริ่มการรักษาหากเขาไม่สามารถที่จะรับมือกับมันได้


อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่แท้จริงของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวที่ไม่ได้สนใจถึงความล่าช้านี้ เพราะเขาต้องการที่จะรู้เรื่องของจวินโม่เซี่ยให้มากกว่านี้ก่อนที่จะได้พบเขาเป็นการส่วนตัว เพราะว่าเขานั้นรู้เรื่องของเห็นหนุ่มผู้นั้นเพียงแค่หยิบมือ และหวังว่าจะสามารถประเมินความหุนหันของเด็กหนุ่มผู้นั้นได้จากสกุลของเขา


“ ข้าได้รับการขอให้มาที่นี่และถามหานายน้อยจวิน ”


คำพูดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นมากพอที่จะทำให้จวินวูอี้และจวินจ้านเทียนรู้ว่านี่ไม่ใช้เหตุบังเอิญและพวกเขาทั้งสองครุ่นคิด 


 เช่นนั้น มันเกิดอะไรขึ้น !


พวกเขาคาดว่า ทายาทของพวกเขานั้นจะต้องมีความลับอะไรบางอย่าง เนื่องจากเด็กหนุ่มผู้นั้นทรงพลังอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงไม่พูดถึงที่อยู่ของเขาเมื่อเร็วๆนี้ เหตุการณ์นี้มากพอที่จะทำให้พวกเขาคาดการณ์ได้ว่า ทายาทหนุ่มของเขานั้นจะต้องมีตัวตนที่ทรงพลังอย่างมาก


ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่เกรงกลัวการเผชิญหน้ากับคฤหัสน์ฉือฮั่น … และนี่คือเหตุผลนั้น !


ผู้เฒ่าจวินได้ประเมินก้าวข้ามไปอีกขั้นหนึ่ง และคาดเดาเอาว่าหลานชายของเขานั้นจะมีอิทธิพลมากกว่าสิ่งที่เขาได้คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้รับการขอให้มาและถามหา …. หลานชายของเขา  !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้รับการยอดมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้น ผู้ใดที่ทรงพลังพอที่จะบอกให้เขา มาและถามหา หลานชายของข้ากัน ? ผู้ใดกันที่ชี้ทางให้เขามาหาพวกเรา ?


และในอนาคต คนผู้นี้จะเปิดเผยตัวเองออกมาหรือ ?


ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในตอนที่เอ่ยชื่อจวินโม่เซี่ยนั้นสุภาพและมีความเคารพอย่างมาก นี่เป็นธรรมชาติมากพอที่จะกลั่นกรองจินตนาการของเขาให้ดีขึ้น


เป็นที่รู้กันว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นมีความกบฏ และข้าเชื่อว่าคนอย่างลี่จื้อเทียนด็ไม่สามารถได้รับความเคารพมากมายเช่นนี้จากชายผู้นี้ได้ !


เอาละ และผู้ใดกันในโลกนี้ที่ทรงพลังมากกว่าลี่จื้อเทียน ? ใครกันที่ทรงพลังมากพอจนทำให้ชายผู้นี้เคารพและนับถือเขา ?


สิ่งนี้กำลังบอกอะไร ? เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเป็นการกระทำของยุ่นเบ้ยเฉิน !


กับการมียุ่นเบ้ยเฉินหนุนหลัง มันไม่น่าแปลกใจเลยที่จวินโม่เซี่ยจะไม่เกรงกลัวลี่จื้อเทียน ! ลีจื้อเทียนนั้นไร้ความสามารถหากเปรียบกับยุ่นเบ้ยเฉิน …


เด็กผู้นี้มีความลับมากมาย และอาจจะกำลังเอาชนะความชมเชยของยุ่นเบ้ยเฉิน แต่หากยุ่นเบ้ยเฉินพบว่าเขาไม่สามารถที่จะรักษาคนที่กำลังจะตายได้ และสิ่งที่จะย้อนกลับมาหาพวกเรา …


ผู้เฒ่าจวินและผู้เฒ่าวูอี้ ยินดีที่ได้ยินว่าหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยอมรับว่าตัวเขาไม่ได้แข็งแกร่งเช่นยุ่นเบ้ยเฉิน แต่เมื่อมันมาถึงเรื่องความเคารพ แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนั้นก็ยังไม่ได้รับการเคารพนับถือจากเขา พวกเขาถือว่าส่วนที่สองในคำพูดที่ยิ่งทะนงและอาจหาญของเขานั้นเป็นธรรมชาติของเขา มากกว่าความทะเยอทยานในการแข่งขันกับยุ่นเบ้ยเฉิน เมื่อเขาพร้อมที่จะต่อสู้ !


ดังนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและผู้เฒ่าจวินจึงยิ้มให้กันอยู่ตลอดเวลาด้วยความเข้าใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าความคิดของพวกเขานั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง !


ในเวลานี้ กวนดุงหลิวได้ยินถึงการมาถึงนี้ ในขณะที่ได้รู้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมายังที่พำนักสกุลจวินด้วยตัวเอง กวนดุงหลิวปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก


สกุลจวินมีอำนาจเช่นนี้หนุนหลัง ไม่แปลกใจเลย คฤหัสน์ฉือฮั่นเป็นเพียงแค่สมาคม และลีจื้อเทียนก็ไม่เคยช่วยเหลือพวกเขาเลยจริงๆ …. พวกเขาใช่ชื่อของเขาเพราะว่าพวกเขานั้นเกี่ยวข้องกัน แต่กระนั้น สกุลจวินสามารถร้องขอให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมายังที่พำนักของพวกเขาด้วยตัวเอง มันก็เทียบกันได้ใช่ไหม ?


โชคดี ที่ข้าเลือกตัวเลือกที่มีน้อยนิดด้วยอารมร์ของข้าในตอนนี้ มิเช่นนั้นข้าคงจะหลงทางไปอยู่ข้างเดียวกับคฤหัสน์ฉือฮั่น และจบลงด้วยการยั่วยุความโกรธของสกุลจวินและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวที่แข็งแกร่ง !


ดูเหมือนว่าสกุลจวินนั้นมีสติปัญญาอย่างมาก และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยังคงหนักแน่น …


เขาเหงื่อออกอยู่เป็นเวลานาน และจากนั้นจึงเข้าไปร่วมวง …


พวกเขาแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขาแต่ละคนหวังว่าพวกเขาได้รับการปกป้องจากกลยุทธ์ที่ประหลาดและแผนการที่น่าอัศจรรย์ และมั่นใจในศัทธาที่ว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี


ดังนั้น เจ้าของบ้านและแขกจึงอยู่ในอารมณ์ที่สนุกสนาน


ในเวลาที่จวินโม่เซี่ยมาถึง ทุกคนต่างง่วนอยู่กับการพูดคุยอยู่ในห้องทานอาหาร ทุกคนรวมถึงเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวดูเหมือนจะมีอารมณ์ที่ดี


จวินวูอี้คว้าตัวหลานชายมาในทันที


“ เจ้าทำอะไรอยู่ ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมาหากเจ้าที่นี่ ? เจ้าช่วยรักษาสหายของเขาได้จริงๆหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยกระวนกระวายอยากที่จะกลับไปยังห้องของเขา เนื่องจากเขาต้องการจะสวมใส่ชุดชั้นในก่อน เพราะเขารู้สึกไม่สบายตัวหากไม่มีมัน


“ ช่างเถิด ให้เขารอไปก่อน ข้าขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อน และจากนั้นข้าจะไปพบกับเขา ”


จวินโม่เซี่ยรีบเร่งกลับไปยังห้องของเขา


จวินวูอี้คว้าตัวเขาไว้อีกครั้ง


“ ชุดนี่มันมีอะไร ? มันก็ดูสะอาดแล้สำหรับข้า มาเลย ! ”


เขากึงผลักกึ่งดึงตัวจวินโม่เซี่ยมายังห้องอาหารอย่างร้อนรนอย่าไม่สุภาพ


“ นั่นเจ้า ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมองขึ้นมาและนึกได้ว่านี่คือชายที่เป็นเจ้าของสุราที่ทำให้เขาสำราณที่สุดเมื่อหลายวันก่อน เห็นได้ชัดว่ามันทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก คนที่เขากำลังมองหาอยู่นั้นกลับกลายเป็นเพื่อนของเขา และยิ่งไปกว่านั้นเขาจึงรู้สึกเคารพอย่างมากก่อนหน้านี้ เนื่องจากเด็กผู้นี้มิใช่คนที่เขาคิดว่าจะเป็นคนหยาบคายในการพบกันก่อนหน้านี้ จึงทำให้เขาหมดกังวล !


“ ข้ารักสุราของเจ้าพ่อหนุ่ม ข้าดื่มสุราสองเหยือกนั้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ข้านั้นหุนหันอย่างมากเนื่องจากข้าไม่คิดว่าสุรานั้นจะสามารถเทียบกับของเจ้าได้ และข้าก็ไม่สามารถตามหาเจ้าได้หลังจากนั้น ! ”


น้ำลายของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเกือบจะล้นออกมาจากปากเมื่อเขาคิดถึงสุรา ความจริง เขาลืมประสงค์ที่แท้จริงในการมาที่นี่ของเขาไปเสียแล้ว


“ เจ้าจะต้องจ่ายเงินข้ามาหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน หากเจ้าต้องการดื่มสุราของข้าอีก ”


คำตอบของจวินโม่เซี่ยทำให้จวินจ้านเทียนและกวนดุงหลิวต้องตกตะลึง และใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงก่ำในทันที พวกเขาค่อนข้างประหลาดใจที่รู้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสนใจในสุราของเด็กผู้นี้ แต่การตอบกลับอย่างหน้าด้านๆทำให้พวกเขาสับสนและโมโห


ชายทั้งสองบ่นกับตัวเอง


นั่นคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ เจ้าเข้าใจถึงความสำคัญของสถานการณ์นี้ไหม ? เขาบอกว่าเขาชอบสุราของเจ้า และแทนที่เจ้าจะเอามาให้เขาสักถัง และใช้มันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง เจ้ากลับอ้าปากและบอกให้เขาจ่ายไปในราคาที่สูงลิ่ว ?! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ?!


เจ้าต้องการที่จะไล่เขาไปหรือ ?


ตรงข้ามกับการคาดการของชายทั้งสอง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่กลับหัวเราะออกมาดังลั่น เขากับว่าเขาสนุกกับเรื่องตลก


“ แม่งเอ้ย ข้าจะจ่ายให้เจ้าตามที่เจ้าต้องการ แต่เอาสุรามาให้ข้าก่อน ! ”


จากนั้นเขาจึงหัวเราะต่อไปอีก


“ ข้าพอมีเงินอยู่กับตัวบ้าง อน่ามันคงจะไม่มากพอ แต่ขอให้ข้าติดหนี้เจ้าหนึ่งคืน และข้าจะไปปล้นสกุลที่ร่ำรวยในตอนเช้า และข้าจะให้เงินแก่เจ้าสักสองสามแสนตำลึงเงินเป็นการตอบแทน นั่นคงจะมากพอที่จะตอบแทนการเป็นหนี้ของข้าได้ใช่ไหม ? ตอนนี้เอามาให้ข้าดื่ม ! ”


ทุกคนตึงเครียดอย่างมาก ! เแปดยอดปรมาจารย์บอกว่าการปล้นเอาเงินผู้คนเป็นเหมือนอาชญากรรมที่แสนธรรมดา งั้นหรือ ?!


“ บางทีเจ้าอาจจะไม่เข้าใจคำพูดของข้า ข้าปฏิเสธการต่อรองนั้นเนื่องจากข้าทำเป็นธุรกิจเล็กๆ และธุรกิจเล็กๆดำเนินไปด้วยเงินสด และดังนั้นข้าจึงไม่สามารถให้เจ้าติดหนี้ได้ โปรดอภัยให้ข้าด้วย ”


ดูเหมือนว่าน้ำเสียงของจวินโม่เซี่ยจะไม่มีความยินยอมแม้แต่น้อย และมันก็ตรงไปตรงมาอย่างมาก


“ หากเจ้าไม่มีเงิน ข้าก็จะไม่ขายอะไรทั้งสิ้น ! ”


จวินโม่เซี่ยกระทำตัวอย่างแข็งกร้าว เนื่องจากเขารู้ว่าเขาถือไพ่ทั้งหมดในเหมส์นี้เอาไว้แล้ว


เจ้ามาที่นี่เพื่อเรียนรู้จากข้า และเจ้ายังต้องการให้ข้าช่วยเหลือในการรักษา และตอนนี้เจ้ายังจะมีขอดื่มสุราข้าฟรีๆอีกหรือ ?


สามสิ่งนั้น ! หากข้าไม่ขอให้เจ้าตอบแทนอะไรบางอย่าง มันก็คงจะเป็นการขัดต่อธรรมชาติในการซื้อขาย !


ใบหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่ขมขื่น ราวกับเร่ิมที่จะวิงวอนได้ตอลดเวลา และทันใดนนั้นเขาจึงขมวดคิ้วขณะที่ตอบกลับอย่างโมโห


“ เจ้าช่างน่ารำคาณ ข้า ข้า ข้า ข้าจะออกไปปล้นผู้คนเดี๋ยวนี้ เจ้าจะต้องเสียใจในภายหลัง ! ”


“ ไปเถิด ! ”


จวินโม่เซี่ยตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ


“ ออกไป และตรงไปราวๆเจ็ดร้อยเมตร และเลี้ยวขวา เจ้าจะพบกับประตูของสกุลที่ร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรที่นั้น สกุลมูล่ง แม้ว่าจะมีเงินมากมายที่นั้น แต่ข้าเชื่อว่ามันเป็นงานที่ยาก และหากมันมากเกินไปที่จะรับมือ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเลี้ยวขวา และเดินตรงไปอีกจนเจ้าเห็นประตูสีทองแดงโกโรโกโส เข้าไปที่นั้นและเจ้าควรจะพบว่ามีเงินมากพอ นั่นคือบ้านของมหาเสนากระทรวงคลัง และเจ้าจะพบกับสกุลที่มั่งคั่งในบริเวณนั้นด้วย ความจริงแล้ว หากเจ้าค้นหาในพื้นที่ที่เหมาะสม เจ้าจะได้พบกับพ่อค้าและเจ้าหน้าที่ผู้ร่ำรวยอยู่แถวนั้น และจ้าน่าจะปล้นเงินมาได้มากพอจากที่นั้น ”


“ ข้ายินดีที่จะรออยู่ที่นี่เมื่อเจ้าชิงทรัพย์มาได้จำนวนหนึ่ง ”


จวินโม่เซี่ยยิ้มและพูด


“ ผู้เฒ่าเหยี่ยว ข้าของให้เจ้าโชคดี ตราบใดที่เจ้าสามารถปล้นในบริเวณนั้นได้ ข้าก็จะมอบสุราให้เจ้ามากพอที่จะให้เจ้าได้ดื่มไปตลอดชีวิต ความจริงหากเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าจะไม่เพียงแต่มอบสุราให้เจ้าดื่มจนเมามายในทุกๆวัน แต่ข้าจะมอบสุราให้เจ้ามากพอที่จะเอาไปอาบได้เลย ! ”

 

 

 


ตอนที่ 212

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถูกปล่อยให้ตะลึงงัน 


 เด็กผู้นี้พูดอะไรกัน ?


จากสีหน้าของผู้อื่นที่อยู่ด้านข้างชายทั้งสอง ดูเหมือนว่าดวงตาของพวกเขาจะหลุดออกจากเบ้าและตกลงไปบนพื้นได้ทุกขณะ!


  นั่นคือแปดยอดปรมาจารย์นะ และดูท่าทางที่นายน้อยสามจวินพูดกับเขาสิ หากยอดปรมาจารย์เกิดอารมณ์เสียขึ้นมา …. จะเกิดอะไรขึ้น ?


โลกกลับตาลปัตรไปแล้วอย่างนั้นหรือ ?


“ เอาละ ข้าจักไม่เผชิญกับความอัปยศนั้น ข้าไม่ต้องการสุราของเจ้า ข้าจะไม่ดื่มสุราของเจ้า แม้แต่จอกเดียว ข้าจักไม่ยอมรับเรื่องน่าขันนี้ของเจ้า และข้าจักไม่ดื่มสุราของเจ้าตราบจนวันตาย ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั่งลงไปบนเก้าอี้พรอ้มด้วยสีหน้าที่มัวหมอง


จริงๆแล้วข้าต้องการสุรานั่นนะ …


 


“ ข้าได้ยินมาว่า เจ้ามาถามหาข้า ? ”


จวินโม่เซี่ยยิ้ม


“ มีเรื่องอันใด ? ”


“ ผู้อาวุโสโง่เขลานั้นขอให้ข้ามาตามหาเจ้า เขาขอให้เจ้ารักษาชายผู้นี้ และมีเรื่องเล้กน้อยอีกนิดหน่อยที่เขาต้องการให้เจ้าทำ แต่เราค่อยพูดถึงมันทีหลัง ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเลือกคำพูดที่บรรยายถึง ยอดฝีมือลึกลับ จนเกือบทำให้จวินโม่เซี่ยหัวเราะออกมาอย่างขบขัน


“ ขอให้ข้าพูดให้ชัดเจน การรักษาชายผู้นี้ข้าต้องเสียค่าใช้จ่าย และข้าจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย นั่นมิใช่สิ่งที่ดีในเรื่องกิจการ ”


จวินโม่เซี่ยส่ายหน้าด้วยท่าทางไม่เห็นด้วย


“ แล้วเหตุใดข้าถึงต้องรักษาเขา ? ”


“ เพราะว่าอาจารย์ของเจ้าบอกมา ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมีโทสะเล็กน้อยในตอนนี้ แต่สุดท้ายเขาจึงเริ่มเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังคำเตือนของยอดฝีมือลึกลับ


“ เหตุใดเจ้าจึงคิดว่ามันมีความหมายอะไรบางอย่าง และเจ้ามาหาข้าเพียงเพราะเขาบอกเช่นนั้นหรือ ? เขานั้นคือเขา และข้าคือข้า เหตุใดข้าถึงต้องเชื่อฟังเขา ? ”


จวินโม่เซี่ยกรอกตา


“ เหตุใดข้าจึงให้เขามาบังคับข้าได้ ? ข้าไม่สามารถคัดค้านอะไรได้เลยเช่นนั้นหรือ ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจ้องเขม็งไปยังจวินโม่เซี่ย 


 ข้าไม่เคยเห็นศิษย์ที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน !


จากบัญญัติห้าประการ คำพูดของพ่อแม่ และอาจารย์ คือข้อบังคับ เมื่ออาจารย์มอบหมายงานแก่ศิษย์ ศิษย์จักต้องทำงานนั้นจนสำเร็จโดยไม่ปฏิเสธ !


ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของจวินโม่เซี่ยคือผู้ที่ควรค่าแก่การยกย่องนับถือ แม้ในสายตาที่ของผู้ที่หยิ่งทนงและมีความสามารถดั่งเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !


หากผู้อื่นได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ผู้นี้ คนผู้นั้นจะรับคำสั่งของอาจารย์ดั่งเช่นกฏสวรรค์ แต่ชายผู้นี้กลับทำตัวดั่งว่าเขานั้นดีเลิศกว่าอาจารย์ของเขา !


โลกนี้กลับตาลปัตรไปแล้วหรืออย่างไร ?


“ เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดถึงข้อเสนอของเจ้าให้ชัดเจน ? ”


ขณะที่เขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวรู้สึกราวกับเป็นลูกแกะในโรงฆ่าสัตว์


“ ข้าต้องการเขา ! และข้าต้องการให้เจ้ารับรองความปลอดภัย ! ”


จวินโม่เซี่ยยิ้มขณะที่ชี้ตรงไปยังไฮ่เฉินเฟิง


“ หากข้ารักษาอาการบาดเจ็บของเขา มันจึงมีค่าเท่ากับว่าข้าได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ข้าต้งการให้เขาไปทำงานให้ข้าเป็นเวลาสามปี ! นั่นจะไม่มากไปในการตอบแทน ใช่ไหม ? ”


“ ข้าไม่สามารถให้คำสัญญาแทนตัวเขาได้ ! ชายผู้นี้คือสวรรค์เชวียน และหากพิจารณาจากอาจารย์ของเขาแล้ว เขาคือหนึ่งในผู้นำในรุ่นเดียวกัน ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพยักหน้า


“ เจ้าจักต้องขอเขาในเรื่องนี้ ”


“ เจ้าถามเขาสิ ! ”


จวินโม่เซี่ยลดเปลือกตาลง ยกถ้วยชาขึ้นมา ตรงหน้าของเขา และดื่มลงไปอึกใหญ่


“ เจ้าสามารถใช้เวลาได้มากเท่าที่ต้องการ ข้าพอมีเวลาว่างอีกสองสามวัน แล้วข้าก็มิได้ใส่ใจ ”


จ้าอาจจะไม่เป็นกังวล แต่ข้ากังวล !


และในตอนที่เจ้าอ้อยอิ่งอยู่นี้ … เจ้าอาจจะมีเวลา แต่ชายผู้นี้กำลังจะตาย !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขบฟัน รู้สึกอยากจะคำรามออกมา 


 เด็กน้อย เจ้าจักต้องรักษาบาดแผลของเขา และเจ้าจักต้องคายความลับในการพัฒนาเคล้ดวิชาของข้า มิเช่นนั้นข้าจะทุบตีเจ้า ! เจ้าอาจจะเป็นศิษย์ของสุดยอดอาจารย์ แต่ข้าคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แปดยอดปรมาจารย์ในโลกหล้า และข้าจักซ้อมเจ้าจนตาย นรก ข้าสามารถฝังเจ้าได้ตลอดเวลาที่ข้าต้องการ


มองดูสีหน้าอันหยิ่งผยองของเจ้าเด็กนี่สิ !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวย่อลงไปบนพื้นเพื่อถ้ามไฮเฉินเฟิง แต่บังเอิญสายตาของเขามองเห็นไปใต้ชุดของจวินโม่เซี่ย …


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเกือบจะสำรอกออกมา


แม่เจ้า ! ดูไอจ้อนของเด็กผู้นี้สิ ! เขาคงไม่ได้เพิ่งจะถือกำเนิดออกมาใช่ไหม ? เจ้าเด็กหมา


แม้ว่าเขาไม่มีกำลังที่จะพูดออกมา แต่สายตาที่มั่นคงและหนักแน่นของไฮเฉินเฟิงนั้นมากพอที่ทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวรู้ว่าเขาไม่ยอมรับเรื่องเช่นนี้ หากเขาสามารถพูดได้ด้วยตัวเอง เขาคงจะพูดว่า 


 จะมีผู้ใดคาดว่า ยอดฝีมือเทพเชวียนจะก้มตัวลงไปรับใช้เด็กผู้นี้ถึงสามปีเพียงเพราะแค่เขาช่วยชีวิตผู้นั้น ? ข้าขอตายเสียดีกว่า


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังคงโน้มน้าว แต่ไฮเฉินเฟิงยังคงไม่ขยับตัว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวดูเป็นกังวลและดูราวกับว่ามุมปากของเขาเริ่มมีฟองน้ำลายตลอดเวลา


“ การโน้มน้าวนั้นไม่อาจะโน้มน้าวเพียงปัจเจก ! เจ้าอาจจะเป็นแปดยอดปรมาจารย์ แต่ชื่อเสียงของเจ้านั้นเทียบไม่ได้กับการได้พบเจอเจ้าเป็นการส่วนตัว ”


นายน้อยจวินเอ่ยขึ้นด้วยความเหยียดหยาม


“ เอาละ ดูข้า ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหลีกทางขณะที่จวินโม่เซี่ยเดินตรงมาหาไฮ่เฉินเฟิงและหยุดอยู่ข้างๆเขา ย่อตัวลง กระซิบสั้นๆไปยังหูของเขา เบาจนไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของเขา


แววตาของไฮ่เฉินเฟิงเปล่งประกายขึ้นแม้ว่าการบาดเจ็ดของเขายังคงรุนแรง ที่เขายังรอดชีวิตอยู่ได้นั้นเพียงเพราะร่างกายที่แข็งแกร่ง และการรักษาเบื้องต้นที่จวินโม่เซี่ยนได้จัดการให้เขาก่อนหน้านี้เท่านั้น มิเช่นนั้นเขาคงจะตายไปนานแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถพูดได้ในตอนนี้ แต่เขากลับพบว่าตัวเองมีพลังขึ้นมาอย่างน่าแปลก ในขณะที่ได้ยินคำพูดของจวินโม่เซี่ย และพูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก


 “ หากเป็นเช่นนั้นจริง จงลืมเรื่อง … สามปีนั่นไป ข้าจะติดตามเจ้า … ไปตลอดชีวิต ! ”


จวินโม่เซี่ยแสร้งทำท่าทางสูงส่ง ขณะที่เขายืนขึ้นอีกครั้ง และผายมืออกขณะที่ชำเลืองมองไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


ดวงตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นเกือบจะถลนออกมาจากเบ้า ขณะที่เขาจะโกน


“ เจ้าเด็กน้อย เจ้าบอกอะไรกับเขา ? เจ้าวัวพยศนั่นถึงได้ยอมรับในทันที ? ศาสตร์มืดอันใดกัน ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่อาจะเข้าใจได้ว่า คำพูดอันใดที่สามารถกระตุ้นไฮ่เฉินเฟิงให้ไม่ใช่แค่เพียงยอมรับในเรื่องนั้น แต่กลับทำให้เขามีพลังอย่างกระชุ่มกระชวนขึ้นมา จากสีหน้าของไฮเฉินเฟิง เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าชายผู้นั้นจะติดตามจวินโม่เซี่ยตราบวันที่โลกต้องแตกดับ


“ อืมมม ความลับสวรรค์มิอาจเปิดเผย นายน้อยผู้นี้มิอาจคาดการณ์ แต่เจ้าสามารถคาดเดาได้ตามต้องการ ! ”


จวินโม่เซี่ยห่อปากขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ


“ เจ้าบอกอะไรบางอย่างแก่เขา และข้าต้องการรู้ บอกข้าได้หรือไม่ ? ”


สีหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวงุนงง คอของเขาแดง ในขณะที่ปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึง เขาพยายามโน้มน้าวไฮ่เฉินเฟิง แต่ชายผู้นั้นหยิ่งทะนงเกินไป แต่เมื่อจวินโม่เซี่ยกระซิบสั้นๆ ไฮ่เฉินเฟิงกลับยอมรับมันด้วยความตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าชายทั้งสองนั้นมีบางอย่างที่แตกต่างกันอย่างมาก !


ทั้งสองคนนั้นเพิ่งจะได้พบกันครั้งแรกในวันนี้ แล้วเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?


จวินโม่เซี่ยยิ้มอย่างลึกลับ ขณะที่เขาพูด


“ ข้าบอกเขาเพียงแค่หนึ่งประโยค ตราบใดที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้ ข้ารับประกันว่าความแข็งแกร่งของเขาจะพัฒนาไปถึงจุดที่สามารถเตะเหยี่ยวให้ร่วงจากฟ้าได้ ! ”


“ ชิส์ ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโต้กลับมาอย่างโกรธา


“ คำพูดไร้สาระอันใดกัน ? ”


“ เพียงแค่นั้น และเขายอมรับ ”


จวินโม่เซี่ยกอดอกขณะที่เขายังคงยิ้มต่อไป


“ ดั่งอเวจี ! เขาสามารถฝึกปรือไปได้ทั้งชีวิต และเขาจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมองไฮ่เฉินเฟิงด้วยความดูแคลน ไม่สามารถควบคุมเปลวแห่งโทสะในร่างซึ่งกำลังแผดเผากระเพาะอาหารของเขาไว้ได้


“ ข้าคิดว่า พวกเราควรจะรอดูมันด้วยตัวพวกเราเอง ! ”


จวินโม่เซี่ยเอ่อยขึ้นอย่างมั่นใจ


ขณะที่มองดูสีหน้าของจวินโม่เซี่ย เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงพบว่าเขาเองกำลังขาดความั่นใจ 


 เด็กผู้นี้สามารถทำได้ตามที่เขาพูดได้จริงหรือ ?


จวินโม่เซี่ยตรวจการบาดเจ็บของไฮ่เฉินเฟิงอย่างระมัดระวัง และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขันมาในทันใด


“ เขาดูเหมือนไม่ค่อยเจ็บปวด แต่การบาดเจ็บของเขานั้นเกิดขึ้นภายในมากกว่าภายนอก เกิดเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน ? อะไรทำให้เขาบาดเจ็บเช่นนี้ ? ”


เขาพูดขึ้นขณะที่เหลือบมองไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพื่อร้องขอ


ใบหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกลายเป็นสีแดง มากขึ้น แต่ด้วยร่องรอยแห่งความงุ่นง่ามที่ปกคลุมอยู่ ชายผู้นี้จึงพูดไม่ออก


“ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ? ”


น้ำเสียงของจวินโม่เซี่ยนั้นพยายามซ้ำเติมเขาอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เขาเหลือบมองไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวด้วยความสงสัย


“ อย่าได้ถามข้า ! และหยุดพูดไร้สาระราวกับเด็กสาว ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคำรามกลับด้วยโทสะ


“ รีบรักษาเขา ! ”


“ ฮี่ ฮี่ …. ”


จวินโม่เซี่ยยักไหล่อยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงแสดงสีหน้าจริงจัง


“ ยกเขาขึ้นมา และตามข้ามา ! ”


“ นี่เจ้าสั่งข้าหรือ ? ”


ดูราวกับว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสามารถระเบิดอารมณ์ออกมาได้ตลดเวลา


“ เจ้าช่างกล้ามากเด็กน้อย ! ”


จวินโม่เซียมิได้สนใจเขาเลย ขณะที่เขาหันไปทางอื่น


“ หากเจ้าต้องการช่วยเขา เจ้าต้องยินดีที่จะอุ้มเขา หากผู้ใดแตะต้องตัวเขา ข้าจะโจมตีและสังหารเขาเสีย หากเจ้าอยากรู้ว่าข้าจริงจังแค่ใหน ลองพิสูจน์ได้ ! ”


ดวงตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ขณะที่มองดูจวินโม่เซี่ยหายออกไปจากโถง ในขระที่ผมของเขาลอยขึ้นไปในอากาศ เห็นได้ชัดว่ามีกระแสงแห่งโทสะก่อเกิดขึ้นมาในใจของเขา


เขาหันไปและพบว่า ผู้เฒ่าจวินและคนอื่นๆ หาได้ขยับตัวไปแม้แต่นิดเดียว และกำลังเฝ้าชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่อย่างตื่นเต้น


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกระทืบเท้าลงพื้นด้วยโทสะ ซึ่งส่งผลให้ทั่วทั้งโถงสั่นไหว ราวกับโถงนี้กำลังเกิดแผ่นดินไหว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวประคองไฮ่เฉินเฟิงหลังจากที่ยินยอมทำตามจวินโม่เซี่ย และบอกได้ว่าชายใกล้ตายผู้นั้นมีความสุขอย่างมากจากความทุกขระทมของเขา


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยิ้มอย่างหม่นหมองขณะที่กระซิบอย่างดุร้าย


 “ ตอนนี้เจ้ามีความสุขหรือยังเด็กน้อย ? เจ้าเกือบตายแล้ว ดังนั้นจงรื่นเริงกับเวลาที่ยังมีอยู่ เพราะชีวิตของเจ้าแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความเป็นตาย ! ”


จากนั้นเขาจึงเดินออกไปจากโถง และตามหลังจวินโม่เซี่ยไป


ทุกคนในโถงสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้อย่างรุนแรง แม้แต่พื้นที่อยู่ใต้เท้าของพวกเขาก็ยังคงสั่นสะเทือนอยู่ ซึ่งทำให้จวินจ้านเทียน จวินวูอี้ และกวนดุงหลิวต้องขบฟัน


“ เขาช่างแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ! เพียงแค่การกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวนั้นมากพอที่จะสร้างพลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้ ช่างน่าอัศจัรรย์ ! ”


กวนดุงหลิวชื่นชมเสียงดัง แต่ความประหลาดใจของเขาหาได้เกิดจากความแข็งแกร่งไม่


“ ท่านผู้เฒ่า ท่านช่างโชคดีที่มีหลานชายที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ เขาสามารถปลอมแปลงความสัมพันธ์กับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและศิษย์แห่งอาจารย์สีครามได้ … สกุลจวินมีผู้สืบทอดที่มีค่ามากพอในการนำพาชื่อเสียงไปสู่ความมั่งคั่งและรุ่งเรือง เส้นทางแห่งชื่อเสียงของสกุลอยู่เพียงแค่เอื้อม ! ”


เขาเพิ่งเอ่ยบางอย่างที่คล้ายคลึงกันนี้ในตอนที่เขามาถึงพี่พำนักสกุลจวินเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนั้นเพียงแค่พิธีรีตอง แต่ในตอนนี้ ความหมายของคำต่างๆเหล่านั้นก่อเกิดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และจวินจ้านเทียนและจวินวูอี้สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากสีหน้าของเขา


ปู่จวินลูบเคราพร้อมกับหรี่ตาลงเป็นรอยยิ้มที่ถ่อมตัว


“ พวกเราไม่คู่ควรกับคำพูดเหล่านั้นของนายท่านกวน ท่านเองยกย่องพวกเราเกินไป ฮ่าฮ่าฮ่า … ”


แม้ว่าเขาตอบกลับด้วยความถ่อมตัว แต่ร้อยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นกว้างจนเกือบจะถึงใบหู


หัวใจของกวนดุงหลิวสัมผัสได้ถึงร่องรอยแห่งการเหยียดหยามอย่างชัดเจน


ปากของเจ้ากว้างดั่งรอยยิ้มของฮิปโป เจ้ายังแสร้งถ่อมตัวอีก … ความหยิ่งทะนงและจองหองของเจ้านี่ช่างเหลือทนยิ่งนัก ….


จากนั้น กวนดุงหลิวจึงถอนหายใจ 


 เหตุใดลูกๆของข้าถึงหามีความสามารถนี้บ้าง ? เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ ? อะไรที่พวกเขาควรจะทำเพื่อให้มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ ? จะมีผู้ใดที่สามารถทำให้แปดยอดปรมาจารย์เชื่อฟังได้ด้วยท่าทางเช่นนี้ ?


ไม่ต้องพูดถึงการทำให้ชายผู้นี้เชื่อฟังพวกเขา หากแม้ลูกทั้งสองของข้าต้องมาเผชิญหน้ากับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว พวกเขาอาจจะไม่สามารถที่จะกระซิบอะไรออกมาได้สักคำ และคงจะยืนตัวสั่นไม่สามารถก้าวไปใหนได้ … พวกเขาคงจะกลายเป็นคนพิการแทนที่จะได้ท่องเที่ยวไปด้วยความประมาทเช่นจวินโม่เซี่ย … หากพวกเขาสามารถแกล้งว่ามีความกล้าหาญเช่นนี้ได้ แต่กระนั้นพวกเขาเองก็ไม่สามารถแสดงมันออกมาได้ !


นี่คือระดับของพวกเขา … นี่คือพลังอำนาจของพวกเขา .. นี่คือผู้สืบทอดของพวกเขา …


นายท่านแห่งสกุลกวนความเพ้อฝัน


และโยนทิ้งไปจนหมดสิ้น ….

 

 

 


ตอนที่ 213

 

ขณะที่เขาก้าวเดินเข้าไปสู่ลานเล็กๆ แม้แต่ผู้มีประสบการณ์เช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเองก็ยังมิอาจห้ามตนเองจากการตกตะลึงได้ … ก้อนเนื้อขนาดใหญ่กำลังวิ่งไปในลานบ้านเล็กๆ และมันต้องใช้เวลาสักครู่ก่อนที่สุดท้ายแล้วเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะปักใจในความจริง ก้อนเนื้อนี่ดูละม้ายคล้าย …  คน !  ของสิ่งนี้เป็นคนจริงๆ !


พระเจ้า !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมิอาจหักห้ามใจไม่ตำหนิชายผู้นั้นในใจได้ ข้าได้ยินมามากมายว่าชีวิตของนายน้อยเหล่านั้นช่างสะดวกสะบาย แต่เขาสามารถปล่อยให้ตัวเองกินมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร


มันมากเกินไปแล้ว !


อาการบาดเจ็บของถังหยวนมิได้รุนแรงนักเมื่อเขาได้รับการรักษาอย่างพิถีพิถันจากนายน้อยจวิน และหลายวันที่ผ่านมาเขาสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถล้มตัวนอนลงได้เลย เนื่องจากความอยากอาหารของเขานั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวตั้งแต่การรักษาของจวินโม่เซี่ยเริ่มขึ้น


นอกจากนี้ แม้แต่เสื้อผ้าเสื้อผ่อนตัวเก่าของเขาก็คับเกินไปแล้วในตอนนี้ …


หน้าท้องของถังหยวนที่ห้อยย้อยลงมาถุงเข่าในช่วงก่อนหน้านี้ กลับหย่อนยานลงมาจนเกือบจะถึงเท้าของเขาแล้ว ถังหยวน สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ใหญ่โตเมื่อตระหนักได้ถึงสถานภาพของหน้าท้องของเขา และหลังจากนั้นเขาจึงเริ่มวิตกกังวล


 ข้าต้องการจะลดน้ำหนัก !


นิสัยเดิมทีของนายน้อยถังนั้นจะเป็นกังวลอย่างมากในเรื่องอนาคตของชีวิตความสัมพันธ์


ข้าจะมีความสัมพันธ์ได้อย่างไรหากข้าไม่ลดน้ำหนัก ?  ข้าจะไร้ประโยชน์  ผู้ชายอาจจะมีกระสุน แต่มันจะจะปล่อยออกไปไม่ได้หาก มีอะไรมาขัดขวางเยี่ยงนี้ อีกอย่าง หญิงสาวน่าตาจิ้มลิ้นนั้นหาได้ชอบชายอ้วนเช่นนี้ …


ผลที่เกิดขึ้นนั้นคือ ถังหยวนยกเลิกกิจธุระอื่นๆในวันนี้ทิ้งไป แล้วเขา ออกไปวิ่ง  อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาฝึกฝนอย่างหนัก เขายิ่งเหนื่อยมากขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากความหิวกระหายที่เพิ่มขึ้นของเขา …


และจากนั้น …  น้ำหนักของเขาเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง


ผลที่เกิดขึ้นนั้น ถังหยวนพบว่าตัวเขาเองตกอยู่ในวงเวียนที่โหดร้าย และยากที่จะหลุดพ้น


เดิมทีแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถตำหนิเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจากการตกตะลึงเมื่อได้พบเห็นก้อนเนื้อที่เหมือนกับมนุษย์กลิ้งไปตามลานบ้านได้ …. ถังหยวนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เยือกเย็นไปทั่วทั้งร่าง ขณะที่ได้เผชิญหน้ากับชายในชุดสีดำ และอดที่จะหนาวสะท้านไปทั่วสันหลังไม่ได้เมื่อได้มองไปยังสีหน้าและแววตาของชายผู้นั้น


อารมณ์ของถังหยวนไม่ค่อยสู้ดีนัก และเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับสีหน้าที่ละม้ายโลงศพนี้มันยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงจ้องเขม็งกลับไปและตะโกน


” ผู้เฒ่า ท่านจ้องมองหาอะไร ? “ 


” เจ้าไม่เคยเห็น ชายผู้หล่อเหล่ามาก่อนหรืออย่างไร ? ”


กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก่อตัวขึ้นเป็นความทุกข์ใจ 


ในชีวิตนี้ข้าเคยได้พบปะกับชายผู้หล่อเหล่ามากอย่างแน่อท้ ความจริงแล้ว ข้าอาจได้เคยพบปะกับชายผู้ที่หล่อเหล่าที่สุดมาแล้ว …  แต่ข้าเอง กลับหาได้เคยพบปะกับคนอ้วนที่บอกว่าตัวเองนั้นหล่อเหล่ามาก่อน


ข้าไม่ค่อยมั่นใจนักว่าเช่นเจ้านั้นเรียกได้ว่าหล่อเหลา แต่จากผิวหนังที่หน้าและร่างกายที่มีน้ำหนักเช่นเจ้า ข้ามั่นใจว่าเจ้านั้นเหมาะสมที่จะบอกว่าอ้วน …


” ไม่เลย ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่รังเกียจจากการตำหนิของเขา เนื่องจาก ความหุนหันของนายน้อยจวินทำให้เขามีภูมิต่อการดุด่ามากแล้วก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาพบว่า ร่างที่อ้วนกลมของถังหยวนนั้นค่อนข้างดึงดูดสายตา


” พ่อหนุ่ม เจ้าหนักเท่าใหร่หรือ ? “


ถังหยวนยังคงวิ่งต่อไปด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม และละเลยต่อคำถามของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


” หลีกทางไปเสีย นายน้อยผู้นี้ต้องการลดน้ำหนัก ! “ 


” และอย่าได้ถามคำถามใด เนื่องจากมันทำให้ข้าไขว้เขว ! ”


เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ถังหยวนไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของชายแก่ผู้นั้น หากมีผู้ใดบอกเขาว่าชายที่เขาตะโกนใส่นั้นคือ แปดยอดปรมาจารย์ ของโลกนี้ และรู้ถึงนิสัยอันโหดเหี้ยมของเขา …  อาจจะคิดเดาได้ว่า ถังหยวนจะสามารถทำสำเร็จตามเป้าหมายของเขาได้ภายในเวลาเพียงไม่นาน โดยเหงื่อของเขาที่ไหลออกมาจำนวนมากจะทำให้น้ำหนักของเขาลดหายไปนับกิโลกรัมแทน


” ดี เด็กน้อย นั่นดีแล้ว  เมื่ออาวุโสผู้นี้เสร็จกิจธุระของเขาแล้ว ข้าจะชวยเหลือเจ้าในการลดน้ำหนัก  เคล็ดลับของข้านั้นสามารถช่วยให้เจ้าผอมลงอย่างมาก ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเอ่ยขึ้นด้วยความปราถนาดี เมื่อถังหยวนได้ฟังดังนั้น เขาจึงกรอกตาละเลยความช่วยเหลือนี้


เจ้าคิดว่าการลดน้ำหนักนั้นง่ายมากนักหรือ ?  


เจ้าคิดว่าข้ายังไม่เคยลองเคล็ดอันใดเลยหรือ ? 


ไม่มีเส้นทางลัดสำหรับการลดนำหนัก !


” นี่ เจ้ากำลังอุ้มคนใกล้ตายอยู่ และเจ้าเองยังสนใจที่จะยืดเยื้อสนทนาอีกหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน


” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว  ความใจเย็นของเจ้านั้นเหมาะควรในการเป็น แปดยอดปรมาจารย์ อย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่น่านับถือ ! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว คำรามกลับด้วยโทสะ


” แม้งเอ้ย ข้าหาได้โง่เง่าน่ะ ! ”


ท่าทีของ ถังหยวน เปลี่ยนไปทันทีหลังจากได้รับฟังคำพูดที่เปลี่ยนไปนี้


” ใครนะ ?  ชายผู้ที่ นายน้อยจวิน กำลังพูดถึงนั้นคือผู้ใดกัน ?  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แปดยอดปรมาจารย์ ? ”


ราวกับมีระเบิดปะทุขึ้นในหัวของ ถังหยวน เจ้าอ้วนถังโซเซไปหลายก้าว จากนั้นเขาหน้าซีด และร่วงลงไปบนพื้นด้วยเสียง ตุ๊ป พร้อมกับอ้าปากโหวเพื่อสูดอากาศเข้าไปให้มากขึ้น ในขณะที่ หัว แขน ขา และทั่วทั้งร่างของเขามีเหงื่อหลั่งไหลออกมาร่าวกับน้ำพุ แปดเปื้อนจนพื้นชุ่มฉ่ำไปด้วยเม็ดเหงื่อของเขา … 


ข้า ข้า ข้า ข้า เพิ่งจะชี้นิ้วใส่ แปดยอดปรมาจารย์ และข้ายังสาปแช่งเขา …


หัวของถังหยวนเริ่มวิงเวียนเมื่อตระหนักได้ถึงความโหดร้ายของสถานการณ์ และไม่นานเขาพบว่าตัวเองนอนแผ่อยู่บนพื้น หาได้มีเรี่ยวแรงยืนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง … เนื่องด้วยความช่วยเหลือของเขาได้รับการปฏิเสธ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จึงอุ้มร่างที่ร่อแร่ของ ไฮ่เฉินเฟิง เข้าไปสู่ห้องโอสถ ตามคำสั่งของจวินโม่เซี่ย  เมื่อไม่นานมานี้ นายน้อยจวิน มีคำสั่งให้ก่อสร้าง ห้องใหม่ขึ้นมาด้านหลังห้องนอนของเขาเพื่อใช้ในการรักษาทาการแพทย์ …


เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ นั้นก้าวหน้าเกินกว่าโลกแห่งตำหรับยาใดๆทะเทียบได้ ซึ่งเป็นเหตุให้การรับมือกับการบาดเจ็บภายใจของ ไฮ่เฉินเฟิง นั้นเป็นงานที่ง่ายดายอย่างมาก ความจริงแล้ว ไฮ่เฉินเฟิง นั้นสามารถพูดดุยอยู่ได้นานนับชั่วโมง


” เจ้าทำมันได้จริงๆหรือ ?  สิ่งที่เจ้าสัญากับข้าก่อนหน้านี้ ?  คู่ต่อสู้ของข้า คือหนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ ของโลกนี้เชียว ! “


ไฮ่เฉินเฟิง ถาม


” เจ้ายังแคลงใจหรือ ?  สิ่งที่เจ้าเห็นนั้นยังไม่มากพออีกหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ย ตอบกลับไป 


” อย่างน้อยในตอนนี้ข้าก็ยังคงพอมีหวัง  ข้าได้เห็นฝีมือของอาจารย์เจ้า และ มันเป็นอะไรที่ไม่ต่างจากสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ !  ข้าอาจะคลางแคลงในตัวเจ้า แต่ข้าไม่เคยแคลงใจในความสามารถของอาจารย์เจ้า ! ”


” แล้ว ตอนนี้เจ้าประสงค์จะทำสิ่งใด ? ”


” ข้าตัดสินใจที่จะอยู่ ! “


ไฮ่เฉินเฟิง ตอบ


” แต่กระนั้น ข้าไม่มีที่ใหนให้ไป ข้าต้องการเพียงแค่เดินทางไปจากแผ่นดินใหญ่ เพื่อเพิ่มเสริมความแข็งแกร่ง แต่หากข้าสามารถทำเช่นนั้นที่นี่ได้ ทำไมข้าจึงต้องเดินทางไปทั่วโลกละ ? ”


” หากเจ้าเข้าร่วมกับข้าแล้ว เจ้าจะไม่สามารถออกไปเมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการเจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ? ”


จวินโม่เซี่ย ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง   


” นั่นเป็นเพียงเรื่องธรรมชาติ ! ”


ใบหน้าของ ไฮ่เฉินเฟิง เผยให้เห็นถึงการตัดสินใจ


” ในเมื่อข้าเข้าร่วมกับเจ้าแล้ว ข้าจะทำตามที่เจ้าขอ ข้าจะติดตามเจ้าไปตามที่ข้าสัญญา และข้าจะไม่กลับคำ ตราบใดที่ข้าได้ในสิ่งที่ข้าได้รับปากไว้ “


” ดีมาก ! ”


จวินโม่เซี่ย ค่อยปล่อยปราณเข้าสู่ร่างของเขามากขึ้น


” ข้ามีคนเพียงน้อยนิด น้อยนิดอย่างมาก “


” ข้าเข้าใจ ! “


ไฮ่เฉินเฟิง สัมผัสได้ว่าเส้นลมปราณของเขาเต็มไปด้วยพลังอย่างรวดเร็ว และสัมผัสได้ว่าส่วนสำคัญในร่างกายของเขาได้รับการฟื้นฟูอย่าวรวดเร็ว 


” ข้าได้รับรู้ถึงสถาณการณ์ของสกุลจวินมาบ้าง “


” เป็นเรื่องที่ดี ! “


จวินโม่เซี่ยคำรามทางจมูกสองครั้ง


” ไฮ่เฉินเฟิง ข้าต้องการควบคุมพลังอำนาจใต้ดินของเมืองหลวง หลังจากที่ข้ารักษาเจ้าเป็นการสำเร็จ เจ้าจะต้องรับงานี้ไป  เป้าหมายของข้าจะไม่สำเรจหากจ้าไม่สามารถทำงานนี้ได้ !”


” ไม่มีปัญหา ! ”


ไฮ่เฉินเฟิง ไม่กระพริบตาขณะที่เขายิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย  สำหรับเขา ในฐานะ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสูงสุด แม้จะต้องต่อกรกับความแข็งแกร่งระดับจวินวูอี้นั้นมิใช่ปัญหา ด้วยความแข็งแกร่งที่เขามีอยู่ในมือ การสนับสนุนจากก๊กจินหยาง การจัดการกับโลกใต้ดินของเมืองหลวงนั้นง่ายดั่งการกลืนไก่ลงคอ 


” เจ้าอาจะเข้าใจประสงค์ของข้าผิดไป  ข้าต้องการกองกำลังนี้เพื่อสืบราชการลับ และจ้าไม่สามารถควบคุมมันได้ด้วยตัวข้าเอง !  กระนั้น เมื่อข้าต้องการจะควบคุมมัน ข้าจึงต้องการเจ้า ”


ใบหน้าของจวินโม่เซี่ยมีความลึกซึ้ง ในขณะที่แววตาของเขาโศกเศร้าเล็กน้อย


” ไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าจะต้องรับมือเรื่องทั้งหมดนั้นด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น จากเครือข่ายสายลับของข้า สกุลมูล่ง และ สกุลลี่ ได้ร่วมมือกับก๊กเหล่านี้จำนวนหนึ่งแล้ว และด้วยการรวมกันของพลังอำนาจเช่นนั้น บางก๊กเหล่าจึงสามารถสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาถึงมิได้อ่อนแอ่ดั่งก่อนหน้านี้ ! “


” ข้าเชื่อว่า พวกเขานั้นต้องมีคนที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเจ้าได้ ”


จวินโม่เซี่ยเสริม


” นั่นมิใช่ปัญหา ! “


ไฮ่เฉินเฟิงทำให้ จวินโม่เซี่ย มั่นใจ และเงียบลง  สำหรับสิ่งที่เขาคิด


เข้จะต้องขอให้ ก๊กจินหยาง ช่วยเหลือ และเมื่อเขาดึง ก๊กจินหยาง เข้ามาร่วมด้วย ชื่อเสียงและพลังอำนาจ จึงมากพอสำหรับการกุมอำนาจโลกใต้ดินได้ทั้งเมือง จากทั้งหมดนี้ ก๊กจินหยาง เป็นก๊กใต้ดินที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหลวง และ สามารถแผ่ขยายอำนาจออกไปได้อย่างง่ายดายหากเป็นที่ประสงค์


ไฮ่เฉินเฟิง มั่นใจว่าเขาและ จวินโม่เซี่ย สามารถทำทุกสิ่งให้สำเร็จได้  จากทั้งหมดนี้ พวกเขาทั้งสองจึงได้รับการสนับสนุนจากสกุลอันทรงพลังอย่างมาก ปรมาจารย์สีคราม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และความแข็งแกร่งของอาจารย์ของจวินโม่เซี่ย ผู้ที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งเกินกว่ายอดปรมาจารย์ทุกคนในโลกนี้ ! 


กองกำลังเช่นใดสามารถต่อกรกับ สมาคมที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ ?  หากมันยากเกินรับมือ ข้าจะไปขอให้อาจารย์ช่วย  และหลังจากเรื่องวันนี้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเองก็ติดหนี้บุญคุณจวินโม่เซี่ย และเขาจะไม่นิ่งงเฉยเป็นแน่หากมีการร้อขอความช่วยเหลือ  แต่กระนั้น หากสถานการณ์ยังเกินรับมือ มันก็มิใช่ปัญหา หากอาจารย์ของจวินโม่เซี่ยออกมารับมือด้วยตัวเอง … ด้วยความคิดนี้ เห็นได้ชัดว่า ไฮ่เฉินเฟิง มั่นใจในสถานะของเขาอย่างมาก


” ข้าจะไม่แทรกแซงการตัดสินใจ และปฏิบติการของเจ้า ”


จวินโม่เซี่ยกล่าวขณะที่เขาหลับตาลงเบาๆ


” อย่างไรก็ตาม เจ้าเองจะต้องทำคำสั่งและมีความรับผิดชอบ ”


จวินโม่เซี่ย กล่าวประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น


ไฮ่เฉินเฟิง พยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง


” เมื่อข้าได้รับข่าวอันใด ข้าจะสื่อสารกับเจ้าตราบเท่าที่เป็นไปได้  อาจารย์ของข้า กำลังทำการปรุงโอสถเพื่อการเสริมสร้างปราณเชวียน และมันให้ผลได้อย่างดี !  เรื่องนั้นข้าสามารถรับรองกับเจ้าได้ !  เมื่อมันพร้อม เจ้าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ของเจ้าได้ ! ”


จวินโม่เซี่ยยิ้ม


“ เจ้าจะไม่เสียใจที่ร่วมมือกับข้า !  ”


จวินโม่เซี่ยเพิ่งจะโยนไพ่ตายในการเจรจา


เดิมที่แล้ว นายน้อยจวินจะเรียกตัวเองว่านายท่าน


ดวงตาของ ไฮ่เฉินเฟิง เปล่งประกายระยิบ และไม่มานจึงเริ่มเผยถึงสีสันแห่งความตื่นเต้น


 ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดผู้หนึ่งกำลังปรุงโอสถ แล้วสิ่งนั้นมันจะแย่ได้เช่นไร ?


ไฮ่เฉินเฟิง ห้ามมิให้ตัวเองยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาไม่ได้ ขณะที่เขาเริ่มเพ้อฝันกับความแข็งแกร่งที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในวันข้างหน้า จากนั้นจะไปไล่เตะ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว …


….           ….


ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ประตูห้องโอสถจึงเปิดออก และจวินโม่เซี่ยที่ดูอ่อนเพลียเดินออกมา


” คนผู้นั้น ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ถามด้วยความกังวล


จวินโม่เซี่ย ถอนหายใจและพยักหน้า 


” เขาตายหรือไม่ ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถามขณะที่ใบหน้าอันโศกเศร้าของเขาเผยถึงความสิ้นหวัง

 

 

 


ตอนที่ 214

 

” เจ้าควรตาย ! ”


จวินโม่เซี่ยเหลือบมองกลับไป


” ผู้เป็นอัจฉริยะได้ดูแลการบาดเจ็บของเขาแล้ว แล้วเจ้ายังกล้าถามว่าเขาตายอีกอย่างนั้นหรือ ? ”


ในเวลานี้ ไฮ่เฉินเฟิง เดินออกมาจากห้องโอสถ


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว กำลังจะอ้าปากเพื่อตะโกนใส่ จวินโม่เซี่ย ตอนนี้เขาเบิกตากว้าง และอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ที่ประจักดิ์ต่อสายตา


เขานั้นอยู่ระหว่างเป็นตายในตอนที่ข้านำพาเขามายังที่นี่ และเวลานี้มันเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง แต่เขากลับเดินออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ?  แม้แต่หมอเทวดา ก็มิอาจรักษาผู้คนได้ไวเช่นนี้ใช่ไหม ?


โลกนี้กลับตาลปัดไปแล้วใช่ไหม ?  และวันนี้ข้ากำลังยืนอยู่ในวังมัจจุราช ?


” เอ๋ ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ขยี้ตาอย่างเหลือเชื่อ


” ไม่เป็นไร ?  ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการฟื้นฟูแล้ว ? ”


” ไม่เป็นไร ! ”


ไฮ่เฉินเฟิง ตอบกลับมาด้วยความเฉยชา บ่งบอกถึงโทสะที่อยู่ในใจเขาอย่างชัดเจน


” ไม่เคยดีเช่นนี้มาก่อนเลยท่านอาจารย์เหยี่ยว หมอเทวาดรักษาร่างกายข้าจนเป็นปกติ ”


” เจ้าพยายามจะทำอะรไ  เจ้ารู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายในเคล็ดลับโง่ๆนี่หรือไม่ ?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องแบกรับคำตำหนิมากเท่าใดเพื่อช่วยเหลือชีวิตของเจ้า ?  ไม่เจ้ายังไม่คิด ! ”


โทสะทั้งหมดในใจของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ระเบิดออกมาราวกับภูเขาไฟ


ไฮ่เฉินเฟิง ผู้สงบไม่สามารถตอบกลับไปได้ เมื่อเขาพบว่าร่างของเขานั้นถูกโยนลงไปบนพื้นโดยพี่น้องของอาจารย์ หลังจากนั้นเขาพบว่าร่างของเขากลายเป็นเป้าหมายของพายุฝนแห่งลูกเตะและหมัด


การทารุณนี้ประจักษ์ชัดต่อสายตาของถังหยวน ผู้ที่ยังคงนอนแผ่อยู่บนพื้น กำลังขาที่มีเพียงน้อยนิดของเขาได้หมดลงไปอีกครั้ง และพบว่าร่างของเขานั้นเปียกชุ่มยิ่งกว่าแต่ก่อน ขณะที่หัวของเขาเริ่มส่าย … ในขณะที่เขามองเหตุการณ์นี้อยู่ กล้ามเนื้อบนใบหน้าขอเจ้าอ้วนเริ่มบิดเบี้ยวได้ด้วยความหวาดกลัว …


เวลานานถัดมา


” พวกเจ้าเล่นกันเสร็จแล้วยัง ? ”


จวินโม่เซี่ยตะโกนออกไป


” ขออีกหน่อย แล้วข้าก็จะพอ “


สุดท้าย เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จึงยืนขึ้น เตะและต่อย ไฮ่เฉินเฟิงอีกสองสามครั้ง และจากนั้นเขาจึงถอยหลังมา ปล่อยให้ ไฮ่เฉินเฟิง ผู้ที่มีดวงตาดำคล้ำร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดขณะที่กลิ่งอยู่บนพื้น


” อย่าได้แตะต้องเขาอีก เขาต้องรีบไปแล้วทำงานที่อาจารย์ต้องการให้สำเร็จ ”


จวินโม่เซี่ยเริ่มมีโทสะ  ไฮ่เฉินเฟิง เป็นเพื่อนของเขาแล้วในตอนนี้ และการเฝ้าดูเพื่อนของเขาโดนทารุณนั้นมิใช่สิ่งที่น่ายินดีนักสำหรับเขา


ไฮ่เฉินเฟิงเพิ่งจะได้รับการทารุนอย่างโหดร้าย แต่เขากลับลุกขึ้นมาโดยไม่สนในความเจ็บปวดและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว …


จวินโม่เซี่ย หันไปและเหลลือบมองไปยัง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ในตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง


” เอ๋ !!! ”


เสียงกรีดร้องดังผ่านลานบ้านมาทำให้พวกเขาทั้งสองตกตะลึง


เด็กสาวตัวน้อยกำลังถือถาดน้ำชาเข้ามายังลานบ้านแต่หลับพบกับการรบกวนบางยอย่าง …


” นายน้อย ไม่ดี ไม่ดี … ”


เด็กสาวตัวน้อยตกอกตกใจ


” เกิดอะไรขึ้น ? “


” นายน้อยถัง นายน้อยถัง เขา …  เขาเป็นลม …. “


เด็กสาวชี้ตรงไปยังก้อนไขมันขนาดใหญ่  ถังหยวนนอนนิ่งอยู่บนพื้น และไม่มีการคเลื่อนไหวใดบนร่างอ้วนของเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นลม …


” สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ”


จวินโม่เซี่ยเดินไปข้างหน้าเพื่อประเมินสถานการณ์ เนื่องจากไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจาเป็นลมไปได้อย่างไร …


หลังจากที่มองดูสีหน้าของเขาใกล้ๆ ตามมากด้วยการจับชีพจร ทำให้ จวินโม่เซี่ย มีสีหน้าที่ประหลาดใจอย่างมาก จากนั้นเขาจึงตรวจสอบปากของ ถังหยวนอย่างรวดเร็ว และพึมพัมกับตัวเอง


” นี่ทำให้เป็นข่าว “


เขาสามารถคายน้ำออกทางเหงื่อได้ …  มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก …


คายน้ำทางเหงื่อ … เจ้าอ้วนนี่มีฝีมือยิ่งนัก …  ครั้งนี้น้ำหนักของเขาจะต้องลดลงอย่างแน่นอน ..​


สิ่งนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้พบเจอ ในสองชีวิตของเขานี้ …


จะโชคดีหรือร้าย แต่พร่งนี้ถังหยวนจักต้องชั่งน้ำหนัก และจะพบว่ามันหายไปกว่าสิบกิโลกรัม สิบกิโลกรัมในหนึ่งวันนั้นอาจจะถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ในประวัติศาตร์ในโลกแห่งการลดน้ำหนัก !


ต้องขอบคุณการบรรลุในช่วงก่อนหน้านี้ นายน้อยจวินสามารถอุ้มนายน้อยถังได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ความสำเร็จที่เขารู้ว่าไม่เคยทำได้เนื่องจากน้ำหนักของเจ้าอ้วน 


น้ำหนักของเจ้าอ้วนถังนั้นน่าสรรเสริญอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ในเรื่องความกล้าหาญของเขา เพียงแค่ได้เฝ้าดูนิสัยที่โหดร้ายของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นั้นมากพอที่จะทำให้เขาเป็นลมได้ …


นายน้อยจวิน มั่นใจว่า ชายผู้นั้นไม่ได้รับอันตรายใดๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เขาอ้าปากของเจ้าอ้วนนั้น และรินน้ำเกลือเข้าไป  เพื่อให้เจ้าอว้นนี้มีแรง การให้ดื่มน้ำและเกลือนั้นเป็นหนทางที่ดีที่สุด มันมิได้เป็นการรักษาอันใด แต่ก็ยังให้ผลที่คล้ายคลึงกัน !


เมื่อเขารักษาการสูญเสียน้ำนี้ได้ เขาจึงวางร่างของเจ้าอ้วนลงบนเตียง และเปลี่ยนไปสนใจเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แทน จากทั้งหมดนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อับอายอย่างมาก และมีความกระหายใคร่รู้


แขกที่น่านับถือของสกุลจวินนั้นคือหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และไม่ควรทำให้ผู้ที่มีสถานะเช่นนี้ต้องรอนาน


นอกจากนี้ อาจารย์ผู้มีความสามารถเช่นนี้ยังขอคำแนะนำจากยอดฝีมือหนุ่ม …


โลกได้กลับตาลปัดไปแล้วจริงๆ !


” เอาละ เจ้าต้องการอะไรอีก ? ”


นายน้อยจวิน รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่เขาต้องการได้ยิน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ร้อขอคำแนะนำจากเขา


” วันนี้ข้าโชคดีที่ได้พบกับอาจารย์ของเจ้า ฮ่า ฮ่า ฝีมือ และระดับการเพาะปลูกของเขานั้นเป็นเลิศอย่างมาก และ ความรู้ทางการรักษาของเขานั้นยังเป็นดั่งของขวัญจากสรวงสวรรค์ ! ท่านผู้เฒ่าและข้าได้พูดคุยกันเป็นเวลานาน และพัฒนาไปดั่งเป็นเพื่อนเก่าอย่างรวดเร็ว เขาเป็นคนที่น่าสนใจอย่างมาก “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อ้าปาก และสูดอากาศเข้าไปเพื่ออารัมภบทถึงสถานะอันสูงส่งของเขา


แน่นอน เขาไม่รู้เลยว่านั่นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระในสายตาของ จวินโม่เซี่ย !


” โอ้ว ? ”


จวินโม่เซี่ย ต้องควบคุมความคิดของตัวเองเพื่อไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา และ แสดงสีหน้าดั่งต้องการจะพูดว่า


” เป็นเช่นนี้เอง ”


ดูเหมือว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะปิติกับเรื่องนี้ และพูดต่อด้วยพลังอันแรงกล้า


” พวกเราพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่แล้ว อาจารย์ของเจ้าก็เอ่ยขึ้นมาว่าเจ้าคือศิาย์ของเขา และดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยมีกำลังใจ เนื่องจากเขาได้สอนกระบวนท่า หมัดอินทรีย์ให้แก่เจ้า และมันยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากนิสัยที่ขี้เกียจของเจ้า  อย่างไรก็ตาม ช่างโชคดี ที่เขาได้พบกับข้าในวันนี้ และด้วยการที่รู้กันว่าไม่มีผู้ใดมีความรู้ในเรื่องการต่อสู้ของอินทรย์ ได้ดีเท่ากับข้า ดังนั้นเขาจึงของให้เขามาหาเจ้า และช่วยเจ้าในการฝึกฝน “


น้ำเสียงของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นั้นมีความมั่นใจมากขึ้นราวกับเขากำลังโน้มน้าวตัวเองด้วยคำพูด


” แม้ว่าข้านั้นยุ่งมาก แต่มันยากมากที่จะได้มีเพื่อนที่ดีเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจยอมรับการร้องขอของเขา และช่วยเขาฝึกฝนเจ้า ”


นายน้อยจวิน ยืนอยู่พร้อมก้มหัวครุ่นคิด แต่ความจริงแล้วเขาพยายามอย่างมากเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมา และพยายามกำหนดสติของตัวเองไปยังลมหายใจ มือขวาของเขาวางอยู่บนท้องเพื่อรักษาความเจ็บปวดภายในที่เขาต้องประสบเนื่องจากคำพูกเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย


ร่างของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโค้งงอราวกับผู้เคร่งศาสนา ในขณะที่เขาสะบัดมือและพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง


” ตอนนี้เจ้าว่างแล้ว แสดงให้ข้าเห็นว่าอาจารย์ของเจ้าสอนอะไรบ้าง และข้าจะทำให้มันถูกต้อง และเมื่อพวกเราสำเร็จข้าก็จะไปจากเมืองนี้ภายในเวลาเพียงไม่นาน  ข้าต้องการกลับไปทำธุระของข้าให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้ และข้าไม่มีเวลาที่จะมามัวโอ้เอ้ ”


” ผู้อาวุโสเหยี่ยว เช่นนั้นไม่ถูกต้อง ! “


 จวินโม่เซี่ย เบิกตากว้างขณะที่พูดด้วยน้ำเสี่ยงประหลาดใจอย่างที่สุด


” เมื่อเดือนก่อน ท่านอาจารย์บอกข้าว่ากระบวนท่า หมัดอินทรีย์ กรงเล็บอินทรีย์ อุ้งเท้าอินทรีย์ และ คมมีดอินทรย์ ของข้านั้นได้ไปถึงขั้นสุดยอดในโลกนี้แล้ว และแม้แต่เขาเองก็ไม่มีอะไรจะสอนข้าแล้ว แล้วเหตุใดเขาถึงส่งเจ้ามาที่นี่ ?  แม้ว่าฝีมือโดยทั่วไปของข้านั้นจะน้อยนิด แต่ข้านั้นฝึกฝนอย่างหนักมาเสมอ ความจริงแล้ว นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ของข้าใฝ่ฝันไว้ในตอนที่รับข้าเป็นศิษย์ ดังนั้น เหตุใดอาจารย์ของข้าถึงบอกกับท่านเช่นนั้น ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เพ่งมองมาด้วยความสงสัย ตระหนักได้ว่าคำหลอกลวงของเขานั้นถูกจับได้แล้ว จากนั้นเขาจึงจ้องกลับไปและพูด


” อาจารย์ของเจ้านั้นเป็นคนอ่อนน้อม และข้าอาจเข้าใจคำพูดของเขาผิดไป แต่หากเจ้าเป็นเพียงแค่หินผาที่ยังไม่ได้เจียรใน เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นหยก ดังนั้น มันจะดีกว่าหากเข้าอนุญาติให้ข้าช้วย !   เจ้าจะยอมรับหรือไม่ ? ”


สีหน้าของจวินโม่เซี่ยไม่แยแส


” เอาละ แต่วันนี้ข้าไม่ได้ฝึกเคล็ด อินทรย์ แล้ว เนื่องจากการฝึกฝนนั้นจะทำให้การพัฒนาของข้าช้าลง ซึ่งเป็นเหตุให้อาจารย์มอบเคล็ดวิชาใหม่ให้ข้าฝึกฝน และข้าก็ได้เริ่มมันไปแล้ว !  บางทีท่านอาจารย์ชี้น้ำให้เจ้ามาหาข้าเพื่อความช่วยเหลือในการรักษา และคงไม่ได้หมายความว่าให้เจ้าช่วยข้าในการฝึกฝนด้วยใช่หรือไม่ ?  ดังนั้น ข้าคิดว่าข้าจะต้องไปพักผ่อนก่อน และเจ้าควรจะรักษาความแข็งแกร่งของเจ้าเอาไว้ มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเราทั้งสอง เข้าใจหรือไม่ ?! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เพ่งมองด้วยความสงสัยอยู่เป็นเวลานาน จนไม่สามารถหาคำพูดใดๆได้ 


ยอดปรมาจารย์เสนอความช่วยเหลือให้ แต่เจ้าเด็กนี่กลับปฏิเสธ !


โลกนี้มันผิดแปลกอันใดกัน ?  สวรรค์ได้หายไปแล้วอย่างนั้นหรือ ?


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว รู้สึกราวกับว่าโลกนี้ได้กลับตาลปัดไปในทันที !  เขาจำช่วงเวลาในวัยเด็กได้อย่างชัดเจน เมื่อเขาและเพื่อนฝ่าฟันกันอย่างยาวนานเพื่อให้ยอดฝีมือชี้ข้อบกพร่องของพวกเขา และจากนั้นพวกเขาได้นำคำแนะนำจากบอดฝีมือเหล่านั้นมาใส่ใจดั่งสมบัติที่ล้ำค่า เป็นช่วงเวลาที่เขาใฝ่ฝัน ที่จะให้คำแนะนำในเรื่องศิลปะการต่อสู้กับเด็กหนุ่มนั่นไม่ใช่ความฝันที่น่าขันเสียเลยในวันนี้ ! 


เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กัน ?


หรือว่าโลกแห่งการสั่งสนอสำหรับอาจารย์ที่มีชื่อระดับโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ?


” ฮี่ ฮี่ ความจริงแล้ว ความจริงก็เป็นเช่นนั้น … ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ตระหนักได้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นจึงพูดความจริง เกือยจะยอมตายด้วยความลำบากใจในเรื่องนี้ 


“ แล้วนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าควรจะพูดก่อนหน้านี้ ”


สุดท้าย จวินโม่เซี่ย จึงพยักหน้าเข้าใจ ขณะที่ในใจของเขากไลังหัวเราะเบาๆ


เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้าสามารถหาประโยชน์จากข้าได้อย่างง่ายดาย ?


” เช่นนั้นเจ้ารอสักพักได้ไหม ?  ข้าหมายความว่า เจ้ามิได้ยุ่งหรือมีอันใดใช่หรือไม่ ? “


 น้ำเสียงของ จวินโม่เซี่ยเปลี่ยนไป 


“ตอนนี้ข้ามีเวลา เหตุใดพวกเราไม่เริ่มกันเลย ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว รู้สึกร่างเริงขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงความก้าวหน้า 


“ข้าบอกว่าตอนนี้ข้าว่าง แต่ข้าเหนื่อยมากหลังจากการรักษาที่หนักหน่วงก่อนหน้านี้ ! ”


จวินโม่เซี่ยตอบกลับ


” อีกอย่าง ในเมื่อเจ้าและท่านผู้เฒ่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เหตุใดเจ้าจึงไม่ขอให้เขาสอนเจ้าด้วยตัวเอง ?   เหตุใดเขาจึงส่งเจ้ามาหาข้า ?  เห็นได้ชัดว่าเขาอู้งานอยู่ที่ใหนสักแห่ง ! เขานี่ช่างหลอกใช้งานข้าได้หนักหน่วงยิ่ง !  บอกได้เลยว่า เขาต้องการให้ข้าใช้ความพยายามา และเขาเองรับชื่อเสียงไป …. ผู้เฒ่าผู้นั้นช่างทรยศยิ่งนัก ฮึ่มมม … ข้าจะไม่ทำมัน “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เพ่งมองอยู่ด้วยความตกตะลึงหลังจากที่ความหวังของเขาพังทะลายลงอีกครั้ง !  ข้าไม่เคยหวังว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่หลอกลวง แต่ไม่มีจุดอ่อนใดๆ … แล้วตอนนีข้าควรจะทำเช่นไร ?


” ข้าเข้าใจความลำบากและเข้าใจความรู้สึกของเจ้า “


จวินโม่เซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเหตุผล


“แต่เจ้าต้องพยายามเข้าใจข้าด้วย .. มันเป็นนิสัยของข้าที่จะไม่ทำอะไรทั้งนั้นหากข้าไม่ได้อะไรกับคืนมา “


” เจ้าต้องการอะไร เด็กน้อย ?    เพียงแค่บอกว่าเจ้าต้องการอะไร ? “


 เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพบว่าตัวเขาเองกำลังขบฟันอยู่


สักวันเด็กผู้นี้จะทำให้ข้าเป็นบ้า !


อย่างไรก็ตาม ตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เกือบจะหลุดออกมาจากเบ้าในทันที …


เนื่องจากในตอนนี้ มือขวาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกำลังเคลื่อนไหว และแม้ว่าจะดูเหมือนว่าง่าย แต่เป็นท่าทางที่ห่างไกลจากคำว่าง่ายในความเป็นจริง  นิ้วทั้งห้าของเขางอเข้ามาครึ่งหนึ่ง คล้ายกับอุ้งมือของอินทรีย์ ในขณะที่แขนของเขาจะดูเหมือนจะเปลี่ยนตำแหน่งไปจากใต้ข้อศอก ข้อมือของเขาโค้งงอ ในขณะที่นิ้วของเขาดูไม่อาจคาดเดาได้ และจากการเปลี่ยนไปของแขนของเขาสามารถบอกได้ว่าอุ่งมือนี้มีพลังที่เพิ่มาากขึ้น !  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือ แขนที่อยู่เหนือข้อศอกของเขานั้นหยุดนิ่ง !


แม้แต่ผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์เช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นก็ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนในชีวิต !   แต่กระนั้น สายตาอันแหลมคมของเขาก็สามารถบอกถึงพลังที่แท้จริงของกระบวนท่านี้ได้อย่างชัดเจน !  เขาบอกได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเขาได้เป็นสุดยอดในเคล็ดวิชาของเขา เคล็ดเพียงหนึ่งเดียวนี้จะกลายมาเป็นสิ่งที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย แค่หนึ่งเคล้ดนี้คุ้มค่าอย่างมากกับการเดินทางของเขาและผู้คนทั้งหมดที่เขาได้เผชิญหน้าเพื่อเรียนรู้มัน ! 


” นี่คือหนึ่งในเก้ากระบวนพื้นฐาน “


จวินโม่เซี่ย ยิ้ม


” ดีใช่ไหมละ ? “


ดวงตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเปล่งประกายขณะที่สุดท้ายเขามองถึงกระบงนท่านี้ออก ในขณะที่หัวใจของเขา เริ่มมีความสุข ยิ่งเขาครุ่นคิด เขายิ่งรู้สึกดี ยิ่งความรู้ของเขาเพิ่มพูน เขาอดที่จะรู้สึกกระหายใคร่รู้ให้มากกว่านี้ไม่ได้ และบังคับให้ตัวเองถามคำถามเดิมอีกครั้ง


” เจ้าต้องการอะไรจากข้า เด็กน้อย ? “


เขาถามคำถามเดิมอีกครั้ง แต่น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปจากครั้งที่แล้ว  สองครั้งที่แล้วนั้นกระวนกระวาย แต่ครั้งนี้นั้นร้อนรนยิ่งกว่าครั้งก่อน !


” ข้าไม่ต้องการอะไรจากเจ้า แต่ข้าต้องการให้อะไรบางอย่างจากฝั่งของข้า “


จวินโม่เซี่ยยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอก


” ข้าจะช่วยเจ้าพัฒนาเคล็ดวิชา และข้าจะช่วยเจ้าพัฒนาความแข็งแกร่ง แต่กระนั้น เจ้าจะต้องเป็นหนี้บุญคุณข้า  จะต้องจำไว้ว่า เจ้ามิได้เป็นหนี้บุญคุณอาจารย์ข้า เจ้าจะต้องเป็นหนี้บุญคุณข้า !  สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ! ”


ข้าติดหนี้อาจารย์ของเจ้า และตอนนี้ข้ายังต้องติดหนี้เจ้า ?!  เพียงสิ่งเดียว ข้าต้องติดหนี้คนถึงสองคน ?  หน้าผากของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวย่นด้วยโทสะ แต่ไม่นานมันก็จางหายไปขณะที่เขาตระหนักได้ว่ามันยังคงคุ้มค่า


“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าเป็นนักทดลอง ข้ามั่นใจว่าเจ้าเข้าใจว่ากฏที่สูงที่สุดในการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระบวนท่าที่ลึกซึ้งนี้จะไม่สามารถสำเร็จได้ภายในชั่วข้ามคืน ซึ่งเป็นเหตุที่ข้าขอให้เจ้าอยู่ในเมืองเทียนเชียงสักระยะ แล้วพวกเราจึงจะค่อยๆสำรวจและคิดคำนวนการพัฒนาฝีมือของเจ้าอย่างช้าๆและระมัดระวัง … “


นิ้วของจวินโม่เซี่ยจำลองท่าทางของคำพูด


” หยุด ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ขัดจังหวะของเขา


” ครึ่งแรกในสิ่งที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผล แต่ครึ่งหลังนั้นไม่เป็นความจริง  หยุดอ้อมค้อมเด็กน้อย และบอกในสิ่งที่เจ้าต้องการจากข้าให้ชัดเจน ! “


” ให้ข้าเป็นคนดูแลเจ้าหนึ่งปี ? ”


จวินโม่เซี่ยโค้งปากขึ้นอย่างไร้เดียงสา และยิ้มน่าเอ็นดู


” ข้าไม่ของอะไรจากเจ้ามาก และในเวลาหนึ่งปีนี้ ข้าจักจัดหาทุกสิ่งให้แก่เจ้า ไม่ว่าจะเป็นที่พัก หรือ อาหาร หรือสุรา … ข้าจะดูแลเจ้าทุกอย่าง “


นายน้อยจวิน เย้ายวนชายผู้นี้ต่อ


” และสิ่งที่ดีกว่านี้คือ ข้าจะมอบสุราของข้าให้แก่เจ้ามากเท่าที่เจ้าต้องการในระยะเวลาหนึ่งปีนี้ … โดยไม่มีค่าใช้จ่าย …  จ้าสามารถดื่มเท่าใหร่ก็ได้ตามที่เจ้าต้องการโดยไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะ ! “


” หากเจ้าต้องการไปเล่นสนุที่ทะเลสาปหมอกวิญญาณ ข้าจะดูแลเจ้าในเรื่องนั้น !  ข้าไม่เพียงแต่จะให้ความสำราณ ข้าจะมอบอาหารที่ดีที่สุดแก่เจ้าด้วย… ”


นายน้อยจวินยิ้มขณะที่เขาเลิกคิ้ว


“เจ้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปทั่วโลก ใช่ไหม ?   ที่ใดกันที่เจ้าจะสามารถหากข้อเสนอที่ดีเช่นนี้ได้ ? ”

 

 

 


ตอนที่ 215

 

โทสะของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพุ่งสูงเสียดฟ้า จากนั้นจึงเพ่งมองจวินโม่เซี่ยเงียบๆด้วยความสงสัยอยู่นาน ก่อนสุดท้ายเขากัดฟัน และถามด้วยน้ำเสียงที่ดุร้าย


 


” เจ้าหมายความว่าจะให้ข้าเป็นอันธพาลให้เจ้าอย่างนั้นหรือ ?  ละทิ้งฝันหวานของเจ้าซะ !  หรือว่าเจ้าต้องการอะไรที่เป็นดั่งฝันร้าย !  เจ้าชั่วตัวน้อย เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?! ”


” มิได้ มิได้ มิใช่ อันธพาล เจ้าเข้าใจข้าผิดไป ”


 


จวินโม่เซี่ย ตอบกลับพร้อมกับพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


” เจ้าเพียงแค่ต้องอยู่กับพวกข้าที่นี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอันใดเลย   แต่กระนั้น ข้ามีเพียงหนึ่งคำขอ …..”


” คำขออันใด ?  จงซื่อตรง ! ”


 


อกของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกระเพิ่มขึ้นลงด้วยโทสะ และอดที่จะคิดเตะก้นจวินโม่เซี่ยมิได้จริงๆ


 


” ในกรณีที่สกุลจวินต้องประสบกับอันตราย อย่างเช่น สกุลต้องเผชิญหน้ากับการกวาดล้าง … ”


 


น้ำเสียงของ จวินโม่เซี่ย จริงจังขึ้นทันที


 


” ข้าหวังว่าเจ้าจักช่วยพวกเราแก้ไขสถานการณ์เหล่านั้นในหนึ่งปีนี้ แต่ เมื่อสิ้นปีหนึ่งนี้แล้ว พวกข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีก  แต่กระนั้น ข้าเองไม่สามารถควบคุมในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหนึ่งปีนี้ได้ ดังนั้น ข้าจึงไม่ขอสัญญาอันใด อย่างไรก็ตามมันเป็นเวลาเพียงแค่หนึ่งปี ”


” การฝึกฝน เคล็ดอินทรีย์แปลงกายก็จะต้องใช้เวลาเช่นกัน และ เจ้าจักต้องใช้พื้นที่เฉพาะ !  และเจ้ายังต้องมีคู่ฝึกฝน! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าจะต้องการสิ่งจำเป็นเพื่อการอยู่รอดอีกด้วย “


 


จวินโม่เซี่ยพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


” สิ่งเหล่านี้ … ข้าจักจัดหาให้เจ้า และในทางกลับกัน ข้าจะขอใช้ชื่อของเจ้า เพื่อรับรองความปลอดภัยของสกุลจวินเป็นเวลาหนึ่งปี เพียงเท่านั้น ! “


 


ใบหน้าอันเกรี้ยวกราดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ครุ่นคิดช้าๆ ขณะที่ฟังคำพูดของจวินโม่เซี่ย


 


” ตราบใหที่เจ้ายอมรับ เจ้าจะกลายเป็นองครักษ์ที่น่านับถือที่สุดแห่งสกุลจวินในหนึ่งปีถัดมา สถานะของเจ้าในสกุลจวินนั้นสูงส่งยิ่งกว่าปู่ของข้า !  ไม่มีผู้ใด รวมถึงข้าที่จะสามารถออกคำสั่งให้เจ้าทำอันใดได้ และหากสกุลจวินไม่ต้องเผชิญกับวิกฤตใดๆในหนึ่งปีนี้ เจ้าก็สามารถจากไปได้พร้อมกับการยกย่องจากสกุลจวิน เนื่องจากพวกข้าเป็นหนี้เจ้าในเรื่องนี้ !  และเจ้าจะได้กลายเป็นวีรบุรุษในอนุสรณ์ของสกุลข้า ! ”


 


จวินโม่เซี่ย ต่อด้วยความกะล่อน


 


” ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคาดว่าอาจารย์ข้าจักมาเยี่ยมเยียนพวกเราบ้างเป็นครั้งคราวในปีนี้ “


 


ประโยคหลังนี้เป็นดั่งไพ่ตายในการต่อรองกัยเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !


 


ไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งอื่น การจัดหาพื้นที่เฉพาะ คู่ต่อสู้ และสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการใช้ชีวิตนั้นมิใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ แต่การค้นหาคำแนะนำจากยอดฝีมือระดับโลกนี้เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง !  การได้พบกับคนเช่นนี้ แม้เพียงครั้งเดียวในชีวิตนั้นถือได้ ดั่งพรจากสรวงสวรรค์


 


” เอาละ เมื่ออาจารย์ของเจ้าและข้าเป็นเพื่อนกัน ข้า … “


 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพ่งมองกลับไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยความดุร้าย


 


” ข้าสัญญา ! “


” ประเสริฐยิ่งนัก ! ”


 


จวินโม่เซี่ย ห่อปากเป็นรอยยิ้มกว้าง


 


” จะเป็นเช่นไรหากพวกเราไปยัง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ และทำข้อตกลงกันด้วยความบรรเทิงยามค่ำคืน ? ”


” เจ้ามันตัวเงินตัวทอง ! ”


 


โดนเตะ และ จวินโม่เซี่ย พบว่าตัวเขาเองกำลังเต้นไปในอากาศราวกับนักกายกรรม…


 


จวินโม่เซี่ย วางแผนเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น และรู้สึกราวกับสวรรค์อยู่ข้างเขาตั้งแต่เขาเฝ้ามอง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ในป่าเมเปิ้ลอีกครั้ง


 


แม้ว่าการจูงใจสัตว์เชวียนทั้งสองนั้นจะเพียงพอในการกำจัดปัญหาของคฤหัสน์ฉือฮั่นในตอนนี้ แต่คฤหัสน์ฉือฮั่นนั้นยิ่งใหญ่อย่างมาก ยิ่งไปกว่านี้ ผู้อยู่เบื้องหลังของพวกเขานั้น ตัวเขาเองยังไม่รู้จัก ซึ่งยิ่งทำให้พวกเขาอันตรายมากขึ้น  แม้ว่าพวกเขาจะต้องถอยไปหลังจากลูชายของ ลีจื้อเทียน พิการพวกเขาสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อเนื่องจากเด็กหนุ่มผู้นั้นสามารถแต่งงานได้ แม้ว่าเขาเองกำลังจะเข้าไปสู่วังยมบาลแล้วก็ตาม ทำให้ คฤหัสน์ฉือฮั่น สามารถหวนลุกขึ้นมาได้ทันเวลา 


 


ดังนั้น จวินโม่เซี่ย จึงต้องการปกป้องสกุล และเขาต้องการผู้ปกป้องที่สมบูรณ์แบบ


 


ยิ่งไปกว่านั้น หากปัญหาของ คฤหัสน์ฉือฮั่น ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาเองก็มิอาจะละเลยความจริงที่ว่า ผู้อาวุโสทั้งสามแห่ง เมืองพายุหิมะขาว นั้นยังอยู่ในอาณาเขตเมื่องเทียนเชียง  ด้วยความเกลียดชังของเขาและจวินวูอี้ เซี่ยวฮันไม่ชอบที่จะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้  เห็นได้ชัดว่านี่คือการแข่งขันระหว่าง หอมณีวิจิตร และ สกุลจวิน ซึ่งทำให้เกิดความวุนวายอย่างแน่นอน  หากฝ่ายตรงข้าม ไม่สามารถทำลายล้างสกุลจวินลงได้ พวกเขาก็ยังคงมี ความแข็งแกร่ง และอำนาจมากพอที่จะสร้างความอัปยศให้แก่พวกเขา  จากทั้งหมดที่พูดมา ปู่จวิน คือผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในเมือง และมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะทนต่อการเหยียดหยามในช่วงชีวติของเขานี้ !


 


จวินโม่เซี่ย จึงได้รับเอาเรื่องเหล่านี้มาจัดการ  ในความเป็นจริง เขามักกังวลในเรื่องของ เมืองพายุหิมะขาว และมิใช่ คฤหัสน์ฉือฮั่น จากทั้งหมดนั้น คนของ เมืองพายุหิมะขาว เข้าใกล้สกุลจวินอย่างมาก และหากพวกเขาเคลื่อนไหว สกุลจวินไม่มีผู้ใดที่จะสามารถรับมือกับความแข็งแกร่งระดับเทพเชวียนได้


 


ดังนั้น เขาจึงต้องหาทางออก และเวลาของเขากำลังจะหมดลง


 


เดิมทีเขาประสงค์จะใช้ความรู้ด้านการรักษาของเขา เพื่อ ฟื้นฟู ไฮ่เฉินเฟิง ในเวลาอันสั้น และแสดงฝีมือเพื่อเย้ายวนความอยากรู้อยากเห็นของเขา และจากนั้นจึงค่อยๆเพิ่มมันขึ้นอย่างช้าๆ  ขณะที่พิสูจน์แล้วว่า ฝีมือของ อาจารย์ลึกลับสามารถ ยกสถานะของจวินโม่เซี่ยในสายตาของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้


 


อย่างไรก็ตาม แผนการของสวรรค์มันจะมาแทนที่ของเราเสมอ และสุดท้ายเขาต้องพบกันสถานการณ์ที่ทำให้เขาต้องบรรลุ และทำให้เขาหมดหนทาง จึงจำเป็นต้องเลือกตัวเลือกที่สองที่ยังเหลืออยู่   เมื่อไม่มีตัวเลือกอื่น เขาจึงต้องหนีลงใต้ดินแล้ว่างแผนการทุกสิ่งอีกครั้ง


 


เนื่องจากจวินโม่เซี่ยได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ทุกอย่างสำเร็จตั้งแต่ต้นจนจบ จึงถือได้ว่าจุดประสงค์เริ่มแรกของเขานั้นลุล่วงไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจาก เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ได้รู้เห็นในเรื่องที่สกุลจวินได้จัดหา สมุนไพรล้ำค่าบางอย่างเพื่อเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของคนในสกุล ผู้ที่มีความทะเยอทะยานเช่นเขาจึงไม่นิ่งเฉย 


 


ดังนั้น ในเวลาที่เขาได้พบกับการประลองในป่าเมเปิ้ล นายน้อยจวินจึงตระหนักได้ว่าเขาสามารถวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาของเขาได้ภายในการลงมือเพียงครั้งเดียว  ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จในแผนการของเขาจะส่งผลอันยิ่งใหญ่ในอนาคต …


 


นับจากเวลานี้ไป นายน้อยจวิน จะยกระดับสถานภาพของสกุลจวินขึ้นจากสถานการณ์วิกฤษนี้  ในตอนนี้เขาเจตนาจะใช้ช่วงเวลาในปีต่อไปนั้นในการพัฒนาความแข็งแกร่งและอิทธิพลของสกุลจวินให้สูงส่ง !


 


เรื่องราวกทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ นายน้อยจวิน คิดคำนวนไว้อย่างระมัดระวัง ตั้งแต่เขาเร่งกระบวนการแข่งขันเพื่อแย่งชิงแกนเชวียน  ในท้ายที่สุด เขาก็ได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของเขาแล้ว !


 


…..          …..


 


นายน้อยจวิน กำลังมีความสุขอย่างมากเนื่องจากสิ่งที่เขาพยายามอย่างรอบคอบได้สำเร็จผล แต่บรรยากาศภายใน หอมณีวิจิตรนั้นปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแห่งความหม่นหมอง


 


” เกิดอะไรขึ้น ? ”


 


ผู้วุโสทั้งสาม มูซื่อทง และ เซี่ยวฮั่น กำลังนั่งถกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างมา ด้วยการแสดงท่าทีซื่อตรงและบริสุทธ์ของ เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง โดยเฉพาะ มูซื้อทง ที่แสดงออกมาได้ตรงกันข้ามกับความหยิ่งทะนงและหัวรั่นดั่งที่จวนสกุลจวิน เนื่องจากเขาแสดงท่าที่ดั่งเช่นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาและสุภาพต่อหน้าผู้อาวุโสทั้งสาม


 


พวกเขาทั้งห้า เป็นตัวแทนจาก เมืองพายุหิมะขาว และมายัง เมืองเทียนเชียง เพื่อทำการค้า มันจึงเป็นเรื่องปกติที่คนธรรมดาดั่งเช่นคนของ หอมณีวิจิตร ไม่ได้อยู่กับพวกเขาได้   ในเวลาเช่นนี้ พวกเขาต้องเผชิญกับความประหลาดใจอย่างมากเมื่อ องค์หญิงน้อยมุ่งหน้ามายัง โถงสนทนา พร้อมกับแบกร่างครึ่งเป็นตายของ เซี่ยวเฟิงวูมาด้วย  แม้ว่าผู้ทีอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาคือยอดฝีมือ สวรรค์เชวียน แต่คนเหล่านั้นตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นสภาพและความรุนแรง ขอการบาดเจ็บของ เซี่ยวเฟิงวู


 


พวกเรารู้อย่างชัดเจนว่า เซี่ยวเฟิงวู และ องค์หญิงน้อย ต้องการออกไปภายนอก หอมณีวิจิตร ดว้ยตัวพวกเขาเองตามคำชักชวนของ องค์หญิงน้อย เนื่องจากสกุลอันทรงพลังต่างๆได้ออกไปจากเมืองแล้วหลังจาก แกนเชวียนถูกช่วงชินไปโดยคนลึกลับ และภายในเมืองก่อเกิดความสงบขึ้น ดังนั้นพวกเขาทั้งห้าจึงอนุญาติให้ เด็กทั้งสองออกไปเที่ยวเล่นรอบๆเมืองได้ โดนที่เกรงกลัวว่าพวกเขาจะต้องจบลงด้วยการถกเถียงกับองค์หญิงน้อย


 


ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากสถานการณ์ในเมือง กลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว หนุ่มสาวระดับยอดฝีมือเชวียนทองนี้ก็ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งในเมืองธรรมดาเช่นนี้ และรับประกันได้ว่าความชั่วร้ายจะละเลยพวกเขา สิ่งที่เกิดขึ้นคือเซี่ยวฮั่นมีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นหลานของเขาเติบโตเคียงข้างองค์หญิงฮั่นหยานเมิง


 


แต่กระนั้นพวกเขาไม่ได้คาดว่าการออกไปภายนอกของพวกเขาทั้งสองนี้จะต้องจบลงด้วยการที่ เซี่ยวเฟิงวู ถูกโจมตีกลับมาจนเกือบตาย  การบาดเจ็บที่สามารถมองเห็นได้ของเขานั้นรุนแรงอย่างมาก แต่มันมิใช่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์นี้น่าตกใจ เสื้อผ้าของ เซี่ยวเฟิงวู ฉีกขาดจน ด้านล่างของเขาเกือบจะโป้เปลือย  ยิ่งไปกว่านั้น เกราะป้องกันของเขาได้รับการกระชากออกไปจากร่าง  เซี่ยวเฟิงวูเป็นสมาชิคระดับสูงในเมืองพายุหิมะขาว และพวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้ใดเกลียดชังเด็กหนุ่มผู้นี้จนถึงขั้นต้องฉีกทึ่งเสื้อผ้าของเขาออก !


 


ฮั่นหยานเมิงประหลาดใจอย่างมาก เมื่อได้เห็นว่าพวกเขาทั้งห้ากำลังรอพวกเขาอยู่ แต่เมื่อได้เห็นคนที่เจ้ารักปฏิเสธ ความกลัวในหัวใจนางจึงระเบิดขึ้นมาแทน และนางจึงวิ่งเข้าไปสู่อ้อมแขนของ ผู้อาวุโสสาม กระทืบเท้า ร้องไห้ และ สะอื้น  เด็กสาวผู้นี้เป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเขา จนพวกเขาไม่ปล่อยให้อันตรายใดๆเข้าใกล้นางเลยทั้งชีวิต แต่วันนี้ ผู้อาวุโสสามต้องตบหลังเพื่อปลอบประโลมนาง โทสะของเขาพุ่งสูงเสียดฟ้า !


 


ผู้ใดกล้ามาตอแยองค์หญิงน้อยแห่ง เมืองพายุหิมะขาว ?! แม้แต่อาจารย์ของพวกเรา ฮั่นเฟิงฉือ ไม่เคยหยาบคายต่อเด็กผู้นี้ เพราะกลัวถึงความเกรี้ยวกราดของนาง !  ข้าไม่เคยคิดว่า สิ่งมีชีวิตใดในเมืองเทียนเชียงจะมีความสามารถทำเช่นนี้กับนางได้ !


 


ยิ่งกว่านั้น เขาเห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน เมื่อเขาไม่สามารถลปอบประโลมนางได้สำเร็จ สุดท้ายน้ำตาจึงหลั่งไหลเติมเต็มอยู่ในหัวใจของเขาด้วยสุดแทสโศกเศร้าผสมรวมกับโทสะของเขา


 


ชายทั้งห้าแอบมองและขมวดคิ้วขณะเห็นการบาดเจ็บของ เซี่ยวเฟิงวู


 


” ความแข็งแกร่งของปราณเชวียนของเขายังคงไม่ลดลง แม้ว่าร่างของเขาได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงเช่นนี้ “


 


ผู้อาวุโสเก้า เข้ามาใกล้ เซี่ยวเฟิงวู และวางมือลงไปบนร่างของเด้กหนุ่มเพื่อส่งปราณเชวียนของเขาไปฟื้นฟูการบาดเจ็บของเด็กหนุ่ม แต่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่อได้เห็นปราณปราณที่เหลือของเขา


 


อีกสี่คนที่เหลือประหลาดใจเช่นเดียวกันเมื่อได้รู้ถึงสิ่งนี้  แต่ องค์หญิงน้อยยังคงร้องไห้และสะอื้นต่อไป ไม่เข้าใจถึงความหมายในประโยคนี้เลย จึงทำให้นางถามอย่างสะอึกสะอื้นด้วยความอยากรู้


 


” ท่านหมายถึง … จากการต่อสู้หรือ ? ”


” นี่มิใช่ ผลของปราณเชวียน ผู้โจมตีนั้นใช้เพียงพลังบริสุทธ์เพื่อทำสิ่งนี้ ! “


 


ผู้อาวุโสสามมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง และพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด


 


” จากการบาดเจ็บของเขา ข้าคาดว่าเด็กผู้นี้คงจะตายไปแล้วเก้าครั้ง หารผู้โจมตีใช้ปราณเชวียนของเขา   ดูเหมือนว่า กระบวนท่าของคนผู้นี้น่าเกรงกลัวอย่างมาก แต่พวกเขาทำลงไปเพียงแค่ความเกลียดชัง “


 


พวกเขาทั้งห้า ขมวดคิ้วพร้อมกันเมื่อได้รู้ว่า ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เซี่ยวเฟิงวู มากนักที่โจมตีเขาอย่างรุนแรง   ความจริงแล้ว พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า คนผู้นี้จะต้องอยู่ในระดับเชวียนหยกเป็นอย่างน้อย แต่อาจจะเหนือกว่านั้น เนื่องจาก เซี่ยวเฟิงวู นั้นมีฝีมือค่อนข้างดี ซึ่งหมายความว่า ยอดฝีมือเชวียนหยกธรรมดานั้นมิอาจโจมตีเขาได้รุนแรงเช่นนี้   แม้ในความจริงที่ว่า เสื้อผ้าของเด็กถูกถูกฉีกทึ้งออกไป และความจริงที่ว่าเกราะของเขาถูกดึงออกไปโดยไม่มีความรุนแรงทิ้งไว้ จึงเห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นต้องแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดการเอาไว้มา !


 


อย่างไรก็ตาม หากเป็นเช่นนี้ มันมักจะเป็นการแก้แค้นมากกว่าเหตุอื่น !


 


” องค์หญิงน้อย เจ้าอย่าได้กังวลไป เขาค่อยๆหายใจ ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว  บอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นช้าๆ … “


 


มูซื้อทง เอ่ยขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 216

 

” ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น … ”


ฮั่นหยานเมิงยังคงสะอื้นต่อไป เสียงของนางตะกุกตะกักขณะคิดถึงเรื่องที่ได้ประสบกับชายเปลือยในป่าเมเปิ้ล และตามมาด้วยการต่อสู้ที่เกิดขึ้น  ผู้ฟังของนางนั้น อาวุโสและคงด้วยประสบการณ์มากพอที่บอกได้ว่า นี่คือเรื่องเข้าใจผิดและไม่มีอะไรเกินกว่านี้ !


จากความแข็งแกร่งของปราณเชวียนของชายผู้นั้น พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ชายผู้นั้นคงจะวิ่งไปทั่วป่าเพื่อฝึกฝนเคล็ดบางอย่าง เมื่อองค์หญิงน้อยและ เซี่ยวเฟิงวู รบกวนการฝึก จนทำให้ชายผู้นั้นต้องหยุด ซึ่งเป็นการทำให้ชายผู้นั้นอารมณ์เสีย !


จากท่าทีในสิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องยกความดีให้กับความฉลาดของพวกเขา เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาคาดเดานั้นมีความถูdต้องในบางส่วน   


” ชายผู้นั้นรู้ถึงที่มาของเจ้าไหม ? ”


ผู้อาวุโสหกถามคำถามที่สำคัญ


” เขารู้ … ”


ฮั่นหยานเมิงปาดน้ำตา และพูด


” ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เรื่องของเราในตอนแรก แต่เมื่อชายผู้นั้นกำลังจะจากไป พี่เซี่ยวพูดอะไรบางอย่าง และมันทำให้ชายผู้นั้นมีโทสะขึ้นมาทันที …  จากนั้นเขาจึงคว้าตัวพี่เซี่ยวไป และเริ่มโจมตีเขา จากนั้น … พี่เซี่ยวจึงกลายเป็นเช่นนี้ ! ”


” เฟิงวูพูดอะไรกับเขา ? ”


ชายทั้งห้าถามขึ้นมาพร้อมกันอย่างร้อนรน ชายทั้งห้าคาดว่า ประโยคที่สำคัญนั้นคือสิ่งที่ยั่วยุชายเปลือยผู้นั้น ดังนั้น เมื่อรู้ถึงประโยคนี้จึงจะสามารถอธิบายปัยหาที่ก่อให้เกตุเหตการณ์เช่นนี้ขั้นได้


” พี่เซี่ยวพูดว่า เมืองพายุหิมะขาวจะไม่ละเลยเรื่องนี้  พวกเราจะทำลายสกุลของเจ้าทิ้ง ! … ”


เห็นได้ชัดว่า องค์หญิงน้อย รู้ว่าจะต้องเลียoแบบผู้อื่นเช่นไร เนื่องจากนางเลียนแบบน้ำเสียงของ เซี่ยวเฟิงวู ได้อย่างเม่นยำ   น้ำตายังคงอ่ออยู่ตรงขอบตา ขณะที่นางบรรยายจบ และสัมผัสได้ถึงปฏิกริยาที่เหมือนจะผิดแปลกไปพร้อมกับประโยคที่สำคัญนี้


ผู้อาวุโสทั้งสาม ถอนหายใจในเวลาเดียวกัน 


มันเป็นเพียงโชคร้ายใช่ไหม ?  มันเป็นปกติที่จะจากไปได้โดยไม่เจ็บตัว เมื่อเจ้ารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวเองมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าอยู่เพียงลำพัง และไม่มีผู้สนับสนุน  แทนที่จะถอย เขากลับเริ่มคุกคามชายผู้นี้ และก้าวเกินกว่านั้น และขู่จะทำลายสกุลของเขาทั้งหมด ?  ….. หากเขาต้องการแก้แค้นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เขาควรจะปล่อยไปก่อนนี่…  เด็กผู้นี้ช่างอ่อนประสปการณ์ทางโลกยิ่งนัก !


ผู้อาวุโสทั้งสาม พิเคราะห์สถานการณ์นี้ด้วยความระมัดระวังอย่างมาก และเชื่อว่าพวกเขาเองควรถอยเมื่อต้องพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้  ชายทั้งสามเห็นพ้องกันว่า ชีวิตของ เซี่ยวเฟิงวู นั้นยังคงไว้ได้เพราความเมตตาของชายเปลือยผู้นั้น


” แน่นอนว่าเมืองพายุหิมะขาวคือ ก๊กที่ทรงพลังที่สุดในโลกหล้า และทุกผู้เกรงกลัวอำนาจของพวกเรา  แต่กระนั้น ในบางครั้งการโอ้อวดชื่อเสียงของพวกเราจักนำพาพวกเจ้าไปสู้อันตรายถึงชีวิตได้ ! ”


ผู้อาวุโสสามถอนหายใจ


” ชายผู้นี้อาจไร้เมตตา แต่เขาก็มิได้เป็นฆาตกร … “


สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปในทันที และดูน่าเกลียดยิ่งขึ้นเมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา  และ แม้นว่าเขายังพูดไม่จบ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเองนั้นยากจะพูดต่อไปได้


ผู้อาวุโสสาม หก และเก้า ทำงานร่วมกันมานานนับปี และเข้าใจถึงความคิดของกันและกันได้อย่างแจ่มชัด  ใบหน้าของทั้งสามดูน่าเกลียดเช่นเดียวกันเนื่องจาก พวกเขาประเมินสถานการณ์ด้วยความคิดเดียวกัน


ทั้งสามคิดถึงสิ่งเดียวกันในเวลานี้ หากคนผู้นี้อยู่ในระดับที่ไม่เกรงกลัวต่อการยั่วยุ เมืองพายุหิมะขาว ดังนั้นจึงเหลือเพียงแค่ตัวเลือกเดียวหากพวกเราไม่ต้องการประสบกับปัยหาอื่นในอนาคต 


 พวกเราจะต้องทำให้ชายผู้นั้นเงียบหายไป !


อย่าไรก็ตาม ผู้อาวุFสทั้งสามยังคงไม่ตัดสินใจเลือกตัวเลือกนี้ …


เพราะชายผู้นั้นอาจจะทำเช่นเดียวกันนี้ แต่เขาไม่ทำ !


ไม่เพียงแต่เขาไม่เลือกการตัดสินใจอันโหดร้าย แต่เขายังไว้ชีวิตของหนุ่มสาวทั้งสองของพวกเขา ทั้งชายผู้นั้นไม่คุกคามองค์หญิงน้อย  อย่างไรก็ตาม ชายผู้นั้นยังทำให้ เซี่ยวเฟิงวูต้องอับอายอย่างมากหลังจากที่โจมตีเขาจนเป็นตาย !  มันจึงเป็นการจุดไฟแห่งความเกลียดชังในใจของ เซี่ยวเฟิงวู อย่างแน่นอน ซึ่งจะไม่มีวันมอดลงหากชายผู้นั้นยังคงอยู่ !


ชายผู้นั้นมิได้สังหาร เซี่ยวเฟิงวู แต่มั่นใจว่ามันเป็นการยั่วยุเขาด้วยวิธีที่โหดร้ายที่สุด และการกระทำเช่นนี้สามารถบอกได้ถึงสิ่งเดียว เขาหาได้สนใจในความแข็งแกร่งของ เมืองพายุหิมะขาว ไม่ !


อีกนัยหนึ่งคือ ชายผู้นั้นไม่เพียงแต่มั่นใจว่าเขาไม่เกรงกลัว เมืองพายุหิมะขาว แต่ยังถือว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งเพียงพอในการต่อกรกับพวกเขาได้ !  เดิมทีแล้ว หากเหตุการณ์นี้ถูกแพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของ เมืองพายุหิมะขาว จักถูกเหยียบย่ำ


เห็นได้ชัดว่าจัดต้องประเมินความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ และผู้อยู่เบื้องหลังของเขาให้ชัดเจน !


แต่กระนั้น ในเวลานี้ มีก๊กเหล่ามากมายที่กล้าอวดดีต่อเมืองพายุหิมะขาวได้ !


” เหมือนว่า คฤหัสน์ฉือฮั่น มิได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ …. “


ผู้อาวุโสสามเห็นพ้อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความคิดที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


” คนของคฤหัสน์ฉือฮั่นมิได้แสดงตัวออกมาในการแย่งชิงแกนเชวียนเลย ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นได้ที่จะเป็นฝีมือของหนึ่งในพวกเขา  อย่างไรก็ตาม หากนี่คือฝีมือของพวกเขา ด้วยชื่อเสียงที่เย่อหยิ่งของพวกเขา จะต้องมีร่องรอยอะไรบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง  พวกเขาชอบที่โลกให้การยอมรับ แต่เรื่องนี้กลับเกิดขึ้นอย่าเงียบเฉียบ ดังนั้นจึงไม่น่าป็นไปได้ที่พวกเขาจะกระทำเช่นนี้ ”


” แล้ว ผู้ใดกันที่เจ้าคิดว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ? “


ผู้ยาวุโสหก เลิกคิ้วสีเงินของเขาขึ้น


” ข้าเชื่อว่า มีเพียงสกุลเดียวในเมืองเทียนเชียง ที่มีความเกลียดชังที่ลึกซึ้งมาพอจะทำเช่นนี้ ”


เซี่ยวฮั่นกระพริบตาอย่างเยือกเย็น


” และสกุลนั้นคือ สกุลจวิน !  มีเพียงสกุลเดียวที่อ่อนไหวต่อแซ่เซี่ยว ดังนั้นข้าจึงเชื่อว่าเป็นฝีมือของพวกเขา ! ”


” ตามที่ องค์หญิงน้อยบอกเล่า ชายผู้นั้นเอ่ยว่า ข้าเกลียดแซ่เซี่ยว ! ชัดเจนว่าชายผู้นี้มีความปฏิปักษ์ต่อสกุลเซี่ยว และหลังจากนั้น เมื่อ เซี่ยวเฟิงวูเปิดเผยตัวตนจริงของเขา ชายผู้นั้นคุกคามเขาอย่างดุร้าย สิ่งที่อนุมานได้จากเรื่องนี้คือ คนผู้นี้อาจมิได้เป็นศัตรูกับ เมืองพายุหิมะขาว แต่เขาคือศัตรูของสกุลเซี่ยว !  และเมื่อถึงจุดนี้ ข้าจะเอ่อยได้อย่างชัดเจนว่า สกุลส่วนใหญ่ที่กระทำผิดต่อสกุลเซี่ยนั้นตายไปหมดแล้ว และที่ยังคงเหลืออยู่ในตอนนี้มิได้อยู่ในเมืองเทียนเชียง  ดังนั้น มีเพียงสกุลเดียวที่เข้าข่ายคือสกุลจวิน และจวินวูอี้ ! ”


เซี่ยวฮั่น ถือว่าจวินวูอี้คือศัตรูคู่แค้นอย่างชัดเจน


ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่พลาดที่จะใส่ร้ายศัตรูของเขา และสกุลของชายผู้นั้น  แม้ว่าท่าทีที่เขาใช้ในการเอ่ยข้อโต้แย้งนี้ฟังดูมีเหตุผล แต่เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้น การจะกระทำการตอบโต้ จวินวูอี้ และ สกุลจวินในเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่ยากมาก


แต่กระนั้น เขาไม่เคยคิดฝันว่า การคาดการอย่างไร้เหตุผลของเขานั้นจะเกิดขึ้นในความเป็นจริง !  เขาไม่เคยคาดคิดว่า การกระทำเหล่านี้คือการกระทำของสกุลจวิน !


” เซี่ยวฮั่น ข้ารู้ถึงนิสัยที่ชั่วช้าของเจ้าเสมอ แต่ข้ามิได้สั่งสอนให้เจ้าทำตัวชั่วร้ายเช่นนี้ !  มีสองสิ่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และตอนนี้เจ้ายังยืนยันที่จะกล่าวโทษจวินวูอี้อีกอย่างนั้นหรือ ?  แม้ว่าเจ้ามีความอาฆาตกัยชายผู้นั้น การใส่ร้ายแซ่ของเขาด้วยท่าทีเช่นนี้นั้นไม่ยุติธรรม ! ดังนั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่กล่าวถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความเป็น ปรปักษ์ของคนผู้นี้กัน ?   และต่อต้านสกุลเซี่ยวเพียงผู้เดียว ? ”


เห็นได้ชัดว่า เซี่ยวฮั่น ไม่ยอมอ่อนข้อ


” ปรปักษ์ ?  บางทีท่านอาจจะไม่เข้าใจ แต่คนอื่นๆเข้าใจนี่อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพียงแค่นั้น !   อย่างไรก็ตาม หากหลานของเจ้าไม่ยะโส เรื่องเหล่านี้คงมิเกิดขึ้น และหากสิ่งเหล่านี้เกิดจากการกระทำด้วยความแค้น เจ้าคิดจริงๆหรือว่าชายผู้นั้นจะมีเมตตาเช่นนี้ ? “


มูซื้อทงพูดขึ้นด้วยโทสะ


” กระทำอย่างเมตตา ?  ชายผู้นี้ไร้เมตตาและหยาบคายที่ละทิ้งเฟิงวูไว้ด้วยสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย  นอกจากสกุลจวินแล้ว ข้าไม่คิดว่ามีก๊กเหล่าใดในเมืองเทียนเชียงที่มีความเกลียดชังต่อสกุลเซี่ยว และกระทำการอย่างชั่วช้า เมื่อถูกคุกคามด้วยสกุลเซี่ยวและ เมืองพายุหิมะขาว ! “


การโต้แย้งของ เซี่ยวฮั่น เริ่มฟังดูมีเหตุผลขึ้นมาบ้างแล้ว


” เช่นใดเจ้าจึงไม่บอกข้าว่า … ผู้ใดในสกุลจวินที่มีความแข็งแกร่เช่นนี้ ?!  เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่ามีผู้ใดในสกุลจวินที่มีพรสวรรค์มากพอที่จะเป็นยอดฝีมือหยกเชวียนในช่วงอายุของเจ้า ?! “


มูซื้อทงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยโทสะ


“ สายลับของพวกเราได้รวบรวมข้อมูลความแข็งแกร่งของสกุลจวิน รวมถึงเส้นสายที่เป็นความลับของพวกเขา เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้าว่าผู้ใดที่มีความเหมาะสมจะเป็นผู้ร้าย ? ”


” ตาเฒ่าผู้นั้น จวินจ้านเทียน …  เขามิได้เป็นสวรรค์เชวียนอย่างนั้นรึ ?  นี่เป็นงานที่ง่ายสำหรับเขา มีอะไรประกันได้ว่าเขามิได้ทำเช่นนี้ ?! ”


เซี่ยวฮั่น โต้แย้งกลับไป


ทุกคนในที่นี้เพ่งมองไปยังยังเขาราวกับเพ่งมองไปยังคนบ้า


เจ้าสงสัยในชายผู้นั้นจริงหรือ ?   เจ้าเสียสติไปแล้วหรือย่างไร ?  ลืมเรื่องอื่นไปซะ หากเจ้าคิดว่าผู้เฒ่าผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับโอกาสที่จะสังหารสกุลเซี่ยทั้งสกุล ข้าเชื่อว่าผู้เฒ่าผู้นั้นคงจะไม่วิ่งแก้ผ้าไปมาอย่างแน่นอน


” ผู้นั้น … คนผู้นั้นหนุ่มมาก และอ่อนวัยเกินกว่าจะเป็นสูงชายของผู้เฒ่าจวิน หรือตัวผู้เฒ่าจวินเอง ! ”


องค์หญิงน้อยเอ่ยขึ้น  องค์หญิงน้อยได้ยินถึงเรื่องความรักใคร่ของพี่สาวและจวินวูอี้อยู่บ้าง รวมถึงเรื่องราวบางอย่างของสกุลจวิน และประทับใจอย่างมากกับผลงานของสกุลจวิน


” องค์หญิงน้อยเจ้าคงไม่รู้ว่า ในโลกนี้มีเคล้ดบางอย่างที่สามารถปลอมแปลรูปลักษณ์เป็นผู้อื่นได้ … “


 เซี่ยวฮั่น รู้ว่ามันยากที่จะเอาชนะความเชื่อใจของทุกคนด้วยความผิดพลาดของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะปกป้องตัวเอง


“ ใช่ ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของจวินวูอี้พัฒนาไปถึงขั้นสวรรค์เชวียนแล้ว และเขาจะไม่ใส่ใจที่จะวิ่งไปทั่วเพื่อแก้แค้นสกุลเซี่ยว … ”


” เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้ารู้ดีถึงความพิการของจวินวูอี้ และเจ้ายังต้องการโต้แย่งอีกอย่างนั้นหรือ ?  เจ้าต้องการเอาอะไรจากเรื่องนี้ ? “


มูซื้อทงโต้กลับไปด้วยโทสะ


” หากเรากล่าวหาและสังหารจวินวูอี้ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ข้าเกรงว่า องค์หญิงคนโตคงจะกระโดดลงมาจากยอดเขาในเมืองพายุหิมะ และฆ่าตัวตายเพื่อไปพบกับคนรักของนางในโลกหน้า  เจ้าได้อะไรจากการบังคับให้คนรักทั้งสองกระทำเช่นนี้ ?! ”


ดวงตาของเซี่ยวฮั่ยแดงก่ำในขณะที่หายใจหอบด้วยโทสะ และแม้ว่าเขาจะเหนื่อยที่จะพูดหลายครั้ง …. ในที่สุดเขาก็ทำไม่ได้


” ข้ามั่นใจว่านี้มิใช่การกระทำของสกุลจวิน เพราะมีสิ่งหนึ่งที่ข้ายังมิได้พูดถึง ! “


ใบหน้าขององค์หญิงเผยถึงความหวาดกลัวในขณะที่นางคิดถึงอะไรบางอย่าง


” อะไรหรือ ? “


ทุกคนถามขึ้นขณะที่หันไปมองใบหน้าที่หวังกลัวของนาง


” หลังจากที่ชายผู้นั้นทิ้งพวกเราไว้เพียงลำพังในป่าเมเปิ้ล ทันใดนั้นทั่วทั้งป่า …  มันหายไปในทันที … “


ดวงตาขององค์หญิงน้อยเบิกกว่างด้วยความหวาดกลัวขณะที่นนางบรรยายเหตุการณ์นั้นด้วยน้ำเสียงขวัญหนี


“ทั่วทั้งป่ากลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นลมพัด … และทั้งป่านั้น …  หายไป …  และคงไว้เพียงพื้นที่โล่ง … พื้นที่อันว่างเปล่า …  ไม่มีสิ่งอื่นใดเลย ! ”


ผู้อาวุโสทั่งสามยืนขึ้นทันทีหลังจากได้ยินสิ่งเหล่านี้ แม้แต่ผู้อาวุโสเก้าผู้ที่กำลัง วุ่นอยู่กับการรักษาการบาดเจ็บของ เซี่ยวเฟิงวู เบื้องต้น ก็ไม่เว้น ปล่อยให้เด็กหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บกระอักเลือดออกมาจากปาก


” เป็นจริงเช่นนั้นหรือ ?   เจ้ามั่นใจหรือว่าสิ่งที่บอกพวกเรานั้นถูกต้อง ? ”


ผู้อาวุโสทั้งสามเอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน  ไม่มีผู้ใดสามารถกล่าวหาผู้อาวุโสทั้งสามถึงความตื่นตระหนกได้หลังจากที่ได้ยินเรื่องเช่นนี้ เพราะแม้แต่ผู้ที่มีความรู้และประสบการร์ดั่งเช่นพวกเขาก็ไม่เคยได้ยินถึงปรากฏการณ์เช่นนี้ แม้แต่ในตำนาน !   เหตุการณ์นี้ เกินว่าความเสียหายที่เกิดจากปราณเชวียนไปแล้ว !


เมืองพายุหิมะขาว ส่งคนมากมายออกไปเพื่อพยายามรวบรวมวัตถุและสมบัติทุกชนิด เพื่อศึกษาและค้นกว่าเพื่อหาสมบัติหายากที่ปลดขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ต่อปราณเชีวยน ! 


ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าปฏิกริยาของผู้อาวุโสทั้งสามนั้น แสดงออกถึงความกังวลเมื่อได้ยินว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถเช่นนนี้ได้ !


” ข้าจักติดตามองค์หญิงน้อยไปยังป่าเพื่อดูสิ่งนี้ด้วยตัวข้าเอง  เซี่ยวฮั่น เจ้าจงติต่อกับ ราชวงศ์แห่งเมือเทียนเชียงโดยเร็ว และ ร้องขอหมอหลวงจากพวกเขา ใช่ทุกอย่างใน หอมณีวิจิตร เพื่อรับประกันว่า ความบาดเจ็บของเด็กผู้นี้จะได้รับการฟื้นฟู  น้องเก้า เจ้าจงอยู่ที่นี่ และดูแล หอมณีวิจิตรไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจงส่งพิราบสื่อสารกลับไปยังเมืองพายุหิมะขาว เพื่อสอบสวนหากนี่คือการกระทำของ คฤหัสน์ฉือฮั่น .. แม้ว่ามันอาจจะมิใช่  มูซื้อทง เจ้าจงติดตามน้าหกของเจ้าไปยังที่พำนักสกุลจวิน และต้องประเมินปฏิกริยาของพวกเขาต่อสถานการณ์นี้ เพื่อตรวจสอบว่าว่าพวกเขามียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ในสกุลหรือไม่  แม้ว่าพวกเขาจะมิได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่พวกเขายังคงเป็นผู้ต้องสงสัย  แยกกันดำเนินการจำเป็นต้องได้รับการจัดการในทันที และพวกเราจะแยกกันดำเนินการ และดำเนินการพร้อมกัน “


ผู้อาวุโสสามออกคำสั่งด้วยท่าทีสงบและสุขุม

 

 

 


ตอนที่ 217

 

” ขอรับ ! ”


ทุกคนตอบรับในเวลาเดียวกัน 


ต้องยอมรับว่าแผนการของผู้อาวุโสสามนั้นมีเหตุผล เขาตั้งใจส่งมูซื่อทงไปยังสกุลจวินแทนเซี่ยวฮั่น เนื่องจาก เซี่ยวฮั่น อาจจะก่อปัญหาที่ จวนสกุลจวินได้โดยการกล่าวหาพวกเขา    


ผู้นำนครได้มอบภาระความรับผิดชอบที่สำคัญและอ่อนไหวให้แก่ผู้อาวุโสสามในกระหว่างการออกเดินทางของเขาในครั้งงนี้ อย่าก่อปัญหาแก่สกุลจวิน ! 


ผู้อาวุโสสามหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น ความจริงแล้ว อุบัติการทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสกุลจวินนั้นเป็นความลับอย่างยิ่งยวด และมีเพียงสกุลเซี่ยวเท่านั้นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในขณะที่ผู้อื่นได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้หลังจากนั้นมาก แม้ว่าสถานการณ์จะสงบลงอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังนำพาถึงผลลัพธ์ที่ตึงเครียด  เมื่อมาถึงเรื่องนี้ แม้แต่ภายใน เมืองพายุหิมะขาว เองยังแบ่งแยกเป็นส่องก๊ก พวกเขามีเหตุผลเป็นของตัวเอง และยังเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขมาจนถึงทุกวันนี้


ส่วนตัวแล้ว ผู้อาวุโสสามมิได้มีความคิดปองร้ายกับสกุลจวิน แต่ก็มิได้ประทับใจในพวกเขาเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกเห็นใจเมื่อพูดถึงองค์หญิงคนโต ซึ่งในใจเขานั้น รู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับนิสัยใจคอที่ดื้อดึงของเซี่ยวฮั่น


จากความคิดเห็นส่วนตัวของเขา ความกดดันของเหล่าผู้อาวุโสนั้นนำพาสิ่งใดมา ?  แม้ว่าพวกเขาจะเตรียมการจัดพิธีแต่งงาน แต่ในเมื่อฝ่ายเจ้าสาวไม่ยินยอม เจ้าบบ่างจึงทำได้เพียงลำบากใจ ! หากพวกเขาโดนบังคับให้คลุมถุงชน มันจะเพียงแต่นำพามาซึ่งความไม่พอใจ และปูทางไปสู่ชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข


อย่างไรก็ตาม เขาเองก็โกรธาอย่างมากที่องค์หญิงคนโตและจวินวูอี้หาทางหนีไปยังอาณาจักรของพวกเขาจนได้  นั่นเป็นเพราะ เมืองพายุหิมะขาว แบ่งออกไปสองฝักฝ่าย และมุ่งร้ายต่อกัน ทว่าองค์หญิงกลับฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งหรือนาง สูญเสียความคิดและสติปัญหาไปแล้ว ในขณะที่นิสัยของเซี่ยวฮั่นยิ่งรุนแรงขึ้นทุกวัน และระยะห่างระห่างสกุลเซี่ยว และสกุลของนครเพิ่มมากขึ้น …เห็นได้ชัดว่าผลที่ตามมานั้นจะกลับกลายเป็นการทำลายสกุลจวินมากยิ่งขึ้น ! 


ความเร็วของผู้อาวุโสสามนั้นมากยิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าเขาจะนำพาองค์หญิงน้อย ฮั่นหยานเมิง ในขณะที่พวกเขามาถึงยังสถานที่เกิดเหตุ   ตอนนี้ผู้อาวุโสสามตะลึงงัน เมื่อยืนอยู่ในจุดที่จวินโม่เซี่ยกระทำทารุณ เซี่ยวเฟิงวู เนื่องจากเขาไม่พบอะไรเลยนอกจากแผ่นดินอันว่าเปล่า


” เด็กน้อย เจ้ามั่นใจหรือว่าเป็นที่นี่ ?  เจ้ามิได้นำพวกเรามาผิดทางใช่หรือไม่ ? ”


ผู้อาวุโสสามถามด้วยความประหลาดใจ


ไม่มีผู้ใดสามารถตำหนิเขาได้ พื้นที่ตรงนี้โล่งมากจนไม่มีแม้แต่หญ้าสักใบ  ทั่วทั้งรัศมีพื้นที่นี้ไร้ซื่งใบเมเปิ้ล และต้มไม้แม้แต่ต้นเดียว


มีป่าเมเปิ้ลอยู่ตรงนี้เมื่อไม่นานมานี้หรือ ?


ต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ !


หากพื้นที่นี้ถูกเผาไหม้จะต้องมีขี้เถ้าให้เห็นสิ


พื้นที่นี้ไม่มีอะไรเลย …  มันสะอาดอย่างมาก !


” นี่คือสถานที่นั้น ! ”


เด็กสาวพยักหน้าด้วยความมั่นใจ


” ปู่สามเจ้ามาดูสิ …  พี่เซี่ยนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนี้ ข้าไม่เคยลืมมันเลย ! ”


ผู้อาวุโสสามมองไปรอบๆอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังมิอาจเชื่อ และตัดสินใจมองหาคนแถวนั้นเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานที่นี้ และทั้งหมดที่เขาเห็นคนผู้คนที่เสียสติพร้อมกับธูปในมือ กำลังบูชาต่อสรวงสวรรค์เบื้องบน


ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์ !  ทั้งป่าหายไป ….


เขาถามคนแล้วคนเล่า และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยความตกตะลึงอย่างรุนแรง 


 พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นที่อยู่ของป่าเมเปิ้ล ! 


แต่กระนั้น ป่าเมเปิ้ลหายไปเมื่อไม่นานมานี้อย่างไม่ทราบเหตุผล … ตอนนี้ ผู้อาวุโสสามนึกอะไรบางอย่างออก


” สาวน้อย เจ้าพูดว่าชายผู้นั้นเปลือยเปล่าในตอนที่เจ้าเห็นใช่หรือไม่ ?   เขาเปลือยทั้งตัวเลยหรือ ?”


” ท่านปู่เหตุใดท่านถึงถามเช่นนี้ ? ”


แม้ว่าไม่มีผู้ใดหยิกแก้มของนาง แต่มันก็ยังแดงก่ำ


” เพียงแค่ตอบข้ามาว่าเขาเปลือยเปล่า ?  เขามิได้สวมใส่อะไรเลยตั้งแต่หัวจรดเท้า ?  และเขายังไม่รู้ตัวเลยหรือ ในตอนที่เจ้ามองเขาอยู่ ?  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ?”


ผู้อาวุโสสามาถามอีกครั้งด้วยท่าทางสง่า


” ใช่ ! ”


เด็กสาวค่อยๆคิดถึงเหตุการณ์นั้น และตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ


ใบหน้าของผู้อาวุโสสามซีดเผือกทันที !


ดูเหมือนว่า คนผู้นี้มายังสถานที่นี้เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาเฉพาะอะไรบางอย่าง และการฝึกฝนของเขาจะต้องทรงพลังอย่างมาก จนเขาแผดเผาทุกสิ่งอย่างให้หายไป แม้กระทั้งเสื้อผ้าของเขาเอง  อย่างไรก็ตาม เขาจะต้องมีส่วนในการฝึกฝนของตัวเองจนไม่รู้ถึงสิ่งนี้ในตอนที่จบการฝึก แต่มันกลับเปลี่ยนไป … เขาเผชิญหน้ากับ เซี่ยวเฟิงวู และ องค์หญิงน้อย ไม่นานหลังจากนั้น  เซี่ยวเฟิงวู ได้กระทำการหยาบคาย … และผู้ที่มีฝีมือเช่นนี้ไม่ชอบต่อการอวดดีของเด็กหนุ่ม …  นั่นพูดได้ว่า คนผู้นี้ละเว้นชีวิตของ เซี่ยวเฟิงวู ไว้อย่างแท้จริง


แต่ … ความแข็งแกร่งเช่นใดกันที่สามารถแผดเผาพื้นที่ใหญ่โตเช่นนี้ได้


ไม่น่าประหลาดใจนักที่ชายผู่นี้มิได้สนใจ เมืองพายุหิมะขาว  หากเขามีฝีมือเช่นนี้จริง ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่เกรงกลัวแม้ว่า เมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น จะร่วมมือกัน  ความแข็งแกร่งของ แปดยอดปรมาจารย์ รวมกันจะสามารถก่อให้เกิดสิ่งนี้ได้หรือ ?


แปดยอดปรมาจารย์ สามารถทำลายป่าเมเปิ้ลได้อย่างง่ายดายหากต้องการ แต่พวกเขาไม่สามารถลบล้างร่องรอยของมันได้ และไม่สามารถทำมันได้อย่างเงียบเฉียบเช่นนี้ !


คนผู้นี้ครอบครองพลังที่น่ากลัวเช่นไรกัน ?


และคนผู้นี้เลือกมายืนประจันกับเมืองพายุหิมะขาวแล้วในตอนนี้ !


เวลานี้ ความคิดผู้อาวุโสสามใส่ใจกับการแก้แค้นผู้ที่ตำหนิ หรือทำให้ เซี่ยวเฟิงวูบาดเจ็บ แต่กลับสนใจถึงความเป็นไปได้ ที่เมืองพายุหิมะขาวจะต้องเผชิญ เนื่องจากความโอหังของ เซี่ยวเฟิงวู


หากเขายั่วยุศัตรูที่มิอาจทัดทาน …  นี่อาจเป็นจุดจบที่เลวร้ายของเมืองพายุหิมะขาว !


” ไปเถิด !  พวกเรามุ่งหน้าไปยังสกุลจวินกัน ! ”


ผู้อาวุโสตัดสินใจเด็ดขาดเนื่องจากเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว 


หาก ปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้กำลังสืบสวน และค้นพบเกี่ยวกับคนของข้ามาขึ้น ข้าคาดว่าไม่มีสิ่งใดสามารถทดนทานต่อโทสะที่บ้าคลั่งของเขาได้  ข้าเกรงว่าเขาสามารถทำลายทุกคนและทุกสิ่งลงได้ แม้ว่าพวกเราจะหลบหนีไปยังเมืองพายุหิมะขาว ผลสุดท้ายยังคงเป็นเช่นเดิม


แม้ว่าเบื้องหน้า ผู้อาวุโสสามยังคงรักษษความสงบไว้ แต่ภายในกลับสาปแช่ง เซี่ยวเฟิงวูนับร้อยครั้ง 


 เจ้าเด็กเลวนั่นเรียกร้องจะเป็นผู้นำของสกุลเซี่ยวรุ่นใหม่ แต่เขากลับล้มเหลวในทุกสิ่ง   เขาไม่เคยสำเร็จในสิ่งใดเลยนอกเหนือจากความรวดเร็วในการเพาะปลูก และนำพาให้พวกเราพบพานกับปัญหาระดับโลกเสมอมา !  และครั้งนี้ นิสัยโอหังของเขานำพาให้พวกเราต้องเผชิญหน้ากับ พระเจ้าที่มีชีวิต !


ดูเหมือนว่ามันสำคัญที่ต้องล่าถอย และจำกัดการเคลื่อนไหวยอดฝีมือของเมืองพายุหิมะขาว และให้พวกเขาหลบซ่อนตัวไปก่อน การปรากฏตัวอย่างเย่อหยิ่งเปิดเผยและเอาแต่ใจของพวกเขาจะต้องถูกจำกัด


ปรมาจารย์ระดับเทพเจ้าเช่นนี้ มีอยู่จริงในโลกแห่งปุถุชน !


บรรยากาศสังสรรค์ในเมืองพายุหิมะขาวเศร้าหมอง และไม่รื่นเริง แต่ผู้หนึ่งในสกุลลี่นั้นเศร้าหมองและไม่รื่นเริงยิ่งกว่า ความจริงมันคือความโศกเศร้าแห่งความตาย …


ชายผู้หนึ่งได้รับบาดเจ็บจนถึงจุดที่ยากจะยื้อชีวิต ในขณะที่ซากซพของเพื่อนทั้งสี่ยังไม่ได้รับการเผาให้แล้วเสร็จ  ลี่โย่วหลานและพี่ที่ยังเหลือทั้งห้าของเขานั่ล้อมวงกัน แต่ละผู้แสดงถึงสีหน้าที่เศร้าสลด !  ความสนใจของพวกเขาจดจ่อไปยังการควานหาผู้ร้าย เจ้าของมีดบินที่ลึกลับในหลายวันมานี้ พวกเขาสืบสวนไปครึ่งค่อนเมือง แต่ก็ยังไม่พบข้อมูลใดๆ 


” ตอนนี้ พี่หกคืนสติแล้ว แต่ … ”


ใบหน้าไร้อารมณ์ของลี่โย่วหลานสะท้อนร่องรอยแห่งความเจ็บปวด


” แต่ข้าเกรงว่าเขาจะไม่สามารถยืนได้อีกแล้ว ! ” 


” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !  นี่จะเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว !   ศัตรูของพี่น้องเราต้องไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ! “


เล่ยเจียนฮ้ง ขบฟันจนสามารถได้ยินเสียงที่กระทบกันได้ เส้นเฃือดตรงหน้าผากของเขากลายเป็นสีเขียวด้วยโทสะ ในขณะที่ดวงตาดูราวกับจะพ่นเปลวไฟออกมา


” ทั้งหมดนี่เป็นเพราะข้า … มันเป็นเพราะความประสงค์ของข้า และหลงผิดคิดไขว่คว้าแกนเชวียน ซึ่งทำให้พี่หกต้องพิการ และส่งให้พี่น้องอีกสี่คนของข้าก้าวข้าวประตูสู่แดนมัจจุราชด้วยวัยเพียงนี้ … ”


แม้ว่า ลี่โย่วหลาน จะมีใบหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาของเขากลับนองด้วยน้ำตา ขณะที่เขาคุกเข่าลงด้วยเสียง ตุ๊บ


” พี่ใหญ่ ….  ข้า…. ข้าผิดไปแล้ว !  ข้าทำผิดต่อท่าน และข้าทำผิดต่ออาจารย์ …  ข้า….. ข้ามมันระยำ ! “


เล่ยเจียนฮ้งลุกขึ้นอย่างไว


” ลุกขึ้นก่อนน้องหนึ่ง นี่มิใช่ความผิดเจ้า ! ”


จากนั้นเขาจึงถอนหายใจและพูด


” แม้ว่าเจ้าเป็นต้นเหตุ ก็มิใช่ความผิดของเจ้าทั้งหมด  มีผู้คนมากมายตายลงด้วยน้ำมือของศัตรูตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นการต่อสู้ นี่คือวาระสุดท้ายในการงานของพวกเรา  หากยอดฝีมือที่กล้าหาญไม่เกรงกลัวต่อการตายภายใต้คมกระบี่ของผู้อื่น พวกเขาจะเดินทางไปทั่วอาณาจักรโดยไม่มีความหวาดกลัวหรือความหมายในชีวิต หากเราชนะในการแย่งชิงแกนเชวียนมาในครั้งนี้ ผู้อื่นก็จักต้องสูญเสียชีวิตพี่น้องของพวกเขาเช่นกัน และ บางคนจักต้องพบพานดชคชะตาที่โศกเศร้า  ยิ่งไปกว่านั้น การสูฐเสียนี้ก็เป็นความผิดพลาดของพวกเรา ดังนั้นเจ้าจักต้องไม่กลางโทษตัวเองสำหรับเรื่องนี้ น้องหนึ่ง ! “


” ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น พี่ใหญ่พูดถูก ”


โชคชะตาของจอมยุทธ์ทุกคนต้องจบลงด้วยคมกระบี่ของผู้อื่น แม้นมันเป็นความจริงที่โหดร้ายและโศกศเร้า แต่มันมิใช่สิ่งที่ต้องมาโสศกเศร้ากับความตาย


” หญิงสาวกระพริบตาขณะนางเอ่ยทั้งน้ำตา พวกเราจะต้องชำระแค้น และต้องชำระมันด้วยเลือด ! “


” ใช่ !  พวกเราต้องชำระมันด้วยเลือด ! ”


ทุกคนตะโกนพร้อมกัน


” ศัตรูของน้องหกนั้นคือผู้ที่ทรงพลังดั่งเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว  เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเชื่อว่า ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แม้ว่าข้าไม่เชื่อว่าข้าสามารถล้างแค้นเขาได้ … “


ลี่โย่วหลานเพ่งมองครุ่นคิดออกไป


” แต่ข้าจักไม่ใช่สิ่งใดในสกุลลี่เพื่อจัดการเรื่องนี้ ! “


” สำหรับพี่น้องทั้งสี่ที่จากไป ข้าได้ค้นหาห้องสมุดและคลังทุกที่ถึงที่มาของมีดบินเล่มนั้น และข้าได้ตำเนินการตรวจสอบทั่วทั้งเมืองหลวง แต่ก็ไม่พบร่องรอยเลยแม้แต่น้อย  แต่กระนั้น ข้าต้องพิจารณาใหม่ เมื่อข้าได้พบเหตุการณ์ที่พิเศษซึ่งเกิดขึ้นในเมืองก่อนหน้านี้ และข้าเชื่อว่าเหตุการณ์นั้นมีจุดเชื่อมโยงกับมีดบินเล่มนี้ … ”


ลี่โย่วหลานกล่าวขึ้นพร้อมด้วยใบหน้าจริงจัง


” เหตุการณ์อันใด ? “


เล่ยเจียนฮ้งและคนอื่นๆถามขึ้นพร้อมกัน


“ข้ามั่นใจว่ามีดบินเล่มนี้ไม่เคยมีในดินแดนนี้มาก่อน ! ”


ลี่โย่วหลานเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ


” อย่างไรกตาม ข้าได้ยินถึงเรื่องการลอบสังหาร องค์หญิงหลิงเมิงเมื่อเร็วๆนี้ มียอดฝีมือลึกลับและแข็งแกร่งได้ปล่อยมีดบินที่มีหน้าตาลึกลับออกมาซึ่งช่วยให้องค์หญิงหลบหนีออกมาได้  อย่างไรก็ตาม มีดบินเล่มนั้นยังคงเป็นของสะสมส่วนตัวขององค์หญิงมาตั้งแต่วันนั้น และไม่เคยมีผู้ใดได้เห็น และรู้ถึงหน้าตาที่แท้จริง … ”


มีบางคนที่ได้เห็นถึงหน้าตาที่แท้จริงของมีดเหล่านี้ แต่ตอนนี้พวกเขาลงนรกไปแล้ว  มือสังหารจวินได้สร้างมีดบีนของตัวเอง และคนส่วนใหญ่ที่ได้สัมผัสกับมีดเหล่านี้ต้องกระสบกับความตายในเวลาต่อมา เว้นแต่ องค์หญิงหลิงเมิง และ ยี่กู้ฮั่นเท่านั้น และ องค์หญิงหลิงเมิง ไม่เคยปล่อยให้มีดเล่มนี้ห่างจากตัวนางเลยนับแต่วันที่นางได้พบมัน


“น้องหนึ่ง เจ้าหมายความว่า …  องค์หญิงหลิงเมิงอาจจะครอบครองมีดที่มีหน้าตาเช่นนี้อยู่อย่างนั้นหรือ ? ”


ประกายหนาวเย็นเปล่งขึ้นในดวงตาของ เล่ยเจียนฮ้ง

 

 

 


ตอนที่ 218

 

” ข้าก็คลางแคลง ดังนั้นข้าจึงวางแผนเพื่อไปราชวัง และดูว่ามีเล่มนนั้นมีความคล้ายคลึงกับเล่มนี้หรือไม่ !”


ดวงตาลี่โย่วหลายเผยเจตนาของเขาอย่างโจ่งแจ้ง ขณะที่เขาต่อ


” หากไม่เหมือนกัน พวกเราจะไม่มีเบาะแสอันใดเลย “


” ใช่ หากมันเหมือนกันนั่นหมายถึง เจ้าชั่วขี้ขลาดนี่มีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหลิงเมิง และเมื่อเขาเคยช่วยนาง ข้าสงสัยว่าเขาจะอยู่เฉยหรือหากองค์หญิงมีอันตรายอีกครั้ง  หากพวกเราสามารถควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ได้ พวกเราจึงสามารถบังคับให้เขาแสดงตัวออกมาได้อีกครั้ง ! ”


เล่ยเจียนฮ้ง พยักหน้ารุนแรงระหว่างความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในตาของเขา


” อย่างไรก็ตาม น้องลี่จะพยายามเกี้ยวพาองค์หญิงหลิงเมิง ดังนั้นเราจึงถือว่านี่คือคนที่น้องลี่ให้ความสำคัญ  พี่ใหญ่ ท่านจักต้องแยกแยะ … หากผลีผลามทำองค์หญิงบาดเจ็บ มันจะเป็นอันตรายกับงานแต่งของน้องเล็ก ”


หญิงสาวเหลือบไปมองลี่โย่วหลานอย่างรวดเร็ว และเอ่ยอย่าเชื่องช้าขณะวางตาลงไปที่พื้น


” ใช่ พี่สามถูกต้อง พวกเราจะต้องใส่ใจในเรื่องนี้ให้มาก ”


เล่ยเจียนฮ้งพยักหน้า   อาจยอมรับได้ว่าชายผู้นี้มีนิสัยไม่กล้าแสดงออก และจะทำให้ทุกคนสนใจและคิดเห็นเช่นเดียวกับเขา


” ข้าไม่เห็นด้วยกับพี่สาม “


ลี่โย่วหลาน เอ่ยด้วยน้ำเสียงโอหัง


” แม้นว่าหน้าตาและสถานะของนางน่าประทับใจ แต่นางยังคงเป็นคนอื่นไกล แม้นวันหนึ่งนาจะเข้ามาสู่สกุลลี่ พวกเราก็ยังเป็นพี่น้องกันมาก่อน ดังนั้นพวกเราควรเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ใหญ่ตัดสินใจเมื่อมันเกี่ยวกันกับเรื่องการตายของพี่ทั้งสี่ของข้า  ข้าไม่ยอมรับในการตัดสินใจของพี่ใหญ่ และคำสั่งของเขา !  หากเลือดเพียงเล็กน้อยสำคัญกับการล้างแค้นให้พี่ทั้งสี่ ข้าจะหลั่งให้ ไม่ว่ามันจะเป็นของข้า หรือ หลิงเมิง ! ”


” น้องเล็ก … ! “


เล่ยเจียนฮ้งเคลื่อนไหวเล็กน้อย และเมื่อได้เห็นถึงแววตาของ ลี่โย่วหลาน ทำให้เขาตื่นเต้นอย่างมาก


” ความคิดเห็นของน้องเล็กนั้นจะไม่เกิดขึ้น และเราจะเดินต่อไปนับพันลี้ !  แม้นว่าพี่ทั้งสี่จะตายไป แต่พวกเขาได้พักผ่อนอย่างสงบในอเวจีเบื้อล่างแล้ว ! ”


ทุกคนพยักหน้ายอมรับเมื่อเห็นสีหน้าของ ลี่โย่วหลาน และจากนั้นค่อยๆ อ่อนใจต่อเขา


” ท่านอาจารย์เอ่ยว่า ท่านจะมาจัดการกับเรื่องของพี่หกด้วยตัวเอง แต่ข้าเกรงว่านั่นจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าเขาจะมาถึงเมื่อเทียนเชียง  ท่านพี่ทั้งหลาย โปรดยับยั้งความโศกของท่านในเวลานั้น และอย่าได้ผลีผลาม  สำหรับเรื่องของมีดบินนั้น จงวางใจให้ข้า ”


ลี่โย่วหลานถอนหายใจ


” แต่กระนั้นข้ารู้สึกผิดอย่างมากที่รบกวนการฝึกฝนของท่านอาจารย์ …  เป็นผิดมหันต์ที่ข้าจะไม่อภัย แม้นต้องตายนับพันครั้ง … “


” น้องเล็ก เจ้าไม่รู้หรือว่า ท่านอาจารย์ตามใจเจ้ายิ่งกว่าศิษย์ผู้อื่น ? “


ทุกคนพูดขึ้นอย่างอบอุ่นเพื่อปลอบ ลี่โย่วหลาน บรรยากาศความกลมเกลียวกันก่อเกิดขึ้นในทันที


สกุลลี่ จัดหาสิ่งของต่างๆ ทั้งหาอารเครื่องนุ่งห่มให้แก่สำนักลี่วูเบ้ยตั้งแต่ที่เขารับ ลี่โย่วหลานเป็นศิษย์  เขามอบสิ่งของจำนวนมากให้แก่อาจารย์มานับปี ความสัมพันธ์ระหว่าง ลี่โย่วหลาน และอาจารย์ของเขาจึงเป็นเป็นสมาชิกในสกุล แม้นพวกเขาถูกแบ่งแยกด้วยหุบเขาและผืนน้ำ เล้ยวูเบ้ยจึงกระทำตัวดั่งคนในสกุลหากสกุลลี่ต้องการ ความจริงแล้ว เขาอาจจะชอบมากกว่า


สามารถบอกได้ว่า เล้ยวูเบ้ยเอาใจลี่โย่วหลาน และมีบทบาทที่ทำให้ เด็กหนุ่มเสียนิสัยยิ่งกว่าปู่ของเขาเสียอีก


” แต่กระนั้น เราก็มิอาจอยู่เฉยก่อนท่านอาจารย์จะมาถึง ”


ดวงตาของ ลี่โย่วหลานเผยความปราถนาที่แรงกล้า


” ท่านพี่ ท่านรู้ว่าแหล่งข่าวของเราในตอนนี้มีจำกัด และคนของเราต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่มากมายภายในอาณาเขตเมืองเทียนเชียง  ดังนั้น น้องของท่าจึงต้องการความช่วยเหลือจากท่านอย่างเร่งด่วน แต่ข้าได้สูญเสียท่านไปหนึ่งคน และการจะขอท่านเช่นนี้ .. ข้าพูดไม่ออก … “


” พวกเราคือพี่น้อง เหตุใดสกุลของเจ้าจึงมิใช่เรื่องสำคัญของเรา ?  บอกพวกเรา อะไรรบกวนเจ้า ? “


เล่ยเจียนฮ้งถามด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง  ตอนนี้เขามีความรู้สึกมากมายยิ่ง ดังนั้น เขาจึงอยากสัญญาในสิ่งต่างๆที่ลี่โย่วหลานร้องขอ !


” ขอบคุณ พี่ใหญ่ “


ใบหน้าของลี่โย่วหลาน ปกคุมด้วยความลำบากใจและทุกข์โศก


” ปัญหาของข้านั้นอยู่ในโลกใต้ดินของเมืองนี้  ข้าเคยใช้เหล่าก๊กใต้ดินเพื่อควบคุมส่วนเหนืองของเมืองหลวง แต่ด้วยปัจจัยต่างๆตั้งแต่เกิดเหตุที่สกุลถัง จึงเป็นผลให้เครือข่ายของข้าต้องหยุดชะงัก ซึ่งทำให้ข้าต้องลำบากอย่างมาก  ข้าควรจะได้รับข่าวสารต่างๆได้ทันเวลาย แต่ข้าก็ทำไม่ได้ … “


” ก๊กใต้ดิน ?  ฮ่าฮ่า พวกเขามีปัญหาอันใดกัน ! “


เล่ยเจียนฮ้งยิ้มอย่างชั่วร้าย


” เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเราได้รับความหดหู่อย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถยั่วยุความแข็งแกร่งของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้แต่เด็กๆพวกนี้เป็นหนทางที่ดีที่เราสามารถระบายความโกรธออกไปได้ ดังนั้นจึงอย่าได้กังวลไปน้องเล็ก พวกเราจะรวบรวมโลกใต้ดินกลับมาให้เจ้าก่อนท่านอาจารย์จะมาถึง !  และพวกเราจะมองมันให้แก่เจ้า ! ”


” ขอบคุสำหรับความช่วยเหลือพี่ใหญ่ !  ข้าสามารถวางหินก้อนใหญ่ที่ทับอกข้าได้แล้ว !  ความแข็งแกร่งของสกุลลี่จะสูงส่งขึ้นอีกครั้ง จากการช่วยเหลือของพวกท่าน ! ”


ลี่โย่วหลาน ขอบคุณสหายของเขาด้วยความสุข จากนั้นกัดฟันอย่างโศกเศร้าและโกรธเคือง


” ข้าควรสนใจเรื่องการเข้าไปสืบหาเบาะแสศัตรูของเราในราชวัง แต่สำหรับข้าแต่ละวันผ่านเลยไปนานนับปี …  หากข้าไม่สามารถค้นหาศัตรูที่พรากเอาชีวิตของพี่ทั้งหลายไปได้ แล้วข้าจะมีอะไรที่ดีบ้าง ?”


” ไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับสกุลของเจ้า น้องเล็ก !  เมื่อเจ้าเข้าไปสู่ราชวังด้วยจุดประสงค์ที่ใหญ่เช่นนี้ ข้าจึงขอให้เจ้าระมัดระวังอย่างมากในขณะที่สืบสวนและเสาะหาเกี่ยวกับ มีดบิน พวกเราจะรอเจ้ากลับมาพร้อมกับข่าวดีในความสำเร็จของเจ้า ! ”


เล่ยเจียนฮ้งและคืนอื่นๆยืนขึ้น ใบหน้าของพวกเขามีความจริงจัง


” ขอรับพี่ใหญ่  แม้นว่าพวกเราต้องการอำนาจนี้ แต่สกุลลี่ก็มิอาจเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปได้ และพวกเราจะจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างลับๆ … ”


ลี่โย่วหลานยิ้มขณะที่เตือนพี่น้องถึงจุดวิฤตนี้


” ดังนั้น การกระทำต่างๆจึงต้องประเมิณอย่างรอบคอบ ”


” อีกทั้ง พวกเราเข้าใจธรรมชาติของงานี้อย่างชัดเจน !  น้องเล็ก เจ้าอย่างได้เคร่งเครียดมากไป พวกเราจะจัดการเรื่องนี้เอง “


 เล่ยเจียนฮ้งหัวเราะออกมา


เมื่อสังเกตุเห็นความบังเอิญที่น่าทึ่งนี้ !


ลี่โย่วหลาน และ จวินโม่เซี่ย อาจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ถึงความเกี่ยวของของอีกฝ่าย และตัดสินใจเลือกตัวเลือกเดียวกันในเวลาเดียวกัน !  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเลือกเป้าหมายเดียวกันด้วย !


โลกใต้ดินของเมืองหลวง !


ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการของเด็กหนุ่มทั้งสองยังเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ !


จวินโม่เซี่ย หลอกล่อ ไฮ่เฉินเฟิง ด้วยความปราถนา และ ตัดสินใจหาประโยชน์จากสถานการณ์ จากนั้นเขาจึงเพิ่มความปราถนาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และเลือกใช้ตัวตนของเขาเพื่อปกป้องตำแหน่งของสกุลจวิน และทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย 


ในอีกมุมหนึ่ง ลี่โย่วหลาน ได้ใช่อารมณ์ความรู้สึกของสหายเพื่อทำให้บรรลุในวัตถุประสงค์เดียวกัน


แม้ว่าวิธีที่แต่ละคนใช้นั้นมีคุณและโทษ ในทางใดทางหนึ่ง แต่ทั้งสองกลุยุทธ์นั้นช่างไร้ยางอายและน่ารังเกียจ


จวินโม่เซี่ยบรรลุวัตถุประโดยโดยการเหวี่ยงเบ็ดหรือตะขอ


ลี่โย่วหลานก็บรรลุวัตถุประสงค์โดยการใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง และไม่เหลือที่ว่างให้เพื่อของเขาเลย !


อีกสิ่งที่ตรงกันอย่างน่าประหลาดใจคือความจริงที่ทั้งสองใช้ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนในเมืองหลวงนี้ !  สิ่งที่แตกต่างคือผู้รับใช้ของจวินโม่เซี่ย ไฮ่เฉินเฟิงนั้นเริ่มต้นในระดับที่สูงกว่า แต่ลี่โย่วหลานนั้นได้เปรียบในเรื่องของกำลังคน  ในจุดนี้ เกมส์จึงสมดุลย์


ทั้งสองจึงมั่นใจในตำแหน่งของตัวเองอย่างมาก รู้สึกถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ !


เงาของเด็กทั้งสองนั้นทาบทับไปยังเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในเมืองก่อนหน้านี้ และสัมผัสได้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นๆอีกมากมาย  หากฝ่ายหนึ่งอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ความวุนวายคงจะไม่น่ากลัวเช่นนี้ !  อย่างไกร็ตาม แม้ว่าทั้งสอง กำลังปลุกปั่นความวุนวายในสวรงสวรรค์อยู่นั้น แต่ไม่มีใครรู้ถึงการมีส่วนร่วมของอีกฝ่าย


ความจริง ทั้งสองคิดในสิ่งเดียวกัน พวกเขาต้องการบงการเหตุการณ์ต่างๆอยู่เบื้องหลัง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ต้องการจะปรากฏตัวออกมา แม้จวินโม่เซี่ยจะรู้ถึงการมีอยู่ของ ลี่โย่วหลาน และรู้ว่าลี่โย่วหลานนคือบุตรบุญฑรรมของสกุลลี่ แต่เขาไม่เคยถือว่า ลี่โย่วหลาน คือคู่แข่ง เนื่องจาก ลี่โย่วหลานนั้นไม่คู่ควรในความคิดของเขา !


อะไรทำให้คนที่ไร้ประโยชน์อย่างลี่โย่วหลาน ถึงมีค่าคู่ควรกับผู้ที่หยิ่งทะนองอย่าง จวินโม่เซี่ย ?


ในอีกมุมหนึ่ง ถึงแม้น ลี่โย่วหลาน จะรู้ถึงการมีอยู่ของ จวินโม่เซี่ย แต่เขาก็ไม่มีค่าแม้แต่น้อยในสายตาของ ลี่โย่วหลาน …


คนเสเพลจะมีค่าเพียงพอจะเป็นคู่แข่งกับนายน้อยลี่ได้อย่างไรกัน ?  เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจจวินโม่เซี่ยแม้แต่น้อย !


แม้ว่าพวกเขาไม่รู้ถึงการกระทำของอีกฝ่าย ทั้งสองก็ดูถูกกันและกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขายังทำในสิ่งเดียวกัน และใช่วิธีการเดียวกัน  การต่อสู้ที่แท้จริงครั้งแรกของชายทั้งสองนั้นกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว


และแม้นว่าการประทะกันของชายทั้งสองกำลังจะอุบัติขึ้น มันก็ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นในความมืด พร้อมกับตัวเลือกของทั้งคู่ก็ถูกเก็บซ่อนไว้ …


แม้นว่าปราณเชวียนของพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกัน เชวียนทองสูงสุด และทั้งสองมีกองกำลังเป็นยอดฝีมือ สวรรค์เชวียน สนับสนุน  จวินโม่เซี่ย ได้รับการหนุนหลังจาก ไฮ่เฉินเฟิงและอาจารย์สีฟ้า เมิงฮ้งเฉิน ในขณะที่ เล่ยเจียนฮ้งได้รับการสนับสนุนจาก อาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย


แม้ในเรื่องนี้ ตัวหมากก็ยังอยู่ในระดับเดียวกัน !


ผู้ใดจะชนะ ?  และ ผู้ใดจะแพ้ ?


แม้นไม่เอ่ยถึงผู้ชนะหรือแพ้ แปดยอดปรมาจารย์ทั้งสอง เล้ยวูเบ้ย และ เมิงฮ้งเฉิน ก็ถูกกำหนดมาให้เกลียดชังกันอยู่แล้ว !


การช่วงชิงการครอบครองโลกใต้ดินของเด็กหนุ่มทั้งสอง จะปลดปล่อยตัวละครที่น่าสะพรึงมากมายสู่โลก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจะก่อให้เกิดความมวุ่นวายอย่างหนัก บอกได้ว่า การกรพทำที่น่าประหลาดใจเช่นนี้สามารถสร้างได้โดยสวรรค์เบื้องบนเท่านั้น นี่คือการลิขิตของผู้เป็นเจ้า !


 ~ จวนสกุลจวิน ~


ไฮ่เฉินเฟิง ลอบออกไปหลังจากได้รับมอบหมาย และพร้อมที่จะรวบรวมโลกใต้ดินแล้ว


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เลือกอยู่กะบสกุลจวิน และ ไฮ่เฉินเฟิงไม่ชอบที่จะก่อปัญหา ยกเว้นว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงพอ คนเช่นจวินโม่เซี่ยเท่านั้นที่สามารถบงการพวกเขาได้ตามอำเภอใจ


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จดจ่อตัวเองอยู่กับการฝึกฝย และแม้ว่า จวินโม่เซี่ยปลุกระดมเขาจนเหนื่อยอยู่หลายครั้ง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็หาได้สนใจเขาเนื่องจากการฝึกฝนได้ครอบงำเขาไว้แล้ว จนถึงจุดที่เขามิได้สนใจในความอ่อนแอของร่างกาย


สาวน้อยกำลังรินน้ำชา และถอยหลังไป เจ้าอ้วนถังพยายามทำตัวให้ดีที่สุดในประตูถัดไป มากจนถึงขั้นที่พยายามควบคุมลมเสียงลมหายใจ ไม่กล้าไอหรือผายลง โดยกลัวว่าเพียงแค่การเคลื่อนไหวเพียงเล้กน้อยจะทำให้เขาได้รับตั๋วไปยังอเวจี …


ทุกอย่างสงบลง ณ. จวนสกุลจวิน …


เหตถที่เป็นเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฝีมืออันแสนพิเศษของจวินโม่เซี่ย …


 

 

 


ตอนที่ 219

 

ตอนนี้ นายน้อยจวินเบื่อและหงุดหงิดมาก หลังจากสั่งสอนบางท่วงท่าของเคล็ด เก้าอินทรีย์แปลงกาย ให้แก่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เพื่อคลายความคลางแคลงใจของเขา และหลังจากเฝ้าดูเขาฝึกฝนหนึ่งครั้ง นายน้อยจวินจึงผละออกมาและปล่อยให้เขาฝึกฝนด้วยตัวเอง


ข้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นครู ! นายน้อยจวิน


บ่นกับตัวเองขณะจากไป

กวนเซียงฮั่น ยืนอยู่กลางลานบ้านเล็กๆของเขา พร้อมสีหน้าที่สับสนและเยือกเย็นในขณะที่รูปร่างของนาง ดูละม้ายคล้ายกับเกล็ดหิมะที่โดดเดี่ยว ตรงข้ามกับบรรดาพฤษาที่ห้อมล้อมนางไว้ เนื่องเพราะชุดสีขาวที่นางสวมใส่อยู่


” พี่สะใภ้ ท่านมาตั้งแต่เมื่อใหร่กัน ? เหตุใดท่านถึงไม่ให้เคอน้อยบอกข้า ? “


จวินโม่เซี่ยย่างเข้าใกล้นางอย่างสุขุม

ใบหน้าราวกับโลงศพของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นั่นต่างจากสีหน้าอันเยือกเย็นราวน้ำแข็งของกวนเซียงฮั่น ซึ่งดูคล้ายกลับหิมะที่ปกคลุมภูเขาไว้ แม้จวินโม่เซี่ยจะมักคุ้นกับสีหน้าของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่สีหน้าของ กวนเซียงฮั่น ดูเหมือนจะกระตุ้นมหาสมุทรแห่งเลือดท่ามกลางสวรรค์ที่หสวยงามในใจเขา

นี่คือสายตาที่น่าอัศจรรย์และพึงพอใจหรือ


” ก่อนหน้านี้เจ้ากำลังยุ่ง ดังนั้นข้าจึงไม่รบกวนเจ้า ! “


สีหน้าของกวนเซี่ยงฮั่นมักจะเยือกเย็น แต่ดูเหมือนจะยิ่งสับสนมากขึ้นในวันนี้ ดวงตาที่เศร้าโศกเยือกเย็นและหมกมุ่นของนาง เพ่งมองไปยังดอกไม้ในลานบ้านขณะพูดน้ำเสียงอ่อนแรง


” แม้นจะเสาะหาไปทั่วทั้งเมืองหลวงก็มิอาจพบเจอหมู่พฤษาที่เขียวชะอุ่มดั่งลานบ้านสกุลจวิน ตอนนี้คือสาทรฤดู และพืชพรรณเหล่านี้ควรห่อเหี่ยว .. น่าประหลาดใจที่ยังคงชุ่มช่ำ “


” และท่ามกลางลานสกุลจวิน ของเจ้า ของข้า และน้าสามนั้นมีดอกไม้ที่ยังเขียวชะอุ่มเมื่อเทียบกับส่วนอื่น และท่ามกลางลานบ้านของพวกเราทั้งสาม ของเจ้านั้นชุ่มชื่นกว่าของข้าและท่านน้าสาม …ข้าดูแลพืชพรรณของข้าอย่างละเอียด แต่เจ้าไม่แม้แต่จะหันมองพวกมัน … ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจัดการมันเช่นไร … นี่คงมิใช่สิ่งลึกลับ ? “


จวินโม่เซี่ยตกตะลึงพูดไม่ออก

เขารู้ถึงความช่างสังเกตุของ กวนเซียงฮั่นในตอนนั้น แต่เขาไม่สามารถปกปิดข้อบกพร่องนี้ได้ ! อย่างไรก็ตาม คำพูดของนางนั้นดูเหมือนมั่นใจมากกว่าการสังเหตุอย่างไม่เป็นทางการ

เขาฝึกฝนอยู่เสมอ จึงมีปราณสะสมอยู่รอบๆตัว หรือเป็นลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจาก เจดีย์หงษ์จวิน แม้ว่า มนุษย์จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงปราณนี้ แต่พืชพรรณนั้นช่างอ่อนไหวต่อมันอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ปราณเหล่านี้มีส่วนทำให้พวกมันเติบโต และแม้ว่ามันจะเป็นช่วงปลายสาทรฤดู เหล่าพืชพรรณที่อยู่ในลานบ้านของนายน้อยจวินยังคง สะพรั่ง ทำให้พื้นที่บริเวณนี้สวยงามในสายตาของมนุษย์ในขณะพื้นที่อื่นห่อเหี่ยว ซึ่งมันตรงข้ามกับความเข้าใจอย่างสิ้นเชิง

นายน้อยจวินตระหนักถึงความจริงนี้มานานแล้ว แต่เขาไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้


ทุกผู้คนต่างคุ้นชินกับสิ่งนี้เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าดอกไม้จะเบ่งบานแม้ในช่วงใบไม้ร่วงหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แต่กระนั้น บริเวณนี้ดึงดูดสายตาของมนุษย์มากเกินไป หากมันยังคงเบ่งบานและเขียวชะอุ่มแม้ในช่วงเหมันตฤดู… เมื่อเวลานั้นมาถึง แม้แต่คนโง่เง่าก็สามารถบอกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ …


” ไม่มีอะไรแปลกสำหรับพวกมัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ฮวงจุ้ยที่แสนวิเศษของสกุลจวิน ฮ่าฮ่า .. ดังนั้นข้าคาดว่า มันจะดีหากเจ้ามาที่นี่อย่างมาีความสุขและใช้ชีวิตอย่างร่าเริงในสกุลจวินเรา พี่สะใภ้ ฮ่าฮ่า … “


แม้นว่าภายนอกจวินโม่เซี่ยจะหัวเราะ ในสมองของเขากำลังคิดหาหนทาางแก้สถานการณ์นี้ นี่ใช้การไม่ได้ ข้าจะสับเปลี่ยนดอกไม้เหล่านี้กับพลัมบุปผา ซึ่งมันจะเติบโตได้แม้นในช่วงเหมันตฤดู …


” เอ่อ ข้ามีความสุขและชีวิตที่ร่าเริ่ง … “


ดวงตาของกวนเซี่ยงฮั่นยังคงเพ่งมองไปยังใบไม้สีเขียวขณะพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนกำลัง


” ใช่ ข้ามีความสุขจริงๆ … “


จวินโม่เซี่ยสัมผัสถึงความผิดปกติในคำพูดของเขาได้ทันที และรู้สึกอยากจะตบปากตัวเอง ! โดยไม่คำนึงถึงสถานะ สะใภ้ ของนาง และความเคารพ กวนเซียงฮั่นยังคงเป็นหม้ายตราบจนวันสุดท้าย อะไรละที่มีความสุข ?


” เจ้าใช้เวลาไปมากและเหน็ดเหนื่อยในหลายวันมานี้ “


กวนเซี่ยงฮั่นเครียความคิดของนางเล็กน้อย และรอยยิ้มบางๆแต่ไม่ค่อยมีให้เห็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง


” น้องสาม ข้าขอถามเจ้าบางอย่าง .. ได้ไหม ? “


” โปรดถามมา พี่สะใภ้ และข้าจะตอบทุกอย่างหากข้าสามารถ “


จวินโม่เซี่ยตอบกลับทันที


” แม้นข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำได้อย่างไร แต่ข้าได้ยินท่านน้าสามเอ่ยว่าเจ้าอ้างว่าสามารถแก้ปัญหาของ คฤหัสน์ฉือฮั่น ได้แล้ว แม้นท่านน้าดูมั่นใจ แต่ข้ายังคงไม่เชื่อ ดังนั้นในเมื่อเจ้าอยู่ต่อหน้าข้า บอกข้ามา … เจ้าได้จัดการมันแล้วหรือ ? “


ศรีษะของกวนเซี่ยงฮั่นยังคงก้มต่ำขณะดวงตานางจับจ้องบุปผาตรงหน้า สายลมพัดผ่าน แง้มผมของนางออก เผยถึงผิวหน้าที่เรียบเนียนและอ่อนโยน


” หากพูดไป … เป็นเพียงแค่การจัดการเพียงชั่วคราว … “


จวินโม่เซี่ยมองผิวพรรณที่สวยงามของนางอย่างไม่ตั้งใจ และเพราะเขาไม่ต้องการจะมองไปที่นาง แต่เขาแอบมองอย่างรวดเร็วเนื่องจากมันเป็นโอกาสที่หาได้ยาก


” หากเจ้ามั้นใจ ข้าจะละทิ้งความคลางแคลงและเชื่อ แม้นข้าไม่รู้ว่าเจ้าออกไปใหนและไปทำอะไรในวันที่ผ่านมา แต่มันเป็นเพียงสิ่งดีกัลสกุล และสิ่งที่เจ้ากำลังทำนี้เพียงเพื่อรับมือกับ เมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น ใช่หรือไม่ ? “


กวนเซียงฮั่นยิ้ม


” เมื่อข้าได้ยินท่านน้าสามพูดเรื่องนี้ น้ำเสียงของเขานั้นลึกซึ้ง จากความเข้าใจของข้า ท่านน้าสามยกย่องเพียงท่านปู่ และท่านพ่อตาในเรื่องนี้ โดยไม่มีผู้ใดอื่น เจ้าคือคนที่สามที่เขายกย่องอย่างยิ่ง ! “


ท้องของจวินโม่เวี่ยป่องขึ้นเพื่อควบคุมสิ่งที่เขามิได้เอ่ย


ท่านน้าเหตุใดท่านจึงปากรั่วเช่นนี้ ..


และยกย่องข้าหมายความว่า ? เจ้าอาจอธิบายถึงสิ่งที่ข้าทำ …


” นั่น .. มัน … ฮี่ฮี่ ความจริงแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องของโอกาส “


จวินโม่เซี่ยแตะจมูก ไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังเอ่ยอะไร เนื่องจากดวงตาเขายังคงจับจ้องผิวพรรณอันเรียบเนียนของนาง ในอีกมุมหนึ่งกวนเซี่ยงฮั่นก็ไม่รูเ่ลยว่าน้องเขยของนางแอบมองอยู่เนื่องจากนางยังคงก้มหัว


” ข้ายังได้ยินท่านน้าพูดว่า เจ้าปล่อยให้ข้าชนะในครั้งสุดท้ายที่เราถกเถียงกัน เขาบอกว่าฝีมืองเขาเจ้านั้นล้ำหน้าเกินกว่าข้ามากและเจ้ายังฝึกฝนเพื่อควบคุมให้ไม่ทำให้ข้าบาดเจ็บ … “​


ร่องรอยเลือดฝาดบนผิวของนางปลุกเร้าจวินโม่เซี่ยอย่างมาก และหยุดตัวเองไม่ให้เหลือบมองนางได้

จวินโม่เซี่ย กลืนน้ำลายคำใหญ่ ตอบอย่างยากลำบาก


” ท่านน้าเพียงแค่โอ้อวย โปรดอย่าได้หลงเชื่อเขา … ข้าไม่มีฝีมืออันใดจริงๆ … “


” ข้าจะเชื่อ หากเจ้าสามารถรับมือกับความยุ่งยากของสกุลจวินได้เพียงผู้เดียว มันเหมาะสมแล้วที่ความแข็งแกร่องของเจ้าจะล้ำหน้ากว่าข้า “


กวนเซี่ยงฮั่นถอนหายใจผ่อนคลาย


” โม่เซี่ย เจ้าโตขึ้นจริงๆ .. เจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น … “


จวินโม่เซี่ยเหงื่อตก

พี่สะใภ้ของเขาอายุเพียงยี่สิบสอง แต่นางกลับดูสูงอายุราวสามสิบเมื่อนางพูดว่า


” เจ้าโตขึ้นจริงๆ … “


จิวนโม่เซี่ยรู้สึกราวกระแสไฟฟ้าแล่นในหัว


” พี่สะใภ้ท่าเพียงแค่ยี่สิบ … มันยากที่จะเชื่อคำพูดของท่านเมื่อท่านพูดราวผู้อาวุโส “


จวินโม่เซี่ยใบหน้หดหู่ หากย้อนกลับไปในช่วงที่เขายังเป็นมือสังหารในชีวิตที่แล้ว คำพูดเช่นนี้จะกระตุ้นให้เกิดการนองเลือด !


” ท่านน้าบอกว่าเจ้าปกปิดจุดแข็งมานาน และพวกเราเข้าใจเจ้าผิด … “


กวนเซี่ยงฮันหัวเราะอยู่ชั่วครู่ และใบหน้านางดูเหมือนกับน้ำแข็งละลาย ดูคล้ายกับธาร้ำแข็งที่ละลายโดยพลันและหลั่งไหลไปสู่หมู่บุปผา นางเงยหน้าขึ้นอย่างแผ่วเบาและเพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ยอย่างมีนัยยะขณะพูด


” อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ข้ายังไม่เข้าใจ … พฤติกรรมไร้สาระก่อนหน้านี้ของเจ้า คือการที่เจ้าพยายามทำตัวเฉยเมยอย่างนั้นหรือ ? “

” เอ่อ พี่สะใภ้ เจ้ารู้ นี่ … พวกเรา … ที่ข้าฝืนทำสิ่งเหล่านี้เพราะสถานการณ์ในสกุลของข้า … ฮี่ฮี่ … “


” สถานการณ์สกุลจวินก็เรื่องหนึ่ง และข้าเข้าใจในมุมนั้น แต่มันเกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมดั่งเศษสวะที่เจ้าแสดงต่อหน้าข้า ? “


ใบหน้าของกวนเซี่ยงฮั่นเย็นชาทันที ขณะนางหันไปมองจวินโม่เวี่ยครั้งแรกในวันนี้ และเพ่งมองเขาด้วยสายตาที่คมกริบดั่งหงษ์


” ที่ .. เป็น … เช่นเนั้น … มันเป็นเพียงแค่ … การอำพราง … “


จวินโม่เซี่ย เริ่มสาปแช่ง จวินโม่เซี่ยคนเก่าในใจ เจ้าเลวและพฤติกรรมของเขา … และตอนนี้ข้าต้องมากตอบคำถามเพื่อเขา …


” การอำพราง ? อืมมม! “


กวนเซี่ยฮั่นมองไปยังที่เขาอย่างเยือกเย็น


” และนั้นก็เป็นอีกหนึ่งการอำพรางสินะ ข้า ข้า … ข้าจะไม่จากจวนสกุลจวินและจะไม่กลับมีอีก ! “


กวนเซียงฮั่นต้องการจะพูดว่า ข้าจะเตะเจ้า แต่เมื่อคิดได้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งมาก นางจึงเปลี่ยนคำพูดอย่างลังเล แต่คำที่เปลี่ยนไปก็มิได้สะท้อนถึงความหมายที่แท้จริงของนาง ..


” เอาละ เอาละ ! ตั้งแต่นี้ ข้าไม่อาจกล้า … “


จวินโม่เซี่ยจะพูดว่า เขานั้นไม่ แต่ทุกคนบอกได้ว่าเขาไม่แม้แต่จะคิด …


” อืมมมม เกียรติและความซื้อสัตย์ของหญิงสาว … มันเป็นเรื่องที่เจ้าเอามาเล่นตลกอย่างนั้นหรือ ? “


เห็นได้ชัดว่ากวนเซี่ยงฮั่นมีอารมณ์อย่างชัดเจน


” เช่นนั้น .. มันใช่ทำอันใดได้อีก ? “


จวินโม่เซี่ยเปิดปากและพ่นคำเหล่านี้ออกมาในช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิง และเขารู้ทันทีว่ามันฟังดูไม่ดี

คำเหล่านี้นั้นเป็นสิ่งต้องห้าม และเขารู้ว่าเขาถูกสาปให้พูดมันออกมาในชีวิตนี้ … หรือก่อนหน้านี้ …


” เจ้า … “


โทสะของกวนเซี่ยงฮั่นปะทุขึ้นมาในทันที ดวงตาของนางแดงก่ำด้วยอารมณ์ จากนั้นนางสูดหายใจลึกขณะใบหน้านางแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง


” เช่นนั้น เจ้ามิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ! “


นางเอ่ยขณะหันหลังและจากไป


ข้าต้องระวังคำพูด !


นายน้อยจวินยืนตะลึงอยู่ชั่วขณะพร้อมความรู้สึกสลดในใจ และสถบออกมา


” อ้วนถัง เจ้าคิดว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ในวาระสุดท้ายรึอย่างไร ? เมื่อใหร่ข้าจะได้เห็นแผนการเหล่านั้น ? วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี จงมั่นใจว่าเจ้าจะทำให้ข้ามีความสุข มิเช่นนั้นอย่าได้ขอให้ข้าช่วยเจ้าลดน้ำหนักอีก ! “


เนื่องด้วยไม่มีทางเลือก เขาจึงปลดปล่อยอารมณ์ใส่ถังหยวน

ถังหยวนโผล่ออกมาจากห้อง


” เอาละ เอาละ … “


เขาพัดโบกกระดาษในมือ


” เจ้าเห็นไหมเจ้านาย ข้าเรียงลำดับเรื่องสำคัญตามที่เจ้าบอกแล้ว มาดูสิ​… น่าจะพอดีแล้ว “


จวินโม่เซี่ยคว้ากระดาษ และเพ่งมองไปขณะพลิกไปสองสามหน้า และโยนใส่มือถังหยวนกลับ


” เยี่ยม ! เยี่ยม เยี่ยม นี่ดีแล้ว ! “

” แต่เจ้ายังมองมันได้ไม่ถูกต้อง … “


ถังหยวนรู้สึกผิดเมื่อเห็นสิ่งที่เขาทำอย่างหนักได้รับการละเลย

จวินโม่เซี่ยกรอกตา มิใช่เพราะเขามิได้มองดูกระดาษเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน แต่เขาไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเรื่องที่เข้าใจได้ยาก และเข้าใจว่ามันเกินกว่าความรู้ของเขา … นายน้อยจวินไม่เคยหวังว่าสิ่งไร้สาระที่เขาจำมาจากชีวิตก่อนนั้นจะกลายมาเป็นแผนการค้าที่หนาเตอะเช่นนี้ในมือถังหยวน เจ้าอ้วนนี่มีฝีมือยิ่งนัก … เหตุใดข้าจึงไม่เสาะหาเขาตั้งแต่ชีวิตที่แล้ว …

 

 

 


ตอนที่ 220

 

” ข้าเชื่อในตัวเจ้า ข้าเชื่อมั่นอย่างมาก ! ”


จวินโม่เซี่ยตบไหล่ ถังหยวนให้กำลังใจ


” ไม่สำคัญว่าเจ้าทำอะไร ข้าจะสนับสนุนเพราะข้าเชื่อใจตัวเจ้า !  ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องดูสิ่งนี้ หรือหรือออกความคิดเห็นใดๆ เนื่องจากข้ารู้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ผู้คนจะมีซื้อสินค้าของเจ้า ! ”


” นายน้อยสาม .. อืมม … “


ถังหยวนเกือบน้ำตาคลอ ความจริงแล้วเขาเริ่มได้กลิ่นน้ำตา


” ข้าเคยได้ยินู้คนเอ่ยถึงเพื่อนตาย แต่วันนี้ข้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันแล้ว .. ความรู้สึกเชื่อมั่นนี่ ช่างน่าอัศจรรย์ …  ข้าช่างซึ้งใจ …  ข้าให้คำมั่นวาน ข้าจะทำมันให้เต็มความสามารถ และข้าจะใส่ใจมันถึงที่สุด และข้าจะพยายามทุ่มเทจนวันตาย …  ข้าให้คำสัตย์และข้าจะทำให้แผนงานของเราสำเร็จลุล่วง …  ข้าคงจะตายเป็นพันครั้งหากข้าไม่สามารถทำให้มันดีได้ … “


นายน้อยจวินเติบโตมากับความทรงพลังและความประจบประแจงของเจ้าอ้วน และทำให้มันเป็นภูมิคุ้มกับกับเข้า


ดังนั้น เข้ายึงยืนยbhมและพยักหน้า ขณะที่ตั้งใจฟังคำประจบประแจงอันน่าสะอิดสะเอียน แสดงทีท่าดั่งว่าเขามีความสุขกับมัน 


ดวงตาของเจ้าอ้วนไขมันเยิ้มเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา ในขณะที่อีกผู้หนึ่งยิ้มอย่างเป็นมิตรและฟังอย่างสงบพร้อมด้วยใบหน้าที่หยาดเยิ้ม ภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นสู่สายตาของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ทำให้เขาไม่สามารถอดทนดูได้  หูของเขาชี้ขึ้นด้วยความรังเกียจ ขณะที่ใบหน้าปรากฏถึงรอยบอบช้ำในอดีตขงเขา …


” ข้าคิดว่าข้าจะอ้วก … “


ใบหน้าซีดเผือกของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโผ่ลขึ้นไปในลานบ้าน


” ผู้อาวุโสผู้นี้จ้องการพื้นที่ ที่เหมาะสมกว่านี้ … ”


เขาไม่แม้แต่หันหลังกลับ เนื่องจากมันจะทำให้ความรังเกียจของเขาเพิ่มพูนขึ้นจนิอาจทนได้


” อ๋า ! ”


นายน้อยถัง นายน้อยจวินเบิกตาขึ้น และบังคับตัวเองให้ออกแรงตบบ่าของถังหยวนอีกครั้ง  จนเกือบทำให้ถังหยวนล้มลงไปบนพื้น และเขย่าไหล่ของถังหยวนขณะหัวเราะ


” เจ้าอ้วน เจ้าช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก !  เจ้าทำให้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ต้องรับกรรม … ”


” ข้า ข้า … ข้าทำอะไร ? “


ถังหยวนปาดน้ำตา และเริ่มเหงื่อออกเนื่องจากตกใจ และเกรงกลัวว่าเขาจะทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่พอใจ


” เจ้าทำได้ดี ดีมาก  จริงๆ ดีมากจริงๆ ! “


จวินโม่เซี่ย ต้องการสรรญเสริญถังหยวนเนื่องจากเขาไม่เคยคาดว่าอาการปวดหัวอย่างหนักของเขาจะหายไปหลังจากได้ยินคำยกยออันน่าสะอิดสะเอียนของถังหยวน …


ข้าพยายามปลูกดอกไม้เพื่อบดบังแสดงแดด แต่หลิมต้นนี้กลับทำมันได้เช่นกันหรือ ?


” พวกเราจะทำการประมูลสุราชั้นยอดที่เจ้าจะได้ดื่มวันนี้  เจ้าอ้วน งานแรกของเจ้าคือการทำให้สุราของข้าทำเงินมหาศาล !  เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่ ? “


จวินโม่เซี่ย เลิกคิ้วขณะที่เขาตบบ่าถังหยวนอีกครั้งพร้อมกับประกายแห่งความสุขในหัวใจ


” นั้นมิใช่ปัญหา  สุราที่ดี่นนี้นั้นหายากในงานประมูล และเนื่องจากเรามีมันไม่มากนัก ข้าเชื่อว่า แม้ตั้งราคาไว้ห้าร้อยตำลึงต่อเหยือกนั้นก็มิใช่ปัญหา “


ถังหยวนเอ่ยขึ้นมั่นใจ ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าราคานี้สูงเกินกว่าราคาตลาดของสุราที่มีอยู่ในขณะนี้แล้ว


” ตั้งราคาที่ห้าร้อยตำลึงต่อเหยือก ?  ล้อเล่นหรือ ?! “


จวินโม่เซี่ยพยักหน้าณะละทิ้งความคิดอันเลือดเย็น


” สูงไปหรือ ?  บางทีมันอาจจะตั้งไว้ที่สามร้อยตำลึง แต่ราคานั้นน้อยเกินไปสำหรับสุราคุณภาพสูง  แม้ว่าข้าจะไม่ได้ค้นคว้ามากในเรื่องของสุรา แต่สุราที่เจ้าเอามานั้นคุณภาพสูงเกินกว่าสุราอื่นๆในตลอดตอนนี้ และราคาสามร้อยตำลึงนั้นเป็นราคาที่น่าสมเพชมากสำหรับสุราคุณภาพเช่นนี้อย่างมาก มากเกินกว่าสุราที่ข้าเคยเดิม !  ราคาสุดท้ายของสุรานี้ควรจะมากกว่านี้ และข้าคำนวนไว้ว่าไม่ควรต่ำกว่าสามร้อยตำลึงต่อเหยือก ! “


ถังหยวน ถังหยวนตีปากตัวเองแม้ฟังดูเขาไม่มั่นใจ


” ไม่ !  ราคาสุดท้ายในการประมูลควรจะเป็นสามพันตำลึงต่อเหยือกหรือไม่ ?   เจ้าอ้วน ดูเหมือนว่าเจ้ายังค้นคว้าเรื่องสุราได้ไม่มากพอ .. เป้าหายของข้าคือราคา สองหมื่นตำลึงต่อเหยือก !  และต้องไม่น้อยไปกว่านั้นเพียงอีแปะเดียว ! “


จวินโม่เซี่ยชูนิ้วออกมาและเขย่ามันขณะที่กัดฟันเพื่อแสดงถึงความจริงจัง


” เหลวไหล ! “


ถังหยวนกระโดดทันใด และลอยขึ้นไปราวสามฟุตจากพื้น !  จากนั้น ร่างอ้วนๆของเขาล้มลงบนพื้น และกระเพื่อมอยู่หลายครั้งขระที่มันปะทะเข้ากับพื้นและกระเพื่อมขึ้นลง


จวินโม่เซี่ย ไม่เคยเห็นถังหยวนกระโดดเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากพบกับเข้าเป็นครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ถึงว่าเจ้าอ้วนจะสามารถกระโดดได้สูงถึงสามฟุต !  เจ้าอ้วนนี้มีความสามารถที่เปรียบมิได้อย่างแท้จริง !


ถังหยวนเปล่งเสียงหนึ่งขณะสำลักอากาศ รู้สึกขาดอากศเล็กน้อยหลังจากกระโดดขึ้นไป ขณะใบหน้ากระตุกด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากร่างที่อ้วนท้วมของเขาปะทะกับพื้น 


” เจ้าคิดว่าสุรานี่เป็นเครื่องดื่มสวรรค์หรือ เพียงดื่มแค่หนึ่งจอกก็สามารถเป็นอมตะได้ ?  เจ้าเล่นตลกกับข้าหรือนายท่าน ?!  มันเป็นไปไม่ได้ … เป็นไปไม่ได้จริงๆ ! “


” ข้าไม่ได้เล่นตลกกับเจ้า และนี่มิใช่เรื่องตลกอย่างแน่นอน ! “


จวินโม่เซี่ย โบกมือ ยิ้มและพูด


” ใช่แล้ว สองหมื่นตำลึงต่อเหยือก ใช่ และข้าพูดว่าควรตั้งราคาไว้ที่สองหมื่น…  ไม่น้อยกว่านี ! ”


ถังหยวนเพ่งมองจวินโม่เซี่ยอย่างพูดไม่ออก ดูเหมือนจะเป็นลมได้ตลอดเวลา


” ไม่ต้องกังวลไปเจ้าอ้วน ข้าจะสร้างสรรค์กลยุทธ์ที่พิเศษ ”


จวินโม่เวี่ยยิ้มลึกลับ หันไปและพูด


” ข้าพบสถานที่ที่ดี ซึ่งอยู่ตรงข้าม หอมณีวิจิตร  เจ้าอ้วน เจ้าจะกลายเป็นนายห้างใหญ่ในอีกไม่นาน ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมไว้  อีกสามวันจากนี้มีฤกษ์ดี พวกเราจะเปิดร้านกัน ! “


” เร็วไป ?! “


เจ้าอ้วนตระหนกเล็กน้อย


” นายน้อยสาม ตรงข้าม หอมณีวิจิตร นั้นมิใช่ซ่องหรอกหรือ ?  เจ้ายึดมาได้เมื่อใหร่กัน ?  พื้นที่นั้นก็มิใช่เล็กๆ … และยังอยู่ตรงข้ามหอมณีวิจิตร …  ข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสสกุลเจ้าบอกเจ้าหรือไม่ แต่ผู้อาวุโสสกุลข้า โดยเฉพาะท่านพ่อ ย้ำกับข้าเป็นพิเศษว่าข้าไม่ควรไปยั่วยุคนของหอมณีวิจิตร … ”


” เจ้าไม่เกรงกลัวเกินไปหรอกหรือ ?  เจ้าลืมเรื่องที่เราทำกับเจ้าเด็กลี่ไปแล้วหรืออย่างไร ?!  พวกเรามีกลเม็ดเคล็ดลับ เจ้าเพียงแค่จัดการให้เรียบร้อย “​


จวินโม่เซี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม


“เจ้าเป็นเพียงแค่ไม้ตี !   เพียงแค่จัดการไปตามที่ข้าบอก และเจ้าจะไม่เป็นอันใด ! “


เจ้าอ้วนถังเสียสติไปชั่วครู่ จากนั้นเขาตบต้นขา


” เป็นเช่นนั้นนายท่าน ใกล้เคียง หอมณีวิจิตร นั้นมิมีที่ใดดีเช่นนี้แล้ว ข้าจะแสดงให้พวกมันเห็น่า ใครเป็นใหญ่ ! ”


หลังจากทำตัวเข้มแข็ง เจ้าอ้วนหลั่งน้ำตาอีกครั้ง


” นายน้อยสาม .. เจ้าจะต้องช่วยข้าอีกอย่าง … ”


” เกิดอะไรขึ้น ? ”


จวินโม่เซี่ยถามใส่ใจ


” บอกข้ามา “


” คู่หมั่นของข้าและสกุลของนางต้องการพบข้า ความจริงผู้อาวุโสของเขาต้องการมาดูข้ากับนาง … “


ถังหยวนยังคงลูบท้องของเขาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากการล้มก่อนหน้านี้


” พวกเขาได้ยินว่าข้าถูกไล่ออกจากบ้าน และนางต้องการปลอบประโลมข้า แต่ข้า … มันเป็นเช่นนั้น … ”


” คู่หมั่นของเจ้านั้นช่างใจกว้าง .. ข้าไม่เคยว่ามีการพบกันเช่นนี้ก่อนการแต่งงานมากอน  นี่มิใช่สิ่งดีเจ้าอ้วน … หญิงผู้นี้มิอาจทำตามขนบได้ ! ”


จวินโม่เซี่ยเกาคาง จากนั้นยิ้ม


” เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไร ? “


” ข้าต้องการให้เจ้ามากับข้า “


ดูเหมือนว่ากำลังใจของเจ้าอ้วนเพิ่มขึ้นมาในตอนนี้


” ข้าเพียงต้องการให้เจ้าหามข้ากลับ หากพรุ่งนี้ข้าโดนเฆี่ยน …  ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสของพวกเขาขี้หงุดหงิด … ”


” เจ้าล้อเล่นหรือ ?  นี่คือการพบกันครั้งแรกในฐานะคู่ครอง ซึ่งเท่ากับการนัดบอด …  แล้ว เจ้าดึงข้าไปทำไม ?  เหตุใดเจ้าต้องการให้มีก้างขวางคอด้วย ?! ”


จวินโม่เซี่ยมองลงไปที่หน้าอกของเขาเพื่อบ่งบอก จากนั้นถังหยวนจึงโน้มตัวลงไปดู


” เจ้ามองมองมาที่ร่างของข้า และมองหน้าข้า ”


เขาพูดขณะตบไปที่ร่าง


” เอาละ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “​


” เข้าใจอะไร ? ”


ถังหยวนกระพริบตา ไม่เข้าใจในคำพูดของจวินโม่เซี่ยเลย


” สิ่งที่ข้าพูดนั้นชัดเจน แต่เจ้าเพียงไม่เข้าใจ  เจ้ากำลังทำลายตัวเอง และเจ้าต้องการพาข้าชายหนุ่มผู้หล่อเหล่าราวกับหลุดจากฝันของสาวๆไปด้วย  ผู้ใดจะมองเจ้า เมื่อเจ้ามากับชายเช่นข้า ? ”


ปากของ จวินโม่เซี่ย เต็มไปด้วยน้ำลายเนื่องจากเขาพูดจบประโยคในคราเดียว โดยเขาตั้งใจยกยอตัวเอง


” พวกเขาจะมองเจ้าทำใมกัน ?  เจ้าเพียงไปเพื่อช่วยเหลือ ”


ถังหยวนมองเขาด้วยการสบประมาท


” และดูเจ้าพูดสิ ชื่อใหม่ของเจ้าคือหลงใหลตัวเองอย่างนั้นหรือ ? “


” ไม่ว่าข้าจะหลงตัวเองหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือจะเป็นเช่นไรหากคู่หมั่นเจ้าหลงสเน่ห์ข้าหรุ่งนี้ ?  มันคงมิใช่เรื่องที่น่ากลัวจริงๆ …  เอาตัวเจ้าเองไปไว้ใต้เท้าของนาง เจ้าจะเลือกอะไร ต้นไม้ที่สวยงาม หรือดินโคลนสกปรก ? ”


จวินโม่เซี่ยจวินโม่เซี่ยเอ่ยขณะเลิกคิ้วอย่างมีนัยยะ


” เป็นไปได้ ”


ถังหยวนเกาคางอย่างพิจารณา และเริ่มใคร่ครวญสิ่งที่เป็นไปได้


” บางทีเจ้าอาจจะต้องแต่งหน้าอีก ?  เจ้าควรจะวาดกระบนหน้าของเจ้า หรืออาจจะเป็นแผลเป็น !  เจ้าก็จะไม่ดูหล่อเหล่าแล้วใช่ไหม ? ”


จวินโม่เซี่ยยอมแพ้


” ข้าจะไปหาท่านน้า แล้วพวกเราจะส่งบัตรเชิญสำหรับการเปิดกิจการวันแรก  อย่ามาหาข้าหากเจ้าไม่มีเรื่องสำคัญ ข้ายุ่งมาก ”


” อย่าลืมไปเป็นเพื่อนข้าในวันนั้นพรุ่งนี้นะ มันสำคัญอย่างมาก ! ”


มือสังหารเร่งก้าวเท้าในตอนที่เขาได้ยินเสียงเจ้าอ้วนตะโกนไล่หลังมา


หลังจากแยกจากลานบ้านของนายน้อยจวิน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงไปหา จวินวูอี้ เพื่อร้องขอสถานที่เหมาะสมในการฝึกฝน และอยู่ที่ลานบ้านของจวินวูอี้อยู่เป็นเวลานานหลังจากนั้น  จวินวูอี้นั้นสุภาพมากกว่าหลานชายของเขา และแม้ว่าเขาจะฝึกฝนมาในขั้นสูง แต่เข้ายังไม่เข้าใจในปัญหามากมายที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเผชิญ  ดังนั้น จึงตัดสินใจให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอยู่ในลานบ้านของเขา และย้ายตัวเองออกไป


ขณะจวินวูอี้ออกไปจากลานฝึกของเขา เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงเข้าไปยึดครง และควบคุมเพื่อการฝึกของเขาอีกครั้ง  เขาพยายามเลียนแบบเคล็ดที่จวินโม่เซี่ยสอนเขา จากนั้นเขานั่งลงไปบนพื้นขณะรู้สึกว่าเขาได้ทำบางอย่าผิดพลาดไป และหาทางแก้ปัญหาช่วงเวลาหนึ่งก่อนจะกลับไป …


เห็นได้ชัดว่านี่เหมือนเป็นการที่นกพิราบ ยึดรองรังของเพนกวิ้น !


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจวินวูอี้จะมิได้รังเกียจแม้แต่น้อย และดูเหมือนจะมีความสุขกับแสงแดดสาทรฤดู ในตอนที่นายน้อยจวินเดินเข้ามา


” คำเชิญ ?  ฤกษ์ดีสำหรับวันเปิดกิจการ ? “


จวินวูอี้มองไปยังกองบัตรเชิญ ทีละใบ และอดที่จะถอนหายจไม่ได้


” โม่เซี่ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะชื่นชอบความร่ำรวย และรังเกียจความยากจน  ในรายการ เจ้ารวมไว้เพียงแต่ขุนนางและสกุลที่มั่งคั่ง และเจ้าไม่สนใจสกุลธรรมดา ”


” น้าสาม สถานประมูลของพวกเราขายเพียงแค่ของมีราคา ดังนั้นจึงมีเพียงแค่ผู้ร่ำรวยและมั่งคั่งจึงสามารถซื้อของเหล่านั้นได้ ในขณะที่คนธรรมดาจะเกรงกลัวที่จะก้าวเข้ามายังร้านที่หรูหราเช่นนี้  ลองคิดดูสิ หากหนึ่งเหยือกมีราคาสองหมื่นตำลึง คนธรรมดาจักอาจหาญมาดื่มหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยหลุบเปลือกตา


” ข้าได้รวบรวมรายชื่อสกุลที่ร่ำรวยในเมืองเทียนเชียงมาแล้ว  และข้าจะสูบเงินทุกอีแปะของพวกเขาในครั้งนี้  แม้เงินจะมิใช่ทุกสิ่ง แต่มันยังเป็นสิ่งที่สำคัญ ! “


ความเยือกเย็นแผ่ซ่านไปตามสันหลังของจวินวูอี้  ความคิดของหลานชายฟังดูบ้าคลั่งสำหรับเขา !


” อืม ท่านน้า ไม่ต้องกัวลไปนี่เป็นเพียงการเริ่มต้น !  ข้าจะปล่อยให้พวกเขาดื่มสุราเท่าที่พวกเขาต้องการ ก่อนการประมูลจะจบลง และจากนั้น ข้าจะไม่ให้พวกเขาอีก !  จากนั้นข้าจะรอให้พวกเขากลับไปดื่มสุราห่วยแตกที่พวกเขาดื่มกันก่อนหน้านี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …  จากนั้นข้าจะทำการผูกขาดทางการค้า และพวกเราจะขายสุราในจำนวนจำกัดอย่างมากในการประมูลแต่ละครั้ง …  ดังนั้น หากพวกเขาต้องการจะดื่มมัน … ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเขาจะต้องเอาเงินจริงๆมาซื้อ !  และราคาสุราของข้าจะพุ่งทยานสูงเสียดฟ้า !  ฮ่าฮ่าฮ่า …”


จวินโม่เซี่ยหัวเราะลั่น

 

 

 


ตอนที่ 221

 

จวินวูอี้อ้าปากกว้าง และห้ามตัวเองไม่ให้หดหัวเนื่องจากความตกตะลึงมิได้


เจ้าเด็กนี่วิปลาส …


ช่วงเวลาที่เหมาะเจาะนี้ มีใครบางคนเข้ามาและรายงาน


” นายท่านสาม มูซื้อทงพร้อมกับผู้อาวุโส ผู้อ้างว่าเป็นผู้อาวุโสหกแห่งเมืองพายุหิมะ เขาต้องการพบนายท่านสาม พวกเราควรให้เขาเข้ามาหรือไม่ ? ”


หลังจากการมาถึงของเขาก่อนหน้านี้ จวินวูอี้บอกคนรับใช้ว่า มูซื้อทง เป็นดั่งพี่น้องของเขา และห้ามมิให้ ผู้รับใช่สกุลจวิน ละเลยหรือขัดขวาเขาเว้นเสียแต่ว่าเขาจะมาพร้อมกับผู้อื่น ที่อาจะเป็นศัตรู


จวินวูอี้ และหลานชายของเขาเตรียมตัวต้อนรับมูซื่อทงในตอนแรก แต่เมื่อเขาได้ยินว่าผู้ที่มากับเขาด้วยคือผู้อาวุโสที่หกแห่งเมืองพายุหิมะขาว และความคิดมากมายเกิดขึ้นในหัวของพวกเราพร้อมๆกัน


ขณะที่ใบหน้าของจวินวูอี้กระตุกเนื่องด้วยความคิด สีหน้าของจวินโม่เซี่ยดูเหมือนคลางแคลงเล็กน้อย


มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ ?  ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถสูงไปหน่อยหรือ ?


” น้าสาม ผู้อาวุโสหกแห่งเมืองพายุหิมะ เป็นยอดฝีมือเทพเชวียน และพวกเราไม่สามารถปิดบังถึงการฟื้นฟูของท่านต่อเขาได้ ”


จวินโม่เซี่ยคิดถึงสิ่งนี้ในทันที


” แต่กระนั้น เนื่องจากมันเป็นบางสิ่งที่พวกเราต้องหลีกเลี่ยง ท่านอยากให้ข้าลองทำอะไรบางอย่างหรือไม่ ? ”


” ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง !  ถึงอย่างไร พวกเขาก็จะได้ล่วงรู้ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ”


จวินวูอี้พยักหน้า


” ผลกระทบในเรื่องการฟื้นฟูของข้าอาจจะไม่ได้แย่มากมาย เนื่องจากโย่วที่รักของข้ายังคงรอฟังเรื่องข้าอยู่  หาก มูซื้อทง กลับไปและรายงานนายเรื่องการฟื้นฟูของข้า ลองจินตนาการดูว่ามันจะทำให้นางมีความสุขมากแค่ใหนหลังจากที่นางต้องประสบกับคความข่มขื่นมาหลายปี ”


สีหน้าของจวินวูอี้เผยถึงความอ่อนโยน ขณะดวงตาของเขาเพ่งมองไปยังหญิงสาวในจินจนาการที่เพ่งมองเขาอยู่จากที่ห่างไกล


จวินโม่เซี่ยถอนหายใจ แต่มิได้เอ่ยอันใด  แม้มุมมองของจวินโม่เซี่ยจะเป็นธรรมชาติอย่างมาก กระนั้นเขายังไม่เข้าใจความปราถนาในใจของน้าชาย และรสชาติความเป็นจริง ดังนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับ แต่เขาก็มิได้ขัดขวาง


” บอกให้พวกเขาเข้ามา ”


จวินวูอี้ควบคุมน้ำเสียงของเขา จึงฟังดูอึดอัดใจ


จวินวูอี้ผลัดเก้าอี้เลื่อนของเขาไปข้างหน้า และเตรียมตัวพบพวกเขาในลานบ้าน


” ฮ่า ฮ่า พบกันอีกแล้ว วูอี้ ผิวพรรณและความแข็งแรงของเจ้าดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นกว่าครั้งก่อน ” 


มูซื้อทง ยิ้มอบอุ่นขณะส่งสัญญาณอันแปลกประหลาดด้วยดวงตา ดูราวกับพยายามเตือนอะไรบางอย่างซึ่งจวินวูอี้ไม่เข้าใจ


จวินวูอี้แข็งใจขณะพนมมือต้อนรับ และเอ่ย


” ผู้อาวุโสหกมาด้วยตัวเอง จวินวูอี้ผู้โชคดีนี้สามารถช่วยอันใดท่านได้บ้าง ? ”


ผู้อาวุโสหกเหลือบมองจากหัวจรดเท้าก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น


” เจ้าคือจวินวูอี้หรือ ? “


น้ำเสียงห้าวหาญของเขาดูเหมือนไร้ซึ่งโทสะ


” ขอรับ เป็นข้า ! ”


จวินวูอี้ตอบด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า


” ดี ดี เจ้ามิได้อายุสี่สิบแล้ว และความแข็งแกร่งของเจ้าบรรลุไปถึงขั้น สวรรค์เชวียน !  การก้าวหน้าเช่นนี้นั้นหาได้ยากในคนรุ่นเจ้า ! ”


ลำแสงที่เยือกเย็นแปล่งประหายขึ้นในดวงตาของผู้อาวุโสหก


“ ข้าได้ยินว่าในอดีตเจ้าได้รับบาดเจ็บ แต่ดูเหมือนว่าการฟื้นฟูของเจ้านั้นรวดเร็วอย่างมาก ? ”


สภาวะการบาดเจ็บของจวินวูอี้ไม่สามารถปิดบังสายตาที่แหลมคมของยอดฝีมือเทพเชวียนได้ !  การคาดการของจวินโม่เซี่ยนั้นถูกต้อง


มูซื้อทง ตกใจ และมองยังจวินวูอี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ขณะรอคอยคำตอบของเขา


” โอ้ว วูอี้ ได้ถอนพิษดั่งที่ที่อาวุโสกล่าว แต่ขาทั้งสองของข้ายัคงต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกมากก่อนจะเดินได้อีกครั้ง ”


จวินวูอี้ยิ้มอย่างสุภาพขณะลำแสงอันเยือกเย็นเปล่งขึ้นในดวงตาของเขา


” การเจ็บปวดที่แปลกประหลาดนี้กินเวลาชีวิตข้าไปนับสิบปี !  ข้าจะไม่ลืมความข่มขื่นที่ข้าได้ลิ้มรสมานับสิบปีนี้ ”


” โอ้ สวรรค์โปรด และพระเจ้าปกป้องที่รักของนาง ”


ผู้อาวุโสหกยิ้มอย่างลึกซึ้ง


” นี่คือข่าวดีควรค่าแก่การฉลอง ”


” ขอบคุณ ! “


จวินวูอี้กล่าวจากนั้นถาม


” พวกเราควรดื่มชากันสักหน้าไหม ? ”


จวินโม่เวี่ยผลักเก้าอี้เลื่อนของเขาอยู่อ้านหลัง


” นี่คงมิใช่ลูกชายของจวินวูเห่ย พี่ของเจ้า ? ”


ผู้อาวุโสหกมองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยสีหน้าคลุมเครือ


” ขอรับ ! ”


จวินวูอี้ตอบขณะ ร่องรอยแห่งความเจ็บปวดที่หยั่งลึกปรากฏขึ้นในแววตาของเขา


” เขาคือลูกชายผู้โชคดีเพียงคนเดียวของพี่ข้าที่ยังคงรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ และผู้สืบทอดสายเลือดเพียงคนเดียวของสกุล ”


ผู้อาวุโสหกไม่เข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า ลูกชายผู้โชคดีเพียงคนเดียวที่ยังคงรอด แม้ว่าจวินวูอี้จะเอ่ยถึงความโชคดีของหลานชายด้วยท่าทางที่โสศกเศร้าและเจ็บปวด ผู้อาวุโสก็สัมผัสได้ถึงความโชคร้ายที่สกุลของเขาได้รับ !   


” ฮ่า ฮ่า ทายาทเพียงผู้เดียวนั้นจะได้รับการดูแลอย่างเอาใจอย่างมาก ฮ่า ฮ่า ! “


 ผู่อาวุโสหกหัวเราะด้วยท่าทีสุภาพและเมตตา


” ข้าเห็นว่าเขาได้รับการดูแลเอาใจใน สกุลจวินจะต้องภูมิใจในตัวเขา ”


” ท่านผู้อาวุโส ข้าขอถามชื่อท่านได้หรือไม่ ? ”


จวินโม่เซี่ย เคยได้ยินเรื่องราวของชายผู้นี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องการรู้ชื่อจริงของเขา


ดวงตาของผู้อาวุโสหกผลุบลงชั่วครู่ แต่จากนั้นเขายิ้มและตอบอย่างไร้อารมณ์


” ชื่อสุกลของอาวุโสผู้นี้คือเซี่ยว  เซี่ยวฮั่นคือหลานชายของข้า “


” เอ๋ ”


จวินโม่เซี่ยยิ้มสุภาพ ขณะที่เขารีบปกปิดประกายอาฆาตรที่เปล่งขึ้นมาในดวงตาของเขาเมื่อครู่ และหาทางปกปิดไม่ให้ผู้ใดเห็น


” ข้าอิจฉาความแข้งแกร่งที่สามารถนับคนทั้งโลกได้ของผู้อาวุโสเซี่ยวยิ่งนัก และ เอ่อ มันเป็นความเจริญกับสกุลของข้าจริงๆที่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นท่า มาหาพวกเราในวันนี้ ”


ผู้อาวุโสหกยิ้มอย่างอบอุ่น


” เขาพูดได้คล่องแคล่วยิ่งแม้จะอยู่ในวัยหนุ่ม ”


ชายทั้งสี่หัวเราะขณะที่เขาเดินเข้าไปข้างใน


มูซื้อทงเดินไปข้างหนึ่ง และอดประหลาดใจมิได้ว่าผู้อาวุโสหกที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้อาวุโสสามและเก้า ตั้งแต่เขาเข้าร่วมเมืองพายุหิมะขาว ไม่มีผู้ใดเรียกเขาว่า ผู้อาวุโสเซี่ยวมานานแล้ว และทำให้หลายปีมานี้ผู้คนเกือบลืมไปแล้วว่าเขามาจากสกุลเซี่ยว


แม้ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยกันด้วยท่าทางที่สง่าและกลมกลืน แต่ยังมีบางสิ่งที่เผยมาอย่างชัดเจน  ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างสนทนากันด้วยคำพูดที่รื่นรมย์และรอยยิ้มอันแจ่มใส แต่ปรรยากาศนั้นเริ่มกดดันลงมา 


มีความคิดเกิดขึ้นในหัวมูซื่อทงทันทีและมันทำให้เขาประหลาดใจ 


 หรืออาจเป็นได้ว่าผู้อาวุโสหกมิได้มีส่วนร่วมในปฏิบัติการณ์ในครั้งนั้น ?  หากเป็นเช่นนั้น การมายังสกุลจวินของผู้อาวุโสหกนี้จะเป็นประวัติศาตร์หน้าใหม่แห่งหายนะของสกุลจวินก็เป็นได้ !


ลานบ้าน ห้องพักผ่อน โถงศึกษา ของอจวินวูอี้นั้นเชื่อมต่อกัน แต่เนื่องจากจวินวูอี้มิได้เจตนากจะรบกวนเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวซึ่งง่วนอยู่กับการฝึกฝนในโถงศึกษา เขาจึงขอให้ คนรับใช้เอาเก้าอี้มาวางใต้ต้นไม้ในลานบ้านของเขา


” ชานี่สุดยอดอย่างมาก ! ”


ผู้อาวุโสหกสูดดมอย่างโปรดปราณ จิบมันอย่างนุ่มนวล จากนั้นผ่อนตัวไปด้านหลังขณะหลับตาและเพลินเพลินไปกับรสชาติการจะเ่อยยกย่อง 


” นายท่านจวินสาม ข้าไม่รู้ว่า เจ้าได้มาเจอกับนายน้อยสกุลเซี่ยวแห่งเมืองพายุหิมะของพวกเราหรือไม่ ? ”


” นายน้อย สกุลเซี่ยว ? ”


จวินวูอี้เลิกคิ้วขณะครุ่นคิด


” ข้าไม่เคยเจอเขา การบาดเจ็บของข้าดูเหมือนจะได้รับการฟื้นฟูแล้ว แต่ก็ยังมิอาจเคลื่อนไหวได้อย่าอิสระ เนื่องจากข้าลืมวิธีการเดินไปหลายปีแล้ว ดังนั้นข้าจึงเปิดเผยเรื่องนี้แค่ภายในสกุลจวิน แต่ข้าก็ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดท่านถึงถามข้าเช่นนี้ ?  ลูกชายสกุลเซี่ยวมีนามว่าอันใด ?  ท่านสามารถบอกข้าถึงอายุและลักษณะของเขาได้หรือไม่ ? ”


” โอ้ ?  นายท่านจวินสามยังไม่เคยพบเขา ? ”


ผู้อาวุโสหกยังคงเอนหลัง ขณะที่ดวงตาของเขายังคงปิดสนิท


” หลานชายของข้าและองค์หญิงน้อยออกมาเดินเล่นในเมืองเทียนเชียงในวันนี้ แต่กลับโดนจู่โจมจากโจรโอหัง การบาดเจ็บของเขารุนแรงมาก  ผู้อาวุโสผู้นี้คิดไม่ออกว่าจะมีสกุลใดในเมืองเทียนเชียงที่ อาจหาญต่อต้านพวกเรา ”


” ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสหกจะมั่นใจอย่างมาก แต่มีหลักฐานอันใดที่สนับสนุนว่าเป็นการกระทำของสกุลจวิน ?  เนื่องจากท่านผู้อาวุโสหกจะผ่านประสบการณ์มามาก ข้าจึงมั่นใจว่าท่านจะต้องมีหลักฐานเพื่อนสนับสนุนคำพูดนี้ ! ”


จวินโม่เซี่ยขัดจังหวะขึ้นมา เนื่องจากเขารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ผู้อาวุโสผู้นี้กล่าวหาสกุลของเขา


” มันมิใช่ธรรมาดของเด็กหนุ่มที่ผลีผลามขัดจังหวะขณะที่ผู้อาวุโสสองคนคุยกันเว้นเสียแต่เจ้าต้องการทำลายชื่อเสียงของสกุล   เจ้าเด็กจวินนี่จักต้องไปรับการสั่งสอนในอนาคต ! “


แม้ว่าผู้อาวุโสหกจะตะคอกกลับมายังจินโม่เซี่ย แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงหลับอยู่ครึ่งหนึ่ง


ยอดฝีมือเทพเชวียนจะรวมพลังปราณเข้าไปในเสียง และส่งตรงไปยังนายน้อยจวิน ซึ่งมันทะลุทะลวงตรงไปยังแก้วหูของเขา !


การควบรวมปราณเชวียนของเทพเชวียนนั้นมิใช่เรื่องตลก แม้ว่ามันจะไม่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนกับสวรรค์เชวียนทั้งสองที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แต่มันทรพงัลมากพอที่จะทำให้โลกขงอจวินโม่เซี่ยพังทะลายลงได้


เขารู้สึกราวกับแข็มพุ่งทะลุผ่านแก้วหูของขาไป ซึ่งมันรุนแรงจนสั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณของเขา  หากเสียงมีความรุนแรงมากกว่านี้ มันสามารถทำให้จวินโม่เซี่ยเลือดตกได้ และแม้นมันจะไม่ร้ายแรงแต่มันก็ทำให้นายน้อยจวินหูอื้อ จนทำให้หูหนวกได้ ! 


จวินโม่เซี่ย สาปแช่งเขาในใจ


ผู้อาวุโสผู้นี้ช่างโหดร้ายและเลือดเย็นยิ่งนัก !


แม้นายน้อยจวินจะรู้สึกเช่นนี้ ก็ยังมีคนเถียงว่าเสมอว่า ผู้อาวุโสหกนั้นสามารถทำให้นายน้อยจวินบาดเจ็มมากกว่านี้ได้หากเขาต้องการ แต่ได้ตัดสินโทษสำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้เพียงเท่านี้ !


นายน้อยจวินมิได้อยู่ในโลกนี้มานานนัก และแม้ว่าเขารู้ถึงทฤษฏีต่างๆ แต่เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ ที่ได้เป็นดั่งมดปลวกในสายตาของเทพเชวียน


ในอีกมุมหนึ่ง ผู้อาวุโสหกมิได้ชั่งใจมากนัก เนื่องจากเขาพบว่าการบาดเจ็บของจวินวูอี้นั้นได้รับการฟื้นฟูทำให้เขาเป็นกังวลเล็กน้อย เนื่องจากมันหมายถึงปัญหาของหลานชายของเขาจะมากขึ้น  ในสายตาของเขา สกุลที่ต่ำต้อยเช่นนี้ไม่คู่ควรจะได้รับตำแหน่งและการรักษาที่ดี !


เนื่องจากจวินโม่เซี่ยเป็นทายาทเพียงผูเดียวของสกุลจวิน เขาจึงคิดว่าการทำร้ายนายน้อยจะเป็นอันตรายต่อทั้งสกุลจวิน !


หลังจากที่ได้รับการโจมตีที่มองไม่เห็น จวินโม่เซี่ยจึงเคลื่อน เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ ทันที และจัดระดับเกราะเจ็ดชั้นเพื่อสร้างการป้องกัน  เสียงที่รุนแรงนี้ทะลุผ่านการป้องกันชั้นแรกของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็ต้องใช้เวลาในการทะลุไปถึงชั้นสุดท้าย และไม่สามารถผ่านการป้องกันสุดท้ายของเขาไปได้  อาจจะพูดได้ว่า เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ นั้นเป็นไพ่ตายที่เป็นเอกลักษณ์และทรงพลังอย่างแท้จริง  แม้ว่าความแข็งแกร่งระหว่างเทพเชวียนและเชวียนทองนั้นจะห้างชั้นกันไกล นายน้อยจวินก็ยังสามารถรับมือกับการโจมตีได้ด้วยการช่วยเหลือจากมัน เนื่องจากการโจมตีนั้นไม่ได้รุนแรงมกนัก


จวินโม่เซี่ยพึมพัม ขณะที่เส้นเลือดรอบๆจมูกของเขาปรากฏขึ้น  การบาดเจ็บนี้เกิดขึ้นจริงส่วนหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งคือการแสร้งทำ เนื่องจากเขารู้ว่าหากผู้อาวุโสหกรู้ว่าเขาสามารถ ต้านทานการโจมตีนี้ได้ ….  ครั้งหน้าเขาจะไม่สามารถหันเหความสนใจได้

 

 

 


ตอนที่ 222

 

ในฐานะยอดฝีมือเทพเชวียน ผู้อาวุโสหกนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าสมาชิกทุกคนในสกุลจวิน ดังนั้นหากจวินโม่เซี่ยเปิดเผยฝีมือที่แท้จริงของเขาออกไป อาจเป็นได้ว่าผู้อาวุโสหกจะไม่รอช้า  ด้วยเหตุนี้ จวินโม่เซี่ยจึงไม่ใช้ฝีมือของตัวเองรักษาการบาดเจ็บภายใน และปล่อยให้เลือดไหลออกทางจมูก


แต่กระนั้นผู้อาวุโสหกยังคงผงะ


” หือ ? ”


เขาอุทานเบาขณะลืมตาขึ้นในท้ายที่สุด และศึกษาร่างของจวินโม่เซี่ยเล็กน้อย พยักหน้า และเอ่ย


” ไม่เลว ! ”


ผู้อาวุโสรักษาความถือตัวในฐานะยอดฝีมือเทพเชวียน เช่นนั้นจึงไม่โจมตีจวินโม่เซี่ยเป็นครั้งที่สอง  แม้นว่าเขาจะประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของนายน้อยจวิน แต่รู้สึกว่ามันไม่สุภาพหากเขาจะจู่โจมยอดฝีมือเชวียนทองหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า


มือสังหารจวินคำรามทางจมูก ปาดเลือดออกจากใบหน้า และล้อเลียน


” ความแข็งแกร่งระดับเทพเชวียนของผู้อาวุโสนั้นช่าง สูงส่งยิ่ง ! “


คำพูดเหล่านี้คับคล้ายคับคราเป็นการสรรเสริญ แต่มันเป็นการบอกผู้อื่นว่า เขาได้รับการบาดเจ็บจากการโจมตีนี้ อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยเขาสามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือเทพเชวียนได้ แม้นจะมีระดับปราณเชวียนต่ำ ประโยคนี้จะเป็นเรื่องน่าขันเพราะเขาบาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น !


แม้นว่าผู้อาวุโสหกจะใช้เศษเสี่ยวของความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาโจมตี แต่ยอดฝีมือเทพเชวียนยังคงเป็นเทพเชวียน ซึ่งหมายความว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ยอดฝีมือเชวียนทองจะต้านทานการโจมตีของเขาได้ในสถานการณ์ปกติ  เมื่อพูดเช่นนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายน้อยจวินจะต้านทานการโจมตีของเขาได้เลยหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากพลังลึกลับนี่ !


” โปรดเมตตา ผู้อาวุโสหก ! ”


มูซื้อทงเริ่มคิดจะนำพาผู้อาวุโสหกออกจาที่พักสกุลจวิน  ดังนั้น มูซื้อทง อดใจอ้อนวอน เมื่อผู้อาวุโสหกโจมตีใส่จวินโม่เซี่ยไม่ได้


” ผู้อาวุโสหก ข้าขอบังอาจสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ? “


จวินวูอี้เลิกคิ้วขณะถามน้ำเสียงดุร้าย  แม้นผู้กดขี่จักเป็นยอดฝีมือเทพเชวียน จวินวูอี้ก็ยังไม่ทนเมื่อเห็นว่าหลานชายโดนกลั่นแกล้งต่อหน้า ! 


” อย่าบอกข้าว่า การโจมตีเด็กหนุ่มเช่นนั้น เป็นการกระทำปกติของผู้อาวุโสเทพเชวียนแห่งเมืองพายุหิมะขาว ? ”


” ไม่ เพียงแต่ข้าเพิ่งจะเอ่ยถึงตำแหน่งที่แตกต่างกันระหว่างสกุลจวินและเมืองพายุหิมะขาว หากสกุลของเจ้าเป็นปัญหาให้พวกเรา พวกเจ้าจักต้องชดใช้อย่างสามสม ! ”


แม้นผู้อาวุโสหกจะเอ่ยประโยคนี้ด้วยท่าทางนิ่งเฉย ขณะมองตรงไปยังจวินโม่เซี่ยความหมายที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่นั้นคือการกดขี่และไร้เหตุผล 


” เด็กนี่อาจหาญสามหาวต่อผู้อาวุโสผู้นี้ เช่นนั้น ผู้อาวุโสรู้สึกอยากจะสั่งสอนเขาสักครั้งหรือสองครั้ง !  หากเขาต้องพบเจอกับยอดฝีมือไร้เหตุผล คำพูดเช่นนั้นจักนำพาความตายมาสู่เขาได้ แต่กระนั้นความตั้งใจของผู้อาวุโสผู้นี้บริสทุธิ์และเป็นสิ่งดี เนื่องจากข้าทำเพียงแค่ปั่นหัวเขาเล็กน้อย และเป็นเหตุให้เขาแค่เลือดออกแทนที่จะสังหารเขาไปเสีย !  นี่เป็นสิ่งที่สกุลของข้าคิด สกุลจวินไม่มีความสามารถมากพอที่จะรับความเห็นจากข้าในคำถามเช่นนี้ ! ”


ร่างของจวินวูอี้สั่นด้วยโทสะ


” อะไรที่ท่านคิดว่าพวกเราจะทำเมื่อท่านยนความผิดเช่นนี้ใส่หัวพวกเรา ?  ท่านต้องการพูดเรื่องอะไรท่านผู้อาวุโสหก ?  สกุลของข้าจักไม่ยอมรับความอับอายเช่นนี้ !  วันนี้ เมืองพายุหิมะขาวของท่านจักต้องตอบคำถามเรื่องนี้แก่สกุลข้า ! ”


ผู้อาวุโสหกตอบกลับอย่างเชื่อช้า


” หากผู้สืบสกุลเซี่ยวของข้าประสบเหตุบางอย่างที่มีสกุลจวินเกี่ยวข้องอีก นี่คือสิ่งที่ผู้สืบทอดสกุลจวินจักต้องเผชิญ !  นั่นคือประสงค์ของข้า เจ้าไม่เห็นด้วยกับข้าหรอกรึ ?  เอาละ สกุลจวินมีทายาทเพียงผู้เดียว ดังนั้นจึงไม่ควรจะเป็นปัญหาอะไรมากมาย ! ”


” สำหรับคำตอบที่เจ้ามองหานั้น ฮ่าฮ่า …  เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะมอบให้ ? ”


การกดขี่ของเขากำลังหลั่งไหลต่อไป


ลมก่อกำเนิดเป็นเสียงขณะชายแก่ผมขาวลอยลงมาในลานบ้านโดยโอบอุ้มเด็กสาวมาด้วย แต่เขาสงบลงในทันทีเมื่อได้เห็นผู้อาวุโสหกและคนอื่นๆนั่งร่วมวงกัน และดื่มชา  ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นยังไม่เกินรับมือ  พวกเขายังไม่ได้กระตุ้นโทสะ


” อะไรทำให้ท่านมาที่นี่ พี่สาม ? ”


ผู้อาวุโสหกถามด้วยความสลดในหัวใจ เนื่องจากเขาเพิ่งจะโจมตีจวินโม่เซี่ย แม้ว่ามันจะเป็นการโจมตีอย่างแผ่วเบา  ข้ายังมิได้จู่โจมผู้ใดในสกุลจวิน จนกระทั้งท่านพี่สามมาถึง …  ท่านอาจารย์เอ่ยหัวข้อนี้ชัดเจนก่อนที่พวกเราจะเดินทางจากเมืองพายุหิมะขาว  แต่กระนั้น เขายังคงสับสนเล็กน้อย


พี่สามเป็นผู้ที่แบ่งหน้าที่เองมิใช่หรือ ?   เหตุใดเขาจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนกระทันหัน ?


ผู้อาวุโสสามยังไม่ทันได้ตอบขณะที่เสียงกระด้างกระเดื่องดังขึ้น


” แม่เจ้า พวกกุ้งจิบน้ำชาผู้ใดมารบกวนการฝึกฝนของข้า มันจักต้องเสียใจ ! ”


” ใครกัน ?   เจ้ากล้าสามหาวกับอาวุโสผู้นี้ได้อย่างไร ?!  แม้แต่ซากศพของเจ้าก็คงไม่เหลือหากอาวุโสผู้นี้เสร็จธุระกับเจ้า ! ”


ผู้อาวุโสหกตอบกลับทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่แหลมคมเช่นนั้น โดยไม่สนว่าจะก่อให้เกิดการต่อสู้


อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าตัวเองต้องเสียใจจากการตัดสินใจของเขาในไม่ช้า !  เพราะการวิวาทนี้เขาไม่สามารถเลือกได้เลย !


ร่างเงาสีดำลอยขึ้นมาในอากาศ ผมสีดำขลับของเขาลอยขึ้นเบื้องหลัง จากนั้นพุ่งตรงมายังร่างของผู้อาวุโสหกราวกับอินทรีย์ พร้อมด้วยนิ้วทั้งสิบที่แหลมคมของเขา  ดอกไม่ในลานบ้านปลิวไปด้วยพลังของสิ่งนี้ ทุกผู้ที่อยู่ตรงนี้อ้าปากสูดอากาศเนื่องจาก พลังอันวิเศษของคนผู้นี้ทรงพลังมากจนทำให้พื้นที่นี้เกิดสุญญากาศ !


ยิ่งไปกว่านั้น อิทธิพลของการโจมตีนี้ยังทำให้ทั้งพื้นที่สั่นสะเทือน !


เป็นไปได้ว่าคำพูดที่ไม่ถูกต้องของผู้อาวุโสหกที่แข็งแกร่งของเทพเชวียนนั้นจะเป็นเหตุให้เขาต้องตายในทันที แม้แต่ซากศพของเขาก็อาจจะไม่หลงเหลือเนื่องจากสิ่งที่เขาทำ


การมาถึงของร่างนี้ทำให้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน !  และตอนนี้มันมาตกอยู่บนหัวของผู้อาวุโสหกราวกับความมืดมนของท้องฟ้ายามค่ำคืน !


ผู้อาวุโสสามและหกอุทานพร้อมกันด้วยตกตะลึง


” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! “


ยมบาลผู้นี้มาทำอันใดที่นี่ ?!


โอ้ พระเจ้า ข้าขู่สังหารเขาโดยไม่ตั้งใจอย่างนั้นหรือ ?


แต่กระนั้นมันก็ช้าไปที่จะคิด และผู้อาวุโสหกก็รู้ว่าการรักษาตัวรอดคือสิ่งสำคัญ เขาจึงรีบลุกออกจากเก้าอี้ และตีลังกาถอยไปห้าหกครั้ง ขณะที่ก่อปราณเชวียนขึ้นเป็นชั้นเกาะป้องกันตรงหน้าเพื่อรับมือกับพลังอันน่ากลัวที่เขาต้องเผชิญ !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไม่สนในการป้องกันที่แข็งแกร่งนี้ และพุ่งตัวขึ้นในอากาศขณะทะลวงเข้าไปในเกราะป้องกัน ความจริงมือของเขายังคงเป็นท่าเดิมขณะที่เขาตัดผ่านเกราะของผู้อาวุโสหกราวกับมีดร้อนตัดเนย


ผู้อาวุโสสามตะโกน


” ได้โปรดเมตตาท่านอาจารย์เหยี่ยว ! “


ขณะที่เขารุดหน้าไปช่วยเหลือผู้อาวุโสหกที่กำลังล่าถอย


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไม่สนใจต่อทุกสิ่งอย่างราวกับประกายอาฆาตรในดวงตาของเขาเป็นอะไรบางอย่างที่จริงกว่ามาก และขยับนิ้วทั้งสิบตรงไปยังเป้าหมายของเขา


เห็นได้ชัดว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นั้น โมโหอย่าที่สุด !  ความจริง อาจจะพูดได้ว่า โทสะของเขาปกคลุมไปทั่วทุกที่ !


เขาศึกษากระบวนท่าของอินทรีย์มาหลายสิบปีแล้ว และถือได้ว่าเขาควรจะบรรลุผ่านไปยังขั้นต่อไปได้เมื่อหลายปีก่อน แต่เขากลับต้องพบกับคอขอวของความแข็งแกร่ง   และแล้วเขาได้พบกับจวินโม่เซี่ย เด็กหนุ่มผู้ที่จะสามารถนำทางเขาต่อไปได้  ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มผู้นี้ได้เผยถึงการแปลขบวนบางอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และพบว่าสมองของเขาจมดิ่งอยู่กับการค้นคว้ามัน


ตอนนี้ ชีวิตของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้เชื่อมโยงกับโชคชะตาของจวินโม่เซี่ยแล้ว !  แต่กระนั้น เขาก็ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดอาจหาญคุกคามจวินโม่เซี่ยต่อหน้าเขา !


ข้าคงแข็งแกร่งขึ้นมิได้หากเด็กผู้นี้ตาย หรือได้รับบาดเจ็บจนพิการ !  ในความจริง หาก ปรมาจารย์ลึกลับกล่าวโทษข้าว่าไม่สามารถปกป้องเด็กผู้นี้ได้ และไม่สนอะไรข้าอีก ข้าก็ยังจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้อีก ..


เห็นได้ชัดว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสังเหตุเห็นว่าผู้อาวุโสหกเข้ามาพบจวินวูอี้ แต่เขาตัดสินใจละเลย เนื่องจากเขากำลังง่วนอยู่กับการฝึกซ้อมที่เขาเพิ่งไ้เรียนรู้มา …


ความจริง อาจจะพูดได้ว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จะยังคงง่วนอยู่กับการฝึกฝนแม้นว่าผู้อาวุโสหกแห่งเมืองพายุหิมะขาวจะมาขอพบเขาแทนที่ จวินวูอี้


แม้นว่าทุกสิ่งจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่แล้วจวินโม่เซี่ยพบกว่าตัวเองได้รับการโจมตี !  ยิ่งไปกว่านั้น มันก็สายไปเสียแล้วหากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะกระทำการอันใด


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เกือบจะตกอยู่ภายใต้ความกลัวและตกตะลึง


โชคดีสำหรับเขา ที่ความแข็งแกร่งอันพิเศษของ นายน้อยจวิน นั้นมากพอที่จะรับมือกับการโจมตีนี้ มิเช่นนั้น …


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว คงจักต้องหัวใจวายตาย !


เนื่องจากการกระทำของเจ้าตั้งใจจะทำให้ข้าไม่ได้พบเจอกับ ปรมาจารย์การต่อสู้ที่หาที่เปรียบไม่ได้ มันจึงนำพาให้เจ้าต้องกลายเป็นที่ข้าเกลียดชัง และเป็นศัตรู !


แม้นว่าจวินโม่เซี่ยจะคิดหนักที่ให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอาศัยอยู่ในที่พักสกุลจวิน แต่นายน้อยจวินก็มิได้คาดว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะกระทำอย่างรุนแรงด้วยความโปรดปราณตั้งแต่วันแรก !


นิ้วมือที่แข็งแกร่งของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว กำลังจะสร้างภาพการสังหารที่น่าสยดสยอง !


ร่างของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังคงตัดผ่านเกราะป้องกันของผู้อาวุโสหกอย่างต่อเนื่อง ราวกับมีดร้อนตัดผ่านเนย !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ตัดผ่านเกราะป้องกันในแต่ละครั้งที่ผู้อาวุโสหกถอยไปหลายก้าว จากนั้น เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกครั้ง และพุ่งเข้าใส่อกของผู้อาวุโสหกราวกับตาวตก !


ผู้อาวุโสสามเข้ามาถึงในเวลานี้และพบว่าตัวเองปะทะเข้ากับร่างของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวด้วยเสียง ตุ๊บ


ปั้ง ! 


ร่างของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวผงะเล็กน้อย ขณะที่ผู้อาวูโสสามปลิวถอยหลังไป


ขณะนั้น ปราณที่แข็งแกร่งของ ยอดปรมาจารย์ มุ่งไปสู่ผู้อาวุโสหก และปะทะเข้ากับหน้าอกของเขาหลังจากฝ่าผ่านเกราะป้องกันทั้งหมด !


เสียง ตุ๊ป ดังขึ้นสองสามครั้ง เห็นได้ชัดว่าการโจมตีนี้ได้ทำลายซี่โครงหลายชิ้น ขณะที่เลือดพุ่งออกมาจากปากย้อมให้มันกลายเป็นสีแดง  ชัดเจนว่าเลือดเหล่านั้นเกิดมาจากการที่อวัยวะภายในของผู้อาวุโสหกได้รับบาดเจ็บรุนแรง ความจริงไม่น่าแปลกใจเลยหากอวัยวะภายในห้าหรือหกอย่างของเขาจะได้รับบาดเจ็บ !


ร่างของผู้อาวุโสหกกลิ้งไปข้างหลังราวกับลูกบอลและเด้งเข้าไปปะทะกับดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่สองครั้งก่อนจะหยุดลงเนื่องด้วยกระแทกเข้ากับต้นไม้  เขาพยายามยืนขึ้นด้วยสีหน้าขื่นขม ใช้ต้นไม้เพื่อพยุงขณะที่ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด


” ทำไมกัน ? “


ผู้อาวุโสหกอ้าปากเพื่อพูดแต่กลับพบว่าตัวเองกระอักเลือดออกมา  เขาโบกมือไปทาง มูซื้อทง ขณะที่ชายผู้นั้นวิ่งเข้ามาเพื่อช่วยเหลือเขาให้ยืนขึ้น เขากัดฟันขณะที่ร่างกายอดทนต่อความเจ็บปวดมหาศาล


ผู้อาวุโสสาม มูซื้อทง และ องค์หญิงน้อยแห่งเมืองพายุหิมะต้องการที่จะถามสิ่งหนึ่งออกมา แต่พวกเขาตกตะลึงอย่างมากจนพูดไม่ออก


ไม่มีพวกเขาคนใดคิดออกว่าทำไม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงตอบโต้ด้วยความรุนแรงเช่นนี้ แม้นว่าผู้อาวุโสหกจะสบประมาทเขาด้วยคำพูดเนื่องจากการเอาชีวิตของผู้อาวุโสหกเช่นนี้เป็นเหมือนกันการสร้างความเกลียดชังที่ไร้เหตุผลระหว่างเขาและเมืองพายุหิมะขาว  มันคุ้มค่าจริงๆหรือ ?


” อาวุโสผู้นี้เอาแต่ใจเสมอ   ข้าสามารถปัดกวาดเศษสวะเช่นเจ้าได้นับพันเพียงแค่ข้าโบกมือ !  เจ้าควรภูมิใจที่ได้อยู่มานานเช่นนี้โดยไม่เข้าใจถึงความจริงข้อนี้ !  และเจ้ายังคิดจะถามข้าว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนี้ ? ”


ผมของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังคงลอยอยู่ในอากาศเบื้องหลัง ขณะดวงตาของเขายังคงปลดปล่อนประกายแห่งความหยิ่งทะนง  ชุดสีดำของเขายังคงพัดโบกด้วยสายลม ชัดเจนว่าโทสะของ ยอดปรมาจารย์นั้นยังไม่ลดลง !

 

 

 


ตอนที่ 223

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ตอบกลับคำพูดของผู้อาวุโสหก แต่ด้วยความรุนแรงที่มากกว่า ! 


คำพูดที่เขาได้เอ่ยไปก่อนหน้านี้เริ่มดังก้องอยู่ในหูของผู้อาวุโสหก แต่ยังรู้สึกราวกับการให้พรที่น่าอัปยศ … 


ใบหน้าผู้อาวุโสหกแดงก่ำด้วยความอับอาย ดูราวกับว่าเขาจะตายไปได้ทุกเมื่อ !


” กุ้งตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเจ้ากล้ามาอาละวานในถิ่นของข้าได้อย่างไรกัน ?  เจ้าอาจหาญรบกวนการฝึกฝนของข้า ซึ่งไม่คู่ควรเลยแม้แต่น้อย !  และเจ้ายังมาถามอีกหรือว่าเหตุใดข้าถึงโจมตีเจ้า ?  มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งพูดว่าเจ้าจะสังหารข้าหรอกหรือ ?  แล้วข้าจะพลาดให้เจ้ามีโอกาสทำสิ่งนั้นได้อย่าไรกัน ?!  นี่เป็นเรื่องน่าขันอย่างยิ่ง !  ท่านเซี่ยว เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้าและเมืองพายุหิมะของเจ้าจะคงกระพัน เอาละ ในความคิดของข้า สกุลเซี่ยวของเจ้า และเมืองพายุหิมะทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ขยะของเสีย ยกเว้น ฮั่นเฟิงฉือ ! “​


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขึ้นหน้าสองก้าวขณะพับแขนทั้งสองกลับไปด้านหลัง  เขามองไปยังใบหน้าที่โศกเศร้าของผู้อาวุโสหกและถาม


” อะไร ?  นี่คือสิ่งที่ข้าคิด เจ้าเห็นต่างหรือไม่ ?  ข้ากำลังถามเจ้าและข้าก็ได้พูดในสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ ? ”


ผู้อาวุโสหกเพ่งมองกลับไปยัง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อย่างดุร้ายแต่ปากของเขาก็ยังไม่ขยับเพื่อตอบกลับ  แต่กระนั้น ดวงตางของเขาเปิดเผยปราถนาในใจอย่างชัดเจน


” ท่านเซี่ยว หากคำตอบของเจ้าทำให้ข้าไม่มีความสุข ข้าจะมุ่งหน้าไป หอมณีวิจิตร และคนของเมืองพายุหิมะขาวที่อยู่ในเมืองเทียนเชียงในทันที !   และนั้นรวมถึงพี่ทั้งสองของเจ้า และสมาชิกสกุลเซี่ยวสองคน และแม้แต่เด็กสาวผู้นี้ !  ฮ่าฮ่า  ดีมาก ดีมาก ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้นำสิ่งล้ำค่ามายังเทียนเชียง เช่นนั้นจงอย่าก่อปัญหาให้มากนัก !  เห้ย กุ้งฝอย เจ้าบอกข้าหน่อยว่า เจ้าคิดว่าข้าจักกล้าทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หัวเราะอย่างชั่วร้าย


” เลิกทำหูทวนลมและยืนขึ้นซะ  อาวุโสผู้นี้จักถามเจ้าอีกหน เจ้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ ? ”


แววตาของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เผยถึงประสงค์ที่ชั่วร้ายอย่างชัดเจน


” อาจารย์เหยี่ยว โปรดอย่าให้เรื่องนี้เกินเลย …​ ท่านอาจารย์ในเมืองของเรานั้นซื่ตรงต่อกันเสมอ และพวกเราอาจจะได้ร่วมงานกันในอนาคต ดังนั้นอย่าทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราตัดขาดเลยเถิด ! “


ผู้อาวุโสสสามตะโกนเสียงดัง


” ถุย !  อย่ามายุ่ง !  เกียรติของตาเฒ่าเฟิงนั่นคือสิ่งเดียวที่ข้ายังมิได้สังหารเจ้ากุ้งฝอยนี่ แต่ข้าจักไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆหลังจากที่เขาด่าข้าว่า แม้แต่ร่างของเจ้าก็ไม่เหลือหากข้าเสร็จธุระกับเจ้า ! ”


” ตาเฒ่าเหิงนั้นมีเกียรติ หากแต่เจ้ากุ้งฝอยนี่ไม่  หากเขามิได้เห็นข้า เขาจะไม่ทำสิ่งนี้กับสกุลจวินหรอกรึ ?  แต่เมื่อเจ้าเข้ามาวิ่งเล่นในถิ่นของข้า ข้าก็จะเล่นกับเจ้า !  มิเช่นนั้น เจ้าจะกล้าพูดเช่นนั้นกับข้าได้อย่างไร ?  ข้าจะทำในสิ่งที่ข้าต้องการ !  และข้าจะทำสิ่งที่ต้องการจนกระทั้ง ท่านเซี่ยวตอบคำถามข้า ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว โบกมือ


” ตอนนี้ ชีวิตของเจ้าขึ้นอยู่กับปากของเขา ! ”


” อาวุโสผู้นี้เอ่ยปากถามเจ้า และข้าจักไม่ถามเป็นครั้งที่สาม ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถามอย่างโหดเหี้ยมและรุนแรง


” ตอนนี้ตอบข้ามา ! ”


ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสหกจะตายลงด้วยความโศกเศร้าได้ทุกเมื่อ !  ความอัปยศเช่นนี้ทำให้ร่างของเขางุนงง ความจริงแล้ว หัวใจของเขาเกือบจะหยุดเต้นไปแล้ว แต่เขาก็ยังบังคับให้มันเต้นต่อไป !  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เอ่ยถึงเจนตนาอย่างชัดเจน ชีวิตของชาวเมืองพายุหิมะระดับสูงที่อยู่ในเมืองเทียนเชียงขึ้นอยู่กับคำตอบของเขา


ผู้อาวุโสหกเชื่อมั่นว่าคนบ้าเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้จริงๆ !  หากการตอบของข้าทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโกรธเคือง เขาอาจจะฝังกระดูกทุกคนที่นี้และทำมันในตอนนี้ ! 


และแม้นว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะสังหารพวกเราทุกคน เมืองพายุหิมะก็ยังคงมิอาจไล่ล่าปิศาจตนนี้ได้ !


ความอัปยศนี้เกินกว่าเขาจะแบกรับ !  แม้นเขายังไม่เข้าใจว่าทำไม่พอใจเขาอย่างมาก 


 แต่สิ่งที่ข้าทำนั้นทำให้เขาเป็นบ้าไปรึ ?  อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่านี่มิใช่เวลาที่คิดเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย !


” ข้า … ข้า … ”


ผู้อาวุโสหกขยับปากสองสามครั้ง และจากนั้นเขาจึงหลับตาและหยดน้ำตาค่อยๆไหลออกมาจากขอบตาของเขา


” .. เห็นด้วย ! ”


ดวงตาของผู้อาวุโสหกกรอกไปข้างหลังขณะที่พูดพร้อมหลับตา


” ดีมาก !  ตอนนี้ เจ้ากุ้งฝอยนี่เข้าใจความจริงพื้นฐานแล้ว ข้าไม่คิดว่าข้าจะรบกวนเขามากเกินไป ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ยิ้มอย่างโหดร้ายและค่อยๆชายตามองไปยังผู้อาวุโสสาม มูซื้อทง และองค์หญิงน้อย


” มีใครอีกไหมที่ไม่ยอมรับสิ่งนี้ ?! “​


” ข้าไม่เห็นด้วยกับการกลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอกว่า หากเจ้าต้องการสังหารข้าเพราะเรื่องนั้น ข้าก็ยินดีที่จะได้เรียนรู้จาก แปดยอดปรมาจารย์ เป็นความทรงจำครั้งสุดท้าย ! ”


มูซื้อทง ก้าวขึ้นหน้า เหลือบมองไปยัง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวด้วยดางต่ที่กลมโตซึ่งดูเหมือนจะไร้ซึ่งความกลัว


” ข้าก็ไม่ยอมรับสิ่งนี้ ! ”


องค์หญิงน้อย ฮั่นหยานเมิง ก้าวขึ้นหน้า เพ่งมองอย่างอาจหาญไปยัง ด้วยความไม่พอใจในสายตาไปยัง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


” ฮ่า ฮ่า คนของเมืองพายุหิมะบางคนไม่กลัวความตายจริงๆ !  นั่นเป็นสิ่งดี ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยิ้ม


” ข้าเพิ่งจะเปิดหูเปิดตาเขาในวันนี้ แต่พวกเจ้าทั้งสองนั้นยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ และแทนที่จะเสียใจกับพฤติกรรมของข้า … เจ้าคิดจริงๆหรือว่าคนอายุเช่นข้าจะสนใจไปกลั่นแกล้งพวกหนุ่มสาว ?  ข้าเองก็ไม่ชอบผู้ที่ กลั่นแกล้งคนหนุ่มสาวไปมากกว่าตัวพวกเขาเอง !  อย่าได้กังวล ข้าถือว่าเจ้าหนุ่มสวรรค์เชวียน และสาวน้อยผู้นี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของ ฮั่นเฟิงฉือ แต่ข้าจักของบอกเจ้าว่า พวกเจ้าไม่ควรอาจหาญในสถานการณ์เช่นนี้เมื่อเจ้าโตขึ้น เข้าใจในความจริงข้อนี้ซะ ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว พูดจบและไม่สนใจทั้งสองอีกเลย  จากนั้น ดวงตาเขาเลื่อนกลับไปมองผู้อาวุโสหกอีกครั้ง และรอยยิ้มอันเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา


ผู้อาวุโสหกเกือบจะเป็นลมด้วยโทสะเมื่อได้ยินคำพูดของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เนื่องจากพวกมันบอกเป็นนัยว่า เขาถือว่าแม้แต่ฝีมือระดับเทพเชวียนของผู้อาวุโสหกนั้นเป็นเพียงผู้ฝึกหัด


จากความจริงที่คำพูดของเขาทำให้ยอดฝีมือเทพเชวียนเกือบจะเป็นลมด้วยโทสะ จึงบอกได้ว่า ความสามารถในการยั่วยุ และเย้ยหยันผู้คนของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นเป็นรองแค่ นายน้อยจวิน


” อาจารย์เหยี่ยว ท่านโจมตีน้องข้าโดยไม่มีเหตุผลวันนี้ การฆาตรกรรมของท่านจึงไม่มีความยุติธรรม !   ท่านจักต้องตอบคำถามต่อเมืองพายุหิมะขาวในเรื่องนี้ ! ”


ผู้อาวุโสสามพูดด้วยโทสะหลังจาก ตื่นขึ้นจากการตกตะลึง


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หัวเราะเย้ยหยัน


” เจ้าจะบอกว่าข้า ฆาตรกรรมน้องของเจ้าโดยไร้เหตุผลหรอกหรือ ..  แล้ว หากเช่นนั้นเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ?  เจ้ากำลังพูดว่าข้าไม่มีฝีมือที่จะสังหารเขาหรือ ? ”


ผู้อาวุโสหกพูดไม่ออกขณะตระหนักได้ว่าความก้าวร้าวของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอาจได้รับการกระตุ้นจากคำพูดและการกระทำบางอย่างของน้องเขา  เขารู้อย่างชัดเจนว่าการจู่โจมผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นจะพบจุดจบเพียงอย่างเดียวคือ ตาย !


เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสสามจึงไม่มีคำใดจะตอบ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสงบสติ และยกตัวเองขึ้นในการโต้แย้งนี้


” และนั่นคือส่วนของคำอธิบาย !  อะไรที่เจ้ากุ้งฝอยนี้เอ่ยเมื่อจวินวูอี้ถามหาคำอธิบายจากเขา ?  และเจ้ายังต้องการให้ข้าอธิบายการกระทำของข้าอีกหรือ ?  เหตุใด ข้าจึงควรอธิบายสิ่งต่างๆแก่เจ้า ?  และ ข้าควรจะอธิบายตัวเองแก่เจ้าได้เช่นไร ? ”


จวินโม่เซี่ย ยิ้มจากด้านข้าง


” สิ่งที่เรียกว่าคำอธิบายของผู้อาวุโสสามต่อพวกเรานั้นไม่ชัดเจน แต่มันยังค่อนข้างขัดหูข้า  ข้าเชื่อว่าจักต้องใช้เวลาครุ่นคิดคำพูดของเขาอีกสองสามวันจึงจะเข้าใจในความหมาย … ”


” แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าข้ามิใช่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า เจ้าจึงไม่รู้สึกว่าจะต้องอธิบายอันใด และดังนั้นเมื่อมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า พวกเขาจึงไม่ต้องอธิบายอะไรกับเจ้าด้วย !  ปกติแล้ว ความแข็งแกร่งคือคำอธิบายของทุกสิ่งอย่าง !  ข้ามองว่า นี่คือ หลักเกณฑ์ของเมืองพายุหิมะ !  ดังนั้น ตอนนี้ความแข็งแกร่งของพวกเรานั้นสูงกว่าเจ้า แต่เจ้ายังต้องการให้พวกเราอธิบายสิ่งต่างๆอีกอย่างนั้นหรือ ?  อะไรทำให้เจ้าคิดว่า เมืองพายุหิมะขาว ควรจะมีข้อได้เปรียบ ?  ฮี่ ฮี่ … ช่างประหลาดยิ่ง … ”


องค์หญิงน้อย ฮั่นหยานเมิงได้ยินคำพูดของจวินโม่เซี่ยที่ดังและชัดเจน ทำให้นางอดหันไปมองเขาไม่ได้ สีหน้าอขงนางแสดงออกคล้ายกับว่าจวินโม่เซี่ยนั้นคุ้นเคย และมองร่างของเขาอย่างระมัดระวังตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมด้วยดวงตาที่เบิกกว่า


เห็นได้ชัดว่าข้าไม่เคยพบคนผู้นี้แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคย ?


ผู้อาวุโสสามหันมองไปยังจวินโม่เซี่ยทันที พึมพัมสองครั้ง และกลับมามอง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


” อาจารย์เหยี่ยว ได้โปรดเย็นลงก่อน …  และลองมาพูดคุยกันอีกสักหน่อยเป็นไร ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคำรามทางจมูก แต่ไม่ตอบอันใด  เท้าของเขามิได้เคลื่อนไหว ขณะลอยขึ้นในอากาศและเคลื่อนที่ไปมุมหนึ่ง  ผู้อาวุโสสามขอให้ มูซื้อทง ดูแลผู้อาวุโสหก และกระซิบบางอย่างไปที่หูของเขาขณะที่เดินผ่านไป  เสียงกระซิบของเขานั้นเบามาก กระทั้งแม้นมีคนแอบฟังก็ไม่สามารถได้ยิน


” สาวน้อย เจ้ามองอะไร ?  เจ้ามิเคยเห็นชายหนุ่มที่หล่อเหลามาก่อนหรือ ?  เจ้าเริ่มชอบข้าแล้วละสิ ? ”


หัวใจของจวินโม่เซี่ยเต้นรัว ขณะตระหนักได้ว่าหญิงสาวผู้นี้เพ่งมองมาที่เขาอยู่สักพัก และตระหนักได้ว่าเขาจักต้องไม่ปล่อยให้เด็กสาวจำเขาได้ !  หากนางจำข้าได้ ความยุติธรรมจะไม่ได้อยู่ข้างเราอีก !


” อืม ! ”


ฮั่นหยานเมิงย่นจมูกขณะใบหน้าเผยถึงความยะโส  นางมองผ่านเขาไปโดไม่ได้ตอบอันใด  ครั้งล่าสุดที่นางได้พบจวินโม่เซี่ย ร่างของมองสังหารผุดขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับดินโคลนเต็มใบหน้า  ยิ่งไปกว่านั้น แม้นว่าใบหน้าของเขาจะสะอาดมากพอจนทำให้นางจำได้ แต่นางก็อับอายจนไม่สามารถมองไปยังร่างหรือใบหน้าของเขาได้ เนื่องจากตอนนั้นเขาเปลือยเปล่า  จากนั้น เมื่อร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเศษผ้าแล้ว ใบหน้าของเขาก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจำนวนมาก มันจึงไม่ช่วยอะไร


ผลลัพธ์ก็คือ องค์หญิงน้อยก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ชายเปลือยที่โจมตีนางอย่างรุนแรงนั้น คือคนเดียวกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านางในวันนี้


” นี่คือน้องสาวของ โย่ว ? “


จวินวูอี้มองไปยัง ฮั่นหยานเมิง ขณะถาม มูซื้อทงพร้อมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


” ใช่ นางคือองค์หญิงของเมืองเรา นามว่า ฮั่นหยานเมิง ”


มูซื้อทงยิ้มและถาม


” วูอี้ การบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้วดั่งที่ผู้อาวุโสหกพูดจริงหรือ ? “​


” ใช่ เขาพูดถูกแล้ว ! ”


จวินวูอี้มองไปยัง ฮั่นหยานเมิง อีกครั้ง ถอนหายใจเบาและตอบ


” ใช่แล้วน้องมู่ ข้าคิดว่าขาของข้าคงยังไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระสักพัก ”


จวินวูอี้เข้าใจถึงคประสงค์ที่จริงใจของ มูซื้อทง แต่ยังคงไม่บอกความจริงกับเขาในเวลานี้ 


ข้าเชื่อใจเจ้า แต่ข้าไม่สามารถบอกความจริงต่อหน้าคนนอกได้ !


อย่างไรก็ตาม ข้าจะต้องพยายามหาโอกาศบอกเรื่องนี้กับน้องมู่ในภายหลังเป็นการส่วนตัว แต่มิใช่ตอนนี้ มิเช่นนั้นความลับอันยิ่งใหญ่ของสกุลจวินจะถูกเปิดเผย


หัวใจของ ฮั่นหยานโย่วคงจะได้รับการปลอบประโลมตราบใดที่ มูซื้อทง สามารถนำข่าวนี้ไปบอกแก่นางได้  อย่างไรก็ตาม นี่ยังคงตรงข้ามกับสิ่งที่จวินวูอี้วางแผยเอาไว้


” ดี !  ดีมาก ! ”


มูซื้อทงตอบลงไปบนมือของจวินวูอี้อย่างตื่นเต้น


” ข้าจะนำข่าวนี้ไปบอกแก่ องค์หญิงคนโตในทันที ข้าจินตนาการได้เลยว่า นางจะมีความสุขเช่นไรเมื่อได้ยินมัน ! ”

 

 

 


ตอนที่ 224

 

” ขอบคุณพี่มู่ ! ”


จวินวูอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


” เจ้าคือ พี่เขยข้า จวินวูอี้ ?  เจ้าช่างดูมีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่ ข้าได้ยินพี่สาวของข้าพูดถึงเจ้าทุกวัน ฮี่ฮี่ … ”


ฮั่นหยานเมิงเงยหน้าขึ้นมาขณะนางพยายามคาดเดาจวินวูอี้ และถาม


” พี่สาวของข้าคิดถึงเจ้าทั้งวี่วัน แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ไปหานางบ้าง ?  หากเจ้าไม่มีที่อยู่ของนางที่เมืองพายุหิมะขาว ข้าจะบอกเจ้าเดี๋ยวนี้ ”


ใบหน้าจวินวูอี้กระตุกด้วยเจ็บปวดขณะความทรงจำพุ่งพล่านเข้ามาหาเขา


” ข้าต้องการจะไปที่นั่น !  มานับสิบปีแล้ว … ไม่มีวันใดเลยที่ข้าไม่ประสงค์พบนาง… “


” โอ้ว .. ”


ฮั่นหยานเมิงพยักหน้าราวกับเข้าใจความหมาย แต่ไม่เป็นเช่นนั้น นางจึงถาม


” ไปมิได้เพราะขาของเจ้าอย่านั้นหรือ ?  มีหมอดีมากมายที่เมืองพายุหิมะขาว และข้าจะแนะนำพวกเขาแก่เจ้า ! ”


” องค์หญิงน้อย มิใช่เพราะจวินวูอี้ไม่ต้องการจะไปที่นั้น มันเพราะความพิการของเขานั้นรุนแรง   มิเช่นนั้นเขาคงจะไม่สามารถไปยังที่ใดใกล้เมืองพายุหิมะขาวได้ ”


มูซื้อทงถอนหายใจและอธิบาย


” ทำไมกัน ? ”


องค์หญิงน้อยถามด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง


” แม้แต่ข้ายังสามารถไปในที่ต่างๆที่ข้าต้องการได้เลย และเห็นได้ชัดว่าฝีมือของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าข้ามาก ”


” เจ้าโง่ ! “ 


จวินโม่เซี่ยฮึดฮัด ขณะเขาไม่พยายามปิดบังความคิดของเขาได้ องค์หญิงน้อยคงจะมิได้ทำงานหนักเกินไป ?  นางเพิ่งจะเรียกน้าของข้าว่าเป็นพี่ของนาง ช่างเลวและน่าสะอิดสะเอียน


” หลานของเจ้าช่างไร้มารยาท !  เขาไม่ควรเรียกข้าว่า ป้าหรือ ? ”


ฮั่นหยานเมิง แลบลิ้นขณะนางมองไปยังจวินโม่เซี่ย และหันกลับมามองจวินวูอี้และอธิบาย


” ข้าจะกลับไปบอกพี่สาวของข้าในเรื่องนี้  นางจักสังสอนเขาเมื่อนางมายังสกุลจวิน !  ต้องมีบางคนสั่งสอนเขาจริงๆเสยียแล้ว ! ”


” พี่สาวของเจ้า …  จะมายังสกุลจวินอย่างนั้นหรือ ? ”


จวินวูอี้ตกตะลึงชั่วขณะหลังจากได้ยินประโยคนี้ และพบว่าหัวใจของเขาเต้นด้วยความสุข  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหัวใจของเขาจะมีความสุขในทันใด แต่ความข่มขื่นยังคงปรากฏร่องรอย   ราวกับใครบางคนหย่อนเชอรี่ลงในกรด


” เอ เห็นได้ชัดว่านางอยากแต่งกับเจ้า ดังนั้นนางจึงต้องมายังสกุลจวินโดยปกติ  เหตุผลเดียวที่พี่สาวของข้าฝึกฝนอย่างหนักอยู่ตลอดเวลา เพราะนางต้องการแต่งกับเจ้า ! ”


ฮั่นหยานเมิง ผายมือขณะเผยสีหน้าที่ชัดเจน


” โอ้ว … “


ดวงตาของจวินวูอี้เต็มไปด้วยความชุ่มชื้นขณะความตื่นเต้นในใจทำให้เขาไม่สามารถพูดตอบอะไรได้


สิบปีที่ต้องเหินห่าง สุดท้ายเขาจึงคนพบความคิดที่แท้จริงของนาง


นางยังคงถวิลหาข้า แต่ข้า …


” เจ้าจะบอกทุกเรื่องของพี่สาวเจ้าแก่ข้าได้หรือไม่ ?  น้องเล็ก … ”


จวินวูอี้โน้มตัวไปข้างหน้าขณะดวงตาของเขาเผยถึงความกระหายใคร่รู้ที่อยู่ในใจอย่างชัดเจน


” แน่นอน มิใช่ปัญหา แต่ … ”


ฮั่นหยานเมิง เผยถึงความหยิ่งทะนงขณะนางชี้ไปยังจวินโม่เซี่ย


” ก่อนอื่น เจ้าต้องบอกให้เขาเรียกข้าว่า ป้า  เขาคือหลานของเจ้า และเจ้าคือพี่เขยในอนาคตของข้า จึงทำให้ข้าเป็นน้าของเขา  เขาควรเรียกข้าว่าท่านน้าถูกไหม ? ”


” นรก ! ”


จวินวูอี้ไม่มีเวลาตอบโต้ขณะเขาได้ยินคำสาปแช่งนี้ และหันไปมองหาจวินโม่เซี่ยด้วยเสียง ฟึดด …


เอาละ เจ้าเด็กนี่คิดจะเผาข้า และข้าสงสัยว่านางนั้นยากจะรับมือ แต่ข้าไม่เคยคิดว่านางจะแผดเผาข้าเร็วเช่นนี้ … เด็กสาวนี่ช่างน่าเหลือเชื่อ  ข้านั้นแก่มากพอที่จะเป็นพ่อของเจ้า และเจ้ายังต้องการให้ข้าเรียกเจ้าว่าน้า ?  นางเป็นเด็กสาวที่น่ารำคาญยิ่ง ข้าละรู้สึกอย่างจะสั่งสอนนางเสียจริง !


จวินโม่เซี่ย ตัดสินใจจะกลับไปยังลานบ้านของเขาเพื่อหลีกหนีเหตุที่จะทำให้เกิดโทสะ และตัดสินใจออกจากจวนสกุลจวินไปเสียเลย


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ยังคงอยู่ในจวนสกุลจวินอีกสักพัก ซึ่งหมายความว่าสกุลของเขาจะปลอดภัย


ดังนั้น มือสังหารจึงตัดสินใจทำบางสิ่งที่แตกต่างไปเพื่อแปลงเปลี่ยนอารมณ์ที่เศร้าหมองในตอนนี้ของเขา


จวินโม่เซี่ยคือผู้ที่มีลักษณะที่แข็งแกร่ง ฝึกฝนอย่างหนัก ดื้นรั้นเป็นที่สุด และมักจะทำตามความคิดของเขาเสมอ แต่ยังคงรักษาสัญญาไม่ว่าสิ่งในจะเกิดขึ้น นั่นคือคุณสมบัติที่ดีของเขา !


แต่กระนั้น บุคลิคของเขายังถูกควบคุมด้วยคุณสมบัติอื่นๆ ซึ่งเขาไม่สามารถอดกลั้นต่อความไม่พอใจได้ !


การกลั่นแกล้งของผู้อาวุโสหกก่อนหน้านี้ ทำให้จวินโม่เซี่ยมีโทสะ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะปลอดปล่อยมันใส่คนสกุลเซี่ยว ! 


คนเอาแต่ใจและ นิสัยข่มเห่งมักจะมีนิสัยชอบกลั่นแกล้ง แต่เจ้าต้องไม่กลั่นแกล่งข้า !


และหากเจ้าทำ ข้าจะตอบแทนเจ้าในเรื่องนั้นเป็นร้อยเท่า !


แม้นว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้สั่งสอนผนเรียนชิ้นใหญ่ให้แก่ ผู้อาวุโสหก แต่จวินโม่เซี่ยนั้นเป็นจอมโฉดในโลกที่แล้ว และมักจะมีความคิดที่แตกต่างเสมอ  แม้นการลดโทษของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นจะมีากเกินพอแล้วในสายตาของผู้คนจำนวนมาก …  แต่ในสายตาของจวินโม่เซี่ยนั้นยังไม่เพียงพอ !


ความจริงแล้ว มันยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอนัก


จุดเริ่มต้นของปฏิปักษ์คือการล้างแค้นที่น่าโศกเศร้า !


จอมโฉดจักนิ่งเฉยได้อย่างไรหลังจากที่โดนรุกราณ ?  แม้นว่าเขาจะแตกต่างและความแข็งแกร่งของเขาจะน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม …  หากแม้นว่าผู้ร้ายคือ ผู้ที่ทรงพลังที่สุดในโลก …  จอมโฉดก็ยังคงเป็นจอมโฉด !


การกระทำของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั่นไม่เหมือนกับข้า !  เจ้าโจมตีข้า และข้าจะต้องเอาคือนเจ้าด้วยตัวเอง !  การปลดปล่อยโทสะด้วยมือของผู้อื่นนั้นมิใช่นิสัยของจอมโฉด !


และผลก็คือ จวินโม่เซี่ยตัดสินใจล้างแค้น !  ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ใช้โอกาสที่เหมาะสมในครั้งนี้ และออกไปจากสกุลจวินเนื่องจากไม่มีผู้ใดสงสัยในการจากไปขอเขา !


……


ผู้อาวุโสสาม และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไปรวมตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง แม้ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นดูสงบและใจเย็น แต่ความสงสัยยังคงอัดแน่อยู่ในอกของพวกเขา


ความสงสัยของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นคือ


สกุลจวินนั้นเป็นสกุลที่ทรงพลังและมีอิทธิพลอย่างมาก แต่อาจจะจำกัดอยู่แค่ในอาณาจักรเทียนเชียง   หากทั่วทั้งดินแดนแล้วนั้น พวกเขานั้นเป็นสกุลที่ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ และเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเทียบไปได้กับก๊กเหล่าที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ แต่เหตุใดสกุลเช่นนี้จึงจงใจยั่วยุ ก๊กที่ทรงพลังเช่นเมืองพายุหิมะขาว ?


ชัดเจนว่าเขาเข้าใจคำพูดของผู้อาวุโสหกซึ่งเป็นปกติของคนในระดับของเขา และและเข้าใจสิ่งนั้นด้วยคุณธรรมในการเป็นสมาชิกสกุลเซี่ยว เห็นได้ชัดว่าชายผู้นัน้ต้องยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นด้วยความเคารพต่อสกุลจวิน  แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่เขาใจว่า เหตุใดสกุลจวินจึงพยายามยั่วยุยอดฝีมือเทพเชวียนให้ทำเช่นนั้น …  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยอดฝีมือเทพเชวียนที่มีก๊กเหล่าอันทรงพลังเช่นเมืองพายุหิมะขาวหนุนหลังอยู่ !


ด้วยความคิดนี้ทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสับสนอย่างมาก !


ผู้อาวุโสสามก็ยังคลางแคลงใจ


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว คือ แปดยอดปรมาจารย์ เหตุใดเขาจึงมาอยู่ในจวนสกุลจวิน ?  ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเขาจึงพยายามปกป้องสกุลจวินแม้นจักต้องรุกรานเมืองพายุหิมขาว ?  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นั้นมิใช่คนที่สามารถเอาชนะได้โดยง่าย !


เหตุผลเบื้องหลังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและการคบหากับสกุลจวินนั้นยากยิ่งที่จะเข้าใจ !


และ มีหลายสิ่งอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ …​ หากสกุลจวิน และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังคงร่วมมือกัน สกุลจวินจะได้รับการปกป้องจากอันตราย อย่างอัตโนมัติ  ความจริง ฮั่นหยานโย่ว และจวินวูอี้ สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางไปสู่ชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุขได้จากสถานการณ์ปัจจุบันด้วยน้ำและไป แม้ว่าพวกเขาจะต้องก้าวข้ามทะเลแห่งเลือด และซากศพเพื่อให้ได้มาก็ตาม … !


” ข้าขอถามได้ไหม เหตุใดท่านปรมาจารญ์จึงมาอยู่ที่นี่ ? “


ผู้อาวุโสสามสุภาพอย่างมากจนไม่มีผู้ดบอกได้ว่า คนที่เขาคุยด้วยนั้นคือคนที่เขาถือว่าเป็นศัตรู เนื่องจากชายผู้นี้เพิ่งโจมตี สมาชิกชั้นสู่แห่งเมืองพายุหิมะขาว


” ข้าถามเจ้าได้หรือไม่ ?  เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ ?  เมืองพายุหิมะขาว และ สกุลจวินเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?  เหตุใดน้องของเจ้าจึงไม่สนใจสถานะตัวเองและลดตัวลงไปทะเลาะกับเด็ก ?! “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว คำรามขณะถาม


” ท่านไม่รู้ถึงสาเหตุและผลกระทบของสถานการณ์นี้ ? ”


ผู้อาวุโสสสามเพ่งมองกลับทันที  เขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก 


 เขาไม่รู้หรือว่าเหตุใดพวกเรามาที่นี่ ?


” รู้อะไร ?  เหตุใดข้าจึงต้องถามเจ้าอีก ? ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเริ่มรู้สึกกลวงภายใน และสัมผัสได้ว่าเขาได้กระทืบเท้าและพาตัวเองเข้าไปพบกับปัญหาบางอย่าง


หลังจากที่ตกอยู่ภายใต้ความประหลาดใจ ผู้อาวุโสสามค่อยๆเล่าถึงความเป็นจริงทั้งหมดซึ่งนำพาความขุ่นเคืองให้เกิดขึ้นระหว่าสกุลจวินและเมืองพายุหิมะขาวอย่างละเอียด  แต่กระนั้น ชัดเจนว่าเขาได้ละเอาความขัดแย้งของเมืองพายุหิมะออกจากเรื่องเล่าของเขา


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวฟังเรื่องราวด้วยความสับสน


เขายืนอยู่อย่างงุนงงเป็นเวลานาน และกระทืบเท้าด้วยโทสะหลายครั้ง


แม่งเอ้ย มิแปลกใจเลยที่เจ้าเด็กนั้นพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ข้าอยู่กับสกุลจวินที่นี่ และคิดอย่างหนักเพื่อทำให้มั่นใจว่าข้าสัญญาจะปกป้องสกุลจวินเป็นเวลาหนึ่งปี …


แรกเริ่มดูเหมือนว่าสกุลนี้จะได้รับการสั่งสอน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาลอบกัดข้า …


ข้าเป็นดั่ง หัวขโมยที่อยู่ในเรือโจรสลัด !


เจ้าปิศาจขายชาติตัวน้อย !


เขาลากข้าลงน้ำได้อย่างชาญฉลาด และข้า  ตอนนี้ ข้าไม่มีตัวเลือกมากนัก !


จากทั้งหมดที่พูดมา เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ยังคงเป็น แปดยอดปรมาจารย์ และแม้นว่าคนสามัญจะเกรงกลัวเมืองพายุหิมะขาวเนื่องจากพวกเขามีฮั่นเฟิงฉือหนุนหลัง แต่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมิใช่คนเช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหัวใจของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะไม่เกรงกลัวพวกเขา แต่เขายังคงโกรธเคืองจวินโม่เซี่ย


เจ้าปิศาจน้อยนั้นลอกให้ข้าทำในสิ่งที่เขาาต้องการ !


แต่เมื่อข้าคิดถึงมัน ….  หากข้ารู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจักตอบรับข้อเสนอของเขาอย่างไร … แม่ว่าข้าจักไม่เกรงต่อเมืองพายุหิมะขาวหรือ ฮั่นเฟิงฉือ แต่ข้าก็ไม่ต้องการยั่วยุปัญหาเช่นนี้ ….


หากว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกลับคำพูด ทั้งโลกจะคิดว่าเขานั้นเกรงกลัว ฮั่นเฟิงฉือ  เมื่อพบว่าตัวเองขี่เสืออยู่ เขาก็ไม่สามารถกระโดดออกมาได้แล้วเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นได้แต่ปลอบตัวเอง


ข้าไม่เคยพบ ฮั่นเฟิงฉือ และเมืองพายุหิมะขาวที่เขาชื่นชอบ และสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อข้าต้องการฝ่ายตรงข้ามเพื่อฝึกฝน … เมืองพายุหิมะขาวมีพวกเขามากมาย ข้าจะต้องยกความดีความชอบให้กับเจ้าปิศาจน้อยนี่  ยิ่งไปกว่านั้น เขาจักไม่นิ่งเฉยและเฝ้ามองสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับสกุลของเขา … และสถานการณ์นี้จะช่วยให้ข้าได้ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในอนาคต …


อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เมืองพายุหิมะขาวนั้นมียอดฝีมือนับไม่ถ้วน และจะต้องมียอดฝีมือเทพเชวียนนับสิบ รวมถึงพวกแข็งแกร่งเป็นอันดับที่สามของดินแดน  แม้แต่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ก็อดที่จะรู้สึกเสียความมั่นใจมิได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ทรงพลังเช่นนี้ได้


หากเมืองพายุหิมะขาวมิได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และมีเพียงแค่ คฤหัสน์ฉือฮั่น ข้าก็สามารถรับมือกับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เพราะความแข็งแกร่งของศัตรูของสกุลจวินนั้นมีจำกัด …


เขามองมาที่ตัวเองขณะมีความคิดอยู่ในหัว


หึ เมืองพายุหิมะขาว และ คฤหัสน์ฉือฮั่น นั้นมิเคยเข้ากันได้ดี แล้วเหตุใดพวกเขาจึงจะร่วมมือกับเพื่อต่อกรกับสกุลจวิน ?  มีผู้ใดที่มีค่าพอจักทำให้กองกำลังที่บาดหมางกันร่วมมือกันได้ ?  พวกเขามิเคยได้ร่วมมือ และหากเจ้าคิดไปทีละขั้น อาจารย์ลึกลับของเจ้า ปิศาจน้อยนั่นสามารถรับมือกับปัยหาของ ฮั่นเฟิงฉือ และ ลีจื้อเทียน ได้อย่างง่ายดาย … พวกนี้ยังไม่รู้เรื่องนี้สินะ …  แต่ เป็นเช่นไรหาข้ามีความแข็งแกร่งเช่นนั้น ? …


” เรื่องนี้มิต้องพูดอันใดอีกแล้ว ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคิดถึงความแข็งแกร็งและความรู้ของอาจารย์ของนายน้อยจวิน และหลุบเปลือกตาด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง


” ข้าอยู่ที่นี่กับสกุลจวิน ดังนั้นเจ้าจะต้องเจอกับข้าหากเจ้าต้องการมองหาปัญหาที่มากกว่านี้ ! ”


แม้นว่าผู้อาวุโสสามจะคลางแคลงเล็กน้อย เขาก็อดคิดถึงการคุกคามนี้ไม่ได้  จึงรีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างรีบเร่ง เขาถามอย่างระมัดระวัง


” ท่านอาจารย์เหยี่ยว ท่านพอรู้ว่ามีปรมาจารย์ผู้หาใครเปรียบมิได้อาศัยอยู่ในเมืองเทียนเชียงบ้างหรือไม่ ? ”

 

 

 


ตอนที่ 225

 

” ผู้ใดคือปรมาจารย์ผู้หาที่เปรียบมิได้ ? ”


ดวงตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหรี่ลง


คนของเมืองพายุหิมะขาวรู้หรือว่าอาจารย์ลึกลับนั่นคือใคร ?  ข้าคิดว่าข้ารู้จักเขาเพียงผู้เดียว !


” ข้าไม่รู้ว่าเขาปลอมแปลงเป็นผู้ใดอยู่ในเมืองเทียนเชียง …  ข้ารู้เพียงแต่การเพาะปลูกของอาจารย์ผู้นี้นสูงส่งยิ่งกว่าทุกสิ่งที่ข้าเคยได้เห็นในโลกใบนี้ ! ”


ดวงตาของผู้อาวุโสสามยังคงปรากฏร่องรอยแห่งความกลัวอยู่อย่างเด่นชัด


” โดยหารู้เหตุผลไม่ ปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้ได้สร้างสร้างเขตปราณเชวียนขึ้นเมื่อหลานวันก่อน มันทรงพลังมากจนพวกเราสามารถสัมผัสได้จากระยะไกล !  และวันนี้เราได้รู้ถึงความอัศจรรย์ของปรมจารย์ผู้นี้อีกอย่างหนึ่ง … ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แกล้งเป็นเข้าใจคำพูดอันเลอะเลือนนี้เนื่องจากเขาไม่ต้องการเปิดเผยความรู้อันใดแก่ผู้อาวุโสสาม แต่มิได้ปกปิดถึงความเคารพต่อปรมาจารย์ลึกลับที่สะท้อนในดวงตาของเขา


” ความอัศจรรย์อันใด ?  บอกข้ามา ข้าอยากรู้ ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวรเข้าใจแล้วว่า ผู้อาวุโสสามถเอ่ยถึงอาจารย์ของนายน้อยจวิน และอดที่จะกลั่นหัวเราะอยู่ใต้ปลอกแขนมิได้


เจ้ายังมิรู้หรอกหรือ แต่วันนี้เจ้าเพิ่งจะโจมตีศิษย์ของอาจารย์ผู้นี้ไป  เจ้าคิดหรือว่ามันจะเป็นเรื่องดีกับเจ้า ?


ในอีกมุมหนึ่งผู้อาวุโสสามกำลังเฝ้ามองใบหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวด้วยความกังวลในหัวใจ ดูเหมือนว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว รู้ถึงการมีอยู่ของคนผู้นี้ และปรากฏว่าคนผู้นี้นั้นแข็งแกร่งกว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมาก เนื่องจากเขาจะชื่นชมต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ !  เมื่อไม่มีตัวเลือก ผู้อาวุโสสามพูดต่อ


” ป่าเมเปิ้ลทางใต้ของเมืองที่สวยตระหง่ามานาน แต่ด้วยเหตุผลกลใด สถานที่นี้กลับถูกแผดเผาลงไปด้วยโทสะของปรมาจารย์ผู้หาผู้ใดเปรียบมิได้  ป่านี้เป็นภูมิทัศน์ที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ทั้งหมดนั้นกลับหายไปอย่างเงียบเฉียบในวันนี้น .. พื้นดินปราศจากพื้ชผล .. ยิ่งไปกว่านั้น หามีแม้แต่ต้นหญ้าสักต้นไม่ … “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพ่นลมที่หนาวเย็นออกมา


เจ้ามาที่นี้หลังจากไปที่ป่าเมเปิ้ลทางใต้มาหรือ ?  ที่นี่เป็นสถานที่ที่เจ้าจะมาหลังจากได้รู้เห็นถึงเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงอย่างนั้นหรือ ?


” ข้าขอทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ยอดปรมาจารย์ผู้หาใครเปรียมิได้ กับปรมาจารย์เหยี่ยว … ”


ผู้อาวุโสสามถามอย่างรอบคอบ  ผู้อาวุโสสามตัดสินใจแล้วว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และปรมาจารย์ผู้หาใครเปรียบมิได้นั้นจะต้องมีความเชื่อมโยงกันในบางอย่าง แต่ไม่รู้ถึงการได้พบปะกันของพวกเขา  ในความจริงแล้ว นี่คือเรื่องรอง เนื่องจากสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้อาวุโสสามต้องการรู้คือ สกุลจวินได้ทำอะไรกับปรมาขารย์ผู้ลึกลับและหาที่เปรียบมิได้นี้หรือไม่  เดิมทีแล้วผู้อาวุโสสามหวาดกลัวถึงความเป็นไปได้นี้


นั่นเป็นเรื่องแย่สำหรับพวกเราจริงๆ !


” ข้าไม่รู้จักเขา !  ข้าไม่รู้จักเขา ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวส่ายหัวหลายครั้ง


” ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อน !  ไม่เลย ! ”


อืม เจ้ามาจากเมือสีเงินของเจ้า และก่อปัญหาในเมืองผู้ตาแก่ผู้นั้น และคิดจริงๆหรือว่าเขาจะไม่ตอบโต้กลับมา ?!  ข้าคิดว่ามันมีอีกมากมายที่เจ้าจะได้พบเจอในอนาคต !


มันจะดีที่สุดหากเจ้ากลับไปยัง เมืองพายุหิมะขาว และส่งตาเฒ่าฮั่นมารับมือกับชายผู้นี้  ความจริงข้าคิดว่า เพียงการโจมตีเพียงครั้งเดียวของชายผู้นี้ สามารถทำให้ตาเฒ่าฮั่นนั้นเลือดออกอยู่ภายในเกราะของเขาแล้ว !  มันตลกดี แม้แต่ตาเฒ่าฮั่นได้กลายเป็นตัวตลกไปในตอนนี้


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวติดอยู่ในความโศกเศร้าเมื่อความคิดนี้ก่อกำเนิดในหัวของเขา


” เจ้ามั่นใจหรือ ? ”


คิ้วสีขาวของผู้อาวุโสสามเลิกขึ้นขณะที่เจากำลังถามหาข้อมูลอื่นๆจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และไม่คิดว่าชายผู้นั้นจะปิดบังเขา


” อะไร ?  เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ? “


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เพ่งมองกลับไป


ผู้อาวุโสสามเริ่มหดหู่ใจมากขึ้น


ชายผู้นี้ เจ้าเพิ่งทำให้พวกเราคิดมากถึงความอัปยศโดยการโจมตีน้องหกของข้า และตอนนี้เจ้าต้องการให้ข้าเชื่อเรื่องโกหกที่ออกมาจากปากของเจ้าอีกหรือ ?  ไปหลอกผู้อื่นเถิด !


” อาจารย์เหยี่ยว ”


ผู้อาวุโสสามประนมมือเคารพ


” ข้าไม่ต้องการคำอธิบายในเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เนื่องจากคามแข็งแกร่งของข้านั้นไม่ดีพอกับท่าน อย่างไรก็ตาม  ท่านอาจารย์เหยี่ยวได้ทำให้เมืองพายุหิมะขาวต้องได้รับความอัปยศในวันนี้ และท่านจักต้องให้คำตอบแก่พวกเราในเรื่องนี้หลังจากที่พวกเรากลับมาอีกครั้งกับผู้อาวุโส และมันจะเป็นเรื่องที่ดีหากท่านจากไปก่อนจะถึงเวลานั้น ! ”


” ฮ่าฮ่า เจ้ากำลังพูดถึงเซี่ยวตั๋ว ?  อืม เจ้าคิดจริงๆหรือว่าพวกเขาจะทำให้ผู้เฒ่าผู้นี้ประสบกับปัญหา ?!  หากเจ้าต้องการให้ข้าตอบคำถามในเรื่องนี้จริงๆ เจ้าจักต้องขอให้ ตาเฒ่าฮั่นมาเผชิญหน้ากับข้าด้วยตัวเอง !  ฮ่าฮ่า เซี่ยวเซียงหยุน และ เซี่ยวปู้หยู กำแพงทั้งสองแห่งเมืองพายุหิมะขาว ผู้ที่พุ่งทะยานอยู่เหมือหมู่เมฆและหุบผา …  อาวุโสผู้นี้ชอบที่ได้พบกับตาเฒ่าระยำนั่น และข้าต้องการจะเห็นว่าพวกมันจะอยู่สูงได้สักเพียงไร ! ”


สีหน้าผู้อาวุโสสามยังคงเดิมขณะเขายิ้มและพูด


” อาจารย์เหยี่ยวจะไม่ผิดหวัง ”


เมื่อผู้อาวุโสสามพูดจบ เขาโบกมือให้ มูซื้อทง ยกร่างของผู้อาวุโสหกขึ้น และเตรียมจากไปพร้อม ฮั่นหยานเมิง  เมื่อไปถึงประตูเขาหันกลับมองไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพร้อบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว


” มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่ต้องการเอ่ย แต่ข้าสงสัยว่าความโหดร้ายของอาจารย์เหยี่ยวนั้นจะต้องได้รับการชดใช้ … . จากแหล่งข่าวของพวกเรา อาจารย์แห่ง คฤหัสน์ฉือฮั่น ต้องตาหญิงสาวเมื่อครั้งล่าสุดที่เขามายังเทียนเชียง และต้องการได้หญิงสาวผู้นั้นเป็นสนม และปรากฏว่าหญิงสาวผู้นั้นคือ สะใภ้สกุลจวิน กวนเซียงฮั่น !  ตอนนี้ นางอาศัยอยู่กับสกุลจวิน !  เนื่องจาก ท่านอาจารย์เหยี่ยวประสงค์จะอยู่ที่นี่ เขาจักต้องเริ่มตระเตรียมการโดยเร็ว เพราะข้ากลัวว่า คฤหัสน์ฉือฮั่น นั้นมิได้มีขนบดั่งเช่นเมืองพายุหิมะของข้า ! ”


ผู้อาวุโสสามยิ้มขณะเขาพูดจบ และจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก


ฮั่นหยานเมิง ยิ้มอย่างแยบยลไปยังจวินวูอี้ขณะนางโบกมือก่อนจากไป


” พี่สามจวิน หากข้ามีโอกาสมาที่นี่อีกครั้ง ข้าจะเล่าเรื่องต่างๆให้เจ้าฟัง  บอกหลานของเจ้าด้วยว่าเขาจัดต้องเรียกข้าว่า น้าเล็ก ในครั้งต่อไปที่พบข้า !  มิเช่นนั้น ข้าจักบอกพี่สาวว่าเจ้าและหลานชายของเจ้ากลั่นแกล้งข้า ! ”


จวินวูอี้ยิ้มขณะโบกมือให้นางกระทั่งพวกเขาพ้นประตูออกไป


ขณะนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังคงยื่นที่เดิมด้วยความสับสนบนใบหน้า !


ความจริงแล้ว เขางุนงงอย่างมาก !


นี่มิใช่เพียงเรือโจรสลัด !  ข้ากำลังจมดิ่งสู่หุบเหวที่ไร้จุดสิ้นสุด !  ตอนนี้ ข้าไม่สามารถถอยหลังออกไปได้แล้ว …


คฤหัสน์ฉือฮั่นจากทางใต้ และ เมืองพายุหิมะขาว จากทางเหนือ !  ทั้งสองนั้นถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในโลกนี้ และเจ้าเด็กสกุลจวินได้ยั่วยุพวกเขาทั้งสองในเวลาเดียวกัน …


เพียงแค่หนึ่งกำมือ ข้าได้นำพาตัวเองเข้าไปสู่ …  ความยากลำบากอันหนักหนา !


วันอันเลวร้าย !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ยืนงุนงงอยู่นาน และทันใดนั้นเขาคำรามออกมาด้วยความโกรธ


” เจ้าจวินปิศาจนั่น !  เจ้าเด็กเลว !  ออกมาหาอาวุโสผู้นี้สิ ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเหาะข้ามที่พักสกุลจวินอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่พบกแม้แต่ร่องรอยของจวินโม่เซี่ย  โดยไม่มีทางเลือก เขากลับไปยังลานบ้าน จวินวูอี้ขณะพึมพัม


” .. เจ้าเด็กเลวนั่น อาวุโสผู้นี้จักถลกหนังอันปราดเปรื่องของเจ้าออกเสีย เมื่อข้าจับเจ้าได้ !  เจ้า เจ้า เจ้า …. ”


จวินวูอี้ขอโทษตัวเองอย่างเงียบๆ และตัดสินใจไปหยิบกระบี่ที่แอบซ่อนไว้ในห้องนอนของเขาออกมาฝึกฝน ปล่อยให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อยู่กับลมหายใจอันชั่วร้ายของเขาแต่เพียงผู้เดียว …  ขณะที่รู้สึกหดหู่มากพอจนสามารถสังหารผู้ใดสักคนได้ …


ความจริงแล้วเขารู้สึกทุกข์โศกมากจนเขาต้องการจะสังหารใครสักคนเพื่อปลดปล่อยความทุกข์ตรมนั้น !


ในขณะที่ผู้อาวุโสสามข่มขู่ก่อนหน้านี้ เหยี่ยวผู้โดเดี่ยวมักจะนิ่งเฉยเนื่องจากเขาคิดว่ามันเป็นการข่มขู่ที่จอมปลอม  อย่าไรก็ดี คฤหัสน์ฉือฮั่น และ เมืองพายุหิมะขาว นั้นทรงพลังทั้งคู่ และพวกเขาเป็นปฎิปักษ์ต่อกัน  ในความจริง กองทำกลังทั้งสองนี้ไม่ชอบที่จักต้องร่วมมือกัน แม้ว่าพวกเขาจะต้องต่อกรกับ หยุนเป้ยเฉิน ….


อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสสามบอกเป็นนัยถึงการร่วมมือกัน หลังจากที่เขาพูดว่าปรมาจารย์ลึกลับ นั้นเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกนี้ และ เหนือกว่าทุกสิ่งที่โลกนี้เคยพบเจอ  แม้ว่าเขาจะตั้งใจรีดไถข้อมูลจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่สุดท้ายเขาก็ได้เตือนสติเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถึงความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้


แม้นว่าพวกเขาจักร่วมมือกัน …  ฮั่นเฟิงฉือ และ ลีจื้อเทียน จะสามารถต่อกรอะไรกับปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาสามาถทำให้ป่าทั้งป่าหายไปได้อย่าเงียบเฉียบ ?  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ยังไม่แตะต้อง นายน้อยจวินจนถึงตอนนี้ เนื่องจากความเคารพต่ออาจารย์ของเขา แต่เขาก็มิได้สนใจในเรื่องนั้นมาก !


ผู้ที่หนุนหลังเขาช่างแข็งแกร่งยิ่ง !  พวกเขาสามารถทำให้ก๊กทั้งสองหายไปในสายลมและสายฝนได้หาก ปรมาจารย์ลึกลับผู้นี้ลงมือด้วยตัวเอง …


แต่กระนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ก็ไม่สามารถบอกถึงที่อยู่ หรือบอกได้ว่าจวินโม่เซี่ยตัวร้ายนั้นไปอยู่ที่ใดได้ …


ณ. เวลานี้ ความมืดเริ่มครอบงำด้านนอกจวนสกุลจวิน


ชนชั้นสูงแห่งเมืองพายุหิมะขาวกำลังเดินไปตามถนน และดูเหมือนว่าไม่มีผู้ใดพูดออกมา  ความจริงแล้ว แม้แต่องค์หญิงน้อยผู้สดใสก็ยังเงียบอยู่ ซึ่งก่อให้เกิดบรรยากาศที่โศกเศร้าขึ้นในหมู่พวกเขา


ขณะที่อยู่บนหลังของ มูซื้อทง การบาดเจ็บของผู้อาวุโสหกเริ่มดีขึ้นให้เห็น เนื่องจากชายผู้นั้นมักจะเดินปราณเชวียนภายในร่างกายอยู่เสมอ   ยังไงชายผู้นี้ก็ยังคงเป็นยอดฝีมือเทพเชวียน ซึ่งหมายความว่าไม่มี การบาดเจ็บ หรือการเจ็บป่วยที่รุนแรงใดๆสามารถพรากชีวิตของเขาไปได้ ตราบใดที่ยังคงมีปราณเชวียนค้ำจุนร่างกายของเขาไว  เขาได้ก่อปราณเชวียนขึ้นรอบๆร่างของตวัเองอย่างเข้มข้น และตอนนี้มันกำลังฟื้นฟูสุขภาพของเขาให้เป็นปกติ การฟื้นฟูกระดูกหน้าอกที่แตกหักของเขานั้นจักต้องใช้เวลาและความพยายามในตอนนี้


อย่างไรก็ตาม ความอับอายที่ผู้อาวุโสหกได้เผชิญในวันนี้เป็นบางอย่างที่เขามิเคยได้ประสบมาก่อนในชีวิต !


สามารถบอกได้จากใบหน้าของเขาว่า เพียงแค่คิดถึงสกุลจวินก็ย้ำเตือนถึงช่วงเวลาที่เขาโดนบังคับให้พูดคำว่า ข้าเห็นด้วย ซึ่งนำพาถึงการมีชีวิตดั่งความตายให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง !


แม้นผู้อาวุโสหกจะมิได้พูดอะไรขึ้นมาเป็นเวลานาน แต่สามารถบอกได้ถึงความขื่นขมในหัวใจจากการที่เขากัดฟัน ปล่อยให้เลือดไหลลงไปสู่แผ่นหลังและเสื้อของ มูซื้อทง  แม้แต่ดวงตาของเขาก็แดงก่ำขณะที่เลือดหยดลงมาจากปากของเขา !


” น้องหก … ”


ผู้อาวุโสสามพยายามพูดขึ้น แต่ก็มิได้พูดอะไรหลังจากนั้น  เขารู้จักผู้อาวุโสหกมานานกว่าสามสิบปี และรู้จักชายผู้นี้มากพอที่จะเข้าใจถึงสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่  สุดท้ายผู้อาวุโสสามอดถอนหายใจไม่ได้ และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น


” …  เรื่องนั้น .. แต่ชายผู้นั้นคือ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว นะ ! ”


” ข้ารู้ พี่สาม … ข้ารู้ในสิ่งที่เจ้ากำลังจะพูด …  ไม่จำเป็นต้องอับอาย เมื่อฝีมือระดับข้าต้องพ่ายแพ้แก่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !  ใช่หรือไม่ ?  ความจริงแล้ว หากข้าขัดขืนเขา ข้าเกรงว่า ข้าจะทำให้ตัวเองประสบกับหายนะ … ”


เสียงของผู้อาวุโสหกเบาลง ขณะใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มอันโศกเศร้า


” แต่ … คนตายไม่ต้องทนทุกข์เช่นนี้ … ข้า … ข้า … “


ความจริงที่ว่ายอดฝีมือเทพเชวียนเริ่มตกอยู่ภายใต้อารมณ์ของเขานั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่าความอัปยศนี้ได้ก่อตัวขึ้นในจิตใจอของเขา


” ผู้อาวุโสหก ด้วยความนับถือของข้า !  ความอับอายของเจ้านั้นได้ช่วยปกป้องชีวิตพวกเรา !  ข้ายังหนุ่มแน่นหากเปรียบกับเจ้า แต่ข้าก็รู้ว่ามันง่ายเพียงใดที่จะเอ่ยคำว่า ไม่ และรู้ว่ายากเพียงใดที่จะเอ่ยว่า ข้ายอมรับ ! “


ความรู้สึกของ มูซื้อทง หลังไหลออกมาจากปากของเขาในตอนนี้


คำพูดเหล่านี้เป็นผลอย่างมากเนื่องจากความเจ็บปวดบนใบหน้าของผู้อาวุโสหกนั้นลงลงหลังจากที่ได้เห็นสีหน้าแห่งการเคารพนับถือของทุกคน  อย่างไรก็ตาม หัวข้อสนทนาก็วนกลับมาที่เดิม ขณะ มูซื้อทง พูดต่อ


” ความจริงแล้ว เมื่อพูดถึงเรื่องความน่าอายและอัปยส แม้ว่าการกระทำของผู้อาวุโสหกในตอนแรกนั้นจะไม่ ดีนักในมุมของสกุลจวิน  ข้าคาดว่านี่เป็นผลของการกระทำเหล่านั้น … หากเจ้าไม่ก้าวร้าวในตอนแรก บางที … ”


มูซื้อทง เพียงแต่พูดความคิดของเขาออกมา  มูซื้อทง ไม่พอใจถึงความดื้อรั้นและเอาแต่ใจของผู้อาวุโสหกมาเนิ่นนาน แต่เขากลับเก็บความคิดของเขาไว้เสมอ เนื่องจากชายผู้นี้อยู่ในตำแหน่งและสถานะที่สูงกว่าเขามาก  แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียการควบคุมในเรื่องนั้นไปในตอนนี้ ซึ่งมันสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนในน้ำเสียงของเขา ….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม