Otherworldly evil monarch 186-203

ตอนที่ 186

 

ฉีฉางเซี่ยวยังคงมองไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหวังว่าเขาจะยอมรับข้อเสนอ แต่ชายผู้นั้นกลับหันกลับมาโดยไม่พูดอะไร และ ปัง ปัง ปัง บุกเข้าไปในวงที่ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะขาวกำลังยืนอยู่ จากนั้น ร่างของเขาก็พุ่งไปหาเฟ้ยเมิงเฉิน และฟาดไปที่เขาสามครั้งติดต่อกัน จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปหา ศิษย์ของลีวูเบ้ยที่เหลืออยู่ก่อนที่เฟ้ยเมิงเฉินจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาตบหน้าคนทั้งเก้า และจากนั้นก็ไปฟาดใส่ผู้ช่วยสวรรค์เชวียนทั้งหกของฉีฉางเซี่ยว …


ในเพียงเสี้ยววินาที เทพเชวียนที่เสียสติได้พิสูจน์พลังของเขาด้วยการโจมตียอดฝีมือเกือบยี่สิบคน !


เห็นได้ชัดจากการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ว่าเหตุใดขาถึงสามารถสังหารพี่หกของศิษย์ทั้งสิบของลี่วูเบ้ยได้ ความเร็วและความคล่องแคล่วของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นไม่มีผู้ใดเทียบเท่า !


จวินโม่เซี่ยปรบมือให้แก่ฝีมือของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในใจ จากสถานที่ลับที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่ แม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะทำลายแผนการของเขาทั้งหมด และทำให้นายน้อยจวินโกรธ แต่เขาก็มิใช่คนที่จะไม่สนใจความสามารถของคนอื่น !


เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวที่ก้าวร้าวและรุนแรงของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้น ทำให้ทุกคนที่นี่ขุ่นเคือง และกระตุ้นอารมณ์ของพวกเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย ในที่สุด คนอื่นๆก็พยายามที่จะเข้าใจแผนการที่ชั่วร้ายนี้ ในขณะที่คนที่บ้าคลั่งนี้พยายามที่จะชิงข้อได้ปรียบ !


ดวงตาของทุกคนแดงก่ำ ไม่ใช่เพราะแกนเชวียน แต่เพราะความโกรธและพวกเขาจะเอาคืนเขา ไม่ใช่เพื่อความโกรธแค้น แต่เพื่อแกนเชวียน ! สีหน้าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเริ่มตื่นเต้นมากขึ้น ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเพมืองพายุหิมะพุ่งเข้ามาหาเขา และเขากางแขนออกไปในขณะที่หัวเราะ และคำราม เตรียมที่จะเผชิญหน้ากับเขา !


มีร่างเงาอีกร่างปรากฏขึ้น และฉีฉางเซี่ยวเข้าร่วมวงต่อสู้ โดยมือข้างหนึ่งนั้นต่อสู้อยู่กับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและอีกข้างหนึ่งนั้นโจมตีใส่ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะ และจากนั้นทั้งห้าคนก็เริ่มหมุนไปเป็นวงกลม โดยแยกเป็นสามฝ่ายโดยที่แต่ละฝ่ายต้องต่อสู้กับศัตรูจากทั้งสองฝั่งไปพร้อมๆกัน


ฉีฉางเซี่ยวพบว่าแต่ละฝ่ายนั้นสามารถที่จะต้องสู้กับเขาได้ และหากเขาสามารถที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ่อนแอลงได้ เขาก็จะสามารถใช้พลังทั้งหมดของเขาเพื่อต่อสู้ได้อย่างน่าพอใจ !


“ ฮ่าฮ่า น่าสนใจ ! ”


เฟ้ยเมิงเฉินหัวเราะขณะที่เขาพุ่งตรงไปและเข้าร่วมการต่อสู้ของยอดฝีมือเทพเชวียน ต่อยเข้าใส่หลังของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและเตะเข้าไปที่เอวของฉีฉางเซี่ยวเพื่อประกาศการมาถึงของเขา


เฟ้ยเมิงเฉินนั้นเป็นที่ปรึกษาแห่งอาณาจักรยูถัง และฉลาดพอที่จะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และรู้ว่าในกรณีที่ฉีฉางเซี่ยวทำให้ทั้งสองฝ่ายอ่อนแอลง เขาจะสามารถที่จะพลิกสถานการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขาเองนั้นอ่อนแอกว่าผู้อาวุโสทุกคนแห่งเมืองพายุหิมะ ดังนั้นทั้งหมดที่เขาทำได้คือการสมดุลย์พลังในการต่อสู้ โดยการสมดุลย์ทั้งสามฝ่าย ดังนั้นการต่อสู้นี้จะดำเนินไปได้นานตราบเท่าที่จะเป็นไปได้ !


เทพเชวียนทั้งหก หมุนไปรอบๆกลางอากาศราวกับลูกบอล …


นอกจากผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะแล้ว คนอื่นๆก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีจากสามด้านพร้อมๆกันเนื่องจากพวกเขาถูกศัตรูล้อมรอบเอาไว้จาก ข้างหน้า ข้างขวา ซ้าย และข้างหลัง ดวงตาของทุกคนมองไปรอบๆเพื่อปัดป้องการโจมตีที่เขามา ….


เทพเชวียนทั้งหกนั้นพยายามที่จะควบคุมขอบเขตการต่อสู้ของพวกเขาให้แคบ เพราะหากปราณเชวียนนั้นหลุดกระจายออกไป มันจะจบลงด้วยการที่พวกเขาทำลายเมืองทั้งเมือง แม้แต่ฉีฉางเซี่ยวก็ไม่เว้น แม้ว่าฉีฉางเซี่ยวจะวางแผนต่อต้านทุกคนก่อนหน้านี้ เขาก็ยังไม่ต้องการให้ชีวิตของยอดฝีมือสวรรค์เชวียนทั้งหกนั้นมีค่าน้อยไปกว่าแกนเชวียน อย่างไรก็ตาม ขณะที่การต่อสู้นั้นรุนแรงมากขึ้น การควบคุมของพวกเขาก็เริ่มเสื่อมถอยลง


มีเงาร่างกระพริบขณะที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพุ่งขึ้นสูงไปบนท้องฟ้าในระหว่างการต่อสู้ของทุกคน และจากนั้นก็พุ่งกลับเข้ามาในวงล้อมพร้อมกับหัวเราะลั่น


การเคลื่อนที่เช่นนี้ทำให้ชัดเจนว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าคนอื่นๆ แม้แต่ฉีฉางเซี่ยว เนื่องจากความเร็วที่แสนพิเศษของเขา เขาสามารถที่จะถอนตัวจากการต่อสู้นี้ได้ตลอดเวลา !


ลี่เจียนฮ้งและพี่น้องของเขากำลังง่วงอยู่กับการดูการต่อสู้ แต่ในตอนที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็มีเงาอีกร่างหนึ่งกระพริบขึ้นด้านข้างพวกเขา ทำให้พวกเขาสะดุ้งตกใจ ร่างนี้ตบลงไปที่หน้าของเขา และจากนั้นก็หายไปราวกับสายลม ปล่อยให้เหยื่อโกรธ !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพุ่งขึ้นไปบนฟ้า และใครกันที่โจมตีข้าในตอนนี้ ?


เพื่อนของเขาหันไปมองผู้นำของพวกเขา ลีเจียนฮ้งล้มลงไปที่พื้น พยายามที่จะคว้าแขนเพื่อนของเขาเพื่อพยุงตัว เมื่อรู้ว่าเพื่อนของเขาโดนลอบโจมตี


เดิมทีแล้ว พวกเขารู้สึกว่าการลอบโจมตีนี้จะต้องมาจากสวรรค์เชวียนทั้งหกจากอาณาจักรเฉินซีเนื่องจากมีแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นในตอนที่เกิดการโจมตี ในขณะที่เชื่อว่าพี่น้องของเขาถูกยอดฝีมือทั้งหกจากเฉินซีโจมตี พวกเขาจึงพุ่งเขาไปหาชายทั้งหกด้วยความโกรธ กลุ่มของลีเจียนฮ้งนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่าการยืนเฉยๆอาจจะต้องมีการสูญเสียชีวิต ทั้งหมดที่พวกเขาเชื่อคือยอดฝีมือสวรรค์เชวียนทั้งหกนี้เป็นอันตรายและจากนั้นพวกเขาจึงชักกระบี่ออกมาโดยไม่ลังเลและมุ่งหน้าเขาสู่การต่อสู้ !


เห็นได้ชัดว่าการตบหน้าของลีเจียนฮ้งนั้นเกิดจากการกระทำของจวินโม่เซี่ย !


นายน้อยจวินได้ใช้เคล็ดอิสระหยินหยาง และหนีลงไปใต้พื้นดินพร้อมฝนที่ตก บวกกับเขาได้ปล่อยแสงสีฟ้าเพื่อเบี่ยงแบนความสนใจ และเนื่องจากสวรรค์ยังไม่ได้สั่งให้ฝนหยุดตก จวินโม่เซี่ยจึงสามารถหนีไปได้โดยไม่มีผู้ใดตรวจพบ !


เห็นได้ชัดว่าลีเจียนฮ้งนั้นไม่รู้ถึงความจริงนี้ และพุ่งออกไปด้วยความโกรธเนื่องจากเขาโดนตบหน้า


ดังนั้นจวินโม่เซี่ยจึงก่อให้เกิดการต่อสู้กันระหว่างสองกลุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ได้


เนื่องจากแผนการของจวินโม่เซี่ยไม่ได้เป็นไปตามที่วางเอาไว้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไปที่จะทำ คือการก่อให้เกิดความสับสน และเพิ่มมันให้มากขึ้น จะต้องมีคนตายจำนวนมาก และมากขึ้น ศัตรูของเขาก็จะอ่อนแอลง …


อย่างแรก ทั้งสองกลุ่มต้องการที่จะสงวนพลังงานของพวกเขาไว้เพื่อทำให้แผนการในการขโมยแกนเชวียนของพวกเขาหลังจากนี้สะดวกขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาก็พุ่งเข้าใส่กันราวกับคนบ้า


เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังไปทั่วท้องฟ้าท่ามกลางความหายนะ และการประดาบจะเป็นจุดแรกที่ทำให้เกิดการนองเลือด !


“ อาาาาาาาาาา ! ”


แม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นจะเร็วที่สุดท่ามกลางคนเหล่านี้น แต่เขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด และแม้ว่าเขาจะสนุกกับการต่อสู้มากกว่าคนอื่นๆ เขาก็ยังเป็นคนหนึ่งภายใต้แรงกดดันมหาศาล ….


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคำรามอย่างรวดเร็ว และกางมือออกขณะที่ปราณเชวียนระดับเทพเชวียนสูงสุดของเขากระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง


ฉีฉางเซี่ยวตัวสั่นด้วยความกลัวชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเขาก็ทำตัวแข็ง และปล่อยปราณเชวียนของเขาออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว


เฟ้ยเมิงเฉินและผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะเหาะออกมาในทันที ! ความแข็งแกร่งที่ต่างกันของคนทั้งหกนี้เห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้


ปราณอันทรงพลังทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ก่อให้เกิดเสียงที่ดังแสบแก้วหูและรุนแรง และดูเหมือนว่าพื้นที่ตรงนั้นจะถูกสะกดให้หยุดนิ่ง สายฝนหยุดจากการร่วงลงมา และเริ่มลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแทน ทำให้เกิดภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ


สิ่งก่อสร้างในรัศมียี่สิบเมตรถล่มลงแทบจะทันที หญ้าและพุ่มไม้ทั้งหมดถอนรากถอนโคนลอยขึ้นมา ในขณะที่ต้นไม้แตกออกเป็นสองส่วน และลอยออกไปทั่วทุกทิศทาง


ความรุนแรงที่เกิดจากการปะทะกันนี้ทำให้ทุกคนมองหน้ากัน แม้แต่สองปรมาจารย์เทพเชวียนสูงสุดก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง !


เพราะการทำลายล้างนี้ตามมาด้วยเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างมาก …


ต้นไม้ที่กำลังจะขาดออกจากกันต้นหนึ่งพูดบางอย่างออกมาอย่างชัดเจนก่อนที่มันจะแยกออกจากกัน สองคำที่ออกมาจากต้นไม้นั้น ทรงพลังและก้องกังวล


“ แม่งเอ้ย ! ”


ต้นไม้นั้นพูดได้หรือ ?


และจากนั้นต้นไม้ก็พูดอีกประโยคขึ้นมา


“ ต่อสู้กันไปหากเจ้าต้องการ แต่ทำไมเจ้าต้องมาทำร้ายต้นไม้อย่างข้าด้วย ? ”


“ นี่คือเสียงของชายหน้ากากดำลึกลับ ! ”


ผู้อาวุโสสามโพล่งออกมา


ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ นี่มิใช่เรื่องอัศจรรย์ … มันคือเขา !


แม้ว่าฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะรู้สึกประหลาดเกี่ยวกับการค้นพบใหม่นี้ พวกเขาทั้งสองก็เหาะออกมาพร้อมๆกัน และะทุบต้นไม้นั้นจนกลายเป็นผุยผง !


แต่พวกเขาก็ผิดหวังกับต้นไม่พูดได้นี้ …


แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะได้ยินต้นไม้พูด แต่ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้น !


สองยอดฝีมือมองหน้ากัน ละอายถึงฝีมือของพวกเขา ทั้งสองร่วมมือกัน … และก็ยังมีคนที่สามารถหลบหนีไปได้ !


จวินโม่เซี่ยกำลังหลบซ่อนอยู่ในต้นไม้อย่างสบายใจ และวิเคราะห์ข้อดีและข้อผิดพลาดของการกระทำของเขา ประโยชน์ที่เขารู้สึกว่าจะได้รับจากสถานการณ์นี้มันทำให้เขามีความสุข แต่ทันใดนั้นต้นไม้ก็แตกออกเป็นสองส่วน …


ขนาดของลำต้นของต้นไม้นั้นมันใหญ่พอที่จะซ่อนร่างของเขาได้ทั้งหมด ดังนั้นพลังที่ทำให้มันหักนั้นก็มากพอที่จะทำให้กระดูกสันหลังของเขาบาดเจ็บ เขาพยายามที่จะไม่ร้องออกมา แต่เขาไม่สามารถที่จะทนต่อการทารุณนั้นได้


และเขาได้รู้ความผิดพลาดในทันทีหลังจากที่เขาสาปแช่งออกไป และจากนั้นเขาพยายามที่จะเสเสร้งด้วยประโยคที่เขาพูดตามหลังออกไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ขณะที่รู้ว่ามันเป็นการเปิดเผยตัวตนของเขา เขาก็มุดลงไปในพื้นดินอย่างรวดเร็ว …


สองยอดฝีมือเทพเชวียนนั้นรู้สึกถึงความว่างเปล่านในท้องของพวกเขาทันที


ตอนนี้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยวมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่สับสน และตามมาด้วยผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะ พวกเขาเริ่มมองหน้ากัน พยายามคิดว่า กลเด็กเล่นนี้สามารถที่จะหลอกพวกเขาทั้งหมดได้เลยหรือ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเอาแกนเชวียนออกมาจากกระเป๋าและตะโกน


“ ของสิ่งนี้ ข้าไม่ต้องการมัน ! ”


เขามือสั่นขณะที่โยนแกนเชวียนตรงไปยังเฟ้ยเมิงเฉิน


เฟ้ยเมิงเฉินยอมรับความจริงที่ว่าเขาจะไม่ได้แกนเชวียนนั้นแล้ว และดีใจอย่างมากที่ตระหนักได้ว่าตอนนี้แกนเชวียนได้ตกมายังมือของเขาด้วยโชคชะตาที่บิดเบี้ยว เขาก้าวออกไปเพื่อที่จะคว้าเอาแกนเชวียนมา แต่ทันใดนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเหยียบใบไม้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากการเคลื่อนที่ของใครบางคน …

 

 

 


ตอนที่ 186

 

ฉีฉางเซี่ยวตัดสินใจไว้แล้วว่า เขาจะหนีไปเมื่อเขาได้แกนเชวียนมาไว้ในมือ ระดับขั้นการเพาะปลูกของเขานั้นได้ไปถึงเทพเชวียนสูงสุดแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่มันก็ไม่มีการพัฒนาอะไรไปมากกว่านั้นเลย อย่างไรก็ตาม เขาสามารถที่จะทะลวงระดับนี้ไปได้ด้วยแกนเชวียนอันนี้ และจากนั้นเขาก็จะสามารถไปถึงขั้นใหม่และระดับที่ไม่มีใครเคยไปถึง !


เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับมูเวิ้นเที่ยนได้หลังจากที่เขาพัฒนาปราณเชวียนของเขาได้ และเขามันใจว่าสามารถแข่งขันกับลีจื้อเทียนได้หลังจากนั้น ซึ่งหมายความว่าอันดับของเขาจะสูงขึ้นไปใน แปดยอดปรมาจารย์ !


หากเขาสามารถเอาชนะ ลีจื้อเทียนได้ ชื่อของเขาก็จะไปอยู่ในระดับเดียวกับ ยุนเบ้ยเฉิน !


เขานั้นเป็นหนึ่งในโลกหล้า !


แม้แต่อาณาจักรเฉินซีก็จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ และจะทรงอำนาจที่สุดในดินแดนเชวียนๆ ! สุดท้ายแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะอยู่รอด และฉีฉางเซี่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรเฉินซี !


ฉีฉางเซี่ยวไม่สามารถที่จะควบคุมความตื่นเต้นได้ ขณะที่ความคิดนี้พุ่งพล่านอยู่ในหัวของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเริ่มคิดขอบคุณเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ที่ทำให้เขาได้รับโอกาสนี้ !


ผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะ ไม่เข้าใจถึงการกระทำที่แปลกประหลาดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในขณะนี้ แต่ก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ฉีฉางเซี่ยวทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ ดังนั้น ผู้อาวุโสทั้งสามจึงต้องร่วมมือกันอีกครั้ง และพร้อมใจกันโจมตีใส่ฉีฉางเซี่ยว !


อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ฉีฉางเซี่ยก็ใกล้จะทำสำเร็จแล้วเขาจึงมิได้สนใจในการเคลื่อนไหวนี้ และสนใจที่จะเอามือไปคว้าแกนเชวียนให้ได้ก่อน ! ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะขาวพยายามไม่ใช่ปราณเชวียนของพวกเขาเพื่อต่อสู้กับฉีฉางเซี่ยว เพราะกลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับความกลัวว่าฉีฉางเซี่ยจะคว้าเอาแกนเชวียนได้สำเร็จ !


อย่าไรก็ตาม สถานการณ์นั้นก็ได้หลุดมือไปเรียบร้อยแล้ว …


จวินโม่เซี่ยมองไปยังสถานการณ์นั้นอย่างหมดหวัง แม้เคล็ดหยินและหยางจะแปลกประหลาดกินกว่าที่ทุกคนจะจินตนาการได้ และแม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยวจะไม่สามารถสังเกตการมีอยู่ของเขาได้ แม้ว่ารูปร่างของเขาจะล่องหน แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงมีอยู่จริงๆ หากเขาเข้าไปในเขตปราณเชวียนของฉีฉางเซี่ยว และมีอะไรบางอย่างผิดพลาดเขาก็จะได้รับอันตรายที่ร้ายแรง สุดท้ายแล้ว เขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะเทียบกับใครได้ !


สองคนที่ดูแปลกประหลาดนั่นไม่ทำอะไรเลยหรือ ?


ตอนนี้จวินโม่เซี่ยกำลังโกรธ และเริ่มสาปแช่งอยู่ในใจ ความจริงแล้ว จวินโม่เซี่ยลืมไปว่า สองคนที่ดูแปลกประหลาดนั้นไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขา ….


ข้าควรใช้การปะทุของเจดีย์หงษ์จวินเป็นทางเลือกสุดท้ายไหม ?


นายน้อยจวินอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ 


 หากไม่สามารถควบคุมมันได้ ข้าจะใช้มันเป็นทางเลือกสุดท้าย !


อย่างไรก็ตาม ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทำให้ทุกคนต้องตกใจอีกครั้ง …


“ แกนเชวียนนั้นเป็นของข้า ! ”


เสียงก้องกังวานดังขึ้น !


เสียงที่ก้องกังวานนี้เกิดขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง อย่างไรก็ตาม ความดังของเสียงนี้ก็กลบเสียงของฟ้าร้องไปได้ !


เป็นเสียงที่ก้องกังวาลและทรงพลัง และดังก้องกังวานผ่านหูของเขาลงลึกไปถึงจิตวิญญาณ !


ร่างสีดำสองร่างปรากฏตัวขึ้นจากจุดที่เขาซ่อนอยู่ ด้วยความเร็วที่เกินกว่าเสียงฟ้าร้อง หนึ่งในสองคนนั้นมีร่างที่ใหญ่และกำยำเกินกว่ามนุษย์ ! ร่างของเขานั้นใหญ่มาก จนทำให้ตู่กู้วูตี้ดูตัวเล็กไปเลยหากต้องอยู่ตรงหน้าของเขา !


เขาพุ่งตัวลงมาและผ่านผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะ จากนั้นเขาก็เหาะลงมาอยู่ต่อหน้า เฟ้ยเมิงเฉิน และเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และเริ่มต่อยใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว


ชายอีกคนพุ่งผ่านอากาศมาอย่างคล่องแคล่ว และมุ่งตรงไปยังฉีฉางเซี่ยว หากจะเปรียบร่างของเขากับควันนั้นก็ยังจะน้อยเกินไป ขณะที่เขายื่นแขนและคว้าเอาแกนเชวียนมาจากใต้จมูกของฉีฉางเซี่ยว ในขณะที่อีกมือหนึ่งยื่นออกไปเพื่อรับมือกับการโจมตีที่รุนแรงของฉีฉางเซี่ยวผู้ที่กำละโมโห และปะทะเข้ากับฝ่ามือของฉีฉางเซี่ยว !


“ ตู้ม ”


การปะทะกันของพวกเขาทั้งสองทำให้เกิดเสียงดังมาก และทำให้ฉีฉางเซี่ยวกระเด็นถอยหลังไป ไม่สามารถควบคุมทิศทางของเขาได้และชายชุดดำตีลังกาถอยหลังไปในอากาศด้วย ทำให้เกิดการแสดงผาดโผนในอากาศที่น่าประทับใจ แต่ทันใดนั้นร่างของเขาเปลี่ยนทิศไปอย่างแปลกประหลาด และเขาก็เริ่มเร่งความเร็วหนีไปกับแกนเชวียน !


“ ได้มาแล้ว ไปเถอะ ! ”


ทันใดนนั้นจวินโม่เซี่ยก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก และเริ่มผลัดแกนเชวียนเข้าไปยังเจดีย์หงษ์จวินทำให้เจดีย์หมุนด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อหวังจะใช้พลังนี้กู้สถานการณ์กลับคืนมา


เนื่องจากจวินโม่เซี่ยใช้กระบวนท่าของเจดีย์ภายใต้เคล็ดอิสระหยินหยาง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยจึงไม่สามารถสังเกตุเห็นเขาได้ แต่ร่างของชายชุดดำที่กำลังหนีไปกับแกนเชวีนนั้นสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง และทันใดนั้นเขาก็หันกลับมา ดวงตาที่เปล่งประกายของเขาเริ่มมองหาแหล่งที่มาของแรงดึงดูดนี้ และสะท้อนถึงความต้องการในหัวใจของเขาได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการหนีไปของเขาก็ยังไม่ลดลง


แม้แต่ร่างของชายชุดดำอีกคนก็สั่นในทันทีเมื่อเจดีย์หงษ์จวินเคลื่อนไหว และเขาก็มองไปรอบๆเช่นเดียวกัน


ตอนนี้ชายที่ตัวใหญ่และบึกบึนนี้ได้เข้าร่วมต่อสู้กับยอดฝีมือเทพเชวียนทั้งห้า แต่เขาก็ไม่พยายามที่จะหลบการโจมตีของพวกเขาเลย ความจริงแล้ว เขาพร้อมที่จะต่อสู้กับพวกเขา เตะมากี่ครั้งเขาก็ส่วนกลับไปทุกครั้ง ตอยพวกเขาทุกครั้งที่พวกเขาต่อยมา ร่างของเขากลายเป็นกระสอบทรายของยอดฝีมือเทพเชวียนทั้งห้า และพวกเขาทั้งห้าก็เตะและต่อยใส่เขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชายผู้นั้นต้องเอามือกุมท้องเพื่อป้องกันขณะที่เขากรีดร้องออกมาเพื่อบ่งบอกถึงความเจ็บปวดทางร่างกาย


อย่างไรก็ตามอีกมือหนึ่งของเขาก็ยังคงต่อยเข้าใส่ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะ และมันหนักพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะต้องชะงัก!


ชายผู้นี้ยังคงแลกหมัดกับยอดฝีมือเทพเชวียนทั้งห้าจนกระทั้งเพื่อนของเขาสั่งให้ล่าถอย อย่างไรก็ตาม เมื่อคำสั่งได้ส่งออกมา เขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ และเริ่มพยายามหนีไปจากศัตรู แต่กระนั้น ทุกคนก็รู้ถึงความตั้งใจของเขา และพวกเขาก็ล้อมเขาไว้อย่างรวดเร็ว เตะและต่อยไปพร้อมๆกันจนแน่ใจว่าเขาจะไม่สามารถหนีออกไปได้ !


แต่ก็มีสิ่งที่แปลกประหลาดอีกอย่างเกิดขึ้นในทันที …


ชายร่างใหญ่นั้นหยุดป้องกันตัวเอง และพุ่งออกไปจากวงล้อม ปล่อยให้ทุกคนโจมตีเข้าใส่ร่างของเขา แม้ว่าเขาจะตัวสั่นเนื่องจากความเจ็บปวดที่ทำให้อ่อนแรง แต่เขาก้ไม่ได่สนใจจนกระทั่งเขาสามารถหาทางออกมาจากวงล้อมนั้นได้ จากนั้นเขาจึงโหยหวนด้วยความเจ็บปวด บิดเอวและกระอักเลือดจำนวนมากออกมา …


แล้วเขาก็กางเท้าขนาดใหญ่ของเขาออกมาและพุ่งออกจากคลุ่มคนเหล่านี้เพื่อไปยังที่ปลอดภัย


เฟ้ยเมิงเฉิน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะได้แต่มองไปด้วยแววตาที่สิ้นหวัง !


ระดับขั้นการเพาะปลูกของชายผู้นี้จะต้องอยู่ในขั้นเทพเชวียน ซึ่งเป็นความสามารถและข้อดีที่หาได้ยาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าเฟ้ยเมิงเฉิน แต่ก็เห็นได้ว่าเขายังคงอ่อนแอกว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! ตอนนี้ทุกคนในที่นี่สามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจน !


อย่างไรก็ตาม คนที่บ้าคลั่งผู้นี้ก้ได้มาต่อสู่กับเทพเชวียนทั้งห้าด้วยตัวคนเดียว โดยไม่ได้ปกป้องตัวเองเลย ฝีมือเช่นนี้แม้แต่ ยุนเบ้ยเฉินก็ไม่อาจฝันถึง !


แม้ว่าเทพเชวียนเหล่านี้จะใช้พลังของพวกเขาไปจนหมด พวกเขาทั้งหมดก็ยังเป็นเทพเชวียน ! แม้ว่ากลุ่มของเทพเชวียนจะแข็งแกร่งมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้นี้ พวกเขาก็ไม่อาจจะมีความกล้าเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความจริงที่ว่า เทพเชวียนเหล่านี้มีความคิดที่รุนแรงและอันตราย ….


ชายผู้นี้ไม่เพียงแต่รอดจากการโดนต่อยตี แต่ยังสามารถที่จะหาทางหนีไปได้โดยการเสียเลือดไปจำนวนมาก ! แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง ก็ยังไม่ส่งผลกระทบใดๆกับความเร็วที่เขาใช้ในการหนีไป ! 


 มันเกิดอะไรขึ้น ? เรื่องเมื่อกี๊มันไม่แปลกประหลาดไปหน่อยหรือ ?


เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ฉีฉางเซี่ยวหดหู่ลงไปมาก สุดท้ายแล้ว เขาเกือบทำสำเร็จแล้วในตอนที่มีชายสองคนเข้ามาแทรกแซง แม้ว่าความโกรธของเขาจะระเบิดออกมา แต่มันก็ถูกกำหราบไว้ด้วยความสงสัย …


ในโลกนี้มีคนเพียงหยิบมือที่สามารถเดินผ่านขอบเขตปราณของข้ามาได้ และเข้ามาขโมยเขาของบางอย่างที่อยู่ใต้จมูกของข้าได้ … และข้ารู้จักพวกเขาทั้งหมด … แต่คนพวกนี้คือใคร ?


สิ่งเดียวที่ข้ามั่นใจ คนเหล่านี้มิใช่หนึ่งในแปดปรมาจารย์อย่างแน่นอน … แต่คนแบบใหนกันที่มีความกล้าพอที่จะเข้าถ้ำเสือ ?


เสียงกรีดร้องของชายชุดดำอีกคนปลุกให้ฉีฉางเซี่ยวตื่นจากภวังค์แห่งความคิด และทันใดนั้นเขาก็รู้ทันทีว่าเขาคือคู่หูของชายผู้นี้ เพราะฉนั้นเขาจึงคิดที่จะหยุดคู่หูของชายผู้นี้แทน อย่างไรก็ตาม เขาหันไปและเห็นถึงความบ้าซึ่งชายผู้นั้นได้ใช้เพื่อหนีออกมาจากวงล้อมของเทพเชวียนทั้งห้า และหลุดออกไปได้จนทำให้ข้าต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง …


สองคนนี้ได้แอบเข้ามา และจากนั้นก็ขโมยเอาแกนเชวียนไปจากมือของเทพเชวียนสูงสุดสองคน เทพเชวียนสองคนและ สวรรค์เชวียนเกือบยี่สิบคน …


หากข่าวนี้แพร่ออกไป มันจะทำให้พวกเขาต้องเป็นที่อับอายอย่างที่สุด …


อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดมีเวลามาคิดถึงชื่อเสียงที่เขาต้องสูญเสีย เนื่องจากพวกเขายังคงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ! ความสามารถในการต่อสู้ของชายสองคนนี้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ! แม้แต่ยุนเบิ้ยเฉินก็ไม่สามารถทำอะไรอย่างที่สองคนนี้ทำได้ !


“ พระเจ้า สองคนนั้นเป็นปิศาจหรือ ? ”


ปฐพีเชวียนสองคนที่หลบออกไปอยู่ด้านนอกหลังจากที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ อ้าปากค้างและพูดขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ไม่สนใจเลยว่าหยดฝนจะไหลเข้าไปในปากพวกเขาหรือไม่


แม้ว่าปฏิกริยาของเขาจะเหมาะสมกับคนธรรมดา แต่ฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็เกิดความลังเล แม้ว่าพวกเขาจะตัดสินใจตามสองคนนั้นไป ! พวกเขาทั้งสองก็ยังมองหน้ากันด้วยดวงตาที่เบิกกว่า ทุกคนสามารถเห็นความหวาดกลัวในแววตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน !


เฟ้ยเมิงเฉินเหาะตรงไปยังพวกเขาอย่างช้าๆ และถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง


“ พวกเขาเป็นใคร ? ”


เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างนุ่มนวล


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยคำรามทางจมูก สีหน้าของสองปรมาจารย์เทพเชวียนสูงสุดนั้นซีดลง สีหน้าของเฟ้ยเมิงเฉินก้เปลี่ยนสีไป ทำให่ทั้งสามมีสีหน้าที่ซีดเผือก …


ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะมองหน้ากันก้วยความหวาดกลัว ผู้อาวุโสหกปาดเลือดที่อยู่ตรงมุมปากของเขาออก


“ เถียนฟา …. ”


“ เชี่ย ! ”


ผู้อาวุโสสามกระแทกเสียงด้วยความโกรธ


“ เจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดงั้นหรือ ? คิดว่าวันนี้เรายังอับอาย…ไม่มากพออีกหรอ ? ”


จากนั้นเขาก็ถอนหายใจและพูด


“ เมื่อพวกเขามาร่วมการต่อสู้นี้ พวกเราควรจะเก็บของและพาองค์หญิงน้อยออกไป ”


“ พวกเขาจะกลับมาอีกไหม ? ”


ฉีฉางเซี่ยวขมวดคิ้วขณะที่เขาพึมพัมกับตัวเอง ยื่นมือออกมาและมองไปที่ฝ่ามือของตัวเองซึ่งตอนนี้มีรอยสีแดงประทับอยู่ ! 


 หากไม่ใช่เพราะการป้องกันของเกราะปราณของข้า ข้าคงจะต้องเสียมือไปแล้ว ! รอบฝ่ามือนี้เหมือกับรอยฝ่ามือของสัตว์ป่ามากกว่าที่จะเป็นคน …


ฉีฉางเซี่ยวงอนิ้วตัวเอง เขาถอนหายใจและพูด


“ และตอนนี้มือของข้าก็ได้สัมผัสกับพวกเขา แต่นั้นจะเป็นแค่ตำนานจริงๆหรือ ? ”


ความกลัวจากบาดแผลนั้นยังคงปะปนอยู่ในน้ำเสียงของเขา

 

 

 


ตอนที่ 187

 

เฟ้ยเมิงเฉินคำรามทางจมูกและเริ่มกล่าวโทษเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสำหรับความโชคร้ายส่วนตัวของเขา 


 ชายผู้นี้ตั้งใจโยนแกนเชวียนมาที่ข้า ทำให้ความกดดันของเขาลดลงไป หากสิ่งนี้ไม่อยู่กับพวกเขาก่อนหน้านี้ พวกเราทั้งห้าคงจะทำให้เขาบาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย … พวกเราอาจจะสังหารเขาไปแล้วก็ได้ !


เขาเลือกที่จะโยนแกนเชวียนเชวียนทิ้งไปในขณะที่มันมาสัมผัสฝ่ามือของเขา เนื่องจากมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้น และตะโกน


“ ข้าไม่ต้องการมัน ! ”


แกนเชวียนจึงเปลี่ยนทิศไปและลอยตรงไปหาผู้อาวุโสสามแห่งเมืองพายุหิมะขาว


ทั้งเฟ้ยเมิงเฉินและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นฉลาดมาก และตั้งใจจะไม่โยนแกนเชวียนนั้นไปทางฉีฉางเซี่ยว เนื่องจากฉีฉางเซี่ยวจะคว้าเอาแกนเชวียนและจากนั้นก็หนีไปพร้อมกับมัน ! เห็นได้ชัดว่าความต้องการของเขาไม่เหมือนกันเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เนื่องจากเขามาที่นี่เพื่อแกนเชวียน !


และไม่มีผู้ใดในที่นี่ ที่จะสามารถหยุดเขาไว้ได้ !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอาจจะมีความสามารถมากพอที่จะไล่ตามเขาได้ แต่เขาไม่ชอบที่จะไล่ตามผู้ใดเนื่องจากเขาต้องการที่จะต่อสู้


แกนเชวียนลอยไปลอยมาในสนามรบเนื่องจากไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะรับมันไว้ …


แกนเชวียนนั้นมิได้เป็นสมบัติแล้วในตอนนี้ แต่มันเป็นดั่งสารแห่งความตาย ! ใครก็ตามที่พยายามจะครอบครองแกนเชวียนนั้นจะกลายมาเป็นเป้าหมายของคนทุกคน !


ฉีฉางเซี่ยวพยายามที่จะวิ่งไปคว้าเอาแกนเชวียนหลายครั้งในเวลานี้ แต่สุดท้ายมันก็ทำให้เขาผิดหวัง เนื่องจากเขาถูกขัดจังหวะโดยเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพร้อมกับเสียงหัวเราะของเขา และในที่สุดก็ต้องยอมต่อสู้กับเขา …


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมีความสุขกับตัวเอง และหัวเราะไม่หยุด อย่างไรก็ตาม ฉีฉางเซี่ยวดูเหมือนจะเศร้าโศกเป็นอย่างมาก แม้ว่าความเร็วของเขานั้นจะไม่ธรรมดา แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะตั้งรับการโจมตีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพร้อมกับคว้าเอาแกนเชวียนมาในเวลาเดียวกันได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้นั้นก็คือที่สีหน้าร้อนรนและต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของเขาอย่างเต็มกำลัง และทำให้พวกเขาหน้าซีดเนื่องจากความกลัว แม้แต่เฟ้ยเมิงเฉินก็ยังคงต้องเจอกับเวลาที่ยากลำบาก …


ในอีกมุมหนึ่ง แกนเชวียนถูกโยนกลับไปกลับมาในสนามรบอยู่ตลอดเวลา ไม่ร่วงลงบนพื้นหรืออยู่กับมือของผู้ใดนานมากนัก …


หากมีนักวอลเล่ย์ได้มาเห็นเกมส์อันยอดเยี่ยมนี้ พวกเขาจะต้องหมอบต่อหน้ายอดฝีมือเทพเชวียนทั้งห้าด้วยความยกย่อง !


ความรอบคอบของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นก่อปัญหาให้แก่จวินโม่เซี่ยอย่างมาก  นายน้อยจวิน ผลุบๆโผล่ๆอยู่รอบๆสมรภูมิ และมันทำให้เกิดผลลัพธ์มากขึ้น ความจริงแล้ว ตอนนี้ฉีฉางเซี่ยวได้ถูกแบ่งแยกไปแล้ว


จวินโม่เซี่ยกำลังจะหาสถานที่ที่เขาจะได้อยู่ระหว่าง เทพเชวียนและสวรรค์เชวียน ในตอนที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโยนแกนเชวียนไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของเขานั้นอาจจะ เปรียบได้กับชายผู้ที่สามารถเต้นบนเส้นเชือกได้อย่างดี


แม้ว่ารางกายของเขาจะล่องหน แต่ร่างกายของเขาก็ยังมีอยู่จริง ในกรณีที่มียอดฝีมือผู้ใดผู้หนึ่งในที่นี้สัมผัสโดนตัวของเขา พวกเขาก็จะรู้ว่าเขานั้นมีตัวตน และชีวิตของเขาก็จะพบกับอันตราย นอกจากนี้ถือได้ว่านายน้อยจวินอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขา


แต่เขาก็จะยังยอมรับในงานที่เสี่ยงอันตรายนี้ เนื่องจากมันจำเป็นที่เขาจะต้องควบคุมความเป็นไปของสถานการณ์นี้ เขาไม่สามารถที่จะปล่อยให้แกนเชวียนตกไปสู่มือของฉีฉางเซี่ยวได้ มิเช่นนั้นแผนการของเขาก็จะพังทะลาย สิ่งต่อไปที่สำคัญที่สุดนั้นคือ ทำให้แน่ใจว่าเฟ้ยเมิงเฉินนั้นจะต้องมีชีวิตรอด ในกรณีที่เขาตาย ผลลัพธ์ที่ตามมาก็จะพังทะลายลงเช่นกัน และอย่างที่สาม เขาจะต้องทำให้แน่ใจว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะตระหนักได้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของเขา


งานความสัมพันธ์ระหว่างปประเทศของอาณาจักรเทียนเชียงนั้นสงบสุขมาหลายปี แต่องค์จักรพรรดิยังคงมีเลศนัยที่จะพยายามทำให้ศัตรูของเขาอ่อนแอ เฟ้ยเมิงเฉินและฉีฉางเซี่ยวนั้นเป็นผู้ที่ทรงพลังและอำนาจในเมืองเหล่านั้น มากจนสามารถถือได้ว่าพวกเขาเป็นเสาหลักของอาณาจักร ดังนั้น สกุลจวินต้องทำให้แน่ใจว่ากองกำลังทางทหารของศัตรูนั้นจะต้องอ่อนแอลง โดยไม่ต้องเริ่มก่อสงคราม


เห็นได้ชัดว่าความตายของพวกเขาจะเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จผล อย่างไรก็ตามจวินโม่เซี่ยก็อับอายที่จำต้องเล่นบนนี้ในฐานะของผู้ทรยศ


เมื่อใรก็ตามที่จวินโม่เซี่ยมีโอกาส เขาจะตั้งใจผลักแกนเชวียนไปให้อยู่ระหว่าง ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะขาวและศิษย์ทั้งเก้าที่ยังเหลืออยู่ของลี่วูเบ้ย เห็นได้ชัดว่ามันส่งผลอย่างมาก ผู้อาวุโสทั้งสามนั้นไม่สามารถที่จะรับมือกับความกดดันนี้ได้ ความจริง ผู้อาวุโสหกและเก้าเริ่มจะมีเลือดออกมาจากมุมปากของพวกเขาแล้ว


สำหรับศิษย์ทั้งเก้าที่เหลืออยู่ของลี่วูเบ้ย พวกเขากำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเท่าๆกันอยู่ ตอนนี้จวินโม่เซี่ยจึงแกล้งเปลี่ยนเส้นทางของแกนเชวียนให้ตรงไปยังพวกเขาสองสามครั้ง ทำให้พวกเขามีความหวัง และผู้ใดก็ตามที่ได้แกนเชวียนไปจะต้องรีบหนีไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะถูกขัดขวางโดยฉีฉางเซี่ยวไม่ก็เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และจะต้องโยนแกนเชวียนกลับไปยังใครก็ตามเพื่อที่จะไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ


แม้ว่าฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะรู้สึกถึงความผิดปกติของจังหวะการเคลื่อนที่ของแกนเชวียน เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้ยินว่าการพรางตัวของจวินโม่เซี่ยนั้นจะเป็นไปได้ พวกเขาจึงไม่ได้สนใจมันมากนัก


เห็นได้ชัดว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นจะมีความสุขกับความสับสนนี้จริงๆ แต่จวินโม่เซี่ยนั้นมีความสุขยิ่งกว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีชายชุดดำสองคนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ดวงตาที่เหมือนเหยี่ยวของเขาเพ่งมองไปยังการต่อสู้ที่น่าสับสน แต่มันก็ได้กระตุ้นความสงสัยในหัวใจของพวกเขาอย่างมาก


“ พี่สาม ท่านดูแกนเชวียนนั่น … ข้าพยายามที่จะอ่านความบริสุทธิ์ของปราณมันอยู่นานแล้ว และไม่สงสัยเลยว่ามันเป็นแกนเชวียนชั้นหนึ่ง แต่เหตุใดข้าถึงยังคงรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกประหลาด ? ”


ชายชุดดำคนหนึ่งกระพริบตาสองครั้ง


“ มันช่างยั่น้ำลายยิ่งนัก … ราวกับข้าต้องการที่จะกัดมันอย่างนั้นหรือ ? ข้าเคยเห็นแกนเชวียนระดับสูงมามากมายในชีวิตของเขา แต่ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน … ”


เขากลืนน้ำลายลงคอไป


“ มีบางอย่างผิดแปลกไป แต่ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ของปราณในแกนเชวียนแต่กระนั้น พลังของมันดูเหมือนมาก …. ”


ชายผู้ที่ถูกเรียกว่า พี่สาม หยุดชั่วขณะ พยักหน้าและจากนั้นก็พูดต่อ


“ พลังของมันดูเหมือนกับที่ออกมาจากถ้ำเถียนฟา แต่มันนั้นเย้ายวนกว่าที่มาจากถ้ำเถียนฟา ! ”


“ เราจะต้องหาทางฉกเอาแกนนี้มาให้ได้ มิเช่นนั้นนายท่านจะ … ”


พี่สามหยุดกลางคัน ขณะที่ทั้งร่างของเขาสั่นด้วยความกลัว


“ เอ่อ … พี่สาม ไม่ต้องเอ่ยถึงนายท่าน เมื่อมีแค่เราสองคน … มันทำให้ข้ากลัว ”


ชายชุดดำอีกคนก็ตัวสั่นด้วยความกลัวเช่นกัน และแอบมองไปข้างหลัง ราวกับว่า นายท่านที่น่ากลัวนั้นอาจจะมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของพวกเขาในฉับพลันได้


“ แน่นอนว่านายท่านไม่มีเวลามาสนใจเจ้าในตอนนี้ ตั้งแต่ที่พี่สองหายไป นายท่านก็มองหาเขาอย่างโกรธเกรี้ยว หากนายท่านจับพี่สองได้แล้ว … เขา เขา เขา …. ”


พี่สามเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ราวกับเขามีความสุขที่คนที่ถูกเรียกว่าพี่สองนั้นถูกแยกออกมาโดยนายท่าน


“ พี่สองจากไปเพื่อหาอนาคตที่ดีกว่า แต่เขาเป็นอิสระแล้วดีกว่าพวกเราจริงๆหรือ ? ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ”


ชายชุดดำพยักหน้า


“ หากข้าได้เจอเขาอีกครั้ง ข้าจะโจมตีเขาอย่างแน่นอน ข้าจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ! ”


“ เจ้า ? ฮึ่มมมมม … หากเจ้าเจอเขาโดยลำพัง ข้าคิดว่าพี่สองจะสังหารเจ้าตรงนั้นเลย ! ”


พี่สามมองอย่างโมโหไปยังสหายของเขา


“ เจ้าทำอะไรไม่ได้ต่อหน้าเขา เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้าสามารถที่จะเผชิญกับกรงเล็บของพี่สองได้ ? เจ้าคิดว่าอย่างไร ? ”


“ กรงเล็บของเขานั้นทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถรับมือได้ ! แม้ว่าพวกมันจะทรงพลัง อันนั้นข้ายอมรับ ”


ชายผู้นี้อาจจะไม่แน่ใจในปมด้อยของเขา แต่เขายังเคารพต่อการคุกคามนี้


“ จำไว้ว่าฉีฉางเซี่ยวนั้นทรงพลังที่สุด และเขาพยายามที่จะคว้าเอาแกนเชวียนไป ! เตรียมตัว พวกเราจะไปเอาแกนเชวียน ! ”


พี่สามออกคำสั่งและทั้งสองก็ออกกระบวนท่าราวกับสายลม การเคลื่อนไหวของเท้าของเขานั้นอำพรางได้อย่างงดงาม ดูราวกับว่าพวกเขากำลังเดินอยู่บนเม็ดฝน !


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีเทพเชวียนอยู่ที่นี้จำนวนหนึ่ง ก็ไม่มีใครสามารถสังเกตุเห็นพวกเขาได้ แม้แต่ฉีฉางเซี่ยวหรือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !


ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสองคนนี้อาจจะแข็งแกร่งกว่าเทพเชวียนสูงสุดหรือไม่ … แต่เห็นได้ชัดว่าเทพเชวียนทั้งสองไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาเลย !


ฉีฉางเซี่ยวคำราม และปลดปล่อยพลังปราณออกมาจากร่างของเขา จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปคว้าแกนเชวียนอีกครั้ง แกนเชวียนลอยเข้ามาใกล้ร่างของเขา และเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็กำลังง่วนอยู่กับการต่อสู้กับเฟ้ยเมิงเฉิน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่ได้เจอนับตั้งแต่ความวุ่นวายนี้เริ่มขึ้น !


เทพเชวียนทั้งห้าที่ยังเหลืออยู่นั้นรู้ดีถึงความต้องการของเขา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะขัดขวางเขาไว้ได้ ผู้อาวุโสทั้งห้าแห่งเมืองพายุหิมะนั้นแข็งแกร่งไม่มากพอที่จะรับมือกับเขาได้และ ทำได้เพียงดีใจที่พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ และมองฉีฉางเซี่ยวมุงหน้าไปหาแกนเชวียนอย่างสิ้นหวัง


แม้ว่าเฟ้ยเมิงเฉินจะไม่ตั้งใจปล่อยให้แกนเชวียนตกไปยังมือของฉีฉางเซี่ยวแต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นก็พอๆกับผู้อาวุโสทั้งสาม และไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับฉีฉางเซียว เขาก็ต้องการเพียงแต่ทำให้พลังในการต่อสู้นี้สมดุลย์ และตอนนี้ก็ทำให้ตัวเองต้องต่อสู้กับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว 


 เอ๋ ทำไมข้าถึงโชคร้ายยิ่งนัก ? ข้าทำอะไรไม่ได้เลยหรือ ….


มีเพียงคนเดียวที่สามารถหยุดฉีฉางเซี่ยวได้ และคนผู้นั้นก็คือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นว่องไวและคล่องแคล่วที่สุดในหมู่ของสุดยอดปรมาจารย์ทั้งแปด และไม่เป็นรองใคร แม้แต่ฉีฉางเซี่ยวก็ยังไม่สามารถเร็วเทียบกับเขาได้ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถขัดขวางฉีฉางเซี่ยวได้เป็นเวลานาน แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับความโกรธที่สิ้นหวัง


ช่างโชคร้ายที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่มีเจตนาจะทำเช่นนั้น ท้ายที่สุด เขาไม่ได้ตั้งใจจะเอาแกนเชวียนไป เนื่องจากเขาเสพติดการต่อสู้ที่จะทำให้เขาพัฒนามากกว่าวัตถุทางโลก สำหรับสิ่งที่เขาคิด คือเขาสามารถประกระบี่กับเฟ้ยเมิงเฉินได้นานเท่าที่เขาต้องการ แล้วเขาก็ยินดีมากที่ฉีฉางเซี่ยวจะได้แกนเชวียนไป !


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นตัดสินใจแล้ว และฉีฉางเซี่ยวก็เข้าใจในความจริงนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้เขาเคลื่อนที่อย่างเต็มกำลัง เนื่องจากเขารู้ว่าแม้ว่ายอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุดในที่นี้ก็ไม่สามารถหยุดเขาได้นอกจากว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะตัดสินใจที่จะสร้างปัญหา !


เขายื่นมือขวาออกไปเพื่อคว้าแกนเชวียน ขณะที่เขาเหาะเข้าไปใกล้แกนเชวียนที่กำลังลอยอยู่นั้น !


ฉีฉางเซี่ยวเหาะไปด้วยความเร็วสูงสุด และรอเพียงแค่ให้แกนเชวียนตกลงมาในมือของเขา !


เห็นได้ชัดว่าหัวใจของเทพเชวียนผู้นี้ตื่นเต้นอย่างมาก 


 แกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุด ! สุดท้ายมันก็มาอยู่ในมือของข้า !

 

 

 


ตอนที่ 188

 

ฉีฉางเซี่ยวตัดสินใจไว้แล้วว่า เขาจะหนีไปเมื่อเขาได้แกนเชวียนมาไว้ในมือ ระดับขั้นการเพาะปลูกของเขานั้นได้ไปถึงเทพเชวียนสูงสุดแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่มันก็ไม่มีการพัฒนาอะไรไปมากกว่านั้นเลย อย่างไรก็ตาม เขาสามารถที่จะทะลวงระดับนี้ไปได้ด้วยแกนเชวียนอันนี้ และจากนั้นเขาก็จะสามารถไปถึงขั้นใหม่และระดับที่ไม่มีใครเคยไปถึง !


เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับมูเวิ้นเที่ยนได้หลังจากที่เขาพัฒนาปราณเชวียนของเขาได้ และเขามันใจว่าสามารถแข่งขันกับลีจื้อเทียนได้หลังจากนั้น ซึ่งหมายความว่าอันดับของเขาจะสูงขึ้นไปใน แปดยอดปรมาจารย์ !


หากเขาสามารถเอาชนะ ลีจื้อเทียนได้ ชื่อของเขาก็จะไปอยู่ในระดับเดียวกับ ยุนเบ้ยเฉิน !


เขานั้นเป็นหนึ่งในโลกหล้า !


แม้แต่อาณาจักรเฉินซีก็จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ และจะทรงอำนาจที่สุดในดินแดนเชวียนๆ ! สุดท้ายแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะอยู่รอด และฉีฉางเซี่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรเฉินซี !


ฉีฉางเซี่ยวไม่สามารถที่จะควบคุมความตื่นเต้นได้ ขณะที่ความคิดนี้พุ่งพล่านอยู่ในหัวของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเริ่มคิดขอบคุณเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ที่ทำให้เขาได้รับโอกาสนี้ !


ผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะ ไม่เข้าใจถึงการกระทำที่แปลกประหลาดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในขณะนี้ แต่ก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ฉีฉางเซี่ยวทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ ดังนั้น ผู้อาวุโสทั้งสามจึงต้องร่วมมือกันอีกครั้ง และพร้อมใจกันโจมตีใส่ฉีฉางเซี่ยว !


อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ฉีฉางเซี่ยก็ใกล้จะทำสำเร็จแล้วเขาจึงมิได้สนใจในการเคลื่อนไหวนี้ และสนใจที่จะเอามือไปคว้าแกนเชวียนให้ได้ก่อน ! ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะขาวพยายามไม่ใช่ปราณเชวียนของพวกเขาเพื่อต่อสู้กับฉีฉางเซี่ยว เพราะกลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับความกลัวว่าฉีฉางเซี่ยจะคว้าเอาแกนเชวียนได้สำเร็จ !


อย่าไรก็ตาม สถานการณ์นั้นก็ได้หลุดมือไปเรียบร้อยแล้ว …


จวินโม่เซี่ยมองไปยังสถานการณ์นั้นอย่างหมดหวัง แม้เคล็ดหยินและหยางจะแปลกประหลาดกินกว่าที่ทุกคนจะจินตนาการได้ และแม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยวจะไม่สามารถสังเกตการมีอยู่ของเขาได้ แม้ว่ารูปร่างของเขาจะล่องหน แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงมีอยู่จริงๆ หากเขาเข้าไปในเขตปราณเชวียนของฉีฉางเซี่ยว และมีอะไรบางอย่างผิดพลาดเขาก็จะได้รับอันตรายที่ร้ายแรง สุดท้ายแล้ว เขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะเทียบกับใครได้ !


สองคนที่ดูแปลกประหลาดนั่นไม่ทำอะไรเลยหรือ ?


ตอนนี้จวินโม่เซี่ยกำลังโกรธ และเริ่มสาปแช่งอยู่ในใจ ความจริงแล้ว จวินโม่เซี่ยลืมไปว่า สองคนที่ดูแปลกประหลาดนั้นไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขา ….


ข้าควรใช้การปะทุของเจดีย์หงษ์จวินเป็นทางเลือกสุดท้ายไหม ?


นายน้อยจวินอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ 


 หากไม่สามารถควบคุมมันได้ ข้าจะใช้มันเป็นทางเลือกสุดท้าย !


อย่างไรก็ตาม ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทำให้ทุกคนต้องตกใจอีกครั้ง …


“ แกนเชวียนนั้นเป็นของข้า ! ”


เสียงก้องกังวานดังขึ้น !


เสียงที่ก้องกังวานนี้เกิดขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง อย่างไรก็ตาม ความดังของเสียงนี้ก็กลบเสียงของฟ้าร้องไปได้ !


เป็นเสียงที่ก้องกังวาลและทรงพลัง และดังก้องกังวานผ่านหูของเขาลงลึกไปถึงจิตวิญญาณ !


ร่างสีดำสองร่างปรากฏตัวขึ้นจากจุดที่เขาซ่อนอยู่ ด้วยความเร็วที่เกินกว่าเสียงฟ้าร้อง หนึ่งในสองคนนั้นมีร่างที่ใหญ่และกำยำเกินกว่ามนุษย์ ! ร่างของเขานั้นใหญ่มาก จนทำให้ตู่กู้วูตี้ดูตัวเล็กไปเลยหากต้องอยู่ตรงหน้าของเขา !


เขาพุ่งตัวลงมาและผ่านผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะ จากนั้นเขาก็เหาะลงมาอยู่ต่อหน้า เฟ้ยเมิงเฉิน และเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และเริ่มต่อยใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว


ชายอีกคนพุ่งผ่านอากาศมาอย่างคล่องแคล่ว และมุ่งตรงไปยังฉีฉางเซี่ยว หากจะเปรียบร่างของเขากับควันนั้นก็ยังจะน้อยเกินไป ขณะที่เขายื่นแขนและคว้าเอาแกนเชวียนมาจากใต้จมูกของฉีฉางเซี่ยว ในขณะที่อีกมือหนึ่งยื่นออกไปเพื่อรับมือกับการโจมตีที่รุนแรงของฉีฉางเซี่ยวผู้ที่กำละโมโห และปะทะเข้ากับฝ่ามือของฉีฉางเซี่ยว !


“ ตู้ม ”


การปะทะกันของพวกเขาทั้งสองทำให้เกิดเสียงดังมาก และทำให้ฉีฉางเซี่ยวกระเด็นถอยหลังไป ไม่สามารถควบคุมทิศทางของเขาได้และชายชุดดำตีลังกาถอยหลังไปในอากาศด้วย ทำให้เกิดการแสดงผาดโผนในอากาศที่น่าประทับใจ แต่ทันใดนั้นร่างของเขาเปลี่ยนทิศไปอย่างแปลกประหลาด และเขาก็เริ่มเร่งความเร็วหนีไปกับแกนเชวียน !


“ ได้มาแล้ว ไปเถอะ ! ”


ทันใดนนั้นจวินโม่เซี่ยก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก และเริ่มผลัดแกนเชวียนเข้าไปยังเจดีย์หงษ์จวินทำให้เจดีย์หมุนด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อหวังจะใช้พลังนี้กู้สถานการณ์กลับคืนมา


เนื่องจากจวินโม่เซี่ยใช้กระบวนท่าของเจดีย์ภายใต้เคล็ดอิสระหยินหยาง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยจึงไม่สามารถสังเกตุเห็นเขาได้ แต่ร่างของชายชุดดำที่กำลังหนีไปกับแกนเชวีนนั้นสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง และทันใดนั้นเขาก็หันกลับมา ดวงตาที่เปล่งประกายของเขาเริ่มมองหาแหล่งที่มาของแรงดึงดูดนี้ และสะท้อนถึงความต้องการในหัวใจของเขาได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการหนีไปของเขาก็ยังไม่ลดลง


แม้แต่ร่างของชายชุดดำอีกคนก็สั่นในทันทีเมื่อเจดีย์หงษ์จวินเคลื่อนไหว และเขาก็มองไปรอบๆเช่นเดียวกัน


ตอนนี้ชายที่ตัวใหญ่และบึกบึนนี้ได้เข้าร่วมต่อสู้กับยอดฝีมือเทพเชวียนทั้งห้า แต่เขาก็ไม่พยายามที่จะหลบการโจมตีของพวกเขาเลย ความจริงแล้ว เขาพร้อมที่จะต่อสู้กับพวกเขา เตะมากี่ครั้งเขาก็ส่วนกลับไปทุกครั้ง ตอยพวกเขาทุกครั้งที่พวกเขาต่อยมา ร่างของเขากลายเป็นกระสอบทรายของยอดฝีมือเทพเชวียนทั้งห้า และพวกเขาทั้งห้าก็เตะและต่อยใส่เขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชายผู้นั้นต้องเอามือกุมท้องเพื่อป้องกันขณะที่เขากรีดร้องออกมาเพื่อบ่งบอกถึงความเจ็บปวดทางร่างกาย


อย่างไรก็ตามอีกมือหนึ่งของเขาก็ยังคงต่อยเข้าใส่ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะ และมันหนักพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะต้องชะงัก!


ชายผู้นี้ยังคงแลกหมัดกับยอดฝีมือเทพเชวียนทั้งห้าจนกระทั้งเพื่อนของเขาสั่งให้ล่าถอย อย่างไรก็ตาม เมื่อคำสั่งได้ส่งออกมา เขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ และเริ่มพยายามหนีไปจากศัตรู แต่กระนั้น ทุกคนก็รู้ถึงความตั้งใจของเขา และพวกเขาก็ล้อมเขาไว้อย่างรวดเร็ว เตะและต่อยไปพร้อมๆกันจนแน่ใจว่าเขาจะไม่สามารถหนีออกไปได้ !


แต่ก็มีสิ่งที่แปลกประหลาดอีกอย่างเกิดขึ้นในทันที …


ชายร่างใหญ่นั้นหยุดป้องกันตัวเอง และพุ่งออกไปจากวงล้อม ปล่อยให้ทุกคนโจมตีเข้าใส่ร่างของเขา แม้ว่าเขาจะตัวสั่นเนื่องจากความเจ็บปวดที่ทำให้อ่อนแรง แต่เขาก้ไม่ได่สนใจจนกระทั่งเขาสามารถหาทางออกมาจากวงล้อมนั้นได้ จากนั้นเขาจึงโหยหวนด้วยความเจ็บปวด บิดเอวและกระอักเลือดจำนวนมากออกมา …


แล้วเขาก็กางเท้าขนาดใหญ่ของเขาออกมาและพุ่งออกจากคลุ่มคนเหล่านี้เพื่อไปยังที่ปลอดภัย


เฟ้ยเมิงเฉิน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะได้แต่มองไปด้วยแววตาที่สิ้นหวัง !


ระดับขั้นการเพาะปลูกของชายผู้นี้จะต้องอยู่ในขั้นเทพเชวียน ซึ่งเป็นความสามารถและข้อดีที่หาได้ยาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าเฟ้ยเมิงเฉิน แต่ก็เห็นได้ว่าเขายังคงอ่อนแอกว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! ตอนนี้ทุกคนในที่นี่สามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจน !


อย่างไรก็ตาม คนที่บ้าคลั่งผู้นี้ก้ได้มาต่อสู่กับเทพเชวียนทั้งห้าด้วยตัวคนเดียว โดยไม่ได้ปกป้องตัวเองเลย ฝีมือเช่นนี้แม้แต่ ยุนเบ้ยเฉินก็ไม่อาจฝันถึง !


แม้ว่าเทพเชวียนเหล่านี้จะใช้พลังของพวกเขาไปจนหมด พวกเขาทั้งหมดก็ยังเป็นเทพเชวียน ! แม้ว่ากลุ่มของเทพเชวียนจะแข็งแกร่งมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้นี้ พวกเขาก็ไม่อาจจะมีความกล้าเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความจริงที่ว่า เทพเชวียนเหล่านี้มีความคิดที่รุนแรงและอันตราย ….


ชายผู้นี้ไม่เพียงแต่รอดจากการโดนต่อยตี แต่ยังสามารถที่จะหาทางหนีไปได้โดยการเสียเลือดไปจำนวนมาก ! แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง ก็ยังไม่ส่งผลกระทบใดๆกับความเร็วที่เขาใช้ในการหนีไป ! 


 มันเกิดอะไรขึ้น ? เรื่องเมื่อกี๊มันไม่แปลกประหลาดไปหน่อยหรือ ?


เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ฉีฉางเซี่ยวหดหู่ลงไปมาก สุดท้ายแล้ว เขาเกือบทำสำเร็จแล้วในตอนที่มีชายสองคนเข้ามาแทรกแซง แม้ว่าความโกรธของเขาจะระเบิดออกมา แต่มันก็ถูกกำหราบไว้ด้วยความสงสัย …


ในโลกนี้มีคนเพียงหยิบมือที่สามารถเดินผ่านขอบเขตปราณของข้ามาได้ และเข้ามาขโมยเขาของบางอย่างที่อยู่ใต้จมูกของข้าได้ … และข้ารู้จักพวกเขาทั้งหมด … แต่คนพวกนี้คือใคร ?


สิ่งเดียวที่ข้ามั่นใจ คนเหล่านี้มิใช่หนึ่งในแปดปรมาจารย์อย่างแน่นอน … แต่คนแบบใหนกันที่มีความกล้าพอที่จะเข้าถ้ำเสือ ?


เสียงกรีดร้องของชายชุดดำอีกคนปลุกให้ฉีฉางเซี่ยวตื่นจากภวังค์แห่งความคิด และทันใดนั้นเขาก็รู้ทันทีว่าเขาคือคู่หูของชายผู้นี้ เพราะฉนั้นเขาจึงคิดที่จะหยุดคู่หูของชายผู้นี้แทน อย่างไรก็ตาม เขาหันไปและเห็นถึงความบ้าซึ่งชายผู้นั้นได้ใช้เพื่อหนีออกมาจากวงล้อมของเทพเชวียนทั้งห้า และหลุดออกไปได้จนทำให้ข้าต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง …


สองคนนี้ได้แอบเข้ามา และจากนั้นก็ขโมยเอาแกนเชวียนไปจากมือของเทพเชวียนสูงสุดสองคน เทพเชวียนสองคนและ สวรรค์เชวียนเกือบยี่สิบคน …


หากข่าวนี้แพร่ออกไป มันจะทำให้พวกเขาต้องเป็นที่อับอายอย่างที่สุด …


อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดมีเวลามาคิดถึงชื่อเสียงที่เขาต้องสูญเสีย เนื่องจากพวกเขายังคงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ! ความสามารถในการต่อสู้ของชายสองคนนี้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ! แม้แต่ยุนเบิ้ยเฉินก็ไม่สามารถทำอะไรอย่างที่สองคนนี้ทำได้ !


“ พระเจ้า สองคนนั้นเป็นปิศาจหรือ ? ”


ปฐพีเชวียนสองคนที่หลบออกไปอยู่ด้านนอกหลังจากที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ อ้าปากค้างและพูดขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ไม่สนใจเลยว่าหยดฝนจะไหลเข้าไปในปากพวกเขาหรือไม่


แม้ว่าปฏิกริยาของเขาจะเหมาะสมกับคนธรรมดา แต่ฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็เกิดความลังเล แม้ว่าพวกเขาจะตัดสินใจตามสองคนนั้นไป ! พวกเขาทั้งสองก็ยังมองหน้ากันด้วยดวงตาที่เบิกกว่า ทุกคนสามารถเห็นความหวาดกลัวในแววตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน !


เฟ้ยเมิงเฉินเหาะตรงไปยังพวกเขาอย่างช้าๆ และถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง


“ พวกเขาเป็นใคร ? ”


เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างนุ่มนวล


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยคำรามทางจมูก สีหน้าของสองปรมาจารย์เทพเชวียนสูงสุดนั้นซีดลง สีหน้าของเฟ้ยเมิงเฉินก้เปลี่ยนสีไป ทำให่ทั้งสามมีสีหน้าที่ซีดเผือก …


ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะมองหน้ากันก้วยความหวาดกลัว ผู้อาวุโสหกปาดเลือดที่อยู่ตรงมุมปากของเขาออก


“ เถียนฟา …. ”


“ เชี่ย ! ”


ผู้อาวุโสสามกระแทกเสียงด้วยความโกรธ


“ เจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดงั้นหรือ ? คิดว่าวันนี้เรายังอับอาย…ไม่มากพออีกหรอ ? ”


จากนั้นเขาก็ถอนหายใจและพูด


“ เมื่อพวกเขามาร่วมการต่อสู้นี้ พวกเราควรจะเก็บของและพาองค์หญิงน้อยออกไป ”


“ พวกเขาจะกลับมาอีกไหม ? ”


ฉีฉางเซี่ยวขมวดคิ้วขณะที่เขาพึมพัมกับตัวเอง ยื่นมือออกมาและมองไปที่ฝ่ามือของตัวเองซึ่งตอนนี้มีรอยสีแดงประทับอยู่ ! 


 หากไม่ใช่เพราะการป้องกันของเกราะปราณของข้า ข้าคงจะต้องเสียมือไปแล้ว ! รอบฝ่ามือนี้เหมือกับรอยฝ่ามือของสัตว์ป่ามากกว่าที่จะเป็นคน …


ฉีฉางเซี่ยวงอนิ้วตัวเอง เขาถอนหายใจและพูด


“ และตอนนี้มือของข้าก็ได้สัมผัสกับพวกเขา แต่นั้นจะเป็นแค่ตำนานจริงๆหรือ ? ”


ความกลัวจากบาดแผลนั้นยังคงปะปนอยู่ในน้ำเสียงของเขา

 

 

 


ตอนที่ 189

 

“ เจ้ายอมแพ้แล้วหรือ ? ข้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะไล่ตามพวกเขา จัดการพวกเขา และเอาแกนเชวียนกลับมาหากเจ้าต้องการ … เจ้าแค่ต้องมีความกล้า ! ” 


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยิ้มอย่างหม่นหมอง


“ ใช่แล้ว ! และเจ้าก็อาจจะเป็นยอดฝีมือขั้นเทพ … และใครจะรู้ละ บางทีเจ้าอาจจะชนะ และเรื่องราวของเจ้าจะกลายมาเป็นที่จดจำ … ”


ทั่วทั้งร่างของฉีฉางเซี่ยวแข็งทื่อขณะที่เขาได้ยินคำเหล่านั้น เขาหันไปด้วยความโมโห และคำรามออกมาด้วยความโกรธ


“ เงียบซะ ! เอาคำพูดของเจ้าไปใช้กับตัวเองเถอะ เว้นแต่ว่าเจ้าอยากตาย ! ”


จะต้องบอกว่า ฉีฉางเซี่ยวนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่หนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ แต่เขายังเป็นคนหัวโบราณและมีความเป็นอารยะ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่คนส่วนใหญ่จะจินตนาการได้ว่าเขากำลังข่มขู่คนอื่นๆได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆในแปดยอดปรมาจารย์ ! เขาเพ่งมองไปเข้าไปในดวงตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และคนอื่นๆก็เริ่มเตรียมตัวที่จะรับมือกับการต่อสู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งมันมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีการโต้เถียงเช่นนี้เกิดขึ้น !


อย่างไรก็ตาม มันก็เหนือกว่าความคาดหมาย การโต้เถียงนี้ไม่ได้ก่อเชื้อประทุแห่งสงครามได้ !


หากคำนี้ถูกพูดในเหตุการณ์อื่นๆ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอาจจะตอบสนองกลับมาด้วยความรุนแรง และก่อให้เกิดการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือทั้งสอง อย่างไรก็ตามเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ไม่ได้จมไปกับอารมณ์ที่รุนแรง แต่เขากลับหัวเราะออกมาแทน


คนส่วนใหญ่ยืนอยู่ด้วยความตกตะลึงจนพูดไม่ออก พร้อมกับสีหน้าที่งุงงง โดยไม่สามารถเข้าใจถึงเหตุผลได้ อย่างไรก็ตาม หลายคนดูเหมือนจะไม่มีความสุขจากความโชคร้ายของเพื่อนพวกเขาในขณะนี้ 


 หากปรมาจารย์ยังผิดพลาดแล้วเหตุใดข้าถึงต้องรู้สึกอับอาย ?


ศิษยทั้งเก้าของลี่วูเบ้ยนั้นรู้แล้วว่าแม้แต่พี่หกของพวกเขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้หลังจากที่เผชิญหน้ากับเหยี่ยวผู้โดเดี่ยว เขาไม่ได้ยอมแพ้ให้กับความตาย เขาเพียงแค่สลบ แต่เขาได้เข้าใกล้ความตายมากแล้ว พวกเขาทั้งหมดรวมกลุ่มกันข้างๆต้นไม้ใหญ่ ใช้มือข้างหนึ่งกุมส่วนที่บาดเจ็บไว้ ในขณะที่อีกข้างยังคงใช้เพื่อป้องกัน นอกจากสิบคนที่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการต่อสู้แล้ว พี่หกของพวกเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก แต่ก็ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น


“ แกนเชวียนหลุดมือได้แล้ว แล้วตอนนี้แผนการเป็นเช่นไร ? หยางลี่จะผิดหวังมาก ”


เล้ยเจียนฮ้งถอนหายใจและพูด


“ ใครจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเราทั้งหมดนั้นไร้ประโยชน์ในการต่อสู้นี้ … ”


“ ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ … แม้แต่แปดยอดปรมาจารย์ทั้งสองก็ไม่ไดสามารถทำอะไรได้ ข้าเชื่อว่าอาจารย์ของเราก็จะต้องกลับไปมือเปล่าในการต่อสู้นี้ … ดังนั้นอย่าได้โทษตัวเองเลยพี่ใหญ่ ”


หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังของเขาพูดเบาๆ


“ ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ผู่อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะก็ทำอะไรไม่ได้ และพวกเราจะมีค่าอะไรในการต่อสู้นี้ ? ”


คำพูดของนางทำให้ความตึงเครียดในกลุ่มผ่อนคลายลง


“ พี่หกในตอนนี้ … หยางลี่ต้องการใช้ให้เขาจับตาดูจวินโม่เซี่ย และตอนนี้เราจะเอาอย่างไรกันต่อ ? ”


เล้ยเจียนฮ้งขมวดคิ้วเนื่องจากความเจ็บปวดที่เขารู้สึกได้เมื่อมองไปยังร่างที่ไร้ความรู้สึกที่อยู่ข้างๆ


“ หยางลี่เป็นคนในสกุลของที่ปรึกษาราชสำนัก เขานั้นฉลาดและเจ้าปัญญา และเขาสามารถหากคนอื่นมาทำงานนี้ได้อย่างแน่นอน ”


หญิงสาวตอบ


“ หากเขาไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมกับงานนี้ได้ เดี๋ยวข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ”


“ ข้าอยากจะรู้ว่า ชายชุดดำสองคนนั้นคือใครกัน ? พวกเขาทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร ? ในโลกนี้มีคนที่ทรงพลังเช่นนี้เพียงหยิบมือ แต่ข้าไม่เคยรู้จักพวกเขาทั้งสองเลย ! สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ แม้คิดว่าพวกเขาจะอ่อนแอกว่าฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่ทั้งสองก็ไม่ไล่ตามพวกเขาไป … เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่ได้มาที่นี่เพื่อแกนเชวียน นั่นคือสิ่งที่ข้าเข้าใจได้ แต่แม้แต่ฉีฉางเซี่ยวก็ยังไม่ไล่ตามพวกเขาไป … ซึ่งมันน่าประหลาดใจว่า ก่อนหน้านี้เขาเสี่ยงทุกอย่างเพื่อแกนเชวียน …. ”


“ เจ้าพูดถูก ข้าเชื่อว่าแม้ความแข็งแกร่งของชายสองคนนั้นจะน้อยกว่าฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่ก็มั่นใจว่าพวกเขาต้องไปถึงขั้นเทพเชวียน แม้ว่าพวกเราไม่รู้ว่ายอดฝีมือลึกลับสองคนนั้นเป็นใคร … ดังนั้นเราทำได้เพียงแค่คิดว่า ที่มาของเขานั้นจะต้องเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือสิ่งที่พวกเรารู้ ! ”


หญิงสาวที่สวยงามย่นคิ้วด้วยความสับสนขณะที่นางถาม


“ แต่สิ่งที่กวนใจข้ามากกว่านี้ … ทำไมเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยวถึงดูเหมือนจะกลัวพวกเขา ? มีกองกำลังในโลกนี้ที่ปรมาจารย์ทั้งสองไม่กล้าแม้แต่จะยั่วยุหรือ ? ”


“ หรือจะมีกองกำลังในโลกนี้ที่แม้แต่ยอดปรมาจารย์ทั้งแปดก็ไม่กล้าที่ให้พวกเขาขุ่นเคือง ? ”


เล้ยเจียนฮ้งขมวดคิ้ว


ไม่มีพวกเขาคนใดสามารถตอบคำถามนี้ได้


แต่การสนทนาของพวกเขานั้นทำให้จวินโม่เซี่ยผู้ที่ยังคงพรางตัวเองอยู่นั้นสนใจ มือของจวินโม่เซี่ยเริ่มคันเมื่อรู้ว่าพวกเขาเป็นคนของลี่โย่วหลาน และยิ่งคันมากขึ้นเมื่อลี่โย่วหลานบอกให้พวกเขามาจับตาดูเขา ทำให้ จวินโม่เซี่ไม่สามารถควบคุมจิตแห่งการสังหารของเขาได้


สุดท้ายแล้วสายฝนเริ่มจะซาลงเล็กน้อย


“ พี่ฉี พี่เหยี่ยว พี่เฟ้ยเมิงเฉิน หากพวกเราทำผิดกับท่านในวันนี้ โรปดรให้เราได้ชดใช้ในช่วงเวลาในการดื่มชาครั้งหน้า ”


ผู้อาวุโสสสามแห่งเมืองพายุหิมะเดินมาข้างหน้า และพูด


“ หากไม่มีอะไรจะพูดแล้ว พวกเราขอตัวก่อน ”


ตอนนี้เงาของร่างที่อยู่ห่างออกไปเริ่มกระจายตัวออกไปแล้ว กองกำลังของเมืองรวมถึงกองทัพที่มารวมตัวกันเพื่อขโมยเอาแกนเชวียน พวกเขาได้รู้แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์สำหรับใครเลยเมื่อแกนเชวียนถุกเอาไปแล้ว และเลือกที่จะกลับไปยังที่พักของพวกเขาแทนที่จะยืนเฉยๆอยู่กลางสายฝนนี้


ฉีฉางเซี่ยวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามกำลังจะจากไป


“ โปรดอย่าโทษตัวเองที่ล้มเหลวในวันนี้ แต่วันหลังข้าจะเชิญชวนพวกเจ้า ”


ผู้อาวุโสทั้งสามหัวเราะ เหาะขึ้นไป รวมตัวกับสหายทั้งสี่และจากไป


พายุโหมกระหน่ำใส่ท้องฟ้าในทันทีที่พวกเขาจากไป ปละดุเหมือนว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ตัดสินใจที่จะจากไปเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำบอกลาใดๆ แม้ว่าเขาจะพูดอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะไป อย่างไรก็ตาม ก็ดูเหมือนว่าเสียงของเขาก็ยังดังชัดเจนจากที่อันห่างไกลนั้น


“ มันทำให้ข้าผิดหวังที่เมืองพายุหิมะขาวคิดจะทำให้พวกเราหลงด้วยชาไร้สาระนั่น บอกฮั่นเฟิงยี่ว่าข้าจะมาหาเขา ! ศิษย์ของลีวูเบ้ย บอกอาจารย์ของเจ้าว่าข้าพร้อมในตอนที่เขาต้องการให้เกิดปัญหา ! ”


แม้ว่าเสียของเขาจะยังคงสะท้อนไปในท้องฟ้า แต่ร่างของเขานั้นก็หายไปแล้ว


“ เหยี่ยว ระวังคำพูดของเจ้าด้วย ”


ฉีฉางเซี่ยรีบตอบกลับไป แต่ไม่แน่ใจนักว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นจะได้ยินหรือไม่เนื่องจากเขาไม่ได้ตอบกลับมา


เฟ้ยเมิงเฉินหัวเราะเบาๆ หันไป และเหาะไปอย่างรวดเร็ว ! เขาเดินทางนับพันลี้มาจากอาณาจักรยูถังด้วยเป้าหมายที่จะคว้าเอาแกนเชวียนมา แต่แม้แกนเชวียนนั้นหายไปต่อหน้าต่อตาของเขา เขาก็ดูเหมือนจะไม่ผิดหวังมากนัก เนื่องจากเขาเนื่องจากเขาฉลาดมากพอที่ตระหนักได้ว่าเขาโชคดีมากแล้วที่มีชีวิตรอด


ขณะที่เห็นกลุ่มคนกระจายตัวออกไป ฉีฉางเซี่ยวถอนหายใจ 


 คนเพวกนั้นยังอยู่ข้างนอก … ข้าจะต้องไปพบยุนเบ้ยเฉิน และลี่จือเจียนแลกเปลี่ยข้อเสนอบางอย่าง …


หัวใจของเขาจมดิ่งลงด้วยสถานการณ์ที่กลับตาละปัตนี้ ซึ่งทำให้เขาเป็นกัลวลอย่างมาก เนื่องจากแกนเชวียนได้หลุดมือเขาไป …


“ นายท่าน ”


ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนเรียกฉีฉางเซี่ยวด้วยความสุภาพ


“ เจ้ากลับไปยังค่ายของเฉินซีและอยู่ที่นั้น ข้ามีบางอย่างที่จะต้องจัดการด้วยตัวเอง แล้วข้าจะไปหาเจ้า ”


ฉีฉางเซี่ยวกล่าวหลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน


“ ขอรับ ! ”


ชายทั้งหกรับคำสั่ง พวกเขาสี่คนยื่นมือไปประคองชายสองคนที่ได้รับบาดเจ็บ พวกเขารีบถลึงตาใส่ศิษย์ของลี่วูเบ้ยอีกครั้ง จากนั้นก็หันไป คำนับฉีฉางเซี่ยว และหายไปในสายฝน


ฉีฉางเซี่ยวมองไปที่มือของเขาอีกครั้ง ขณะที่เดินช้าๆไปในอากาศ ดูเหมือนจะแปลกประหลาดแต่ความหดหู่กำลังเกาะกุมหัวใจของเขา


ทันใดนนั้น เขามองไปขึ้นไปบนท้องฟ้า และถอนหายใจขณะที่หยิบขวดใบเล้กออกมา และโยนไปให้กับเล้ยเจียนฮ้งก่อนที่เขาจะพุ่งตัวจากไป ร่างที่ริบหรี่ของเขาเริ่มห่างไปจากกลุ่มของเล้ยเจียนฮ้งและจากนั้นก็ค่อยๆเบลอและจางหายไปในที่สุด …


เล้ยเจียนฮ้งค่อยๆมองไปยังขวดหยกในมือของเขา และเห็นมีสองคำเขียนไว้ยนนั้น 


 น้ำยาคืนสภาพ !


เขาอดที่จะดีใจกับโชคของเขาไม่ได้ และมองขึ้นไปเพื่อของคุณฉีฉางเซี่ยว แต่ชายผู้นั้นก็หายไปแล้ว


น้ำยาคืนสภาพนี้เป็นเครื่องหมายการค้าของสกุลของฉีฉางเซี่ยว และมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถผลิตมันได้ แม้ว่ายานี้อาจจะไม่สามารถชุบชีวิตคนตายได้ แต่มันก็มีความสามารถมากพอที่ช่วยให้รอดชีวิตได้ !


เล้ยเจียนฮ้งรีบออกคำสั่งเพื่อนของเขา ผู้ที่พยุงร่างของพี่หกขึ้นมาในทันที ประสาทสัมผัสของเล้ยเจียนฮ้งเริ่มเตือนถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาในทันทีขณะที่เขาเปิดฝาขวดยานี้ และจิตใต้สำนึกของเขาก็บอกให้หลบนี้อันตรายที่มองไม่เห็นนี้


เสียงกรีดร้องหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน !


คนสี่คนที่ล้อมรอบพี่หกอยู่เริ่มมีเลือดออกมาจากปากและจมูกของพวกเขาอย่างรวดเร็ว และจากนั้นพวกเขาก็ล้มลงไปบนพื้นอย่างเงียบๆ !


มีมีดบินขนาดเล็กปักอยู่ที่อกของพวกเขา และเห็นได้จากใบมีดที่เสียเข้าไปในร่างกายของพวกเขาว่ามันปักตรงเข้าไปที่หัวใจของพกวเขา !


มีดหนึ่งเล่มหนึ่งชีวิต !


พวกเขาทั้งสี่ตายไปอย่างเงียบๆ !


พวกเขาทั้งสี่เป็นยอดฝีมือปฐพีเชวียน ในขณะที่อีกสี่คนเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียน !


“ น้อง … ”


เล้ยเจียนฮ้งยื่นมืออกไป ร่างของเขาแข็งทื่อไปในขณะที่เขาได้สติขึ้นมา


“ เจ้าเป็นใคร ? ออกมาแสดงตัวต่อหน้าข้า ! อย่าหลบซ่อนในเงามืดและโจมตีพวกเราจากข้างหลัง … ออกมาเจ้าชั่ว … ออกมา … เจ้า … เจ้า … เจ้า …. เจ้าอยู่ใน …. ”


เล้ยเจียนฮ้งคำรามด้วยความโกรธขณะที่เขาสาปแช่ง ในขณะที่ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ ! ดูเหมือนว่าเขาจะเสียสติไปแล้ว และเริ่มวิ่งไปรอบๆเพื่อมองหาผู้ที่โจตมีออกมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะระบุได้หลังจากที่ค้นหาเป็นเวลานาน สุดท้ายเขาคุกเข่าลงบนพื้น และร้องไห้ออกมา !


เพื่อนอีกสี่คนที่เหลืออยู่ของเขาก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน และเริ่มวิ่งไปพร้อมกับกรีดร้องและร้องไห้


พวกเขาทั้งห้าพยายามค้นหาอีกครั้ง แต่ก็ไม่เจอร่องรอยของศัตรูของพวกเขาเลย พวกเขาไม่คิดว่า พวกเขาทั้งสิบจะสามารถรอดพ้นจากการต่อสู้กับกลุ่มของสวรรค์เชวียน และแม้แต่เทพเชวียนโดยสูญเสียคนไปเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้พวกเขากลับต้องประหลาดใจหลังจากที่การต่อสู่จบลง และพวกเขาสี่คนตายไปอย่างรวดเร็ว !


เล้ยเจียนฮ้งก้มลงไปและดึงใบมีดออกจากอกของพี่เก้าเพื่อจะตรวจสอบมัน และกัดฟันขณะที่พูด


“ ข้าไม่เคยเห็นมีดบินเช่นนี้มาก่อน … เห็นได้ชัดว่าศัตรูของพวกเราออกแบบมันมาอย่างพิเศษ สำหรับพวกเรา ตราบใดที่เจ้าสามารถที่ระบุแหล่งที่มาของมีด ที่โจมตีมาอย่างอุกอาจนี้ได้ ! พวกเราจะได้แก้แค้นให้แก่ความตายของพี่น้องทั้งหมดนี้ ! ”


“ พวกเขาจะต้องไม่ตายฟรี พวกเราสาบานว่าจะแก้แค่ให้กับคนที่ล้มตาย ! ”


สี่คนที่ยังเหลืออยู่ตะโกนขึ้นมาพร้อมกันด้ยความโกรธ


ทันใดนนั้นหญิงสาวก็ร้องขึ้น


“ มีดอีกสามเล่มหายไปใหน ? ”


พวกเขาหันไปและทันใดนั้นก็ตัวแข็งด้วยความหวาดกลัว มีบางคนได้เอามีดไปจากร่างของเพื่อนๆพวกเขา และผู้โจมตีลึกลับนี้ก็จัดการปาดคอพวกเขาเมื่อให้แน่ใจว่าพวกเขานั้นตายจริงๆก่อนที่จะจากไป


มีใครบางคนสามารถขโมยมีดเหล่านั้นไปได้อย่างรวดเร็วและปล่อยให้เลือดของพวกเขาไหลออกมจากรอยแผลที่เปิดอยู่นั้น !


ทุกคนมองหน้ากันขณะที่ความหวาดกลัวหยั่งลึกลงไปยังจิตวิญญาณของพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 190

 

เลือดยังคงไหลออกมาจากร่างที่ไร้วิญญาณในขณะที่สายฝนยังคงร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าเบื้อบน สีของเลือดค่อยๆเคลียนเป็นสีชมพู และไม่นานมันก็จางหายไป


หญิงสาวนางกำลังหันหลังไปเพื่อดึงมีดออกจากร่างอันไร้วิญญาณซึ่งอยู่ใกล้ๆนางเนื่องจากนางต้องการที่จะเปรียบเทียบใบมีด ทั่งร่างของนางเริ่มสั่นเพราะความหวาดกลัวหลังจากที่รู้ว่ามีดเล่มนั้นได้หายไปแล้ว


หายไปดั่งผี ? ทั้งห้าคนตกตะลึง !


ต้องมีใครบางคนลอบเข้ามาในกลุ่มของยอดฝีมือสวรรค์เชวียนทั้งห้าโดยที่ไม่มีใครรู้ ! แม้แต่เทพเชวียนก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ และหากคนผู้นี้สามารถบรรลุไปถึงขั้นเทพเชวียน แล้วเหตุใดเขาถึงต้องต่อสู้อย่างเป็นความลับเช่นนี้ ?!


แต่หากคนผู้นี้มิใช่เทพเชวียน แล้วจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ?


จะอธิบายได้หรืออธิบายไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเราไม่ควรจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว !


แต่พวกเราไม่สามารถทิ้งพี่น้องของเราไว้ที่นี่ได้ ….


พวกเราทั้งห้าสามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หากพวกเราทิ้งศพทั้งสี่ไว้ที่นี่ แล้วพี่หกละ ? เขายังไม่ตาย … แต่แค่กำลังจะตาย … แต่หากเราทิ้งเขาไว้ที่นี่เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน !


มันจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ไหม ?


ทั้งห้าตัดสินใจที่จะแบกร่างไปคนละร่าง และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามที่จะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ สายตาของพวกเขาก็ยังคงมองกลับมาข้างหลังอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่สายฝนที่พร่างพรมลงมาก็ยังไม่มากพอที่จะดับไฟแห่งความโกรธในแววตาของพวกเขาได้ และมันดูเหมือนว่าพวกเขามองกลับไปมองผู้ที่โจมตีเขาเท่านั้น ….


มีดบินเหล่านั้นเป็นของจวินโม่เซี่ย เขาตัดสินใจที่จะสังหารคนเหล่านี้ตั้งแต่ตอนที่เขารู้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของลี่โย่วหลาน เห็นได้ชัดว่าเขาขอให้คนเหล่านี้เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อแกนเชวียน และจะไปจากเมืองเทียนเชียงเมื่อการต่อสู้จบลง แต่ถ้าลี่โย่วหลานเคยของความช่วยเหลือเขาแล้วครั้งหนึ่ง … เขาก็สามารถทำเช่นนี้ได้อีก !


ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากคนเหล่านี้มีอายุมากกว่าลี่โย่วหลาน จวินโม่เซี่ยวก็จะไม่ให้โอกาสแก่พวกเขา ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนเหล่านี้อาจจะไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ในครั้งนี้เนื่องจากพวกเขาต้องแข่งขันกับเทพเชวียน แต่คนเหล่านี้ก็ยังมีความสามารถมากพอที่จะต่อกรกับคนของสกุลจวินในสถานการณ์ที่ปกติได้ ! หากสกุลลี่ตั้ดสินใจที่จะต่อสู้กับสกุลจวิน พวกเขาก็สามารถใช้คนเหล่านี้ในการสร้างผลกระทบที่น่าหวาดกลัวขึ้นมาได้ !


คนเหล่านี้เพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่รุนแรง และใช้ปราณเชวียนของพวกเขาไปจนหมด หากมือสังหารจวินปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป เขาก็คงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต


ดังนั้น นายน้อยจวินจึงตัดสินใจสังหารหมู่พวกเขาภายใต้สายฝนนี้ !


อย่างไรก็ตาม นายน้อยจวินก็มิได้คิดว่าเขาจะสามารถสังหารเป้าหมายที่เขาเลือกไว้ทั้งสี่ได้สำเร็จ ! การควบคุมทิศทางของมีดในขณะที่มันกำลังล่องหนอยู่นั้นเป็นการผลักดันให้จวินโม่เซี่ยพ้นจากขีดจำกัดในปัจจุบันแล้ว ซึ่งเป็นเหตุที่เขาไม่เคยคิดว่าแต่ละการโจมตีของเขาจะสามารถทำให้ถึงชีวิตได้ …


ที่จริงข้าสามารถสังหารยอดฝีมือสวรรค์เชวียนได้ !


นายน้อยจวินอดที่จะรู้สึกพึงพอใจกับความสำเร็จของเขาไม่ได้


ทุกๆคนไปจากที่นี่หมดแล้ว ในขณะที่ซากศพก็ได้ถูกจัดเก็บไปโดยยามของเมือง สถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการต่อสู้ที่รุนแรงและยิ่งใหญ่ของเหล่านักรบผู้เป็นตำนานถูกจัดการให้เป็นปกติแล้วในตอนนี้ เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เศษซากประหลักหักพังของสิ่งก่อสร้างและพืชที่เอาไว้สำหรับส่งวิญญาณ แม้ว่าเลือดจะถูกสายฝนชะล้างออกไปแล้ว แต่กลิ่นคาวเลือดยังคงคละคลุ้งอยู่เป็นเวลานาน …


กลุ่มของเล่ยเขียงฮ้งที่ยังเหลือกำลังเดินต่อไปอย่างเงียบๆ เป็นเวลานานจนถึงตอนนี้เมื่อเขากันไปและกระซิบกับต้นไม่อย่างรวดเร็ว


“ ฮ่าฮ่า ข้ายังรอเจ้าอยู่ … ”


เขารอคอยอยู่ชั่วขณะ และจากนั้นก็ไปกระซิบกับต้นไม้ต้นอื่น


“ เจ้าคิดว่าวันหนึ่งข้าจะจับเจ้าไม่ได้หรือ ? ”


เสียงของเขานั้นเบาและนุ่มนวล แต่ยังคงมีร่องรอยแห่งความโกรธ แทนที่จะดูเหมือนว่าเฉยเมย ราวกับเขากำลังพูดอยู่กับเพื่อน แต่ไม่มีผู้ใดอยู่ตรงนั้น …


เขารอเวลาวักพัก จากนั้นเขาก็พูดซ้ำๆด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป


“ ข้ายังรอเจ้าอยู่ … ”


เขาหยุดชั่วขณะ และจากนั้นก็พูดต่อ


“ ออกมา ? เจ้าต้องต้องการให้ข้าสับเจ้าเป็นชิ้นๆหรือ ? ”


เขาทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า


แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดตอบกลับมา


เขายังคงกระซิบกับต้นไม้ไปตลอดทาง ดูเหมือนว่าการที่ยังไม่มีผู้ใดตอบกลับมาไม่ได้ทำให้เขายอมแพ้เลย หากมีหมอมาเป็นเขาในอาการเช่นนี้ หมอผู้นั้นคงจะวินิจฉัยว่าเขาจะต้องมีอาการทางจิตอย่าแน่นอน …


เขายังคงพูดกับตัวเองแต่ไป โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด …


ชายชุดดำสองคนได้มาปรากฏตรงสนามต่อสู้อีกครั้ง ร่างที่ใหญ่โตและกำยำนั้นอ้าปากและกล่าวออกมา


“ เจ้าเป็นใคร ? ตอนนี้เจ้ารู้ไหมว่าเราอยู่ที่นี่ ? เลิกเล่นเกมส์และรีบออกมาได้แล้ว ! ”


เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในสองคนที่ลึกลับนี้เป็นผู้ที่คว้าเอาแกนเชวียนไปก่อนหน้านี้ และจากนั้นก็หายไป อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยได้ทำให้เจดีย์หงษ์จวินหมุนด้วยความเร็วสูงสุดในตอนที่พวกเขาหนีไป หวังว่ามันจะทำให้พวกเขาสนใจและกลับมาที่นี่เพื่อพบกับเขา


เหตุผลนั้นง่ายมาก แม้แต่ความสามารถระดับยอดฝีมือของฉีฉางเซี่ยวนั้นยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าแกนเชวียนนี้เป็นของจริงหรือไม่ แต่คนเหล่านี้กลับรู้ว่าแกนเชวียนนี้มีความแตกต่างบางอย่าง ความจริง มันเกือบจะรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนนี้มีประสาทสัมผัสที่ไวต่อปราณที่ออกมาจากแกนเชวียนปลอมนี้ …


หากการคาดการของจวินโม่เซี่ยผิดพลาด เขาก็จะรอเก้อ


แม้ว่าสองคนนี้จะสามารถสัมผัสได้ถึงปรารที่ออกมาจากเจดีย์หงษ์จวิน พวกเขาก็คิดเอาเองว่า แหล่งที่มาของปราณนี้จะต้องทรงพลังอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็เตรียมตัวที่จะกลับไปมือเปล่าแล้ว เนื่องจากพวกเขาไม่มั่นใจว่าแหล่งที่มาของปราณนี้จะปรากฏออกมาหรือไม่


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแหล่งที่มีของปราณนี้จะไม่ปรากฏตัวออกมาในทันที สงสัยว่าคนเหล่านี้อาจจะจากไปอย่างรวดเร็ว หากมีใครบางคนตั้งใจจะปลดปล่อยปราณนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าคนนั้นจะต้องมีความคิดอะไรบางอย่าง บางทีอาจจะเป็นแผนการหนึ่ง หรืออาจจะต้องการทักทายพวกเรา …


เนื่องจากความบริสุทธิ์ของปราณนี้ได้สร้างความปราถนาให้แก่พวกเขา คนเหล่านี้จึงตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดู แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอันตรายอย่างมาก ดังนั้น ทั้งสองคนนี้จึงหนีไปซ่อนตัวพร้อมกับแกนเชวียนอย่างรวดเร็ว และรอจนกระทั่งทุกคนจากไป และจากนั้นก็กลับมายังสนามต่อสู้อีกครั้ง


จากทั้งหมดนั้น ความบริสุทธิ์ของปราณนี้เป็นสิ่งที่ย่วยวนพวกเขามากที่สุดในโลก ! แม้แต่ เพชรพลอย ความร่ำรวย เคล็ดวิชา หรือพลังอำนาจ และยา ก็ไม่ทำให้พวกเขาสนใจที่จะเข้าไปเสี่ยงขนาดนี้ !


แม้ว่าจวินโม่เซี่ยจะไม่มั่นใจนักในตอนนี้ แต่แผนการของเขาเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ !


จวินโม่เซี่ยได้ใช้แกนเชวียนเพื่อให้คู่แข่งนั้นออกมาต่อสู้กัน เขาได้ทำให้ความแข็งแกร่งของลี่โย่วหลานลดลงโดยการสังหารผู้ที่อ่อนแอในกลุ่มของเล้ยเจียนฮ้ง และทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะเจ็บปวด แผนการของเขาเป็นไปได้ดีมาก เพราะคนเหล่านี้ได้สาบานว่าจะเป็นศัตรูของสกุลจวิน และสามารถจะก่อปัญหาให้กับสกุลจวินได้ในอนาคต แม้ว่าเขาจะไม่สามารถกำจัดศัตรูของเขาได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยเขาได้ทำให้ภัยร้ายมาถึงเขาช้าลง !


จวินโม่เซี่ยจัดการแผนการทั้งหมดนี้ และทำให้แผนการนี้สมบูรณ์แบบจากความช่วยเหลือที่เขาไม่ได้วางแผนเอาไว้ ! แต่เท่าที่ผู้ลึกลับสองคนนั้นต้องเป็นกังวล มันคือเวลาที่จวินโม่เซี่ยเริ่มเริ่มคิดหนักอีกครั้ง !


ฮ่าฮ่า เสียงหัวเราะที่เบา ลึกลับ แต่ทรงพลังและก้องกังวาลดังขึ้นไม่ไกลจากชายทั้งสอง 


 ไม่มีอะไรอยู่ตรงหน้า … แค่ต้นไม้ ! แต่เสียงนั่นมาจากตรงหน้าของพวกเรา !


แม้ว่าที่มาของชายทั้งสองนั้นจะลึกลับอย่างมาก แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นอะไรที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ! พวกเขาถอยหลังไปพร้อมๆกัน และยกแขนขึ้นมาที่หน้าอกเพื่อป้องกัน !


“ เจ้าเป็นตัวอะไร ? ออกมา ! ”


โดยไม่มีสัญญาณของอันตราย ชายชุดดำคนที่สามปรากฏตัวออกมาต่อหน้าของพวกเขาด้วยวิธีการที่แปลกประหลาดที่สุด ! ร่างของชายผู้นี้ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ราวกับว่าพื้นเบื้องล่างนั้นไม่มีอยู่จริง ! ความแข็งแกร่งของชายทั้งสองนั้นบรรลุไปถึงขั้นเทพเชวียนแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเคล็ดวิชาที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน !


อาจจะบอกได้ว่า แม้แต่ยุ่นเบ้ยเฉินก็ไม่ยอมเชื่อว่าสิ่งเช่นนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ !


ประหลาดที่สุด !


แต่ความประหลาดอีกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่ชายลึกลับคนที่สามจะปรากฏตัวออกมานี้คือ ชายชุดดำทั้งสองสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังปราณซึ่งดึงดูดพวกเขามาที่นี่ และดูเหมือนว่ามันจะออกมาจากร่างของชายคนที่สามนี้


พวกเขาทั้งสองมั่นใจอย่างมากว่าสิ่งนี้มิใช่ภาพลวงตา !


“ ท่านชื่ออะไร ? ท่านนำพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไร ? ”


ชายที่สูงและหุ่นดีถามอย่างสุขุม


“ เห็นได้ชัดว่าข้ามีเหตุผลที่นำพวกเจ้ามาที่นี่ ” 


ชายลึกลับตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล


“ ข้าคือ เฟิงจือจิง ข้ารู้จักพวกเจ้าไหม ? ”


“ เจ้าไม่รู้ที่มาของพวกเราหรือ ? ”


ชายร่างกายกำยำถามพร้อมกับสีหน้าที่สับสน 


 ข้าคิดว่าชายผู้นี้ต้องเป็นบางอย่างที่เกินธรรมดา ในตอนที่เขาลอยขึ้นมาจากพื้น แต่เห็นได้ชัดว่าชื่อของเขานั้นปลอม … ข้ารู้สึกแปลกๆกับเรื่องนี้ …


“ ข้ารู้ถึงที่มาของเจ้า แต่ข้าไม่รู้จักชื่อเจ้า  นอกจากนี้ มันคงไม่ยากเกินไปที่จะคาดการถึงที่มาของพวกเจ้าใช่ไหม ? ”


เห็นได้ชัดว่าชายคนที่สามคือจวินโม่เซี่ย 


 ถ้าข้าไม่รู้ที่มาของพวกเจ้า และเหตุใดข้าถึงมาที่นี่ ?


“ โอ้ว ถูกต้องแล้ว … ข้า กระเรียนขายาว นี่คือน้องสี่ของข้า  หมีใหญ่ ”


ชายชุดดำผอมเพรียว กระเรียนขายาวพยักหน้าขณะที่เขาพูด


“ พวกเราได้ยินเรื่องของท่านมาเยอะท่านพี่เฟิงจือจิง! ข้าอยากจะเจอคนมีชื่อเสียงเช่นท่าน พวกเราถือได้ว่าโชคดีที่ได้พบท่านในวันนี้ ! ”


“ เจ้าเคยได้ยินชื่อ เฟิงจือจิงมาก่อนหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้น 


 ข้าเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ? อย่าบอกข้านะ … ว่าข้าได้เอาชื่อของคนที่มีชื่อเสียงมาใช้ ?


ชายที่มีนามว่า หมีใหญ่ ตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ซื่อสัตย์


“ นั่นมิใช่สิ่งที่คนของท่านเรียกว่ามารยาทหรอกหรือ ?  พวกเขาไม่ได้แสร้งว่าพวกเขาเคนได้ยินชื่อของท่านมาแล้ว ? ”


เอ๋ ! แม่งเอ้ย !


“ ฮี่ ฮี่ เจ้าเดินทางมาไกลมายังเมืองเทียนเชียงถึงสองพันลี้เพื่อแกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุด ? ”


จวินโม่เซี่ยเกาจมูก


“ นี่คือแกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุด ! ยอดฝีมือทั่วไปอาจจะเชื่อไปแล้ว แต่โชคดีที่พวกเรามีประสบการณ์มาหลายปี … ”


กระเรียนขายาว หันไปและโยนแกนเชวียนที่จวินโม่เซี่ยได้สร้างขึ้นมา 


 การเดินทางครั้งนี้ไร้ประโยชน์ไปอย่างสิ้นเชิง แต่ดูเหมือนตอนนี้มันกำลังจะดีขึ้น


เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยอย่างมีนัยสำคัญ และพูด


“ อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่คิดว่าการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราจะไร้ค่า ในตอนที่ได้พบกับท่าน ตอนนี้เราเชื่อว่ามีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้รอพวกเราอยู่ที่นี่ ! ”


ตอนที่ 191

 

“ เดิมทีแล้ว ข้าได้ให้สิ่งของที่มีค่ามากกว่าแกนเชวียนแก่เจ้า ”


น้ำเสียงของจวินโม่เซี่ย เต็มไปด้วยการหลอกล่อ เห็นได้ชัดว่าจวินโม่เซี่ยไม่สามารถเติมเต็มคำพูดของเขาได้ แต่ตราบใดที่เขายังมีการช่วยเหลือของเจดีย์หงษ์จวิน เขาก็จะสามารถให้สิ่งที่มีค่ามากกว่าแกนเชวียน แก่คนพวกนี้ได้


“ บางที เจ้าอาจจะเข้าใจพวกเราผิดไป พวกเรามาที่นี่เพื่อค้นหาแกนเข้มข้นนี่ และไม่มีเงินหรืออะไรเช่นนั้น ”


กระเรียนขายาวมองไปยังจวินโม่เซี่ยพรอ้มกับร่องรอยแห่งความเจ็บปวดและผิดหวัง


“ พวกเรามาที่นี่เพื่อแกนเข้มข้นนี่ นอกจากนั้นพวกเราก็จะไม่ทำอะไรอื่น ”


จวินโม่เซี่ยสนใจในคำพูดของพวกเขามาก และรู้ว่าพวกเขาพูดถึงแกนเชวียนว่าแกนเข้มข้น และเขาสามารถสัมผัสได้ว่า สองคนนั้นถือว่าสองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


“ ท่านพี่ ท่าไม่คิดว่าคนผู้นี้จะพูดไร้สาระมากเกินไปหรือ ? เด็กน้อย เจ้ารีบออกไปจากที่นี่ซะ ! เจ้าทำให้ข้าหงุดหงิด ! ”


ดวงตาของหมีใหญ่เหลือบมองไปยังจวินโม่เซี่ย


“ มิฉะนั้นข้าจะต่อยเจ้าจนตาย ! ชีวิตของเจ้าไม่มีความหมายใดๆ แล้วพวกเราอาจจะสามารถใช้มันเพื่อความสนุกสนานได้นะ … ท่านว่าอย่างไรท่านพี่สาม ? ”


“ ต่อยข้าจนตาย ? เจ้าคิดหรือว่าเจ้านั้นแข็งแกร่งเพียงพอหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยหรี่ตาขณะที่เขาพูดคำนี้ออกมาด้วยความหยิ่งทะนงและเชื่อมั่น


แม้ว่าจวินโม่เซี่ยจะประหลาดใจที่ท่าทางที่ห้าวหาญของเขาไม่สามารถทำให้คนเหล่านี้เกรงกลัวได้ แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาจะต้องทำต่อไป


“ อาจจะไม่ ”


หมีใหญ่พยักหน้าอย่างจริงใจ และจากนั้นก็ยืดอกขึ้น


“ แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะสังหารข้า ! ”


“ ข้าเคยพูดกับเจ้าหรือ ? ข้าเคยบอกหรือว่าข้าต้องการจะสังหารเจ้า ? แม้ว่าข้าจะพูดเช่นนี้ ข้านับถือความแข็งแกร่งของเจ้าเท่ากับที่เจ้านับถือข้า !  ”


จวินโม่เซี่ยมองไปยังชายผู้นั้นด้วยความสับสน


“ หมีใหญ่ เจ้ามิใช่ลูกคนที่สี่ใช่ไหม ? ”


“ ใช่ เอ่อ ! เจ้ารู้ได้อย่างไร ? ”


หมีใหญ่เกาหัวขณะที่เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ


จวินโม่เซี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออก 


 ข้ารู้ได้อย่างไร ? พี่สามของเจ้าแนะนำว่าเจ้าเป็นน้องสี่ และเจ้ายังมาถามอีกหรือว่าข้ารู้ได้อย่างไร ? ข้าคิดว่าเจ้าแกล้งโง่ … แต่ข้าคิดว่าข้าผิดไป เจ้านั้นมันโง่จริงๆ !


“ เจ้ามันเป็นคนทึ่ม ”


จวินโม่เซี่ยใช้สอมงคิดอยู่นานเพื่อหาคำอธิบายแต่เขาไม่สามารถทำมันได้


“ เจ้ารู้ชื่อในวัยเด็กของข้าได้อย่างไร ? ท่านพี่สองบอกกับเจ้าเรื่องนี้หรือ ? เจ้าได้พบกับพี่สองหรือ ? ”


หมีใหญ่เหลือบมองจวินโม่เซี่ยอีกครั้ง


“ เจ้าต้องไปพบกับเขา ใช่ไหม ? บอกข้ามา เจ้ารู้ได้อย่างไร ? และข้าขอเตือนเจ้า อย่าเรียกข้าเช่นนั้นอีกครั้ง ! มันทำให้ข้าโมโห ! ”


“ เอ่อ … ข้า … ข้าจะเรียกเจ้าว่าหมีใหญ่ … หรือพี่หมี … แต่ข้าคิดว่าพี่หมีนั้นก็คงจะไม่ใช่ชื่อที่แย่เท่าใหร่ ….. ”


จวินโม่เซี่ยพูดไม่ออก 


 ข้าเคยเห็นคงโง่เง่า ผู้ที่เป็นเหตุให้เกิดปัยหามาก่อน อย่างเช่น หนุ่มๆของสกุลตู่กู้ พกเขานั้นโง่เง่าอย่างมาก … แต่ข้าไม่เคยเห็นคนที่โง่บรมเช่นนี้มาก่อน …


เจ้านี่จริงๆ ….


เจ้าควรจะได้เป็นตำนานที่โง่เง่า เจ้าหมีใหญ่ ! ความโง่ของเจ้าเป็นสิ่งที่อาจจะหยั่งถึง !


ตอนนี้ดูเหมือนว่าจวินโม่เซี่ยจะเหนื่อยเล็กน้อย เนื่องจากเขาได้ใช่ปลังปราณของเขาเพื่อที่จะทำให้เจดีย์หงษ์จวินขยับ หากเขาหยุดใช้พลังงานเพื่อให้เจดีย์หยุดหมุนแล้ว คนเหล่านี้ก็จะสามารถสัมผัสถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้


เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่สิ่งที่ดีกับจวินโม่เซี่ย สุดท้ายเขาอาาจะต้องเจอกับปัยหามากมาย เนื่องจากสองคนนี้ทำให้เขาสนุก เพราะว่าเขานั้นเป็นคนที่มีความลึกลับ ผู้ที่ปลดปล่อยพลังปราณที่พวกเขาหลงไหลอยู่ในตอนนี้


“โปรดบอกความต้องการของท่านให้ชัดเจน นายท่าน ”


กระเรียนขายาว มองอย่างคุมเชิงไปยังจวินโม่เซี่ย แม้ว่าเขาจะสังหรใจว่าชายลึกลับผู้นี้มิได้แจ็งแกร่งมาก แต่เขาก็พบว่ามันค่อนข้างแปลกที่เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างของชายผู้นี้ก็ปลดปล่อยพลังงานที่ชวนนำลายไหล สิ่งที่เกินจะต้านทานสำหรับสัตว์เชวียนชั้นสูง!


“ บอกความต้องการของข้าหรือ ? เอาละ มันค่อนข้างจะง่าย ข้าอยากจะให้เจ้าทั้งสองทำงานที่ยากใหเแก่ข้า  ”


จวินโม่เซี่ยตัดสินใจที่จะไม่อ้อมค้อม


“ ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าอยากให้พวกข้าทำอะไรบางอย่างให้เจ้านะหรือ ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร ? เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าพวกเราจะช่วยเจ้า ? ”


กระเรียนขายาวหัวเราะลั่นออกมาเป็นคนแรก และจากนั้นเขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ย


“ เจ้าคิดว่าเจ้าจะขู่ให้พวกเราทำอะไรก็ตามเพราะเจ้ามีบางอย่างที่พวกเราปราถนาหรือ ?! นายท่าน ช่างไร้เดียรสาเสียจริง ! เจ้าอย่าลืมนะว่าพวกเราได้ขโมยเอาแกนเข้มข้นอันนี้มาจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยวได้อย่างง่ายดาย และอย่าลืมว่าพวกเขาไม่มีความกล้าแม้แต่จะไล่ตามพวกเรา เจ้าคิดว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอย่างนั้นหรือ ? ”


“ หยุดทำตัวว่าเจ้านั้นเป็นยอดมนุษย์ เจ้าเป็นเพียงแค่สัตว์เชวียนชั้นสูง เจ้าอาจจะลหลอกลวงผู้อื่นได้ แต่มิใช่ข้า และหากเจ้าไม่ต้องการสิ่งที่ข้าเสนอให้ เจ้าคงจะไม่กลับมาที่นี่ ! สำหรับการคว้าเอาแกนนั้นไปเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เจ้าคิดว่าเจ้าทำมันด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ ? เจ้าอาจจะแข็งแกร่งพอที่จะอดทนต่อการโจมตีของฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าเจ้าจะทำได้อย่างง่ายดายขนาดนี้หากพวกเขาร่วมมือกันอย่างแท้จริงในการต่อสู้ครั้งนี้ ? เจ้าคิดจริงๆหรือว่าพวกเขากลัวความแข็งแกร่งของเจ้า ? ”


น้ำเสียงที่มีนัยยะขอจวินโม่เซี่ยนั้นมีอิทธิพลที่น่าเกรงขาม ดูเหมือนว่าเขาจะเตือนถึงสถานะของพวกเขา แต่พยายามที่จะทำโดยไม่โกรธพวกเขา


คนลึกลับสองคนนี้ได้ต่อสู้กับยอดฝีมือเทพเชวียนและสวรรค์เชวียนมาก่อน และหนีออกมาได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม พวกเรานั้นรู้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นยังไม่มากพอที่จะต่อสู้กับฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน แม้ว่าร่างกายของเขานั้นจะทรงพลัง และแข็งแกร่งกว่าสัตว์เชวียนธรรมดาที่มีร่างกายเป็นคน แต่พวกเขาก็รู้ว่าไม่สามารถจะต่อสู้กับเทพเชวียนจริงๆได้ในการต่อสู้ที่เต็มรูปแบบ


แม้ว่าความมั่นใจของพวกเขาจะบังคับให้พวกเขาเชื่อ แต่สัตว์เชวียนชั้นหนึ่งสองตัวนี้ก็รู้ถึงความจริงนี้เป็นอย่างดี และอดที่จะรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกไม่ได้ !


จวินโม่เซี่ยรู้ถึงความจริงนี้ และตัดสินใจยุแหย่มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาและพูด


“ เนื่องจากพวกเรามีผลประโยชน์ต่อกันได้หากช่วยเหลือกัน แล้วทำไมพวกเราถึงต้องต่อสู้กันเพื่อสิ่งเล็กน้อยนี้ ? หากเจ้าทั้งสองรู้สึกว่าข้อเสนอและเงื่อนไขของข้านั้นลำบากเกินไปในตอนนี้แล้วละก็ หาเวลามาหารือถึงข้อเสนอของข้ากันสักหน่อยจะเป็นไร ! ”


“ แม้ว่าเจ้าจะทรงพลังอยู่แล้ว แต่การจะบรรลุผ่านข้อจำกัดนี้ไปได้นั้นไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อนๆ ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าถือเอาความจริงว่าเจ้าทั้งสองนั้นอยู่ในขั้นที่สูงอยู่แล้ว และมันจะยากที่เจ้าจะสามรถหาใครบางคนที่รู้และมีประสบการณ์ที่จะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นต่อไปได้ … แต่ข้าสามารถจัดหาสิ่งนั้นให้แก่เจ้าได้ ข้าสามารถจัดหาในสิ่งที่เจ้าต้องการมากที่สุดได้ … และสิ่งที่เจ้าขาดหายไป … สิ่งที่หาได้ยากในโลกนี้ … มันไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเจ้าอย่างนั้นหรือ ? ”


“ ความแข็งแกร่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้ ! หากเจ้าไม่แข็งแกร่งมากพอ จุดจบของเจ้าจะใกล้เข้ามาในไม่ช้า หรือบางทีเจ้าอาจจะต้องจบลงด้วยการต่อสู้เพื่อแกนเชวียน เหมือนคนเหล่านี้ ! ”


จินโม่เซี่ยเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา


“ แม้ว่าเวลานั้นจะยังห่างไกล แต่ทุกคนในดินแดนเชวียนเชวียนรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดกับการพัฒนาของสัตว์เชวียน เมื่อสัตว์เชวียนได้พัฒนาไปถึงขั้นสูงสุดแล้ว บางทีอาจจะพัฒนาต่อไปได้หรือบางทีอาจจะไม่ได้ … และเมื่อสัตว์เชวียนเริ่มมีอายุ ความแข็งแกร่งของมันก็จะลดลง ! และเมื่อเวลานั้นมาถึง แม้แต่ยอดฝีมือเทพเชวียนธรรมดาๆ ก็สามารถสังหารเจ้าในการต่อสู้ได้ ! อย่าบอกข้า ว่ามีความชั่วช้า และดำมืดของป่าเถียนฟาที่ถูกลบออกไปจากความทรงจำของโลกภายนอกนั้นมาจากเจ้า ? ”


ทั้งสองคนนั้น เริ่มหายใจอย่างรุนแรงขึ้นมาในทันที คำพูดของจวินโม่เซี่ยได้กัดเซาะลึกลงไปถึงก้อนบึ้งหัวใจของพวกเขาแล้ว


“ ลองคิดดู … โลกภายนอกนั้นสวยงาม … เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอาหาร หรือที่พัก และคิดถึงเพียงแค่ความสวยงาม หญิงสาวที่สวยงาม และสิ่งของที่เต็มไปด้วยสีสรรค์ … ตราบใดที่เจ้าแข็งแกร่งมากพอ เจ้าสามารถมีความสุขกับทุกอย่างในโลกนี้ได้ … เพียงแค่ปลายนิ้วชี้ ! ”


จวินโม่เซี่ยยังคงชักชวนพวกเขาต่อไป


“ ต้องให้ข้าเตือนความจำเจ้าถึงผลประโยชน์ที่เจ้าจะได้รับหากเจ้าพัฒนาขึ้นไปได้อีกไหม ?… และในการแลกเปลี่ยน ข้าขอเพียงสิ่งเดียวจากเจ้า ! งานของข้าอาจจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน แต่เจ้าจะได้รับชีวิตที่เป็นอิสระและความแข็งแกร่งที่มากมาย ! นั่นยังไม่มากพออีกหรือ ? ”


“ แม้ว่าคำพูดของเจ้าจะมีเหตุผลอยู่มาก แต่พวกเรามีธรรมเนียม เราไม่รับคำสั่งจากคนที่อ่อนแอกว่า ! ดังนั้นหากเจ้าต้องการทำให้เราประทับใจ จงแสดงให้เห็นว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเรา มิฉะนั้นเหตุใดพวกเราถึงต้องรับคำสั่งของเจ้า ? ”


กระเรียนขายาวคิดอยู่นานก่อนจะตอบ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าดวงตาของเขาจะเปล่งประกาย


ทั้งสองคนนี้ ถือได้ว่าเป็นราชาแห่งสัตว์ในป่าเถียนฟา ! และสัตว์เชวียนชั้นหนึ่งนี้มีเกียรติ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่เคยก้มหัวให้ผู้ที่อ่อนแอกว่าแม้ว่าพวกเขาจะต้องการ หรือปราถนาต่อบางสิ่งที่ผู้ที่อ่อนแอกว่าจะมอบให้หากพวกเขายอมจำนวน !


เมื่อจวินโม่เซี่ยรู้ว่าเขาสามารถดึงดูดความสนใจของสัตว์เชวียนชั้นสูงได้ และเขาสามารถช่วยให้สัตว์เชวียนก้าวหน้าไปได้ เขาจึงเริ่มวางแผนนี้ขึ้นมา ความปราถนาของเขาที่อยู่เบื้อหลังการดึงดูดความสนใจของสัตว์ชั้นหนึ่งจากป่าเถียนฟ้านั้นง่ายมาก หากเขาสามารถจูงใจสัตว์ที่ทรงพลังและดีที่สุดในป่าเถียนฟาให้มาอยู่ข้างเดียวกับเขาได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพลังอำนาจใดในโลกนี้อีกแล้ว !


แต่กระนั้นยังมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือ เขาจะต้องหาทางให้สัตว์เหล่านี้เชื่อฟังคำสั่งของเขาก่อน แต่มีเพียงแค่ยุนเบ้ยเฉินเท่านั้นที่ทรงพลังมากพอที่จะมีอำนาจเหนือความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ !


จวินโม่เซี่ยรู้ดีว่าเขาไม่สามารถที่จะพยายามควบคุมเสือดาวปีกเหล็กที่ยังเป็นเด็กได้ แต่สำหรับสัตว์เชวียนขั้นเก้าสูงสุดอันสง่านั้น เขารู้ว่าเขาจะต้องวางแผนการนี้ให้รัดกุมที่สุด หากแผนการของเขามีข้อผิดพลาดขึ้นมา ไม่เพียงแต่สัตวืเชวียนเหล่านี้จะหลุดมือเขาไป แต่ชีวิตของเขาอาจจะต้องตกอยู่ในอันตราย !


ดังนั้นนายน้อยจวินจึงคิดแผนการของเขาขึ้นมาอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด อย่างแรกเขาได้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับแกนเชวียนนี้ไปทั่วทั้งดินแดนเพื่อทำให้สิ่งที่ทรงพลังในโลกนี้สนใจ และหวังว่าข่าวของเขาจะทำให้สัตว์เชวียนชั้นหนึ่งนี้สนใจ ในกรณีที่มีผู้ทรงพลังจำนวนมากเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อแกนเชวียน สัตวืเชวียนเหล่านี้ก็คงจะไม่อยู่เฉย


เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์แรกของจวินโม่เซี่ยคือการยกระดับของสกุลขึ้นก่อนจะเริ่มสงคราม โดยการทำให้ศัตรูอ่อนแอลง แต่จุดประสงค์สูงสุดเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือ ดึงดูดความสนใจของราชาแห่งสัตว์ป่า ! และทำให้พวกเขาเชื่อฟัง !


เขารู้ดีว่าเขานั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำเช่นนั้น แต่กระนั้นเขาสามารถใช้เจดีย์หงษ์จวินเพื่อสนับสนุนในเรื่องนี้ได้ ! แม้ว่าเขาจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่เขายังรู้สึกว่าความคิดของเขานั้นมีเหตุผล 


 หากข้ามีความแข็งแกร่งของยอดฝีมือเทพเชวียน และข้าจะต้องการสัตว์เชวียนเหล่านี้ไปเพื่ออะไร ?


ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงทำการฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนเพื่อทำให้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งพอที่จะรองรับการช่วยเหลือจากเจดีย์หงษ์จวินในเวลาที่นานขึ้นได้ และการฝึกฝนเคล็ดวิชาอิสระหยินหยางทำให้เขาทำตามกำหนดการทั้งหมดได้ทันเวลา


เหตุผลที่เขาขอให้จวินวูอี้หากแกนเชวียนให้เขานั้นง่ายมา เขาต้องการจะทดลองบางอย่างที่เขาได้เตรียมการไว้แล้ว !

 

 

 


ตอนที่ 192

 

แต่กระนั้น จวินโม่เซี่ยก็อยากรอจนกระทั่งเขาได้บรรลุผ่านขีดจำกัดและเข้าสู่ชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวิน ซึ่งความแข็งแกร่งของเขานั้นจะเทียบเท่าได้กับ ปฐพีเชวียน ในดินแดนเชวียนเชวียนนี้ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ความเสี่ยงมันก็สูงอย่างมาก !


อย่างไรก็ตาม การคุกคามของเขตซือฮั่นนั้น ทำให้จวินโม่เซี่ยต้องเร่งดำเนินแผนการให้เร็วกว่าที่เขาได้วางเอาไว้ !


แม้ว่าเขาจะยังพอมีเวลาให้เตรียมการ เขาก็ยังตัดสินใจที่จะดำเนินแผนการนี้ในทันที แม้ว่าเขาจะยังไม่พร้อมในทางปฏิบัติ !


บางทีแผนนี้อาจจะเป็นเหตุผลว่า จวินโม่เซี่ยเตรียมตัวที่จะก้าวเข้าไปยังคฤหัสน์ของจือฮั่น !


แน่นอน การดำเนินแผนการในตอนนี้มันจะหมายความว่าโอกาสที่จะสำเร็จนั้นน้อยมาก แต่จวินโม่เซี่ยก็ยังตัดสินใจที่จะพยายาม เพราะถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่ต้องทำเลย ในกรณีที่แผนของเขาไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ คฤหัสน์จือฮั่นก็จะทำลายสกุลจวินลงไปได้ !


สำหรับสิ่งที่จวินโม่เซี่ยเป็นกัลวล 


 มีคนตายอยู่ตลอดเวลา แล้วปัญหาใหญ่มันคืออะไร ?!


แม่งเอ้ย ! ชีวิตไม่มีอะไรที่มากกว่าชีวิต และมันจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจถึงคุณค่าของมันให้มากมาย !


แต่กระนั้น นายน้อยจวินก็ไม่เคยคิดว่าแผนการของเขาจะสำเร็จจริงๆ ไม่เพียงแค่เขาสามารถดึงดูดความสนใจของเทพเชวียนได้ แต่เขายังดึงดูดความสนใจของ แปดยอดปรมาจารย์ของโลกได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถทำให้พวกเขาต่อสู้กันเอง ซึ่งมันเป็นไปตามแผนการที่เขาวางเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผนการของเขาคือ มีราชาสัตว์เชวียนอันทรงพลังสองคนได้รับข่าวนี้ และมาที่นี่เพื่อแย่งชิงแกนเชวียน


อย่างไรก็ดี ตอนนี้จวินโม่เซี่ยก็ยังดูเศร้าหมอง เพราะเขาสามารถดึงดูดความสนใจของสัตว์เชวียนได้มากกว่าหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่สัตว์เหล่านี้ทรงพลังยิ่งกว่าที่เขาได้คาดเอาไว้ แต่มันยากที่จะทำให้พวกเขาเชื่อฟัง !


ในตอนนี้ ความคิดที่จวินโม่เซี่ยจะโน้มน้าวสัตว์เชวียนมาเป็นพันธมิตรของเขานั้นล้มเหลวลงไปแล้ว …


เขารู้ดีว่าปู่ของเขาจะต้องเตะก้นเขาแน่ๆ หากรู้ว่าหลานชายของเขานั้นพยายามทำตามแผนการเช่นนี้ ซึ่ง จวินจ้านเทียนก็ยังบรรลุไปไม่ถึงขั้นเทพเชวียน ในความจริงผู้ติดตามทุกคนของจวินจ้านเทียนนั้นอยู่ในระดับเดียวกับเขา แม้ว่าตำแหน่งและความกล้าหาญของเขานั้นจะสูงที่สุดในดินแดนเชวียนเชวียนซึ่งมันอยู่เหนือกว่าเทพเชวียน


แม้จวินจ้านเทียนจะรู้ว่า มีสัตว์เชวียนรูปแบบนี้อยู่ในโลก เขาก็รู้ว่ามันยากที่จะหาพวกเขาได้ สัตว์เชวียนเหล่านี้ได้อยู่ในจุดที่สูงสุดในความเป็นไปได้ของมนุษย์ และเทียบได้กับแปดยอดปรมาจารย์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างเร้นลับ สัตว์เชวียนเหล่านี้รู้จักที่จะหลับซ่อนจากเทพเชวียนผู้ที่เสี่ยงภัยเพื่ออกมาค้นหาพวกเขา และหวังว่าจะให้พวกเขาไปเป็นเพื่อน ดังนั้น มันจึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นอะไร และจะหาพวกเขาได้ที่ใหน


อีกเหตุผลหนึ่งที่จวินโม่เซี่ยรู้ว่าแผนการของเขานั้นล้มเหลว คือ ยุนเบ้ยเฉินนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่รู้กันว่ามีสัตว์เชวียนชั้นหนึ่งนี้เป็นเพื่อน ความจริงแล้ว ในตอนนี้เกือบจะเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าราชาสัตว์เชวียนเหล่านี้นมีวงศาที่เล็ก เและเร้นลับเป็นพิเศษ ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีกฏและประเพณีเป็นของตัวเอง นี่จึงเป็นเหตุผลขั้นพื้นฐานที่ว่า ทำไมคนที่มีความสามารถอย่างฉีฉางเซี่ยไม่สามารถที่จะระบุตัวตนของกระเรียนขายาวได้อย่างง่ายดาย และตัดสินใจที่จะละทิ้งแกนเชวียนแทนที่จะไล่ตาม คนลึกลับทั้งสองนี้ไป


ทั้งหมดนี้ นายน้อยจวินได้ตระหนักว่า ที่ผ่านมาเขามองแผนการของเขาในแง่ดีมาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะว่า เขานั้นตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป ดังนั้นเขาจึ้งตัดสินใจที่จะปรับปรุงแผนการโดยหวังว่าจะให้มีความเป็นไปได้ที่ดีที่สุด 


 หากข้าไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาให้มาเป็นหุ่นส่วนของข้าได้ อย่างน้อยข้าก็โน้มน้าวให้พวกเขาทำงานอย่างหนึ่งให้ข้าได้ใช่ไหม ? นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธรางวัลที่ข้าเสนอให้ได้


อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดว่าจะเจอปัญหาอีกที่นี่ …


พิสูจน์ความแข็งแกร่งของข้าให้เจ้าเห็น ? นี่มันไร้สาระอย่างมาก ! หากความแข็งแกร่งของข้านั้นมีมากกว่าพวกเจ้า และทำไมข้าจะต้องหวาดกลัวลีจื้อเทียน ?! ข้าคงจะขึ้นไปบนบ้านของเขา ตีหัวเขาเหมือนกับตีลูกปิงปอง จนกระทั่งดวงตาของผู้เฒ่านั้นเปล่งประกายเหมือนกับดวงดาวไปแล้ว และข้าก็จะหักคอของของเขาให้หันไปด้านหลัง …


จวินโม่เซี่ยยังคงเงียบ โศกเศร้า และรู้สึกแย่ในตอนนี้


เขามองแผนการของกระเรียนขายาวออก 


 ข้ารู้ว่าเขาพยายามที่จะทำให้เห็นว่าข้าสามารถที่จะต่อสู้กับพวกเขาได้ ซึ่งมันหมายความว่าข้ามิได้โกหก และข้านั้นทรงพลังมากพอที่จะยื่นข้อเสนอในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ … สำหรับงานของข้า ข้ามั่นใจว่าพวกเขาสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย …


ข้าไม่เคยคิดว่าสัตว์เชวียนนั่นจะฉลาดเพียงนี้ ……


จวินโม่เซี่ยรู้สึกสิ้นหวัง และยังคงเงียบอยู่ แต่จากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะเริ่มทำอะไรบางอย่าง …


“ ทำให้เจ้าประทับใจ ? เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไรให้เจ้าประทับใจ ? ”


จวินโม่เซี่ยรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยในจุดนี้ 


 แม่ง ข้าได้ปลดปล่อนปราณที่เจ้าเคยเห็นและเจ้ายังจะมาร้องขออีกเนี่ยนะ ? มันเหลืออดจริงๆ !


“ ดีละ นั่นง่ายมาก เจ้าต้องมาต่อสู้กับพวกเรา ! ”


ปากที่เต็มไปด้วยขนของหมีใหญ่กระเพื่อมในขณะที่เขาแสดงสีหน้าที่ชั่วร้าย สีหน้าของเขานั้นจริงใจและซื่อตรง นั่นทำให้จวินโม่เซี่ยรู้ได้ในทันทีว่าสัตว์เชวียนนั้นจริงจรังในเรื่องข้อเสนอ


“ เจ้ากำลังพูดอะไร ? ”


นกกระเรียนขายาวรีบตำหนิพี่น้องของเขา


“ เจ้าต่อสู้มาทั้งวันแล้ว นั้นเพียงพอแล้ว ! ”


เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยและคิด 


 น้องของข้ายังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ … หากคนผู้นี้แข็งแกร่งกว่ายุ่นเบ้ยเฉินจริงๆ แล้วเราจะไม่ต้องจบลงดั่งเช่นพี่สองหรอกหรือ ?


แล้วหากพวกเราไม่สามารถหนีออกมาได้ดั่งเช่นที่พี่สองทำ … พวกเราจะไม่ต้องตายไปหลังจากที่นายท่านรู้อย่างนั้นหรือ ? หากว่าเขานั้นแข็งแกร่งมาก แล้วเขาสังหารพวกเรา แล้วนายท่านจะ … ไม่ว่าทางใหนพวกเราก็ต้องตาย !


“ พวกเราทั้งหมดเป็นยอดฝีมือ ดังนั้นอย่าได้ใช้วิธีการธรรมดา พวกเราจะเล่นเกมส์สามเกมส์เพื่อตัดสินแพ้ชนะ ”


นกกระเรียนขายาวชูนิ้วสามนิ้วขึ้นมาให้จวินโม่เซี่ยเห็นได้อย่างชัดเจน


“ ผู้ที่ชนะสองในสามเกมส์จะได้เป็นผู้ชนะ หากเจ้าชนะพวกเราสัญญาว่าจะทำสิ่งหนึ่งให้แก่เจ้า แต่ ถ้าพวกเราชนะ พวกเราจะรับเอารางวัลของพวกเรา ! ”


“ ใช่แล้ว หากว่าเจ้าแพ้ พวกเราก็จะเอารางวัลของเราด้วย ! แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ช่วยเจ้าทำงานของเจ้าก็ตาม ! ”


หมีใหญ่ทวนประโยคสุดท้าย


“ ถ้าอย่างที่เจ้าพูด เจ้าจะเอารางวัลไปไม่ว่าผลจะออกมาว่าข้าจะชนะหรือแพ้อย่างนั้นหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยเพ่งมองกลับไปที่พวกเขาด้วยสายตาที่ไม่ยอมรับ


“ หมีใหญ่ เจ้าไม่มีความสามารถในการเจรจาเอาเสียเลย ใช่ไหม เจ้าไม่ควรจะได้ผลตอบแทนหาก หุ้นส่วนของเจ้าพ่ายแพ้ ! ”


ในความจริงแล้ว จวินโม่เซี่ยเห็นด้วยกับเงื่อนไขนี้ เขารู้ว่ามันคือทั้งหมดของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ชอบที่จะยอมรับมันต่อหน้าสองคนนี้ …


อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นเขาจะต้องเพิ่มโอกาสในการทำให้เขาได้ประโยชน์มากที่สุด …


กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งบรรยากาศในขณะที่หมีใหญ่อ้าปาก และจากนั้นเขาแลบลิ้นสีแดงขนาดใหญ่ของเขาออกมา ในขณะที่ดวงตาของเขามองไปยังจวินโม่เซี่ย จากนั้น เขาเลียขอบปากอย่างช้าๆ ขณะที่เขายกนิ้วและพูด


“ ฮ่าฮ่า … แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังรอ และมองหาจนกระทั้งเจอคนที่มีฝีมือดั่งเช่นพวกเราละ ? เจ้าต้องการพวกเรามากกว่าที่พวกเราต้องการเจ้า ! ”


จวินโม่เซี่ยเพ่งมองกลับไป 


 ทั้งสองคนนี้ไม่ได้โง่อย่างที่ข้าคิด … ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเขารู้ถึงตำแหน่งของข้าแล้ว ! มันเป็นสิ่งที่ดีที่ข้าต้องการให้พวกเขาทำงานเพียงานเดียว มิฉะนั้นพวกเขาจะกลายมาเป็นปัญหาใหญ่กับข้าในอนาคตได้ !


ดูเหมือนว่ากระเรียนขายาวจะอับอายเนื่องจากำพูดไร้ยางอายของน้องของเขา และพุด


“ หากเจ้ามีข้อโต้แย้งดังนั้นเราจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย หากเจ้าต้องการให้พวกเราเชื่อฟังเจ้าโดยที่เจ้าไม่ได้พิสูจน์ตัวเองก่อน อย่างนั้นเจ้าก็ลืมมันไปซะ ! ”


“ ใครบอกว่าเจ้าจะต้องเชื่อฟังข้า ? ข้ายื่นข้อเสนอที่ดีให้แก่เจ้าเพื่อให้พวกเจ้าบริการข้า นั่นเรียกว่าเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรม ! ”


จวินโม่เซี่ยสบัดมือด้วยความไม่พอใจ


“ แต่เมื่อพวกเรากำลังจะทำการทดสอบเล็กน้อย แล้วทำไมพวกเจ้าถึงเลือกหัวข้อในการทดสอบนี้ละ ? สำหรับผลประโยชน์ที่เป็นธรรม หัวข้อแรกข้าจะต้องเป็นคนตั้งขึ้น และจากนั้นก้เจ้าทั้งสองคนละหัวข้อ หากเราต้องการสามบททดสอบ แล้วจากนั้นเราจะตัดสินจากสอบทบทดสอบ ตกลงไหม? ”


“ ดี ! ดังนั้นบอกพวกเรามาว่าอะไรคือบททดสอบแรก ? ”


นกกระเรียนขายาวและหมีใหญ่ถกเกียงกันถึงความคิดนี้ชั่วครู่ จากนั้นพวกเราก็เห็นด้วย สำหรับสิ่งที่พวกเขาคิด 


 ให้พวกเราร่วมมือกัน แล้วพวกเราจะแพ้เขาได้อย่างไร ?


“ ข้าจะออกกระบวนท่า และหากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งสามารถเลียบแบบได้ ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้ ”


จวินโม่เซี่ยคิดอยู่ชั่วครู่ และพูดถึงความต้องการของเขาขณะที่ริมฝีปากของเขาโค้งจนเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์


“ ดี ! ”


ทั้งสองดูเหมือนจะมั่นใจอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาอยู่ในขั้นเกือบจะสูงสุดในระดับของพวกเขาแล้ว และ ร่างกายของพวกเขาสามารถยืดขยายได้มากมาย นกกระเรียนขายาวอดที่จะยินดีกับชัยชนะที่จะมาถึงไม่ได้ 


 ลืมถึงกระบวนท่าธรรมดาไปได้เลย ข้าสามารถบิดคอให้เห็นปมได้ ! และอะไรจะยากไปกว่านี่อีกละ ?


“ ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย ”


จวินโม่เซี่ยเริ่มเกมส์ และพวกเขาทั้งสองมองไปที่เขาอย่างไม่เข้าใจ


สิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นต่อสายตาของพวกเขา เท้าของจวินโม่เซี่ยค่อยๆจมลงไปในพื้น จากนั้นก็ขา เอวของเขา … และร่างกายของเขาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อัศจรรย์ที่สุดคือพื้นตรงนั้นยังคงแบนราบเหมือนเดิม … ไม่มีหลุมเกิดขึ้นเลย !


ทั้งร่างของมนุษย์หายไปต่อหน้าต่อตาของสองคนนั้น


ไม่นาน หัวของจวินโม่เซี่ยก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นที่ห่างไปจากจุดที่เจาจมลงไป ซึ่งตามมาด้วยคอ พุง เอว และขาของเขา …


ไม่มีร่องรอยของน้ำอยู่บนร่างของจวินโม่เซี่ย หรือคราบดินโคลนบนเสื้อผ้าของเขาเลย !


มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ?


ดวงตาของนกกระเรียนขายาวและหมีใหญ่จ้องมองไปยังร่างของจวินโม่เซี่ยอย่างเหลือเชื่อ และดูเหมือนว่าดวงตาของพวกเขานั้นเกือบจะหลุดจากเบ้า ในขณะที่คอของเขาพวกไม่สามารถที่จะกลืนน้ำลายลงไปได้เนื่องด้วยความตกตะลึงจากสิ่งที่ได้เห็น


ทันใดนนั้นพวกเขาก็นึกถึงจุดที่จวินโม่เซี่ยปรากฏตัวออกมา และคิดว่ามันจะต้องมีกลลวงอะไรอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงวิ่งไปยังจุดที่จวินโม่เซี่ยยืนอยู่ก่อนหน้านี้และ ปัง พวกเขาต่อยไปที่พื้นอย่างรุนแรง ทำให้น้ำกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง พวกเขาก้มหัวและจ้องมองไปยังพื้นที่อยู่เบื้อล่าง และพบเพียงแต่ว่า ไม่มีกลอะไรภายใต้การแสดงนี้ ….


พวกเขาทั้งสองครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานและสุดท้ายก็สรุป 


 นี่พิสูจน์ให้เห็นว่า คนอื่นนั้นไม่สามารถโกงเราได้ !


อย่างไรก็ตาม นี่หมายความได้ว่าเขานั้นเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อใช่ไหม ?


ชายผู้นี้เป็นมนุษย์หรือเปล่า ?


สัตว์เชวียนสองตัวนี้ยังคงไม่เชื่อว่าความสามารถนี้จะเป็นไปได้ แต่กระนั้น พวกเขาก็ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเองแล้ว !


“ ตอนนี้ ถึงตาของเจ้าแล้ว ”


น้ำเสียงของจวินโม่เซี่ยฟังดูถ่อมตัว และสุภาพอย่างมาก


“ นี่คือส่วนเล็กๆของฝีมือ และหากเจ้าคนใดสามารถเลียนแบบมันได้ ข้าก็จะยอมรับในรอบนี้ ”


พวกเขามองหน้ากันอยู่เป็นเวลานานก่อนที่หมีใหญ่จะอ้าปากและพึมพัมอย่างไม่เต็มใจ


“ พวกเราทำเช่นนี้ไม่ได้ พวกเรายอมรับ ”

 

 

 


ตอนที่ 193

 

“ เอาละ ดังนั้นข้าชนะในรอบแรก ? ”


จวินโม่เซี่ยถามนกกระเรียนขายาวที่ยืนอยู่เงียบๆอย่างสุขุม เขาขอให้ทั้งสองพยายาม และยอมแพ้เขา เนื่องจากมันสำคัญมาที่ทั้งคู่จะยอมประกาศการยอมแพ้ของพวกเขาออกมา


“ ใช่ พวกเราแพ้ ”


นกกระเรียนขายาวพูดขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ


แม้ว่าเขาจะยอมรับในความสามารถที่น่าตกใจของจวินโม่เซี่ย เขาก็รู้สึกได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามของเขานั้นมีพลังเวทย์อะไรบางอย่าง ซึ่งหมายความว่ามันจะยากมากที่พวกเขาจะชนะในการแข่งขันนี้ เนื่องจากความสามารถของคู่ต่อสู้นั้นยากที่จะประเมินได้


ข้าไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร !


ความเร็วและความแข็งแกร่งของพวกเราไร้ประโยชน์ที่จะสู้กับอำนาจเวทย์ของชายผู้นี้ ! นกกระเรียนขายาวและหมีใหญ่นั้นคิดเหมือนกันในเรื่องนี้


“ ขอบคุณที่ให้ข้าชนะ ! ”


จวินโม่เซี่ยปรบมือเบาๆ


“ เอาละ ต่อไปคือการตัดสินใจของเจ้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าทั้งสองจะให้ข้าลองสิ่งที่ยาก ”


แต่พวกเราคิด ! พวกเรามีนรกอะไรที่จะสามารถเอาชนะเจ้าได้ … !


พวกเขาทั้งสองที่กระตือรือล้นจะเห็นชัยชนะ ในตอนนี้กลับพบแต่ความสิ้นหวังและลังเล


การแสดงของจวินโม่เซี่ยทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก แต่ยิ่งกว่านั้นมันทำให้ทิศทางและการคาดการในแผนการของพวกเขาเปลี่ยนไป


กระเรียนขายาวและหมีใหญ่ทำปากยู่หลังจากที่พวกเขาเก็บซ่อนความอับอาย


มีอะไรที่จะทำให้พวกเราสามารถเอาชนะยอดฝีมือผู้นี้ได้ ? ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเอาชนะพวกเราได้ทุกอย่าง


พวกเขาทั้งสองยังคงยืนเกาะกลุ่มกัน และซุบซิบกันอยู่สักพัก แต่ยิ่งพวกเขาคุยกัน ความมั่นใจในชัยชนะของพวกเขาก็ยิ่งน้อยลง คิ้วของเขาย่นด้วยความตึงเครียด พวกเขายังคงคุยกันต่อไปเป็นเวลานาน และในที่สุดก็เงียบลง และมองหน้ากันด้วยความท้อใจ ไม่สามารถที่จะหาทางออกได้


“ ดูเหมือนว่ามันยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก ข้าขอกลับบ้านไปนอนก่อนได้ไหม ? ”


จวินโม่เซี่ยหยอกล้อพวกเขา


“ เหตุใดเจ้าถึงยิ่งทะนงยิ่งนัก ? ข้ากำลังจะบอกเจ้า …. ”


หมีใหญ่อ้าปากขึ้นมาเพื่อสาปแช่งอย่างขุนเคือง แต่ก็ไม่สามารถที่จะหาคำด่าได้ เขาพยายามอยู่ห้า หรือหกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถที่จะหาคำด่าที่ถูกต้องได้เลย


“ แล้วยังไงต่อ ? ”


จวินโม่เซี่ยตัดสินใจที่จะกดดันพวกเขา


“ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเจ้ามามาก … เจ้าลูกเมียน้อย ! ”


หมีใหญ่เดือดดาลโดยไม่มีความอับอาย


“ … รีบไปใหน หืออ ? ต้องให้พวกเราเตือนไหม ว่าอากับกริยาของเจ้านั้นไม่สูงส่งเอาเสียเลย ! ”


ใบหน้าของจวินโม่เซี่ยนิ่งไปในทันที


เจ้าเรียกข้าว่าลูกเมียน้อย ?


โชคดีที่จวินโม่เซี่ยได้ยินประโยคถัดมาก่อนที่เขาจะเดินไปเพื่อหากวัตถุดิบมาทำซุปอุ้งเท้าหมี


“ มันต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใหร่ ? ข้าคิดว่ามันจะนานเกินไปแล้ว ! เจ้าอาจจะมีเวลาของทั้งโลก แต่ข้าก็มีหลายอย่างที่ต้องไปทำ ! ”


ทันใดนนั้นจวินโม่เซี่ยก็เริ่มพูดเสียงดัง


“ เร็วเข้า ! ”


“ ข้าบอกเจ้าไปแล้ว … ”


หมีใหญ่อ้าปากเพื่อด่าทอจวินโม่เซี่ยอีกครั้ง เนื่องจากเขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป แต่ทั้นใดนั้นพวกเขาก็ต้องสะดุ้งโหยง วันใดนนั้นก็มีวงแหวนรัศมีปรากฏขึ้นในหัวของเขา และเขาคำรามออกมาเสียงดัง


“ … ข้าจะฉี่ ! ”


ห๊ะ ?


คำพูดสุดท้ายที่จวินโม่เซี่ยได้ยินซึ่งดังราวกับเสียงฟ้าผ่า และทำให้เขาแทบล้มลงไปกับพื้น เขามองไปยังร่างที่ใหญ่และกำยำของชายที่อยู่ตรงหน้าของเขา ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมเครื่องมือสังหารนี้ถึงพุดว่า ฉี่


เหตุใดอยู่ดีๆเจ้านี่ถึงพูดราวกับเด้กอายุสามขวบ ?


ในตอนนี้ จวินโม่เซี่ยอดที่จะสงสัยว่าที่เขาได้ยินนั้นถูกต้อง


กระเรียนขายาวสะดุ้งตกใจชั่วครู่ จากนั้นดวงตาของเขาก็กรอกไปมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่ตาดำของเขาขยายใหญ่ขึ้น …


“ เจ้าบอกข้าว่า … เจ้าจะ … ฉี่ ? ”


จวินโม่เซี่ยทวนประโยคนั้น แต่เขาถลึงตาอย่างสงสัยไปยังฝ่ายตรงข้าม และดูเหมือนว่าสมองของเขาจะไม่เชื่อในสิ่งที่หูได้ยิน


“ ถูกแล้ว พวกเราจะฉี ! ”


ภาษากายของหมีใหญ่นั้นแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจมากนับตั้งแต่การที่เขาพูดเรื่องนี้ครั้งแรก และดูเหมือนว่าภาระหนักที่พวกเขาแบกไว้ก่อนหน้านี้จะหายไป


“ ข้าจะท้าเจ้าแข่งฉี่ ! เป็นไงละ ? นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องการในรอบที่สอง เจ้าจะยอมรับไหมว่าเจ้าแพ้ ? ”


“ แข่งฉี่ ? เจ้าจะตัดสินผู้ชนะอย่างไร ?  คนที่ฉี่สูง ..ไกล … หรือฉีมากกว่า …… ”


จวินโม่เซี่ยเกือบจะหาคำพูดมาไม่ถูก และดูเหมือนว่าดวงตาของเขาจะหมุนไปมาเป็นวงกลมแล้วในตอนนี้


สัตว์เชวียนอันดับหนึ่งท้าประลองฉี่กับข้า ? มันจะไม่แปลกอะไรหากพวกเขามีอายุสามปี แต่แต่คนทั่วไปเขาไม่ทำเช่นนี้กันแล้วหลังจาดอายุสามปี … ไม่มีผู้ใดทำเช่นนี้นหลังจากที่พวกเขาโตขึ้น !


ผู้ใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าของจวินโม่เซี่ย และบอกให้เขาเอาอันนั้นออกมาต่อหน้าทุกคน และใช้ใช่มันเพื่อฉี่ …. สัตว์เชวียนนี้รู้ความหมายของคำว่าอับหายไหม ?


อะไรกันนี่ ! ดูเหมือนว่าจวินโม่เซี่ยจะประเมินความไร้ยางอายของคนที่สามารถแสดงออกมาได้น้อยไป และทำให้มันแย่ลง คนเหล่านี้มิใช่คน … พวกเขาเป็นสัตว์ !


“ ไม่สูง ไม่ไกล สิ่งเหล่านั้นสำหรับเด็ก แต่พวกเราเป็นยอดฝีมือ ดังนั้นเราจึงจะไม่เล่นเกมส์เด็กๆ ”


หมีใหญ่คำรามสองครั้งเพื่อเครียกล่องคอหอย แต่ใบหน้าของเขานั้นก็เริ่มแดงด้วยความอับอาย และตอนนี้เขาพยายามที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง 


 พวกเราไม่สามารถที่จะแพ้ชายผู้นี้ได้ หากเขาขอให้เราทำงานให้เขาหนึ่งงาน แล้ว ใครจะรู้ว่างานนั้นคืออะไร ?


แน่นอนว่าเขามีพลังเวทย์บางอย่าง ดังนั้นงานของเขาจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดาย !


แม่งเอ้ยแต่กระนั้นก็ไม่มีคนมากมายที่ต้องมาเห็นความไร้ยางอายของข้า แล้วข้าจะต้องไปกังวลอะไร ? ตราบใดที่ชนะในการประลองนี้ อย่างน้อยพวกเราก็จะไม่ต้องทำงานนี้ !


“ เจ้าได้ทำในสิ่งที่พวกเราไม่สามารถทำได้ และพวกเราก็ได้ยอมรับในความพ่ายแพ้แล้ว ”


หมีใหญ่พยายามดึงสีหน้าต่อไป เพราะเขากลัวว่าหากเขาผ่อนคลายลงมันจะทำให้ทุกคนเห็นความอับอายของเขา


“ ตอนนี้เราจะทำท่าทาง และตราบใดที่เจ้าเลียบแบบข้าได้ พวกเราจะแพ้อีกครั้ง หากเจ้าทำไม่ได้ เจ้าก็จะแพ้ ! ”


“ ทำท่าในขณะที่ … ฉี่ ? ”


จวินโม่เซี่ยหรี่ตา 


 มันมีอะไรพิเศษหรือ ? นี่เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาตั้งแต่ตอนที่เราเกิด ตอนนี้เราโตขึ้นแล้ว พวกเราสามารถฉี่ได้โดยใช้มือสองข้าง มือข้างเดียว และหากเราเอามือไปไว้ข้างหลัง เราก็จะยังสามารถฉี่ได้อย่าอิสระ มั่นลง และไหลลื่น เราสามารถนอนและฉี่ เราสามารถบิดเอวไปรอบๆได้ และเราสามารถที่จะฉี่ในตอนที่เรากระโดดขึ้นลงได้ หึ เรายังสามารถวิ่งไปในขณะที่เรา … และสร้างวงกลอบบนพื้นได้ และอื่นๆมากมาย … ไม่เห็นจะมีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว …


เอ๋ ในกรณี่ที่เรานั่งฉี่ยองๆ หากตามหลักเหตุผลที่เป็นไปได้ทิศทางของมันจะขึ้นมาและเข้าไปสู่ … นั่นคือสิ่งที่เจ้าจะทำหรือ ? เพราะว่าข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ !


“ แน่นอน ท่าทางในขณะที่ฉี่ ! เจ้าคิดว่าข้าจะพูดอะไรหรือ ? ”


หมีใหญ่อ้าปากและรีบมาที่ด้านหลังของจวินโม่เซี่ย


“ เมื่อเจ้าเป็นผู้ท้าชิ่ง ข้าจะเริ่มก่อน ! ”


จวินโม่เซี่ยอดทนดูมันไม่ได้ และเขาก็หลับตา 


 มันเกิดอะไรขึ้น ? ข้าต้องมาดูเขาฉี่จริงๆหรือ ? เขาคิดอะไรอยู่ … เขาคิดว่าดอกไม้ที่สวยงามจะเริ่มเบ่งบานขึ้นในเมืองเทียนเชียงหลังจากที่เขาฉี่ที่นี่ หรือ ….


ในตอนที่เขากำลังประหลาดใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นคืออะไร มีใหญ่อ้าปากและหายใจออก และจากนั้นเขากระทืบเท้าอันกำยำของเขาลงไปที่พื้นและจากนั้นร่างอันกำยำของเขาก็ล่อยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสง่างาม ! ความเร็วและความคล่องแคล่วของเขานั้นมีค่าเท่ากับเทพเชวียน !


“ ฝีมือดี ! ”


จวินโม่เซี่ยยกย่องเบาๆกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาก็มองออกไปด้วยความสับสน 


 คนผู้นี้บอกว่าเขาจะฉี่มิใช่หรือ ? หรือเขาจะฉี่จากตรงนั้น ?


ในขณะที่เขากำลังจะประกาศความสงสัยของเขาออกมา …


หมีใหญ่ก็อ้าปากและยิงฟัน ขณะที่มองของเขาแก้มัดที่เอวอย่างรวดเร็ว ในขระที่ร่างของเขายังคงลอยสูงขึ้นไปในอากาศ จากนั้น เขาก็เอามือเสียบเข้าไปในกางเกงอย่างรวดเร็ว และดึงเอา อวัยวะของเขาออกมา ยักไหล่หนึ่งครั้ง สูดหายใจเข้าเต็มปอด และจากนั้น ออกแรงด้วยกำลังของเขาทั้งหมด ฮึ และพ่นน้ำออกมาเป็นสายระยับระยับราวกับน้ำที่เชวียวกราด ที่ให้เกิดเสียง ฉี ฉี ขึ้นขณะที่พวกมันหลังไหลออกไปจากร่างกายของเขา


จวินโม่เซี่ยตกตะลึงด้วยกลิ่นที่รุนแรง และรู้สึกราวกับว่าเขาจะหน้ามืดไปได้ในทุกนาที …


อีกด้านหนึ่ง กระเรียนขายาวปิดหน้าของตัวเองทั้นทีด้วยความอับอาย …


ร่างที่สูงและกำยำของหมีใหญ่นั้นยังคงตั้งตรงอยู่บนท้องฟ้า ในขณะที่สายตาของเขาเพ่งมองตรงไปยังเส้นขอบฟ้า เขาใช้หน้าอกออกแรงมากขึ้น และใช้สองมือจับอาวุธของเขาให้มั่นคง และค่อยๆหมุนตัวไปรอบๆ ทำให้สายน้ำนั้นพุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง …


ฉี่ของเขากระจายไปทั่วทุกทิศทางด้วยความแรงที่เท่ากัน และสร้างให้เกิดรอยในระยะที่เท่ากัน …


เสื้อผ้าของหมีใหญ่กระพือไปในอากาศ … อย่าสวยงาม … ปิดบังส่วนที่อนาจารของเขาไว้ แต่ส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็คงงดงาม …


แม้ว่าร่างของเขาจะค่อยๆร่วงลงมาช้าๆ แต่ความเร็วนั้นน้อยนิดมาก


สุดท้ายแล้ว ความแรงของฉี่นั้นก็เริ่มลดลง และจากนั้นมันก็แห้งเหือดไป หมีใหญ่สบัติอาวุธของเขาสองครั้งในอากาศ และมือของเขา … ก็เก็บอาวุธของเขากลับเข้าไปในกางเกงอย่างรวดเร็ว จากนั้น เขาจึงรัดสายเข็มขัดเข้าไปเหมือนเดิม


หลังจากที่เขาแสดงเสร็จแล้ว หมีใหญ่ก็เหาะลงมาที่พื้นอย่างนุ่มนวล และยิ้มพร้อมพยักหน้าตรงไปทางจวินโม่เซี่ย


“ ข้ายังไม่ได้ดื่มอะไรมาเลย ”


ดุเหมือนว่า หมีใหญ่จะรู้สึกเศร้าใจที่เขาไม่ได้ทำการแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบ


จวินโม่เซี่ยไม่รู้ว่าเขาจะร้องไห้หรือหัวเราะดี !


ทันใดนั้นเขาก็จำอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนของเขาดี เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไปบนแท่นของตำรวจจราจร ตรงทางแยกที่มีการจารจรคับคั่ง และจากนั้นก็พ่นน้ำออกไปทั่วทุกทิศทางโดยไม่ควบคุม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเตือนอยู่ซ้ำๆ แต่จวินโม่เซี่ยก็ไม่คาดว่าจะมีใครที่จะสามารถทำดั่งเช่นชายคนนี้ได้ ! เห็นได้ชัดว่ามันเป็นงานที่ยากจะรับมือ !


จวินโม่เซี่ยกลัวที่จะเลียนแบบการกระทำนี้ !


หมีใหญ่รัดเข็มขัดของเขาให้แน่นขึ้น และกล่าวขึ้นมาอย่างมีชัย


“ หนุ่มน้อย ข้าทำให้เจ้าเห็นแล้ว ตอนนี้เป็นตาของเจ้าแล้ว ! ”


จวินโม่เซี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่นาน และเพ่งมองไปยังใบหน้าที่เข้มแข็งราวเทพชเวียนของสัตว์เชวียนนี้อย่างต่อเนื่อง จากนั้นเขาจึงพยักหน้า ถอนหายใจ และพูด


“ ข้ายอมรับ ข้าแพ้ ! ”

 

 

 


ตอนที่ 194

 

“ ข้าไม่ได้จะอวดดีนะ แต่นี่มิใช่ที่เด็กๆเล่นกัน ”


หมีใหญ่โอ้อวด


“ ข้ายอมรับ นั่นมันยอดเยี่ยมจริงๆข้าเชื่อและยอมรับในความพ่ายแพ้นี้  ! ”


จวินโม่เซี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ


จวินโม่เซี่ยยอมรับว่าเขาไม่มีทางเลือก จวินโม่เซี่ยนั้นเป็นคนที่ไร้ยางอายในระดับหนึ่ง แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้


นอกจากการไร้ยางอายแล้ว การแสดงของหมีใหญ่นั้นยังยากเกินกว่าคนธรรมดาอีกด้วย


หากเป็นการกระโดดขึ้นไปสูงในอากาศ และฉี่นั้น คนบางคนสามารถที่จะทำมันได้ด้วยการฝึกฝน แต่การฉี่ในขณะที่รักษาตำแหน่งของตัวเองไปด้วยนั้น … แม้แต่ยุ่นเบ้ยเฉินก็ไม่อาจทำได้


มันเป็นการกระทำปกติที่จะรักษาระดับความสูงไว้ในอากาศได้ คนจะต้องใช้ปราณเชวียนลอบรอบตัวเองไว้ และโดยการกระทำเช่นนั้น ร่างกายของคนจะแข็งเกร็งขึ้นโดยไม่ได้สนใจว่าความแข็งแกร่งในระดับปกติของเขาเป็นเช่นไร


แม้ว่ามันจะไม่ยากที่จะหมุนตัวอยู่ในอากาศ แต่คนจำเป็นจะต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อในร่างกายทุกส่วนในเวลาที่ฉี่ … ซึ่งมันทำให้การกระทำเช่นนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะเมื่อคนผ่อนคลายกล้ามเนื้อ คนผู้นั้นจะเริ่มร่วงลงมาที่พื้น !


คนที่มาเห็นคงจะถาม 


 หมีใหญ่ทำแบบนี้ได้อย่างไรกันในเมื่อยุ่นเบ้ยเฉินก็ยังทำไม่ได้ ? นั่นหมายความว่าหมีใหญ่แข็งแกร่งกว่ายุ่นเบ้ยเฉินใช่ไหม ?


ความสามารถนี้ไม่ได้ทำได้โดยความแข็งแกร่งแต่กำเนิดของหมีใหญ่ !


เรื่องนี้เป็นความแตกต่างของมนุษย์และสัตว์เชวียน สัตว์ที่ทรงพลังเช่น หมีใหญ่และกระเรียนขายาวนั้นจะมีความสามารถหรือฝีมือที่พิเศษ ที่เรียกว่า สภาวะหยุดนิ่ง !


สัตว์เชวียนสามารถใช้ความสามาถนี้ได้อย่างอิสระบนท้องฟ้า ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องใช้ปราณเชวียน ในทางตรงกันข้าม คนจะต้องใช้ปราณเชวียนในการทำเช่นเดียวกันนี้ ดังนั้น นี่คือความน่าสนใจ สัตว์เชวียนนั้นดีเลิศกว่ามนุษย์โดยไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น หมีใหญ่นั้นแข็งแกร่งที่สุดในสายพันธ์เดียวกับเขา …


ในความจริง หมีใหญ่นั้นไม่เพียงแต่หนุ่มกว่าพี่ของเขา เขานั้นยังอ่อนแอกว่าด้วย แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเอาชนะเช่นนี้ กระเรียนขายาวก็ไม่เลือกที่จะทำอะไรไร้ยางอายในที่สาธารณะเช่นนี้ ซึ่งเป็นเหตุที่หมีใหญ่กล้าที่จะวิ่งเข้าใส่งานนี้ และอาสาที่จะทำมัน


แน่นอน ความหน้าด้านของหมีนั้นทำให้เขามีบทบาทมากในการกระทำเช่นนี้ แต่มันก็ยังทำให้เขาได้แต้มขึ้นมา และทำให้มีโอกาสที่จะสามารถชนะได้แบบห้าสิบห้าสิบ


กระเรียนขายาวยืนอยู่ด้านหลังของจวินโม่เซี่ย ไหล่ของเขาตกลงไป และดูเหมือนว่าเขาไม่มีความกล้าแม้แต่จะยืน และมองไปยังดวงตาของจวอนโม่เวี่ย


ข้าอยากจะตาย !


จะต้องไม่มีเรื่อน่าอับอายขนาดนี้สำหรับสัตว์ในป่าเถียนฟาอีกแล้ว พวกเราได้ใช้วิธีที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกคะแนน … ต้องขอบคุณที่มีคนเพียงสามคนที่นี่ .. หากเขาบอกกับโลกถึงการแสดงของน้องสี่ของข้า แม่งเอ้ย ข้าจะอธิบายมันแก่เขาได้อย่างไรว่าเขาจะต้องไปบอกกับโลกถึงวิธีที่เขาได้มาซึ่งชัยชนะของพวกเราในรอบนี้ …


“ พี่กะเรียน ยินดีด้วย การแสดงของน้องสี่ของเจ้านั้นน่าอัศจรรย์ และข้ายอมรับในความพ่ายแพ้ ”


จวินโม่เซี่ยเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระเรียนขายาวนั้นไม่ได้ไร้ยางอายดั่งเช่นน้องชายของเขา และตัดสินใจที่จะแกล้งหยอกเขา เห็นได้ชัดว่าจวินโม่เซี่ยพยายามกระตุ้นความเศร้าหมองของเขาด้วยการทำเช่นนี้


“ หลังจากชัยชนะที่รุ่งโรจน์นี้ ข้าคิดว่ามันคงจะดีที่สุดหากผู้ชนะในรอบที่สองตัดสินใจเลือก รูปแบบการแข่งขันในรอบสุดท้าย ดังนั้นท่านพี่กระเรียน โปรดเลือกวิธีการแข่งขันในรอบต่อไป ”


กระเรียนขายาวกระแอมสองครั้งเพื่อปิดบังความอับอายของเขา จากนั้นเพ่งมองหมีใหญ่อย่างดุร้ายก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับจวินโม่เซี่ย เปิดเผยเพียงแค่ความอับอายบนใบหน้าของเขา และจากนั้นก็ฝืนยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“ ขอบคุณที่เฟิง ท่านช่างมีความอดทนอย่างมาก … และขอบคุณที่ให้พวกเราตัดสินใจในการแข่งขันรอบต่อไป … ”


“ มันต้องเป็นเช่นนั้นท่านพี่ นี่เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่แท้จริงสำหรับข้า และข้าเคารพในความพ่ายแพ้ ” 


จวินโม่เซี่ยใช้คำว่า ประสบการณ์การเรียนรู้ที่แท้จริง ในความจริงมันดูเหมือนว่าเขาจะกัดริมฝีปากอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าหมีใหญ่หรือพี่ของเขา และแม้ว่าจวินโม่เซี่ยจะรู้ว่าหมีใหญ่นั้นโกงเขาในรอบนี้ เขาก็มิได้โต้แย้งเพราะเขารู้ว่าเขาก้ทำเช่นเดียวกันนี้ในรอบก่อนหน้า …


เขาเพิ่งจะเอาคืน !


อีกด้านหนึ่งกระเรียนขายาวนั้นเป็นคนที่ทะนงและถือตัวด้วยศักศรีอยู่เสมอ เขายอมที่จะให้ตัวเองแพ้การแข่งขัน แต่จะไม่ยอมใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรมในการได้มาซึ่งชัยชนะ อย่างไรก็ตาม น้องชายที่ใจร้อยและไร้ยางอายของเขาได้ทำในส่ิงที่เขาเสียใจที่สุดในโลกไปแล้ว ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ภายใน อย่างแรก เขารู้สึกแย่ที่จะใช้วิธีเช่นนั้นในการได้ชัยชนะ และอย่างที่สอง เขารู้สึกเสียใจกับฝ่ายตรงข้ามของเขา และอย่างที่สาม เขาต้องทำให้เรื่องนี้เป็นความลับ


และจากนั้น จวินโม่เซี่ยจึงเสนอให้เขาเป็นผู้เลือกวิธีการแข่งขันในรอบที่สามมันทำให้เขารู้สึกต่ำต้อย


ยิ่งเขาคิด เขายิ่งรู้สึกละอายใจ ยิ่งไปกว่านั้น ในความจริงที่ว่าจวินโม่เซี่ยตัดสินใจที่จะยอมรับโดยไม่ได้พยายาม มันทำให้เขาแย่ลง ความจริงแล้ว เขาเริ่มโอนเอนใจให้จวินโม่เซี่ยแล้วในตอนนี้ …


“ ขอบคุณท่านพี่ … ต่อไป … ต่อไป …. ”


กระเรียนขายาวยืดตัวตรงเป็นเวลานาน แต่เขาก็ยังไม่สามารถเลือกได้ ฝ่ายตรงข้ามของเขานั้นทำให้เขาปวดหัวจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น การวางตัวที่สูงส่งของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ภายใน นอกจากนี้ หัวใจของเขาก็แบกรับความรู้สึกที่อ่อนล้า ที่ว่าอีกฝ่ายสามารถเลียนแบบการกระทำทุกอย่างที่เขาคิดได้


กระเรียนขายาวไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มาเป็นเวลานาน ความจริงแล้ว นี่เป็นครั้งที่สองที่เขารู้สึกเช่นนี้ในชีวิต ! ครั้งแรกคือตอนที่เขาได้เผชิหน้ากับ ยุนเบ้ยเฉิน !


แม้ความคิดนี้จะอยู่ในหัวของเขา และความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมในหัวใจ


หรือคนผู้นี้มีอำนาจเทียบเท่ากับยุนเบ้ยเฉิน ?


หมีใหญ่ลูบไปที่เสื้อของพี่ และเอามือป้องปากและพูด


“ พี่สาม เจ้ายังไม่ได้คิดถึงมันใช่ไหม ? มันง่ายมาก ! ”


กระเรียนขายาวเพ่งมองกลับไปที่เขาเพียงแค่จะไม่ต้องการให้ความบันเทิงแก่เขาอีกต่อไป


“ แล้ว เจ้าคิดอะไรหรือเปล่า ? ”


จวินโม่เซี่ยมองไปที่พวกเขา


“ ใช่ ”


หมีใหญ่อ้าปากของเขาอีกครั้ง


“ สิ่งต่อไปเกี่ยวกับฉี่ เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง ? ”


เอ๋ ! คนผู้นี้ไร้ยางอายโดยไม่มีขีดจำกันเลยหรือ ?


คำพูดของเขาทำให้ จวินโม่เซี่ยและกระเรียนขายาวลังเล


 ไม่มีความอับอายเลยหรือ ? เขานั้นไร้ยางอายเยี่ยงสัตว์ ! ไม่ แม้แต่จะเรียกว่าสัตว์นั้นยังไม่เพียงพอสำหรับเขา … ไม่มีคำใหนที่จะสามารถบอกถึงความน่ารังเกียจของชายผู้นี้ได้ … !


“ เจ้ายังไม่อับอายจนอยากตายอีกหรือ ?! ”


กระเรียนขายาวเริ่มทำร้ายร่างกายน้องของเขา และจากนั้นก็เตะไปที่ก้นของเขายชายด้วยความโกรธ


“ เจ้าไปยืนอยู่ตรงนู้น ! หากเจ้าไม่มีความอับอายเลยสักนิด แต่พี่สามของเจ้ามี ! ”


หมีใหญ่ทำหน้ามุ่ยขณะที่เขาลูบก้นของตัวเอง พร้อมกับรู้สึกผิด


“ พี่สาม เจ้าด่าข้าต้องหน้าคนอื่น มันไม่ทำให้ข้าต้องอับอายหรอกหรือ ? ข้าไม่มีความภาคผู้ใจเลยหรือ ? หากเจ้าต้องการจะเตะข้าจริงๆ เจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้เป็นการส่วนตัว … นี่ไม่ถูกต้อง …. ”


“ หึ ! ความอับอายอะไรที่เจ้ากำลังพูด ? เจ้าทำให้ตัวเองน่าอับอายมานานแล้ว ! ”


กระเรียนขายาวยังคงทำร้ายน้องของเขาต่อไปด้วยความไม่พอใจเนื่องจากน้องของเขาไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ และเริ่มจะโมโหแล้วในตอนนี้


“ ไปอยู่ตรงนู้นซะ และอย่าได้อ้าปากของเจ้าอีก ! ”


“ เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่สามารถคิดอะไรได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น ข้าจึงต้องคิดขึ้นมา และทำให้พวกเราชนะ และเจ้ายังจะมาบอกให้ข้าหุบ … ”


หมีใหญ่บ่นกับตัวเองขณะที่เขาเดินไปด้านข้างด้วยความไม่พอใจ


“ ตามจริง ข้าไม่คิดว่าข้ามีปัญหาอะไรกับคำแนะนำของพี่สี่เลยแม้แต่น้อย ในความจริงแล้ว มันจะเป็นไปตามข้อตกลงของพวกเราในกรณีที่พี่สี่จะปฏิบัติสิ่งเดียวกันมากกว่า หนึ่งครั้ง ”


ใบหน้าของจวินโม่เซี่ยเผยถึงรอยยิ้มที่แปลกประหลาดในทันที


“ เอ๋ ? ”


กระเรียนขายาวไม่คาดว่าเขาจะอุทานออกมาเสียงดัง


“ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่แพ้หากข้าทำมันอีกครั้ง ? ”


หมีใหญ่อ้าปากของเขาอีกครั้ง


“ เด็กน้อย เจ้าอย่างคิดว่าหาหมีใหญ่ฉี่ไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาจะไม่สามารถทำมันได้อีก ข้านั้นมีสะสมไว้เยอะ ดังนั้นข้าสามารถทำได้มากกว่าหนึ่งครั้งโดยไม่มีปัญหาอะไร …. ”


หมีใหญ่ต้องการที่จะพูดต่อ แต่คำพูดของ้ขาก็หมดไปเนื่องจากการเพ่งมองด้วยความโกรธของกระเรียนขายาว และเขายอมที่จะบ่นกับตัวเอง


“ ข้าเพียงแค่พูดถึงความดีของเขา … เขาคิดว่าเขานั้นฉลาด ข้าแค่อยากจะเตือนเขาว่า พวกเรามีดีกว่านั้น …. ”


“ ข้าไม่คลางแคลงใจในคำพูดของพี่สาม แต่หากเราทำอย่างเดียวกันกับรอบที่แล้ว มันจะไม่น่าเบื่อไปหรือ ? ดังนั้น ข้าคิดว่าเราควรจะเปลี่ยนมันสักเล็กน้อย คิดว่าอย่างไร ?! ”


กระเรียนขายาวคิดและพูด


“ ข้าอยากจะฟังรายละเอียด ! ”


จวินโม่เซี่ยยิ้ม


“ มันง่ายมาก พี่สามพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถฉี่บนท้องฟ้าได้ ซึ่งหมายความว่ามันง่ายมากสำหรับเขาหากจะฉี่บนพื้น และบนท้องฟ้า ดังนั้น จะเป็นอย่างไรหากเราจะปรับเปลี่ยนมนสักหน่อยและเราไปฉี่มันใต้ดินแทนในครั้งนี้ ? ”


“ ฉี่ใต้ดิน ? ”


หมีใหญ่อ้าปากอีกครั้ง


“ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ? คนจะหายใจไม่ออกในขณะที่เขาอยู่ใต้ดิน และแล้วเจ้าจะระบายมันออกมาได้อย่างไรเมื่อมีดินและหินล้อมรอบตัวเจ้าอยู่ ? แม้ว่าเจ้าจะโชคดีมากพอที่จะหาที่ที่ถูกต้อง แล้วเจ้าจะขยับตัวได้อย่างไรที่ใต้ดินนั้น ? ”


“ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? …. เจ้าจะบอกหรือว่าเจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ? ”


จวินโม่เซี่ยยิ้ม


“ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้น ”


พวกเขาทั้งคู่พยักหน้าพร้อมๆกัน


“ มันง่ายบนท้องฟ้าเนื่องจากมันว่าเปล่า แต่ใต้ดินนั้น … มันเป็นไปไม่ได้เลย เจ้าทำได้หรือ ? ”


“ เจ้าจะว่าอะไรหากว่าข้าสามารถทำได้ ? ”


จวินโม่เซี่ยฮึมฮัมยั่วยุ 


 ข้าให้เจ้าโกงข้ามาแล้ว แต่ตอนนี้เป็นตาของข้าบ้าง !


“ ถ้าเช่นนั้น เราจะยอมรับความพ่ายแพ้ของพวกเรา ! ”


พวกเขามองหน้ากันและยิ้ม 


 นี่มันเป็นสิ่งที่ดีกับพวกเรา ฮืมม ฮืมม ดูเหมือนว่าเขาจะเอาคืนจากการที่เขาแพ้ในการทำเช่นนี้บนท้องฟ้าโดยที่ทำใต้ดินแทน แต่ แม้แต่พวกเรายังไม่สามารถทำได้ แล้วเขาจะทำได้อย่างไร ? ชายผู้นี้ช่างน่าสมเพช … แม้ว่าเจ้าจะสามารถเข้าไปใต้ดินได้ เจ้าก็ยังคงต้องผ่อนคลาย พยายาม และค้นหามันด้วยตัวเองเด็กน้อย ! อย่างไรก็ดี ก็ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่พยายามทดสองการกระทำนี้ … มันจะสนุกที่ได้ดูเขาล้มเหลว ….


เนื่องจากพวกเขาทั้งสองรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มั่นใจที่จะทำสิ่งนี้ได้ พวกเขาทั้งคู่จึงพยักหน้าและเห็นด้วยว่าการกระทำนี้จะกลายเป็นการท้าทายในรอบที่สามโดยที่พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันเลย ….


“ ข้าจะเริ่มก่อน ! ”


จวินโม่เซี่ยยกมือขึ้น และพวกเขาทั้งสองก็รู้สึกถึงปราณที่รุนแรงในอากาศซึ่งพวกเขาปราถนาที่จะได้มันมา พวกเขาไม่สามารถที่จะห้ามตัวเองไม่ให้สูดกลิ่นที่หอมหวานนี้เข้าไปได้ในขณะที่พวกเขาเลียริมฝีปาก พร้อมกับหัวใจที่ปราถนาที่จะดูดกลืนมันเข้าไปให้หมด

 

 

 


ตอนที่ 195

 

จวินโม่เซี่ยมองไปยังพวกเขาทั้งสองในขณะที่เท้าของเขาค่อยๆจมลงไปในดินอย่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่สงบและท่าทางที่ผ่อนคลาย


ในตอนนั้น ร่างของจวินโม่เซี่ยส่วนหนึ่งก็จมลงไปในดินโดยที่มีเพียงหน้าอกและหัวของเขาที่ยังคงอยู่เหนือพื้น ดินและน้ำที่อยู่บนพื้นนั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม


จวินโม่เซี่ยยิ้มอีกครั้ง และจากนั้นจึงมีสายน้ำพุ่งออกมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว …


ใบหน้าของสัตว์เชวียนทั้งสองนั้นเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ประหลาดใจ และพิศวง พวกเขาเอามืออุดจมูกในทันทีในขณะเดียวกันที่พวกเขากระโดดนออกไปด้านข้างเพื่อไม่ให้เสื้อผ้าของพวกเขาเปอะเปื้อนไปด้วยฉี่ของจวินโม่เซี่ย แววตาที่ตกตะลึงของพวกเขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจน 


 เขาทำมันจริงๆ ! เห็นได้ชัดว่ามันคือฉี่ของชายผู้นี้ .. ไม่มีการหลอกลวงอย่างแน่นอน !


จวินโม่เซี่ยดึงตัวขึ้นมาหลังจากที่เขาฉี่จนหมด และถาม


“ ตอนนี้เจ้าว่าอย่างไร ? ”


พวกเขามองหน้ากันอย่างสิ้นหวังและพูด


“ เจ้าทำอย่างที่เจ้าพูด และพวกเรายอมรับความพ่ายแพ้ ! ”


จวินโม่เซี่ยโล่งใจมากที่ได้ยินคำพูดนั้น 


 สุดท้ายแล้วข้าก็ชนะ !


อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามของเขาก็มีความคิดเดียวกัน แต่เป็นประโยคที่ต่างออกไป 


 ใช่ ! สุดท้ายพวกเราก็แพ้ !


แม้ว่าผู้ชนะจะถูกบังคับให้ได้รับความยากลำบาก ผู้แพ้ก็ยังคงหวังที่ที่จะไม่เสียเดิมพัน ซึ่งมันยากที่จะได้มา


“ แน่นอน เจ้าต้องการให้พวกเราทำอะไร ? ”


กระเรียนขายาวขมวดคิ้วขณะที่เขาพูด


“ แม้ว่าเราจะทำเพื่อเป็นเกียรติของเดิมพันนี้ แต่ข้าขอเตือนความจำเจ้าว่าเจ้านั้นสามารถให้พวกเราทำงานได้เพียงแค่งานเดียวเท่านั้น ! อีกทั้ง เจ้าจะต้องไม่กลับคำสัญญาของเจ้า ! พวกเราไม่ยอมรับคำแก้ตัวในการกลับคำสัญญาของเจ้า ! ”


“ จริงๆแล้ว ตราบใดที่เจ้าทำงานให้ข้าเสร็จข้าก็จะให้ในสิ่งที่ข้าสัญญา ”


จวินโม่เซี่ยยิ้มขณะที่เขายื่นมือออกไปยังกระเรียนขายาว


กระเรียนขายาวมองไปยังจวินโม่เวี่ยอย่างสับสน แต่จากนั้นเขาค่อยๆยื่นมือออกไปและจับมือกับจวินโม่เซี่ย ในตอนที่มือทั้งสองสัมผัสกัน กระเรียนขายาวสะดุ้งและทั้งร่างของเขาก็เริ่มสั่นในทันที ใบหน้าของเขาเผยถึงความประหลาดใจจนเกินจะบรรยายได้ และจากนั้นเขาจึงหลับตาและเริ่มมีความสุขกับสิ่งที่สัมผัสนี้


ปราณที่สะอาดและบริสุทธิหลั่งไหลจากมือของจวินโม่เซี่ยเข้าไปสู่มือของกระเรียนขายาว และทันใดนั้นเอง กระเรียนขายาวรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในสรวงสวรรค์ เส้นลมปราณทุกเส้น กระดูกทุกชิ้น และกล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายของเขาเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกนี้


ปราณเชวียนซึ่งหยุดไหลไปเป็นเวลานานเริ่มเคลื่อนไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในทันที และกระเรียนขายาวก็ยังคงรู้สึกได้ตราบเท่าที่ลมปราณนี้เคลื่อนไปทั่วทั้งร่างว่า เขาสามารถที่จะบรรลุผ่านไปยังขั้นต่อไปได้ย่างง่ายดาย ! กระแสหลังจากกระแสของปรารบริสุทธินี้ทำให้เขามึนเมา 


 โอ้วสวรรค์ ข้าไม่เคยรู้สึกมีชีวิตชีวาแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ! ข้าจะทำงานทุกอย่างที่เขาต้องการจนสำเร็จ …


กระเรียนขายาวที่ปกติแล้วจะสงบนิ่งและใจเย็น แต่เมื่อต้องต่อสู้กับธรรมชาติของเขา ตอนนี้ร่างของเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ! 


 ข้าไม่เคยรู้สึกถึงพลังเช่นนี้ในร่างกายมาก่อน ! แค่คิดมันก็ทำให้น้ำตาข้าอยากจะไหลออกมา … ข้าไม่สามารถบรรลุไปยังขั้นต่อไปได้เป็นเวลานานแล้ว และข้าก็มีเวลาอีกเพียงแค่สามสิบกว่าปีก่อนที่การเพาะปลูกของข้าจะลดลง … หากข้าได้พบเขาหลังจากนี้ มันอาจจะช้าเกินไปที่ข้าจะสามารถเพาะปลูกได้ …


หมีใหญ่มองไปยังพี่ของเขาด้วยความตกตะลึงจนพูดไม่ออก 


 ท่านพี่สามกำลังทำอะไร ? การจับมือของเขานั้นทำให้เขาหลงไหลขนาดนี้ได้อย่างไร ?


กระเรียนขายาวสามารถสัมผัสได้ถึงการเพาะปลูกของเขาที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นไปอย่างช้าๆ และจากนั้นปราณลึกลับก็หยุดลง ในตอนที่การเพาะปลูกของเขากำลังจะไปถึงจุดที่เขาต้องการ ! การหลุดของปราณนี้ทำให้เขาเป็นบ้าไปชั่วครู่ !


จวินโม่เซี่ยปล่อยมือทันทีและตอนนี้กำลังยิ้มให้กับเขา จวินโม่เซี่ยอ้าปากและพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง


“ เจ้าเห็นแล้วยังว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้อย่างที่ข้าได้สัญญาไว้ ? ”


ในจุดนี้ หัวใจของกระเรียนขายาวนั้นอยากจะคว้าเอามือของจวินโม่เซี่ยมา และดูดกลืนเอาปราณเข้ามาสู่ร่างกายของเขา แต่เขาก็สูดหายใจเข้าออกลึกๆอยู่สักพักเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง ในขณะที่ดวงตาของเขายังคงหลับอยู่ตลอดเวลา จากนั้นเขาจึงลืมตา และพูดขึ้นมาแต่ร่องรอยแห่งความตื่นเต้นก็ยังคงปะปนอยู่ในน้ำเสียงที่สั่นเครือของเขา


“ ใช่ ข้ารู้แล้ว ! ข้ากลัวว่าไม่มีสัตว์เชวียนตัวใดที่จะสามารถทนต่อการเย้ายวนนี้ ! สำหรับพวกเรา นี่คือความเย้ายวนที่อันตราย ! ”


หมีใหญ่ยังคงมองไปยังจวินโม่เซี่ยวด้วยความสงสัย ซึ่งเป็นเหตุให้จวินโม่เซี่ยยิ้มและยื่นมือไปที่เขา และทำให้เขาตกใจด้วยสิ่งเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หมีใหญ่ก็มิได้หลับตาดั่งเช่นที่พี่ของเขาทำ เขากลับจ้องมองไปยังจวินโม่เซี่ยราวกับว่าเป็นสิ่งที่มาจากสวรรค์ หมีใหญ่กุมอุ้งมือของเขารอบๆมือจวินโม่เวี่ย และดูราวกับเขาจะไม่ให้มันหลุดไปจากชีวิตของเขา ความจริง เขาเริ่มอ้อนวอน


“ ขอข้าอีกเถอะ … ให้ข้าอีกหน่อย เร็วเข้า เร็วเข้า ให้ข้าอีกหน่อย … ข้า … ข้าต้องการมันจริงๆ ! …. ”


สัตว์เชวียนที่มีร่างกายที่ใหญ่และบึกบึนกว่าคนสามเท่า เริ่มทำตัวเหมือนกับเด็กที่ดื้อรั้นผู้ที่จะไม่ปล่อยให้ขนมหวานของเขาหลุดมือไป ในทันที …


จวินโม่เซี่ยพยายามที่จะดึงมือของเขากลับ แต่ก็พบว่ามันติด เขาพยายามดึงแรงขึ้น แต่หมีใหญ่ก็จับมันไว้แน่นขึ้น ไม่ยอมปล่อยให้หลุดไป ในขณะที่เขายังคงอ้อนวอนมากขึ้น ทำให้จวินโม่เซี่ยเสียใจที่ได้โน้มน้าวเขามา …


“ น้องสี่ ! ”


กระเรียนขายาวตำหนิน้องของเขาอีกครั้ง


“ หยุดทำเช่นนี้ ! ทำตัวให้สมกับเกียรติของสัตว์เชวียนที่เราเป็นหน่อย ! เหตุใดเจ้าถึงต้องร้อนรนใจ ? พวกเรายังมิได้คุยกันถึงข้อกำหนดเลย ! ”


“ ข้า ข้า ข้า …. ทำไมข้าจะไม่ร้อนรนละ ? ”


หมีใหญ่มองกลับไปยังพี่ของเขา ความกระวนกระวายในใจของเขานั้นเห็นได้ชัดจากเส้นเลือดในดวงตาของเขา


“ ข้าติดอยู่ในขั้นนี้มาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว … ทุกวันที่ผ่านไปมันานนับปีสำหรับข้า … ”


“ เจ้ากลับมานี่และหุบปากซะ ! นายท่าน ต้องการให้พวกเราทำอะไร ? งานอะไรที่ท่านไม่สามารถทำได้ด้วยความสามารถเหนือธรรมชาติของท่านเอง ? ”


นกกระสาขายาวดึงน้องของเขากลับมาด้วยมือข้างเดียว และถามด้วยน้ำเสียงที่รีบเร่ง


“ แม้ว่าข้าสามารถทำงานนี้ด้วยตัวเองได้ แต่ด้วยเห็นผลบางอย่างที่ข้าไม่สามารถบอกได้ ข้าจึงทำไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่เสนอรางวัลนี้ให้แก่เจ้า … ”


จวินโม่เซี่ยเริ่มเล่าเรื่องงานของเขาอย่างไม่รีบเร่ง


“ โอ้ว ! บอกมาเร็วๆเถิด ! พวกเราสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อรางวัล ! เจ้าไม่เพียงแต่ให้พวกเราลิ้มรสพลังที่หอมหวานนี้ และเอามันไป … มันทำให้ข้าสิ้นหวังอย่างมาก ! ”


หมีใหญ่กระโดดไปรอบๆกระสาขายาวพร้อมกับความหวังที่จะเป็นอิสระจากมือของพี่ของเขาที่จับอยู่


“ ขอพวกเราได้ทุกอย่าง ! พวกเราจะทำทุกอย่างให้แก่ท่าน ! ”


“ เมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์ลี่จื้อเทียนทำให้ข้าต้องเจอกับปัญหาบางอย่าง และมันทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ ! ”


จวินโม่เซี่ยกล่าว พร้อมกับแสดงสีหน้าของเขาออกมา


“ เจ้าต้องสังหารเขา ”


“ อะไรนะ ? นี่ล้อเล่นหรือ ? ”


กระเรียนหางยาวและหมีใหญ่ร้องออกมาในเวลาเดียวกัน และทั้งคู่ก็เงียบไป


นี่เรากำลังพูดถึงผู้ทรงพลังอันดับสองของโลก ! และคนผู้นี้พูดราวกับว่ามัน ….


คนผู้นั้นแข็งแกร่งเกือบจะเทียบได้กับ ยุนเบ้ยเฉิน ! และหากพวกเราแข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารเขา แล้วทำไมพวกเราไม่สังหารยุนเบ้ยเฉินในตอนที่เราเผชิญหน้ากับเขาในตอนนั้น ?


ลี่จื้อเทียน … เขาเรียกชื่อนั้นราวกับว่าเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นเทพชเวียน …


“ ค้นหาลี่จือเทียน และสังหารเขา ! ”


จวินโม่เซี่ยทวนคำสั่ง


เจ้าคิดว่ามันจะง่ายเหมือนเชือดไก่หรือ ?! คนผู้นี้กำลังเล่นอะไรกับพวกเราหรือ ? เขาคิดว่ามันง่ายจริงๆหรือ ? ทำไมเจ้าไม่ขอให้พวกเราขึ้นไปบนฟ้า และจากนั้นก็เอาดวงจันทร์และดวงดาวมาให้เจ้า ?


ข้าคิดว่าแม้แต่พี่ใหญ่ของเรา ตัวนายท่านเองโจมตีใส่ลีจือเทียน ดีที่สุดเขาทำได้แค่ล้มลีจื้อเทียนลง ! แต่เขาไม่สามารถสังหารชายผู้นั้นได้ ! มีทางเดียวที่พวกเราจะสังหารลีจื้อเทียนได้ คือเราจะต้องสร้างสถานที่ซึ่งลี่จือเทียนไม่สามารถจะหนีออกมาได้ และเราก็โจมตีเขาพร้อมด้วยความช่วยเหลือของพี่ใหญ่ … นั่นคือทางเดียวที่เป็นไปได้ แม้ว่าเราจะสามารถสร้างข้อได้เปรียบนี้ขึ้นมาได้ แต่ข้าคิดว่าต้องมีพี่น้องของเราจนนึงต้องจบชีวิตไปพร้อมๆกับร่างของลี่จือเทียน !


เจ้าของให้พวกเราเอาชีวิตไปเสี่ยง … ไม่สิ เจ้ากำลังจะขอชีวิตพวกเรา !


“ เกิดอะไรขึ้น ? มีปัญหาอะไร บอกข้ามาสิ ”


จวินโม่เซี่ยมองไปยังพวกเขาทั้งสองและถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


“ นี่มิใช่งานที่ยาก … มันเป็นไปไม่ได้ ! ”


หมีใหญ่กลืนน้ำลายสองครั้งก่อนพูดขึ้นมา


“ เจ้าของให้พวกเราสังหารลี่จือเทียนจริงๆหรือ ? เจ้าคิดว่ามันเหมือนกับการฆ่าหมูฆ่าวัวหรือ ? หึ เพียงเจ้าพูด เขาก็ตายอย่างนั้นหรือ ?! ”


“ แล้วจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้น ? คฤหัสน์จือฮั่นเป็นปัญหาเดียวของข้าในตอนนี้ และเหตุใดข้าต้องขอให้เจ้าทำงานที่ใครๆก็ทำได้ละ ? หากงานของข้านั้นง่ายดาย เหตุใดข้าถึงต้องเอารางวัลนี้มาแลกเปลี่ยน ? ”


จวินโม่เซี่ยยกมือขึ้นมาที่ระดับหน้าอก และมองไปที่พวกเขาทั้งสองอย่างหมดหนทาง


“ ในเมื่องพวกเจ้าไม่สามารถทำงานนี้ได้ ข้าเกรงว่าสัญญานี้จะเป็นโมฆะ ค้าคิดว่าข้าคงจะต้องไปจัดการกับลีจื้อเทียนด้วยตัวเอง … มันจะต้องทำให้ข้าต้องเสียเวลาไปอีกสองสามวัน และทำให้มือข้าต้องสกปรก แต่ข้าจะทำด้วยตัวข้าเอง ข้าคิดว่า … ”


 อะไรนะ ? ยกเลิกข้อตกลง ? ไม่ เราจะปล่อยให้มันพังไปไม่ได้ … หาเจ้าไม่ได้ให้พวกเราลิ้มลองรสชาติของปราณนั้นพวกเราคงจะละทิ้งข้อตกลงนี้ แต่ตอนนี้พวกเราจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น หากหมีใหญ่ไม่กลัวต่อความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ของชายผู้นี้เขาคงจะต้องใช้กำลังแล้ว


“ เดี๋ยวก่อน ! ”


กระเรียนขายาวยกมือขึ้นและพูด


“ เจ้าบอกว่าปัญหาของเจ้าคือการโดนคฤหัสน์จือฮั่นคุกคาม มิใช่ตัวลี่จื้อเทียนใช่ไหม ? ”


กระเรียนขายาวพยายามสรุปประเด็นอีกครั้ง และทันใดนั้นเขาตื่นเต้นอีกครั้ง


สวรรค์ไม่เคยขัดขวางคนดี !


พวกเขาทั้งสองรองออกมาในเวลาเดียวกัน


พวกเราคงจะเสียใจที่ต้องเสียโอกาสนี้ไป แต่ดูเหมือนว่าพวกเราอาจจะเปลี่ยนมันให้ดีขึ้นได้


“ ข้าไม่เข้าใจคำพูดของเจ้า คฤหัสน์จือฮั่นและลีจื้อเทียนนั้นเกี่ยวข้องกันมิใช่หรือ ? นั้นทำให้พวกเขาเป็นอย่างเดียวกัน แล้วมีอะไรที่แตกต่างกันระหว่างพวกเขาทั้งสองละ ? ”


น้ำเสียงของจวินโม่เซี่ยสงบอย่างมาก ราวกับว่ามันเป็นรายละเอียดที่เขาไม่ได้สนใจ


“ ไม่ มีใช่สิ่งเดียวกัน ! ”


หมีใหญ่โพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น


“ ลีจื้อเทียนนั้นท่องเที่ยวไปอย่างไร้จุดหมาย มิได้อาศัยอยู่ในคฤหัสน์จือฮั่น ความจริงแล้ว เขาจะกลับมาแค่ปีละครั้ง ! เจ้าจะถือว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร ? งานนี้จะไม่มีปัญหาอะไรหากไม่ได้เกี่ยวข้องกับลีจื้อเทียน หากเจ้าต้องการความตายของคฤหัสน์จือฮั่น พวกเราสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ! ”


“ เป็นเช่นนั้นหรือ ? อืม … หากการสังหารลีจื้อเทียนนั้นไม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคฤหัสน์จือฮั่น ก็ไม่จำเป็นต้องสังหารลีจื้อเทียน ! ”


จวินโม่เซี่ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สับสน เขาตบหน้าผากตัวเอง


“ ข้าเกือบจะสังหารคนผิดซะแล้ว ”


พี่น้องทั้งสองมองบนด้วยความดูถูก


 เกือบจะสังหารคนผิดอย่างนั้นหรือ ? เจ้าคิดว่าเจ้าสังหารลีจื้อเทียนได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ? เจ้าเกือบจะพาชีวิตพวกเราไปทิ้งแล้ว !


“ หากเจ้าต้องการเพียงแค่ต่อกรกับคฤหัสน์จือฮั่น พวกเราสามารถรับมือกับงานของเจ้าได้อย่างง่ายดาย ”


กระเรียนขายาว ยิ้มอย่างมีความรับผิดชอบ


“ แม้ว่าคฤหัสน์จือฮั่นจะมีเทพเชวียนอยู่บ้าง แต่นั้นก็มิใช่ปัญหาของพวกเรา เช่นเดียวกับที่น้องสี่ว่า พวกเราสามรถทำมันให้เสร็จได้โดยง่าย ”

 

 

 


ตอนที่ 196

 

“ ดีแล้ว แต่ข้าจะต้องถอยออกมาก่อนนิดหน่อย ตอนนี้เป้าหมายเปลี่ยนเป็นคฤหัสน์ฉีฮั่นแทนที่จะเป็นลีจื้อเทียน และทำให้ความยากของงานนั้นลดลงเล็กน้อย ดังนั้นดูเหมือนว่ารางวัลของข้านั้นจะมากเกินไป …. ”


จวินโม่เซี่ยขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะกลับคำเนื่องจากดูเหมือนว่าเขาจะเสียมากเกินไป


“ ท่านพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนข้อตกลง คฤหัสน์ฉีฮั่นนั้นแข็งแกร่งเป็นอันดับสองของอาณาจักรนี้ ! ท่านยังคิดว่านั่นไม่มากพออีกหรือ  นี่คืองานใหญ่สำหรับคนอื่นที่มิใช่พวกเรา … ”


แม้ว่าหมีใหญ่จะตอบกลับอย่างรวดเร็ว แต่คำพูดของเขาก็ยังจริงใจ


“ อย่าคิดว่าการทำลายคฤหัสน์ฉีฮั่นนั้นเป็นงานที่ง่ายดาย … อย่างแรก การทำลายคฤหัสน์ฉีฮั่นนั้นเป็นการยั่วยุลีจือเทียน และอย่างที่สอง หากพวกเราทำลายคฤหัสน์ฉีฮั่น แล้วมันไม่ได้ทำให้ปัญหาของท่านได้รับการแก้ไข ? พวกเราทั้งสองจะต้องชดใช้ขนาดหนักเลยนะ ”


“ น้องสี่ของข้าพูดถูก แม้ว่าคฤหัสน์ฉีฮั่นนั้นจะอ่อนแอกว่าเมืองพายุหิมะขาว นั่นเป็นเพียงเพราะว่า ลีจื้อเทียนไม่ได้อยู่ที่คฤหัสน์ฉีฮั่นตลอด แต่ ฮั่นเฟิงฉีอยู่ที่เมืองพายุหิมะขาวอยู่ตลอดเวลา หากท่านเอาสองคนนี้ออกไป กองกำลังทั้งสองนั้นจะสามารถเทียบเคียงกันได้ทั้งในเรื่องของพลังและอำนาจ ”


กระเรียนขายาวพยักหน้า


“ หากเป็นเช่นนั้น เรามาลองทำแบบนี้กัน ”


จวินโม่เซี่ยย่นคิ้ว โดยที่ยังไม่ได้ติดสินใจในข้อตกลงนี้


“ อย่างไรก็ตาม มันก็ดูเหมือนว่าข้ายังคงจ่ายมากเกินไปนิดหน่อย ดังนั้นข้าจึงมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติม และหากข้าได้รับการยืนยันในคำร้องนั้น มิฉะนั้นข้าจะถือว่าข้อตกลงนี้เป็นอันยกเลิก ! ”


“ โปรดบอกสิ่งที่ท่านต้องการมา ตราบใดที่ท่านไม่ขอให้สังหารลีจื้อเทียน พวกเราจะทำงานนั้นให้สำเร็จนอกเหนือจากการทำลายคฤหัสน์จือฮั่น ! ”


เมื่อเห็นว่าจวินโม่เซี่ยไม่สนใจในข้อตกลง หมีใหญ่จึงเข้าแสดงความรับผิดชอบอย่างรวดเร็ว


“ ลีจื้อเทียนมีลูกชาย ลี่ถังหยวน เขานั้นน่ารำคาณยิ่งกว่าลีจื้อเทียน ! คนผู้นี้จะต้องได้รับบทเรียนที่ดี และหากเป็นไปได้ ข้าอยากจะสังหารเขา ! ”


จวินโม่เซี่ย เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา


“ แน่นอน ข้าอยากให้เขาเป็นหมันหรืออะไรทำนองนี้ ”


“ นั่นเป็นไปไม่ได้ ! ”


พวกเขาพูดขึ้นมาพร้อมกัน


“ ลีจื้อเทียนให้กำเนิดเด็กคนนั้นตอนอายุแปดสิบ และเขายังเป็นลูกเพียงคนเดียวของลีจื้อเทียน หากสังหารเขาหรือทำให้เขาเป็นหมัน มันเท่ากับการตัดสายเลือดของลีจื้อเทียน ข้าเกรงว่านั่นจะทำให้ลีจื้อเทียนไม่มีวันอภัยให้กับป่าเถียนฟา และพวกเราจะต้องชดใช้ด้วยสายเลือดของคนรุ่นหลัง … และนั่นเป็นอีกเรื่องที่เราไม่สามารถทำให้ได้ ! ”


กระเรียนขายาวอธิบาย


“ หากทำเช่นนี้ไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไร ? ”


ดูเหมือนว่าจวินโม่เซี่ยจะมีอารมณ์ในจุดนี้


“ อีกอย่าง หากลีจื้อเทียนสามารถมีลูกตอนอายุแปดสิบได้ ข้าก็มั่นใจว่าเขาสามารถมีอีกคนตอนอายุร้อยปีได้ ! แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงกังวลในเรื่องนี้ ? ”


“ โลกหัวเราะเยาะเมื่อเขาเป็นพ่อของเด็กตอนอายุ แปดสิบปี และหากเขาเป็นพ่อของเด็กตอนอายุร้อยปี ข้ากลัวว่าเขาจะตายไปด้วยความอับอาย ”


หมีใหญ่พยักหน้าอย่างผิดหวัง


กระเรียนขายาวเตัดสินใจด้วยไหวพริบของเขาอีกครั้ง


“ การร้องขอนี้ยากเกินไป เนื่องจากมันเป็นเหมือนกับการตัดสายเลือดของลีจื้อเทียน ! อย่างไรก็ตามหากท่านต้องการที่จะสั่งสอนลีจื้อเทียน พวกเราอาจจะสั่งสอนเขาให้สาสมในนามของท่านได้พวกเรามั่นใจว่าเขาจะต้องนอนอยู่แต่บนเตียงไปนับปีหากท่านต้องการ ว่าอย่างไรละ ?   ”


กระเรียนขายาวคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงตัดสินใจประณีประนอม และพูด


“ อย่างไรก็ตาม หากเจ้ายืนกรานว่าจะสังหารเด็กผู้นั้น ข้าเกรงว่าพวกเราอาจจะต้องถอนตัวจากงานทั้งหมดนี้ ”


“ แปดยอดปรมาจารย์นั้นเป็นแก่ตัวอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และต่างไปจากยุนเบ้ยเฉิน  คนอื่นๆดูว่าพวกเขาจะเกลียดกันเอง เว้นเสียแต่ว่ามีประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะช่วยเหลือกันแม้ในสถานการณ์ที่รุนแรง ในความจริง แม้ว่า การโจมตีคฤหัสฉีฮั่นจะทำให้มีความสงบสุขเกิดขึ้นแต่พวกเราก็ยังมีข้อจำกัด … ข้ามั่นใจว่าคนมีชื่อเสียงอย่างเจ้าสามารถแยกแยะถึงข้อจำกัดในสถานภาพของพวกเราได้ …. ”


“ หากเจ้าสามารถสร้างหายนะให้แก่คฤหัสน์ฉีฮั่น และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหักขาทั้งสองข้างของลี่ถังหยวน และมั่นใจว่าเขาจะไม่สามารถแม้แต่จะคลานได้นานนับปี ข้าจะถือว่าข้อตกลงน้ีสำเร็จผล ! ”


จวินโม่เซี่ยตัดสินใจผ่อนปรนเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในสถานการณ์นี้


กระเรียนขายาวและหมีใหญ่ถกกันถึงข้อเสนอนี้อยู่สักพัก และจากนั้นเขาตอบกลับมา


“ หากเป็นเช่นนั้น พวกเราตกลง ! ”


“ พวกเราตกลงกันแล้ว ! ”


จวินโม่เซี่ยยิ้ม และยื่นมือของเขาออกไป


“ เรามาจับมือสัญญากัน ! ”


“ แปะ ! ”


เสียงของฝ่ามือที่ประสานกันดังขึ้น แสดงถึงว่าพวกเขาเห็นด้วยกับคำสัญญานี้


ทั้งกระเรียนขายาวและหมีใหญ่ตื่นเต้นอย่างมาก 


 หากพวกเราสามารถแลกเปลี่ยนงานนี้กับการพัฒนาของพวกเราได้ มันจะเป็นข้อตกลงที่ดีของพวกเรา พวกเราได้ข้อตกลงที่ดีจริงๆ ที่เราไม่ต้องสังหารลีจื้อเทียน หรือลูกชายของเขา และพวกเราแค่ทำให้พวกเขาอ่อนแอลง และทำลายคฤหัสน์ฉีฮั่น


เมื่อคิดถึงการอยู่เป็นอิสระและสุขสบายไปอีกหลายปี รวมถึงการพัฒนาของเขาทำให้เขารู้สึกดี 


 หากพวกเราสามารถที่จะก้าวหน้าไปได้อีก ความแข็งแกร่งของพวกเราก็สามารถเปรียบได้กับพี่ใหญ่ และพวกเราก็ไม่ต้องเกรงกลัว แปดยอดอาจารย์อีกแล้ว !


จวินโม่เซี่ยปลุกปั่นหุ้นส่วนของเขา โดยการใช้พลังงานแค่เพียงเล็กน้อยจากเจดีย์หงษ์จวินแลกเปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดของกวนเซียงฮั่นได้ และเป็นการยืดช่วงเวลาของปัญหาที่เขาจะต้องเจอไปอีกอย่างน้อยครึ่งปี 


 นี่เป็นข้อตกลงที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก … ข้าเพิ่งจะโชคดี !


“ ข้าคิดว่าเวลาหนึ่งเดือนนั้นก็เพียงพอที่จะจัดการเรื่องนี้ พวกเจ้าว่าอย่างไร ? ”


จวินโม่เซี่ยรีบพูดอย่างรวดเร็ว แต่จากนั้นเขาก็ควบคุมตัวเองเนื่องจากเขารู้ว่าความตื่นเต้นของเขามันอาจจะทำให้เขาต้องเปิดเผยข้อมูลมากไป


“ นั่นมิใช่ปัญหา ! ”


กระเรียนขายาวและมีใหญ่ตอบกลับมาอย่างรีบเร่งพร้อมกับรอยยิ้ม 


 เวลาหนึ่งเดือนกับงานนนี้นั้นมากเกินพอ มันมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของพวกเรา ! ฮ่าฮ่า …


“ พี่เฟิง พวกเราจะพบท่านได้อย่างไรหลังจากที่พวกเราได้แก้ปัญหานี้แล้ว ? ”


สุดท้ายกระเรียนขายาวก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยท่าทางที่สงบและอ่อนโอย


“ เจ้าสามารถหาที่พักของสกุลจวินได้ในเมืองเทียนเชียง และอาจจะรายงานแก่จวินวูอี้คฤหัสน์ฉีฮั่นถูกรือถอนตามความต้องการแล้ว จากนั้น เจ้าก็รออีกสักพัก และข้าจะมาพบเจ้าเองตามสัญญา ! ”


จวินโม่เซี่ยสัญญาอย่างจริงจัง


ท้ายที่สุดข้าก็หางทางรับมือกับคฤหัสน์ฉีฮั่นและเมืองพายุหิมะขาวได้ แม้ว่ามันจะเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว ข้าจะรออีกหนึ่งเดือน และเมื่อพวกเขากลับมา ข้าก็จะพูดถึงเรื่องงานของเมืองพายุหิมะขาว


จากนั้น ฮี่ฮี่ จวินโม่เซี่ยหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ


“ พวกเราขอตัวก่อนท่านพี่ จนกระทั่งถึงคราวหน้า ”


กระเรียนขายาวยกมือขึ้นและโบก และดึงหมีใหญ่ไปพร้อมกับเขาด้วยมืออีกข้าง


“ เดี๋ยวก่อน ข้ามีอย่างหนึ่งที่อยากจะถามพวกเจ้าทั้งสอง ”


มีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของจวินโม่เซี่ย และทันใดนั้นเขาก็หยุดพวกเขาทั้งสองอีกครั้ง


“ แกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุดนั้น มันใช้ทำอะไร ? ”


พี่น้องทั้งสองอยุดเดินในทันที และหันมา และเพ่งมองไปที่เขาอยู่นาน ก่อนที่หมีใหญ่จะถามขึ้นมา


“ ทำไมท่านถึงถามเช่นนี้ ? … อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้จริงๆว่าแกนเชวียนนั้นใช้ทำอะไร ? ”


“ หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของข้า เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าต้องการแกนเชวียน ? อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าดูตื่นเต้นหลังจากที่ได้มันไป ข้าจึงคิดอยากจะถามคำถามนี้ หากเจ้าไม่อยากคุย ข้าก็จะขอตัว ”


จวินโม่เซี่ยประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าสองคนนี้ระวัดระวังอย่างมากในเรื่องนี้ และรู้สึกเสียใจที่ถามคำถามนี้


“ นั่นก็จริง … เทียบกับปราณบริสุทธ์ในร่างของเจ้าแกนเชวียนนี้ไร้ประโยชน์สำหรับเจ้า ! มันเป็นปกติที่เจ้าไม่รู้ว่ามันจะใช้ทำอะไร …. ”


เสียงนี้เป็นเสียงของกระเรียนขายาวซึ่งเขานั้นอิจฉาในความสามารถของจวินโม่เซี่ย


เหตุใดชายผู้นี้ถึงต้องการแกนเชวียน ในเมื่อในร่างของเขาสามารถสร้างปราณที่บริสุทธิ์เช่นนี้ ? ยิ่งไปกว่านั้น มันยากมากที่จะประเมินความแข็งแกร่งของเขา แต่ข้าคิดว่าเขาอาจจะแข็งแกร่งเทียบเท่ายุ่นเบ้ยเฉิน … คนที่มีความแข็งแกร่งและความสามารถขนาดนี้ โดยปกติแล้วไม่ต้องทุกข์ร้อนมากนักที่ไม่รู้ว่าแกนเชวียนนั้นใช้ทำอะไร … กระเรียนขายาวและหมีใหญ่คิดในสิ่งเดียวกัน และดูเหมือนว่าพี่น้องทั้งสองเริ่มรู้สึกถ่อมตัวต่อความสามารถของจวินโม่เซี่ย


ขณะที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวของพวกเขา กระเรียนขายาวยิ้มและพูด


“ ข้าคาดว่า .. การบอกเรื่องนี้กับเจ้านั้นคงจะไม่ทำให้เราเสียหาย อะไรทำให้เผ่าพันธ์ของมนุษย์เรียกมันว่าแกนเชวียน เผ่าพันธ์ของเรารูจักมันในอีกชื่อหนึ่ง แกนเข้มข้น และถือว่ามันเป็นหนึ่งในสิ่งที่อัศจรรย์ที่สุดที่เผ่าพันธ์ของเรารู้จัก เนื่องจากมันเป็นแก่นแท้ของชีวิตพวกเรา ! อย่างไรก็ตาม หากมนุษย์ใช้มันอย่างผิดวิธี แม้แต่เทพเชวียนก็ไม่สามารถยับยั้งไม่ให้ร่างกายของเขาระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆได้ ในการที่จะใช้แกนเชวียน อย่างแรกเจ้าจะต้องทำให้พลังของมันคงที่ด้วย หญ้าดาราสวรรค์ และยังต้องใช้เห็ดหลินจือสามสี รวมถึงรากเชวียนเก้าเป็นส่วนประกอบ และเพียงเท่านี้เทพเชวียนจึงสามารถใช้แกนเชวียนนี้ในการเพิ่มพลังและระดับขั้นการเพาะปลูกของเขาได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อแกนพร้อมแล้ว มันสามารถเพิ่มระดับการเพาะปลูกของมนุษย์ได้ภายในช่วงข้ามคือ และผู้ใช้สามารถเห็นการพัฒนาอย่าก้าวกระโดดได้ ! แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่ง แต่วิธีนั้นจะต้องใช้สมุนไพรอีกสามอย่าง … สมุนไพรสามอย่างนี้ลึกลับอย่างมาก และแม้แต่เทพเชวียนก็ยังไม่สามารถที่จะหามันได้ทั้งหมด ”


กระเรียนขายาวหัวเราะเยาะ


“ เหตุใดมนุษย์นี่ช่างเห็นแก่ตัว ? ”


“ เป็นเช่นนั้นเอง .. โอ้ มันแปลกจริงๆ ผู้คนจะสร้างงปัญหาโดยการฆ่าฟันกันเพื่อบางสิ่งที่อาจจะเป็นไปไม่ได้ … มันทำให้ข้าประหลาดใจอย่างมาก … เหตุใดพวกเขาถึงต้องวุ่นวายกับมัน ? ”


ดูเหมือนว่าจวินโม่เซี่ยจะพูดไม่ออก


“ ความโลภของคนนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่แต่งแต้มอยู่บนโลกใบนี้ ”


พี่น้องทั้งสองรู้สึกเหมือนกันในเรื่องนี้ และพยักหน้าด้วยความเห็นด้วย และประทับใจในคำพูดของจวินโม่เซี่ย พวกเขาทั้งสามยกมือขึ้นพร้อมกันเพื่อแสดงความเคารพ และจากนั้นร่างของพี่น้องทั้งสองเริ่มถอยออกไปและหายไปที่เส้นขอบฟ้าขณะที่จวินโม่เซี่ยเฝ้ามองอยู่ เห็นได้จัดเจนจากการเดินทางของพวกเขาว่าพวกเขานั้นอดไม่ได้ที่จะทำงานนี้ให้เสร็จโดดยเร็ว …


พายุสงบลงแล้ว และแสงอรุนเริ่มทอขึ้นสู่ฟากฟ้า


จวินโม่เซี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อผ่อนคลายสมอง และจากนั้นเขากระแทกตัวลงไปที่พื้น เขารู้สึกปวดร้าวที่หัว


จวินโม่เซี่ยใช้พลังทุกอย่างไปจากหมดสิ้นเมื่อไม่นานมานี้ และพยายามฝืนตัวเองอย่างไม่เต็มใจไปตลอดทั้งคืนนั้น เนื่องจากกลัวว่ากระเรียนขายาวและหมีใหญ่จะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาหากเขาหยุดการเชื่อต่อกับเจดียืหงษ์จวิน ซึ่งมันจะทำให้เขาต้องลำบาก


อย่างไรก็ตาม ผลที่เขาได้รับนั้นมากเกินกว่าสิ่งที่จวินโม่เซี่ยหวังเอาไว้


แม้ว่าแผนการของเขาจะไม่เป็นไปตามที่ว่างเอาไว้ แต่ด้วยเวลาเพียงไม่นาน เขาได้แก้ปัญหาทั้งเรื่องของแกนเชวียนและคฤหัสน์ฉีฮั่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีสำหรับจวินโม่เซี่ย


เนื่องจากกระเรียนขายาวและหมีใหญ่เห็นด้วยที่จะจัดการกับลี่ถังหยวน มันจึงประมาณได้ว่าการคุกความจากคฤหัสน์ฉีฮั่นนั้นจะล่าช้าไปอีกราวหกเดือน จวินโม่เซี่ยสามารถใช้เวลาช่วงนี้ในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่สกุลจวิน และถึงแม้ว่าเวลานั้นคฤหัสน์ฉีฮั่นจะโจมตีของเขาด้วยพลังทั้งหมด สกุลจวินก็จะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะตอบโต้ !


ในความจริง จวินโม่เซี่ยกำลังตั้งตารอ


คนจะพัฒนาได้อย่างไรหากไม่มีคู่ต่อสู้ ? ความกดดันนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้มีการพัฒนา


เมื่อสกุลจวินพร้อมสำหรับการทำสงคราม และคฤหัสน์ฉีฮั่นล่าถอยไป จวินโม่เซี่ยจะไปเคาะประตูบ้านของพวกเขาด้วยตัวเอง ! หากเจ้ากล้าที่จะอ้างสิทธิ์เหนือผู้หญิงสกุลจวิน เจ้าจะต้องมีความกล้าที่จะต่อสู้กับนาง ! สิ่งที่ข้าจะทำคือ ข้าจะไม่ปล่อยให้ลี่ถังหยวนหนีไป !


เมืองพายุหิมะขาว คฤหัสน์ฉีฮั่น พวกเจ้าไม่โอหังนานเกินไปแล้วหรือ ?


จวินโม่เซี่ยกัดฟัน และนั่งลงไปที่พื้น จากนั้นเขาค่อยๆดันตัวเองขึ้นมา และลากร่างอันเมื่อล้าและเจ็บปวดไปตามถนน ตรงไปยังบ้านของเขา


ตอนที่ 197

 

จวินโม่เซี่ยนอนหลับยาวทั้งวัน


พลังจำนวนมากที่เขาได้ใช้ไปก่อนหน้านี้นั้นทำให้ร่างกาของเขาตึกเครียดมาก และเขาผลักดันมันไปเกินกว่าขีดจำกัดของเขา ความจริง มือสังหารไม่เคยผลักดันตัวเองให้เลยยขีดจำกัดเช่นนี้มาก่อน


จวินโม่เซี่ยฝืนใช้พลังของเขาเพื่อจำลองเจดีย์หงษ์จวินจนกระทั่งเขาสามารถส่งสัตว์เชวียนสองตัวนั้นให้ไปทำงานของเขาได้ หลังจากนั้นเขาจะผ่อนคลายลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าเขากลัวว่าจะมีบางคนมาสอดแนมเขาอยู่ เขาจึงยังไม่ลดระดับการป้องกันลง และหากไม่ใช่เพราะการฝึกฝนร่างกายที่เขาได้เข้ามาสิ่งสู้นี้ นายน้อยจวินอาจจะล้มลงไปกองบนพื้นก่อนที่เขาจะถึงที่พักสกุลจวิน


อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาไปถึงยังที่พักสกุลจวิน นายน้อยจวินใช้มันไปจนหมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ผลักดันตัวเองไปจนถึงขีดจำกัด ถึงขนาดที่เขาไม่สามารถจะยกนิ้วขึ้น สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้คือ องครักษ์ยกเขาขึ้นมาและนำเขาไปส่งที่เตียง หลังจานั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว …


เคอน้อยเป็นกังวลอย่างมากตลอดทั้งคืน จนนางไม่สามารถแม้แต่จะหลับตา จนถึงเช้า จวินวูอี้เข้ามาที่ลานบ้านกับนาง และรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น และกังวลว่าหลานชายของเขาจะมีส่วนในเรื่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จวินวูอี้ใช้เวลาทั้งวันนั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนของเขาในลานบ้านของจวินโม่เซี่ย ใบหน้าของเขาสะท้อนถึงความกังวลในใจของเขาได้อย่างชัดเจน


จวินโม่เซี่ยได้พูดอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะสลบไป แต่คำพูดของเขาหมายถึงอะไร ?


“ คฤหัสน์ฉีฮั่น… พวกเขาจะยังไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเรา ”


เหตุใดคฤหัสน์ฉีฮั่นถึงไม่เป็นปัญหาตอนนี้ละ ? ทุกอย่างปกติดีไหม ? เขาหายไปในตอนที่ได้รู้ถึงปัญหาของคฤหัสน์ฉีฮั่น ทำไมกัน ? ด้วยชื่อเสียงของคฤหัสน์ฉีฮั่นนี่คงไม่ได้เป็นเรื่องตลกหรืออะไรทำนองนั้นใช่ไหม ? มันคงเป็นเรื่องไร้สาระท่ามกลางท่าทีที่สง่างามซึ่งพวกเขาได้ทำลงไปใช่ไหม ?


หากพูดกันตามจริง แม้ว่าจวินวูอี้จะตัดสินใจที่จะปกป้องหญิงหม้ายของหลานชายของเขาต่อการรุกรานของคฤหัสน์ฉีฮั่นด้วยความภูมิใจและสง่า เขาก็ยังคงกลัวความอันตรายและความยุ่งยากที่รออยู่เบื้องหน้า ในความเป็นจริง จวินวูอี้ไม่ได้กลัวคฤหัสน์ฉีฮั่น แต่กลัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ลีจื้อเทียน ชายผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง เขารู้ดีว่าสกุลจวินนั้นไม่สามารถก่อสงครามและต่อสู้กับชายผู้นั้นได้ !


การต่อสู้กับเมืองพายุหิมะขาวและนายท่านฮั่นเฟิงฉีในตอนนี้ ทำให้สกุลจวินกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะสร้างศัตรูที่มีความแข็งแกร่งและอิทธิพลระดับนั้นได้ !


ก่อนหน้านี้ เมื่อข่าวลือว่ามีการประกฏตัวของแกนเชวียนขั้นเก้ามาถึงหูของของเขา ในตอนแรกจวินวูอี้คิดจะใส่หน้ากากและออกไปคว้าเอาโอกาสนั้น หากเขาสามารถที่จะชนะเอาแกนเชวียนมาได้เพราะโชคช่วย มันจะเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถพัฒนาขั้นการเพาะปลูกไปถึงขั้นเทพเชวียนด้วยการช่วยเหลือจากแกนเชวียน และแม้ว่าเขาอาจจะยังเทียบกับลีจื้อเทียนไม่ได้ มันก็ยังทำให้สกุลจวินมีโอกาสที่ดีที่จะมีจุดยืนที่แข็งแกร่ง !


หลังจากที่ความคิดแรกเริ่มนี้เกิดขึ้นในหัวของเขา จวินวูอี้จึงพยายามตั้งสติและคิดทบทวนให้ดีก่อนที่จะทำอะไรลงไป และพบว่าความแข็งแกร่งของผู้ที่ต้องการแกนเชวียนนั้นเกินกว่าที่เขาจะสามารถต่อกรได้ และหากเขาโชคร้ายในการแสวงหาของสิ่งนี้ สกุลจวินคงไม่สามารถที่จะอดทนต่อการสูญเสียได้อีกแล้ว !


และในเช้าวันถัดมา หลานชายของเขาก็พูดออกมา …


“ คฤหัสน์ฉือฮั่น พวกเขาจะยังไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเรา ”


ประโยคนี้ทำให้จวินวูอี้หวาดกลัวและดีใจ จวินวูอี้ไม่ได้สงสัยในข้อมูลนี้ เพราะเขารู้ว่าความสามารถที่ประหลาดบางอย่างของหลานชายของเขานั้นทำให้เขาประหลาดใจมากมายมายแล้ว และทำให้เขาได้รับความสนุกเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ได้สงสัย แต่เขาก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ 


 หลานชายของข้าจัดการมันได้อย่างไร ? อีกฝ่ายนั้นมีลีจื้อเทียนหนุนหลังอยู่ !


มันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่งนัก !


กวนเซียงฮั่นก็มายังลานบ้านของจวินโม่เซี่ยเป็นบางครั้ง หลังจากที่นางได้ยินคำพูดของจวินโม่เซี่ยจากจวินวูอี้ แต่ก็ไม่ได้รบกวนน้องเขยของนางเนื่องจากนางเห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยของเขา แต่นางก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้


นางสามารถสัมผัสได้ว่า จวินโม่เซี่ยนั้นแบกรับความตึงเครียดไว้มากมายเพื่อปกป้องนางจากอันตราย และแม้ว่านางจะไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าเหตุใดจวินโม่เซี่ยถึงมั่นใจอย่างมากในเรื่องนั้น แต่สำหรับเหตุผลคือไม่รู้อะไร นางถึงได้เลือกที่จะเชื่อใจจวินโม่เซี่ย


นางไม่สามารถลืมคำพูดที่ออกมาจากปากของจวินโม่เซี่ยได้


“ … หากพลังอำนาจของสกุลจวินไม่สามารปกป้องนางได้ ดังนั้นก่อนที่สกุลจวินจะล่มสลาย ข้าจะสังหารนางด้วยตัวเอง ! …. ข้าจะไม่ปล่อยให้นางต้องแต่งงานเข้าไปยังคฤหัสน์ฉีฮั่น ! ”


คำพูดที่โหดร้ายและเลือดเย็นนี้ได้เติมเต็มให้หัวใจของนางรู้สึกมีความสุขและปลอดภัย เท่าที่นางเป็นห่วงนั้น ไม่ใช่เพราะคำพูดนั้นเลือดเย็นและโหดร้าย แต่ชายผู้นั้นเลือกที่จะปกป้องนางขนาดที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อเกียรติยศของนาง !


กวนเซียงฮั่นยืนอยู่ที่บานบ้านอย่างเงียบๆ เพ่งมองไปยังหมอกควันที่อยู่ตรงเส้นของฟ้า พยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันที่ผ่านมา ความคิดและภาความจรงจำพุ่งทลักเข้ามาสู่หัวของนาง ทำให้นางสับสน และมันค่อนข้างยากที่จะคิดว่านางได้คิดมาถึงจุดนี้ ….


แสงตะเกียงถูกจุดขึ้นในตอนที่จวินโม่เซี่ยตื่นขึ้นมา


“ สุดท้ายเจ้าก็ตื่น ”


จวินวูอี้ไม่แม้แต่จะรีรอและเข้าไปยังห้องของหลานชายในตอนที่เขาได้ยินเสียงของการเคลื่อไหวบนเตียง


“ น้าสาม ท่านมาทำอะไรที่นี่ ? ข้าหลับไปนานแค่ใหน ? ”


จวินโม่เซี่ยังคงหลับตาอยู่ และคราญครางก่อนที่สุดท้ายแล้วเขาก็ลืมตาและลึกขึ้น จากนั้น เขาพยักหน้าเนื่องจากความเจ็บปวดจากเมื่อคืนได้หายไปแล้ว และแทนที่ด้วยความอบอุ่นและรูสึกสบาย ราวกับว่าร่างของเขานั้นแช่อยู่ในน้ำอุ่น เขารู้สึกสบายอย่างประหลาด ในขณะที่เส้นลมปราณของเขา แข็งแกร่ง มีพลัง และ สงบมากขึ้น


นี่คือความรู้สึกที่แตกต่างอย่างมากหากเทียบกับประสบการณ์ที่ผ่านมา  แม้ว่าร่างกายของเขาจะทนทานมากขึ้น แต่ปกติแล้วเมื่อมือสังหารจวินผลักดันตัวเองไปถึงขีดจำกัดเพื่อให้งานลุล่วงไป เขาจะต้องอดทนต่ออาการปวดหัวอยู่เป็นวัน เนื่องจากร่างกายของเขาต้องการเวลาหลายวันในการฟื้นฟูความอ่อนล้า อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ ผนของมันนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง !


แม้ว่าเขาจะใช้ปราณเชวียนด้วยกระบวนการที่โหดร้ายและส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าอย่างมาก แต่การเชื่อมต่อระหว่างพลังในร่างกายของเขาและเจดีย์หงษ์จวินนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเกินกว่าที่เขาได้คาดเอาไว้ และสำหรับบางเหตุผลนั้น เจดีย์หงษ์จวินนั้นไม่เพียงแต่รักษาอาการเหนื่อยล้าของร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด และลึกลับอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเขาได้เข้าไปใกล้ชั้นที่สองของเจดีย์อย่างมากแล้ว หัวใจของจวินโม่เซี่ยรู้สึกถึงความประหลาดราวกับว่าเขาสามารที่จะบรรลุไปยังขั้นที่สองของเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ในสองหรือสามวันนี้ ซึ่งมันหมายถึงว่า เขาสามารถที่จะปลดผนึกชั้นที่สองของเจดีย์ได้สำเร็จ !


ความรู้สึกนี้ลึกลับอย่างมาก และจวินโม่เซี่ยเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกนี้เป็นความจริง


แต่ไม่มีเหตุผลที่มารองรับมัน


“ เจ้าหายไป และกลับมาพร้อมกับอาการปางตาย ! เจ้าคิดว่าข้าจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไร ? ”


จวินวูอี้ย่นจมูก


“ เจ้าได้สร้างปัญหาไว้หกอย่างในตอนที่เจ้าออกไป … อย่างแรก เจ้าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางการลอบสังหารองค์หญิง และเจ้าได้รับบาดเจ็บที่รุนแรง ! สองเจ้าเขาไปที่หอมณีวิจิตรเพื่อเดินเล่น ? ครั้งที่สามเจ้าไปกับข้า และเจ้าได้ทำการสังหารหมู่ภายในหอฮวงฮวย ! และจากนั้นครั้งที่สี่ เจ้าได้ไปอาละวาดที่ศาลานี่ฉางและพ่นคำสาปแช่งองค์ชายสอง ! จากนั้น ครั้งที่ห้า ตัวเจ้าเองเกือบโดนลอบสังหาร ! และตอนนี้ ครั้งที่หก เจ้ากลับมาพร้อมอาการปางตาย และสิ่งที่องครักษ์บอกข้า พวกเขาหามเจ้ากลับมา และกลัวว่าพวกเราจะต้องพาเจ้าไปสถานพยายาลหากเจ้าไม่ตื่นมาในเร็วๆนี้ ! ”


จวินวูอี้ชูนิ้วขึ้นมาในขณะที่ใบหน้าของเขาแสดงความไม่พอใจ


“ จวินโม่เซี่ย น้าสามของเจ้าไม่เคยบอกหรือว่าเจ้าต้องมีองครักษ์ไปด้วยหากเจ้าออกจากบ้าน ? เจ้าสามารถออกไปกับองครักษ์เมื่อใหร่ก็ได้และข้ารู้ว่าข้าไม่สามารถโทษพวกเขาได้เนื่องจากฝีมือของเจ้า แต่คนเหล่านี้ได้รับคำสั่งให้ติดตามและปกป้องเจ้า เจ้าไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นกังวลหรือ ? แม้ว่าเจ้าจะเป็นนายน้อยของสกุล แต่ไม่ได้หายความว่าเจ้าจะทำให้ทุกคนเป็นกังวลได้นะ ! ”


“ แล้ว เหตุใดเจ้าถึงเคร่งเครียดเช่นนี้ ? ”


จวินวูอี้เกือบจะคำรามออกมา


“ ข้าจะต้องไปตรวจสอบเจ้าทุกครั้งที่เจ้าออกไปไหม ? เมื่อคืน เจ้าหายไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก และจากนั้นองครักษ์เปิดประตูในตอนเช้า และพบว่าเจ้าคลานไปตามดินโคลนอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงธรณีประตู ! ”


จวินโม่เซี่ยเกาจมูก และหัวเราะสองสามครั้ง ขณะที่เขาฟังคำดุด่าของน้าสามอย่างเชื่อฟัง จวินวูอี้เป็นคนที่ใจเย็นอยู่เสมอท่ามกลางสมาชิกในสกุลของเขา แต่วันนี้เขานั้นกำลังเดือดาด ดังนั้นจวินโม่เซี่ยจึงไม่กล้าโต้เถียง และฟังต่อไปอย่างเงียบๆด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย


ข้าออกไปเพื่อดูแลธุริจสกปรก แล้วข้าจะให้คนเหล่านี้ติดตามไปได้อย่างไร ?


จวินวูอี้หายในยาวๆ เพื่อพยายามทำให้จิตใจของเขาสงบลง เนื่องจากเขารู้สึกว่าเขาทำเกินไปนิดหน่อย แต่ด้วยความไร้เดียงสาที่อยู่บนใบหน้าของจวินโม่เซี่ย จวินวูอี้จึงรู้สึกว่าอารมณ์ของเขานั้นไม่ควรจะเกิดขึ้น


“ ข้าบ้ามากที่มาตำหนิเจ้าตอนนี้ แต่กระนั้น มันก็ทำให้ข้าเหนื่อย ”


จวินวูอี้สบัดมือ


“ เอาละ เจ้าเมื่อเช้าเจ้าพุดอะไรบางอย่าง เจ้าหมายถึงอะไร ? ”


จวินวูอี้ใช้เวลาทั้งคืนเพื่อฟังเรื่องราวกการต่อสู้ที่น่ากลัวที่เกิดขึ้นกลางเมือง และอดที่จะเป็นห่วงความปลอดภัยของหลานชายของเขา ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่เขามีอารมณ์เกิดขึ้น !


“ เอ่ ? ท่านพูดอะไร ? ท่านกำลังพูดอะไร ท่านหมายถึงอะไร ?! ”


จวินโม่เซี่ยจำอะไรไม่ได้เลย


เขาไม่ได้เสแสร้ง เขาพูดคำเหล่านั้นออกมา ก่อนที่เขาจะหมดสติไป และจำมันไม่ได้เลย !


“ เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าหรือ ?! ”


จวินวูอี้เริ่มโมโหขึ้นมาอีกครั้ง


“ คฤหัสน์ฉีฮั่น พวกเขาจะยังไม่เป็นปัญหาของเราตอนนี้ เจ้าพูดออกมา ตอนนี้เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?! ”


“ เอ๋อ อย่างนั้นหรือ  … ”


จวินโม่เซี่ยกรอกตาไปมา 


หากข้าบอกท่านน้าว่าข้าไปต่อสู้กับ แปดยอดปรมาจารย์สองคน และเทพเชวียนสี่คน รวมกับสวรรค์เชวียนราวยี่สิบคน และปฐพีเชวียนเป็นร้อย และจากนั้นก็ไปสร้างความประทับใจแก่สัตว์เชวียนเถียนฟาสองตัว … ท่านน้าจะไม่เป็นลมไปเพราะความตกใจอย่างนั้นหรือ ?


ข้าคิดว่า หากท่านน้าสามารถทนตกความตกใจนั้นได้ ขาของเขาก็คงจะสั่นเพราะความกลัวไปสักพัก … และเขาก็คิดเอาเองว่าเขาพิการเพราะของเขาไม่รู้สึกอะไร … ! อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่สามารถเก็บมันเป็นความลับกับเขาได้ !


ดูเหมือนว่าข้าจะมีวิธีที่จะบอกเรื่องนี้แก่เขาในทางอ้อม !


“ ข้าประเมิณมัน เอาละ ข้าเดา ”


จวินโม่เซี่ยค้ำตัวเองขึ้นมา ขณะที่เขาพูดออกมาอย่างสงบพร้อมยิ้ม


“ เจ้าประเมินมัน ? เดี๋ยวก่อน เจ้าเดา ? มีอะไรบางอย่างที่จะเดา ? ”


สีหน้าของจวินวูอี้เปลี่ยนไปเป็นเย้ยหยันขณะที่เขาได้รับรู้เรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน


“ เมื่อคืน มียอดฝีมือทรงพลังจำนวนมาก มารวมตัวกันในเมืองเทียนเชียง และจากนั้นพวกเขาต่อสู้กัน จากรายงานในนั้นมี แปดยอดปรมาจารย์สองคนคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยวรวมอยู่ด้วย นอกจากนั้นยังมี ที่ปรึกษาราชสำนักแห่งอาณาจักรยูถัง เฟ้ยเมิงเฉิน รวมถึง ผู้อาวุโสสาม หก และเก้าแห่งเมืองพายุหิมะ และมียอดฝีมือทรงพลังอีกจำนวนหนึ่ง และยังมี คนในสกุลลี่โย่วหลาน ศิษย์ทั้งสิบของลีวูเบ้ยเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย และมีสัตว์ในตำนานแห่งป่าเถียนฟาสองตัว ที่แสดงตัวออกมาด้วย เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายนี้คือ ชายใส่หน้ากากที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ผู้ที่ออกมาปรากฏตัวพร้อมกับแกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุด ซึ่งเป็นอันที่โดนขโมยไปก่อนหน้านี้ และสุดท้ายก็เกิดการแย่งชิงกันเกิดขึ้น ในตอนนี้ แกนเชวียนได้รับการยืนยันว่าอยู่ในมืองของ สัตว์เชวียนทั้งสองแห่งป่าเถียนฟา ”


ดุเหมือนว่าจวินวูอี้จะคุ้นเคยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนดี เกือบทุกอย่าง


Translate by iHaveNoName

 

 

 


ตอนที่ 198

 

เม็ดเหงื่อไหลเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของจวินโม่เซี่ยและเขาเกือบจะไม่สามารถบังคับให้ตัวเองแสดงรอยยิ้มออกมาได้


“ ท่านน้าสาม เครือข่ายสายข่าวกรองของท่านนั้นช่างน่าประทับใจ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีเหตุผลที่ท่านจะไปที่นั่นด้วยตัวเองใช่ไหม ? ”


“ เนื่องจากมียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นมากมาย เดิมทีข้าจะต้องไปดูด้วยตาของตัวเอง ! ”


จวินวูอี้กัดฟันเสียงดัง


“ จากเรื่องทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นในเมืองเทียนเชียงของข้า และเห็นได้ชัดว่ามันทำให้องค์จักรพรรดิตระหนักถึงภัยอันตราย ! ในกรณีที่องค์จักรพรรดิรับสั่งให้สืบหาความจริงในเรื่องนี้และข้าไม่มีข้อมูล แล้วสกุลจวินคงจะต้องได้รับการดูแคลน ! ”


เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยดวงตาที่ฉลาดหักแหลม


“ สิ่งนี้มิใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญนั้นคือสิ่งที่ข้าต้องการจะรู้ว่า ใครคือชายชุดดำผู้ที่ขโมยเอาแกนเชวียนและเอาออกมาเปิดเผยเมื่อคืน ? เจ้าชั่วนั่นคือคนที่อยู่เบื้อหลังความวุ่นวายเมื่อคืน และข้าต้องการรู้ว่าตัวตนของเขาคือใคร ! ”


“ เอ่อ … จะต้องเป็นยอดฝีมือบางคนในตำนาน ! ข้าคาดว่ายอดฝีมือเช่นนั้นอย่างน้อยจะต้องอยู่ในระดับเดียวกับยุ่นเบ้ยเฉิน มิฉะนั้นเขาคงจะไม่มีฝีมือเช่นนี้ ! ”


จวินโม่เซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง


“ จริงหรือ ? ”


สีหน้าของจวินวูอี้ดูเหมือนกับภูเขาไฟที่กำละรอคอยการปะทุ


“ ข้าเอาแกนเชวียนขั้นหกให้เจ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน เอามันออกมาดูหน่อย ข้าอยากเห็น ”


แกนเชวียนนั่นตอนนี้อยู่ในมือของกระเรียนขายาว แล้วข้าจะเอามันออกมาได้อย่าไรกัน ? ข้าไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถสร้างสิ่งของต่างๆออกมาจากอากาศได้นะ !


“ เอิ่ม แกนเชวียนขั้นหกนั้น ข้า …. ”


จวินโม่เซี่ยกรอกตาไปมา


“ … ข้าทำมันหาย ”


“ เจ้าไม่ได้เสียมันให้กับสัตว์เชวียนทรงพลังที่จะมาจากปาเถียนฟาทั้งสองนั้นใช่ไหม ? ”


จวินวูอี้เหลืบมองไปยังหลานชายของเขา


“ ตอนนี้เจ้าจะต้องตื่นได้แล้ว ข้ามีคำถามมากมายที่ข้าต้องการจะถามเจ้า แต่เจ้าควรจะรู้ไว้ว่ามีบทลงโทษที่รอเจ้าอยู่เมื่อเจ้าโกหกกับข้ามากมายเช่นนี้ จวินโม่เซี่ย น้าสามของเจ้านั้นแก่กว่าเจ้า และมีประสบการณ์มากกว่า … ”


“ ข้าไม่รู้ว่าทำมเจ้าถึงมั่นใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมากนัก ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำมันสำเร็จได้อย่างไร และข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าหลอกคนเหล่านั้นได้อย่างไร แต่กระนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องไม่โกหกข้า แต่ …. ”


จวินวูอี้พูดช้าๆด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ


ในการเผชิญหน้ากับความหายนะและความกลัว มันทำให้จวินโม่เซี่ยตัวสั่น จวินโม่เซี่ยลุกออกจากเตียงอย่างเงียบๆ


 “ ท่านน้าข้าปาดฉี่ และข้าอยากจะ …. ”


“ เจ้าไม่สามารถอั้นฉี่ได้หรือ ? ไร้สาระ ! ” 


จวินวูอี้คำราม จวินโม่เซี่ยหยุดนิ่งขณะที่จวินวูอี้พูดต่อ


“ … ข้าคิดว่ามันถึงเวลาที่เจ้าจะต้องได้รับบทลงโทษของสกุลแล้ว ! ”


กวนเชียงฮั่นเดินไปมาในลานบ้านของจวินโม่เซี่ยอย่างร้อนรนเนื่องจากนางได้ข่าวว่าน้าสามเข้าไปในห้องของจวินโม่เซี่ยหลังจากที่เขาตื่น แม้ว่าจวินโม่เซี่ยนั้นเป็นน้องเขยของนาง แต่ยังไงมันก็ยังเป็นห้องนอนของผู้ชายอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นนางจึงยังรู้สึกเขิลอายเมื่อคิดว่าจะเข้าไปยังห้องของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาติ เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงต้องรอย่างร้อนใจอยู่ข้างนอกเมื่อนางไม่ยินเสียงคำรามของจวินวูอี้ และอดที่จะเป็นกังวลและเป็นห่วงไม่ได้ 


 เหตุใดท่านน้าสามจึงโมโหเช่นนั้น … นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น …


ในตอนที่นางง่วนอยู่กับความกังวล …


“ ปังง ! ”


ก้อนของผ้าสีขาวลอยออกมาจากในห้อง และเชียงฮั่นยืนขึ้นทันที และเกือบจะล้มลงไปบนพื้นเนื่องจากแรงกระแทกของสิ่งที่นางพยายามคว้าเอาไว้ ในขณะที่ของสิ่งนี้กำลังกรีดร้องออกมา


“ ท่านน้า … ใจเย็นก่อน ! ”


เห็นได้ชัดว่าวัตถุที่ลอยออกมานี้คือนายน้อยจวิน !


กวนเซียงฮั่นร้องออกมาด้วยความตกใจ ขณะที่ร่างของนางร่วงลงไปบนพื้นก่อน


จวินโม่เซี่ยโดนน้าสามเตะเข้าไปที่ก้น และแม้ว่าจะร้องออกมาเพื่ออธิบาย เขาก็ยังหมุนตัวกลางอากาศอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้เขาสามารถร่อนลงไปบนพื้นได้อย่างปลอดภัย แต่ทันใดนั้นเองเขาพบว่าตัวเองกอดเข้ากับร่างอันบอบบางโดยไม่คาดคิดในขณะที่เขายังคงกรีดร้องออกมา และกลิ่นหอมนั้นลอยเข้ามาในจมูกของเขาในขณะที่เขาปะทะเข้ากับบางอย่างที่อบอุ่นและนุ่มนวล และร่างที่พุ่งออกไปราวกับจรวดของเขาเด้งกลับมา …


เขาอดที่จะรู้สึกถึงความสุขใจไม่ได้ แต่ในขณะที่เขามีความสุขอยู่กับมัน เขาก็พบว่าตัวเองกำลังร่วงลงไปบนพื้น


เวลานี้ เขาไม่มีเวลามากพอที่จะตั้งตัวและ ล้มลงไปโดยการเอาใบหน้าของเขาปะทะเข้าไปที่พื้น จวินวูอี้กระโดดออกมาจากในห้องโดยที่ไม่มีการอธิบายอะไรเพิ่มเติม และเริ่มเล่นปิงปองกับร่างกายของหลานชาย โดยการเตะและต่อยเข้าใส่ร่างของหลานชายราวกับสายฝน ในขณะที่กวนเซี่ยงฮั่นยังคงติดอยู่กับความหวาดกลัว


กวนเซี่ยงฮั่นรู้ว่าจวินวูอี้นั้นได้รับการฟื้นฟูแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เป็นกังวลอะไร ในขณะที่เขายังคงต่อยตีจวินโม่เซี่ยต่อไป


ด้วยความสามารถทั้งหมดของเขา จวินโม่เซี่ยเอามือข้างหนึ่งป้องกันหัวของเขาไว้ และปิดบังระหว่างขาไว้ด้วยอีกข้างหนึ่ง และเริ่มกลิ้งไปราวกับกระสอบทราย


เขายอมรับถึงชะตากรรมของเขา และยอมรับถึงการลองโทษ !


ใจเย็นท่านน้า มิเช่นนั้นข้าคงจะต้องจบลงที่เก้าอี้เลื่อนดั่งเช่นท่าน !


“ ท่านน้า .. ท่าน … หยุดเถิด .. อย่าทำเขา … ”


กวนเซี่ยงฮั่นโน้มน้าวเขาอย่างร้อนรน


สีหน้าของนางแสดงถึงความกังวลใจและร้อนรนอย่างชัดเจน และทำให้จวินวูอี้ยั้งมือไว้กลางอากาศอย่างไม่ตั้งใจ แม้แต่จวินโม่เซี่ยจะเบิกตากว้างขณะที่เขายังคงนอนอยู่บนพื้น น้าและหลานคู่นี้ก็ใจตรงกัน และเพ่งมองไปยังกวนเซียงฮั่นด้วยความกระหลาดใจ จากนั้นหันมามองหน้ากัน โดยไม่เชื่อถึงปฏิกริยาตอบสนองของนาง


เมื่อใหร่กันที่เซียงฮั่นสนใจความเป็นตายของจวินโม่เซี่ย ?


หลานสะใภ้ของข้าโดนผีสิงหรือ ?


กวนเซี่ยงฮั่นตระหนักได้อย่างทันทีว่าชายสองคนนี้เพ่งมองมาที่นางด้วยความประหลาดใจเนื่องจากนางวิงวอนขอความเมตตาแก่น้องเขยที่นางไม่เคยชอบมาก่อน


แต่เหตุใดข้าถึงวิงวอนเพื่อช่วยเหลือเขา ?


ใบหน้าของเซียงฮั่นนั้นแดงก่ำขึ้นมาในทันที ในขณะที่หูของนางเริ่มกลายเป็นสีม่วง และทันใดนั้นนางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ


“ ข้า … ข้ากลัวว่าท่านน้าจะเหนื่อย … ต่อยตีเขา ต่อยตีเขาอีก สังหารเขาเลย ”


นางพูดจบประโยคราวกับเด็กน้อยที่เกรี้ยวกราด และจากนั้นนางจึงหน้าแดงด้วยความเขิลอายเมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองยังคงเพ่งมองนางอยู่ ราวกับว่าดวงตาของเขาจะหลุดออกมาจากเบ้า นางคำรามทางจมูกเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว


“ ข้าเข้าใจผิดไป ? ข้าหูฝาด ? คนผู้นั้นเป็นพี่สะใภ้ของข้าจริงหรือ ? ”


จวินโม่เซี่ยเกาหัวสองครั้งขณะที่เขายืนขึ้นมาอย่างช้าๆ


“ ดูเหมือน … จะใช่ ”


น้ำเสียงของจวินวูอี้ฟังดูเหมือนจะไม่แน่ใจ และทันใดนนั้นเขาโมโหขึ้นมาอีกครั้ง


“ ใครบอกให้เจ้าลุกขึ้นมาได้ ? รู้สึกได้จริงๆว่าเจ้ายังไม่เข้าใจ … ”


จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกฝนกับกระสอบทรายของเขาต่อไป …


จวินวูอี้ยังคงใช้แขนและขาของเขาต่อไปเป็นเวลานานจนกระทั้งเขาพอใจกับผลลัพธ์ จากนั้นเขาพูดขึ้น


“ พรุ่งนี้ เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อของเจ้า และเจ้าจะต้องตามข้าไปยังอนุสรณ์สถาน และจากนั้นเจ้าจะต้องไปจุดธูปต่อหน้ารูปปั้นของพ่อของเจ้า เจ้าเข้าใจในหน้าที่ของลูกชายของสกุลใช่ไหม ? ”


จวินโม่เซี่ยครวญครางและจากนั้นทำเสียงเจ๊าะแจ๊ะ


“ ขอรับ ”


จวินวูอี้นวดข้อมือของเขา ขณะที่เขาเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้เลื่อน และจากนั้นเขาเริ่มดันเก้าอี้เลื่อนของเขาและออกไป เขาหันมาขณะที่ไปถึงประตูของลานบ้าน


“ คฤหัสน์ฉีฮั่น … พวกเขาเกี่ยวอะไร ?! ”


“ ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว …. ”


จวินโม่เซี่ยอยากจะร้อง แต่เขาก็ไม่สามารถทำน้ตาให้ไหลได้


ดี ! ดีมาก ! ดูเหมือนว่าการต่อยตีข้าจะเป็นเพียงการเล่นสนุกที่น้าสามรอคอยให้ถึง


ในวันต่อมา ท้องฟ้ายังคงหม่นหมอง


จวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนของตัวเอง และมองไปยังอนุสาวรีย์ซึ่งดูสง่างาม อย่างเงียบๆ


สิ่งที่เรียกว่า อนุสาวรีย์นี้ ดูเหมือนกับว่ามีใครบางคนมาสร้างปราสาทไว้กลางค่ายทหาร


ที่นี่ได้รับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมไว้เป็นอย่างดีก่อนที่จวินวูอี้จะมาถึง


เสาหินทั้งแปดยืนตระหง่าเพื่อค้ำยันโดมที่อยู่ด้านบน พร้อมกับหินก้อนใหญ่ที่แบนและเรียบที่หันหน้าเข้าหากัน ซึ่งได้รับการแกะสลักไว้


ด้านซ้าย 


 สายลมรับฟังจวิน !


ด้านขวา 


 สวรรค์และโลกเป็นส่วนหนึ่งของจวิน !


มีบันไดทอดยาวไปยังหลังคาทรงกลม และทั้งสองฝั่งของบันไดมีรูปแกะสลักของทหารที่อยู่บนหลังม้า ขณะที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้า มีรูปปั้นเพศชายที่ใหญ่และกำยำอยู่แปดรูป ในแต่ละด้านของประติมากรรมที่อยู่ตรงกลาง มือของพวกเขาวางเอาไว้บนด้ามกระบี่ ราวกับพวกเขาสามารถที่จะชักกระบี่ออกมาได้ตลอดเวลา และแม้ว่าพวกเขานั้นจะเป็นเพียงรูปปั้น และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีชีวิตขึ้นมาในเวลาที่เจ้านายของพวกเขามีอันตราย


“ รูปปั้นทั้งแปดนี้คือพี่น้ององครักษ์ทั้งแปดที่ได้อุทิศตัว ชายทั้งแปดนี้ได้รับมอบหมายให้ปกป้องเขาในเวลาที่เขาเข้าร่วมกองทัพ และพวกเขาจะติดตามเขาไปจนกระทั้งวันตาย ชายทั้งแปดนั้นจะเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างๆวูเห่ยเสมอ ”


ดวงตาของจวินวูอี้เพ่งมองไปยังรูปสลักของชายทั้งแปดในขณะที่แววตาของเขาสะท้อนถึงความสำนึกในบุญคุณของเขาต่อความซื่อสัตย์ของพวกเขา น้ำเสียงของเขานั้นลึกซึ่งอย่างมาก ราวกับเขาพยายามนึกถึงความกล้าหาญและมิตรภาพของพวกเขา


“ นี่คือชื่อเสียงและเกียติยศ ไม่ว่าในตอนที่ผู้บัญชาการสีขาว จวินวูเห่ยจะเป็นหรือตาย ! ผู้ใดจะสามารถเทียบได้กับเขา ? ”


จวินวูอี้พูดช้าๆขณะที่เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พร้อมกับดวงตาที่ยังคงจับจ้องรูปปั้นแต่ละรูปที่ผ่านไป


จวินโม่เซี่ยอดที่จะเกรงต่อความสง่างามของอนุสาวรีย์เหล่านี้ไม่ได้


เสื้อคลุมเหล่านั้นเรียบและสะอาด ราวกับว่าไม่มีฝุ่แม่แต่เม็ดเดียวเกาะอยู่เลย แม้ว่าจะมีฝนตกอย่างนักเมื่อคืน และตอนนี้คือช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่ไม่มีใบไม้สักใบ หรือร่องรอยการกัดกร่อนของสายฝนอยู่บนรูปปั้นเหล่านี้เลย


“ จะมีบางคนที่มีหน้าที่ต้องดูแลอนุสรณ์สถานนี่เสมอ ความจริง มีกฏที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ในค่ายทหาร ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ตราบใดที่เจ้ามีหน้าที่ดูและอนุสรณ์สถานของพี่ใหญ่ และพบว่ามีฝุ่นอยู่แม้แต่เม็ดเดียวเกาะอยู่ที่นี้ บนลงโทษเดียวของเจ้าก็คือ …. โทษประหาร ! โดยไม่มีการสืบสวน ! ไม่มีการรับฟังคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น … ไม่มีกฏใดในกองทัพที่เข้มงวดมากกว่ากฏนี้แล้ว ! ไมมีใครได้รับการยกเว้ย และไม่มีผู้ใดพูดถึงมันหรือพยายามฝ่าฝืนมันอีก ! ”


จวินวูอี้พูดช้าๆขณะที่เขาผลัดเก้าอี้เลื่อนของเขาไปรอบๆ


จวินโม่เซี่ยผลักเก้าอี้เลื่อนตามน้าชายของเขาไปอย่างเงียบๆ แต่หัวใจของเขาเริ่มสั่นด้วยความกลัว จุดนี้แสดงให้เห็นถึงความรักและความสดุดีของกองทัพต่อพ่อของเขา เห็นได้ชัดว่าพ่อของเขา จวินวูเห่ย ชื่อเสียงของขุนพลขาว ได้กลายเป็นเทพเจ้าในสายตาของคนในกองทัพของประเทศไปแล้ว !


ภายใต้หลังคาทรงโค้ง มีรูปปั้นขนาดใหญ่ สูง ของชายวัยกลางคนที่อยู่บนหลังม้า ร่างของเขาตั้งตรง ดวงตาที่เจิดจ้าและฉลาดหลักแหลมของเขานั้นดูเหมือนว่าเขากำลังคิดถึงกลยุทธ์ทั้งหมดในการต่อสู้ มือข้างซ้ายของเขาจับบังเหงียนม้าเอาไว้ ในขณะที่มือข้างขวานั้นวางลงไปบนด้ามกระบี่ซึ่งผูกเอาไว้กับเอวของเขาอย่างนุ่มนวล แม้แต่รอยย่นบนใบหน้าของเขาถูกสลักเอาไว้อย่างชัดเจน ในขณะที่ปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็นและน่าเกรงขาม ราวกับว่าเขานั้นคือ ผู้มีอำนาจที่อยู่เหนือผู้คนนับร้อยล้าน !


ผ้าคลุมที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นดูเหมือนว่าจะลอยด้วยสายลม และแม้ว่ารูปปั้นนี้จะไม่มีชีวิต แต่มันยังแสดงให้เห็นถึงความสง่างามและจิตวิญญาณที่กล้าหาญของจวินวูเห่ย !


Translate by iHaveNoName chap 198

 

 

 


ตอนที่ 199

 

ร่างของจวินวูอี้นั้นหยุดนิ่ง ขณะที่ดวงตาของเขาเพ่งมองอยู่ที่รูปปั้นของพี่ชาย ดูราวกับว่าเป็นรูปปั้นรูปหนึ่งที่กำลังเพ่งมองไปยังรูปปั้นอีกรูป อย่างไรก็ตาม แววตาของรูปปั้นที่มีชีวิตนั้นสะท้อนถึงอารมณ์ของหัวใจที่ปราชัย


จวินวูอี้ยังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่เพ่งมองไปยังรูปปั้นนั้น และดวงตาของเขาก็ค่อยๆพร่ามัวด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น และสุดท้ายน้ำตาหลดหนึ่งจึงไหลร่วงออกมาขณะที่เขากล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบห้าวและแผ่วเบา ราวกับว่าเขาพยายามเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้


“ … พี่ใหญ่ ข้าพาจวินโม่เซี่ยมาพบท่าน สุดท้ายเขาก็ได้พัฒนาไปมากพอจนเหมาะสมแก่การมาคาราวะท่าน ! ”


จวินวูอี้เงียบลง และหลับตาอย่างรวดร้าว และดูเหมือนว่าวามคิดของเขานั้นกำลังปลาบปลื้มกับความทรงจำในอดีต


เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพี่ของเขาสองคน เล่นกับพวกเขา และตั้งแต่เด็กจนโตเป็นหนุ่ม พี่ๆทั้งสองของเขานั้นดูแลเขามาตลอด แต่ในทางกลับกันเขาก็ได้รับคำสาปที่ไร้จุดสิ้นสุด ซึ่งได้ทำให้พี่ๆของเขาทั้งสองต้องจากไปในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขา !


จากนั้น น้องสะใภ้ของเขาก็ตรอมใจตาย และเมื่อพ่อแม่ของนางมาถึงเพื่อปลอดประโลมนาง และรู้ว่านางได้ตายไปแล้ว พวกเขาจึงยกเลิกการติดต่อกับสกุลจวินไป ! จากนั้นทั้งสองสกุลที่เคยใกล้ชินกันอย่างมากจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย …


ต่อมา หลานชายของจวินวูอี้ก็ต้องจากไปในวัยหนุ่ม เพราะความผิดพลาดของเขา !


สวรรค์รู้ว่าจวินวูอี้เลือกที่จะตายเป็นร้อยๆครั้ง ก่อนที่จะปล่อยให้พี่และหลานชายของเขาต้องตายไปในการต่อสู้ !ช่วงเวลาที่ผ่านไปนานนับสิบปีนี้ยังไม่มากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาหลุดออกมาจากความเจ็บปวด ! ความเจ็บปวดยังคงระอุอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของเขาแม้กระทั่งตอนนี้ !


เรื่องราวในอดีตฉายขึ้นมาในใจของเขาผ่านใบหน้าที่มีชีวิตชีวาและเจิดจ้าของพี่ชาย และหัวใจของจวินวูอี้ก็ได้จมลงไปสู่ขุมนรกแห่งความเจ็บปวด ความโศกเศร้าและความเกลียชังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด !


ลูกผู้ชายตัวจริงจะไม่ร้องไห้ แม้กระทั้งในตอนที่เขาเจ็บปวด !


“ พี่ใหญ …. ”


จวินวูอี้คุกเข่าลงไปบนพื้นเบื้องหน้า ร่างกายที่แข็งแกร่งและอดทนของขุนพลผู้กล้าหาญเริ่มสั่น


“ ข้าขอโทษ … ข้าทำให้ท่านผิดหวัง ! ข้าทำให้พี่รองผิดหวัง ! ข้าทำให้ท่านพ่อผิดหวัง และข้าทำให้ทั้งสกุลของพวกเราผิดหวัง ! ”


เขามองไปยังใบหน้าที่ทรหดและฉลาดหลักแหลมของพี่ชาย ผ่านดวงตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา และรู้สึกราวกับว่า พี่ชายอของเขาได้กลับมาจากความตาย ลูบหัวของเขา และมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า ราวกับกำลังสั่งสอนบทเรียนให้แก่เขา


“ น้องสาม … ไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจ ไม่จำเป็นต้องร้องไห้ ! ”


ในตอนนี้ จวินวูอี้เริ่มร้องดังขึ้น ขณะที่ความรู้สึกซึ่งหลบซ่อนอยู่ในหัวมจของเขามานับสิบปีเริ่มพุ่งพล่านออกมา และจากนั้นเขาเริ่มคลานเข้าใกล้หลุมฝังศพของพี่ชายราวกับเด็กที่กำลังเสียใจ ผู้ที่วิ่งเข้าไปหาอ้อมแขนของผู้ที่รัดเขา ….


เขายังคงจดจำคำพูดสุดท้ายที่พี่ชายของเขาพูดในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไปเมื่อหลายปีก่อนได้อย่างชัดเจน


“ สำหรับเรื่องของเมืองพายุหิมะขาวนี้ ข้ารู้สึกเสมอว่าธุระของเรากับพวกเขานั้นยังไม่จบลง และข้ากลัวว่าเมืองพายุหิมะขาวยังคงมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรซ่อนอยู่ ดังนั้น เมื่อพี่สองของเจ้าและข้าห่างไกลจากบ้าน เจ้าจงอย่าทำตัวหุนหันพลันแล่น เจ้าต้องไม่กังวลในเรื่องการแต่งงานของแม่นางฮั่น ความรักจะหาหนทางเสมอ เมื่อพี่สองของเจ้าและข้ากลับมา พวกเราจะหาทางช่วยเจ้า ทั้งสกุลจะช่วยหนุนหลังเจ้า ”


จวินวูอี้จดจำความกังวลในดวงตาของพี่ชายทั้งสองได้เป็นอย่างดี ภาพของแววตาที่เป็นกังวลและสนิทสนมแน่นแฝ้นนั้นกรีดหัวใจของเขาให้เกิดความเจ็บปวด ราวกับว่ามีใครบางคนเอามีดมาแทงที่หัวใจของเขา และบิดมัน !


ในตอนนั้น พี่ทั้งสองของเขาลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปจนหมดสิ้น และเป็นกังวลเพียงแต่ผลประโยชน์ของน้องเล็กของพวกเขา ! พวกเขาทั้งสองกังวลเพียงแต่ความปลอดภัยของน้องเล็ก และกังวลว่าน้องเล็กของพวกเขาจะทำให้ตัวเองเจ็บปวดเนื่องด้วยแรงกระตุ้นอันรุนแรง และดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมเรื่องของศัตรูปที่พวกเขาจะต้องเผชิยหน้าในสงครามไปเสียแล้ว !


พวกเขาทั้งสองนั้นรักและฉลาดมากพอที่จะไม่แบ่งปันความกังวลที่มีแก่น้องของเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการที่จะให้เขาเป็นห่วง !


จากนั้น เสียงกลองที่รุนแรงและก้องกังวาลเริ่มดังขึ้น ดังมากพอที่จะเขย่าโลกทั้งใบได้ จวินวูอี้เห่ยกำลังยืนอยู่ในเครื่องแบบทหารของเขา เครื่องแบบทหารสีขาว และต่อจากนั้นเขาขึ้นขี่ม้า


“ น้องสาม ตอนนี้ข้าและพี่สองของเจ้าต้องไปแล้ว เจ้าเป็นชายเพียงคนเดียวที่สกุลจวินพึ่งพิงได้ ! ”


พี่ใหญ่ ! พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงได้พูดเช่นนั้น ? น้องชายของท่านโง่ขนาดใหน ข้าไม่เคยได้เข้าใจความหมายของคำพูดของท่านจนกระทั่งวันนี้ ! นั้นคือ … คำพูดสุดท้ายของท่าน !


 พี่ใหญ่ ท่านรู้ถึงสิ่งนี้อยู่แล้วใช่ไหม ? ท่านได้รู้อะไรมา ? บางที ท่านอาจจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ? ทำไมท่านถึงไม่พูดอะไร ? … ทำไมท่านถึงไม่บอกข้า !


ท่านรู้ว่าข้าเลือกที่จะตายก่อนที่จะส่งพี่น้องของข้าไปผังกำแพงแห่งความพินาศ … เอ๋ !


หากข้ามีโอกาสได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ข้ายังไม่ได้พบนาง ข้าจะกลับไปและไม่ทำให้มันเป็นดั่งเช่นที่ผ่านมา … ข้าทำ ! ข้าจะทำ ! …..


“ ท่านน้าสาม ”


จวินโม่เซี่ยเดินออกไปจากเก้าอี้เลื่อนของเขา


“ คนที่ตายแล้วก็ตายไปแล้ว ยอมรับถึงโชคชะตา และละทิ้งความเศร้าของท่าน ! การดูแลตัวท่านเองคือวิธีที่ถุกต้องแล้ว ! ”


จวินวูอี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังจวินโม่เซี่ยขณะที่ใบหน้าของเขาเผยถึงร้อยยิ้มทีโศกเศร้า


“ โม่เซี่ย มีบางคนเคยพูดคำเหล่านั้นกับพ่อของเจ้าเมื่อหลายปีก่อน ยอมรับถึงโชคชะตา และละทิ้งความโศกเศร้ามันอาจจะทำให้เจ้าได้ดูแลตัวเอง เจ้ารู้ไหมว่าเขาตอบกลับมาว่าอย่างไร ? ”


“ เขา …. พ่อของข้าพูดว่าอย่างไร ? ”


“ พวกเราทั้งสามต่อสู้กันในสมรภูมิ และพวกเราพบกับความสูญเสียอย่างหนัก พ่อของเจ้าโศกเศร้าอย่างมากเมื่อได้เห็นคนของพวกเรามากมายล้มตายลงไปในสมรภูมิ ในเวลานั้นมีนายทหารคนหนึ่งให้คำแนะนำแก่เขา ท่านขุนพล ละทิ้งความโศกเศร้าของท่าน ! ควบคุมอารมณ์และร่างกายเอาไว้ ”


จวินวูอี้พูดช้าขณะที่เขานึกถึงคำพูดเหล่านั้น


“ ในเวลานั้น พี่ใหญ่ได้ตอบกลับไปว่า เหตุใดท่านถึงให้ข้าละทิ้งความโศกเศร้าละ ? เหตุใดข้าต้องหลีกหนีความโศกเศร้า ? พี่น้องของข้าตาย และพวกเขาถูกสังหารโดยศัตรูของข้า ตอนนี้ข้าไม่ควรจะสังหารศัตรูเหล่านั้นหรือ ? การละทิ้งความโศกเศร้าของข้าเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ? ขณะที่ควบคุมอารมณ์ของข้า …. ”


จวินวูอี้พูดเสียงดังขึ้น ราวกับว่าเขาพยายามที่จะเลียนแบบพี่ใหญ่ของเขา


“ ใช่ ข้าจะหาทางที่จะละทิ้งความโศกเศร้าในเวลาหนึ่ง … แต่ข้าจะไม่ทำลายความโศกเศร้านี้ด้วยน้ำตา ข้าจะใช้มันเพื่อสังหารศัตรู ! ข้าจะใช้ความโศกเศร้านี้โจมตีศัตรู และใช้มันเพื่อกำจัดศัตรูให้สิ้นซากเพื่อไม่ให้พี่น้องของข้าต้องประสบกับความโศกเศร้าเช่นนี้อีก ! ข้าจะไม่ละทิ้งความโศกเศร้า ! ข้าจะเปลี่ยนโชคชะตาของข้า ! ”


“ ข้าจะไม่ละทิ้งความโศกเศร้า ! ข้าจะเปลี่ยนโชคชะตาของข้า ! ”


จวินโม่เซี่ยทวนสองประโยคนี้ซ้ำด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล และทันใดนนั้นมีกระแสคลื่นไหลผ่านร่างกายของเขาและท่วมท้นร่างกายของเขาด้วยความภูมิใจและความเคารพนับถือ ขณะที่มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา !


“ ข้าจะไม่เละทิ้งความโศกเศร้า ! ข้าจะเปลี่ยนโชคชะตาของข้า ! ”


ประโยคนี้ได้ปลุกความรู้สึกยกย่องเชิดชูต่อพ่อของเขาที่อยู่ในหัวใจของจวินโม่เซี่ยขึ้นมา พ่อที่เขาไม่เคยได้พบเจอ !


บุรุษเลือดเหล็กจะหัวเราะเมื่อเขารู้สึกอยากหัวเราะ ร้องไห้เมื่อเขาอยากร้องไห้ บุรุษเลือดเหล็กจะไม่เสแสร้ง !


ลูกผู้ชายตัวจริงจะต้องไม่ละทิ้งความโศกเศร้า ! ลูกผู้ชายตัวจริงจะทำบางอย่างเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ของเขา !


คำพูดของเขาเอาชนะหัวใจของข้า !


ทันใดนั้นเอง จวินโม่เซี่ยรู้สึกถึงเหตุการณ์เช่นนี้ในชีวิตก่อนของเขา เขายอมรับคนเช่นนนี้เป็นพ่ออย่างง่ายดาย ! แม้ว่าชายผู้นี้จะเป็นพ่อของร่างกายที่ข้าอาศัยอยู่ และมิใช่พ่อแท้ๆของจิตวิญญาณนี้ ข้าก็จะยอมรับว่าเขาเป็นพ่อในชีวิตนี้ ! ข้าจะยอมรับคนเช่นนี้เป็นพ่อในทุกๆชีวิต !


น้าและหลานคู่นี้นั่งอยู่อย่างอย่างสงบและเงียบราวกับไม่มีการไหวติง และไม่มีใครที่พูดขึ้นมาเป็นเวลานาน


ทันใดนนั้น มีเสียงก้าวเท้าอย่างรวดเร็วดังขึ้นด้านนอก เสียงเดินนี้มาถึงประตูแลเปิดมันออก และเสียงนั้นร้องดังขึ้น


“ แม้ทัพสาม โจวเจียนฮั่นขุนพลแห่งอาณาจักรยูถัง ต้องการที่จะเข้ามาคาราวะต่อท่านแม่ทัพ ท่านแม้ทัพ โปรดออกคำสั่งด้วย ! ”


“ โจวเจียงฮั่น ?! ”


ดูเหมือนว่าจวินวูอี้จะสับสนเนื่องจากเขาไม่เคยคาดคิดว่าศัตรูของพี่ของเจาจะมาที่นี่ !


“ บอกให้เขาเข้ามา ข้าอยากจะพบเขา มันเป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้พบเพื่อนเก่า ! ”


“ ขอรับท่านแม่ทัพ ! ”


นายทหารหนุ่มรับคำสั่ง และเดินจากไป


ไม่นานหลังจากนั้น มีเงาสีดำค่อยๆปรากฏตัวขึ้น ชายผู้นี้สูงอย่างผิดปกติ และใส่ชุดสีดำ นาฬิกาสีดำ และแม้แต่หน้ากากสีดำ ดูราวกับว่าทั้งร่างของคนผู้นี้ทำมาจากโลหะสีดำ แต่ละก้าวของเขานั้นทรงอำนาจราวกับเสือ เขามองตรงไปข้างหน้า ทหารของอาณาจักรเทียนเชียง ที่ยืนเรียงแถวอยู่ทั้งสองฝั่งทางเดินมองไปที่เขาด้วยสายตาที่เป็นศัตรู แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจพวกนั้นเลย !


คนผู้นี้ผอม สูง และมีไหล่ที่กว้าง แขนที่ยาว จมูกเป็นสัน และดวงตาที่คมกริบ ริ้วรอยบนใบหน้าของเขานั้นคมกริบดูราวกับว่าพวกมันโดนกรีดด้วยมีด กลิ่นไอที่น่ากลัวแห่งสงครามหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขา ขณะที่เขายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่มองไปด้านข้าง หรือหันกลับไปด้านหลังเลย !


ชายผู้นี้เข้ามาเพียงผู้เดียว !


เขาเสี่ยงเข้ามาในค่ายของศัตรู เพื่อทำความเคารพต่อศัตรูที่ตายไปแล้วของเขา ! ด้วยตัวเขาเอง !


ชายผู้นี้คือ โจเจียนฮั่น !


ว่ากันว่ากล้าหาญกินกว่ากระบี่ !


กล้าหาญและองอาจมากพอจนเป็นขุนพลที่ได้รับเครื่องประดับยศมากที่สุดในอาณาจักรยูถัง !


โจวเจียนฮั่นเดินใกล้เข้ามาและมาหยุดอยู่ตรงหน้าของจวินวูอี้


“ จวินวูอี้ ในที่สุดเราได้พบกันอีกครั้งหลังจากหลายปีมานี้ ”


เสียงที่ทรงพลังและก้องกังวาลของเขานั้นยังคงยับยั้งเสียงร้องเรียกการต่อสู้ได้ !


จวินวูอี้ไม่ได้มองกลับไปที่เขา และยังคงมองต่ำลงไปบนพื้น


“ โจวเจียนฮั่น ข้ารอที่จะเจอเจ้ามาเป็นเวลานาน ! นานจริงๆ ! ”


“ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ ? ไม่มีสกุลจวินในสงครามมาเป็นสิบปีแล้ว …. ”


น้ำเสียงของโจวเจียนฮั่นดูเหมือนจะจริงใจ


“ … ข้า โดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ! ”


“ หากยังมีสกุลจวินอยู่ในสมรภูมิในรอบสิบปีนี้ ข้ากลัวว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสที่จะมายืนตรงหน้าเขาและอธิบาย ”


จวินวูอี้มองไปที่เขาอย่างเยือกเย็น


“ เพราะว่าเจ้าได้เกิดใหม่ไปแล้ว ! ”


แม้ว่าประโยคนี้ค่อนข้างจะหยิ่งทะนง แต่โจวเจียนฮั่นนั้นสามารถบอกได้อย่างชัดเจนจากน้ำเสียงของผู้พูดว่าเขากำลังปิดบังโศกเศร้าเอาไว้ ซึ่งยืนยันว่านั่นเป็นจวินเพียงคนเดียวที่มีค่าพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอย่างแท้จริง ! อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้อหลังคำพุดของจวินวูอี้อย่างชัดเจน แต่เกียรติของทหารที่อยู่ภายในยังคงรู้สึกถึงการร้องเรียกการต่อสู้อยู่ในตอนนี้ !


“ ใช่ หากสิบปีมานี้เจ้ายังคงอยู่ในสนามรบ บางทีข้าอาจจะพบว่าตัวเองถูกฝั่งอยู่ใต้ผืนดินแล้ว ! แต่เจ้าไม่ได้อยู่ที่นั้น ! ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่ที่นั่น ? ”


โจวเจียนฮั่นดูเหมือนจะโกรธเล็กน้อย


น้ำเสียงของขุนพลแห่งยูถังที่มีชื่อเสียงนั้นทำให้จวินวูอี้สับสน ในขณะที่จวินโม่เซี่ยถึงกับต้องเกาหัว 


 ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ? แม้ว่าเขาจะชนะสงครามภายใต้สถานการณ์ที่น่าสงสัย แต่เขาก็เป็นขุนพลเพียงคนเดียวที่เอาชนะ ขุนพลขาว จวินวูเห่ยในการต่อสู้ได้ และเป็นเพียงคนเดียวที่จวินวูเห่ยไม่สามารถเอาชนะได้ นอกจากได้เผชิญหน้ากับพี่น้องจวินทั้งสามมาหลายปีแล้ว เขาก็ยังได้เห็นจวินสองคนตายไป และคนที่สามนั้นพิการ เขารู้ดีว่าน้าสามนั้นไม่สามารถที่จะต่อสู้กับเขาในสมรภูมิได้หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ แต่คนผู้นั้นยังคงต้องการจะต่อสู้และเอาชนะเข้า ? คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ ?


โจวเจียนฮั่นเดินต่อไปยังรูปปั้นของจวินวูเห่ย และหยุดลง เขายืนอย่างสงบเป็นเวลานานพร้อมด้วยใบหน้าที่จริงจัง ร่างของเขาตั้งตรงอย่างสวยงาม แต่แววตาของเขาแสดงถึงความเคารพอย่างจริงใจ จากนั้น เขาโค้งลงไปเสมอเอว และไม่ยอมยกตัวขึ้นมาเป็นเวลานาน


หลังจากที่เขายืดตัวขึ้นอีกครั้ง และมองตรงไปยังดวงตาที่เป็นหินของศัตรูด้วยแววตาที่ยกย่องเชิดชู ! เขาถอนหายใจและพูด


“ จวินวูอี้ เจ้ารู้อะไรไหม ? ข้า โจวเจียนฮั่น ได้เข้าร่วมกองทหารตั้งแต่ยังหนุ่ม และใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการต่อสู้กับยอดขุนพลมากมายในสมรภูมิ ข้าแพ้และชนะวีรบุรุษมากมายในโลกนี้ แต่มีเพียงผู้เดียวที่สามารถมากพอที่จะทำให้หัวใจของโจวเจียนฮั่นรู้สึกถึงความยกย่องได้ ! จะมีเพียงคนเดียวที่ข้าจะโค้งคำนับให้ ! ”


“ ชายผู้นั้นมีนามว่า จวินวูเห่ย ! ”


Translate by iHaveNoName

 

 

 


ตอนที่ 200

 

โจเจียนฮั่นเพ่งมองไปยังรูปปั้นของศัตรูของเขาด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพ


“ จวินวูเห่ยและข้า ได้ประจันหน้ากันในสงครามมายี่สิบเก้าครั้ง โดยไม่สนใจถึงความแข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดของข้า และข้าแพ้เสมอ ไม่ว่าข้าจะโจมตีด้วยกลยุธใดก็ตาม ไม่ว่าข้าจะคิดคำนวนวอย่างไร ไม่ว่าข้าจะวางแผนการซุ่มโจมตีอย่างไร จวินวูเห่ยก็สามารถมองเห็นมันได้อย่างทะลุปรุโปร่งไปทุกอย่าง ”


“ แม่ทัพขาวสามารถมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ! ”


คำพูดเช่นนั้นน่าจะเป็นคำชมเชยที่ดีและยิ่งใหญ่ที่สุดที่ศัตรูจะสามารถมอบให้เขาได้ !


จวินวูอี้ไม่มีอะไรที่จะเพิ่มเติมในการยกย่องนี้ แต่คำพูดเหล่านี้ทำให้เขานึกถึงพี่ชาย และหัวใจของเขาก็พลุ่งพล่านไปด้วยความภาคภูมิใจอีกครั้ง


นายน้อยจวินเฝ้ามองโจวเจียนฮั่นอยู่อย่างเงียบๆตลอดเวลา และสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าอันรุนแรงในน้ำเสียงของชายผู้นั้นที่ไม่สามารถเอาชนะแม่ทัพผู้นี้ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าเขาจะจะต้องทนทุกข์ในการต่อสู้อย่างไร เขาก็ยังคงต้องรวบรวมพลังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และต้องลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมสงครามอีกนับร้อย ! นี่คือคุณลักษณะที่พิเศษของแม่ทัพที่ควรมี และจวินโม่เซี่ยสัมผัสได้ว่าชายผู้นี้มีมันอยู่ !


“ ประเทศของพวกเราทำสงครามใส่กันในเวลานั้น และแม้ว่าจวินวูอเห่ยและข้าได้พบกันอยู่หลายครั้ง แต่พวกเราก็ได้พบกันเพียงแค่ในสนามรบพร้อมกับเครื่องแบบทหาร ข้าหวังว่าวันหนึ่งข้าจะได้พบศัตรูที่กล้าหาญและน่าหวาดกลัวนี้ในฐานะของคนธรรมดา แล้วข้าก็จะดื่มสุรากับเขาพร้อมกับสนทนากัน ! และช่วงเวลานั้นก็มากเพียงพอแล้วในช่วงชีวิตสุดท้ายของข้า ! ”


ดูเหมือนว่าในจุดนี้โจวเจียนฮั่นกำลังพูดออกมาจากความรู้สึก


“ อย่างไรก็ตาม ความปราถนาอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่เสมอในชีวิตของข้านั้น คือข้าจะต้องเอาชนะจวินวูเห่ยได้สักครั้งหนึ่ง และเชื่ออย่างนั้น จากนั้นข้าจะตัดหัวเขาด้วยกระบี่ของข้า ละข้าจะฝังเขาไปพร้อมกับเกียรติยศทั้งหด ! ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะทำให้ข้าพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชแค่ใหน ไม่ว่าเขาจะทำให้ข้าผิดหวังมากมากเท่าใหร่ ข้าก็ยังจะต้องยืนหยัดอยู่บนลำแข้งของข้า เพราะค่าเชื่อในความฝันของข้า ! ข้าจะลุกขึ้นมาเสมอ แล้วข้าก็จะต่อสู้กับศัตรูของข้า ! ข้านั้นแพ้สงครามมานับร้อยครั้ง แต่ข้าก็ยังคงกลับไปต่อสู้อีก ! การตายของแม่ทัพที่หลักแหลมเช่นนี้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่น่าคลางแคลงใจเช่นนี้ คือความน่าเศร้าสลดที่ข้าสามารถจะจิตนาการได้ ! ”


“ ความตายอันน่าเศร้าที่ลึกลับของเขา ? ”


จวินวูอี้ลืมตาขึ้นทันที และมองไปที่เขาอย่างยือกเย็น


“ โจวเจียนฮั่น เจ้าพยายามจะพูดอะไร ? เจ้ารู้อะไรมา ? ”


ความตายอย่างลึกลับของพี่ชายทั้งสองและหลานชายทั้งสองของเขานั้นคือปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา และแม้ว่าเข้าจะเชื่อว่ามืองพายุหิมะจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เขาก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ จวินวูอี้พยายามที่จะหาหลักฐานที่เป็นรูปธรรมอย่างร้อนรน และทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าโจวเจียนฮั่นได้รู้อะไรบางอย่างในเรื่องนี้ !


โจวเจียนฮั่นหันมองไปที่เขา


“ ข้ารู้อะไร ? ข้าคือทหารของศัตรู ดังนั้น หากข้าบอกอะไรบางอย่างแก่เจ้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องเชื่อข้า ?! จวินวูอี้ แม้ว่าเจ้าจะทุบตีข้า แต่ข้าจะไม่นับถือเจ้า ! โจวเจียนฮั่นนั้นจะยกย่งอศัตรูเพียงหนึ่งเท่านั้น จวินวูเห่ย ! หากจวินวูอเห่ยยังไม่ตาย ข้าก็ต้องการที่จะสังหารเขา ! ถึงแม้ว่าเขาจะตายในการสู้รบกัยข้า แต่ภายใต้สถานการณืที่คลุมเครือและข้าโจวเจียนฮั่นจะไม่ว่าร้าย หรือข้ารู้อะไรในเรื่องการตายของเขา ! ”


“ เมื่อสิบปีก่อนข้าคิดว่าข้าถูกจวินวูเห่ยเอาชนะได้แล้ว แต่ข้ากลับสามารถเอาชนะเขาได้อย่างไม่คาดฝัน และจากนั้นเขาก็ตาย ! ชัยชนะนี้คือความพ่ายแท้ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า และนี่คือความพ่ายแพ้ที่สิ้นสุดไปแล้ว ! ”


โจวเจียนฮั่นยิ่งอย่างชั่วร้าย แต่มีร่องรอยแห่งความโศกเศร้าอยู่มากมายบนใบหน้าของข้า


“ ชัยชนะนั้นคือการดูถูกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า ! ”


ตอนนี้ จวินวูอี้เริ่มเข้าใจถึงความหมายที่อยู่เบื้อหลังคำพูดของโจวเจียนฮั่น และพึมพัมกับตัวเอง


“ แล้วเขาก็ต้องการที่จะรู้ความจริง ? ”


โจวเจียนฮั่นมองไปที่เขาอย่างเยือกเย็น


“ หากข้าเอาชนะและสังหารเขาได้จริงๆ ข้าคงป่าวประกาศอย่างหยิ่งทะนงไปทั่วทั้งโลกแล้ว และข้าก็จะป่าวประกาศอย่างที่เจ้าไม่เคยเห็นผู้ใดทำมาก่อน ! ชัยชนะนั้นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า แต่มันไม่เป็นความจริง ! ความสำเร็จนี้จะต้องไม่เป็นของข้า แต่มันได้ผูกเอาไว้กับชื่อของข้า และนี่ สำหรับโจวเจียนฮั่น มันคือความอับอายอย่างที่สุด ! ความอับอายที่ข้าไม่สามารถลบล้างไปได้ ! ข้าไม่สามารถเผชิญกับมันได้ และข้าต้องการที่จะแก้แค้นเขา ! จวินวูอเห่ยคือทหารตัวจริง และเขาจะต้องตายจากการต่อสู้ในสนามรบ ไม่ใช่ แผนการชั่วร้าย ! ข้าไม่สามารถที่จะยอมรับผลนี้ได้ และข้าเชื่อว่าเขาก็จะไม่ยอมรับมันเช่นกัน ! ”


“ เจ้าคือน้องชายของเขา บางอย่างจะต้องอยู่ในตัวเจ้าเช่นกัน …. ”


โจวเจียนฮั่นยิ้มอย่างเยาะเย้ย


“ เจ้าก็เป็นทหารมิใช่หรือ ? หากมีคนอื่นโยนความสำเร็จนี้มาใส่ในมือเจ้า แล้วเจ้าจะทำอะไร ? เจ้าเป็นทหารมิใช่หรือ ? เจ้าจะยอมรับมันไหม ? บางที บางคนอาจจะป่าวประกาศอย่างลับๆ แต่ข้า โจวเจียนฮั่นไม่สามารถทำได้ ! ”


จวินวูอี้ไม่มีอะไรจะพูด


“ จวินวูอี้ ข้าขอถามเจ้า ! จวินวูเห่ยตายได้อย่างไร ? เจ้าพ่ายแพ้ได้อย่างไร ? ”


โจวเจียนฮั่นเกือบจะถลึงตาใส่จวินวูอี้


“ บอกข้ามา และบอกความจริง ! ”


“ ความจริง …. ”


จวินวูอี้พยักหน้าขณะที่ใบหน้าของเขากระตุก


“ … ข้าก็ต้องการที่จะรู้ความจริง ”


ด้วยคุณงามความดีของแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงห่งอาณาจักรยูถัง โจวเจียนฮั่นสามารถที่จะเรียกสายลม และสายฝนได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับอำนาจดั่งเช่นเมืองพายุหิมะขาว เขานั้นเป็นเพียงแค่มดปลวก


แม้ว่าจวินวูอี้จะไม่ต้องการให้ศัตรูดั่งเช่นโจวเจียนฮั่นมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่โจวเจียนฮั่นและจวินวูอี้นั้นเชื่ออย่างหนักแน่นว่า กระดูกของทหารจะต้องอยู่ในสมรภูมิเท่านั้น แม้ว่า เขาต้องการให้โจวเจียนฮั่นตาย เขาต้องการให้คนผู้นั้นตายในการต่อสู้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยน้ำมือของเขา ! แต่กระนั้น เขาก็ไม่ต้องการให้โจวเจียนฮั่นต่อสู้กับเมืองพายุหิมะขาวเพื่อที่จะแก้แค้นให้กับจวินวูเห่ย และต้องพบจุดจบภายใต้สถานการณ์ที่น่าคลางแคลงใจ !


ในความจริง จวินวูอี้ทำได้เพียงคาดเดาถึงความจริง เนื่องจากเขาไม่มีหลักฐานที่เกี่ยวกับเมืองพายุหิมะขาว ! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่กล่าวโทษความเกลียดของตัวเอง และบังคับให้เขาต่อสู้กับผู้ใดก็ตาม !


“ เจ้าไม่สามารถที่จะต่อกรกับเขาได้ เจ้าไม่แม้แต่สามารถที่จะต่อสู้กับพี่ใหญ่หรือพี่รองของข้า หรือข้าได้ ! ”


จวินวูอี้ตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น


“ โจวเจียนฮั่น เจ้าไม่ควรที่จะประเมิณความสามารถของตัวเจ้าเองสูงเกินไป ! แม้ว่าข้าหวังว่าเจ้าจะตายในไม่ช้า แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าตาย อย่างที่พี่ชายของข้าตาย !  กระดูกของทหารจะต้องอยู่ในสมรภูมิเท่านั้น ! ”


“ ดังนั้น เจ้าก็รู้ว่าเจ้าทั้งสามนั้นถูกโจมตี และข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในสิ่งที่เกิดขึ้น ? ”


ดูเหมือนว่าโจวเจียนฮั่นจะตระหนกในเรื่องนี้


“ แน่นอนว่าเจ้านั้นอาจจะได้รับการยกย่องว่าเป็นขุนพลที่สำคัญที่สุดแห่งอาณาจักรยูถัง แต่เจ้าก็ยังไม่มีความสามารถที่จะเอาชนะพี่น้องจวินได้ ! ”


จวินวูอี้คำรามทางจมูก


“ แต่เจ้าเพียงแค่ไม่สามารถทำได้ ! ”


“ ขอบคุณ ! ขอบคุณ ! ”


แม้ว่าจวินวูอี้จะดูถูกเขา แต่โจวเจียนฮั่นดูเหมือนจะมีความสุข ขอบคุณ และตื่นเต้นอย่างมาก !


“ จวินวูอี้ เจ้าจะเป็นแม่ทัพที่มีชัย แต่เจ้าจะไม่เคยรู้ถึงภาระที่ชัยชนะเหล่านั้นได้ฝากเอาไว้ ! ข้าไม่เคยพ่ายแพ้การต่อสู้ในสิบปีที่ผ่านมานี้ … ข้าอาจจะโดนโจมตีอย่างหนัก แต่ข้าก็โต้ตอบกลับไปและชนะเสมอ … แต่ ตั้งแต่ที่ข้าไม่สามารถที่จะเอาชนะพี่น้องสกุลจวินได้ ไม่ว่าข้าจะไปที่ใหน … ข้าจะรู้สึกว่ามีบางคนที่ชี้มาที่ข้าและพูดว่า … เจ้าเห็นชายผู้นั้นไหม เขาเป็นคนที่โชคดีอยู่เสมอ … ไม่ว่าเขาจะพ่ายแพ้ขนาดใหน สุดท้ายเขาก็ยังชนะ เพราะว่าเขานั้นเป็นแม่ทัพที่โชคดี … โชคคือความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ …. ”


“ นี่คือความอัปยศอันยิ่งใหญ่ของทหารทุกคน ! ทหารที่แท้จริงจะไม่เชื่อในโชค ! ความแข็งแกร่งคือทุกๆอย่าง ! ”


เสียงของโจวเจียนฮั่นเริ่มดังขึ้น จนดูเหมือนว่าเขาเกือบจะคำราม อย่างบ้าคลั่ง


“ ข้าไม่มีความแข็งแกร่งที่จะเอาชนะหรือ ? ข้าไม่เคยแพ้สงครามในสิบปีมานี้ ! ไม่ว่าข้าจะโดนโจมตีอย่าหนักสักเพียงใด ข้าก็ตอบโต้กลับไป และสุดท้ายข้าก็เป็นผู้ชนะ ! ทำไมทุกคนถึงบอกว่าข้านั้นโชคดี ? ข้าอยากจะตายก่อนที่จะยอมรับชัยชนะด้วยโชคชะตาอันบิดเบี้ยวของข้า ! ”


จวินโม่เซี่ยเฝ้ามองโจวเจียนฮั่นตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามา และสามารถสัมผัสได้ว่าชายผู้ที่คือทหารที่แท้จริง ! การได้ยินคำพูดเหล่านี้ทำให้เขามั่นใจอย่างมาก


บางครั้ง จวินโม่เซี่ยไม่ได้เห็นด้วยกับคำโม้โอ้อ้วดและอุดมการณ์ของคน แต่เขาก็อดที่จะยกย่องพวกเขาไม่ได้ 


 เขาคือทหารที่แท้จริง ! บุรุษเลือดเหล็กแห่งกองทัพที่แท้จริง !


ยึดหลังมองตรง ! ผู้ชายที่แท้จริงและกระบี่ที่แท้จริงนั้นไม่เชื่อในโชค และโชคชะตา ! หากพวกเขาเผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาจะยืนหยัดที่จะเผชิญกับมัน ! พวกเขาอาจจะตาย แต่พวกเขาจะตายในการต่อสู้เสมอ !  พวกเขาตายด้วยท่าทางที่มุ่งไปข้างหน้า เพื่อปกป้องความภาคภูมิใจและเกียรติยศของประเทศชาติ ราวกับกำแพงที่อยู่ไปชั่วกัปชั่วกัล ไม่เต็มใจที่จะย้ายไปใหน เพื่อประโยชน์ของคุนรุ่นหลัง และอนาคตของประเทศชาติ !


จวินโม่เซี่ยสามารถมองเห็นความภาคภูมิใจอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นลักษณะของทหารที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน ในคำพุดและภาษากายของจวินวูอี้และโจวเจียนฮั่น !


ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือศัตรู ทหารเช่นนี้ก็มีค่าพอที่จะชื่นชม


เขาสามารถสัมผัสได้ว่าหากมีแม่ทัพคนใดที่สามารถจะเทียบคำพูดได้กับ คำพูดของโจวเจียนฮั่นได้ในวันข้างหน้า ผู้ที่พูดนั้นก็ไม่สามารถที่จะเทียบความกล้าหาญและอุดมการณ์ของแม่ทัพผู้นี้ได้ !


จวินวูอี้แล้วโจวเจียนฮั่น ทั้งสองนั้นเคยเป็นศัตรูกัน และพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องต่อหน้ารูปปั้นของจวินวูเห่ยอยู่เป็นเวลานาน และแม้ว่าพวกเขานั้นจะประชันกัน แต่น้ำเสียงแห่งความเห็นใจ และความเคารพนั้นยังคงเต็มเปี่ยมอยู่ในภาษากายของพวกเขา


จวินโม่เซี่ยไม่รบกวนพวกเขาเลย เนื่องจากเขารู้ว่านี่คือช่วงเวลาของพวกเขาทั้งสอง และปล่อยให้พวกเขานั้นอยู่กันตามลำพัง ! ทหารผ่านศึกทั้งสอง ศัตรูทั้งสองนี้ ทหารเลือดเหล็กทั้งสอง


สุดท้าย ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ โจวเจียนฮั่นได้กล่าวประโยคที่ทำให้จวินโม่เซี่ยสนใจ


“ ไม่มีสกุลทางทหารในเมืองเทียนเชียงสกุลใดนอกจากสกุลจวิน และสกุลตู่กู้ ที่กำลังมองหาความน่าสงสัยในจุดจบของพวกเขา ”


“ เจ้ากำละงจะบอกอะไร ? ”


จวินวูอี้ถาม


“ เจ้ามีข่าวอะไรพี่โจว ? ประเทศนั้นหันมาต่อต้านพวกเรา ? ”


“ ประเทศหันมาต่อต้านพวกเจ้าหรือ ? ”


โจวเจียนฮั่นยิ้มอย่างชั่วร้าย


“ ข้ามาที่นี่พร้อมกับที่ปรึกษาราชสำนักแห่งอาณาจักรยูถัง และองค์ชายทั้งสามของเจ้านั้นได้มาพบพวกเรา และ ฮ่าฮ่า ความคิดของพวกเขานั้นช่าง … ฮ่าฮ่า … ”


ในตอนนี้ โจวเจียนฮั่นยืนหลังตรง และเสียงที่ต่ำของเขาฟังดูเหมือนจะเยาะเย้ยจวินวูอี้


“ องคฺชายทั้งสาม พยายามที่จะแบ่งแยกอาณาจักร แต่องค์จักรพรรดิของเจานั้นยังคงหนักแน่นในการรักษาความสมดุลและความเป็นหนึ่งเดียว อย่างไรก็ตาม องค์ชายทั้งสามนั้นใจร้อนอย่างมาก และไม่สามารถรอคอยความสำเร็จของพวกเขาได้นานนัก ซึ่งทำให้การก่อกบฏ นั้นเป็นทางเลือกเดียวของพวกเขา สกุลจวินและสกุลตู่กู้นั้นจงรักภักดีกับหยางหวยยู่อย่างมาก ซึ่งทำให้สกุลทั้งสองนั้นคือไม้ท่อนใหญ่ที่ขวางทางอยู่ และพวกเขาต้องการที่จะกำจัดไม่ว่าต้องสูญเสียสักเท่าใหร่ก็ตาม สกุลตู่กู้มีลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน และนางก็สามารถถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองที่สำคัญได้ และหากองค์ชายหนึ่งในสามขอนางแต่งงาน … แม้ว่าสกุลจวินจะแต่งกับองค์หญิง มันก็เป็นเพียงความกรุณาของพระองค์ และจะไม่ขัดขวางแผนการขององค์ชายทั้งสาม ”


จวินวูอี้มองต่ำลง


“ เป็นเช่นนั้นหรือ ? ”


Translate by iHaveNoName

 

 

 


ตอนที่ 201

 

“ นั่นเป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้นของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ”


โจวเจียนฮั่นพูดอย่างเยือกเย็น  


“ แผนการนี้ต้องมีการวางแผนการที่จริงจังจำนวนมาก่อนที่จะเริ่มมีการดำเนินการ จากทั้งหมดนี้ สกุลจวินนั้นเป็นสกุลทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเชียง และแม้ว่าองค์จักรพรรดิจะไม่กังวลในสกุลของเจ้า อย่างไรก็ตาม แผนการของพวกเขาก็ดูเหมือนจะชัดเจนอย่างมาก ”


“ ฮ่าฮ่า กลิ่นนมแม่ของพวกเขายังไม่แห้งเลย และเด็กทั้งสามคนนั้น คิดจะเอาสกุลของข้าเป็นเป้าหมาย … ”


จวินวูอี้หัวเราะอย่างเยือกเย็น


“ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความจริงที่ว่า สกุลตู่กู้นั้นยังไม่สามารถหาคนที่คู่ควรกับลูกสาวของเขาได้ และทำให้สถานะของพวกเขานั้นไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ ”


โจวเจียนฮั่นพยักหน้า


“ ซื่อสัตย์มาก ข้าก็มองไปถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน หากสกุลหลักทางการทหารของอาณาจักรเทียนเชียงต้องแตกแยกกัน … หากเสาหลักของอาณาจักรนั้นแตกหัก นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรา และข้าสามารถนำพากองทัพของข้าเข้ามาทำลายกองกำลังของเจ้าได้ภายในชั่วพริบตา และจากนั้นจากนั้นข้าก็สามารถขยายแผนที่ของยูถังได้อย่างง่ายดาย ! มันจะน่าประหลาดใจสักเพียงใด หากข้าสามารถผนวกรวมทั้งโลกนี้เข้าด้วยกันได้ภายในการเคลื่อนพลเพียงครั้งเดียว ?! ”


“ เจ้าบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม ? มันมีอะไรสำหรับเจ้า ?! ”


จวินวูอี้คำรามทางจมูก


“ ข้าไม่สามารถปิดบังสิ่งนี้ต่อหน้าจวินวูเห่ย ! ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าเพราะว่าเจ้านั้นเป็นคนในสกุลของจวินวูเห่ย และเขานั้นเป็นู่ต่อสู้ที่น่าเคารพมากที่สุด ”


โจวเจียนฮั่นหันหน้าและมองไปยังรูปปั้นของจวินวูเห่ยอีกครั้ง จากนั้นเขาก็พูดช้าๆ


“ ข้ากำลังมองไปยังชายและหญิงที่เกิดมาในสกุลจวินด้วยความสามารถของจวินวูเห่ย แต่กระนั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้สกุลที่เป็นวีรบุรุษต้องดับสูญไปด้วยพลังด้านมืด ”


“ นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำให้แก่ ผู้ ที่หัวใจข้าเคารพนับถือได้ ”


โจวเจียนฮั่นยืนหลังตรงและเดินตรงไปยังรูปปั่นของจวินวูเห่ยอีกครั้ง มองขึ้นไป และเพ่งมองอยู่เป็นเวลานาน แล้วเขาหันหน้ามาในทันที


“ ข้าต้องขอตัว ! ”


“ ข้าไม่ต้องการจะเจอกับเจ้าอีก ! ”


จวินวูอี้พูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด และจากนั้นเขาพยักหน้า


“ … และข้าจะไม่ขอบคุณเจ้า ! ”


โจวเจียนฮั่นยืนนิ่งอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะยิ้มให้กับจวินวูอี้ และถามด้วยน้ำเสียงที่แหบห้าว


“ เจ้าไม่อยากจะเจอข้าหรือ ? ”


ในขณะที่เขาถามเสียงของเขาเบาลงในทันที


“ ข้าไม่สำคัญมากพอหรือ ? หรือบางทีข้าอาจจะไม่มีค่ามากพอ ? ”


จวินวูอี้เงียบอยู่สักพัก แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มและพูด


“ เป็นเช่นนั้น ”


“ เข้าใจแล้ว ”


โจวเจียนฮั่นสูดหายใจลึก


“ เมื่อข้าจากไป ข้าจะกลับไปยูถังในทันที ! จวินวูอี้ หากเราได้พบกันอีกในสมรภูมิ … จงอย่าลังเล และอย่าได้คิดว่าข้าจะไม่โจมตีเจ้าอย่าไร้ความว่านี้เพราะเรื่องในวันนี้ ! ”


ด้านข้างๆของใบหน้าของเขา แสดงถึงร่องรอยแห่งความเศ้ราโศก


“ ตลอดหลายปีมานี้ ข้าเฝ้ารอเพื่อสิ่งนี้ และข้าก็เหนื่อยแล้ว ! ขุนพลผู้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้ .. แต่ข้านั้นเป็นเพียงขุนพลที่โชคดี ! ”


เมื่อเขาพูดประโยคสุดท้ายจบ เขากลับหลังและเดินจากไป .. โดยที่ไม่มองกลับมา .. โดยที่ไม่พูดอะไรอีกแล้ว เงาอันหดหู่ของเขาเดินจากไป ชุดคลุมสีดำของเขาปลิวสบัดด้วยสายลม หัวของเขาตั้งตรง และร่างของเขาก็ค่อยๆหายไปช้าๆอย่างไร้ร่องรอย …


ทหารของอาณาจักรเทียนเชียงที่อยู่ทั้งสองฝั่งของทางเดินนั้น ทำได้เพียงแค่เพ่งมองไปยัง แม่ทัพของศัตรูด้วยความเกรงขาม


“ ชายผู้นี้ช่างหยิ่งทนงยิ่งนัก ”


จวินวูอี้กระซิบขณะที่เขาเพ่งมองไปยังร่างที่กำลังหายไปของโจวเจียนฮั่น


“ ในอตีด พี่ใหญ่เคยพูดว่า ความหญิ่งทะนงในตัวของเขานั้นคือจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ และสามารถที่จะใช้เพื่อล่อให้เขาไปติดกับดักได้ และเขาก็ก้าวเข้าไปในกับดักนั้นทุกครั้งโดยที่ไม่ได้เตรียมตัว ”


จวินโม่เซี่ยอดที่จะกลั้นขำไม่ได้


“ ใช่ แต่ตอนนี้เขาควรจะตายไปแล้วเป็นร้อยครั้ง … การที่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายสำหรับเขา ”


“ แม้ว่าชายผู้นี้จะหยิ่งทะนง แต่ความหยิ่งทะนงนี้ คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของเขา เขานั้นเชี่ยวชาญในทุกรูปแบบการต่อสู้ ทุกกลยุทธ์ของการซุ่มโจมตี และความรู้ในเรื่องการสู้รบของเขานั้นอยู่เหนือกว่าทุกคน ด้วยความสามาถของเขา เหตุใดเล่าเขาถึงไม่ควรหยิ่งทะนง ? หากข้าเป็นเขา ข้าก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ! ”


จวินวูอี้ยิ้ม


“ และพ่อของเจ้า ก็นับถือความสามารถที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เสมอ แม้ในช่วงที่สิ้นหวังมากที่สุด ชายผู้นี้ก็ไม่เคยยอมแพ้ ความจริงเขาไม่เคยยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้มาหลายครั้ง … พ่อของเจ้าและข้า เคยคุยกัน และเขาเคยบอกข้าว่าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ ! โจวเจียนฮั่น คือชายที่ยอดเยี่ยม ! เขาไม่เคยยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะเจอกับสถานการณ์ที่รุนแรงขนาดใหนก็ตาม ! ”


จวินโม่เซี่ยทำได้แค่เห็นด้วยความคำพูดนี้อยู่ในใจ 


 การแล่นเรือใบโดยไม่มีลมนั้นมิใช่ความสามารถที่น่านับถือ การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากและต่อสู้เพื่อความอยู่รอด และตอบโต้กลับไปนั้นคือสัญญาณแห่งวีรบุรุษตัวจริง !


“ ในเวลานั้น เมื่อพวกเราพยายามศึกษาโจวเจียนฮั่น และมันก็เป็นคำพูดและการกระทำของเขาที่ช่วยให้พ่อของเจ้าตัดสินใจเลือกกลยุทธ์เพื่อต่อสู้กับโจวเจียนฮั่น ”


คำพูดของจวินวูอี้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งทะนง


“ และกลยุทธ์ของเขานั้นยังสามารถใช้ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโจวเจียนฮั่น ! ”


“ ห๊ะ ? ”


จวินโม่เซี่ยสนใจอยากจะรู้เรื่องนี้มากขึ้น


“ ในตอนนั้นโจวเจียนฮั่นนั้นคืออัศวินหนุ่มผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในอาณาจักรยูถัง และเสนาบดีผู้มีชื่อเสียงในอาณาจักรคนหนึ่งต้องการจะมอบลูกสาวของเขาให้แต่งงานกับโจวเจียนฮั่น แต่หญิงคนนั้นอ้วนและน่าเกลียดอย่างมาก ”


จวินวูอี้ยิ้ม


“ ในตอนนี้ โจวเจียนฮั่นพูดอย่างเถรตรงต่อหน้าเหล่าเสนาบดีทั้งหลายว่า หญิงสาวที่น่าเกลียดเช่นนี้ มีค่าพอกับขุนพลผู้ฉลาดหลักแหลมได้อย่างไร ? ”


จวินโม่เซี่ยหัวเราะลั่น


“ ครั้งแรกที่พี่ใหญ่ได้ยินเรื่องนี้ เขาพูดว่า โจวเจียนฮั่นนั้นหยิ่งทะนง ไม่เข้าใจในอำนาจทางการเมือง และความสามารถนั้นดีเด่นเกินกว่าสหายของเขาทุกอย่าง เขานั้นถือตัวเองอย่างสูง เมื่ออาณาจักรยูถังขาดผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ พวกเขาจะยอมให้เขาแหกกฏเพื่อความรุ่งโรจของเขา แต่มีสิ่งที่แย่สำหรับเขา ความหยิ่งทะนงและรักสันโดษนั้นดีที่จะเรียนรู้คนในทุกแง่มุม แต่ความหยิ่งทะนงก็เป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรงจนทำให้ถึงแก่ความตายได้ ! แม้ว่าในอนาคต เมื่อใดก็ตามที่มีใครสามารถรู้ถึงจุดอ่อนนี้  คนผู้นั้นก็จะสามารถที่จะต่อกรกับโจวเจียนฮั่นได้ ! ”


น้ำเสียงของจวินวูอี้นั้นเต็มไปด้วยความทรงจำ


“ พี่ใหญ่เคยพูดว่า โจวเจียนฮั่นนั้นเป็นขุนพลธรรมดา แต่เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นขุนพลที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรยูถังด้วยเวลาเพียงสองปี ! พี่ใหญ่ยังบอกอีกว่า ความอ่อนแอของเขานั้นก็ยังคงอยู่ การมองหาความอ่อนแอของเขานั้นมิใข่เรื่องยาก แต่การจะใช้จุดอ่อนของเขาเพื่อทำให้ดีกว่าเขานั้นมิใช่เรื่องง่าย เพราะบุคลิคที่มุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งของเขา มันต้องใช้มากกว่าความหายนะที่รุนแรง เพื่อลบล้างจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะกลับมา และนั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พี่ใหญ่ใช้จุดอ่อนของเขาเพื่อเอาชนะเขามายี่สิบครั้ง แต่กลับโชคไม่ดีในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย …. ”


“ มันง่ายที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ แต่มันยากที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของคนคนหนึ่ง ”


จวินโม่เซี่ยถอนหายใจขณะที่ความเคารพอย่างจริงใจต่อพ่อที่เขาไม่เคยได้พบเพิ่มขึ้นในหัวใจของเขา เพียงแค่ประโยคเดียวนี้ก็ได้มอบความรู้เกี่ยวกับขุนพลของศัตรูได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแค่ประโยคเดียวนี้ก็เพียงพอที่จะจับจุดอ่อนของขุนพลของศัตรูได้ 


 ไม่แปลกในเลยที่จวินวูเห่ยนั้นกลายเป็นที่เคารพดั่งเทพเจ้า ในความคิดของทหารในรุ่นของเขา !


หลังจากที่เข้าใจจุดอ่อนของโจวเจียนฮั่น จวินโม่เซี่ยจึงเข้าใจถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความทุกข์ยากของชายผู้นั้นในทันที


เขาเป็นคนหยิ่งทะนง และเป็นนักรบที่แท้จริง ! หากคนเช่นนี้มีความอดทนต่อความอับอายเนื่องจากชัยชนะ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ใส่ใจ และเป็นไปได้ว่าที่เขาอดทนกับมันได้นั้น เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถที่จะหากโอกาสที่จะลบล้างความอับอายของเขาได้ แต่ตอนนี้เขาจะต้องอดทนกับความอับอายบางอย่างที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเขาคือ ชัยชะที่น่าสังสัย !


สำหรับคนหยิ่งทะนงเช่นนี้ ชัยชนะเช่นนี้เป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่าความตาย


ขุนพลผู้โชคดี !


ชื่อนี้ … เป็นความอับอายที่เกินกว่าชายเช่น โจวเจียนฮั่นจะสามารถอดทนได้ และเป็นเหมือนการผูกโซ่ตรวนของเขา ! ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีทางที่จะหนีออกมาจากตรงนั้นได้เลย !


ไม่แปลกใจเลยที่เขาพูดว่า ตลอดหลายปีมานี้ เขาได้อดทนต่อเรื่องทั้งหมดนี้ และตอนนี้ข้าก็เหนื่อยแล้ว !


ในตอนนี้ สุดท้ายจวินโม่เซี่ยก็เข้าใจในความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้อหลังประโยคนี้ สุดท้ายเขาก็เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่ไร้ที่สิ้นสุด ความโศกเศร้าและภาระที่ชายผู้นี้อดทนมาตลอดหลายปี !


บางที ทางเดียวที่เขาสามารถที่จะปลดภาระนี้ออกไปได้ คือการเอาชนะน้องสามแห่งสกุลจวิน หนึ่งในสามของขุนพลจวินที่ยังเหลืออยู่ จวินวูอี้ … แต่โอกาสที่จะคว้าเอาสิ่งนี้ก็น้อยนิดอย่างมาก !


โจวเจียนฮั่นยังคงไม่พ่ายแพ้มาตลอดหลายปี และแม้ว่าเขาจะได้เห็นชัยชนะมากมาย แต่หัวใจของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ ! ดังนั้นเขาจึงติดตามเฟ้ยเมิงเฉินมายังอาณาจักรเทียนเชียงอย่างร้อนใจ แล้วเขาก็จะสามารถแสดงความเคารพต่อรูปปั้นของจวินวูเห่ยได้ ! ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แต่เพื่อที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดที่อยู่ในหัวใจของเขาออกมา !


จากในมุมนี้ คำพูดของโจวเจียนฮั่นที่จะแก้แค้นให้กับความตายของจวินวูเห่นั้นมิใช่คำโกหก ! เพราะ รูปปั้นของจวินวูเห่ยนี้ คือคนเดียวกันกับผู้ที่นำพาเขาให้พบกับความเจ็บปวดที่มากมายเช่นนี้ !


การแก้แค้นจวินวูเห่ยนั้นเทียบเท่ากับการได้ปลดปล่อยความโกรธและความโศกเศร้าของเขาออกมา !


“ ดูเหมือนว่าองค์ชายทั้งสามจะไม่สามารถอดทนรอที่จะครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรได้อีกแล้ว ”


จวินวูอี้พูดขึ้นขณะที่พวกเขากำลังออกมาจากอนุสรณ์สถาน


“ โม่เซี่ย พวกเขาไม่สามารถที่จะกำจัดสกุลตู่กู้และสกุลจวินได้ เพราะสกุลตู่กู้และสกุลจวินนั้นทรงพลังเกินกว่าที่เด็กน้อยจะต่อกรได้ และพวกเขาก็ไม่มีความสามรถมากพอที่จะกำจัดพวกเราออกไปจากเส้นทางของพวกเขา ! อย่างไรก็ตาม การจัดการเจ้าเพียงคนเดียวนั้นง่ายดายมาก ความจริง พวกเขานั้นมีโอกาสที่จะทำได้สำเร็จสูง จากที่ เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุลจวิน และหากเจ้าตายไป ไม่สำคัญว่าปู่ของเจ้าและข้านั้นพยายามอย่างหนักสักเพียงใจ ไม่สำคัญว่าฐานะของสกุลเราจะดีขนาดใหน … มันก็จะไม่มีอะไรเลย เจ้าควรที่จะระวังในเรื่องนี้ ”


“ ท่านน้า ความแข็งแกร่งของข้าอาจจะไม่สูงมาก แต่ … หากพวกเขาต้องการจะสังหารข้า ข้ากลัวว่ามันเป็นการพูดง่ายกว่าทำ ”


จวินโม่เซี่ยยิ้ม และจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาด้วยความเหยียดหยาม 


 ข้าเพิ่งจะรับมือกับการต่อสู้ระหว่างเทพเชวียนหกคนมาในคืนก่อน ข้าก็สามารเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ และจะมีกลลวงในการลอบสังหารอะไรที่จะสามารถจัดการกับข้าได้ ? ด้วยเคล็ดอิสระหยินหยาง แม้แต่แปดยอดปรมาจารย์มาเผชิญหน้ากับข้า ข้าก็สามารถที่จะหนีออกไปได้


“ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาโจมตีข้าก่อน ข้าก็จะไม่แสดงความเมตตาใดๆ ”


ปากของจวินโม่เซี่ยเริ่มโค้งเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย


องค์ชายทั้งสาม ฮ่าฮ่า องค์ชายต้องการให้ข้าตายอย่างนั้นรึ ? ช่างน่าขันเสียจริง ! ข้าอยากจะเห็นว่าองค์ชายทั้งสามจะมีความกล้าอะไรที่จะ,kไล่ตามข้า ! เมื่อข้าต้องการที่จะตอบโต้ ?


“ ไม่แสดงความเมตตาใดๆแก่พวกเขา ? ”


เส้นผมของจวินวูอี้ลอยไปด้านหลังด้วยแรงลม ในขณะที่ดวงตาของเขาดูเหมือนจะอ่อนแรงเล็กน้อยขณะที่เขาพยักหน้า


“ แต่เมื่อเจ้าโจมตีพวกเขา มันจำเป็นอย่างมากที่เจ้าจะต้องไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เบื้องหลัง มิเช่นนั้นมันจะนำพามาซึ่งความรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ”


“ ข้าเข้าใจ ”


จวินโม่เซี่ยหรี่ตาลง ขณะที่เขาดันเก้าอี้เลื่อนของน้าชายไปข้างหน้า 


 ท่านน้า ไม่กลัวที่จะเริ่มต้นปัญหาจริงๆหรือ ?


เมื่อพูดถึงการสิ้นพระชน ข้าเชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในโลกคิดว่าข้าจะมีความสามารถในการทำเช่นนั้น !


ในตอนนี้ มีร่างยืนอยู่บนหลังขาของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงข้าม ที่กระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับนกที่บินหนีไปด้วยกลัวว่าฟ้าจะผ่าใส่มัน ทั้งน้าและหลานเหลือบไปเห็นร่างนี้ และเป็นกัลวนขึ้นมาในทันที


“ เขาเร็วมาก ! เขาเร็วเกินกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกับข้า ! ”


ตาดำของจวินวูอี้ขยายใหญ่ขึ้น


ความคิดของจวินโม่เซี่ยเกิดขึ้นในทันที


แม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่การบินที่ราบเรียบของร่างนั้นเป็นอะไรที่คุ้นเคย ราวกับนกเหยี่ยวที่พุ่งลงมาจากสวรรค์เบื้องบนและเข้ามาสู่โลกในวันนี้ มีเพียงชายผู้เดียวที่มีความสามารถที่จะครอบครองความรวดเร็วและคล่องแคล่วเช่นนี้ และนั่นเป็นผู้อื่นไปไม่ได้นอกจาก แปดยอดปรมาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !


“ ท่านน้าสาม ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนเก่า ข้าจะไปดู ท่านโปรดรอก่อน และอ่าได้เป็นกังวล ”


จวินโม่เซี่ยพูดออกมาอย่างช้าๆ ขณะที่เขาจดจำทิศทางที่ร่างนั้นหายไป


Translate by iHaveNoName

 

 

 


ตอนที่ 202

 

“ ดีแล้ว แต่เจ้าจะต้องระวังตัวนะ ”


จวินวูอี้เห็นด้วยอย่างไม่ลังเล เขารู้แล้วว่า หากหลานชายของเขาต้องการจะไปเพียงตัวเขาคนเดียว เขาจะต้องมีเหตุผลของเขาอยู่แล้ว


จวินวูอี้ค่อนข้างเชื่อใจในความสามารถของหลานชาย และต้องการที่จะกลับไปฝึกฝนเป็นการส่วนตัว แทนที่จะมานั่งกังวลว่าหลานชายของเขาอยู่ที่ใดโดยไม่จำเป็น


เมื่อหลายวันก่อน จวินโม่เซี่ยได้บอกรายละเอียดเคล็ดกระบี่ลึกลับโดยบอกว่าเขาได้พบมันโดยบังเอิญ ตอนแรกจวินวูอี้เยาะเย้ยยว่าเคล็ดนั้นไม่น่าจะถูกต้อง แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ว่าเคล็ดนั้นใช่ได้ผลเป็นอย่างมาก ในความจริง จวินวูอี้หลงไหลในเคล็ดนี้ เพราะว่ามันละเอียดกว่าทุกอย่างที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ และยังสามารถใช้สังหารศัตรูได้โดยการระเบิดพลังออกมา !


ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดนี้เที่ยงตรงอย่างมาก มันยากที่จะหลบหลีกได้หากนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูต้อง ! จวินโม่เซี่ยได้เรียนรู้อาวุธโบราณก่อนที่เขาจะได้มาสิงร่างนี้ และได้ลำดับความรู้เพื่อสร้างเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับนิสัยของจวินวูอี้ขึ้นมา


จวินวูอี้เคยต่อสู้ในสงครามมาหลายครั้งตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาเป็นคนเลือดเย็นแต่เป็นขุนพลที่ใจร้อน ซึ่งทำให้เคล็ดวิชานี้เหมาะสมกับธรรมชาติของเขาได้อย่างสมบูรณ์ !


ด้วยความที่เคล็ดนี้ถูดสร้างมาให้เหมาะสมกับเขา ! ทำให้จวินวูอี้พยายามเรียนรู้มันอย่างบ้าคลั่ง


น้าและหลานคู่นี้แยกทางกัน


จวินโม่เซี่ยสับสนเล็กน้อยตั้งแต่การต่อสู้เพื่อแกนเชวียนจบลง ซึ่งหมายความว่า ยอดฝีมือทั้งหมดที่เคยมารวมตัวกันในเมืองเทียนเชียงก่อนหน้านี้ควรจะแยกย้านกันไปหมดแล้วในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เหยี่ยวผู้โดเดี่ยวยังไปออกจากเมืองไปในตอนนี้ ….


นายน้อยจวินรู้เสมอว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมดที่อยู่เบื้อหลังการกระทำต่างๆของคน แต่เขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นไม่เคยสนใจในแกนเชวียน และมาเพียงเพื่อมองหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมเท่านั้น เขารู้ดีว่าหากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสนใจในแกนเชวียน เขานั้นสามารถจะหนีออกไปพร้อมกันแกนเชวียนได้ตลอดเวลาที่เขาต้องการ และไม่มีผู้ใดที่อยู่ตรงนั้นสามารถขัดขวางเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่สัตว์เชวียนทั้งสองจากป่าเถียนฟาก็ไม่สามารถที่จะไล่ตามเขาได้


แล้ว วันนี้เขามาทำอะไร ?


หรือบางที มีอะไรบางอย่างในเมืองเทียนเชียงที่ทำให้เขาสนใจ ? หรือว่าเขาอาจจะเจอยอดฝีมือที่เขาต้องการจะต่อสู้ด้วยแล้ว ?


จวินโม่เซี่ยได้ทำให้ตัวเองคิดคล้ายกับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งเป็นเหตุที่เขาสนทนากับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเช่นนั้น และได้เสนอสุราชั้นดีแก่เขา


อย่างไรก็ตาม แผนการของเขาก็ถูกดำเนินการไปก่อนกำหนด และการมาถึงอย่างไม่คาดคิดของยอดฝีมือสวรรรค์เชวียนและเทพเชวียนจำนวนมาก ทำให้จวินโม่เซี่ยตกตะลึง


หลังจากนั้น เมื่อการต่อสู้เพื่อแกนเชวียนจบลง เขาก็ได้รู้ว่าเขาสามารถใช้การช่วยเหลือของสัตว์เชวียนทั้งสองจากป่าเถียนฟาเพื่อทำงานที่สำคัญของเขาได้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ต้องใช้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในการทำตามแผนการถัดมาของเขา !


ผลลัพธ์นั้น แม้ว่าเขาจะวางแผนทุกอย่างไว้อย่างแม่นย่ำแล้วก็ตาม เขาก็ยังจำเป็นจะต้องปรับปรุงแผนการของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์


อย่างไรก็ตามหัวใจของนายน้อยจวินยังคงมีความคับข้องใจอยู่บ้างโดยเฉพาะในเรื่องนี้ 


 ข้าใช้เวลาและพลังไปมากมายในการวางแผนการทุกอย่างนี้ และกลายเป็นว่าตอนนี้มันไร้ประโยชน์ ? เวลาและพลังของข้าถูกใช้ไปอย่างไร้ประโยชน์ !


จวินโม่เซี่ยผิดหวังกับตัวเองเล็กน้อย เนื่องจากเขารู้ว่ามันยากที่จะติดตามเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเมื่อเขาออกไปจากเมืองเทียนเชียงแล้ว อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นเงาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในเมืองเทียนเชียงอีกครั้ง  เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป !


ดังนั้นมือสังหารจวินจึงตามหลังอาจารย์ที่หายลับไปด้วยความเร็วสูงสุด !


ความเร็วและความคล่องแคล่วของมือสังหารนั้นไม่เป็นรองผู้ใด แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามผลักดันตัวเองเท่าใหร่ เขาก็ยังคงพบว่าเขาไม่สามารถที่จะไล่ตามเหยี่ยวผู้โดเดี่ยวไปได้ ในความจริง ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ! จะบอกไม่ได้ว่าจวินโม่เซี่ยนั้นขาดฝีมือ ปราณเชวียนของเขานั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ และแม้ว่าการเพาะปลูกของเขาจะแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ล่าช้า แต่ก็ยังเทียบได้เท่ากับยอดฝีมือเชวียนทองกลาง อย่างไรก็ตาม นายน้อยจวินนั้นมั่นใจว่าเมื่อเขาบรรลุไปยังชั้นที่สองของเจดีย์หงษ์จวินแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็จะสามารถเทียบได้กับปราณเชวียนของยอดฝีมือปฐพีเชวียนตามมาตรฐานของดินแดนเชวียนเชวียน


อย่างไรก็ตาม มันยังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ แต่ตอนนี้เขามองไม่เห็นเงาของเหยี่ยวผู้โดเดี่ยวแล้ว แต่ มือสังหารก็ยังคงไม่ยอมแพ้ และยังคงค้นหาต่อไปด้วยฝีมือการลอบสังหารของเขา และสัญชาตญาณที่มีอยู่ในมือของเขาเพื่อติดตามเหยี่ยวผู้โดเดี่ยว


ป่าเมเปิ้ล ทางใต้ของเมือง


ใบเมเปิ้ล ปรากฏเป็นสีแดงราวกับเลือดในยามเย็นของฤดูใบไม้ร่วง


ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านส่งเสียงหวีดหวิวฟังดูคล้ายกับป่าเลือด และดูเหมือนว่า กิ่งก้านของต้นไม่ในป่านี้ไม่สามารถที่จะต้านทางแรงลมได้อีกจนมันลู่ไปตามสายลม ทำให้ดูคล้ายกับคลืนของทะเลเลือดที่ซัดขึ้นลง …


ทั่วทั้งขอบฟ้าดูเหมือนจะบรรเลงไปด้วยเลือด !


คนในชุดสีฟ้าผู้หนึ่งยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางสายลม และแม้ว่าเขาจะยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง แต่เสื้อผ้าที่กระพือไปมาของเขานั้นทำให้ร่างของเขาดูเหมือนกับทะเลที่กำลังสับสนอลหม่าน มีคลื่นลมซัดไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ชุดสีฟ้าของชายผู้นี้โดดเด่นขึ้นมาจากสีแดงเข้มของสีของผืนป่าที่เป็นฉากหลัง และดูเหมือนสร้างเป็นภาพที่แปลกแต่เงียบสงบ ขัดแย้งแต่มีระเบียบ


ผมสีฟ้าของเขาลอยขึ้นมาด้วยสายลม และดูเหมือนว่าจะผสมรวมเข้าไปกับท้องฟ้าเบื้องบน แม้ว่าจะมีใบไม้มากมายร่วงลงมาบนพื้น แต่ที่อยู่รอบๆตัวเขานั้นยังคงหมุนวนอยู่รอบๆ ดูเหมือนว่า ไม่มีใบไม้มาเกาะติดที่ผมของเขาเลย แววตาของดูสงบและใจเย็น ไม่มีร่องรอยแห่งความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่มีความสิ้นหวัง หรือความหวัง ไม่มีความตื่นเต้น และไม่หวาดกลัว


ชายผู้นี้คือ ไฮเฉินเฟิง !


ในขณะที่เป็นมิตร ไฮเฉินเฟิงปรากฏตัวขึ้นตามที่สัญญาไว้


เพื่อที่จะพบกับศัตรูที่ไม่รู้จักแต่ไม่มีใครเทียบได้นี้ เพื่อเพื่อนของเขา


เขามองไปทางทิศตะวันออก และดูเหมือนว่าเขานั้นจะเพ่งมองไปยังเส้นขอบฟ้าด้วยความหวังที่จะได้เห็นบ้านเกิดของเขาที่อยู่ถัดไปจากทะเล ซึ่งอาจารย์ของเขากำลังรอการกลับไปของเขาอยู่ !


เมื่อการต่อสู้นี้จบลง ข้าจะมีโอกาสได้กลับบ้านอีกครั้งไหม ?


วู้ววววววววว …. สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านท้องฟ้าอย่างรุนแรง และดูราวกับว่ามีดาวตกพุ่งลองมาจากท้องฟ้า และปะทะเข้ากับพื้นโลกก่อให้เสียงที่ดังก้องสะท้อนไปไกล !


ไฮเฉินเฟิง ชำเลืองมองแสงสีฟ้าที่เปล่งประกายออกมาจากร่างของเขา เขาตั้งตัวตรงอยู่ที่จุดเดิม อย่างมุ่นคงราวกับก้อนหิน แต่ผมของเขาเริ่มโบกสะบัดไปตามสายลมอยู่ด้านหลังของเขา ในขณะที่ใบเมเปิ้ลปลิวผ่านร่างของเขาไปอย่างรวดเร็ว ! ใบไม้นับสิบล้านเผชิยหน้ากับสายลมฤดูใบไม้ร่วงจนถึงตอนนี้ สุดท้ายก็ไม่อาจจะจะต้านทานได้ และลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับประกาดสีแดงดั่งเลือดของพวกมัน ด้วยแรงลม !


ทะเลสีแดงและฟ้าแยกออกจากกันในทันที !


ดูเหมือนว่าไฮเฉินเฟิงยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยไม่มีผู้ใดอยู่รอบตัวเขา และไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือ !


สีหน้าของไฮเฉินเฟิงเปลี่ยนไปในทันที ในตอนที่เขามือของเขากำไปที่ด้ามของกระบี่ขณะที่เขามองหาศัตรูของเขา แต่ไม่พบผู้ใด !


ไม่มีศัตรูให้เห็นเลย !


ชายที่ไม่รู้จักนี้ยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่เขาได้เฝ้าดูไฮเฉินเฟิงโดยใช้ปราณเชวียนของเขา !


ฉึบบบบบ !


เงาสีดำปรากฏขึ้นในชั่วพริบตาสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านหนึ่งของไฮเฉินเฟิง ชายผู้นั้นเคลื่อนที่ลงมาราวสิบฟุดในอากาศ แต่สายลมที่ผ่านชุดของเขาทำให้ท่าทางของเขาดูเหมือนจะเป็นเหยี่ยวมากกว่าคน !


ผมที่ยาวของเขาประลงมาที่ไหล่ กระดูกสันหลังของเขาตั้งตรงราวกับหอก ดวงตาของเขาดูเหมือนจะมีแสงเปล่งประกายออกมา ริมฝีปากปและจมูกของเขาดูคล้ายกับเหยี่ยว ใบหน้าของเขาเรียว และทั่วทั้งร่างของเขานั้นดูราวกับตัวแทนของความตาย ! เขาปรากฏตัวราวกับเป็นเจ้าแห่งนภา รอคอยเหยื่อรายต่อไปของเขา ราวกับเหยี่ยวที่มองลงไปที่กระต่าย !


“ เจ้าคือผู้ที่ก่อกวนก๊กจินหยางหรือ ? ” 


 ไฮเฉินเฟิงสูดหายใจลึกและถามด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม สัญชาตญาณสวรรค์เชวียนของเขาทำให้เขารู้ว่า เขานั้นไม่สามารถเทียบกับชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาได้ !


“ ใช่ และเจ้าคือผู้ที่จินเฟิงเล่ยจ้างมาให้ช่วยหรือ ? และเป็นเพียงแค่ยอดฝีมือสวรรค์เชวียน ใช่ ใช่ นั่นดีแล้ว ดีมากๆ ! ”


ชายที่อยู่ในชุดคลุมสีดำเหลือบไปมองไฮเฉินเฟิงขณะที่ใบหน้าของเขาเริ่มแสดงถึงความปราถนาที่รุนแรง หัวใจของไฮเฉินเฟิงเต้นรัวราวกับกลอง


ขั้นการเพาะปลูกของเขาสูงเกินไปสำหรับข้า … เขาไปถึงขั้นใหนแล้วตอนนี้ ? … อย่างน้อยเขาจะต้องเป็นเทพเชวียน !


แม้ว่าไฮเฉินเฟิงจะมีหัวใจของยอดฝีมือสวรรค์เชวียนที่แข็งแกร่ง เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี ! แม้ว่าเขาจะคิดไว้แล้วว่าคนผู้นี้จะต้องแข็งแกร่งอย่างมาก และบางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าตัวเขาเอง แต่เขาไม่เคยคาดเลยว่าชายผู้นี้จะเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้ !


คนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ข้าเชื่อว่าแม้แต่อาจารย์ก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะเขาได้ง่ายๆ !


แต่มีเพียงแค่คนเพียงหยิบมือที่จะก้าวหน้าไปได้ไกลขนาดนี้ … แล้ว คนผู้นี้เป็นใครกัน ?


เหตุผลที่แท้จริงที่ไฮเฉินเฟิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คือ


 เนื่องจากคนผู้นี้ก้าวหน้าไปได้ไกลขนาดนี้ เหตุใดเขาจึงต้องมาก่อปัญหากับก๊กขนาดเล็กเช่นก๊กจินหยางด้วย ? หากคนผู้นี้ถามหาบางสิ่งจาก จินเฟิงเล้ย เขาคงจะให้ทุกอย่างที่หาได้ไป … แต่เขากลับทำให้ชายผู้นี้หงุดหงิ !


อะไรกันนี่ ?


ชายที่อยู่ในชุดคลุมสีดำยิ้มอย่างเยือกเย็น


“ แม้จะเป็นเพียงแค่ยอดฝีมือสวรรค์เชวียน เจ้าก็ยังกล้าท่จะท้าทายข้า ! ฮ่าฮ่า ! ดี ! ดี ! อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีความกล้าหาญ ! ”


“ ความถูกต้องสามารถค้นพบได้ทุกที่ และข้าก็มีมันเช่นกัน ! แม้จะเป็นภูเขาของมีดสั้น และทะเลแห่งเปลวเพลิง จะต้องไม่มีการมองกลับไปข้างหลัง ! ”


ไฮเฉินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจขณะที่เขารวบมือเข้ามาด้วยความนอบน้อม


“ นายท่าน ข้าขอให้ท่านปล่อยเพื่อนข้าไป ! และหากข้าทำให้ท่านขุ่นเคือง ข้าขอให้ท่านอภัยให้ข้า ”


“ ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น ”


ชายในชุดดำหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะแปลกประหลาด ราวกับเป็นเสียงร้องของอินทรีย์


“ ข้ามาที่เมืองเทียบเชียงเพื่อมองหาบางอย่าง และต้องการจะทำให้การเดินทางของข้านั้นสำเร็จสมบูรณ์ และมีประโยชน์ แล้วข้าก็กำลังจะจากไปโดยไม่ต้องกังวลใจในเรื่องไร้สาระของก๊กจินหยางนี้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นเช่นนี้ ข้าจะยอมรับการท้าประลองของเจ้า ดูราวกับบางครั้งผูคนก็โชคดี ”


“ เมื่อวัตถุประสงค์ของเจ้าได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว เหตุใดท่านถึงยังไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป นายท่าน ? ”


ไฮเฉินเฟิงถอนหายใจ จากนั้นเขาพยักหน้า


“ จากระดับของเจ้าแสดงให้เห็นว่าเจ้าเพียงแค่สนใจในการแย่งชิงแกนเชีวยนใช่ไหม ? ”


ชายในชุดดำคร่ำควรญ ราวกับมีใครบางคนจี้จุดผิด และสีหน้าของเขาก็เศร้าหมองลงในทันที เขากระพริบตา และพูด


“ เพียงเพราะมันจบลงไปแล้วพวกเราจึงไม่ต้องต่อสู้กันอย่างนั้นหรือ ? ไร้สาระ ! วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้า ! เจ้าต้องจำไว้ว่า คนบางคนก็ไม่ควรจะยั่วยุ และเมื่อเจ้าทำให้บางคนขุ่นเคือง เจ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสม ! ”


Translate by iHave NoName

 

 

 


ตอนที่ 203

 

“ แล้ว ท่านพี่ต้องการจะรังแกข้า ? ดีละ หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะขอให้เราทักทายกันด้วยการต่อสู้ ”


ความเย่อหยิ่งโดยกำเนิดของไฮเฉินเฟิงได้เข้ามาควบคุมการตัดสินใจของเขา และคิดกับตัวเอง 


 ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเจ้านั้นแข็แข็งแกร่งกว่าข้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะใช้กำลังใจการกลั่นแกล้งข้าได้อย่านั้นหรือ ? ข้าอยากจะตายในมือของเจ้าก่อนที่ข้าจะยอมให้เจ้ามาข่มขู่ข้า ! สุดท้าย ไฮ่เฉินเฟิงก็ยังเป็นศิษย์ของหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ ! เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้าจะทำให้ข้าตกใจกลัวได้ง่ายๆ ?


จะต้องกล่าวถึงอาจารย์สีฟ้า เมิงฮ้งเฉิน ผู้ที่มีนิสัยรักสันโดษและแปลกประหลาด และไม่เคยพูดถึงโลกภายนอกกับศิษย์เลย เขาได้เอาชนะเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในหลายปีก่อนที่สมรภูมิที่เงียบสงบ และไฮเฉินเฟิงก็ไม่ได้เห็นการต่อสู้ ความจริงแล้ว เขาไม่เคยแม้แต่จะได้ยินข่าวลือเลย ยิ่งไปกว่านั้น ไฮ่เฉินเฟิงก็ไม่รู้จักชายที่เขากำลังเผิชญหน้าอยู่ด้วย และไม่คิดว่าชายผู้นี้จะมีชื่อเสียงในระดับเดียวกับอาจารย์ของเขา และเป็นหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !


“ ฮ่าฮ่า ไม่จำเป็นต้องมากพิธี การต่อสู้นี้ถูกสวรรค์กำหนดไว้แล้ว ! ”


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะเสียงดัง และพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วราวกับหมอกควัน และยื่นมือออกไปเพื่อโจมตีใส่ศัตรูของเขา


ไฮเฉินเฟิงคำรามทางจมูกด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็ชักกระบี่สีฟ้าออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียง ฉึบบ


แกร๊ง ! มือขวาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวปะทะเข้ากับกระบี่ของไฮเฉินเฟิง ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น


หัวใจของไฮเฉินเฟิงตื่นเต้นเนื่องจากเขาแทบจะไม่เคยพบเจอกับคนที่ทำให้เขาประหลาดใจได้เช่นนี้ แม้ว่าการปะทะจะเท่าทียมกัน เขาก็ยังสัมผัสได้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเขามาก แม้ว่าการปะทะจะเสมอกัน แต่เขายังใช้มือเปล่ามาต่อสู้กับกระบี่ ซึ่งหมายความว่าหากเขาพยายามจะใช้มือเปล่าในการต่อสู้กับศัตรู เขาจะไม่มีโอกาสที่จะชะการต่อสู้ได้เลย พายุแห่งความสงสัยก่อขึ้นในหัวใจของเขา ขณะที่เขาเริ่มเข้าใจถึงความเลวร้ายของสถานการณ์นี้


เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่สามารถเทียบกับชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยังไม่สร้างความได้เปรียบ


มีเหตุผลที่พิเศษว่าทำไมเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวถึงยังคงเที่ยวมองหาคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนบนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุม ในขณะที่เขาเลือกคู่ต่อสู้เป็นเหยี่ยวและนกอินทรีย์ และเรียนรู้การเคลื่อนไหวในการต่อสู้ของพวกมันอย่างช้าๆ รูปแบบการต่อสู้ กลยุทธ์ในการล่า ท่วงท่าในการโจมตี ซึ่งทำให้เขารูปแบบการต่อสู้ชนิดใหม่ขึ้นจากรูปแบบการต่อสู้ เก้าอินทรีย์ได้อย่างล้ำลึก และเป็นชุดกระบวนท่าที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น สิบเจ็ดอินทรีย์ !


ชุดกระบวนท่านี้ทรงพลัง แต่เนื่องจากรูปแบบการต่อสู้นี้ยังอยู่ในช่วงแรกของการพัฒนา มันจึงยังไม่ได้สมบูรณ์แบบ และการแปรกระบวนท่าที่ยุ่งยากนั้นทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวปวดหัว ดังนั้นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงตัดสินใจมองหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้เขาเข้าใจถึงจุดบกพร่องของรูปแบบกระบวนท่าของเขา และยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นการปูทางไปสู่การปรับปรุงรูปแบบการต่อสู้ที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม เขายังไม่สามารถทำตามจุดประสงค์นี้ได้สำเร็จ


เขารู้ดีว่าสุดยอดอาจารย์นั้นจะไม่เกียจคร้าน ซึ่งทำให้เขารู้ว่าพวกเขาจะไม่ช่วยเขาด้วยความคิดนี้ หรือบางทีเขาเพียงแค่ไม่ต้องการจะเห็นหางของมังกร …


ดังนั้น เขาจึงไม่มีตัวเลือกมากนัก …


ยิ่งไปกว่านั้น สุดยอดอาจารย์คนอื่นนั้นก็ยังแข็งแกร่งกว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอยู่เล็กน้อย และเมื่อมันเป็นการต่อสู้จริงๆ เขาต้องพยายามใช้กระบวนท่าเหล่านี้อย่างมากเพื่อทดสอบ ซึ่งมันทำคำแนะนำเหล่านั้นไม่สมบูรณ์


ทั้งหมดนี้ทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหมดหนทางที่จะลองเสี่ยง


ความเป็นไปได้ในการใช้เฟิงจวนหยวนในการทดสอบของเขายังคงเป็นทางเลือกที่มีเหตุผล แต่การเผชิญหน้าระหว่างศัตรูทั้งสองนั้นเป็นการต่อสู้ด้วยความเป็นตาย! ในสถานการณ์เช่นนั้น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการยากที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะฝึกฝนกระบวนท่าใหม่ของเขา เนื่องจากผลลัพธ์ของมันจะมีเพียงสองอย่างคือ เขาจะทำมันได้อย่างดี หรือไม่เขาก็จะต้องพบจุดจบด้วยความตาย …


ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเขาต้องการความมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง เขาจะต้องไม่ปล่อยให้กระบวนท่าใหม่และเป็นความลับของเขาหลุดไปถึงหูของเฟิงจวนยุ่น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวต้องการจะพิสูจน์ว่าเขานั้นเหนือกว่า เฟิงจวนยุ่น และหวังว่ากระบวนท่าใหม่ของเขานี้จะช่วยให้เขาทำมันได้สำเร็จในวันหนึ่ง !


นอกจากตัวเลือกนี้ ก็ยังมีคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้ด้วย เหลืออยู่ในโลกนี้ไม่มากนัก


เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมีความคิดว่าจะเข้าไปในป่าเถียนฟา เพื่อขัดเกลากระบวนท่าของเขา แต่เมื่อคิดถึงพลังอำนาจที่อยู่ในป่าเถียนฟ้านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลับมาพิจารณาใหม่ และเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปที่นั่น 


 ข้าคงจะต้องจบลงด้วยจมอยู่ในกองขี้ของสัตว์เชวียนหากข้าเข้าไปที่นั่น …


ด้วยความอดทนที่มีขีดจำกัดของเขา เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ยังคงเหลืออยู่ คือการต่อสู้กับใครก็ตามที่เขาพบเจอ ! ไม่สำคัญว่าคนผู้นั้นคือใคร ตราบใดที่พวกเขานั้นเป็นยอดฝีมือ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะพยายามถามหาคนเหล่านั้นเพื่อต่อสู้กับเขา แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นศิษย์ของแปดยอดปรมาจารย์ … เนื่องจากคนเหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษและมีความรู้ในฝีมือของพวกเขาอย่างมาก ทำให้พวกเขาสามารถที่จะขัดเกลากระบวนท่าใหม่ของเขาให้ดีขึ้นได้


สำหรับผลก็คือ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเดินทางไปทั้งเหนือและใต้ มองหายอดฝีมือที่เป็นที่รู้จักอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆนี้เขานั้นรู้สึกท้อแท้เมื่อได้รู้เรื่องอย่างหนึ่ง หลังจากที่ได้ต่อสู้กับผู้ที่มีชื่อว่าเป็นยอดฝีมือนับร้อย ก็ยังไม่มีใครสักคนที่ช่วยขัดเกลากระบวนท่าของเขาได้เลย ความชำนาญในกระบวนท่าใหม่ของเขานี้ดูเหมือนจะลดลง !


เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังผลลัพธ์ที่ไม่เป็นที่ต้องการนี้ เห็นได้ชัดว่าวิเคราะห์ออกมาได้ไม่ยาก …


มันก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมส์หมากรุก เมื่อใครบางคนเล่นกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่าหลายๆครั้ง ความเก่งกาจของคนผู้นั้นก็จะลดต่ำลง ….


ในตอนที่เขากำลังเศร้าโศก เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ได้มาพบกับข่าวลือเรื่องแกนเชวียน และจากนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางมายังเมือเทียนเชียงในทันที เพื่อที่จะคว้าเอาโอกาสที่ดีนี้ไว้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาได้ในสิ่งที่หัวใจของเขาต้องการแล้ว ก็มีสัตว์เชวียนสองตัวแสดงตัวออกมาและขโมยเอาแกนเชวียนไปต่อหน้าต่อตาของเขา


ไม่จำเป็นต้องพูดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอันตรายอย่างมากต่อฉีฉางเซี่ยวและความสนใจของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !


การเดินทางมายังเมืองเทียนเชียงของฉีฉางเซี่ยวนั้นมิได้ยาวนาน แต่ความพยายามของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวที่ได้ทำมาทั้งหมดนั้นกลับพังทลายลง ความคิดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นยังคงไม่คงที่อยู่จนกระทั่งวันถัดมา และในที่สุดเขาจึงตัดสินใจจะไปหาซีฉางเซี่ยวถึงหน้าประตู เพื่อที่จะก่อปัญหา อย่างไรก็ตาม เมื่อไปถึงค่าย เขาก็ได้รู้ว่า ยอดปรมาจารย์นั้นได้ออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว …


เนื่องจากมันกลายเป็นความหดหู่ใจอย่างมาก ทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตัดสินใจออกมาแต่โดยดี สำหรับแผนการเดิมของเขาที่จะใช้ก๊กจินหยางนั้น 


 หากไม่มียอดฝีมือที่เหมาะสมในเมืองนี้อีกแล้ว แล้วจะใช้ก๊กจินหยางไปเพื่ออะไรละ ? ทั้งหมดที่ก๊กไร้ประโยชน์นั่นทำได้คือบอกตำแหน่งของยอดฝีมือระดับสูงที่เขาสามารถที่จะต่อสู้ด้วยได้ .. แต่ตอนนี้ แกนเชวียนนนั้นได้หายไปแล้ว แล้วอะไรที่พวกเขาจะสามารถทำให้ข้าได้ !


อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดว่าจะได้รับ การท้าต่อสู้จาก ผู้ที่ก๊กจินหยางจ้างมา !


ในที่สุดเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ได้พบกับหนทางที่จะปลดปล่อยความสิ้นหวังที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ออกไป ! เขามุ่งหน้าตรงมายังป่าเมเปิ้ลเพื่อที่จะปลดปล่อยความโศกเศร้าของเขาอย่างคึกคะนอง และเหลือไว้แต่เพียงความสนุกสนาน เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าชายที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นมิใช่ใครอื่น นอกจากศิษย์ของอาจารย์สีฟ้า ! ยิ่งไปกว่านั้น ชายผู้นี้ได้บรรลุไปถึงขั้นสวรรค์เชวียนสูงสุดแล้ว !


ราวกับสวรรค์รับฟังคำอ้อนวรของเขา !


ยิ่งไปกว่านั้น เกือบจะเห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้จำเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่ได้ !


ยอดฝีมือที่เคยท้อแท้สิ้นหวัง ก็ต้องขอบคุณความโชคดีของเขา !


ดังนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงตัดสินใจจะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา เพื่อทำให้ชายผู้นี้หลาดกลัว จนเขาต้องคุกเข่าลงไปและกรีดร้องเรียกอาจารย์ ! ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันจะเป็นอันตรายกับแผนการของเขา !


ที่เขาไม่เปิดเผยเรื่องนี้ เพราะเขาต้องการที่จะต่อสู้กับชายผู้นี้


เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้เป็นศิษย์ของอาจารยสีฟ้า และเนื่องจากเขาได้บรรลุไปถึงขั้นสวรรค์เชวียนสูงสุดแล้ว อาจจะคิดได้ว่าเขาคือหนึ่งในศิษย์ที่ดีที่ที่สุดที่เมิงฮ้งเฉินเคยฝึกฝนมา หากข้าได้พบกับการต่อสู้ที่เต็มที่และดีจากชายผู้นี้ ข้าเชื่อว่าข้าจะได้มีกำลังใจที่จะมองหาคนผู้อื่นอีก


ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะยั้งมือไว้ เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามของเขาจะต่อสู้อย่างเต็มกำลัง และเพียงไม่นานพวกเขาทั้งสองก็แลกหมัดกันนับสิบหมัด


ในตอนนี้ แขกที่ไม่ได้รับเชิญ ปรากฏตัวขึ้น !


เห็นได้ชัดว่า แขกที่ไม่ได้รับเชิญนั้น คือนายน้อยจวิน !


แม้ว่านายน้อยจวินจะมีฝีมือด้านการสะกดรอยอย่างไม่มีใครเทียบได้ แต่เขาก็ต้องปวดหัวเนื่องจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นมิใช่คนธรรมดา อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ใช้ฝีมือของเขาในการบอกตำแหน่งของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เนื่องจากมันไม่ได้บากมากที่จะเพ่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ของใบไม้สีแดง


นายน้อยจวินรีบไปซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆอย่างรวดเร็ว และเริ่มเฝ้ามองไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขณะที่เขากำลังข่มเหงเด็กหนุ่ม อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยก็อดที่จะนับถือความอุทิศตัวของชายผู้นั้นไม่ได้ 


 แม้ว่าเขาเป็นหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ เขาก็ยังไม่กังวลเมื่อต้องเลือกเส้นทางที่อันธพาล …


เขาเฝ้ามองการต่อสู้ของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกับชายในชุดสีฟ้าอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด


แม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะทำอย่างเต็มที่ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขายังบกพร่องอยู่เล็กน้อย แต่กระนั้น ในขณะที่จวินโม่เซี่ยยคงเฝ้ามองการต่อสู้อยู่ เขาก็เริ่มตระหนักได้ว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวใช้กระบวนท่าเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันเลย


ในอีกมุมหนึ่ง ชายในชุดสีฟ้ากลับใช้กระบวนท่าและฝีมือมากมาย


ดูเหมือนว่า สุดยอดปรมาจารย์นั้นจะใช้ชายผู้นี้เป็นหุ่นจำลงเพื่อการฝึกฝนของเขา !


ดูเหมือนว่าร่างของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นจะไม่เคลื่อนไหวมากนัก ความจริง เท้าของเขาไม่ขยับเลย อีกมุมหนึ่ง มือของเขาก็เคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาด บางครั้งเขาผายมือออกไปกว้าง บางครั้งเขายื่นมันไปตรงๆ … เขาเปิดและปิดฝ่ามือหลากหลายรูปแบบ …


จวินโม่เซี่ยยังคงเฝ้ามองต่อไปเป็นเวลานาน และหัวใจของเขาก็สัมผัสถึงความแปลกประหลาดได้มากยิ่งขึ้น


ทันใดนั้นก็มีความคิดเกิดขึ้นมาในหัวของเขา 


 เห็นได้ชัดว่านี่คือกระบวนท่าที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคิดขึ้นมาเอง ! และท่วงท่าเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากร่างกายของนกอินทรีย์และเหยี่ยว ! ยิ่งเห็นได้ชัดว่า เคล็ดที่เขาได้คิดขึ้นมานี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ !


เขาสามารบอกได้จากท่าทางที่กระบวนท่าเหล่านั้นได้ถูกออกแบบมา แต่ละท่วงท่านั้นทำให้เกิดการส่งพลัง และแม้ว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะดูแปลกประหลาดในตอนแรก แต่เมื่อมันเสร็จสมบูรณ์ ก็สามารถสร้างพลังที่รุนแรงอย่างมากได้


จวินโม่เซี่ยนับอย่างเงียบๆอยู่สามครั้ง และสุดท้ายก็ได้รู้ว่า กระบวนท่านั้นมีทั้งหมดสิบเจ็ดประบวน ! เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวใช้กระบวนทั้งหมดนี้ต่อเนื่องกันในคราวเดียว ดังนั้นมันจึงยากสำหรับเขาที่จะนับจำนวนรูปแบบในการเคลื่อนไหวได้


แม้ว่ากระบวนท่านี้ะสามารถสร้างพลังอันมหาศาลได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ต้องการที่จะสังหารฝั่งตรงข้าม จึงเป็นเหตุให้เขาตั้งใจ ยับยั้งความแข็งแกร่งของเขาไว้ในระดับพื้นฐาน แต่หากเขาใช้กระบวนท่านี้ต่อสู้กับคนที่มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน เขาก็คงจะไม่สามารถติดตามได้ง่าย อย่างไรก็ตาม หากรับมือกับคนที่อ่อนแอกว่าตัวเขาเองนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก เนื่องจากคู่ต่อสู้จะมองเห็นช่องว่าในกระบวนท่าของเขา และเขาจะสูญเสียพลังในการโจมตีได้ง่าย


ยิ่งไปกว่านั้น มือสังหารสามารถบอกได้จากประสบการณ์ของเขาว่า หากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดในขณะที่ใช้กระบวนท่านี้ เขาก็สามารถสร้างาการโจมตีที่ทรงพลังขึ้นได้ !  แต่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น ! แม้ว่าเขาจะใช้พลังที่แท้จริงของเขาเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ใช้มันในการโจมตี !


ทันใดนั้นเอง จวินโม่เซี่ยจึงรู้ว่าเหตุใดเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงไม่สนใจในแกนเชวียน แต่ยังคงเดินทางมาที่เมืองเทียนเชียง เหตุใดเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงกระหายการต่อสู้ แต่ไม่ได้สนใจในการต่อสู้กับยอดฝีมือที่มีฝีมือเท่าเทียมกัน !


นี่คือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนั้น ! ฮ่าฮ่า ทำไมข้าถึงเพิ่งจะรู้นะ ? ….


ขณะที่เขาเฝ้ามองกระบวนท่าซึ่งเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้พัฒนาขึ้นมา เขาอดที่จะรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ ทุกท่วงท่าและการเคลื่อนไหวของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นดูเหมือนจะแปลกประหลาด แต่ก็เหมือนจะคุ้นเคย


ห๊ะ … มันหยาบมาก ! อาจจะพูดได้ว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะกลายเป็นบางอย่างที่ทรงพลัง แต่ แต่ต่อไปมันอาจจะเรียกชื่อว่า กระบวนท่า สิบเจ็ดปราชัย ! ที่มัยไม่ถูกขัดเกลา และยังไม่ได้ใช้รูปแบบการต่อสู้ที่ถูกต้อง แต่มันก็ดีพอที่จะเป็นต้นแบบได้ในตอนนี้ !


การเคลื่อนไหวของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวดูเหมือนกับการเคลื่อนไหวของอินทรีย์ ! ท่ากางปีก ท่าอินทรีย์ทะยาน อินทรีย์จู่โจม ท่ากระต่าประจันบาน … และสิ่งเหล่านี้ข้าจะเป็นคนแก้ไข ! และหลังจากที่ข้าได้เล่าเรียนมัน และเมื่อข้าสำเร็จในทุกกระบวนท่าของเขา ข้าก็จะทำให้มันทรงพลังมากขึ้นไปอีก ! ฮ่า ฮ่า …


Translate by iHaveNoName

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม