Otherworldly evil monarch 166-185
166 มือสังหาร
“ หนึ่งล้านตำลึงเงินต่อหุ้น แทนที่จะเป็นสองล้าน ”
จวินโม่เซี่ยยิ้มอย่างมีความหมาย
“ ข้าคิดจะต่อรองกับเจ้า เพราะข้าชอบเจ้า ”
เขายื่นข้อเสนอให้กับพี่น้องขององค์จักรพรรดิด้วยราคาหนึ่งล้านตำลึงเงินต่อหนึ่งหุ้น แล้วบอกว่ามันคือความชอบ ?
จวินโม่เซี่ยมองต่ำลงไปที่หยางมู่ และพูด
“ สาวน้อย เจ้าเป็นผู้ถือหุ้นสุราของข้าแล้ว … เจ้าและข้าเป็นพันธมิตรกันแล้วนะ ! ”
“ ข้าเป็นผู้ชาย ! ”
เด็กน้อยตะโกนกลับมาด้วยความโมโหราวกับว่าเขากำลังจะกระโดดขึ้นไปกัดผู้ที่ทำให้เขาโมโห
“ ข้าจะปรึกษาเรื่องนี้ทีหลัง สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ซ้งหยางจะนำเรื่องการประมูลมาบอกเจ้าหลังจากที่พวกเขาตัดสินใจ สำหรับตอนนี้ ข้าจักต้องกลับบ้านแล้ว ”
จวินโม่เซี่ยขอตัวกลับบ้านอย่างฉาญฉลาด
ตัวตนของพี่น้องขององค์จักรพรรดิ และแผนการที่เขาจะรักษาอนาคตของลูกๆของเขานั้นมิใช่เรื่องที่เคร่งเครียดนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่อ่อนไหว ซึ่งองค์ชายหยางฮ่วยย้งได้กล่าวออกมาในประโยคเดียว เห็นได้ชัดจากการใช้คำพูดของเขา ซึ่งส่งผลมาจากการมีอิทธิพลของเขา แม้แต่สวรรค์เชวียนเช่นซ้งฉางก็ยังคงต้องล่าถอยจากการคุกคามนี้ และปล่อยให้จวินโม่เซี่ยยืนหยัดอยู่เพียงคนเดียว
แน่นอนว่า นี่ยังไม่มากพอที่จะทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหวาดกลัว … เห็นได้ชัด … ว่าความแข็งแกร่งของชายผู้นี้นั้นมีมากกว่าอิทธิพลและอำนาจขององค์ชาย อย่างไรก็ตาม คำพูดขององค์ชายก็สามารถทำให้ชีวิตของทุกคนสั่นคลอนได้ ย้กเว้นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว
ความจริง แม้จวินโม่เซี่ยจะไม่ได้สนใจเรื่องขององค์ชายมากนัก และกังวลเพียงแต่เรื่องคู่หูใหม่ของเขาหยางมู่ เท่านั้น
ข้าอาจจะชอบเจ้า องค์ชาย แต่เมื่อเวลามาถึง ข้าก็จะสนใจเพียงแค่ชีวิตของเด็กผู้นี้ … มีใช่เจ้า !
“ อาจารย์ ท่านต้องหารให้ศิษย์ของท่านอยู่ที่นี่ไหม ? ”
แม้ซ้งฉางจะถามคำถามนี้ด้วยน้ำเสียงปกติ แต่มันก็เห็นได้ชัดจากประกายในแววตาของเขา ว่าเขาอยากอยู่ต่อ
“ เมืองที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้มีเส้นทางมากมาย แต่พวกมันนำพาไปสู่จุดหมายเดียวกัน … ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางหน เจ้าจะต้องเดินตามเส้นทางของการสร้างสุรา … แต่ไม่ว่าเจ้าจะไปใหน จงเอาสุราสองเหยือกนี้ไปกับเจ้าด้วย เพื่อเป็นการย้ำเตือน ! ”
จวินโม่เซี่ยยิ้ม
“ ซ้งฉาง เจ้า … ในเมืองตัวตนของเจ้าถูกเปิดเผิยแล้ว … เจ้ามีแผนที่จะไปจากเมืองนี้หรือไม่ ? ”
แม้จวินโม่เซี่ยจะถามคำถามนี้ เขาก็รู้ดีว่าซ้งฉางจะไม่ไป เขาจะ … เขาจะอยู่ที่นี่และเรียนรู้การหมักสุราชนิดนี้ไหม ? หมักสุราที่มีคุณภาพคือชีวิตของเขา เขาจะจากไปได้อย่างไร ในเมื่อเคล็ดการหมักสุราเช่นนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม ? แม้ว่าร่างของเขาจะถูกสับเป็นชิ้นๆ เขาก็ไม่ยอมไป !
เมื่อเขากำลังจะไป จวินโม่เซี่ยหันไปและแสดงความเคารพแก่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอีกครั้ง และหันหลังออกไปจากโรงเตี้ยม
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขัดจังหวะเขา
“ พ่อหนุ่ม เจ้าจะไปได้อย่างไรในเมื่อเจ้ายังไม่จบเรื่องที่นี่ ? เจ้ายังไม่ได้จ่ายหนี้ข้าเลย … เจ้าติดหนี้ข้า ! ”
“ ท่านผู้เฒ่า ท่านไม่มีหนี้ติดค้างกับข้า ดังนั้นมันจึงไม่เป็นการดีกับท่านหากท่านเรียกร้องจากข้า ข้ามิได้ติดหนี้ท่าน … และท่านก็ไม่ได้ไว้วางใจข้า ”
จวินโม่เซี่ยยิมขณะที่เขามองกลับไปที่เขา
“ ปกติแล้วคืนอื่นจะเป็นหนี้ข้า ในทางกลับกัน หากท่านคิดว่าข้าติดหนี้ท่าน .. เหตุใดท่านจึงไม่พยายามตามหาข้าละ ? ”
แม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะอ้าปากสาปแช่ง ดวงตาของเขาก็ยังเผิยร่องรอยแห่งรอยยิ้ม
“ ในเมื่องเจ้าเล่นไม่ซื่อกับผู้เฒ่าผู้นี้ .. บางทีข้าจจะทำเช่นนั้น ! ”
“ งั้นดี หากวันหลังเจ้าพบข้า พวกเราจะได้มาปิดบัญชีกันอย่างแน่นอน ”
จวินโม่เซี่ยเพ่งมองไปที่เขาเป็นครั้งสุดท้าย และจากนั้นก็เดินจากไป
“ หากวันหลังเจ้าเจอข้า ข้าจะให้เหตุผลที่เจ้า …. ฮ่า ฮ่า …. ”
“ เจ้าเด็กนี่ยังคงสงบหลังจากที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า … นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอผู้ที่มีปราณเชวียนระดับต่ำกระทำท่าทีเช่นนี้ ”
ดวงตาขององค์ชายเปิดเผยถึงร่อยรอยแห่งการชื่นชมขณะที่ชายทั้งสามเพ่งมองไปยังร่างจวินโม่เซี่ยกำลังจากไป
“ เขาต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ! ”
“ ข้าเห็นด้วยกับท่าน ผู้เฒ่า .. นี่เป็นครั้งแรกของข้าเช่นกัน ! ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเห็นด้วยพร้อมกับความตกตะลึง
“ เขาได้ทำให้ตัวตนของพวกเราเปิดเผยออกมาได้ แต่เขาเองก็ยังคงเก็บงำความลึกลับของตัวเขาเองไว้ ! ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวรู้มานานแล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นรู้ตัวตนของเขาแล้ว
คงไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ทำให้คำพูดของเขาแต่ละคำมีเป้าหมายและเชื่อมโยงกัน …
อย่างไรก็ตาม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ยังคงรู้สึกแปลกแทนที่จะโกรธในบางเหตุผล
ข้ารู้ว่าเขาประจบสอพลอข้ามาตลอด แต่เหตุใดข้าถึงยังรู้สึกดีกับมัน ?
“ เดี๋ยวก่อน ! เจ้าจะทำอะไร ? ”
องค์ชายห้ามปรามซ้งฉาง และเพ่งมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งมังกร
“ แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นศิษย์ของเจ้าเด็กนั่นแล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเอาสุราสองเหยือกนี้และจากไปได้ นอกจากนั้น เขาตั้งใจจะประมูลมัน … เจ้าไม่ได้ยินเขาหรือ ? ดังนั้น พวกมันมีราคาเท่าใหร่ ? อย่าคิดได้ว่าเจ้าจะหนีไปและเอาสุรานี่ไปดื่มเพียงคนเดียว …. ”
ซ้งฉางกำลังจะเอาสุราสองเหยือกที่จวินโม่เซี่ยทิ้งไว้ไป และออกไปจากที่นี่โดยไม่มีผู้ใดรู้ !
“ ข้าเป็นคู่ต่อสู้ และตอนนี้ข้าเป็นศิษย์คนใหม่ของเขา … เจ้าเป็นแค่ผู้ตัดสิน เหตุใดเจ้าถึงจะเอาสุราสองเหยือกนี้ ? ”
ซ่งฉางโต้เถียงกลับไป ไม่ยอมที่จะเสียสุราสองเหยือกนี้ไปโดยไม่ต่อสู้
“ ผู้ตัดสินได้รับอนุญาติให้ดื่มส่วนที่เหลือ เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ ? ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวคว้าเอาสุราสองเหยือกมาจากมือของผู้เฒ่าซ้งอย่างเป็นกันเอง
“ การแข่งขันจบลงแล้ว และเจ้าเป็นเจ้าของโรงเตี้ยมนี้ มันเป็นหน้าที่ของเจ้า ที่จะต้อนรับเราด้วยสุราที่เหมาะสม ! ”
ผู้เฒ่าซ้งไม่กล้าที่จะพูดอะไรเมื่อต้องเผชิญกับพลังและอำนาจของคนเช่นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาหันกลับไปอย่างขมขื่น และเข้าไปหลังร้านเพื่อเอากับแกล้ม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและองค์ชายรีบคว้าจอกของเขามาและรินให้ตัวเอง องค์ชายอดที่จะรู้สึกถึงอำนาจของความโหดร้ายและผลร้ายที่มันจะปลูกฝังลงไปในหัวใจของผู้ที่อ่อนแอไม่ได้ !
ในมุมซึ่งห่างไกลจากโรงเตี้ยม มีหญิงสาวใส่ชุดสีดำและผ้าคลุมเพื่อปิดบังใบหน้าของนาง สายลมพัดผ่านชุดของนาง ทำให้ผ้าคลุมหน้าของนางเปิดขึ้นสูงพอที่จะเห็นดวงตาที่สุกสว่างของนาง ซึ่งดูราวกับกำลังลุกไหม้อยู่เปลวไฟแห่งโทสะ
จวินโม่เซี่ย … เจ้าทำให้ข้าอับอายและขายหน้า ! วันนี้เจ้าจะต้องชดใช้มันด้วยชีวิต ! วันนี้จวินจ้านเทียนและแม้แต่ยอดฝีมือที่แปดที่เจ้าเพิ่งจะได้เป็นเพื่อนสนิทกับเขา ก็ไม่อาจจะช่วยเจ้าได้ … คืนนี้ เจ้าจะต้องตาย !
“ นายหญิง ฝนกำลังจะตก ท่านต้องหาที่หลบแล้ว ”
ชายในชุดดำเดินมาจากข้างหลังนางอย่างเงียบๆ และกระซิบไปที่หูของนาง
“ ไม่ ! ข้าต้องการเห็นกระดูกของจวินโม่เซี่ยถูกบดขยี่ด้วยดวงตาของข้าเอง ด้วยวิธีนี้ความโกรธที่อยู่ในใจข้าจึงจะหายไปจริงๆ ! ”
หญิงในชุดสีดำยังคงไม่ขยับไปใหน ขณะที่นางตอบกลับมาด้วยเสียงอันเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“ จวินโม่เซี่ยต้องกลับไปบ้านก่อนค่ำ เพื่อที่จะไปกินมื้อค่ำกับครอบครัวคืนนี้ มันต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะได้ข่าวนี้มา ดังนั้น เราจะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ ! ”
“ ขอรับนายหญิง! ”
แม้ในตอนนี้จะเป็นเวลาใกล้พลบค่ำ แต่ความมืดก็เริ่มปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าแล้ว ทำให้ท้องฟ้าดูมืดมนและเศร้าหมองเป็นประจำในเวลานี้ เสียงลมหวีดหวิวของฤดูใบไม้ร่วงร้องโหยหวนไปตามถนนแห่งเมืองเทียนเชียง เมฆค่อยๆเคลื่อนลงต่ำจนทำให้ท้องฟ้าเบื้องบนกลายเป็นสีเทา
ท้องถนนของเมืองว่างเปล่า ตั้งแต่ผู้คนได้ยินเสียงโอดควรญแห่งสายลมและเมฆหมอกที่ส่งสัญญาณแห่งรางร้าย
จวินวูอี้ถูกบังคับให้อยู่แต่บนเก้าอี้เลื่อน เนื่องจากเขามีแขก …
“ เหตุใดถึงรู้สึกราวกับมีบางอย่างไม่ถูกต้อง? ”
จวินโม่เซี่ยนั่งอยู่ในเกี้ยว รู้สึกกระวนกระวายมากระหว่างทางที่จะกลับไปบ้าน
ข้าเพิ่งจะชนะการแข่งขัน และได้ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนมาเป็นสิษย์ … แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกตื่นเต้น ? ช่างน่าประหลาด .. ต้องมีบางอย่างผิดพลาด !
เมื่อใหร่กันที่ข้ารู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ ?
ต้องมีอะไรบางอย่างไม่ถุกต้องอย่างแน่นอน !
ความคิดนี้พุ่งผ่านหัวของเขา ขณะที่ความกลัวครอบงำจิตใจ !
ไม่ว่าจะชีวิตก่อนหน้าหรือชีวิตนี้ จวินโม่เซี่ยจะรู้สึกเช่นนี้เมื่อเขาถูกซุ่มโจมตี !
ยิ่งไปกว่านั้น ในอดีตความรู้สึกไม่สบายใจนี้ ช่วยชีวิตเขามาหลายครั้ง !
หรือนี่จะมีอันตราย … หรือข้ากำลังจะถูกคุกคาม ?
ทั่งทั้งร่างของจวินโม่เซี่ยหนาวเย็น ขณะที่เขานั่งลงไปโดยไม่รู้ตัว !
ฉึบ ! ฉึบ !
เสียงแหลมแสบแก้หูดังขึ้นรอบๆโดยไม่มีการเตือนใดๆ ขณะที่มีอาวุธมากมายพุ่งผ่านถนนอันว่างเปล่ามายังเกี้ยวของเขา
ลูกธนู ลูกดอก มีดบิน … อาวุธลับจำนวนมากพุ่งผ่านท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง !
อาวุธเหล่านี้ ร่วงลงมาที่เกี้ยวของเขามากมายยิ่งกว่าสายฝนตามธรรมชาติ !
ปั้ง … โซ่ขนาดใหญ่กวาดไปบนหลังคาของเกี้ยว …
ชายแปดคนที่ตามจวินโม่เซี่ยมาถือว่าเป็นองครักษ์ชั้นยอดของสกุลจวิน และสามารถตอบโต้ได้รวดเร็วพอที่จะปัดป้องอาวุธที่พุ่งมายังเกี้ยวของเจ้านายของพวกเขา ชายสองคนไม่ทันระวังตัวและได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเขาก็ยังตอบโต้เพื่อขัดขวางอาวุธบางส่วนได้
“ ปกป้องนายน้อย ! ”
ชายทั้งแปดลอมรอบเกี้ยวแบบไหล่ชนไหล่ในทันทีในตอนที่คำสั่งถูกประกาศออกมา แม้แต่ชายสองคนที่โดนลูกธนูปักอยู่ร่างกายส่วนล่าง ก็ยังมายืนอยู่ด้านหน้าเกี้ยวของเจ้านายของพวกเขาโดยไม่มีการอโอดครวญใดๆทั้งสิ้น
หลังจากการโจมตีของอาวุธลับ ก็ตามมาด้วยความเงียบสงัด … เสียงลมยังคงหวีดหวิวไปทั่วท้องถนน …
จวินโม่เซี่ยใจหาย มือสังหาร ! พวกเขาทั้งหมดถูกฝึกมา ! … อีกทั้งผู้นำของพวกเขามีประสบการณ์อย่างมาก !
ผู้นำองครักษ์ รีบกระจายคำสั่ง
“ ศัตรูโจมตีมาจากที่มืด เราจะต้องแยกกันเป็นสองกลุ่ม หากจำเป็น เจ้าสองคนจะต้องคุ้มกันนายน้อยด้านหน้า ในขณะที่เจ้าสองคนคุ้มกันเขาด้านหลัง หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ พวกเราสี่คนจะรีบกลับมาช่วยทันที ความปลอดภัยของนายน้อยคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ! ”
ทุกคนรับคำสั่งด้วยความกล้าหาญ
“ ไม่ อย่า ! เราต้องอยู่ด้วยกัน ! ”
เสียงของจวินโม่เวี่ยดังมาจากในเกี้ยว
“ อีกฝ่ายมีคนมากกว่า และพวกเขามีอาวุธมากกว่า พวกเขามีธนูและลูกดอก อีกทั้งยังมีมีดบินอีกเป็นโหล … อีกทั้งยังมีฆ้อน หอก .. พวกเขาโจมตีมาจากระยะไกล แม้แต่พวกเขาจะโจมตีมาพร้อมกัน …. แต่พวกเขาก็ได้เตรียมการมาอย่างดี มันไม่ช่วยอะไรหากจะแยกกันเพื่อต่อกรกับศัตรูเช่นนี้ … นั่นจะเป็นการทำให้พวกเราพ่ายแพ้ และตายเร็วขึ้น ! พวกเรามีเพียงความหวังเดียว เจ้าเห็นมุมที่อยู่หากไปสิบฟุตตรงนั้นไหม ? ”
จวินโม่เซี่ยวิเคราะห์สถานการณ์ผ่านม่านในเกี่ยวและออกคำสั่ง ความสามารถของเขา ทำให้แก้ปัญหาได้ แต่มันแตกต่างจากเรื่องที่องครักษ์ของเขากันวลเป็นอย่างมาก
Translate by iHaveNoName
167 กระแสแห่งความหวาดกลัว
เนื่องจากการโจมตีของอาวุธลับในระรอกแรกนั้นมุ่งเป้าไปที่เกี้ยว จวินโม่เซี่ยจึงเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเขาคือเป้าหมายของการโจมตีนี้ และตอนนี้ ด้านบนของเกี้ยวได้ถูกทำลายเป็นชิ้นๆแล้วเขามั่นใจว่าเหล่ามือสังหารกำลังเฝ้าดูการตอบโต้ของเขาอยู่ หากมือสังหารเหล่านั้นรู้ว่าเป้าหมายของเขาตายแล้ว เขามั่นใจว่าคนเหล่านั้นจะหันหลังและจากไป โดดยไม่เปิดเผิยตัวออกมา !
“ เอาละ เราจะไปยังมุมที่ห่างไปสิบฟุตนั่น และจากนั้นเราจะใช้เส้นทางนั้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่พักสกุลจวิน ”
จวินฮู หัวหน้าองครักษ์กระซิบคำสั่งของเขาในทันที
“ ดี ! ตอนนี้เจ้าฟังคำสั่งข้า เจ้าต้องไม่ต่อต้านข้า ! ไม่เช่นนั้น เจ้าจะถูกถอดถอนออกจากกองกำลังของสกุลจวิน เข้าใจไหม ?! ”
แม้ว่าเสียงของจวินโม่เซี่ยจะเบามาก ความจริงจังของคำสั่งของเขาก็สามารถรับรู้ได้จากโทนเสียง
องครักษ์ทั้งแปดงุนงงกับคำสั่งของเขา แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาโต้เถียง และพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
จวินโม่เซี่ยสามารถมองเห็นว่าอาวุธลับส่วนใหญ่นั้นมันเปล่งประกายสีทองเข้มออกมา ในขณะที่มีอีกห้าหกอย่างที่มีแสงสีเขียว แจ่ที่น่าแปลกใจคือจำนวนของอาวุธที่เปล่งแสงสีทองนั้นมีมากกว่าแสงสีเขียวถึงสามเท่า !
ใครกันที่พยายามสังหารข้า ? ผู้ใดที่สามารถจ่ายในราคาแพงขนาดนี้ได้ ?
จวินโม่เซี่ยอดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้
แม้แต่ผู้ลอบสังหารองค์หญิง ก็ยังแข็งแกร่งได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้ ! ข้าเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าองค์หญิงแล้วอย่างนั้นหรือ ?
“ เจ้าจะต้องทิ้งเกี้ยวไปเดี๋ยวนี้ และพวกเจ้าทั้งหมดต้องวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ข้าคือเป้าหมายของพวกนั้น ! เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า ข้าจะหาทางหนี หลังจากที่พวกเจ้าไปแล้ว ! ”
จวินโม่เซี่ยชี้แนะอย่างสงบนิ่ง
จวินฮูพยักหน้า ขณะที่เขาเพ่งมองไปยังเจ้านายของเขาอย่างว่างเปล่า
เราจะต้องไม่ทิ้งนายน้อยไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร …
“ นี่คือความรับผิดชอบเดียวของพวกเรา ! พวกเราจะไม่ทิ้งท่าน นายน้อย … เราจะปกป้องท่านจนตัวตาย ! เราไม่สามารถทำตามคำสั่งของนายน้อยได้ ! ”
“ ไร้สาระ ! ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า และตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะต้องฟังทุกคำที่ข้าพูด ! ตอนนี้ทำตามที่ข้าสั่งซะ ! ”
จวินโม่เซี่ยตอบกลับไปด้วยความอดทน
“ เห็นได้ชัดจากการโจมตี พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก ดังนั้นแม้เจ้าจะอยู่ต่อสู้ที่นี่เจ้าก็ทำอะไรได้ไม่มาก นอกจากนี้ หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ เจ้าก็จะมาเป็นภาระของข้า ! เจ้าออกไปจากที่นี่ซะ แล้วข้าก็จะออกไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย ! ”
“ หากเป็นเช่นนั้น พวกเราจะไปรอนายน้อยข้างหน้า ! และพวกเราจะพยายามเรียกร้องความสนใจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ! ”
จวินฮูไม่ลั้งเลแม้แต่น้อยในขณะที่เขาตัดสินใจ
หากนายน้อยตาย ข้าจะไม่รอคำตัดสินทางทหาร .. ข้าจะเอามีดเสียคอหอย และฆ่าตัวตายทันที
หลังจากเขาออกคำสั่งคนเหล่านั้น พวกเขาทั้งแปดก็วิ่งหนี้ไปในทันที
“ ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร หรือใครคือผู้นำของเจ้า … เมื่อเจ้ามาเพื่อสังหารข้าพวกเจ้าก็ควรที่จะเตรียมเผชิญกับสิ่งที่จะตามมา ! ”
ขณะที่จวินโม่เซี่ยเห็นองครักษ์ทั้งแปดไปถุงมุมมถนน ก็มีประกายที่หายไปอย่างเนิ่นนานปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“ วันนี้คงจะหลีเหลี่ยงที่จะปิดบังตัวตนในอดีตของข้าไม่ได้แล้วสินะ ! … ถ้าอย่างนั้น … มันคงจะถึงเวลาที่ต้องสังหารแล้ว ! ”
รอยยิ้มที่ชั่วร้ายปราฏกขึ้นบนใบหน้าของเขา ขณะที่ร่างของเขาจมลึกลงไปในเก้าอี้ ราวกับเกล็ดหิมะภายใต้แสงแดดฤดูร้อน ร่างของเขาหายเข้าไปในพื้นดินด้านล่างโดยไร้ร่องรอย ทำให้เกี้ยวนั่นว่างเปล่า ….
การเคลื่อนที่ขององครักษ์นั้นทำให้มือสังหารสัลสน ! พวกเขาได้ใช้เวลาสืบมาหลายวัน และติดสินบนเหล่าพ่อค้าเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของจวินโม่เซี่ย พวกเขามั่นใจอย่างมากว่าจวินโม่เซี่นั่งอยู่ในเกี้ยว !
แต่เหตุใดเหล่าองครักษ์จึงท้องเกี้ยว ? พวกเขากำลังทำให้พวกเราไขว้เขวหรือ ?
แต่นั่นมันไม่มีเหตุผลเลย เอ๋ พวกเขาไม่แม้แต่จะมองเข้าในในเกี้ยวเพื่อดูว่าเจ้านายของเขยังอยู่หรือตายไปแล้ว … พวกเขาแค่หนี ! องครักษ์เหล่านี้ขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? แต่แหล่งข่าวของข้ามั่นใจว่าองครักษ์เหล่านั้นซื้อสัตย์กับสกุลจวินอย่างมาก และกลัวที่จะใช้ชีวิตของพวกเขาเพื่อปกป้องเจ้านาย !
นี่มันช่างประหลาดจริงๆ ! หรือว่าเกี้ยวนั่น … จะว่างเปล่า … จริงๆ ?
ไม่มันเป็นไปไม่ได้ ! ความสูงของเกี้ยวนั่นสูงพอที่จะบอกได้ว่ามีคนอยู่ในนั้น ! เพราะฉนั้นต้องมีใครบางคนอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน !
แต่มันจะต้องมีเหตุผลว่าเหตุใพวกเขาถึงทิ้งเกี้ยวแล้วหนีไป !
แม้ว่าในหัวของเขาจะเต็มไปด้วยความคิดที่เป็นไปได้มากมาย แต่ผู้นำมือสังหารก็แจกจ่ายคำสั่งของเขาออกไปในทันที
“ สองกลุ่ม ไปหยุดองครักษ์ทั้งแปดนั่น แต่ห้ามสังหารพวกเขาจนหมด จะต้องจับมาอย่างน้อยหนึ่งคน ! อีกหนึ่งกลุ่มจะตามข้ามา และเราจะไปสังหารเจ้าชั่วนั่นด้วยตัวเอง ! ”
มีเงามากมายปรากฏออกมาจากความมืดรอบๆพื้นที่นั้น และมุ่งหน้าไปยังทางที่องครักษ์ทั้งแปดอย่างรวดเร็ว มือสังหารส่วนหนึ่ง ที่ดักอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาใช้หนี ก็เริ่มต่อสู้กับพวกเขา
มือสังหารจำนวนหนึ่งออกมาจากที่ซ่อนของเขาเกือบจะพร้อมกัน และแยกออกเป็นสี่กลุ่มขณะที่พวกเขาล้อมรอบเกี้ยวไว้ พวกเขารีบปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดที่อาจจะเป็นทางหนีออกจากเกี้ยวได้ ในขณะที่กระบี่ของพวกเขาเปล่งประกายและสะท้อนหน้ากากของพวกเขา
“ ลูกชายสกุลจวิน เจ้าออกมาได้แล้ว … ไม่มีที่ให้เจ้าหนีแล้ว มันจึงไม่มีค่าอะไรหากเจ้าพยายามต่อสู้ ”
ผู้นำมือสังหารพูดช้าๆด้วยนำ้เสียงที่เย็นชาขณะที่เขาชักกระบี่สีทองของเขาออกมา
“ เจ้ายังอยู่ที่นั่น ข้ามั่นใจร้อยเปอร์เซ็น ! หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะเผาเกี้ยวเจ้าซะ ! ”
ประกายแห่งความสุขบนความโชคร้ายของผู้อื่นนั้นปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เผยให้เห็นว่าเขามีความสุขกับการกระทำที่โหดร้ายนี้
ชายผู้นั้นทวนซ้ำ แต่ก็ได้ยินเพียงแต่เสียงการต่อสู้ที่ดังมาจากฝั่งที่องครักษ์ทั้งแปด และกลุ่มทั้งสองของเขา แม้ว่าองครักษ์ทั้งแปดนั้นจะมีจำนวนน้อยกว่า และมีความแข็งแกร่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับฝั่งตรงข้าม พวกเขาก็ยังกล้าที่จะดึงดูดความสนใจไปที่พวกเขามากเท่าที่เป็นไปได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ต้อสู้เพื่อให้ตัวเองรอด แต่เป็นความกล้าหาญที่จะต่อสู้เพื่อนายน้อยของพวกเขา !
ระหว่างการต่อสู้ที่ป่าเถื่อน มีธงรูปดอกไม้พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า !
“ นี่คือสัญญาณลับขอความช่วยเหลือของสกุลจวิน ! ”
ผู้นำมือสังหารรู่จักสัญญาณลับของพวกเขา และรู้ว่าพวกเขาจะต้องพบกับปัญหาหากพวกเขาไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ดังนั้น เขาจึงสบัดมือและออกคำสั่งอย่างไร้ความปราณี
“ เผาซะ ! ”
คบไฟหกอันถูกจุดขึ้น และจ่อไปยังผ้าบนเกี้ยว และโครงสร้างที่เป็นไม้ไผ่ และด้วยลมที่พัดมา ทำให้โหมลุกไปทั่วเกี้ยว ในขณะที่ใบหน้าของผู้วางเพลิงนั้นกำลังมีหัวเราะอย่างมีความสุข และพวกเขาคิดว่าจวินโม่เซี่ยจะดิ้นรนออกมาอย่างไร้ทางสู้
อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะของพวกเขาก็ต้องหยุดลง
พวกเขาประหลาดใจเมื่อรู้ตัวว่าได้ยินแต่เสียงของไฟที่แผดเผาโครงสร้างของเกี้ยว แต่ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของจวินโม่เซี่ย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ได้กลิ่น แค่กลิ่นของสิ่งของที่กำลังไหม้ และไม่ได้กลิ่นของศพแต่อย่างใด …
อ๋า เกิดอะไรขึ้น ?
เจ้าชั่วนั่นไม่ได้อยู่ในเกี้ยวจริงๆหรือ ?
ชายสองคนสบัดโซ่ที่ซ่อนเอาไว้ในปลอกแขนของเขาออกไป และตรงไปยังเกี้ยว ผ่าโครงสร้างของเกี้ยวที่ถูกไฟไหม้ให้เปิดออก !
ไม่มีแม้แต่ร่องรอย !
“ ลี่ฉีวู เกิดอะไรขึ้น ? ”
เสียงที่เยือกเย็นดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล ร่างของหญิงสาวที่สวยและสง่างาม กำลังเฝ้ามองมาจากที่ห่างไกลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ พวกเราถูกหลอก ! ”
ผู้นำ ลี่ฉีวูกล่าวขึ้นพร้อมกับมีกระกายแสงสีเงิน ซึ่งสุกสว่างท่ามกลางหมู่เมฆทมึน และตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องคำราม
สายฝนร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์เบื่องบน
ในจุดนี้ องครักษ์ทั้งแปดของสกุลจวินยังคงยืนหยัดต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่มีมากกว่าพวกเขาถึงสองเท่า และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมแพ้ แต่เห็นได้ชัดจากความเร็วที่พวกเขาได้ใช้พลังปราณไป เลือดของพวกเขาก็เริ่มไหลผ่านท้องถนนของเมืองในไม่ช้า ความจริง หากคนเหล่านี้เลือกที่จะหนีไป พวกเขาบางคนจะสามารถหนีไปได้ … อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงต่อสู้ต่อไป ด้วยความตั้งใจจะดึงดูดความสนใจผู้ที่โจมตีเจ้านายของพวกเขา !
“ เฮ้ เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
ร่างที่ดูเหมือนผีปรากฏขึ้นด้านหลังชายใส่หน้ากากคนหนึ่ง ชายผู้นั้นหันกลับไป … และพบเพียงว่า มีนิ้วเรียวๆสองนิ้วแทงเข้าไปยังคอหอยของเขา ปั๊ก … ดวงตาของเขาแข็งไปด้วยความตกตะลึงในขณะที่มือของเขากระตุก และเท้าของเขาก้าวถอยไปพร้อมกับร่างของเขาที่ล้มลง
ซึ่งร่างที่ปรากฏขึ้นนี้ดูซีดจาง มือสังหารคนอื่นจึงไม่สามารถมองเห็นมันได้ ทั้งหมดที่เขาเห็นคนือ เพื่อนของเขาล้มลงไป และไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาจึงล้มไปบนพื้นอย่างไร้เหตุผล
“ เจ้าทำอะไร ? ”
เขาถามขณะที่ยื่นมือออกไปเพื่อคว้าเพื่อนของเขา
ขณะที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสกับศพของเพื่อนที่ตายแล้ว เพื่อนของเขาอีกสิบห้าคนร้องขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ ระวัง … ”
แต่พวกเขาช้าเกินไป ชายผู้นั้นรู้สึกว่ามีมือที่เยือกเย็นมาจับคอเขาไว้ ขณะที่หูของเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหัก …. ชายผู้นั้น งุนงงเมื่อพบว่าตัวเขากำลังเพ่งมองก้นของตัวเองอยู่ !
เกิดอะไรขึ้น ? ตอนแรกข้าก็มองตรงไปอยู่ แล้วเหตุใดข้าถึงเห็นก้นตัวเอง …
ขณะที่เขายังคงคิดอยู่ ร่างของเขาก็ร่วงลงไปบนพื้นในขณะที่ดวงตาอันไร้วิญญาณของเขายังคงมองก้นของเขาต่อไป !
ชายผู้นี้นับโชคดีอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาว่าความจริงแล้ว เขาได้ตายไปอย่างไม่เจ็บปวด และเห็นเพียงแต่ก้นของเขาในช่วงเวลาสุดท้าย …
อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆของเขาก็ไม่ได้โชคดีอย่างนั้น !
แสงของฟ้าผ่ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสายฝนที่ร่วงหล่น !
ในขณะที่แสงเปล่งประกายขึ้นในท้องฟ้า ทุกๆคนได้รับประสบการณ์ที่น่าหวาดกลัว ร่างที่เบาบางปรากฏขึ้นระหว่างมือสังหารสี่คน ราวกับผี … ไม่มีใครเห็นว่าร่างนั้นมาจากที่ใด … ไม่มีใครได้ยินเสียงของมัน …
เขาเป็นพระเจ้า … หรือปิศาจ ?
ราวกับปิศาจในฝันร้าย พวกเขาสามารถมองเห็นมันได้ แต่จับต้องไม่ได้ ปิศาจตนนั้นกระชากชีวิตของเขาไปอย่างรวดเร็ว … พวกเขา ยืนเฉยๆยอมรับโชคชะตาอย่างหมดหนทาง !
Translate by iHaveNoName
168 การสังหารหมู่
ดูเหมือนว่าร่างเงาที่เหมือนผีนี้จะทำท่าเพียงท่าเดียว แต่จริงๆแล้ว เขานั้นทำหลายอย่างพร้อมๆกัน แต่มันยากที่จะบอกได้ว่าเขาทำอะไรบ้างเนื่องจากมันเกิดขึ้นพร้อมๆกัน เท้าซ้ายของเขานั้นเคลื่อนที่ไปอย่างเงียบๆแต่มันพุ่งตรงไปยังหว่างขาของมือสังหารคนที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มือซ้ายพุ่งเข้าใส่คอหอยของมือสังหารคนที่สองจนทำให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นรูโบ๋ ไม่มีใครเห็นว่ามือขวาของเขานั้นบิดคอมือสังหารคนที่สามให้หันไปมองก้นตัวเองตั้งแต่เมื่อใหร่… ช่างโชคดี จากนั้น ศอกทั้งสองข้างของเขาแทงเข้าไปที่หลังของมือสังหารคนที่สี่ ผู้ที่กำลังหันมองไปทางอื่นอยู่ โดยที่ไม่รู้ว่ามีร่างที่ลึกลับปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา …
แม้แต่หลังของมือสังหารไม่สามารถที่จะต้านทานแรงศอกได้ และยุบเข้าข้างในด้วยแรงกระแทก โดยที่ผิวหนังภายนอกไม่แสดงถึงการบาดเจ็บใดๆ !
ผลที่เกิดขึ้นนั้น มือสังหารคนแรกลอยขึ้นไปในอากาศและกรีดร้อง เลือดพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าของเขา ในขณะที่อีกสองคนตีลังกาและร่วงลงไปบนพื้น อย่างไรก็ตาม คนที่สี่นั้น มีสีหน้าที่แปลกประหลาด … เขาล้มลงไปบนพื้นด้วยท่าทางที่แปลกประหลาด ในขณะที่เลือดจากร่างของเขาเริ่มผสมไปกับโคลนเบื้อล่าง ….
สามารถบอกได้เลยว่า กระดูกบริเวณหน้าอกของเขาแตกละเอียดไปพร้อมกันกระดูกสันหลัง ….
มีแสงฟ้าผ่าสว่างขึ้นมาอีกครั้งบนท้องฟ้า และเงาร่างที่ลึกลับนี้ก็หายไปและปรากฏขึ้นอีกตรงกลางอีกกลุ่มที่มีมือสังหารหกคน ! ภายในช่วงเวลาที่ยังไม่ทันกระพริบตา มือสังหารทั้งหกนั้นได้ถูกสังหารลงไปเรียบร้อย !
มือสังหารที่เหลือเริ่มตกใจและหวาดกลัว …
มือสังหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี และเลือดเย็นนั้นอ่อนแอเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาต่อหน้าสิ่งนี้ ! เขาสังหารมือสังหารทั้งหกโดยที่ไม่ได้ใช้ปราณเชวียนเลย !
ผู้ใดกันที่สามารถสังหารยอดมือสังหารหกคนได้ในกระบวนท่าเดียว ??
“ ตามข้ามา ! ”
ชายลึกลับตะโกนขึ้นผ่านหน้ากากที่เขาส่วมไว้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังใส่ชุดองครักษ์ของสกุลจวิน
“ โปรดช่วยนายน้อยก่อน …. ”
จวินฮูร้องขอแม้ว่าเขากำลังหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน เขายังพูดไม่ทันจบก่อนที่จะพบว่าเขาถูกขัดจังหวะด้วยชายลึกลับ
“ จวินโม่เซี่ยหนีออกไปแล้ว ! หากพวกเจ้าไม่กลับมาที่นี่ เขาคงจะกลับบ้านไปแล้ว ! ”
ในขณะที่รู้ว่านายน้อยของเขามีวิธีจัดการ และอาจจะหาทางกลับไปยังที่พักสกุลจวินได้อย่างปลอดภัย องครักษ์ทั้งแปดจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมุ่งหน้าไปร่วมกับผู้ที่มาช่วยเขา
ชายลึกลับไม่ต้องการที่จะโอ้อวด แต่ถ้าเขาก็ไม่ได้หยุดเพื่อช่วยองครักษ์ทั้งแปดนี้ นายน้อยจวินคงจะได้กลับบ้านไปแล้ว ! เห็นได้ชัดว่า ชายลึกลับผู้นี้คือตัวจวินโม่เซี่ยเอง
หลังจากที่เขาขอให้องครักษ์ทิ้งเขาไว้ เขาก็ถอดผ้าคลุมในทันที และทำหน้ากากด้วยผ้าเหล่านั้น จากนั้นเขาก็หนีลงไปใต้ดินโดยการใช้เคล็ดอิสระหยินหยาง หากมิใช่เพราะต้องมาช่วยเหลือองครักษ์ทั้งแปด แล้วละก็จวินโม่เซี่ยคงจะมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักสกุลจวินแล้ว เนื่องจากสถานที่นี้อยู่ไม่ไกลจากที่พักสกุลจวินมากนัก แม้ว่า จวินโม่เซี่ยจะยังไม่มีฝีมือมากนักที่จะเดินทางไปถึงภายในการพยายามเพียงครั้งเดียว แต่เขาสามารถใช้เคล็ดนี้ได้หลายรอบอย่างง่ายดาย
ทุกคนเพ่งมองไปยังร่างเงาของเขาด้วยความหวาดกลัว … จากทั้งหมดนั้น ใครจะจินตนาการได้ว่า จะมีใครในโลกนี้ที่สามารถเดินทางทะลุพื้นได้อย่างเป็นอิสระ ? นี่เป็นอะไรที่ไม่สมจริงมาก … สำหรับพวกเขา เหตุการณ์นี้เป็นอะไรที่พวกเขาไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ ! ไม่เคยมีอะไรเช่นนี้เกิดขึ้นในดินแดนเชวียนเชวียนมาก่อน ไม่มีใครเคยพูดถึงการได้พบเจอ ความจริง ไม่เคยมีใครจินตนาการถึงเรื่องนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เจดีย์หงษ์จวินก็ยังเป็นวัตถุแปลกประหลาดในโลกนี้ และมีขีดจำกันที่เกินกว่าปราณเชวียนมาก ในโลกที่หมกมุ่นอยู่กับขีดจำกัดของปราณเชวียนนี้ ไม่เคยมีใครจินตนาการถึงการมีอยู่ของสิ่งนี้ได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าใจถึงความลึกซึ้งของ เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ !
ฝีมืองของเขาเป็นของขวัญจากพระเจ้า หรือการปรากฏตัวของปิศาจ … เขาสามารถสังหาร ยอดมือสังหารที่ได้รับการฝึกฝนมาได้ภายในพริบตา … ได้อย่างไรกัน ?
มันทำให้สมองของคนว่างเปล่าไปด้วยความตกตะลึงและสับสน และจากนั้นก็ต้องใช้เวลาอย่างมากเพื่อคิดทบทวนเรื่องนี้ แม้ว่าเหล่ามือสังหารที่ได้รับการฝึกฝนมาสามารถทำเช่นนได้ได้ภายในเวลาหนึ่งในสิบวินาที แต่เวลาเพียงแค่นี้ก็มากพอที่มือสังหารจวินสามารถจัดการงานของเขาได้แล้วเสร็จ !
ความจริงแล้ว เวลาแค่นี้ก็มากพอที่มือสังหารจวินสามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้โดยไม่ต้องชักกระบี่เลย !
ผู้นำมือสังหาร ลีฉี่วู คิดว่าตอนนี้ เป้าหมายของเขาได้หนีไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบตามพวกเขาไป โดยใช้ความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมด ร่างของเขาลอยขึ้ยไปจากพื้น ขณะที่แสงสีเหลืองของปราณเชวียนสว่างเจิดจ่าอย่างมากท่ามกลางสายฝน ทำให้มันดูเหมือนกันแสงพระอาทิตย์ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางค่ำคืนในบรรยากาศเช่นนี้ !
แสงสีเหลือจากชุดสีกากีจากชายสองคนสว่างขึ้นข้างๆเขา ขณะที่เขารวบรวมพลังอยู่ด้ายหลังของเขาในเวลาเกือบพร้อมกัน มือสังหารทั้งสามตัดสินใจที่จะไล่ตามผู้จู่โจมลึกลับไป !
ในตอนนี้ จวินโม่เซี่และผู้ร่วมทางของเขากำลังถูกไล่ตามด้วยมือสังหารนับสิบ ทันใดนั้น ก็มีชายสวมชุดดำและสวมหน้ากากสีดำปรากฏตัวขึ้นมาขวางทางพวกเขา เขายืนถือกระบี่ไว้ในมือ และเพ่งมองไปอย่างไม่ไหวติง ราวกับว่าเขานั้นคือกำแพงที่ไม่อาจะพังทลายได้ กำลังขวางกันจวินโม่เซี่ยและองครักษณ์ของเขาไม่ให้ผ่านไปได้
แสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นมาจากร่างของเขา ขณะที่เขามุ่งหน้าเข้าไปใกล้ผู้หลบหนี !
ยอดฝีมือเชวียนหยก ! คนนี้จะต้องเป็นผู้นำของสองกลุ่มนั้น
ชายผู้นี้ไม่มีเจตนากที่จะใช้ปราณเชวียนเพื่อสังหารเป้าหมายที่กำลังหลบหนีของเขา และตั้งใจเพียงแค่จะถ่วงเวลากลุ่มของจวินโม่เซี่ยจนกว่าเพื่อนของเขาจะตามมาทัน และล้อมรอบผู้หลบหนีเอาไว้
เห็นได้ชัด เมื่อผู้หลบหนีทั้งเก้าถูกล้อมไว้โดยมือสังหารที่ยังเหลืออยู่ ผู้หลบหนีคงจะไม่สามารถอยู่ได้นานพอที่จะพบกับกองช่วยเหลือจากสกุลจวิน !
ในช่วงเวลานี้ก็มากพอที่จะตัดสินชะตากรรมของชีวิตพวกเขาได้ !
อย่างไรก็ตาม องครักษณ์ของจวินโม่เซี่ยก็พุ่งออกไปราวกับมีดบินที่คมกริบ รู้ว่ามีผู้ลึกลับนำพวกเขาให้พุ่งไปพิชิตกับหอกที่ตรงหน้า !
แสงสีเขียวเปล่งประกายขณะที่ชายผู้นี้ถอยหลังมาเพื่อประเมิณสถานการณ์ ทำให้น้ำที่อยู่ใต้เท้าของเขาพุ่งไปทั่วทิศทาง ยอดฝีมือเชวียนหยกผู้นี้เริ่มมีความคิดที่สองเกิดขึ้น !
เงาที่ลึกลับผู้นี้อาจจะเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือจากสกุลจวิน !
จากนั้น เขาก็ยกกระบี่ขึ้นและแทงไปข้างหน้าอีกครั้ง มือสังหารเชวียนหยกนั้นฝึกกระบี่มานับสิบปี และตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเจอฝ่ายตรงข้ามที่เหมาะสมกับเขาแล้ว !
ความจริง อาจจะพูดได้ว่าชายผู้นั้นมั่นใจในฝีมือของเขามาก มากพอที่จะสามารถประกระบี่ของเขากับเทพเชวียนได้สักเสี้ยวินาที !
ยอดฝีมือสวมหน้ากากลึกลับนี้ใครกัน ? ข้ายังไม่เห็นแสงจากปราณเชวียนของเขาเลย แต่ข้ารู้ว่าเขามิใช่คนกระจอกอย่างแน่นอน ! หรือยอดฝีมือคนนี้จะเป็นเทพเชวียน ?
หากข้าตายในขณะที่ต่อสู้กับเทพเชวียน นั่นถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง !
แม้ว่าหัวใจของยอดฝีมือเชวียนหยกนั้นจะรู้สึกชา เปลวไฟจากความคิดทำให้ร่างของเขามุ่งไปข้างหน้า และเผชิญหน้ากับยอดฝีมือลึกลับ
เอ๋ นี่เป็นไปไม่ได้ … นี่มันช่างไร้สาระ … หากเขาเป็นยอดฝีมือเทพเชวียนจริงๆ แล้วเขาก็จะสามารถสังหารพวกเราทั้งหมดได้ภายในชั่วพริบตา เหตุใดถึงเลือกที่จะสังหารพวกเราทีละคน ? นอกจากนี้ ยอดฝีมือเทพเชวียนก็ใช่ว่าจะหาเจอที่ใหนก็ได้ … พวกเขาเป็นอาจารย์เทพเชวียน … มิใช่พวกกระจอก !
ในขณะที่สมองของเขาคิดเรื่องเหล่านี้ และเพิ่มแรงกระตุ้นให้กับเขา เขาจึงก้าวเร็วขึ้น และพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่สูงขึ้น ราวกับความเร็วแสง !
ดวงตาของมือสังหารเปล่งประกายด้วยแสงแห่งความตื่นเต้น ซึ่งดูราวกับว่าเขาลืมความกลัวตายจากสถานการณ์ที่จะกลายเป็นตำนานนี้ !
ในขณะที่ร่างของเขาเข้าไปใกล้มากขึ้น จวินโม่เซี่ยก็ไม่ได้เคลื่อนที่ช้าลงเลยแม้แต่ก้าวเดียว แต่ร่างกายส่วนบนของเขานั้นบิดไปอย่างน่าประหลาดในช่วงวินาทีสุดท้าย ราวกับมันกำลังท้าทายอำนาจแห่งกฏธรรมชาติ !
เอวของเขาบิดไปจนทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับผู้ที่โจมตีเข้ามาได้จากด้านข้าง ในขณะที่ใบหน้าของเขาเคลื่อนที่ผ่านร่างของผู้โจมตี !
นี่มันประหลาดมาก !
มีอะไรบ้างที่คนผู้นั้นไม่สามารถทำได้ ?
ฉึบบ !
แม้ยอดฝีมือเชวียนหยกจะงุนงงกับอุบายของจวินโม่เซี่ย กระบี่ของเขาก็ยังแทงผ่านอกของจวินโม่เซี่ยและทะลุเสื้อของเขา ความจริง กระบี่นั้นเข้าใกล้หน้าอกของจวินโม่เซี่ยมาก แต่คมมีดนั้นสามารถทำได้แค่ตัดเข้ากับเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมา !
แม้ว่าการเคลื่อนไหวของจวินโม่เซี่ยนั้นรวดเร็วอย่างมาก แต่ความเร็วและความชำนาญของคู่ต่อสู้นั้นรวดเร็วเกินกว่าที่มนุษย์จะหลบหลีกได้ แต่ใบมีดก็ทำได้เพียงแค่ถากหน้าอกของจวินโม่เซี่ย ! แต่มันก็คุ้มค่าที่จะเสียสละเสื้อตรงส่วนนั้น !
เพราะร่างที่เป็นดั่งกระสุนของจวินโม่เซี่ยได้พุ่งตรงไปยังร่างของยอดฝีมือเชวียนหยุด ในขณะที่มืองของเขาสามารถเข้าไปถึงส่วนที่เขาต้องการได้ !
เท้าของยอดฝีมือเชวียนหยกลอยขึ้นจากพื้นเนื่องจากผลจากแรงปะทะที่รุนแรงของจวินโม่เซี่ย ! ในขณะที่ … จวินโม่เซี่ยพุ่งไปข้างหน้า แต่เขากลับพุ่งถอยหลัง ! โดยไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่า ! หัวใจของเขายังคงตื่นตัว แต่ร่างของเขานั้นกลับไม่เคลื่อนไหวไปตามที่สมองสั่ง ….
ในตอนนั้นเอง ที่แววตาของยอดฝีมือเชวียนหยกเปลี่ยนจากประกายแห่งความตื่นเต้นไปเป็นประกายที่ตกตะลึง …
ศอกขวาของจวินโม่เซี่ยโจมตีเข้าใส่ช่องอกของเขา !
ตุ้มมม ! ฉึบ …. อย่างไรก็ตาม เสียงนี้ก็ถุกกลบไปด้วยเสียงฟ้าร้อง !
แม้ว่าเซลประสาทของเขาช้าเกินกว่าจะตอบสนอง … ความเจ็บปวดจากการถูกโจมตีในครั้งแรก็ยังส่งไปไม่ถึงสมองของเขา …
จวินโม่เซี่ยใช้นิ้วมือขวาสามนิ้วจิกเข้าไปยังคอหอยของเขา และฉีกมันออก ! มีเสียงหักเบาๆดังขึ้นเนื่องจากกระดูกคออันเปราะบางของเขาถุกกระชากออกจากร่างกาย …
หัวของเขาถูกบังคับให้เงยขึ้นไปเนื่องจากแรงของการโจมตีครั้งที่สอง …
แต่ก็พบว่ามีนิ้วของจวินโม่เซี่ยสองนิ้วรออยู่แล้ว มือซ้ายของเขาเคลื่อนที่รวดเร็วพอๆกับมือขวา และตอนนี้ นิ้วทั้งสองของเขาก็จิ้มเข้าไปในดวงตาทั้งคู่นั้น !
ของเหลวสีขาว ดำ และสีแดงพุ่งออกมา ในขณะที่จวินโม่เซี่ยดึงนิ้งของเขาออก !
แต่มันยังไม่จบเพียงแค่นั้น จวินโม่เซี่ยยกศอกแทงเข้าไปที่หน้าอกของยอดฝีมือเชวียนหยกด้วยความรุนแรง !
Translate by iHaveNoName
169 รอดมาได้อย่างปลอดภัย
เป็นเคล็ดที่โหดร้ายอย่างมาก ! อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยไม่ได้คิดจะใช้ เคล็ดนี้อย่างโหดร้ายหรือทารุน แต่มันจำเป็น ! แต่ละการโจมตีในกระบวนท่าทั้งหมดนี้ สามารถทำให้ถึงตายทั้งนั้น และการรวมกันของการปะทะนั้นทำให้ผลของมันรุนแรงมากขึ้น !
เหตุที่เขาถือว่าการโจมตีนี้เป็นเรื่องจำเป็นนั้นง่ายมา เส้นทางของเขาถูกขวางโดยเชวียนหยก และทางเดียวที่จะผ่านไปได้นั้นก็คือการใช้เคล็ดอิสระหยินหยาง หรือไม่ก็พยายามสังหารโดยไม่ใช้ปราณเชวียน ซึ่งเขารู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะ ทะลวงปราณเชวียนป้องกันที่แข็งแกร่งของศัตรูได้ ! เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงใช้เคล็ดอิสระหยินหยางเพื่อผ่านชายผู้นี้ไปให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะหยุดและสังหารองครักษ์ของเขา !
จ้าจำเป็ต้องตายเพื่อนข้า ! มันจะดีกว่าหากเจ้าตายแทนที่จะเป็นพวกเรา ! ดังนั้น เจ้าต้องตายไปซะ !
จวินโม่เซี่ยรู้ดีว่าเขาไม่อาจจะเสียเวลาไปได้แม้เพียงวินาทีเดียว นอกจากนี้ เขายังมีเวลาน้อยนักที่จะทำให้ทุกคนปลอดภัย และดังนั้น เขาจึงพุ่งเข้าไปใส่ร่างของศัตรูอย่างเต็มพลัง !
สำหรับสิ่งที่จวินโม่เซี่ยกังวล คือมือสังหารผู้นั้นจะตำหนิตัวเองเนื่องจากการที่ต้องตายอย่างอนาถ หากชายผู้นั้นไม่แข็งแกร่ง เขาก็คงตายไปได้ง่ายๆแล้ว !
แม้ว่าจวินโม่เซี่จะต่อยเข้าไปที่ร่างของชายผู้นั้นอยู่หลายครั้งอย่างรุนแรง เขาก็ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ในขณะที่ร่างของมือสังหารถูกเขาจับเอาไว้ด้วยเขาเองในระหว่างที่ทั้งสองเคลื่อนที่ไปข้างหน้า !
ตู้มมม !
ขณะที่จวินโม่เซี่ยต่อยเข้าไปครั้งสุดท้าย ร่างของยอดฝีมือเชวียนหยกก็ฉีกขาดเป็นชิ้นๆในทันที แขนและขาของเขาฉีกออกไปจากร่างกาย และลอยไปในทิศทางที่ต่างกัน ในขณะที่หัวของเขาหลุดออกจากคอและลอยข้ามหัวจวินโม่เซี่ยไป กระดูกของมือสังหารก็กระจายไปคนละทิศละทาง ในขณะที่เลือดของเขาผสมไปกับสายฝนที่ร่วงหล่นลงมา !
องครักษ์ของจวินโม่เซี่ยรีบวิ่งฝ่าสายฝนที่ผสมไปด้วยเลือดอย่างรวดเร็ว ความจริง พวกเขาไม่วิ่งช้าลงเลยในขณะที่การต่อสู้นี้เกิดขึ้น ! เหล่ามือสังหารที่ไล่ตามพวกเขาไปเห็นเหตุการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน ในสายตาของพวกเขา ปิศาจตนนี้ได้สร้างหลุมสีแดงขนาดใหญ่ขึ้นด้วยร่างของลูกพี่ของพวกเขา และฉีกร่างของเขาออกไปเป็นชิ้นๆราวกับกระดาษ !
ผู้หลบหนียังคงวิ่งต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็ว และไปถึงอีกมุมหนึ่ง … และสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าถึงที่ปลอดภัยแล้ว !
แสงของปราณเชวียนสองสามลำพุ่งผ่านสายฝุนและตรงไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว กองช่วยเหลือของสกุลจวินมาถึงแล้ว !
“ เซี่ยว ฉี ! … ”
ลี่ฉีวูวิ่งตรงไปเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในขณะที่เขาเพ่งมองไปยังท้องฟ้าท่ามกลางสายฝน ในขณะที่เขาเห็นหัวของเพื่อนเขาลอยผ่านอากาศมา เขาหยุดในขณะที่หัวร่วงลงไปถึงพื้น กลิ้งไปสองรอบและมาหยุดข้างๆเท้าของเขา หัวของเพื่อนที่ไร้วิญญาณนั้นหันขึ้นมาข้างบน แต่ มันไม่มีดวงตา … สีหน้าของเขายังคงดุร้ายอยู่ … แม้แต่รอยยิ้มอันอำมหิตก็ยังคงอยู่บนใบหน้าที่ไร้วิญญาณของเขา !
ราวกับว่าชายผู้นี้พบกับฟ้าแลป และยังไม่ทันได้เปลี่ยนสีหน้า ในขณะที่เขาต้องพบเจอกับความตาย !
แม้ว่าชายทั้งสองจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่พวกเขาก็ได้มาเป็นพี่น้องกันเนื่องจากภารกิจเสี่ยงตายที่ร่วมทำกันมานับสิบปี ! และตอนนี้หัวของพี่น้องของเขาก็ร่วงมาอยู่ข้างๆเท้าของเขา !
แม้ว่าเขาจะเอาชิ้นส่วนของพี่น้องเขาทั้งหมดมาต่อเข้าด้วยกัน ลี่ฉีวูก็รู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะเอามันกลับมาต่อได้เหมือนเดิม !
ความรู้สึกประหลาดนี่คืออะไรกัน ?
ผู้นำมือสังหารในชุดดำสามารถสัมผัสได้ถึงเลือดที่ยังคงอุ่นเขา ยังคงได้ยินเซี่ยวฉี้โอ้อวกเรื่องลูกชายที่ฉลาดปราดเปรื่อง พวกพ้อง และคนรักของเขา … เขายังจำได้ว่า เซี่ยวฉีจะวางมือหลังจากจบภาระกิจสุดท้ายนี้ และไปดูแลลูกและเมียของเขา … ให้ห่างไกลจากเมืองนี้ ดั่งเช่นคนธรรมดา และมีความสุขตราบนานเท่านาน …
เขายังคงได้ยินคำพูด และแม้แต่มองเห็นถึงความปราถนาภายในดวงตาราวกับเขาจะบอกว่า . ข้าเกลียด และเบื่อหน่ายชีวิตที่เต็มไปด้วยเลือดนี่แล้ว !
และแล้ว … ตอนนี้เพื่อนผู้ที่เชื่อฟังคำสั่งของเขา และตรงเข้าไปเพื่อยับยั้งผู้หลบหนี !
และตอนนี้เขาก็ได้ตายไปต่อหน้าต่อตาของเขา ! และตายอย่างสยดสยองเป็นที่สุด !
และมันเป็นเพราะคำสั่งของเขา …
“ เจ้าเป็นใคร ? ข้าท้าให้เจ้าบอกชื่อเจ้ามา ! ”
ลี่ฉีวูคำรามขณะที่เขายืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝน … เสียงของเขาแหลมราวกับวานรเฒ่า !
“ เจ้าเป็นใครรรร …. ?! ”
มีลำแสงเปล่งขึ้นมาบนท้องฟ้าอีกครั้ง และเสียงฟ้าผ่าเริ่มคำรามออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากท้องฟ้าเบื้องบน ราวกับเสียงกลองศึก ทรงพลังและหนักแน่น ข่มขวัญและกระหายเลือด !
มือสังหารจวินตะโกนกลับไปด้วยเสียงอันดัง
“ ข้าท้าให้เจ้าบอกชื่อเจ้ามา ! ”
เมื่อกำลังเสริมของสกุลจวินมาถึง สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง … และจวินโม่เซี่ยก็รู้ว่า ความคิดของผู้นำมือสังหารผู้นั้นกำลังสับสน เนื่องจากเขาเสียเพื่อนของเขาไป และหวังจะล้างแค้น !
ลี่ฉีวูตะโกนกลับไปอย่างเกลียดชัง
“ ข้าคือ …. เจ้ามันเลวทราม … อย่างน้อยก็กล้าที่จะบอกชื่อของเจ้ามาหน่อย ! ”
เขารู้ถึงความต้องการของศัตรูในวินาทีสุดท้าย และเขาไม่ยอมเอ่ยชื่อของเขาออกไป
แต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบกลับมา … อย่างไรก็ตาม กำลังเสริมของสกุลจวินเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อพวกเขาเห็นสถานการณ์นั้น
“ ถอย ! ”
เสียงอันเยือกเย็นดังออกมาจากคอหอยของหญิงชุดดำ ผมที่เปียกของนางปิดลงมาบนใบหน้าของนาง และสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านผ้าคลุมหน้าของนาง และพูดอย่างเยือกเย็นได้ว่า ศิษย์ของนางได้จากไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง แต่กระนั้น นางก็ยังหนักแน่นมากพอที่จะสั่งให้ล่าถอย
ลี่ฉีวูรู้ได้สติขึ้นมาทันที และก้มลงไปเก็บหัวของเพื่อน เขาพยายามกรีดร้องออกมาอีกครั้ง แต่เสียงของเขาก็หายไปก่อนที่เขาจะรู้ว่าจะต้องพูดอะไร และเขาก็เพ่งมองไปยังหลังของจวินโม่เซี่ยและองครักษณ์ของเขา … แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงคลื่นแห่งความเกลียดชังที่ซัดสาดอยู่ภายในใจของเขา !
จากนั้น เขาก็หันหลังและจากไปโดยที่ไม่พุดอะไรอีกเลย
พี่เซี่ยวฉี … ข้าจะพาท่านกลับบ้าน !
ดวงตาที่โศกเศร้า และเต็มไปด้วยน้ำตาของเขา หายเข้าไปสู่ความมืดของท้องถนน
มือสังหารที่เหลือไม่สามารถที่จะไปเก็บชิ้นส่วนต่างๆของเพื่อนของเขาได้ และบังคับตัวเองให้ทิ้งร่างเหล่านั้นไว่เบื้องหลัง ในตอนที่กองทหารของสกุลจวินมาถึง พวกเขาก็ได้เห็นซากศพจำนวนมากบนพื้น ….
จวินโม่เซี่ยตัดสินใจแก้สถานการ และทำลายการลอบสังหารเขาได้ในทันที …
แสงสีเหลืองเปล่งประกายริบหรี่ในที่ไกลออกไป ราวกับมันกำลังลอยผ่านทาองฟ้าอันมืดมิด และร่อนลงมาตรงหน้าขององครักษ์ทั้งแปด
“ นายน้อยของเจ้าอยู่ใหน ? ”
เขาคือ หัวหน้าพ่อบ้าน ผู้เฒ่าผัง ! จริงๆแล้วผู้เฒ่าที่ภักดีกับสกุลจวินผู้นี้คือยอดฝีมือเทพเชวียน !
คนทั้งแปดตกตะลึงเมื่อรู้ความจริงนี้ !
ชายสวมหน้ากากบอกว่านายน้อยปลอดภัยแล้ว … แต่เขาอยู่ใหนละ ? ท่านนายน้อยไปใหน ? เขายังไม่ถึงบ้านหรือ ?
เนื่องจากไม่มีคำตอบ พวกเขาก็เพียงแต่มองหน้ากันด้วยความสงสัย
ใบหน้าของผู้เฒ่าผังเริ่มมีรอยย่นขณะที่คิ้วทั้งสองของเขาเลิกขึ้น เขาถามอย่างโศกเศร้า
“ เจ้าทิ้งนายน้อยของเขา และเอาตัวรอดมาโดยลำพังจริงๆหรือ ? ”
เสียงของเขาเริ่มปะปนไปด้วยความดุร้าย !
“ อ๋า … ไม่ … นั่น … ยอดฝีมือลึกลับบอกว่าเขาช่วยเหลือนายน้อยไปแล้ว … พวกเราถูกศัตรูล้อมไว้ในตอนนั้น แต่ เขาก็ช่วยพวกเรา … นายน้อยยังไม่ถึงบ้าน …. ”
ดวงตาของจวินฮูมองไปที่พื้นในขณะที่เขาก้มหัวต่ำด้วยความอับอาย เขารู้ว่าหากนายน้อยตาย เขาและชายเหล่านี้จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต
“ ยอดฝีมือลึกลับ ? ใครกันคือยอดฝีมือลึกลับ ? เขาอยู่ใหน ? ”
เสียงของผู้เฒ่าผังเยือกเย็นเพิ่มขึ้นในแต่ละคำถามที่เขาถาม
“ เจ้าทิ้งนายน้อยเพราะคำพูดของคนที่ไม่รู้จักจริงๆหรือ ? และเจ้าก็หนีมาเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าหรือ ? เจ้าเข้ามาสู่สกุลนี้เพื่ออะไรกันแน่ ?! ”
“ ฉึบ ! ”
ชายทั้งแปดคุกเข่าลงไปที่พื้นท่ามกลางสายฝนพร้อมๆกันโดยที่ไม่มีการแก้ตัวใดๆ และดูเหมือนว่าเขาจะเต็มใจรับความผิดของพวกเขา
ผู้เฒ่าผังถอนหายใจและคำราม
“ จวินฮู น่าเสียดายที่พวกเรารับเจ้าเข้ามาในสกุล ฝึกฝนเจ้า และไว้ใจให้เจ้าไปรับรองความปลอดภัยของนายน้อย เรามอบหมายให้เจ้าไปรักษาความปลอดภัยของเขา ! และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาของนายน้อยเป็นเช่นไร ! เจ้าจะถูกขังในความผิด ตามกฏของทหาร ! เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ? ”
“ ข้าไม่มีอะไรจะแก้ตัว ข้ายอมรับบทลงโทษ ”
จวินฮูยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ในขณะที่ฝนและเลือดไหลลงไปทั่วทั้งใบหน้าของเขา
เขาสามารถพูดอะไรได้หลายอย่าง … เช่น เขาเพียงแต่ทำตามคำสั่งของนายน้อย และเนื่องจากนายน้อยเป็นเป้าหมายของการโจมตีนี้ พวกเขาจึงหนีออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของศัตรู เขาอาจจะพูดถึงความกล้าหาญที่เขาได้ต่อสู้ … เขาสามารถพูดมันออกมาได้ทั้งหมด แต่ เขาเลือกที่จะเงียบ เขารู้ดีว่าหากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับนายน้อย คำพูดของเขาก็ไม่มีค่าอะไรเนื่องจากเขาล้มเหลวในการทำหน้าที่ !
“ เดี๋ยวก่อน … ”
จวินโม่เซี่ยกระโดดขึ้นมาจากกำแพงใกล้ๆ และวิ่งออกมา
“ ผู้เฒ่าผัง โปรดอย่าโทษคนเหล่านี้ หากจวินฮูไม่ต่อสู้อย่างกล้าหาญและทำให้ศัตรูสับสน ข้าก็คงจะไม่สามารถหนีออกมาได้ ”
จวินโม่เซี่ยเล่าถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของจวินฮู
“ เป็นจริงหรือ ? ”
ใบหน้าของผู้เฒ่าผังสงบลงในทันที
“ เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดละ ? ”
จากนั้นเขาก็หันไปรอบๆและถาม
“ ยอดฝีมือลักลับที่ช่วยพวกเจ้าอยู่ที่ใหนกัน ? ชายผู้นี้ ช่วยปกป้องชีวิตของนายน้อย … ทั้งสกุลได้ติดหนี้เขา และเขาจะต้องได้รับสิ่งตอบแทน ”
“ เขาไปทางนั้น แต่เขาว่องไวมาก และข้าก็ไม่มั่นใจว่าหลังจากนั้นเขาไปทางใหนต่อ … ”
จวินฮูชี้นิ้วไปทางจวินโม่เซี่ย ในขณะที่เขายังคงคุกเข่าอยู่
“ ชายผู้นั้น แปลกประหลาดมาก … เขาโยนข้าลงบนพื้น ”
จวินโม่เซี่ยถูหน้าผากราวกับมันช้ำ
“ เขายังเตะข้าอีกหลังจากที่ช่วยชีวิตข้า และจากไปโดนไม่บอกลา ”
“ คนผู้นั้นหน้าตาเป็นเช่นไรกัน ? ”
ผู้เฒ่าผังเริ่มคิดไปมาหลายอย่าง
“ เขาใส่หน้ากาก มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอก ”
จวินโม่เซี่ยและจวินฮูพูดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน แม้ว่าเสียงของจวินโม่เซี่ยนั้นจะฟังดูเขลา แต่น้ำเสียงของจวินฮูนั้นเต็มไปด้วยความขอบคุณ
ผู้เฒ่าผังสบัดมือขณะที่เขาพูดด้วยเสียงต่ำ
“ พวกเจ้าทั้งแปดจะต้องไปรายงานแก่นายท่าน และเจ้าจะต้องเล่าเรื่องทั้งหมดโดยไม่มีการตกหล่น และรอการตัดสินของนายท่าน ! ”
“ ขอรับ ! ” ชายทั้งแปดตอบรับและยืนขึ้นพร้อมๆกัน
Translate by iHaveNoName
170
“ นายน้อย ตอนนี้ …. ท่านจะไปร่วมงานเลี้ยงกับสกุลได้อย่างไร ? ”
ผู้เฒ่าผังหยิบร่มมาจากองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของเขา และกางมันเหนือหัวของจวินโม่เซี่ย
“ ไม่มีปัญหา ! ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร ”
จวินโม่เซี่ยตอบกลับไปอย่างกล้าหาญ
“ มันเป็นเปพียงแค่อุบัติเหตุเล็กน้อย ข้าเคยเจอที่แย่กว่านี้มาแล้ว ”
แม้ว่าปากของผู้เฒ่าผังจะอ้าออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาบอกได้ว่าจวินโม่เซี่ยคงจะได้รับความสนใจในเรื่องนี้
นายน้อยได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ได้ประสบกับการลอบสังหารองค์หญิง … หากเทียบกับเรื่องนั้น การที่เขาถูกรอบสังหารในครั้งนี้นั้น เทียบไม่ได้เลยเนื่องจากนายน้อยไม่ได้บาดเจ็บเลยสักนิด
“ หากเป็นเช่นนั้น ท่านจะต้องกลับบ้านนายน้อย นายท่านและสกุลกวนรอท่านอยู่นานแล้ว ”
ผู้เฒ่าผังกล่าว
“ เดี๋ยวก่อน อย่างแรกข้าต้องกลับไปเพราะข้าอยากไปดูว่าเกี้ยวของข้าเป็นเช่นไร … มันยังมีอะไรบางอย่างอยู่ที่นั่น ”
จวินโม่เซี่ยคว้าร่มมาและหันกลับไป
เกี้ยวโดนโจมตีครั้งแรกจากอาวุธลับ และโดนเผา และตอนนี้ฝนก้ได้ทำให้มันกลายเป็นกองเถ่าถ่านและดินโคลน มันจะมีอะไรหลงเหลืออยู่ได้ ?
แม้ว่าผู้เฒ่าผังจะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ยังคงเดินตามจวินโม่เซี่ยไปเพื่อดูแลความปลอดภัยของเขา
จวินโม่เซี่ยเดินวนไปมารอบๆเกี้ยวราวกับแมลงวัน และจากนั้นเขาก็ย่อตัวลงและหยิบบางอย่างขึ้นมาจากพื้น และจากนั้นก็มองไปทางทิศตะวันออก ตะวันตก และหันตัวไปหนึ่งรอบ จากนั้นเขาก็คืนร่มกลับไปให้ผู้เฒ่าผังและพูด
“ ไปกันเถอะ ”
“ ข้าไม่คิดว่าอาวุธที่เจ้าหยิบมานั้นเป็นของท่าน นายน้อย ”
ดวงตาระดับปฐพีเชวียของผู้เฒ่าผังนั้นมีความสามารถมากพอที่จะเห็นสิ่งที่จวินโม่เซี่ยหยิบมา
เจ้าเดินมาที่นี่แล้วหยิบเอาอาวุธลับที่ศัตรูทิ้งไว้ข้างหลังอย่างนั้นหรือ ? อาวุธนี้ช่างธรรมดามาก … มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะคิดว่าอาวุธนี้จะให้เบาะแสอะไรได้ … นายน้อยนั้นถือว่าตัวเขาเองฉลาด …
แม้เขาจะเห็นว่าจวินโม่เซี่ยหยิบอาวุธขึ้นมา แต่เขาก็ไม่เห็นว่าจวินโม่เซี่ยมองไปทางใหน หรือ เอ่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของจวินโม่เซี่ยในตอนนั้น
แม้ลมและฝนยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะกลบร่องรอยทั้งหมดของมือสังหาร ยังมีร่องรอยเล็กน้อยหลงเหลืออยู่ คนสกดรอยของสกุลจวินนั้นยังไม่สามารถที่จะเข้าใจหรืออธิบายถึงมันได้
อย่างเช่น สายลมยังคงมีกลิ่นหอมอ่อนๆอยู่ … แม้กลิ่นนั้นจะเบาบางอย่างมากจนคนธรรมดาไม่สามารถที่จะบอกได้ แต่ประสาทสัมผัสของจวินโม่เซี่ยนั้นแหลมคมมากพอที่จะสัมผัสมันได้
และคำสั่ง ถอย ที่คุ้นเคย ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นมากพอที่จะบอกได้ว่ามาจากคนๆเดียวกัน ! รอยยิ้มที่ชั่วช้าปรากฏขึ้นในขณะที่เขาเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน
เมื่อมาถึงบ้าน จวินโม่เซี่ยพบปู่ของเขายืนอยู่ที่ประตูใหญ่ ดวงตาของชายแก่มองหลานชายของเขาทั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ไม่พบรอยขีดข่วนใดๆ เขาขมวดคิ้วในเชิงดุด่า
“ เมื่อใหร่ที่เจ้าจะแข็งแกร่งมากพอให้ข้าไม่ต้องเป็นห่วงเจ้า ! ตอนนี้ไปเปลี่ยนชุด ”
จวินโม่เซี่ยไปที่ห้องของเขาอย่างเชื่อฟัง แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับปู่นัก
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและไปยังห้องทานอาหาร และพบว่าอาหารและเครื่องดื่มนั้นถูกนำมาวางที่โต๊ะแล้ว จวินวูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนของเขาพร้อมกับผ้าที่คลุมขาของเขาไว้ เขามองมาที่จวินโม่เซี่ย ยิ้มนิดๆและกระซิบเบาๆ
“ ข้าไม่รู้ว่าเคล็ดอะไรที่จะต้องใช้เพื่อรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย … โม่เซี่ย น้าของเจ้าอยากรู้จริงๆ เจ้าจะต้องบอกข้าถึงที่มาของเคล็ดนี้ อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องของมัน ! ”
“ เอ่อ … ท่านน้า โลกที่ยิ่งใหญ่นี้เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ และ พรสวรรค์ที่แสนวิเศษ นี่ …. ”
จวินโม่เซี่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ หยุด ข้าไม่อยากพูดอีกแล้ว ”
จวินวูอี้เบิกตากว้างเพื่อเพ่งมองไปยังหลานชายของเขา
“ พวกเขานั้นเป็นอย่างไร ? เจ้ามีความคิดอะไรเรื่องพวกเขาไหม ? ”
“ ข้ามีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา ข้าอาจจะตามหาพวกเขาบางคนได้ ”
จวินโม่เซี่ยขยิบตา
“ ข้าควรจะส่งใครไปช่วยเจ้าไหม ? ”
ทันใดนนั้นสีหน้าของจวินวูอี้เย็นชาลง
เจ้าชั่วนั้นพยายามจะสังหารโม่เซี่ยของข้า ดังนั้นพวกมันจะต้องตาย !
“ ยังไม่ถึงเวลานั้น ”
จวินโม่เซี่ยยิ้มกลับไป
“ พวกเขาทำให้พวกเรามั่นใจในบางอย่าง แต่หากเราส่งคนของเขาตามพวกเขาไป มันจะทำให้พวกเขาระวังตัวมากขึ้น ”
“ เจ้าหมายความว่า …. เจ้ารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ? ”
ดวงตาของจว้นวูอี้เปล่งประกาย
“ ท่านน้า เห็นได้ชัดว่าการมองการไกลของท่านนั้น สามารถทำให้ท่านวางแผนการรบได้จากในกระโจม และเอาชนะสงครามได้จากระยะที่ห่างออกไปนับพันไมล์ … ”
จวินโม่เซี่ยประจบ
จวินวูอี้ไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ สกุลกวน ? ”
จวินโม่เซี่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ เราจัดงานเลี้ยงนี้เพื่อพวกเขา เหตุใดพวกเขาถึงไม่อยู่ที่นี่ ? ”
“ พวกเขาอยู่ที่ลานบ้านของพี่สะใภ้เจ้า เซี้ยวฮั่นกำลังโกรธ ”
จวินวูอี้ยิ้มน้อยๆ
“ เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว มันจะดีกว่าหากเรารออยู่ที่นี่ ”
ในขณะที่เขาพูดคำสุดท้าย จวินโม่เซี่ยหันหน้ามองออกไปยังสายฝนด่านนอก และเห็นคนเดินต่อแถวเข้าไปยังพื้นที่จัดเลี้ยงอย่างช้าๆ
พวกเขาคือสกุลกวน !
คนจากสกุลกวนทั้งห้าออกมาเพื่อทานมื้อค่ำด้วยความสวยงาม แต่นำหน้ามาด้วเซี้ยวฮั่น และตามมาด้วยคนที่ต่ำและสูง ชายวัยกลางคนใส่ชุดสีเขียว แม้ว่าเสื้อผ้าของเขาจะกระพือด้วยแรงลม แต่ชุดของเขาก็แห้งสนิท ราวกับว่าชุดของเขาไม่ได้รับผลจากสายฝนที่อยู่ด้านนอก ชายผู้ที่อยู่ด้านหลังเซี้ยวฮั่นคือพ่อของนาง กวนดุงหลิว เขายังเป็นหัวหน้าสกุลกวนอีกด้วย
ด้านหลังกวนดุงหลิวนั้นเป็นชายร่างใหญ่ที่ดูมีอายุ แม้ว่าผมและหนวดของเขานั้นจะเป็นสีเทา แต่ร่างของเขานั้นใหญ่และดูหนักแน่น ดวงตาที่คมกริบของเขานั้นดูราวกับเสือดาว และท่าเดินที่เหมือนเสือของเขาทำให้ตัวตนของเขาชัดเจน กวนหลูซาน นั้นเป็นหนึ่งในนักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสกุลกวน
ที่ตามกวนหลูซานมานั้น คือเด็กหนุ่มสองคนที่มีใบหน้ายาว ราวกับหยก สง่างาม ฉลาดและหล่อเหลา ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นพี่ของกวนเซี่ยวฮั่น คนแรกชื่อ กวนเซี่ยวโบ ในขณะที่คนที่สองนั้นคือ กวนเซี่ยวยี่
กวนเซี่ยวฮั่นนั้นสง่างามและงดงามอย่างมาก แต่ความสง่างามและลักษณะของพี่ๆของนางนั้นก็เทียบเท่ากับนาง
สกุลนี้มียีนที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ
จวินโม่เซี่ยคิด
พวกเขาไม่ดูเหมือนกับปลอกหมอนไปหน่อยหรือ ?
“ พี่กวน ! ”
จวินวูอี้กล่าวทักทายกวนดุงหลิวด้วยการพนมมือ ในขณะที่เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อน
“ พี่จวิน ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรอตอง ”
กวนดุงหลิวยิ้มอย่างแจ่มใสขณะที่เขาพนมมือเพื่อตอบรับคำทักทาย และจากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ ลูกชายทั้งสองของเขาเดินออกมาและทักทายจวินวูอี้
“ ทายาทรุ่นที่สามแห่งสกุลจวินช่างหล่อเหลา สง่างาม และมีพรรสวรรค์ที่วิเศษอย่างมาก พี่จวิน อนาคตของสกุลของท่านคงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องกังวล ”
กวนดุงหลิวเหล่ตามองไปยังจวินโม่เซี่ยและยิ้มด้วยความรัก
ท่าทางที่จริงใจและคำยกย่องซึ่งเขาได้กล่าวด้วยถ้อยคำที่ดูถูกออกมานี้เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก ! จวินโม่เซี่ยบอกได้เลยว่า การรักษาความสัมผันกับผู้ที่มีความสามารถด้านการทูตนี้เป็นงานที่ยากอย่างมาก
แต่ในตอนนี้ ดวงตาของจวินโม่เซี่ยก็หันไปสนใจกับเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง กวนเซี่ยวยี่ ผู้ที่ตั้งใจจะเอาตัวเองหลบอยู่ด้านหลังพ่อของเขา ดวงตาของเขานั้นเผยให้เห็นถึงความโกรธเมื่อได้เห็นจวินโม่เซี่ย ซึ่งได้กลายเป็นสายตาที่ตกตะลึงและประลาดใจอย่างรวดเร็ว ราวกับเขาไม่คาดว่าจวินโม่เซี่ยนั้นอยู่ที่นี่ แม้ว่าแววตาเช่นนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็วซึ่งไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น แต่เขาก็ยังไสามารถที่จะปิดบังจากสายตาที่แหลมคมของมือสังหารได้
จวินโม่เซี่ยอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
อะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสายตานั้น ?
เขานึกถึงความทรงจำต่างๆที่เขาหรือจวินโม่เซี่ยคนเก่ามีความเชื่อโยงกับเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่เขาก็ไม่พบความเกี่ยวข้องใดๆเลย เขาไม่เคยเห็นหน้าของชายผู้นี้มาก่อน
แต่เหตุใดเขาถึงดูตกใจหลังจากที่เห็นข้า ? ข้าพลาดอะไรไป ?
แม้จวินโม่เซี่ยจะวุ่นอยู่กับความคิด สีหน้าของเขาก็ยังคงปกติในขณะที่เขาเดินต่อไป และยิ้มอย่างสุภาพเพื่อทักทายกวนเซี่ยวโบและกวนเซี่ยวยี่ เขาเคยได้ยินมาว่า สองพี่น้องของพี่สะใภ้ของเขานั้นมีความสนใจเดียวกันกับจวินโม่เซี่ยคนก่อน
มันเป็นธรรมเนียมของเจ้าบ้านที่จะทำให้แขกรื่นเริง ผู้อาวุโสนั้นมีความรับผิดชอบที่จะทำให้คนในวัยเดียวกันมีความสุข ในขณะที่คนหนุ่มมีความรับผิดชอบในการดูแลคนในวัยเดียวกัน เนื่องจากจวินโม่เซี่ยนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มในสกุลจวิน ภาระในการที่ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองนั้นมีความบันเทิงจึงตกมาที่เขา
“ นายน้อยสาม ”
เด็กหนุ่มทั้งสองพนมมือทักทาย แม้ว่าชื่อนี้จะเป็นชื่อปกติที่คนแปลกหน้าจะเรียกเขา แต่มันก็ค่อนข้างแปลกที่พี่ของพี่สะใภ้ของเขาใช้ เนื่องจากมันควรจะเป็น พี่ชาย หรือน้องชาย สกุลกวนนั้นมีรกรากอยู่ที่จังหวัดเจียงฮู และขอบเขตพื้นที่ของเขาก็เล็กพอสมควร แต่สกุลของเขาก็ยังมั่งคั่ง และมีอิทธิพล เนื่องจากพวกเขาเป็นเจ้านายในพื้นที่นั้น คนหนุ่มจากสกุลนี้จึงจะต้องรู้ถึงการเรียกชื่อที่เหมาสม
การเรียกชื่อนี้มันก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า เด็กหนุ่มทั้งสองนั้นไม่ถือว่าจวินโม่เซี่ยเป็นน้องของน้องสะใภ้ของเขา และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาถือว่าพวกเขาอยู่ในสกุลที่ทรงอำนาจ
เพียงแค่ใช้คำว่า นายน้อยสาม มันก็เพียงพอที่จะบอกข้อมูลต่างๆให้แก่จวินโม่เซี่ย ทันใดนั้น รอยยิ้มที่อบอุ่นก็เผยขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ในขณะที่เขาผายมือออกไป และนำทางเด็กหนุ่มทั้งสองไปยังมุมที่ว่างเปล่าของห้องทานอาหาร มือของกวนเซี่ยวยี่กระตุกขณะที่จวินโม่เซี่ยดึงเขาไป และแม้ว่าการสั่นนี้จะเบาบางอย่างมาก แต่จวินโม่เซี่ยก็สามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวที่อยู่ในหัวใจของเด็กหนุ่มผู้นี้
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ได้สะท้อนอะไรแต่ในใจของเขาก็กำลังคิดถึงสถานการณ์ทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา
จะเป็นไปได้ไหม ?
แม้ว่าในใจของจวินโม่เซี่ยกำลังง่วนอยู่กับการคิดต่างๆ ปากของเขาก็ยังชวนพูด
“ พวกเจ้าเดินทางมานับพันไล์ เพื่อมายังเมืองเทียนเชียง … แต่ข้าไม่ได้มาต้อนรับพวกเจ้าในสองวันก่อนเลย ท่านพี่ …. ”
กวนเซี่ยวโบยิ้มอย่างสง่างามและพูด
“ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี สองวันก่อนในเมืองเทียนเชียงของพวกเรานั้นน่าตื่นเต้นอยู่แล้ว และพวกเราก็ได้ทำให้ตัวเองสนุกสนาน พวกเราพบเจอคนใหม่ๆมากมาย และก็ได้พบว่า ที่นี่เหมาะสมแล้วที่ได้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเชียง พวกเรายุ่งมากน้องชาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขอโทษ จริงๆนะ ฮ่าฮ่า ….. ”
กวนเซี่ยวโบนั้นเป็นเหมือนกันพ่อของเขา ซึ่งเห็นได้ชัดจากการเลือกคำพูดต่างๆที่ตอบกลับมา จวินโม่เซี่ยรู้ว่า กวนเซี่ยวโบนั้นสนใจในกิจกรรมบางอย่างเช่นเดียวกับจวินโม่เซี่ยคนก่อน แต่นั่นก็ยังมองให้ออกได้ยากเนื่องจากท่าทีที่ซับซ้อนเนื่องจากเขาพยายามควบคุมตัวเอง !
“ โอ้ ? ”
จวินโม่เซี่ยเข้าไปใกล้อย่างแนบเนียน และพูดด้วยเสียงเบา
“ ดังนั้น ข้าสามารถแนะนำสถานที่ซึ่งจะทำให้พี่ทั้งสองมีความสุขยิ่งที่กว่าที่ใหนๆ …. ”
“ ที่ใหน ? ”
กวนเซี่ยวโบถามเบาๆ
สีหน้าที่ต่ำทรามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจวินโม่เซี่ย ซุ่งมีเพียงแต่ผู้ชายแบบนั้นเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เขารีบชำเลืองมองกวนเซี่ยวฮั่นอย่างรวดเร็วเพื่อความแน่ใจว่าเขายื่นอยู่ห่างจากนางมากพอ
“ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ ! ที่นั่นเป็นสวรรค์ของผู้ชาย เจ้าไม่ควรพลาดที่จะไปที่นั่น …. ”
ใบหน้าของกวนเซี่ยวยี่กระตุกอยู่ไม่นานในตอนที่เขาได้ยินชื่อ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ
171 กวนเซียงโบอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
เจ้าเด็กนี่ช่างไร้เดียรสา … เจ้าเปิดเผยตัวตนของเจ้าภายในสามคำ !
“ พวกเราเคยได้ยินเรื่องของทะเลสาปหมอกวิญญาณแล้ว ”
กวนเซียงโบยิ้ม และพูด
“ ความจริง เราไปอยู่ที่นั่น หนึ่งวันครึ่ง ตั้งแต่ที่เรามาถึงเทียนเชียง ”
“ เอ๋ ? ท่านพี่คงได้รับประสบการณ์ที่ดี ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคิดว่าข้ามิใช่คนเดียวในโลกนี้ ”
จวินโม่เซี่ยหน้าบาน ราวกับว่าได้เจอเพื่อนร่วมอุดมการ
“ แล้ว ? เป็นยังไงบ้าง ? เด็กชาย ? เด็กหญิง ? หรือทั้งคู่ ? อี้… ฮี่ฮี่ ….”
ใบหน้าของกวนเซียงโบเผยให้เห็นร่องรอยแห่งความเขิลอายขณะที่เขาพูด
“ ไม่เลย … พวกเราไปที่นั่นเพื่อทำธุรกิจ … ”
“ ท่านพี่ ! ”
กวนเซี่ยงโบกำลังพูดอยู่ถึงกลางประโยคในขณะที่น้องชายของเขาขัดจังหวะ และชำเลืองตาเพื่อเตือน
กวนเซียงโบ หัวเราะอย่างอิสระและมีท่าทางที่เรียบง่าย
“ ฮ่าฮ่า เซียงยี่ ผู้ชายจะต้องซื่อสัตว์และซี่อตรงต่อเส้นทางของเขา และจะต้องไม่ปิดมันมันต่อโลก ไม่มีอะไรต้องอาย ยิ่งไปกว่านั้น นายน้อยสามคือส่วนหนึ่งในสกุลของเรา ดังนั้นเราจึงสามารที่จะพูดคุยเรื่องต่างๆกับเขาได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร ”
จวินโม่เซี่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ ถูกต้อง ”
แม้ว่าเขาจะสับสนเล็กน้อย
หรือสองพี่น้องคู่นี้จะไม่ลงรอยกันเท่าใหร่ ? กวนเซียงโบพยายามที่จะเปิดเผยความปราถนาของน้องชายตัวเอง … เกิดอะไรขึ้น ?
“ ค่อนข้างจะชัดเจนนายน้อยสาม เพื่อนของน้องชายข้าอยู่ในทะเลสาปหมอกวิญญาณ อ่า นี่จึงเป็นจุดประสงค์ที่เรา … ทำธุรกิจ ”
กวนเซียงโบฉลาดที่จะใช้คำว่า ธุรกิจ สำหรับ กิจกรรมและบริการที่หญิงสาวในซ่องเหล่านั้นมอบให้พวกเขา …
เจ้าเป็นอะไร ? พ่อค้าเนื้อ ?
“ นั่นละคือสิ่งที่ข้าคิด ”
ทันใดนั้นจวินโม่เซี่ยก็ตระหนักได้
“ น้องสองช่างเป็นคนที่โรแมนติกยิ่งนัก ฮ่าฮ่า … แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ”
ในที่สุดความคิดของจวินโม่เซี่ยก็เชื่อมโยงเหตุและผล และสุดท้ายเขาก็สามารถบอกได้ว่า เหตุใดช่วงเวลาที่ได้เจอกับการลอบสังหารนั้นช่างแม่นยำยิ่งนัก แม้คนธรรมดาก็ไม่รู้ถึงที่สถานที่ ที่เขาอยู่เนื่องจากกิจกรรมต่างๆที่เขาทำนั้นถือเป็นความลับของสกุลจวิน
คนทรยศกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเราแล้ว !
แต่เป็นการยากที่จะป้องกันคนทรยศนี้ !
ไม่ต้องสงสัยถึงตัวตนของเพื่อนของกวนเซียงยี่ … เห็นได้ชัดว่าคือ แม้นานยี่เอ๋อ ! เห็นได้ชัดว่า เขาได้เปิดเผยที่อยู่ของจวินโม่เซี่ยแก่นาง ซึ่งได้ทำให้เขาต้องพบเจอกับเรื่องนี้ !
สำหรับ กวนเซียงยี่ … เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง
จวินโม่เซี่ยมั่นใจในเรื่องนั้น !
ไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่ตกใจ และหวาดกลัว ในตอนที่ได้เห็นว่า จวินโม่เซี่ยนั้นปลอดภัยและไม่เป็นอะไร
แม่งเอ้ย ! พวกเราต้อนรับพวกเจ้าอย่างสุภาพและปฏิบัติกับเจ้าดั่งเป็นคนในครอบครัว และเจ้ายังไปปากโป้งเช่นนั้นอีก ?
จวินโม่เซี่ยสาปแช่งอยู่เงียบๆภายในใจ รู้ตัวว่านี่มิใช่เวลาที่เขาจะแก้แค้น ความจริง เห็นได้ชัดจากภาษากายของกวนเซียงโบ ว่าเขายังไม่รู้ถึงการกระทำที่แท้จริงของน้องชายของเขา ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าพ่อของเขาจะมากับสกุลของเขาด้วย แต่ก็ดูเหมือนเรื่องนี้จะยังเป็นความลับ มิเช่นนั้นเขาก็คงจะไม่กล้าเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้
เด็กหนุ่มนั้นหุนหัน หากหญิงสาวร้องขอและอ้อนวอนเด็กหนุ่มเพื่อความพึงพอใจ ชายผู้นั้นก็จะสัญญาโดยไม่ให้ครอบครัวเขารู้ ปกติแล้วคนเช่นนี้ก็ไม่เข้าใจถึงผลที่ตามมาจากการกระทำของพวกเขา !
ความกล้าที่โง่เขลา !
จวินโม่เซี่ยถอนหายใจ
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ข้าจะได้แก้แค้น แต่ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอย่างมีความสุข ! ดังนั้น ยี่เอ๋อคือที่หมายปองของเจ้าใช่ไหม ? ดี ! เยี่ยม ! ให้ข้าพูดถึงที่รักของเจ้า ยี่เอ๋อ ! เจ้านี่แม่งโชคดีที่ข้าไม่สังหารเจ้าไปซะตั้งแต่ตอนนี้ !
“ ข้าพนันว่าเจ้าทั้งสองมีเพื่อนที่ทะเลสาปหมอกวิญญาณน้อยกว่าข้า ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ข้าไปยังทะเลสาปหมอกวิญญาณบ่อยมาก ”
จวินโม่เซี่ยยิ้มขณะที่เขากระซิบ
“ หากจะให้พูด ข้าสามารถแนะนำสถานที่แถวๆนั้นให้พวกเจ้าได้ ”
“ ฮ่าฮ่า ที่นี่เป็นบ้านของเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องคุ้นเคยกับมันมากกว่าพวกเราอยู่แล้ว ”
กวนเซียงโบยิ้มกลับมา
“ ถูกแล้ว ! และข้าก็เคยได้เปิดซิงหญิงสาวหลายคนที่นั่น ”
จวินโม่เซี่ยกระซิบขณะที่ใบหน้าของเขาเริ่มแสดงสีหน้าที่ลามกและมีชัยชนะ
“ อย่างเช่น ยี่เอ๋อแห่งศาลานี่ฉาง .. ที่บอกกันว่านางเป็นหญิงที่สวยที่สุดในทะเลสาปหมอกวิญญาณ นายน้อยผู้นี้นั้นอ่อนโยนมากพอที่จะได้เป็นลูกค้าคนแรกของนาง ”
“ … ”
ทันใดนั้น กวนเซียงโบก็รู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ !
ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้ไปยังทะเลสาปหมอกวิญญาณกับเรา … แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่า ที่รักของน้องของข้าชื่อว่ายี่เอ๋อ ?
เขาพูดถึงหญิงคนเดียวกันจริงหรือ ?
ทันใดนนั้น ใบหน้าของกวนเซียงยี่เริ่มซีดเผือก ! ดวงตาของมองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ ขณะที่เขากลืนน้ำลาย และพูดออกมาอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงที่ไม่เร่งรีบ
“ นายน้อยสามต้องอย่าโอ้อวดเกินไป แม่นางยี่เอ๋อนั้นเป็นหญิงบริสุทธิ ดังนั้น ได้โปรดอย่าดูถูกความเคารพตัวเองของนาง ! ”
“ อะไรนะ ? เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ? และอะไรคือการเคารพตัวเองที่โสเภณีมี ? อย่างไรก็ตาม ข้าก็สามารถพิสูจน์มันได้ ”
สีหน้าของจวินโม่เซี่ยเริ่มทะนงตัวมากขึ้น ในขณะที่รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งดูน่ารังเกียจ
“ ให้ข้าบอกเจ้านะ แม้นางยี่เอ๋อมีป่านแดงสามอันที่ก้น ซึ่งมันอยู่ใกล้กันมากจริงๆ ผิวของนางนั้นนุ่มนวลและอ่อนโยน เอวของนางเรียบเนียน ริมฝีปากที่เร่าร้อน และ น่าอกที่ใหญ่โตจนที่ทำให้ข้านอนไม่หลับไปหลายคืน ข้าจะให้เงินแก่นางเป็นจำนวนมาก แต่นางบอกข้าว่านางรักข้า และไม่ต้องการจะขายตัว ข้าใช้เวลาหลายวันกับนางแต่แล้วข้าก็จากมาเพราะข้าไม่รู้ว่านางต้องการอะไร … ”
มีสีหน้าที่สุดแสนจะวิตถารบนใบหน้าของจวินโม่เซี่ย และดวงตาของเขาก็เปิดเผยถึงประกายแห่งความทรงจำ เขากลืนน้ำลายลงคอไป ในขณะที่มือยังคงค้างอยู่ในอากาศราวกับว่าเขายังคงพยายามสัมผัสถึงผิวที่เรียบเนียนของนาง …
“ นั่นพอแล้ว ! ”
ทันใดนั้นกวนเซียงยี่ก็คำรามออกมาขณะที่เขายืนขึ้นจากเก้าอี้ เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และเริ่มสาปแช่ง
“ จวินโม่เซี่ย ! เจ้ามันคนเลว ! เจ้ามันชั่วช้า ! เจ้ามันไร้ยางอาย ! ”
ทันใดนั้นจวินโม่เซี่ยก็รู้สึกตัวด้วยความตกใจ และอกที่จะตัวสั่นในขณะที่มีสีหน้าที่ตกใจไม่ได้
“ เจ้า … เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ? ”
การระเบิดอารมณ์ออกมาในครั้งนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง !
สกุลจวิน และสกุลกวนนั้นมิได้เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ยังมีความเกี่ยวกันพัน และเนื่องจากญาติของพวกเขามาเยี่ยมเยียน จวินจ้านเทียนก็ตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยงขึ้นด้วยตัวเอง การพูดคุยของกวนดุงหลิวก็นำพารอยยิ้มมาให้แก่ผู้อาวุโส ในขณะที่จวินวูอี้และกวนหลูซาน ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆพวกเขาก็เข้าร่วมเสริมการสนทนาด้วย จึงทำให้พวกเขาหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ไม่มีผู้ใดคิดว่า ลูกชายคนรองสองแห่งสกลกวนนั้นจะโมโหขึ้นมาอย่างกระทันหัน ! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดคาดว่า เขาจะเริ่มว่าร้ายแก่นายน้อยแห่งสกุลจวินด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงเช่นนั้น ดูราวกับว่า จวินโม่เซี่ยสังหารพ่อของเขา และชิงเอาภรรยาของเขาไป
แม้แต่เทพเชวียนก็ยังคงยากที่จะรับกับปฏิกริยาในเหตุการณ์เช่นนี้ จวินจ้านเทียน จวินวูอี้ กวนดุงหลิว กวนหลูซาน และ หวนเซียงฮัน ได้รับการเสิร์ฟอาหารโดยผู้เฒ่าผัง และตอนนี้ พวกเขาก็มองหน้ากันอย่าพูดอะไรไม่ออก …
ไม่ต้องนึกถึงปฏิกริยาของคนอื่น ทั้งจวินวูอี้และจวินจ้านเทียนนั้นเป็นวีรบุรุษผู้ผ่านสงครามมา และได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงมามากมาย แต่เขาก็ยังตกตะลึงกับอาการบ้าคลั่งของเด็กหนุ่มผู้นี้ !
ลูกชายคนที่สองแห่งสกุลกวนนั้นเสียงดังมากพอที่จะทำให้เกิดอันตรายกับชีวิตได้ !
เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยในขณะที่นิ้วอันสั่นเทาของเขาค่อยๆขยับไปยังมีดพกที่อยู่ที่ข้อมือของเขา ราวกับว่า เขาพร้อมที่จะสังหารจวินโม่เซี่ยได้ในตอนนี้เลย
“ เจ้าเด็กเลว ! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ? ”
สุดท้ายแล้วกวนดุงหลิวก็ได้สติ และสาปแช่งออกมา เขาไม่เคยคาดว่า ลูกชายที่มารยาทดีของเขาจะเริ่มสาปแช่งจวินโม่เซี่ย
เจ้าไม่สามารถหยาบคายกับสกุลจวินได้ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา และเจ้ายังว่าร้ายแก่ทายาทเพียงผู้เดียวแห่งสกุลจวินอีกอย่างนั้นหรือ ?!
เห็นได้ชัดว่า กวนดุงหลิวไม่รู้ว่าคำพูดของจวินโม่เซี่ยยั่วโมโห กวนเซียยี่ได้อย่างไร !
กวนดุงยี่ตกหลุมรักยี่เอ๋อตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น เมื่อนานมาแล้ว แต่เขาจำเป็นต้องจากนางไปเนื่องจากเขาจะต้องกลับไปยังบ้านเกิดของเขา การไล่ตามยี่อ๋ออย่างโง่เขลาทำให้เขาเป็นบ้า ยี่เอ่อกลายมาเป็นสิ่งเดียวในชีวิตของเขา และเป็นเทพธิดาในใจของเขา ! เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมให้ใครมากล่าวคำดูหมิ่นนางได้
เขาไม่สามารถทนฟังคำพูดไม่ดีเกี่ยวกับนางได้แม้แต่คำเดียว !
จากนั้นวันหนึ่ง กวนเซียงยี่ก็ได้รับข้อความจากยี่เอ๋อด้วยคำสองคำ
เจ้าคือสมบัติล้ำค่า !
จากนั้น ทุกอย่างที่มิใช่ยี่เอ๋อก็หายไปจากสายตาของเขาในทันที
เขาปราถนาในตัวยี่เอ๋อ ซึ่งมันลดลงเนื่องจากระยะทางระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่มันก็รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เขาได้ส่งข้อความไปหายี่เอ๋อว่าเขาจะกลับไปยังเมืองเทียนเชียงอีกครั้ง หวังว่ามันจะทำให้นางมีความสุข จริงๆแล้ว เขามีความสุขอย่างมาก เมื่อได้คิดว่าจะได้เจอนางอีกครั้ง !
เมื่อเขาบอกยี่เอ๋อว่าเขามาเยี่ยมสกุลจวินกับพ่อและพี่ชายของเขา รอยยิ้มที่แสนโศกเศร้าได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนาง และนางก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆที่จวินโม่เซี่ยก่อปัยหาให้นางเมื่อไม่นานมานี้ เห็นได้ชัดว่านางต้องการสั่งสอนจวินโม่เซี่ย และกวนเซียงยี่ก็สัญญาจะช่วยนางโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
เขาเปิดเผยตำแหน่งของจวินโม่เซี่ยแก่นาง มันทำให้เขารู้สึกพึงพอใจกับตัวเองอย่างมาก
สุดท้ายข้าก็มีโอกาสได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อนาง ! เมื่อเห็นว่าจวินโม่เซี่ยกลับโดยไม่ได้รับบาดเจ็บมันทำให้เขาเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของยี่เอ๋อ …
นางต้องการทำให้เขาก้มหัวลงไป แต่จวินโม่เซี่ยกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย … แผนการของยี่เอ๋อมีบางอย่างผิดพลาดหรือเปล่า ? หากเป็นเช่นนั้น ตอนนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง ? เขาคงไม่ทำให้นางบาดเจ็บใช่ไหม ?
เนื่องจากความคิดนี้ได้ครอบงำสองมของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถที่จะมองหน้าจวินโม่เซี่ยได้ ซึ่งเขาก็ทำได้แค่สาปแช่งโชคชะตาและการกระทำของตัวเอง จากทั้งหมดนี้ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เปิดเผยตำแหน่งของจวินโม่เซี่ย แล้วเขาจะไม่รู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองเลยหรือ ?
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่า พี่ชายของเขาและจวินโม่เซี่ยจะเข้ากันได้ดีอย่างรวดเร็ว และเริ่มพูดคุยถึงประสบการณ์ของพวกเขา โดยเริ่มพูดถึงเรื่องของยี่เอ๋อผู้เป็นที่รักของเขา ! ยิ่งไปกว่านั้น จวินโม่เซี่ยก็ยังพึงพอใจอย่างมากที่ได้เป็นผู้ชายคนแรกของนาง !
นี่คือคำดูถูกขนาดใหญ่สำหรับผู้ชายทุกคน ! ไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวที่เขารัก และใส่ใจมากที่สุด ซึ่ง … ไม่เพียงแต่ได้รับการปฏิบัติดั่งเช่นสิ่งของ แต่กลับถูกใช้ในเรื่องที่น่าอับอายเช่นนั้น ….
ชายผู้ใดกันที่สามารถทนฟังคำพูดเช่นนี้ได้ ?
ทั้งร่างของ กวนเซียงยี่นั้นพร้อมที่จะระเบิดความโกรธออกมาได้ตลอดเวลาา !
ความอับอาย และความเสื่อมเสีย
172
กวนเซียงยี่นั้นไม่ได้เชื่อจวินโม่เซี่ย แต่สิ่งที่จวินโม่เซี่ยอธิบายถึงนางและความจริงถึงรอยต่างๆบนตัวนั้นก็มากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้เสียสติ !
กวนเซียงยี่ยืนขึ้นโดยไม่สนใจคำพูดของพ่อของเขา … ด้วยอาการหอบหายใจ เขาชูนิ้วขึ้นและชี้ไปที่จวินโม่เซี่ยขณะที่คำพูดของเขาผ่านริมฝีปากที่สั่นเทาของเขาออกมา
“ จวินโม่เซี่ย ! ข้าสาบานว่าข้าจะสังหารเจ้า ! ”
หัวใจของเขาเจ็บปวด ปอดของเขาแสบร้อน และ ความอับอายในฐานะลูกผู้ชายทำให้น้ำตาของเขาหลั่งออกมาในตอนที่เขาพูดจบ !
จวินโม่เซี่ยอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
เด็กน้อยน่าสงสาร เจ้าเชื่อยี่เอ๋อจริงๆหรือ ?!
เพียงแค่หนึ่งประโยคนี้ทำให้บรรยากาศภายในห้องหนาวเย็นราวกับค่ำคืนในหน้าหนาว ! ใบหน้าของจวินจ้านเทียนและจวินวูอี้หม่นหมอง แต่ภายในนั้นความอาฆาตรก็ได้ก่อตัวขึ้น !
ภายในบ้านสกุลจวิน … ต่อหน้าจวินจ้านเทียนและจวินวูอี้ มีใครบางคนขู่จะสังหารทายาทเพียงคนเดียวของสกุลจวินจริงๆหรือ ? หากมันเกิดขึ้นจริง ผู้คนในเมืองเทียนเชียงจะหัวเราะ และมองว่ามันเป็นเรื่องตลกที่โง่เง่ามากๆ ! แต่ตอนนี้ มีการเย้ยหยันนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ในบ้านของพวกเขา …
ทุกคนรู้ถึงความสำคัญของชีวิตของจวินโม่เซี่ย …
กวนดุงหลิว กวนหลูซาน กวนเซียงโบ และแม้แต่กวนเซียงอี้ ถึงกับหน้าซีด !
“ เจ้าโง่ ! หยุดไร้สาระเสียที ! ”
กวนดุงหลิวนิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว และเขาก็ลุกขึ้นไปตบหน้าลูกชายของตัวเองในทันที
“ เจ้าต้องขอโทษบุตรแห่งสกุลจวินตอนนี้ไหม ?! ”
“ ข้าจะไม่ขอโทษเขา ! ข้าไม่ได้พูดอะไรผิด ! ”
กวนเซียงยี่ไม่ยอมหยุด และยังคงเพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ยอย่างไม่อาย ไม่แม้แต่จะเอามือปาดเลือดที่เริ่มไหลจากมุมปากของเขา
“ จวินโม่เซี่ย ด้วยความเป็นลูกผูชาย … ข้าขอท้าประลองกับเจ้า ! ”
“ ประลอง ! ทำไม? ”
จวินโม่เซี่ยมีสีหน้าที่สับสน และพยายามยิ้มขึ้นมาอย่างสับสนเล็กน้อย
“ พี่กวนสอง ข้าไม่รู้ว่าเมื่อใหร่กัน ที่ข้าทำให้เจ้าขุ่นเคือง ? เราเพิ่งจะได้เจอกันในครั้งแรก ! เราเกี่ยวข้องกันในการแต่งงาน … เจ้ามายังเมืองเทียนเชียง เจ้ามาดื่มกันกับสกุลของ้ขา และพวกเราก็ทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าบรรเทิงใจ และตอนนี้เจ้ามาท้าประลองข้าอย่างนั้นหรือ ?! เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการจะสังหารข้า ! ข้าขอถามเหตุผลเจ้าหน่อยได้ไหม ? ”
“ เจ้า … เจ้าไม่ต้องถามหาเหตุผล ! เจ้ากล้าที่จะถามหาเหตุผลได้อย่างไรกัน ? หากเจ้าเป็นลูกผู้ชาย เจ้าควรจะยอมรับคำท้าของข้า ! ”
ดวงตาของกวนเซียงฮั่นเพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ยอย่างดุร้าย
“ เจ้าเด็กเลว ! เจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อเจ้าพูดหรืออย่างไร ? ”
กวนดุงหลิวยื่นมือออกไปหมายที่จะตบหน้าลูกชายของเขาอีกครั้งในขณะที่หัวใจอันเป็นกังวลของเขาบังคับให้เขาแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้
วันนี้มันจะเกิดรับมือแล้ว … แม้ว่าสกุลจวินจะถือว่าเรามีความสัมพันธ์ต่อกัน เหตุใดพวกเขาถึงยังคงปล่อยให้ลูกชายคนที่สองของข้ากระทำการอวดดีเช่นนี้ ? แม้กระทั่งคนที่มีเหตุมีผลของสกุลจวิน อาจจะไม่มีเหตุผลในสถานการณ์เช่นนี้ !
เขารู้หรือไม่ว่าจวินโม่เซี่ยเป็นใคร ? เขาคือทายาทเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ของสกุลจวิน ! แม้ว่าลูกชายคนที่สองของข้าเพียงแค่ขู่จะสังหารเขา แต่หากใครขู่จะสังหารลูกชายของข้า ข้าก็คงจะส่งคนนั้นไปสู่ความตายโดยที่ไม่ให้โอกาสคนผู้นั้นได้อธิบายสถานการณ์เลย ! นี่คือสิ่งที่ข้าจะคิด แล้วเมื่อใหร่ที่ผู้เฒ่าจวินจะตัดสินใจเช่นนี้ละ?
กวนเซียงยี่ยังคงเพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ยพร้อมกับสีหน้าที่แน่วแน่และไม่ยอมกระพริบตา และไม่มีทีท่าว่าจะหลบการตบหน้าครั้งที่สองจากพ่อของเขา ในขณะที่มือของกวนดุงฮั่นอยู่กลางอากาศ และพร้อมที่จะตบลงไปให้แรงยิ่งกว่าครั้งแรก แต่แล้วก็มีมืออีกมือหนึ่งปรากฏขึ้นและคว้ามือของเขาไว้ กวนดุงฮั่นหันไปและรู้ว่านั่นคือมือของจวินวูอี้
จวินวูอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดอย่างเรียบง่าย
“ พี่กวน จะต้องมีเหตุผลอะไรที่อยู่เบื้อหลังคำพูดของลูกชายของท่าน เราจะต้องสืบสวนเรื่องนี้ให้ลึกลงไป จวินโม่เซี่ยอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ลูกชายคนที่สองของท่านขุ่นเคือง บ่อยครั้งที่มันเป็นการไม่ลงรอยกันของเด็กหนุ่ม และสำหรับผู้อาวุโส เราจะต้องไม่รีบแซกแทรงเพื่อหยุดพวกเขา … มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น มันอาจจะทำให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่ถูกไหม ? ”
ร้อยยิ้มและสีหน้าที่เป็นมิตรของจวินวูอี้นั้นทำให้หัวใจที่สั่นกลัวของกวนดุงหลิวบรรเทาลง
แม้ว่าคำพูดของจวินวูอี้จะอ่อนโยนและสมเหตุสมผล แต่ยังมีร่องรอยแห่งอำนาจในภาษากายของเขา กวนดุงหลิวค่อยๆก้มลง ขณะที่เขารู้ว่าหากเขาแสดงอาการไม่เห็นด้วยนั้นอาจจะทำให้ครอบครัวของเขาต้องพบจุดจบ
“ ท่านน้าสาม โปรกให้ข้าได้สืบสวนเรื่องนี้ ”
กวนเซียงฮั่นก้มหัวต่อหน้าน้องสองของเขาในทันที่
“โปรดให้ข้าสืบสวนว่าเหตุใดวันนี้เซียงยี่ถึงทำตัวเช่นนี้ โปรดอนุญาติให้ข้าได้ตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรเมื่อได้พิจารณาว่า โม่เซี่ย หรือ เซียงยี่ที่กระทำผิด เนื่องจากข้า เป็นพี่ของคนทั้งสอง ! ”
น่างสังเกตุเห็นว่า เด็กนหนุ่มทั้งสามจับกลุ่มกันเมื่อไม่นานมานี้ และพวกเขา กระซิบกระซาบ หัวเราะ พร้อมกับสีหน้าที่ลามกอนาจาร นางรู้สึกว่าการทะเลาะกันนี้อาจจะมาจากการสนทนาในเรื่องที่ไม่ควรพูดต่อหน้าผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม กวนเซียงยี่ก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของนาง และนางก็เชื่อว่าเขานั้นมารยาทดีเป็นอย่างมาก ดังนั้น และนางก็ตัดสินใจไปแล้วว่า พี่ของนางนั้นไม่เคยก่อปัญหาใดๆ และจวินโม่เซี่ยจะต้องยั่วยุจนน้องของนางโมโห
“ ข้า … ข้า … ข้า …. ”
กวนเซียงยี่อ้าปากแต่ครั้งนี้เขาไม่รู้จะพูดอะไร สีหน้าของเขาแสดงถึงความเจ็บปวดและโศกเศร้าภายในใจอย่างชัดเจน
เขาไม่สามารถพูดถึงความจริงที่อยู่เบื้อหลังเรื่องนี้ได้ เพราะเขารู้ว่ายี่เอ๋อนั้นอยู่ในทะเลสาปหมอกวิญญาณ สถานที่ซึ่งผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือที่มอบความพึงพอใจ แม้ว่านางจะเป็นคนรักของเขา นางก็ยังคงเป็นโสเภณี ! แม้จะบอกว่าหญิงผู้นั้นทำงานอย่างบริสทุธิ์ และไม่ได้ขายตัว ยังไงโสเภณีก็คือโสเภณี !
หากพ่อและพี่ของเขารู้ว่า ที่ข้าท้าประลองกับนายน้อยสามแห่งสกุลจวินเพื่อผู้หญิงเช่นนี้ พวกเขาจะไม่เป็นบ้าไปก่อนหรือ ?
ไม่สำคัญว่าจวินโม่เซี่ยจะดูถูกชื่อเสียงของนางขนาดใหน ข้าก็ไม่สามารถให้ผู้ใดรู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องขัดแย้งนี้ได้ … ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เดียวที่พวกเขาจะรับรู้นั่นก็คือ นางเป็นโสเภณี !
ในความจริง แม้ว่าเขาจะพบยี่เอ๋อในสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้หญิงที่มีชั้นตระกูล กวนเซียงยี่ก็ยังคงเชื่อในคำพูดของนางเนื่องจากเขาไม่เคยถามถึงอดีตของนาง ! แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาให้นางมาเป็นผู้หญิงในใจของเขา ! กวนเซียงยี่ตัดสินใจในเรื่องนั้นแล้ว เขาจะรักนางไปจนถึงวันสุดท้าย และจะใช้พลังอำนาจทั้งหมดของเขาเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนาง
“ พี่กวนสอง ข้าอยากรู้ว่าข้าทำอะไรให้ท่านขุ่นเคือง ….? หากข้าทำให้ท่านขุ่นเคืองจริงๆ ข้าจะยอมรับความผิดพลาดของข้า และข้าจะขออภัยในเรื่องนั้น แต่ท่านพี่ต้องบอกถึงความผิดนั้นมาก่อน ! ”
จวินโม่เซี่ยแสดงสีหน้าที่จริงจัง และใช้กลวิธีนี้เพื่อหาโอกาสโยนหินใส่คนที่ล้ม
“ พูดมา ! ”
กวนเซียงฮั่นเห็นใบหน้าที่จริงใจของจวินโม่เซี่ย และมองไปยังน้องของนางด้วยสีหน้าที่โศกเศร้าไปถึงกลางใจ
น้องของข้าทำตัวไม่ดีจริงๆหรือ ?
“ โปรดให้ข้าได้อธิบายถึงสถานการณ์นี้ ”
กวนเซียงโบ วิเคราะห์ถึงปัญหาที่น้องชายของเขาพาตัวเองเข้าไปอย่างสงบนิ่ง และรู้ว่าเขายังไม่ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ให้ชัดเจนซึ่งอาจจะทำให้สกุลของเขาต้องพบกับเรื่องเลวร้าย
ดังนั้นด้วยความสามารถในการเล่าเรื่องที่ครอบคลุมและละเอียดของเขา เขาบรรยายถึงความโรแมนติกของยี่เอ๋อและกวนเซียงยี่ พรรณาว่าพวกเขาคือดวงดาวที่อยู่คู่กัน เขาเล่าว่า คู่รักทั้งสองนั้นถูกทำให้แยกห่างกันด้วยสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จดหมายที่บอกว่ายี่เอ๋อมายังเทียนเชียง และกลายมาเป็น …. นักร้อง และ ผู้จัดการที่ศาลานี่ฉาง
และในโอกาสนั้น กวนเซียงยี่ก็ได้มายังเมืองเทียนเชียงไม่นานหลังจากนั้น และทั้งสองก็ได้มาพบกันใหม่อีกครั้งโดยการนำพาของโชคชะตา และความบังเอิญ … จวินโม่เซียก็ได้เป็นแขก … ของยี่เอ่อ … ครั้งหนึ่ง ….
แม้ว่ากวนเซียงโบ นั้นฉลาดมากพอที่จะบรรยายถึงความน่าสงสารของคู่รักทั้งสอง แต่ดวงตาของกวนดุงหลิวก็ยังคงเพ่งมองไปยังลูกชายของเขาด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ ! ความจริง กวนดุงหลิวก็เกือบจะเป็นลมด้วยความอับอาย
ไม่มีผู้ใดโง่มากพอที่จะไม่เข้าใจถึงเรื่องนี้ ทุกคนคาดเดากันถึงเหตุผลที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่ถูกแก้ไขโดยเซี่ยวโบ เด็กเสเพลสองคนนี่ต่อสู้กับเพื่อแย่ง โสเภณี ! นี่กลายเป็นการลบหลู่ที่ใหญ่หลวง !
ทุกคนเพ่งมองไปยังกวนเซียงยี่ในขณะที่สาปแช่งเขาอย่างเงียบๆอยู่ในใจ
เด็กนี่ตกหลุมรักหญิงสาวในซ่อง และคุกคามทายาทสกุลจวินในบ้านของเขา ? ลูกชายคนที่สองของสกุลกวนนั้นโง่เง่าขนาดนี้จริงๆหรือ ?
คนของสกุลกวน ที่มี กวนดุงหลิว และกวนเซียงฮั่น มองมักจะมองว่าจวินโม่เซี่ยมีพฤติกรรมที่เลวทราม แต่ตอนนี้ พวกเราเริ่มรู้ว่าลูกชายของพวกเขาไม่ได้เลวทราม แต่เขานั้นโง่ …
กวนเซียงฮั่นนั้นเชื่อการตัดสินใจของน้องชาย และอาสาที่จะสืบสวนเรื่องนี้ แต่มันกลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่เลวทราม และตอนนี้ หน้าของนางแดงก่ำด้วยความโกรธ … นางเพ่งมองไปยังน้องชายของนางอย่างโหดร้าย และจากนั้นก็เพ่งมองอย่างดุร้ายไปที่หน้าของจวินโม่เวี่ย และเดินถอยไปหนึ่งก้าว เห็นได้ชัดว่ามันทำให้จวินโม่เซี่ยโมโห
น้องของเจ้าเป็นเหตุที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทะเลาะวิวาทนี้ เจ้ายังจะมาเพ่งมองข้าอีกอย่างนั้นหรือ ? เจ้ารู้ไหมว่าน้องของเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารข้า ? นี่ข้าเป็นผู้เคราะห์ร้ายนะ … ข้าสิจะต้องเป็นคนที่โมโห !
“ เจ้าชั่ว ! ”
เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดสะท้อนไปทั่วทำให้ห้องสั่นสะเทือน
“ เจ้า เจ้าท้าประลองกับพี่น้องของเจ้า … น้องเขยของเจ้า … ถึงเป็นตายเพราะผู้หญิงแบบนี้นะหรือ ? ”
ทั้งร่างของกวนดุงหลิวสั่นด้วยความโกรธ
“ ไอ้ลูกดื้อ ! เจ้ามันเป็นลูกที่ไม่คู่ควร ! เจ้า เจ้า เจ้า … เจ้าทำให้ชื่อเสียงของสกุลเราเสื่อมเสีย ! ”
แม้ว่ากวนเซียงลี่จะรู้สึกผิดและกลัวความโกรธของพ่อของเขา แต่ปากของเขาก็ยังปฏิเสธความพ่ายแพ้นี้ ขณะที่สมองอันดื้อรั้นของเขาสั่งให้พูดปฏิเสธคำพูดของพ่อ
“ ยี่เอ๋อคือที่รักของข้า นางมิใช่หญิงชั่วช้า และคนผู้นี้มิใช่น้องเขยของข้า เรามาที่นี่เพื่อพาพี่สาวกลับบ้าน และเมื่อเราทำเช่นนั้น เขาก็มิได้เกี่ยวข้องกับนาง หรือพวกเราอีกแล้ว ! ”
“ หยุดอวดดีซะ ! ”
กวนดุงหลิวรีบขัดขึ้นมาในขณะที่สีหน้าของเขาซีดลงด้วยความตกใจ แต่เขาพูดช้าไป
กวนเซียงฮั่นมองไปยังพ่อของนางด้วยใบหน้าที่ซีดเผือก ริมฝีปากสีชมพูของนางสั่นเทาในขณะที่กำลังจะพูดสิ่งที่กำลังคิด แต่นางก็ไม่สามารถที่จะพูดมันออกมาได้
ผู้เฒ่าจวินและจวินวูอี้พูดไม่ออก แม้ว่าจวินโม่เซี่ยจะประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ แต่ความเงียบงันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง !
“ ผู้เฒ่าคนนี้เมาแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน ”
ปู่จวินยืนขึ้นและพูดด้วยเสียงอันเย็นชา เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขาผิดจากธรรมดา มื้อค่ำยังไม่ได้เริ่ม จารอาหารยังคงว่างเปล่า … ความจริง แม้แต่แกว้สุราก็ยังคงว่างปล่า และผู้เฒ่าจวินั้นก็เพิ่งจะบอกว่าเขานั้นเมา
173
กวนดุงหลิวยิ้มพร้อมกับมีเsงื่อบางๆอยู่บนแก้ม
“ แน่นอน ได้โปรด … เอ่อ ดูแลสุขภาพด้วย ”
จวินจ้านเทียนตอบกลับด้วยการคำรามทางจมูก และเดินออกไปพร้อมกับสีหน้าที่บึ้งตึง
กวนเซียงฮั่นมีความสัมพันธ์กับสกุลจวินแค่ในนามธรรมเท่านั้น และมิได้เกี่ยวข้องกันอย่างจริงจัง ทุกคนรู้ในความจริงข้อนี้ ! แม้ว่าสกุลกวนจะบอกว่าจะพานางกับไปอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า และในความจริงกวนเซียงฮั่นก็ปฏิเสธข้อเสนอนี้อยู่ทุกครั้งไป แต่การมายังเมืองเทียนเชียงเพื่อพานางกลับไปนั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง !
ทางเดียวที่สกุลกวนจะพานางกลับไปได้นั้นคือการยุติคำสัญญาของทั้งสองสกุล และทั้งสองสกุลก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และสกุลกวนก็เริ่มอวดอ้างขึ้นมาซึ่งมันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีแล้ว สกุลกวนไม่สามารถแม้แต่จะยกตนขึ้นมาได้ จวินจ้านเทียนและจวินวูอี้จะจัดหาทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ ซึ่งมันเป็นเพื่อความเป็นธรรมกับนาง อย่างไรก็ตาม การยกหัวข้อนี้ขึ้นมาต่อหน้าสกุลจวินนั้นเป็นเหมือนการตบหน้าพวกเขา แม้ว่าการตบหน้าในที่นี้เป็นเพียงการเปรียบเปรยถึงการที่คนผู้หนึ่งข้ามหน้าข้ามตาคนที่ควรให้ความเคารพไป แต่สกุลจวินก็ไม่สามารถเสียงหน้าในเรื่องนี้ได้ !
เดิมทีแล้ว การกระทำของทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนอย่างมากแล้วในตอนนี้
จวินวูอี้พูดช้าๆ
“ สิ่งที่มันจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด ”
เขาครุ่นคิดชั่วขณะและพูดต่อ
“ เราจะปรึกษาเรื่องสถานการณ์ของกวนเซียงฮั่นกันทีหลัง แต่ตอนนี้เราควรจะสืบสวนหาต้นตอของปัญหาของลูกชายทั้งสองของเราให้เสร็จก่อน ! ”
ตอนนี้กวนดุงหลิววิตก นี่เป็นครั้งแรกในฐานะหัวหน้าสกุล และเขาพูดอะไรไม่ออก !
“ จวินโม่เซี่ย เมื่อเจ้าดูถหมิ่นยี่เอ๋อของเข้า จานี้ไป กวนเซียงยี่สาบานว่าเจ้าจะเป็นศัตรูของข้านับแต่วันนี้ ! ”
กวนเซียงยี่พูดจาดูหมิ่นออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“ เจ้าจะใช้อำนาจของสกุลจวินมาบังคับข้าหรือ ? ยี่เอ๋อพูดถูกเรื่องเจ้า ! การกระทำที่น่าอับอายของเจ้าคือเหตุที่นางต้องการล้างแค้นกับเจ้า ! ในเมื่อเจ้าโชคดีที่หนีออกมาได้ ข้าจะจบงานนี้เองเพื่อยี่เอ๋อของข้า ! ยอมรับคำท้าประลองซะนายน้อย จวินโม่เซี่ย ! ”
เด็กหนุ่มเล่าสถานการณ์ทั้งหมด และจบมันด้วยความกล้าหาณและสีหน้าที่โมโห !
เจ้าเด็กนี่โง่หรือ ?
บางทีลูกวัวที่เกิดใหม่อาจจะไม่กลับเสือ …
ความจริง นี่อาจะเป็นอำนาจและอิทธิพลของสกุลกวนในภาคตะวันออก ! กวนเซียงอี้ยกตัวเองขึ้นราวกับเป็นลูกชายขององค์จักรพรรดิ เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนที่สองของสกุลกวน ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในเมืองเทียนเชียง เขานั้นยังไม่คิดว่าสกุลจวินจะมีอะไรไปมากกว่า อำนาจและอิทธิพลอันน้อยนิด และความแข็งแกร่งของปราณเชวียนของสกุลจวินนั้น ก็ไม่สูงไปกว่าปราณเชวียนของสกุลกวน แต่ไม่เคยมีใครบอกเขาว่าสกุลกวนนี้มีอำนาจเพียงแค่ทางภาคตะวันออก !
ดังนั้น เด็กหนุ่มผู้นี้จึงยังไม่เคยเห็นอำนาจที่แท้จริงของสกุลจวิน … ทั้งหมดที่เขาเห็นคือคนแก่ที่ใกล้จะลงโลง คนเสเพลที่ไม่มีอะไรดี และ คนพิการ ในสายตาของเขานั้น สกุลนนี้นั้นไร้ประโยชน์ !
เห็นได้ชัดว่าเขานั้นพลาดจุดที่สำคัญอย่างมาก แม้สกุลกวนจะมียอดฝีมือเชวียนชั้นสูงอยู่หลายคน ถึงแม้ว่าเขาอาจจะสามารถเทียบได้กับเมืองดอกบัวหิมะขาว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะยึดติดตัวเองกับข้อจำกัดในโลกนี้ !
ไม่ว่าสกุลจวินจะไม่ทรงพลังเท่ากับสกุลกวนในเรื่องของจำนวนยอดฝีมือ แต่พวกเขานั้นเป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจทางทหารที่มากที่สุดของอาณาจักร ! และพวกเขาก็ยังมีกองกำลังของอาณาจักรหนุนหลังอยู่ !
ไม่ว่าต้องจะเป็นสกุลที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นหนึ่งในโลก พลังอำนาจก็สามารถบรรดาลให้เป็นได้ ! ยอดฝีมือเชวียนระดับสูงอาจจะสามารถสังหารผู้คนได้นับพัน แต่ก็ไม่สามารถปกครองเมือง หรือประเทศ หรือแม้แต่หมู่บ้านได้ !
แต่พลังอำนาจนั้นทำได้ !
นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างมากระหว่างสกุลกวนและสกุลจวิน ! คือความต่างที่ยากจะเทียบเท่า !
ความจริงคือ สกุลกวนนั้นมีชื่อเสียงมาก แต่ชื่อเสียงของพวกเขานั้นก็มีมากแค่ในพื้นที่ของพวกเขา แต่ความสนใจที่พวกเขาได้รับจากนอกอาณาเขตของพวกเขานั้น เป็นเพราะลูกสาวของพวกเขาหมั้นเข้ามาสู่สกุลจวิน ซึ่งไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของพวกเขาเองเลย !
“ เจ้าโชคดีที่ก่อนหน้านี้เจ้าหนีออกมาได้ ? ”
จวินวูอี้ทวนประโยคนี้อย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ในขณะที่เขาเลิกคิ้วสูงขึ้นทุกคำที่เขาพูด
“ บูตรสกุลกวนที่สอง เจ้าหมายความว่าเจ้ามีส่วนในการลอบสังหารจวินโม่เซี่ยในช่วงค่ำ ?! ”
ดวงตาอันแหลมคมของจวินวูอี้เริ่มปลดปล่อยกลิ่นอายที่รุนแรง
จวินวูอี้มองเรื่องราวโต้เถียงของเด็กหนุ่มทั้งสอง เป็นเพียงสิ่งที่ไม่สำคัญ และมันก็ไม่มากพอที่เขาจำเป็นต้องใส่อารมณ์ แต่ประโยคหนึ่งของกวนเซียงยี่ได้เปิดเผยอะไรบางอย่างที่ต่างออกไป และมันมากพอที่จะจุดประกายความโกรธของจวินวูอี้ ! นี่เป็นครั้งแรกในวันนี้ ที่ถือว่าเขาแสดงท่าทีต่อต้านเด็กหนุ่ม !
เด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์เช่นกวนเซียงนั้นจะมีอำนาจและพลังที่จะต่อกรกับ ยอดขุนพลผู้เป็นวีรบุรุษได้อย่างไรกัน ?
“ ข้าไม่ได้ทำ ! ”
กวนเซียงอี้รู้สึกถึงความเยือกเย็นไปทั่วทั้งร่างของเขา และร้องออกมาด้วยความกลัว
“ การลอบสังหาร ? ลอบสังหารอะไร ? ที่ข้าพูดไปมันเป็นการยกตัวอย่าง ! เหตุใดข้าถึงต้องการสังหารเขาในเมื่อข้าไม่รู้เรื่องอะไร ? และหากข้าต้องการให้เขาตาย เหตุใดข้าถึงบอกเขาไปทุกอย่าง ? หากนายน้อยผู้นี้ต้องการให้เขาตาย แล้วเหตุใดเขาถึงรอดชีวิตออกมาได้ ? ! ”
จวินวูอี้ กวนดุงหลิว และกวนหลูซาน ถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน ในตอนที่ได้ยินคำตอบของเขา
เห็นได้ชัดว่า กวนเซียงยี่นั้นเป็นเพียงแค่เครื่องมือในสายตาของยี่เอ๋อ นางต้องเคยใช้งานเขาแล้วก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเขาอยู่ทางภาคตะวันออก และยังคงใช้งานเขาต่อจนนางมาที่เมืองเทียนเชียง ตอนนี้ นางก็ยังคงใช้เขาเพื่อหาข้อมูลที่อยู่ของจวินโม่เซี่ย และจากนั้นก็สางแผนการเพื่อลอบสังหารเขา !
มันทำให้พวกเขาเข้าใจว่า เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการลอบสังหารจวินโม่เซี่ย !
กวนเซียงโบและกวนเซียงฮั่น นั้นยังเป็นคนหนุ่มสาว และไม่ค่อยมีประสบการณ์ จึงใช้เวลานานกว่าเล็กน้อยเพื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมด …
กวนดุงหลิวถอนหายใจอีกครั้ง ในขณะที่ดวงตาของเขาสะท้อนความสิ้นหวังออกมา ลูกชายคนที่สองของเขาไม่เพียงแต่สาปแช่งจวินโม่เซี่ยในบ้านของเขา แต่เขายังคุกคามชีวิตของจวินโม่เซี่ย ! หากเรื่องนี้มันไม่ยากเกินไปที่จะคิด เขาก็ได้เผยให้เห็นแล้วว่า เขานั้นอยู่เบ้องหลังการพยายามเอาชีวิตของนายน้อยจวิน …
มันไม่ยากสำหรับผู้ชายที่จะจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่ลูกชายของเขาจะได้รับ แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองเทียนเชียงได้เพียงสองวัน และลูกชายก็สร้างเรื่องไว้ให้เขาแล้ว มันทำให้เขาโศกเศร้ากับโชคชะตาของลูกชาย !
“ เจ้าโง่ เจ้าเพิ่งโดนหญิงแล้วนั่นหลอกใช้ … ”
ดูเหมือนว่าน้ำเสียงของกวนดุงหลิวจะดูอ่อนแอ
“ เซียงยี่ ข้าไม่เคยคิดว่าคนที่ทำตัวดีอย่างเจ้าจะวิ่งเข้าหากับดักที่ชั่วช้านี้ได้ ! เจ้ารู้ใช่ไหมว่าตอนนี้เราอยู่ในเมืองเทียนเชียง ? ”
ครั้งนี้ฟังดูแล้วไม่เหมือนว่าเขากำลังดุด่าลูกชาย
“ แน่นอนข้ารู้ ”
ใบหข้าของกวนเซียงยี่กระตุกด้วยความเศร้าใจ
“ นางเคยใช้ข้าในตอนที่เราเจอกันที่ตะวันออก … มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ทุกครั้ง … ข้าก็รู้ ! แต่ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงรู้สึกดีทุกครั้งที่นางใช้ข้า ! ข้าจะให้นางหลอกใช้ข้า ! มันทำให้ข้ามีความสุข ! ”
“ มันทำให้ข้ามีความสุขจริงๆ ! ”
กวนเซียงยี่เกือบจะคำรามออกมาในขณะที่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาได้เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่ดูดุร้าย
“ ตราบใดที่นางใช้ข้า ข้าก็จะมีค่าในสายตานาง ! หากข้าไม่มีอะไรที่นางหลอกใช้ได้ แล้วข้าจะมีค่าอะไร ? ข้ามิใช่แค่คนที่มาจากสกุลที่ทรงอำนาจสกุลอื่นๆ ?! ”
“ ข้าปล่อยให้นางหลอกใช้ข้า ! ”
เสียงของเด็กหนุ่มหัวรั้นนั้นดังไปทั่วทั้งห้อง และจากนั้นทั้งห้องก็เงียบลงในทันที
น้ำตาสองสายหลั่งไหลออกมาจากดวงตาของกวนเซียงอี้
จวินโม่เซี่ยถอนหายใจ ไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือชีวิตก่อน โดยธรรมชาติแล้วจวินโม่เซี่ยจะเป็นคนไร้ความปราณี ในฐานะมือสังหารผู้มีฝีมือ มันสำคัญสำหรับเขาที่จะทิ้งบางสิ่งบางอย่างในชีวิตไป รวมถึงความรักซึ่งเขาไม่สามารถผูกมัดกับใครได้ ความรักทำให้เขาเปราะบาง นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา เนื่องจากเป้าหมายของเขาคือการปีนขึ้นไปเป็นที่หนึ่งของโลก !
ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงไม่รู้ถึงความหมายของความรัก !
ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถทำได้ แต่เขาไม่ทำ ! นี่คือความรู้สึกหนึ่งที่มือสังหารจวินไม่เคยได้พบเจอ … และสัมผัส !
ความผูกพันธ์ทางอารมณ์นั้น เป็นสิ่งที่ยากจะตัดขาดเสมอ นี่เป็นส่ิงที่ถูกพิสูจน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน !
มีวีรบุรุษและผู้ไร้เทียมทานกี่คนที่ต้องพบเจอสถานการณ์เช่นนี้และกลายเป็คนอ่อนแอ เนื่องจากเขาติดอยู่กับความผูกพันกับใครบางคน ?
ความผูกพันธ์นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะก้าวข้าม เนื่องจากผู้คนเหล่านั้นมักจะจมไปกับมัน หรือกระทำการอย่างมีเหตุผล และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขา … กับภาระที่หนักอึ้งด้วยความโศกเศร้า !
ทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงความลึกซึ้งในความรัก ความเจ็บปวด และสิ้นหวังในหัวใจ พลังแห่งความโศกเศร้า และ ความมืดมนในอนาคต ของเขา !
ความรู้สึกนี้เริ่มมีมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกวนเซียงฮั่น
หากมีใครที่ข้าอยากจะทำอะไรให้ ผู้นั้นคือ โม่โย่ …
โม่โย่ … และเจ้าได้จากข้าไปแล้ว …
จวินวูอี้เข้าใจถึงความปวดร้าวในความไร้ประโยชน์และความสิ้นหวังของเด็กหนุ่ม ซึ่งเขาเองก็เฝ้ารอคอยการมาของคนรักของเขามานับสิบปี ความจริง ตอนนี้ความโกรธที่รุนแรงของเขาได้หายไปแล้ว
สีหน้าของจวินโม่เซี่ยนั้นดูต่างออกไป สะท้อนถึงร่องรอยแห่งการชื่นชม !
แน่นอนว่าการกระทำของเจ้าเด็กนี่ทำให้ข้าต้องพบกับปัญหามากมาย แต่ความลึกซึ่งในความรู้สึกของเขานั้นมีค่าพอที่จะยกย่อง แม้ว่า … ความรู้สึกของเขาจะนำทางไปสู่หายนะและสิ้นหวัง
ยี่เอ๋อมิได้เป็นเพียงผู้หญิงที่ไม่มีค่าพอที่จะนับถือในสายตาของเขา แต่ยังเป็นศัตรูของเขาด้วย แม้ว่านางจะเปลี่ยนไป และยอมรับความรักของกวนเซียงยี่และตอบแทน จวินโม่เซี่ยก็มิอาจยอมให้ศัตรูของเขามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ !
ความเห็นใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง และความนับถือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้ควบคุมความคิดของข้า เมื่อนั้นพวกเขาจะทำให้ชีวิตของข้าอยู่ในอันตราย แม้ความรักจะลึกซึ่งราวกับมหาสมุทร หรือสูงส่งราวกับท้องฟ้า มันก็มิใช่สิ่งที่ดี !
โชคชะตาของกวนเซียงยี่นั้นถุกกำหนดให้พบกับโศกอนาฏกรรม !
และโศกอนาฏกรรมนี้จะต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง !
จวินโม่เซี่ยมองไปหาจวินวูอี้ และบอกใบ้ จวินวูอี้เพ่งมองกับไปยังหลานชายของเขา เนื่องจากเขาเข้าใจความหมายของคำใบ้นั้น และค่อยๆมองต่ำลงไปที่พื้น หัวใจของจวินวูอี้เห็ดอกเห็นใจเด็กหนุ่มผู้นั้น เนื่องจากเขาก็ได้ประสบกับบางสิ่งบางอย่างเช่นเดียวกัน แต่ความรักของเด็กคนนี้กลับเป็นส่ิงที่จะเป็นอันตรายต่อสกุลจวิน เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง !
“ หากนั่นคือความจริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นายน้อยนี้ของชื่นชมกวนเซียงยี่ ! เรื่องพูดคุยเรื่อยเปื่อยก่อนหน้านี้ ควรจะถือเป็นเรื่องตลกระหว่างเด็กหนุ่มอย่างพวกเรา และมันจะต้องไม่ก่อปัญหาให้แก่ผู้อาวุโสของพวกเรา …. ”
จวินโม่เซี่ยแสดงสายตาแห่งความกรุณาที่มีไม่บ่อยนัก
ความรู้สึกของคน ไม่ว่าจะเป็นการอวดความรู้หรือความโง่เขลา มันจะเป็นเรื่องที่น่ายกย่องสำหรับจวินโม่เซี่ย นั่นเพราะเขาไม่เคยกล้าที่จะปีนภูเขาลูกที่แสนพิเศษนี้ แต่เพียงแค่จวินโม่เซี่ยยกย่องธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำอะไรก็ตามที่ควรทำในเวลาที่จำเป็น เขาจะสังหาร หากเขาต้องการ เขาก็ยังไม่ใจอ่อน … ไม่แม้แต่นิดเดียว
ตอนที่ 174
แต่กระนั้นก็ยังคงมีปัญหาบางอย่าง คือทั้งสองสกุลนั้นเกี่ยวข้องกันโดยการหมั้น … ความรู้สึกของกวนเซียงฮั่นก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย นอกจากนั้น ข้อผูกมัดทั้งหมดและความใกล้ชินกันของทั้งสองสกุลก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย การทำให้กวนเซียงฮั่นเจ็บปวดนั้นสำคัญมากกว่าโชคชะตาของสกุลทั้งสองอย่างนั้นหือ ?
สถานการณ์โดยรวมจึงเป็นเรื่องสำคัญ !
เดิมทีแล้วกวนเซียงฮั่นนั้นพอใจอย่างมากเนื่องจากสถานการณ์ไม่เพียงแต่ถูกแก้ไข แต่ยังมีข้อสรุปที่ลงเอยด้วยดีด้วย ดังนั้นนางจึงก้มหัวให้พ่อของนางและจวินวูอี้เพื่อร้องขอให้ไตร่ตรองความผิดพลาดของน้องชายของนาง ซึ่งทำให้นางต้องอับอายเนื่องจากการกระทำของน้องชาย อย่างไรก็ตาม การกระทำของจวินโม่เซี่ยก็ทำให้นางประหลาดใจอย่างมาก นางคิดว่า น้องเขยของนางนั้นเป็นคนยั่วยุน้องชายของนาง และประหลาดใจมากขึ้นเมื่อได้ยินถึงการตัดสินใจของจวินโม่เซี่ย ที่เลือกจะปล่อยผ่านสถานการณ์นี้ไปอย่างไม่เห็นแก่ตัว แม้ว่ากวนเซียงยี่นั้นจะขู่ฆ่าเขา !
นางไม่เคยคิดเลยว่า น้องเขยของนางจะน่าคบหา และมีความเป็นผู้ใหญ่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ในสายตาของนาง จวินโม่เซี่ยมีความน่านับถือมากขึ้น !
“ ขอขอบคุณต่อความเมตตาของนายน้อยสาม ”
กวนดุงหลิวพูดด้วยความจริงใจและรู้สึกขอบคุณ ในฐานะหัวหน้าสกุล เขารู้ว่านี่คือเวลาที่ดีที่สุดในการกำจัดความโกรธซึ่งอาจจะยังคงมีอยู่ในหัวใจของพวกเขา !
จากนั้นเขาถึงหันไปและคำราม
“ เจ้าเด็กเลวกลับไปที่ห้องของพวกเจ้าทั้งสองซะ ! และภาวนาว่าข้าจะไม่กลับไปเจอหน้าพวกเจ้า เพราะเมื่อข้าไปที่ห้องของพวกเจ้า ข้าจะถลกหนังของเจ้าออกเสีย ! ”
ดวงตาของจวินวูอี้ส้อนว่าข้าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาเลือกที่จะเงียบไว้ เด็กๆสกุลกวนทั้งสองโค้งคำนับ และเดินออกไป จวินโม่เซี่ยเห็นใบหน้าของกวนเซียงโบอย่างชัดเจนในตอนที่เขาออกไปจากห้อง และเขาพบว่ามันมีรอยยิ้มจางๆเกิดขึ้น …
กวนเซียงฮั่นลังเลชั่วขณะ แต่จากนนั้นก็เรียกคนรับใช้สองคน และสั่งให้เอามื้อค่ำไปส่งให้น้องๆของนางที่ห้อง แม้พวกเขาจะทำผิดพลาด แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นน้องชายของนาง …
“ พี่กวน ! ”
จวินวูอี้มองขึ้นมาและจ้องไปยังกวนดุงหลิวด้วยสายตาที่เย็นชา แต่เขาก็ไม่สามารถปกปิดความเจ็บปวดที่เขารู้สึกอยู่ภายในใจได้
“ ข้าไม่ชอบออกความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างเด็กๆของสกุลเราในเวลานี้ แต่หากมันเกิดขึ้นอีกครั้ง โปรดอย่าโทษข้าที่ทำอะไรลงไปโดยไม่คิดถึงความสัมพันธ์ของสกุลทั้งสอง ! ”
“ พี่จวิน โปรดมั่นใจว่าเหตุการณ์ที่น่าขายหน้านี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หากมันเกิดขึ้น ข้าจะตัดหัวคนผิดนั้นด้วยตัวเอง ! ”
ใบหน้าของกวนดุงหลิวนั้นแสดงถึงความจริงจังที่อยู่ในหัวใจ เนื่องจากเขารู้ว่า วันนี้สกุลจวินนั้นผ่อนปรนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงรู้สึกอับอายที่รู้ว่า ลูกชายคนที่สองของเขา ได้กระทำการที่น่าอายโดยมีความสัมพันธ์กับโสเภณี และรู้ว่ามันจะง่ายต่อการเป็นเรื่องอื้อฉาวต่อหน้าชาวโลก
“ ข้าไว้ใจท่าน ท่านพี่ และข้าก็คิดว่าท่านก็ไว้ใจข้าเช่นกัน ”
จวินวูอี้เคาะนิ้วลงไปยังผ้าที่คลุมขาของเขาอยู่ ขณะที่เขาพูดต่ออย่างช้าๆ
“ ข้าคิดว่า เราต้องปล่อยเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ไปก่อน แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของเซียงฮั่น ข้าหวังว่าท่านพี่จะซื่อสัตย์ และ บอกอธิบายความจริงเบื้อหลังการถอนการหมั้นนี่ ! ”
กวนดุงหลิวกำลังจะพูดขึ้นมา แต่ก็พบว่าเขาโดนจวินวูอี้ขัดจังหวะ
จวินวูอี้พยักหน้าเบาๆและพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง
“ ท่านและข้ารู้ว่า ทั้งสองสกุลมีความสุขอย่างมากต่อการแต่งานที่จะเกิดขึ้นนั้น และเชื่อย่างหมดใจว่ามันเป็นการเลือกสรรค์ทั้งคู่โดยสรวงสวรรค์ อย่างไรก็ตาม การตายอย่างกระทันหันของโม่โย่นั้นได้เปลี่ยนทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง และสกุลจวินก็เห็นด้วยที่จะถอนหมั้นหากมันเป็นความต้องการของเซียงฮั่น เพราะพวกเราทั้งสองต้องการที่จะเห็นนางมีความสุขและเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม เมื่อเซียงฮั่นเลือกที่จะไม่ถอนหมั้น สกุลจวินก็เห็นด้วยที่จะดูแลนางชั่วคราวเพื่อปลอบขวัญนาง แต่การดุแลนางในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเนื่องจากการหมั่นนั้นก็จะถูกถอนออกไปในไม่ช้าไม่นาน ทั้งสองสกุลก็เข้าใจอย่างชัดเจนในเรื่องที่ละเอียดอ่อนนี้ พวกเราจึงรอคอยจังหวะเวลาที่ดีที่จะหาคู่ที่เหมาะสมให้แก่เซียงฮั่น ! ”
“ ดังนั้นการยังเมืองหลวงของท่านเพื่อจะพานางกลับไปมันจึงดูแปลกสำหรับพวกเรา ”
จวินวูอี้เม้มปากในขณะที่รอยย่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของขา
“ เกิดอะไรขึ้น ? หากท่านยังยอมรับสกุลของข้าเป็นเช่นเพื่อน ได้โปรดบอกพวกเรา หากท่านไม่ต้องการจะบอกเหตุผล ข้าก็ยังอนุญาติให้ท่านพาลูกสาวของท่านกลับไปได้ ! แต่ข้าจะตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมดของทั้งสองสกุลตลอดไป ! ”
จากคำพูดของจวินวูอี้นั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงความเมตตาใดๆในเรื่องนี้ !
กวนดุงหลิวจ้องมองไปยังจวินวูอี้อย่างไร้คำพูดอยู่นาน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจในขณะที่เขานั่งค่อมตัวลงในตอนที่เขาอธิบายด้วยเสียงที่เบา
“ พี่จวิน เรื่องนี้ … ในความเป็นจริงแล้ว … ข้าไม่สามารถบอกความจริงกับท่านได้ … แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่า ข้าสำนึกในการสนับสนุนและเมตตาของท่านมาก … ”
“ จวินวูอี้อยู่ข้างเจ้า แล้วเจ้ากลัวอะไร ? ”
ใบหน้าของจวินวูอี้ยังคงนิ่ง
“ มีกองกำลังอะไรในโลกนี้ที่สามารถเอาตัวลูกสาวเราไปได้ … ที่สามารถต่อกรกับความต้องการของสกุลกวนและสกุลจวินได้ แม้ในตอนที่พวกเรายืนอยู่ข้างๆกันได้หรือ ?! ”
“ นี่เป็นการกระทำของเด็กสาว ”
กวนดุงหลิวถอนหายใจขณะที่เขาเหลือบตามองกวนเซียงฮั่นอย่างหมดหนทาง
“ เอ๋ ? ท่านพ่อ มันเป็นการกระทำของข้าได้อย่างไร ? ”
สีหน้าของกวนเซียงฮั่นแสดงความโมโหขึ้นมาในทันที ขณะที่นางเพ่งมองไปยังพ่อของนางด้วยความฉุนเฉียว
ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร ? ท่านพูดกับลูกสาวของท่านเช่นนั้นได้อย่างไร ? ท่านพยายามจะบอกว่ามีผู้ชายสนใจข้าอย่างนั้นหรือ ?!! หึ ! อย่ามาโทษข้าเรื่องการกระทำของน้องชายของข้าสิ !
“ เชียงฮั่น เจ้าจำตอนที่เจ้าไปยังหลุมศพของโม่โย่ได้ไหม … เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน ? ”
กวนดุงหลิวถอนหายใจอีกครั้ง
“ ที่นั่น เจ้าได้พบกับเด็กหนุ่มที่ใส่เสื้อคลุมสีเขียวใช่ไหม ? ”
“ มันเกี่ยวกับเขาหรือ ? ”
ทันใดนนั้นนางก็จำเด็กหนุ่มชุดเขียว ที่เดินทางไปกับนางทั้งไปและกลับ ครั้งแรกเด็กหนุ่มผู้นั้นทำตัวแปลกๆและไม่นาเขาก็หายไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังจำคำสุดท้ายที่เห็นหนุ่มผู้นั้นพูดออกมากอ่นที่จะจากไปได้
ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ไม่สนใจว่าเจ้าอยู่ในสถานะใหน แต่วันหนึ่งเจ้าจะมาเป็นผู้หญิงของข้า ! ฮ่าฮ่า ….
เสียงหัวเราะที่หยิ่งทนงเริ่มดังขึ้นในหูของนาง ราวกับว่าเขายังคงหัวเราะอยู่ตรงหน้าของนาง และสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ขยะแขยงในทันที
“ ชายผู้นั้นมันเลวทราม ! ”
“ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเลวทรามหรือไม่ เขาก็มีชื่อว่า ลี่ ”
กวนดุงหลิวฝืนยิ้มเล็กน้อย
“ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเทพเชวียน ลี่จื้อเทียน ลี่ถังยุ่น ! และเขายังเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของเขตเทียนหนานชือฮั่น ! ”
ประโยคนี้ระเบิดออกมาด้วยความรุนแรง ทั่วทั้งโถงเงียบไป ดั่งสุภาษิต แม้แต่เสียงเข็มที่ตกลงพื้นก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน !
ลี่จื้อเทียนนั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือที่ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในโลกนี้ แม้แต่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ไม่อาจเทียนกับเขาได้ หลายคนเชื่อว่า หากไม่ใช่เพราะสัตว์เชวียนขั้นเก้าของยุ่นเบ้ยเฉิน แม้แต่ยุ้นเบ้ยเฉินก็ไม่สามารถจะล้ำหน้าเกินกว่าลี่จื้อเทียนได้ !
“ ลี่ถังยุ่นได้ทำการสืบหาตัวตนของกวนเซียงฮั่น และส่งหนังสือมายังสกุลกวนในทันที ซึ่งกล่าวไว้ว่าหากพวกเราไม่ส่งนางให้แก่เขา … เขาจะทำลายสกุลกวน และสกุลจวินเสีย ! ”
ท่าทางที่สิ้นหวังของกวนดุงหลิวสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นอ่อนน้อมถ่อมตน และเขาพูดออกมาอย่างหมดสนทาง
เขตเทียนหนานจือฮั่นนั้นมีอำนาจเช่นเดียวกับเมืองบัวหิมะขาว !
กองกำลังลึกลับทั้งสองในปัจจุบันนั้น เทียบได้ว่ามีความแข็งแกร่งที่เท่ากัน … ทั้งเมืองบัวหิมะขาวและเขตเทียนหนานจื้อฮั่น !
การกระทำแบบนี้นั้นเป็นการกระทำที่โดดเด่นของลี่จื้อเทียนและเขตเทียนหนานซือฮั่น ! พวกเขาไม่เคยสนใจว่าฝั่งตรงข้ามนนั้นอ่อนแอกว่า และจะต้องให้อะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ … โดยการบังคับ !
สีหน้าของกวนเซียงฮั่นตอนนี้กลายเป็นสีหน้าที่ซีดเผือกเข้ามาแทนที !
กลายเป็นว่าเจ้าชั่วนั่นคือลี่ถังยุ่น ! ทายาทเพียงคนเดียว และเป็นเจ้าของเขตจื้อฮั่น ! ลืมเรื่องสกุลกวนและสกุลจวินไปได้เลย แม้แต่ทั้งเมืองเทียนเชียงก็ไม่อาจจะยั่วยุผู้ที่มีอำนาจเช่นนั้นได้ …
ดังนั้น …
“ ฮ่าฮ่า ตอนนี้ลี่จื้อเทียนอายุเท่าใหร่แล้ว ? หากข้าไม่ผิด เขาจะต้องมีอายุราวๆร้อยปีแล้วใช่ไหม ? แต่กระนั้นเขาก็ยังมีน้ำยาพอที่จะมีลูกอายุยี่สิบหรือ ? ”
จวินโม่เซี่ยแสดงรอยยิ้มที่ไร้สาระ
“ ดังนั้น เขาจะต้องมีลูกตอนอายุแปดสิบ ? ข้าละนับถือตาเฒ่าผู้นั้นจริงๆ อ่าห์ ข้าละ นับถือเขาจริงๆ ! ข้าตัดสินใจแล้ว ลี่จื้อเทียนคือไอดอลของข้า ! … ”
จวินโม่เซี่ยมาถึงโลกนี้ยังไม่ถึงครึ่งปี …
“ จวินโม่เซี่ยเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกหรือ ? ”
จวินวูอี้เลิกคิ้ว รู้สึกผิดหวังในตัวหลานชาย เรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงความอยู่รอดของสกุลทั้งสอง และจวินโม่เซี่ยยังหัวเราะอย่างกับคนโง่ที่เย่อหยิ่ง !
“ ตลก ตลกมากๆ ! ”
จวินโม่เซี่ยหันไปมองกวนดุงหลิวและคำรามทางจมูก
“ ข้ารู้สึว่าการเสนอการแต่งงานของลี่จื้อเทียนและเขตซื่อฮั่นนั้นไร้สาร แต่ข้าก็พบว่าเจ้านั้นไร้สาระยิ่งกว่า ลืมเรื่องชื่อเสียงและความมั่นคงของลูกสาวของเจ้าไป จริงๆแล้วเจ้าถือเอาลูกสาวของเจ้าเป็นสิ่งของที่เอาไว้ซื้อขายใช่ไหม ? หรือเอาไว้แลกเปลี่ยน ? ”
“ ล้อเล่นกับความไร้เดียงสาและความสุขชั่วชีวิตของหญิงสาว โดยเอามันมาแลกเปลี่ยนกับความอยู่รอดและความรุ่งเรื่องของคนที่ติดตามสกุลนับพัน … มันเป็นราคาที่ดีใช่ไหม ? ”
จวินโม่เวี่ยหัวเราะอย่างล้อเลียน
“ ข้าไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น ! เชียงฮั่นนั้นเป็นลูกสาวของข้า และข้ามีลูกสาวเพียงคนเดียว ! ข้าไม่แม้แต่ต้องการจะทำเช่นนี้ ! ”
กวนดุงหลิวเพ่งมองจวินโม่เซี่ยด้วยความโกรธ
“ แต่เรื่องนี้นั้นเกี่ยวข้องกับคนที่ติดตามมากกว่าพันคน ! เจ้าคิดว่าข้าบูชายันต์ชีวิตคนนับพันหรือ … ทำเพียงแค่ต้องการให้ลูกสาวของข้าปลอดภัยหรือ ? เจ้าไม่รู้ถึงอำนาจและพลังของเขตซือฮั่น ! ”
“ หากเจ้าตัดสินนางว่าจริงๆแล้วนางเป็นเพียงของที่เอาไว้ขายและคำดูหมิ่น แล้วเจ้าจะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขในใจได้หรือ ? เจ้าสามารถทนอยู่กับความอับอายนี้ได้หรือ ? เจ้าสามารถไปเจอหน้าใครได้เมื่อรู้ว่า ความร่ำรวยของเจ้านั้นถูกจ่ายไปด้วยลูกสาวของเจ้า … ในทุกๆวันที่นางมีชีวิตอยู่ .. และตราบจนวันที่นางยังไม่ตาย ? ”
สุดท้ายจวินโม่เซี่ยก็ทนมันไม่ไหว เขารู้สึกว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไร้สาระ
“ มีบ้างไหมในความคิดของเจ้า ที่ราคาของความอยู่รอดของสกุลของเจ้าจะไม่ต้องจ่ายด้วยตัวนาง ? เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะขายความสุขและชีวิตของนางเพื่อความร่ำรวยและความปลอดภัยของเจ้า ? ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีความอับอายหลงเหลืออยู่ในใจเจ้าบ้างหรือไม่ ! ”
“ มีผู้คนตายอยู่ตลอดเวลา นั่นคือทั้งหมดที่เขาทำ พวกเขาตาย ! พวกเขาเกิด และสุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็ตาย ! พวกเขาเข้ามาและจากไป แล้วสิ่งที่วุ่นวายใหญ่หลวงนี่คืออะไร ? ไม่มีความอับอายหลงเหลืออยู่ในใจเจ้าแม้แต่นิดเดียวเลยหรือ ? เจ้าคิดจริงๆหรือว่า สิ่งของทั้งหมดที่ถูกเผาไปบนหลุมศพของเจ้าจะถูกสิ่งไปถึงเจ้าบนสวรรค์ ? ”
จวินโม่เซี่เซี่ยถ่มน้ำลาย
“ และเจ้าจำอะไรที่ลูกๆของเจ้าเผาไปให้ได้บ้าง ? นอกจากเหล่าชายหญิงที่ที่ถูกชักชวนขึ้นมาด้วยอาชญากรรมณ์ที่ไร้ยางอาย และผู้คนที่ไร้คุณธรรม ! การตัดสินใจที่ไร้ความรับผิดชอบของเจ้า สามารถทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้หรือ ? นี่มันเป็นความคิดที่น่ากลัวแบบใหนกัน ?! ”
“ โม่เซี่ย ! ”
จวินวูอี้ตะโกน
“ อย่าได้ดวดดี ! ”
แม้ว่าเขาจะตะโกนออกไปเพื่อหยุดการสาปแช่งของจวินโม่เซี่ย เขาไม่ได้พยายามที่เก็บซ่อนสายตาก็แสดงออกถึงความดุดันอย่างเงียบๆ ! แม้ว่าเขาจะคิดไปไกล แต่เหตุผลของหลานชายของเขาต่อเรื่องนี้ก็ชนะใจจวินวูอี้ !
ผู้ชายอะไรกัน ? นี่ !
ผู้ชายที่ทำตัวไร้ยางอายในเวลานี้นั้นไม่มีค่ามาพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นผู้ชาย แต่เมื่อมันมาถึงเรื่องของศีลธรรม …
ผู้ชายที่แท้จริงๆคือคนที่ใจจะจำทำลายมันก่อนที่จะนอบน้อม !
ความอยู่รอดและชื่อเสียงของผู้ชายนั้นนั้น จะต้องไม่ใช่การขายหรือเลือกเปลี่ยน สิ่งที่อ่อนแอ โดยเฉพาะผู้หญิง ! นี่เป็นเรื่องของศีลธรรม ! นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของหลักการเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงความมีเกียรติ ! การตายอย่างมีเกียรติ นั้นดีกว่าการอยู่อย่างโศกเศร้า !
นี่คือสิ่งที่คนจริงเขาทำกัน !
ตอนที่ 175
ดวงตาของกวนดุงหลิวนั้นกรอกไปมาขณะที่เขาหลังหลับตา
“ ข้าจะรู้สึกสงบใจได้อย่างไร … นางเป็นลูกสาวของสกุลเรา แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นกับนาง และหากสกุลของข้ามีพัลงอำนาจพอที่จะปกป้องนาง ข้าคงจะพยายามไปแล้ว … แต่เมื่อสกุลของเราไม่สามารถปกป้องนางได้ การที่ต้องสละคนเหล่านั้นไปจึงเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ! ”
“ ไร้สาระ ! เจ้ายังไม่แม้แต่จะลอง เจ้าไม่แม้แต่จะลองพยายาม แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่สามารถทำได้ ? เจ้านั้นสังเวยความสุขของลูกสาว เจ้ายังเรียกตัวเองว่าผู้ชายได้อีกหรือ ? เจ้ามันขี้ขลาด ! ”
จวินโม่เซี่ยพูดย้อนไปอย่างโมโห
“ เจ้าเพียงแค่กลัวความแข็งแกร่งของศัตรูของเจ้า ลูกสาวของเจ้านั้นไม่แข็งแกร่งเท่ากับกองกำลังของสกุลของเจ้า แต่เจ้ายังใช้นางเพื่อเป็นเกราะป้องกัน ? เจ้าใช้นางเพื่อปกปิดความขี้ขลาดของเจ้า ! ”
สีหน้าของกวนดุงหลิวยังคงสงบนิ่ง
“ หากข้าจะต้องเสียสละใครในสกุลเพื่อผลประโยชน์กับสกุล และข้าถือว่ามันจะเป็นราคาที่เหมาะสม หากข้าสามารถสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องสกุลของข้า … ข้าก็หวังว่าจะให้มีวันนั้น แต่หากลี่จื้อเทียนไม่พยายามจะเอาตัวลูกสาวข้าไป และหากข้าเดิมพันโชคชะตาของทั้งสกุลไว้กับนาง … และข้าแพ้ แล้วมันจะมีความชอบธรรมอะไร ? สิ่งที่ข้าสามารถเลือกได้ คือการปกป้องสกุลของข้า และความสัมพันธ์ระหว่างสองสกุล และดังนั้นเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับความสัมพันธ์ และความปลอดภัยของสกุลจวิน ข้าขอให้เจ้าอย่าได้ใส่ใจ ! ”
ต้องยอมรับว่า กวนเซียงฮั่นนั้นเข้าใจข้อจำกัดของเขาป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าสกุลกวน และคนนับพันที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา และแม้แต่เขาต้องเผชิญกับสถาณการณ์ที่ยากลำบากนี้ เขาก็ยังยอมที่จะทิ้งความสัมพันธ์กับสกุลจวิน ซึ่งมีคุณค่าพอที่จะยกย่อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการกระทำของเขานั้นมีค่าพอที่จะยกย่องสรรค์เสริญ แต่การยอกย่องก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสถานการณ์นี้ !
“ หัวหน้าสกุลกวนกำลังพูดถึงโชคชะตาของลูกสาว โชคชะตาของพี่สะใภ้ข้า ! แต่ตอนนี้นางเป็นส่วนหนึ่งของสกุลจวิน นางมิใช่ลูกสาวของสกุลกวนอีกแล้ว ! และนางยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสกุลจวินจนถึงวันตาย แม้แต่วิญญาณของนางก็เป็นส่วนหนึ่งของสกุลจวิน ! นางเป็นคนที่แต่งงานแล้ว และไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับสกุลของเจ้าแล้วในตอนนี้ ! มันจึงไม่ถูกต้องที่เจ้าจะได้รับการตัดสินใจในโชคชตาของนาง ! ”
เสียงของจวินโม่เซี่ย ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง
เขายิ้มอย่างจริงจัง ขณะที่ดูหมิ่นต่อไป
“ สำหรับสกุลของเจ้า สกุลของเจ้าไร้ประโยชน์ขนาดใหนกันถึงขนาดที่ไม่สามารถปกป้องหญิงสาวของพวกเจ้าได้ ? เจ้าควรจะเอามีดจ่อคอหอยนางและจบมันลงเสีย ! ”
กวนเซียงฮั่นเป็นที่ต้องการของเขตซื่นฮั่น และหากความต้องการของเขาไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขาจะทำลายสกุลจวินและสกุลกวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ! ไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งของเขตซื่อฮั่น !
ดังนั้น การเลือกในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของกวนดุงหลิว และการไร้สิ้นหนทางนั้นเป็นอะไรมากกว่าการจะเข้าใจ !
ผู้ชายจำนวนมากเลือกตัวเลือกนี้เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงและพ่อแม่ของพวกนางนั้นเป็นดั่งเช่นในยุคนี้ หากทั้งสองสกุลนั้นสามารถอยู่รอดไปได้ด้วยการแลกกับความสุขของผู้หญิงแล้วละก็ คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกตัวเลือกเดียวกับกวนดุงหลิว หรืออย่างน้อยก็ไม่ปฏิเสธตัวเลือกของเขา
จากทั้งหมดนี้ นางก็เป็นผู้หญิง ! มันไม่สำคัญหากนางเป็นลูกสาวของพวกเขา ….
อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตอยู่อย่างอับอาย !
หากผู้ชายในสกุลของข้าไม่แม้แต่จะสามารถปกป้องผู้หญิงได้ แล้วเราจะมีผู้ชายเช่นนั้นไปเพื่ออะไร ? อะไรคือความหมายของการมีชีวิตอยู่ด้วยความอับอาย ?
สำหรับจวินโม่เซี่ยนี่มิใช่คำถามที่มีต่อชื่อเสียง หรือการอยู่รอด หรือความซื่อสัตย์ของกวนดุงหลิว นี่คือคำถามในหลักศีลธรรมในชีวิตของเขา !
บางทีการตัดสินใจนี้อาจจะโง่เขลา และบางครั้งการตัดสินใจนี้อาจจะนำพาสกุลกวนและสกุลจวินไปสู่ความพินาศ แต่สำหรับจวินโม่เซี่ย … เรื่องนี้ ไม่พื้นที่ให้แก่การประณีประนอม !
แม้ว่าการตัดสินใจนี้จะเป็นราคาของชีวิตของคนนับล้านในอาณาจักร จวินโม่เซี่ยก็จะไม่เปลี่ยนใจ !
อยู่หรือตาย ! มันจะมีความหมายอะไร ?
พวกเรายังหายใจ ดังนั้นบางคนก็สามารถจุดธูปที่อนุสรณ์สถานของเราได้ !
หากข้าแลกความไร้เดียงสาของหญิงสาวเพื่อความปลอดภัยของข้า ข้าก็อาจจะตาย ไม่ว่านางจะไร้เดียงสาหรือไม่ เรื่องนี้มันก็จะคือความอัปยศอย่างมาก !
และคนจริงจะต้องไม่ยืนอยู่ด้วยความอับอาย !
และตอนนี้ ทั้งหมดนี่ก็เกิดขึ้นต่อหน้าจวินโม่เซี่ย !
หากเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นต่อหน้าของเขา และจวินโม่เซี่ยรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นที่ใหนสักแห่ง เขาก็จะไปทำการลงโทษ ผู้ที่กดขี่ผู้หญิงในสกุลที่อ่อนแอกว่าเพื่อให้แต่งงานกับลูกชายของเขา แต่ก่อนอื่นเขาจะทำลายสกุลของคนที่ส่งลูกสาวของพวกเขาไปก่อน !
คนเช่นนั้นไม่มีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ! อะไรคือความหมายของชีวิต หากผู้นั้นได้สูญเสียเกียรติไปแล้ว ? เจ้าไม่เห็นคุณค่าของเกียรติของชีวิตผู้อื่นเลยหรือ ? ถ้าอย่างนั้น ข้าจะทำลายเจ้า ! และจากนั้นข้าก็จะปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อไป ! มีชีวิตอยู่อย่างอัปยศอดสู !
ความคิดของมือสังหารจวินนั้นแปลกประหลาดมากสำหรับคนอื่น และเห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างไปจากความคิดเห็นของโลกใบนี้ ดังนั้น มันจึงแตกต่างอย่างมากกับมุมมองของคนส่วนใหญ่ …
“ นายน้อยสาม เจ้าจะนำพามความพินาศมาสู่สกุลจวิน ! เจ้าเคยคิดไหมว่าเจ้าจะนำพาความหายนะที่ใหญ่หลวงขนาดใหนมาสู่สกุลจวิน ? และสกุลจวินก็เป็นสกุลของเจ้า ! ”
กวนดุงหลิวพูดออกมาอย่างจริงจังด้วยความโกรธ
“ ข้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุลจวิน ! อนาคตของสกุลจวินอยู่ในมือของข้า หากการล่มสลายของสกุลจวินนั้นมาจากน้ำมือของข้า ข้าก็จะไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น การตัดสินใจของข้าคือการตัดสินใจของสกุลจวิน ! ”
จวินโม่เซี่ยหรี่ตาเพ่งมองไปยังกวนดุงหลิวขณะที่เขาพูดแต่ละคำออกมาให้ช้ามากพอที่ชายผู้นั้นจะเข้าใจแต่ละคำอย่างชัดเจน
“ หัวหน้าสกุลกวน สกุลจวินไม่เห็นด้วยที่จะถอนการหมั้น ! สกุลของท่านนั้นไม่มีสิทธิ์ หรือความสัมพันกับกวนเซียงฮั่น ดังนั้นได้โปรดอย่ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ ! ”
“ หากอำนาจของสกุลจวินไม่สามารถที่จะปกป้องนางได้ ดังนั้น ก่อนที่สกุลของข้าจะถูกทำลายไป ข้าก็จะสังหารนางด้วยตัวเอง ! ความตายนั้นดีกว่า การมีชีวิตอยู่ด้วยความอับอาย ! ”
คำพูดที่ดื้อรั้นและจริงจังของจวินโม่เซี่ยนั้นก่อให้เกิดอารมณ์มากมายขึ้นในใจของกวนเซียงฮั่น
เขาพร้อมที่จะให้คนเป็นพันเป็นหมื่นตายเพื่อคนคนเดียว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร นางก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของสกุลจวินเสมอ !
นี่คือธรรมชาติของจวินโม่เซี่ย ไม่ว่าจะในชีวิตนี้ หรือชีวิตก่อนหน้า เขาก็จะทำเช่นเดียวกันนี้ ! แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวของกับกวนเซียงฮั่น เขาก็จะทำเช่นเดิม ! แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น เขาก็จะทำเช่นเดิม !
น้ำตาหลั่งไหลลงมาจากดวงตาของกวนเซี่ยงฮั่น
นางพร้อมที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง ! เขตซือฮั่นเป็นหนึ่งในก๊กที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ แม้แต่กลุ่มที่มีฝีมือและมีผู้คนที่ทรงพลังก็ยังไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของพวกเขา ! กวนดุงหลิวยืนยันเช่นนั้น แม้แต่จวินวูอี้ก็ไม่สามารถที่จะหยุดเรื่องนี้ได้ จากทั้งหมดนี้ เซียงฮั่นเป็นลูกสาวของสกุลกวน และเมื่อการหมั่นได้รับการถอนออกไป สกุลจวินก็ไม่สามารถควบคุมชีวิตหรืออนาคตของนางได้ !
เซียงฮั่นตัดสินใจที่จะเสียสละเพื่อความอยู่รอดของสกุลของนาง และเตรียมฆ่าตัวตายเมื่อไปยังเขจซื่อฮั่น !
นางไม่เคยคาดคิดว่าจวินโม่เซี่ยจะยืนหยัดเพื่อนางในเวลานี้ ! นางจะดูถูกน้องเขยของเขาเสมอ และได้ทารุณเขาในหลายเดือนที่ผ่านมา … นางไม่เคยคิดว่า น้องเขยที่ไร้มารยาทของนางจะสามารถพูดอะไรเช่นนี้ได้ !
เขายอมรับที่จะเป็นคนผิดหากสกุลทั้งสองของเราถูกทำลาย … แม้จะต้องเผชิญหน้ากับโชคชะตาที่น่าเศร้าเช่นนี้ ! เขาก็เต็มใจที่จะสละชีวิตตัวเอง และคนในสกุลทั้งหมด !
กวนเซียงฮั่นเห็นได้ชัดจากคำพูดของจวินโม่เซี่ย ว่าเขายอมเสียสละทุกสิ่งอย่างก่อนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้แก่ศัตรู !
เชียงฮั่นอยากจะร้องไห้ออกมาในตอนนี้ ! แม้แต่สกุลของนางเอง และพ่อของนางก็ละทิ้งนางในช่วงเวลาที่มืดมนและนางต้องการ แต่ชายผู้นี้กลับลุกขึ้นและยอมเสี่ยงทุกอย่างในช่วงเวลาที่นางสิ้นหวังที่สุด !
ร่างกายที่เพรียวบางของจวินโม่เซี่ย และไหล่ที่กว้างของเขา … กลายมาเป็นที่พึ่งพิงของนางได้ในทันที ! เขากลายมาเป็นคนที่ช่วยค้ำจุนนางในช่วงเวลาที่เจอกับพายุและลมกระหน่ำ เพียงคนเดียวที่นางสามารถยึดเกาะเอาไว้ได้ !
นางเข้าใจความรู้สึกของน้องชายอย่างมาก เมื่อเขาเลือกที่จะตัดสินใจเช่นนี้หากมันเป็นเรื่องของยี่เอ๋อ แต่มันก็ดูเหมือนกับนางในตอนนี้ … ราวกับว่าเขาไม่มีอะไรเทียบได้กับจวินโม่เซี่ย ! ก่อนหน้านี้ กวนเซียงยี่มายังเมืองเทียนเชียงเพื่อโน้มน้าวให้สกุลจิวนถอนหมั้นนาง และอณุญาติให้นางแต่งงานใหม่ อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยไม่ลังเลยเลย ในการที่เลือกจะปกป้องนางจากทุกสิ่งทุกอย่าง !
ชายคนหนึ่งได้ทรยศต่อความเชื่อใจของพี่สาวเพื่อทำให้ตัวเองปลอดภัย และพร้อมที่จะทำให้ชีวิตของนางหลุดลอยไปโดยไม่ตั้งใจ ชายผู้นี้ไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและจรรยาเพื่อที่จะปกป้องหญิงผู้เลวทราม ! ในขณะที่อีกคนหนึ่งลุกขึ้นมาปกป้องนางในตอนที่นางต้องเผชิยหน้ากับความลำบาก !
แม้มันจะไม่ถูกต้องหากจะเปรียบเทียบเขาทั้งสองคน และทันใดนนั้นพวกเขาก็กลับกันอย่างสุดขั้วในสายตาของนาง … ราวกับสวรรค์และโลก เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถจะเปรียบเทียบกันได้ !
ใบหน้าของกวนเซียงฮั่นกลายเป็นสีแดงด้วยความเขิลอายในขณะที่ความคิดนี้เกิดขึ้นมาในหัวของนาง เนื่องจากความผิดที่นางได้กระทำไปก่อนหน้านี้
หรือว่ามัน .. ก่อนหน้านี้ เขาเป็นเพียงแค่ … นี่คือตัวเขาจริงๆ ? เขาแกล้งทำเป็นคนอื่นอยู่ตลอดเวลา … ทำไมกัน … ?
มิฉะนั้น เหตุใดวันนี้เขาถึงแสดงออกด้วยอารมณ์ ? เขาไม่แม้แต่แสดงออกถึงความลังเลแม้แต่น้อย ! เขาพร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่างและต่อสู้กัลทุกคนในโลกเพื่อข้า ?
พระเจ้า เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นความดีในตัวของเขา ?
ช่วงเวลาแห่งความกลัว ช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้น และช่วงเวลาแห่งความรู้สึก … นางยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า ขณะที่อารมณ์อันรุนแรงยังคงพัดกระหน่ำอยู่ภายในหัวใจของนาง
นางไม่รู้เลยว่าจวินโม่เซี่ยไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของนาง แต่ทำเพื่อศีลธรรมของเขาเอง ! จวินโม่เซี่ยไม่เคยเปลี่ยนแปลงหลักศีลธรรมของตัวเอง เขาไม่เคยให้ผู้ใดมาทำลายความภาคภูมิใจของเขา !
เขาเต็มใจและคลั่งไคล้ที่จะออกไปก่อสงครามกับทั้งโลกเพื่อทำลายความชั่วช้าให้หมดไป !
ในใจของมือสังหารจวิน ชีวิตและความตายนั้นไม่มีอะไรไปมากกว่าเรื่องราวมหัศจรรย์ และมายา .. มีแค่เพียงแค่นี้ แต่หลักศีลธรรมและความภาคภูมิใจ พวกมันจะไม่มีวันตาย !
และเขาเองก็ไม่เคยผ่อนปรณเรื่องนี้กับตัวเอง !
คำพูดและทัศนคติที่รุนแรงของจวินโม่เซี่ยทำให้กวดุงหลิวหวาดกลัวในตอนนี้ แต่ทันใดนนั้นเขาก็คิดถึงการดำรงอยู่ของสกุลจวินเมื่อสิบปีที่ผ่านมานี้ และอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงมองไปยังจวินวูอี้
“ พี่จวิน นายน้อยจวินยังคงไร้เดียงสา และพูดแต่เรื่องความภาคภูมิใจ แต่อาจจะมิได้คิดถึงผลของการกระทำเหล่านั้น เนื่องจากพวกเขายังคงเป็นเด็กและอ่อนประสบการณ์ สกุลจวินนั้นแข็งแกร่งและทรงอำนาจมากกว่าข้า แต่เมื่อเทียบกับเขตซือฮั่นแล้ว …. ”
จวินวูอี้ยิ้มและตอบกลับอย่างนุ่มนวลด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
“ โม่เซี่ยพูดถูก เซียงฮั่นนั้นเป็นลูกสะใภ้ของสกุลข้า ในฐานะหัวหน้าสกุลจวิน ข้าเห็นด้วยกับเขา การตัดสินใจของโม่เซี่ย คือการตัดสินใจของสกุล ! ”
แม้จวินวูอี้ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนของเขา แต่น้ำเสียงที่แน่วแน่และความแข็งแกร่ง พร้อมกับช่วงไหล่ที่กว้างของเขา ก็รุนแรงมากพอที่จะสั่นสะเทือนไปถึงสวรงสวรรค์ !
จวินโม่เซี่ยอาจจะพูดคำพูดเหล่านั้นด้วยความไร้เดียงสา แต่จวินวูอี้ นั้นมีประสบการณ์ทางการทหารอย่างมากมายและรู้ถึงการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่สุดที่เขาจะต้องเผชิญกับอำนาจของเขตซือฮั่น !
กวนดุงหลิวเพ่งมองไปที่เขาอยู่นาน ทันใดนนั้นความรู้สึกผิดก็ก่อตัวขึ้นมาลึกลงไปในใจของเขา ! เขาได้ละทิ้งลูกสาว แต่กระนั้น ผู้อาวุโสและเด็กหนุ่มจากสกุลจวินก็ยังคงยืนหยัดเพื่อนางโดยไม่ลังเล !
เขาไม่เคยรู้ถึงการต่อสู้ระหว่างสกุลจวินและเมืองบัวหิมะขาว เขาไม่รู้ว่าทั้งสองสกุลนั้นเป็นศัตรูกันไปจาวันตาย ! และตอนนี้ คนผู้นี้ก็จะเผชิญหน้ากับเขตซื่อฮั่นเพื่อผลประโยชน์ของเซียงฮั่น !
กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินสองกองกำลัง กำลังต่อสู้กับสกุลจวินเพียงสกุลเดียว ! ศัตรูฝ่ายหนึ่งอยู่ทางด้านเหนือ และอีกฝ่ายอยู่ทางใต้ และสกุลจวินในตอนนี้อยู่ตรงกลาง !
แต่จวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้ก็ยังคงยิ้ม ไม่สนใจมันเลยสักนิด และยังคงเงยหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้า !
ตอนที่ 176
เซียงฮั่นไม่อาจกลั่นน้ำตาของนางไว้ได้อีกแล้ว !
ความโกรธในใจของนางที่มีก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว และมันก็ไดเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกซาบซึ้งในช่วงสามประโยคสุดท้าย
แม้ว่ากวนเซี่ยงฮั่นจะเข้าใจในเหตุผลที่พ่อของนางเลือกแบบนั้น แต่หัวใจของนางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่ ความจริง นางไม่ได้คิดว่านางจะเสียสละเพื่อสกุลที่น่าเกลียดชังทั้งสองนี้ !
แต่ตอนนี้ ความคิดของเซียงฮั่นก็ได้เปลี่ยนไป และนางจะไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้ต้องตาย
ความคิดของพ่อของนางบังคับให้นางแต่งานเข้าไปอยู่ในเขตซือฮั่นเพื่อความปลอดภัยของสกุลทั้งสองนั้นเมีเหตุผล อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ยินถึงการตัดสินใจของจวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้ที่จะยืนหยัดต่อสู้ ความคิดเห็นแก่ตัวจึงหายไปจากใจของนาง !
ความรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และความรักก็ก่อตัวขึ้นในหัวใจของเซียงยี่ ขณะที่นางมองไปยังจวินโม่เซี่ยและจวินวูอี้
พวกเขาจะยืนหยัดเพื่อข้า … แม้มันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของพวกเขา ? อะไรมันจะดีไปกว่าการสร้างความสุขและความมั่นคงของพวกเขากัน ?!
ข้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้บนความอับยศและหายนะ แต่หากข้าฆ่าตัวตาย เขตซือฮั่นก็จะระบายความโกรธของพวกเขาใส่สกุลกวนและสกุลจวิน … ข้าไม่คิดจะยอมรับความผิดบาปเช่นนั้น !
ข้าจะนำพาความหายนะมาสู่ชายผู้กล้าหาญทั้งสองนี้ และสกุลที่ดีเลิศเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? ข้าจะปล่อยชีวิตที่บริสุทธิมากมายต้องมาเสียสละ ถูกย่ำยี และถูกทารุณเพื่อช่วยข้าจากการมีชีวิตที่อัปยศนี้ได้อย่างไร ? ข้าจะสามารถให้อภัยตัวเองได้อย่างนั้นหรือ ? หัวใจของข้าจะสงบได้อย่างนั้นหรือ ?!
“ ท่านน้าสาม ท่านพ่อ … ข้ามีอะไรบางอย่างจะพูด ”
กวนเซียงฮั่นรีบแสดงสีหน้าที่เยือกเย็นออกมา และแสดงท่าทางที่สง่างาม
“ จงพูดส่ิงที่อยู่ในใจของเจ้า น้าสามจะสนับสนุนเจ้า ”
จวินวูอี้มองไปยังใบหน้าของนาง ต่อหัวใจของเขาก็รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่างที่ถูกส่งมาจากนาง
เซียงฮั่นรีบเงยหน้าขึ้นไปและมองไปยังฝนที่ร่วงหล่นลงมาด้านนอก และสุดท้ายนางก็ตัดสินใจ จากนั้น นางก็หันหน้ามามองจวินวูอี้ และคุกเข่าลง จากนั้นนางก็ก้มหัวลงไปยังพื้นช้าๆเพื่อแสดงความเคารพ
นางมองขึ้นมาที่จวินวูอี้และพูดด้วยความสงบ
“ เซียงฮั่น จะไม่ขัดต่อการตัดสินใจเดิม เพราะเซียงฮั่นมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แม้จะเป็นลูกสาวคนโตของสกุล เซียงฮั่นก็ได้นำพาโชคร้ายมาสุ่สกุลจวินตั้งแต่ที่ข้าได้เดินเข้าประตูมา และแม้แต่วันนี้ข้าก็ได้นำพายหายนะเข้ามา เนื่องจากข้าไร้ความสามารถ ข้าได้นำพาหายนะอันใหญ่หลวงมายังสกุลจวิน แต่พวกท่านทั้งสาม ท่านน้า ท่านพ่อ น้องเขยโม่เซี่ย ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันในเรื่องนี้อีกแล้ว ”
เซียงฮั่นตัดสินใจไปอย่างชัดเจน
“ แม้ว่าโม่โย่และข้าจะแต่งงานกัน แต่เป็นเพียงแค่ในนาม มิได้แต่งกันจริงๆ อย่างไรก็ตาม ข้าก็ได้มาอยู่กับสกุลจวินเป็นเวลานานเพราะความดื้อรั้นของข้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผิด และดังนั้น ท่านน้า โปรดอภัย ข้าเซียงฮั่นต้องการ …. ”
เซียงฮั่นกัดริมฝีปากขงนางอย่างเยือกเย็นในขณะที่นางพูดประโยคที่เหลืออยู่
“…. ที่จะถอนหมั้น ! ”
นางไม่สามารถที่จะเงยหน้าได้ต่อไป ดูเหมือนว่านางกำลังจะหมดแรง
“ เซียงฮั่น ต้องการจะพบท่านปู่ และขออภัยท่านด้วยตัวเอง แต่ข้าไม่มีความกล้าอีกต่อไปแล้ว ข้าต้องการจะกลับไปพร้อมกับพ่อของข้าในวันพรุ่งนี้ และกลับไปยังสกุลกวน และภาวนาว่าท่านน้าจะสนับสนุนความคิดของข้า และสกุลจวินจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆอีกต่อไป ! ”
จวินวูอี้เกือบจะกระโดดออกมาจากเก้าอี้เลื่อนของเขา !
คำพูดของเซียงฮั่นนั้นมีความหมายอย่างชัดเจนว่า ตัวของนางเป็นลูกสาวของพ่อแม่ของนาง และไม่ยอมรับการเป็นสะใภ้กับสกุลจวิน ! นั่นหมายความว่าอย่างไร ?
กวนดุงหลิวตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว … ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ผู้หญิงนั้นเข้าใจยาก หากไม่คิดถึงสกุลจวิน การตัดสินใจของนางนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีกับสกุลกวน ! มีน้ำตาสองหยุดหลั่งออกมาจากดวงตาของเขา
จวินโม่เซี่ยมองไปยังใบหน้าที่เยือกเย็นและสงบของกวนเซี่ยงฮั่นอย่างเงียบๆ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆอยู่บนใบหน้าของนางเลย ไม่ว่าจะฝ่ามือเล็กๆของนาง ที่จับกันอยู่นั้นยังซีดเผือก ซึ่งมันมากพอที่จะทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของนาง !
“ เซียงฮั่น การตัดสินใจนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อย มันเกี่ยวโยงไปถึงอนาคตและชีวิตของเจ้า ดังนั้น ข้าจึงของแนะนำให้เจ้าคิดอย่างรอบคอบ ! เจ้าจะเป็นสะใภ้ของสกุลจวินตราบเท่าที่เจ้าเลือก และจะไม่มีผู้ใดบังคับเจ้าได้ตราบเท่าที่สกุลจวินยังคงหายใจ ! ”
ดวงตาที่เย็นชาของจวินวูอี้นั้นไม่มีความกล้าพอที่จะมองไปหาเซียงฮั่น แต่กลับมองไปที่มือที่แข็งแกร่งระดับสวรรค์เชวียนของเขาแทน !
“ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรใหม่ ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว และหวังว่าท่านน้าจะยอมฟัง ! ”
เซียงฮั่นยิ้มอย่างโศกเศร้า
“ ความจริง โม่โย่และข้าเจอกันเพียงแค่สามครั้ง แต่ข้าก็ยังเลือกที่จะเดินไปในทางที่ผิด … ”
เซียงฮั่นหันหน้ามองไปยังพ่อของนาง แต่ก็พบว่าพ่อของนางหันหน้าไปทางอื่น สำหรับพ่อของนาง เขาไม่กล้าที่จะมองไปยังดวงตาของลูกสาวในเวลานี้ ! เขากลัวว่าเขาจะใจอ่อน และอาจจะพูดเพื่อหยุดนาง !
เซียงฮั่นยิ้มอย่างนุ่มนวลขณะที่นางเปลี่ยนเรื่อง
“ เวลาไม่เคยหมุนกลับ สิ่งผ่านไปมันจบไปแล้ว ”
ในยุคสมัยนี้ การแต่งงานนั้นถือเป็นข้อตกลงด้วยวาจา และตอนนี้แม้แต่ทะเบียนสมรสก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจนางได้ หากนางเลือก นางก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสกุลจวินอีกต่อไป
จวินโม่เซี่เข้าใจอย่างชัดเจนว่านางกระทำไปเพราะอารมณ์ ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย เขาก็สงสัยกวนดุงหลิวมากขึ้น
เป็นไปได้ไหมที่เขาจะมีอะไรที่ยังอยู่เบื้องหลังเรื่องราวกนี้อีก ?
“ เซียงฮั่น น้ารู้ว่าที่เจ้าเสียสละตัวเองก็เพื่อช่วยพวกเราจะความชั่วร้าย ! แต่เรื่องนี้มันเกินกว่านั้นไปแล้ว และมันก็ช้าเกินไป แม้ว่าเจ้าจะยุติการแต่งงานและป่าประกาศว่ามิได้เกี่ยวข้องกับสกุลจวิน ซึ่งมันก็สายเกินไปแล้วตั้งแต่ที่ข้าได้รับรู้เรื่องนี้ และข้าจะไม่ละเลย .. ไม่เลย ”
จวินวูอี้ครุ่นคิดชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ยิ่มขึ้นมาทันที
“ เซียงฮั่นตอนนี้ น้านั้นพิการ แต่ต้องไม่ลืมว่าข้านั้นเคยเป็นทหาร ! ข้ายังคงเป็นทหาร และข้าจะเป็นทหารตลอดไป และทหารนั้นเกิดมาจากเลือดและเหล็ก ! ”
“ และสำหรับลูกสะใภ้ของข้า และเจ้าจะต้องเข้าใจว่า ด้วยเลือดวีรบุรุษของข้านั้นไม่ยอมปล่อยให้ข้าผิดสัญญาในเรื่องนี้ ! โดนเฉพาะอย่างยิรง เมื่อมันเกิดขึ้นกับเจ้า … เจ้าคือสะใภ้ของข้า ! ”
จวินวูอี้เลิกคิ้วที่เรียวแหลมของเขาขึ้น
“ ตราบใดที่หัวข้อนี้ยังเกี่ยวข้องกันการถอนการแต่งงาน ข้าจะไม่หยุดเจ้า แต่เมื่อมันเป็นปัญหาที่มาจากเขตซื่อฮั่น ข้าคือคนหนึ่งที่ดูแลสกุลจวิน ! หากเจ้าตัดสินใจจะเป็นลูกสาวในสกุลของข้า เจ้าก็จะยังเป็นลูกสาวสกุลจวิน และพวกเราจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำให้ชื่อเสียงของเจ้ามัวหมอง ! ”
“ ถูกแล้ว ! พูดได้ดีท่านน้า ! ”
จวินโม่เซี่ยพูดขึ้นมาอย่างเยือกเย็น
“ หากการกระทำของเจ้านั้นออกมาด้วยความเมตตา เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสกุลจวิน อย่างไรด็ตาม พวกเราก็จะไม่ยอมให้เจ้าถอนการแต่งานในตอนนี้ ! หากเจ้าตัดสินใจที่จะยกเลิกการแต่งงานในตอนนี้ พวกเราจะไม่อณุญาติ เพราะมันจะเป็นเรื่องของความอับอายและเสื่อมเสียกับสกุลจวิน ! ”
จวินโม่เซี่ยเพ่งมองไปที่นาง
“ อย่าได้เอาแต่ใจตัวเอง ! เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงทำตัวดั่งเช่นผู้หญิง ? เจ้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้ ! ”
แม้ว่าจวินโม่เซี่ยจะอวดดีและเยือกเย็น คำพูดของเขาก็ก่อให้เกิดความรู้สึกมากมายขึ้นในหัวใจของนาง
จวินวูอี้เรียกคนใช้ และกระซิบคำบางคำไปที่หูของเขา คนรับใช้ผู้นั้นก็รีบวิ่งออกไปจากโถง และไม่นานเขาก็กลับเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้ และยื่นมันให้กับจวินวูอี้
จวินวูอี้ยกกล่องไม้นั้นขึ้น และพูด
“ หลานเซียงฮั่น ในกล่องนี้คือเอกสารที่เขียนโดยพ่อของข้า เพื่อประกาศว่าเจ้าเป็นสะใภ้ของสกุลจวิน เมื่อเรื่องของเขตซื่อฮั่นได้รับการแก้ไข เวลานั้น ในฐานะของหัวหน้าสกุลจวิน ข้าจะประกาศให้โลกรู้ว่า เจ้า เซียงฮัน และสกุลของข้า ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกันอีกต่อไป หากเจ้าไม่ยอมรับความสัมพันธ์นี้ก่อนถึงเวลานั้น พวกเราจะไม่เห็นด้วย ! ”
จวินโม่เซี่ยยิ้มขณะที่เขามองไปยังกล่องไม้ และพูดขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อย
“ ข้าเชื่อว่าโชคชะตาของกล่องไม้กล่องนี้นั้นมีสองอย่าง หนึ่ง ข้าจะเปิดมันออกมาด้วยตัวเองและประกาศว่าเจ้านั้นเป็นอิสระ สองมันจะถูกเผาไปกับร่างอันไร้วิญญาณของพวกเรา แต่ไม่ว่าทางใดก็ตาม ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไปยังเขตซือฮั่น ”
แม้ว่าจวินโม่เซี่ยจะพูดคำเหล่านั้นออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงของเขาก็มากพอที่จะเปิดเผยว่าเขามีความตั้งใจอย่างมาก !
ดวงตาของเซียงฮั่นเต็มไปด้วยน้ำตา ในขณะที่ได้เห็นใบหน้าที่สงบนิ่งและรอยยิ้มที่อ่อนโยนของจวินโม่เซี่ย ดวงตาของเขาเริ่มดูเหมือนกระบี่ที่สามารถปกป้องโลกได้จากอันตรายใดๆก็ตาม … และทันใดนนั้นมันก็เริ่มฝังลึกเข้าไปในดวงใจของนาง
กวนดุงหลิวรู้สึกราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่บนตะปู แม้ว่าทางเลือกของลูกสาวที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมจะทำให้เขาเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เขาก็ยังคงพอใจที่รู้ว่านางพร้อมที่จะเสียสละเพื่อสกุลของนาง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สถานการณ์ได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าที่จะพูดโน้มน้าวใดๆ เขาถอนหายใจและกระทืบเท้า
“ พี่จวิน ท่านจะทำอะไร ? ทางเลือกของท่านนั้นไม่เพียงแต่ไม่ทำตามหัวใจของนาง มันไม่เป็นไปตามความคาดหวังของแผ่นดิน และสกุลของท่านหรือคนของท่าน … ท่านกำลังพูดอะไร ? ”
“ ข้าเข้าใจปัญหาของท่านพี่ชาย และข้าก็เข้าใจหัวอกของเซียงฮั่น ”
จวินวูอี้ยิ้มด้วยความเข้าใจ
“ เจ้านั้นตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และข้าเชื่อว่าแม้แต่องค์จักรพรรดิก็จะเลือกเช่นเดียวกับเจ้าในเรื่องนี้ ไม่มีใครบอกว่าเจ้าผิด แต่ทุกคนนั้นมีจุดยืนที่ต่างกัน ”
“ ความจริง เรื่องเช่นนี้นั้นมันจะเป็นความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่ และแตกต่างระหว่างทางทหารและรัฐ รัฐนั้นมองหาความสงบสุข และทหารนั้นไม่มองเช่นนั้น นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยแก้ได้ หากรัฐมองหาสงครามบ้านเมืองจะถูกแบ่งแยก อย่างไรก็ตาม หากทหารมองหาความสงบสุขบ้านเมืองก็จะไม่เหลืออะไรนอกจากซากประหลักหักพัง ! ”
“ และหากเป็นสกุลของเรา ในฐานะผู้นำกองกำลังของบ้านเมือง จะประณีประนอมในเรื่องนี้ มันจะไม่เป็นการทำให้โลกต้องหัวเราะเยาะไปหรือ ? มันมิใช่ว่าเราไม่ต้องการความสงบ แต่ในเรื่องนี้เราไม่กล้าที่จะประณีประนอม ! ”
กวนดุงหลิวสาปแช่งตัวเองอย่างดุร้ายอยู่ในหัว
ข้าลืมเรื่องนี้ไป ! ข้าเดินเข้าไปยังบ้านของคนบ้า และให้เขาแต่งงานกับลูกสาวของข้า และยังโง่พอที่จะมีความสุขอยู่ได้อีกหรือ ?! ปิศาจร้ายพวกนี้ ! หากเรื่องนี้เป็นที่ล่วงรู้ต่อสาธารณะ มันจะไม่เป็นอันตรายใดๆกับสกุลจวิน แต่สกุลกวนจะเลวร้ายลงยิ่งกว่าพังพินาศ !
“ แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าของสกุลของเจ้าก็ตาม ข้าจะไม่ขอท่านโทษท่านในผลสุดท้ายของเรื่องนี้ ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นไปในทางใหน อย่างไรก็ตามตอนนี้เซียงฮั่นก็ยังคงอยู่ในสกุลจวิน ”
จวินวูอี้ยิ้ม แม้ว่าเสียงของเขาจะเบา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธ
กวนดุงหลิวถอนหายใจแต่ก็ยังคงเงียบอยู่ จากนั้น เขาก็ยืนขึ้น และเริ่มเดินออกไป เนื่องจากพวกเขาไม่ยอม เขาก็มีหลายอย่างที่ต้องจัดการ จากทั้งหมดนี้ ความพินาศนี้จะเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับสกุลกวน !
“ ในเรื่องของลูกคนที่สองของท่านและผู้หญิงคนนั้น ข้ามีอีกความคิดหนึ่ง ข้าจะขอให้พี่กวนไม่แทรกแซงในเรื่องนี้ ”
กวนดุงหลิวตั้งใจจะเดินทางไปยังทะเลสาปหมอกวิญญาณเพื่อที่จะแก้แค้นยี่เอ๋อ อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องหยุดความคิดนี้ไปหลังจากได้ยินคำพูดของจวินวูอี้
เขาเดินไปถึงประตู และหยุด
“ ลี่จือ ให้เวลาเราแค่สองเดือน ดังนั้นได้โปดท่านพี่จวิน … แก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ”
ดวงตาของจวินวูอี้กระพริบจากที่หนึ่งไปยังอีกที่
“ ขอบคุณท่านพี่ ท่านจะต้องกลับไปและเตรียมการ ”
กวนดุงหลิวกระทืบเท้าขระที่เขาเดินออกไป
ตอนที่ 177
“ ดี เอาละ เจ้าควรจะไปพักบ้าง ”
จวินวูอี้เพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ยและกวนเซียงฮั่น
“ ไม่ต้องกังวล ท้องฟ้ายังไม่ถล่ม และหากมันจะเกิดขึ้น น้าของเจ้าจะอยู่ดูแลเจ้าที่นี่ ! ”
เซียงฮั่นยังคงสะอื้น ในขระที่ดวงตาของจวินโม่เซี่ยยังคงมีประกายแห่งความตื่นเต้น ทันใดนั้น ปากของเขาก็โค้งเป็นรอยยิ้มที่ดูวิกลจริต ราวกับว่าเขาได้พบกับช่วงจังหวะแห่งการะบรรลุ เขามองไปยังจวินวูอี้ช้าๆและพูด
“ ข้าจะออกไปข้างนอก ! ”
จวินโม่เซี่ยรีบหันไปก่อนที่พวกเขาจะตอบสนอง และหายเข้าไปในพายุฝนด้านนอก
ฝนยังคงตกหนักอยู่ด้านนอก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดในเร็วๆนี้
ท้องฟ้านั้นยังคงมืดมิด
แม้สีหน้าของจวินวูอี้จะสงบและตั้งมั่น ดวงตาของเขาก็ยังคงจมลึกไปกับความคิด
เซียงฮั่นยืนอยู่โถงทานอาหารอย่างเงียบๆ ในขณะที่นางยืนมองออกไปยังสายฝนเบื้องนอกอย่างเย็นชาและไร้ความรู้สึกใดๆ เม็ดฝนร่วงลงมาประทบพื้นและแตกกระจาย และมีละอองฝนบางส่วนกระเต็นมาโดนใบหน้าและร่างกายของนาง ทำให้รู้สึกหนาวเย็นอย่างแปลกประหลาด …
… บ้านสกุลลี่ …
“ วันนี้มีการพยายายามเอาชีวิตจวินโม่เซี่ยใช่ไหม ? ”
ลี่โย่วหลานกำลังใส่หน้ากากอยู่ แต่ประกายในแววตาของเขานั้นสว่างชัดมากพอที่จะสื่อให้รู้ว่าเขานั้นสนใจในเหตุการณ์นี้
“ เขาตายไหม ? ”
“ ไม่ ”
ชายที่ผอมแห้งในชุดสีดำตอบกลับมา
“ มีคนลึกลับปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ และสังหารมือสังหารไปจำนวนหนึ่ง ชายผู้นี้ทรงพลังอย่างมาก และทำให้มือสังหารต้องล่าถอยไป ”
“ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังการพยายามเอาชีวิตจวินโม่เซี่ย ? ”
ลี่โย่วหลานไม่สนใจการดำเนินชีวิตของจวินโม่เซี่ยมากนัก เนื่องจากเขาถือว่า จวินโม่เซี่ยนั้นไม่มีความสำคัญมากพอที่จะเทียบกับเขา อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่า ชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นั้นสำคัญกับสกุลจวินและผู้ที่ติดตามสกุล
“ ยังไม่ชัดเจน ”
ชายในชุดดำก้มหัว
“ อย่างนั้น ไปสืบมา ”
เสียงตะโกนอันเย็นชาของลี่โย่วหลานนั้น ทำให้ชายผู้นั้นตัวสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าของลี่โย่วหลานนั้นเสียงรูปไปเนื่องจากเขาได้รับอุบัติเหตุในตอนนั้น ซึ่งทำให้เขาอยู่แต่ในบ้าน อารมณ์ของเขานั้นเพิ่มมากขึ้นและคาดเดาไม่ได้ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ซึ่งทำให้คนรับใช้ของเขานั้นหวาดกลัวมากขึ้น
ลี่โย่วหลานเดินเข้าไปในห้องนอน เอามือแนบกำแพงและผลัก มีเสียงกลไกที่กำลังหมุนดังขึ้น และจากนั้น กำแพงก็เปิดเป็นช่องประตู ชั้นของหินนำทางลงไปยังใต้ดินเบื้องล่าง และจากนั้นบรรไดก็เลื่อนขึ้นมา ทำให้ดูเหมือนว่ายังมีอีกช่องทางที่เข้าไปยังห้องนี้ได้
ลี่โย่วหลานเดินลงไปบรรไดไปช้าๆ และไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงของฝนดังขึ้นมา ราวกับว่าเขาได้ขึ้นมาบนพื้นอีกครั้ง ไม่นานนัก ร่างของลี่โย่วหลานก็ได้ปรากฏขึ้นมาช้าๆในลานบ้านขนาดเล็กที่เป็นความลับ
“ น้องลี่ ! ”
ที่ลานบ้านนี้มีคนอยู่ราวๆสิบคน ทั้งหมดใส่ชุดสีขาว คนแรกที่พูดขึ้นมานั้นคือชายวัยกลางคน อายุราวๆสี่สิบปีหากเทียบกับหน้าตา เขาตัวสูง ร่างกายกำยำ และดวงตาที่เรียวของเขาแสดงออกถึงามเฉยเมย ราวกับว่าเขาถือว่าตัวเองนั้นอยู่เหนือกว่าผู้ใด หญิงสาวที่บอบบางอายุราวสามสิบปียืนอยู่ด้านหลังของเขา ในขณะที่ชายและหญิงที่เหลืออยู่ยังคงนั่งอยู่ข้างๆเขา คนเหล่านี้ได้ช่วยเหลือลี่โย่วหลานอยู่อย่างเงียบๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา และกลายมาเป็นคนรู้จักของเขา
“ พี่ลี่ ! ”
ลี่โย่วหลานกล่าวคำทักทายอย่างสุภาพ
“ ยังไม่มีข่าวเกียวกับแกนเชวียนเลย แต่ข้าได้ส่งเครือข่ายคนของข้าออกไปแล้ว ดังนั้น พวกเราจึงไม่ควรจะพลาดรายละเอียดต่างๆไป หากมาข่าวใดๆเกี่ยวกับสมบัติชิ้นนี้ มั่นใจได้ว่าพวกเราจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รู้ ! แต่ก็มีข่าวลือที่พวกเราจะต้องสนใจ … ว่ากันว่า เมืองพายุหิมะขาวมายังเทียนเชียงแล้ว พร้อมกำลกองกำลังอื่นๆ อาจจะบอกได้ว่า มีเทพเชวียนอย่างน้อยสี่คนอยู่ในเมืองเทียนเชียงในตอนนี้ พร้อมกับสวรรค์เชวียนอีกจำนวนมาก ซึ่งทำให้สถานการณ์ไม่มั่นคง เมื่อมีข่าวใดๆที่เกี่ยวกับแกนเชวียน กลุ่มคนเหล่านี้จะเริ่มต่อสู้กันเอง … และพวกเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสที่ดีในการจะได้เป็นผู้ชนะ … ! ”
“ พวกเราอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับกลุ่มอื่นๆ แต่พวกเรามีสวรรค์เชวียนหกคน และยอดฝีมือปฐพีเชวียนสี่คน ข้าเชื่อว่าหากพวกเราคว้ามันมาได้ก่อนคนอื่นๆ พวกเราก็จะรีบหนีไปอย่างเร็วที่สุด หากเป็นเช่นนั้น แม้แต่ยุ่นเบ้ยเฉินก็ไม่อาจจะขัดขวางพวกเราได้ ”
ชายวัยกลางคนตอบกลับมาอย่างชัดเจน
“ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น น้องลี่ ”
“ ขอรับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่าน พี่ลี่ ”
ลี่โย่วหลานยิ้มและพูด
“ ข้ารู้สึกมาตลอดว่าการระเบิดของปะการังหยกนั่นมีอะไรบางอย่างแปลกๆ และก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง เจ้าสามารถที่จะสอดส่องหอมณีวิจิตร และคนที่เกียวข้องได้หรือไม่ ? ”
ชายร่างผอมยิ้มและพูด
“ น้องลี่ คนที่เกี่ยวข้องที่เจ้าพูดถึงคือใคร ? ปราณเชวียนของข้าอาจจะไม่สูงไปกว่าพี่น้องทั้งหกของข้า แต่เมื่อต้องสะกดรอยผู้คน ข้ามั่นใจว่า แม้แต่พี่น้องของข้าก็ไม่สามารถเก่งเกินกว่าข้าได้ ! ”
ชายผู้นี้เป็นคนที่ผอมกว่าคนอื่นๆ แต่เขาเป็นตักสะกดรอยที่คล่องแคล่ว และเขาสามารถรวบรวมข้อมูลได้เกือบทุกอย่าง
“ ยังมีคนที่เกี่ยวข้องนอกจากหอมณีวิจิตรตคือ ถังหยวนและจวินโม่เซี่ย ทั้งคู่อยู่ในที่พักสกุลจวินในตอนนี้ ถังหยวนกำลังบาดเจ็บ ดังนั้นเจ้าจะต้องให้ความสนใจกับจวินโม่เซี่ยไปก่อน … ข้ารู้สึกแปลกๆเกี่ยวกับเด็กคนนั้น ”
แม้แต่หน้ากาของลี่โย่วหลานก็ไม่สามารถปกปิดสีหน้าของเขาไว้ได้
“ อย่างไรก็ตาม ที่ที่พวกเขาอยู่นั้นมีการคุ้มกันที่แน่นหนา และพวกเจ้าจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เจ้าจะต้องไม่ทำให้มีการแตกตื่น ท่านพี่ ”
“ อย่าได้กังวลไป ชายผู้นี้สามารถที่จะสะกดรอยอะไรก็ตามได้ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถทำได้ เป็นเป็นสุดยอดในเคล็ดนี้ ”
ชายวัยกลางคนยิมขณะที่เขา มองไปยังสหายของเขาอย่างดุร้าย
ผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังของชายวัยกลางคนหัวเราะ
“ ยังไม่สามารถยอมรับความทรงจำในอดีตได้อีกหรือ ? ”
ชายผู้นั้นพึมพัมสองครั้งจากนั้นเขาก็พูด
“ อะไรที่ยากที่จะทนกับมัน ? ข้าถูกหลอกด้วยข้อมูลปลอม และต้องสุดท้ายจะต้องหลบไปใน … นั่นเป็นเพียงเหตุผลที่ข้าหลงกลในเวลานั้น …. ”
คนทั้งหมดหัวเราะขึ้นมา แม้แต่ลี่โย่วหลานก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ และจากนั้นเขาก็พูด
“ หากเจ้าไม่สามารถที่จะสะกดรอยได้ ข้าเชื่อว่าไม่มีผู้ใดสามารถทำได้แล้ว ข้าไว้ใจท่านอย่างมากท่านพี่ ”
ทั่วทั้งห้องเงียบลงในขณะที่ระฆังขนาดเล็กที่มุมห้องดังขึ้นอย่างกระทันหัน
ใบหน้าของลี่โย่วหลานเปลี่ยนสีไปในทันที
แต่ … ระฆังนี้ต่อเข้ากับห้องใหญ่ มันไม่ควรจะดักนอกเสียจากว่ามีบางอย่างที่เร่งด่วนมาก ! เกิดอะไรขึ้น ? เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ … หรือมีบางอย่างที่คนของข้าไม่สามารถรับมือได้ ?
“ ท่านพี่ โปรดนั่งรอก่อน ในระหว่างที่ข้าออกไปดู … แม้แต่ข้าก็ไม่คาดว่าจะมีเรื่องอะไรในวันที่ฝนกระหน่ำนี้ ”
ลี่โย่วหลานพูดขึ้นมาดน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะธรรมดา
“ ไม่จำเป็นต้องมากพิธีน้องชาย พวกเราเข้าใจหากเจ้ามีเรื่องอื่นต้องจัดการ ”
ชายวัยกลางคนตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม
ลี่โย่วหลานเดินออกไปอย่างช้าๆ และทันใดนนั้นก็พุ่งเข้ามา เขาพูดขึ้นอย่าลังเลก่อนที่ทุกคนจะพูดอะไรขึ้นมา
“ มีปราณของแกนเชวียนปรากฏขึ้นในทางทิศตะวันตกของเมือง ขาวนี้ได้รับการยืนยัน และยอดฝีมือเชวียนขั้นสูงจำนวนมากถูกเรียกให้ไปรวมตัวกัน ทางทิศตะวันตกของเมืองในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่นี้ ! ”
คนเหล่านี้รู้เสมอว่าลี่โย่วหลานนั้นเป็นคนที่สงบนิ่งและสง่างาม นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นเขาทำตัวเช่นนี้และพูดด้วยความเร่งรีบ ในตลอดห้าปีที่รู้จักเขามา !
คนทั้งสิบลุกขึ้นมาพร้อมๆกัน ! ชายวัยกลางคนสะบัดมือ
“ ทั้งหมดออกไป ทางตะวันตก ! ”
ร่างทั้งสิบพุ่งเข้าไปในสายลมและสายฝนอย่างรวดเร็ว แสงของปราณเชวียนของพวกเขาเปล่ปงระกายขึ้นในขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่จะพาพวกเขาไปสู่เป้าหมาย และไม่นานประกายแสงของพวกเขาก็ได้หายไปกับสายฝน
ลี่โย่วหลานยังคงยืนเพ่งมองไปยังท้องฟ้าพี่พร่ามัว ไม่สามารถที่จะเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความเศร้าที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขา
… พื้นที่ทางทิศตะวันตกของเมือง …
นายน้อยจวินกำลังนั่งอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆที่ โกโรโกโส และพุพัง พร้อมด้วยหน้ากาที่อยู่บนใบหน้าของเขา แกนเชวียนวางอยู่บนโต๊ะเล็กๆตรงหน้าเขาอย่างเงียบๆ
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่แกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุด แต่เป็นแกนเชวียนขั้นหกที่จวินวูอี้ได้เตรียมการไว้ให้เขาก่อนหน้านี้ แม้ว่ามันจะเป็นของหายากและเป็นสิ่งของที่ล้ำค่า อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมที่สกุลของเขาจะหามาได้
คำพูดของมือสังหารจวินและคำมั่นที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของสกุลจวินก่อนนี้นั้นอาจจะเกิดขึ้นมาด้วยอารมณ์ แต่สัญชาตญาณของเขานั้นเตือนให้เขาได้รู้ถึงอันตรายที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า แม้ว่ามือสังหารจวินนั้นจะกล้าหาญ แต่เมื่อต้องเผชิญกับพลังอำนาจของกองกำลังเช่นเขตซือฮั่นนั้น แม้แต่หัวใจของเขาก็อดที่จะเต้นรัวราวกับกลองไม่ได้
จากเรื่องราวทั้งหมดนั้น ลี่จื้อเทียนเป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสอง และผู้ที่มั่นใจในฝีมือของตัวเองเมื่อต้องเผชิญกับศัตรูที่ทรงพลังเช่นนั้นเป็นอะไรที่โง่มาก !
แต่เมื่อพิจารณาทั้งหมดนี้แล้ว เมื่อต้องเผชิญกับความคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย ดังนั้นแทนที่จะคิดถึงเรื่องที่ไร้ความหมายเช่นนี้ จวินโม่เซี่ยจึงง่วนอยู่กับการหาทางแก้ไขน่าจะดีกว่า !
จวินโม่เซี่ยรู้ดีว่าการที่ขั่วโมโห เมืองพายุหิมะขาวหรือเขตซื่อฮั่นนั้นแย่พออยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ พวกเขาจะต้องรับมือกับพวกเขาพร้อมๆกัน !
ตอนนี้มันคือเรื่องของความเป็นตาย !
ด้วยความเลือดร้อนของจวินโม่เซี่ย เขาไม่อาจทนต่อความอับอายในเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตาม มันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถรับมือกับกองกำลังทั้งสองได้
เนื่องจากข้าไม่สามารถรับมือกับพวกเขาได้ ข้าจะต้องใช้กลอุบาย ! อย่างไรก็ตาม ข้าใช้แผนการที่ถูกต้องใช่ไหม ?
เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถรับมือทั้งสองฝั่งได้ด้วยวิธีการทั่วไป และแม้ว่าเขาได้ลองพิจารณากลยุทธ์มากมาย ภาพรวมของมันก็ยังคลุมเครือเนื่องจากเขาไม่สามารถวางแผนเหล่านั้นได้ …
ในขณะที่เขาได้ทำการศึกษาแกนเชวียน จวินโม่เซี่ยก็ได้รู้ว่าเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ไม่สามารถที่จะจำลองปราณของแกนเชวียนได้ ! เห็นได้ชัดว่า จวินโม่เซี่ยได้ว่ากลยุทธ์นี้ตั้งแต่นั้นมา
จวินโม่เซี่ยได้ทำการทดลองหลายครั้งหลังจากที่เขาได้รับแกนเชวียนระดับหกมา และสุดท้ายก็ได้รู้ว่า ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะระบุระดับขั้นที่แท้จริงของแกนเชวียนได้ เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกของมันได้เปลี่ยนไป และดูเหมือนว่ามันเป็นความลึกลับของแกนเชวียน แม้แต่ปราณถายในของมันก็ไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์นั้นได้ปกปิดมันไว้แล้ว
จวินโม่เซี่ยอยากจะรอให้สถานการณ์มั่นคงเล็กน้อย และจนกว่าสุขภาพของถังหยวนจะฟื้นฟูมากพอที่จะทำตามแผนการของเขา และเขาจะใช้วิธีการนี้เพื่อหาผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม เรื่องของเขตซือฮั่นนั้นทำให้เขาเปลี่ยนใจ
มือสังหารจวินตัดสินใจที่จะเริ่มกระบวนการโดยเร็ว !
เขาไม่มีเวลาที่จะมารีรอแล้ว !
จวินโม่เซี่ยจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของน้าและปู่ของเขา หากพวกเขาจะสร้างความมั่นคงเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขาเอง !
หาก เมืองพายุหิมะขาวเพียงลำพังสามารถสร้างความทุกข์ทรมาณแก่สกุลจวินนับสิบปีได้ ในขณะที่แกล้งหยอกจวินวูอี้ได้ในเวลาเดียวกัน ในเวลาเดียวกันนั้น ความกดดันขากเขตซือฮั่นก็ทำให้ชีวิตของพวกเขาเป็นอันตราย !
ตอนที่ 178
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกถึงจำนวนของยอดฝีมือเชวียนระดับสูงที่เดินทางมายังเมืองเทียนเชียงในขณะนี้ ความจริง มีข่าวลือว่า สองในแปดปรมาจารย์นั้นอยู่ในเมืองเทียนเชียงแล้ว มันจึงเป็นการยากอย่างมากที่จะบอกถึงจำนวนของยอดฝีมือเทพเชวียนที่กำลังแย่งชิงสมบัติชิ้นนี้อยู่ !
แม้ว่าความบ้าคลั่งนี้กำลังเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีความสับสนมากมายในเมือง เมื่อแกนเชีวยนปรากฏขึ้น จวินโม่เซี่ยวางแผนที่จะใช้ความสับสนนี้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ! หรือบางที เขาได้ว่าแผนจะใช่สถานการณ์นี้เพื่อทำให้ศัตรูอ่อนแอ !
ตั้งแต่ที่มือสังหารจวินได้ทำการตัดสินใจ เขาหลับตาและทำจิตให้ว่าง จากนั้น เขาก็ยื่นมือไปยังแกนเชวียน และกระตุ้นเจดีย์หงษ์จวินเขาสัมผัสถึงความเย็นของแกนเชวียน พลังปราณที่รุนแรงพุ่งไปตามเส้นลมปราณของเขาในทันที และค่อยๆหลั่งไหลเข้าไปสู่แกนเชวียน
ปราณเชวียนของจวินโม่เซี่ยนั้นไม่มากพอที่จะสร้างกลิ่นไอที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ซึ่งมันเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องใช้เจดีย์หงษ์จวินช่วย !
แสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากแกนเชวียนที่เดิมทีนั้นเป็นสีดำ และส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง พลังปราณที่รุงแรงไหลออกมาจากแกนเชวียน และพุ่งออกไปทุกทิศทางในทันที และเริ่มกระจายออกไปนอกห้อง
“ อะไรสามารถที่จะปลดปล่อยพลังปราณที่รุนแรงขนาดนี้ได้ ? ”
ชายผมขาวสามคน ผู้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในหอมณีวิจิตร ลืมตาขึ้นมา ในขณะที่ชายที่อยู่ตรงกลางพูดออกมาเสียงดัง
“ แกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุด ! ”
ชายทั้งสามพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน และจากนั้นก็มองหน้ากันเพื่อยืนยันความสงสัย
“ ไป ! ”
ผู้อาวุโสทั้งสามพูดขึ้นมาพร้อมกัน และจากนั้นก็พุ่งตัวออกไปโดยไม่ลังเล พวกเขาพุ่งตรงขึ้นไปยังหลังคาของหอมณีวิจิตร ช่างโชคดีต่อโครงสร้างของอาคาร ที่พวกเขานั่งอยู่ในห้องที่สูงที่สุดของตึก
ฟ้าร้องและฝ่าผ่าเกิดขึ้นเต็มไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง !
ผู้อาวุโสสามหลับตาเพื่อสัมผัสถึงพลังปราณนั้นให้ดีขึ้น และจากนั้นก็ตะโกนขึ้น
“ แกนเชวียนอยู่ในส่วนตะวันตกของเมือง ! ”
ผู้อาวุโสอีกสองคนมองไปยังทิศตะวันตกทันที และเพ่งมองไปที่พายุฝนซึ่งกำลังปกคลุมในส่วนตะวันตกของเมืองเทียนเชียงอยู่
“ ไป ! ”
ร่างทั้งสามของพวกเขาพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย และค่อยๆหายเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยพายุ ทิ้งรูขนาดใหญ่บนหลังคาของอาคารไว้เบื้อหลังพวกเขา โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่า น้ำฝนเริ่มจะหลั่งไหลเข้าไปในสู่รูขนาดใหญ่นั้น …
มีร่างอีกสี่ร่างปรากฏขึ้นในห้องไม่นานหลังจากที่พวกเขาออกไป ชายสามคนและผู้หญิง ผู้หญิงเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา
“ ฮี่ ฮี่ ดูเหมือนจะมีเรื่องสนุก เราพลาดมันไปได้อย่างไรกัน ? ตามพวกเขาไป ”
เห็นได้ชัดจากท่าทางที่นางตามพวกเขาไป ซึ่งหมายความว่านางไม่กลัวการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ชายสามคนมองหน้ากัน ยิ้ม และรีบตามนางไป ชายสองคนนั้นเหาะไปใกล้ๆกัน อย่างไรก็ตาม ชายคนที่สามเว้นระยะห่างของตัวเองไว้เพื่อเหตุผลบางอย่าง
ชายหกคนถูกส่งให้ไปประจำที่ ที่พำนักซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดงานของราชสำนักในส่วนทางใต้ของเมือง ชายที่สูง ผอม และใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่นปรากฏตัวขึ้นตรงประตู จากนั้นชายทั้งหกก็เข้าแถว โดยที่พวกเขาทั้งหกนั้นเป็นยอดฝีมือสวรรค์เชวียน แต่ผู้ชายที่ผอมนี้ไม่เปิดเผยถึงระดับปราณเชวียนของตัวเอง อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าปราณเชวียนของเขานั้นอยู่ในระดับที่สูงข้าข้าทาสบริวาร
เขากระซิบเบาๆ
“ ไป ! ”
ชายทั้งเจ็ดเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเป็นขบวน !
ในเวลาเดียวกัน ประตูห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกของที่พำนักนี้เปิดออกอย่างช้าๆพร้อมกับเสียงเบียดเสียด และมีเสียงดังขึ้นช้าๆพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ พี่ฉี นี่มิใช่สิ่งที่ท่านรอคอยอยู่หรือ ? ท่านไม่ต้องการจะคว้ามันมาหรือ ?! ”
ผู้พูดนั้นเป็นชายในชุดสีขาว ผู้ที่เดินจากห้องผ่านสายฝนเข้ามา ดูเหมือนว่าเขาไม่กลัวแม้แต่น้อยเลยว่าชุดของเขาจะเปียกฝน เขาเดินผ่านสวนที่สวยงามที่อยู่ด้านนอกซึ่งมันงดงามอย่างมาก ดูราวกับดอกไม้นั้นยืนต้นขึ้นมาและเคลื่อนที่ไปทั่วสวน
ชายผู้นี้คือ ที่ปรึกษาราชสำนักแห่งอาณาจักรยูถัง เฟ้ยเมิงเฉิน !
“ เฟ้ยเมิงเฉิน ! ”
ชายในชุดสีขาวยิ้ม และพูด
“ ไม่มีผู้ใดหยุดท่านได้ ท่านสามารถไปตราบเท่าที่ท่านกลัวตาย ! ”
เฟ้ยเมิงเฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และหัวเราะ
“ พี่ฉี ผู้อื่นอาจจะมองว่าท่านเป็นหนึ่งในแปดปรมาจารย์ แต่มันก็ควรจะชัดเจนแล้วว่าข้ายังอยู่ที่นี่ ! ”
ผู้ที่เฟ้ยเมิงเฉินกำลังพูดด้วยนั้นคือหนึ่งในแปดปรมาจารย์ ฉีเฉียงเซี่ยวแห่งอาณาจักรเฉินซี !
ฉีเฉียงเซี่ยวยิ้มขณะที่ยืนขึ้น และจากนั้นเขาเดินเข้าไปในสายฝน พุ่งขึ้นไปในอากาศ และลอยตัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นเขาก็หมุนตัวไปทางตะวันตก และเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว เฟ้ยเมิงเฉินหัวเราะ และไล่ตามเขาไป คนอื่นๆตามหลังสองคนนี้ไปด้วยความเร็วสูงสุด !
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะขณะที่กลืนสุราไปอึกใหญ่
“ สุราที่น่าอัศจรรย์ ! เป็นสุราที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ! ”
เขาและองค์ชายยังคงรวมตัวกันอยู่ที่โรงเตี้ยมของผู้เฒ้าซ้ง และตัดสินใจที่จะกลับในขณะที่ฝนตกหนักลงมา
เขาไม่ได้ชอบอยู่กับคน
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกอึดอัด จากทั้งหมดนั้น เขาก็ได้ดื่มด่ำกับสุราที่ดีที่สุดที่เขาเคยรู้จัก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาประหลาดใจ และทำตัวดั่งสายน้ำไหล เดิมทีแล้วเขามีความสุขกับการดื่มสุราเพียงลำพัง !
พวกเขาดื่มสุราสองเหยือกที่จวินโม่เซี่ยได้นำมาแล้ว และตอนนี้กำลังจะดื่มสุราของผู้เฒ่าซ้ง สุราที่เดิมทีทำให้พวกเขาเมาเพียงแค่ได้กลิ่น ตอนนี้มันทำให้รู้สึกสากคอเมื่อเทียบกับของจวินโม่เซี่ย ราวกับแมลงวันที่ติดอยู่กับขี้ผึ้ง !
แม้ว่าบ้านขององค์ชายหยางฮ่วยน้งจะไม่ไกลจากที่นี่ เขาก็ยังไม่อยากกลับจนกว่าสุราจะหมดซึ่งมันหมายความว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะกินมันจนหมดเพียงคนเดียว
ข้าไม่ปล่อยให้เขาดื่มสุรานี่จนหมดไปเพียงคนเดียวหรอก … แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในแปดปรมาจารย์ของโลก …
ในอีกมุมหนึ่ง ผู้เฒ่าซ้งอดที่จะรู้สึกโศกเศร้าไม่ได้ในขณะที่เขาเฝ้ามองคนเหล่านี้มีความสุข
นี่คือสุราของอาจารย์ของข้า และข้าได้เตรียมตัวเพื่อศึกษามัน … และตอนนี้คนเหล่านั้นก็ดื่มมันไปหมดแล้ว ….
อย่างไรก็ตาม ความโศกเศร้าและรำคาญนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากความจริงที่ว่าพวกเขาดื่มสุราของอาจารย์ของเขาหมดแล้ว และความจริงที่ว่าพวกเขากำลังจะดื่มสุราที่พวกเขาไม่เลือกให้หมด และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาดื่มมันด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ …
ชายผู้หนึ่งคือพี่น้องขององค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักร และอีกคนหนึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่ยังมีชีวิตอยู่ … แต่พวกเขานั้นไม่ต่างอะไรจากคนเลวในสายตาของเขาในตอนนี้ !
ทันใดนนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็เบิกตากว้างในขณะที่เขากระทืบเท้า ทำให้ชายทั้งสองตกตะลึง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น และหัวเราะ
“ สุดท้ายข้าก็ได้พบเจอโอกาสที่ดี ! ”
จากนั้น เขาก็พุ่งตัวไปโดยที่ไม่เอ่ยคำลา และหายเข้าไปในสายฝนด้านนอก
ในฐานะยอดฝีมือสวรรค์เชวียน ซ้งฉางก็สามารถสัมผัสได้ถึง พลังปราณที่แปรปรวนซึ่งปะปนมาในภายุได้เช่นเดียวกัน ดวงตาที่เคลื่อนไหวไปมาเผยให้เห็นว่าเขาก็ต้องการที่จะออกไป แจ่เขาก็ถอนหายใน ก้มหัว ยกจอกสุราขึ้นมาและดื่มมันลงไปเพื่อปลอบประโลม
ด้วยความแข็งแกร่งของเขา การเข้าร่วมการต่อสู้แย่งชิงแกนเชวียนนั้น จะทำให้เขาได้ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว ความตาย !
ซ้งฉางล้มเลิกความคิดที่จะแย่งชิงแกนเชวียนในทันทีหลังจากที่สัมผัสความแข็งแกร่งที่น่ากลัวได้จากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ซึ่งมันไหลออกมาสู่อากาศในตอนที่เขาพุ่งออกไป ซึ่งเขารู้ว่าการเข้าร่วมการต่อสู้นี้เป็นเพียงแค่การฆ่าตัวตาย
“ เกิดอะไรขึ้น ? ”
องค์ชายสับสนจากการรีบออกไปด้วยท่าทีที่แปลกประหลาดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จนเขาอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
“ ดูเหมือนว่า แกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุดที่ร่ำลือกันนั้นปรากฏออกมาแล้ว ”
ซ้งฉางตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ มีเพียงแค่แกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุดเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยพลังปราณเช่นนี้ได้ ! ลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่ของปลอม ”
“ แกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุด ! ”
องค์ชายอ้าอากค้าง
“ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหายตัวไปเมื่อผัมผัสถึงมันได้ ! นั่นหมายความว่าเขาจะเข้าร่วมการแข่งขึ้นเพื่อแย่งชิงมัน ? ”
“ เขามุ่งหน้าไปทิศทางนั้น อย่าไรก็ตาม เขาอาจจะไม่ได้สนใจในแกนเชวียน และอาจจะมองหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม ด้วยธรรมชาติของเขา ข้าไม่คิดว่าเขาจะสนใจในตัวของวัตถุมากนัก ”
ซ้งฉางโก่งคอของเขาด้วยความเศร้า
“ เนื่อจากความรุนแรงของการแย่งชิงนี้ ข้าไม่สามารถทำอะไรในการต่อสู้ได้เลย ”
องค์ชายสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าในน้ำเสียงของเพื่อนของเขาได้อย่างชัดเจน
ซ้งฉางฝึกฝนมาตลอดชีวิตของเขา แต่ตอนนี้ สมรภูมิที่ยอดเยี่ยมนี้ได้มาเกิดขึ้นใกล้ๆ เขาเองก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นส่วนหนึ่ง …
….. มีการเคลื่อนไหวมายังที่นี่จากทั้งสี่ทิศพร้อมๆกัน
มีร่างสามร่างของสามคนแรก ตามมาด้วยหกคนต่อมา และผู้อาวุโสทั้งเก้าจากเมืองพายุหิมะขาวมุ่งหน้ามาจากทางเหนือ !
มือสังหารสิบคนจากสกุลลี่นั้นมุ่งหน้ามาจากทางตะวันออก !
ฉีฉางเซี่ยว และเฝ้ยเมิงเฉินนั้นนำยอดฝีมือสวรรค์เชวียนหกหรือเจ็ดคนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดมาจากทางใต้ของเมือง !
ทางตะวันตก เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมุ่งหน้าฝ่าสามฝนมาราวกับเหยี่ยว ในขณะที่ชุดสีดำของเขาส่งเสียง แฉะๆ ขณะที่เขาพุ่งฝ่าสายลมมาด้วยความเร็วแสง !
พวกเขาทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกัน กระท่อมหลังเล็ก .. ที่เป็นแหล่งที่มาของพลังปราณของแกนเชวียน !
ผู้คนสามารถมองเห็นแสงสีน้ำตาลและทองพุ่งผ่านท้องฟ้าของเมืองเทียนเชียงได้ พวกเขาเข้าใกล้กระท่อมหลังเล็กด้วยความเร็วราวกับผี
“ มันโง่มากจริงๆที่เอาแกนเชวียนออกมาในวันที่ฝนตกเช่นนี้ คนผู้นี้เขารู้หรือไม่ว่าอากาศที่เต็มไปด้วยฝนนี้จะเป็นเหตุให้มันลมปราณของแกนเชวียนรุงแรงขึ้น ? … หรือนี่จะเป็นกับดัก ? ”
แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสี่จากเมืองพายุหิมะขาว จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด แต่พวกเขาก็ยังสามารถพูดคุยกันได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
“ อย่างน้อย ข่าวลือเรื่องแกนเชวียนนั้นก็เป็นเรื่องจริง ! กลิ่นอายเช่นนี้มาจากแกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุดเท่านั้น นี่มิใช่ของปลอม ! สำหรับโอกาสที่นี่จะเป็นกับดัก ข้าเองไม่สามารถบอกได้ ”
ใบหน้าของผู้อาวุโสหกสะท้อนถึงความมั่นใจ
“ พวกเราสัมผัสได้ถึงพลังปราณของ ผู้ทรงพลังได้ที่นี่ แต่เขาก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา หรือจะเป็นการกระทำของเขา ? ”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสเก้านั้นแฝงไปด้วยร่องรอยแห่งความกลัว หัวใจของเขายังสั่นไหว เมื่อคิดว่าต้องเผชิญหน้ากับอำนาจที่ลึกลับ !
“ พี่สาม ผู้ทรงพลังนั่นยังคงทำให้ข้าสับสน และข้าไม่รู้ว่าพวกเราจะสามารถหนีออกมาจาก …. ”
ผู้อาวุโสเก้ายังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค เขาก็พบว่าตัวเองถูกขัดโดยผู้อาวุโสสาม
“ อย่าได้พูดเช่นนั้น ! ”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสสามนั้นเห็นได้ชัดว่าถึงความกังวลของเขา
“ ขอรับ ขอรับ ”
ผู้อาวุโสเก้าตบปากรับคำในทันที
“ จากความปราถนาของเรา ตอนนี้มิใช่เวลาที่จะผิดพลาด ”
ชายทั้งสามเพิ่มความเร็วขึ้นมาทันทีในขณะที่ผู้อาวุโสสามพูดจบ
ทันใดนนั้น ผู้อาวุโสทั้งสามก็เพ่งมองไปทางใต้ ผู้อาวุโสสามเลิกคิ้วและพูด
“ แกนเชวียนนี่ดึงดูดคู่แข่งมามากมาย ! แม้แต่ ฉีฉางเซียว และเฟ้ยเมิงเฉินก็อยู่ที่นี่ ! เจ้าทั้งสองไปขัดขวางพวกเขา เดี๋ยวข้าจะไปเอาแกนเชวียนนี้มาด้วยมือของข้าเอง ! ”
ตอนที่ 179
“ มีการเคลื่อนไหวทางตะวันออก แต่ความแข็งแกร่งนั้น …. ”
ผู้เฒ่าหกมองไปยังแสงสีฟ้าที่ที่พุ่งตรงไปยังเป้าหมายของพวกเขาจากทิศตะวันออก และพูดอย่าเยือกเย็ย
“ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นคือสวรรค์เชวียน คนพวกนี้ทะเยอทะยายเล็กน้อย … พวกเขาจะไม่เป็นปัญหากับท่านเลยพี่สาม ดังนั้นพวกเราจะมุ่งหน้าไปทางใต้ ”
ผู่อาวุโสสาม พยักหน้าอย่างสุภาพขณะที่ เพื่อนของเขาสองคน อ้าแขนและพุ่งไปทางใต้ราวกับดาวตก
ผู้อาวุโสหก และผู้อาวุโสเก้าตัดผ่านพายุ และพุ่งตรงไปยังเป้าหมายใหม่ของพวกเขา ผู้อาวุโสหกอ้าปากและตะโกนออกไปเสียงดังกังวาล
“ เมืองพายุหิมะขาวขอทักทายพี่ฉีฉางเซียว และเฟ้ยเมิงเฉิน ! ”
ร่างของฉี่ฉางเซี่ยวหยุดกลางอากาศในทันที และเขาเริ่มมองอย่างว่างเปล่ามายังผู้อาวุโสจากเมืองพายุหิมะขาวทั้งสอง
“ นั่นพวกเจ้าหรือ ! ”
เฟ้ยเมิงเฉินหยุดและจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
“ โลกช่างเล็กเหลือเกิน และไม่รู้เลยว่าเจ้าจะได้เจอใครในวันนี้ ข้าไม่เคยคิดว่าพวกเราจะได้มาเจอ ผู้อาวุโสสาม หก และเก้าจากเมืองพายุหิมะขาวที่นี่ ยินดีที่ได้พบท่าน ! ”
เขาตระหนักได้ว่ามีผู้อาวุโสสองคนจากสามคนมาพบกับพวกเขา และคนที่สามนั้นจะต้องมุ่งหน้าไปหาแกนเชวียน ซึ่งเป็นเหตุให้เขาเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง และหวังว่าฉี่ฉางเซียวจะเข้าใจความหมาย
แม้ว่าการต่อสู้แย่งชิงแกนเชวียนนี้จะเป็นงานที่ยากพอสมควร แต่จะปล่อยให้คนของเมืองพายุหิมะขาวได้มันไปโดยไม่ถามอะไรเลยนั้นมันง่ายเกินไป มีผู้อาวุโสสามคนที่อยู่ในขั้นเทพเชวียน ซึ่งการจะต่อสู้กับพวกเขาหนึ่งหรือสองคนนั้นพอจะเป็นไปได้สำหรับฉีฉางเซียว แต่การจะรับมือกับพวกเขาทั้งสามนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยแม้ด้วยฝีมือในระดับเขา
ฉีฉางเซียวยิ้มขณะที่เขาพยักหน้า แต่ดวงตาระดับเทพเชวียนของเขานั้นยังคงจับจ้องไปยังผู้ที่เข้ามาขวางทางทั้งสองขณะที่เขาพูดอย่างสงบนิ่ง
“ หลบไป ! ”
“ ท่านกำลังจะไปใหนท่านพี่ ? ”
ผู้อาวุโสเก้ายิ้ม
“ บอกพวกเรามา เนื่องด้วยพวกเราเป็นเพื่อนเก่ากัน และหากพวกท่านทั้งสองมีเรื่องสำคัญ พวกเราจะช่วยหลีกทางให้หากพวกเจ้าต้องการ ”
“ ท่านคิดว่าท่านจะหยุดข้าได้อย่างนั้นหรือ ? ”
ฉีฉางเซียวคำรามทางจมูก
“ แม้แม้ฮั่นเฟิงฉือก็ไม่อาจที่จะมีความกล้าเช่นนี้ ! ”
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นเทพเชวียน แต่ฉีฉางเซียวนั้นเป็นหนึ่งใหนแปดยอดฝีมือ ซึ่งหมายความว่า ความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นเทพเชวียน ในทางตรงกันข้าม ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะขาวนั้นยังคงอยู่ในขั้นเทพเชวียนพื้นฐาน และนี่ความความแตกต่างอย่างมาก ! เดิมทีแล้ว ฉีฉางเซียวนั้นมีคุณสมบัติพอที่จะพูดเช่นนี้ เนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขาเลย แต่เฟ้ยเมิงเฉินและคนอื่นๆนั้นจะเป็นกังวล พวกเขานั้นกลัวอย่างมากว่าจะโดนจัดการในระหว่างการต่อสู้
“ พี่ฉี อย่าได้มากความ พวกเราไม่เห็นผู้ใดอื่น และตอนนี้พวกเราก็ได้พบกันในยามราตรีที่น่ารื่นรมย์ และพร้อมกับฤดูใบไม้ร่วงที่มีฝนพรำนี้ ทำให้มันเป็นค่ำคืนที่ดี … พวกเราคงจะต้องนั้งลงก่อน และดื่มชาที่แสนพิเศษที่ข้าได้นำมาจากเมืองพายุหิมะขาว ”
ผู้อาวุโสหกกำลังพูดอย่างไร้สาระ เขายังเรียกพายุฝนกระหน่ำนี้ว่า ฝนพรำ และเรียกท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยพายุนี้ว่า ความรื่นรมย์ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเชื่อเชิญ ราวกับชวนให้เพื่อนมาดื่มชา !
“ ฮ่าฮ่า … ”
ฉีฉางเซี่ยวหัวเราะออกมา เขาหัวเราะดังขึ้นและดังขึ้น ราวกับเขาจะแทนที่เสียงฟ้าร้องด้วยเสียงหัวเราะ !
มีเส้นสายของฟ้าผ่าฟุ่งผ่านท้องฟ้า แต่มันเผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดราวกับศพบนใบหน้าของทุกคน !
ฉีฉางเซี่ยวออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกันที่แสงของฟ้าผ่าสว่างขึ้น และประทับฝ่ามือของเขาลงไปที่หน้ากของผู้อาวุโสหกและเก้า ในทันที !
“ ท่านนั้นมีค่าเพียงพอที่จะได้เป็น ยอดฝีมือ ท่านพี่ ! ”
ผู้อาวุโสหกและเห้าตะโกนสวนกลับมาในเวลาเดียวกันที่เขาทำการหลบการโจมตี
แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะเป็นยอดฝีมือเทพเชวียน พวกเขาทั้งคู่ก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถรับมือกับคนที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ได้ และทำได้แค่เพียงถ่วงเวลาไว้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เฟยเมิงเฉินนั้นกำลังรออยู่ด้านข้างเพื่อหาจังหวะที่ดี ผู้อาวุโสหกและเก้าไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรวบรวมพลังปราณทั้งหมด และออกกระบวนท่า !
พวกเขายิงมันออกไปในเวลาเดียวกัน แต่ก็พบว่าการโจมตีของพวกเขาไม่ได้ผล และร่างของพวกเขาลอยถอยหลังไปท่ามกลางสายฝน เฉี้ยง เฉี้ยง และทันใดนั้นกระบี่สี่เงินสองเล่มก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า
มันคือกระบี่บิน !
กำแพงหิมะปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ขณะที่ชายทั้งสองเข้ามาขวางเส้นทางของเขาอีกครั้ง !
ฉีฉางเซี่ยวคำรามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งสองจะไล่ตามฮั่นเฟิงฉีทันแล้ว นอกจากนั้น ทักษะด้านกระบี่ของพวกเจ้าก็ไปขึ้นระดับอาจารย์แล้ว ! ”
พวกเขาโจมตีด้วยกระบี่ แต่เขาก็สามารถหลบกระบี่เหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
“ เป็นดั่งเช่นท่านพี่ว่า ข้าไล่ทันฝีมือของฮั่นเฟิงฉีแล้ว ”
ร่างของผู้อาวุโสหกเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติในท้องฟา ขณะที่ลมปราณทั้งหมดของเขารวมตัวกันและพุ่งพล่านออกมา
“ เช่นนนั้นไม่ต้องออมมือ ! ”
ฉีฉางเซียวคำรามขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว แม้ว่าผู้อาวุโสหกจะบอกว่าเขานั้นไม่ล้าหลังกว่าฮั่นเฟิงฉีแล้ว แต่เขาก็ยังคงตามหลังยอดฝีมือในชีวิตจริงอยู่ ดังนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขายังไม่เหมาะสมกับคนอย่างฉีฉลางเซียวเลยแม้แต่น้อย ร่างของพวกเราเริ่มหมดไปรอบๆในอากาศ ราวกับค้างความท่ามกลางท้อฟ้ายามค่ำคืน ก่อให้เกิดภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ทันใดนนั้นเอง ร่างของฉีฉางเซี่ยวก็หยุดลงกระทันหันกลางอากาศ จากเริ่มมีเงามากมายพุ่งออกมาจากร่างของเขาในทันที ทำให้เกิดภาพที่แปลกประหลาดและน่าสับสนขึ้นบนท้องฟ้า ราวกับว่ามีฉีฉางเซียวจำนวนหนึ่งอยู่ในทุกที่ … ในเลาเดียวกัน !
วูป !
มีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังออกมาเมื่อร่างทั้งหมดนั้นร่วงลงมากระทบเข้ากับกำแพงหิมะ และทำลายมันนจนแตกเป็นชิ้นๆ !
ในเวลาเดียวกัน เฟยเมิงเฉิน พุ่งผ่านผู้อาวุโสหกราวกับความเร็วแสงและมุ่งหน้าไปสู่กระทุ่มขนาดเล็กนั้น !
เขาเลือกช่วงเวลาได้สุดยอด !
ผู้อาวุโสหกและเก้ามีเพียงตัวเลือกแค่สองทางในตอนนี้ หนึ่งหยุดเฟ้ยเมิงเฉิน หรือสอง หยุดการโจมตีของฉีฉางเซียวไม่ให้สังหารพวกเขา ! ไม่มีทางที่พวกเขาสามารถไปขัดขวางเฟ้ยเมิงเฉินได้ในขณะที่ปัดป้องการโจมตีของฉีฉางเซียว !
จวินโม่เซี่ยกำลังนั่งอยู่ในกระท่อมขนาดเล็กเพียงคนเดียว พร้อมกับหลับตาในขณะที่เขายังคงปล่อยพลังปราณเข้าไปในแกนเชวียนอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น และพุ่งออกไปนอกกระท่อม มีรูปร่างรากฏขึ้นบนหลังคาของกระท่อมในตอนที่เขาพุ่งตัวออกไป และตามมาด้วยง ตู้ม และผู้อาวุโสผมสี่ขาวก็พุ่งตามเขาออกมา ในขณะที่กระท่อมสั่นสะเทือนเล็กน้อย และในที่สุดก็พังทะลายลงไป
ผู้อาวุโสสาม มองไปยังแกนเชวียนในมือของจวินโม่เซี่ย และจากนั้นเขายิ้มอ่าวอ่อนโยน และพูด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ นายท่าน คนไร้เดียงสาเช่นท่านไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนเพื่อรักษาวัตถุเช่นนั้นไว้ สิ่งที่ท่านถืออยู่เรียกว่าแกนเชวียน และหากท่านส่งมันมาให้ข้า ข้าจะไว้ชีวิตท่าน ชีวิตของท่านกับแกนเชวียน นายท่าน มันเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรม ! ”
“ ยุติธรรม จริงหรือ ? แกนเชวียนนี่และชีวิตของข้ามันเป็นของข้า และข้าสามารถปกป้องพวกมันทั้งสองได้ ! นอกจากนั้น มียอดฝีมือที่มือชื่อเสียงเช่นท่านมากมายมายังเมืองเทียนเชียงเพื่อแกนเชวียน ข้าไม่คิดว่า ท่านจะเอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมด ! ”
ใบหน้าของจวินโม่เซี่ยเริ่มบึ้งตึงเนื่องจากความคิดของเขา
ทำไมถึงมีเพียงคนเดียว ? คนที่เหลือไปตายอยู่ที่ใหนกัน ? อย่าบอกข้านะว่าข้าเปิดเผยแกนเชวียนนี่ผิดที่ !
ปากของเขาพึมพัมอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้ เขาได้เผชิยหน้ากับยอดฝีมือเทพเชวียน !
ข้ามั่นใจว่าหากเขาตัดสินใจจะทำเช่นนี้ แกนเชวียนก็จะตกไปอยู่ในมือของเขาไม่ใช่ข้า ….
คนนี้ผู้นี้มายังที่นี่ได้อย่างง่ายดายจริงๆหรือ ? ทำไมคนอื่นถึงมาถึงที่นี่ได้ช้านัก ?
นายน้อยจวินรู้ว่าไม่มีพื้นที่ให้ผิดพลาดในตอนนี้ เนื่องจากมันเห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้จะไม่หยุดจนกว่าเขาจะได้แกนเชวียน ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้นั้นมีมากกว่าเขามากนัก ซึ่งเห็นได้จากความเร็วในการมาถึงและทำลายกระท่อมที่อยู่เบื้อหลัง !
แม้ว่าเขาสามารถหลบหลีกการโจมตีของชายผู้นั้นได้ เขาก็ยังมั่นใจว่าเขาไม่สามารถรักษาแกนเชวียนนี้ไว้ได้
ดังนั้น หากเขาทำอะไรผลีผลามในเวลานี้ เรื่องทั้งหมดนี้ก็จะจมลงอย่างเลวร้ายมากกว่าดี !
“ ผู้อาวุโสผู้นี้คือ ผู้อาวุโสที่สามจากเมืองพายุหิมะขาว ข้าเชื่อว่าคงจะมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตราบใดที่เจ้ามอบแกนเชวียนนั้นให้ข้า ข้าสัญญาว่าเจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ! ”
ผู้อาวุโสสามเดินไปข้างหน้าในขณะที่เขายิ่มอีกครั้ง
ในฐานะเทพเชวียน ผู้อาวุโสสามสามารถบอกได้ว่า ปราณเชวียนของชายผู้นี้นั้นไม่สูงเลย และสามารถที่จะจับตัวชายคนนี้ได้ก่อนที่เขาจะสามารถก้าวออกไปได้
อย่างไรก็ตาม …
พลังมิใช่สิ่งเดียวที่สามารถพึ่งพาได้ ความฉลาดและไหวพริบก็ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องการ ! จวินโม่เซี่รู้ว่าการต่อสู้กับเทพเชวียนนั้นเป็นเหมือนการฆ่าตัวตาย !
ดังนั้นจวินโม่เซี่ยจึงต้องซื้อเวลา ให้นานพอที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นจะมาถึง !
ทันใดนนั้นก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นมาจากร่างของจวินโม่เซี่ย และเริ่มเข้มขึ้นอย่างช้าๆในขณะที่มันปกคลุมร่างของเขา ทำให้ดูเหมือนยักษ์ในร่างของมนุษย์ที่ยืนอยู่กลาถนนที่เต็มไปด้วยสายฝน
“ เชวียนหยกสูงสุด ? ฮ่าฮ่า นั่นยังไม่เพียงพอ ”
ผู้อาวุโสสามพยักหน้าขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงสาร เขาตัดสินใจที่จะบังคับให้ชายผู้นี้ส่งแกนเชวียนมา เมื่อรู้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือเชวียนหยก คนเช่นนี้ถือว่าเป็นยอดฝีมือชั้นดีในสายตาของคนธรรมดา แต่ในสายตาของยอดฝีมือเทพเชวียนนั้น พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าตัวตลก !
หรือบางทีอาจจะเป็นแค่มดปลวก !
ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างระมัดระวังมากนักเมื่อยังไม่รู้ถึงระดับความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ แต่ตอนนี้ เขาวางแผนเพื่อใช้กำลังบังคับให้ชายผู้นี้ส่งแกนเชวียนมาให้เขา !
ผู้อาวุโสสามมั่นใจว่าเขาสามารถที่จะคว้าแกนเชวียนมาได้ในตอนที่เขาพุ่งออกไป และมันใจว่าชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาไม่สามารถทำลายแกนเชวียนได้ทันวลา หากเขาเลือกที่จะปกป้องตัวเอง !
แต่ในขณะนี้ เขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างมาก !
และแปลกมากพอที่ทำให้เขาไม่ขยับตัวไปใหน !
แสงสีเขียวที่ปกคลุมร่างกายของจวินโม่เซี่ยได้หายไปอย่างกระทันหัน แลัถูกแทนที่ด้วยแสงสีเหลือง ซึ่งหลังจากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลภายในชั่วพริบตา ! จากนั้น มันก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีนำตาลเข้ม และเริ่มสุกสว่างท่ามกลางสายฝน อย่างสวยและง่า !
เป็นเป็นไปได้อย่างไรกัน ?
ระดับปราณเชวียนของคนสามารถที่จะเปลี่ยนจาก หยกเชวียสูงสุดไปถึงขั้นปฐพีเชวียนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?
ผู้อาวุโสสามได้เดินทางไปเรียนรู้วิชาต่างๆมากมายในช่วงชีวิตของเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสิ่งที่แปลกประหลาดและลึกลับเช่นนี้ !
ระดับปราณเชวียนที่แท้จริงของคนผู้นี้คืออะไรกันแน่ ?
ตอนที่ 180
ความคงที่ของปราณเชวียนนั้นจะคงอยู่หลังจากไปถึงระดับขั้นสูงสุด และสีของปราณเชวียนนั้นก็จะไม่เปลี่ยนไปจนกว่าคนผู้นั้นจะก้าวหน้าไปอีกขึ้น แม้ว่าหลังจากก้าวหน้าไปแล้ว คนผู้นั้นจะลดความแข็งแกร่งลง แต่ก็ไม่สามารถแสดงสีของปราณเชวียนในระดับขั้นที่ต่ำกว่าได้
อย่างเช่น หากสวรรค์เชวียนลดระดับความแข็งแกร่งลงในการต่อสู้ เขาก็ไม่สามารถที่จะแสดงสีของปฐพีเชวียนหรือขั้นต่ำกว่านั้นได้ !
นี่คือสิ่งที่เป็นที่รู้กัน !
มีทางเดียวที่จะสามารถเปลี่ยนสีของปราณเชวียนได้ คือการพัฒนาขั้นของปราณเชวียน !
และกระบวนการนี้ไม่สามารถย้อนกลับได้ !
เมื่อเป็นไปตามทฤษฎีนั้น คนผู้นี้ก็ได้พัฒนาจากขั้นเชวียนหยกสูงสุด ไปยังขั้นปฐพีเชวียน และมันก็อยู่ในระดับกลาง และก็ไปยังขั้นสูงสุดในเวลานี้
คนปกติจะไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ !
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องคิดถึงความจริงที่ว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่ ผู้เฒ่าสามก็ได้พบเห็นความอัศจรรย์นี้ด้วยตาของตัวเอง !
แม้ว่าเขาจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสีได้อย่างชัดเจน ผู้อาวุโสสามก็ไม่สามารถที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ขยี่ตาได้
นี่มิใช่ฝันที่แปลกประหลาดใช่ไหม ?
แต่มันไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นปฐพีเชวียนสูงสุดหรือไม่ ? ชายผู้นี้ก็ไม่สามารถเอาแกนเชวียนไปจากข้าได้ … ข้าคือเทพเชวียน !
ผู้อาวุโสสามปลอบตัวเองและจากนั้นก็ตะโกนออกไป
“ เด็กน้อย อย่ามาเล่นกลกับข้า พวกมันใช้ไม่ได้หรอก แค่ส่งแกนเชวียนมา …. ”
เขาตั้งใจจะพูดว่า เอาแกนเชวียนมา แต่ก็อดที่จะ ใช้คำว่า ส่ง แทนไม่ได้ เนื่อจากสิ่งที่เขาได้เห็นฉากที่น่าตกตะลึงในตอนที่เขากำลังพูดประโยคนี้ !
โอ้วท่านย่า … โลกนี้มันบ้าไปแล้วหรือ ? หรือว่าข้าตาฝาดไป ?
เขารีบขยี้ตาขณะที่ สีปราณเชวียนของชายหน้ากากดำหายไปอย่างรวดเร็ว และมีแสงสีฟ้าอ่อนเข้ามาแทนที่ !
แสงสีฟ้านี้ค่อยๆเข้มขึ้น และเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเข้มภายในเวลาไม่นาน จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นสีนำเงิน !
สวรรค์เชวียนสูงสุด ?!
ผู้อาวุโสสามเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้นเนื่องจากการตกตะลึง !
ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสของปราณเชวียนของเขาไม่ได้เลย และตอนนี้เขาก็ได้กลายไปเป็นสวรรค์เชวียนสูงสุดอย่างรวดเร็วอย่างนั้นหรือ ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ?!
เกิดอะไรขึ้น ! หรือเด็กนี่จะเป็นผี ?
ในเวลาที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวของผู้เฒ่าสาม ก็มีสิ่งที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้น แสงสีน้ำเงินนั้นได้หายไปอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้ไม่มีแสงสีอะไรปรากฏขึ้นมาแล้ว
การที่ไม่มีแสงสีใดปรากฏขึ้นมานั้นทำให้ผู้เฒ่าสามประหลาดใจอย่างที่สุด
คนผู้นี้ได้เข้าสู่ขั้นเทพเชวียนแล้วงั้นหรือ ?
เขาพยายามตรวจสอบความไม่แน่นนอนที่อยู่เบื้อหลังสีของปราณเชวียน เมื่อเขาสังเกตุได้ว่าความกระวนกระวายในสายตาของชายผู้นั้นค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ และสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นแววตาที่ไร้ความเมตตา และจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นความดูถูก …
ผู้เฒ่าสามยังคงยืนอยู่ในขณะที่แววตาของจวินโม่เซี่ยที่อยู่ภายใต้หน้ากากเริ่มแสดงออกถึงความหยิ่งทะนง ราวกับว่าเขานั้นเป็นเจ้าเหนือหัวของทุกความเป็นตายบนโลก เยือกเย็นและอำมหิต !
นั่นคือแววตาของยอดฝีมือเทพเชวียน ! เฉียบแหลมและหยิ่งทะนงยิ่งว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และแม้แต่ของเจ้าเมืองพายุหิมะขาว ฮั่นเฟิงฉี !
พระเจ้า ! ห๊ะ ! พระเจ้า !
ผู้อาวุโสสามไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้
มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ ?
ในจุดนี้ เฟ้ยเมิงเฉินก็มาลอยอยู่ในท้องฟ้าเหนือสถานที่นี้แล้ว และลอยลงมาพร้อมท่าทางที่ดูเหมือนว่าเขาจะมีอำนาจพอที่จะคว้าแกนเชวียนไปได้ พวกเขาทั้งสามนั้นตอนนี้กำลังยืนอยู่ในระยะห่างที่เท่าๆกัน ราวกับพวกเขาเป็นมุมแต่ละมุมของสามเหลี่ยม !
ด้วยฐานะที่ปรึกษาราชสำนักแห่งอาณาจักรยูถัง โดยธรรมชาติของเฟ้ยเมิงเฉินนั้นจะมระมัดระวังอยู่แล้ว และดูเหมือนว่าชายในชุดดำก็กำลังพร้อมสำหรับการต่อสู้ เขาอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
ชายชุดดำผู้นี้มีความสามารถพอที่จะต่อกรกับเทพเชวียนเชียวหรือ ? เขานั้นทรงพลังมากจนแม้แต่ผู้อาวุโสสามแห่งเมืองพายุหิมะขาวก็ไม่กล้าผลีผลามเลยหรือ ?
ซึ่งผลก็คือ ชายผู้นั้นก็ยังคงยืนโดยไม่ได้ขัยบ และจะไม่มีผู้ใดที่จะเริ่มขยับก่อนเลย
หากเฟ้ยเมิงเฉินมาไม่ถึงในตอนนี้ ผู้อาวุโสสามอาจจะเคลื่อนไหวไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจก็ตาม จากทั้งหมดนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเทพเชวีย อย่างมากมันก็แค่ … ทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา !
และจากนั้น เขาก็มักจะมีโอกาสได้แกนเชวียนไป !
นอกจากนี้ หากชายผู้นั้นหลอก เขาก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากมดปลวกที่อยู่ตรงหน้าของเขา !
แต่ตอนนี้ เฟ้ยเมิงเฉินมาถึงแล้ว เขาจึงไม่กล้าเริ่มโจมตีก่อน !
ผู้อาวุโสสามเพ่งมองไปยังเฟ้ยเมิงเฉิน !
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นชายผู้นี้ หากข้าโจมตีเขาไปก่อนหน้านี้ มันก็ยากที่จะเดาได้ว่าผู้ใดจะชนะ … แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้ผ่านไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้มันเป็นเพียงแค่โชคร้ายธรรมดา … ที่น่าอึดอัดใจ
เฟ้ยเมิงเฉินก็กังวลในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ความคิดของเขานี้ก็มาจากความลังเลของผู้อาวุโสสาม
ผู้อาวุโสควรจะสามสามารถเอาแกนเชวียนนี้ไปได้นานแล้ว แต่เหตุใดเขาถึงลังเลไม่ยอมทำอะไรกับชายผู้นี้ ? ชายผู้นี้จะต้องมีอะไรมากกว่าที่ข้าคิด ! หาก ผู้อาวุโสสามแห่งเมืองพายุหิมะขาวยังไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม และข้าควรจะเป็นผู้เริ่มหรือ … ไม่ควรถูกไหม ? เหตุใดข้าไม่รอให้ฉีฉางเซียวต่อสู้ให้จบก่อน ? ข้าควรจะรอเขา แม่งเอ้ย ช้านี่ช่างโง่เง่าเสียจริงที่พาตัวเองมาอยู่ตรงกลางระหว่างเทพเชวียนสองคน นี่มัน … ช่างเลวร้าย … และอัปยศสิ้นดี !
จวินโม่เซี่ยเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีความลังเลในใจ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะหนีออกไปได้ตลอดเวลา หากแกนเชวียนนั้นไม่ได้ผล แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังมีเคล็ดวิชาอิสระหยินหยาง ที่เขาสามารถที่จะหนีออกไปได้โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ แต่เขาก็ยังรอ ฉีฉางเซียวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวให้ปรากฏตัวออกมา
พวกเขาทั้งสองไปใหนกัน ? รีบๆมา แล้วข้าจะได้โยนแกนเชวียนนี่ทิ้งไป และหนีออกไปยังสถานที่ปลอดภัย ช้าชอบดูพวกเจ้าสู้กันและตายไป ในขณะที่ข้านับ … พวกเจ้าทั้งสองนั้นเป็น ยอดฝีมือที่น่าสงสารเพียงใดกัน จึงไม่สามารถมาที่นี้ได้ก่อนพวกเทพเชวียนธรรมดานี่ …
แต่นี่มันไม่ดีสำหรับข้า … ผู้อาวุโสที่โง่เขลาสองคนนี้ติดกับของข้าอยู่ และข้าไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว … หากใครเคลื่อนไหว ความจริงของข้าก็จะถูกเปิดเผย … เมื่อข้าถุกเปิดเผย ข้าก็จะหนีไปทันที .. นี่มิใช่ส่วนหนึ่งของแผน ! ข้า ข้า ข้า จ้า ช่างโชคร้ายยิ่งนัก
ข้าได้วางแผนการทุกอย่าไว้อย่างแม่นยำ แต่ข้าไม่เคยคิดว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้น … เป็นเครื่องจักรสงครามที่บ้าบอ และฉีฉางเซี่ยวนั้นก็ตัดสินใจที่จะมาช้าในวันนี้ !
ชายสามคนนี้ยืนอยู่บนพื้นด้วยความสง่างาม และมีอำนาจอย่างไม่มีใครเทียบ แต่มือและเท้าของพวกเขานั้นก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว ไม่มีใครเริ่มก่อน ทั้งสามยังคงเพ่งมองไปยังอีกคนหนึ่ง ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็เพ่งมองไปยังคนอื่น !
ร่างของจวินโม่เซี่ยนั้นมีเหงื่ออก แต่ต้องขอบคุณสายฝนที่ทำให้คนทั้งสองไม่สังเกตุเห็น มิฉะนั้น เขาก็จะถูกเปิดเผย ซึ่งมันเท่ากับว่าเป็นจุดจบของเขา …
สุดท้าย …
มีเสียง ป๊อก ดังมาจากที่ไกลๆ ราวกับมีอะไรบางอย่างหัก ซึ่งตามมาด้วยคลื่นแห่งความหวาดกลัวที่แผ่มาในอากาศ และเสียงดังก้องของฉีฉางเซียว
“ น้องเฟ้ย เนื่องจากเจ้าพลาดโอกาสที่ดีไป ข้าคิดว่าจ้าจะเอาแกนเชวียนนี้มาด้วยตัวเอง ! ”
คำพูดเหล่านี้ดังขึ้นในตอนที่ร่างสีดำปรากฏขึ้นมาบนฟ้าเบื้องบนพวกเขา !
“ ฮ่าฮ่าฮ่า … ฉีฉางเซี่ยว ท่านไม่ควรป่าวประกาศเร็วเกินไป ข้าเองก็ต้องการแกนเชวียน ! ”
เสียงอันทรงพลังก้องกังวาลไปทั่ว ซึ่งมันทำให้ทุกคนอึดอัดใจ !
มีร่างเตี้ยๆสีดำลอยเข้ามาใกล้ ราวกับเหยี่ยวที่มองหาเหยื่อ ชายที่มีร่างที่สง่างาม ดวงตาที่โหดเหี้ยม และใบหน้าที่โศกเศร้า เคลื่อนที่ตรงไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น
ชายผู้นี้เป็นหนึ่งในแปดยอดฝีมือ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวแห่งเฉินซี !
รอยยิมของฉีฉางเซี่ยวได้หายไปในทันที ขณะที่เขาเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ แต่มันก็ช้าไป เนื่องจากเหยี่ยวผู้โดดเดียวได้ร่อนลงมาถึงพื้นก่อนเขาไม่ถึงอึดใจ ทั้งสองร่อนลงมาในระยะที่ใกล้กัน ประกายในดวงตาของเขาเริ่มเปล่งประกายตรงไปยังอีกฝ่ายยิ่งกว่าสายฟ้าเบื้องบน !
ฉึบ ฉึบ ผู้อาวุโสหก และเก้าจากเมืองพายุหิมะขาวได้ร่อนลงมาในเวลาเดียวกัน พวกเขาถือกระบี่ที่หักไว้ในมือ แม้ว่าสีหน้าของพวกเขาจะซีดมาก มันก็ค่อนข้างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้บางเจ็บสาหัส จากนั้นพวกเขารีบเคลื่อนที่ไปอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสสาม เนื่องจากเมื่อผู้อาวุโสทั้งสามได้มารวมตัวกันอีกครั้งจะทำให้ความเชื่อมั่นของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น !
นอกจากนั้น ผู้อาวุโสทั้งสามยังเป็นเทพเชวียน !
ในไม่ช้า ก็มีชายหกคนพุ่งผ่านพายุออกมาและมายืนอยู่ด้านหลังของฉีฉางเซียวอย่างเงียบๆ
“ ดูเหมือนว่าทุกคนจะอยู่ที่นี่ … ”
“ ลีเจียนฮ้งยินดีที่ได้พบพี่ๆ ศิษย์พี่ฉี ท่านศิษย์พี่เหยี่ยว ข้าขอทักทายท่านในฐานะท่านอาจารย์ ลี่วูเบ้ย ! ”
ชายวัยกลางคนปรากฏตัวออกมาจากเงามืด พร้อมกับผู้ติดตามทั้งแปด เห้นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นกองทหารม้าของลี่โย่วหลาน เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมีน้อยที่สุดในผู้ที่ร่วมการต่อสู้นี้ มันจึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะเผยตัวออกมาช้าที่สุด
“ แปลก … ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ลี่วูเบ้ย … ? แล้วทำไมเด็กเหล่านี้ถึงเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ? มันมาจากใหนกัน ? ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว มองขึ้นมาและถามออกไปด้วยเสียงที่เย็นชา
“ ฉีฉางเซียว อย่าบอกข้านะว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ลี่วูเบ้ย ? ”
ลี่วูเบ้ย !
เพื่อนทั้งสิบของลี่โย่วหลานนั้นเป็นศิษย์ของ ปรมาจารย์ ลี่วูเบ้ย !
“ เจ้าเหยี่ยวหัวล้าน ! เจ้ากำลังพูดไร้สาระอะไรกัน ? ”
ฉีฉางเซี่ยวถลึงตากลับมา
“ หากท่านไม่เกี่ยวข้องกับลี่วูเบ้ย ท่านกล้าที่จะอวดดีกับศิษย์ของเขาได้อย่างไรกัน ? ท่านไม่มีมาดของเทพเชวียนเลย พวกเรานั้นมีกฏ ! ”
“ หึ ข้าจะเป็นเช่นไร ทำไมท่านถึงไม่เข้ามาสอนข้าละ ! ”
จากนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็มองไปยังผู้ที่เพิ่งมาถึง และพูด
“ เนื่องจากปราณเชวียนของพวกเจ้านั้นอ่อนด้อยยิ่งนัก พวกเจ้าก็ไม่ควรมาเรียกข้าว่า ศิษย์พี่ และเมื่อเห็นได้ชัดว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อแกนเชวียน ข้าจะเคาะหัวพวกเจ้าหากเจ้าพูดเช่นนั้นอีก ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของพวกเจ้าโง่ขนาดใหนถึงให้พวกเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง ? เจ้าคิดว่าพวกเจ้านั้นสามารถจะเอาแกนเชวียนไปได้หรือ ? ความจริง จากความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมการต่อสู้นี้ ! ”
ลีเจียงฮ้งทักทายเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นเป็นเพียงแค่พิธีการ แต่เขาก็ยังยังขณะที่เขาพูด
“ เนื่องจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่ยอมรับการทักทายอย่างเป็นมิตรกับพวกเรา พวกเราจะไม่เรียกท่านว่าศิษย์พี่ ”
ในความเป็นจริง ยอดฝีมือทั้งแปดนั้นมีกฏ ศิษย์ของพวกเขาจะถือว่าเป็นศิษย์ของคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม กฏนี้ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลกับเหี่ยวผู้โดดเดี่ยว ในท่ามกลางแปดยอดฝีมือนั้นจะมีหมาป่าที่โดดเดี่ยวอยู่สองตัว และเห็นได้ชัดว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นคือหนึ่งในนั้น ….
Translate by iHaveNoNameใบหน้าของผู้อาวุโสสามสะท้อนความมั่นใจอย่างชัดเจนเมื่อพี่น้องทั้งสองมายืนอยู่ข้างๆเขา ศัตรูที่สำคัญของเขาในคืนนี้คือฉีฉางเซียว ตราบใดที่พวกเขาทั้งสามอยู่ด้วยกัน พวกเขามั่นใจว่าพวกเขานั้นไม่พ่ายแพ้ได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นไม่แน่นนอนยิ่งกว่าที่พวกเขาคาดไว้ในตอนแรก !
อย่างแรก ความแข็งแกร่งของชายชุดดำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่นอกจากนี้พวกเขาไม่ได้ต่อสู้กับฉีฉางเซี่ยวแต่เพียงผู้เดียว แต่ยังมีเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวด้วย ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์ของลีวูเบ้ยก็ยังแสดงตัวออกมา และที่ปรึกษาราชสำนักแห่งอาณาจักรยูถัง เฟ้ยเมิงเฉินก็ยังมียอดฝีมือสวรรค์เชวียนติดตามมาด้วย !
สถานการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง !
ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากอย่างมาก
ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาคือจวินโม่เซี่ย ผู้ที่กล้าหาญและเพ่งมองอย่างหยิ่งทะนงไปยังคนอื่นๆ ในขณะที่เขาถือแกนเชวียนขั้นเก้าสุงสุดไว้ในมือ ผู้อาวุโสแห่งเมืองพายุหิมะขาวทั้งสามนั้นอยู่ฝั่งเดียวกัน ในขณะที่เฟ้ยเมิงเฉินยืนอยู่ที่อีกฝั่ง ในขณะที่ขอบเขตการต่อสู้ขยายออกไป เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซียวยังคงเผชิญหน้ากันอยู่
ศิษย์ผู้เด็ดเดี่ยวของลี่วูเบ้ยสิบคน และ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนของฉีฉางเซี่ยวนั้นยืนอยู่นอกวงล้อมมากที่สุด ! ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขานั้นคือปฐพีเชวียน
การยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องของเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ก็ยังเป็นเรื่องแห่งความสิ้นหวังและหลุมศพ อย่างไรก็ตาม ในใจของจวินโม่เซี่ยก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
สุดท้ายแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดก็มาถึงแล้ว !
ตอนนี้ ถึงเวลาที่ข้าต้องโดยแกนเชวียนทิ้งไปและวิ่ง !
ข้าคงจะไม่สามารถเข้าร่วมกานต่อสู้นี้ได้ แต่ข้าคิดว่าการจะต้องหนีไปจากที่นี่มันเหมาะที่สุดแล้ว !
ดวงตาของจวินโม่เซี่ยกระพริบในขณะที่เขากำลังจะขยับตัว แต่ทันใดนนั้นเขาก็เปลี่ยนใจเนื่องจากเขาเห็นแสงริบหรี่สี่ดวงปรากฏขึ้นมาจากทิศทางที่หางไกลและเข้ามาอย่างรวดเร็ว
จากสี่คนนี้ จวินโม่เซี่ยนึกออกแค่สองคน !
เซี่ยวฮั่น และมูซื่อทง !
และยังมีเด็ก ชายจมูกเบี้ยวที่อยู่ข้างๆเซี่ยวฮั่น ในขณะที่ดูเหมือนว่าจะมีหญิงสาวในชุดสีขาวที่ติดตามมูซื่อทงมา ผมของนางขาวราวกับหมอกควัน ผิวนางขาวราวกับหิมะ และใบหน้าของนางที่ดูบบอบางและสวยงาม ดวงตากลมโตของนางดูเหมือนจะตื่นเต้นเมื่อได้เห็นการรวมตัวกันของยิดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน
ไม่นานพวกเขาก็มาถึง มูซื่อทงรีบยื่นมือและดึงร่มออกมา และกางมันไว้บนหัวของหญิงสาว บนร่มนั้นมีรูปของหมีสีดำอยู่ ….
ผู้อาวุโสทั้งสามเริ่มคร่ำครวญภายในใจในขณะที่พวกเขาเห็นนางปรากฏตัว
เอ๋ เหตุใดนางถึงมาที่นี่ ตอนนี้เรามีปัญหามากพออยู่แล้ว ! วันนี้ไม่มีผู้ใดที่สงสารชีวิตของพวกเราเลยหรือ ?
มีลำแสงของฟ้าแลปสว่างขึ้น เผยให้เห้นถึงความกังวลบนใบหน้าของทุกคนได้อย่างชัดเจน
ดวงตาของฉีฉางเซี่ยวมองไปยังทุกคนที่รวมตัวกัน แต่สุดท้ายเขาก็มาหยุดอยู่ที่ใบหน้าขงอเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว
“ นกเหยี่ยว เจ้าต้องการแกนเชวียนนี่จริงๆหรือ ? ข้าเชื่อมาตลอดว่ามีเพียงคนเดียวในหมู่พวกเราที่ไม่สนใจในเรื่องของวัตถุ … และคนผู้นั้นคือเจ้า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! ”
ตราบใดที่เขาสามารถโน้มน้าวให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหลีกทางไปได้ แกนเชวียนก็จะเป็นของเขา ! ฉีฉางเซี่ยวมั่นใจว่าเขาสามารถที่จะสู้กับทุกคนได้ แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามของเมืองพายุหิมะขาวก็ตามที !
“ ไร้สาระ แกนเชวียนนี่เป็นของหายาก แล้วเจ้าจะแปลกใจอะไรที่ข้าจะสนใจมัน ? เจ้าก็ต้องการมันมิใช่หรือ ? เจ้าออกมาตากฝนเพียงเพื่ออาบน้ำอย่างนั้นหรือ ? ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“ ฉีฉางเซี่ยว ! เจ้ามันน่าผิดหวังยิ่งนัก ! ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะต่อสู้กับเจ้า และเมื่อเจ้าแสดงความเย้อหยิ่งออกมาในวันนี้ ข้าชักจะเริ่มสนุกแล้วสิ ! ”
ฉีฉางเซี่ยวเริ่มหัวร้อนด้วยความโกรธ !
เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าข้านั้นเป็นคนบ้างเหมือนเจ้าผู้ที่คิดว่าการต่อสู้นั้นเป็นเรื่องสนุก ? เอ อย่างแรก เจ้าถือว่าตัวเจ้านั้นนเป็นหนึ่งในแปดยอดฝีมือ จากนั้นเจ้าก็เริ่มพูดจาอันธพาลในกลางเมืองนี้ได้หรือ ?
นอกจากนั้น เจ้าเลือกช่วงเวลาที่จะดึงข้าออกไปต่อสู้ที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ ? เจ้าคิดว่าข้านั้นอยู่ในจุดที่กำลังสบายใจอย่างนั้นหรือ ? แล้วข้าควรจะทำเช่นไรกับแกนเชวียนนั้นละ ?
“ ฮ่าฮ่า ใครต้องการแกนเชวียนนั้นกันละ ? ข้าไม่ต้องการจะทำอะไรกับแกนเชวียนนั้น ! ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าและหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก้มองไปรอบๆและเริ่มนับคนที่เป็นยอดฝีมือเทพเชวียน …. หนึ่ง… สอง… สาม… สี่… วันนี้ดูเหมือนจะเป็นเกมส์ที่น่าสนุก !
“ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หากวันนี้เจ้าหลีกทางไป ข้าจะยอมต่อสู้กับเจ้าในวันอื่นข้างหน้า ! ”
ฉีฉางเซี่ยวยิ้มอย่างเยือกเย็น ขณะที่แววตาของเขาเพ่งมองผ่านสายฝนกระหน่ำไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว
“ ข้ารู้ว่าแกนเชวียนนี้ไม่เคยเป็นเป้าหมายของเจ้า และข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เผชิญหน้ากับข้าในวันหลัง ! ”
“ พอกันทีกับการต่อรองของเจ้า ! เขาบอกปัดโอกาสนี้เพื่อช่วงชิงเอาแกนเชวียน ! ข้ามิได้เกี่ยวดองอะไรกับเจ้า แล้วเหตุใดข้าต้องฟังคำของของเจ้า ?! ข้าต้องการจะต่อสู้กับเจ้าในวันนี้ เจ้ามีตัวเลือกอะไรหรือ ? ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพ่งมองกลับไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไม่แสงถึงความอ่อนแอแม้แต่น้อย
แม้ว่าทั้งสองจะอยู่ในขั้นเทพเชวียนสูงสุด แต่ตามระดับของพวกเขาในลำดับของยอดฝีมือทั้งแปด เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นอ่อนแอกว่าฉีฉางเซียว อย่างไรก็ตาม หากทั้งสองเริ่มการต่อสู้กัน ก็จะไม่รู้ผลแพ้ชนะ จนกว่าทั้งสองจะตัดสินใจสู้กันจนเหลือผู้รอดเพียงคนเดียว !
ดังนั้น หากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตั้งใจจะต่อสู้กับฉีฉางเซี่ยว อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิยหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไร้ประโยชน์ !
แปดยอดปรมาจารย์นี้ไม่เคยจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ถึงแม้ว่าจะมีสักสอง หรือมากกว่านั้นเลือกที่จะเผชิญหน้ากัน ผู้ที่มั่นใจแล้วว่าเขาต้องพ่ายแพ้คนผู้นั้นจะหนีออกมาได้ตลอดเวลาในขณะที่กำลังต่อสู้กัน !
โอกาสที่จะได้ช่วงชิงแกนเชวียนนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่ดี และในกรณีที่มีใครทำการต่อสู้ที่นานเกินไป มั่นใจได้เลยว่าคนผู้นั้นจะพลาดโอกาสที่จะได้แกนเชวียน !
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฟ้ยเมิงเฉินและผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะขาวก็หวังสิ่งนั้นเช่นกัน !
แม้แต่เหล่าสวรรค์เชวียน ผู้ที่เป็นเพียงแค่มดปลวกในสายตาของยอดฝีมือเทพเชวียน ก็ยังมองหาโอกาสที่จะคว้าเอาแกนเชวียนไป !
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเสียงของการเคลื่อนไหวที่ดังมาแต่ไกลอีก มีคนมากมายที่รีบเร่งมุ่งหน้ามาหาแกนเชวียน และคนเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นแค่เพียงยอดฝีมือเทพเชวียน บางคนเป็นสวรรค์เชวียน บางคนเป็นปฐพีเชวียน หยกเชวียน และแม้แต่เชวียนทอง ซึ่งยังคงเว้นระยะห่างอยู่ในส่วนของเมือง เนื่องจากมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ในพื้นที่นี้ พวกเขาจึงวางแผนที่จะรออยู่ในระยะที่ปลอดภัย และเฝ้ามองสถานการณ์ ไม่เข้าไปไกล้ หรือถอยออกไปไกล เห็นได้ชัดว่าพวกเขารอคอยโอกาสที่จะขโมยสมบัติชิ้นนี้ และไม่สนใจถึงความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อการที่จะคว้าเอาสมบัติชิ้นนี้
ดวงตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวมองไปไกลผ่านม่านสายฝน และเห็นทุกคนโดยไม่คิดถึงระยะห่างจากพื้นที่หลัก ดังนั้น เขาจึงมองขึ้นมาและตะโกน เสียงคำรามของเขาดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ราวกับเสียงของฟ้าร้อง ในขณะที่เสียงเห่าหอนของเขาสัตว์ป่าของเขาบดขยี่หัวใจและความปราถนาของเหล่ายอดฝีมือในทันที !
ยอดฝีมือที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขารวมตัวเข้าหากัน หรือไม่ก้หลบไปในทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย หัวใจและสมองของพวกเขาเริ่มเตือนให้พวกเขาออกไปห่างๆ ในขณะที่พวกเขาบางคนไม่สามารถกำจัดความกลัวออกไปได้ ในขระที่ใบหน้าของเขาซีดเผือกด้วยความกลัวเมื่อต้องเผชิญกับโหดร้ายที่อยู่เบื่อหลังของเสียงนี้
“ ข้าคือเหยี่ยมผู้โดดเดี่ยว ! และข้ายืนอยู่ตรงข้ามกับ ฉีฉางเซี่ยว ! ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะลั่น
“ สำหรับผู้ที่คิดว่าชีวิตตัวเองมีค่ามาก จงทำตัวอย่างมีเหตุผล หรือไม่ ข้าจะมีความสุขที่ได้ล้มพวกเจ้า ! ”
ยอดฝีมือเกือบทั้งหมดนั้น ตัวแข็งจนขยับไม่ได้ !
ใครจะไปคิดว่าสองในแปดยอดฝีมือจะอยู่ในเมืองเทียนเชียงในวันเดียวกัน ?!
จะช่วงชิงแกนเชวียนมาจากมือของสองคนนี้หรือ ? มันจะไปต่างอะไรจากความตาย ?
ความคิดนี้เกิดขึ้นในความคิดของคำจพนวนหนึ่ง และพวกเขาถอนหายใจในทันที จากนั้นก็หันหลัง และเดินหายไปในสายฝน และอยู่ให้ห่างจากการแข่งขันเพื่อแกนเชวียนนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ยังอยู่
แล้วยังไงหากเจ้าเป็นเทพเชวียนจริง ? พวกเราจะรอให้เจ้าและฉีฉางเซียวต่อสู้กัน และจากนั้นก็ขโมยเอาแกนเชวียนมาจากศพของเจ้าไม่ได้หรือ ?
มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความคิดนี้อยู่ในหัว
“ ชายคนนั้นคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหรือ ? หนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์แห่งดินแดนเชวียนๆ ? เขาช่างดุร้าาย .. และยังสงบนิ่งในเวลาเดียวกน …. ”
หญิงสาวที่ดูบอบบางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ซุกซน
มูซื่อทงผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆนาง ถอนหายใจลึก และตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันบิดเบี้ยว
“ องค์หญิงน้อย มันไม่ใช่เวลาที่จะอยู่ที่นี่ … มันอันตรายอย่างมาก ”
“ มูซือทง เจ้านั้นมีความสามารถพอที่จะปกป้ององค์หญิงน้อยไหม ? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นชายที่อ่อนแอ ! ”
มูซือทงคำรามออกทางจมูกขณะที่เขาตอบ
“ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยวนั้นอยู่ที่นั่น หากเมืองพายุหิมะขาวของพวกเราสามารถชิงแกนเชวียนมาได้ สองคนนี้ก็อาจจะกลายมาเป็นศัตรู … แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งสามอาจจะไม่สามารถที่จะต่อสู้กับชายทั้งสองนั้นไม่ได้ … ท่านไม่คิดหรือว่าพวกเราจะโดนตัดหัว ? ท่านเห็นจำนวนของยอดฝีมือเชวียนระดับสูงไหม ? ท่านคิดหรือว่าสวรรค์เชวียนนั้นสามารถที่จะล้มพวกเขาได้ ?! โง่เง่า ! ”
เห็นได้ชัดจากคำพูดของมูซือทงว่าเขานั้นมีเหตุผล ความแข็งแกร่งของคนที่รวมกันอยู่ตรงนั้น นั้นสูงกว่ายอดฝีมือสวรรค์เชวียนที่ล้อมอยู่นัก หากการต่อสู้นั้นหลุดมาถึงที่นี่ ผลมันจะต้องเป็นที่น่าสลดอย่างแน่นอน … ไม่จำเป็นต้องพูดถึงโชคชะตาของเซีายวฮั่น หรือผู้ที่ต่ำกว่าสวรรค์เชวียน ในเมื่อโชคชะตาของเทพเชวียนเช่น ผู้อาวุโสสาม หก และเก้านั้นยังไม่ปลอดภัย ….
เซี่ยวฮั่นพูดเยาะเย้ยเพื่อนของเขา ขณะที่นางมองไปรอบๆ จากนั้นก็ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์นั้น นางตัวสั่น และสุดท้ายก็กลืนน้ำลายตัวเองอย่างเงียบๆ
สถานการณ์ในสนามรบนั้นซับซ้อนมากในตอนนี้ แกนเชวียนอยู่ในมือของจวินโม่เซี่ย ผู้ที่ยืนอยู่กลางวงล้อม …. ชั้นแรกล้อมไปด้วยผู้เข้าแข่งขัน โดยผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นสวรรค์เชวียน ! ในชั้นถัดออกมานั้นมียอดฝีมืออยู่ราวๆสิบหกคน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในระดับปฐพีเชวียน ความแข็งแกร่งของชั้นสุดท้ายนั้นอาจจะไม่สูงนัก แต่พวกเขานั้นมีจำนวนมากอย่างน่าประทับใจ !
เห็นได้ชัดว่ามันมีมากเกินกว่าที่จวินโม่เซี่ยจะเคยได้เห็น ความจริง ผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้นั้นจะทำให้ทุกคนปวดหัว แม้แต่ยุนเบ้ยเฉิน !
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้ทรงพลังมากมายมารวมกันที่นี่ … ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเริ่มขยับตัว !
พร้อมกับเทพเชวียนสูงสุดที่กำลังเผชิญหน้ากัน ผู้ใดกันที่จะกล้าขยับตัวก่อน ?
สถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนทั้งหมดนี้ถูกจัดวางไว้อย่างสมดุลย์ ! และความสมดุลย์เช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับการดึงดูดความสนใจของจวินโม่เซี่ย ! เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการทำลายมัน !
ดังนั้น ข้าคิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องเริ่มการต่อสู้ที่แตกหักกันแล้ว
ตอนที่ 182
ศิษย์ทั้งสิบของลี่วูเบ้ย รอจนกว่า ผู้อาสุโสทั้งสาม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และฉีฉางเซี่ยว จะเคลื่อยไหว อยู่รอบนอก เมื่อใดที่ชายทั้งห้านั้นเริ่มต่อสู่กัน พวกเขาจะเข้าไปหาแกนเชวียน และจะพยายามหนีไปพร้อมกับมัน
พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะต่อสู้กับยอดฝีมือระดับนั้นได้สักคนเดียว แต่พวกเขามั่นใจว่าพวกเขานั้นสามารถที่จะขโมยแกนเชวียนมาและ หนีออกไปได้อย่างแน่นอน เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขาที่รวมกัน และการทำงานเป็นทีม !
ผู้อาวุโสทั้งสามนั้นก็คิดที่จะทำเช่นเดียวกันนี้ และกำลังรอให้ฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเริ่มการต่อสู้ ในตอนที่สองยอดฝีมือเริ่มต้นต่อสู้กัน พวกเขาจะไม่ถูกขัดขวาง และเหลือเพียงเฟ้ยเมิงเฉินเพียงคนเดียว และไม่สามารถที่จะหยุดเขาได้จากการคว้าเอาแกนเชวียนมาได้
ฉีฉางเซี่ยวรู้ทันสถานการณ์ที่ยากลำบากของเขา เขารู้ว่าเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนเหล่านี้ และและยังมีผู้สนับสนุนเขาอีกอย่างน้อยเจ็ดคนหากเขาต้องการ อย่างไรก็ตาม เขาก็ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของผู้อื่นด้วย และรู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะละเลยการต่อสู้ในส่วนใหนได้เลย เขาเข้าใจว่าหากเขาเริ่มต่อสู้ ความสมดุลย์ของพลังจะมาต่อสู้กับเขา เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องรอให้ใครสักคนเป็นผู้ที่เริ่มการต่อสู้ !
ยิ่งไปกว่านั้น การปรากฏตัวของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นทำให่สถานการณ์ยากยิ่งขึ้นสำหรับเขา แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเขาสามารถที่จะล้มเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวลงได้ แต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะคว้าเอาแกนเชวียนมาได้ หากเขาถูกบังคับให้ต่อสู้กับชายผู้นี้ ! มันจะมีประโยชน์อะไรหากข้ามิได้แกนเชวียน ? ข้าไม่ได้มาเที่ยวนะ ….
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ มียอดฝีมือจำนวนมากรวมกันอยู่ … แม้ว่าข้าจะสามารถออกไปจากการต่อสู้นี้ได้โดยที่ไม่เป็นอันตราย แต่สำหรับคนที่เหลือในกลุ่มของข้านั้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้ หากมีการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งคละกันนี้ ข้าไม่มั่นใจเลยว่าเพื่อนของข้าจะรอดออกมาได้ หากเพื่อนของข้าต้องตายในการต่อสู้นี้ แม้แต่การได้แกนเชวียนมาก็ไม่มากพอที่จะเทียบกับการเสียเพื่อนไป !
แม้สถานการณ์เหล่านั้นก็ห้อมล้อมความสนใจของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว … เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มาที่นี้เพื่อแกนเชวียน … ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ตัวคนเดียว และไม่มีอะไรต้องเสีย … ความบ้าสงครามของเขานั้น ทำให้เขามองหาแค่คู่ต่อสู้ที่ดี … ข้ากลัวว่าเขาจะไม่ปล่อยโอกาสที่ดีนี้ไปแน่นอน
แม้ว่าฉีฉางเซี่ยวจะพยายามอย่างมากเพื่อหาทางออก เขาก็ยังไม่สามารถทำได้ !
สำหรับความกังวลของเทพเชวียนอีกคน
คนเหล่านี้มารวมตัวกันเพื่อแกนเชวียน และพวกเขาก็พยายาเหลีกเลี่ยงการต่อสู้ …. ยกเว้นข้า ในกรณีที่มีใครบางคนสามารถขโมยแกนเชวียนมาจากมือของชายชุดดำได้ มันก็จะเป็นการไล่ตามกันอย่างไม่รู้จบ และฉีฉางเซี่ยวก็ไม่ชอบอยากมากที่จะต้องมาสนใจข้าหากมันเกิดขึ้น
สำหรับผลนั้น แม้ว่าทุกกลุ่มจะมีความแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว
เสียงแหบห้าวที่เยือกเย็นดังขึ้นในทันที
“ แม่งเอ้ย พวกเจ้ามันปัญญาทึบหรืออย่างไร ? เอาสิ ! ฝนมันทำให้ข้าเริ่มหนาวแล้ว แม้แต่ผู้หญิงก็ยังไม่กลัวที่จะเข้าร่วมการต่อสู้เลย ! ”
คำพูดที่กล้าหาญเหล่านั้นทำให้ทุกคนที่นี่โกรธเคือง โดยปกตอแล้วเพียงแค่คำพูดนั้นยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นคนเหล่านี้ได้ แต่คำพูดที่กล้าหาญและหยาบคายนี้มันได้ผลเป็นอย่างดี !
ดวงตาของทุกคนเพ่งมองไปยังต้นกำเนิดเหสียง และและประหลาดใจว่ามันมาจากกลางวงซึ่งชายในชุดดำยืนอยู่และตะโกนอย่างกระตือรือล้น ในขณะที่นิ้วของเขาชี้ไปยังสองยอดฝีมือเทพเชวียนสูงสุด
เจ้าเด็กนี่กำลังคิดอะไร … เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความสามาถมากพอที่จะปกป้องแกนเชวียนได้ และเขาตั้งใจจะยั่วยุทุกๆคนอีก … เขานั้นโง่และกล้า หรือเป็นคนบ้ากันแน่ ?!
“ เงียบไปซะ ! ”
คนห้าหรือหกคนตะโกนออกมาในเวลาเดียวกันในขณะที่พวกเขาเชิดจมูดขึ้นด้วยความโกรธ
“ ขอให้ข้าได้สั่งสอนเจ้าเถอะ ! ”
โดยธรรมชาติแล้ว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นจะขี้โมโห และเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ร่างของเขาเคลื่อนไหวราวกับความเร็วของผี และไปอยู่เหนือร่างของชายชุดดำในไม่นาน ในขณะที่มืองของเขายื่นออกไปหมายจะตบหน้าของชายผู้นี้
ข้าต้องส่ังสอนเจ้าโง่นี่ ! เขาควรจะรู้ที่ต่ำที่สูง!
ผู้เฒ่าทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะเพ่งมองไปด้วยความกังวล
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเริ่มการต่อสู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ !
คนอื่นๆไม่รู้ถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสสามเห็นก่อนหน้านี้
ชายผู้นี้มิใช่คนธรรมดา … แม้แต่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ไม่สามารถล้มเขาลงได้อย่างง่ายดาย และข้าก็ยังประเมินชายผู้นี้ต่ำไป ข้าจึงไม่สามารถรู้ถึงโชคชะตาของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้ !
ชายชุดดำนี้เป็นดั่งผู้ทรงพลัง หรืออย่างน้อยเขาจะต้องเป็นยอดฝีมือระดับสูง !
แม้ว่าการที่เขาได้เห็นการเปลี่ยนไปของสีขอแสงเชวียนนั้นยังทำให้เขาใจสั่น ! เขานั้นรู้ดีว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถดึงปราณเชวียนส่วนใหนมาทำเช่นนี้ได้ ! ความจริง ลืมความแข็งแกร่งของเขาไปซะ แม้แต่ฮั่นเฟิงฉีนั้นยังไม่ทรงพลังพอที่จะเช่นนี้ได้ !
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสสามรู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะต่อสู้กับเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวได้ และไม่ต้องคิดถึงความจริงที่ว่า ศัตรูของเขาได้เดินเข้าไปติดกับ ซึ่งมันจำนำพาผลร้ายให้แก่คนผู้นั้น เขาจึงยืนรอดูเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตกตะลึงอยู่ตรงนี้ !
อย่างไรก็ตาม ….
ชายในหน้ากากสีดำลึกลับนั้นพยายามหลบหลีกอย่างลนลาน
“ ตุ๊บ ! ”
เสียงเหมือนอะไรแตกดังขึ้นขณะที่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตบลงไปที่หน้าอกของชายผู้นี้
“ เอ๋ ! … ข้า …. ”
ชายผู้นั้นร้องออกมาด้วยความกลัวในขณะที่ร่างของเขาถูกส่งลอยขึ้นไปในอากาศ ราวกับว่าวที่ขาดจากเชือกขณะที่เขาตะโกน
“ ช่วย … ใครก็ได้ช่วยข้า … ไว้ชีวิตข้า … ”
ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก ! ตอนนี้ลูกตาของทุกคนเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า
เกิดอะไรขึ้น ?! เขาทำตัวกล้าหาญ … ราวกับเขาเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน และตอนนี้เขาร้องขอความช่วยเหลือ ….
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือชายผู้นั้นได้โยนแกนเชวียนทิ้งไปเพื่อที่จะหวังว่าจะตั้งรับการโจมตี แต่ก็ไม่สามารถจะคว้ามันกลับมาได้ก่อนที่เขาจะลอยไปเนื่องจากการโดนโจมตีนั้น … และตอนนี้ แกนเชวียนก็ได้ลอยเข้าไปสู่มือของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอย่างช้าๆ …
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวรู้สึกถึงความรุนแรงและการเพิ่มขึ้นของปราณเชวียนอย่างรวดเร็วในตอนที่แกนเชวียนหล่นลงมาในมือของเขาในทันที และทันใดนั้นนิ้วของเขาก็กำแกนเชวียนนั้นไปโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่คาดว่าฝ่ามือของเขาจะไปโดนหน้าอกของชายผู้นั้น ! ชายสวมหน้ากากผู้นั้นถือแกนเชวียนไว้ในมือ และเขายืนอยู่ท่ามกลางยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานจำนวนมากที่ยืนนิ่งอยู่เป็นเวลานาน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล้าที่จะเหยียดหยามทุกคนที่อยู่ที่นั่นอย่างเปิดเผย รวมถึงตัวเขาและฉีฉางเซียว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหวังว่าชายผู้นี้จะเป็นยอดฝีมือที่คู่ควรกับเขา
พูดกันตามความจริง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่ได้โจมตีชายผู้นี้เพื่อแกนเชวียน แต่เขาต้องการที่จะต่อสู่กับยอดฝีมือลึกลับนี้ ความจริง มันไม่เป็นไปตามที่เขามองไว้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวประเมินชายผู้นี้ไว้สูงมาก !
ดังนั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจึงเอามืออีกข้างหนึ่งซ่อนไว้ข้างหลังของเขา และเตรียมตัวที่จะโจมตีชายผู้นี้อีกครั้งเมื่อเขาปัดป้องการโจมตีครั้งแรกได้
ฝามือที่ถูกซ่อนไว้นั้นทรงพลังและอันตรายมาก
แต่เมื่อเทียบกับการโจมตีที่เขาซ่อนไว้นั้น การโจมตีในครั้งแรกนั้นเปรียบได้กับการตบเบาๆ และเป็นเพียงการหยอกล้อกับชายผู้นี้มากกว่าการส่งเขาขึ้นไปในอากาศ !
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวสีบสนอย่างมากเมื่อได้เห็นว่าชายผู้นี้ลอยไปเนื่องจากการโจมตีของเขา
มันจะง่ายเกินไปไหม ? ข้าคิดว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ดี … แต่กลายเป็นว่าเขานั้นอ่อนหัด !
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาอย่างผู้ดี และมองไปที่แกนเชวียนที่เขาถือไว้ในมือ มันเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดคำแรกขึ้นมา
“ ข้า … เอ่อ ! ”
นอกจากคนทั้งหมดที่มารวมตัวกันที่นี่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่สนใจในแกนเชวียน และตอนนี้โชคชะตากลับเล่นตลก … มากกว่าที่คิดเอาไว้ เขาคือคนแรกที่ได้ครอบครองแกนเชวียน !
และเขาก็ได้มันมาอย่างง่ายดาย !
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้นั้นทำให้ทุกคนตกใจ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ฉีฉางเซี่ยวก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ !
ใครจะไปคิดว่าชายหน้ากากดำผู้นี้จะเป็นเพียงแค่เทียนสีเงิน?!
แม้แต่เทียนไขก็จะไม่ละลายก่อนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม … ชายผู้นี้นั้นอ่อนหัดเกินจะเปรียบ !
แม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะเป็นหนึ่งในแปดปรมาจารย์ จากการโจมตีของเขาในครั้งนี้ก็แผ่วเบามากจนทุกคนสามารถที่จะรับมือกับมันได้อย่างง่ายดาย !
ผลก็คือ ทุกคนรู้สึกผิดในโชคชะตาของตัวเอง !
เดิมทีแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะผลีผลามโจมตีเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไม่เลยแม้แต่ฉีฉางเซี่ยว การโจมตีชายผู้นี้นั้นเทียบได้กับการเล่นกับความตาย !
สำหรับผลลัพธ์นั้น ทุกคนมองตามเงาของชายชายลึกลับและอ่อนหัดผู้นั้นไป หวังว่าเขาจะร่วงลงมาต่อหน้าพวกเขา แล้วพวกเขาจะรุมตัดเขาเป็นชิ้นๆ ใบหน้าของพวกเขาสะท้อนถึงว่ทเกลี่ยนชังคนผู้นี้ !
แม่งเอ้ย ! เขานั้นช่างไร้น้ำยา ! หือ … ข้าต้องเสียโอกาสไปเพราะเขา !
ข้าละอยากจะโจมตีผู้นั้นแทนที่จะเป็นเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! … เขานั้นเป็นเป้าหมายที่จัดการได้ง่ายดาย !
ในขณะที่ดวงตาของทุกคนมองตามร่างที่ลอยไปของชายผู้นั้น ทันใดนั้นเอง ร่างของเขาก็หายไปในอากาศอย่างเงียบๆ !
เจ้าเด็กนี่ทำจากกระดาษหรือ …. เขาตายเพราะการโจมตีเพียงครั้งเดียวเนี่ยนะ ?
ร่างกายขนาดใหญ่ของคนหายไปต่อหน้าต่อตา ยอดฝีมือเทพเชวียนสูงสุดสองคน เทพเชวียนสี่คน ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนเกือบๆยี่สิบคน และปฐพีเชวียนจำนวนหนึ่ง ! และพวกเขาทั้งหมดรู้สึกว่ามันเป็นเพราะการโจมตีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !
“ เปี๊ยะ ! ”
เสียงที่ชัดเจนดังขึ้น
ยังไม่มีผู้ใดรู้สึกตัวจากการตกตะลึง ขณะที่ดวงตาของพวกเขามองไปยังต้นเสียงที่เกิดขึ้นนั้น และพบว่ามันดังมาจากทางผู้อาวุโสสามจากเมืองพายุหิมะขาว ผู้ที่ยืนมือออกมาและตบหน้าตัวเอง !
เสียงนั้นดังชัดเจนและรื่นหูราวกับดนตรี !
แล้วยังไงต่อ ?
ผู้อาวุโสหกและเก้าขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ เกิดอะไรขึ้นท่านพี่ ? ”
ผู้อาวุโสสสาม หกและเก้านั้นมีความสัมพันธ์ และความเข้าใจที่ดีต่อกันเสมอ !
“ หือ … ไม่มีอะไร … ที่นี่ยุงเยอะมาก ”
ผู้อาวุโสสามตอบด้วยน้ำเสียงเขิลอาย
บางคนถึงกับอ่อนแรง !
ฝนยังคงตกลงมาในช่วงค่ำของฤดูใบไม้ร่วง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวกำลังถือแกนเชวียนอยู่ในมือ และและเขายังเป็นกังวลเรื่องของยงเนี่ยนะ …. ? ยุงมันเป็นอันตรายไปเมื่อใหร่กัน ?
ทุกคนสามารถจินตนาการถึงสภาพจิตใจของผู้อาวุโสสามได้ !
ตอนที่ 183
เจ้าเด็กนั่นไม่ไม่มีอะไรเลย ! หากข้าจัดการเขาด้วยตัวเอง ข้าก็จะยื่นมือออกไปและคว้าเอาแกนเชวียนมา … และจากนั้นข้าก็สามารถกลับไปยังเมืองพายุหิมะขาวได้อย่างง่ายดาย !
ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าข้ายอมให้เจ้าเด็กนี่หลอกข้าได้ !
ข้ารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ … การเปลี่ยนสีปราณเชวียนเช่นนั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระ … ข้าโดนหลอกได้อย่างไรกัน ?
ข้ามันโง่เง่าที่สุดในโลก ! แม่ง ! แม่งเอ้ย …
ในขณะที่ผู้อาวุโสสามกำลังง่วงอยู่กับการสำนึกผิดและแก้ไขความผิดพลาดนั้น ยอดฝีมือคนอื่นๆนั้นเพ่งมองไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวด้วยความหงุดหงิด กลัวว่าเขาจะหนีไปและด้วยความแข็งแกร่งของเขาทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะไล่ตามเขาได้ทัน แม้แต่ฉีฉางเซี่ยว !
ฉีฉางเซี่ยวคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด และจากนั้นเข้าจึงกระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมังกร
“ นกเหยี่ยว ! เจ้าต้องการจะต่อสู้กับข้าใช่ไหม ? มาสู้กัน ! ”
สายฝนเริ่มกระจายออกไปจากร่างเนื่องจากความรุนแรงของปราณเชวียนของเขา และเริ่มไปปะทะเข้ากับหน้าของคนอื่นที่อยู่บริเวณนั้น !
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะดังลั่นในขณะที่เขาเก็บแกนเชวียนเข้าไปในเสื้อ
“ ดี มาเลย ! ”
เขากางแขนออกไปราวกับเหยี่ยวและร่างของเขาก็เริ่มลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า !
สองยอดปรมาจารย์เทพเชวียนยอมที่จะเผชิญหน้ากัน !
เฟ้ยเมองเฉิน ผู้อาวุโสทั้งสามจากเหมือนพายุหิมะขาว ผู้ช่วยของฉีฉางเซี่ยวและศิษย์ทั้งสิบของลีวูเบ้ยกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมๆกัน และพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วราวกับผี พวกเขาทุกคนมุ่งหน้าไปยังที่เดียวกัน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะขณะที่คำรามออกมา
“ ชักจะสนุกแล้วสิ !”
เขาไม่รอช้า ปั้ง เสียงของปรารเชวียนที่พุ่งออกมาจากตัวของเขาดังขึ้น และส่งให้ทุกคนแตกกระจายและลอยออกไป เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังคงอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง … พร้อมที่จะต่อสู้ !
.. ที่พักสกุลจวิน ..
ในใจของกวนเซียงฮั่นนั้นเต็มไปด้วยความคิด ขณะที่ทางเดินตรงไปยังลานบ้านของนาง เหตุการณืในวันนี้เป็นเหมือนกับความฝันลมๆแล้งๆสำหรับนาง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวังและโดดเดี่ยวในช่วงเวลาหนึ่ง และในเวลาต่อมานางก็รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจ
แม้ว่าพ่อของข้าจะละทิ้งข้าในเวลาที่ข้าต้องการ แต่ข้าก็ยังมีน้าที่ดี และน้องเขยที่น่าประหลาดใจ เหตุใดข้าถึงกลัวอะไรมากมาย ? เหมือนกับที่จวินโม่เซี่ยพูด … การมีชีวิตที่น่าอับอายนั้นไร้ความหมาย !
เขตซือฮั่นนั้นไม่สามารถเอาชนะได้จริงๆหรือ ? แม้ว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะล้มลงได้ … พวกเขาก็ทำได้แค่สังหารพวกเรา … และข้าก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องของความซับซ้อนของโลกในเวลาที่ข้าตาย แล้วเหตุใดข้าถึงต้องกลัวความตาย !?
“ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขามีความกล้าหาญเช่นนั้น เข้าได้พิสูจน์แล้วว่าเขานั้นเป็นบุตรชายที่แท้จริงของสกุลจวิน ! และเขาได้พิสูจน์แล้วว่าเขานั้นเป็นน้องของโม่โย่ หากโม่โย่อยู่ที่นี่ในวันนี้ … เขาจะเลือกอย่างเดียวกันนี้ไหม ? ใช่ แน่นอน … ไม่ต้องสงสัยในเรื่องนั้นเลย ”
หัวใจของเซียงฮั่นไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อคิดถึงโม่โย่และใช้มันเพื่อ … ความเจ็บปวดในหัวใจของนางนั้นดูเหมือนจะเล็กน้อย … ช่างน้อยนิดมากในตอนนี้ …
นางกำลังเดินก้มหัว และไม่รู้ว่านางกำลังจะเดินชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
มีร่างใหญ่ๆยืนอยู่ตรงประตูลานบ้านตรงหน้าของนาง
ชายผู้นี้คือพ่อแท้ๆของนาง กวนดุงหลิว !
ชุดของกวนดุงหลิวนั้นเปียกและหนักเนื่องจากเขายืนอยู่กลางฝนมาสักพักแล้ว แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเยือกเย็น ดวงตาที่โศกเศร้าของเขานั้นก็มากพอที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในหัวใจ ในขณะที่เขามองไปยังลูกสาว แต่เขาไม่สามารถที่จะพูดอะไรกับนางได้
เซียงฮั่นเพ่งมองกลับมาที่เขาอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอะไรดี ดังนั้น พ่อลูกคู่นึ้จึงยืนอยู่นิ่งๆกลางสายฝน ติดอยู่ในโลกที่แปลกประหลาดและไร้คำพูดที่สิ้นหวังของตัวเอง
มีฟ้าแลปสว่างขึ้นมาในลานบ้านในชั่วเซี่ยววินาที เผยให้เห็นถึงร่องรอยแห่งความเศร้าและกังวลบนใบหน้าของกวนดุงหลิว
ทันใดนนั้น กวนเซียงฮั่นย้อนนึกถึงวันเก่าๆในวัยเด็กของนาง และตอนนี้ พ่อของนางก็กังวลถึงความเป็นอยู่ของนาง ทันใดนนั้นนางก็ใจอ่อนลง สีหน้าที่เยือกเย็นของนางได้ละลายหายไปในทันทีขณะที่นางอ้าปากและกระซิบ
“ ท่านพ่อ … ”
“ เซียงฮั่น เจ้าจะตำหนิพ่อของเจ้าไหม ? ”
กวนดุงหลิวมองผ่านสายฝนซึ่งตกลงมากระทบหัวของเขาไปยังลูกสาว
เซียงฮั่นสายหัวขณะที่ความรู้สึกที่ว่างเปล่าปกคลุมหัวใจของนาง
“ ข้าไม่ตำหนิท่า ท่าพ่อ ”
นางพูดพึมพัม
“ ท่านเป็นพ่อของข้า แต่ก่อนหน้านี้ … ท่านคือหัวหน้าสกุลกวน และในฐานะของหัวสกุล ท่านก็จำเป็นต้องแบกเอาภาระและชะตากรรมของคนนั้นพันเอาไว้บนบ่า ข้าเข้าใจปัญหาของท่าน ท่านพ่อ … ”
กวนดุงหลิวถอนหายใจ จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เผยถึงความเจ็บปวดในดวงตาของเขา
“ เซียงฮั่น พ่อของเข้ารู้สึกเสียใจกับเจ้าจริงๆ อย่างไรก็ตาม หากข้าสามารถย้อนเวลาไปได้ และ …. ข้า …. ข้า …. ”
แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของกวนดุงหลิวนั้นแสดงถึงความพยายามอย่างชัดเจนในใจของเขา ในขณะที่สุดท้ายเขาก็พูดจนจบ
“ …. ข้าจะเลือกเหมือนเดิม ! เนื่องจากข้าเป็นหัวหน้าสกุล … ข้าอาจจะเป็นพ่อที่ไม่ดีของเจ้า แต่ข้า … ”
กวนเซียงฮั่นพยักหน้า
“ … อย่าพูดเช่นนั้น … อย่า …. ”
ทันใดนั้นนางตระหนักได้ว่าพ่อของนางนั้นกำลังเปียกฝน และรีบพูดขึ้นมา
“ ท่านพ่อ ไปคุยกันข้างในเถิด ”
“ ไม่ คุยกันที่นี่เลย … กลางสายฝนนี้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าก็รู้สึกสุขุม … ข้ามีเรื่องมากมายที่จะต้องพูด แต่ข้าไม่รู้ว่าข้าจะสามารถพูดมันออกมาได้หรือไม่หากเข้าไปข้างใน ! ”
กวนดุงหลิวยิ้มเล็กน้อย
“ เกี่ยวกับเขตซือฮั่นและเรื่องทั้งหมดนี้ … แม้มันอาจจะยังไม่มีอะไรในตอนนี้ แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ข้าคิดว่าเจ้าควรจะรู้ไว้ …. ”
กวนเวียงฮั่นถอนหายใจ และพูด
“ โปรดบอกข้าเถิด ท่านพ่อ … ”
“ ในตอนที่พวกเราได้รับข้อเสนอจากเขตซือฮั่น ผู้อาวุโสสองสามคน แนะนำให้ข้ารับข้อเสนอนั้นในทันที ”
กวนดุงหลิวหลับตาอย่างเจ็บปวดและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่สามารถที่จะทนมองสีหน้าอันซีดเผือกของลูกสาวได้อีกต่อไป
“ พวกเราไม่มีความสามารถพอที่จะยั่วยุเขตซือฮั่น แต่หากเจ้าแต่งงานกับ ลี่ถังหยวน สกุลของเราก็จะสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาได้ และสามารถที่จะไต่ขึ้นไปได้สูงกว่านี้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้สกุลได้รับอันตราย แต่มันจะเป็นผลดีที่สุดสหรับสกุลของเรา …. ”
กวนเซียงฮั่นกัดปากเบาๆ และคำรามทางจมูกในขณะที่นางเริ่มโมโหมากขึ้น สีหน้าของนางกลับมาเยือกเย็นเช่นเดิม
“ ตอนนี้มีสองความเห็นที่ต่างกันในบ้านของเรา เซียงโบนั้นทะเยอทะยานอยู่เสมอ และต้องการที่จะปกครองดินแดนทางใต้ทั้งหมด และดังนั้น เขาจึงมาเร่งเร้าข้าให้เห็นด้วย ”
เสียงของกวนดุงหลิวนุ่มนวลขึ้น
“ เซียงยี่และแม้ของเจ้านั้น ยืนกรานที่จะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้น แม่ของเจ้า … แม้ของเจ้าร้องไห้ทุกวันตั้งแต่นั้น … ”
ร่างอันบอบบางของเซียงฮั่นเริ่มสั่น และน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาจากดวงตาของนางในขณะที่ไหล่ของนางตกลงไป
“ หลังจากนั้น เขตซือฮั่นก็ได้ส่งเงื่อนไขเพิ่มมาอีกสี่ข้อ ”
กวนดุงหลิวเหม่อมองไปไกล
“ พวกเขาบอกว่า หากเจ้าจะแต่งงานเข้ามาในสกุลของพวกเขา เจ้าจะไม่ได้รับชื่อว่าเป็นเมียเอก แต่เจ้าจะได้รับการดูแลในระดับเดียวกัน เซียงโบเข้าพบกับ ลี่จือเทียนเพื่อต่อต้านข้อเสนอนนี้ แต่เขาปฏิเสธ ! ”
ความเร็วในการพูดของเขานั้นมองพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ใจ
“ หลังจากนั้น เซียงโบ เซียงยี่ และข้าได้เดินทางมายังเมืองเทียนเชียงเพื่อคุยกับเจ้า … ”
“ ข้าไม่รู้ว่าข้าเป็นอะไรในสายตาของสกุล … เป็นสินค้า ? หรืออาจจะเป็นข้อต่อรอง ? อะไรบางอย่างที่พวกเขาสามารถใช้ข้าแลกเปลี่ยนกับการเติบโตของสกุล ? นั่นคือสิ่งที่ข้าเป็นหรือ ?! ”
เซียงฮั่นยิ้มอย่างหดหู่
“ ข้ามิใช่สิ่งของที่เมื่อสองสกุลตัดสินใจที่จะแลกเปลี่ยนกัน ! แม้ว่าข้าจะไม่รู้ถึงความกล้าหาญของโม่โย่ก็ตาม และข้าไม่รู้ว่าจะทำให้เขาต้องอับอายหรือละอายใจหรือไม่ แต่ข้าก็ยังมิใช่สิงของ เพราะการตัดสินใจนี้คือสิ่งที่สกุลสร้างขึ้น และข้าก็ไม่ได้เลือกอะไรเลย หลังจากที่ข้าได้พบเขาสามครั้ง ข้าก็ได้รูว่าเขาคือคนที่สูงส่งอย่างมาก และข้าเริ่มชอบคนเช่นนี้ และข้านั้นพอใจอย่างมากกับสกุลที่ตัดสินใจเช่นนี้ และข้ารู้สึกขอบคุณอย่างมากที่ท่านได้จัดเตรียมการแต่งงานนี้ …. ”
ดูเหมือนว่ากวนดุงหลิวจะรู้ถึงสิ่งที่นางจะพูด ดังนั้นเขาถึงก้มหัวลง
“ แต่หลังจากนั้น เมื่อโม่โย่ตายเพื่อบ้านเมือง … เขาตายในฐานะวีรบุรุษ ! และใช่ ข้าต้องใช้ชีวิตด้วยการเป็นหม้าย ! และแม้ว่าข้าจะใช้ชีวิตอย่างหญิงหม้าย และแม้ว่าข้าจะเตรียมการที่จะโน้มน้าวท่านและท่านแม่ในเรื่องนั้น รวมถึงผู้อาวุโสท้ังหลายในสกุล ในตอนนั้น ผู้อาวุโสก็เต็มใจที่จะให้ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างหญิงหม้ายในสกุลจวิน ! ด้วยเหตุผลที่สกุลกวนจะไม่ต้องสูญเสียการสนุบสนุนจากสกุลจวิน ! ในฐานะของลูกสาวสกุลกวน ข้าจึงถูกใช้เพื่อลุงทุน ! ”
กวนเซียงฮั่นหัวเราะอย่างเยาะเย้ย
“ ในเวลานั้น แม้ว่าพวกเขาจะบังคับข้าให้ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่ใช่สิ่งของ เพราะข้าก็ต้องการจะทำเช่นนั้น … แต่ข้าได้ทำอย่างนั้นเพราะสามีในความทรงจำของข้า ในทางตรงกันข้าม สกุลของข้าก็ใช้ข้าเป็นของเพื่อการต่อรอง … เครื่องมือที่จะคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ของสองสกุล ! ข้าไม่เคยรู้สึกละอายเลยตลอดชีวิตของข้า ! ”
“ น่าอับอาย ! ความฝันที่สวยงามของเด็กหญิงตัวน้อยๆได้แตกละเอียด แต่แม้ว่านางจะเป็นหม้าย นางก็ยังถูกสกุลใช้เป็นสินค้า ! ”
“ ท่านพ่อ ในฐานะตัวท่านเอง กี่ครั้งที่สกุลกวนใช้อิทธิพลและความช่วยเหลือของสกุลจวินในการควบคุมดูแลธุรกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ?! และตอนนี้ลมนั้นก็โต้กลับมาหาเรา และสกุลเหล่านั้น ทรงอำนาจยิ่งกว่าสกุลจวิน ผู้อาวุโสของสกุลกวนก็เห็นด้วยที่จะกลืนน้ำลายของตัวเองอย่างนั้นหรือ ? และตอนนี้พวกเขาขอให้ข้าแต่งงานใหม่อย่างนั้นหรือ ?! ”
“ ท่านพ่อ นี่มันเป็นเหตุผลแบบใหนกัน ? การบังคับให้ข้าแต่งงานครั้งเดียวมันยังไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาหรือ ? ข้ามิใช่ลูกสาวหรือ ? และยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็เป็นสะใภ้ของผู้มีบุญคุณกับพวกเขา ! และตอนนี้ พวกเขาต้องการที่จะขายลูกสาวของผู้มีบุญคุณของพวกเขาอย่างนั้นหรือ ? ”
ตอนที่ 184
ความเศร้าและความโกรธที่ปะปนกันอย่างแปลกประหลาดปะปนอยู่ในน้ำเสียงของเซียงฮั่น
“ แม้ว่าข้าจะใช้ชีวิตของข้าเป็นหม้ายในสกุลจวิน ข้าก็ยังคงได้รับฐานะของ ลูกสะใภ้ แต่หากข้าได้แต่งงานเข้าไปสู่สกุลลี่ ข้าจะต้องกลายเป็นเมียน้อย ! หาก ยุนเบ้ยเฉินสนใจข้าขึ้นมาวันใหน สกุลลี่จะส่งข้าไปให้เป็นเมียน้อยของเขา … ทาสผู้ไม่สามารถออกความคิดเห็นได้ เป็นขี้ข้าพวกเขา ! และสกุลกวนก็จะยอมรับมัน เพราะว่า ยุนเบ้ยเฉินนั้นทรงอำนาจกว่าสกุลกวน และการมีความสัมพันธ์กับเขานั้น จะทำให้สกุลกวนได้ผลประโยชน์ ! ”
“ หัวหน้าสกุลยังคือถึงครอบครัวหรือไม่ ?! ท่านพ่อ เหตุใดสกุลของพวกเราถึงไม่มีความอับอายเอาเสียเลย ?! เหตุใดเขาไม่เห็นถึงความขายหน้าของข้า ? ข้าอยากจะมีชีวิตอยู่โดยเป็นลูกสะใภ้ของสกุลจวินดีกว่าที่จะต้องไปมีชีวิตอย่างอับอายเช่นนั้น ! และจะไม่ไปเพราะคนไร้ยางอาย ! ”
“ ข้าอยากจะปล่อยให้สกุลกุลตายไปในฐานะวีรบุรุษ ก่อนที่ข้าจะยอมให้คนแก่หัวขาวที่ไร้ประโยนชน์เหล่านั้นไปร้องของความเมตตาแก่ผู้ทรงอำนาจของโลก ! ”
ประโยคสุดท้ายของเซียงฮั่นเกือบจะระเบิดออกมาจากปากของนาง
กวนดุงหลิวเพ่งมองอย่างเจ็บปวดไปที่ลูกสาว ใบหน้าของเขาเปิดเผยความเจ็บปวดที่ได้จากการสนทนานี้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะบึกบึน แต่ภาษากายของเขาไม่ได้สะท้อนออกมาเช่นนั้นเลย
เขาไม่มีคำตอบให้สำหรับคำพูดของลูกสาว ไม่มีเลย หัวใจของเขากำลังรู้สึกผิดอละอะบอาย เขาเริ่มกัดฟันขณะที่ความเจ็บปวดปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเขา !
“ ในฐานะลูกสาว ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าตอนนี้ท่านพ่อได้ว่าแผนอะไรเอาไว้ … ”
กวนเซี่ยงฮั่นมองไปยังพ่อของนางอีกครั้ง น้ำเสียงของนางฟังดูหดหู่ อ่อนแอ แต่ก็ยังแสดงถึงความโกรธ …
“ จวินวูอี้ได้ตอบคำถามนั้นแล้ว ! ”
กวนดุงหลิวยิ้มอย่างโศกเศร้า
“ สำหรับสิ่งที่ทำได้ในขณะนี้ … หากพวกเราถอนหารแต่งงาน พวกเราจะทำได้เพียงส่งตัวเจ้าให้สกุลลี่โดยข้ามซากศพของสกุลจวินไป ! ”
กวนดุงหลิวเผยรอยยิ้มที่ไม่เห็นด้วย
“ ข้าอาจจะเป็นกวนดุงหลิว … หัวหน้าสกุลกวน … แต่ข้าจะไม่แตะต้องสกุลจวิน … หรือสกุลลี่ ”
“ ยิ่งไปกว่านั้น ในสิ่งที่เจ้าพูดมาก่อนหน้านี้ … สกุลจวินนั้นเป็นผู้มีพระคุณกับเรา และพวกเราจะไม่อกตัญญูกับผู้มีพระคุณ ! ”
ทันใดนนั้น น้ำเสียงของกวนดุงหลิวมีพลังมากขึ้น
“ นี่คือการตัดสินใจของข้า ข้าตัดสินใจที่จะทิ้งลูกสาวเพื่อสวัสดิภาพของสกุลของข้า ! ข้าจะไม่ทำอะไรเมื่อสกุลจวินตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมาปกป้องเจ้า ! ข้ายอมให้เขตซือฮั่นทำให้ลูกสาวของข้าเสื่อมเสียและโดนดูถูก ! ข้าทำผิดกับเจ้ามาตลอดชีวิต … เพราะข้าเลือกที่จะมองไปยังอนาคตของสกุลเป็นอันดับหนึ่ง แต่ตอนนี้ข้าต้องการ …. ”
“ ข้าต้องการทำในฐานะของพ่อ ! ”
ใบหน้าของกวนดุงหลิวแข็งทื่อ และดวงตาสีแดงก่ำของเขามองไปยังแสงสว่างในขณะที่ตาดำของเขาขยายใหญ่ขึ้น
“ ข้าต้องการจะทำในฐานะของพ่ออีกครั้ง ! ”
ทันใดนนั้นหัวใจของกวนดุงหลิวรู้สึกถึงความผ่อนคลายขณะที่เขาพูดออกมา ราวกับว่าเขาได้วางภาระที่อยู่บนบ่าของเขาลงไป !
จะเป็นหรือตาย !
เจ้าเด็กจวินนั่นพูดถูก … หากสกุลของข้าไม่มีความกล้า พวกเขาก็จะต้องรอคอยอยู่รอบๆประตูแห่งความตายตลอดไป …. อะไรคือการอยู่รอด ?!
“ ท่านพ่อ ! ”
ทั่วทั้งร่างของกวนเซียงฮั่นสั่นใขณะที่นางเพ่งมองไปยังพ่อของนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีร่องรอยแห่งความประหลาดในปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
กวนดุงหลิวยิ้มอย่างลึกซึ้ง ขณะที่เขาพยักหน้า
“ เซียงฮั่น สกุลจวินมิใช่สุภาพบุรุษคนเดียวในโลกนี้ สกุลกวนก็เป็นสุภาพบุรุษเช่นกัน ! ”
กวนเซียงฮั่นมีสีหน้าที่ภูมิใจขณะที่นางพูด
“ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าท่านพ่อนั้นมีจิตวิญญาณแห่งความกล้าอยู่ภายใน … ”
กวนดุงหลิวพยายามยิ้มขณะที่เขาพูด
“ คำสาปแช่งของน้องเขยของเจ้านั้นโหดเหี้ยมจริงๆ แต่ต้องของคุณเขา … ตอนนี้พ่อของเจ้ารู้แล้วว่าสิ่งเล็กน้อยในโลกนี้นั้นสำคัญกว่าภาพรวม ”
เขาหัวเราะสองครั้ง แต่จากนั้นก็ถามด้วยความสับสน
“ เจ้าเล่าเรื่องของเขามากมาย แต่น้องเขยของเจ้ามิใช่พวกเสเพลอย่างที่เจ้าเคยบอกหรือ ? ”
ใบหน้าของกวนเซียงฮั่นแดงขึ้นมาในทันที ในขณะที่นางพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
“ ท่านพ่อ … อย่าทำให้ข้าหัวเราะ … เขาได้เปลี่ยนไปมาเมื่อเร็วๆนี้ … เขามิใช่คนที่เขาเป็นก่อนหน้านี้ .. ตอนนี้เขากลายเป็ยลูกผู้ชายจริงๆแล้ว ”
กวนดุงหลิวยิ้งอย่างมีความสุข
“ จริงหรือ หรือเพราะเขาเริ่มตำหนิพ่อของเจ้า เจ้าเลยเริ่มนับถือเขาหรือ ? ”
กวนเซียงฮั่นกลับไปเป็นเด็กสาวที่หม่นหมองในทันที และนางเริ่มเกรี้ยวกราด
“ ข้าเกลียดท่า ท่านพ่อ ! ”
กวนดุงหลิวระเบิดหัวเราะขึ้น
“ ท่านพ่อ เข้ามาข้างใน ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องเหน็บหนาวกลางสายฝนฤดูใบไม้ร่วงนี้ ”
ทันใดนนั้นนางก็ตระหนักได้ถึงสภาพของพ่อของนาง
“ เอ แล้วสุดท้ายเจ้าก็เป็นห่วงข้า ? ฝนนั้นซึมเข้าไปในกระดูกของพ่อของเจ้าแล้ว ”
กวนดุงหลิวหัวเราะอย่างติดตลก
“ อย่างไรก็ตาม ฝนนี่มันดีสำหรับข้า ! มันทำให้ข้าเข้าถึงหัวใจของลูกสาวและทำให้ข้าตื่น … ข้าต้องการจะแลกเปลี่ยนลูกสาวของข้าเพื่อให้สกุลของข้าอยู่รอด … แต่การอยู่รอดนั้น ไม่ดีไปกว่าการมีชีวิตเลย ”
เขาพูดจบประโยค มองไปยังลูกสาวด้วยความรักอีกครั้ง และจากนั้นก็หันหลัง
ร่างอันกำยำของเขาเดินฝ่าสายลมและฝนไป แต่ทุกๆก้าวของเขานั้นมั่นคงและแข็งแรง !
ดวงตาของกวนเซียงฮั่นพร่ามัวอีกครั้ง …
ไม่ไกลออกไป จวินวูอี้ยืนอยู่เงียบๆตรงมุมด้วยรอยย่นบนใบหน้า เขายิ้มกับตัวขณะที่พูดเบาๆ
“ กวนดุงหลิว เจ้าเป็นเพียงแค่กวนดุงหลิวจนวันนี้ .. แต่ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพ่อและวีรบุรุษในสายตาของข้า ! ”
ดวงตาของเขาเพ่งมองผ่านสายฝนออกไป
“ จวินโม่เซี่ยหายไปในช่วงเวลาที่น่าอัศจรรย์นี้ … เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามีเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ? เหตุใดเขายังไม่กลับมาอีก ? ข้าไม่รู้จะทำยังไงกับหลานชาย .. เขาช่างแปลกเสียจริง .. ข้าปล่อยให้เขาทำอะไรได้อย่างอิสระด้วยอำนาจของข้า แต่ยิ่งวันเวลาผ่านไปเขายิ่งทำตัวลึกลับ ! ”
เขาถอนหายใจขณะที่มีแสงเปล่งประกายออกมาจากร่างของเขา และจากนั้นเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
… …
ชายหน้ากากดำลอยออกมาจากวงล้อมด้วยการโจมตีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แต่เขาได้โยนแกนเชวียนใส่ไปในมือของผู้ที่มาโจมตีเขาก่อนที่เขาจะถุกโยนออกไป
ร่างของเขาเกือบจะกระแทกเข้ากับต้นไม้ แต่ทันใดนนั้นจวินโม่เซี่ยก็ใช้เคล็ดอิสระหยินหยางและหายไปต่อหน้าต่อตาและหลบออกไปจากการสังเหตุของทุกคน
จากทั้งหมด ที่เขาโดนเทพเชวียนสูงสุดโจมตี ! แม้ว่าในสายตาของเขานั้น การโจมตีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นจะแผ่วเบา และมันก็รุนแรงพอที่จะทำให้จวินโม่เซี่ยเจ็บปวด และทำให้เขาต้องติดอยู่กับความรู้สึกพะอืดพะอม
แม้ว่าจวินโม่เซี่ยจะไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่ร่างของเขาก็ยังคงอยู่ในสภาวะช็อค !
เจ้านกเหยี่ยวเอ้ย ! ข้าจะเอาคืนเจ้าในวันหนึ่ง !
จวินโม่เซี่ยสถบขณะที่เขามองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงหน้าของเขา !
จวินโม่เซี่ยจ้องมองการต่อสู้ต่อไปจากระยะที่ห่างไกลพร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึง ในขณะที่ปากของเขาขยับอยู่ตลอดเวลา
ข้าไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู่ที่ใหญ่เช่นนี้ …
จวินโม่เซี่ไม่ต้องการที่จะเริ่มต้นการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้ และวางแผนไว้ว่ามันจะเกิดแค่ความวุ่นวายเท่านั้น เป้าหมายของเขาคือการตรวจสอบว่าแกนเชวียนปลอมนั้นสามารถใช้การได้หรือไม่ สำหรับอนาคต
แน่นอน เรื่องราวของเขตซือฮั่นนั้นยังไม่เป็นที่เปิดเผยในตอนนี้ แล้วจวินโม่เซี่ยได้ว่าแผนเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง และเขาจะรอดจนกว่าเขาจะมีแผนการที่ผปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรอให้มียอดฝีมือจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองก่อนที่เขาจะเริ่มการเคลื่อนไหวนี้ จากทั้งหมดนั้น การเกิดขึ้นของแกนเชวียนนี้รวดเร็วมากหลังจากที่มันได้สร้างความคลางแคลงใจในหัวใจของคนส่วนใหญ่
แต่เรื่องของเขตซือฮันนั้นทำให้แผนการของจวินโม่เซี่ยต้องยุ่งยาก และแม้ว่าการคุกคามของสกุลลี่นั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่มันเหมือนกับระเบิดที่อยู่ด้านหลังซึ่งมันสามารถระเบิดขึ้นมาเมื่อใหร่ก็ได้ ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงโยนแกนเชวียนปลอมออกไปก่อนที่จะถึงเวลาที่เหมาะสม และตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดูว่ามันจะสิ่งที่ไม่ต้องการ หากเขาปล่อยให้แผนการนี้ล่าช้าออกไปอีก มันอาจจะมีผลกับความปลอดภัยของสกุลจวินและสกุลกวน
ในตอนนี้ ฉีฉางเซี่ยวเตรียมการที่จะโจมตีใส่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ในขณะที่กำลังปัดป้องจากผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะขาว ผู้ที่ล้อมรอบเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เช่นเดียวกันศิษย์ทั้งสิบของลี่วูเบ้ย และผู้ช่วยสวรรค์เชวียนทั้งหกของฉีฉาเซียว พวกเรารักษาระยะเอาไว้โดยที่ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้กว่านี้โดยไม่มีใครช่วยสนับสนุน
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้กลัวปราณเชวียนระดับสูงของเขา แต่เป็นประสบการณ์การเป็นแม่ทัพของเขา ชายที่อยู่กลางวงล้อมนั้นรวดเร็วมาจนไม่มียอดฝีมือที่อยู่ต่ำกว่าสวรรค์เชวียนผู้ใดสามารถจะรับมือกับเขาได้เกินกว่าหนึ่งวินาที
ศิษย์ทั้งสิบของลีวูเบ้ย ผู้ที่ลี่โย่วหลานเชิญให้มาร่วมการแย่งชิงแกนเชวียนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเผชิยหน้ากับ เทพเชวียนทั้งสองโดยไม่มีร่องรอยแห่งความเกร่งกลัวในแววตาเลย ความจริง ตอนนี้พวกเขารู้สึกมั่นใจอย่างมาก !
เนื่องจากความเร็วในการต่อสู้นั้นสูงมาก จวินโม่เซี่ยก็เห็นเพียงแต่เงาอันคลุมเครือของพวกเขา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร
ทันใดนนั้น ร่างนับสิบก็โจมตีไปยังเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอีกครั้ง ปราณเชวียนของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวพุ่งกระจายออกมาจากร่างของเขา ขณะที่เขาตะโกนออกไปโดยไร้ซึ่งความกลัว
“ เข้ามา ! ”
จากนั้นร่างของเขาก็โค้งอย่างแปลกประหลาดราวกับเหยี่ยวที่อยู่กลางอากาศ ขณะที่เขาหลบการโจมตีแรกของฉีฉาเซี่ยว และจากนั้น ก็หมุนตัวกลางอากาศ และเตะออกไป !
ฉีฉางเซี่ยวถูกแรงกระแทกถอยหลังไป !
จากนั้น ฉีฉางเซี่ยวคำรามออกมาด้วยความโมโห !
แม้ว่าเขาจะเป็นคนแรกที่เริ่มโจมตี แต่เขาก็เป็นเทพเชวียนสูงสุด ! ยิ่งไปกว่านั้น อันดับของเขายังสูงกว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! หากเขาไม่สามารถสังหารเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในขณะที่โดนรุมได้ ข่าวลือที่ว่าเขานั้นอ่อนด้อยกว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะแพร่กระจายออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนอื่นให้การช่วยเหลือเขาด้วย !
ความเสียหายของชื่อเสียงที่มาจากข่าวลือนั้นจะไม่สามารถ … แก้ไขได้ !
จากทั้งหมดนั้น ผู้คนจะถามเพียงสิ่งเดียว
ทำไมเขาถึงยอมให้กุ้งมากมายมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างวาฬสองตัว ?
ตอนที่ 185
ฉีฉางเซี่ยวคำรามทางจมูก เสียงอันทรงพลังของเขาดังก้องขึ้นไปยังท้องฟ้า และดูราวกับว่ามันจะทำให้หายฝนตกใจ ปรากฏเป็นคลื่นที่มองไม่เห็นกระแทกสายฝนเหล่านั้นให้พุ่งกระจายออกมาจากร่างของเขา และตรงไปยังกลุ่มคนที่เหลือ …
ฉีฉางเซี่ยวโดนไล่ล่าด้วยการโจมตีจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และถูกบังคับให้ล่าถอยออกไปไม่ไกลนัก อย่างไรก็ตาม เขากางแขนออกอย่างรวดเร็วและปล่อยการกระบวนท่าที่แปลกประหลาดในทันที !
ทุกคนรู้สึกถึงความแปลกประหลาดในอากาศ และทันใดนั้นพวกเขาก็ถอยหลังไปให้ห่างจากร่างกายของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !
ในกระบวนท่าอันทรงพลังของฉีฉางเซี่ยวนั้นเขาไม่ต้องการจะทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวบาดเจ็บ แต่ต้องการเพียงแค่กันคนอื่นๆออกห่างไปจากเขา และแผนการของเขาก็สำเร็จ เนื่องจากยอดฝีมือคนอื่นๆนั้นหวาดกลัวที่จะอยู่ในขอบเขตกระบวนท่าที่รุนแรงของเขา และถุกบังคับล่าถอยออกไป
มีเงาสองร่างกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ซึ่งห่างออกไปราวสี่สิบหรือห้าสิบฟุตจากศูนย์กลางการต่อสู้ และยืนเงียบๆ อยู่บนจุดสุดของต้นไม้นั้น
เจดีย์หงษ์จวินยังคงหมุนด้วยความเร็วสูงสุด และยังคงปล่อยพลังเข้าสู่ร่างของจวินโม่เซี่ย ในขณะที่เขาพยายามฟื้นฟูตัวเองจากจากการโจมตีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จวินโม่เซี่ยเกือบจะกระโดดออกไปในขณะที่เขาเห็นถึงการเคลื่อนไหวนี้ในพื้นที่การต่อสู้
สุดท้ายแล้ว ! แผนการของข้าก็ถือได้ว่าสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ข้าก็ยังไม่รู้ว่า …
การโจมตีอันทรงพลังและความโกรธของฉีฉางเซี่ยวนั้นได้ผลักทุกคนให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งเมืองพายุหิมะขาวผู้ที่เป็นเทพเชวียนก็ตัดสินใจล่าถอยไปในทันที แม้ศิษย์ของลี่วูเบ้ยก็ยังต้องถอยไปอย่างไม่มีทางเลือก แต่ที่พวกเขาล่าถอยไปนั้นเนื่องจากพวกเขารู้ว่าไม่สามารถที่จะเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของเทพเชวียนสูงสุดได้ และพวกเขามองหน้ากันและกันด้วยความสิ้นหวัง
เทพเชวียนที่ยังเหลืออยู่ เฟ้ยเมิงเฉินก็ดูไม่ค่อยดีนัก เป้าหมายการโจมตีของเขานั้นคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเช่นเดียวกับทุกคน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบเพียงน้อยนิดจากการโจมตีที่รุนแรงของฉีฉางเซี่ยว แต่เขาก็ยังล่าถอยไปเนื่องจากเกรงว่าจะได้รับการบาดเจ็บ แม้ว่าเขาจะหนีออกมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ยังสาปแช่งผู้ที่อยู่ใต้อำนาจของเขา
แต่คนที่โชคร้ายที่สุดคือพี่หก หนึ่งในสิบสหายของลี่โย่วหลาน !
เพราะความเร็วของเขานั้นเร็วเกินไป !
เขามุ่งหน้าเข้าไปเช่นเดียวกับทุกคนเพื่อความได้เปรียบในสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ชายผู้นั้นก็ยังเร็วกว่าผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะขาว และเฟ้ยเมิงเฉิน ชายผู้นี้รวดเร็วกว่าแม้แต่เทพเชวียน ! ลี่วูเบ้ยจะต้องภูมิใจในความเร็วและความคล่องแคล่วของศิษย์ผู้นี้อย่างมาก !
แต่ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงของเขาคือ … เขานั้นเร็วเกินไป !
เขาเกือบจะอยู่เหนือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในตอนที่ฉีฉางเซี่ยวกำลังบ้าคลั่ง บังคับให้ผู้ช่วยที่เขาไม่รู้จักและเทพเชวียนทั้งสี่ห่างออกไปจากเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !
เพราะว่าเขาเร็วมาก เขาจึงสามารถหลบหลีกการโจมตีของฉีฉางเซี่ยวไปได้ แต่เขานั้นอยู่ข้างในวง มากกว่าข้างนอก !
เพราะว่าเขาเร็วมาก ตอนนี้เขาเลยอยู่ตรงกลาง ระหว่างเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยว เพียงคนเดียว โดยไร้ความช่วยเหลือใดๆ ! และมันทำให้เรื่องนี้แย่ลง ด้วยความเร็วของเขา เขาจึงต้องการจะไปถึงเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก่อนผู้อื่น และตอนนี้เขาไม่มีที่ให้ไปแล้ว !
ในตอนนี้ แม้ว่าความคิดของเขาจะเริ่มวิตกกับสถานการณ์ที่น่าประหลาดใจนี้ แต่มือของเขาก็ยังคงมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย และล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอย่างว่องไว …
ความพิเศษนั้นอาจจะไม่ใช่ข้อดีเสมอไป … ความคล่องแคล่วของชายผู้นี้คือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในความจริงนี้ !
กระบวนท่าของฉีฉางเซี่ยวนั้นทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโมโหมาก เนื่องจากมันบังคับให้ทุกคนละทิ้งแผนการที่จะโจมตีเขา และทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า มีมือที่กล้าหาญและไร้ความกลัวล้วงเข้ามาในกระเป๋าของเขาเพื่อคว้าเอาแกนเชวียน ! เห็นได้ชัดว่ามันทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวโมโหมากขึ้น !
หากมีใครในดินแดนเชวียนเชวียน สามารถล้วงกระเป๋าของหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ … ข่าวนี้จะทำให้เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวอับอายมากกว่าการต้องตายเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่อ่อนแอกว่า และมันจะทำให้เขากลายเป็นตัวตลก !
หากมันไม่ใช่เพราะการแทรกแซงของฉีฉางเซี่ยว เขาก็จะไม่รู้สึกถึงความรวดเร็วที่แสนพิเศษของชายผู้นี้อย่างแน่นอน ! เขาได้เลือกเวลาที่เหมาะสมในการลักขโมยนี้ เวลาของเขาคือช่วงเวลาอันแสนสั้นของความสมบูรณ์แบบ !
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาทำสำเร็จ เขาจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดายเนื่องจากมีเพียงคนเดียวที่รับรู้ถึงหัวขโมยผู้นี้ได้คือ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ที่กำลังจะต้องรับมือกับยอดฝีมือเทพเชวียนสี่คน ! …. หนึ่งในแปดปรมาจารย์ถูกล้วงกระเป๋าโดยหัวขโมย … ข่าวนี้จะทำให้ทั้งโลกตกตะลึง !
ดังนั้น จะต้องเข้าใจความโกรธของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว …
เห็นได้ชัดว่าพี่หกนั้นรู้ถึงความเร็วอันแสนพิเศษของเขา และรู้ว่าเขานั้นเร็วกว่าเทพเชวียน แต่เขาไม่รู้เลยว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นก็รวดเร็ว … เช่นเดียวกับเขา ความแตกต่างเดียวนั้นก็คือ … เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นเป็นยอดฝีมือเทพเชวียนสูงสุด !
เขาเห็นเพียงเงารางๆของมือของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวที่ยื่นมาความข้อมือของเขา ซึ่งตามมาด้วยเสียงหักของแขนที่แตกละเอียดของมือของเขา เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวปล่อยข้อมือ และตบไปที่เอวของเขา และจากนั้นเขายกแขนขึ้นไปเพื่อ ตีไปยังหลังหัว ความกระฉับกระเฉงและว่องไวของชายผู้นี้ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ แม้แต่การตั้งรับ เนื่องจากความเร็วและความแข็งแกร่งของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และเขาก็ได้กลายเป็นกระสอบทรายของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไป
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไม่สนใจในความเป็นตายของผู้ที่ทำการแทรงแซงเช่นนี้ และโยนร่างอันไร้วิญญาณของเขาให้หมุนดั่งกังหันลมตรงไปยังพี่น้องของเขา
คนทั้งเก้า เอื้อมมือไปคว้าเอาพี่น้องที่ตายไปของเขา แต่ความเร็วการหมุนของร่างนั้นไว้มากเกินกว่าที่พวกเขาจะคว้าไว้ได้ และมีคนจำนวนหนึ่งต้องพุ่งลงไปกระแทกพื้นเนื่องจากแรงเหวี่ยวของร่างไร้วิญญาณนั้น ร่างของพี่หกร่วงลงไปพื้นและกลิ้งไปอีกระยะหนึ่ง ทำให้น้ำสาดกระจายเป็นสายไปตามทาง ราวกับน้ำพุที่สวยงาม ก่อนที่จะหยุดลงเนื่องจากแรงเสียดทานของพื้นเบื้องล่าง !
พี่น้องของเขารีบไปยังร่างอันไร้วิญญาณนั้น และกรีดร้องออกมาได้ความโกรธเมื่อได้เห็นสภาพศพอันเลวร้ายของพี่น้องของเขา
มันยากที่จะจินตนาการถึงร่างอันไร้วิญญาณที่หมุนไปดั่งกังกันลม แต่มันแย่ลงเมื่อได้เห็นสภาพหลังจากที่ร่างนั้นหยุดนิ่งแล้ว !
มือของเขาหักมากกว่าเจ็ดสิบแปดชิ้นเนื่องจากการจับที่รุนแรงของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ขาของเขาพับไปข้างหลังเนื่องจากโดนตบเข้าที่เอว และทำให้กระดูกสะโพกหัก เช่นเดียวกับจุดดันเถียนของเขา ในขณะที่หัวของเขาหันกลับไปข้างหลัง หากชายผู้นี้ยังคงรอดจากการโจมตีนั้น เขาก็คนจะต้องกลายเป็นอัมพาต !
มันไม่ใช่ปัญหาของความกล้า หรือความหวังที่จะชิงข้อได้เปรียบของสถานการณ์ แต่ชายผู้นี้ผิดพลาดที่เขาหุนหันพลันแล่น เขาไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังต่อสู่กับชายผู้ที่เหนือกว่าเขามาก
ผู้นำกลุ่ม ลี่เจียนฮ้ง คำรามด้วยความโกรธและเสียใจ เขายืนขึ้นและเกรียวกราด
“ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! เจ้ามันโหดเหี้ยมอำมหิต ! และเมื่อเจ้าสังหารพี่น้องของเรา พวกเราเฝ้ามองความตายของเจ้า ! ”
เห็นได้ชัดว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีในตอนนี้ และเขาสาปแช่งกลับมา
“ ไปหาแม่เจ้าซะ ! ชายผู้นี้กล้าทำให้ข้าขุ่นเคือง และเขาก็สมควรจะได้รับสิ่งเหล่านั้น ! หากเจ้ากล้าทำให้ข้ารำคาณ วันนี้จะมีศิษย์ของลี่วูเบ้ยต้อสูญเสียมากกว่านี้ ! ”
หัวใจของเก้าคนที่ยังเหลืออยู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ แต่พวกเขาต้องละทิ้งมันออกไป ตอนนี้ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำกับชายผู้นี้ได้ หากพวกเขาผลีผลามโจมตีชายผู้นี้ดั่งเช่นที่พี่ชายพวกเขาทำ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ยังมีความสามารถมากพอที่จะสังหารพวกเขาทั้งเก้า ดังนั้นแผนการที่ดีที่สุดของพวกเขาคือการอดทนต่อการสูญเสีย และ ค่อยๆวางอุบายแก้แค้น
ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าการทำให้เทพเชวียนสูงสุดขุ่นเคืองนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย !
“ นกเหยี่ยว การต่อสู่นี้ช่างน่าเบื่อ มันไม่สนุกพอสำหรับเจ้าและข้า ดังนั้นจะเป็นอย่างไร หากพวกเราจะร่วมมือกันและกำจัดเจ้าพวกนี้ไปก่อน และจากนั้นพวกเราไปหาที่เงียบๆ และเล่นสนุกันสักสามวันสามคืน และเจ้าก็ให้แกนเชวียนแก่ข้า … เจ้าจะว่าอย่างไร ? ”
เพียงแค่ประโยคเดียวของฉีฉางเซียวนั้นทำให้สีหน้าของทุกคนซีดเผือกด้วยความตกใจ !
หากเทพเชวียนสูงสุดทั้งสองนี้ร่วมมือกัน แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามจากเมืองพายุหิมะขาวก็ยังไม่มีมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากความแข็งแกร่งนี้ได้ แม้แต่ เฟ้ยเมิงเฉิน ผู้ที่เป็นยอดฝีมือเทพเชวียนก็ไม่เว้น
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นเพียงคนเดียว ที่ไม่สามารถที่จะรอดพ้นความโกรธของทั้งสองซึ่งทรงพลังกว่าเขาได้
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะขณะที่เขาเริ่มหันไปอย่างช้าๆ จ้องมองไปยังชายทุกคน ผู้ที่เริ่มจะถอยหลังไปด้วยความกลัว ขณะที่พวกเขาได้สบตาและเห็นแววตาที่กระหายเลือดของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว บางคนถึงขนาดที่เตรียมจะวางอาวุธแล้วหันหลังและวิ่งหน้าตั้งไปสุดพลัง
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเริ่มหัวเราะดังขึ้น
“ ฉีฉางเซี่ยวเจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าข้าจะโง่พอที่จะช่วยเจ้าและคนของเจ้าสังหารทุกคนในที่นี่แล้วเจ้าและคนของเจ้าก็จะชิงเอาแกนเชวียนไปจากข้าได้ง่ายๆ ?! หากข้าช่วยเจ้าสังหารคนอื่นๆก่อน แล้วจากนั้นเจ้าและคนของเจ้าจะเอาแกนเชวียนไปจากข้าอย่างรวดเร็ว หากข้าไม่ …เช่นนั้นข้าก็ยังคงสนุกอยู่กับการต่อสู้ที่นี่ ”
การปฏิเสธของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวทำให้ทุกคนรู้สึกตัวด้วยความตกใจ หากฉีฉางเซี่ยวและเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวนั้นเห็นด้วยที่จะร่วมมือกันแล้วละก็ สองสุดยอดเทพเชวียนนี้จะสามารถที่จะทำลายทุกคนลงได้อย่างง่ายดายพวกเขาจะไม่แม้แต่จะละเว้นเพื่อสนิทของฉีฉางเซี่ยว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวจะพิสูจน์ได้ว่าเขาอ่อนแอกว่าฉีฉางเซี่ยวในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เขาก็ยังไม่คิดจะใช้แกนเชวียนเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการตู้สู้ที่ดีและน่าพอใจนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยึดตามความจริงที่ว่า เขาจะต้องไปรับการประกันว่าจะรอดจากการต่อสู้ซึ่งเขาสามารถที่จะหนีจากเทพเชวียนสูงสุดได้ตลอดเวลา !
ความจริงในตอนนี้ ฉีฉางเซี่ยวจะได้รับสิ่งที่มากกว่าแกนเชวียนในเรื่องนี้ มันเห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือจากทั่วทั้งดินแดนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อแกนเชวียน และและการตายของพวกเขาเหล่านี้นนั้มากพอที่จะสั่นคลอนโครงสร้างของสมาคมของพวกเขา ซึ่งมันจะกลายเป็นสินค้าที่ประเมินราคมไม่ได้สำหรับจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฉินซี และดังนั้น การใช้ความช่วยเหลือของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวในการกำจัดยอดฝีมือที่ทรงอำนาจมากมายจะทำให้ฉีฉางเซี่ยวได้รับตำแหน่งของที่ปรึกษาราชสำนักแห่งอาณาจักรเฉินซี !
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น