My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 734-740
ตอนที่ 734
เฉินเกอมองนักเรียนห้าคนที่บนจอ และเขาก็นึกออกทันทีว่านี่ก็คือเกมเหนือธรรมชาติอันโด่งดังเกมหนึ่ง
“นี่เรียกว่าเกมมุมทั้งสี่ ตอนเที่ยงคืน คนสี่คนยืนอยู่ที่สี่มุมของห้องที่ปิดทึบมืด ๆ ห้องหนึ่งและจากนั้นก็เดินเลียบกำแพงไปตามเข็มนาฬิกา
“ตอนที่คนแรกเดินไปถึงที่มุมแรก พวกเขาก็จะแตะบ่าคนถัดไปเบา ๆ ในเมื่อในห้องมีสี่มุมและมีคนกำลังเล่นเกมอยู่สี่คน เมื่อคนในห้องเริ่มขยับ ก็จะมีมุมหนึ่งที่ถูกทิ้งว่าง
“ตอนที่ผ่านมุมที่ว่างอยู่ กระแอมครั้งหนึ่ง และจากนั้นก็เดินต่อไปยังมุมถัดไป”
“ทำไมคุณถึงรู้เรื่องนี้ดีจัง?” ฉุยหมิงประหลาดใจ เขาถือสมุดบันทึกที่เขาเจอที่ข้าง ๆ เครื่องฉายเอาไว้ และกติกาของเกมก็ถูกเขียนเอาไว้บนหน้าแรก
“แบบที่ผมพูดถึงน่ะเป็นแบบทัวไป ถ้าคุณอยากจะให้มันน่าสนใจมากขึ้น คุณสามารถปิดตาแล้วขานชื่อตัวเอง จากนั้นก็ถามชื่อคนที่ยืนอยู่ตอนที่คุณไปถึงตรงมุม อย่างนั้นมันก็ง่ายขึ้นที่จะมีคนที่ห้าปรากฏตัวออกมา” เฉินเกอยื่นมือออกไปดึงสมุดบันทึกมา และฉุยหมิงก็ปล่อยให้อย่างไม่รู้ตัว “อะไร? ไม่เชื่อผมเหรอ? บ้านผีสิงนี่น่ากลัวมาก มีเพียงแค่ร่วมมือกันพวกเราถึงจะรอดไปได้”
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อเธอ ผมแค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่ผู้เข้าชมจะรู้กฏของเกมน่ากลัวแบบนี้อย่างละเอียดขนาดนี้” ฉุยหมิงดูเหมือนจะมีแผลเป็นจากตอนที่มาสถาบันฝันร้ายครั้งก่อนอยู่ ดังนั้นเขาจึงหวาดระแวงคนอื่น ๆ อยู่ลึก ๆ
“นั่นไม่ปกติยังไง?” เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋า เขากำโทรศัพท์เครื่องดำ “เกมเหนือธรรมชาติพวกนี้น่ะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเพราะว่ามีคนเคยลองเล่นมันมาก่อนตั้งเยอะ อันที่จริง ผมมีเกมที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอยู่นะ พวกคุณอยากลองดูไหมล่ะ? ที่นี่น่าจะเหมาะมากทีเดียว”
ฉุยหมิงกลืนน้ำลายขณะมองไปรอบ ๆ ประตูห้องเรียนนั้นถูกสัตว์ประหลาดที่รออยู่ข้างนอกกระแทกใส่ หุ่นที่หน้ากระดานดำแกว่งไกวไปมา และหุ่นที่นั่งอยู่ตามที่นั่นก็มีสีหน้าน่ากลัว มันเหมาะสมแล้วจริง ๆ เหรอที่จะเล่นเกมอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้?
“เอาละ ผมไม่ล้อพวกคุณเล่นแล้ว ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด พิธีต้อนรับของสถาบันฝันร้ายน่าจะเกี่ยวข้องกับการเล่นเกมนี้ และพวกเราก็ควรจะเดินหน้าต่อไปได้หลังจากเล่นเกมแล้ว” เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับกลวิธีเช่นนี้เพราะว่าเขาก็อยู่ในธุรกิจแบบเดียวกัน
“ผีกำลังจะเข้ามาแล้วและคุณยังมีเวลาพูดเล่นอีกเหรอฮึ? ไปต่อกันเถอะ” หลี่หยวนและเซว่ลี่เดินเข้ามา พวกเขาต้องการอยู่ให้ห่างจากประตู
“อย่างแรกเลย มีอย่างหนึ่งที่ผมต้องแก้ไขให้ถูกต้อง ไอ้ที่กระแทกประตูอยู่ตอนนี้น่ะเป็นสัตว์ประหลาด ไม่ใช่ผี พวกมันเป็นสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง” เฉินเกอดึงสมุดบันทึกจากฉุยหมิง เขาเปิดมันและวางลงที่แท่นบรรยาย เขายืนอยู่หน้ากระดานดำและหุ่นที่มีกลิ่นน่ารังเกียจก็แกว่งไกวอยู่ด้านหลังเขาราวกับเป็นลูกตุ้มสักลูก
“บันทึกเล่มนี้ไม่มีชื่อเจ้าของ แต่จากลายมือ มันน่าจะเป็นของนักเรียนสักคน ลายมือในบันทึกเล่มนี้มีหลายลายมือแต่มันก็ไม่ได้สื่ออะไรนอกจากมันอาจจะมีเจ้าของหลายคน” เฉินเกอวิเคราะห์อย่างง่าย ๆ “จากการสังเกตของผมก็คือลายมือมีการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากเล่นเกมแต่ละครั้ง นี่หมายความว่าคนที่เล่นเกมนี้ตายไปหลังจากเขียนบันทึกนี้งั้นเหรอ?”
เฉินเกอพูดเร็วมาก ด้วยการฝึกฝนจากโทรศัพท์เครื่องดำ ยิ่งสภาพแวดล้อมน่ากลัวเท่าไหร่เขาก็ยิ่งใจเย็นเท่านั้น “เมื่อรวมวิดีโอที่บนจอเข้ากับบันทึกเล่มนี้ ให้ผมเล่าสถานการณ์ที่น่าจะเป็นให้พวกคุณฟัง นักเรียนใหม่สี่คนไม่เชื่อฟังอาจารย์ของพวกเขาและเข้ามาในโรงเรียนนี้ตอนกลางคืนเพื่อเล่นเกมมุมทั้งสี่ ระหว่างเกม ก็ปรากฏคนเพิ่มเข้ามาและจากนั้นพวเขาสี่คนก็หายไป ดังนั้น พวกเราจึงต้องทำสิ่งที่พวกเขาเริ่มเอาไว้ให้จบและสัมผัสกับเกมนี้ด้วยตัวพวกเราเอง”
สองชั่วโมงต่อการเข้าชมหนึ่งครั้ง… เฉินเกอวางแผนที่จะลดเวลาให้เหลือน้อยกว่าครึ่งชั่วโมง เขาผลักหุ่นออกไป “โทษทีนะ”
ตอนที่ผู้เข้าชมคนอื่นยังอ่านบันทึกอยู่ เฉินเกอก็เดินไปที่มุมห้องและพบห่วงติดอยู่กับกำแพงห่วงหนึ่ง เขาดึงแล้วกระดานดำก็ขยับออกเงียบ ๆ
“มีกลไกบางอย่างติดตั้งไว้ตรงนี้ ผมเจอเข้าแล้ว” เฉินเกอหันไปตะโกนบอกผู้เข้าชมคนอื่น ๆ “น่าจะมีห่วงสี่อันอยู่ในห้องนี้ หนึ่งอันที่แต่ละมุม พวกเราสี่คนต้องยืนที่สี่มุมและจากนั้นก็ดึงมันพร้อม ๆ กัน หลังจากนั้น พวกเราก็น่าจะหนีออกไปได้”
เฉินเกอที่ผ่านอะไรมากมายย่อมคิดได้ไกลและลงมือได้เร็วกว่าผู้เข้าชมทั่วไป นอกจากนี้ เขายังมีประสบการณ์มากมายให้ใช้สอย โดยทั่วไปแล้ว แค่มีเงื่อนงำเล็กน้อยเขาก็สามารถคาดเดาทั้งเรื่องได้
ก่อนที่ผู้เข้าชมจะทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินเกอก็มีวิธีการแก้ปัญหาแล้ว ผู้เข้าชมหลายคนเดินไปที่มุมห้องเรียนอย่างสงสัยอยู่บ้าง หลังจากพวกเขาดึงห่วงนั่นพร้อม ๆ กัน กระดานดำก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นเผยให้เห็นทางลับด้านหลัง สัตว์ประหลาดด้านนอกได้ยินเสียงและกระแทกตัวกับประตูแรงขึ้น
“เร็ว รีบไป!” หลี่หยวนและเซว่ลี่ยืนอยู่ตรงมุมที่ใกล้กับทางลับที่สุด พวกเขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้แล้วดังนั้นเมื่อทางลับเปิดออกพวกเขาก็ปล่อยห่วงและวิ่งไปยังกระดานดำ แต่ว่า พอพวกเขาทำอย่างนั้น กระดานดำก็เริ่มไหลกลับที่เดิม
“พวกเราสี่คนต้องดึงห่วงพร้อมกันเพราะให้กระดานดำลอยอยู่” เฉินเกอเข้าใจได้ทันที เหตุผลที่สถาบันฝันร้ายออกแบบมาอย่างนี้ไม่ใช่เพื่อให้ผู้เข้าชมหวาดกลัวแต่เพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน อย่างไรเสีย การเข้าชมบ้านผีสิงคนเดียวก็น่ากลัวกว่าเข้าชมพร้อมกับอีกเก้าคนอยู่แล้ว
“ผมเชื่อว่าพวกเราต้องแยกกัน พวกเราสี่คนดึงห่วงเอาไว้และคนที่เหลือเข้าไปด้านใน” หลังจากเฉินเกอพูดอย่างนั้นแล้ว คนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันและก็เห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีใครอยากอยู่ต่อ
“งั้นให้พวกเราสามคนอยู่เป็นไง?” เจ้าอ้วนน้อยหลี่ป๋อพูด “เชิญคุณผู้หญิงก่อนเลย”
หลี่หยวนและเซว่ลี่นั้นเป็นคู่รัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แยกจากกันอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ที่ต้องรั้งอยู่จึงต้องเป็นเฉินเกอและนักเรียนสามคน ทั้งสี่คนยืนอยู่ที่สี่มุม และกลไกก็ทำงาน เมื่อหลี่หยวนและคนที่เหลือเข้าไปในทางเดินลับแล้วก็เกิดบางอย่างขึ้น
กระดานดำตกลงมาทันที เกิดเสียงกระแทกกับพื้นดังลั่น
มีคนปล่อยห่วงของตัวเอง?
เขาหรี่ตาลง ด้วยดวงตาหยินหยางของเขา ความมืดไม่ได้ส่งผลกระทบกับเฉินเกอมากนัก เขามองไปรอบ ๆ ตามมุมอื่น ๆ และเห็นนักเรียนทั้งสามคนปล่อยห่วงของตัวเอง พวกเขายืนหันหน้าเข้าหากำแพงศีรษะก้มต่ำและปลายนิ้วเคาะที่กำแพงเบา ๆ
งั้น นักเรียนทั้งสามคนก็เป็นนักแสดงของบ้านผีสิงสินะ
ความจริงเผยต่อเฉินเกอแล้ว เขาถูกแยกตัวออกมา
ผู้เข้าชมสี่คนที่มาทีหลังน่าจะเป็นพนักงานของพวกเขาทั้งหมดเลย
เขาไม่โกรธหรือว่ากลัว อย่างไรเสีย เฉินเกอก็ทำกับผู้เข้าชมของเขายิ่งกว่านี้อีก
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเกอก็อ้าปากพูด “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมกระดานดำถึงตกลงมา? พวกเธอปล่อยมือเหรอ? พวกเธอยังอยู่ไหม?”
มีร่องรอยประหลาดใจและหวาดกลัวในน้ำเสียงเขา ทำให้รู้สึกเหมือนเขาพยายามสงบจิตใจอยู่
“นี่หลี่ป๋อ ฉันอยู่ตรงนี้! ตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไงดี? ที่นี่มืดมาก ฉันไม่กล้าขยับเลย!”
จากมุมที่อยู่ใกล้กระดานดำมากที่สุดเป็นเสียงหลี่ป๋อ ริมฝีปากของเขาอ้ากว้างและเขาก็แหกปากร้องเสียงหลง ตอนที่เขาพูด หลี่ป๋อก็มองมาทางเฉินเกอ และความสนุกของการได้แก้แค้นก็ส่องประกายอยู่ในดวงตาของเขา
“ไม่ต้องกลัว! ยืนอยู่ที่เดิม ผมจะไปหาเธอเอง!” เสียงของเฉินเกอนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยและอบอุ่นเหมือนเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กชาย “อย่าตื่นตระหนกไป ผมจะพยายามหาทาง! ยังมีใครอยู่ที่นี่อีกไหม? พูดหน่อยสิ ให้ผมได้รู้ตำแหน่งของเธอ!”
“ผมอยู่อยู่ข้าง ๆ สมุดบันทึกตอนที่กำลังอ่านมันอยู่ก่อนหน้านี้ มีคำเตือนอยู่ที่ใต้กติกา ถ้าคุณหาทางออกไม่ได้ พวกเราสามารถเล่นเกมเพื่อหาทางออกใหม่” เสียงของฉุยหมิงดังมาจากทิศทางตรงข้ามกับหลี่ป๋อ พวกเขาสองคนยืนอยู่ตรงมุมที่ใกล้กระดานดำที่สุด
“ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องเล่นเกมนี้เพื่อหาทางหนี หลังจากนี้ผมอยากให้พวกเธอทำตามคำสั่งของผม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าสงบใจเข้าไว้!” ตอบแทนความแค้นของพวกเขาด้วยเมตตา เฉินเกอเตือนพวกเขา “ตอนที่เกมเริ่มขึ้นจริง ๆ อาจจะมีคนเกินมา นั่นน่าจะเป็นนักแสดงของบ้านผีสิง ดังนั้นสิ่งที่พวกเธอต้องทำ ก็คืออย่าตื่นตระหนกไป”
ตอนที่ 735
ผู้เข้าชมสี่คนจับจองมุมทั้งสี่ของห้องเรียน รอบด้านมืด และยังไม่มีแสงเลยสักนิด เพลงพื้นหลังดังมาจากมุมไหนไม่รู้ล่องลอยเข้าไปในหูของพวกเขาและผู้เข้าชมคนไหน ๆ ก็ต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
“ถ้าพวกเธอพร้อมแล้ว พวกเราก็จะเริ่มเล่นเกมนี้” เฉินเกอเคยเล่นเกมเหนือธรรมชาติมาก่อนหน้านี้หลายเกม แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเล่นกับคนแปลกหน้า
ด้วยความเป็นห่วงด้านความปลอดภัย เฉินเกอเตือนผู้ร่วมเล่นคนอื่น ๆ อีกครั้ง “บ้านผีสิงนี่ไม่เคยพบเจอแสงตะวัน ดังนั้นมันจึงสั่งสมพลังหยินเอาไว้หนาแน่นและนั่นก็ดึงดูดสิ่งแปลก ๆ มากมายมา
“เล่นเกมอย่างนี้ในบ้านผีสิงนั้นอันที่จริงเป็นการกระทำที่อันตรายมาก ตอนที่ฉันมาถึงที่นี่ ฉันก็เห็นแล้วว่าสถาบันฝันร้ายน่ะตั้งอยู่ที่มุมหยินของถนนการค้าและมันยังตั้งอยู่ด้านหลังสุดของตึกทั้งหมด นี่เป็นหยินยิ่งกว่าหยิน และที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก มีตึกสูงเสียดฟ้าตั้งอยู่ติดกับตึกนี่ขวางแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของแสงสว่างแห่งเดียวของสถาบันฝันร้ายไป สถานที่ในภูมิศาสตร์เช่นนี้น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อเลย”
“พวกเราเป็นแค่นักเรียน คุณอย่าพูดให้มันดูน่ากลัวขนาดนี้ได้ไหม?” หลี่ป๋อดึงซิปของเสื้อคลุมลงเผยให้เห็นเครื่องแบบนักเรียนที่ด้านใน มันเหมือนกับเครื่องแบบที่รุ่นพี่คนนั้นใส่อยู่เลย
“สิ่งที่ผมกำลังพูดนั้นธรรมดามาก เล่นเกมเหนือธรรมชาติในบ้านผีสิงอาจจะทำให้พวกเราเจอเข้ากับสิ่งเหล่านั้นจริง ๆ ถ้าเธอกลัว เธอควรออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่กับดักที่บ้านผีสิงวางเอาไว้แต่ว่าเป็นบางอย่างที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง…”
“ผมรู้ แต่ว่าพวกเราเริ่มเกมเลยได้ไหม? ที่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว” เสี่ยวกั่วนั้นอยู่ตรงมุมตรงข้ามกับเฉินเกอ ตอนที่เขาพูด ก็มีรอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะเริ่มก่อน” เฉินเกอเดินไปทางฉุยหมิงขณะแตะกำแพงไปด้วย ตามกฏแล้ว เขาต้องไปให้ถึงตำแหน่งของฉุยหมิง เดินไปข้างหน้าช้า ๆ ทำให้มันดูเหมือนจริงมากขึ้น เขายังหลับตาลงด้วย
ปลายนิ้วของเขาแตะถูกมุมกำแพง เฉินเกอลืมตาขึ้นและใบหน้าซีดใบหน้าหนึ่งก็ลอยอยู่ในความมืด เฉินเกอเอื้อมมือออกไปแตะไหล่ของผู้ชายตรงหน้าเขา เฉินเกอนั้นเดินวนตามเข็มนาฬิกา เขาควรจะเดินไปหาฉุยหมิง ฉุยหมิงควรจะเดินไปทางหลี่ป๋อ และหลี่ป๋อเดินไปทางเสี่ยวกั่ว
ฉุยหมิงไม่พูดอะไร เขาเดินไปตามกระดานดำและมุ่งหน้าไปทางมุมของหลี่ป๋อ ตอนที่เขาไปถึงหลี่ป๋อ เขาก็ตบบ่าซ้ายของหลี่ป๋อ จากนั้นก็บ่าขวา นี่น่าจะเป็นสัญญาณของพวกเขา
เฉินเกอพบว่า ตอนที่ฉุยหมิงทำอย่างนั้น ไหล่ที่เกร็งเขม็งของหลี่ป๋อก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เกมดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่ตอนที่พวกเขาเริ่มรอบที่สองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น
เสี่ยวกั่วแตะบ่าเฉินเกอ เขาเข้าไปอยู่มุมที่เฉินเกออยู่ตอนแรก ตามกฏแล้ว เฉินเกอควรจะเดินไปทางมุมของฉุยหมิงขณะที่คนที่เหลืออยู่กับที่ แต่ว่า ตอนที่เฉินเกอเดินไปได้ครึ่งทางจู่ ๆ เสี่ยวกั่วก็เดินตามหลังเฉินเกอมา!
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น ทั้งฉุยหมิงและหลี่ป๋อก็เริ่มออกเดินพร้อมกัน ทั้งสามคนประสานงานกันได้ดีทีเดียว การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นเบาและไม่มีเสียงอะไรเลย ตอนที่เฉินเกอไปถึงตรงมุมของฉุยหมิง ฉุยหมิงก็เดินออกไปแล้วเหลือแต่มุมว่าง ๆ เอาไว้
ถ้าเฉินเกอเป็นคนธรรมดาก็คงเริ่มกระวนกระวายแล้วเพราะพูดตามทฤษฎีแล้ว ต้องมีคนรออยู่ที่มุมนี้ เสี่ยวกั่วรักษาระยะห่างของตัวเองจากเฉินเกอ ในใจเขา เขามองเห็นแล้วว่าเฉินเกอนั้นตื่นตระหนกแค่ไหน นี่เป็นนักเรียนใหม่ที่มาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับเฉินเกอ– ผู้เข้าชมธรรมดานั้นไม่ได้มีโอกาสได้รับประสบการณ์เช่นนี้
ความมืดนั้นเป็นความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ เมื่อมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ด้วยกฏที่เปลี่ยนไป ไม่มีใครสามารถรักษาความสงบของตัวเองไว้ได้หรอก เสี่ยวกั่วมองเงาที่ตรงหน้าตัวเองอย่างคาดหวัง เขาทบทวนบทในใจขณะปรับสีหน้าและเตรียมกระโจนไปด้านหน้า แต่ว่า ในตอนนี้เอง บางอย่างที่เขาไม่ได้คาดเอาไว้ก็เกิดขึ้น
เฉินเกอดึงปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและหยุดอยู่ที่เดิมวินาทีหนึ่ง
“เขากำลังทำอะไรน่ะ?” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินเกอก็ยืดตัวขึ้นและยืนอยู่ที่ตรงมุม จากนั้น เสี่ยวกั่วก็เห็นเงามัว ๆ เงาหนึ่งออกจากมุมของเฉินเกอและขยับไปทางมุมต่อไป
“มีคนอยู่ที่มุมนั้น?” เสี่ยวกั่วหยุดเดินทันที ปฏิกริยาแรกของเขาก็คือนักแสดงอีกสองคนนั้นทำพลาด– พวกเขาไม่ทำตามบทที่เขียนเอาไว้ “แล้วตอนนี้ฉันควรจะทำยังไง?”
เฉินเกอหยุดอยู่ที่มุมเดิมของฉุยหมิง ฉุยหมิงและหลี่ป๋อนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตามแผนแล้ว พวกเขาเดินไปยังมุมถัดไปแล้ว ฉุยหมิงกับหลี่ป๋อกำลังรอเสียงกรีดร้องจากเฉินเกอ พวกเขาไม่ชอบเฉินเกอมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เมื่อชายคนนั้นอาสาเดินเข้ากับดักเอง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ปล่อยชายคนนี้ไปง่าย ๆ
อย่างน้อยที่สุดนั่นก็เป็นแผนการของพวกเขา แต่ว่าพวกเขารอตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้ยินเสียงร้องของเฉินเกอเลย ฉุยหมิงหันหลังกลับไปดู เขายังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ตอนนี้มีคนตบบ่าของเขา เขาขนลุกซู่ และฉุยหมิงก็เอนตัวพิงกำแพงทันที
“เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเฉินเกอเดินต่อโดยไม่ได้หยุดอยู่ตรงมุม?” มองเงาที่ด้านหลังตัวเองแล้วฉุยหมิงก็เห็นแค่โครงร่างเลือน ๆ เท่านั้น ขนาดตัวของคนผู้นี้นั้นต่างไปจากเฉินเกออย่างสิ้นเชิง เขาเตี้ยเกินไปและผอมเกินไป
ในพวกเขาทั้งหมด มีแค่เสี่ยวกั่วที่มีรูปร่างเท่า ๆ นี้
“พี่กั่ว?” ฉุยหมิงเรียกเงานั่นเบา ๆ แต่ว่าไม่มีการตอบรับ ฉุยหมิงไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร เขาเดินต่อไปข้างหน้าหาหลี่ป๋ออย่างงุนงง
ตอนที่หลี่ป๋อเห็นเงาร่างหนึ่งโซเซมาทางเขา เขาก็ค่อนข้างตกใจเหมือนกัน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงได้แต่เดินไปทางมุมของเสี่ยวกั่ว
เฉินเกอนั้นดูไม่หวาดกลัวเลย เพื่อนร่วมทีมของเขาทำพลาด เสี่ยวกั่วได้แต่อึ้ง หลังจากคิดแล้ว เขาก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ตำแหน่งเดิมของตนและทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรเสีย ในห้องเรียนนี้ก็มีกล้องมองกลางคืน ถ้ามีปัญหาอะไร นักเทคนิคก็จะได้รับแจ้งผ่านข้อความแล้ว ก่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่ม พวกเขายังได้รับหูฟังบลูทูธมาด้วย ถ้าจำเป็นพวกเขาก็สามารถใช้มันได้– ของชิ้นนี้นั้นเป็นหนึ่งในอุปกรณ์จำเป็นสำหรับพนักงานบ้านผีสิง
เสี่ยวกั่วเดินกลับไป และหลี่ป๋อก็เดินมาที่มุมของเขา ทั้งสองคนนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่แทบจะเท่ากัน ในความมืด เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกเปิดโปง เสี่ยวกั่วเดินเบามาก เขาระมัดระวังมากในการเดินกลับไปมือแตะไว้บนผนัง ตอนที่เขากำลังจะถึงตรงมุมของตัวเอง ปลายนิ้วของเขาจู่ ๆ ก็แตะถูกมือของคนอื่น!
แขนของเขาหดกลับทันที เขาไม่คิดว่าจะมีคนอื่นมาจากที่ด้านหลังตัวเอง!
“นี่ใครน่ะ?”
“พี่กั่ว?”
หลี่ป๋อเองก็ตกใจเหมือนกันตอนที่มีใครแตะถูกมือเขา
“ทำไมนายถึงมาอยู่ด้านหลังฉันได้?” เสี่ยวกั่วประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาร่วมมือกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้น
ตอนที่ 736
“แต่ว่าฉันก็ต้องอยู่ด้านหลังนายอยู่แล้วนี่!” หลังจากได้ยินเสียงเสี่ยวกั่ว หลี่ป๋อก็ใจเย็นลงเล็กน้อย อย่างไรเสีย นี่ก็ยืนยันว่าเขากำลังคุยอยู่กับคนไม่ใช่อย่างอื่น
“นั่นก็ไม่ผิด แต่…” เสี่ยวกั่วมองไปยังมุมตรงหน้าตัวเองแล้วก็ลดเสียงลงกระซิบ “นี่ไม่ได้เป็นไปตามบทนี่ใช่ไหม?”
“ฉันรู้ แต่ว่านายต้องถามฉุยหมิงเรื่องนั้น ฉันแค่เดินมาหานายเพราะว่าเขาเดินมาหาฉัน” หลี่ป๋องุนงง ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“ดูเหมือนว่าปัญหาจะอยู่ที่ฉุยหมิง เฉินเกออยู่ข้างหน้านี่เอง เขาไม่ได้ขยับ และเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเดินต่อไปเองด้วย” เสี่ยวกั่วดึงหูฟังบลูทูธออกมาจากกระเป๋า เขากำลังจะสวมมันแต่กลัวว่าเฉินเกอจะเห็น หลังจากคิดแล้วเขาก็ส่งสัญญาณให้หลี่ป๋อใจเย็นลงขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังมุมที่เฉินเกออยู่ มือของเสี่ยวกั่วแตะอยู่บนกำแพง เขามุ่งหน้าไปในความมืด ตอนที่เขาไปถึงมุมของเฉินเกอ เขาก็ระแวดระวังมากขึ้นตอนที่เอื้อมมือไปแตะไหล่ของเฉินเกอ
ความสูงไม่เปลี่ยน คนผู้นี้น่าจะเป็นเฉินเกอ แต่ว่าทำไมตัวเขาถึงเย็นขนาดนี้? แปลกมาก
“เสี่ยวกั่ว?” ก่อนที่เสี่ยวกั่วจะทันคิดอะไร เฉินเกอจู่ ๆ ก็เรียกชื่อเขา
“อะ… อะไร?” เสี่ยวกั่วดึงมือกลับตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตอนที่ฉันเดินมาถึงตรงนี้ก่อนหน้านี้ มีคนยืนอยู่ที่ตรงมุม เขาดูตัวเล็กกว่าฉุยหมิง แต่ว่าฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นหลี่ป๋อ ฉันสงสัยว่าพนักงานของบ้านผีสิงจะแอบเข้ามาในนี้” เฉินเกอสูดลมหายใจเฮือก เสียงของเขานั้นราวกับเค้นรอดไรฟันออกมาและฟังดูหวาดกลัวมาก
“มีคนเพิ่มเข้ามา? พนักงานของบ้านผีสิงอาจจะเข้ามาร่วมวงกับพวกเรา?” เสี่ยวกั่วมองใบหน้าเลือนรางของเฉินเกอและรู้สึกสมองว่างเปล่า นี่นายกำลังบอกพนักงานบ้านผีสิงสามคนว่าพวกเราอาจจะถูกพนักงานคนอื่นแทรกซึมเข้ามางั้นเรอะ? นี่เป็นเรื่องตลกใช่ไหมฮึ?
“ฉันไม่ได้โกหกเธอ ระวังด้วย” เฉินเกอพูดอย่างจริงจัง และนี่ก็ทำให้เสี่ยวกั่วกระวนกระวาย กระทั่งเขาเองก็เริ่มสงสัยว่าหัวหน้าส่งกำลังเสริมเข้ามาช่วยพวกเขา
“ได้ครับ” เสี่ยวกั่วพยักหน้า ตอนที่เฉินเกอเดินไปยังมุมถัดไป เขาก็ดึงหูฟังออกมาจากกระเป๋าเงียบ ๆ แล้วสวม
“คุณได้ยินผมไหมครับ?” เสี่ยวกั่วหันหน้าเข้าหากำแพงใช้เสื้อของตนบังแสงจากหน้าจอโทรศัพท์เอาไว้ และกระซิบถามเพื่อนร่วมงานที่ในห้องกล้องวงจรปิด
“ได้ยิน” เสียงชายวัยกลางคนดังมาจากเครื่องมือสื่อสาร “ฉันกำลังจะโทรหานายเลย ทำไมนายไม่ทำตามบท? นายรู้ใช่ไหมว่าฉันลำบากแค่ไหนกว่าจะคิดวิธีการนี้ออกมาได้? มันจะช่วยเพิ่มความสยองขวัญของเกมจนถึงจุดสูงสุด เลิกเล่นแล้วกลับไปที่ตำแหน่งของนายแล้วทำตามบทได้แล้วคราวนี้”
“หัวหน้า ที่นี่ดูเหมือนจะมีปัญหา คุณได้ส่งคนอื่นเข้ามาช่วยพวกเราหรือเปล่าครับ?”
“ฉันไม่ได้ส่ง” ชายวัยกลางคนเองก็สงสัยและงุนงงไปกับถ้อยคำของเสี่ยวกั่ว “เลิกคุยได้แล้วถ้าไม่อยากถูกจับได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะบอกนายทันที”
เสี่ยวกั่วยังกังวลดังนั้นจึงเสริม “หัวหน้าครับ ผมไม่แน่ใจว่าทุกคนอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ คุณมองเห็นทุกคนไหมในกล้อง?”
“ซ้อมเยอะตั้งขนาดนี้แล้วนายยังจำเรื่องพื้น ๆ แบบนี้ไม่ได้อีกเรอะ?” ชายคนนั้นดูจะหมดความอดทนแล้ว “ตอนนี้นายอยู่ที่ด้านขวาของกระดานดำที่อยู่ใกล้กับประตูที่สุด หลี่ป๋ออยู่ด้านซ้ายของกระดานดำ และฉุยหมิงอยู่ตรงมุมด้านไกลที่สุดของห้องเรียน เฉินเกอกำลังเดิน โอ้ ตอนนี้เขาไปหยุดอยู่ตรงมุมที่ใกล้กับประตูหลังที่สุดแล้ว แล้วก็พวกนายทุกคนทำอะไรกันอยู่? นายเดินครบรอบนึงแล้วและทั้งสี่มุมก็ยังมีคนอยู่ครบ”
“หัวหน้าไม่ต้องห่วง ตอนนี้ผมรู้ตำแหน่งของทุกคนแล้ว พวกเราจะทำตามบท” ตอนที่เสี่ยวกั่วพูดอย่างนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากแถวหลังสุดของห้องเรียน คนผู้นั้นไม่ได้คิดจะปิดบังเสียงฝีเท้าเลยสักนิด
“มีคนเดินอยู่?” เพื่อเพิ่มบรรยากาศ ในห้องเรียนจึงไม่มีแสงไฟ เสี่ยวกั่วมองเห็นแค่เงาร่างหนึ่งกำลังเดินอยู่ที่ด้านหลังห้องเรียน
“ไม่มีใครเดิน พวกนายสี่คนกำลังยืนอยู่ที่สี่มุม ไม่มีใครเคลื่อนที่” ชายวัยกลางคนมองกล้องวงจรปิดและบอกเสี่ยวกั่วว่าเขาเห็นอะไร เขาพูดออกไปด้วยความมีน้ำใจ แต่ว่าเขาไม่รู้เลยว่าที่เขาบอกนั้นนำเอาความสยองขวัญไปให้เสี่ยวกั่วมากแค่ไหน
เสียงฝีเท้านั้นดังชัดอยู่ในห้องเรียนเงียบ ๆ– มีคนกำลังเดินอยู่ในห้องเรียนจริง ๆ!
“หัวหน้า ผมขอคำยืนยันจากคุณอีกครั้งนะครับ คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้ส่งคนอื่นมาที่นี่เพิ่ม?”
“ไม่ ฉันต้องบอกนายอีกกี่ครั้งว่าพวกนายสี่คนกำลังยืนอยู่ที่สี่มุม? ไม่มีใครเคลื่อนที่ทั้งนั้น ทำไมวันนี้นายถึงดูแปลก ๆ ไป? นายป่วยอะไรหรือเปล่า? เป็นเพราะนายถูกแม่สั่งสอนมาอีกแล้วหรือเปล่า?” ชายวัยกลางคนหมดความอดทนแล้ว
ในกล้อง ทั้งสี่คนนั้นยืนอยู่ตรงมุมของใครของมัน แต่ว่ามีเสียงฝีเท้าดังอยู่ในห้องเรียน!
มันหมายความได้อย่างเดียวก็คือมีคนที่ห้าอยู่ในห้องเรียนด้วย! เป็นใครกัน? คนผู้นั้นเข้ามาตอนไหน?
จิตใจของเสี่ยวกั่วเริ่มยุ่งเหยิง เขาอดนึกถึงสิ่งที่เฉินเกอพูดตอนเริ่มเกมไม่ได้ เล่นเกมแบบนี้ในบ้านผีสิงนั้นอันตรายเพราะว่าจะอาจจะเรียกสิ่งเหล่านั้นออกมาจริง ๆ ได้
“พวกเราทดลองกันมาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ และก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าคราวนี้…”
ถ้าคนเราเดินเลียบอยู่ริมน้ำบ่อยเข้าเท้าก็จะเริ่มเปียก เสี่ยวกู่กำลังจะบอกสถานการณ์ปัจจุบันให้กับชายในห้องกล้องวงจรปิดตอนที่ชายคนนั้นพูดขึ้นมา
“เอ๋? เกิดอะไรขึ้นกับฉุยหมิง?” ชายวัยกลางคนพูดอย่างประหลาดใจ “เฉินเกอยังยืนอยู่ที่มุมของเขาอยู่เลย เขายังไม่ได้เดินไปหาฉุยหมิง แล้วทำไมเขาถึงเริ่มออกเดินแล้วล่ะ?”
ตอนที่ชายวัยกลางคนพูดอย่างนั้น มันก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงฝีเท้าก่อนหน้านี้หยุดและก็มีเสียงฝีเท้าใหม่เริ่มต้นออกเดินอีกครั้ง
พวกเราสามคนร่วมมือกันมาหลายครั้งแล้ว ฉุยหมิงคงไม่เดินไปข้างหน้าหากไม่มีใครตบบ่าเขา!
เมื่อความคิดนั้นเข้ามาในใจเขา หน้าผากของเสี่ยวกั่วก็มีเหงื่อเย็น ๆ ผุดออกมา ถึงเขาจะทำงานในบ้านผีสิงก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่กลัวอะไรเลย
“หัวหน้า ใครอยู่ตรงมุมที่ฉุยหมิงอยู่เมื่อกี้นี้?” เสี่ยวกั่วเช็ดมือที่ลื่นไปด้วยเหงื่อกับเสื้อตัวเอง
“นี่วันนี้นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย? ฉันเห็นชัดเจนจากกล้องเลยว่ามุมนั้นตอนนี้ว่างอยู่”
“คุณมองมันไม่เห็นจากกล้องเหรอ?” เสี่ยวกั่วตื่นตระหนกจริง ๆ แล้ว ที่จริงเขายังอายุน้อยนักซึ่งทำให้เขาได้รับบทนักเรียนมัธยม “หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ตรงมุมนั้นมีผีอยู่สินะ”
“ผีอะไร? นายกำลังเป็นตัวถ่วงฉันใช่ไหม? พวกนายสามคนสิเป็นผี หรือว่าพวกนายเสียสติไปแล้วหลังจากเล่นเป็นผู้เข้าชมนานเกินไป?” ชายวัยกลางคนไม่รู้เลยว่าเสี่ยวกั่วกำลังพูดถึงอะไรอยู่ “เร็วเข้า กลับเข้าไปเล่นตามบทได้แล้ว ฉันจะไปเก็บภาพเฉินเกอที่กำลังหวาดกลัวและจะตัดต่อเป็นคลิปสั้น ๆ เอาไปแฉในเวบใหญ่ ๆ ให้หมดเป็นการสอนบทเรียนให้เขา!”
“ครับหัวหน้า ผมจะพยายามสุดฝีมือ” เสี่ยวกั่วบังคับตัวเองให้ตอบรับ เขามองไปที่ฉุยหมิงที่ยังเดินอยู่ในความมืด หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็ดึงโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้ฉุยหมิง
ฉุยหมิงนั้นอยู่ระหว่างทางเดินไปหาหลี่ป๋อและจู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็สั่น เขาดึงโทรศัพท์ออกมาเหลือบมองขณะที่ใช้เสื้อของตัวเองบังแสงเอาไว้ เป็นความความจากเสี่ยวกั่วและมันอ่านได้ว่า “ผีอยู่ด้านหลังนาย!”
นี่เป็นประโยคธรรมดาแต่ว่าตีความได้ไม่รู้จบ ฉุยหมิงมองไปด้านหลังตัวเอง และก็มีคนยืนอยู่ตรงมุมที่เขาเพิ่งเดินออกมา มันดูผอมแห้งที่ทำให้เขานึกถึงเสี่ยวกั่ว
เฉินเกอกับเสี่ยวกั่วสลับที่กันเหรอ? ฉันเป็นนักแสดง และในบ้านผีสิงนักแสดงก็คือผี ดังนั้นข้อความนี้น่าจะหมายถึงว่าตอนนี้ที่ด้านหลังฉันคือเสี่ยวกั่วใช่ไหม?
ฉุยหมิงงุนงงและหยุดเดิน จากมุมมองของเขา เป็นเสี่ยวกั่วที่หลุดจากบท และก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้นอกจากทำตามบทที่เพี้ยนไปแล้วต่อไป
เขากำลังพยายามบอกอะไรฉันน่ะ?
เพื่อความปลอดภัย ฉุยหมิงเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าของตัวเองหาหูฟัง ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของเขา เขาถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือและมองเงาร่างที่ใกล้เข้ามา ไม่ช้า ข้อความที่สองของเสี่ยวกั่วก็มาถึง
“อย่าหยุด! คราวนี้พวกเราดึงดูดผีจริง ๆ เข้าแล้ว!” หลังจากอ่านข้อความด้วยแสงอ่อนจากจากหน้าจอโทรศัพท์ฉุยหมิงก็เงยหน้าขึ้น เขายังมองไม่เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ด้านหลังเขาแต่ว่าเขาก็แน่ใจแล้วว่าคนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าที่ต่างไปจากนักเรียนของสถาบันฝันร้ายและบริเวณหน้าอกก็มีตัวอักษรปักเอาไว้
“โรงเรียนมัธยมมู่หยาง?”
ตอนที่ 737
ทำไมคนผู้นี้ถึงสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนอื่น? ฉุยหมิงอึ้งไป โรงเรียนมัธยมมู่หยาง? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย เป็นผู้เข้าชมคนอื่นที่หลงเข้ามาที่นี่เหรอ? แต่ทำไมฉันถึงไม่ได้ยินหัวหน้าพูดถึงเรื่องนี้เลย?
ตอนที่ฉุยหมิงกำลังยืนคิดอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ก้องอยู่ในความมืดอีกครั้ง และเงาพร่ามัวนั่นก็ตรงมาทางเขาช้า ๆ อุณหภูมิรอบตัวเขาราวกับจะลดลง ลมเย็น ๆ จากเครื่องปรับอากาศคืบคลานเข้าไปในคอเสื้อของเขาและทำให้ขนบนแผ่นหลังของฉุยหมิงลุกชัน
“พี่กั่ว นั่นนายหรือเปล่า?” ไม่มีใครตอบฉุยหมิง เขาสูดลมหายใจลึก ความกดดันอันบรรยายไม่ถูกเริ่มกดลงบนบ่าของเขาและร่างกายของเขาก็รู้สึกอยากจะหันหลังวิ่งหนีไป
เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ?
เขาอยู่ในบ้านผีสิง และเขาก็เป็นหนึ่งในพนักงาน แต่ว่าตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนึ่งในผู้เข้าชม
ดวงตาของเขาเบิกโพลง ยิ่งเขาประเมินสถานการณ์เขาก็ยิ่งกระวนกระวาย คนที่ตามหลังเขาอยู่นั้นไม่ใช่เสี่ยวกั่วแน่นอน เขาสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนอื่น!
ความไม่รู้นั้นน่ากลัวที่สุด และฉุยหมิงก็พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น เขารู้ว่ามีคนกำลังตามหลังเขามาแต่ว่าเขาไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าคนคนนั้นเป็นใคร เขากำลังเล่นเกมที่คุ้นเคย แต่เพราะมีคนแปลกหน้าที่ด้านหลัง ทุกอย่างก็กลายเป็นหลอนขึ้นกว่าเดิมมาก
ความมืดกลืนกินฉุยหมิงไปราวกับคลื่นลูกหนึ่ง หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่เป็นจังหวะและลมหายใจของเขาก็กระชั้น มันเหมือนเขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องเรียนนี้ ผู้เข้าชมคนอื่นและเพื่อนร่วมงานหนีไปแล้วและทั้งหมดที่เขามองเห็นและสัมผัสได้ที่รอบตัวก็เป็นความมืดที่ไร้ขอบเขต
หลังจากคนผู้หนึ่งคุ้นเคยกับโลกที่เต็มไปด้วยสีสัน เมื่อต้องกลับมาอยู่ในสถานที่ที่มืดมิด ย่อมเกิดความตื่นตระหนกเหมือนถูกดึงออกมาจากโลกเดิมของตน ฉุยหมิง ที่หลอกผู้เข้าชมคนอื่น ๆ อยู่ในฉากนี้มานักต่อนักนั้นได้ลิ้มรสชาติที่ตัวเองเคยทำเอาไว้แล้ว
โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่ามีคนส่งข้อความหาฉุยหมิงอีกครั้งแล้ว ฉุยหมิงกดข่มความหวาดกลัวในใจ ใช้ร่างของตัวเองบังแสงหน้าจอแล้วแอบอ่านข้อความ “ใส่หูฟังซะ!”
ยังคงเป็นเสี่ยวกั่วที่ส่งข้อความมาและข้อความก็สั้นมากมีแค่สี่คำเท่านั้น
ถ้านายมีอะไรจะบอกฉันทำไมถึงไม่แค่พูดมันออกมา? นี่มีแต่จะทำให้ฉันตื่นตระหนกกว่าเดิมนะ! ฉุยหมิงบ่นในใจ เขาถือโทรศัพท์อยู่ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างเอื้อมเข้าไปในกระเป๋าหาหูฟัง ตอนที่ปลายนิ้วจับหูฟังเอาไว้และเตรียมสวมเข้าที่หู ก็มีลมเย็น ๆ เป่าใส่หลังคอเขา
เขาหมุนตัวกลับและแสงจากหน้าจอก็ส่องสว่างไปที่ด้านหลังเขา ฉุยหมิงไม่ได้ก้มหน้าลง ที่ระดับสายตาของเขา ฉุยหมิงไม่เห็นใครอยู่ที่ด้านหลังตัวเอง สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นรองเท้าผู้หญิงเก่า ๆ คู่หนึ่ง และสิ่งที่แตะหลังคอของเขาก่อนหน้านี้กลับเป็นเชือกผูกรองเท้า
ทำไมรองเท้าคู่นี้ถึงลอยอยู่ด้านหลังฉันได้?
เมื่อดวงตาของเขาไล่ตามรองเท้าไป ลำคอของฉุยหมิงก็เริ่มเงยขึ้นเพื่อมองหาเจ้าของรองเท้า เขามองเห็นเงาดำที่เกือบจะยืนอยู่บนบ่าของเขา! ตอนที่เขาเงยหน้ามองคนผู้นั้น คนผู้นั้นก็กำลังมองกลับลงมาที่เขา!
หัวใจของเขาราวกับจะหยุดเต้นไป และทั้งร่างก็ราวกับจะแข็งทื่อไป เขาจับกำแพงเอาไว้ และสมองของเขาก็พยายามอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดอย่างมีเหตุมีผล แต่ว่า ต่อให้สมองของเขาหมุนแล้วหมุนอีกเขาก็นึกคำอธิบายดี ๆ ไม่ออก
ห้องเรียนร้าง ความมืดที่หนาหนักจนมองไม่เห็นกระทั่งนิ้วของตัวเอง มีคนยืนอยู่บนไหล่ของเขา แค่สองอย่างในนี้ก็ทำให้คนผู้หนึ่งหวาดกลัวแทบตายแล้ว และฉุยหมิงก็โชคดีพอที่จะได้สัมผัสทั้งสามอย่างพร้อมกัน
ลำคอของเขาที่เงยขึ้นแข็งทื่อ ฉุยหมิงเปิดปากเพื่อกรีดร้องขอความช่วยเหลือ แต่เพราะความกลัวสุดขีด คำที่ออกมาจากปากของเขาจึงฟังอู้อี้ ไม่มีใครรอบตัวเข้าใจว่าเขาพยายามจะสื่ออะไร และพวกเขาก็กำลังจะถามให้แน่ใจตอนนี้เห็นฉุยหมิงพุ่งไปข้างหน้าอย่างกับจรวด
บทบาท นักแสดง บ้านผีสิง– ทุกอย่างถูกเหวี่ยงออกไปจากสมองของฉุยหมิง มีเพียงความคิดเดียวที่เหลืออยู่ ฉันต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
ในสมองของเขาไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีเส้นทาง ทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่ต้องอยู่ในห้องเรียนก็พอแล้ว
“ฉุยหมิง!” เสี่ยวกั่วร้องเรียกชื่อของเด็กหนุ่มออกมา เขาอยากจะไปบอกให้ฉุยหมิงใจเย็นลง และทั้งหมดที่เขาได้กลับมาก็คือเสียงโต๊ะและเก้าอี้ถูกกระแทกให้พ้นทาง ในห้องเรียนไม่มีแสงไฟ ดังนั้นฉุยหมิงจึงมองทางไม่เห็นแต่ว่านั่นก็ไม่ได้หยุดเด็กหนุ่มจากการแหวกทางเปิดตอนที่พยายามหนีไปยังประตูหน้าของห้องเรียน
เสี่ยวกั่วรู้ว่าเป็นผีตนนั้นที่ตามหลังฉุยหมิง เห็นปฏิกริยาของฉุยหมิงแล้วเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า ‘สิ่งนั้น’ น่ากลัวเพียงใด
“นายกำลังจะไปไหน? ฉุยหมิง!” เสี่ยวกั่วถามเสียงดังแต่ว่าฉุยหมิงหายลับไปโดยไม่หันกลับมามอง
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา? ทำไมจู่ ๆ เขาก็เริ่มวิ่งออกไปข้างนอน? เกิดเรื่องไม่ดีกับเขาหรือเปล่า?” ในน้ำเสียงของเฉินเกอนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาถามออกมารวดเดียวสามคำถาม และคนอื่นที่ยังอยู่ในห้องก็ฟังออกว่าเขาเป็นห่วงฉุยหมิงแค่ไหน
“ผมก็ไม่รู้ แต่ผมไม่คิดว่าพวกเราควรจะเล่นเกมนี้ต่อ ผมต้องไปตามหาฉุยหมิง” เสี่ยวกั่วเริ่มกลัว สภาพรอบตัวของเขานั้นมืดเกินไปจนเขาบอกไม่ได้แน่ว่าผีตนนั้นออกไปพร้อมกับฉุยหมิงหรือเปล่า
“ไม่มีทาง!” เป็นคำตอบมาจากแถวสุดท้ายของห้องเรียนและจากหูฟังของเสี่ยวกั่วพร้อมกัน ทั้งเฉินเกอและเจ้าของสถาบันฝันร้ายนั้นมีปฏิกริยาเหมือนกัน “พวกแกกำลังทำอะไรกัน? ทำตามบทที่ฉันให้ไปซะ! แกกล้าก่อเรื่องและทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้ชายคนนี้เหรอ!”
เสียงหอบหายใจอย่างโมโหของหัวหน้าของเสี่ยวกั่วดังเข้ามาในหูฟัง ก่อนที่เสี่ยวกั่วจะได้ตอบหัวหน้าของเขา เขาก็ได้ยินเฉินเกอพูดมาจากที่แถวสุดท้ายของห้องเรียน “เธอไม่ควรเลิกเล่นเกมเหนือธรรมชาติกลางคัน ไม่อย่างนั้นวิญญาณที่เธอได้เรียกมาจะตามติดเธอไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่! ไม่ว่านี่จะเป็นเนื้อเรื่องของบ้านผีสิงหรือว่าเป็นเรื่องจริง ถ้าเธอไม่ต้องการถูกผีปลุกขึ้นมากลางดึก พวกเราทางที่ดีก็เล่นเกมนี้ให้จบ!”
ได้ยินเฉินเกอและหัวหน้าของเขาตะโกนใส่หูพร้อมกันนั้นก็แทบจะทำให้เสี่ยวกั่วเสียสติ เขาเจอเข้ากับคนประเภทไหนกันนะคราวนี้?
ทำไมถึงมีผู้เข้าชมที่เป็นฝ่ายเรียกร้องให้พวกเราเล่นเกมเหนือธรรมชาติในบ้านผีสิงให้จบได้? นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เฉินเกอนั้นเป็นผู้เข้าชม และคนที่อยู่ในหูฟังของเขาก็คือหัวหน้า ในเมื่อทั้งสองคนรั้นที่จะเล่นเกมนี้ที่หลุดออกจากบทที่เขียนเอาไว้ออกมาไกลโพ้นแล้วเสี่ยวกั่วก็ทำได้แค่บังคับให้ตัวเองเล่นต่อ
“ได้ ถ้าอย่างนั้น… พวกเราจะเล่นต่อ” เขากัดฟันและภาวนาให้ผีตนนั้นตามฉุยหมิงออกไปแล้ว
“ตอนนี้พวกเรามีคนลดลงและมีมุมที่ว่างเพิ่มขึ้น พวกเราต้องเปลี่ยนกฎของเกม” เฉินเกอน่าจะเป็นคนแรกที่ไปบ้านผีสิงอื่นแล้วเปลี่ยนกฎของพวกเขา เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังดื้อรั้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ “กฎพื้นฐานของเกมนั้นจะยังไม่เปลี่ยน พวกเราจะยังเดินวนตามเข็มนาฬิกา ตอนที่พวกเธอไปถึงมุมว่าง ให้กระแอมออกมาและจากนั้นพวกเราก็จะออกจากมุมว่างแล้วเดินไปยังมุมต่อไป”
“ได้ พวกเราจะทำตามที่คุณบอก” เสี่ยวกั่วนั้นไม่มีสมาธิกับเกมแล้ว และเขาก็ให้เฉินเกอเป็นคนตัดสินใจ
“อย่างนั้นผมคิดว่าพวกเราควรจะเริ่มต้นจากผมเหมือนเดิม” เฉินเกอนับถอยหลังสามวินาทีแล้วก็ดึงหนังสือการ์ตูนออกมาจากกระเป๋า แล้วเขาก็แตะกำแพงและเดินไปทางมุมที่อยู่เบื้องหน้า เขาไม่ได้เบาเสียงฝีเท้าและในความมืดก็มองเห็นเงาของคนผู้หนึ่งกำลังเดินไปตามกำแพง
เสี่ยวกั่วจับตามองเฉินเกอ มุมที่เฉินเกอมุ่งหน้าไปนั้นอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่ฉุยหมิงประสบ ‘อุบัติเหตุ’ เส้นประสาทของเขาตึงเขม็ง และเขาก็จดจ่อมาก ไม่ช้า เฉินเกอก็ไปถึงที่มุมถัดไป เขาไม่ได้กระแอม แต่ว่ายืนอยู่กับที่
เขาไม่ได้กระแอมเลย! นี่หมายความได้แค่ว่ายังมีคนอื่นอยู่ที่มุมนั้น! ร่างกายของเสี่ยวกั่วสั่นเบา ๆ และเขาก็กระวนกระวายอย่างที่สุด เฉินเกอหยุดอยู่ที่มุม แต่ว่าเสียงฝีเท้าไม่ได้หยุด เงาร่างหนึ่งเดินไปยังแถวสุดท้ายของห้องเรียน ไปทางหลี่ป๋อ
ในทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงแค่เจ้าอ้วนน้อย– หลี่ป๋อที่ไม่รู้ความจริง– เล่นตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายอย่างซื่อตรง เมื่อรู้สึกว่าถูกตบไหล่เบา ๆ หลี่ป๋อก็แตะผนังแล้วเดินไปทางเสี่ยวกั่ว นั่นเป็นรหัสระหว่างพนักงานบ้านผีสิง ตอนที่หลี่ป๋อไปถึงมุมของเสี่ยวกั่ว เขาก็ตบบ่าซ้ายฝ่ายหลังครั้งหนึ่งและจากนั้นก็บ่าด้านขวาอีกครั้ง
“พี่กั๋ว เกิดอะไรขึ้นกับฉุยหมิง?” หลี่ป๋อกระซิบถาม
เสี่ยวกั่วไม่ต้องการทำให้หลี่ป๋อตกใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด “ไม่ต้องไปสนใจเขา จำเอาไว้ ถ้าเกิดอะไรไม่ถูกต้องขึ้น ออกไปจากห้องเรียนนี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่นายทำได้”
หลังจากพูดแล้วเสี่ยวกั่วก็เริ่มเดินไปยังมุมถัดไป
บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง แต่ว่าเสี่ยวกั่วรู้สึกเหมือนว่าความมืดรอบตัวนั้นหนาหนักมากขึ้น มันเหมือนมีโพรงสีดำอยู่ตรงหน้าเขาและมันก็จะดูดทุกอย่างที่อยู่ใกล้ ๆ เข้าไป มือของเสี่ยวกั่วแตะอยู่บนกำแพง เขาเดินไปยังมุมที่เฉินเกออยู่ก่อนหน้านี้อย่างช้า ๆ และที่ตรงหน้าเขานั้นก็มีเงารูปร่างเหมือนคนยืนอยู่
เขาเดินเข้าไปใกล้ขึ้นและเอื้อมมือออกไป แต่ตอนที่นิ้วของเขากำลังจะแตะลงที่บ่าคนตรงหน้าเสี่ยวกั่วจู่ ๆ ก็นึกรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างหนึ่งออก เฉินเกอนั้นเป็นคนเริ่มต้นรอบนี้ ดังนั้นพูดตามกติกาแล้ว มุมที่เฉินเกออยู่ตอนแรกนั้นควรจะว่างเปล่า!
เฉินเกอนั้นเดินไปยังมุมถัดไปแล้ว ดังนั้นคนที่ยืนอยู่ตรงมุมนี้คือใครกัน?
ความรู้สึกหวาดกลัวพุ่งเข้าใส่เขาจากทุกทิศทาง มือของเสี่ยวกั่วทิ้งค้างอยู่กลางอากาศ และจู่ ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าได้ เกมนั้นจบไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ว่าไม่มีใครกระแอม หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มันหมายความได้แค่ว่ามีผีมากกว่าหนึ่งตนอยู่ในห้องเรียนนี้!
แขนที่ยกอยู่นั้นทิ้งลงมาไม่ได้ ความกล้าที่เสี่ยวกั่วรวบรวมมาได้เหือดแห้งไปแล้ว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจได้ เขาแตะบ่าคนด้านหน้าเขาเบา ๆ และจากนั้นก็กระโดดถอยหลังไปหลายเมตรทันที
จนคนผู้นั้นเดินออกไปเสี่ยวกั่วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก เขาไม่อยู่ที่มุมนั้นต่อ กลับกัน เขาแอบเดินไปทางทางลับที่มีแต่พนักงานบ้านผีสิงรู้และจากนั้นก็ตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในนั้น
ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว!
เสี่ยวกั่วดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและต้องการส่งข้อความบอกข่าวร้ายหลี่ป๋อตอนที่เสียงของเจ้านายของเขาดังมาจากหูฟัง “กั่วจวิน แกกำลังทำบ้าอะไร? ผู้เข้าชมยังอยู่ในห้องเรียน ฉันต้องการให้แกไปหลอกเขา แล้วแกกลับวิ่งหนีออกมาอย่างนี้ทำไม?”
“บอส ฟังผมนะครับ วันนี้มีบางอย่างต่างออกไปจริง ๆ!” เสี่ยวกั่วพยายามอธิบายกับหัวหน้าของเขาแต่ว่าในห้องเรียนเกมยังคงดำเนินต่อ
เสียงฝีเท้าก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ในห้อง และไม่ช้า หลี่ป๋อก็รู้สึกว่ามีคนตบบ่าเขา เจ้าอ้วนน้อยที่ซื่อสัตย์คนนี้ก็ไม่ได้คิดมากและเดินไปข้างหน้าต่อ ตอนที่เขาไปถึงตรงมุมที่ควรจะมีเสี่ยวกั่วอยู่ เขาก็พบว่าที่มุมนั้นว่างเปล่า
“พี่กั่ว?” หลี่ป๋อยืนอยู่ตรงมุมนั้นคนเดียว เขาชะงักและมองไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็ทำตามกฏใหม่ที่เฉินเกอตั้งไว้และกระแอมออกมาครั้งหนึ่งก่อนที่จะเดินไปยังมุมถัดไป ในห้องเรียนมืดสนิท หลี่ป๋อรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไปถึงตรงมุมที่เฉินเกออยู่อย่างช้า ๆ แต่ว่า ตอนที่เขาไปถึงที่ตรงมุมนั้น เขาก็พบว่ามุมนั้นก็ว่างเปล่าเช่นกัน!
เขาไปไหนแล้ว? ผู้เข้าชมไปไหนแล้ว?
เพราะไม่รู้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว จึงไม่มีอะไรที่หลี่ป๋อจะสามารถทำได้เลยนอกจากเล่นเกมต่อไป หลี่ป๋อกระแอมอีกครั้งและเดินไปยังมุมถัดไป ห้องเรียนนั้นเงียบมากจนเขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น และเสียงฝีเท้าของตัวเอง
ตอนที่เขาไปถึงมุมที่สาม ในที่สุดหลี่ป๋อก็ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเพราะว่ามุมนี้ก็ว่างเปล่าเช่นกัน
“ทุกคนไปไหนน่ะ?” หลี่ป๋อไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม เขาพยายามติดต่อเสี่ยวกั่ว แต่ว่าคนไม่รับสายเขา เขาคิดที่จะยอมแพ้แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดจะทำอย่างนั้น คำเตือนที่เฉินเกอบอกไว้ก่อนหน้านี้ก็จะผุดขึ้นมาในใจเขา ถ้าเขาหยุดเล่นเกมเหนือธรรมชาติครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาจะถูกวิญญาณพวกนั้นตามติดไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
แค่คิดก็ทำให้หลี่ป๋อตัวสั่น เมื่อไม่มีทางเลือก เขาก็ทำได้แค่บังคับให้ตัวเองเล่นเกมต่อ ทำไมมันถึงเหมือนว่ามีแค่ฉันที่เหลืออยู่ในห้องเรียนนี้กัน?
ใกล้กับประตูหลัง เสี่ยวกั่วเพิ่งอธิบายสถานการณ์ให้หัวหน้าฟังเสร็จและกำลังจะตอบข้อความของหลี่ป๋อตอนที่เขาเห็นหลี่ป๋อเดินตรงมาทางเขาผ่านหน้าต่างที่บนประตูหลัง
ไม่ว่าอย่างไร เกมนี่ก็เล่นต่อไม่ได้แล้ว ตอนที่หลี่ป๋อเข้ามาใกล้ ฉันจะลากเขาออกไป และผู้เข้าชม… ฉันแน่ใจว่าเขาน่าจะสนุกกับเกมได้ด้วยตัวเอง อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นสิ่งที่บอสอยากให้เกิดขึ้นกับเขาอยู่แล้ว
มือข้างหนึ่งของเสี่ยวกั่ววางอยู่บนลูกบิดประตู เขามองหลี่ป๋อผ่านหน้าต่าง เขาเปิดประตูแง้มไว้และกำลังจะอ้าปากเรียกชื่อหลี่ป๋อตอนนี้ความเย็นพุ่งวาบขึ้นไปที่ศีรษะของเขา!
เสี่ยวกั่วนั้นมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีเงาร่างตามหลังหลี่ป๋อมาอีกถึงสามร่าง!
พวกเขาตามหลังหลี่ป๋อมาติด ๆ และฝีเท้าเองก็คล้ายกับหลี่ป๋ออย่างน่ากลัวแต่ว่าหลี่ป๋อกลับไม่สังเกตเห็นพวกเขาเลยสักนิด!
พวกเขามีกันสามคน?
เขาล้มก้นกระแทกพื้น ขาของเสี่ยวกั่วถีบไปบนพื้นเพื่อดันตัวเองถอยหลัง และเขาก็กรีดร้องสุดเสียง “หลี่ป๋อ! วิ่ง!”
เสียงกรีดร้องที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้หลี่ป๋อตกใจกลัว ตอนที่เขาเห็นประตูหลังห้องเรียนเปิดอยู่และเสี่ยวกั่วชี้นิ้วไปด้านหลังของหลี่ป๋ออย่างไร้สติ ปฏิกริยาธรรมชาติของเขาก็คือหันไปมอง
เงาร่างทั้งสามนั้นตามเขามาติด ๆ และใบหน้าที่ต่างกันทั้งสามก็สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
“ใครเรียกพวกนายมาเล่นเกมนี้กัน? ทำไมพวกเราถึงไม่เคยเห็นพวกนายมาก่อน?”
คำตอบเป็นเสียงกรีดร้องเสียดหู นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างนี้หลุดออกมาจากปากผู้ชาย
เขามองร่างใหญ่โตที่กระแทกเข้ากับประตูด้านหลังแล้วจากนั้นก็พุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ เฉินเกอไม่ได้ขยับไล่ตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป เขาดึงผีปากกาและเหล่าโจวกลับ เขาหันกลับไปหยิบสมุดบันทึกที่ตกลงไปบนพื้นขึ้นมาและจากนั้นก็พลิกไปยังหน้าที่สาม
บนหน้าสุดท้ายของการบันทึกครั้งแรกนั้นมีการบันทึกต่อ “เด็กสี่คนเล่นเกมสี่มุมในห้องเรียนร้าง เด็กสามคนที่อายุมากกว่านั้นจงใจรวมกลุ่มกันรังแกเด็กที่อายุน้อยที่สุด และด้วยความประมาทของพวกเขาก็ทำให้เด็กที่อายุน้อยที่สุดเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
“หลังจากนั้น เด็กที่อายุมากกว่าทั้งสามคนก็หายตัวไป และในวันที่เจ็ดหลังการเสียชีวิตของเด็กที่อายุน้อยที่สุด ครอบครัวของเขาก็พบตุ๊กตาสามตัวที่ทำขึ้นจากต้นข้าวที่ใต้เตียงของเขา ที่ด้านหลังตุ๊กตาทั้งสามตัวนั้นมีชื่อต่างกันติดอยู่– ฉุยหมิง กั่วฮั่น และหลี่ป๋อ”
บันทึกแรกนี้บรรยายฉายสยองขวัญฉากแรกซึ่งก็คือเกมสี่มุมในห้องเรียนร้าง ถ้าอย่างนั้น บันทึกครั้งที่สองก็น่าจะเป็นฉากที่สอง
นั่งอยู่ในฉากบ้านผีสิงที่น่าสยอง เฉินเกอพลิกไปยังบันทึกครั้งที่สองอย่างอยากรู้อยากเห็น มีเด็กหญิงน่ารักคนหนึ่งชื่อเตี๋ย เธอตกหลุมรักเด็กชายคนหนึ่ง และเพื่อไม่ให้การสารภาพรักของตนถูกปฏิเสธ เธอจึงตัดสินใจถามความเห็นของผีปากกา
เกมผีปากกา? เฉินเกอหยุดอ่าน บนใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าที่อ่านไม่ออก ต่อให้มีฉากเดียวกันฉันก็หวังว่าพวกเขาจะทำให้ฉันรู้สึกต่างไปได้
เฉินเกอเดินออกทางประตูหลังของห้องเรียนโดยที่ไม่อ่านบันทึกอื่น ๆ ต่อ
ฉันควรจะตรงไปฉากผีปากกาเลย หรือว่าฉันควรจะไปยืมอุปกรณ์บางอย่างจากหมอก่อน?
เขามองไปตามทางเดินมืด ๆ แล้วส่ายหน้า
โอ้ ฉันว่าฉันควรจะไปต่อ ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ต้องเคลียร์บ้านผีสิงนี่ในวันนี้
ตอนที่ 738
บันทึกที่ถูกวางเอาไว้บนแท่นบรรยายเพื่อหลอกผู้เข้าชมกลายเป็นไกด์บุ๊คให้เฉินเกอสำรวจบ้านผีสิง เขาเก็บสมุดบันทึกเข้าในกระเป๋าสะพายหลังแล้วเดินไปทางฉากที่สองที่บรรยายไว้ในสมุดบันทึก
ในฐานะบ้านผีสิงที่โด่งดังที่สุดในซินไห่ ขนาดของสถาบันฝันร้ายนั้นใหญ่กว่าที่เฉินเกอคาดคิดเอาไว้ ฉากของโรงเรียนผีสิงนั้นได้รับการดูแลรักษามาตั้งแต่ต้น และมันก็ครอบคลุมเรื่องผีในโรงเรียนเกือบทั้งหมด “ทั้งหมดมีหกชั้น วันนี้ต้องสนุกแน่”
สถานที่กว้างขวาง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เป็นเรื่องดีสำหรับเฉินเกอ เขาสามารถสำรวจได้จนกว่าจะพอใจและถ้ามีโอกาส เขาก็จะรับทั้งตึกมาเป็นบ้านผีสิงของเขา
ฉากผีปากกานั้นอยู่ไม่ไกลจากห้องเรียนที่ใช้จัดพิธีต้อนรับนักเรียนใหม่ มองภาพวาดที่บนกำแพงซึ่งลอกหลุด เฉินเกอเดินไปตามทางเดินจนกระทั่งไปถึงประตูเก่าคร่ำคร่าบานหนึ่ง บนประตูนั้นมีป้ายติดไว้อ่านได้ว่า ‘ห้องเก็บของ’
“ในบันทึก เด็กหญิงที่ชื่อเตี๋ยนั้นว่ากันว่าเล่นเกมผีปากกาอยู่ในห้องเก็บของ”
ผลักเปิดประตูแล้วก่อนที่เฉินเกอจะก้าวเท้าเข้าไปเขาก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกำลังร้องไห้ เสียงร้องไห้นั้นมาไวไปไว– มันเร็วเกินกว่าที่เฉินเกอจะบอกได้ว่ามันมาจากไหน
“มีใครอยู่ที่นี่ไหม?” มีความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างบ้านผีสิงของเฉินเกอกับสถาบันฝันร้ายอยู่อย่างหนึ่ง บ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นอนุญาตให้ผู้เข้าชมสำรวจได้อย่างอิสระ ไม่มีการนำทางหรือความช่วยเหลือระหว่างทางขณะที่บ้านผีสิงส่วนใหญ่ในท้องตลาดนั้นมีเส้นทางกeหนดการเยี่ยมชมเอาไว้
ตอนนี้ที่เขาเดินเข้ามาในฉากบ้านผีสิงโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า เขาจึงเป็นห่วงมากว่านักแสดงจะยังไม่พร้อม และมันอาจจะส่งผลต่อการสัมผัสประสบการณ์โดยรวมของเขาเอง หลังจากเขาพูดออกไปเสียงดัง เสียงร้องไห้ก็เบาลงและเฉินเกอก็หยุดเท้าเพื่อตรวจดูรอบตัว
กำแพงในห้องเก็บของนั้นจงใจทำให้ดูเก่ากว่าที่มันเป็น ชั้นวางของในห้องนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นเป็นชั้นและที่ตรงมุมยังมีของต่าง ๆ กองเอาไว้เป็นตั้งสูง แสงที่ในห้องนั้นสลัว และบางครั้งก็ยังมีเสียงหนูวิ่งผ่านไป
“บันทึกบอกไว้แค่ว่าเตี๋ยเล่นเกมผีปากกาในนี้ แต่ว่าไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับห้องเก็บของเลยสักนิด ดังนั้น สันนิษฐานจากการเกิดอุบัติเหตุบางอย่างตอนที่เตี๋ยเล่นเกมผีปากกา ฉันอาจจะเจอผีหนึ่งหรือสองตัวที่นี่ หนึ่งคือเตี๋ย และอีกหนึ่งอาจจะเป็นผีปากกา”
ตอนที่เฉินเกอเดินผ่านชั้นวางของแถวแรก เสียงร้องของหนูก็ดังมาจากตรงแถว ๆ ขาซ้ายของเขาและเขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างวิ่งผ่านข้อเท้าของเขาไป เวลาเกิดอะไรแบบนี้กับคนทั่วไป พวกเขามักจะกระโดดหรือร้องออกมาอย่างตกใจ แต่ว่าเฉินเกอนั้นไม่สะเทือน กลับกัน เหมือนเด็กชายที่สงสัยในทุก ๆ อย่าง เขานั่งลงและมองดูให้ชัด ๆ
“มีเชือกวางเอาไว้ระหว่างชั้นวางของสองแถวนี้ เมื่อผู้เข้าชมเหยียบเชือก หนูปลอมก็ที่ถูกมัดเอาไว้ก็จะเลื่อนออกมา” เฉินเกอเกาคาง “อันที่จริง บางคนก็อาจจะตกใจกับเรื่องพวกนี้ นี่ค่อนข้างน่าสนใจ บ้านผีสิงอาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผีหรือว่าปิศาจเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างสามารถทำให้กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวและน่าสยองขวัญได้ นี่สามารถเติมเต็มความต้องการหลากหลายของผู้เข้าชม และยังเข้ากับจุดมุ่งหมายของฉันที่จะออกแบบบ้านผีสิงที่หลากหลาย”
เฉินเกอจดจำกลเม็ดเล็ก ๆ เหล่านี้เอาไว้ เขาวางแผนที่จะค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเมื่อกลับไปและใช้พวกมันเป็นพื้นฐานในการสร้างบางอย่างที่น่าตื่นเต้นและน่าสนุก เฉินเกอลุกขึ้นและเดินต่อไปข้างหน้าจนถึงระหว่างแถวที่หนึ่งและสอง
ทางเดินแคบมาก เฉินเกอมองเห็นว่ามีโถแก้วที่บนชั้นวางแถวที่สองกำลังจะตกแล้ว เขายื่นมือออกไปผลักโถเบา ๆ ให้ขยับลึกเข้าไปป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ตอนที่เขากำลังผลักมันเข้าไป เขาก็เห็นใบหน้าซีด ๆ ใบหน้าหนึ่งแอบอยู่ด้านหลังโถแก้ว
“เขาอยู่อีกด้านของชั้นวางเหรอ? ไม่สิ น่าจะเบียดอยู่ระหว่างชั้น” เฉินเกอมองใบหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคว้าโถแก้วแล้ววางลงที่พื้น เขาเอื้อมมือไป ปลายนิ้วของเขาจิ้มเข้าที่แก้มของใบหน้านั่นและเขาก็บีบอยู่ครู่หนึ่ง “ยางสังเคราะห์? หน้ากาก?”
เฉินเกอขยับของบนชั้นออกไปและในที่สุดก็เห็นว่ามันคืออะไร มันคือหน้ากากหน้าคนที่ติดไว้บนลูกบาสเกตบอล “กะโหลกปลอม? ถ้ามีคนเป็น ๆ ซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริงมันจะน่ากลัวกว่ามาก แต่ฉันก็เห็นปัญหาอยู่แหละว่าที่ตรงนี้มันเล็กเกินกว่าที่คนเป็น ๆ จะเบียดเข้ามาได้”
ข้ามแถวที่สองไปเฉินเกอมุ่งหน้าสู่แถวที่สาม คราวนี้ เขาก็เจอกับโถแก้วที่กำลังจะตกอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ แทนที่จะเป็นแค่ใบเดียว กลับมีถึงห้าใบ
“พวกเขาไม่กลัวว่าทำโถแก้วแตกแล้วจะบังเอิญทำให้ผู้เข้าชมได้รับบาดเจ็บหรือไง? หรือว่าพวกเขาใช้แก้วเสริมแรงที่ไม่แตกกันง่าย ๆ?”
ตอนที่เฉินเกอเดินผ่านโถพวกนั้นไปเขาก็พบว่าแต่ละใบนั้นมีของต่างชนิดกันใส่เอาไว้ ของเหลวที่ด้านในนั้นเป็นสีเข้ม และวัตถุด้านในก็ทำให้เขานึกถึงอวัยวะภายในของมนุษย์ “โถทั้งห้าใบนี่หมายถึงอวัยวะภายในของมนุษย์ห้าชนิด?”
เฉินเกอหยิบโถแต่ละใบขึ้นมาดูก่อนจะวางกลับลงไป ตอนที่เขาดูถึงใบที่สี่ แขนผอม ๆ ข้างหนึ่งจู่ ๆ ก็พุ่งออกมาจากด้านหลังชั้นวางแล้วก็กำรอบข้อมือของเขาเอาไว้!
มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากโดยไม่มีทีท่ามาก่อนจนเฉินเกอชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนที่จะตื่นตัวขึ้นมา เขากำมือแน่นแล้วก็บิดข้อมือหมุนไปจับแขนข้างนั้นเอาไว้แทน เขาดึงแขนนั่นและไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปขณะที่เอนตัวเข้าไปดูด้านหลังชั้นวาง เด็กหญิงคนหนึ่งในเครื่องแบบสถาบันฝันร้ายนั้นติดอยู่ระหว่างชั้นวาง เธอกำลังกัดฟันสะกดความเจ็บเอาไว้
“ปะ… ปล่อยนะ!” นั่นเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่เด็กหญิงควรจะพูด
“ผมขอโทษที ผมตกใจไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอ” เฉินเกอปล่อยเด็กหญิงช้า ๆ ตอนที่เขามองไปที่ด้านหลังชั้นวางอีกครั้งเด็กคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว “เธอไปไหนแล้วล่ะ?”
เสียงร้องไห้กลับมา เฉินเกอเดินวนรอบชั้นและไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของห้องเก็บของ ท่ามกลางกองของที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ระเกะระกะ เด็กหญิงร่างบอบบางคนหนึ่งซบอยู่กับโต๊ะร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ผมขอโทษกับเรื่องเมื่อครู่ด้วย ผมคงจะดึงแรงไปเพราะว่าตกใจมากเลย” เฉินเกอนั่งลงที่ข้าง ๆ โต๊ะ เขากลับว่าเด็กหญิงนั้นจะร้องไห้เพราะว่าเขาทำร้ายเธอเข้า
“หนูรู้สึกไม่ดี หัวใจของหนูเหมือนถูกมีดคม ๆ กรีดเป็นชิ้น ๆ”
“ผมแค่จับข้อมือเธอแรงกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น เธอคงจะไม่เอาเรื่องนั้นมาต่อว่าผมหรอกใช่ไหม?” เฉินเกอพึมพำเบา ๆ
เด็กหญิงมองรอยนิ้วมือแดง ๆ รอบข้อมือตัวเอง ถึงแม้ว่าปฏิกริยาของผู้เข้าชมคนนี้จะต่างไปจากที่เธอคาดไว้เล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คือนักแสดงมืออาชีพที่บ้านผีสิงนี่ และเธอก็เข้าสู่บทบาทได้อย่างง่ายดาย “หนูตกหลุมรักคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง แต่หลังจากถามผีปากกาแล้ว หนูพบว่าเขาไม่ได้สนใจหนูเลยสักนิด หนูใช้วิธีการที่ผีปากกาสอนทำให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ว่าหนูบังเอิญทำให้เขาตาย หนูเสียใจมาก ดังนั้นจึงกลับมาที่นี่ถามผีปากกาอีกครั้งดูว่าจะมีหนทางไหนเปลี่ยนเรื่องพวกนี้ได้”
“เธอจะเปลี่ยนเรื่องเหล่านี้ได้ยังไงในเมื่อคนผู้นั้นก็ตายไปแล้ว?”
“ผีปากกาต้องรู้วิธีแน่ ๆ!” จู่ ๆ เด็กสาวก็ร้องเสียงดังดวงตาของเธอแดงก่ำชุ่มน้ำตา
“ใช่ ใช่ แต่ถึงอย่างนั้น ในเหล่าวิญญาณทั้งหลาย ผีปากกาน่ะไม่ได้ทรงพลังที่สุด ดังนั้นผมขอแนะนำให้เธออย่าได้คาดหวังมากเกินไป”
“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องลองดูสักครั้ง” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมา เครื่องสำอางบนหน้าของเธอนั้นทั้งหนาและเข้ม มันดูค่อนข้างประหลาดเมื่อมาอยู่ในห้องเก็บของรกร้างนี่ “คุณช่วยหนูได้ไหม? มันต้องมีอย่างน้อยที่สุดสองคนเพื่อเล่นเกมผีปากกา ปกติแล้วคนไม่ค่อยมาที่ห้องเก็บของนี่ หนูต้องการอีกคนมาช่วยเพื่อเริ่มเกม”
“ไม่มีปัญหา” หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เฉินเกอก็อ้าปากถาม “เธอพูดว่าเธอต้องมีสองคนถึงจะเริ่มเกมผีปากกาได้ อย่างนั้นใครเป็นคนที่สองที่เธอเล่นด้วยครั้งแรกที่เธอมาถามผีปากกา?”
เด็กสาวเลือกไม่สนใจคำถามนั้น และเสียงของเธอก็เปลี่ยนเป็นแหลมสูง “นั่งลงตรงข้ามหนูนี่ และพวกเราสองคนก็จะจับปากกาไว้แบบนี้ จากนั้นคุณก็ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่หนูเอง”
“ได้” เฉินเกอมองว่าตัวเองนั้นเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบคั้นและทำตามที่เด็กหญิงบอก เขาขยับไปที่อีกด้านของโต๊ะและหยิบปากกาขึ้นมา มันเป็นปากกาหมึกซึมสีขาวเงิน มันมีขนาดเกือบสองเท่าของปากกาทั่วไปและยังมีลวดลายตกแต่งเป็นวงรอบ ๆ
“นี่เป็นปากกาที่ดูดีทีเดียว” นิ้วหัวแม่มือของเขากดลงที่ด้านบนปากกาและเขาก็ทิ้งพื้นที่ระหว่างนิ้วทั้งสี่เอาไว้มากพอ เกมผีปากกานั้นเป็นเกมสำหรับสองคน ดังนั้นเฉินเกอจึงเว้นที่เอาไว้ให้เด็กหญิงวางมือของเธอ “อย่างนี้หรือเปล่า?”
ท่าทางของเฉินเกอนั้นถูกต้องและไม่จำเป็นต้องให้เด็กหญิงแนะนำเลยสักนิด ถึงตอนนี้ ก็มีความรู้สึกประหลาดปรากฏขึ้นในใจเด็กหญิง คนผู้นี้ตรงหน้าเธอดูเหมือนจะเล่นเกมผีปากกาบ่อย แต่ว่าคนธรรมดาทำไมถึงเล่นเกมผีปากกาที่บ้านอยู่บ่อย ๆ ได้เล่า?
เด็กหญิงพยักหน้าและนั่งลงตรงข้ามเฉินเกอ “หลังจากเริ่มเกม คุณไม่ต้องพูดหรือว่าทำอะไร แค่นั่งอยู่ตรงนี้เงียบ ๆ ก็พอ”
“เข้าใจแล้ว”
“เมื่อเกมเริ่ม ก็จะไม่สามารถหยุดกลางคันได้ ถ้าคุณเรียกผีปากกามาแต่ว่าไม่ส่งเธอกลับ ผลที่ตามมาจะย่ำแย่มาก” เด็กหญิงเตือนอย่างจริงจัง
“ผมเข้าใจทั้งหมดแล้ว เธอเริ่มได้เลย” เฉินเกอมองไปรอบ ๆ เล่นเกมผีปากกาในห้องเก็บของร้างนั้นเป็นประสบการณ์น่าสนใจ สถาบันฝันร้ายนั้นควบคุมบรรยากาศได้ดีมาก ร่วมกับผลของแสงและเพลงประกอบ หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นแล้วทั้งที่แค่นั่งอยู่ตรงนี้
หลังจากเด็กหญิงนั่งลงและเอื้อมมือออกไปจับปากกาเอาไว้ คิ้วของเธอก็ขมวดเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แปลกจัง ทำไมมือของคนคนนี้ถึงเย็นกว่ามือฉันอีก?
“พวกเราเริ่มเลยไหม?”
“โอ้ ได้ค่ะ” เด็กหญิงสูดลมหายใจลึก เธอกำปากกาเอาไว้ด้วยมือเดียวแล้วสอดอีกมือเข้าไปใต้โต๊ะ เธอเริ่มท่องบทอัญเชิญ “ผีปากกา ผีปากกา คุณบอกฉันได้ไหมว่าฉันจะเห็นคนที่ฉันรักอีกครั้งได้ยังไง?”
หลังจากนั้น ดวงตาของเธอก็จ้องเป๋งอยู่กับปากกาที่บนโต๊ะ และดวงตาแดงของเธอก็ดูค่อนข้างน่ากลัวในความมืด พวกเขารออยู่นาน แต่ว่าปากกาที่พวกเขากำเอาไว้นั้นไม่ขยับ มันนิ่งอยู่เหนือกระดาษ
“ผีปากกา ผีปากกา ได้โปรดตอบฉัน! ฉันทำตามที่คุณแนะนำแล้ว! ฉันทำทุกอย่างที่คุณบอกให้ฉันทำ แต่ทำไมเขาก็ยังตาย? ฉันรักเขา ไม่ใช่ร่างไร้วิญญาณนี่!”
การควบคุมอารมณ์ของเธอค่อย ๆ หมดไป และม่านตาของเธอก็เริ่มเป็นสีแดงก่ำ มีเพียงแค่โต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ระหว่างเด็กหญิงกับเฉินเกอ เพราะระยะห่างเพียงไม่มากของพวกเขา ความรู้สึกถูกทอดทิ้งและความบ้าคลั่งจึงสามารถรู้สึกได้ชัดเจนมาก
“ผีปากกา ผีปากกา ฉันไม่อยากให้เขาตาย! ได้โปรดตอบฉัน! ผีปากกา ตอบฉัน!” เด็กหญิงเริ่มกรีดร้องเหมือนเสียสติไปแล้ว เสียงกรีดร้องของเธอก้องอยู่ในห้องเก็บของ “บอกฉันว่าฉันต้องทำยังไง– ฉันยอมแลกกับอะไรก็ได้! ฉันรู้ว่าคุณที่นี่! ผีปากกา ฉันรู้ว่าคุณยังอยู่ที่นี่!”
ตอนที่เด็กหญิงกรีดร้องประโยคสุดท้าย ปากกาในมือเธอก็บิดเบา ๆ
“ผีปากกา นั่นคุณเหรอ? ได้โปรดบอกฉัน ฉันจะทำให้เขาได้ยินเสียงฉันอีกครั้งได้ยังไง?” เด็กหญิงกรีดร้องเหมือนเธอกำลังขอให้ใครสักคนช่วยชีวิตเธอหน่อย ดวงตาทั้งคู่ของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนจะมีเลือดหยดออกมาได้
ภายใต้เสียงตะโกนอย่างกระวนกระวายของเธอ ปากกาที่ลอยอยู่เหนือกระดาษในที่สุดก็ขยับ เฉินเกอรู้สึกได้ว่าตัวปากกานั้นขยับด้วยตัวเอง และนี่ก็ทำให้เขาประหลาดใจ เขากับเด็กหญิงทั้งคู่จับปากกาอยู่ และเขาก็รู้แน่ว่าไม่มีใครเป็นคนขยับปากกาทั้งนั้น ปากกาขยับด้วยตัวเองจริง ๆ
ผีปากกามาแล้ว? ไม่ ปากกาหมึกซึมด้ามนี้หนักอย่างไม่ควรเป็น ดังนั้นน่าจะมีกลไกบางอย่างติดตั้งไว้ด้านใน โต๊ะนี่ยังมีผ้าปูโต๊ะเก่าขาดคลุมเอาไว้ และมันก็ปิดบังทุกอย่างที่ด้านใต้เอาไว้ไม่ให้เห็น แต่ว่า จากสัมผัส โต๊ะนี้ทำจากเหล็ก มันเป็นไปได้ไหมที่เธอจะใช้แม่เหล็กสักอย่าง?
เสียงของเด็กหญิงดังขึ้น บางทีอาจจะเพราะเธอเห็นสีหน้าตกใจบนใบหน้าของเฉินเกอ เธอถามคำถามซ้ำ ๆ ปากกาเขียนลงที่บนกระดาษขาว “จะได้บางอย่างมาย่อมต้องสูญเสียบางอย่าง คราวนี้เธอเตรียมอะไรไว้ให้ฉัน?”
เห็นประโยคนี้บนกระดาษ เด็กหญิงก็ยิ่งตื่นเต้นอย่างประหลาด “เธอต้องการอะไร? ฉันจะให้!”
“เหมือนก่อนหน้า”
ปากกาที่พวกเขาถือเอาไว้จู่ ๆ ก็หยุดขยับ เด็กหญิงดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์บางอย่างขณะที่มองประโยคบนกระดาษเงียบ ๆ “เหมือนก่อนหน้า?”
น้ำเสียงของเด็กหญิงค่อนข้างจริงจัง มันเหมือนเธอกำลังพูดกับตัวเอง และมันก็ทำให้เธอดูเหมือนถูกอะไรสิง สำหรับคนนอก เธอเหมือนกำลังพูดคุยกับบางอย่างที่มีตัวตนแค่ในจิตใจของเธอ
เธอถามคำถามนั้นซ้ำ ๆ จากนั้นเธอก็เงยหน้ามองมาที่เฉินเกอช้า ๆ ถึงตอนนี้ ปากกาที่พวกเขาทั้งคู่ถือเอาไว้ก็เริ่มขยับอีกครั้ง “ใช่แล้ว เหมือนก่อนหน้านี้ เธอสละอวัยวะทั้งห้าของเพื่อนสนิทของเธอ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันมอบความภักดีตลอดกาลจากคนรักของเธอให้เธอ ตอนนี้ ถ้าเธอต้องการให้คนรักของเธอกลับมา ก็มอบชีวิตอื่นให้ฉันเป็นการแลกเปลี่ยน!”
เครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอนั้นเปื้อนเปรอะไปหมด สีหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนไปเป็นชั่วร้าย มือที่เธอซ่อนไว้ใต้โต๊ะนั้นพุ่งตรงไป และที่ในมือของเธอก็เป็นมีดสั้นคมกริบเล่มหนึ่ง!
“เดี๋ยวก่อน!” เฉินเกอนั่งอยู่กับที่และไม่ขยับตัวเลยสักนิด เขามองสองสามประโยคที่บนกระดาษและคิ้วของเขาที่ขมวดอยู่ก็คลายออกช้า ๆ เขาหันไปหาเด็กหญิงและพูด “อย่าได้ทำอะไรวู่วาม ผีปากกากำลังโกหกเธอ ต่อให้เธอฆ่าผม ผีปากกาก็ไม่ได้จะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเธอ”
เด็กหญิงอยู่ท่าเดิม แต่ว่าใบหน้านั้นกระตุกเล็กน้อย นี่นายไม่เห็นมีดเรอะไง? ทำไมถึงยังพูดกับฉันอย่างนี้ได้อีก?
“พลังอำนาจหลักของผีปากกาคือการบอกอนาคต สิ่งที่เรียกว่าเติมเต็มความปรารถนาของเธอน่ะเป็นกับดัก ผมหมายความว่า ลองคิดถึงการตกลงกันครั้งก่อนของเธอสิ
“เธอมอบชีวิตของคนผู้หนึ่งให้ผีปากกา แต่ว่าผีปากกาเล่นคำกับเธอ ผีปากกาใช้โอกาสนี้ฆ่าคนรักของเธอและโกหกเธอ บอกว่านั่นเป็นเพราะว่าผีปากกาช่วยให้เธอได้รับความภักดีไม่สิ้นสุดจากคนรักของเธอ
“ผมคิดว่าผมเข้าใจเรื่องของเธอแล้วตอนนี้ เธออาจจะเจอเข้ากับผีปากกาของปลอมแล้ว แน่นอนว่า มันยังมีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีผีปากกาอยู่ตั้งแต่เริ่มและสิ่งที่เรียกว่าผีปากกาก็คือตัวเธอเอง
“เธออาจจะริษยาที่เพื่อนสนิทของเธอกับคนที่เธอตกหลุมรักนั้นสนิทกันและเธอก็ใช้ชื่อของผีปากกาฆ่าพวกเขาทั้งคู่อย่างเลือดเย็น!”
เฉินเกอวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็นและนั่นก็ทำให้เด็กหญิงสับสน ทำไมผู้เข้าชมคนนี้ถึงได้แต่งเรื่องเพิ่มขึ้นมาเองกันล่ะนี่?
“เด็กน้อย วางมีดในมือของเธอลงเถอะ นั่นไม่ใช่วิธีการที่เธอจะเล่นเกมผีปากกา สิ่งที่เธออัญเชิญมานั้นไม่ใช่ผีปากกาแต่ว่าเป็นปิศาจในใจตัวเธอเอง” เฉินเกอกำข้อมือของเด็กหญิงเอาไว้อย่างระมัดระวังแต่ว่ามั่นคง เขาดึงมีดออกจากมือของเธอและวางมันลงที่ข้างตัวของเขาเองก่อนที่จะดึงปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งที่มีเทปใสพันเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ผีปากกาที่แท้จริงนั้นไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ สิ่งเดียวที่ให้เธอทำเรื่องแบบนั้นคือจิตใจของมนุษย์” เสียงของเฉินเกอดูเหมือนจะมีพลังเวทมนต์บางอย่าง เขาจับมือของเด็กหญิงเอาไว้แล้วนำเธอไปกำรอบปากกาลูกลื่นด้วยกัน “ไม่ต้องกลัว ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักผีปากกาที่แท้จริง”
พวกเขาทั้งคู่กลับไปนั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะ เฉินเกอและเด็กหญิงกำปากกาที่มีรอยแตกเอาไว้ด้วยกัน
“ทำจิตใจให้ว่างเปล่าและถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเธอ” ดวงตาของเฉินเกออ่อนโยน น้ำเสียงของเขานุ่มนวล “มา พูดตามผม ผีปากกา ผีปากกา เธอคือจิตวิญญาณของฉันจากชีวิตก่อน และฉันก็คือจิตวิญญาณของเธอในชีวิตนี้ เธอช่วยบอกฉันได้ไหมว่าใครคือคนที่รักฉันที่สุด?”
ตอนที่ 739
มีเฉินเกอพูดนำ เด็กสาวก็พูดตาม พวกเขากำปากกาไว้ด้วยกัน และเด็กสาวก็งึมงำอยู่ในใจ ทำไมฉันถึงมาทำอะไรแบบนี้กัน?
แต่ว่า มีบางอย่างเกี่ยวกับชายตรงหน้าเธอที่ทำให้เธอขัดความต้องการของเขาได้ยาก
ปากกาลูกลื่นพัง ๆ นั้นถูกถือไว้เหนือกระดาษ หลังจากทั้งสองคนพูดคาถาจบ พวกเขาก็หยุดแล้วมองกระดาษอยู่เงียบ ๆ ในห้องเก็บของนั้นเงียบมาก และไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองกำลังเต้น
ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไร? เขาคงไม่คิดว่าจะสามารถอัญเชิญผีปากกามาได้จริง ๆ หรอกใช่ไหม?
สายตาของเด็กสาวสอดส่ายไปมาขณะที่ชำเลืองมองไปทางเฉินเกอ เพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง มีดสั้นที่เธอดึงออกมาจากใต้โต๊ะนั้นวางอยู่ข้างชายคนนั้น “เอ่อ…”
เด็กสาวต้องการบอกชายคนนี้ว่าเกมจบลงแล้ว แต่ว่าเฉินเกอห้ามเธอไว้ด้วยเสียงชู่ “เงียบ เธอกำลังมา”
หลังจากเฉินเกอพูดอย่างนั้น ปากกาที่พวกเขากุมเอาไว้ก็เริ่มขยับเล็กน้อย และมันก็ขยับไปวาดวงกลมเอาไว้ที่บนกระดาษขาว เด็กสาวสามารถรู้สึกได้ถึงพลังจากปากกา เธอไม่ได้ใช้แรงเลยสักนิด แต่ว่าปากกากลับเริ่มขยับเอง
เขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!เด็กสาวมองเฉินเกอ พยายามหาร่องรอยจากสีหน้าของเขา แล้วเธอก็ต้องผิดหวัง เฉินเกอนั้นเพ่งสมาธิเต็มที่อยู่กับปากกาที่พวกเธอกุมเอาไว้ และเธอก็มองไม่เห็นอะไรผิดปกติบนใบหน้าของเขาได้เลย
ปากกาที่สถาบันฝันร้ายนั้นขยับได้ด้วยตัวเองเพราะว่าปากกาและโต๊ะนั้นล้วนเป็นของสั่งทำ พวกมันสามารถควบคุมได้ เรียกได้ว่าเป็นมายากล ตราบใดที่พวกเขารู้ทฤษฎีเบื้องหลังไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ โดยไม่รู้ตัว เด็กสาวเชื่อว่าเฉินเกอก็กำลังทำอย่างเดียวกัน เธอต้องการเปิดโปงเฉินเกอ แต่ถึงแม้จะจับสังเกตเขาอยู่นาน เธอก็ยังไม่พบช่องโหว่อะไรเลย
ปากกาที่บนกระดาษยังขยับต่อ ทุกขีดนั้นหนักแน่นและมั่นใจ ในที่สุดก็ปรากฏชื่อหนึ่งขึ้นบนกระดาษขาว– ฉู่ชางหลิน
“ฉู่ชางหลิน? งั้นนี่ก็เป็นชื่อของคนรักของเธอ” เฉินเกอเงยหน้ามองเด็กสาว “ไม่ง่ายเลยที่จะเจอความรักในโลกนี้ ดีกับเขา อย่าทำให้ชายผู้ซื่อสัตย์ต้องผิดหวัง”
ตอนที่เธอเห็นชื่อนั้นบนกระดาษ ใบหน้าของเด็กสาวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ตอนแรกก็เป็นความตกใจ จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสยองขวัญ!
เธอรู้จักฉู่ชางหลิน ผู้ชายคนนั้นก็เป็นพนักงานที่สถาบันฝันร้ายเหมือนกันและเขาก็มักจะคอยดูแลเธอ! เขายังเคยสารภาพความรู้สึกของเขากับเธอครั้งหนึ่งแต่ว่าเธอปฏิเสธเขาไป นี่น่าจะเป็นความลับระหว่างเธอกับฉู่ชางหลินเท่านั้น แล้วผู้ชายคนนี้รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
คลื่นซัดสาดในหัวใจของเธอ และแขนของเด็กสาวก็สั่น ปลายนิ้วของเธอแตะอยู่กับปลายนิ้วของเฉินเกอ และความเย็นเยือกนั่นก็ทำให้ความตื่นตระหนกของเธอเพิ่มทวีเป็นหลายเท่าตัว ผู้ชายตรงหน้าเธอนั้นกำลังยิ้มอย่างอบอุ่น แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องลดต่ำลงเรื่อย ๆ กัน?
ร่างกายของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และเด็กสาวก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมตัวเอง บอสบอกว่าผู้เข้าชมคนนี้นั้นแปลกมาก เขาชำนาญในเกมจิตวิทยาและยังตั้งใจมาที่นี่เพื่อก่อเรื่องให้กับสถาบันฝันร้าย เขาน่าจะสืบเรื่องพนักงานทุกคนที่นี่ก่อนที่จะมาถึง และด้วยการแสดงออกทางสีหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฉัน เขาก็คงบอกได้ว่าฉู่ชางหลินนั้นมีความเกี่ยวข้องกับฉัน
เด็กสาวรู้ว่าโอกาสคงไม่สูงนัก แต่ว่าทั้งหมดที่เธอทำได้ก็คือปลอบตัวเอง นั่นเป็นวิธีเดียวที่เธอจะรักษาสติของตัวเองเอาไว้ได้ เธอกัดริมฝีปากตัวเอง เด็กสาวไม่คิดที่จะยอมแพ้โดยง่าย เธอตัดสินใจใช้วิธีการของเธอเองในการเปิดโปงผู้ชายคนนี้
ผู้ชายคนนี้เดาชื่อของคนที่ชอบฉันออกมาได้แล้วไงล่ะ? เขาจะเดาชื่อของคนที่ฉันอาจจะใช้ทั้งชีวิตที่เหลือด้วยได้ยังไง!
เด็กสาวมีความลับหนึ่งซ่อนอยู่ในหัวใจ– ชื่อของคนที่เธอชอบจริง ๆ เธอไม่เคยบอกใครมาก่อนเลย
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เด็กสาวก็ถามเบา ๆ “ฉันถามคำถามอื่นกับผีปากกาได้ไหม?”
“ผีปากกาสามารถทำนายได้เพียงแค่วันละครั้งเท่านั้น ถ้าเธอบังคับมัน ผลลัพธ์อาจจะไม่แม่นยำแล้ว”
“แค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ตกลงนะ?” ก่อนที่เฉินเกอจะทันได้พูดอะไร เด็กสาวก็กำปากกาแล้วถามคำถามของเธอ “ผีปากกา ผีปากกา คุณบอกชื่อของคนที่จะเป็นคู่ชีวิตของฉันในอนาคตได้ไหม?”
คำถามนี้คุ้นหูเฉินเกอสุด ๆ เขารู้สึกได้เลยว่าปากกาสั่น และเทปใสที่พันเอาไว้ก็ดูเหมือนจะฉีกขาดออกไปตอนไหนก็ได้ ปากกาทั้งด้ามเหมือนกำลังจะระเบิดออก
“ฉันไม่ได้ตั้งใจชักนำให้เธอถามคำถามนี้ เธออยากจะถามมันออกไปด้วยตัวเธอเองนะ” หลังจากพูดอย่างนั้น เฉินเกอก็รีบปล่อยมือ ปากกาที่เดิมมีสองคนกุมเอาไว้ เด็กสาวไม่ได้เป็นคนออกแรงบังคับปากกาเลย ดังนั้นเธอจึงสันนิษฐานว่าเป็นเฉินเกอที่ขยับปากกาไปมา
แต่ตอนนี้ที่เฉินเกอดึงมือของตัวเองออกไปแล้ว ปากกากลับยังตั้งตรงอยู่บนกระดาษ ดวงตาของเด็กสาวเบิกกว้างขึ้นช้า ๆ และจากนั้นก็เกิดเรื่องน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมขึ้น!
ปากกาเริ่มขยับ เด็กสาวบอกได้เลยว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด! ไม่ใช่เธอที่ขยับมัน!
เกิดอะไรขึ้นกัน? แม่เหล็กที่ใต้โต๊ะทำงานผิดไปงั้นเหรอ? แต่ว่านี่เป็นปากกาลูกลื่นพลาสติก– มันไม่ได้ทำจากโลหะ!!
ปากกาขยับต่อไป และมันก็เป็นฝ่ายเขียนประโยคหนึ่งให้เด็กสาวที่บนกระดาษ– เธอตายแน่!
มันเป็นประโยคง่าย ๆ แต่ว่าน่ากลัว เด็กสาวต้องการดึงมือตัวเองออก แต่เธอก็พบว่ามือของเธอนั้นราวกับจะติดอยู่กับปากกาแล้ว และแขนของเธอก็ถูกรั้งไปไม่ว่าเธอจะยินดีหรือไม่ ปากกาขยับเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนกระทั่งกระดาษทั้งแผ่นเต็มไปด้วย เธอตายแน่!
“เดี๋ยว ช่วยด้วย! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ความหวาดกลัวในหัวใจของเธอก่อตัวชัดเจน และความมีเหตุมีผลที่ยังเหลืออยู่ก็จมหายไป– เด็กสาวถูกความมืดมิดไร้สิ้นสุดกลืนกิน เธอมองเฉินเกอในความมืดอย่างกระวนกระวาย แต่ว่า พอเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นบางอย่างที่เธอคงจะลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต
มีคนยืนอยู่บนไหล่ของเธอ!
ที่เธอใส่อยู่นั้นเป็นชุดนักเรียนสกปรก และตอนนี้ เธอก็กำลังใช้ปากกาลูกลื่นขีดเขียนไปอย่างบ้าคลั่งเหมือนกำลังระบายความรู้สึกหวาดกลัวสุดชีวิต
…
เสียงกรีดร้องแหลมดังมาจากห้องเก็บของ และตามมาด้วยเสียงของหนัก ๆ ตกพื้น เฉินเกอวางโหลแก้วกลับที่เดิมและเดินออกมาจากชั้นเก็บของอันที่สอง เขามองเด็กสาวที่นอนอยู่บนพื้น ตอนนี้ คอนแท็คเลนส์สีแดงนั้นหลุดออกจากดวงตาของเธอแล้ว เขาส่ายหน้าเบา ๆ “ทำไมเธอถึงต้องทำให้เธอคนนั้นโกรธด้วยฮึ?”
เก็บปากกาที่เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขึ้นมา เฉินเกอมองไปยังปากกาหมึกซึมที่บนโต๊ะ ผีปากกาดูเหมือนจะไม่สนใจปากกาหมึกซึมนั่นเลยสักนิด
“ใจเย็นนะ เธอไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก” เฉินเกอปลอบผีปากกาและเดินออกจากห้องเก็บของ
“เคลียร์ไปอีกหนึ่งฉาก ฉันควรจะไปที่ไหนต่อ?” เฉินเกอดึงสมุดบันทึกออกมาแล้วเปิดไปที่การบันทึกครั้งที่สาม คราวนี้ เกิดอุบัติเหตุขึ้นในห้องน้ำ– มีวิญญาณพยาบาทอยู่ในห้องที่สี่ และมันก็มักจะปรากฏตัวออกมาตอนเที่ยงคืน
“เกี่ยวกับห้องน้ำงั้นเรอ? ห้องน้ำร้าง ๆ ค่อนข้างน่ากลัว อย่างไรซะ พลังหยินที่นั่นก็หนาหนักที่สุดแล้ว” เฉินเกอดูแผนที่ เขาอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำ แค่เลี้ยวตรงมุมเท่านั้นเอง
“ในเมื่อฉันก็อยู่ตรงนี้แล้ว หวังว่า ฉันจะประหลาดใจอีกครั้งคราวนี้” เฉินเกอพูดและเดินไปยังจุดหมายต่อไปของตัวเอง
…
ในห้องน้ำที่สุดทางเดินชั้นสาม เงาดำ ๆ เงาหนึ่งซ่อนอยู่ในห้องที่สี่ เขากำลังไถหน้าจอโทรศัพท์สีหน้าเบื่อหน่ายตอนที่ได้รับโทรศัพท์
“บอส คุณหาผมเหรอ?”
“ฉู่ชางหลิน ตอนนี้ ผู้เข้าชมพิเศษกำลังจะเข้าไปในฉากของแก แกต้องหาวิธีช่วยฉันหลอกเขาให้กลัวสุด ๆ ไปเลยนะ!”
ตอนที่ 740
“ไม่ต้องห่วงครับบอส ผมสัญญาจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!” ฉู่ชางหลินตบหน้าอกให้สัญญา เขาไม่สนใจว่าบอสของเขาไม่ได้อยู่เห็นมันเสียหน่อย และรับปากไปก่อนแล้ว
“ฉันชอบทัศนคติของนาย ชางหลิน นี่เป็นเหตุผลที่นายเป็นหนึ่งในพนักงานที่ดีที่สุดของบ้านผีสิงของเรา และทำให้ฉันมอบหมายตำแหน่งอันสำคัญอย่างห้องน้ำให้นายดูแล ฉันหวังว่านายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”
“ขอแค่เขาเข้ามาในฉากนี้ ผมรับรองกับคุณว่าเขาจะเดินเข้ามาแต่ว่าคลานกลับออกไป”
“ผู้ชายคนนี้ให้ความสนใจกับรายละเอียดและยังอันตรายมาก ฉันจะตัดการสื่อสารกับนายหลังจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ตำแหน่งของนายถูกเปิดเผยออกไป แต่ว่าฉันจะคอยติดตามการเคลื่อนไหวของนายผ่านกล้อง”
“บอส ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง” หลังจากฉู่ชางหลินสัญญาอีกครั้ง เขาก็นึกถึงบางอย่างได้ เขาลดเสียงลงถาม “บอส ฉากที่ใกล้กับผมที่สุดคือฉากผีปากกา เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเตี๋ยใช่ไหม?”
“เสี่ยวเตี๋ยไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงคนอื่น ตั้งใจกับหน้าที่ของนายไป! เขากำลังมาแล้ว ฉันจะรอข่าวดีอยู่ในห้องกล้องวงจรปิด” ชายวัยกลางคนวางสายไปในไม่ช้า ในเวลาเดียวกัน ประตูห้องน้ำก็เปิดแง้มออก
…
“ทำไมห้องน้ำในบ้านผีสิงถึงไม่แยกเพศกันละนี่? นี่ไม่มืออาชีพเกินไปหน่อยแล้ว” เฉินเกอผลักประตูห้องน้ำของสถาบันฝันร้ายเปิด กลิ่นรุนแรงโจมตีเข้าจมูกเขาทันที “กลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นที่นี่ถึงต้องฆ่าเชื้ออย่างหนักขนาดนี้หรือไง?”
เฉินเกอดึงสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋า พยายามหาคำตอบจากในนั้นแต่ก็ต้องผิดหวัง ไม่มีอะไรใช้การได้เลยจากบันทึกเกี่ยวกับห้องน้ำ มันแค่พูดถึงคร่าว ๆ ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในห้องส้วมห้องที่สี่
“ตามในบันทึก พนักงานน่าจะซ่อนอยู่ในห้องส้วมห้องที่สี่ ตอนที่ผู้เข้าชมเดินผ่าน พนักงานก็จะกระโจนออกมาอย่างกะทันหัน แต่ว่านั่นไม่ใช่จะลดความน่าสะพรึงลงหรือไง?”
ตอนที่เฉินเกออ่านบันทึกครั้งแรก เขาก็คิดวิธีแก้ไขได้อย่างง่ายดาย หากพนักงานซ่อนตัวอยู่ในห้องที่สี่ เขาก็จะยืนอยู่ในห้องที่สามและสังเกตสถานการณืในห้องที่สี่ก่อนค่อยตัดสินใจ แต่เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องน้ำที่อยู่ปลายทางเดิน เฉินเกอก็เปลี่ยนใจ กลิ่นยาฆ่าเชื้อนั้นฉุนมากเกินไปจริง ๆ
มันต้องมีเหตุผลให้ห้องน้ำได้รับการจัดการเช่นนี้ มันซ่อนอะไรเอาไว้ใช่ไหม? ใช้กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อปิดซ่อนกลิ่นของบางอย่างเอาไว้…
“สิ่งที่ทั้งน่ากลัวและเหม็น?” เฉินเกอพยายามคิดหาคำตอบตอนที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ บนพื้นมีรอยแตกหลายรอย และยังมีคำน่ากลัว ๆ ถูกเขียนชุ่ย ๆ เอาไว้ที่บนผนัง บางครั้งก็มีกิ้งก่าคลานไปตามกำแพงและเพดานเกิดเสียงดังแกรกกราก
ไม่มีหน้าต่าง และตะเกียงตั้งโต๊ะเก่า ๆ ก็เปล่งแสงสีแดงอยู่ที่ตรงมุม ใต้ตะเกียงนั้นเป็นกล่องสีดำใบเล็ก ๆ
“นั่นอะไรน่ะ?”
ปกติแล้ว ของเช่นนี้ไม่ควรถูกพบอยู่ในห้องน้ำ เฉินเกอเดินผ่านห้องน้ำห้องแรกแล้วไปหยุดอยู่ตรงตะเกียง เขาเอื้อมมือออกไปเปิดกล่องสีดำเล็ก ๆ และในนั้นมีกระดาษโน้ตที่อ่านได้ว่า– แกชอบที่พวกเราเล่นตลกกับแกเล่นไหม?
ใต้กระดาษโน้ตนั้นเป็นรูปหมู่ใบหนึ่ง เด็กกลุ่มหนึ่งมองกล้องอย่างกระวนกระวาย และมีแค่เด็กที่ตรงริมสุดที่ฉีกชิ้นเหมือนเป็นบ้า ที่ด้านหลังรูป เฉินเกอยังเจอประโยคอื่นเขียนไว้– มันก็แค่เล่นตลกนิดหน่อยเท่านั้นน่าเพื่อน
“เล่นตลก งั้นเหรอ?” บันทึกนั้นมีเงื่อนงำให้เล็กน้อย เฉินเกอไม่รู้ว่าฉากนี้ใช้ธีมอะไร เขาหยิบกล่องประหลาดนั่นขึ้นมาและยัดมันลงไปในกระเป๋า– เขามีความรู้สึกว่าเขาต้องใช้มันหลังจากนี้
การกระทำของเฉินเกอนั้นถูกจับตามองอย่างเงียบ ๆ โดยสายตาที่ในความมืดคู่หนึ่ง คนผู้นั้นไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำนั่น ในห้องน้ำที่มีกลิ่นหึ่งและยังดูเหมือนเป็นที่เกิดเหตุฆาตกรรม ทำไมถึงมีคนที่ยัดของอะไรสักอย่างเข้าไปในกระเป๋าตัวเองอีก?
เฉินเกอสะพายกระเป๋าด้วยแขนข้างเดียว เขาตรวจดูตะเกียงตั้งโต๊ะอีกครั้ง เขากดปุ่มเปิดและปิดอยู่หลายรอบและผละออกมาหลังจากแน่ใจแล้วว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ
“ห้องน้ำมีอ่างล้างมือและห้องส้วมหกห้อง ไม่มีของอย่างอื่นในนี้ และยังเห็นได้ชัดเจนว่าตะเกียงก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ดังนั้น คนก็น่าจะซ่อนอยู่ในห้องส้วม” เฉินเกอนั้นมีประสบการณ์คล้ายอย่างนี้มาก่อนที่โรงเรียนมัธยมมู่หยาง เขาไม่ได้รู้สึกกลัว แต่ว่าหัวใจของเขาก็ยังไม่สบายใจกับความเดจาวูนี้
เขาเปิดประตูห้องส้วมห้องแรก มันมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนกึก เฉินเกอบีบจมูกแล้วตรวจดูในห้องส้วมอย่างอดทน
เขาพบข้อความกร่นด่าร้องทุกข์เขียนเอาไว้บนผนังห้องส้วม
“เขาทำเสื้อผ้าฉันเปียกอีกแล้ววันนี้ ฉันเกลียดเสี่ยวหลิน!”
“เสี่ยวหลินดึงเก้าอี้ออกตอนที่ฉันกำลังนั่งลงไปและมันก็ทำให้ฉันก้นกระแทกพื้น”
“เสี่ยวหลินเอากบมาใส่ไว้ในลิ้นชักของฉัน! ฉันแทบอ้วกแน่ะ!”
อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ ก็แค่เล่นตลก แต่ทั้งหมดล้วนพูดถึงเสี่ยวหลิน เด็กคนนี้น่าจะเป็นเด็กขี้แกล้งของห้อง และเพื่อนในห้องหลายคนก็ตกเป็นเหยื่อ
“แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรที่น่ากลัวจริง ๆ” เฉินเกอกวาดตามอง ข้อความในห้องส้วมนั้นดูไร้เดียงสาไปเลยเมื่อเทียบกับข้อความที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่หอผู้ป่วยสาม
เขาเปิดประตูห้องส้วมห้องที่สอง ยังคงมีข้อความทิ้งไว้แต่ไม่เหมือนที่ในห้องแรก เด็ก ๆ ดูเหมือนจะโกรธเกรี้ยวมากขึ้น และเริ่มมีพวกเขาบางส่วนเกือบได้รับอันตราย
จากนั้นเฉินเกอก็เปิดประตูห้องส้วมห้องที่สาม ข้อความบางส่วนนั้นพูดถึงการเล่นตลกเพื่อแก้แค้นเสี่ยวหลิน พวกเขาสร้างเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับห้องส้วมห้องที่สี่ในห้องน้ำและ ‘บังเอิญ’ บอกมันให้เสี่ยวหลินได้ยิน จากนั้นทุกคนก็ออกความคิดต่าง ๆ ที่จะใช้ในห้องน้ำแก้แค้นเสี่ยวหลินเป็นครั้งสุดท้าย
ผ่านทางข้อความกระจัดกระจายบนกำแพง เฉินเกอก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ข้อความอย่างเดียวนั้นไม่ได้น่ากลัวนัก แต่เมื่อรวมกับบันทึกครั้งที่สามในสมุดบันทึก มันก็ค่อนข้างน่าขนลุก
“เสี่ยวหลินหนีออกจากห้องส้วมห้องที่สี่ได้ในที่สุดใช่ไหม?” เฉินเกอหยุดอยู่ตรงหน้าห้องส้วมห้องที่สี่ ห้องนี้นั้นถูกพูดถึงเป็นพิเศษในสมุดบันทึก ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดน่าจะอยู่ในนี้ บางทีตอนที่เขาเปิดประตู เรื่องตลกของเด็ก ๆ ก็อาจจะเกิดขึ้น หรือบางที ตอนที่ประตูเปิดออก เสี่ยวหลินก็จะกลับมา
แต่ว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่เฉินเกอเปิดประตูห้องส้วมห้องที่สี่ และเขาก็ต้องประหลาดใจ ในนั้นมีกระจกบานหนึ่งวางเอาไว้
“เด็ก ๆ พวกนี้ค่อนข้างสร้างสรรค์ดีทีเดียว” เฉินเกอมองกระจกที่ถูกติดเอาไว้ที่ด้านหลังห้องน้ำ ยิ่งเขามอง เขาก็ยิ่งพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เงาของเขาไม่ปรากฏที่บนกระจก “น่าสนใจ พวกเขาติดรูปเอาไว้ที่บนกระจกงั้นเหรอ?”
เฉินเกอเอื้อมมือไปจับกระจก ตอนที่ปลายนิ้วของเขากำลังจะแตะถูกผิวกระจก จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเบา ๆ ดังมาจากด้านบนร่างของเขา และจากนั้นหลังคอของเขาก็รู้สึกคันยะยิบ เขาก้มหน้าลงมองกระจก– ไม่มีอะไรในนั้น ความคันยิบที่หลังคอของเขามากขึ้นเหมือนมีแมลงหล่นลงไปแล้วไต่อยู่ในนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น