My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 730-733

ตอนที่ 730

 

“มา ไปยืนหน้าฉากสิ” รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบที่ไม่พอดีหยิบกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาจากโต๊ะและเร่งให้ผู้เข้าชมทั้งหมดไปยืนทางซ้ายของเครื่องฉาย “นับสามแล้วพูด ชีส นะ”


รุ่นพี่กดปุ่มถ่ายรูป นิ้วของเขาไม่ได้ขยับออกจากแฟลชเลย ดังนั้นแฟลชจึงกะพริบต่อเนื่อง ในห้องมืด แฟลชสว่างจ้าจนมองอะไรไม่เห็น และผู้เข้าชมทั้งหมดก็ยกมือขึ้นมาบังตาตัวเองเอาไว้


“เอาละ รูปเรียบร้อยแล้ว ฉันจะไปดูว่าหมอมาถึงแล้วหรือยัง พวกเธอก็แจกรูปพวกนี้ให้แต่ละคน คำแนะนำสุดท้าย อย่าแตะต้องอะไรในห้องนี้”


ตอนที่รุ่นพี่พูดอย่างนั้น กล้องก็ยังคง ‘คาย’ ภาพออกมา เขาสุ่มหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมา ยัดมันเข้าไปในกระเป๋าและออกไปหลังจากวางกล้องกลับไปบนโต๊ะ


อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในห้องนั้นเย็น ลมพัดไล้ผิวกายนอกร่มผ้าของผู้เข้าชม เด็กหนุ่มที่ชื่อฉุยหมิงกับหลี่ป๋อนั้นเดินไปทางโต๊ะด้วยกัน พวกเขาหยิบรูปขึ้นมาจากพื้น “พวกเราทางที่ดีก็ทำตามที่เขาแนะนำ มีภารกิจไขปริศนาหลายอย่างในโรงเรียนร้างนี่และเงื่อนงำก็มักจะซ่อนอยู่ในอุปกรณ์ประกอบฉากเล็ก ๆ แบบนี้”


ฉุยหมิงนั้นมีประสบการณ์มาก่อน ครั้งก่อน เขาข้ามขั้นตอนการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์อุปกรณ์ประกอบฉากเหล่านี้ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่ยอมแพ้ หยิบรูปขึ้นมาแล้วฉุยหมิงก็ส่งพวกมันให้เพื่อนร่วมทีมตอนที่จู่ ๆ เขาก็ชะงัก “ทำไมถึงมีรูปเกินมา?”


ฉุยหมิงยืนอยู่ถัดจากเฉินเกอที่อยู่ด้านหลังกลุ่ม เฉินเกอนั้นยังไม่ได้รูป แต่ว่ามีรูปอยู่ในมือของฉุยหมิงสามใบ ไม่นับของเขาเองกับเฉินเกอ ก็ยังมีเกินมารูปหนึ่ง


“รูปนั่นน่าจะมีปัญหาแล้ว! บ้าชะมัด! ดูนี่สิ!” หลี่หยวนกรีดร้องตอนที่ชี้ไปที่รูปที่ตัวเองถือเอาไว้ “มีคนเกินมาในรูปหมู่!”


ตอนที่ผู้เข้าชมคนอื่นได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ก้มลงไปมองรูปของตัวเอง และพวกเขาก็ตกใจที่พบว่ามีคนที่เกินมายืนอยู่ถัดจากเซว่ลี่ตอนที่พวกเขาถ่ายรูป เธอสวมเครื่องแบบของสถาบันฝันร้าย ใบหน้าของเธอซีด และเธอก็จ้องตรงเข้ามาในกล้องขณะที่ศีรษะของเธอเอนพิงอยู่บนไหล่ของเซว่ลี่


“นี่มัน! แต่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลยนะ!” เซว่ลี่ปัดไหล่ตัวเองรัว ๆ เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองสบถหยาบคาย


เฉินเกอมองรูป “รูปนี่ไม่ได้ถูกดัดแปลง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง นักแสดงที่ซ่อนอยู่ในห้องก่อนหน้าแล้วแอบออกมาตอนที่รูปถูกถ่าย”


เป็นรุ่นพี่คนนั้นที่เลือกตำแหน่งให้พวกเขายืนตอนที่ถ่ายรูป สีของกำแพงด้านหลังพวกเขานั้นต่างไปจากส่วนอื่นที่เหลือ เมื่อมองใกล้ ๆ แล้วก็บอกได้ว่าตรงจุดนั้นโป่งนูนออกมาเล็กน้อย


“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ไปกันเถอะ” เซว่ลี่กอดหลี่หยวนเอาไว้แน่น


“อย่าเดินไปไหนมาไหนคนเดียว ฟังคำแนะนำของพนักงานจะปลอดภัยที่สุด” ฉุยหมิงเตือน “ไม่ว่าฉากจะน่ากลัวแค่ไหน คุณก็จะไม่เจออะไรที่น่ากลัวเกินไป แต่ถ้าคุณหลุดออกไปจากเรื่องราวที่วางเอาไว้ คุณอาจจะไปเจอเข้ากับผีและสัตว์ประหลาดอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ในฉากอื่นและถึงตอนนั้นคุณก็จะได้รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าสิ้นหวัง”


“ได้” เซว่ลี่พิงอยู่กับไหล่ของหลี่หยวน เธอรีบโยนรูปทิ้งไป เธอกลัวเกินกว่าจะถือมันเอาไว้ ดวงตาของเธอกวาดมองรูปที่ฉายอยู่บนจอ เซว่ลี่ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน นักแสดงหลักนั้นเป็นนักเรียน พวกเขามีป้ายชื่อชมรมถ่ายรูปติดอยู่และหนังนั่นก็ถ่ายทำในห้อง “เดี๋ยวก่อนนะ มาดูหนังนี่สิ นี่มันแปลกเหมือนกันนะ”


ทุกคนหันไปดูหนัง นักเรียนที่ในหนังกำลังทำความสะอาดห้องขณะที่นักเรียนคนหนึ่งเจอวิดีโอเทปเก่า ๆ ที่ด้านหลังตู้ใบหนึ่ง พวกนักเรียนมามุงดู พวกเขาดูสงสัยและตัดสินใจจะดูว่ามีอะไรอยู่ในเทปนี่


หนังไม่มีเสียง– มันเหมือนพวกเขากำลังดูหนังเงียบอยู่ ต้องขอบคุณที่บรรดานักแสดงนั้นมีทักษะการแสดงที่ดีและพวกเขาก็อธิบายเนื้อเรื่องผ่านสีหน้าและการกระทำได้ ในหนัง นักเรียนวางเทปในเครื่องเล่นเทป และก็เกิดภาพประหลาดตามมา ผู้เข้าชมในบ้านผีสิงยืนอยู่ในห้องของชมรมถ่ายภาพและดูหนังเกี่ยวกับนักเรียนชมรมถ่ายภาพดูหนัง อยู่ในห้องเดียวกัน


สถานที่ซ้อนทับกัน และกระทั่งมุมของหนังยังคุ้นเคย มีเพียงคนดูเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ความคล้ายคลึงเช่นนี้นั้นสามารถนำไปสู่ภาพหลอนทางจิตใจ หลังจากปรับเครื่องเล่นแล้ว หนังก็เริ่มเล่น มันดูเหมือนจะเป็นเทปบันทึกกิจกรรมที่โรงเรียนจัด


บันทึกนั้นสั้นมาก ยาวเพียงแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น หลังจากหนังจบ เด็กนักเรียนก็เล่นมันซ้ำหลายครั้ง และพวกเขาก็เริ่มทะเลาะกัน ในเมื่อเป็นหนังเงียบ ผู้ชมจึงบอกไม่ได้ว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไร หลังจากการทะเลาะนั้นยุติลง พวกเขาก็เริ่มเล่นเทปอีกครั้ง


ตอนที่เทปหมุนไปได้สี่สิบสี่วินาที นักเรียนคนหนึ่งก็กดปุ่มหยุด นิ้วของเขาชี้ไปที่ทางเดินที่มุมจอและพูดบางอย่างด้วยสีหน้าที่แข็งทื่ออย่างหวาดกลัว


หนังขยายภาพขึ้นมา และผู้เข้าชมก็ได้เห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมบางอย่าง มีเงาเงาหนึ่งวูบผ่านทางเดินไป


นักเรียนทะเลาะกันอีกครัง บางทีอาจจะเพราะมีบางคนไม่เห็นด้วย คิดว่านั่นเป็นแค่ความผิดพลาดของเทปบันทึก การทะเลาะของพวกเขาไปถึงไหนไม่รู้ แล้วนักเรียนก็ออกไปจากห้องทีละคนสองคน เหลือไว้แค่นักเรียนคนที่เป็นคนแรกที่พบเงานั่น


นักเรียนคนนั้นเล่นเทปซ้ำหลายครั้งเหมือนพยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง น่าประหลาด ตอนที่เขาเล่นเทปซ้ำ เงาร่างคนในทางเดินก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็มองเห็นหน้าของคนผู้นั้นได้


มันเหมือนกับว่าคนที่ในทางเดินนั้นขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ตอนที่เขาเล่นซ้ำเป็นครั้งที่สาม ก็สามารถมองเห็นใบหน้าซีดเผือดของผู้หญิงที่มีเลือดเปื้อนเปรอะยืนอยู่ในทางเดิน


ความสนใจของผู้ชมนั้นถูกดึงเข้าไปในหนังมากขึ้น จุดสนใจของหนังนั้นขยับไปมาระหว่างนักเรียนและเทปบันทึกและเครื่องเล่นที่อยู่บนจอ ในที่สุด ในการเล่นซ้ำครั้งที่ห้า ใบหน้าที่ทางเดินก็ชัดเจนที่สุด!


สีหน้าบิดเบี้ยวนั่นทำให้นักเรียนรู้สึกไม่ดี และมันก็ทำให้หัวใจของผู้ชมนั้นเหมือนถูกความกลัวบีบรัดเข้ามา นักเรียนที่ในหนังเริ่มตัวสั่น เขาพยายามเล่นเทปเป็นครั้งที่หกด้วยมือสั่น ๆ นั่น


เป็นอีกครั้ง เทปถูกหยุดที่วินาทีที่สี่สิบสี่แต่ว่าครั้งนี้ เงาในทางเดินหายไป นักเรียนเกาหัวและเอนตัวเข้าไปใกล้หน้าจอมากขึ้น เขามองทางเดินที่มุมจอใกล้ ๆ จากนั้น จอที่แขวนอยู่บนกำแพงก็เลื่อนหลุด และใบหน้าน่าสยองก็ปรากฏอยู่บนผนังด้านหลังหน้าจอ!


ปัง!


ก่อนที่ผู้ชมจะมีโอกาสกรีดร้อง ประตูห้องชมรมถ่ายภาพก็ถูกผลักเปิดและรุ่นพี่ก็กรีดร้องสุดเสียง “เร็ว! วิ่ง! ฉันบอกพวกเธอแล้วว่าอย่าแตะต้องอะไรในห้องนี้ไม่ใช่เหรอ!”


ก่อนที่ผู้เข้าชมจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เซว่ลี่ก็รู้สึกว่าถูกผลักศีรษะ เธอหันกลับไปดูและใบหน้าที่ควรจะอยู่ในหนังกลับมาปรากฏที่ด้านหลังเธอ!


“อ๊า!” สติของเธอพังทลาย เซว่ลี่ลากหลี่หยวนวิ่งออกจากห้องเร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ นี่ทำให้ความวุ่นวายกระจายไปทั่วทั้งกลุ่มที่เหลือ มีเพียงเฉินเกอที่ยังยืนอยู่กับที่ถือกระเป๋าเอาไว้ ศึกษาเครื่องฉายที่บนผนังที่ด้านหลังห้องชมรมถ่ายภาพ


“พวกเขาคนหนึ่งดึงประตูเปิดเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมขณะที่อีกคนแอบออกมาจากทางเดินของพนักงาน จังหวะเวลานั้นไร้ที่ติ นี่ทำได้ก็ต่อเมื่อมีการฝึกซ้อมหลายต่อหลายครั้ง สถาบันฝันร้ายนี่ประมาทไม่ได้เลยเหมือนกัน”

 

 

 


ตอนที่ 731

 

ตอนที่ผู้เข้าชมทั้งหมดออกไปจากห้องแล้วรุ่นพี่ก็ปิดประตูห้องชมรมถ่ายภาพทันทีและเอาแต่พึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร? เธอกลับมาแล้ว!”


มีเสียงปังดังมาจากด้านหลังประตูเรื่อย ๆ ประตูทั้งบานสั่นเหมือนมันจะหลุดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ รุ่นพี่คนนั้นเป็นนักแสดงที่ดีทีเดียว ด้วยอิทธิพลจากเขา ผู้เข้าชมที่ตื่นตระหนกอยู่แล้วก็ยิ่งกระวนกระวาย


“ที่นี่มีปัญหานิดหน่อยน่ะ ยังไงก็ไปตรวจสุขภาพสำหรับนักเรียนใหม่กันก่อน ในห้องที่ด้านหน้านั่น หมอมาถึงแล้ว” รุ่นพี่เค้นรอยยิ้มออกมา ประตูสั่นอย่างแรง ในทางเดินมืด ๆ ผู้เข้าชมนั้นยังไม่ได้หวาดกลัวนักเมื่อมีคนนำทาง แต่สำรวจฉากด้วยตัวเองนั้นเป็นงานยากไปสักนิด


“พวกเธอทุกคนมัวทำอะไรอยู่ตรงนี้? ไปสิ!” เสียงของรุ่นพี่เปลี่ยนเป็นเร่งเร้า เขาทิ้งน้ำหนักพิงประตูห้องชมรมถ่ายภาพเอาไว้ ถึงอย่างนั้นประตูก็ยังสั่นอย่างแรง


“พวกเราควรจะฟังเขา ไปกันเถอะ” ฉุยหมิงและหลี่หยวนนำทั้งกลุ่มเดินออกไป ก่อนที่พวกเขาจะไปได้ไกล รุ่นพี่ที่ขวางประตูเอาไว้จู่ ๆ ก็เสริม “อ้อ ฉันจะบอกพวกเธออีกอย่าง! ลิฟท์มีปัญหานิดหน่อยและมันก็ใช้การไม่ได้ชั่วคราว พยายามอย่าเดินไปชั้นอื่นเพราะว่าในช่องบันไดน่ะ…”


เขาพูดได้ครึ่งทางตอนที่แขนซีดเผือดข้างหนึ่งจะเอื้อมออกมาจากกลางประตูแล้วดึงชายผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปในห้อง


“ช่วยฉัน! ช่วยฉันด้วย!” เสียงกรีดร้องสุดเสียงของรุ่นพี่ก้องไปในโถง ใบหน้าซีดเผือดของเขาเบียดอยู่ระหว่างประตู แก้มของเขาเต็มไปด้วยเลือด และเขาก็โบกแขนไปมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อขอความช่วยเหลือ “ช่วยฉันที! ดึงฉันออกไป!”


สีสีแดงเลือดกระฉูดออกมาจากด้านหลังศีรษะของเขาและมันก็สาดกระจายไปทั่ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนอื่นย่อมไม่กล้าเข้าไปใกล้ ผู้เข้าชมยืนนิ่งอึ้งอยู่มองรุ่นพี่ถูกลากเข้าไปในประตูช้า ๆ และเลือดก็นองอยู่บนพื้น


“ช่วยฉัน!” รุ่นพี่กรีดร้องเสียงดัง ตอนนั้นเอง เฉินเกอ ที่อยู่ด้านหลังของกลุ่มก็เดินไปข้างหน้า รองเท้าของเขาเหยียบไปบนสีแดงบนพื้น ‘เลือด’ นี้ไม่เหนียวเท่าเลือดจริง มันเป็นสีแดงที่เอามาละลายกับน้ำ เฉินเกอเอื้อมมือไปที่ประตูแล้วคว้ามือของรุ่นพี่เอาไว้อย่างไม่ลังเล


“ช่วย…” ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เฉินเกอก็ผลักเขาไปที่ด้านหลังประตูแล้วก็ล็อกประตูไว้ ทางเดินเงียบไปในทันที กระทั่งผีที่ด้านในห้องก็ยังงุนงง


ผู้เข้าชมที่เหลือเบิกตากลมกว้างมองเฉินเกอ ฝ่ายหลังนั้นแค่พูดอย่างอาย ๆ “โทษทีครับ ผมว่ามือผมลื่นไปน่ะ”


หลังจากเฉินเกอเดินห่างจากห้องนั้นมาสามเมตร ประตูก็เริ่มสั่นอีกครั้งและเสียงกรีดร้องของรุ่นพี่กับเสียงหัวเราะชั่วร้ายของผีผู้หญิงจากด้านในห้องชมรมถ่ายภาพก็ดังออกมา


“พนักงานพวกนี้อย่างน้อยที่สุดก็รู้จักปรับตัวไปตามสถานการณ์” เฉินเกอกลับไปที่ด้านหลังกลุ่มและเขาก็พบว่าผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ยังมองมาที่เขา “อย่ามัวยืนอยู่ที่นี่– พวกเราต้องรีบไปหาหมอ เมื่อกี้นี้ นักเรียนคนนั้นบอกว่าบันไดไม่ปลอดภัย และตอนนี้พวกเราก็อยู่ใกล้กับบันไดเกินไป บางทีอาจจะมีบางอย่างคลานออกมาจากที่นั่นหลังจากนี้ อย่างไรเสียพวกคุณก็ได้เห็นในหนังไปแล้วก่อนหน้านี้ ผีปรากฏตัวครั้งแรกที่บันได”


ด้วยน้ำเสียงสงบและการวิเคราะห์เฉียบคม หลังจากผลักรุ่นพี่ไปสู่ความตายแล้ว ความสามารถของเฉินเกอในการรักษาสติเอาไว้ก็ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับผู้เข้าชมคนอื่น ๆ


“คุณพูดถูก พวกเราอยู่ใกล้บันไดเกินไปตอนนี้” หลี่หยวนนั้นค่อนข้างกลัว เขามองบันไดที่ด้านหลังตัวเองและทางเดินมืด ๆ ที่ด้านหน้า เขาไม่กล้าเดินไปต่อ– ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะไปเจอเข้ากับสัตว์ประหลาดชนิดไหน เขาขยับไปด้านหน้าสองสามก้าวก่อนจะหยุด เขาหันกลับมาขอความช่วยเหลือเฉินเกอ “พี่ชาย คุณนำทางพวกเราไปดีไหม?”


“คุรอยากอยู่ระวังหลังเหรอ? อันที่จริง มันอันตรายกว่าเดินนำข้างหน้านะ ท้ายกลุ่มน่ะใกล้กับบันไดที่สุด และใครจะไปรู้ คุณอาจจะพบคนอื่นที่เกินมาเดินอยู่ด้านหลังคุณก็ได้?”


“พอแล้วครับ! ผมจะเดินนำข้างหน้าเอง!” หลี่หยวนคว้ามือเซว่ลี่ และเซว่ลี่ก็กอดเอวหลี่หยวนแน่น คู่รักคู่นี้เหมือนพวกเขากำลังเดินเข้าไปในดงกับระเบิดและเดินช้ามาก ๆ เห็นแล้วเฉินเกอก็ส่ายหน้านิด ๆ


ผู้เข้าชมพวกนี้เป็นผู้เข้าชมธรรมดาทั้งหมด ถ้าคนพวกนี้ไปเข้าชมบ้านผีสิงของเขาละก็ พวกเขาคงไม่รอดจากฉากระดับหนึ่งดาวด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะหวาดกลัวทุกอย่าง


บนผนังติดหลอดไฟเอาไว้ทุกสิบเมตร แสงไฟกะพริบ แต่ดูเหมือนจะไม่มีจังหวะเฉพาะเจาะจง ซึ่งเพิ่มบรรยากาศหลอนขึ้นไปอีก สถาบันฝันร้ายนั้นสร้างบรรยากาศได้ดี แต่ว่ามันก็ยังสู้บ้านผีสิงของเฉินเกอไม่ได้ เฉินเกอปลดกระเป๋าสะพายหลังลงและมองเวลาและตัดสินใจไม่เสียเวลาอีกต่อไป “ถ้าฉันรีบหน่อย ฉันก็อาจจะกลับทันรถไฟเที่ยวบ่าย”


เขาดึงปากกาลูกลื่นที่มีเทปกาวพันเอาไว้ออกมา เฉินเกอเสียบมันไว้ในกระเป๋าเสื้อ สำหรับฉากเล็ก ๆ แบบนี้ ผีปากกาก็มากเกินพอแล้ว


“มา ผมจะนำทางเอง” เปิดไฟฉายสีแดงแล้วเฉินเกอก็เดินไปที่ด้านหน้าคนเดียว ผู้เข้าชมที่ด้านหลังต้องเริ่มวิ่งเพื่อตามเขาให้ทัน


“มีกล้องสองตัวติดตั้งไว้ที่สองด้านของทางเดิน ที่ตรงกลางทางเดินมีกล้องหนึ่งตัวที่สามารถหมุนได้หนึ่งร้อยแปดสิบองศา นี่เป็นกล้องสามตัวที่ฉันมองเห็นจากไกล ๆ ถ้ายังมีกล้องอื่นอีก จุดบอดก็ควรจะเป็นไม่กี่ที่นี่” เฉินเกอพึมพำกับตัวเองขณะเดินไปตามทางเดิน ผู้เข้าชมไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนให้ความสนใจกับตำแหน่งกล้องรักษาความปลอดภัยในบ้านผีสิง บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญเข้าชมบ้านผีสิง


เฉินเกอเดินอยู่นานแต่ว่าไม่เจอห้องไหนที่น่าจะเป็นห้องพยาบาลหรือว่าห้องตรวจสุขภาพ เขาทำได้แค่หันไปเคาะประตูทีละบาน


“มีใครอยู่ไหมครับ? พวกเรามาที่นี่เพื่อตรวจร่างกาย” ตอนที่เขาเคาะประตูที่สาม ก็มีเสียงฝีเท้า และเมื่อประตูถูกผลักเปิด กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนกึกก็ลอยออกมา หมอในชุดเสื้อกาวน์สีขาวยืนอยู่ที่ประตู เขามองผู้เข้าชมและถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงมีแค่พวกเธอ? รุ่นพี่ที่นำทางพวกเธอมาไปไหนเสียล่ะ?”


ผู้เข้าชมทุกคนหันไปมองเฉินเกอ แต่ไม่มีใครกล้าบอกว่าคนผู้นี้ผลักรุ่นพี่คนนั้นเข้าไปในห้องผีสิงแล้ว


“รุ่นพี่ถูกผีจับตัวไป และเขาก็บอกพวกเราให้มาหาคุณกันเอง” เฉินเกออธิบายอย่างสงบ


“อย่างนั้นเหรอ?” หมอดูงุนงง “ทำไมพวกเธอไม่เข้ามาก่อนล่ะ เพื่อความเป็นส่วนตัว ก็เข้าไปในกั้นห้องนั่นห้องละคน ถ้ากรอกเอกสารเสร็จแล้วก็ออกมาได้”


ประตูเปิดและผู้เข้าชมก็ได้เห็นเตียงหลังหนึ่งที่ในห้องพยาบาล มันมีผ้าห่มคลุมเอาไว้ แต่ว่าแขนผอม ๆ ข้างหนึ่งยื่นออกมาที่ปลายเตียงด้านหนึ่ง ตู้เก็บของที่ด้านหลังห้องมีเลื่อย กระบอกฉีดยาที่ใหญ่กว่าปกติสิบเท่า เหล็กเจาะสีดำ และค้อนหน้าตาน่ากลัวที่เล็กกว่าค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกเพียงเล็กน้อย


“หมอครับ ของพวกนี้มีไว้ทำอะไรเหรอ?” เฉินเกอเดินไปทางตู้แต่ว่าถูกหมอรั้งเอาไว้อย่างรวดเร็ว “นั่นเป็นอุปกรณ์ตรวจร่างกายน่ะ”


หมอหัวเราะอย่างน่ากลัวและหันไปมองผู้เข้าชมคนอื่นด้วยสายตามุ่งร้าย “เข้าไปกรอกเอกสารในห้องกันก่อน หลังจากตรวจร่างกายเสร็จ พวกเธอก็เริ่มต้นชีวิตนักเรียนที่นี่อย่างเป็นทางการ”


“ได้ครับ” เฉินเกอมองค้อนที่ด้านในตู้และถูมือเข้าด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว เขาเป็นคนแรกที่เข้าไปในกั้นห้องเล็ก ๆ 

 

 


ตอนที่ 732

 

ในห้องที่กั้นไว้นั้นเล็กมาก มีแบบฟอร์มกับปากกาแขวนเอาไว้ที่บนผนัง เฉินเกอหยิบฟอร์มขึ้นมาดู “กรุณาเลือกหนึ่งอย่างที่คุณไม่กลัว”


แถวแรกนั้นมีตัวเลือกระหว่างความมืดกับที่แคบ “นี่เป็นการทดสอบทางจิตใจอย่างหนึ่งเพื่อดูว่าผู้เข้าชมมีภาวะทางจิตผิดปกติใดหรือไม่งั้นเหรอ?”


เฉินเกอนั้นไม่กลัวความมืดหรือว่าการติดอยู่ในที่แคบ ๆ เขากำลังจะสุ่มเลือกตัวเลือกตอนที่ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในใจเขา ไม่ใช่ว่าสถาบันฝันร้ายจะออกแบบเส้นทางพิเศษให้ตามคำตอบที่ให้ไว้ที่นี่เพื่อหลอกผู้เข้าชมให้ถึงระดับสูงสุดหรอกนะ?


หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเกอก็วงคำว่าความมืด ด้วยดวงตาหยินหยาง ความมืดไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยสักนิด แถวที่สองนั้นเป็นรูปสองรูป หนึ่งเป็นแมงมุม และอีกหนึ่งเป็นงู


แถวที่สามนั้นให้เลือกระหว่างฆาตกรบ้าคลั่งและวิญญาณร้าย แถวที่สี่เป็นรูปสองรูปของหุ่นศพ หนึ่งไม่มีหัว และอีกหนึ่งมีเลือดท่วม


เฉินเกอตอบคำถามทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เขาเปิดประตูห้องและเดินออกมาพร้อมกับแบบฟอร์ม เฉินเกอใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ หมอเพิ่งส่งผู้เข้าชมคนสุดท้ายเข้าห้องไป ดังนั้นเขาจึงยังไม่ทันหันกลับมา


“คุณยังมีแบบทดสอบอื่นที่ผมต้องทำไหม?” เฉินเกอวางแบบฟอร์มลงบนโต๊ะและมองไปยังค้อนและเลื่อยที่ในตู้ บางทีอาจจะเพราะเรื่องความปลอดภัย ของพวกนี้ยังมีเชือกมัดเอาไว้และคงไม่สามารถเอาออกไปได้ง่าย ๆ


“เธอทำเสร็จแล้วเหรอ?” หมอดูเหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่และจู่ ๆ เฉินเกอก็โผล่ออกมาทำให้เขาตกใจเหมือนกัน


“ประหลาดใจขนาดนั้นเหรอครับ?” เฉินเกอเห็นบางอย่างนูนขึ้นมาในกระเป๋าของหมอ– มันดูเหมือนจะมีรูปร่างเหมือนรีโมท น่าจะมีกับดักบางอย่างอยู่ในกั้นห้อง แต่ในเมื่อเฉินเกอออกมาเร็วเกินไป หมอจึงไม่มีโอกาสใช้มัน


“ฉันแนะนำให้เธออ่านแบบฟอร์มอย่างละเอียด แต่ละคำถามนั้นมีความหมายของมันอยู่ ตัวเลือกของเธอจะช่วยให้ฉันตัดสินบุคลิกภาพของเธอ และพวกเราก็จะสามารถออกแบบระบบช่วยเหลือเธอได้” หมอพูดด้วยน้ำเสียงเมตตาและกังวล ตอนที่ทั้งสองคนคุยกัน ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ก็ออกมาจากกั้นห้องทีละคนจนเหลือแค่สองห้องสุดท้ายที่ยังปิดอยู่


“น่าจะผ่านไปสามนาทีแล้ว พวกเธอทำไมถึงช้าขนาดนี้?” หลี่หยวนกอดแขนของเซว่ลี่ไว้– คู่รักคู่นี้ติดกับหนึบเหมือนกาว


หมอก็เริ่มหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน เขาเคาะประตูเบา ๆ “คุณผู้หญิง คุณเสร็จหรือยังครับ?”


ไม่มีคำตอบ หมอเคาะประตูอีกครั้งก่อนที่ประตูจะแง้มออก ผู้หญิงที่พูดน้อยคนนั้นเดินออกมาจากคอกกั้นและส่งแบบฟอร์มให้หมอ ฟอร์มนั้นค่อนข้างเปียก หมอมองลงไปโดยไม่รู้ตัวและพบว่ามันชุ่มน้ำตาไปแล้ว


ผู้หญิงคนนั้นตอบสองสามคำถามแรกอย่างซื่อตรง แต่เริ่มจากคำถามที่สี่ เหมือนจิตใจของเธอถูกกระทบกระเทือน และเธอก็เริ่มเขียนคำว่า ‘ตาย’ ลงไปในรูปหลายต่อหลายครั้ง ด้วยสายตาหยินหยาง เฉินเกอเห็นถ้อยคำทั้งหมดถูกเขียนเอาไว้ที่บนรูปหุ่นไร้หัว เขาสงสัยว่านี่จะเป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องของบ้านผีสิงหรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ


หมอลังเลก่อนที่จะพับแบบฟอร์มแล้วเก็บมันเข้าไปในกระเป๋า “ขอบคุณสำหรับการกรอกข้อมูล ตอนนี้ กรุณาตามรุ่นพี่ที่นำทางพวกเธอมาที่นี่ไปร่วมพิธีต้อนรับ”


“รุ่นพี่คนนั้นถูกผีจับตัวไปแล้ว และเขาก็ถูกขังเอาไว้ในห้องชมรมถ่ายภาพ” เฉินเกอเตือนเขา เขาพบว่าหมอนั้นค่อนข้างใจลอย เขาลืมไปแล้วว่ารุ่นพี่ถูกจับตัวไปแล้ว


“โอ้ ใช่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะนำพวกเธอไปที่นั่นเอง” หมอเดินไปที่ประตูกำลูกบิดประตูเอาไว้ “ฉันตรวจดูสีหน้าของพวกเธอแล้ว และไม่มีใครมีปัญหาทางร่างกายหรือว่าทางจิตใจ เมื่อพวกเธอเดินออกไปจากประตูนี้ พวกเธอก็จะกลายมาเป็นนักเรียนที่สถาบันฝันร้ายอย่างเป็นทางการ ในฐานะที่ปรึกษาของโรงเรียน ฉันมีคำแนะนำสุดท้าย อย่าเปิดประตูห้องไหนในโรงเรียนมั่ว ๆ และอย่าเชื่อสิ่งที่คนแปลกหน้าบอก”


ประตูเปิดออก หมอกดเปิดไฟฉายของตัวเองแล้วเดินก้มหน้าต่ำนำทางไป ผู้เข้าชมตามหลังเขาไปติด ๆ พวกเขาเดินไปได้สองสามก้าวตอนที่ผู้เข้าชมได้ยินเสียงเล็บครูดกับประตูดังมาจากด้านหลังพวกเขา


หันกลับไปมองก็พบว่ามีเด็กหญิงในชุดเครื่องแบบโรงเรียนยืนอยู่ที่มุมทางไปบันได ใบหน้าของเธอซีดขาวราวกับกระดาษ และเธอยังมีรอยยิ้มน่าขนลุก แขนของเธอโบกมาทางกลุ่มผู้เข้าชมไม่หยุด


แสงสลัวที่ตรงมุมกะพริบ เด็กหญิงปรากฏและหายลับไปในความมืด ริมฝีปากของเธอแย้มออก แต่ว่าไม่มีเสียงดังออกมา มันเหมือนเธอกำลังพูดบางอย่าง


“มีผีอยู่ด้านหลังพวกเรา!” หลี่ป๋อ เด็กหนุ่มร่างอ้วนกรีดร้องขณะที่เขาเบียดตัวเข้ากับกลุ่มและขดตัวอยู่ด้านหลังหมอ ตอนที่ทุกคนเห็นเด็กหญิง พวกเขาก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และเฉินเกอก็ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังกลุ่มอีกครั้ง เขาหันกลับไปมองเด็กหญิง ตอนที่คนอื่น ๆ ถูกการแต่งหน้าน่ากลัวของเด็กหญิงหลอก เฉินเกอกลับมองปากเด็กหญิง


“อย่าตามหมอไป”


“อยู่ให้ห่างจากเขา”


“ระวังพวกผู้ใหญ่”


“วิ่ง”


เด็กหญิงดูเหมือนจะให้คำใบ้แก่เหล่าผู้เข้าชม แต่นอกจากเฉินเกอแล้วก็ไม่มีใครเห็น


“ทำไมพวกเราถึงต้องระวังผู้ใหญ่ด้วย?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงรายละเอียดหนึ่ง รุ่นพี่ที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้นั้นสวมเครื่องแบบที่ดูเล็กกว่าตัวอย่างน่าสงสัย “หรือว่ารุ่นพี่คนนั้นไม่ใช่นักเรียนแต่ว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง?”


เฉินเกอจ้องเด็กหญิงที่ตรงมุมนิ่ง คำนวณระยะห่างระหว่างตัวเขากับเด็กหญิง “ถ้าฉันพุ่งออกไป ฉันสามารถย่นระยะทางนี้ได้ภายในห้าวินาที ก่อนที่หมอจะทันได้มีปฏิกริยา ฉันก็จะไปถึงตัวเด็กหญิงและกลายเป็นส่วนหนึ่งของผี”


เทียบกับภารกิจของโทรศัพท์เครื่องดำ การมาเยี่ยมชมบ้านผีสิงอื่นนั้นเป็นวันหยุดและเฉินเกอก็ค่อย ๆ ค้นพบความสนุก “ฉันจ่ายค่าตั๋วไปแล้ว ตราบใดที่มันยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ฉันสามารถที่จะลองวิธีที่ฉันต้องการ เพื่อเพิ่มความสร้างสรรค์ของผู้เข้าชมและช่วยให้พวกเขาผ่อนคลาย นั่นเป็นจุดมุ่งหมายของบ้านผีสิง”


เนื้อหาที่เดิมนั้นมีเพียงเส้นทางเดียวกลับเปิดออกว้างออกโดยเฉินเกอ เขาตื่นเต้นมากขึ้น “ช่วงหลัง ๆ มานี้ฉันวุ่นวายกับการจัดการกับโทรศัพท์เรื่องดำ วันนี้ ฉันควรจะผ่อนคลายและคลายเครียด”


ม่านตาของเขาหดแคบลง และเฉินเกอก็จ้องเป๋งไปยังเด็กหญิงที่ตรงมุมขณะที่รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา


ผงแป้งบางส่วนหล่นลงจากใบหน้าซีดเผือด เด็กหญิงจู่ ๆ ก็ตัวสั่นตอนที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเกอ เธอเซถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัวและจากนั้นก็หายตัวไปในความมืด


“เธอขี้อายเกินไป ผีจริง ๆ ไม่ควรมีท่าทีอย่างนี้” เฉินเกอแบกกระเป๋าสะพายหลัง มือล้วงอยู่ในกระเป๋า เดินไปตามทางเดินสลัวแต่เขาก็ไม่พบอะไรชัดเจน


“หมอนั้นแทนความมืดดำในใจผู้ใหญ่ ทำหน้าที่ปิดบังความลับในโรงเรียน เด็กหญิงที่ตรงมุมแทนผี ไม่ต้องการถูกพบเห็นและหายตัวไปทันทีที่ฉันเคลื่อนไหว ในเมื่อไม่มีฝ่ายไหนเป็นตัวแทนของความดี อย่างนั้นฉันเปลี่ยนตัวเองไปเป็นฝ่ายที่สามในโรงเรียนผีนี่ดีไหมนะ?” 

 

 


ตอนที่ 733

 

บ้านผีสิงส่วนใหญ่ที่เน้นเนื้อหานั้นจะมีการกำหนดบทบาทของผู้เข้าชม ด้วยวิธีนั้น ผู้เข้าชมก็จะอินไปกับเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เหมือนที่สถาบันฝันร้ายนี้ ในบ้านผีสิงนี้ ผู้เข้าชมทั้งหมดจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นนักเรียนใหม่ที่เข้ามาที่โรงเรียน และพวกเขาก็จะใช้ความเป็นนักเรียนใหม่คลี่คลายเรื่องผีในโรงเรียนช้า ๆ


พูดตามทฤษฎีแล้ว บทบาทของเฉินเกอเองก็คือนักเรียนใหม่เช่นกัน แต่ว่าเขาไม่ได้ทำตัวหรือเตรียมตัวมาเป็นนักเรียนใหม่ ผู้เข้าชมคนอื่นนั้นให้ความสนใจกับการไขปริศนาและเคลียร์ฉาก แต่ว่าเขาให้ความสนใจว่าจะเป็นฝันร้ายใหม่ของที่นี่ได้อย่างไร


อันที่จริง เฉินเกอก็ไม่ได้คิดจะมาไกลถึงซินไห่เพื่อทำอะไรอย่างนี้ แต่ว่าสถาบันฝันร้ายบังคับให้เขาทำ เดินไปตามทางเดินมืดและน่าหวาดผวา เฉินเกอพึงพอใจกับตึกนี้มาก ตั้งอยู่บนถนนการค้าที่พลุกพล่านที่สุดของซินไห่ และเพราะสภาพภูมิศาสตร์อันพิเศษ มันแน่ใจได้เลยว่าที่นี่จะไม่มีแสงอาทิตย์ส่องมาถึงไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนของวันซึ่งหมายความว่ามันจะมีผลกับพนักงานของเขาน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย การตกแต่งภายในก็กว้างขวางเช่นกัน มีทั้งหมดหกชั้น และยิ่งกว่าเพียงพอกับฉากมากมายของบ้านผีสิง


“ถ้าฉันจะมาเปิดสาขาในซินไห่ ที่นี่ก็เหมาะสมที่สุด” แน่นอนว่า สถาบันฝันร้ายย่อมไม่ยอมยกที่นี่ให้เฉินเกอฟรี ๆ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงฝันกลางวันและวางแผนล่วงหน้าไปก่อน


“เฮ้ คุณที่ด้านหลังน่ะ! พยายามอย่าถูกทิ้งไว้ที่ด้านหลัง!” ผู้เข้าชมเดินไปไกลพอสมควรแล้วตอนที่พบว่าเฉินเกอนั้นเดินช้า ๆ อยู่ด้านหลัง และหนึ่งในพวกเขาก็ร้องเร่งไปด้วย มีหมอนำอยู่ด้านหน้า ทั้งกลุ่มก็มาถึงห้องเรียนห้องใหญ่ห้องหนึ่ง


“เข้าไปก่อน พิธีต้อนรับนักเรียนใหม่จะทำในห้องนี้แหละ ถ้าพวกเธอโชคดี พวกเธอก็จะได้พบอาจารย์ใหญ่ด้วย” หมอกลับออกไป ผู้เข้าชมยืนอยู่นอกประตูมองเขาเดินห่างออกไป


“เขาไปทั้งยังงี้เลยเหรอ?” เซว่ลี่กอดแขนหลี่หยวนและพึมพำ “ไม่ใช่ว่าเขาต้องให้คำใบ้พวกเราเหรอ?”


ผู้เข้าชมยืนอยู่ในทางเดินและไม่มีใครกล้าเข้าไปเป็นคนแรก สายตาพวกเขาค่อย ๆ ขยับไปทางเฉินเกออย่างไม่ได้วางแผนกันไว้


นอกจากหลี่หยวนแล้ว เฉินเกอก็เป็นผู้ชายที่อาวุโสที่สุดที่นี่


“วิธีการที่ผมเข้าชมบ้านผีสิงต่างไปจากที่คุณคิดเอาไว้ ถ้าคุณอยากจะพึ่งพาผม อย่างนั้นทางที่ดีคุณก็เตรียมตัวพร้อมวิ่งเอาไว้นะ” เฉินเกอเตือนพวกเขาอย่างใจดี เขาชื่นชอบคนที่กล้าเข้าบ้านผีสิงอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว บางทีมันอาจจะเป็นนิสัยจากอาชีพแบบหนึ่ง


ผลักประตูเปิดแล้วกลิ่นเลือดหนาหนักก็ตีตลบออกมา พิธีต้อนรับนักเรียนใหม่ก็คือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายนั่นเอง!


โต๊ะเก่า ๆ เรียงอยู่ในห้องและหุ่นมากมายก็วางเอาไว้ตรงที่นั่ง มีเครื่องฉายที่กำลังทำงานอยู่วางไว้ที่แท่นบรรยายและหุ่นศพตัวหนึ่งก็ห้อยลงมาจากกระดานดำ


หน้าต่างปิด แสงประหลาด และเพลงพื้นหลังหลอกหลอนสร้างบรรยากาศสยองขวัญได้อย่างสมบูรณ์แบบ


“กลิ่นมาจากหุ่นนี่ที่คล้ายคลึงกับศพจริงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ พวกเขาทำได้ยังไงกันนะ? พวกเขาใช้เลือดสัตว์ทาบนหุ่นเหรอ?” ด้านในและด้านนอกประตูนั้นราวกับคนละโลก หลังจากเฉินเกอเข้าไปในห้องเรียน น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป “ไม่แปลกใจเลยที่ที่นี่กลายเป็นบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่”


หลังจากเฉินเกอเข้าไปในห้อง เซว่ลี่ก็คิดจะตามไปแต่ว่าเธอเพิ่งก้าวเท้าได้ก้าวเดียวตอนที่จู่ ๆ ก็ถูกหลี่หยวนดึงกลับไป


“เธอจะทำอะไรน่ะ? ทำฉันตกใจหมดเลย!” เซว่ลี่วางฝ่ามือลงที่เหนือหน้าอกตัวเองแล้วจ้องหลี่หยวนเขม็ง หลี่หยวนขยิบตาให้หลายครั้งและหลังจากดึงเซว่ลี่ไปด้านข้างเขาก็กระซิบใส่หูเธอ “เธอไม่ได้ยินเหรอว่าก่อนหน้านี้เขาพูดว่าอะไร? ผู้ชายคนนั้นบอกว่ากลิ่นมาจากหุ่นนี่ที่เหมือนจริงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์”


“แล้ว? นั่นมันมีอะไรเหรอ?” เซว่ลี่ไม่เข้าใจสิ่งที่แฟนหนุ่มของเธอพยายามสื่อ


“ที่รัก นั่นมีความหมายเดียวว่าเขาเคยเห็นศพจริง ๆ มาก่อน!” หลี่หยวนตัวสั่น เข้าชมบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่ก็ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่แล้ว และตอนนี้เขาก็พบว่ามีคนแปลก ๆ อยู่ในกลุ่มด้วย เขาจะทำอย่างไรดี?


“เธอพูดก็ถูก” เซว่ลี่นั้นเป็นคนไร้เดียงสาจึงไม่ได้คิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในทันที “บางทีเขาอาจจะเป็นหมอ ฉันได้ยินว่ามีหมอผ่าตัดบางคนมาบ้านผีสิงเพื่อผ่อนคลายหลังจากผ่าตัดเคสยาก ๆ เสร็จ พวกเราโชคดีแล้วคราวนี้ที่ได้รวมกลุ่มกับผู้เชี่ยวชาญ”


“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น” หลี่หยวนและเซว่ลี่พบว่าตัวเองนั้นถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง คนที่เหลือเดินหน้าไปโดยไม่รอพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นสองคนที่ยังอยู่ในทางเดิน โคมไฟตามทางเดินจู่ ๆ ก็เปิด หลี่หยวนไม่ได้สนใจมันนัก เขายังคิดอยู่ว่าจะตามเฉินเกอเข้าไปดีหรือไม่ ในตอนนี้เอง โคมไฟที่ใกล้พวกเขาที่สุดก็ถูกเปิด และเงาหนึ่งก็แวบผ่านตาพวกเขาไป


สายลมเย็นพัดผ่านเส้นผมของพวกเขาและจู่ ๆ หลี่หยวนก็จามออกมา เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวและเห็นเส้นผมหลายเส้นห้อยลงมาจากเพดาน ที่ตรงมุมที่ฝ้าเพดานถูกดึงออกมีใบหน้าของเด็กคนหนึ่ง ผิวซีดและอ้าปากออกครึ่ง ๆ เด็กหญิงดูเหมือนจะมีบางอย่างอยากพูดกับหลี่หยวน ผ่านโพรงที่บนเพดาน เธอโยนกระดานปั้นก้อนลงมาใส่หลี่หยวน


“ช่วยด้วย! มีคนอยู่ตรงนั้น!” หลี่หยวนร้องออกมาและขาของเขาก็เริ่มพาเขาหนีไป เขากำลังจะดึงเซว่ลี่เข้าไปในห้องเรียนตอนที่โคมไฟใกล้พวกเขาที่สุดสว่างขึ้น ห่างไปจากพวกเขาแค่สามเมตรมีสัตว์ประหลาดสูงประมาณสองเมตรตัวหนึ่ง!


กะโหลกศีรษะถูกตะปูแทงทะลุและเสื้อผ้าก็ชุ่มเลือด ผิวที่อยู่นอกร่มผ้าก็เต็มไปด้วยแผลน่ากลัว นิ้วมือของเขาเน่าเปื่อย และเขายังถือเชือกสีแดงเข้มเอาไว้ในมือ


“บ้าอะไรเนี่ย! สัตว์ประหลาดตัวใหญ่นี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” หลี่หยวนและเซว่ลี่พุ่งเข้าไปในห้องเรียนอย่างไม่ลังเล จากนั้นพวกเขาก็กระแทกประตูห้องเรียนปิด “มาช่วยกัน! มีสัตว์ประหลาดอยู่ด้านนอกนั่น! ช่วยกันดันประตูไว้เร็ว!”


ผู้เข้าชมที่ในห้องนั้นเริ่มตื่นตระหนก พวกเขากำลังตรวจดูในห้องอย่างละเอียด จู่ ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกทำให้พวกเขาตกใจ พวกเขาไม่ได้ตกใจกลัวอุปกรณ์ประกอบฉากในบ้านผีสิงแต่ตกใจกับพวกเดียวกันเองนี่แหละ


ปัง!


มีบางอย่างที่นอกห้องเรียนกระแทกเข้ากับประตูอย่างแรง หลี่หยวนใช้แรงทั้งหมดดันประตูเอาไว้และเส้นเลือดที่หน้าผากของเขาก็ปูดโปน “มาช่วยผมที!”


เฉินเกอนั้นมีปฏิกริยาเร็วที่สุด เขาวิ่งมาผลักประตูปิด “พวกคุณไปกระตุ้นกับดักอะไรเข้าหรือเปล่า?”


“ไม่ ผมสาบานได้ ไม่มีอะไรแบบนั้น! พวกเราแค่ยืนอยู่นอกประตู! พวกเราไม่รู้เลยว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่!” ใบหน้าหลี่หยวนแดงก่ำ


“ผมเข้าใจแล้ว การปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดก็เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้าชมจะเดินตามเนื้อเรื่องที่วางเอาไว้ ถ้าคุณอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป สัตว์ประหลาดก็จะปรากฏตัวขึ้น” เฉินเกอช่วยปิดประตูและเขาก็คว้าไม้กวาดมาขัดประตูให้อยู่กับที่


“ตอนนี้มีสัตว์ประหลาดขวางประตูอยู่ แล้วพวกเราจะออกไปยังไง?” ถึงแม้ว่าประตูจะถูกปิดเอาไว้ได้ชั่วคราว สัตว์ประหลาดก็ยังไม่ได้ไปไหนและก็ยังคอยกระแทกประตูเหมือนเป็นบ้า


“เงื่อนงำน่าจะอยู่ในห้องนี้ มันน่าจะเป็นยันต์ที่ใช้ไล่สัตว์ประหลาดออกไป หรืออาจจะเป็นทางลับหรือว่าอาวุธ” เฉินเกอมองประตูที่อาจจะพังลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาใจเย็นจนเพื่อนร่วมทีมรู้สึกกลัว “ระดับความสยองกำลังเพิ่มขึ้นแล้ว น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ”


“เฮ้! มาดูนี่สิ!” ตอนที่เฉินเกอและหลี่หยวนปิดประตู ฉุยหมิงก็พบบางอย่าง เขาชี้ไปที่เครื่องฉาย หน้าจอที่ข้างกระดานดำเริ่มเล่นวิดีโอสั้น ๆ


นักเรียนชายสี่คนเข้าไปในห้องเรียนมืด ๆ ห้องหนึ่ง แต่ละคนนั้นไปยืนที่ตรงมุมห้อง และพวกเขาก็นับถอยหลัง พวกเขาเดินเลียบกำแพง พวกเขาเดินไปรอบ ๆ ตอนที่จู่ ๆ คนที่ห้าก็ปรากฏตัวขึ้นบนจอ


ในเมื่อพวกเขาทั้งห้าคนสวมเครื่องแบบเหมือนกัน ฉุยหมิงจึงบอกไม่ได้เลยว่าคนที่เพิ่มเข้ามาคือคนไหน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม