My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 727-729
ตอนที่ 727
“เฉินเกอ แกแน่ใจเหรอว่าแกอยากไปซินไห่?” ลุงซูยังกังวล
“ผู้อำนวยการลั่วเคยบอกผมว่าพวกเราต้องมองภาพรวม การไปซินไห่ครั้งนี้มีสองจุดประสงค์– เตือนสถาบันฝันร้าย และทำความเข้าใจตลาดให้ดีขึ้น” เฉินเกอพูดท่าทางจริงจัง “มันไม่มีอะไรครับ ไม่ต้องห่วง”
เปิดประตูแล้วเฉินเกอกับจางจิงจิ่วก็เข้าไปในบ้านผีสิง
“รอฉันที่นี่ ฉันต้องไปที่ฉากใต้ดินหยิบของบางอย่าง” เฉินเกอให้พนักงานส่วนใหญ่กลับไปประจำที่เดิมและเก็บเอาไว้เพียงแค่ไม่กี่ตนที่เขาไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่อย่างเช่น รองเท้าส้นสูงสีแดง ผีผู้หญิงไร้หัว และชิวเหมย เขาไม่ได้ทำไปเพื่อแก้แค้นสถาบันฝันร้าย– เขาแค่เป็นห่วงว่าวิญญาณสีเลือดอาจจะสร้างปัญหาให้กับบ้านผีสิงของเขาเมื่อเขาไม่อยู่
เพื่อประโยชน์ของความสมดุล เฉินเกอจึงพากลุ่มของเอี๋ยนต้าเหนียนกับซู่อินไปด้วย
“ค้อนนี่น่าจะไม่ผ่านจุดรักษาความปลอดภัยไปได้ ดังนั้นฉันต้องทิ้งมันเอาไว้ที่นี่” หลังจากเอาค้อนออกไป กระเป๋าก็เบามากจนเฉินเกอต้องทำความคุ้นเคยอยู่ครู่หนึ่ง กลับไปที่ด้านบนแล้วเฉินเกอกับจางจิงจิ่วก็รอให้พนักงานคนอื่น ๆ มาถึงและเฉินเกอก็ช่วยพวกเขาแต่งหน้าก่อนที่จะออกไป
ห้าโมงเช้า เฉินเกอกับจางจิงจิ่วก็ขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปยังเมืองซินไห่ ทั้งสองเมืองนั้นอยู่ติดกัน แต่ว่าอุณหภูมินั้นต่างกันมาก อุณหภูมิเฉลี่ยของซินไห่นั้นสูงกว่าของจิ่วเจียงเพราะเหตุผลบางอย่างที่เฉินเกอไม่อยากพูดถึง
“จิงจิ่ว นายไปเยี่ยมพ่อของนายได้เลย” เฉินเกอยัดซองแดงใส่มือจางจิงจิ่ว “ใช้นี่ซื้อของให้ท่านด้วย ฉันคงไม่ได้ไปเป็นเพื่อนนายนะ ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉัน”
ก่อนที่จางจิงจิ่วจะทันได้ปฏิเสธเขา เฉินเกอก็คว้ากระเป๋าสะพายหลังวิ่งออกจากสถานีรถไฟไปแล้ว เฉินเกอโบกแท็กซี่และบอกให้ขับไปยังที่อยู่ของสถาบันฝันร้ายที่เขาพบบนออนไลน์
ไม่เหมือนบ้านผีสิงของเฉินเกอ สถาบันฝันร้ายนั้นตั้งอยู่บนถนนที่มีการค้าพลุกพล่านที่สุดในเมืองซินไห่ ในฐานะบ้านผีสิงที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดของซินไห่ พวกเขาเช่าตึกทั้งหลัง
บังเอิญที่ตอนที่ผู้รับเหมาออกแบบถนนการค้าเส้นนี้นั้นมีจุดบกพร่องเล็กน้อย มีตึกเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่ถูกตึกสูงเสียดฟ้าล้อม ทำให้เกิดสภาพที่ตึกนี้ไม่เคยได้รับแสงอาทิตย์เลยไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนของวัน หลายคนปฏิเสธที่จะเช่าตึกซึ่ง ‘ไม่เคยพบเห็นแสงตะวัน’ ในที่สุดมันก็ถูกเลือกให้กลายเป็นที่ตั้งของสถาบันฝันร้าย พวกเขาเช่าตึกฝั่งที่ไม่มีโอกาสสัมผัสแสงอาทิตย์ได้นี้ในราคาที่ถูกมากและเปลี่ยนมันไปเป็นบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่
ตึกข้างที่ได้รับแสงอาทิตย์บ้างเป็นบางครั้งนั้นมีร้านอาหารและร้านค้าตั้งอยู่มากมาย ขณะที่อีกข้างนั้นมีหน้าต่างที่ปิดไว้ตลอดเวลา หนึ่งหยิน หนึ่งหยาง ในที่สุดมันก็กลายไปเป็นจุดสำคัญของเมืองซินไห่และยังเป็นที่นิยมมากในออนไลน์
แต่นั่นก็หลายปีมาแล้ว ความนิยมของบ้านผีสิงนั้นลดลง และมีคนมาที่สถาบันฝันร้ายน้อยลงไปเรื่อย ๆ พวกเขาพยายามปรับปรุงสิ่งใหม่ ๆ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมที่ลดลงนั้นชะลอได้
หลังจากจ่ายค่าโดยสารแล้วเฉินเกอก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าถนนการค้า มีพาหนะมากมาย และตึกก็สูงเสียดฟ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นวันทำงาน ที่นี่ก็ยังมีคนเต็มไปหมด
“คนพวกนี้ไม่ต้องทำงานหรือยังไง?” เฉินเกอที่แบกกระเป๋าสะพายหลังเก่าโทรมและไม่ได้ดูปกตินักนั้นโดดเด่นสะดุดตาอยู่ในถนนการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองใหญ่นี้ แต่ว่า เฉินเกอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เทียบกับรูปลักษณ์แล้ว เขาให้ความสนใจที่จิตใจของคนมากกว่า
เฉินเกอเดินไปตามแผนที่ที่บนโทรศัพท์ของเขา ไม่ช้าก็เจอสถาบันฝันร้าย ตั้งอยู่ที่มุมเงียบ ๆ มุมหนึ่งของถนนการค้า คนที่ตรงนี้น้อยลงมาก
ก่อนที่เขาจะเข้าไปใกล้ เฉินเกอก็เห็นพนักงานหลายคนยืนอยู่ที่ทางเข้า ตะโกนผ่านลำโพงเสียงดัง
“ประสบการณ์บ้านผีสิงแบบสี่มิติ! ประสบการณ์สยองขวัญที่สุดในชีวิตของคุณ! บ้านผีสิงมาตรฐานระดับโลก– สถาบันฝันร้าย– เริ่มเปิดภาคการศึกษาใหม่พร้อมกับเสียงกรีดร้อง!
“ประสบการณ์ที่สถาบันฝันร้ายนั้นผสานเอาบ้านผีสิง ห้องปิดตาย การสำรวจ และการตอบโต้เสมือนจริงเอาไว้! มันเป็นสวนสนุกในร่มแห่งใหม่! มีเพียงแค่สติปัญญาอันเฉียบแหลม ความกล้าหาญ และสมรรถภาพร่างกายอันยอดเยี่ยม คุณถึงจะรอดชีวิตออกมาได้!
“ในด้านการออกแบบ อุปกรณ์ประกอบฉาก ฉาก และการแต่งหน้า พวกเราล้วนยอดเยี่ยมกว่าบ้านผีสิงอื่น ๆ ในท้องตลาด!”
พนักงานตะโกนสุดเสียง แต่ว่ามีผู้เข้าชมเพียงไม่กี่คนที่สนใจ กระทั่งต่อให้มีคนหยุดดูอย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาก็จะจากไปในไม่กี่วินาทีให้หลัง
“คุณครับ คุณอยากมาลองท้าทายบ้านผีสิงของพวกเราดูไหม?” พนักงานสังเกตเห็นเฉินเกอมาสักครู่ใหญ่แล้ว เขาเห็นเฉินเกอยืนอยู่ที่เดิมนานแล้วแต่เห็นเสื้อผ้าที่ดูไม่ทันสมัยนักของเฉินเกอ เขาก็ไม่รีบร้อนตรงเข้ามาทักทาย เขาไม่คิดว่าเฉินเกอจะเป็นผู้เข้าชมได้
“บ้านผีสิงของพวกคุณน่ากลัวจริง ๆ น่ะเหรอ?” เฉินเกอสงสัย ถึงแม้ว่าศีลธรรมของพวกเขาจะตกต่ำ สถาบันฝันร้ายก็คงต้องมีอะไรบางอย่างที่โดดเด่น ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถเป็นบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่ได้
“คุณคงไม่เชื่อหรอกต่อให้ผมบอกว่ามันน่ากลัว– ทางที่ดีที่สุดคือคุณต้องไปสัมผัสด้วยตัวคุณเอง” พนักงานพยายามขาย แต่บางทีอาจจะกลัวว่าเฉินเกอจะผละไปเขาจึงรีบเสริม “ผมบอกได้แค่ว่าบ้านผีสิงมาตรฐานระดับโลกไม่ใช่เรื่องตลก บ้านผีสิงของพวกเราน่ะ สามสิบสามเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมขอยอมแพ้ และอัตราการเคลียร์ฉากได้ก็แค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น และยังมีสถิติสูงสุดของการเข้าแถวรอถึงสามชั่วโมงแต่ว่ายอมแพ้ภายในสามนาทีด้วย”
“อัตราการเคลียร์ฉากได้คือสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น?”
“จริง ๆ ครับ ผมไม่โกหกคุณ ความสยองขวัญที่ด้านในสถาบันฝันร้ายของพวกเราไม่ใช่ความน่ากลัวพื้น ๆ แต่เป็นการสำรวจลึกเข้าไปในจิตใจของมนุษย์” พนักงานพูดอย่างวางท่า “คุณว่ายังไงดีครับ? คุณอยากจะเข้าไปสัมผัสประสบการณ์หน่อยไหม? ในเมื่อนี่เป็นวันธรรมดา ก็เลยมีโปรโมชั่น ปกติค่าตั๋วสองร้อย แต่ว่าวันนี้แค่ร้อยแปดสิบครับ”
“แพงขนาดนั้น?” เฉินเกออดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ สำหรับบ้านผีสิงของเขา ผู้เข้าชมต้องซื้อตั๋วเข้าสวนสนุกก่อน แต่ว่าสถาบันฝันร้ายนั้นมีเพียงแค่บ้านผีสิงให้เข้าเท่านั้น ต่อไป ตอนที่ฉันขยายสาขามายังซินไห่ ฉันต้องเพิ่มค่าตั๋วตามคุณลักษณะของพื้นที่
เฉินเกอยังคิดอยู่แต่ว่าพนักงานเริ่มหมดความอดทน “คุณภาพสมกับราคาครับ บ้านผีสิงของพวกเราต้องมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้คุณได้อย่างแน่นอน”
“เอาละถ้างั้นก็ขอตั๋วใบหนึ่ง” เฉินเกอเข้าไปในบ้านผีสิง การตกแต่งภายในได้บรรยากาศ ห้องขายตั๋วนั้นตกแต่งเหมือนเป็นสถานที่ลงทะเบียนของนักเรียนใหม่ และลิฟท์เข้าฉากก็ตกแต่งเป็นประตูโรงเรียน และยังมีรูปภาพกับโปสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผีติดอยู่บนกำแพง
ก่อนที่จะเข้าฉากจริง ๆ บรรยากาศก็นำมาก่อนแล้ว– สถาบันฝันร้ายนี่ไม่ธรรมดาทีเดียว
ตอนที่เฉินเกอเข้าไปในนั้น ก็มีผู้เข้าชมคนอื่นอีกสองคนอยู่ในห้อง และพวกเขาก็ดูเหมือนจะรออยู่นานแล้ว
“ขอโทษด้วยนะคะ จำนวนผู้เข้าชมน้อยที่สุดต่อครั้งคือห้าคนค่ะ รบกวนคุณรออีกสักนิดได้ไหมคะ?” พนักงานผู้หญิงที่ในห้องขายตั๋วบอกเฉินเกอ “ทำไมคุณไม่ลงชื่อก่อนล่ะคะ? พอพวกเรามีคนครบ พวกเราก็จะเริ่มการเข้าชมได้ทันที”
“ได้ครับ” เฉินเกอดึงบัตรประจำตัวออกมาแล้วเดินไปที่ห้องขายตั๋ว
พนักงานที่ด้านในก้มหน้าลง แต่เมื่อเห็นบัตรของเฉินเกอเธอก็เงยหน้ามองขึ้นมาทันที
“เฉินเกอ?”
ตอนที่ 728
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เฉินเกอดึงเงินสองร้อยออกมาวางบนเคาน์เตอร์ พนักงานขายตั๋วรีบเรียกสติตัวเองและพูด “ขอโทษทีค่ะ ฉันแค่คิดว่าชื่อของคุณคุ้นมากเลย เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของฉัน”
“งั้นเหรอ?” เฉินเกอยยิ้มอ่อนและไม่ได้ซักไซร้ต่อ พนักงานทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและแค่ไม่กี่วินาทีก็ลงทะเบียนเสร็จ ตั๋วของสถาบันฝันร้ายค่อนข้างน่าสนใจ– มันเป็นจดหมายแนะนำตัว และชื่อของเฉินเกอก็เขียนอยู่บนนั้น
“ถือจดหมายแนะนำตัวกับเอกสารเอาไว้แล้วกรุณาต่อแถว เมื่อจำนวนผู้เข้าชมครบห้าคนพวกเราก็จะเริ่มการเข้าชมได้ค่ะ” หลังจากช่วยเฉินเกอลงทะเบียน พนักงานก็ดูไม่ค่อยดีนัก มือของเธอกดอยู่บนท้อง เธอรีบร้อนออกจากห้องขายตั๋วไป เฉินเกอหิ้วกระเป๋าไปต่อหลังผู้เข้าชมอีกสองคน เขาดูผ่อนคลายมากราวกับกลับมาบ้านของตัวเองอย่างนั้น
“พี่ชาย คุณมาคนเดียวเหรอ?” ที่ยืนอยู่ก่อนหน้าเขานั้นเป็นคู่รัก มือของพวกเขาสอดประสานกันอยู่และพวกเขาก็ดูค่อนข้างกระวนกระวาย
“ใช่ ผมค่อนข้างเบื่อน่ะ เลยมาเดินเล่นเสียหน่อย”
“คุณกล้ามากแน่ ๆ ที่มาที่นี่คนเดียว ที่นี่น่ากลัวมาก ผมเพิ่งคุยกับแฟนว่าถ้ามีคนไม่ครบ อย่างนั้นพวกเราก็จะยอมแพ้ดีกว่า” ผู้ชายนั้นสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรและสวมชุดสีดำกับแว่นตาหนา เขาดูใจดีและเป็นมิตร
“แต่ไม่ใช่ว่าคุณก็จะเสียเงินค่าตั๋วไปเปล่า ๆ เหรอ?” เฉินเกอไม่ค่อยเข้าใจ
“มันดีกว่าถ้าเทียบกับการวิ่งออกมาพร้อมน้ำตาหลังจากถูกหลอกให้กลัว!” ผู้ชายคนนั้นคิดว่าคำถามของเฉินเกอค่อนข้างประหลาด “เพื่อนของผมเคยมาบ้านผีสิงนี่ก่อนแล้ว และมันก็น่ากลัวมาก หลังจากนี้พวกเราเกาะกลุ่มกันไว้น่าจะดีกว่า”
“ได้” เฉินเกอเองก็มีบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจึงไม่ประมาทศัตรู มันต้องมีเหตุผลให้สถาบันฝันร้ายประสบความสำเร็จมาในอดีต คนผู้ชายดูค่อนข้างขี้ขลาด เขาเอาแต่บอกแฟนสาวถึงความน่ากลัวของบ้านผีสิงนี่ แฟนสาวของเขาก็ให้ความร่วมมือเต็มที่– แค่คำอธิบายของเขาก็ทำให้ใบหน้าของเธอซีดเผือดแล้ว
พวกเขารออยู่อีกหลายนาทีก่อนที่ผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่งกับนักเรียนอีกสามคนจะเดินเข้ามา พวกเขาดูเหมือนไม่รู้จักกัน นักเรียนสามคนคุยกับเองและดูค่อนข้างตื่นเต้น หนึ่งในนั้นบอกว่าเขาเคยมาบ้านผีสิงนี่มาก่อนแล้วและยอมแพ้ตอนผ่านไปได้ครึ่งทางเพราะว่ามันน่ากลัวเกินไป
ผู้เข้าชมหญิงนั้นดูธรรมดา และยังไม่มีอะไรโดดเด่น– เธอเป็นคนที่กลืนหายไปในฝูงชนได้ง่าย ๆ เธอไม่พูดมากนักและยืนอยู่ที่ตรงมุมคนเดียว
“มีผู้เข้าชมครบแล้ว ทุกคนตามฉันมาค่ะ” พนักงานที่วิ่งไปเข้าห้องน้ำก่อนหน้านี้ออกมาจากทางเดินพนักงาน เธอถือกระเป๋านักเรียนสีแดงใบเก่ากับกล่องเก็บของสีน้ำเงินหลายกล่องมาด้วย “กรุณาอย่าใช้โทรศัพท์ตอนที่คุณอยู่ในบ้านผีสิง พวกเราจะเตรียมอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่จำเป็นให้ อย่าวิ่งหรือว่าพยายามยุยงให้เกิดการต่อสู้ที่ในบ้านผีสิง อย่าแตะต้องตัวนักแสดง และแน่นอนว่า นักแสดงก็จะไม่แตะต้องตัวคุณ”
พนักงานพูดกฏต่าง ๆ ของบ้านผีสิงออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและดึงไฟฉายเล็ก ๆ ออกมา “ตอนนี้ กรุณาเข้าแถวและรับไฟฉายของคุณไปค่ะ”
ตอนที่คู่รักที่ด้านหน้าเดินผ่านไป พนักงานก็ส่งไฟฉายให้พวกเขาทันที แต่ตอนถึงคราวเฉินเกอ พนักงานยกมือห้ามเขาเอาไว้ “คุณคะ คุณทิ้งกระเป๋าเอาไว้ข้างนอกได้ไหมคะ? พวกเราจะคืนมันให้หลังจากที่คุณเข้าชมเสร็จแล้ว”
เฉินเกอส่ายหน้า มีวิญญาณสีเลือดสี่ตนอยู่ในกระเป๋าสะพายหลังของเขา และเขาก็กังวลว่าทั้งตึกนี่จะแย่เอาหากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่านั่นเป็นกฎ ฉันหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับพวกเรา” พนักงานยืนยัน
“คุณกลัวว่าผมจะเอาของผิดกฏเข้าไป? ไม่เป็นไร ผมสามารถเปิดกระเป๋าให้คุณตรวจสอบได้” เทียบกับพนักงานของสถาบันฝันร้าย เฉินเกอนั้นดูมีเหตุมีผลมากกว่า เขาเปิดกระเป๋าของเขาต่อหน้ากลุ่มคน “ผมอ่านกฏของคุณหมดแล้ว ผมไม่ได้รับอนุญาตให้นำเชื้อเพลิง ของมีคม และอุปกรณ์ถ่ายวิดีโอเข้าไปในบ้านผีสิงของคุณ อย่างที่คุณเห็น ไม่มีของแบบนั้น”
ทุกคนมองเข้าไปในกระเป๋าของเฉินเกอ และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสงสัยช้า ๆ
“ของพวกนี้มันอะไรกัน?” รองเท้าส้นสูงสีแดงสด และตุ๊กตาน่ารักนั้นอาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นงานอดิเรกประหลาดของเขา แต่ว่าเครื่องเล่นเทปนี่คือ? ไว้เรียนภาษาอังกฤษเหรอ? แต่ว่าเขามาบ้านผีสิง ทำไมถึงเอาของพวกนี้มาด้วย?
สายตาของผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ที่มองเฉินเกอเปลี่ยนเป็นประหลาด และสมองของพนักงานก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“อันที่จริง ก็ไม่มีของอันตรายอะไร แต่ว่า…” พนักงานหยิบเครื่องเล่นเทปขึ้นมา เธอสงสัยว่าอาจจะมีกล้องตัวเล็ก ๆ อยู่ในของสิ่งนี้ พนักงานกดปุ่มเล่น เทปหมุน และก็มีเสียงแทรกดังขึ้น มันดูเหมือนจะเป็นเครื่องเล่นเทปธรรมดา ๆ จริง ๆ
“คุณหมายความว่ายังไง? ในบ้านผีสิงของคุณนี่ผมเอาเครื่องเล่นเทปเข้าไปก็ไม่ได้งั้นเหรอ? ไม่มีกฏแบบนั้นตอนที่ผมไปบ้านผีสิงอื่น!” เฉินเกอเถียงอย่างมั่นใจ
“แต่ว่าจุดสำคัญก็คือไม่มีใครคิดจะพกของอย่างนี้ไปด้วยตอนที่ไปบ้านผีสิง” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พนักงานก็วางเครื่องเล่นเทปกลับเข้าไปในกระเป๋าและตรวจดูของอื่น ๆ ในช่องด้านในกระเป๋า พนักงานพบหนังสือการ์ตูนสยองขวัญวาดด้วยมือและปากกาลูกลื่นที่ถูกเทปใสพันเอาไว้
“คุณเป็นนักเขียนการ์ตูนเหรอ?”
“ผมดูไม่เหมือนเหรอ?” เฉินเกอไม่ได้ปฏิเสธหรือว่ายอมรับ เขาแค่มองพนักงานเงียบ ๆ
พนักงานไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เธอเก็บทุกอย่างเข้าไปในกระเป๋าแล้วส่งคืนเฉินเกอ “รับจดหมายแนะนำกับไฟฉายแล้วเข้าไปข้างในค่ะ”
เธอค้นในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเจอไฟฉายสีแดงอันหนึ่งแล้วส่งให้เฉินเกอ ไฟฉายนี่ดูคล้ายกับไฟฉายของคนอื่น แต่ว่าของเฉินเกอเป็นสีแดงขณะที่ของคนอื่นเป็นสีเขียวทั้งหมด
หลังจากเดินผ่านประตูนิรภัย ผู้เข้าชมทั้งหมดก็เข้าไปในลิฟท์
“ในอีกสิบวินาที ฝันร้ายของคุณจะเริ่มต้นขึ้น ถ้าคุณทนไม่ไหวแล้วและต้องการยอมแพ้ คุณแค่ต้องร้องบอกใส่กล้อง” พนักงานมองผู้เข้าชมเดินเข้าไปในลิฟท์และจากนั้นก็ชี้ไปที่จดหมายแนะนำตัวที่ทุกคนในกลุ่มถือเอาไว้ เธอพูดพร้อมรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้า “คราวนี้จำนวนผู้เข้าชมค่อนข้างน้อย เพื่อให้สมดุลกับความยากของพวกเรา ฉันจะบอกใบ้คุณเพิ่ม– ลองคิดดูนะคะ ว่าฝันร้าย ที่จริงแล้วคืออะไร?”
พนักงานกดปุ่มลิฟท์ ประตูปิด และลิฟท์ก็เริ่มเคลื่อนขึ้นไป
“ฉุยหมิง นายเคยมาที่นี่มาก่อน นายรู้ไหมว่าความลับเบื้องหลังจดหมายแนะนำตัวนี่คืออะไร?” นักเรียนคนหนึ่งถามเด็กชายข้าง ๆ เขา
“อย่าอ่าน ตอนที่เริ่มเข้าฉากนายมองปลายเท้าตัวเองเอาไว้” ฉุยหมิงนั้นดูเป็นเด็กวัยรุ่นขี้อายอายุสิบแปดคนหนึ่ง
“มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?” นักเรียนคนอื่น ๆ นั้นไม่อยากเชื่อ เขาพยายามเปิดจดหมายแนะนำตัว แต่ว่าเพิ่งแกะได้ครึ่งทางตอนที่ไฟในลิฟท์ดับลง!
ความมืดที่จู่ ๆ ก็มาเยือน และลิฟท์จู่ ๆ ก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง จากนั้น แสงไฟสีเขียวก็ปรากฏขึ้นจากผนังทั้งสี่ด้านของลิฟท์
ตอนที่ 729
ในลิฟท์ไม่มีจอบอกว่าพวกเขาอยู่ที่ชั้นไหนแล้ว ภายใต้แสงเรืองรองสีเขียว ใบหน้าตื่นตระหนกของผู้เข้าชมนั้นดูค่อนข้างน่ากลัว พวกเขาดูเหมือนเป็นผีที่กลับมาในวันที่เจ็ดหลังความตาย
“ในเมื่อไม่มีพนักงานมากับพวกเรา ใครจะช่วยอธิบายได้ไหมว่านี่หมายถึงการเข้าชมเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วใช่ไหม?” ผู้ชายคนที่เดินอยู่ด้านหน้าถาม เขามาพร้อมกับแฟนสาว ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าเขาไม่ควรยอมแพ้ง่ายเกินไป
“เหล่าฉุยเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ถ้าคุณมีคำถามอะไร ถามเขาได้” เด็กที่ตัวเตี้ยที่สุดในสามคนดึงแขนฉุยหมิง คนแรกนั้นดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับความน่ากลัว แต่ว่าร่างกายของเขานั้นซื่อสัตย์กว่ามาก ลิฟท์เคลื่อนที่ต่อไปและผู้เข้าชมหลายคนก็หันไปหาฉุยหมิง
เด็กหนุ่มนั้นตัวสูงกว่าเพื่อน ผิวของเขาขาวมาก และเขาก็หน้าแดงจากการตกเป็นจุดสนใจ “พวกเรายังไม่ถือว่าเข้าฉากอย่างเป็นทางการ ลิฟท์จะเปิดออกส่งพวกเราเข้าไปในฉาก สถาบันฝันร้ายมีทั้งหมดหกชั้น แต่ละชั้นมีเรื่องราวของตนเอง ส่วนลิฟท์จะเปิดออกชั้นไหนนั้นเป็นการสุ่ม”
“ครั้งก่อนเธอมาชั้นไหน?” ชายในชุดดำถาม
“ผมก็บอกแน่ไม่ได้ ตัวเลขชั้นนั้นเขียนไว้ที่ในทางเดิน แต่วันนั้น ผมยอมแพ้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในทางเดินด้วยซ้ำ” ฉุยหมิงดูเป็นเด็กซื่อสัตย์คนหนึ่ง เขาตอบทุกคำถามที่คนอื่นถามเขา
“ไม่กล้าเข้าไปในทางเดิน? นี่เป็นเพราะว่ามีนักแสดงซ่อนตัวอยู่ในทางเดินเหรอ?” เมื่อเฉินเกอพูด เขาก็มีบรรยากาศของผู้เชี่ยชาญ
ฉุยหมิงพยักหน้า “มีพนักงานทำงานที่นี่เยอะมาก และพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี ทางเดินเป็นที่หนึ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ นอกจากมันจะจำเป็นมาก ๆ พวกเราควรจะหลีกเลี่ยงที่นั่น
“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอหันไปมองเด็กนักเรียนทั้งสาม เวลาผ่านไป บรรยากาศในลิฟท์ก็ราวกับจะหายใจไม่ออก เด็กสามคนเบียดตัวเข้าหากันและมันก็เป็นฉุยหมิงที่ดูขี้อายที่ดูมีสติที่สุด
“ตามความเข้าใจของผม การเข้าชมสถาบันฝันร้ายนั้นอาจจะยาวถึงสองชั่วโมงได้ หลังจากนี้ คงมีหลายส่วนที่พวกเราต้องร่วมมือกัน” เฉินเกอมองเพื่อนร่วมทีม “ผมชื่อเฉินเกอ ให้ผมเรียกพวกคุณที่เหลือยังไงดีครับ?”
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เขาชื่อฉุยหมิง นี่หลี่ป๋อ และผมแซ่กั่ว ดังนั้นเรียกผมว่าเสี่ยวกั่วก็ได้” ในนักเรียนทั้งสามคน ฉุยหมิงนั้นตัวสูงและขี้อายที่สุด หลี่ป๋อนั้นร่างใหญ่กว่า และเขาก็ดูน่ารักทีเดียว เสี่ยวกั่วนั้นผอมมากและเตี้ยที่สุดในหมู่พวกเขา เขาค่อนข้างพูดเก่งถึงแม้ว่าจะดูขี้อายเท่า ๆ ฉุยหมิงก็ตาม
“ผมชื่อหลี่หยวน และนี่แฟนผมเอง เซว่ลี่” หลังจากคู่รักแนะนำตัวแล้ว ทุกคนก็หันไปหาผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงมุมเงียบ ๆ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนเธอเพิ่งเลิกกับแฟนมาและยังทำใจไม่ได้ ดวงตาของเธอนั้นแดงและฉ่ำน้ำตา และเธอก็อาจจะมาที่นี่เพียงเพื่อระบายอารมณ์
อารมณ์ของเธอดูไม่ค่อยมั่นคง หวังว่าเธอจะไม่หมดสติไปในบ้านผีสิงนะ
เฉินเกอมองผู้หญิงคนนั้นด้วยดวงตาหยินหยาง ตอนที่เขาส่งบัตรประจำตัวของตนเองให้พนักงาน เขาก็จำพนักงานของสถาบันฝันร้ายเอาไว้แล้ว ตอนที่พนักงานส่งของให้เขา เขาก็ถูกจงใจทำให้แตกต่างจากคนอื่น เฉินเกอสังเกตเห็นเรื่องนั้นชัดเจน แต่ว่าเขาก็ใจดีพอที่จะไม่ทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น
ตอนนี้เมื่อมีคนแปลกหน้าอยู่ในกลุ่มด้วย ความคิดแรกของเฉินเกอก็คือสงสัยว่าอันที่จริงแล้วเธอเป็นพนักงานของสถาบันฝันร้าย
เขามองเธออยู่นานแต่ไม่สามารถพบร่องรอยของเครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอ หากสมมติว่าเธอเป็นพนักงานที่นี่จริง ๆ ก็หมายความว่าเธอเป็นนักแสดงที่ไม่ได้อาศัยการแต่งหน้าพิเศษ
หลังจากจดรายละเอียดเหล่านี้ไว้ในใจแล้ว เฉินเกอก็หยุดให้ความสนใจกับเธอต่อ
ตึ้ง!
ลิฟท์สั่น และผู้เข้าชมทั้งหมดก็คว้าราวที่ตรงผนังเอาไว้ หลายวินาทีให้หลัง ประตูก็เปิดออกช้า ๆ และกลิ่นเหม็นประหลาดก็ลอยเข้ามาในพื้นที่แคบ ๆ เทียบกับความเป็นธรรมชาติที่บ้านผีสิงของเฉินเกอแล้ว กลิ่นนี่มีความเป็นสารเคมี และมันยังติดอยู่ในจมูกของผู้เข้าชม ประตูลิฟท์เปิดออกสู่โลกแห่งความมืด
“พวกเราควรจะออกไปไหม?”
“พี่ฉุย นี่เป็นชั้นที่นายมาเมื่อครั้งก่อนไหม?”
“มันดูไม่เหมือนอย่างนี้นะ ตอนที่ประตูเปิดเมื่อครั้งก่อน มันเปิดเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ที่จัดเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่”
“นี่… ทำไมที่นี่มันถึงมืดขนาดนี้?”
“มีใครอยู่ไหม?” เสี่ยวกั่วคว้าแขนฉุยหมิงขณะที่ขยับไปทางประตูลิฟท์ช้า ๆ เขาเปิดไฟฉายและกำลังจะส่องไฟออกไปข้างนอกตอนที่หัวหัวหนึ่งจู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากด้านหนึ่งของประตู
เสียงกรีดร้องก้องในลิฟท์ทันที นักเรียนทั้งสามคนเกาะกลุ่มกันแน่น และหลี่หยวนกับเซว่ลี่ก็กอดกันแน่น ผู้หญิงเงียบ ๆ ก็ผงะไปด้านหลังก้าวหนึ่ง และหลังของเธอก็กระแทกเข้ากับผนังลิฟท์ ทั้งกลุ่ม มีเพียงเฉินเกอที่ไม่ได้รับผลกระทบเหมือนเขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
หลังจากเสียงกรีดร้องจางไป เจ้าของหัวก็กดเปิดไฟที่ในทางเดิน ไฟสีเขียวในลิฟท์ดับลงและโคมไฟเพดานแบบโบราณในทางเดินก็ส่องสว่างขึ้น ไฟกะพริบดับ ๆ ติด ๆ สายไฟโผล่ออกมา และแสงก็ดึงให้เงาของเหล่าผู้เข้าชมดูยาวขึ้น
“พวกเธอเป็นนักเรียนใหม่?” พนักงานที่ด้านนอกลิฟท์ยืนอยู่ใต้แสงไฟ เขาสวมเครื่องแบบของโรงเรียนที่ไม่เข้ารูปเอาเสียเลย “ผมขอดูจดหมายแนะนำตัวของคุณได้ไหม?”
หลังจากตรวจตั๋ว พนักงานก็ทำท่าทางประหลาด “พวกเราไม่มีนักเรียนใหม่มานานมากแล้ว มีข่าวลือบอกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย บอกว่าที่นี่มีผีสิง แต่นั่นล้วนเป็นข่าวลือมุ่งร้ายที่คู่แข่งของเรากุขึ้น ที่นี่เป็นแค่โรงเรียนธรรมดา ๆ เท่านั้น”
หลี่หยวนและเซว่ลี่เป็นคู่แรกที่เข้าลิฟท์มา ดังนั้นตอนที่ออกจากลิฟท์ พวกเขาก็อยู่ด้านหน้าเช่นกัน ตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะก้าวเท้าออกไป จู่ ๆ ก็มีเสียงดังอยู่ข้างหูพวกเขา “อย่าไป! หนีไป! อย่าไปที่นั่น!”
เซว่ลี่นั้นกลัวแทบตายแล้วและเธอก็กรีดร้องวิ่งออกจากลิฟท์ไป ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ก็ทำตามไปด้วย ตอนที่ทุกคนออกมาจากลิฟท์แล้วก็มักจะมีใครสักคนหันกลับไปดูเสมอ ที่ผนังด้านในของลิฟท์นั้นมีใบหน้าสีเขียวซีดที่กำลังกรีดร้อง โชคร้าย ผู้เข้าชมนั้นออกจากลิฟท์ไปแล้ว ประตูลิฟท์สีแดงเลือดที่ตกแต่งด้วยสายไฟประหลาดก็ปิดลงช้า ๆ เสียงกรีดร้องของผู้ชายคนหนึ่งก้องอยู่ในลิฟท์ที่ว่างเปล่า
“เครื่องฉายภาพสามมิติ?” เฉินเกอมองไปที่ใบหน้านั้น มันดูเหมือนจริงมาก แต่ว่าดวงตาค่อนข้างว่างเปล่าและมองไปที่จุดเดียวเท่านั้น นี่น่าจะเป็นการตั้งค่าของโปรแกรม ถ้ามีคนยืนอยู่ตรงนั้นมันก็จะน่ากลัวมาก แต่โชคไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันก็ดูประหลาด
“ดูสิ มักจะมีคนพยายามทำลายชื่อเสียงของเรา แต่ว่าพวกเราอันที่จริงแล้วก็เป็นโรงเรียนธรรมดา ๆ เลย” รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบนำนักเรียนใหม่เดินลึกเข้าไปในทางเดิน “โรงเรียนจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้พวกเธอทุกคน พวกเธอควรจะไปถ่ายรูปแล้วก็ส่งรายงานตรวจร่างกายของพวกเธอก่อน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็ไปที่งานเลี้ยงต้อนรับที่ชั้นสาม”
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว รุ่นพี่คนนั้นก็หยุด เขาผลักเปิดประตูห้องที่ด้านข้าง “เข้ามาถ่ายรูปก่อน”
คำ ‘ชมรมถ่ายภาพ’ เขียนเอาไว้บนประตูไม้ พื้นที่ด้านในนั้นกว้างกว่าที่คิดเอาไว้ อุปกรณ์ถ่ายรูปหลายชิ้นถูกทิ้งเอาไว้ที่ตรงมุม และมีเครื่องฉายภาพอยู่ที่กลางห้องกำลังฉายภาพยนตร์อยู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น