My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 714-718
ตอนที่ 714
“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” เด็กหญิงที่ด้านล่างโบกมือให้อย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นสดใสและตื่นเต้นเหมือนเพิ่งมีบางอย่างที่ดีมาก ๆ เกิดขึ้นกับเธอ ตัวละครหลักไม่ตอบ บนจอแช่ภาพเดิมเอาไว้หนึ่งวินาทีเต็ม ๆ แสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าและความเย็นชา ก่อนที่ตัวละครหลักจะขยับไปปิดหน้าต่าง
ความรู้สึกมืดมนนั้นไม่ได้สลายหายไปหลังจากที่หน้าต่างถูกปิด กลับกัน มันคืบคลานอยู่รอบ ๆ ตัวละครหลัก มันยากที่จะบอกว่าผู้กำกับจับความรู้สึกเช่นนี้มาไว้ในจอได้อย่างไร แค่ความรู้สึกของการกลัวที่แคบ ๆ และถูกขังเอาไว้คนเดียวก็ทำให้หนังสั้นเรื่องนี้ดีกว่าเรื่องอื่น ๆ ในท้องตลาดเป็นอย่างมากแล้ว
ห้องเล็ก ๆ นี่ราวกับกรงขัง และหลังจากที่หน้าต่างถูกปิด มันก็ราวกับน้ำทะเลเย็นเยือกถูกเทเข้ามาในห้องแล้วท่วมทับตัวละครหลักให้จมลงไป กล้องหมุนไปรอบ ๆ ห้องอย่างไร้จุดหมายก่อนที่เสียงของเด็กหญิงคนเดิมจะดังมาจากข้างหลัง
“ชิวเหมย! ชิวเหมย!” กล้องค่อย ๆ หันกลับไป ใบหน้าของเด็กผู้หญิงแนบติดอยู่กับกระจก เธอกดหน้าแนบกระจกแน่นจนเครื่องหน้าของเธอบิดเบี้ยวเกินจะจดจำได้– มันราวกับเธอพยายามจะใช้ใบหน้าของตัวเองแทรกผ่านกระจกเข้ามา
“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” สีแดงของเสื้อแจ็กเกตนั้นสะดุดตา และมันก็ขัดกันอย่างประหลาดกับท้องฟ้าสีเทาที่เป็นพื้นหลัง ตัวละครหลักอาศัยอยู่ชั้นที่สี่ ตอนที่เธอมองออกไปก่อนหน้านี้ เด็กหญิงคนนี้ยืนอยู่บนพื้นชัด ๆ
แต่ว่า กับปรากฏการณ์ประหลาดนี้ ตัวละครหลักกลับดูไม่ตกใจ มันเหมือนเธอชินชาไปแล้ว กล้องขยับไปทางอื่นอย่างสงบ ในเมื่อหนังเรื่องนี้เล่าจากมุมมองของตัวละครหลัก กล้องจึงแทนการมองเห็นของตัวละครหลัก กวาดตามองผ่านโต๊ะรก ๆ และเสื้อผ้าสกปรกเกลื่อนพื้นไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องนอน
“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” ใบหน้าของเด็กหญิงยังแนบติดอยู่กับกระจกหน้าต่าง เสื้อแจ็กเกตสีแดงนั้นก็แผ่อยู่บนกระจกจนแสงที่ส่องผ่านมันมาเปลี่ยนเป็นสีแดงไปด้วย ลมหายใจของเธอเริ่มแรงขึ้น และจู่ ๆ ตัวละครหลักก็คว้ากรรไกรที่บนโต๊ะขึ้นมาชูขึ้นสูง
ในเมื่อนี่เป็นมุมมองบุรุษที่หนึ่ง มันจึงทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวละครหลักกำลังจะใช้กรรไกรแทงตัวเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและยากที่จะตามการเปลี่ยนแปลงทัน
ปึ้ง!
ประตูห้องนอนถูกกระแทกเปิด และชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็พุ่งเข้ามา เขาคว้าข้อมือของตัวละครหลักเอาไว้แล้วฉวยเอากรรไกรไป
“ลูกกำลังจะทำอะไร?” กล้องหันไปทางด้านข้างแล้วหมุน ตัวละครหลักถูกผลักลงไปที่ข้างโต๊ะ
“ชีวิตของแม่ของลูกกับพ่อก็ไม่ง่ายแล้ว ลูกช่วยเลิกทรมานพวกเราเสียทีได้ไหม?”
ผู้ชมมองไม่เห็นสีหน้าบนใบหน้าของตัวละครหลัก แต่พวกเขาก็รับรู้สภาพตอนนี้ของตัวละครหลักได้จากท่าทีและสีหน้าของชายวัยกลางคน มนุษย์นั้นพิเศษ และความเชื่อมโยงเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะถ่ายทอดอยู่ในตัวทุกคน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เสียงฝีเท้ารีบร้อนมาถึง และหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ก้าวเร็ว ๆ เข้ามาในห้อง เธอดูโทรม และเมื่อสายตาของเธอจับไปที่ตัวละครหลัก เธอก็หน้าแดงก่ำขึ้นในพริบตา โดยไม่ได้พูดอะไร เธอเบียดตัวเองผ่านสามีไปโอบตัวละครหลักเข้ามากอดแน่น
“ลูกเห็นเธออีกแล้วเหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นหันหน้าหากล้อง แต่ผู้ชมรู้ว่าเธอกำลังพูดกับตัวละครหลัก จากมุมนี้ ผู้ชมเห็นรายละเอียดสีหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าของมารดาได้ชัดเจน มีความเจ็บปวด กระวนกระวาย วิตกกังวล… แต่ที่มากกว่านั้น คือเจ็บปวดใจ
ถึงจะไม่มีการตอบสนองจากตัวละครหลัก ตัวแม่ก็รู้คำตอบแล้ว และเธอก็กอดตัวละครหลักแน่นเข้าอีก
“ทำไมลูกถึงเป็นคนที่ถูกลงโทษ? พวกเราจะทำอะไรกับภาวะเจ็บป่วยนี้ได้บ้าง?” กล้องขยับออกจากมารดาและหันไปที่ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง เมฆดำลอยต่ำอยู่บนฟ้าเหมือนกำลังจะหล่นลงมาครอบคลุมโลกเอาไว้ ด้วยตาปิดลงช้า ๆ และโรงละครก็กลับไปสู่ความมืด
ผู้ชายคนนั้นดูกระวนกระวายมาก ขาของเขาเบียดชิดกันและเขาก็ถามเฉินเกอเบา ๆ “ทำไมไม่มีเสียงแล้วล่ะ? เครื่องฉายหนังเสียเหรอ?”
ก่อนที่เฉินเกอจะทันตอบ เสียงดนตรีประหลาดก็วนอยู่ในห้อง ดวงตากะพริบก่อนที่จะเปิดออกอีกครั้ง กล้องขยับ และตัวละครหลักก็นอนอยู่บนเตียงของเธอ ข้าง ๆ กันนั้นเป็นพ่อกับแม่ของเธอและผู้ชายคนหนึ่งที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อนยืนอยู่
ผู้ชายคนนี้ก้มตัวลง และเขาก็ยืนหันหลังให้ตัวละครหลัก ในเมื่อหนังถ่ายจากมุมมองตัวละครหลัก ก็เหมือนกันกับตัวละครหลัก ผู้ชมก็ไม่ได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้น
“คุณหมอคะ เหวินอวี้ป่วยเป็นอะไรกันแน่? ทำไมเธอถึงเอาแต่พูดว่าเธอเห็นสิ่งประหลาดพวกนั้น?” แม่ของตัวละครหลักนั้นมีความเป็นห่วงฉายอยู่บนใบหน้า
“ใช่ คุณหมอ เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวผมครับ?”
“ผมไม่ใช่หมอครับ เป็นแค่คนที่ทำวิจัยเรื่องนี้มาบ้าง ตอนนี้ยังไม่ต้องเป็นห่วง ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ แล้ว” ผู้ชายคนที่ถูกเรียกว่าหมอนั้นมีเสียงที่เฉินเกอคุ้นเคย นี่เป็นความรู้สึกประหลาดเพราะว่าเฉินเกอไม่คิดว่าจะมีคนรู้จักของเขาคนไหนเคยเล่นหนังมาก่อน
หมอทำท่าให้พ่อกับแม่นั่งลง “สถานการณ์ของเธอค่อนข้างพิเศษ และผมจะเล่าแนวความคิดเบื้องต้นของผมให้พวกคุณฟัง”
หมอดึงกระดาษจดสีดำออกมาจากกระเป๋า “คุณน่าจะรู้ว่ามนุษย์เราอาศัยอยู่ในมิติที่สามใช่ไหม?”
พ่อกับแม่ส่ายหน้า พวกเขาไม่รู้เลยว่าคุณหมอกำลังจะพูดถึงอะไร
หมอพลิกหน้ากระดาษจดและเจอหน้าที่เขาฉีกออกมาจากหนังสือเล่มอื่น “พูดให้ง่ายก็คือ มิติที่สามนั้นคือโลกนี้ที่พวกเราเหล่ามนุษย์ครอบครองอยู่ มีความยาว ความกว้าง และความสูง มิติที่สี่นั้นเพิ่ม เวลา เข้าไปจากพื้นฐานของมิติที่สาม อันที่จริง เงื่อนไขที่ขัดขวางพวกเราเข้าไปในมิติที่สี่ก็คือ ‘เวลา’ เพราะการมีอยู่ของเวลา มนุษย์ในมิติที่สามจึงถูกบังคับให้ต้องเลือกตัวเลือกเดียวในแต่ละครั้ง และตัวเลือกที่ถูกเลือกนี้ก็เป็นตัวเลือกที่แยกออกมาต่างหากโดยสมบูรณ์ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประสบการณ์แต่ละครั้งของมนุษย์นั้นคือโลกสามมิติที่แยกออกจากกัน และถ้าคุณเอาโลกสามมิติทั้งหมดมาวางเอาไว้บนแกนเวลา อย่างนั้นคุณก็จะสามารถสร้างโลกสี่มิติได้”
ไม่เพียงแค่พ่อแม่ของตัวละครหลักจะงุนงงกับถ้อยคำของหมอ กระทั่งเฉินเกอที่เป็นผู้ชมก็ถูกชักนำเข้าไปในวงเวียนนั้นด้วย แต่ว่า ชายตาบอดที่ข้างเขาจู่ ๆ ก็เงียบและสงบลง
“แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับภาวะเจ็บป่วยของลูกสาวของฉันคะ?” คนแม่นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับทฤษฎีของหมอมากนัก เธอแค่ต้องการรักษาลูกสาวของเธอ
“ผมจะบอกคุณอีกครั้ง ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วย มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมายในแต่ละวันจากเรื่องเล็กขนาดการชนกันของอะตอมถึงเรื่องใหญ่อย่างการขยายตัวของอวกาศ และยังมีหลายสิ่งที่พวกเรายังอธิบายไม่ได้…”
“หมอครับ ทำไมคุณไม่แค่บอกพวกเราตรง ๆ ลูกสาวของพวกเราจะดีขึ้นหรือเปล่า? ต้องใช้ยาแบบไหน? สภาพการเงินครอบครัวของพวกเราไม่ดีนัก แต่เพื่อลูกสาวของพวกเรา พวกเรายอมทำอะไรก็ได้” พ่อของเด็กสาวตัดบทเขา พวกเขาแสดงได้เหมือนจริงจนไม่รู้สึกว่านี่เป็นหนังแต่ว่าเป็นบันทึกเหตุการณ์จริง
“ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วย ดวงตาของเธอก็แค่ประสบอุบัติเหตุ” หมอยังคงหันหลังให้ตัวละคร “โลกสามมิติที่เรียงอยู่บนแกนเวลาบางครั้งก็ซ้อนทับกัน และลูกสาวของคุณ ฉางเหวินอวี้ นั้นอยู่ตรงที่ที่สองโลกซ้อนทับกัน ดังนั้น เธอจึงมองเห็นสิ่งที่คุณมองไม่เห็น!”
หนังยังเล่นต่อ เฉินเกอมาที่นี่เพื่อภารกิจ แต่ว่าเขากลับจมดิ่งลงไปกับเนื้อหาของหนัง
ทำไมหมอกับพ่อแม่ของเธอเรียกชื่อตัวละครหลักว่าฉางเหวินอวี้? แต่ว่าผีที่นอกหน้าต่างเรียกเธอว่าชิวเหมย? แล้วก็ สิ่งที่หมอคนนี้อธิบายน่าสนใจทีเดียว ฉันคิดว่าฉันควรจะจำมันเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจนัก มันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต
ตอนที่ 715
ในหนัง พ่อแม่ของตัวละครหลักนั้นไม่ให้น้ำหนักกับถ้อยคำของหมอมากนักและความไม่พอใจในดวงตาของพวกเขาก็ปิดบังไว้ไม่ได้
“เชื่อผมเถอะครับ ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วยจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับดวงตาของเธอก็เป็นแค่อุบัติเหตุ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะพาเธอไปเมืองซินไห่กับผม ที่ผมสามารถตรวจเธอให้ละเอียดกว่านี้ได้” ผู้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนนักต้มตุ๋น เขาดูจริงใจมาก แต่โชคไม่ดี พ่อกับแม่ไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด
“ถ้ามีโอกาส ฉันจะพาเธอไปค่ะ แต่ว่าเหวินอวี้ยังต้องไปโรงเรียน” แม่ปฎิเสธเขาอ้อม ๆ หมอถอนหายใจ เขาส่งนามบัตรของตัวเองให้แม่ของเด็กแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมจากไป ตลอดกระบวนการนี้ หมอหันหลังให้ตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาและใบหน้าของเขาก็ถูกปิดบังเอาไว้
หลังจากประตูปิดลงและหมอจากไปแล้ว แม่ก็บ่นเบา ๆ “ฉันสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมเขาถึงมาตรวจเหวินอวี้ให้ฟรี ๆ เขาเป็นนักต้มตุ๋น หลังจากพวกเราไปถึงซินไห่ เขาก็จะเริ่มคิดเงินเราต่าง ๆ นานา”
“ฉันเองก็สงสัยความน่าเชื่อถือของหมอคนนั้น บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นหมอด้วยซ้ำ แต่ว่ามันต้องมีเหตุผลเบื้องหลังการป่วยนี่ นี่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเหวินอวี้มาก่อน แล้วจู่ ๆ เธอจะป่วยได้ยังไง?”
“คุณพูดถูก เด็กคนนี้เป็นปกติดีมาตลอดหลายเดือนมานี้ แต่จู่ ๆ คืนนั้น ไม่สิ ตั้งแต่ตอนบ่ายที่เธอกลับมาจากโรงเรียน เธอก็ทำตัวแปลกไป”
ใบหน้าของพ่อและแม่มีรอยย่นลึก และน้ำเสียงของพวกเขาก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวดหัวใจ กล้องบันทึกทุกอย่างเอาไว้อย่างเรียบเฉย และมันก็ให้ความรู้สึกว่าตัวละครหลักกำลังจับตามองทุกอย่างโดยไม่แสดงอารมณ์ใดสักนิด ดวงตาค่อย ๆ ปิดลง และเสียงดนตรีประหลาดก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ต่างไปจากการดูหนังสยองขวัญที่บ้าน ระบบเสียงในโรงละครนั้นเป็นระบบเสียงรอบทิศทาง มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าเสียงฝีเท้านั้นดังมาจากระยะไกล หรือมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ ตัวผู้ชม ผู้กำกับทุ่มเทกับหนังสั้นเรื่องนี้มาก และนั่นก็เห็นได้จากแค่ระบบเสียงอย่างเดียวด้วยซ้ำ
เพลงประกอบนั้นมีเสียงหัวใจเต้นและเสียงหายใจหนัก ๆ ผสานอยู่ เหมือนบางคนกำลังดิ้นรนอยู่ในฝันร้าย ทุกอย่างมืดสนิท และมีคนดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ว่าไม่สามารถคว้าอะไรมาพยุงตัวไว้ได้เลย
เมื่อผู้ชมจมลงไปกับสภาพย่ำแย่ของตัวละครหลักและกลั้นหายใจไว้ เสียงกริ่งแหลมก็ดังตัดเพลงประกอบออกมา เปลือกตากระตุก ตัวละครหลักดูเหมือนจะตื่นแล้ว และเธอก็ลืมตาพร่ามัวขึ้น
บนจอปรากฏฉากใหม่ กล้องไม่ได้อยู่ในห้องนอนอีกต่อไปแล้วแต่เป็นศูนย์กวดวิชาที่ดูเรียบง่ายแห่งหนึ่ง แสงอาทิตย์ส่องลงมาที่ตัวละครหลักผ่านทางหน้าต่าง และกล้องก็จับอยู่ที่เงาของเด็กสาวที่ทอดยาวอยู่บนพื้น เธอเอนตัวแนบโต๊ะแถวสุดท้ายในชั้นเรียน และศีรษะของเธอก็ยังหนักไปด้วยความง่วงงุน
หนังฉายมาได้หนึ่งในสามแล้ว และฉันก็เพิ่งเห็นแค่เงาของตัวละครหลัก ผู้กำกับเก่งมากทีเดียว
เฉินเกอเคยเห็นเงามากมายในชีวิต และในมุมมองเยี่ยงมืออาชีพของเขา เงาในหนังนั้นธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
แสงอาทิตย์ทำให้เส้นประสาทในหัวเธอของเธอตึงเขม็ง และเสียงพัดลมหมุนก็ดังน่ารำคาญอยู่ในหูเธอ และยังมีเสียงพลิกเปิดหน้ากระดาษและยังเสียงดนตรีเพี้ยน ๆ จากหูฟังราคาถูกของนักเรียนโต๊ะใกล้ ๆ
การถ่ายฉากยาวต่อเนื่องแสดงให้เห็นทุกอย่างในห้องเรียน ความร่วมมือกันของผู้กำกับ ตากล้อง และนักแสดงนั้นไร้ที่ติ
ปัง!
ในตอนนี้ที่ผู้ชมกำดื่มด่ำไปกับความรู้สึกสงบ ความสงบนั่นจู่ ๆ ก็แตกกระจายออก ประตูถูกผลักเปิด และเด็กผู้หญิงที่มีทรงผมประหลาดก็พุ่งเข้ามาในห้อง
“เหอชิวเหมย! เงียบ อย่ารบกวนนักเรียนคนอื่น!” ผู้ชายสวมแว่นผมตั้งสั้นเดินตามหลังเด็กหญิงมา เขาถือโทรศัพท์ไว้ในมือข้างหนึ่งและตำราเรียนอยู่ในมืออีกข้าง ผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์สอนพิเศษ และเขายังดูคุ้นเคยกับนักเรียนที่เพิ่งเข้ามา
“ค่ะ ๆ” เด็กหญิงผมแดงเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ในปากและพึมพำตอบรับ
อาจารย์ผู้ชายรู้นิสัยเด็กหญิง ดังนั้นจึงแค่ยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเคือง ๆ ปาดเหงื่อออกจากใบหน้าแล้วปรบมือเบา ๆ “ทุกคน สนใจผมหน่อยได้ไหมครับ? นี่เป็นนักเรียนใหม่ที่จะเข้ามาเรียนกับพวกเราวันนี้ เหอชิวเหมย เพราะเหตุผลทางด้านครอบครัว เธอก็เลยหยุดเรียนไปหนึ่งปี และเธอก็มาที่นี่เพื่อเรียนตามให้ทัน ผมหวังว่าพวกเราทุกคนจะช่วยเธอนะ”
อาจารย์แนะนำตัวอย่างง่าย ๆ และให้เธอนั่งที่ด้านหลังห้อง บังเอิญว่า เธอเลือกที่จะนั่งข้าง ๆ ตัวละครหลัก และดังนั้นจึงกลายมาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน กล้องซูมเข้าไปยังเหอชิวเหมย เด็กหญิงมีผมสีแดงซีด เธอเอนตัวพิงกำแพงแล้วโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ
“เธอมองอะไร?” เด็กหญิงสังเกตเห็นตัวละครหลักมองมาที่เธอ นิสัยของเธอนั้นร้อนเหมือนไฟ ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนไม่ดี แต่ว่าเธอมีแนวโน้มที่จะทำเหมือนหาเรื่องคนอื่นอย่างไม่ตั้งใจมากกว่า พอถูกเด็กหญิงตะคอกใส่ กล้องที่แทนสายตาของตัวละครหลักก็เบนออกไป แต่ครู่ต่อมา กล้องก็หันกลับไปยังเหอชิวเหมยอีกครั้ง เห็นได้ชัดเจนว่าตัวละครหลักนั้นสนใจเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเธอ
กริ่งดัง และเมื่ออาจารย์ออกไปจากห้อง ตัวละครหลักกำลังจะลุกขึ้นตอนที่ชิวเหมยจู่ ๆ ก็ผุดลุกขึ้น เธอตบหลังสือบนโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด พ่นหมากฝรั่งในปากออกมา แล้วก็หันไปหาตัวละครหลัก ดวงตาเกรี้ยวกราดของเธอและยังอารมณ์ร้อนวู่วาม ทั้งหมดที่ผู้ชมคิดก็คือเธอเป็นพวกอันธพาลและกำลังจะรังแกตัวละครหลัก เด็กหญิงชื่อชิวเหมยอ้าปากพูด “เธอเข้าใจที่เหล่าเฉาพูดก่อนหน้านี้ไหม? ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดอ่ะ?”
ตัวละครหลักส่ายหน้า และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้ยินเสียงเธอ “ฉัน… หลับ…”
“ทำไมคนที่ดูเป็นเด็กเรียนถึงได้เป็นเด็กไม่ดีล่ะเนี่ย? ไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ!” ชิวเหมยกวาดตามองรอบห้องและก็ต้องอารมณ์เสีย ไม่มีนักเรียนคนไหนในชั้นเรียนที่ดูน่าเชื่อถือเลย “กำลังจะสอบแล้ว แล้วถ้าฉันสอบตกอีกครั้งฉันก็ต้องเสียเวลาไปอีกปีนึง แล้วอย่างนี้ฉันจะเรียนจบเมื่อไหร่กันฮะ?”
“เธอ… อยากเรียนจบขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่มีใครอยากแก่หรอก แต่ว่าฉันก็ไม่อยากถูกทำเหมือนเป็นเด็กแล้วเหมือนกัน เธอไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าฉันต้องเรียนจบปีนี้ให้ได้” ชิวเหมยยัดหนังสือทั้งหมดเข้ากระเป๋าและหยิบสมุดจดของตัวเองขึ้นมาอ่านทบทวน ท่าทีตั้งอกตั้งใจเรียนนี้ขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ แต่ว่ามันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการแสดงของนักแสดง
นักเรียนเดินออกไปจากห้อง และชิวเหมยก็ยิ่งมายิ่งหงุดหงิด ในที่สุดเธอก็ตบสมุดจดลงที่โต๊ะอีกครั้งทำเหมือนกับว่าทำแบบนี้แล้วความรู้ในนั้นจะแตกกระจายและดูดซับได้ง่ายขึ้นอย่างนั้น
“ชะ สงสัยฉันคงต้องเริ่มจริงจังตั้งแต่วันพรุ่งนี้” หลังจากชิวเหมยเก็บของ เธอก็เดินออกไปจากห้องเรียนคนเดียว กล้องถ่ายตามหลังชิวเหมยไปก่อนที่มันจะขยับตามชิวเหมยออกไปจากห้องเหมือนกัน
“คุณเฉา พวกเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายปี คุณช่วยฉันหน่อยไม่ได้เหรอคะ?”
เสียงของหญิงชราคนหนึ่งดังมาจากตรงมุมบันได กล้องกดลงไปและมันก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งที่มีผมสีเทาจับแขนคุณเฉาอยู่ เธอพยายามจะยื่นตะกร้าที่มีผ้าสีดำคลุมเอาไว้ให้คุณเฉา
“ร่างกายของฉันก็แย่ลงไปทุกวันและฉันก็ไม่รู้เลยว่าพ่อของชิวเหมยจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อไหร่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน เธอจะทำยังไง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ฉันเกรงว่าเธอจะกลายเป็นเหมือนพ่อของเธอ”
“คุณป้าเหอ เก็บของของคุณไว้เถอะครับ ผมจะพยายามสอนชิวเหมยอย่างเต็มที่ แต่ว่าการเรียนน่ะไม่ใช่อะไรที่ทำได้สำเร็จด้วยความพยายามฝ่ายเดียว ผมรับรองกับคุณป้าไม่ได้จริง ๆ แต่ผมสัญญาว่าจะช่วยคุณป้าดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้” คุณเฉาไม่รับตะกร้าของหญิงชรา
“ขอบคุณนะคะคุณเฉา” หญิงชรากลับออกไปหลังจากขอบคุณคุณเฉาซ้ำ ๆ ฝ่ายหลังขมวดคิ้วขณะมุ่งหน้าขึ้นบันไดมา ตัวละครหลักต้องการทำตัวปกติที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ตอนที่เธอลุกขึ้นมา เธอก็กระแทกเข้ากับบางอย่างด้านหลังเธอ
กล้องหมุน และใบหน้าของชิวเหมยก็ปรากฏขึ้นเต็มจอ!
ฉากนี้ทำให้คนดูนึกได้ว่าภาพที่บนจอนั้นคือภาพเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้
“แอบฟังคนอื่นคุยกันสนุกไหม?” ชิวเหมยพูดอย่างเย็นชา “นั่นเป็นย่าของฉันเอง ยายแก่หัวรั้น”
“มัน… ดูเหมือนว่าคุณย่าจะดีกับเธอมาก”
“ก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหละ เธอไม่รู้หรอกว่าคุยกับย่ามันยากแค่ไหน ให้ฉันบอกเธอนะ ฉันดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้ว เดิมที แผนการก็คือหยุดเรียนและหางานทำเพื่อเลี้ยงดูพวกเราทั้งสองคน แต่ว่าย่าไม่ยอม เอาแต่ดึงดันว่าฉันต้องเรียนให้จบก่อน ฉันถูกบังคับให้ต้องรับปาก เธอก็เห็นว่าย่าดื้อแค่ไหน และฉันก็เลยมาอยู่ตรงนี้ไง” ชิวเหมยดึงกระจกเล็ก ๆ ออกมาส่องหน้าตัวเอง ถ้าไม่เพราะท่าทีแค้นเคืองโลกนี้นิด ๆ นั่นละก็ เธอคงจะเป็นเด็กสาวที่งดงามคนหนึ่งเหมือนกัน
ทันทีที่ชิวเหมยดึงกระจกออกมา กล้องก็ถอยไปด้านหลังทันที มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าตัวละครหลักกลัวที่จะมองเห็นตัวเองในกระจก
“เป็นอะไรน่ะ?” ชิวเหมยสังเกตเห็นปฏิกริยาประหลาดของเด็กหญิง “เธอเองก็แปลกเหมือนกัน ให้ฉันบอกเธอนะ อย่าเล่าให้ใครฟังว่าย่าของฉันมาที่โรงเรียน”
“ได้…” หลังจะหยุดไปครู่หนึ่ง ตัวละครหลักก็เสริม “เธออยากเรียนจบให้เร็ว ๆ เพื่อที่จะได้ออกไปหางานทำเพื่อเลี้ยงดูย่าของเธอ?”
ชิวเหมยเก็บกระจกลงไปแล้วเอนตัวเข้ามาใกล้จอมากขึ้นและผลักตัวละครหลักเบา ๆ “เธอเป็นใครจะมาสนใจเรื่องของฉันฮะ? อย่างเดียวที่เธอต้องสนใจก็คือปากของเธอ”
ชิวเหมยคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วเดินลงบันไดไป ตอนที่เด็กสาวสองคนเดินผ่านกัน ตัวละครหลักก็กระซิบเบา ๆ “เธอไม่ห่วงย่าไม่ได้หรอกนะ ย่าเธอกำลังจะตายแล้วในไม่ช้า”
“เธอพึมพำอะไรของเธอ?” ชิวเหมยได้ยินที่เธอพูดไม่ชัดหรือไม่ก็ไม่ได้คิดจะฟัง
กล้องยังจับอยู่ที่ชิวเหมยตอนที่เธอเดินจากไป ตัวละครหลักพึมพำออกมาอีกครั้งแต่ชัดเจน “เธอจะไม่ได้ดูแลย่าเธอหรอก ดวงตาข้างซ้ายของฉันมองเห็นทุกอย่าง”
ตอนที่ 716
กล้องขยับจากชิวเหมยไปยังหญิงชราที่ถือตะกร้าอยู่ แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ส่องลงต้องร่างหญิงชรา และตอนที่เธอเดินจากไป กล้องก็จับจ้องอยู่ที่เงาของเธอที่ดูเหมือนจะถูกตัดขาดครึ่ง
เห็นรอยตัดนี้ เฉินเกอก็ตัวสั่นอยู่ในที่นั่ง เขาไม่รู้เลยว่าผู้กำกับถ่ายฉากนี้ได้อย่างไร เพื่อนร่วมโต๊ะ ตามรายละเอียดในรายชื่อหนัง มันถูกถ่ายไว้ตั้งนานมาแล้ว ตอนนั้น สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ไม่ได้ดีเท่าทุกวันนี้ แต่ว่าภาพในหนังกลับดูเหมือนจริงเท่าที่จะเป็นได้
เป็นไปได้ไหมว่านี่ไม่ใช่สเปเชียลเอฟเฟ็กต์?
เงาของคนผู้หนึ่งนั้นเชื่อมโยงกับชีวิตของคนผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง หรืออย่างน้อยที่สุด นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินเกอเชื่อ
ดวงตาข้างซ้ายของตัวละครหลักสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเงาของคนเป็นผู้หนึ่งใช่ไหม? ตอนที่หนังเรื่องนี้เริ่ม พ่อกับแม่ของตัวละครหลักมีเงาหรือเปล่านะ?
ภาพก่อนหน้าของหนังแวบผ่านเข้ามาในใจของเฉินเกอ พ่อกับแม่ของตัวละครหลัก และกระทั่งหมอ พวกเขาไม่มีใครมีเงา แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศเลวร้ายที่นอกหน้าต่าง
ตอนที่หนังเริ่ม ท้องฟ้ามืดและเป็นเมฆฝนสีเทาหนาก็บดบังดวงอาทิตย์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุดที่จะไม่เห็นเงาของคนบางคน หลังจากชิวเหมยและหญิงชราจากไป ตัวละครหลักก็กลับบ้านของตัวเอง เธอดึงกุญแจออกมาเปิดประตู
“เหวินอวี้? นั่นลูกเหรอ? ทำไมถึงกลับบ้านช้าขนาดนี้ล่ะวันนี้?” แม่ของเหวินอวี้รีบร้อนออกมาจากห้องครัว สีหน้าบนใบหน้าของเธอเมื่อมองเห็นเหวินอวี้นั้นผสมผสนกันระหว่างความเศร้าและอารมณ์ประหลาดที่เฉินเกออธิบายไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร มันก็ต่างไปจากที่พ่อแม่ทั่วไปจะทักทายลูกตัวเอง– เฉินเกอสังเกตได้ก็หลังจากที่จมดิ่งลงไปในหนังขนาดนี้แล้ว
ตัวละครหลักไม่ตอบสนอง เมื่อเธอก้าวเข้าไปในบ้านของเธอ มันเหมือนกับเธอเดินเข้าไปในทะเล การเคลื่อนไหวของเธอกลายเป็นฝืดฝืน และกระทั่งลมหายใจของเธอก็ยังไม่สม่ำเสมอ เธอผลักเปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้วก็เบียดตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
“เด็กคนนี้…”
“ฉันไปขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญบางคนและฉันเชื่อว่าลูกสาวของเราน่าจะป่วย” พ่อของตัวละครหลักวางหนังสือพิมพ์ลง เขาชี้ไปที่หัวของตัวเองแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงกระซิบเบา ๆ “ฉันติดต่อหมอแล้ว สุดสัปดาห์นี้ฉันจะพาเขามาที่นี่ให้ตรวจดูลูกของเรา”
“ต้องจ่ายเท่าไหร่น่ะ?”
“ตอนนี้การรักษาลูกของเราสำคัญกว่า เธอคงไม่อยากให้ลูกเป็นอย่างนี้ต่อไปหรอกใช่ไหม?”
เสียงพ่อกับแม่ของเธอดังมาจากด้านนอกประตูแต่ว่าตัวละครหลักไม่ได้สนใจว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ กล้องที่แทนมุมมองของตัวละครหลักนั้นขยับจากพ่อแม่ของเธอไปที่เพดาน จากนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ตัวละครหลักหลับตาลงอีกแล้ว
“หนังนี่ดูเหมือนจะเป็นบันทึกเนื้อหาบางอย่าง แต่ถ้าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง เส้นเวลาก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง” เฉินเกอชนไหล่กับชายตาบอด “คุณคิดว่ายังไง?”
“ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณดูจบแล้ว พวกเราก็กลับออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่นาทีเดียว พี่ชาย จากสำเนียงพูดของคุณ คุณดูเหมือนจะไม่ใช่คนเลวร้าย คุณช่วยปล่อยผมไป เลิกทรมานผมได้ไหม?” แผ่นหลังของชายตาบอดนั้นเปียกชุ่ม เขาเอาแต่หลับตาเอาไว้ แต่จากเสียงของเขา ใครก็บอกได้ว่าเขากลัวแค่ไหน
“หนังเล่นไปครึ่งเรื่องแล้ว ผมแน่ใจว่าเดี๋ยวมันก็จบแล้ว อดทนอีกนิดนะครับ” เฉินเกอหันกลับไปที่จอตอนที่มันสว่างขึ้นอีกครั้ง เหมือนเดิม ยังเป็นภาพที่ถ่ายจากมุมมองของตัวละครหลัก มันยังคงบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับชิวเหมย
ตัวละครหลักนั้นเป็นเด็กสาวพูดน้อย เธอน้อยครั้งที่จะเปิดปากพูดอะไร และถ้าเธอไม่ต้องพูดได้เธอก็จะทำอย่างนั้น นิสัยของชิวเหมยนั้นตรงกันข้ามกับตัวละครหลักอย่างสิ้นเชิง เธอเหมือนหนังสือที่เปิดเอาไว้และน้อยครั้งนักที่จะคิดมากกับสิ่งที่คนอื่นพูด
เธอเป็นเด็กวู่วามและมักจะทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมา แต่ว่า อย่างที่พูดกันว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามกันมักจะดึงดูดกัน เมื่อพวกเธอใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักและชิวเหมยก็แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นขั้วตรงข้ามกันในด้านนิสัย พวกเธอก็กลายมาเพื่อนสนิทกัน
ที่น่าประหลาดใจกว่านั้น การเรียนของพวกเธอทั้งคู่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และนี่ก็เป็นสิ่งที่กระทั่งคุณเฉาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ เดิมที เขาก็แค่ทำตามที่เพื่อนบ้านเก่าแก่ของเขาขอร้อง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ นักเรียนหญิงทั้งสองคนที่เคยเรียนแย่ที่สุดในชั้นเรียนของเขานั้น ‘เปลี่ยนไป’ อย่างมากหลังจากที่มาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน
สีสันบนจอนั้นให้ความรู้สึกสว่างไสวมากขึ้น และสไตล์ของหนังก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปด้วย มันอาจจะเป็นหนังสยองขวัญแต่ว่าเฉินเกอรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังแนวการก้าวข้ามผ่านวัย
ผู้กำกับนั้นมีหลายสไตล์– ไม่เลวเลย
เฉินเกอจดจำความคืบหน้าของหนังเอาไว้ มันผ่านมาประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว นอกจากผีที่เขาเห็นตอนต้นของหนัง ส่วนที่เหลือของหนัง นั้นไม่มีกระทั่งจุดที่ส่อถึงความน่ากลัว อย่าว่าแต่ผีจริง ๆ เลย
หนังสยองขวัญที่ไม่มีผี?
หนังสยองขวัญในท้องตลาดนั้นมักจะต้องนำเสนอ ‘ตัวตนลึกลับ’ และตัวตนลึกลับนี้ก็มักจะถูกใช้สร้างความรู้สึกน่าสงสัยและน่าหวาดกลัวในหัวใจของคนดู แต่ว่าหนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น มันถ่ายทำจากมุมมองของตัวละครหลักเพียงอย่างเดียว และเธอก็ไม่ได้เห็นอะไรที่ดูน่ากลัวโดยแท้จริง
เฉินเกอรู้สึกว่าผู้กำกับนั้นทำอย่างนี้เพื่อบางอย่างที่น่าสยดสยอง เขารู้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายแบบนั้น เมื่อหนังใกล้จะจบ เขาก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงกำลังจะมาถึงแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างชิวเหมยและตัวละครหลักนั้นใกล้ชิดกันขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีบางอย่างที่ต้องพูดถึง ระหว่างช่วงเวลาที่ชิวเหมยและตัวละครหลักกลายมาเป็นเพื่อนกัน เสียงหัวเราะสนุกสนานของชิวเหมยนั้นปรากฏขึ้นในหนังหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าตัวละครหลักนั้นไม่เคยหัวเราะ ไม่เลยสักครั้งเดียว
เหลือเวลาอีกเพียงสั้น ๆ ก่อนที่การสอบปลายภาคจะมาถึง ด้วยผลการเรียนตอนนี้ของชิวเหมย การเรียนจบนั้นไม่ใช่ปัญหาแล้ว เธอยังมีเพื่อนดี ๆ ที่โรงเรียน เธอกำลังจะทำตามที่เธอสัญญาไว้กับย่าสำเร็จ และนี่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของชิวเหมย
แต่ว่า ถึงแม้ว่าชิวเหมยจะมีความสุข ในฐานะผู้ชม เฉินเกอนั้นมองเห็นความกระวนกระวายที่ซ่อนอยู่ด้านหลังความสุขนั้นผ่านมุมมองของตัวละครหลัก เงาของย่าของชิวเหมยนั้นสั้นลงเรื่อย ๆ ความกังวลที่พ่อแม่ของตัวละครหลักแบกรับเอาไว้ก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ และอัตราเร็วของการเปลี่ยนแปลงระหว่างแต่ละฉากก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคงที่ขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนตัวละครหลักนั้นจู่ ๆ ก็กะพริบตาบ่อย ๆ ขึ้นมา
ยังมีพายุลูกใหญ่ซ่อนอยู่ใต้ชีวิตอันสงบสุข และมันก็จะลากทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ ลงไปในหุบเหวลึกที่แสนสิ้นหวัง หลังจากการสอบปลายภาค ในงานเลี้ยงของห้อง ชิวเหมยและตัวละครหลักนั้นอยู่ดึกมากกว่าจะกลับ กลางคืนเงียบสงัดอย่างผิดปกติ ชิวเหมยฮัมเพลงอยู่ในคอ ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้นั้นสำเร็จแล้วและเธอก็อดจะอารมณ์ดีขึ้นไม่ได้
“เพื่อนร่วมโต๊ะ ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ? พวกเราในที่สุดก็ผ่อนคลายได้แล้ว พวกเราไม่ต้องไปเจอหน้าเหล่าเฉาทุกวี่ทุกวันแล้ว” ชิวเหมยกอดตัวละครหลักดึงเธอเข้าไปใกล้ ๆ กล้องถ่ายชิวเหมยจากระยะใกล้ เด็กหญิงย้อมผมของเธอกลับมาเป็นสีธรรมชาติ ก็คือสีดำ และเธอก็ดูสวยน่ารักขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ตัวละครหลักก็เบนสายตาออก เธอก้มหน้าลง และกล้องก็จับภาพความมืดซึ่งดูราวกับถนนนี้ไม่มีปลายทาง
“เธอไม่ได้ดูมีความสุขนัก” ใบหน้าของชิวเหมยเบียดเต็มหน้าจออีกครั้ง ตัวละครหลักมองชิวเหมยเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรสักคำ และจากนั้นเธอก็ออกเดินไปของเธอเอง
“เพราะครอบครัวของเธอเหรอ? ฉันว่าฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงพวกเขาเลย” ชิวเหมยวิ่งตามเธอมา “อันที่จริง ครอบครัวของฉันก็น่ารำคาญเหมือนกัน พ่อของฉันตอนนี้อยู่ในคุกและย่าก็เป็นคนเลี้ยงฉัน ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะใช้แซ่ตามย่า”
ตัวละครหลักนั้นไม่ได้ช้าลงหรือว่าหยุดเดิน ชิวเหมยตามหลังเธอมาติด ๆ จนกระทั่งไปถึงทางแยก บ้านของชิวเหมยนั้นอยู่ทางซ้าย และบ้านของตัวละครหลักอยู่ทางขวา– ตรงนี้เป็นจุดที่พวกเขามักจะแยกกันเสมอ
“เหวินอวี้? เกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ยวันนี้?” ตัวละครหลักไม่หยุดตอบ เธอเดินไปตามถนนต่อ และถึงจุดหนึ่ง เธอก็หันมาบอกชิวเหมยเรียบ ๆ “อันที่จริง นั่นไม่ใช่ชื่อฉัน”
“นั่นไม่ใช่ชื่อเธอ?” ชิวเหมยอยากจะถามรายละเอียด แต่ตัวละครหลักก็หันหลับเดินต่อไปแล้ว เพราะสภาพแวดล้อมอันแตกต่างที่เธอเติบโตขึ้นมา ชิวเหมยมีนิสัยที่ต่างไปเทียบกับเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอไม่อาจไม่สนใจตัวละครหลักและตามหลังเธอไปต่อ เธอวิ่งตามตัวละครหลักไปและร้องเรียก
แสงจากริมถนนนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ ในที่สุดเด็กหญิงทั้งสองคนก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง ตึกนี้นั้นตั้งอยู่ในส่วนที่ห่างไกลที่สุดของเมือง ทั้งตึกนั้นมืดเหมือนไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่เลย
“เหวินอวี้? บ้านเธอ… อยู่ที่นี่เหรอ?” ยังคงไม่มีคำตอบ ตัวละครหลักจู่ ๆ ก็วิ่งขึ้นบันไดไป เธอดึงกุญแจออกมาจากกระเป๋า และหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชิวเหมยก็ตามเธอไป ในทางเดินไม่มีไฟ ชิวเหมยเหยียบลงไปบนเศษขยะบนทางเดินและเกือบจะลื่นล้มไปหลายครั้ง
ประตูห้องเปิดออก และตัวละครหลักเดินเข้าไป แสงไฟในห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิด และม่านหนาหนักก็ถูกดึงปิดเอาไว้ ทั้งห้องนั้นจมอยู่ในความมืด แต่ในสภาพเช่นนี้ ในกล้อง ประตูห้องครัวก็ถูกดึงเปิดออก และแม่ของตัวละครหลักก็เดินออกมาจากในนั้น
เหวินอวี้ นั่นลูกเหรอ? ทำไมวันนี้ถึงกลับดึกนัก?” เสียงคุ้นเคย สภาพแวดล้อมอันคุ้นเคย รูปร่างคุ้นตาที่ยืนอยู่ในความมืดนั้นไม่ใช่ใครนอกจากแม่ของตัวละครหลัก
ภาพนี้นั้นดูธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วในตอนกลางวัน แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกลางคืน มันก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายเป็นถ้อยคำออกมาไม่ได้
“ฉันจะไม่กลับมาที่นี่แล้ว” เสียงของตัวละครหลักเริ่มเปลี่ยนไป คราวนี้ เธอไม่วิ่งเข้าไปซ่อนในห้องนอนของเธอแต่ว่ายืนอยู่ในห้องนั่งเล่น
“เหวินอวี้! เธอพูดกับใครน่ะ?” ชิวเหมยยืนอยู่ที่ทางเข้า มองเข้าไปในห้องนั่งเล่นมืด ๆ ใบหน้าของเธอซีดขาว มันเหมือนเธอกำลังมองเห็นภาพที่ต่างไปจากที่ตัวละครหลักเห็น “ที่นี่เก่ามาก เครื่องเรือนก็พังไปหมดแล้ว กระเบื้องปูพื้นยังแตก เหวินอวี้ เธอมาทำอะไรที่นี่? กลับบ้านกันดีไหม?”
“กลับบ้าน?” ตัวละครหลักเอื้อมมือไปจับมือชิวเหมยก่อนที่จะดึงเธอเข้าไปในห้อง “แต่ว่า… พวกเราอยู่บ้านแล้วไง!”
แสงไฟบนหน้าจอค่อย ๆ สลัวลงจนกระทั่งมันกลายเป็นความมืด ผู้กำกับนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน
เสียงกรีดร้องก้องไปในความมืด ดวงตาเปิดลืมขึ้น และตัวละครหลักก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของเธอ กล้องมองออกไปนอกหน้าต่าง นอกหน้าต่าง เมฆดำและลอยต่ำ
ภาพนี้นั้นเหมือนกับตอนเริ่มแรกของหนัง ที่ข้างนอกหน้าต่างนั่นเป็นท้องฟ้าเดียวกัน มันทำให้รู้สึกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่ฝันร้าย ตัวละครหลักมองไปที่นาฬิกาบนโต๊ะ เธอดึงโทรศัพท์ของเธอออกมาอ่านข้อความ และจากนั้นเธอก็ลากร่างกายเหนื่อยล้าของตนเข้าไปในห้องน้ำ
เธอเอาแต่ก้มหน้าต่ำ ดังนั้นกล้องจึงมองเห็นแค่พื้น หลังจากเธอแปรงฟันและล้างหน้า โทรศัพท์ก็เริ่มสั่น กล้องขยับไปมาและตัวละครหลักก็ดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า
“เหวินอวี้ คืนนี้เธออยากไปดูหนังไหม? เป็นการฉลองที่เธอกำจัดยัยบ้านั่นไปได้”
“ชิวเหมยไม่เลวเลยนะ เธอไม่เคยรังแกฉันสักครั้ง”
“เป็นเพราะว่าเธอใจดีเกินไปเหล่าเฉาถึงให้ยัยนั่นมานั่งกับเธอ เธอรู้ไหมว่าพ่อกับแม่ของยัยนั่นอยู่ในคุกทั้งคู่? ใครจะไปรู้ว่ายัยนั่นไปทำอะไรเข้าถึงได้หายตัวไป? ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปติดอยู่กับยัยนั่นแล้ว”
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว” มือของตัวละครหลักจับโทรศัพท์แน่นขึ้น “แล้วก็ เพื่อนร่วมโต๊ะ หลังจากดูหนังคืนนี้แล้ว เธออยากมาเล่นที่บ้านฉันไหม? ฉันจะให้เธอดูอะไรที่น่าสนใจมาก”
“ได้ ไม่มีปัญหา!”
“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” หลังจากวางสาย ตัวละครหลักก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ กล้องขยับไปทางกระจก และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของตัวละครหลักตั้งแต่หนังเริ่มมา
ร่างกายผอมบาง เสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่ง และผมสีดำยาว– ตัวละครหลักนั้นมีใบหน้าที่เหมือนเย็บขึ้นจากชิ้นส่วนของผู้หญิงหลาย ๆ คน ผู้หญิงทั้งหมดมีเครื่องหน้าต่างกัน แต่ว่าดวงตาข้างซ้ายของพวกเธอนั้นดูเหมือนกัน
ดวงตาข้างซ้ายที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนมันเป็นเข็มยาวเล่มหนึ่ง และมันก็เย็บใบหน้ามากมายนั่นเข้าด้วยกัน
ตอนที่ 717
กล้องจับนิ่งอยู่บนกระจกตรงหน้าตัวละครหลัก– มันเหมือนตัวละครหลักนั้นกำลังพิจารณาตัวเองที่ในกระจกอยู่เหมือนกัน บทจบเริ่มต้นขึ้น และกล้องที่หมายถึงมุมมองของตัวละครหลักก็หยุดอยู่ที่หน้ากระจก
ผู้หญิงที่ในกระจกเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าที่ในกระจกช้า ๆ ขณะที่ร่างของเธอค่อย ๆ เอนเข้าไปหากระจก ทั้งจอฉายภาพผู้หญิงที่ในกระจก และดังนั้นผู้ชมจึงมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ตอนที่เส้นผมของตัวละครหลักแหวกออก ผู้หญิงที่ในกระจกก็เผยดวงตาข้างซ้ายของเธอออกมา
ตอนนี้ดวงตาข้างซ้ายของเธอค่อย ๆ ขยายขนาดขึ้นช้า ๆ แล้วจู่ ๆ กล้องก็ถูกดึงถอยหลัง!
กล้องดูเหมือนจะละทิ้งมุมมองของตัวละครหลัก กล้องยังถอยออกไปเรื่อย ๆ มันจับภาพแผ่นหลังของตัวละครหลักและผู้หญิงที่ในกระจกเอาไว้
ตอนที่กล้องถอยออกไป ตัวละครหลักที่ยืนอยู่ที่หน้ากระจกก็หันร่างกลับมาแล้วมองเข้าไปในกล้อง ใบหน้าของเธอนั้นซีดขาวราวกับกระดาษและต่างไปจากเงาสะท้อนของเธอที่ในกระจกโดยสิ้นเชิง
ในตอนนี้เอง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น
ตอนที่ตัวละครหลังหันกลับมา ผู้หญิงที่ในกระจกยังอยู่ในท่าเดิม เธอไม่ได้ขยับ!
เธอกับตัวละครหลักมองไปทางกล้องและเผยสีหน้าที่แปลกประหลาดไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เสียงดนตรีจู่ ๆ ก็ถูกตัดทิ้ง และจอก็มืดไป อาจจะเพราะโรงละครส่วนตัวนี้ไม่ถูกใช้งานมานานแล้ว กระทั่งหลังจากหนังจบแล้ว แสงไฟในโรงละครก็ไม่ได้กลับมาเปิดอัตโนมัติ และรอบด้านก็ยังคงถูกความมืดโอบล้อม
ความมืดทำให้เกิดความกระวนกระวาย เฉินเกอยังอยู่ในที่นั่งของตัวเองและไม่ได้ขยับตัวไปไหน เขาจับจ้องอยู่ที่จอ เขาพอจะมีความคิดคร่าว ๆ แล้วเกี่ยวกับหนังที่เขาเพิ่งดู ผู้กำกับใช้วิธีการย้อนอดีตในตอนกลางเรื่องเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทรงจำของตัวละครหลัก
‘ดวงตาข้างซ้าย’ นั้นเป็นของเด็กหญิงที่ชื่อว่าเหวินอวี้ แต่สิ่งที่ควบคุมร่างของเธอนั้นไม่ใช่ตัวเหวินอวี้เอง ผู้กำกับนั้นเลือกที่จะเน้นเพียงส่วนเดียว ตอนเริ่มต้นของหนัง ผีผู้หญิงเอาแต่เรียกตัวละครหลักว่าชิวเหมย ซึ่งหมายความตั้งแต่นั้นมา ดวงวิญญาณในร่างของตัวละครหลักนั้นเปลี่ยนไปเป็นชิวเหมยแล้ว
พ่อกับแม่และหมอที่ปรากฏขึ้นทีหลังล้วนเป็นผี หรือบางทีพวกเขาอาจจะอยู่ในโลกที่มองเห็นได้เฉพาะผ่านดวงตาข้างซ้าย นั่นสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเหวินอวี้ถึงทำตัวห่างเหินกับพ่อและแม่อย่างนั้น ในความจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ แต่ว่าเป็นวิญญาณสัมภเวสีของครอบครัวเหวินอวี้
ที่กลางเรื่องนั้นน่าจะเป็นความทรงจำของชิวเหมย มันอธิบายว่าชิวเหมยเปลี่ยนไปเป็นเหวินอวี้ได้อย่างไร หลังจากความทรงจำจบลง หนังก็กลับสู่ความเป็นจริง ชิวเหมยนั้นนัดกับเพื่อน หลังจากดูหนังคืนนั้น เธอก็เชิญ ‘เพื่อน’ ของเธอไปที่ ‘บ้าน’ ของเธอ และวงจรก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ฝันร้ายยังไม่ถูกทำลาย และเด็กสาวคนถัดไปที่ถูกลิขิตให้ต้องสืบทอดดวงตาข้างซ้ายก็คงจะเป็นเพื่อนของชิวเหมย
ผีที่น่ากลัวที่สุดและน่าสยองที่สุดในหนังนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกไปจากตัวละครหลัก นี่ยังเป็นหนังเรื่องแรกที่เฉินเกอได้ดูที่ถ่ายทำจากมุมมองของผี
นอกจากนั้น ยังมีส่วนหนึ่งในหนังที่สะดุดความสนใจของเฉินเกอ ตอนที่หนังกำลังจะจบลง วิธีการถ่ายทำจู่ ๆ ก็เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งไปเป็นมุมมองบุคคลที่สาม ในตอนนั้น ยังไม่มีคนอื่นอยู่ในห้อง เป็นไปได้ไหมว่ากล้องตัวสุดท้ายนั้นถ่ายจากมุมมองของผู้ชม?
ทั้งตัวละครหลักและผีที่ในกระจกหันมามองผู้ชมที่นอกจอ เฉินเกอจำได้ชัดาเจนว่าดวงตาข้างซ้ายของพวกเธอเปิดขึ้น
มันเหมือนพวกเธออาจจะคลานออกมาจากจอตอนไหนก็ได้
กระทั่งเฉินเกอเองก็ยังหัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยหลังจากดูหนังจบ มันอาจจะเกินไปหากจะพูดว่าเขากลัว– เขาก็แค่รู้สึกขนลุกเล็กน้อยเท่านั้น เปิดกระเป๋าสะพายหลังแล้วเฉินเกอก็ปล่อยเจ้าแมวขาวออกมา เขาเกาหัวมันแล้วใจก็สงบลงช้า ๆ
ความสยองขวัญในหนังนั้นสร้างขึ้นจากผู้กำกับ นี่ต่างไปจากเรื่องผีในชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง หากมีโอกาส ฉันก็อยากจะนั่งคุยกับผู้กำกับคนนี้
จอมืดไปสามนาทีได้แล้ว แต่ว่าโทรศัพท์เครื่องดำไม่ได้มีข้อความแจ้งว่าภารกิจสำเร็จ อันที่จริง เฉินเกอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรผิดไปตรงไหน
หรือเป็นเพราะว่าหนังสั้นเกินไป ดังนั้นโทรศัพท์เครื่องดำก็เลยไม่ให้ผ่าน?
เขาลุกขึ้นมองไปยังจอมืดสนิท จากนั้นก็มีความเป็นไปได้อื่นปรากฏขึ้นในใจเขา
หรือเป็นเพราะว่าหนังยังไม่จบ?
หนังนั้นยาวแค่ยี่สิบนาที แต่ถ้าผีหนีออกมาจากหนังอย่างนั้นหนังก็ยังไม่จบจริง ๆ กลิ่นราจาง ๆ อวลอยู่ในโรงละครส่วนตัว มองไปรอบ ๆ แถวของที่นั่งนั้นก็คล้ายกับป้ายหลุมศพที่ตั้งเอาไว้ ยิ่งเขามอง มันก็ยิ่งน่ากลัว
เด็กสาวกับ ‘ดวงตาข้างซ้าย’ น่าจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโรงละครนี้
เฉินเกอนั้นมาที่นี่เพื่อทำภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ให้สำเร็จ และหากหนังไม่จบ อย่างนั้นภารกิจของเขาก็ไม่มีทางสำเร็จ
ฉันควรจะรอจนพระอาทิตย์ขึ้นไหม?
เฉินเกอนั้นเป็นคนใจเย็นและมีสติ เขารู้จักจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง จางหยายังจำศีลอยู่ และก็ไม่รู้ว่าเธอจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ซู่อินนั้นถูกทิ้งเอาไว้ในบ้านผีสิงให้รองเท้าส้นสูงสีแดงรักษา ตอนนี้ พนักงานที่แข็งแกร่งที่สุดที่เฉินเกอมีอยู่กับตัวก็คือไป๋ชิวหลิน
ด้วยความช่วยเหลือของซู่อิน ไป๋ชิวหลินได้กินหัวใจของซยงฉิงและพัฒนาไปเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด แต่ว่า เนื้อแท้แล้วเขาก็ยังเป็นวิญญาณที่ถูกผลักดันจนกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด ในการต่อสู้ของจริงนั้น เขาย่อมไม่สามารถเอาชนะกึ่งวิญญาณสีเลือดของแท้ที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นได้
ดวงตาข้างซ้ายดูเหมือนจะทรงพลังทีเดียว ถ้าเธอจู่ ๆ ตัดสินใจปรากฏตัวขึ้น เจ้าแมวขาวกับฉันคงไม่สามารถรับมือกับมันได้
เฉินเกอนั้นระมัดระวังอยู่เสมอ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เขาก็ไม่อยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง
ชายตาบอดเงยหน้าขึ้นถามเฉินเกอ “พี่ชาย มันเงียบนานแล้วนะ ผมว่าหนังน่าจะจบแล้วใช่ไหม? ผมไปได้แล้วหรือยัง?”
“ในเมื่อคุณเรียกผมว่าพี่ อย่างนั้นผมก็ไม่อ้อมค้อมและบอกความจริงกับคุณ ผีผู้หญิงที่ในหนังที่พวกเราเพิ่งดูไปน่ะหนีออกมาสู่โลกจริง”
“ผีหนีออกมาจากหนัง?” ปฏิกริยาของชายตาบอดนั้นดูกระวนกระวายมากขึ้นมาก
“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ผมมีข่าวดีกับข่าวร้ายบอกคุณด้วย” เฉินเกอยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังและพลิกเปิดหนังสือการ์ตูน
“คุณยังมีอารมณ์พูดเล่นอีกได้ยังไงเนี่ย?” ชายตาบอดขดตัวอยู่ในที่นั่งของตัวเอง– เห็นได้ชัดเจนว่าเขากลัวจริง ๆ “งั้นบอกข่าวร้ายผมก่อน”
“ข่าวร้ายก็คือผีผู้หญิงตนนั้นดูอันตรายมาก และเธอก็ดูเหมือนกำลังมองหาตัวตายตัวแทน พวกเราก็โชคร้ายพอที่จะมาเจอเธอเข้าพอดี” เฉินเกอบอกสิ่งที่เขาวิเคราะห์ได้ออกไปอย่างสงบ
“โชคร้ายคือผมถูกบังคับต่างหากเล่า? พี่ชาย อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย รีบออกไปกันเถอะนะ?” ถ้าเขาไม่รู้ว่าเขาไม่มีทางสู้ชนะ ชายตาบอดก็คงใช้ไม้เท้าของเขาสู้ตายกับเฉินเกอไปแล้ว
“หนีตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว ดวงตานั่นมองเห็นพวกเราสองคนแล้ว ดังนั้นเธอคงไม่ปล่อยพวกเราไปง่าย ๆ”
“ดีจริง” ชายตาบอดทิ้งตัวกลับลงไปกับที่นั่งของตนเองอย่างอ่อนแรง “อย่างนั้นสิ่งที่เรียกว่าข่าวดีของคุณล่ะ?”
“ข่าวดีก็คือผมเรียกเพื่อนของผมหลายคนมาร่วมวงกับพวกเรา และพวกเราก็ได้เปรียบในด้านจำนวนอย่างเห็นได้ชัด” เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเข้าหูชายตาบอด และเฉินเกอก็ขานชื่อทีละชื่อ
กลิ่นเน่าเปื่อยจาง ๆ อวลเต็มโรงละคร อันที่จริง กลิ่นนั่นแรงพอที่จะกลบกลิ่นราจาง ๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้าด้วย
“คุณได้กลิ่นอะไรไหม? มีบางอย่างกำลังมา!” ชายตาบอดอ้าปากค้างอย่างตกใจ
“นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วอย่าตื่นตระหนกไป พยายามอย่าไปล้มใส่ใคร” เฉินเกอนั้นพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว
“พวกนั้นคือเพื่อนของคุณเหรอ? พวกเขามาถึงตอนไหนน่ะ? พวกเขาอยู่ในห้องนี้แล้วเหรอ? ทำไมผมถึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยล่ะ?” ไม่มีใครตอบทำถามของชายตาบอด ถ้าเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็อาจจะหมดสติไปตรงนั้นเลย ความเงียบและว่างเปล่าในโรงละครนั้นตอนนี้กลายเป็นอึกทึกไปหมดแล้ว
เด็กชายที่มีกลิ่นเหม็นเน่าถูกชายแขวนคอผลักไปที่มุมห้องและเขาก็ลูบท้องพร้อมกับสีหน้าเศร้าสร้อย พวกนักเรียนจากห้องเรียนปิดตายโรงเรียนมัธยมมู่หยางวิ่งไปทั่วอย่างสนุกสนาน เหล่าโจวใช้สีหน้าจริงจัง ‘หลอก’ ให้ต้วนเยว่นั่งเก้าอี้เดียวกับเขาที่ด้านหลังโรงละคร พวกเขานั่งห่างไปจากคนอื่นที่เหลือ
ผู้อาวุโสเว่ยและหมอคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้านหลังชายตาบอด พวกเขาปรึกษากันเบา ๆ ในกลุ่มถึงความเป็นไปได้ในการทำการผ่าตัดเพื่อช่วยให้ชายคนนี้มองเห็นได้อีกครั้ง และบางครั้งศัพท์เฉพาะทางก็หลุดออกมาจากปากพวกเขา
ผีน้ำนั่งอยู่ที่แถวหน้า เธอถูกสังเวยเพื่อทำการฝังเมล็ดพันธุ์ และนี่ก็ครั้งแรกใน ‘ชีวิต’ ของเธอที่ได้เข้ามาในโรงละคร ดังนั้นเธอจึงมีความอยากรู้อย่างเห็นในทุกอย่าง ถ้าเธอสามารถคลานเข้าไปในจอได้เธอก็คงทำไปแล้ว
เอี๋ยนต้าเหนียนเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาจากหนังสือการ์ตูน เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก ผีปากกากอดเสี่ยวเซียวเอาไว้และพวกเธอก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา เฉินหย่าหลินนั้นดูเหมือนจะมีคำถามเกี่ยวกับการ์ตูนของเขา
“วันนี้เป็นวันเกิดผม ดังนั้นผมจึงเลี้ยงหนังทุกคน ผมคิดว่านี่อาจจะนับได้ว่าเป็นสิทธิ์พิเศษของพนักงาน โรงหนังนี่อาจจะเล็กไปนิด แต่ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสา ตอนที่พวกเรามีเงินมากพอ ผมจะเช่าโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์ทั้งโรงให้ทุกคนได้สนุกกัน” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องฉายหนัง ไป๋ชิวหลินกับผู้อาวุโสเว่ยตามหลังเขาไปติด ๆ
ชายตาบอดนั่งอยู่กับที่อย่างเชื่อฟัง เขารู้ว่ามีหลายอย่างอยู่รอบตัวเขาแต่ว่าในใจเขานั้นมีความรู้สึกประหลาดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ เขาอ้าปาก ยื่นมือออกไปแตะที่นั่งที่น่าจะเป็นของเฉินเกอ หลังจากสัมผัสได้ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาก็หุบปากลงอย่างว่าง่าย เขาไม่กล้าขยับหรือว่าถามอะไร
“พวกคุณอยากดูหนังเรื่องไหน?” เฉินเกอเปิดรายชื่อหนัง เขามาที่นี่เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แต่มันต่างไปสำหรับพนักงานที่บ้านผีสิง โดยเฉพาะพวกนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมมู่หยางที่ออกมาจากสิ่งของที่พวกเขาสิงอยู่ได้แค่ระยะสั้น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยโอกาสนี้เสียเปล่าไปไม่ได้แน่ ๆ
ไปดูหนังนั้นเป็นประสบการณ์ธรรมดามาก ๆ ของคนทั่วไป แต่สำหรับนักเรียนพวกนี้ ถ้าไม่เพราะเฉินเกอ พวกเขาก็คงไม่มีประสบการณ์เช่นนี้อีก ในรายชื่อมีหนังผีไม่กี่เรื่อง แต่ว่านั่นก็ทำให้เกิดการถกเถียงร้อนแรงในกลุ่มพนักงานแล้ว ในที่สุด ส่วนใหญ่ก็ออกเสียงเลือกหนังที่ชื่อว่า ‘นาม’ มันดูเหมือนจะเป็นหนังเกี่ยวกับชื่อของใครสักคน เฉินเกอมองหน้าปก ผู้กำกับก็ยังคงเป็นฉางกู และใบหน้าของตัวละครที่เหลือนั้นดูคล้ายกับเหวินอวี้กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์
“เอาละ กลับไปที่นั่งของพวกคุณก่อน อย่าเดินไปทั่วหลังจากหนังเริ่มฉาย แล้วก็คอยดูรอบ ๆ ตัวด้วย อาจจะมีคนที่เกินมาปรากฏตัวเพราะว่าโรงละครนี่มีผีสิง”
มองโรงละครที่เต็มไปด้วยพวกผีแล้ว เฉินเกอก็รู้สีกเหมือนว่ามันน่าตลกที่พูดอะไรแบบนั้น
ผีกลุ่มหนึ่งดูหนังสยองขวัญในโรงหนัง ฉันว่ามันจะเหมือนเป็นการดูสารคดีชีวิตตัวเองหรือเปล่า
พนักงานทำตามที่เฉินเกอบอก พวกเขากลับไปยังที่นั่งอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ยังใจดีพอที่จะทิ้งที่นั่งว่างตรงกลางเอาไว้สองที่
“ทำไมพวกคุณถึงเว้นที่ว่างสองที่ตรงนั้นไว้ล่ะ?”
เฉินเกอกดปุ่มเล่น และเพลงประกอบก็ดังออกมาจากทุกมุมของโรงละคร ดนตรีวนเวียนอยู่ในหูของพวกเขาและมันก็สร้างความรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ที่นี่กันจริง ๆ ถึงแม้ว่าโรงละครนี่จะค่อนข้างเก่า อุปกรณ์ล้วนเป็นระดับยอดเยี่ยม อย่างไรเสีย ครั้งหนึ่งมันก็เคยใช้บริการแขกในฮอลิเดย์วิลล่าระดับไฮเอนด์มาก่อน
เสียงดนตรีดังคลอไปกับภาพบนจอ เหล่าพนักงานที่ไม่เคยสัมผัสโลกเช่นนี้และพนักงานที่จากไปก่อนที่จะได้มีช่วงเวลาเช่นนี้ล้วนรู้สึกตื่นเต้น เสียงร้องและเสียงอุทานก้องอยู่ในหมู่ผู้ชม– เสียงที่พวกเขาทำนั้นยังน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงประกอบของตัวหนังเองเสียอีก
พวกเขาจะถูกหนังทำให้กลัวไหมนะ? ปกติแล้วเป็นพวกเขาที่หลอกให้คนอื่นกลัว
เฉินเกอไม่ได้กังวลเรื่องนั้นนัก– เขาแค่อยากให้ภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาสำเร็จโดยเร็วที่สุด
เฉินเกอขยับไปทางที่นั่งที่พนักงานเว้นไว้ให้เขา และให้ไป๋ชิวหลินนั่งถัดจากเขาขณะที่ชายตาบอดนั่งอยู่ที่อีกด้านของเขา เขาได้รับภารกิจนี้เพราะความช่วยเหลือจากชายตาบอด อย่างน้อยที่สุดที่เขาทำได้ก็คือรับรองความปลอดภัยของชายคนนี้
“พี่ชาย… คุณกลับมาแล้วเหรอ?” ชายตาบอดถูกเฉินเกอพยุงไปนั่งที่กลางโรงละคร ขาของเขาสั่นและมันเหมือนเขากำลังเดินอยู่บนสายไหมแทนที่จะเป็นพื้นอันมั่นคง
“อืม ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณปลอดภัยมาก ๆ ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว” เฉินเกอกอดเจ้าแมวขาวไว้ “คุณอยู่ที่นี่ดูหนังได้โดยไม่ต้องห่วงอะไร หลังจากหนังเรื่องนี้จบ ผมจะพาคุณกลับไปเอง”
“คุณแน่ใจเหรอว่าตอนนี้มันปลอดภัยแล้ว? หัวใจผมเต้นเร็วมากและจู่ ๆ ผมก็รู้สึกถึงความเย็นเหมือนถูกยัดเข้าไปในตู้เย็นเลย” ชายตาบอดกอดไม้เท้าของตัวเองไว้และเปลือกตาของเขาก็กระตุกซ้ำ ๆ มันเหมือนเขาสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อดวงตา และพวกมันก็จะลืมเปิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
“คุณคิดไปเอง” เฉินเกอปลอบชายตาบอดอีกสองสามคำ มือหนึ่งเขาเกาคางเจ้าแมวขาว แผ่นหลังทิ้งพิงไปกับเบาะ เขาสนุกไปกับหนังอย่างสุขสบายเต็มที่
“เป็นไปไม่ได้! ผมไม่ได้คิดไปเอง! คุณแน่ใจเหรอว่าเพื่อนของคุณอยู่ที่นี่กันหมด? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าที่นี่มันน่ากลัวและหลอนกว่าตอนแรก?” ลมหายใจเย็น ๆ ลอดออกมาจากริมฝีปากของชายตาบอด “พี่ชาย คุณฟังผมอยู่หรือเปล่า? คุณไม่รู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิดเหรอ?”
“ผมสุขสบายกว่านี้ไม่ได้แล้ว อันที่จริง ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะสั่งขนมอย่างน้ำโค้กกับป๊อบคอร์นมากิน” ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในใจเฉินเกอก่อนหน้านี้จริง ๆ ในเมื่อพวกเขามาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลอง อาหารและเครื่องดื่มก็ควรจะมี แต่เมื่อคิดถึงสภาพจิตใจของคนส่งอาหารแล้ว เฉินเกอก็ทิ้งความคิดนั้นออกไปจากใจ “เป็นจิตใจของคุณเล่นตลกกับตัวคุณแล้ว ผ่อนคลายแล้วก็จะดีเอง”
หนังเริ่มฉายอย่างเป็นทางการ แต่ว่าบรรยากาศนั้นต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แสงและเสียงนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป– สิ่งเดียวที่เปลี่ยนก็คือผู้ชม
เฉินเกอนั้นจมดิ่งไปกับหนังที่ฉาย เขาผสานข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้มาจากการค้นหาดวงตาข้างซ้ายบนออนไลน์ และหนังที่เขาได้ดูคืนนี้และเงื่อนงำบางอย่างก็เผยตัวเองออกมา
หนังเรื่อง ดวงตาข้างซ้าย นั้นถูกทำลายไปแล้ว แต่ว่าโรงละครส่วนตัวนี้เก็บผลงานอื่น ๆ ของผู้กำกับ ฉางกู เอาไว้และผลงานทั้งหมดนั้นมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับดวงตาข้างซ้าย
ทำไมผู้กำกับคนนี้ถึงได้หมกมุ่นอยู่กับ ดวงตาข้างซ้าย นี่จังเลย?
เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งของ เพื่อนร่วมโต๊ะ ผ่านเข้ามาในใจเฉินเกอ พ่อของเหวินอวี้ครั้งหนึ่งเคยเรียกชื่อเต็มของเธอ และชื่อของเด็กหญิงคนนั้นก็คือ ฉางเหวินอวี้– เธอใช้แซ่เดียวกันกับฉางกู
เป็นไปได้ไหมว่าเด็กหญิงที่มีดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นพี่สาวน้องสาวของฉางกู?
ใน เพื่อนร่วมห้อง ที่บ้านของเหวินอวี้ บางครั้งก็จะเห็นพ่อกับแม่หรือว่าหมอ แต่ว่าไม่มีตัวละครอื่นที่จะเป็นฉางกูได้
ถ้าฉางกูนั้นเป็นสมาชิกในครอบครัวของฉางเหวินอวี้จริง อย่างนั้นมันก็อธิบายได้ว่า ระหว่างการถ่ายทำ ฉางกูยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เขาไม่ได้ปรากฏขึ้นมาในฉาก
จู่ ๆ เฉินเกอก็นึกถึงฉากสุดท้ายของ เพื่อนร่วมโต๊ะ
ตอนที่มีการเปลี่ยนมุมมอง เป็นไปได้ไหมว่าชิวเหมยกับผีที่ในกระจกไม่ได้กำลังมองมายังผู้ชมแต่เป็นฉางกูที่อยู่หลังกล้อง?
ตอนที่ 718
ความแตกต่างระหว่าง นาม กับ เพื่อนร่วมโต๊ะ นั้นเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ฉากแรก หนังเรื่องนี้นั้นถ่ายทำจากมุมมองบุคคลที่สาม ความแตกต่างระหว่างหนังสองเรื่องนั้นมากจนดูไม่เหมือนว่าเป็นผลงานของผู้กำกับคนเดียวกัน
เพื่อนร่วมโต๊ะนั้น ตอนเริ่มต้นนั้นเน้นไปที่ท้องฟ้าอันมืดครึ้ม บ้านที่เหมือนกรงขัง และสัตว์ประหลาดที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ นาม นั้นเริ่มต้นอย่างอบอุ่นมาก กาแฟถ้วยหนึ่งวางเอาไว้บนโต๊ะ และที่ข้างกันนั้นเป็นสมุดและอุปกรณ์การเรียนกองหนึ่ง
กล้องค่อย ๆ กวาดไปข้างหน้าและในที่สุดมันก็ไปจับอยู่ที่สมุดจดซึ่งเป็นไดอารี่เล่มหนึ่ง บนปกนั้นเขียนชื่อหนึ่งเอาไว้ด้วยปากกาสีแดง– ชิวเหมย
คราวนี้ตัวละครหลักเป็นชิวเหมย?
เฉินเกอรู้ว่าหนังสยองขวัญสองสามเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกันในสักทางหนึ่ง การคาดเดาก่อนหน้าของเขาว่าหนังแต่ละเรื่องบันทึกเรื่องราวของเหยื่อจากดวงตาข้างซ้าย แต่ความจริงดูเหมือนจะต่างไปจากที่เขาคิดเอาไว้
“เหวินอวี้! เหวินอวี้!” มีเสียงเคาะประตูไม่หยุด หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อเหวินอวี้ และเสียงของผู้หญิงคนนั้นก็ต่างไปจากเสียงแม่ของเหวินอวี้ในเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างชัดเจน
“ถ้าคนที่อยู่ด้านนอกประตูไม่ใช่แม่ของเหวินอวี้ แล้วทำไมเธอถึงเรียกชื่อเหวินอวี้?”
กล้องหมุน เด็กหญิงคนหนึ่งที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงกระโดดลงจากเตียง เธอวิ่งไปที่โต๊ะ ยัดไดอารี่เล่มนั้นลงไปในลิ้นชักและล็อกมันไว้ หลังจากจัดการทั้งหมดนี่แล้วเธอก็ไปเปิดประตู
“หนูกำลังทำอะไรอยู่ในห้องน่ะ? ตอนที่เรียกหนูตอบช้ามาก” กล้องขยับไปยังผู้หญิงที่นอกประตู เธอมีรูปร่างใหญ่ อาจจะใหญ่กว่าเหวินอวี้สองคนรวมกันเสียอีก เธอแต่งหน้าหนาและมีกลิ่นควันติดตัว “ฉันได้ยินจากหัวหน้าว่าเธอจะออกจากงาน?”
“ค่ะพี่ฟาง ฉันมีเรื่องต้องไปทำ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองกล้อง นักแสดงนั้นหน้าตาน่ารักมาก และเธอยังดูคล้ายกับเหวินอวี้ในเพื่อนร่วมโต๊ะ เธอเหมือนดอกไม้ที่บริสุทธิ์ แต่หลังจากมองเธอนานเข้า ก็เหมือนมีบางอย่างแปลก ๆ
“ที่เธอบอกว่าจะกลับไปโรงเรียนน่ะเหรอ? ไปเรียนภาคค่ำ?” พี่ฟางเบียดตัวเข้าไปในห้องโดยไม่ขอ “เธอรู้ไหมว่าทุกวันนี้งานหายากแค่ไหน? เธอมีโอกาสดีขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่พอใจอีก?”
“พี่ฟาง ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ สักวันฉันจะพาพี่ไปเลี้ยวข้าวสักมื้อ” เหวินอวี้ไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาในห้องของตัวเอง
“รอทำไมเล่า?” พี่ฟางกำรอบข้อมื้อเหวินอวี้เบา ๆ แต่ว่าแน่นหนา “ครั้งก่อนฉันแนะนำหลานให้เธอใช่ไหม? เธอคิดว่ายังไงบ้าง? เด็กนั่นชอบเธอมากเลย ฉันว่าเธอคงจะเรียกมันว่ารักแรกพบได้… อย่าผลักฉันสิ! เฮ้! เปิดประตูนะ!” ประตูกระแทกปิดและพี่ฟางก็บ่นพึมพำอยู่ข้างนอกประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมแพ้แล้วเดินจากไป
“หนวกหูชะมัด” เหวินอวี้แตะดวงตาข้างซ้ายอย่างไม่รู้ตัว และเธอก็หันไปทางโต๊ะ เธอวางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็เก็บของและหนังสือทั้งหมดบนโต๊ะลงกระเป๋า ตอนที่เธอเก็บของ กล้องก็จับภาพไปที่โทรศัพท์ของเธอ และหน้าจอก็แสดงให้เห็นสิ่งที่กำลังดูอยู่ก่อนหน้านี้
“โรงเรียนที่สอนภาคค่ำที่จิ่วเจียงมีที่ไหนบ้าง? มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงที่จิ่วเจียงตะวันตกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ข้างใต้คำถามของเธอมีคำตอบอยู่สองสามคน
บ้านเก่าฉันอยู่ที่นี่: “ขอบคุณที่เชิญ ฉันมาจากฟิลิปินส์ เพิ่งลงเครื่องที่สนามบิน ฉันเรียนจบจากวิทยาลัยการเดินเรือและการบินนานาชาติ ฉันขอแนะนำว่าอย่าเรียนภาคค่ำที่จิ่วเจียง มีปัญหาเยอะแยะเกินไป และยังไม่ได้มีประโยชน์นัก จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนในซินไห่ดีกว่า”
เขตการศึกษาที่สามเฉิงเต๋อ “ถ้าเจ้าของโพสต์อยากรู้เกี่ยวกับเขตการศึกษาที่สามให้มากขึ้นให้คลิกที่โปรไฟล์ฉันได้เลยนะ เขตการศึกษาเฉิงเต๋อนั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยมในจิ่วเจียง พวกเราสามารถช่วยให้คุณเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงได้ พวกเรายังมีระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม และช่วยให้นักศึกษาของพวกเรานั้นดึงศักยภาพของตนเองออกมาได้มากที่สุด…”
คนที่ไม่มีอยู่จริง: “โรงเรียนภาคค่ำในจิ่วเจียงมีอยู่หลายที่ และคุณสนใจที่ที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด ฉันแนะนำคุณฟรี ๆ อย่างหนึ่งนะ– สมัครเรียนภาคค่ำที่โรงเรียนที่คุณต้องการได้เลย แต่หลีกเลี่ยงมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง”
ภายใต้สามคำตอบนั้น มีบทสนทนาระหว่างเหวินอวี้กับคนที่ไม่มีอยู่จริง
เจ้าของโพสต์: “ทำไมฉันถึงไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงไม่ได้? ที่นั่นเป็นมหาวิทยาลัยหลอกลวงเหรอ?”
คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ที่นั่นไม่ได้หลอกลวงแบบนั้น คุณจะได้ใบรับรองการศึกษาตราบใดที่คุณมีชีวิตรอดมาเรียนจนจบได้ คุณไปได้ข้อมูลของที่นี่มาจากที่ไหน? เท่าที่ฉันรู้ มหาวิทยาลัยนี่น่าจะปิดตัวลงในไม่ช้าแล้ว”
เจ้าของโพสต์: “ฉันมีบัตรนักศึกษาของที่นี่ ชื่อของฉันเขียนอยู่บนนั้น ดังนั้นฉันน่าจะเป็นอดีตนักเรียนที่นั่น”
คนที่ไม่มีอยู่จริง: “เป็นไปไม่ได้”
เจ้าของโพสต์: “จริง ๆ ฉันไม่ได้โกหกคุณ ฉันจำไม่ได้ว่าฉันเห็นอะไรที่นั่น แต่ตั้งแต่นั้นฉันก็ออกจากที่นั่นมา ดวงตาข้างซ้ายของฉันมองเห็นสิ่งที่ฉันลืมไม่ลง”
คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ฉันไม่มีเวลาฟังนิทานของเธอหรอก ไปก่อนนะ”
เจ้าของโพสต์: “ฉันไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นนะ!”
เจ้าของโพสต์: “นี่? คุณยังอยู่ไหม?”
เจ้าของโพสต์: “เอาละ ดูเหมือนคุณจะไปแล้ว ฉันกำลังบอกความจริงคุณ ตั้งแต่ที่ฉันออกจากที่นั่นมา ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ที่นั่นเปลี่ยนชีวิตฉันไป และตอนนี้ฉันก็อยากกลับไปที่นั่นเพื่อหาความจริง”
คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ความจริงนั่นสำคัญเหรอ?”
เจ้าของโพสต์: “โอ้ คุณยังอยู่”
คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ถ้าคุณไม่ได้โกหก อย่างนั้นก็มีอีกเหตุผลที่คุณไม่ควรไปที่นั่น”
เจ้าของโพสต์: “ทำไม?”
คนที่ไม่มีอยู่จริง: “คุณรู้ไหมว่ามหาวิทยาลัยนี่ยังมีอีกชื่อหนึ่ง?”
เจ้าของโพสต์: “ชื่อไหน?”
คนที่ไม่มีอยู่จริง: “มันยังถูกเรียกว่า โรงเรียนแห่งปรโลก”
เห็นแล้วเฉินเกอก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ม่านตาของเขาหดแคบลงขณะเพ่งมองบนจอ
โรงเรียนแห่งปรโลก!
ข้อความบนโทรศัพท์สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา เฉินเกอไม่คิดว่าจะมาเจอเข้ากับเงื่อนงำของโรงเรียนแห่งปรโลกระหว่างทำภารกิจดวงตาข้างซ้าย เขาเข้าใจว่าคำนั้นหมายถึงอะไร โรงเรียนแห่งปรโลกนั้นเป็นฉากระดับสี่ดาว– มันหมายถึงอย่างน้อยที่สุดต้องมีวิญญาณสีเลือดระดับสูง!
ฉางเหวินอวี้นำดวงตาข้างซ้ายออกมาจากโรงเรียนแห่งปรโลก? ทำไมเธอถึงได้มีบัตรนักเรียนของที่นั่นได้?
ดวงตาข้างซ้ายนั้นอาศัยอยู่ในร่างของฉางเหวินอวี้ แต่ว่าดวงวิญญาณที่ควบคุมร่างกายนั้นเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ฉางเหวินอวี้ตัวจริงนั้นหายตัวไปแล้ว– บางทีดวงวิญญาณของเธออาจจะสลายไปแล้ว
ตามบทนำของหนัง โรงเรียนแห่งปรโลกนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ตอนที่เหวินอวี้ได้รับดวงตาข้างซ้ายมา เธอน่าจะยังอายุไม่ถึง แล้วเธอไปที่มหาวิทยาลัยนั่นได้ยังไง? ถ้าเธอไปปรากฏตัวที่นั่นโดยบังเอิญ อย่างนั้นเธอหนีออกมาได้ยังไง?
เดิมที เฉินเกอนั้นดูหนังเพราะว่าโทรศัพท์เครื่องดำบอกให้เขาดู แต่หลังจากที่มีการพูดถึงโรงเรียนแห่งปรโลก ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป
นี่น่าจะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ– แค่การเปลี่ยนแปลงดวงตาข้างซ้ายนั้นก็ทำให้เกิดฉากระดับสองดาวแล้ว แล้วโรงเรียนแห่งปรโลกทั้งโรงเรียนจะน่ากลัวแค่ไหน?
เฉินเกอคิดกลับไปถึงคำแนะนำของโรงเรียนแห่งปรโลกบนโทรศัพท์เครื่องดำ มีภารกิจก่อนหน้าเก้าภารกิจ รวมทั้งจางหยาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เวลาอันจำกัดของภารกิจนี้นั้นกำลังจะหมดแล้ว บางทีหนังเรื่องนี้อาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่ฉันควรต้องรู้
เฉินเกอดูหนังต่อ บนจอ โทรศัพท์ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนโต๊ะจู่ ๆ ก็สั่น มีสายเรียกเข้า และหมายเลขผู้โทรเข้ามานั้นก็ประหลาดมาก– คนที่ไม่มีอยู่จริง
TL note: ในต้นฉบับใช้คำว่า มหาวิทยาลัย สลับไปมากับคำว่า โรงเรียน ทั้งที่พูดถึงสถานที่เดียวกัน จึงมีคำนี้สลับกันไปมาเรื่อย ๆ พยายามปรับให้คงที่แล้วแต่อาจจะมีหลุดบ้างต้องขออภัยผู้อ่านล่วงหน้าด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น