My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 708-713

ตอนที่ 708

 

“ผู้กำกับถูกขังเอาไว้ในหนัง ฮึ? นี่ต้องเป็นเรื่องผี” เฉินเกอรู้สึกเหมือนว่านี่อยู่ในสายงานของเขา ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยมันไปเฉย ๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่บนผนัง ตีสองครึ่งแล้ว “ต่อให้เรียกแท็กซี่ ไปเขาหยงหลิงก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ไม่ทันแล้ว ดังนั้นฉันควรจะไปดูวันพรุ่งนี้


“มีเวลาไม่พอ เวลาอันจำกัดของโรงเรียนแห่งปรโลกนั้นกำลังจะหมดแล้วแต่ว่าฉันยังไม่มีวิญญาณสีเลือดที่ไปกับฉันได้ตอนนี้ จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันควรจะไปที่กองถ่าย ถ้าเป็นไปได้ ช่วยนักเขียนคนนั้นเติมเต็มความปรารถนาของเขาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หวังว่านั่นจะช่วยโน้มน้าวให้โอเปอร์เรเตอร์สายด่วนเข้าร่วมกับบ้านผีสิงของฉันได้”


หลังจากเตรียมทุกอย่างแล้ว เฉินเกอก็ปิดโทรศัพท์ และเป็นครั้งแรกในช่วงหลังมานี้ที่เขาได้เข้านอนเร็ว แปดโมงครึ่งเช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเกอก็ตื่นขึ้นเพราะมีคนเคาะกระจก เขาลืมตาพร่ามัวขึ้นและได้ยินเสียงเสี่ยวกู่ดังมาจากนอกหน้าต่าง


“บอสน่าจะออกไปข้างนอกอีกแล้วเมื่อคืนนี้ รอที่ประตูแหละ”


“ทำไมบอสถึงออกไปข้างนอกกลางคืนบ่อยขนาดนั้น?” เป็นจางจิงจิ่วถาม เขาสงสัยเกี่ยวกับเฉินเกอมากทีเดียว


“ฉันอธิบายแบบนี้แล้วกัน แอพแชทที่พวกเราใช้ประจำน่ะมีการนับก้าวในชีวิตประจำวัน และเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันมาถึงที่นี่ในตอนเช้า บอสก็เดินไปแล้วประมาณหมื่นก้าวอ่ะ” น้ำเสียงเสี่ยวกู่สงบ “แต่ว่าวันนี้ค่อนข้างแปลก ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ บอสเพิ่งเดินไปแค่สามพันก้าวเท่านั้น ฉันสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า”


“ถ้าบอสได้ยินนายพูดอย่างนั้น เขาจะถลกหนังนายทั้งเป็น” เสียงของซูว่านดังตามมา พนักงานทั้งหมดดูเหมือนจะมาถึงแล้ว


“ฉันไม่เคยทำร้ายร่างกายพนักงานของตัวเอง ฉันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกันนะพอได้ยินเธอคิดอย่างนั้น” เฉินเกอลุกขึ้นจากเตียง ดึงม่านหนาเปิดออก แล้วเปิดหน้าต่าง “อย่างมากที่สุดฉันก็แค่ตัดเงินเท่านั้น”


“บอส!” ทั้งสี่คนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง– พวกเขาดูเหมือนจะรออยู่นานแล้วทีเดียว


“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปเปิดประตูให้พวกนาย” เฉินเกอมองโทรศัพท์ของตัวเอง แปดโมงสี่สิบแล้ว เขาหลับไปเร็วมากจนลืมตั้งนาฬิกาปลุก เปิดประตูบ้านผีสิงแล้วเฉินเกอก็ไล่พนักงานทั้งสี่คนเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วช่วยพวกเขาแต่งหน้าทีละคน


“ในเมื่อพวกนายอยู่ที่นี่กันครบ ฉันก็อยากจะประชุมเช้าเสียหน่อยตอนที่พวกเราแต่งหน้ากันเนี่ย” เฉินเกอแต่งหน้าให้พนักงานอย่างเชี่ยวชาญ บางคนอาจจะถึงกับสงสัยว่าเขาไม่ใช่ชายแท้เมื่อเห็นลีลาสะบัดแปรงแต่งหน้าของเขา “ซูว่าน เสี่ยวกู่ พวกนายสองคนเป็นพนักงานอาวุโส คอยดูแลสองฉากด้านบน บ้านผีสิงของเราตอนนี้แบ่งระดับความยากออกเป็นหลายดาว และผู้เข้าชมหลายคนก็ไม่ต้องการทดลองฉากที่ยากขึ้นไป ดังนั้น พวกนายจึงมีหน้าที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นหน้าเป็นตาของบ้านผีสิงและยังมีอิทธิพลต่อความประทับใจแรกของผู้เข้าชมของพวกเราด้วย”


“บอสไม่ต้องห่วง ให้เป็นหน้าที่ผมกับพี่ซูว่านเอง” เสี่ยวกู่ตบหน้าอกสัญญา บุคลิกสดใสเหมือนพระอาทิตย์ของเขานั้นบ่งบอกว่าเขานั้นผูกมิตรกับทุกคนได้โดยง่าย


“มือกรรไกรกับจางจิงจิ่ว พวกนายสองคนดูแลฉากใต้ดิน ฉันต้องการให้พวกนายทำตามที่ได้รับมอบหมาย ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับผู้เข้าชมให้ติดต่อฉันทันที” เฉินเกอสบตากับมือกรรไกรและจางจิงจิ่ว “ฉากใต้ดินใหญ่มาก ดังนั้นพวกนายสองคนต้องพัฒนาการแสดงของพวกนายนะ”


“เข้าใจแล้วครับ” มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วนั้นเคยผ่านเมืองหลี่ว่านมาพร้อมเฉินเกอ ดังนั้นจึงรู้ได้ถึงสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมา


“อย่างสุดท้าย ฉันจะให้ซูว่านถือกุญแจสำรองของบ้านผีสิงอย่างเป็นทางการ ถ้าเกิดว่าฉันไม่อยู่ขึ้นมา ก็ให้ดำเนินงานไปตามหน้าที่ที่ฉันมอบหมายให้พวกนาย” เฉินเกอส่งกุญแจสำรองให้กับซูว่านและมองไปยังเด็กสาวที่ในกระจก “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉากบนดิน ให้ถามซูว่าน ถ้าซูว่านจัดการไม่ได้ ให้ไปหาผู้อำนายการสวนสนุก ผู้อำนายการลั่ว อย่าไปหาคนอื่น และห้ามเชื่อใจใครอื่น”


ก่อนที่ซูว่านจะตอบรับ เฉินเกอก็ลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปจัดการกับฉากใต้ดิน ตอนนี้ มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วมากับฉัน ฉันยังมีหลายอย่างต้องสอนพวกนาย”


หลังจากเฉินเกอกับอีกสองคนเดินไปแล้ว เสี่ยวกูก็พบว่าซูว่านยังเหม่อมองเข้าไปในกระจก “พี่ ไปกันได้แล้ว ผู้เข้าชมกำลังจะมากันแล้ว”


“หืม อืม” ซูว่านกำกุญแจในมือตัวเองแน่นเหมือนเธอกลัวว่าจะเธอจะบังเอิญทำของสำคัญมากชิ้นนี้หายไป


เฉินเกอนำจางจิงจิ่วและมือกรรไกรเข้าไปใต้ดินและไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่งที่ห้องเก็บศพใต้ดิน เขาเคาะประตูแล้วก็มีชายชราในชุดกาวน์สีขาวเดินออกมา ศีรษะของเขาเต็มไปด้วยเส้นผมสีขาว แต่เขากลับมีแผ่นหลังเหยียบตรงราวกับต้นสนที่หยัดยืนหันหน้าสู่หน้าผา


“สุภาพบุรุษชราผู้นี้คือเว่ยจิ่วฉิน เขาเป็นหมอที่ดีที่สุดของบ้านผีสิงของพวกเรา ถ้าฉันไม่อยู่ในบ้านผีสิงและพวกนายเจอปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ มาหาเขา เขาจะช่วยพวกนาย” หมอเว่ยนั้นชราที่สุดและมีประสบการณ์ที่สุด นิสัยของเขาไม่มีตรงไหนให้ตำหนิได้ และเขายังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในบ้านผีสิงที่สามารถรับมือกับวิกฤติได้อย่างยอดเยี่ยม


“ทำไมจู่ ๆ เธอก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” หมอเว่ยรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติไป


“ไม่มีอะไรครับ แค่เผื่อเอาไว้”


“ถ้าเธอมีอะไรที่ทำให้กังวลต้องบอกฉันนะ! ฉันอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายและยังมีโอกาสได้พบเจอเพื่อนเก่า ๆ และสั่งสอนพวกเขาอย่างที่เคยทำด้วย” หมอเว่ยนั้นไม่ใช่คนชอบพูดเล่น แต่เขาก็ทำเพื่อให้เฉินเกออารมณ์ดีขึ้น


“ไม่มีอะไรหรอกครับ” เฉินเกอตีสีหน้าปกติ หลังจากผู้เข้าชมเริ่มเข้าฉาก เขาก็นำมือกรรไกรกับจางจิงจิ่วเดินไปทั่วชั้นใต้ดินและแนะนำตัวพวกเขาให้กับพวกผีส่วนใหญ่


ริมฝีปากของมือกรรไกรกับจางจิงจิ่วอ้าค้างหลังจากได้ ‘เดินชม’ จนทั่ว มีนักเรียน ครู หมอ ผู้ป่วย และ ‘ผู้คน’ แบบอื่น ๆ อยู่ที่นี่ มันเป็นเมืองใต้ดินจริง ๆ


“สิ่งที่พวกนายเห็นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของฉากใต้ดินเท่านั้น ที่นี่นั้นกว้างขวางมาก พ่อกับแม่ของฉันใช้เวลาเป็นสิบปีสร้างที่นี่ขึ้นมา” เฉินเกอแบ่งปันความลับกับมือกรรไกรและจางจิงจิ่วมากขึ้นก่อนที่จะส่งพวกเขากลับไปที่ฉากเมืองหลี่ว่าน


“มีแค่คนที่ฉันผ่านประสบการณ์เป็นตายมาด้วยฉันถึงจะอนุญาตให้เป็นพนักงานของฉันได้ คัดเลือกได้ยากมากทีเดียว” เฉินเกอพยายามอย่างที่สุดที่จะฝึกมือกรรไกรกับจางจิงจิ่ว เมื่อพวกเขาสามารถดูแลที่นี่ได้ด้วยตัวพวกเขาเองแล้ว เขาก็จะมีเวลาไปจัดการเรื่องอื่น ๆ มากขึ้น


ออกจากฉากมาแล้วเฉินเกอก็ถูกลุงซูเรียกไปหาตอนที่เดินออกมาที่ปากทางเข้าบ้านผีสิง “เฉินเกอ ผู้อำนวยการลั่วตามหาแกอยู่”


“ตามหาผม?”


“ใช่ ระวังด้วย มีคนนอกหลายคนอยู่ในห้องทำงานของเขา” ลุงซูกระซิบเตือนเขาก่อนจะไปทำงานต่อ เฉินเกอวิ่งไปที่ตึกสำนักงานและตอนที่เขาผลักประตูเปิดเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นทันที ผู้อำนวยการลั่งที่ตรงกลางกำลังพูดคุยสนุกสนานกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งอยู่ คนที่เห็นอาจจะคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมานานถึงได้ดูสนิทสนมกัน


“เสี่ยวเฉิน มานั่งสิ” ผู้อำนายการลั่วมีท่าทีเป็นมิตรกับเฉินเกอ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหา ตอนที่เขาหันหลังให้กับชายวัยกลางคน เขาก็ทำไม้ทำมือแต่ว่าเพิ่มเสียงขึ้น “นี่คือซีอีโอไป๋ ฉันแนะนำเธอกับเขาก่อนแล้ว เขามีบางอย่างอยากคุยกับเธอแน่ะ”


“ซีอีโอไป๋?” เฉินเกอเข้าใจได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่การมาเยือนอย่างเป็นมิตร


“ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองหรอก– พวกเราเคยเจอกันหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ ฉันมาเป็นตัวแทนคนบางคน ดังนั้นก็จะไม่พูดอ้อมค้อม” ซีอีโอไป๋พูดพร้อมยิ้ม “ก่อนหน้านี้มีคนจากบ้านผีสิงในซินไห่มาที่นี่ และพนักงานของพวกเขาทั้งหมดก็ถูกทำให้ตกใจกลัวจนต้องเข้าโรงพยาบาล เจ้านายของพวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน ดังนั้นเขาก็เลยให้ฉันมาถามเธอหน่อย


“ว่าเธอทำอย่างนั้นได้ยังไงบอสเฉิน?


“คนพวกนั้นเป็นนักแสดงมืออาชีพของบ้านผีสิงที่อยู่ในงานนี้มาอย่างน้อยก็ห้าปี พวกเขายังเก่งกาจที่สุดเท่าที่หาได้แล้วด้วย”


“ซีอีโอไป๋ คุณมาที่นี่เพราะเรื่องนี้เหรอครับ?” เฉินเกอคิดก่อนจะหันไปหาซีอีโอไป๋ “บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ดีเท่าที่พวกเขาพูดก็ได้ ผมเองไม่คิดว่าบ้านผีสิงของผมจะน่ากลัวขนาดนั้นนะครับ ความทนต่อความสยองขวัญของแต่ละคนก็ต่างกันไป คุณลองเข้าไปดูบ้านผีสิงของผมด้วยตัวคุณเองดูไหมครับ ซีอีโอไป๋?” 

 

 


ตอนที่ 709

 

ถึงซีอีโอไป๋จะพยายามทำเหมือนตัวเองเข้าอกเข้าใจแค่ไหน เมื่อเขาได้ยินคำเชื้อเชิญอย่างใจกว้างจากเฉินเกอ ใบหน้าของเขาก็ยังเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ เฉินเกอนั้นไม่ใช่คนที่จะมามัวประดิษฐ์ประดอยคำ เขาชอบพูดตรงเข้าประเด็นมากกว่า


ถ้าคุณคิดว่าบ้านผีสิงของผมมีปัญหา อย่างน้อยที่สุด คุณก็ต้องเข้าไปสัมผัสมันด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งก่อนถึงจะมีสิทธิ์ติเตียนอะไร


เป็นธรรมดาที่ซีอีโอไป๋จะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเฉินเกอ แกพูดเล่นหรือไง? กระทั่งนักแสดงบ้านผีสิงมืออาชีพยังเป็นลมไปหลังจากเข้าชม ถ้าฉันรับคำเชิญนี่ ก็ไม่ใช่รับคำเชิญไปตายหรือไง?


“ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปดูตอนบ่ายนี้น่ะ แต่ถ้าต่อไปมีโอกาส ผมต้องรับข้อเสนอนี้ของคุณแน่ ๆ” ซีอีโอไป๋หัวเราะกระอักกระอ่วน หลังจากปฏิเสธเฉินเกอแล้วท่าทีของเขาก็ไม่ได้ดูร้ายกาจอย่างก่อนหน้า


“แย่จังเลยนะครับ ถ้าต่อไปคุณได้มา คุณต้องบอกผมก่อนนะครับ ผมจะให้บริการคุณเป็นพิเศษเลย” การบริการเป็นพิเศษของบ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นมอบประสบการณ์อันพิเศษ ผู้เข้าชมหนึ่งคนเข้าฉากระดับ 3.5 ดาว สำรวจเมืองหลี่ว่านพร้อมกับผู้เข้าชมอีกเก้าคนที่แสดงโดยพนักงานของบ้านผีสิง


“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นแล้วกัน” ซีอีโอไป๋รู้สึกเหมือนว่าถ้าเขายังคุยเรื่องนี้ต่อไป สถานการณ์ก็จะไม่เข้าทางเขาแล้ว เขาดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดหมายเลข “เสี่ยวชวง ทำไมนายไม่พาซางอิ๋นมาที่นี่ล่ะ? ไม่มีอะไรหรอก ทั้งผู้อำนวยการลั่วและเฉินเกอเป็นคนมีเหตุผล พวกเขาไม่ทำอะไรนายหรอก”


สองสามนาทีต่อมา เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอกประตู ฝาแฝดคู่หนึ่งพยุงหลี่ซางอิ๋นเข้ามาในห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว เฉินเกอเคยเห็นคนกลุ่มนี้มาก่อนแล้ว พวกเขาล้วนเป็นพนักงานของสถาบันฝันร้าย


“ผู้ชายคนนี้ดูคุ้น ๆ นะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด เขาเคยมาบ้านผีสิงของผมมาก่อน” เฉินเกอจำหลี่ซางอิ๋นได้ตั้งแต่เห็นแวบแรก หลี่ซางอิ๋นนั้นไม่กล้ามองเฉินเกอ เขาไปนั่งที่มุมห้องด้วยการพยุงจากฝาแฝด


“ซางอิ๋น บอกเฉินเกอสิว่าเธอเห็นอะไรในบ้านผีสิง” ซีอีโอไป๋ดูเหมือนจะเข้าควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้ง ทุกคนในห้องหันไปมองหลี่ซางอิ๋น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และความกลัวที่ก้นบึ้งดวงตาของเขาก็กระจ่างราวกับกลางวัน


“เป็นเขาแหละ!” หลังจากพ่นสามคนนี้ออกมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ริมฝีปากของหลี่ซางอิ๋นก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงขณะที่เขาหอบเอาอากาศเข้าไปอย่างกระหาย “ผี! มีผีอยู่ในบ้านผีสิง! ที่นั่นมีผีสิง!”


“นี่หมายความว่ายังไงน่ะ? ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุดเหรอที่บ้านผีสิงจะมีผี?” เฉินเกอเอนตัวพิงพนักโซฟา และถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“แต่ว่าที่นั่นมีผีจริง ๆ! บ้านผีสิงของเขามีผีสิงจริง ๆ! ผีทั้งหมดล้วนเป็นของจริง! คนเป็น ๆ ไม่สามารถสร้างความรู้สึกแบบนั้นได้หรอก!” จิตใจของหลี่ซางอิ๋นค่อย ๆ กระจ่างขึ้น และถ้อยคำของเขาก็เต็มไปด้วยความแหลมคมอีกแบบหนึ่ง


“สถาบันฝันร้ายสร้างความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้” เฉินเกอหมดความอดทนแล้ว น้ำเสียงของเขาไม่มีความให้เกียรติใดเหลืออยู่ ดวงตาของเขานั้นมองหลี่ซางอิ๋นเหมือนมองขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง “คุณควรจะใช้เวลาพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นแทนที่จะพยายามฉุดคนอื่นลงต่ำ ต่อให้บ้านผีสิงของผมปิดตัวไป ผู้เข้าชมก็ไม่ไปบ้านผีสิงของคุณหรอก”


“ไม่! ผมยืนยันได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์! นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จะเกิดได้จากคนเป็น ๆ!” ดวงตาของหลี่ซางอิ๋นแดงก่ำ


“ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไงนะ ในฐานะนักแสดงมืออาชีพของบ้านผีสิง คุณอยากจะไปก่อเรื่องให้กับบ้านผีสิงอื่น แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณกลับเป็นคนที่หมดสติไปเอง คุณสูญเสียความภาคภูมิใจทั้งหมดไป ดังนั้นคุณจึงคิดเรื่องโง่ ๆ นี่พยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีเล็ก ๆ น้อยที่คุณเหลืออยู่” การวิเคราะห์ของเฉินเกอนั้นมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ


“ผมเป็นพนักงานที่บ้านผีสิงมาห้าปี ดังนั้นผมถึงรู้เรื่องบ้านผีสิงมากกว่าที่คุณรู้ ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในอุตสาหกรรมนี้นั้นมีระดับเพดานสูงแค่ไหน…”


หลี่ซางอิ๋นยังต้องการพูดต่อ แต่ว่าเฉินเกอตัดบทเขา “ห้าปีนับว่านานจริง ๆ เหรอ? พ่อกับแม่ของผมเริ่มต้นทำบ้านผีสิงเคลื่อนที่มาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ผมเติบโตขึ้นมาโดยมีของประกอบฉากพวกผีและสัตว์ประหลาดเป็นของเล่น ตอนที่คุณยังแก้ผ้า เรียนสะกดคำ ผมก็รู้วิธีการติดตั้งหุ่นแล้ว”


เฉินเกอลุกขึ้นยืน “ผมมองไม่เห็นเหตุผลของการพูดคุยครั้งนี้ เพดานที่คุณพูดถึงนั่นน่าจะเป็นเพดานในมุมมองของคุณ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพดานจำกัดของคุณ ไม่ใช่ของผม”


“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เฉินเกอ คุณไว้หน้าผมสักนิดไม่ได้หรือไง?” ซีอีโอไป๋ลุกขึ้นยืนตัวตรง เขารู้สึกว่าตัวเองไว้หน้าเฉินเกอมากแล้ว “ซางอิ๋นยังเด็ก และเขาก็ไม่รู้วิธีการพูดจา เอาแบบนี้เป็นไง? ทำไมคุณไม่เรียกนักแสดงทั้งหมดที่รับผิดชอบหลอกเขาออกมา นั่นน่าจะตอบคำถามทั้งหมดได้ในทีเดียว”


เฉินเกอหันกลับไปมองผู้อำนวยการลั่ว หลังจากสบตากัน เขาก็หยุดยืนนิ่ง “ซางอิ๋น คุณอ้างว่าบ้านผีสิงของผมมีผีจริง ๆ อย่างนั้นคุณบอกผมอย่างละเอียดได้ไหมว่าคุณไปเจอเข้ากับผีนั่นที่ไหน และผีตนนั้นหน้าตาเป็นยังไง?”


เขาเดินไปหาหลี่ซางอิ๋น หรี่ตาลง ทุก ๆ ก้าวของเขานั้นทำให้หลี่ซางอิ๋นโซเซถอยหลังไปจนกระทั่งจนมุมอยู่ด้านหลังโซฟา


“คุณกลัวผมเหรอ? หรือเพราะคุณคิดว่าผมก็เป็นผีเหมือนกัน?” หลังจากทำภารกิจทดลองที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาสำเร็จไปหลายภารกิจ เฉินเกอก็ถูกฝึกจนรอบ ๆ ตัวนั้นมีบรรยากาศอันพิเศษแบบหนึ่ง


“ผมจำนักแสดงคนอื่นได้ไม่ชัดนักเพราะว่าความทรงจำของผมมันวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ว่ามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่โรงแรมที่ผมจำได้ชัดเจน! เขาไม่ใช่คนเป็น ๆ!” หลี่ซางอิ๋นพูดผ่านไรฟัน “คุณกล้าพาเขามาเจอผมที่นี่ไหมล่ะ?”


“ที่โรงแรม!? ชายวัยกลางคน?” เฉินเกอขมวดคิ้ว จากที่ผู้ชายคนนี้บรรยาย เขาดูเหมือนจะพูดถึงจางจิงจิ่ว แต่ปัญหาก็คือ… ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงแน่ใจมากว่าจางจิงจิ่วเป็นผี? ในฐานะพนักงานใหม่ จางจิงจิ่วบางครั้งยังถูกเฉินเกอทำให้ตกใจกลัว แล้วเขาจะไปสร้างความรู้สึกว่าเขาเป็นผีได้ยังไง?


นี่มันแผนการบ้าอะไรกัน? เฉินเกอไม่เข้าใจเลย


“คุณไม่กล้าใช่ไหมล่ะ? เพราะว่าไม่มีคนแบบนั้นที่บ้านผีสิงของคุณ! ผมพูดถูกใช่ไหม?” หลี่ซางอิ๋นตะโกนดวงตาเป็นประกายกล้า สมองของเขานั้นเติบโตมาในวิถีทางที่ต่างไปจากคนธรรมดา และวิธีการคิดของเขานั้นก็เอนเอียงไปในทางสุดโต่ง “อย่าได้คิดว่าคุณจะไปเอาใครมั่ว ๆ มาแทนเขานะ ผมมีรูปของเขาอยู่!”


หลี่ซางอิ๋นใช้มือสั่น ๆ ของตัวเองดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เขาแตะเปิดอัลบั้มรูปที่เขาถ่ายรูปจางจิงจิ่วเอาไว้ นี่เป็นรูปที่หลี่ซางอิ๋นถ่ายเอาไว้ตอนที่เขาอยู่ในชุดหญิงท้องก่อนที่จะไปคุยกับจางจิงจิ่ว


“ถูกแมวดึงลิ้นไปแล้วหรือยังไง? ทำไมถึงลังเล? รูปนี่ชัดมาก ผมต้องการให้คุณพาคนคนนี้มาที่นี่เดี๋ยวนี้!” หลี่ซางอิ๋นเชื่อว่าเขาเตรียมตัวมาพร้อม เขารู้สึกขอบคุณที่ตัวเองได้ถ่ายรูปนี้เอาไว้ก่อน โชคไม่ดี เขามีแค่รูปของจางจิงจิ่ว หลังจากที่เขาวิ่งหนีอย่างรีบร้อน การถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานก็ไม่ได้ผ่านเข้ามาในความคิดเขาอีกเลย


“คุณพูดเองนะ คุณทำงานที่บ้านผีสิงมาห้าปีแล้ว คุณก็ควรจะรู้ว่ามันมีกฏห้ามถ่ายรูปในบ้านผีสิง ผมจะเก็บรูปนี่ไว้ และอีกไม่กี่วัน ผมจะไปที่สถาบันฝันร้ายด้วยตัวเองเพื่อขอคำอธิบาย” เห็นรูปแล้วเฉินเกอกลับรู้สึกโล่งอกแทน


“อย่าพยายามเปลี่ยนเรื่อง!” หลี่ซางอิ๋นเสียงดังขึ้น จากมุมมองของเขา เขาเป็นฝ่ายถูกต้องแน่นอน


“อย่างนั้นก็รอที่นี่” เฉินเกอหันกลับออกไปจากห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว เขาไปที่บ้านผีสิงรับตัวจางจิงจิ่วที่กำลังศึกษาการแสดงอยู่


“เอาขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางไปด้วย พวกเรากำลังจะไปเจอเพื่อนเก่า” เฉินเกออธิบายให้จางจิงจิ่วฟังสั้น ๆ ระหว่างทาง และฝ่ายหลังก็เข้าใจทุกอย่างได้เกือบจะทันที เคาะประตูแล้วเฉินเกอก็พาจางจิงจิ่วเข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว และตอนที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไป อุณหภูมิในห้องก็เหมือนจะลดลงไป


“นี่คือนักแสดงในรูป จางจิงจิ่ว” ทุกคนหันไปหาจางจิงจิ่วที่ยังมีการแต่งหน้าฝีมือเฉินเกออยู่ กระทั่งยืนอยู่ในห้องทำงานที่สว่างจ้า สบตากับเขาก็ยังให้ความรู้สึกหวาดกลัวมาก


“ผมต้องขอโทษที่หลอกคุณเมื่อวันนั้น ผมไม่คิดว่าคุณจะขี้กลัวขนาดนั้น ผมต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งจริง ๆ” จางจิงจิ่วเดินเข้าไปหาหลี่ซางอิ๋น แต่เมื่อฝ่ายหลังเห็นเขาเดินเข้าไปหา เขากลับกรีดร้องออกมาเหมือนเด็กผู้หญิงแล้วกระโดดหนีไป


“ไม่! อยู่ห่าง ๆ นะ! นี่มันแหละ! เขาเป็นผี! เขาเป็นผีจริง ๆ นะ!”


“ไม่ต้องสนใจเขา” เฉินเกอส่งขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางให้จางจิงจิ่ว “ไปล้างเครื่องสำอางออกซะ เดี๋ยวฉันแต่งให้นายใหม่ทีหลัง”


“ได้ครับ” และจางจิงจิ่งก็ทำอย่างที่ถูกบอกให้ทำ หลังจากถอดเสื้อคลุม เขาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งในทันที ตัวเขาไม่มีอะไรน่ากลัว เขาดูเหมือนพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งที่พบได้ทั่วไป


“ไม่ใช่ว่านักแสดงที่สถาบันฝันร้ายก็แต่งหน้าเหรอ?” จางจิงจิ่ววางขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางลงตรงหน้าพนักงานทั้งสามคนจากสถาบันฝันร้าย


เมื่อความจริงกระจ่างอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ฝาแฝดคู่นั้นก็รีบลุกขึ้นขออภัย “พวกเราเสียใจมาก การแต่งหน้าของบ้านผีสิงของคุณสุดยอดมาก ๆ พวกเราวู่วามเกินไป พวกเราต้องขออภัยด้วย”


“ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมแน่ใจว่ามีหลายอย่างที่พวกเราสามารถเรียนรู้ได้จากกันและกัน ผมสัญญาว่าจะไปเยี่ยมสถาบันฝันร้ายไม่ช้าก็เร็ว”


พนักงานจากสถาบันฝันร้ายสัมผัสได้ถึงความโกรธที่แผ่ออกมาจากเฉินเกอ หลังจากขอโทษซ้ำ ๆ พวกเขาก็รีบปลีกตัวออกไปเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซีอีโอไป๋ดูกระอักกระอ่วนและนั่งอยู่ที่เดิมอย่างอับอาย แต่เขาก็ยังพยายามรักษาท่าทีเอาไว้


“เสี่ยวเฉิน ตอนนี้มีแค่นี้แหละ เธอกลับไปได้เลย” ใบหน้าของผู้อำนวยการลั่วเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ เขาดูเหมือนจะมีหลายอย่างที่อยากจะ ‘พูดคุย’ กับซีอีโอไป๋


“ได้ครับ” เฉินเกอรู้ว่าผู้อำนวยการลั่วเตรียมจะเชือดซีอีโอไป๋ แต่พวกเขาไม่มีใครพูดอะไร ระหว่างทางกลับ เฉินเกอพบว่าจางจิงจิ่วก้มหน้าต่ำเหมือนมีบางอย่างในใจ


“จิงจิ่ว ถ้านายมีอะไรอยู่ในใจก็พูดออกมาได้เลย พวกเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ดังนั้นคุณบอกผมได้ทุกเรื่อง” เสียงของเฉินเกออบอุ่น เขาสามารถทำให้คนอื่นนั้นมีกำลังใจขึ้นมาถ้าเขาตั้งใจจะทำ


“ผมสร้างปัญหาให้คุณอีกแล้วใช่ไหม? ผมรู้สึกไร้ประโยชน์มากเลย ผมหลอกผู้เข้าชมได้ไม่ดี และยังลดค่าเฉลี่ยความน่ากลัวรวมของบ้านผีสิงของพวกเรา แล้วคราวนี้ ผมยังสร้างปัญหาใหญ่ให้คุณอีก” เสียงของจางจิงจิ่วเจื่อน “ตั้งแต่เด็ก ผมก็มักจะสร้างปัญหาให้ครอบครัว เพราะแม่ของผม ผมก็เลยทุ่มความไม่พอใจทั้งหมดใส่พ่อ เชื่อว่ามันเป็นความผิดของเขา แต่ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่ามันเป็นแค่หนทางง่าย ๆ ให้ผมหนีจากการถูกกล่าวโทษ มองกลับไปแล้ว ผมเป็นคนที่แย่ เป็นลูกที่แย่”


“หลายวันมานี้ ผมมองคุณอยู่ในบ้านผีสิง คุณพยายามเรียนรู้อย่างหนัก แต่ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างรั้งคุณเอาไว้ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าคุณขังตัวเองเอาไว้ในกรงเล็ก ๆ”


ยืนอยู่ในตึกสำนักงาน เฉินเกอมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขากวาดมองทั้งสวนสนุก


“ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาอ่อนแอและสูญเสีย แต่ว่าทุกคนก็ยังมีเสน่ห์ของตัวเองเช่นกัน ตอนนี้ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือปลดโซ่ที่รอบหัวใจคุณ และปล่อยตัวตนแท้จริงของคุณออกมา เมื่อถึงเวลา คุณก็จะได้กลับไปซินไห่พบพ่อของคุณ บางอย่างนั้นอย่าปล่อยทิ้งไว้ไม่พูดจะดีกว่า คุณจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากนั้น”


เฉินเกอตบบ่าจางจิงจิ่ว “ลองมองดูสิ พนักงานที่ผมสามารถพึ่งพาได้ก็มีแค่พวกคุณไม่กี่คน ต่อไป ผมวางแผนจะให้คุณเปิดสาขาให้ผมในต่างเมือง และถึงตอนนั้น คุณก็ต้องควบคุมดูแลหลายอย่างเลยนะ”


“ขอบคุณครับ”


“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ผมมีพนักงานแค่ไม่กี่คน และผมก็ปฏิบัติกับทุกคนเหมือนเป็นครอบครัวของผม” เฉินเกอพาจางจิงจิ่วกลับไปที่บ้านผีสิง เขาให้จางจิงจิ่วกลับไปสวมบทเจ้าของโรงแรมเหมือนเดิมขณะที่เขากลับไปที่ห้องพักพนักงานเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับดวงตาข้างซ้ายเพิ่ม เขาวางแผนจะลงมือคืนนี้


“โรงเรียนแห่งปรโลกจะถึงเส้นตายวันมะรืนนี้ ไม่ว่าจางหยาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ฉันก็ต้องไปทำภารกิจนี้ หรือไม่อย่างนั้นภารกิจก่อนหน้าก็จะเสียเปล่าไปหมด” เฉินเกอมองเงาของตัวเองแล้วก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หยิบปฏิทินบนโต๊ะขึ้นมา “วันนี้เป็นวันที่หนึ่งมิถุนายน กำลังจะถึงเทศกาลวันหยุดแล้ว และสวนสนุกนิวเซนจูรี่ก็กำลังจะเปิดในไม่ช้า ฉันมีเวลาเหลือไม่มากนักแล้ว


จางหยายังจำศีล และซู่อินได้รับบาดเจ็บสาหัส มันอันตรายสำหรับเขามากที่จะไปท้าทายภารกิจระดับสี่ดาว โรงเรียนแห่งปรโลก เฉินเกอเข้าใจทุกอย่าง แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือก ถ้าเขาปล่อยโรงเรียนแห่งปรโลกไป เขาก็นับว่าสูญเสียมากมาย


“ฉันควรจะไปลองดู หวังว่าฉันจะรอดชีวิตกลับมาได้” ดวงตาของเขาขยับไปทางรูปที่มุมโต๊ะ และเฉินเกอก็ส่ายหน้าเบา ๆ นี่เป็นรูปครอบครัว พ่อกับแม่ของเขายืนอยู่ตรงกลาง– แม่ของเขาดูเหมือนจะกอดอะไรสักอย่างเอาไว้ พ่อของเขาชี้ไปที่บ้านผีสิงด้านหลังพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า และเฉินเกอยืนอยู่คนเดียวที่ด้านข้าง


เฉินเกอหรี่ตา มองเห็นว่าแม่ของเขากำลังกอดลูกสาวของผู้อำนวยการลั่ว วิญญาณที่ไม่ได้ต่างไปจากวิญญาณพิทักษ์ เอาไว้


“เพราะอะไรสักอย่าง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ลูกในไส้ของพวกเขา” เฉินเกอวางรูปกลับลงไปบนโต๊ะ และเขาก็บังเอิญมองเห็นประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้ที่ด้านหลังรูป ‘หนึ่งมิถุนายน สุขสันต์วันเกิดนะไอ้ตัวยุ่ง’


“คู่สามีภรรยาที่ทำตัวเองหายตัวไป ตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นไอ้ตัวยุ่งตัวจริง?” เฉินเกอถอนหายใจและปรับอารมณ์พาตัวเองกลับไปทำงาน


ระหว่างมื้อกลางวัน เฉินเกอให้พนักงานทั้งสี่คนพักขณะที่ตัวเองอยู่รับหน้าที่แทนพวกเขา ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ทั้งสี่คนกลับมา พวกเขาซุบซิบกันเหมือนคุยอะไรกันอยู่


“พวกนายช้าไปสี่นาทีเต็ม ๆ ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว หรือไม่อย่างนั้นฉันจะหักเงินพวกนาย” เฉินเกอเตือนพวกเขาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด พอได้ยิน ทุกคนก็วิ่งกลับไปที่ตำแหน่งของตัวเอง


“ดูเหมือนว่าฉันคงต้องเข้มงวดกับพวกเขากว่านี้” เฉินเกอกลับไปที่ห้องพักพนักงานเรียบเรียงข้อมูลของตัวเอง จากนั้นเขาก็ไล่รายชื่อพนักงานทั้งหมดที่เขาสามารถพาไปด้วยได้ กองถ่ายดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นแค่ชิมลาง การทดสอบแท้จริงคือโรงเรียนแห่งปรโลก


หลังจากคิดแล้ว เฉินเกอก็วางแผนที่ดูมีเหตุมีผลมากขึ้น เมื่อเขาออกไปจากห้องพักพนักงาน พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว สวนสนุกปิดตอนหกโมงเย็น หลังจากส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายออกไปแล้ว เฉินเกอก็ปิดประตู


“ขอบคุณสำหรับวันนี้ พวกนายกลับบ้านได้แล้ว” เฉินเกอมีเรื่องต้องทำ ดังนั้นจึงเร่งให้พนักงานกลับ


“บอส คุณคิดจะออกไปข้างออกอีกแล้วใช่ไหมคืนนี้?” เสี่ยวกู่ดูเหมือนจะอ่านใจเฉินเกอได้


“ต่อให้ฉันอธิบายไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นเรื่องงาน” เฉินเกอเร่งให้พวกเขากลับ มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วนั้นไม่ได้คิดมาก ซูว่านดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา


พระอาทิตย์ตกดินสาดแสงไปยังชิงช้าสวรรค์ เสียงหัวเราะจางหายไป และเฉินเกอก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าคนเดียว เขามองสวนสนุกรอบตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับไปที่บ้านผีสิง “ได้เวลาลงมือหลังจากท้องฟ้ามืดสนิท”


กลับไปที่ห้องพักพนักงาน เฉินเกอนอนลงบนเตียง ดวงตาของเขาเอาแต่มองไปทางรูปบนโต๊ะ นี่เป็นวันเกิดแรกที่เขาไม่มีพ่อกับแม่ให้ใช้เวลาด้วย


“ฉันควรจะไปซื้อเค้กให้ตัวเองไหม? แต่เงินซื้อเค้กซื้อหุ่นได้ครึ่งตัวเลยนะ” เฉินเกอตบหน้าตัวเองเบา ๆ และบิดขี้เกียจก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปใต้เตียง “กระเป๋าฉันอยู่ไหนเนี่ย? เจ้าแมวลากมันไปไหนฮึ?”


เฉินเกอมองไปใต้เตียง ไม่มีกระเป๋า กระทั่งเสี่ยวเซียวกับเจ้าแมวขาวก็หายไปด้วย


“เจ้าแมวนี่ฉลาดขึ้นมาแล้วเดี๋ยวนี้! มันสัมผัสได้ว่าฉันกำลังจะเอามันไปด้วยดังนั้นจึงซ่อนกระเป๋าให้ห่างจากฉัน” นอกจากเฉินเกอ ก็มีแค่เจ้าแมวขาวและเสี่ยวเซียวที่เข้ามาในห้องพักพนักงาน ดังนั้นความสงสัยของเฉินเกอจึงตกไปอยู่กับเจ้าแมวทันที เฉินเกอถืออาหารแมวเอาไว้เปิดประตูแล้วหาไปทั่ว ๆ ฉากบนดินของบ้านผีสิง แต่ว่าเขาหาเจ้าแมวขาวไม่เจอ


“มันลงไปใต้ดินเหรอ? มันกล้าไปที่นั่นคนเดียวทั้งที่ขี้กลัวขนาดนั้น?” ผลักเปิดประตูเหล็กเข้าไปใต้ดิน เฉินเกอก้าวเข้าไปในอุโมงค์ที่เหมือนจะนำไปสู่ความมืด เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ที่นี่เงียบเกินไปสักหน่อยแล้ว


“เสี่ยวเซียว? เหล่าโจว?” เขาเรียกชื่อพนักงานสองสามคน แต่ว่าไม่มีการตอบรับ เฉินเกอเดินไปตามถนนมืดสลัวคนเดียว สลัว ทึบทึม กดดัน และแคบ มันเหมือนเส้นทางที่เฉินเกอเลือกให้ตัวเอง ไม่มีแสงไฟที่รอบตัว และเขาก็ก้าวยาว ๆ เข้าไปในความมืดด้วยตัวเอง


เขาเดินผ่านหน้าต่างพัง ๆ ที่ให้ความรู้สึกถึงสถานการณ์น่ากลัว ด้านหลังเขานั้นเป็นโลกแห่งความมืด และตรงหน้าเขานั้นเป็นหุบเหวแห่งความมืดมิด


เดินผ่านห้องเรียนว่างเปล่า ในที่สุดเฉินเหอก็ไปหยุดอยู่ในฉากโรงเรียนมัธยมมู่หยาง เขายืนอยู่ที่นั่นคนเดียว มองทางแยกถนน ตอนที่เขาตัดสินใจจะเลี้ยวไปทางไหน โทรศัพท์ของเขาจู่ ๆ ก็สั่น


พอดึงมันออกมา เขาก็เปิดข้อความออกอ่าน เป็นข้อความจากถงถง “บอส สุขสันต์วันเกิดครับ!”


ก่อนที่เฉินเกอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทางแยกที่เขายืนอยู่นั้นก็สว่างขึ้นจากลูกไฟผี มีเสียงตูมดังขึ้นแล้วประตูห้องน้ำที่ข้างตัวเขาก็ถูกผลักเปิดและหุ่นนักเรียนกลุ่มหนึ่งก็เบียดเสียดกันออกมาในมือถือกระดานดำแผ่นหนึ่งเอาไว้!


กระดานดำของห้องเรียนปิดตายนั้นถูกดึงออกมาจากตัวแขวนและมีรูปวาดเอาไว้บนนั้น มันเป็นรูปของหุ่นตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งเริงร่าอยู่ในนั้น พวกมันมีสีหน้าและท่าทางที่ต่างกันไป และที่ยืนอยู่ตรงกลางพวกเขานั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่งลากค้อนเหล็กเอาไว้


บางทีด้วยความสามารถด้านการวาดรูปอันจำกัด– พวกเขาจึงไม่สามารถวาดผู้ชายที่ตรงกลางออกมาได้เหมือนนัก กลับกัน พวกเขาเขียนคำเอาไว้รอบตัวเขามากมาย คำอย่างเช่น สดใส มีคุณธรรม ใจดี สุภาพ และทั้งหมดนั้นมีลูกศรชี้ไปยังชายที่อยู่ตรงกลาง หลังจากพวกเขาเห็นเฉินเกอ พวกเขาก็หันกลับพร้อม ๆ กัน อยากจะให้เขาเห็นอีกด้านของกระดานดำ


พวกเขาไม่สามารถร่วมมือกันได้ดีนัก ดังนั้นหุ่นบางตัวจึงบิดแขนและหัวร้อยแปดสิบองศา พวกเขายังอยู่ในท่าประหลาดตอนที่ให้เขาดูอีกด้านของกระดานดำที่เขียนไว้ว่า– “สุขสันต์วันเกิด!”


สองคำนี้เขียนด้วยชอล์กหลายสี นักเรียนของโรงเรียนมัธยมมู่หยางยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มประหลาด บางคนต้องการเข้ามาใกล้ ๆ กับเฉินเกอแต่ว่าคนอื่นคิดว่าผลงานของพวกเขาจะดูน่าประทับใจกว่าถ้าอยู่ห่าง ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่นิ่ง ๆ เพราะความเห็นต่างกัน ไม่ช้าหุ่นทั้งกลุ่มก็ล้มใส่กัน แต่ว่าความตั้งใจและความพยายามของพวกเขานั้นเข้าใจได้อย่างชัดเจน


เสียงกระแอมแห้ง ๆ ดังมาจากทางเดินทางซ้าย ลูกไฟผีนั้นเปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง และเหลือทางเดินด้านซ้ายเพียงทางเดียว เสียงเพลงครืดคราดดังมากจากส่วนลึกของฉาก มันยังมีเสียงหัวเราะน่ากลัวและเสียงครืดคราดดังแทรกมาด้วย หมอหลายคนจากห้องเก็บศพใต้ดินผลักรถเข็นออกมาช้า ๆ


“Happy birthday to you, happy birthday to you…”


รถเข็นนั้นเต็มไปด้วยการ์ดอวยพรวันเกิดที่ล้วนทำจากวัสดุที่แตกต่างกัน บ้างก็ทำจากบันทึกประวัติผู้ป่วย บางอันเป็นแผ่นพับโฆษณา และบางอันยังฉีกออกมาจากเสื้อผ้าและผ้าปูเตียง ถึงแม้ว่าวัสถุจากต่างกันไป แต่ลายมือส่วนใหญ่นั้นเหมือนกัน ผีปากกาน่าจะช่วยพวกเขาส่วนใหญ่เขียนความปรารถนาดีของแต่ละคนลงในนั้น


ที่ตรงกลางรถเข็นนั้นเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่สูงราวสี่ชั้นทำจากพวกของจำลองและโคลน มันดูเหมือนเค้ก


ที่ริมขอบเค้กนั้นตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่งได้อย่างโดดเด่น มีแค่เอี๋ยนต้าเหนียนผู้เปี่ยมพรสวรรค์นั่นแหละถึงจะมีความสามารถในการทำให้ไอซิ่งหน้าเค้กดูเหมือนเลือดกำลังไหลลงมาได้


“เฉินเกอ สุขสันต์วันเกิด” หมอหลายคนจอดรถเข็นที่ตรงหน้าเฉินเกอ เอี๋ยนต้าเหนียน เหล่าโจว และคนที่เหลือเดินออกมาจากด้านหลังรถเข็น ไป๋ชิวหลินมีเครื่องเล่นเทปอยู่บนฝ่ามือ และเทปเปื้อนเลือดที่ด้านในนั้นก็กำลังเล่นเพลงที่สดใสร่าเริงอยู่เบา ๆ


“พวกคุณ…” เฉินเกอมอง ‘คน’ ทั้งหมดที่ตรงหน้าเขา


“ชู่ ไม่ต้องพูด จุดเทียนแล้วอธิษฐานซะ” เว่ยจิวฉินโบกมือไปด้านหลัง และเจ้าแมวขาวที่ตัวใหญ่กว่าแมวธรรมดามากก็เดินออกมาจากห้องเรียน คาบกระเป๋าสะพายหลังเอาไว้ในปาก มันคืนกระเป๋าให้เฉินเกอ เปิดกระเป๋าแล้วเขาก็เห็นเสี่ยวเซียวกำลังกอดเทียนหลายเล่มที่ห่ออยู่ในกระดาษเอาไว้


“งั้นเธอก็มาอยู่ตรงนี้นั่นเอง” เฉินเกอหยิบเสี่ยวเซียวขึ้นมาวางเธอเอาไว้บนไหล่ของเขา เขาถือเทียนทำมือหลายเล่มเอาไว้แล้วพูด “ใครบอกพวกคุณว่านี่เป็นวันเกิดผม?”


“เป็นผู้ชายคนนั้นที่เธอพามาเจอพวกเราเมื่อเช้านี้ พวกเขาบอกว่านี่เป็นพนักงานหญิงคนนั้นบอกพวกเขามา”


“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอพยักหน้า เขาพลิก ‘เทียน’ ที่ในมือตัวเอง “ต้องจุดมันเหรอ?”


“แน่นอนสิ มันเป็นพิธีกรรม เธอจุดเทียนจำนวนเท่าอายุของเธอ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เธออธิษฐานจะไม่เป็นจริง” ผู้อาวุโสเว่ยพูดอย่างจริงจัง เฉินเกอพยักหน้า เขาดึงไฟแช็กออกมาจากกระเป๋า จุดเทียนทีละเล่มแล้ววางพวกมันลงบนเค้ก แสงอบอุ่นขับไล่ความหนาวเย็น พวกผีนั้นกลัวแสงและไฟเป็นที่สุด แต่ว่าไม่มีใครในพวกเขาหนีหน้าออกไป


“บอส ได้เวลาอธิษฐานแล้ว!”


“อธิษฐานเลย! อธิษฐาน!”


“เธอคิดว่าบอสจะอธิษฐานว่าอะไร?”


“ชู่ ถ้าเขาบอกพวกเรา คำอธิษฐานก็จะไม่มีทางเป็นจริง”


เขากวาดตามองใบหน้าของพนักงานของเขา และเฉินเกอก็ขยี้ตา เขาอธิษฐานเงียบ ๆ จากนั้นก็เป่าเทียนทั้งหมด ฉากใต้ดินกลับไปมืดมิดลงอีกครั้ง แต่ว่าความเงียบนั้นแตกกระจายไปแล้ว พนักงานทั้งหมดมารวมตัวกัน บางคนร้องเพลง บางคนหัวเราะ เหมือนครอบครัวจริง ๆ


“ขอบคุณนะครับ” เฉินเกอยืนอยู่ในความมืด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์เป็น ๆ เพียงคนเดียวในบ้านผีสิง เขาก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเลย จิตใจดีและงดงามนั้นไม่ได้ถูกรูปลักษณ์น่ากลัวภายนอกทำลายไป


เขาเห็นความจริงใจของ ‘คน’ เหล่านี้ สิ่งที่คนเป็นในทุกวันนี้ไม่ให้ค่ามันนัก ความภาคภูมิใจที่ทำให้พวกเขาหยัดยืนตรง และความใจดีที่สลักอยู่ในจิตวิญญาณของพวกเขา


“นี่เป็นความโชคดีของผมที่ได้พบพวกคุณทุกคน”


งานเลี้ยงดำเนินต่อไปในยามค่ำคืน จนเที่ยงคืนเฉินเกอถึงนึกได้ว่าเขามีเรื่องสำคัญต้องทำ เขาคว้ากระเป๋าสะพายหลังและยัดเจ้าแมวขาวเข้าไปในกระเป๋าก่อนที่มันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “มา ราตรีนี้เพิ่งเริ่มต้น ขั้นต่อไป พวกเราจะไปข้างนอกกัน!”



เดินออกมาจากฉากใต้ดิน เฉินเกอแบกกระเป๋าหนักอึ้งกลับไปที่ห้องพักพนักงาน


ตอนที่เขาเปิดประตู เขาก็อึ้งไปครู่หนึ่ง


มีเค้กจริง ๆ วางเอาไว้บนโต๊ะของเขา ข้าง ๆ กันนั้นเป็นการ์ดและลูกกุญแจดอกหนึ่ง


เฉินเกอเดินเข้าไปหยิบการ์ด มันเขียนไว้ด้วยลายมืองดงามของซูว่าน “บอส ฉันไม่คิดว่าฉันจำเป็นต้องมีกุญแจสำรองเพราะฉันเชื่อว่าคุณจะอยู่ใกล้ ๆ เสมอ ฉันจะคืนกุญแจนี่ให้คุณ และสุดท้าย สุขสันต์วันเกิด! ฉันขอให้คุณใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข!” 

 

 


ตอนที่ 710

 

วางการ์ดลงแล้วเฉินเกอก็หยิบลูกกุญแจจากบนโต๊ะขึ้นมามองเงียบ ๆ หลังจากพ่อกับแม่ของเขาหายตัวไป ผู้เข้าชมที่บ้านผีสิงก็ลดลงอย่างมากเรื่อย ๆ ทำให้บ้านผีสิงต้องเผชิญกับการเกือบจะต้องปิดตัวลง ในช่วงเวลาเลวร้ายที่สุด ซูว่านเลือกที่จะอยู่ต่อ เธอเป็นพนักงานที่ได้รับคัดเลือกจากพ่อกับแม่ของเฉินเกอเพียงคนเดียวที่เลือกจะอยู่ต่อจนถึงที่สุด


“เป็นไปได้ไหมว่าเด็กคนนั้นสัมผัสได้ถึงบางอย่าง?” เฉินเกอเก็บลูกกุญแจไปและเปิดกล่องเค้ก เทียบกับกล่องแล้ว เค้กที่ด้านในนั้นเรียกได้ว่าเป็นหายนะ ที่ตรงกลางนั้นยุบ และยังมีจุดดำ ๆ จากการอบนานเกินไป ทั้งก้อนดูโงนเงนเหมือนแค่แตะก็จะถล่มลงมา


แต่ก็ยังมองเห็นความตั้งใจของผู้อบได้ เธอใช้ครีมปาดไปทั่วหน้าเค้กพยายามปกปิดตำหนิที่เกิดขึ้น และในระหว่างนั้นเค้กคงจะแบะออก ดังนั้นครีมจึงเป็นทั้งการตกแต่งและเป็นกาวยึดทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน มันซึมลึกเข้าไปในเนื้อเค้ก แค่มองดูเค้กนี่ ภาพซูว่านอบมันก็ปรากฏขึ้นในใจเฉินเกอ


“ไม่แปลกใจเลยที่เธอเป็นพนักงานของฉัน กระทั่งอบเค้กก้อนหนึ่งก็ยังมอบความรู้สึกพรั่นพรึงได้” หยิบมีดที่อยู่ในกล่องขึ้นมา เฉินเกอตัดชิ้นเล็ก ๆ ออกมาใส่ปาก “หืม เนื้อเค้กยังสยดสยองยิ่งกว่า ด้านนอกแข็งกระด้างเกินไป และที่ด้านในยังไม่สุก เหนียวติดฟัน และยังมันเลี่ยนมาก อย่างที่คิดเลย นี่น่าจะเป็นเพราะว่าอบที่อุณหภูมิต่ำนานเกินไป ไม่อย่างนั้นด้านนอกก็คงไม่ไหม้และด้านในก็คงสุกดี เดี๋ยวก่อนนะ เธอใช้แป้งขนมปัง? เธอไม่รู้หรือไงว่าอบเค้กก็ต้องใช้แป้งเค้ก?”


ถึงแม้ว่าเฉินเกอจะวิจารณ์มันยับ เขาก็ยังกินเค้กเกือบครึ่งก้อนเข้าไปอย่างรวดเร็ว เห็นเฉินเกอมีความสุขมากเจ้าแมวขาวก็สงสัย แต่พอมันชะโงกเข้าไปหาเค้ก มันก็ถูกดันกลับเข้าไปในกระเป๋า “ครีมไม่ดีต่อตัวแก เมื่อถึงวันเกิดของแก ฉันจะทำเค้กอาหารแมวให้แทน”


เฉินเกอไม่สนใจการดิ้นรนประท้วงของเจ้าแมว เฉินเกอเช็ดปาก หิ้วกระเป๋าออกไปจากห้องพักพนักงาน งานเลี้ยงวันเกิดใช้เวลาไปพักหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้กินเวลาแผนการคืนนี้ของเฉินเกอนัก เขาค้นหาทุกอย่างที่ทำได้เกี่ยวกับดวงตาข้างซ้ายแล้ว และเขาก็วางแผนจะไปดูสักหน่อยในคืนนี้


ออกจากสวนสนุกนิวเซนจูรี่แล้วเฉินเกอก็รออยู่ที่ริมถนนอยู่เป็นนานแต่ว่าไม่มีแท็กซี่ผ่านมาเลยสักคัน คนขับแท็กซี่ในจิ่วเจียงดูเหมือนจะเห็นพ้องต้องกัน– อย่าไปที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่หลังเที่ยงคืน และอย่ารับผู้โดยสารจากที่นั่น


“โชคไม่ดี รถเมล์ของฉันตอนนี้ติดอยู่หลังประตูในเมืองหลี่ว่าน”


หลังจากเดินไปอีกสองถนน ในที่สุดเฉินเกอก็ได้เจอแท็กซี่คันหนึ่ง หลังจากขึ้นรถ เขาก็บอกที่อยู่ “คุณครับ ผมต้องการไปที่บ้านพักตากอากาศเขาหยงหลิงครับ”


“เขาหยงหลิง?” คนขับงุนงงไปครู่หนึ่ง “มีบ้านพักตากอากาศที่นั่นด้วย?”


“ทำไมคุณไม่เปิด GPS ดูล่ะครับ?” เฉินเกอนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน– นั่นเป็นสิ่งที่ในอินเตอร์เนตบอกมา


“ชื่อเต็มของที่นั่นล่ะ?” คนขับรถพิมพ์คำว่าเขาหยงหลิง แต่ว่า GPS นั้นไม่แสดงสถานที่ที่เรียกว่าเป็นบ้านพักตากอากาศเขาหยงหลิง


“ชื่อเต็ม…” เฉินเกอหรี่ตา เขามองสองสามชื่อที่ปรากฏขึ้นบน GPS– สถานีเติมน้ำมันเขาหยงหลิง ตลาดดอกไม้เขาหยงหลิง ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง “อย่างนั้นพวกเราไปฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง”


“หือ? คุณเลือกปลายทางง่าย ๆ อย่างนี้เลย?” คนขับรถมองเฉินเกอผ่านกระจกมองหลัง เขารู้สึกเหมือนคุ้น ๆ หน้าเฉินเกอ และเรื่องผีที่เล่ากันอยู่ในกลุ่มเพื่อนฝูงของเขาก็ผ่านเข้ามาในใจ ติดเครื่องยนต์แล้วพวกเขาก็ออกรถไป ประมาณครึ่งชั่วโมง แสงไฟในเมืองก็เริ่มห่างหายไป มีเงาใหญ่โตอยู่ที่ปลายถนน และนั่นก็น่าจะเป็นภูเขาหยงหลิงจิ่วเจียงตะวันตก


ตามที่ GPS บอก แท็กซี่น่าจะไปถึงที่หมายในไม่ช้าแล้ว คนขับกำพวงมาลัยรถไว้แน่น เขาเปิดปากจะพูดคุยกับเฉินเกออยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขาก็ยอมแพ้ในนาทีสุดท้าย เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไม– บางทีผู้ชายที่เบาะหลังนี่อาจจะดูเข้าถึงยากเกินไป


หลังจากแท็กซี่ขึ้นเขามา แสงไฟรอบ ๆ พวกเขาก็หายไปหมด ผู้คนน้อยนักที่จะมาที่นี่ตอนกลางคืน ดังนั้นที่นี่จึงดูเวิ้งว้างว่างเปล่า หลังจากขับต่อไปอีกประมาณห้านาที GPS บนโทรศัพท์ของคนขับก็บอกว่า “พวกเรามาถึงปลายทางแล้ว”


รถจอดอยู่บนถนน และรอบด้านพวกเขาก็มีแค่ความมืด บางครั้งยังมองเห็นเงาพร่ามัวของกิ่งก้านต้นไม้แกว่งไกวอยู่ในความมืดและเสียงใบไม้ขยับไปตามสายลม มือของคนขับที่กำพวงมาลัยรถอยู่นั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ และใบหน้าของเขาก็ซีด ‘การเดินทาง’ ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกของเขาเลยสักนิด


“พวกเรามาถึงแล้ว GPS บอกว่าที่นี่คือฮอลิเดย์วิลล่าภูเขาหยงหลิง” คนขับหันหน้ากลับไปมองเฉินเกออย่างกระอักกระอ่วน เปลือกตาของเขากระตุกไม่หยุด เขากลัวว่าคนน่าสงสัยที่เบาะหลังนี่จะจู่ ๆ ก็ดึงอาวุธออกมายึดรถของเขาไป


“นี่คือฮอลิเดย์วิลล่า? ไม่มีตึกอะไรเลย นี่มันที่ร้างชัด ๆ” ด้วยดวงตาหยินหยางของเขา เฉินเกอสามารถมองเห็นในความมืดได้ เขาพบว่าพวกเขาถูกป่าล้อมเอาไว้ “คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้โกหกผม? คุณขับรถพาผมมาที่ไหนก็ไม่รู้ตอนกลางดึก?”


“ทำไมคุณถึงมาสงสัยผมได้เล่า? คุณครับ ผมก็ตาม GPS มาเนี่ยแหละ!” คนขับรถเปิดไฟทุกดวงขึ้น แต่แสงไฟก็ยังไม่สามารถขับไล่ความหวาดกลัวในใจของเขาได้


“งั้นก็ได้” เฉินเกอจ่ายค่าโดยสาร คว้ากระเป๋าแล้วลงจากรถ เขาเปิดไฟฉายที่บนโทรศัพท์ เขาเดินไปตามถนนและเห็นทางเล็ก ๆ ที่มีพุ่มไม้โตล้ำเข้ามาบังมุ่งหน้าตัดผ่านป่านี้ไป “ฉันต้องเข้าไปลึกอีกงั้นเหรอ? ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงอยู่ข้างในนั่น? ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนว่าที่นี่ร้างมานานแล้วล่ะ?”


เฉินเกอหันกลับไปหวังจะถามคนขับรถเรื่องนี้ แต่ตอนที่หันกลับไปนั้นเขาก็เห็นคนขับรถเลี้ยวรถแล้วเร่งความเร็วลงเขาไปเท้าเหยียบนิ่งอยู่บนคันเร่ง


“ที่นี่น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”


ในเมื่อพึ่งพาคนอื่นไม่ได้ เฉินเกอก็ต้องเชื่อในตัวเอง เขายกโทรศัพท์ขึ้นแล้วเดินไปตามทาง เขาเดินอยู่สองสามนาทีก่อนที่ตรงหน้าจู่ ๆ จะเปิดกว้างออก เฉินเกอมองเห็นกำแพงเตี้ย ๆ แถวหนึ่งและสิ่งก่อสร้างที่มีสถาปัตยกรรมแปลกตาสองสามหลัง


“ฮอลิเดย์วิลล่า? ใครจะมาที่นี่เพื่อใช้เวลาวันหยุดกัน? ที่นี่ดูเหมือนบ้านผีสิงของฉันมากกว่าอะไรทั้งนั้น” วันหยุดนั้นมีไว้เพื่อผ่อนคลาย ไม่ใช่เพื่อให้หัวใจวาย ยิ่งเฉินเกอเดินเข้าไปหาที่นั่น เขาก็ยิ่งงุนงง


“ตำแหน่งถูกบันทึกเอาไว้ใน GPS แต่มันเหมือนว่าที่นี่จะถูกคนหลงลืมไปนานแล้ว ฉันอยากรู้ว่ามันยังเปิดบริการอยู่หรือเปล่า” ถนนเต็มไปด้วยหลุมและรอยแตก ต้นไม้ที่ด้านข้างนั้นรกและระเกะระกะ พวกมันต้องการการดูแลให้ดีกว่านี้มาก ๆ


กำแพงนั้นก็มีเถาวัลย์ไต่ และยังบังตัวอักษรที่บนกำแพงไปหมด เฉินเกอหาดูอยู่นานกว่าจะเจอทางเข้าวิลล่าที่อยู่ห่างไปประมาณสิบเมตร บนประตูเหล็กสนิมกรังนั้นมีป้ายเขียนเอาไว้ว่าห้ามเข้า และที่ข้าง ๆ กันนั้นเป็นตู้จดหมายทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม


“ทุกวันนี้ยังมีคนใช้ตู้จดหมายอยู่อีกหรือ?” ป้ายไม้และตู้จดหมายนั้นเป็นงานทำมือทั้งคู่ ชิ้นงานนั้นหยาบและยังไม่เข้ากันกับรูปแบบของที่นี่เลยสักนิด


“ตัวอักษรที่บนป้ายนั้นอ่านง่ายและลวดที่มัดมันเอาไว้บนประตูนั้นยังไม่มีสนิมขึ้น ดังนั้นนี่จะเป็นของใหม่” เฉินเกอพยายามดึงประตูเหล็กเปิด บานพับลั่นเสียงดังและเมื่อเขาผลักแรงขึ้น ประตูเหล็กก็เปิดออกตามแรงของเขา 

 

 


ตอนที่ 711

 

TL note: ท้ายตอนที่แล้วแปลผิด ประตูไม่ได้ล้ม แต่เปิด เปิดออก ต้องขออภัยผู้อ่านด้วย (แก้ไขในตอนก่อนหน้าแล้วจะมาลบโน้ตนี้ในภายหลัง)


 


“มันไม่ได้ล็อก?” เฉินเกอผลักเปิดประตูเหล็กให้กว้างขึ้น ตรงหน้าเขาคือตึกสองชั้นที่มีสถาปัตยกรรมอันประหลาด มันยากที่จะจินตนาการว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่กลางป่า “กล่องจดหมายอันใหม่ถูกติดไว้ที่บนประตู และด้านหลังประตูเป็นถังสีแดงเต็มไปด้วยน้ำดื่ม และยังมีผ้าที่ซักตากเอาไว้ อย่างนั้นก็ต้องมีคนอาศัยอยู่ที่นี่”


เพราะกลัวว่าจะทำให้ ‘ชาวบ้าน’ ที่นี่ตกใจกลัว เขาจึงรออยู่สิบวินาที และเมื่อเฉินเกอกำลังจะยอมแพ้ ประตูตึกใกล้ ๆ กันก็ถูกผลักเปิด ไม่มีใครพูดอะไร และหลังจากสื่อสารกันด้วยความเงียบ เสียงแหบแห้งก็ดังมาจากด้านหลังประตู “คุณมาหาใคร?”


จากน้ำเสียงเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกอายุคนพูด เฉินเกอมองตึกนั้นจากไกล ๆ และไม่คิดจะเข้าไปใกล้ตึกนั้นอย่างวู่วาม เมื่อชาวบ้านธรรมดาเห็นคนแปลกหน้าอยู่ในอาณาเขตบ้านของตนในตอนกลางดึก ปฏิกริยาแรกของพวกเขาน่าจะเป็นการเปิดไฟและไม่เปิดประตู แต่ว่า เจ้าของเสียงกลับมีการกระทำที่ไม่ปกติ หลังจากลังเลอยู่สิบวินาที เขาก็ผลักประตูเปิดกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย


“ผมขอโทษด้วยนะครับ แต่ว่าที่นี่คือฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงหรือเปล่า?” เฉินเกอสุภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ไม่ว่าเขาจะเจอเข้ากับอะไร เขาเชื่อว่าความสุภาพสามารถเปิดประตูหลายบานได้


“มีอะไรให้ผมช่วย?” คนผู้นั้นไม่ได้ตอบคำถามเฉินเกอตรง ๆ แต่จากน้ำเสียงของเขา เขายืนยันคำตอบแล้ว


“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ เพื่อนของผมบอกว่าเขาพักอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงและบอกให้ผมมาหาเขาคืนนี้ แต่ว่า GPS ของผมหาตำแหน่งจากชื่อนั้นไม่ได้ ดังนั้นผมจึงมาถามทาง” เฉินเกอไม่ได้โกหก เขามาหาเพื่อนจริง ๆ แต่เมื่อคนที่อยู่หลังประตูได้ยินคำตอบของเฉินเกอ ก็มีเสียงกลืนน้ำลายดังมาให้ได้ยิน “เพื่อนของคุณกำลังพักอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง?”


เสียงของชายคนนั้นแปลกไป เหมือนลำคอของเขาแห้งผาก และเขาก็พึมพำออกมาได้ไม่ชัดเจนนัก


“ใช่ครับ คุณรู้ไหมว่าฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงอยู่ที่ไหน?” เฉินเกอก้าวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว ให้ความสนใจในชายที่หลังประตู


“รู้สิ เพราะว่าคุณอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงแล้ว” ตอนที่ผู้ชายคนนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าเฉินเกอใกล้เข้าไป เขาก็ปิดประตูลงอีกครั้ง “ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงนั้นสร้างขึ้นบนหมู่บ้านที่อยู่บนเขาหยงหลิง ตอนนั้น เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่นี่ และชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ย้ายออกไป หลังจากนั้น เพราะเหตุผลบางอย่าง ฝ่ายการจัดการก็ถูกบีบให้ต้องทิ้งฮอลิเดย์วิลล่าไปด้วยเหมือนกัน และผมก็เป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ดูแลที่นี่”


ผู้ชายคนนั้นหยุดก่อนที่จะพูดต่อผ่านประตู “ผมเป็นผู้อาศัยคนเดียวที่นี่ คุณคงจะถูกเพื่อนหลอกเอาแล้ว เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”


“ไม่น่าเป็นอย่างนั้นนะครับ” เฉินเกอพูดต่ออย่างเรียบ ๆ “นานมาแล้ว มีกองถ่ายมาถ่ายหนังที่นี่ และเขาก็เป็นหนึ่งในคนของกองถ่าย เขาเชิญผมมาที่นี่คืนนี้เพราะว่าเขาบอกว่าเขาเจอบางอย่างที่สำคัญ”


“หยุดพูด มันดึกแล้ว ระวังคำพูดของคุณด้วย” ผู้ชายคนนั้นตัดบทเฉินเกออย่างรวดเร็ว เขาไม่ต้องการให้เฉินเกอพูดต่อ


ปฏิกริยาประหลาดนี้เป็นสิ่งที่เฉินเกอกำลังรออยู่ แทนที่จะหยุด เขาพึมพำกับตัวเองต่อ “ผมเกรงว่ามันจะเป็นเพราะกองถ่ายของเขาที่ที่นี่เปลี่ยนไปเป็นฮอลิเดย์วิลล่า ผมได้ยินมาว่าเกิดเรื่องแปลก ๆ หลายอย่างขึ้นตอนที่พวกเขาถ่ายหนัง หนังนั่น ผมคิดว่า มันน่าจะชื่อ… ดวงตาข้างซ้าย?”


“หยุดพูด!” ผู้ชายคนนั้นผลักประตูเปิดออกและเขาก็ดูค่อนข้างวิตกกังวล ตอนนี้เมื่อประตูเปิดออกกว้าง เฉินเกอถึงได้เห็นผู้พูดชัดเจนขึ้น ผู้ชายตรงหน้าเขาอายุราวสี่สิบปี รูปร่างเตี้ยและยังหลังค่อมอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขาซีดขาว และที่น่าสงสัยที่สุดก็คือดวงตาของเขาทั้งคู่ปิดอยู่– เขาเป็นชายตาบอดคนหนึ่ง เฉินเกอโบกมือเบา ๆ ตรงหน้าชายคนนั้น และฝ่ายหลังก็ไม่มีปฏิกริยาอะไรเลย “ผมต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ผมไม่ได้คิดจะล่วงเกินอะไร ผมแค่พูดตามที่เพื่อนของผมเคยบอกผม”


“เพื่อนของคุณบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในกองถ่าย? เขาหน้าตายังไง?” ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะใจเย็นลงแล้ว


“เขาหน้าตายังไง?” เฉินเกองุนงง ชายตาบอดคนหนึ่งถามหน้าตาของคนอื่น นั่นฟังดูไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ หลังจากตรองอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเกอก็บอกรูปร่างหน้าตาของหลี่ซางอิ๋นออกไป


ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้วก่อนที่จะรอให้เฉินเกอเข้าไปในตึก “อย่ามัวยืนอยู่ตรงนั้น เข้ามา”


ในตึกนั้นมืด สวิตช์ไฟที่ผนังถูกเอาออกไป และเหลือเพียงแค่แป้นของมันเท่านั้น ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับความมืดไปแล้ว เขาก้าวยาว ๆ เข้าไปในห้องนั่งเล่นและนั่งลงบนโซฟา เขาไม่ได้กระแทกถูกอะไรเลยในระหว่างทาง เจอเข้ากับชายตาบอดที่ดูประหลาดตอนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้อย่างนี้ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่กล้าตามเข้าไป แต่ว่าเฉินเกอนั้นเป็นข้อยกเว้น


“ผมไม่รู้ว่าเพื่อนของคุณบอกอะไรคุณ แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจ– คุณถูกหลอก” ผู้ชายคนนั้นยื่นมือออกมาคลำหาแก้วพลาสติกที่บนโต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วยกขึ้นจิบ


“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะเชื่อคุณไม่เชื่อเพื่อนผม?” เฉินเกอสังเกตเห็นว่ามือของชายคนนี้สั่นนิด ๆ ตอนที่เขาหยิบแก้วขึ้นมา


“กองถ่ายดวงตาข้างซ้ายจะไม่กลับมา ที่นี่น่ะเป็นต้นกำเนิดของฝันร้ายของพวกเขา หลังจากหนีเอาชีวิตรอดไปได้หวุดหวิด พวกเขาจะกลับมากันทำไม?” เสียงของผู้ชายคนนั้นกลับมาเป็นปกติและสงบลงแล้ว


“พี่ชาย เหมือนว่าคุณจะรู้รายละเอียดภายในบางอย่าง” เฉินเกอนั่งอยู่ตรงข้ามชายคนนั้น ในห้องมีแสงสว่างเล็กน้อย แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เกิดเป็นแสงสลัวส่องมาที่โต๊ะกาแฟ


“ผมเป็นแค่ยามคนหนึ่ง ผมเองก็ไม่มีเงื่อนงำเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับกองถ่าย แต่ว่าผมรู้ว่าบ้านเลขที่ 744 เขาหยงหลิงนั้นถูกทำลายไม่เหลือซากเพราะว่าเคยถูกใช้เป็นฉากถ่ายหนังของพวกเขา” ผู้ชายคนนั้นมีดวงตาปิดสนิท แต่ว่าใบหน้าของเขาหันมาหาเฉินเกอ “หลังจากที่ที่นี่กลายมาเป็นฮอลิเดย์วิลล่า เจ้าของก็สร้างโรงละครส่วนตัวทับที่ตรงนั้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเลขที่ 744…”


ตอนที่ผู้ชายคนนั้นพูดถึงโรงละคร โทรศัพท์เครื่องดำในกระเป๋าของเฉินเกอจู่ ๆ ก็สั่น เฉินเกอสงสัย ทำไมถึงมีข้อความเข้าโทรศัพท์เครื่องดำในเวลาอย่างนี้กัน?


เขาดึงโทรศัพท์ออกมาแตะเปิดข้อความใหม่


“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ค้นพบภารกิจระดับสองดาว– เรื่องราวของดวงตาข้างซ้าย!


“ภารกิจนี้ประกอบด้วยสามส่วน กรุณาไปให้ถึงโรงละครคนตายในอีกครึ่งชั่วโมงนี้และสนุกไปกับหนังยาวเต็มเรื่อง!


“หลังจากภารกิจส่วนนี้สำเร็จแล้ว จึงจะมอบภารกิจส่วนถัดไปให้!”


อ่านข้อความบนจอแล้ว เฉินเกอก็หรี่ตา “มีความผิดพลาดอะไรใช่ไหมเนี่ย? ทำไมถึงไม่ใช่โรงละครส่วนตัวล่ะ?”


“เฮ้ คุณกำลังฟังผมอยู่หรือเปล่า?” ผู้ชายคนนั้นเรียกเฉินเกอ


“ขอโทษทีครับ ผมแค่อึ้งไป พูดต่อเลยครับ” เฉินเกอเหลือบมองเวลาและเก็บโทรศัพท์ลงไป


“สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นค่อนข้างน่ากลัว จะตอนเช้าหรือตอนเย็น เมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าไปข้างใน โรงละครก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างประหลาด แขกหลายคนก็บอกว่าตอนที่พวกเขากำลังดูหนังอยู่ พวกเขาเห็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับหนังอยู่ในหนังด้วย” 

 

 


ตอนที่ 712

 

“คุณหมายความถึงอะไรน่ะ?” เฉินเกอกำลังจะต้องไปที่โรงละครส่วนตัวนั่นแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ให้มากเท่าที่จะรู้ได้


“ผู้ที่มาพักหลายคนเลือกที่จะใช้โรงละครตอนกลางคืน และพวกเขาทั้งหมดก็เจอเข้ากับฉากพิเศษนี้ในหนัง เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง เธออายุราวยี่สิบปีมีผมยาวสีดำและใบหน้าพร่ามัว


“เดิมที แขกก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่านั่นเป็นเงาของพนักงานหรือมีบางอย่างผิดไปกับตัวม้วนเทป จนกระทั่งครอบครัวสี่คนครอบครัวหนึ่งมาพักที่นี่ ตอนที่ลูกสาวคนเล็กของพวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในโรงละคร เธอก็เริ่มร้องโวยวายเสียงดัง เมื่อไม่มีทางเลือก คนภรรยาก็อุ้มลูกสาวออกไป เหลือไว้แค่สามีกับลูกชาย


“วันนั้นพวกเขาดูหนังอะนิเมชั่น แต่หนังเล่นไปได้ครึ่งทาง เด็กชายจู่ ๆ ก็หันไปถามพ่อของเขา ‘ทำไมถึงมีพี่สาวคนนั้นยืนอยู่ตรงมุมบันไดล่ะ?’


“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้คิดมาก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เด้กชายก็ถามอีก ‘ทำไมพี่สาวคนนั้นถึงเอาแต่มองพวกเรา?’


“คำถามไม่จบไม่สิ้นจากเด็กทำให้ผู้ชายคนนั้นรำคาญ แต่ในเมื่อพวกเขาอยู่ในที่สาธารณะ เขาก็กดความโมโหเอาไว้แล้วเตือนให้ลูกชายเขาอยู่เงียบ ๆ


“ลูกชายถูกเข้าใจผิด แต่เขาก็เงียบลงหลังจากนั้น แต่ว่าไม่นาน ประมาณยี่สิบนาทีให้หลัง เด็กชายจู่ ๆ ก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเหตุผล นี่ทำให้ผู้ชายคนนั้นประหลาดใจมาก เขาพยายามปลอบลูกชายของเขา แต่ว่าเด็กชายเอาไว้ซุกหน้าตัวเองลงที่อกเขา และไม่ยอมหยุดร้องไห้


“พ่อของเด็กชายเริ่มสังเกตว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาพบว่าลูกชายของเขากลัวที่จะเงยหน้าขึ้นมาเหมือนมีบางอย่างน่ากลัวมากอยู่บนจอ


“เขาจำเอาไว้ แล้วหลังจากหนังจบลง เขาก็อุ้มลูกชายกลับไปหาภรรยาและจากนั้นก็กลับไปที่โรงละครเพื่อค้นหาความจริง…”


เรื่องราวพาเฉินเกอด่ำดิ่งลงไป แต่จู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หยุดพูด “คนพ่อเจออะไรเหรอครับ?”


“พ่อของเด็กชายหายตัวไป กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเขาเข้าไปในโรงละครคนเดียว แต่เขาไม่เคยกลับออกมา”


“คนทั้งคนจะหายไปอย่างนั้นได้อย่างไร? คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม?” เฉินเกอลุกขึ้นยืน “โรงละครนั่นอยู่ที่ไหน? ผมอยากจะไปดูด้วยตาตัวเอง”


ได้ยินอย่างนั้น ริมฝีปากผู้ชายคนนั้นก็สั่น เขาตั้งใจจะหลอกให้เฉินเกอกลับออกไป แต่ผู้ชายตรงหน้าเขากลับสนใจมากขึ้นไปอีกหลังจากได้ฟังเรื่องผี


“ไม่ ไม่มีทาง!”


“ถ้าคุณไม่ยอมนำทาง อย่างนั้นผมก็จะไปเอง อย่างไรเสีย ที่นี่ก็ใหญ่แค่นี้” เฉินเกอคว้ากระเป๋าสะพายหลังของตัวเอง เขามองชายตรงหน้า ไม่ว่าวิลล่าจะถูกทิ้งร้างหรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่คิดว่าฝ่ายการจัดการจะทิ้งชายตาบอดเอาไว้เป็นยาม


“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ นะ ทำไมคุณถึงดึงดันที่จะไปที่นั่นให้ได้? คุณพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอว่ามาหาเพื่อนที่นี่?” ผู้ชายคนนั้นเริ่มกระวนกระวายและพยายามจะห้ามเฉินเกอ


“ใช่ ผมมาที่นี่เพื่อหาเพื่อน ก่อนที่เขาจะหายตัวไป ข้อความสุดท้ายที่เขาส่งให้ผมบอกว่า– ฉันอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง” เฉินเกอพูดอย่างจริงใจและมั่นใจแบบที่ไม่มีใครบอกได้เลยว่าเขากำลังโกหก


“เพื่อนของคุณหายตัวไปที่นี่?” ผู้ชายคนนั้นเงียบไป มือของเขากุมกันแน่น และเขาก็ตัดสินใจได้หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ ผมจะพาคุณไปที่นั่น แต่ถ้าเพื่อนของคุณไม่อยู่ที่นั่น พวกเราก็จะกลับออกมาทันที”


“ขอบคุณครับ” เฉินเกอตรงเข้าไปช่วยพยุงชายคนนั้น แต่เมื่อเขาแตะลงที่ผิวของชายคนนั้น ชายคนนั้นก็ผลักเขาออกอย่างแรง เขาเหมือนนกขี้ตกใจ เฉินเกอไม่คิดว่าจะเจอปฏิกริยารุนแรงเช่นนี้ “ผมขอโทษครับ ผมแค่อยากช่วยพยุงคุณเท่านั้น”


“ไม่เป็นไร ผมเดินเองได้” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนในความมืด ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะปิดอยู่ มันก็เหมือนกับเขาสามารถมองเห็นรอบด้านได้ชัดเจนดี เขาเดินในห้องอย่างชำนาญ คว้าไม้เท้านำทางที่ข้างประตูแล้วเดินออกไป เฉินเกอตามหลังเขาไป ทั้งสองคนเดินผ่านตึกประหลาดหลายหลัง


“คนที่ออกแบบที่นี่น่าจะไม่ได้คิดถึงการใช้พื้นที่อย่างเหมาะสมใช่ไหม?”


“คุณจะไปรู้อะไร? มันเป็นศิลปะ”


“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ คุณอยากอธิบายให้ผมฟังไหม?”


ผู้ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุย เขารีบเดิน เขาคุ้นเคยกับบริเวณนี้และเดินเร็วกว่าที่เฉินเกอคิดเอาไว้ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ทั้งสองคนก็มาหยุดอยู่หน้าตึกสองชั้นที่ถูกปิดผนึกเอาไว้


“ที่นี่คือโรงละครส่วนตัว ทางเข้าถูกปิด และผมก็ไม่มีกุญแจ แต่ว่ามีหน้าต่างเล็ก ๆ ที่บนชั้นสอง คุณมองเข้าไปข้างในได้


“ได้ ขอบคุณครับ ผมจะไปดูรอบ ๆ ก่อน” เฉินเกอเดินไปที่ประตู หันกลับมาและเห็นผู้ชายคนนั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น “คุณมีอะไรต้องไปทำหรือเปล่า? คุณอยากให้ผมเดินไปส่งคุณกลับก่อนไหม?”


“ไม่เป็นไร” ผู้ชายคนนั้นมีความรู้สึกว่าบางอย่างเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น เขายืนอยู่ที่เดิมอยู่นานก่อนจะหันกลับ แต่ว่า ก่อนที่เขาจะเดินออกไปก้าวแรก ก็มีเสียงกระแทกดังมาจากด้านหลังเขา


ปัง!


ความเงียบยามค่ำคืนแตกกระจาย เสียงกระแทกที่แทบจะทำให้แก้วหูเขาฉีกดังขึ้น เขาสะดุ้งอย่างตกใจ ไม้เท้าหลุดออกจากมือเขา


“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” มือของเขาคลำหาไปในความมืดอย่างมืดบอด เขากำลังตื่นตระหนก ตอนนั้นเอง มืออบอุ่นข้างหนึ่งก็เอื้อมมาจับเขาให้อยู่นิ่ง ๆ แล้วพยุงเขาขึ้น


“มีคนอื่นอยู่ที่นี่!” เฉินเกอช่วยพยุงเขาลุกและน้ำเสียงของเขาก็ช้าและปลอบประโลม


“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทาง!” ผู้ชายคนนั้นโซเซถอยไป เขาร้อนรน ร่างกายของเขาสั่น ไม้เท้าถูกเตะไปไกล ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีม่วง


“คุณจะรู้ได้ยังไงในเมื่อคุณมองอะไรไม่เห็นเลย?” เมฆดำลอยมาบังดวงจันทร์ เฉินเกอพยุงชายคนนี้เอาไว้ด้วยมือหนึ่ง และอีกมือถือค้อนหน้าตาน่ากลัวเอาไว้ เขายืนอยู่ข้างชายคนนั้นแล้วจ้องมองดวงตาที่ปิดสนิท ถ้ามีคนมาเห็นเข้า พวกเขาก็คงคิดว่านี่เป็นฉากสยองขวัญ


“ถ้ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แย่แล้ว! นี่เที่ยงคืนแล้ว ซึ่งหมายความว่ามันอาจจะกลับมา!” ผู้ชายคนนั้นดูรีบร้อนขึ้นมาทันที จากน้ำเสียงและสีหน้าของเขา เฉินเกอเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก


“อย่าตื่นตระหนก ใจเย็น” เฉินเกอมองโทรศัพท์ ภารกิจทดลองนั้นให้เวลาเขาเตรียมตัวแค่ครึ่งชั่วโมง ถ้าเขาปล่อยให้ชายคนนี้เดินกลับไปเอง อย่างนั้นก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ “พวกเราสองคนทางที่ดีก็อยู่ที่นี่ก่อน เผื่อเอาไว้”


เฉินเกอหยิบไม้เท้าแล้วส่งคืนให้ พยุงเขาเอาไว้ ทั้งสองคนเข้าไปในโรงละครส่วนตัว ดูจากสภาพย่ำแย่ภายนอกแล้วก็ไม่คิดว่าด้านในจะสะอาดอย่างน่าประหลาดใจเหมือนยังได้รับการทำความสะอาดทุกวัน


เฉินเกอตรวจดูอุปกรณ์ฉายหนังที่บนโต๊ะ แทบจะไม่มีฝุ่นเลย รักษาความสะอาดได้ในระดับนี้ ย่อมไม่ใช่ฝีมือของคนตาบอดคนหนึ่ง


มองดวงตาของชายคนนี้ที่ยังไม่ลืมขึ้นเลยตั้งแต่ที่พวกเขาพบกัน เฉินเกอก็กำค้อนแน่น


“ตอนนี้พวกเราก็อยู่ในโรงละครแล้ว คุณรู้วิธีเปิดเครื่องนี่ไหม?” 

 

 


ตอนที่ 713

 

“ทำไมคุณถึงถามอย่างนั้น?” ผู้ชายคนนั้นถือไม้เท้าเอาไว้และอยากจะรักษาระยะห่างจากเฉินเกออยู่บ้าง แต่ว่าเขาอ่อนแรงเกินไปและไม่สามารถดิ้นหนีได้


“เพื่อนของผมหายตัวไปในโรงละครนี่ ดังนั้นผมจึงอยากจะย้อนรอยเท้าเขาและดูว่าจะเจอเงื่อนงำอะไรไหม” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ขณะยืนอยู่ในความมืดและกวาดตามองไปทั่วโรงละคร ที่นั่งหลายแถวนั้นสูงไม่เท่ากัน มองไปแล้วก็เหมือนเงามากมายกำลังยืนหรือไม่ก็นั่งอยู่


“คุณบ้าไปแล้วเหรอ? คุณมาที่นี่ตอนตีสองและต้องการให้ผมเปิดหนังให้คุณดู?” ถึงจะไม่มีข่าวลือน่ากลัวพวกนั้น ผู้ชายคนนี้ก็ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนธรรมดาคนไหนทำตัวเหมือนเฉินเกอ มาที่โรงละครร้างในตอนกลางดึกเพื่อดูหนัง


“ผมไม่ได้บ้าและรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไรอยู่” เฉินเกอส่องไฟฉายบนโทรศัพท์ไปที่อุปกรณ์ต่าง ๆ “ถ้าคุณไม่สะดวก ทำไมคุณไม่สอนผมล่ะว่าต้องทำยังไงแล้วให้ผมทำเอง?”


เฉินเกอนั้นเป็นคนที่ขยันเรียนรู้ เขาจะไม่ยอมเสียโอกาสที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลให้เขาครอบครอง ‘ทักษะ’ หลายอย่าง


“คุณจำเป็นต้องไตร่ตรองสิ่งที่คุณจะทำให้มาก ๆ สิ่งที่ผมบอกคุณก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่นิทาน– มันคือความจริง” เปลือกตาของเขาสั่น– ผู้ชายคนนี้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เขาวางไม้เท้าลงที่ด้านข้างแล้วเริ่มยื่นมือออกไปคลำที่บนโต๊ะอย่างมืดบอด จากนั้นเขาก็ขยับช้ามาก ๆ และไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร เฉินเกอยืนมองเขาอยู่ข้าง ๆ และยิ่งเขามองชายคนนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง


มือของเขานั้นคล่องแคล่วเกินไป ดวงตาของเขาปิดอยู่ แต่เขารู้ว่าอุปกรณ์และปุ่มต่าง ๆ อยู่ตรงไหน และสถานการณ์เช่นนี้อธิบายได้เพียงแค่สองแบบ


หนึ่งคือก่อนที่เขาจะตาบอด หรือกระทั่งหลังจากเขาตาบอด เขามาที่โรงละครนี้เป็นประจำ กระทำสิ่งเดียวกันซ้ำ ๆ และเมื่อเวลาผ่านไป การกระทำนี้ก็กลายไปเป็นความทรงจำของกล้ามเนื้อ และเขาก็สามารถเปิดใช้เครื่องมือพวกนี้ได้อย่างราบรื่นแม้ว่าดวงตาจะปิด


ความเป็นไปได้ที่สองก็คือเขาไม่เคยตาบอดเลยตั้งแต่ต้น


หลังจากเขาต่อวงจรทั้งหมด เขาก็คลำหาแหล่งกำเนิดพลังสำหรับเครื่องเล่น เขาพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็เปิดไม่ได้ “สวิตช์เปิดไฟหลักอยู่ที่ชั้นสอง คุณช่วยไปเปิดให้ผมได้ไหม?”


“ชั้นสอง?” เฉินเกอยกค้อนขึ้นแล้วเดินออกไปจากโรงละคร เขาเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง แต่ว่า เขาไม่ได้เข้าไป แต่ยืนอยู่ที่บนบันไดมองไปที่ทางเข้าโรงละคร


ประมาณห้าวินาทีให้หลัง ใบหน้าของชายคนนั้นก็โผล่ออกมาจากในโรงละคร เขาหยุดฟังเสียง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีเสียงอะไรแปลก ๆ อะไร จู่ ๆ เขาก็วิ่งเข้าไปในความมืด เสียงฝีเท้าสองเสียงก้องอยู่ในความมืด ก่อนที่ชายคนนั้นจะหนีพ้น ก็มีคนกดไหล่ของเขาเอาไว้


“คุณจะทิ้งผมไว้ที่นี่คนเดียวได้ยังไง?” เสียงของเฉินเกอดังเข้าไปในหูชายคนนั้นและฝ่ายหลังก็สะดุ้งด้วยความตกใจเหมือนถูกสายฟ้าฟาด “ผมหาสวิตช์ไฟหลักไม่เจอ ไปด้วยกันนะครับ”


เฉินเกอช่วยพยุงชายคนนั้นขึ้นไปที่ชั้นสองแล้วเปิดสวิตช์


เกิดเสียงระเบิดตามมา ไฟทั้งหมดในโรงละครกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง


“ผมแค่อยากดูหนังที่นี่แล้วตามหาเพื่อนที่หายตัวไป แค่นั้นเอง ถ้าคุณยังจะขัดขวางผม ผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อว่าคุณมีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเพื่อนผม”


หลังจากเปิดไฟแล้ว เครื่องฉายหนังก็เริ่มทำงานเอง ผู้ชายคนนั้นเปิดช่องใส่ม้วนเทป หลังจากทุกอย่างถูกใส่เข้าที่แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นพูด “คุณสามารถเลือกหนังที่จะดูได้ด้วยตัวเอง แต่ว่าผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้าย– อย่าเลือกหนังสยองขวัญ ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น”


ดูหนังในโรงละครนั้นเป็นภารกิจส่วนแรกของดวงตาข้างซ้าย ตอนนี้ตีสองแล้ว ถ้าเขาไม่ทำภารกิจนี้ให้เสร็จโดยเร็ว เขาอาจจะไม่สามารถทำภารกิจสำเร็จได้ในคืนนี้ เพราะมีความคิดนี้อยู่ในใจ เฉินเกอจึงกวาดตามองรายชื่อหนังทั้งหมด และเขาก็ตั้งใจจะเลือกหนังที่สั้นที่สุด


โทรศัพท์เครื่องดำแค่ต้องการให้นั่งดูหนังที่นี่ และมันไม่ได้ระบุชนิดของหนังเอาไว้เป็นพิเศษ


เฉินเกอนั้นไม่ได้คิดจะเพิ่มความยากให้กับภารกิจ เขามองหาหนังศิลปะแนวอบอุ่น หรืออะนิเมชั่น แต่เมื่อเขาคลิกไปบนรายชื่อหนัง เขาก็พบว่าไม่มีเรื่องไหนที่เล่นได้เลย มันบอกว่าหนังแต่ละเรื่องนั้นไม่มีอยู่ และต้องการดูให้ดาวน์โหลดใหม่อีกครั้ง หลังจากค้นอยู่พักหนึ่ง เฉินเกอก็พบว่ามีแค่หนังสยองขวัญเท่านั้นที่เล่นได้


เชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับสิ่งที่ชายคนนั้นพูดก่อนหน้า เฉินเกอก็เริ่มสงสัย มีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หรือว่ามีบางอย่างทำลายไฟล์หนังอื่น ๆ ไป?


เมื่อตรวจดูรายชื่อหนังแล้ว เขาก็พบเรื่องประหลาดอีกจุดหนึ่ง เฉินเกอเปิดบ้านผีสิง เขามักจะดูหนังสยองขวัญมองหาแรงบันดาลใจ แต่เขากลับไม่รู้จักหนังในรายชื่อสักเรื่องเลย


หนังสยองขวัญเหล่านี้นั้นต่างไปจากที่อยู่บนท้องตลาด ทั้งผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างของหนังพวกนี้นั้นมีชื่อเหมือนกัน


เฉินเกอคลิกหนังเรื่องหนึ่งแล้วจำชื่อผู้กำกับเอาไว้


ฉางกู? นั่นเป็นชื่อจริงหรือชื่อในวงการกันนะ?


“คุณเลือกหนังได้หรือยัง?” มือของผู้ชายคนนั้นยังสั่นอยู่ตลอด สภาพรอบด้านไม่ได้เปลี่ยน แต่เขากลับดูไม่สบายใจมากขึ้น เหมือนยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเข้าแล้วจะมีบางอย่างตามเขากลับบ้าน


“อืม ผมจะเลือกหนังที่สั้นที่สุด” หนังสยองขวัญส่วนใหญ่นั้นยาวประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แต่เฉินเกอเจอเรื่องหนึ่งที่ยาวแค่ยี่สิบห้านาที ชื่อของหนังเรื่องนั้นก็คือ ‘เพื่อนร่วมโต๊ะ’


ยังมีเวลาอีกห้านาทีกว่าภารกิจจะจบลง หนังเริ่มฉาย และแสงไฟในโรงละครก็สลัวลงขณะภาพพร่ามัวปรากฏขึ้นบนจอ


“ยังไงผมก็มองอะไรไม่เห็นอยู่ดี ดังนั้นเลยคิดจะกลับไปก่อน ที่เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของผม หลังจากคุณดูจบก็โทรหาผม แล้วผมจะกลับมาเก็บกวาดที่นี่” ชายคนนั้นพ่นตัวเลขชุดหนึ่งออกมา หลังจากเฉินเกอบันทึกเลขพวกนั้นแล้วเขาก็กดโทรออก เสียงสั่นดังมาจากในกระเป๋าของชายคนนั้น เขาไม่ได้โกหก


ด้วยประสบการณ์การรับมือกับผู้เข้าชมที่หวาดกลัว เฉินเกอนั้นแน่ใจว่าความกลัวของชายคนนั้นไม่ได้เสแสร้งขึ้นมา หลังจากรู้อย่างนั้นแล้วเขาก็ยิ่งไม่ยินดีจะปล่อยผู้ชายคนนี้กลับออกไป เขาต้องรู้เรื่องภายในบางอย่าง แต่เขาไม่ยอมบอกเรื่องพวกนั้นกับเฉินเกอ


“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนออกไปหรอก พวกเราสองคนควรจะอยู่ด้วยกันไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ช่วยดูแลกันและกันได้” เฉินเกอรั้งชายคนนั้นเอาไว้แล้วกดเขาลงกับที่นั่งอย่างหนักแน่น เมื่อคิดถึงความปลอดภัย เฉินเกอก็เลือกที่นั่งที่ใกล้กับทางออกที่สุด


“ขอบคุณนะครับ แต่…”


“ชู่ หนังเริ่มฉายแล้ว”


ดูหนังสยองขวัญในโรงละครนั้นเป็นประสบการณ์ที่ต่างไปจากดูที่บ้าน ความรู้สึกของการถูกความมืดห้อมล้อมเอาไว้และอยู่ที่นั่นด้วยตนนั้นไม่สามารถลอกแบบไปไว้ที่บ้านได้


หัวใจเต้นอยู่ข้างหู และจากนั้นก็เสียงหายใจหนัก ๆ ดวงตาดวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนจอช้า ๆ และจากม่านตาสีดำ นั้นมองเห็นเงาของผู้หญิงคนหนึ่ง กล้องถอยออกช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เบนไปทางโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่ง นาฬิกาปลุกที่บนนั้นบอกเวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง ที่นอกหน้าต่าง เมฆดำและลอยต่ำ


พายุกำลังจะมา


หนังเล่าเรื่องจากมุมมองบุรุษที่หนึ่ง และผู้ชมก็มองเห็นสิ่งที่ตัวละครหลักเห็น


“ชิวเหมย!”


มีคนเรียกชื่อนี้ซ้ำ ๆ อยู่ที่ชั้นล่าง กล้องขยับอีกครั้ง ตัวละครหลักลุกจากเตียงและเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดหน้าต่างแล้วดูเหมือนจะชะโงกหน้าออกไป บนจอแสดงสิ่งที่อยู่ด้านล่าง


เด็กหญิงในเสื้อแจ็กเกตสีแดงคนหนึ่งกำลังโบกมือให้ตัวละครหลัก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม