My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 701-707

ตอนที่ 701

 

 


หลี่ซางอิ๋นนั้นเป็น ‘นักแสดงที่เป็นที่นิยมที่สุด’ ของสถาบันฝันร้าย รอบตัวเขามีบรรยากาศของความบ้าคลั่งที่ไม่จำเป็นต้องปลอมแปลงขึ้น เขาเพียงแค่ปล่อยให้ตัวเองเหมือนบ้าคลั่งไปเพื่อให้ตัวละครนั้นมีชีวิตขึ้นมา ยืนอยู่ในเงามืดที่ทางเข้าโรงแรม เขาสวมชุดหญิงท้องที่เขาเจอในตึกหลังหนึ่งแล้วดึงเอาอุปกรณ์แต่งหน้าจากกระเป๋าคาดเอวที่สวมเอาไว้ตลอดเวลาออกมา เพียงแค่ปาดพู่กันไม่กี่ครั้งเขาก็ดูต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง


ด้วยรูปลักษณ์นุ่มนวลโดยธรรมชาติและมีเครื่องสำอางช่วย ถึงเขาจะยังผมสั้น หลี่ซางอิ๋นก็ดูคล้ายผู้หญิงแล้ว


ไม่มีวิกผม ฉันคงต้องใช้หมวกแทน


เขาวิ่งเข้าไปในตึกข้าง ๆ หาผ้าปูเตียงผืนหนึ่งมาแล้วม้วนมันเป็นก้อนกลมและยัดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของเขา ไม่สนใจว่าผ้าปูเตียงนั่นจะสกปรกแค่ไหน


ตอนที่เขาเตรียมตัวเสร็จแล้ว หลี่ซางอิ๋นก็กลับไปยังทางเข้าโรงแรม เขามองจางจิงจิ่วที่อยู่ด้านในโรงแรมด้วยหางตา หลังจากปรับอารมณ์แล้ว เขาก็ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งพร้อมน้ำตา “คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันทำของหาย”


เสียงของเขานั้นต่างไปจากก่อนหน้า ฟังคล้ายเสียงผู้หญิงมากขึ้น จางจิงจิ่วที่ยังเรียนการแสดงอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เขาก็รีบวางโทรศัพท์ลง


ผู้เข้าชมคนหนึ่งเหรอ? เขาคิดว่าในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ลงมือแล้ว เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปยังทางเข้า


เห็นจางจิงจิ่วติดกับ หลี่ซางอิ๋นก็ถอยกลับเข้าไปในตรอกระหว่างโรงแรมและตึกข้าง ๆ ทันที เขายืนลึกอยู่ในตรอกดังนั้นคนด้านนอกจึงมองเห็นแค่เงาของเขาเท่านั้น


“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” จางจิงจิ่วเห็นคนแอบอยู่ในตรอก เขาคิดว่าเป็นเพราะคนผู้นั้นก็คล้ายหวังตั้นที่ทำเหมือนทุกอย่างที่ตนเห็นที่บ้านผีสิงนั้นเป็นผี


“ฉันทำบางอย่างที่สำคัญมากหาย คุณช่วยฉันหาหน่อยได้ไหม?” มันก็ยังเป็นเสียงน่าสงสารของผู้หญิงที่พูดออกมา แต่ว่าสีหน้าของหลี่ซางอิ๋นในตอนนั้นกลับดูชั่วร้ายมาก หลังจากเขาเลิกเสแสร้ง นี่ก็คือสีหน้าจริง ๆ ของเขา


“แน่นอนครับ” ถึงแม้ว่าจางจิงจิ่วจะสงสัย เขาก็ยังคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะว่านี่ยังอยู่ในพื้นที่ของพวกเขา เขาเข้าไปในตรอกและสังเกตเห็นท้องที่นูนขึ้นมาของหลี่ซางอิ๋นเมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น


คนท้อง?


หน้าหนึ่งของคู่มือพนักงานวาบผ่านเข้ามาในใจของจางจิงจิ่ว เพราะคำนึงถึงความปลอดภัย คนท้องนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ้านผีสิง


ถ้าไม่ใช่ผู้เข้าชม ก็คงเป็นพนักงานเก่าที่นี่…


จางจิงจิ่วชะลอฝีเท้าลง เขารู้ดีว่า ‘สิ่งนั้น’ ที่รับบทบาทนักแสดงในบ้านผีสิงอันที่จริงคืออะไร


เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นเดินช้าลง ดวงตาของหลี่ซางอิ๋นก็หรี่ลง และเขาก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น พวกเขาทั้งคู่ต่างสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผี และทั้งคู่ก็เริ่มแสดงท่าทางประหลาดเพราะเรื่องนั้น


“ฉันปวดท้องมาก คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันทำของหายแถว ๆ นี้” หลี่ซางอิ๋นยังใช้เสียงปลอมพูดต่อ


“คุณทำอะไรหายเหรอครับ?” จางจิงจิ่วนั้นเกือบจะแน่ใจแล้วว่าเขากำลังรับมือกับพนักงานเก่า ดังนั้นความคิดที่ผู้เข้าชมแกล้งปลอมตัวมาหลอกเขานั้นจึงไม่เคยผ่านเข้ามาในใจเลย ถึงแม้ว่าเขาจะกลัว แต่เมื่อคิดถึงว่าเขายังต้องทำงานอยู่ในบ้านผีสิงอีกนาน เขาย่อมต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรุ่นพี่ของตน ดังนั้นเขาจึงกดความกลัวเอาไว้ ไม่วิ่งหนีไป


ได้ยินคำตอบของจางจิงจิ่ว สีหน้าของหลี่ซางอิ๋นก็ทะมึนมากขึ้น เวลาที่คนทั่วไปพบเจอคนท้องพูดว่าปวดท้องและเธอกำลังมองหาบางอย่างอยู่ในบ้านผีสิง ไม่ใช่ว่าปฏิกริยาแรกของพวกเขาก็คือโทรเรียกรถพยาบาลหรือว่าติดต่อเจ้านายหรือยังไง?


แต่ว่าผู้ชายคนนี้กลับคิดจริงจังเหมือนอยากจะช่วยเขาหาของที่หายไปอย่างจริงใจ


“ฉันทำบางอย่างที่สำคัญหาย เขาอยู่กับฉันมาเก้าเดือน ฉันกำลังจะได้พบเขาแล้วในไม่ช้า แต่ว่าฉันบังเอิญทำเขาหายไป” หลี่ซางอิ๋น ‘คร่ำครวญ’ หนักกว่าเดิม


ได้ยินคำบรรยายที่มากพอให้จางจิงจิ่วขนลุกเกรียว เขางึมงำอยู่ในใจ งั้น ของสำคัญที่เธอทำหายก็คือลูกเธอแล้วไม่ใช่อะไรอื่น!


จางจิงจิ่วเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและกดปุ่มบนวิทยุสื่อสารอย่างเงียบ ๆ แต่ว่าไม่มีใครตอบเลยว่าเขาควรจะทำอย่างไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่พึ่งพาตัวเองแล้ว


ถ้าเธอไม่ใช่คนบ้าที่แอบเข้ามาในบ้านผีสิง อย่างนั้นเธอก็น่าจะเป็นพนักงานเก่าที่เจอปัญหาเข้า ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นคนใหม่ที่นี่ อย่างน้อยที่สุดฉันก็ผ่านอะไร ๆ มากับบอสเฉินตั้งมาก ดังนั้นฉันจะไม่ยอมให้พนักงานเก่าดูถูกเอาได้


เมื่อคิดกลับไปถึงประสบการณ์ในเมืองหลี่ว่านของเขา จางจิงจิ่วก็ตัดสินใจได้


ไม่ว่ามันจะน่ากลัวแค่ไหน ก็คงไม่น่ากลัวไปกว่าเมืองหลี่ว่านหรอกใช่ไหม?


เพราะคิดอย่างนี้อยู่ในใจ จางจิงจิ่วจึงเดินเข้าไปหา ‘คนท้อง’ และอาสาช่วยเหลือ “ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะช่วยคุณตามหาเขา”


การที่เขาเดินเข้าไปช่วยอย่างไม่ลังเลทำให้หลี่ซางอิ๋นเริ่มตระหนก สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่คาด ผู้ชายคนนี้เป็นผีจริง ๆ ใช่ไหม?


ขณะที่จางจิงจิ่วเข้าไปใกล้เขามากขึ้น หลี่ซางอิ๋นก็รีบปรับอารมณ์ เขาพยายามที่จะพลิกสถานการณ์ให้เหนือกว่าอีกครั้งและจะได้ตักตวงข้อมูลที่มีประโยชน์จากจางจิงจิ่ว


“คุณทำหายแถว ๆ นี้ใช่ไหมครับ?” จางจิงจิ่วถาม แสงนั้นสลัว ในเมื่อเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคือผี เขาก็ไม่คิดจะเปิดไฟ แต่เขาสอดมือไว้ในกระเป๋า กำวิทยุสื่อสารเอาไว้ เพื่อให้สามารถเรียกบอสเฉินขอความช่วยเหลือได้เมื่อเกิดความจำเป็นขึ้น


“ใช่ ฉันฝันถึงเขาทุกคืน เขาบอกว่าเขาหนาวมาก เขาอยากจะขึ้นนอนบนเตียง แบ่งความอบอุ่นของผ้าห่ม…”


“เอาละ เอาละ คุณหยุดได้แล้ว” จางจิงจิ่วยักไหล่อย่างอับจน “ผมจะช่วยคุณหาเขา อย่างไรซะผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี”


คำตอบของจางจิงจิ่วทำให้หลี่ซางอิ๋นอึ้งไปอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ถูกเรื่องสยองขวัญของเขาทำให้กลัวแต่ว่าสัญญาจะช่วยเขาแก้ปัญหา ผู้ชายคนนี้ไม่ปกติจริง ๆ!


หลี่ซางอิ๋นรู้สึกเหมือนตัวเองเจอเข้ากับความลับสุดท้ายของบ้านผีสิงของเฉินเกอ ที่นี่นั้นเป็นที่นิยมขนาดนี้ก็เพราะว่าไม่มีนักแสดงของเขาคนไหนเป็นคนจริง ๆ เลยสักคน!


ขณะที่จางจิงจิ่วเข้ามาใกล้มากขึ้น ทั้งร่างของหลี่ซางอิ๋นก็เกร็งเขม็งขึ้น เขาอยากจะยืนยันให้ได้มากกว่านี้ เขาเงยหน้าที่แต่งเอาไว้ขึ้น พวกเขาสบตากัน และจางจิงจิ่วก็ตัวสั่น แต่เขาก็ยังแน่วแน่ในความคิดก่อนหน้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นพนักงานเก่าของบ้านผีสิงนี่แน่นอน


“พี่สาวไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหาย ผมก็จะช่วยคุณหา ถ้าพวกเราหาเขาไม่เจอวันนี้ พวกเราก็หาต่อพรุ่งนี้ อย่างไรพวกเราก็มีเวลาตั้งมาก” จางจิงจิ่วบังคับให้ตัวเองสงบใจลง


ได้ยินอย่างนั้น ม่านตาหลี่ซางอิ๋นก็สั่นระริก เขาหมายถึงอะไรกัน? พวกเรามีเวลาตั้งมากมาย? หลังจากคุณได้ยินคนท้องเล่าเรื่องสยองขวัญ ก็ยังตอบว่าพวกเรามีเวลามากมาย? นี่เป็นเพราะว่าฉันถูกมองออกแล้ว หรือว่าเขาคิดจะทำร้ายฉัน? นั่นไม่น่าใช่– นี่เป็นแค่การเข้าชมบ้านผีสิงเท่านั้น


ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดสั้นลง แสงไฟสลัว พวกเขาดูเหมือนจะมีจุดประสงค์ในการเข้าใกล้อีกฝ่าย ทั้งสองคนล้วนต้องการพิสูจน์บางอย่าง


“ไม่ต้องห่วง ผมมาช่วยคุณ” จางจิงจิ่วเดินเข้าไปที่ข้างตัวหลี่ซางอิ๋น เขามองใบหน้าของหลี่ซางอิ๋นเหมือนพยายามจดจำใบหน้าของคนผู้นี้เอาไว้เพื่อที่จะได้ไปร้องเรียน ‘เธอ’ กับบอสเฉินหลังเลิกงาน


หลี่ซางอิ๋นเองก็มองจางจิงจิ่วอย่างละเอียด นี่เป็นการพบเจอกับสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา และเขาก็ต้องการจดจำเอาไว้ว่าผีนั้นดูเป็นอย่างไร 

 

 


ตอนที่ 702

 

ยืนอยู่ในตรอกมืด ๆ จางจิงจิ่วและหลี่ซางอิ๋นต่างมองกันและกัน ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผีโดยตรงมาก่อน และบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นประหลาดและกระอักกระอ่วน


จางจิงจิ่วกระแอมครั้งหนึ่ง เขาเคยทำงานขายมาก่อน ดังนั้นบุคลิกภาพของเขาจึงเปิดเผยมากกว่าหลี่ซางอิ๋น เขารู้ว่าพวกเขาไม่สามารถยืนอยู่อย่างนี้กันทั้งวันได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจดำเนินบทสนทนาต่อ


“ไม่ต้องกังวลนะครับ คุณบอกผมได้ไหมว่าเขาหน้าตาแบบไหน? อย่างขนาด หรือความยาว หรือว่าเขามีลักษณะพิเศษอย่างไร?”


“อธิบายถึงเขาให้คุณฟัง? ขนาด ความยาว และลักษณะพิเศษ?” หลี่ซางอิ๋นอึ้งไปกับคำถามของจางจิงจิ่ว นี่เป็นคำถามที่คนเป็น ๆ ควรถามเหรอ?


เขาก็แค่สร้างเรื่องขึ้นมาเท่านั้นเอง เขาไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะจริงจังกับมันขนาดนั้น แต่ในเมื่อเรื่องนี้มันหมุนไปทางนั้นแล้ว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ซางอิ๋นก็พูด “ใบหน้าของเขาพร่ามัว และเขาก็เต็มไปด้วยเลือด เขาเอาแต่ร้องไห้ บอกว่าหนาวแค่ไหน”


“ได้ มันอาจจะลำบากหน่อยถ้าหน้าตาของเขาพร่ามัว” จางจิงจิ่วกุมคางและพูดออกมาอย่างจริงจัง “ถ้าเขาบอกว่าเขาหนาวมาก อย่างนั้นเขาน่าจะอยู่ในตู้เย็น แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เลือดของเขาก็น่าจะแข็งไปแล้ว ดังนั้นความเป็นไปได้จึงไม่สูงนัก ให้ผมคิดดูก่อนว่าจะมีที่ไหนที่ทำให้เขารู้สึกหนาวได้ โอ้ ใช่แล้ว! ห้องเก็บศพที่โรงพยาบาล! ลูกของคุณอาจจะแอบเข้าไปในโรงพยาบาล ผมคิดว่าคุณควรลองไปดูที่นั่น คอยฟังเสียงร้องไห้เอาไว้– ห้องที่มีเสียงร้องไห้ดังที่สุดน่าจะเป็นที่ที่ลูกของคุณแอบอยู่”


“นี่คุณจริงจังเรอะ?” หลี่ซางอิ๋นนั้นเคยมั่นใจในฝีมือแต่งหน้าและการแสดงของตัวเองมาก เขาเป็นนักแสดงที่ดีที่สุดของสถาบันฝันร้าย แต่ว่าเขาเริ่มสงสัยในตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าจางจิงจิ่ว ผู้ชายคนนี้ให้ความร่วมมือกับเรื่องเล่าของเขาอย่างสุดความสามารถแต่ว่านั่นกลับกระตุ้นความสงสัยในหัวใจของหลี่ซางอิ๋นขึ้นมาว่าเขามองทุกอย่างออกและพยายามชักนำเขาไปยังห้องเก็บศพ


จางจิงจิ่วนั้นไม่ได้คิดอะไรอย่างที่หลี่ซางอิ๋นกำลังคิดเลย เขาพยักหน้า “หากเขาไม่อยู่ที่โรงพยาบาล อย่างนั้นก็ไม่ต้องห่วง อย่างไรเสียที่นี่ก็ใหญ่แค่นี้เอง ในที่สุดแล้วผมแน่ใจว่าคุณจะได้เจอกับเขา”


หลี่ซางอิ๋นไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังถูกผีปลอบใจอยู่ได้อย่างไร– จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี? มันค่อนข้างน่ากลัวอยู่บ้าง และก็น่าตื่นเต้นมาก


“ขอบคุณ ฉันคิดว่าฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้” เสียงของหลี่ซางอิ๋นสั่น เขาซ่อนตัวเองอยู่ในเงาก้มหน้าต่ำเพื่อซ่อนลูกกระเดือก


“ไม่เป็นไรครับ อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นครอบครัวกันแล้ว” จางจิงจิ่วคิดว่าผีตนนี้ค่อนข้างสุภาพและรู้ว่านี่เป็นวิธีการแสดงความขอบคุณของเธอ ดูเหมือนว่าพนักงานคนอื่น ๆ ของบ้านผีสิงก้ไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่เขาคิดทีแรก


“พวกเราเป็นครอบครัว? คุณหมายความถึงอะไร?” หัวใจของหลี่ซางอิ๋นเต้นรัวเร็ว ผีตนนี้กำลังจะฆ่าเขาแล้วผนึกวิญญาณของเขาเอาไว้ในบ้านผีสิงเพื่อผูกมัดให้เขาอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลเหมือนกันงั้นหรือ?


“ตอนนี้ พวกเรายังไม่คุ้นเคยกันเพราะว่านี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเรา แต่หลังจากพวกเราทำงานด้วยกันนานเข้า พวกเราย่อมรู้จักกันและกันดีขึ้น” จางจิงจิ่วเค้นรอยยิ้มประหลาดขึ้นบนหน้า


“ทำงานด้วยกันนานไป?” หัวใจของหลี่ซางอิ๋นหดตัวแน่น และเขาก็กำหมัดแน่น! จุดประสงค์ที่แท้จริงเผยออกมาแล้ว! ดังนั้น ตลอดเวลามานี้ ผีตนนี้ก็เพ่งเล็งเขาเอาไว้! ผู้ชายที่มีรอยยิ้มประหลาดคนนี้นั้นมองการปลอมตัวของเขาออกและต้องการให้เขาอยู่ที่บ้านผีสิงนี่ไปตลอดกาล!


เหงื่อไหลชุ่มเครื่องสำอางที่บนหน้าผากของเขา หลี่ซางอิ๋นรู้ว่าพนักงานบ้านผีสิงธรรมดา ๆ จะไม่เข้าหาเขาและพูดเกี่ยวกับการร่วมงานกันในอนาคตของพวกเขาเมื่อพบเจอเข้ากับคนแปลกหน้าที่กำลังท้องในบ้านผีสิง


ยิ่งหลี่ซางอิ๋นคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ ที่นี่มีผีสิงจริง ๆ!


“พวกเราค่อยคุยกันตอนนั้นแล้วกัน” หลี่ซางอิ๋นรีบร้อนจะกลับออกไป


“โรงพยาบาลอยู่ทางซ้ายมือนะครับ!” จางจิงจิ่วมองหลี่ซางอิ๋นรีบร้อนจากไปแล้วก็เกาจมูก “นี่ฉันพูดอะไรล่วงเกินเธอไปหรือเปล่า? มันเหมือนว่าฉันทำอะไรสักอย่างผิดไป”


ก่อนที่หลี่ซางอิ๋นจะเดินออกไปลับตา วิทยุสื่อสารในกระเป๋าของจางจิงจิ่วก็ดังขึ้น เขารีบดึงมันออกมา


“จิงจิ่ว คุณเรียกหาผมมีอะไรหรือเปล่า?” เสียงของเฉินเกอดังออกมาจากวิทยุ


“มีพนักงานเก่าที่นี่มาหาผมและถามคำถามผม แต่ไม่ต้องห่วง พวกเรามีปฏิสัมพันธ์กันค่อนข้างดีที่เดียว”


“พนักงานเก่ามาหาคุณ?” เฉินเกองุนงง “พนักงานธรรมดาจะไม่ออกจากตึกของตัวเองนะ ถ้าไม่มีที่สิงสถิต พวกเขาจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ แล้ววิญญาณสีเลือดทั้งสองตนนั่นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และพวกเขาก็สัญญากับผมว่าจะไม่เป็นฝ่ายออกไปตามหาผู้เข้าชมด้วยตนเอง จิงจิ่ว คนผู้นั้นที่คุณเจอหน้าตาแบบไหน?”


“เป็นผู้หญิงท้องคนหนึ่ง…”


“เอาละ ผมเข้าใจแล้ว นั่นไม่ใช่พวกเรา เป็นอีกฝ่ายที่แทรกซึมเข้ามาในที่ของพวกเรา”


“พวกเราควรจะทำยังไงดีครับ?” จางจิงจิ่วตื่นตระหนก เขาไม่คิดจริง ๆ ว่าคนท้องคนนั้นจะไม่ใช่พนักงานบ้านผีสิง


“คุณก็เคยเห็นผีกับสัตว์ประหลาดที่ในจิ่วเจียงตะวันออก เมื่อโลกนี้มีแสงสว่าง ย่อมมีความมืด ถ้ามีคนอย่างผมที่ยึดมั่นในความยุติธรรม ก็ย่อมต้องมีคนที่มีความชั่วร้ายอยู่ในหัวใจ แต่ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าพวกเขากล้าสร้างปัญหาที่ในบ้านผีสิงของผม พวกเขาก็ควรจะเตรียมสนุกกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เลย”


“เข้าใจแล้วครับ” จางจิงจิ่วบรรยายหน้าตาของหญิงท้องอย่างละเอียดให้เฉินเกอฟังก่อนจะวางสาย



เฉินเกอยืนอยู่ตรงทางแยก เก็บวิทยุสื่อสารลงไป ตอนแรกที่ได้ยินจางจิงจิ่งรายงาน เขาคิดว่าเงาส่งลูกน้องออกมา แต่ยิ่งฟัง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หญิงท้องนั่นน่าจะเป็นคนเป็น ๆ ปลอมตัวมา


มีนักแสดงมืออาชีพจากบ้านผีสิงอื่นแทรกซึมเข้ามาในกลุ่ม พวกเขาตามนักไลฟ์สตรีม หวงหลาง เข้ามาและเพื่อสร้างเอฟเฟ็คท์ บางคนก็แกล้งทำตัวเป็นผี


“หวังว่าฉันจะกังวลไปเอง” บ้านผีสิงนั้นเป็นฐานทัพของเฉินเกอ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถละเลยอะไรเกินไปได้ ส่วนเรื่องความปลอดภัย เฉินเกอติดต่อถงถงและให้เขาปลุกผีทั้งหมดในฉากขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถระบุตำแหน่งผู้เข้าชมที่สงสัยได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


เสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ก้องอยู่ในเมืองเล็กนี้ เงาปีนป่ายออกจากกำแพงและมุมต่าง ๆ วิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ตื่นขึ้น และพวกเขาก็เริ่มออมาเดินไปตามถนน แค่ไม่กี่วินาที เฉินเกอก็ได้รับข้อความจากถงถงและมือกรรไกร


ถงถงเจอผู้ชายคนนั้นแล้ว แต่ว่ามือกรรไกรทำได้ดีกว่า เขาบอกเฉินเกอว่าเขากำลังตามชายคนนั้นอยู่ ผู้ชายคนนั้นน่าสงสัยมากไม่เหมือนผู้เข้าชมทั่วไป


“รอก่อน พวกเราจะลงมือพร้อมกันเมื่อฉันไปถึง” เฉินเกอมองเวลาบนโทรศัพท์ของเขา ยังพอมีเวลาก่อนที่การเข้าชมครั้งนี้จะจบลง



หลี่ซางอิ๋นโยนชุดคนท้องกับผ้าปูเตียงเข้าไปในห้องมั่ว ๆ ห้องหนึ่ง แล้วก็เบียดตัวเองไปยังทางออกในใจโดยไม่ล้างเครื่องสำอางออก เขาไม่กล้าทำเสียงอะไรมากนักเพราะไม่อยากดึงดูดสิ่งเหนือธรรมชาติ เขาโทรหาเพื่อนของเขา แต่ว่าไม่มีใครรับสายเหมือนกับเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่แยกออกมา


ตอนที่การเข้าชมกำลังจะหมดเวลาลง เมืองเล็กก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นและมืดขึ้น ถนนที่ควรจะว่างเปล่าเต็มไปด้วยเงา หมอกรอบ ๆ เมืองหนาขึ้น และก็ยังได้กลิ่นเลือดอยู่ในหมอกนั่น


“มันเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องฉันอยู่” หลี่ซางอิ๋นเกาหลังคอ เขารู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจ พอมีลมพัดเขาก็มักจะหันหลังไปมอง “มีคนอยู่ข้างหลังฉัน!”


หลังจากวิ่งไปถนนหนึ่ง หลี่ซางอิ๋นจู่ ๆ ก็เพิ่มความเร็ว เขาเปิดไฟฉายบนโทรศัพท์แล้วส่องไปด้านหลังตัวเอง ในหมอก มีชายแปลกหน้าในชุดคลุมยาวถือกรรไกรใหญ่เล่มหนึ่งไล่ตามหลังเขามา


“ฉันรู้อยู่แล้ว!” หลี่ซางอิ๋นยังค่อนข้างใจเย็น เขารู้ว่าแสงจากโทรศัพท์คงจะเผยตำแหน่งของเขาออกมา ดังนั้นเขาจึงปิดมันลงทันที “ฉันเคยมาที่ตึกนี้มาก่อน หลังจากผ่านประตูหน้าเข้าไป ก็สามารถกระโดดออกจากหน้าต่างด้านหลังได้ ฉันจะใช้โอกาสนี้สลัดตัวประหลาดนั่นทิ้ง”


นั่นเป็นความคิดที่ดี แต่เมื่อเขาเริ่มวิ่งไปข้างหน้า เขาก็ชะงัก


ที่มุมถนน มีผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมแบบหมอ มีโซ่พันตัวเอาไว้ ลากค้อนหน้าตาน่ากลัวเดินตรงเข้ามาหาเขาช้า ๆ 

 

 


ตอนที่ 703

 

ถ่ายรูป ไลฟ์สตรีมในบ้านผีสิง เฉินเกอให้อภัยได้ มันยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ อย่างไรเสีย มันก็นับเป็นวิธีหนึ่งในการโฆษณาบ้านผีสิงของเขา


แต่ว่า ปลอมตัวมาหลอกคนของเขานั้นล้ำเส้นเกินไปแล้ว


สำหรับเฉินเกอ นี่เป็นการกระทำอันมุ่งร้ายและควรได้รับการลงโทษ บ้านผีสิงนั้นเป็นทุกอย่างที่เฉินเกอมี และเมื่อจำนวนผู้เข้าชมก็เพิ่มขึ้นก็มีคนเข้ามาสร้างปัญหา ถ้าเขาเผยจุดอ่อนออกไปเพียงสักครั้งก็คงจะเท่ากับเชื้อเชิญปัญหาเข้ามามากขึ้นในอนาคต


เมืองหลี่ว่านนั้นเป็นฉากระดับ 3.5 ดาว ตั้งอยู่ระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาว เฉินเกอนั้นเพิ่งปลดล็อกฉากนี้ และเขาก็ยังไม่ได้สำรวจมันละเอียดนัก ดังนั้นความยากจึงยังไม่ได้สูงขนาดนั้น อันที่จริง ฉากเมืองหลี่ว่านยังมีขุมสมบัติลึกลับอีกมากมายรอให้เฉินเกอสำรวจ อย่างเช่นหมอกที่ดูเหมือนจะปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและยังภารกิจลับที่ติดมากับฉากอีก


เขาต้องการเวลาอีกมากเพื่อที่จะทำความเข้าใจกับฉากนี้ได้ครบถ้วน และเวลาก็เป็นสิ่งที่เฉินเกอขาดแคลนที่สุดตอนนี้


ถ้ามีเวลาว่างมากพอ ฉันต้องทำฉากนี้ให้สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ ฉันต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้าก่อน


เฉินเกอสวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกและยืนอยู่ที่ทางแยก– นั่นเป็นเส้นทางที่ผู้เข้าชมต้องใช้หากจะออกจากฉาก


เครื่องแบบหมอเปื้อนเลือดนั้นชัดเจนอยู่ในหมอก และยังเสียงครูดของโซ่ที่ลากไปบนพื้น เฉินเกอเดินออกมาจากหมอก ภายใต้หน้ากากที่ทำจากหนังมนุษย์ ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งจับจ้องหลี่ซางอิ๋นอย่างเงียบ ๆ มันไม่ใช่สายตาที่เป็นของคนเป็น– มันเต็มไปด้วยความเย็นเยียบที่บรรยายออกมาไม่ได้


หลายปีที่เขาทำงานอยู่ที่สถาบันฝันร้าย หลี่ซางอิ๋นเคยพบกับนักแสดงมืออาชีพมากมาย และเขาก็ยืนยันได้ว่าสายตาที่กำลังจับจ้องเขาอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากการแสดงอันสมจริง ดวงตาคู่นั้นเหมือนเคยพบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติและฝันร้ายมากมายมาแล้ว


เครื่องสำอางบนใบหน้าของเขานั้นเละเทะ เมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้ หลี่ซางอิ๋นก็รู้ว่าเขาจนมุมแล้ว การวิ่งเตลิดไปอย่างไร้จุดหมายนั้นมีแต่จะท้าทายผู้ชายคนนี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือยอมแพ้อย่าดิ้นรน ด้วยวิธีนั้น เขาอาจจะรอดชีวิตไปโดยที่ยังเหลือเศษเสี้ยวความภาคภูมิใจเอาไว้ได้


“คุณเป็นพนักงานบ้านผีสิงใช่ไหม?” หลี่ซางอิ๋นเค้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า “ผมยอมแพ้ คุณช่วยพาผมกลับออกไปได้ไหม?”


“คุณเป็นหนึ่งในผู้เข้าชมเหรอ?” เสียงของเฉินเกอดังมาจากใต้หน้ากาก เสียงของเขาแหบราวกับกำลังเคี้ยวบางอย่างที่แข็ง ๆ อยู่ในปาก


“ใช่ ผมลงชื่อในใบยินยอมก่อนที่จะเข้ามา ชื่อของผมคือ…”


ก่อนที่หลี่ซางอิ๋นจะทันพูดจบ เฉินเกอก็ตัดบทเขา “ผู้เข้าชมวันนี้ไม่มีคนท้อง กล้องวงจรปิดของพวกเรามองเห็นทุกอย่างชัดเจน พวกเราไม่อนุญาตให้คนท้องเข้าบ้านผีสิง ดังนั้นคุณย่อมไม่ใช่หนึ่งในผู้เข้าชมของพวกเรา” เฉินเกอพูดอย่างมั่นใจเหมือนกำลังพูดความจริง


“คนท้อง? ใครท้อง? ผมเป็นผู้เข้าชม ผมยอมแพ้แล้ว ดังนั้นช่วยนำผมออกไปเดี๋ยวนี้” หลี่ซางอิ๋นเริ่มตื่นตระหนก ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ เขาเอาแต่บอกว่าหลี่ซางอิ๋นเป็นคนท้อง และนั่นก็เป็นข้ออ้างที่จะใช้บีบให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ


“คุณไม่ใช่คนท้อง? ผมเห็นทุกอย่างชัดเจนกับตาตัวเอง คุณสวมชุดคลุมท้องและยังมีเสียงสูงกับใบหน้าสวย ๆ นั่น ไม่มีผู้เข้าชมคนไหนที่พวกเราต้อนรับให้เข้าฉากที่หน้าตาเหมือนคุณ” เฉินเกอเดินเข้าไปหาหลี่ซางอิ๋นช้า ๆ ลากค้อนไปด้วย “พูด อันที่จริงแล้วคุณเป็นใคร?”


“ผมชื่อหลี่ซางอิ๋น! ผมลงชื่อในใบยินยอม และใช่ เมื่อกี้นี้ผมแกล้งทำเป็นคนท้อง!” หลี่ซางอิ๋นสัมผัสได้ว่าเรื่องราวนั้นหลุดจากการควบคุมไปแล้ว เขารีบพูดความจริง กลัวว่าผู้ชายคนนี้จะลงมือกับเขาถ้าเขาอธิบายตัวเองช้าเกินไป


เฉินเกอหยุด และจากนั้นก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ยอมพูดความจริง ถ้าอย่างนั้น ก็มีวิธีการโน้มน้าวอันดับถัดไป”


ได้ยินคำพูดของเฉินเกอ หลี่ซางอิ๋นก็สติหลุด “แต่ว่าผมกำลังบอกความจริงกับคุณนะ! ผมเป็นผู้เข้าชม! ปล่อยผมออกไป!”


“ผมไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ถ้าคุณบอกความจริงผม ผมก็จะไม่ทำให้คุณยุ่งยากเกินไป แต่ถ้าคุณยังยืนกรานที่จะโกหกผม อย่างนั้นผมก็ต้องจัดการกับคุณเหมือนที่ผมจัดการกับพวกหัวขโมยน่าสงสารพวกนั้น” จู่ ๆ เฉินเกอก็เร่งฝีเท้า เขายกค้อนขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่หลี่ซางอิ๋น “พูด! คุณเป็นใคร!”


ค้อนที่ปกคลุมไปด้วยหนามขยายใหญ่ขึ้นในสายตาของหลี่ซางอิ๋น เขาไม่ได้อยากยืนอยู่ที่นี่ตอบคำถามเฉินเกอ แต่ว่า คำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจเขา– ทำไมค้อนเหล็กนี่ถึงเต็มไปด้วยหนามและรางเลือด?


ค้อนกระแทกเข้ากับหน้าต่างที่อยู่ข้างตัวหลี่ซางอิ๋น ปูนแตกออก หลี่ซางอิ๋นผงะถอยไป เทียบกับ ‘หมอ’ ที่ขวางทางเขาอยู่นั้น ตอนนี้เขารู้สึกว่าชายแปลกหน้าในชุดคลุมยาวด้านหลังเขานั้นน่ารักขึ้นมาทันที


สมองของหลี่ซางอินนั้นทำงานต่างไปจากคนทั่วไป กระทั่งในเวลานี้ เขาก็ยังคงมีจิตใจกระจ่าง เขาหันกลับ และก่อนที่มือกรรไกรจะจับตัวเขาทัน เขาก็กระแทกผ่านประตูข้างตัวไปแล้ว เขาตั้งใจจะหนีออกไปทางหน้าต่างด้านหลัง


เฉินเกอย่อมไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้ เขาสั่งให้เขาขวางหน้าต่างนั่นไว้แล้วและให้มือกรรไกรคุมประตูด้านหลัง เขาเรียกพนักงานที่ว่างอยู่ทั้งหมดมาแล้วก้าวเข้าไปในตึกพร้อมกัน



“พวกเขาไปไหนแล้ว? ทำไมโทรศัพท์ถึงใช้การไม่ได้?” ชายลามกที่ชอบโชว์ร่างกายตัวเองเดินออกมาจากห้องตรงมุมหนึ่ง เขาถือโทรศัพท์เอาไว้แล้วบ่นอย่างโกรธ ๆ “บ้านผีสิงนี่มันบ้าอะไรกัน? ไม่มีพนักงานสักคน ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันคาดหวังไว้ตั้งขนาดไหนก่อนจะมาที่นี่”


ผลักประตูเปิดแล้วเขาก็ก้าวเท้าลงไปที่ถนน เมืองเต็มไปด้วยหมอก


“หมอกนี่มาตั้งแต่ตอนไหน?” ผู้ชายคนนั้นเหลือบมองนาฬิหา “การเข้าชมกำลังจะจบลงในหนึ่งหรือสองนาที ฉันกำลังจะเสียค่าเข้าชมห้าสิบไปเปล่า ๆ”


เขาก้มหน้าลง เริ่มค้นหาเป้าหมาย เขาแอบเห็นเงาในหมอกวูบวาบผ่านไป แต่ว่าเขาสนใจเฉพาะที่มีรูปร่างเหมือนผู้หญิง


“ในตึกนี่มีแสงออกมา ดังนั้นน่าจะมีคนอยู่ข้างใน” ผู้ชายคนนั้นเล็งเป้าหมายได้ในไม่ช้า ตอนที่เขาเดินผ่านห้องหนึ่ง เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งในชุดคลุมท้องนั่งอยู่บนโซฟา


“ผีท้อง? นั่นจะต้องเป็นอะไรที่แปลกใหม่” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะลามก เขากระโดดเข้าไปทางหน้าต่างและเริ่มปลดกระดุมเสื้อโค้ตของเขา ดึงเสื้อโค้ตออก เขารอให้นักแสดงกรีดร้อง แต่ว่าผ่านไปหลายวินาที ห้องก็ยังคงเงียบ


“เกิดอะไรขึ้น?” เขาก้มหน้าลงไปและเห็นหลี่ซางอิ๋นในชุดคลุมท้องไถลลงไปกับโซฟาช้า ๆ เขามีน้ำลายฟูมปาก และร่างกายของเขากระตุกเรื่อย ๆ เขาดูเหมือนกำลังจะลาโลกแล้ว


“หลี่ซางอิ๋น?” ผู้ชายคนนั้นใบหน้าซีดเผือด แต่ก่อนที่เขาจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงาบิดเบี้ยวแขนขาขาดก็เริ่มปรากฏขึ้นจากตรงมุมห้อง “นี่มันอะไรกัน? นี่มันเชี่ยอะไร? หยุด! อย่าเข้ามาใกล้นะ!”


ตอนที่ทุกอย่างเงียบลงไปอีกครั้ง เฉินเกอก็หยุดบันทึกวิดีโอบนโทรศัพท์ของเขาและเดินออกมาจากห้องนอน


“พนักงานบ้านผีสิงพุ่งเข้าไปเพื่อช่วยตอนที่ไอ้คนทุเรศนี่กำลังจะจู่โจมผู้เข้าชม” หลังจากบันทึก ‘หลักฐาน’ เรียบร้อยแล้ว เฉินเกอก็เดินออกจากห้อง เขาออกจากฉากไปหารถเข็นมา


“พอมีฉากใหม่แล้วก็เหมือนว่ารถเข็นสองสามคันนี่จะไม่พอแฮะ” เฉินเกอให้ถงถงบอกให้พนักงานคนอื่น ๆ ส่งผู้เข้าชมออกมาที่ทางเข้าฉาก 

 

 


ตอนที่ 704

 

เสียงความเคลื่อนไหววุ่นวายไหลเข้าหูเขา และผิวของเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ซึ่งเขาเหมือนจะไม่ได้สัมผัสมานาน มีคนจับมือเขาเอาไว้แน่น และความรู้สึกที่เหมือนกำลังตกเหวลงไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็หายไป เปลือกตาหนักเหลือเกินนั้นขยับช้า ๆ เปิดเป็นช่องเล็ก ๆ


“หมอ! เขาไม่เป็นไรใช่ไหม? มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะเป็นลมตอนที่เข้าบ้านผีสิง แต่ว่าไม่มีใครในพวกเราหมดสติไปนานขนาดนี้มาก่อน! เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว!” เสียงคุ้นเคยดังเข้าหัวเขา มันเหมือนมีคนกำลังเรียกเขาอยู่ที่ริมขอบสรวงสวรรค์ สติของเขากลับคืนมาอย่างช้า ๆ และความทรงจำของเขาก็กลับมาสู่สมอง


ฉันกำลังเข้าชมบ้านผีสิง ใช่ ฉันจำได้แล้วตอนนี้


หวังตั้นพยายามลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือลืมตาขึ้นนิดเดียว


หยางเฉิน? ประธานองค์กรนักศึกษา? รุ่นพี่ปีสี่? ทำไมถึงมีคนเยอะขนาดนี้… หวังตั้นอยากพูด แต่ว่าริมฝีปากซีดเผือดของเขานั้นขยับไม่ไหว


“เอิ่ม… น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ ไม่ต้องห่วง จากประสบการณ์ของพวกเราแล้ว เขาน่าจะตื่นขึ้นในไม่ช้าแล้ว” หมอกระแอมแห้ง ๆ “อย่ามามุงอยู่รอบ ๆ ถอยไปหน่อย! ให้มีอากาศหมุนเวียน”


หมอและพนักงานสวนสนุกขอให้คนอื่น ๆ ถอยออกไปอย่างสุภาพ หวังตั้นมองไปทางเสียงพวกนั้น ตอนนี้เขานอนอยู่ตรงด้านหน้าบ้านผีสิง และรอบ ๆ ตัวเขานั้นก็คือผู้เข้าชมที่มามุงดูเหตุการณ์ พวกเขายังพูดคุยกันเอง บางคนยังยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูป บางคนกำลังถ่ายวิดีโอ และยังมีอีกหลายคนกำลังไลฟ์ลงออนไลน์


ฉันคิดว่าหมดสติต่อไปน่าจะดีกับตัวฉันมากกว่า หวังตั้นพยายามหันหน้าหนีไปอีกข้าง เขาไม่อยากจะขึ้นหน้าหนึ่งออนไลน์จากการหมดสติอยู่ที่บ้านผีสิง ดวงตาของเขาขยับนิด ๆ แต่ที่ปลายหางตา หวังตั้นพบว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเลย


ผู้เข้าชมสิบคนถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบที่ยกพื้นหน้าบ้านผีสิง และใบหน้าของพวกเขาล้วนคุ้นเคย พวกเขาเข้าไปที่นั่นด้วยกัน และตอนนี้ ก็มานอนอยู่เคียงข้างกัน บางทีนี่อาจจะเป็นการรวมพลังกันของคนในกลุ่ม เห็นเพื่อนร่วมทีมแล้ว หวังตั้นก็ไม่รู้สึกแย่กับตัวเองอีกต่อไป และเขาก็หลับตาลงช้า ๆ อย่างน้อยที่สุด ฉันก็ได้เป็นวีรบุรุษอยู่หลายนาที…


คลื่นความร้อนรุนแรง แต่ว่าก็ไม่พอที่จะขัดขวางความต้องการของผู้เข้าชม ฉากระดับ 3.5 ดาวเปิดสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก และผู้เข้าชมทั้งสิบคนก็หมดสติ นี่อธิบายได้แค่ว่า ยอดเยี่ยมไปเลย


“เชี่ย! ขอบคุณที่ฉันไม่บ้าทำตามแรงกระตุ้นของตัวเองแล้วพุ่งตัวเข้าไป นั่นน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตฉันแล้ว!”


“ฉากใหม่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว! ฉันได้ยินบอสเฉินบอกว่านี่เป็นแค่ขั้นเริ่มต้นสู่ฉากระดับสี่ดาว และความยากของมันก็อยู่ระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาวเองนะ!”


“ถ้าปิศาจมีชื่อแซ่ มันต้องแซ่เฉินแน่ ๆ!”


“บอสเฉิน เพื่อน! มีคุณอยู่ตรงนี้ สวนสนุกนิวเซนจูรี่ก็เรียกได้ว่าได้ฟื้นฟูสู่ยุคที่สอง คุณอยากจะพูดคุยแบ่งปันไหมว่าคุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร?”


เฉินเกอผลักรถเข็นออกมาแล้วถูกผู้เข้าชมล้อมเอาไว้ เขาไม่คิดว่าการจัดการกับผู้เข้าชมทั้งสิบคนเลยจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้


“อย่างแรกเลย ผมยินดีที่บ้านผีสิงได้รับการต้อนรับจากทุก ๆ คน บ้านผีสิงนี่เป็นทุกอย่างที่พ่อกับแม่ของผมเหลือเอาไว้ให้ผม และนี่ก็เป็นโครงการตลอดชีวิตของผม ผมพูดได้เท่านี้แหละครับ”


เฉินเกอหาลุงซูเจอในฝูงชน เขาตัดสินใจใช้โอกาสนี้เผยแพร่ชื่อเสียงของฉากระดับ 3.5 ดาวออกไป และในเวลาเดียวกัน ยังโฆษณาถึงฉากระดับสี่ดาวที่กำลังจะเปิดตัว แต่ว่า เขาก็ต้องประหลาดใจ ผลลัพธ์นั้นดีกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ผู้เข้าชมนั้นตื่นเต้นที่เขาถูกล้อมเอาไว้ได้


“บอสเฉิน! พวกเรารู้ว่าการสร้างบ้านผีสิงมันไม่ง่าย การตามหาแรงบันดาลใจ เขียนเรื่องราว ออกแบบอุปกรณ์ประกอบฉาก… คุณต้องเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยากมากมายใช่ไหม? ความเชื่อแบบไหนกันที่ทำให้คุณผ่านทั้งหมดนี้มาได้?”


เห็นประกายตาของเหล่าผู้เข้าชมแล้วเฉินเกอก็พบว่ามันยากที่จะปฏิเสธพวกเขา “ผมทุ่มเทให้กับบ้านผีสิงมาก ตั้งแต่การสร้างฉากต้อนรับผู้เข้าชม ความคาดหวังและความสนุกนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่น ๆ จะสามารถมองเห็นได้ ดังนั้น ความยากที่คุณพูดถึงนั้นก็เทียบกับอะไรไม่ได้จริง ๆ ความรู้สึกรับผิดชอบวางลงมาบนบ่าของผม และผมก็บอกตัวเองว่า ผมต้องทำบ้านผีสิงให้ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมก็จะคิดเรื่องนี้ในใจเสมอ เพราะอย่างนั้น มันจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว”


ได้ยินคำตอบของเฉินเกอ ผู้เข้าชมบางคนก็อดพยักหน้าไม่ได้ มีแค่คนที่ทุ่มเททุกอย่างลงไปในสิ่งที่ทำที่จะสามารถสร้างฉากมหัศจรรย์มากมายเช่นนี้ได้


“ทางนี้หน่อยครับ! บอสเฉิน! ผมเป็นผู้เข้าชมจากซินไห่! เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน สถาบันฝันร้ายที่มีชื่อเสียงที่สุดของซินไห่บอกว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้และพูดคุยเรื่องการเข้าชมฉากกับคุณ คุณมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไรครับ?”


“สถาบันฝันร้าย?” บอสเฉินให้สัญญาณขอทางจากคนรอบ ๆ และเขาก็ชี้ไปยังหลายคนที่นอนอยู่ “พวกเขามา แต่ว่าไม่ได้มาเพื่อพูดคุยอย่างเป็นมิตรแน่นอน ในเรื่องนั้น ผมเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน ต่อไปถ้ามีโอกาส ผมจะลองไปเยี่ยมชมสถาบันฝันร้ายด้วยตนเอง พูดคุยเรื่องพวกนั้นกับพวกเขา”


“บอสเฉิน! ผมเห็นจากบนแพลตฟอร์มหนึ่งว่าหวงหลางนั้นไลฟ์สตรีมอยู่ในบ้านผีสิง และผมก็เห็นคุณในไลฟ์ด้วย! คุณบอกพวกเราโดยละเอียดได้ไหมว่าอันที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น? ครอบครัวผมเก้าคนและแมวอีกหนึ่งอยากรู้เรื่องนี้จะตายแล้ว!”


“คุณสามารถติดตามในสตรีมของผมได้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ผมจะพูดเรื่องนั้นในอนาคต”


“บอสเฉิน ยังมีข่าวลือบนออนไลน์ว่าบ้านผีสิงของคุณมีผีสิงจริง ๆ นั่นจริงหรือเปล่าครับ?”


“แน่นอนว่าไม่จริง โลกนี้ไม่มีผีเสียหน่อย ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณสามารถบอกมาได้เลยว่าใครบอกข่าวลือนั่นกับคุณ ผมจะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง” รอยยิ้มของเฉินเกอยังคงอบอุ่นเหมือนเคย เขาปฏิบัติกับทุกคนด้วยท่าทางแบบเดียวกัน “เอาละครับ ผมยังต้องกลับไปทำงานต่อ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเจ้าของบ้านผีสิง แต่ผมก็เป็นหนึ่งในพนักงาน และนี่ก็ยังเป็นเวลาทำงานอยู่”


ด้วยข้ออ้างนั้น ในที่สุดเฉินเกอก็หลุดออกจากวงล้อมผู้เข้าชม เขาถอนหายใจโล่งอกหลังจากเข้าไปในบ้านผีสิงได้ “หลอกผู้เข้าชมสิบคนจนหมดสติ นั่นน่าจะเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนสนใจและได้รับความนิยมบ้าง หวังว่าผู้อำนวยการลั่วจะสามารถกดความเห็นด้านลบจากเรื่องคราวนี้ได้ไม่ให้มันถูกคนอื่นเอาไปใช้ผิด ๆ”


เฉินเกอนั้นเตรียมวิธีการอันเฉียบขาดในการโฆษณาบ้านผีสิงและสวนสนุกเอาไว้อย่างหนึ่ง ถ้ามันไปได้สวย มันก็จะตัดปัญหาเรื่องสวนสนุกแห่งอนาคตที่กำลังจะเปิดไปได้ แต่ว่า ถ้ามันถูกใช้ผิด ๆ ก็จะกลายเป็นปัญหาของตนเองแทน


เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉากใหม่เปิดขึ้น ก็จะเกิดความวุ่นวาย และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่เฉินเกอต้องการ เพราะอย่างนั้น เขาถึงได้นำเอาวิญญาณสีเลือดสองตนกลับมาจากเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอวิ่งเหยาะ ๆ กลับไปที่ฉาก ไปหาหญิงไร้หัวเพื่อปลอบประโลมเธอก่อนที่จะไปยังโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านหารองเท้าส้นสูงสีแดง


อันที่จริง โชคของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นก็ไม่ดีนัก แรกเลยเธอสูญเสียพลังทั้งหมดไประหว่างการต่อสู้กับหญิงหิวโหย จากนั้นเธอก็ได้รับบาดเจ็บเพราะการต่อสู้ของเงา จางหยา และคุณหมอเกา การบาดเจ็บทับซ้อนกัน ตอนนี้เธอแทบจะเหลือแต่เปลือกนอกแล้ว


“ดูเหมือนว่าคุณจะอารมณ์ดีทีเดียว” เฉินเกอนั่งลงที่หน้าห้องเก็บศพแล้วพิจารณารองเท้าส้นสูงสีแดงในมือ “คุณทำได้ดีมากเลยคราวนี้ ถ้าคุณชอบ คุณจะกลับมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้นะ บ้านผีสิงของผมเปิดรับคุณเสมอ”


พลังพิเศษของรองเท้าส้นสูงสีแดงคือคำสาป และนั่นก็คล้ายกับเงา หลังจากนำเธอกลับมาที่บ้านผีสิง เขา ร่วมกับพนักงานคนอื่น ๆ ของที่นี่ก็ทำสัญญากับเธอ หลังจากเธอช่วยพนักงานทั้งหมดกำจัดคำสาปแล้ว เฉินเกอก็จะปล่อยให้เธอจากไป


รองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อในตัวเฉินเกอ และทุกวันเธอก็พยายามหาทางเปลี่ยนคำสาปของเงา คำสาปส่วนใหญ่ในตัวจางจิงจิ่วและมือกรรไกรนั้นถูกชำระล้างไปแล้ว แต่ความยากที่แท้จริงนั้นก็คือคำสาปในร่างของซู่อิน เขาต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่เพราะเขาได้พัฒนาไปเป็นวิญญาณสีเลือด เขาก็คงจะหายตัวไปแล้วด้วยความทรมานจากคำสาป


ผลักเปิดประตูห้องเก็บศพเข้าไป เฉินเกอก็เดินไปที่เตียงผู้ป่วยที่อยู่ลึกที่สุดในห้อง บนเตียงนั้นมีตลับเทปที่ปกคลุมไปด้วยจุดสีเทาเข้มที่ดูราวกับแผลถลอก


“พักผ่อนให้ดี ทุกอย่างไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้” เฉินเกอวางรองเท้าส้นสูงข้าง ๆ ตลับเทปแล้วนั่งลงข้างเตียงอยู่สิบนาทีก่อนจะกลับออกไป 

 

 


ตอนที่ 705

 

บางทีการหมดสติของผู้เข้าชมทั้งสิบคนอาจจะน่ากลัวเกินไปสักนิด ตลอดทั้งเช้า ไม่มีใครกล้าท้าทายเมืองไร้นามอีกเลย ทุกคนยอมติดอยู่ที่ฉากระดับต่ำอย่างว่าง่าย


ผู้เข้าชมรอบ ๆ บ้านผีสิงเริ่มสงบลงเป็นลำดับ เฉินเกอรู้สึกว่าบางทีสักวันหนึ่ง ผู้เข้าชมก็จะเคยชินที่ได้เห็นคนหมดสติอยู่แถว ๆ ทางเข้าบ้านผีสิง


บ่ายสอง มีคนที่อ้างว่ามาจากสถาบันฝันร้ายมาถามหาเฉินเกอ พวกเขาลากเพื่อนร่วมงานกลับขึ้นรถไป หนึ่งในนั้นเป็นฝาแฝดคู่หนึ่งที่มาขอโทษเฉินเกอด้วยตัวเอง เฉินเกอยอมรับคำขอโทษของพวกเขาอย่างใจกว้างมากและสัญญาว่าเขาจะไปเยี่ยมถ้ามีโอกาสในอนาคต


หลังจากคนจากสถาบันฝันร้ายกลับไปแล้ว นักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงก็มา พวกเขาส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของหวังตั้น เมื่อได้ยินว่าเพื่อนของพวกเขาหมดสติไปอีกแล้ว พวกเขาก็มาดูหลังจากเลิกชั้นเรียน


“นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่– เดี๋ยวเขาก็ฟื้นแล้ว” เฉินเกอสรุปหลังจากตรวจดูร่างกายของหวังตั้น อันที่จริง หวังตั้นนั้นตื่นนานแล้ว ในฐานะผู้เข้าชมรุ่นพี่ ความสามารถของเขาในการทนรับความหวาดกลัวทางจิตใจนั้นดีกว่าผู้เข้าชมคนอื่น ๆ มา เมื่อรู้ว่าเฉินเกอให้โอกาสเขาได้รักษาหน้า ไม่ช้าหวังตั้นก็ ‘ฟื้น’ ขึ้นมา


“หวังตั้น ในที่สุดนายก็ฟื้นแล้ว!”


“นายกล้าท้าทายฉากระดับ 3.5 ดาวจริง ๆ เหรอเนี่ย? ขอชมเชยเลย!”


นักศึกษาจากวิทยาลัยเข้าไปล้อมหวังตั้น และพวกเขาก็ไม่คิดว่าการหมดสติอยู่ในบ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นเป็นอะไรที่น่าอับอาย อันที่จริง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องพลาดอะไรไปแน่ ๆ หากไม่มาหมดสติอยู่ที่นี่ เหมือนมีบางอย่างหายไปจากชีวิตมหาวิทยาลัย


“ไม่ถึงกับพ่ายแพ้ทั้งหมด” หวังตั้นเค้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าซีดเซียว เขานอนอยู่กลางฝูงชนแล้วถูกมองอย่างประหลาดใจราวกับเป็นทหารหาญ “ผมเจอกุญแจของฉากระดับ 3.5 ดาว!”


หวังตั้นขยับหันไปทางเฉินเกอ เขายกมือขึ้น “บอสเฉิน ครั้งหน้าผมจะทำสำเร็จ!”


“ฉากพวกนี้สร้างเอาไว้ให้พวกคุณทุกคนได้สัมผัสและเคลียร์ฉาก ดังนั้นผมย่อมต้องยินดีต้อนรับพวกคุณกลับมาอยู่แล้ว” เฉินเกอนั้นชอบใช้เวลากับนักศึกษาพวกนี้– นี่ทำให้เขารู้สึกอ่อนเยาว์ลง หวังตั้นและแฟนสาวของเขานั้นมีนักศึกษาคนอื่น ๆ พาไป หลังจากที่พวกเขาหายลับไปจากสายตาเฉินเกอ พวกเขาก็เข้าไปล้อมหวังตั้นอีกครั้ง


“หวังตั้น ฉากระดับสามจุดห้าดาวนี่ข้างในดูเป็นยังไง? น่ากลัวแค่ไหน?”


“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องอธิบายความน่ากลัวในเมื่อผู้เข้าชมทั้งสิบคนล้วนหมดสติจากการเข้าชม” หวังตั้นยังอ่อนแรง และขาของเขาก็เหมือนแป้งเปียก “ฉากใหม่เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ว่าพื้นที่ใหญ่อยู่นะ ฉันเชื่อว่าผู้เข้าชมเข้าพร้อมกันได้ยี่สิบคนเลย ที่นั่นเต็มไปด้วยกับดัก และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป เมืองก็เปลี่ยนตามไปด้วยตัวเอง”


“เมืองเปลี่ยนด้วยตัวเอง?” หยางเฉินหยิบสมุดจดออกมาแล้วเริ่มเขียน “ความยากเพิ่มขึ้นอีก?”


“ใช่! หมอกไหลไปตามถนน สัญญาณโทรศัพท์ถูกขัดขวาง และนักแสดงก็ปรากฏตัวออกมาเต็มถนนเลย”


“พูดอีกอย่างหนึ่ง ถ้าจะเคลียร์ฉากใหม่นี่ พวกเราต้องลงมือให้เร็วและหาคำใบ้ให้เจอมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่ความยากจะเพิ่มขึ้น” หยางเฉินจดทุกอย่างที่หวังต้้นพูดลงไปในสมุด นี่เป็นข้อมูลอันมีความที่หวังตั้นเสี่ยง ‘ชีวิต’ ได้มา


“ใช่ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผมยังได้ข้อมูลที่สำคัญมากมาระหว่างการเข้าชม” หวังตั้งคิด “เรื่องทางออก ผมเจอสามคำใบ้ พวกมันคือ ตู้เย็นที่มุมห้องครัว ห้องเก็บศพที่ท้ายโรงพยาบาล และก็ตู้ในห้อง ดังนั้น ถ้าพวกเราลองกันครั้งหน้า พวกเราก็แค่ต้องให้ความสนใจกับตู้เย็น ตู้ต่าง ๆ และห้องเก็บสพ”


“ได้ มีอย่างอื่นที่พวกเราต้องให้ความสนใจไหม?”


“มีอีกอย่างหนึ่ง ฉันไม่แน่ใจเรื่องนี้นะ แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นความจริง” หวังตั้นลังเล “เมื่อคิดถึงขนาดของฉากและความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุ บอสเฉินมีเขตปลอดภัยให้ในฉาก มันอยู่ตรงกลางเมือง เป็นโรงแรม”


“เขตปลอดภัย?”


“ใช่ เจ้าของโรงแรมเป็นชายวัยกลางคน ตอนนี้พอฉันมาคิด ๆ ดู เขาไม่ได้อยู่ต่อหน้าพนักงานคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องโกหกผม” หวังตั้นให้คำแนะนำสำคัญอีกข้อหนึ่ง


“นี่สำคัญมากเลย มันอาจจะเป็นเครื่องช่วยชีวิต” หยางเฉินจดมันลงไปแล้ววงสีแดงเอาไว้เหมือนข้อมูลสำคัญอื่น ๆ


เฉินเกอมองส่งเหล่านักศึกษาเดินออกไปก่อนที่จะหันมาหาผู้เข้าชมที่เหลือ “ผู้ชายในชุดเสื้อคลุมยาวคนนี้ละเมิดกฎหมาย ฉันควรจะรอให้ตำรวจมาพาตัวเขาไป”


ยังมีผู้เข้าชมอยู่เยอะเกินกว่าที่เขาจะเรียกตำรวจได้ เฉินเกอรอจนถึงห้าโมงเย็นตอนที่สวนสนุกกำลังจะปิดให้บริการและโทรหาหลี่ซานเป่าและบอกเขาทุกอย่าง ระหว่างนี้ ผู้เข้าชมสองสามคนก็ค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้น สภาพของจางเฟิงนั้นค่อนข้างแย่ แต่เขาก็ฟื้นขึ้นมาหลังจากที่เฉินเกอส่งเขาเข้าไปที่ห้องเก็บศพใต้ดินครู่เดียว ความรู้สึกอายตัวเองทำให้เขาปลีกตัวกลับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ


ชิโนซากิและผู้ช่วยของเขานั้นก็ทำท่าประหลาดเช่นกัน หลังจากพวกเขาฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ บ้านผีสิงเหมือนกำลังรอเฉินเกอ หกโมงสี่สิบ หลังจากส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายลับไป ตอนที่เฉินเกอเตรียมจะปิดประตู ชิโนซากิกับผู้ช่วยของเขาก็วิ่งเข้ามา


“บอสเฉิน!” ชิโนซากิโขยกเขยกเข้ามาหา ผมของเขายุ่งเหยิง และสีหน้าของเขากระวนกระวาย ดูไม่เหมือนผู้เชี่ยวชาญอะไรเลย


“มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ?” เฉินเกอนั้นค่อนข้างประทับใจในตัวชิโนซากิ


“ผมเจอต้นฉบับการ์ตูนในบ้านผีสิงของคุณ” ชิโนซากิดึงต้นฉบับออกมาจากกระเป๋า ตอนที่เขาหมดสติไป เขากำกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ในมือแน่น “ผมขอพบคนวาดได้ไหม? ผมชื่นชมเขามาก และผมก็มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเขา”


“คุณอยากพบเขา?” เฉินเกอรู้ดีเลยว่าเป็นเอี๋ยนต้าเหนียนที่วาดต้นฉบับนี่


“ใช่ครับ! ผมอยากจะร่วมมือกับเขาเผยแพร่งานของเขาไปให้ทั่วโลก อัจฉริยะอย่างนี้ไม่ควรแอบซ่อนอยู่ในบ้านผีสิง!” ชิโนซากิตื่นเต้น มันนานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้พบผลงานที่ส่งผลต่อเขาลึกซึ้งอย่างนี้ ทุก ๆ หน้านั้นเป็นศิลปะ และพวกมันก็มีอารมณ์อันไม่เหมือนใคร วาดโลกแห่งความจริงผ่านสายตาอันประหลาดและเหนือธรรมชาติ


“ตามผมมาสิ ศิลปินคนนี้เป็นคนแปลก ๆ และผมก็รับรองไม่ได้ว่าเขาอยากจะพบคุณหรือเปล่า” เฉินเกอให้ถงถงติดต่อเอี๋ยนต้าเหนียนและนำชิโนซากิและผู้ช่วยของเขากลับเข้าไปในชั้นใต้ดิน


หลังจากได้รับอนุญาตจากเอี๋ยนต้าเหนียน เขาก็ตัดสินใจจัดการประชุมเล็ก ๆ “นักวาดอยู่ในห้องนอนนี่ เขาไม่ชอบคนแปลกหน้า เพราะงั้นพวกคุณก็คุยกันผ่านม่านได้ไหม?”


ชิโนซากินั้นเป็นนักวาดการ์ตูนที่มีชื่อเสียงและรู้ทุกอย่างในวงการนี้ กระทั่งผู้ช่วยของเขาก็ยังดูเป็นมืออาชีพ พวกเขามีสตูดิโอของตัวเองและยังมีระบบการทำงานที่เพียบพร้อม


เฉินเกอเองก็คอยสังเกตอยู่ในตอนแรก แต่หลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าชิโนซากินั้นต้องการร่วมงานกับเอี๋ยนต้าเหนียนอย่างจริงใจ และเขายังปรารถนาจะช่วยเอี๋ยนต้าเหนียนเผยแพร่งานของเขาออกสู่สายตาคนทั้งโลก เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินกลับออกมา


นี่เป็นช่วงเวลาที่เอี๋ยนต้าเหนียนสามารถไขว่คว้าความฝันตลอดชีวิตของเขามาได้ ดังนั้นเฉินเกอย่อมไม่อยู่รบกวน เขายืนเฝ้าอยู่นอกห้อง ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง โทรศัพท์เครื่องดำของเฉินเกอจู่ ๆ ก็สั่น เขาเปิดมันดูอย่างสงสัยและเห็นว่ามีการอัพเดทเพิ่มขึ้นมาในแถบพนักงาน


ในส่วนของเอี๋ยนต้าเหนียน พลังพิเศษที่เดิมเป็นเครื่องหมายคำถามตอนนี้นั้นเปลี่ยนไปเป็นสีเทา มันยังใช้การไม่ได้ แต่ว่าเฉินเกอสามารถอ่านรายละเอียดได้


“ความปรารถนาเป็นจริง: พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกึ่งวิญญาณสีเลือด! ความปรารถนาในหัวใจของคุณจะผลิดอกออกผล ใช้ได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ทุกการใช้จะทำให้จำนวนหน้าในหนังสือการ์ตูนลดลงหนึ่งหน้าอย่างถาวร!


“ชีวิตของฉันคือการ์ตูน: ทุกหน้าคือความทรงจำของฉัน สัญญาที่ฉันรักษาเอาไว้ไม่ได้จะถูกฉีกขาด โยนทิ้งไปในอากาศ ให้ปลิวไปกับสายลม…” 

 

 


ตอนที่ 706

 

“ความปรารถนาในหัวใจจะสัมฤทธิ์ผล? เดี๋ยวก่อนนะ ไม่มีจำกัดเวลา และยังไม่มีบอกด้วยว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหนความปรารถนาถึงจะเป็นความจริง การใช้แต่ละครั้งจะใช้หนังสือการ์ตูนหนึ่งหน้างั้นเหรอ? พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกึ่งวิญญาณสีเลือดไม่ได้ทรงพลังเท่าที่ฉันคาดเอาไว้” เฉินเกออ่านข้อมูลพลังพิเศษของเอี๋ยนต้าเหนียนอย่างจริงจัง “ถ้าฉันมีความปรารถนาในใจ ฉันก็จะเติมเต็มมันด้วยสองมือของตัวเอง ใช้ชีวิตของคนอื่นทำความฝันของฉันเนี่ยนะ ต่อให้มันเป็นจริงขึ้นมา ความฝันนั่นก็จะเปลี่ยนไปเป็นไร้ความหมาย”


อ่านคำบรรยายบนโทรศัพท์เครื่องดำแล้วเฉินเกอก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกเบื้องหลัง ต้าเหนียนวาดโลกอันประหลาดและผิดธรรมดาด้วยปากกาของเขา แต่ในเวลาเดียวกัน โลกนั่นก็อาจจะมองได้ว่าบริสุทธิ์ที่สุด และใสสะอาดที่สุด มันถูกคนอื่นเรียกว่าเหนือธรรมชาติก็เพียงเพราะว่ามันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความจริง


เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ลงไปและไม่นานหลังจากนั้น ชิโนซากิและผู้ช่วยของเขาก็ออกมาจากห้องพร้อมกับถุงใบใหญ่ พวกเขาดูตื่นเต้น


“คุยกันเป็นอย่างไรบ้างครับ?” เฉินเกอถาม


“คนอย่างอาจารย์เอี๋ยนเนี่ยเป็นศิลปินจริง ๆ เป็นเกียรติและเป็นโชคดีของผมโดยแท้ที่มีโอกาสร่วมงานกับเขา” ชิโนซากินั้นเป็นชายผู้ภาคภูมิใจในตัวเองและมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้เขายอมรับอะไรเช่นนี้


“เอี๋ยนต้าเหนียนใช้เวลาทั้งชีวิตในการวาดและเขียนการ์ตูน เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่รู้จักเล่ห์เหลี่ยม ผมหวังว่าคุณจะร่วมมือกับเขาอย่างจริงใจและไม่ใช้กลอุบายใต้โต๊ะอะไรนะครับ” เฉินเกอยืนอยู่กลางทางเดินมืด เขายังสวมชุดคุณหมอชุ่มเลือดอยู่ และโซ่ก็ลากอยู่บนพื้นเป็นทางในความมืด


“เข้าใจแล้ว คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น” หน้าผากของชิโนซากิมีเหงื่อเย็น ๆ ผุดพราวออกมา ประสบการณ์ในบ้านผีสิงก่อนหน้านี้ของเขาย้อนกลับมา ความทรงจำนั่นคงจะหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต


“ผมดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ ผมหวังว่าพวกคุณสองคนคงจะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้ว หากเป็นไปได้ ผมอยากให้คุณพูดถึงบ้านผีสิงจิ่วเจียงตะวันตกบนการ์ตูนที่ตีพิมพ์ อย่างไรเสีย เอี๋ยนต้าเหนียนก็ยังนับเป็นพนักงานของผม” เฉินเกอพูดออกไปง่าย ๆ


“ไม่มีปัญหา พวกเราควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” ชิโนซากินนั้นคุ้นเคยกับโลกธุรกิจ แต่เขาไม่สามารถอธิบายความหวาดกลัวของเขาในตัวชายหนุ่มผู้นี้ได้ หลังจากส่งชิโนซากิและผู้ช่วยของเขากลับไป เฉินเกอก็ไปคุยกับเอี๋ยนต้าเหนียน


เอี๋ยนต้าเหนียนส่งผลงานของเขาให้สตูดิโอของชิโนซากิ และพวกเขาจะตีพิมพ์การ์ตูนสองเรื่องในไม่ช้า– ผู้เช่าปิศาจ และโรงเรียนแห่งปรโลก


ผู้เช่าปิศาจนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของเอี๋ยนต้าเหนียนเองขณะที่โรงเรียนแห่งปรโลกนั้นเป็นผลงานใหม่ใช้โรงเรียนมัธยมมู่หยางเป็นฉากหลัง ทั้งสองเรื่องจะได้ลงในเวบไซต์การ์ตูนที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกเป็นตอน ๆ ผู้เขียนนั้นใช้ชื่อเอี๋ยนต้าเหนียน และแบ่งค่าลิขสิทธิ์ระหว่างเอี๋ยนต้าเหนียนกับสตูดิโอของชิโนซากิคนละครึ่ง จากการคาดเดาของชิโนซากิแล้ว เอี๋ยนต้าเหนียนนั้นน่าจะสามารถอยู่อย่างสุขสบายได้แน่นอนในอนาคต


“เงินเป็นต้นกำเนิดของบาปมากมาย ต้าเหนียนนั้นใสซื่อเกินกว่าจะจัดการกับเงินจำนวนมากได้ เพื่อรักษาความหลงใหลในศิลปะของเขาเอาไว้ ฉันไม่ควรปล่อยให้เขาถูกเงินล่อลวงไป ฉันคิดว่าฉันคงต้องดูแลค่าลิขสิทธิ์ให้เขาไปก่อนตอนนี้”


เมื่อชื่อเสียงของเอี๋ยนต้าเหนียนโด่งดังขึ้น กึ่งวิญญาณสีเลือดตนนี้อาจจะกลายมาเป็นหนึ่งในเสาหลักของบ้านผีสิง หลังจากจัดการเรื่องเอี๋ยนต้าเหนียน เฉินเกอก็อารมณ์ดีขึ้น เขาเดินออกไปจากบ้านผีสิง ซูว่านกับเสี่ยวกู่กลับไปแล้วหลังจากทำความสะอาด แต่ว่ามือกรรไกรกับจางจิงจิ่วยังอยู่


“พวกนายสองคนทำได้ดีมากวันนี้ แต่ก็ยังพัฒนาได้อีก” เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของเขาออกมาดูโน้ตที่จดเอาไว้ “มือกรรไกร นายมีพรสวรรค์เรื่องนี้ แต่ว่านายยังไม่ได้ใช้มันออกมาอย่างเต็มศักยภาพ ตอนที่พวกเราทำให้ผู้เข้าชมจนมุมได้ก่อนหน้านี้ ทำไมเขาถึงเลือกที่จะวิ่งไปทางนายรู้ไหม? ก็เพราะว่าเขามองเห็นจุดอ่อนของนายที่เขาสามารถฉวยโอกาสได้


“จิงจิ่ว นายไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ยังมีหลายอย่างที่พนักงานบ้านผีสิงต้องเรียนรู้ นายทำความคุ้นเคยกับความมืด และนั่นก็ก้าวหน้าขึ้นมากทีเดียว ค่อย ๆ ทำและใช้เวลาไป ฉันจะไปที่โรงแรมและเล่นเป็นเจ้าของโรงแรมดูสักครั้ง บางทีปฏิสัมพันธ์ระหว่างฉันกับผู้เข้าชมอาจจะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจอะไรได้”


หลังจากคุยกับพนักงานใหม่สองคนแล้ว เฉินเกอก็แนะนำบางอย่างให้พวกเขาได้อ่านก่อนที่จะให้เลิกงานได้


“ภารกิจเมืองหลี่ว่านสำเร็จแล้ว แต่ยังมีจุดที่ไม่สมบูรณ์” เฉินเกอรอจนพระอาทิตย์ตกดินก่อนที่จะคว้ากระเป๋าสะพายหลังเรียกแท็กซี่ไปยังถ้ำมังกรขาว ตอนที่เขาไปถึงที่อุโมงค์ ท้องฟ้าก็มืดไปแล้ว


“หัวใจของเงาที่จางหยากับคุณหมอเกาแบ่งกันไปมันหายไปแล้ว แต่ว่าผีทารกยังมีชีวิตอยู่ ภารกิจระดับสี่ดาวนี่ยากกว่าภารกิจเมืองหลี่ว่านมากแน่นอน หลังจากมันคลอดออกมามันก็จะมาจัดการกับฉันแล้ว ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือหามันให้เจอก่อนที่มันจะคลอด”


ผีทารกน่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดชั้นสูง และวิญญาณสีเลือดที่น่ากลัวยิ่งกว่าจางหยา


“หากฉันไม่สามารถหยุดยั้งมันก่อนที่จะถือกำเนิดได้ อย่างนั้นฉันก็ได้แต่หวังว่าจางหยาจะมีความก้าวหน้าอะไรขึ้นมา”


ทั้งสองฝ่ายล้วนทำงานแข่งกับเวลา และความสงบในตอนนี้นั้นอันที่จริงแล้วเป็นสภาพก่อนพายุจะมา เฉินเกอหลับตาลง มือแตะที่ผนัง และมุ่งหน้าลึกเข้าไปในถ้ำ เขาเรียกชื่อตัวเองอยู่ในใจ เมื่อเขาเรียกครบสี่สิบสี่ครั้ง อากาศรอบตัวเขาก็เริ่มอึดอัด และรอบหัวใจเขาก็ราวกับจะเย็นเยือกขึ้นมา


“แกรอดชีวิตกลับมาได้?”


ได้ยินเสียงคุ้นเคย ดวงตาของเฉินเกอก็ลืมขึ้นช้า ๆ “เธอน่าจะคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงในจิ่วเจียงตะวันออกได้มากกว่าผม เงาถูกกินไปแล้ว”


เงาของแมงมุมยักษ์นั้นชะโงกอยู่เหนือตัวเฉินเกอ ที่ด้านบนอุโมงค์ แขนขาใหญ่โตคืบคลานออกมาจากความมืด และแมงมุมตัวหนึ่งก็ห้อยตัวอยู่เหนือหัวเฉินเกอ


“เงาถูกกินไปแล้ว? โดยใครกัน?” ร่างท่อนบนของแมงมุมนั้นเป็นเด็กชายคนหนึ่ง นี่เป็นลูกชายของหญิงในอุโมงค์ และเขาก็คือเจ้าของที่แท้จริงของภารกิจระดับสามดาว ที่ในอุโมงค์


“นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือพวกเราดูเหมือนจะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมา” เฉินเกอเล่าให้เขาฟังเรื่องผีทารก เขาต้องการลากวิญญาณสีเลือดตรงหน้าเขาตนนี้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ด้วย ถ้อยคำของเฉินเกอยืนยันความสงสัยของเด็กชาย ยิ่งฟัง ใบหน้าของเขาก็ยิ่งทะมึนขึ้น สังหารเฉินเกอตอนนี้นั้นไม่ได้ประโยชน์อะไร


“ฉันพาเธอกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว และฉันก็หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมมือกันอีกครั้งในอนาคต” หลังจากพูดทุกอย่างที่ต้องพูดแล้ว เฉินเกอก็ปล่อยแม่ของเด็กชายออกจากหนังสือการ์ตูนและถอยกลับไป


เดินออกจากอุโมงค์แล้วเฉินเกอก็เดินไปตามถนนถึงครึ่งชั่วโมงกว่าจะเรียกรถได้ เขาแบกกระเป๋าขึ้นรถไปยังโรงพยาบาลจิตเวชร้างที่จิ่วเจียงตะวันตก เฉินเกอกระโดดข้ามกำแพงอย่างง่ายดายเข้าไปยังหอผู้ป่วยสาม เขางัดประตูเปิดเข้าไปในทางเดินที่เต็มไปด้วยหมอนและที่นอน


“เหมินหนาน?” เปิดหนังสือการ์ตูนแล้วเฉินเกอก็เรียกเหมินหนานออกมา เงาสีแดงปรากฏที่ข้างตัวเฉินเกอ เมื่อเหมินหนานเห็นโถงทางเดินที่คุ้นเคยเขาก็รู้สึกถึงฝ้าน้ำตาร้อน ๆ บนดวงตา


“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” เฉินเกอบิดขี้เกียจ เขารู้สึกสบายอย่างประหลาดในสถานที่แปลก ๆ เช่นนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขามาที่นี่บ่อยครั้งเกินไปแล้ว


“นี่เป็นบ้านผม ไม่ใช่บ้านคุณ!” เหมินหนานบ่นเบา ๆ ในฐานะวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง เขารู้สึกว่าเขาควรจะทำตัวมีศักดิ์ศรีกว่านี้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มองเฉินเกอ เขาก็รู้สึกอยากจะอาละวาดขึ้นมา 

 

 


ตอนที่ 707

 

“ใช่ ใช่ ยังไงเธอก็เป็นวิญญาณสีเลือดน่ะนะ” เฉินเกอยักไหล่ขณะเดินเข้าไปในห้องโถง


“เฮ้! คุณกำลังวางแผนจะทำอะไรน่ะ? ผมกลับมาแล้วนะ!” เหมินหนานกระวนกระวาย เขามีความรู้สึกว่าเฉินเกอพาเขากลับบ้านอย่างมีจุดประสงค์แอบแฝง ในใจเขา เฉินเกอเป็นคนแบบนั้น


เฉินเกอยืนนิ่งอย่างประหลาดใจและพูดออกมาตามจริง “ในเมื่อฉันก็มาอยู่ที่นี่แล้ว เธอจะไม่เชิญฉันไปดูหลังประตูหน่อยเหรอ?”


“คุณ…” เหมินหนานเองก็ไม่รู้จะบอกเฉินเกออย่างไรดี ในเมื่อเขาเป็นคนเป็นคนแรกที่ขอเข้าไปด้านหลังประตู “ตอนเที่ยงคืน ประตูเปิดได้แค่หนึ่งนาทีเท่านั้น ดังนั้นคุณก็อยู่ในประตูผมได้แค่นาทีเดียว ถ้าคุณอยู่นานกว่านี้ คุณก็ต้องรอจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ถึงจะกลับออกไปได้”


“แค่นาทีเดียว?” เฉินเกอไม่ต้องการรบกวนเหมินหนานเกินไป “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ยังมีโอกาสอีกมากในอนาคต ทางที่ดีเธอไปซ่อมหน้าต่างก่อน ฉันไม่รบกวนเธอแล้ว”


“อย่างนั้นผมไปได้แล้วใช่ไหม?” เหมินหนานมองเขาอย่างระแวดระวังเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าเฉินเกอจะจู่ ๆ ใจดี


“ไปเถอะ เธอช่วยฉันมาหลายครั้ง ต่อไปถ้าเธอเจอปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้ก็มาหาฉันได้ทุกเวลา”


“นั่นไม่มีทาง ตราบใดที่ผมไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณผมก็จะไม่เจอปัญหาอะไรทั้งนั้น” เหมินหนานบ่นเบา ๆ


“นั่นอาจจะไม่จริงก็ได้ เงาที่พวกเราฆ่าไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่หุ่นชักใยของวิญญาณสีเลือดชั้นสูง ถ้าพวกเราไม่ฆ่าตัวจริงของมัน อย่างนั้นวิญญาณสีเลือดชั้นสูงนั่นก็จะมายุ่งกับพวกเราแน่นอน”


“วิญญาณสีเลือดชั้นสูง?” ใบหน้าของเหมินหนานซีดลงและดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง เขาคิดว่าเงานั่นเป็นปิศาจที่น่ากลัวที่สุดแล้ว แต่ว่ามันกลับยังมีร่างหลักอีก


“ร่างจริงของปิศาจนั่นเรียกว่าผีทารก สร้างขึ้นจากคำสาปและความอาฆาตแค้น มันผูกพยาบาทมาก ดังนั้นเธอต้องระวังตัว” จากนั้นเฉินเกอก็กลับออกไป เดินออกจากหอผู้ป่วยสามแล้วเฉินเกอก็พลิกหน้าหนังสือการ์ตูนพลางคิดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ


“ฉันเป็นคนรักษาคำพูด ฉันยังไม่ได้เริ่มทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับ จางเหวินอวี้ โอเปอเรเตอร์สายด่วนฆ่าตัวตายเลย เมื่อไหร่ที่ฉันช่วยเขาทำตามความปรารถนาก่อนตายของเหยื่อฆ่าตัวตายสำเร็จ เขาก็จะช่วยฉันตอบแทน” เฉินเกอนั้นมีกำลังคนจำกัด ตามหาผีทารกซึ่งอาจจะอยู่ที่ไหนก็ได้ในจิ่วเจียงนั้นยากมาก แต่ว่าจางเหวินอวี้นั้นต่างไป เขาแบกรับวิญญาณสัมภเวสีของเหยื่อฆ่าตัวตายทั้งหมดที่เขาเคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเอาไว้ เขาต้องช่วยคนทั้งหมดเพื่อเป็นการไถ่บาป แต่เพราะอย่างนั้น เหล่าวิญญาณสัมภเวสีที่ติดอยู่กับเขาก็ยังมอบพลังของพวกเขาให้


จางเหวินอวี้นั้นเป็นวิญญาณสีเลือดที่พิเศษออกไป และกระทั่งเฉินเกอก็ไม่รู้เลยว่าเขามีพลังแค่ไหน เฉินเกอนั้นแค่คิดถึงกำลังคนที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อการตามหาคนผู้หนึ่ง


“ฉันช่วยทำตามความปรารถนาของผู้ชายที่ป่วยภาวะโนบิตะ-ไจแอ้นท์ไปเรียบร้อยแล้ว ตามที่พวกเราตกลงกันไว้ ฉันสามารถขอความช่วยเหลือเขาได้ครั้งหนึ่ง” เฉินเกอดึงโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขที่เขาจดจำเอาไว้ หลังจากเสียงสัญญาณดังสามครั้ง สายก็ถูกรับ แต่ว่าไม่มีเสียงทักทายเขา


“ผมจะช่วยคุณทำตามความปรารถนาของเหยื่อให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ผมเจอกับปัญหายุ่งยากมากเรื่องหนึ่งและคิดว่าคุณน่าจะช่วยผมได้” เฉินเกอพูดเข้าประเด็นและบอกสิ่งที่เขาต้องการออกไป


“คุณต้องการให้ผมทำอะไร?” เสียงแหบ ๆ ของจางเหวินอวี้ดังผ่านโทรศัพท์มา


“ผมต้องการตามหาเด็กที่ยังไม่เกิดคนหนึ่ง ผมเคยเห็นหน้าเขา และอีกเดี๋ยวผมจะส่งภาพวาดใบหน้าเขาให้คุณ” เฉินเกอให้เอี๋ยนต้าเหนียนวาดรูปใบหน้าของเด็กที่หน้าอกของเงานั่นที่น่าจะเป็นหน้าตาของผีทารก


“ถึงผมจะรู้ว่าเขาหน้าตายังไง แต่เขายังไม่เกิด แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่ไหน?”


“คุณเป็นวิญญาณสีเลือด คุณน่าจะมีวิธีการของคุณ”


ทั้งสองฝ่ายเงียบไปก่อนที่ในที่สุดจางเหวินอวี้จะพูด “ได้ ผมจะพยายามดู”


“ร่างหลักของเด็กคนนั้นคือผีทารก มันน่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดขั้นสูงและยังอันตรายมาก ดังนั้นคุณต้องระมัดระวังระหว่างการค้นหา” หลังจากจัดการเรื่องนั้น เฉินเกอก็เปลี่ยนเรื่อง “ก่อนหน้านี้ คุณบอกความปรารถนาของวิญญาณสัมภเวสีให้ผมสามอย่าง ผมทำสำเร็จไปแล้วสอง– ผู้ป่วยภาวะโนบิตะ-ไจแอ้นท์ และผู้ป่วยมะเร็งที่ตายบนทางรถไฟ แต่ว่าความปรารถนาที่สามยุ่งยากเล็กน้อย”


“ความปรารถนาที่สาม?”


“ครับ นักเขียนที่ต้องการให้ผลงานของเขาได้ทำหนัง” เฉินเกอนั้นเป็นเจ้าของบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการทำหนัง มันยากที่จะทำตามความปรารถนานี้ “คุณบอกความปรารถนาของวิญญาณสีเลือดตนอื่นได้ไหม? ผมจะลองช่วยพวกเขาก่อน”


“พวกนั้นไม่สำคัญ วิญญาณของนักเขียนนั่นทรงพลังมากและผมก็ควบคุมเขาได้อย่างลำบาก หากพวกเราไม่จัดการกับความปรารถนาของเขาให้เร็วที่สุด ผมก็อาจจะถูกเขากลืนกินไปได้” จางเหวินอวี้พูดอย่างจนปัญญา “คุณต้องช่วยเขาเติมเต็มความปรารถนา นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมมาหาคุณ”


“งั้นก็ได้ ผมจะพยายามหาทางดู” หลังจากวางสาย เฉินเกอก็เดินไปตามถนนอย่างไร้จุดมุ่งหมาย


“ไม่เป็นไร ทิ้งเรื่องการตามหาผีทารกให้จางเหวินอวี้ แต่ว่าการถ่ายหนังนี่ก็ยุ่งยากจริง ๆ” เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของเขาออกมา และจู่ ๆ เขาก็คิดออก “หนังสยองขวัญก็ยังคงเป็นหนัง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีความเกี่ยวข้อง มันก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งจิ่วเจียงไม่มี”


เขาพิมพ์ลงไปในแถบค้นหา– กองถ่ายผีสิง ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติตอนถ่ายหนัง– และก็เจอบางอย่างเข้าจริง ๆ


“นักเขียนบทที่มีชื่อเสียงตายจากอุบัติเหตุกลางดึก เป็นแผนการตลาดอันชาญฉลาดหรือว่าเป็นอะไรที่น่าขนลุกยิ่งกว่านั้น? นี่เป็นอุบัติเหตุครั้งที่เจ็ดระหว่างการถ่ายทำ ‘ดวงตาข้างซ้าย’ เบื้องหลังคือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจริง ๆ หรือ?”


เมื่อเปิดเข้าไปดู ฟางหยวนจึงได้พบว่าบทความถูกลบไปแล้ว เขาเปลี่ยนคำค้นหาก่อนที่จะพบข้อมูลที่เขาต้องการ


ดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นชื่อหนังสยองขวัญ แต่ว่าระหว่างการถ่ายทำนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายครั้ง ครั้งแรกเลยคือการตายจากอุบัติเหตุของนักเขียนบทที่อยากเปลี่ยนบทที่เขียน จากนั้นจู่ ๆ นักแสดงนำหญิงก็เกิดเสียสติขึ้นมา และการหายตัวไปของนักแสดงนำชาย หลังจากเปลี่ยนนักแสดงแล้ว ในที่สุดหนังก็ถ่ายทำได้จนเสร็จ แต่ว่าก่อนที่จะเปิดตัว กองถ่ายก็ถูกเพลิงไหม้ เสื้อผ้าและอุปกรณ์ประกอบฉากถูกเผาเป็นเถ้าไปหมด


หลายคนพูดว่านี่เป็นแค่แผนการตลาดจนกระทั่งผู้กำกับหายตัวไป และจากนั้นข่าวก็ถูกปิด ในที่สุด หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้เปิดตัว จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครได้ดูหนังนั่นเลย ยังมีข่าวซุบซิบบนออนไลน์ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นข่าวปลอม


“กระทั่งบทก็ยังถูกเผาไปด้วย นี่น่าสนใจทีเดียว” ความสนใจของเฉินเกอถูกกระตุ้นแล้ว เขาเรียกแท็กซี่กลับไปบ้านผีสิงแล้วก็วิ่งเข้าไปในห้องพักพนักงานทันที เขาจดโน้ตไว้ขณะค้นหาทุกอย่างที่หาได้เกี่ยวกับ ดวงตาข้างซ้าย เขาวุ่นวายอยู่จนกระทั่งตีสอง และในที่สุดก็เจอข้อมูลที่มีประโยชน์หลายชิ้น


“นักแสดงนำหญิงที่เสียสติไปยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้พักอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชจิ่วเจียง


“กองถ่ายครั้งหนึ่งเคยใช้ภูเขาหยงหลิงจิ่วเจียงตะวันตกเป็นฉาก


“บทเดิมที่กองถ่ายใช้นั้นไม่ใช่นักเขียนบทเขียนขึ้นมาแต่เป็นผู้กำกับเจออยู่ในโรงเรียนร้างแห่งหนึ่งในจิ่วเจียงตะวันตก


“ว่ากันว่า ผู้กำกับไม่ได้หายตัวไป แต่ว่าเขาถูกขังอยู่ในหนัง”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม