My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 676-682
ตอนที่ 676
ตอนที่เฉินเกอใช้เวลาไปกับการคิด สถานการณ์การต่อสู้ก็เปลี่ยนไปมาก ความวุ่นวายนั้นยิ่งมายิ่งมากขึ้น เงาเริ่มมีทีท่าเฉื่อยชาเมื่อถูกทั้งจางหยาและคุณหมอเกาโจมตี
ร่างกายที่สร้างขึ้นจากคำสาปนั้นไม่มีรูปร่างและรูปแบบ วิญญาณทั่วไปไม่สามารถทำอันตรายเงาได้ อันที่จริง การสัมผัสถูกนั้นมีแต่จะทำให้วิญญาณนั้นบาดเจ็บสาหัส เพียงแค่เรื่องนี้ เงาก็สามารถจัดการกับวิญญาณสีเลือดตนไหนก็ได้แล้ว แต่โชคร้าย เขามาเจอเข้ากับคุณหมอเกาและจางหยา
วิญญาณสีเลือดขั้นสูงทั้งสองตนนั้นนั้นสามารถกลืนกินคำสาปได้เป็นจำนวนมาก การมีพลังมหาศาลนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา– พลังพิเศษของพวกเขานั้นยังดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนโดยธรรมชาติของเงา การจองจำของหมอเกาและพันธนาการของจางหยานั้นได้เปรียบเมื่อต้องรับมือกับเงา พวกเขาขวางทางหนีของเงาเอาไว้แล้วยังทำให้เงาต้องรับมือสองทาง
การต่อสู้ระหว่างวิญญาณสีเลือดนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ฉีกทึ้งความแค้นของอีกฝ่ายมาหล่อเลี้ยงตนเอง นี่เป็นภาพที่คนธรรมดาก็คงนึกจินตนาการไม่ออก แต่ว่า มันเป็นสิ่งไม่อาจจะธรรมดาไปมากกว่านี้ได้แล้วสำหรับเหล่าวิญญาณ
เงานั้นปกคลุมไปด้วยคำสาป แต่ว่าวิญญาณสีเลือดขั้นสูงทั้งสองนั้นไม่สนใจเรื่องนั้น หลายอย่างที่คุณหมอเกาแบกรับเอาไว้นั้นผลักให้เขาไปอยู่ที่ปากเหวแห่งความบ้าคลั่ง ขณะที่จางหยาดูเป็นปกติ หลังจากต่อสู้ไป เงาก็ตระหนักว่าความบ้าคลั่งของผู้หญิงคนนี้นั้นไม่ได้น้อยไปกว่าประธานทั้งสองคนของสมาคมเล่าเรื่องผี
ร่างกายสีดำมืดนั้นแตกออกครั้งแล้วครั้งเล่า เลือดสีดำซึมออกจากใบหน้าของเด็กทารก ทุกคนตรงนั้นได้ยินเสียงประหลาด มันเหมือนกับท้องฟ้าสีแดงเลือดที่เหนือหัวพวกเขากำลังร้องไห้ หรือบางที มันอาจจะเป็นผืนดินที่ได้รับความเสียหายจากฝันร้ายเหล่านี้กำลังคร่ำครวญ
น้ำตาและเสียงหัวเราะ พวกเขาเห็นเด็กคนหนึ่งถือมีดยืนอยู่ในตรอกที่ค่อย ๆ ถูกน้ำฝนหนาหนักท่วมทับ ลำคอมีเชือกผูกเอาไว้ ศีรษะถูกกดลงกับพื้น น้ำตาผสมเข้ากับสายฝน เด็กคนนั้นกรีดร้องและร้องไห้ขอความช่วยเหลือ เขาร้องไห้และร้องไห้จนกระทั่งมุมปากเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้ม
จมอยู่ในเส้นทางดำมืด ถูกไฟแผดเผา มีคมกริบกรีดเลือดเนื้อ และถูกฝังเอาไว้ในหลุม ไม่สามารถหายใจได้ ไม่รู้สึกถึงแสงอาทิตย์ที่ตกต้องใบหน้า ทั้งหมดที่เขาเอื้อมถึงก็คือมือของตัวเองที่มีแผลเป็นน่าเกลียดมากมาย
“ทำไมแกถึงต้องการฆ่าฉัน? ฉันทำอะไรผิด?”
ร่างกายของเงาสลายไป คำสาปที่เหลืออยู่เปลี่ยนไปเป็นหลอดเลือดและแทงเข้าไปในหัวใจของเด็กทารก
รูปร่างและรูปแบบค่อย ๆ ถูกแกะขึ้นบนใบหน้าที่เดิมไร้เครื่องหน้าของเด็กทารก กระดูกอ่อนถูกบีบให้อยู่ในรูปประหลาดขณะที่ร่างกายถูกคำสาปและความอาฆาตแค้นเติมเต็ม เด็กลืมตาขึ้นมองมายังเฉินเกอที่มีเส้นผมสีดำเป็นเกราะป้องกัน
หัวใจในอกของมันเต้นตุบ และท้องฟ้าก็เริ่มหลั่งฝนเลือด ภาพของเฉินเกอนั้นแผดเผาอยู่ในม่านตาของเด็กทารก ขณะที่หัวใจของเด็กเต้นหนักหน่วง อ้าปากฮุบอากาศอย่างกระหาย เด็กทารกดูไม่คล้ายปิศาจที่ถูกสร้างขึ้นจากคำสาป และดูคล้ายกับคนเป็นมากกว่า
มันเข้าไปสิงอยู่ในเด็กทารกของมันเอง แต่ว่าอวัยภายในก็ยังเต้นด้วยจังหวะของตนเอง ร่างกายของมันนั้นราวกับจะพังทลายจากข้างใน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ริมฝีปากของมันก็ยังขยับเป็นรอยยิ้ม ดวงตาเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แทนที่ความเหี้ยมโหดและความพ่ายแพ้เดิมด้วยความชั่วร้ายและอาฆาตแค้น
“นี่ไม่ใช่ดวงตาของเงา!” เฉินเกอหรี่ตามองไปยังภาพสะท้อนของตนเองในดวงตาของเด็กทารกผ่านช่องว่างของเส้นผม มันเป็นสิ่งที่เขาเกือบจะจำไม่ได้ แต่เขาแน่ใจว่านี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของตัวเขาเอง!
“ฉันตายเพื่อแกไปตั้งหลายครั้ง– มันได้เวลาที่แกจะตายแทนฉันบ้างแล้ว”
หลอดเลือดฝอยแตกออกและร่างกายของเงาก็สลายไปโดยสมบูรณ์ ผีทารกรูปร่างพิกลพิการคลานออกจากช่องอก ขณะที่ฝนเลือดตกอยู่รอบตัวมัน มันก็พุ่งเข้าใส่เฉินเกอ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าก่อนหน้าเป็นสิบเท่า
เส้นผมสีดำหลายชั้นถูกดึงทึ้งออกและแม้จะมีโซ่ล่ามมันเอาไว้ ความเร็วของผีทารกก็ไม่ได้ช้าลง ร่างกายของมันค่อย ๆ ฉีกขาดออกแต่ภาพของเฉินเกอในดวงตาของมันกลับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ คำสาปเปลี่ยนไปเป็นเส้นสายสีดำพุ่งเข้าไปในดวงตาของมัน พันธนาการรอบเงาเฉินเกอในดวงตาของมัน ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นยังอีกระยะหนึ่งแต่เฉินเกอพบว่าตัวเองไม่สามารถขยับได้แล้ว เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างมัดเขาเอาไว้
“มันทำเช่นนี้ได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องสัมผัส? นี่เป็นพลังชนิดไหนกัน? คำสาปแบบหนึ่งงั้นเหรอ?” ผีทารกนั้นสูบกินเงาจนแห้ง และมันก็ดูเหมือนจะกำลังใช้พลังของตัวเองอยู่ตอนนี้ เส้นสีดำรอบตัวเฉินเกอในดวงตาของมันเริ่มลุกไหม้ เปลวไฟสีดำนั้นแผดเผาเฉินเกอในดวงตาของมัน และเฉินเกอในความเป็นจริงก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบเดียวกัน มันยิ่งกว่ามีมดล้านตัวไต่ไปทั่วตัวเฉินเกอ ทั้งใต้ผิวและบนผิวของเขา พวกมันกัดผิวเนื้อเขา ทีละตารางนิ้ว ทิ้งความรู้สึกเหมือนถูกเผาเอาไว้เบื้องหลัง
“ความดีงามทุกอย่างของแกนั้นกลายเป็นอาหารให้ความสิ้นหวัง ฉันจะรอคอยแกอยู่ที่นรกที่ลึกที่สุด…” ริมฝีปากของเด็กทารกฉีกออกจากกัน สายตาของมันมองจ้องมาที่เฉินเกออย่างลึกซึ้ง “เงาของฉัน”
ปัง!
เส้นผมสีดำบดบังการมองเห็นของเฉินเกอขณะที่โอบพันอยู่รอบตัวเขาโดยสมบูรณ์ เส้นผมสีดำคลานเข้าไปในร่างเฉินเกอ มันกลืนกินคำสาปทีละนิด– นี่เป็นพลังของความตะกละ ผีเด็กทารกนั้นกำลังใช้พลังของผีทารก กระทั่งวิญญาณสีเลือด คำสาปเช่นนี้ก็ยังยากที่จะย่อย และผีทารกก็ใช้มันกับคนเป็น ๆ คนหนึ่ง
“เขาเพิ่งพูดว่าฉันเป็นเงาของเขาใช่ไหม?” เฉินเกอยังไม่สามารถควบคุมร่างของตัวเองได้แต่จางหยากำลังกลืนกินคำสาปอย่างช้า ๆ ด้วยสติสัมปชัญญะระดับเหนือมนุษย์ เฉินเกอไม่ได้ล้มพับไป ผ่านช่องว่าง เขาลืมตามองไปยังผีทารก
โซ่และเส้นผมสีดำพันอยู่รอบร่างของมัน และผีทารกก็หยุดอยู่ห่างจากเฉินเกอสามเมตร แขนของจางหยานั้นแทงผ่านดวงตาของเด็กทารกไปขณะที่หมอเกากำอยู่รอบหัวใจของเด็ก
“แค่อีกนิดเดียว?” เสียงที่ทำให้สันหลังเย็นวาบหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากที่แตกออก ผีทารกหัวเราะอยู่ในฝนเลือด การเขยื้อนขึ้นลงของหน้าอกของมันนั้นกลายเป็นรุนแรงมากขึ้นขณะที่ร่างของมันเริ่มพองออกเหมือนลูกโป่ง “เฉินเกอ ฉันจะจำวันนี้เอาไว้ เพื่อชดใช้ ฉันจะทำให้แกต้องจดจำทุก ๆ วันต่อ ๆ ไป”
ผีทารกหันหน้าหนี มันหันมองไปที่สักแห่งในจิ่วเจียงตะวันออก กระดูกเริ่มเหยียดออก และร่างกายที่ใช้เพียงครั้งเดียวทิ้งนี้ก็เพิ่มจำนวนขึ้นอีกครั้ง! ประหลาด สัญลักษณ์สีดำปรากฏขึ้นบนผิวของผีทารกซึ่งดูเหมือนคำสาปแรกเริ่มที่สุด
“ระวัง!” คำเตือนของเฉินเกอนั้นมาช้าเกินไป เส้นสีดำหลุดออกจากในร่างของมัน สัญลักษณ์สีดำนั้นทิ้งร่างหนีไปและร่างกายของผีทารกก็ระเบิดจากข้างใน!
เขารู้สึกเหมือนแก้วหูของตัวเองกำลังจะฉีก หลังจากนั้นครู่หนึ่งทุกอย่างก็เงียบลง และจิตใจของเขาก็ว่างเปล่า ทั้งหมดที่เฉินเกอรู้สึกก็คือร่างของเขานั้นล้มไปด้านหลังก่อนที่จะดิ่งลงไป สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกบางอย่างจับเอาไว้ที่กลางอากาศ
ตอนที่เฉินเกอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองนั้นห้อยอยู่ด้านนอกชั้นเก้าของตึกในเปลผมสีดำ
“จางหยา?” เส้นผมสีดำยังอยู่รอบ ๆ แต่ว่าที่เหนือชั้นที่สิบเริ่มแสดงสัญลักษณ์ของคำสาป
“เธอเป็นคนที่ผลักฉันลงมา?” ฝนเลือดหยุดไปแล้ว มีเสียงผีกรีดร้องดังอยู่รอบ ๆ โดยมีอพาร์ทเม้นท์ผีเป็นศูนย์กลาง ความวุ่นวายที่พวกเขาสร้างขึ้นนั้นมากมายนักจนดึงดูดวิญญาณทั้งหมดรอบเมืองหลี่ว่าน
“เสียงกรีดร้องเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่หวาดกลัวเงานั่น โลกที่ด้านหลังประตูนี่น่ากลัวแค่ไหนกันแน่?”
หมอกเลือดปกคลุมทุกอย่าง กระทั่งดวงตาหยินหยาง เฉินเกอก็มองไม่เห็นปิศาจพวกนี้– เขาแค่ได้ยินเสียงเท่านั้น เส้นผมสีดำดึงเขาขึ้นไป ตอนที่เฉินเกอกลับขึ้นไปบนดาดฟ้า เขาก็ตกใจกับภาพที่ได้เห็น
ตอนที่ร่างของผีทารกระเบิด ทั้งจางหยาและคุณหมอเกาไม่มีใครถอย วิญญาณสีเลือดขั้นสูงทั้งสองนั้นเลือกเหมือนกัน– พวกเขาเลือกโจมตีเด็กทารกนั่นพร้อมกัน!
ไม่มีใครในพวกเขายกการป้องกันขึ้นมา ครึ่งหนึ่งของเส้นผมสีดำและโซ่ล้วนเสียหาย และสิ่งที่เลวร้ายที่สุด สัญลักษณ์ของผีทารกเริ่มปรากฏขึ้นบนร่างของจางหยาและคุณหมอเกา สัญลักษณ์เหล่านี้นั้นแหวกว่ายไปทั่วร่างของพวกเขาราวกับปลา และมันยังต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการกำจัด
พวกเขาล้วนอยู่ในสภาพย่ำแย่ คุณหมอเกาแขนหายไปข้างหนึ่ง คำสาปและอารมณ์ด้านลบล้วนไม่ถูกกดเอาไว้แล้ว และใบหน้าของผู้บริสุทธิ์ก็กรีดร้องโหยหวนไม่รู้จบสิ้น
ร่างกายของจางหยาที่เผชิญกับเงานั่นมีประทับคำสาปและที่ทำให้เธอโกรธที่สุดก็คือมันปรากฏบนใบหน้าที่มีบาดแผลของเธอด้วยเหมือนกัน คุณหมอเกานั้นมีพลังพิเศษในการกดข่มและการเปลี่ยนรูปขณะที่จางหยานั้นมีพลังในการกลืนกิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็ไม่มีใครคิดถอย พวกเขาล้วนอดทนเอาไว้ พร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป
“ทำไมพวกเขาถึงได้กังวลถึงการต่อสู้ครั้งต่อไป?” เฉินเกอมองไปที่กลางดาดฟ้า แขนของหมอเกาที่กดหัวใจของผีทารกเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้นตกอยู่ตรงนั้น มันเกือบจะสลายไปเพราะคำสาป และส่วนใหญ่กว่าของแขนนั้นก็ละลายไปกับเลือดสีดำ แต่ว่าหัวใจของผีทารกนั้นไปไหนแล้วไม่รู้
“มันถูกระเบิดไปเหรอ?”
หลังจากมองไปรอบ ๆ เฉินเกอก็ตระหนักว่าแขนอีกข้างที่ยังเหลืออยู่ของหมอเกานั้นกำหัวใจสีแดงเลือดครึ่งหนึ่งเอาไว้ หัวใจนี้นั้นมีขนาดแค่หนึ่งในห้าของขนาดหัวใจปกติ และมันก็ปกคลุมไปด้วยลวดลายสีดำ
“หัวใจของวิญญาณสีเลือดนั้นมีสีแดง ถึงแม้ว่าหัวใจนี่จะเล็ก มันก็ยังต่างไปจากหัวใจของวิญญาณสีเลือด ความรู้สึกที่ฉันได้รับจากลวดลายสีดำเหล่านั้นคืออันตรายมาก เหมือนมองอีกสักสองสามทีก็จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับฉัน”
หมอเกานั้นกำหัวใจครึ่งหนึ่งเอาไว้ และอีกครึ่งหนึ่งนั้นอยู่กับจางหยา– พวกเขาทั้งคู่ต้องการสิ่งที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ ไม่ต้องพูดอะไรเฉินเกอก็ถอยหลังไปเงียบ ๆ เขามองเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของตัวเองแล้วก็เรียกพนักงานที่เหลือของตัวเองออกมา
“บางทีฉันอาจจะพูดคุยด้วยเหตุผลกับคุณหมอเกาได้ เขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดอ่านกระจ่างชัด ดังนั้นฉันเชื่อว่าเขาจะสามารถมองภาพรวมของเรื่องราวได้” ตอนที่ร่างกายของผีทารกระเบิด ไป๋ชิวหลินและผู้หญิงในอุโมงค์ล้วนซ่อนตัวอยู่ในหนังสือการ์ตูน คำสาปดูเหมือนจะใช้การได้กับร่างคนเป็นและวิญญาณเท่านั้น มันไม่มีผลอะไรมากนักกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต
เฉินเกออันที่จริงต้องการถามผีผู้หญิงจากอุโมงค์ว่าอยู่ในหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนนั้นสบายดีอยู่หรือเปล่า แต่พอคิดถึงว่าจางหยาอยู่ข้าง ๆ เขา เฉินเกอก็ปิดปากเงียบ
ทั้งสองฝ่ายยืนนิ่งอยู่บนดาดฟ้ารักษาความสมดุลเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ การต่อสู้ครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ผ่านไประมาณสิบนาที ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากทางเมืองหลี่ว่าน ทุกคนหันไปเห็นคลื่นสีแดงกระแทกมาทางเขตที่พักหมิงหยาง ในหมอกหนาสีเลือด เจ้าของเมืองหลี่ว่านตัวจิง เสี่ยวปู้ รีบร้อนมาทางอพาร์ทเม้นท์ผีพร้อมกับลากเหมินหนานและเหล่าโจวมาด้วย
เสี่ยวปู้นั้นไม่ใช่วิญญาณสีเลือดธรรมดา ประตูในเมืองหลี่ว่านนั้นหลุดจากการควบคุม และอิทธิพลของมันก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตึกเดียวอีกต่อไปแล้วแต่ว่าแผ่ไปทั่วทั้งเมือง ในฐานะผู้เปิดประตู พลังของเสี่ยวปู้เพิ่มมากขึ้น เธอมีพลังแค่ไหนนั้น เฉินเกอเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ว่าเธอไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผีตะกละที่โรงแรมแน่นอน
ถ้าเป็นวิญญาณสีเลือดธรรมดาก็แล้วไป แต่มีวิญญาณสีเลือดขั้นสูงอีกตนเป็นพวกเดียวกับเฉินเกอ สมดุลนั้นก็เปลี่ยนไป ในตอนที่ประธานทั้งสองของสมาคมเล่าเรื่องผีเปลี่ยนไปมองเสี่ยวปู้ พวกเขาก็หันมองกันและกัน จากนั้นพวกเขาก็ลงมือพร้อมกัน
“ตามไป! ผมมีหลายอย่างที่ต้องการถามเขา!” เฉินเกอร้องสั่ง คุณหมอเกากระโดดลงไปจากหลังคา โซ่แทงเข้าไปในตึกและเขาก็ทิ้งตัวลงไปก่อนที่จะหายไปในหมอกเลือดพร้อมกับหัวใจครึ่งหนึ่งนั่น
คุณหมอเกาหนีไปนั้นทำให้เฉินเกอประหลาดใจอย่างชัดเจน เขาไม่รู้ว่าทำไมชายเสียสติคนนี้ถึงกลายเป็นตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอย่างกะทันหัน บางที กลไกสักอย่างในใจเขาอาจจะถูกกระตุ้นขึ้นมา หรือตอนนั้น ‘ความสิ้นหวัง’ ทั้งหลายในตัวคุณหมอเกาตัดสินใจเหมือน ๆ กัน
“เขาจากไปทั้งอย่างนี้ ฉันยังมีหลายอย่างเกี่ยวกับประตูที่บ้านผีสิงที่อยากจะถามเขา” เฉินเกอไม่สนใจว่าคุณหมอเกานั้นเสียสติ เขาจะใช้เวลาและพยายามช่วยเขา แต่มันกลายเป็นว่าคุณหมอเกาไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขา
หลังจากคุณหมอเกาจากไป เส้นผมสีดำบนดาดฟ้าก็หายไปอย่างรวดเร็ว และจางหยาก็ก้าวยาว ๆ เข้าไปหาเฉินเกอไม่พูดไม่จา เส้นผมของเธอนั้นปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอเอาไว้ ตอนที่เฉินเกอคิดว่าเธอกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ดวงตาของจางหยาก็กวาดผ่านใบหน้าของผุ้หญิงจากอุโมงค์ และจากนั้นก็เอื้อมเข้าไปในหนังสือการ์ตูนคว้าเอาผู้หญิงไร้หัวออกมา
โดยไม่สนใจเอี๋ยนต้าเหนียนที่ขดตัวอยู่ที่มุมของหนังสือการ์ตูน จางหยาผูกผมเส้นหนึ่งของเธอเอาไว้รอบข้อมือหญิงไร้หัว จากนั้นเธอก็เอนตัวพิงหลังของเฉินเกอแล้วหายเข้าไปในเงาของเขา มองทางที่จางหยาเดินมาแล้วก็พบว่ามีเลือดสีดำลากเป็นรอยยาว เธอดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก
“ระหว่างการต่อสู้กับสมาคมเล่าเรื่องผีก่อนหน้านี้ ก่อนที่เธอจะเข้าสู่ภาวะจำศีล จางหยาให้ตุ๊กตาที่ช่วยฉันรับอันตรายถึงตายไว้ตัวหนึ่ง
“คราวนี้ เธอพันเส้นผมของเธอรอบข้อมือหญิงไร้หัว บังคับให้เธอต้องยอมจำนนน่าจะเป็นอะไรที่ให้ผลเหมือนกัน
“อย่างนั้นนี่ก็หมายความว่าจางหยากำลังจะจำศีลอีก? นี่เป็นเพราะว่าเธอได้รับบาดเจ็บหนักหรือว่าเธอต้องการเวลาในการค่อย ๆ ย่อยหัวใจครึ่งหนึ่งของผีทารกกันแน่?”
เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับนิสัยของจางหยา ตอนที่สายตาของเธอมองไปที่หญิงจากอุโมงค์ก่อนหน้านี้ เธอก็อาจจะวางแผนเปลี่ยนหญิงจากอุโมงค์ไปเป็นตุ๊กตา แต่ว่า ในสภาพตอนนี้ของเธอนั้น จางหยาไม่มั่นใจเต็มที่ว่าการเปลี่ยนร่างนั้นจะสำเร็จ ดังนั้นเธอจึงเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดรองลงมาและถักทอคำเตือนของเธอเข้าไปในร่างของหญิงไร้หัว
“สภานการณ์ของหมอเกานั้นย่ำแย่เสียยิ่งกว่าจางหยา แต่ว่าฉันก็ยังต้องระวังเอาไว้ พวกเขาทั้งคู่เป็นวิญญาณสีเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด และตอนนี้ พวกเขาล้วนได้ครอบครองหัวใจของตัวตนที่แข็งแกร่งว่าวิญญาณสีเลือด ถ้าคุณหมอเกาทำได้สำเร็จ คืนหนึ่ง เขาก็อาจจะปรากฏตัวจากด้านหลังประตูที่บ้านผีสิง”
ตอนนี้ คุณหมอเกานั้นไม่สามารถควบคุมอารมณ์ด้านลบและคำสาปได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมพวกมันได้หลังจากทะลวงขีดจำกัดและกลายไปเป็นบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าวิญญาณสีเลือด เมื่อคุณหมอเกาได้สติกลับมา เขาย่อมกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวมาก
“พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรวมเข้ากับความฉลาดที่สุด แล้วฉันจะยังทำอะไรได้? บางทีฉันอาจจะให้เกาหรูเซว่ย้ายมาอยู่กับฉันที่บ้านผีสิง ให้เธออยู่ห้องข้าง ๆ ห้องน้ำ?”
“บอส!” เหล่าโจวขัดจังหวะพึมพำของเฉินเกอ
“ต้องขอโทษที่รบกวนทั้งหมดนี่นะ” เฉินเกอพูดจากใจจริง เขาต้องการกอดเหล่าโจวสักครั้งแต่ก็กวาดมือผ่านร่างเขาไป จากนั้นก็เข้าใจได้ว่าทำไม “ผมดีใจที่พวกคุณทุกคนไม่เป็นอะไร”
หลังจากคุยกับเหล่าโจวสั้น ๆ และสัญญากับเหมินหนาว่าจะส่งเขากลับไปยังหอผู้ป่วยสามเพื่อซ่อนหน้าต่างของเขา เขาก็เก็บทุกตนเข้าไปในหนังสือการ์ตูน
“เสี่ยวปู้ เงาถูกฆ่าไปแล้ว เธอเป็นอิสระแล้วตอนนี้ แต่เธอก็ห้ามประมาท ร่างหลักของเงา ผีทารก นั้นกำลังจะถือกำเนิด และยังมีโอกาสที่เขาจะกลับมา” คำบอกใบ้ของเฉินเกอนั้นชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เสี่ยวปู้ไม่ได้ตอบเฉินเกอตรง ๆ เสียงน้ำหยดดังมาจากช่องบันได ผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงมาถึงพร้อมกับแขนขาที่เหลืออยู่ของเสี่ยวปู้และอุ้มถงถงเอาไว้ในอ้อมแขน เธอพยายามอ้าปากที่ถูกเย็บออก ต้องการพูดบางอย่างกับเฉินเกอ
“คุณเจอลูกของคุณแล้ว?” เฉินเกอเข้าใจว่าผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนเข้ามาที่อพาร์ทเม้นท์ผีเพื่อตามหาลูกของเธอ เขายังเห็นว่าตึกนั้นเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่ถูกเงาสูบเอาความทรงจำไป
ผู้หยิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงส่ายหน้า เธอวางชิ้นส่วนของเสี่ยวปู้เอาไว้ไม่ไกลจากเสี่ยวปู้นักและหันหลังกลับ
น้ำจากเสื้อกันฝนของเธอไหลไปบนพื้นเกิดเป็นประโยค “ฉันจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะเจอเขา จากนั้นฉันจะไปหาคุณ”
“ผมรู้ว่าคุณอยากจะขอบคุณผม แต่คำสัญญานี่พอเป็นตัวหนังสือแล้วทำไมมันถึงดูน่ากลัว?” เฉินเกอไม่ได้รั้งเธอเอาไว้ เขามีอย่างอื่นอีกมากมายที่ต้องทำตอนนี้
ตอนที่ 677
มือข้างหนึ่งของเสี่ยวปู้นั้นถูกเงานั่นกินเข้าไปหมดแล้วขณะที่อีกข้างยังอยู่กับชายหน้ายิ้ม ตอนที่เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ชายหน้ายิ้มก็หายตัวไป บางทีอาจจะหนีไประหว่างความวุ่นวาย
“เสี่ยวปู้ ตอนนี้เธอก็ได้ร่างกายส่วนใหญ่ของเธอคืนแล้ว เธอควบคุมประตูได้หรือเปล่า?” เฉินเกอเป็นห่วงว่าประตูในเมืองหลี่ว่านจะขยายออกไปอีก เสี่ยวปู้ส่ายหน้า และเลือดก็รวมกันเป็นคำตอบของเธอ
“ประตูนั้นหลุดออกจากการควบคุมโดยสมบูรณ์ สิ่งเดียวที่หนูทำได้ก็คือลดความเร็วในการขยายออกไป ถ้าจะควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ หนูต้องหาร่างกายของหนูให้เจอทั้งหมด”
“อย่างนั้น เธอสามารถเปิดประตูส่งพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม?” เสี่ยวปู้นั้น อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นผู้เปิดประตู และเฉินเกอก็เชื่อว่าเธอจะสามารถทำอะไรแบบนั้นได้
เลือดไหล และประโยคใหม่ก็ปรากฏขึ้นที่บนพื้น “ได้ค่ะ แต่หนูเปิดประตูได้แค่วันละหนึ่งนาที ประตูอยู่ภายใต้การควบคุมของเงามานานเกินไป หนูต้องการเวลาทำความคุ้นเคยกับมันใหม่”
“หนึ่งนาทีก็เกินพอ” เฉินเกอรู้ว่าเสี่ยวปู้ไม่สามารถออกจากที่นี่ไปกับเขาได้ เหมือนเหมินหนาน เธอต้องอยู่ด้านหลังประตูเพื่อดูแลมันเอาไว้ เฉินเกอเข้าใจจึงไม่ได้บังคับให้เสี่ยวปู้ต้องไปกับเขา
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเข้าใจความคิดของเฉินเกอ เลือดที่บนพื้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง “คุณฆ่าเงาของตัวเอง และตามข้อตกลง หนูควรจะไปเป็นเงาใหม่ให้คุณ– หนูไม่ลืมเรื่องนั้น หลังจากหนูควบคุม ‘ประตู’ ได้อย่างสมบูรณ์ หนูจะไปหาคุณ”
ดวงตาของเสี่ยวปู้มองกลับไปมาระหว่างเฉินเกอและเงาด้านหลังเขา มันไม่ชัดนักว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ตกลง” ฆ่าเงาและจากนั้นเสี่ยวปู้ก็จะมาเป็นเงาของเฉินเกอนั้นเป็นแผนการของพ่อแม่เฉินเกอ แต่ความจริงนั้นเป็นไปในทางที่เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เทียบกับเสี่ยวปู้ที่ควบคุมง่ายกว่ามาก จางหยานั้นก็เป็นอะไรที่สุดขั้วอีกด้านหนึ่ง ให้เธอมาเป็นเงาของเขา ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
“เอาละ มีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะถามเธอ” จู่ ๆ เฉินเกอก็นึกถึงคำถามหนึ่งได้ “สมาคมเล่าเรื่องผีซ่อนสมบัติล้ำค่าหนึ่งในสามเอาไว้ในเมืองหลี่ว่าน เธอรู้ไหมว่ามันน่าจะอยู่ที่ไหน?”
เสี่ยวปู้ส่ายหน้าอีกครั้ง และเฉินเกอก็ไม่ได้กดดันเธอ ทั้งเงาและคุณหมอเกาล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องหาสถานที่ลับซ่อนของพวกนี้เอาไว้
“การมาถึงของคุณหมอเกาอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ชายเสียสติคนนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง และฉันก็กลัวว่าเขาจะกลับมา เธออยู่ในเมืองหลี่ว่าน และหญิงในชุดเสื้อฝนสีแดงก็อยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี พวกเธอทั้งคู่ล้วนเป็นเพื่อนของฉัน และเพื่อนของเพื่อนฉันก็คือเพื่อนกัน ดังนั้นถ้าเธอเจออันตรายอะไร ฉันหวังว่าเธอสองคนจะช่วยดูแลกันและกัน หรือไม่อย่างนั้นก็ไปหาฉันที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ที่จิ่วเจียงตะวันตก”
หลังจากจัดการกับเสี่ยวปู้ เฉินเกอก็เริ่มตรวจดูพนักงานที่ยังเหลืออยู่ของเขา
ตอนที่เผชิญหน้ากับเงา พนักงานในกระเป๋าสะพายหลังล้วนอาสาออกมาช่วย ตอนนี้ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดี นอกจากซู่อิน ไมมีใคร ‘ติดเชื้อ’ คำสาป
“เหล่าไป๋ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือก่อนหน้านี้” ไป๋ชิวหลินนั้นเป็นนักพนันที่ในที่สุดก็มองเห็นแสงสว่าง เขามีหัวใจที่สุกสว่างยิ่งกว่าความเย็นชาที่แสดงออกภายนอก เมื่อเฉินเกอเอ่ยชื่นชม เขาก็ดูค่อนข้างอาย เมื่อคิดกลับไปถึงชีวิตกว่าสองทศวรรษของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำขอบคุณจากคนอื่น และอันที่จริง มันก็รู้สึกดีมากที่เป็นที่ต้องการของคนอื่น ๆ
“ผมก็แค่บังเอิญอยู่แถวนี้พอดี” ไป๋ชิวหลินยัดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเหมือนพูดอีกสักคำหนึ่งแล้วเขาจะตาย
“ไม่ว่ายังไง ถ้าไม่เพราะคุณคราวนี้ พวกเราทุกคนก็อาจจะบาดเจ็บ” ซู่อินนั้นขวางเงาเอาไว้ และไป๋ชิวหลินคว้าเฉินเกอกับกระเป๋าหนี พวกเขาแบ่งหน้าที่กันได้อย่างดี และถ้ามีผิดพลาดสักส่วน อีกคนที่อยู่ตรงนั้นอาจจะเป็นเงาหรือคุณหมอเกาก็ได้
การต่อสู้จริงจังเช่นนี้นั้นเป็นประโยชน์แก่ไป๋ชิวหลิน สีแดงรอบหัวใจของเขาเริ่มแผ่ออกไป และเขาก็สามารถปลดปล่อยพลังของซยงฉิงออกมาได้ราวหนึ่งในสาม ที่มุมเสื้อและกางเกงของเขาเริ่มมีรอยเลือดเปื้อน– ไป๋ชิวหลินกำลังมุ่งหน้าสู่การกลายเป็นวิญญาณสีเลือดอย่างมั่นคง
เทียบกับซู่อิน ความก้าวหน้าของเขานั้นง่ายกว่ามาก เขาครอบครองหัวใจของซยงฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำลายขีดจำกัดอะไร แค่กินวิญญาณอาฆาตให้มากหน่อย ในที่สุดแล้วเขาก็จะกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด
อันที่จริง หลังจากทำตารางรายการดูแล้ว เฉินเกอก็ได้ประโยชน์จากภารกิจนี้มากทีเดียว ซู่อินกลายเป็นวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งอย่างเป็นทางการ และไป๋ชิวหลินก็พัฒนาไปเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด จางหยานั้นได้กินหัวใจของหญิงตะกละ และเธอยังได้ครอบครองกึ่งหนึ่งของหัวใจของบางอย่างที่ดูเหมือนจะมีระดับสูงกว่าวิญญาณสีเลือด ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอน่าจะน่าหวาดกลัวขึ้นอีก
พลังของพนักงานของเขาเพิ่มขึ้น และเฉินเกอยังได้รับพนักงานชุดใหม่ วิญญาณสัมภเวสีและวิญญาณอาฆาตที่มีพลังพิเศษ และวิญญาณสีเลือดที่ถูกจางหยา ‘เปลี่ยน’– ผีผู้หญิงไร้หัว
จุดสำคัญก็คือเฉินเกอได้รับมิตรภาพจากเสี่ยวปู้และผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดง บ้านผีสิงนั้นอาจจะได้ต้องรับวิญญาณสีเลือดใหม่อีกสองตนในอนาคต
“หากฉันมองบ้านผีสิงเป็นฉากภารกิจ อย่างนั้นระดับของมันตอนนี้ก็น่าจะอยู่ราว ๆ สามหรือสี่ดาว บางทีอาจจะใกล้สี่ดาวมากกว่าสามดาว” หลังจากตรวจดูพนักงาน ‘ผี’ ของเขาแล้ว เฉินเกอก็วิ่งไปหาพนักงานที่ยังมีชีวิต
เพื่อขยายบ้านผีสิง การพึ่งพาผีมากเกินไปนั้นไม่ได้การ เขาจำเป็นต้องมีพนักงานคนเป็นด้วยเหมือนกัน การผสมกันระหว่างพนักงานคนเป็นและพนักงานคนตายนั้นย่อมทำให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์อันสุดยอด
เฉินเกอเจอตัวมือกรรไกร ชายขี้เมา หมอ และหลี่เจิ้งที่หมดสติอยู่ที่ชั้นแรก
“เจียหมิงอยู่ไหน?” เฉินเกอนั้นสงสัยเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนั้นที่เคยถูกเงาสิงสู่อยู่หลายปี เขาต้องรู้ความลับของเงามากมาย
“ตอนที่คุณกำลังสู้อยู่ เขาก็ลากเจ้าหน้าที่ตำรวจวิ่งลงบันไดไปอย่างบ้าคลั่ง พวกเราเห็นเขาทำท่าประหลาด ดังนั้นก็เลยตามเขาลงบันไดมา”
ตอนที่เงาเรียกพลังทั้งหมดของตนกลับไปเพื่อหล่อเลี้ยงผีทารก มือกรรไกรและชายขี้เมาก็ได้รับอิสระ แต่ก็ยังมีเส้นสีดำที่เป็นตัวแทนคำสาปหลงเหลืออยู่บนร่างของพวกเขา
เฉินเกอหยิบกุญแจมือที่รอบข้อมือหลี่เจิ้งขึ้นมา ดีที่เขาใส่กุญแจมือตัวเองเอาไว้กับเจียหมิงเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายหลังหนี ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยเจียหมิง เขาไม่มีทางลากหลี่เจิ้งหนีนอกเสียจากจะจำเป็น
“ผู้ชายคนนั้นไขกุญแจและหนีไป เขาวิ่งเร็วมาก” เจียหมิงและนักเรียนที่ชื่อเป้ยเยี่ยนั้นหนีไป เฉินเกอรู้สึกว่าจำเป็นต้องจับตัวทั้งสองคนเพราะว่าพวกเขารู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มากไป เขาอาจจะคิดอย่างนั้น แต่แน่นอนว่า เฉินเกอไม่พูดออกมาต่อหน้าคนอื่น เขาใช้ดวงตาหยินหยางมองพวกเขาและพบว่าสภาพของพวกเขาดูไม่ดีนัก
มีเส้นสีดำเคลื่อนที่ในดวงตาของพวกเขา– มันเหมือนพวกเขาถูกสาป
สถานการณ์ของมือกรรไกรและชายขี้เมานั้นดีกว่า พวกเขากินเลือดที่เตรียมไว้ให้วิญญาณสีเลือดที่โรงแรม และร่างกายของพวกเขาก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่าง เฉินเกอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของพวกเขาต่ำกว่าปกติ
สภาพของหมอนั้นย่ำแย่กว่า เพราะคำสาปที่ผสมเข้าด้วยกันกับพิษที่เขาดื่มไปก่อนหน้านี้ กล้ามเนื้อของเขาเริ่มฝ่อ ถึงแม้ว่าเขาจะยังเดินได้ มันก็เหมือนกับเขาแก่ขึ้นอย่างน้อยก็สิบปีในเวลาแค่คืนเดียว
“พูดไปแล้ว พวกเราก็ผ่านเรื่องแย่ ๆ มาด้วยกัน คุณรู้เรื่องผมหลายอย่าง และผมก็รู้ความลับในหัวใจของพวกคุณ ตอนนี้ พวกคุณถูกสาป และผมก็ไม่สามารถปล่อยพวกคุณไปทั้งอย่างนั้นได้ เอาอย่างนี้ไหม? พวกคุณไปพักกับผมก่อน และผมจะส่งคุณกลับบ้านหลังจากช่วยรักษาร่างกายที่ถูกสาปของพวกคุณและพวกคุณรู้สึกดีขึ้น” ความรับผิดชอบที่เฉินเกอเสนอนั้นเป็นทางเลือกให้ทุกคน
“ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องรับผิดชอบอย่างนี้ นี่เป็นการเลือกของพวกเราเองในการเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน นอกจากนี้ ถ้าไม่เพราะคุณ พวกเราก็คงตายไปแล้ว คุณช่วยพวกเราไว้หลายครั้ง และพวกเราก็ไม่สามารถตอบแทนสิ่งที่คุณทำได้– แล้วพวกเราจะรบกวนคุณมากกว่านี้ได้ยังไง?” ชายขี้เมานั้นสร่างเมานานแล้ว สมองของเขานั้นโล่งไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ถ้าคุณไม่ถอนคำสาป ชีวิตของคุณก็จะตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา พวกเราผ่านสิ่งต่าง ๆ มาด้วยกันตั้งมาก และผมก็ไม่สามารถยืนเฉย ๆ มองคุณทรมานด้วยความเจ็บปวดและโรคภัย” เฉินเกอนั้นเก็บพนักงานทั้งหมดไปแล้ว เขาตบกระเป๋า
“พวกเราได้รับความช่วยเหลือจากคุณหลายครั้ง และตอนนี้คุณยังให้พวกเราไปพักที่บ้านคุณ มันฟังดูไม่ถูกต้องจริง ๆ” มือกรรไกรพูด “เอาอย่างนี้ไหม? ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเราก็จะไปช่วยคุณแน่นอน! ห้ามปฏิเสธ นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้
“ใช่ คุณจะช่วยพวกเราถอนคำสาปของเงา คุณกำลังจะช่วยชีวิตพวกเราอีกครั้งแล้ว!” ชายขี้เมาและหมอหันไปทางเฉินเกอ
“ผมเปิดบ้านผีสิง และอย่างที่คุณคงจะเห็นแล้ว ผมมี ‘นักแสดง’ ที่เป็น ‘มืออาชีพ’ ที่สุดอยู่ในทีมอยู่แล้ว ผมไม่ต้องการความช่วยเหลืออื่น” เฉินเกอดูไม่สะดวกเหมือนกัน
“แต่พวกเราก็ไม่สามารถเป็นฝ่ายรับน้ำใจของคุณโดยไม่ตอบแทนได้! อย่างน้อยที่สุดก็ให้พวกเราได้ทำงานตามความสามารถของพวกเรา!”
ในเมื่อพวกเขาพูดอย่างนี้แล้ว ถ้าเฉินเกอปฏิเสธคำยืนยันของพวกเขาแล้วก็คงจะรู้สึกผิด เขาทำได้แค่ ‘บังคับ’ ให้ตัวเองตอบรับ “ตกลง แต่ว่าอย่างแรกที่สุดเลย พวกคุณจะไม่ช่วยผมฟรี ๆ ผมจะจ่ายให้พวกคุณตามมาตรฐาน อย่างไรเสีย พวกคุณก็ยังต้องดูแลครอบครัวของตัวเอง และพวกคุณก็ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต นี่เป็นเพียงเงื่อนไขเดียวของผม ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ปฏิเสธ”
ได้ยินอย่างนี้จากเฉินเกอ พวกเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แพร่ผ่านหัวใจของพวกเขา ความชื่นชมของพวกเขาต่อเฉินเกอนั้นมาจากใจจริงที่สุด
“บอสเฉินนี่นักบุญแท้ ๆ!”
ตอนที่ 678
“บ้านผีสิงของผมในจิ่วเจียงค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่บ้าง– ถ้าไม่เชื่อผมคุณลองเสิร์ชในออนไลน์ได้ มันเป็นสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดถ้าคุณอยู่ในธุรกิจสวนสนุก เมื่อพวกเรากลับไป ผมจะให้พวกคุณฝึกฝนในส่วนที่จำเป็น และผมก็หวังว่าในที่สุดแล้วพวกคุณจะตกหลุมรักอาชีพนี้”
ถัดจากพนักงานผี เฉินเกอก็ได้พนักงานมีชีวิตอีกสามคน นอกจากเสี่ยวกู่และซูว่าน ทั้งสามคนนี้ล้วนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลี่ว่าน แต่ว่าวิธีการคิดของพวกเขานั้นต่างไปจากปกติ และเฉินเกอก็ไม่กังวลที่จะปล่อยให้พวกเขาช่วยดูแลฉากใต้ดิน
“โลกนี้ไม่ได้เรียบง่าpอย่างที่มันดูเหมือน เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้พวกคุณที่เหลือช่วยผมก่อนหน้านี้ก็เพราะว่าบ้านผีสิงของผมนั้นเป็นสถานที่พักของวิญญาณไร้บ้านบางดวง ดังนั้น…”
“พวกเราเข้าใจ!” พวกเขาเข้าใจความกังวลของเฉินเกอ หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ประหลาดในเมืองหลี่ว่าน พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์ของเฉินเกอได้
“นั่นยอดเยี่ยมมาก” เฉินเกอตัดสินใจให้พวกเขาดูแลฉากใต้ดินและรับมือกับเรื่องฉุกเฉิน เมื่อบ้านผีสิงขยายออกไป ฉากใต้ดินก็มีแต่จะใหญ่ขึ้น และจำนวนผู้เข้าชมที่พวกเขาจะได้รับก็ด้วย เฉินเกอไม่สามารถรับมือกับทั้งหมดนั่นได้ด้วยตัวคนเดียว
“หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น พวกคุณก็พักกันสักครู่แล้วค่อยไปรายงานความปลอดภัยของตัวเองกับครอบครัวของคุณ” เฉินเกอพูดแล้วหันไปหามือกรรไกรและหมอ “พวกคุณคนหนึ่งมาหาพี่ชาย และอีกคนมาตามหาภรรยา หลังจากนี้ ผมจะพาคุณค้นทั่วเมืองหลี่ว่าน หวังว่าพวกเราจะเจอพวกเขา”
ได้ยินว่าเฉินเกอจะช่วยพวกเขาค้นหาครอบครัวของตน มือกรรไกรก็พยักหน้าอย่างยินดี และกระทั่งสีหน้าของหมอก็อ่อนลงครู่หนึ่งเหมือนภูเขาลูกใหญ่ถูกยกออกจากอกเขา “ขอบคุณ”
“นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำ” มือกรรไกรและหมอนั้นไม่มีครอบครัวคนอื่นเหลืออยู่แล้ว แต่มันต่างออกไปสำหรับชายขี้เมา มันเป็นอุบัติเหตุที่เขาขึ้นมาบนรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 จากมุมหนึ่ง เขาก็ไม่ต่างไปจากคนธรรมดาคนหนึ่ง
“บ้านของผมอยู่ในเมืองซินไห่ หลังจากคำสาปบนร่างของผมควบคุมได้แล้ว ผมก็อยากจะกลับบ้าน” ชายขี้เมาเกาหัว “ผมอาจจะดูไม่เหมือน แต่ว่าผมมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ แต่ว่า หลังจากแม่ของผมเสียไป ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อของผมก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา ดังนั้นผมจึงอาศัยอยู่ในจิ่วเจียงคนเดียวมาตลอดหลายปีนี้ หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้แล้ว ผมคิดว่าผมเข้าใจบางอย่างแล้ว ชีวิตนี้เสียใจทีหลังก็สายไป ผมคิดว่าผมอยากกลับบ้านไปคุยกับพ่อของผม”
“เดี๋ยวนะ แกเป็นพวกบ้านรวยเหรอ?” มือกรรไกรกับเฉินเกอนั้นไม่คิดจริง ๆ ว่าชายขี้เมาจะมีพื้นเพแบบนี้
“ไม่คิดว่ามันค่อนข้างหยาบคาบไปหน่อยเหรอที่เรียกคนอื่นเขาอย่างนั้นต่อหน้าอ่ะ” ชายขี้เมากุมขมับ– เขาเห็นแล้วว่าอนาคตของตัวเองจะน่าสนใจแค่ไหน “พวกเราควรจะเริ่มใหม่ ผมชื่อจางจิงจิ่ว อย่างที่คุณเห็น ผมดื่มไม่เก่ง แต่เพราะอะไรไม่รู้ ลูกค้าชอบเรียกผมว่า คอทองแดง ผมค้าขายอหังสาริมทรัพย์กับไวน์ขาว”
“ผมมีชื่อที่บ้านเด็กกำพร้าตั้งให้อยู่ แต่ว่าไม่ค่อยชอบ ดังนั้นพวกคุณแค่เรียกผมว่ามือกรรไกรก็พอ” ทั้งมือกรรไกรและชายขี้เมาแนะนำตัวง่าย ๆ ตอนที่ถึงตาคุณหมอ เขาส่ายหน้าเหมือนมีบางอย่างที่ยังไม่พร้อมจะบอก เฉินเกอก็ไม่ได้อยู่กับหัวข้อนี้นาน พวกเขาตามเสี่ยวปู้กลับไปเมืองหลี่ว่านเพื่อพบกับฟ่านฉง
“บอสเฉิน!” ฟ่านฉงดีใจมากมายเมื่อเห็นเฉินเกอ แต่ภายใต้ความดีใจก็มีความกังวล เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของเขา ฟ่านต้าเตอ
“พี่ชายของนายน่าจะสบายดี ผมแน่ใจเรื่องนั้น” หลังจากปลอบฟ่านฉง เฉินเกอก็พาพนักงานของเขาเดินไปทั่วเมืองหลี่ว่าน เหตุผลเบื้องหน้าก็คือช่วยมือกรรไกรและหมอตามหาครอบครัวของเขา เฉินเกอค้นไปทั่วเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาไม่เจออะไรที่สมาคมเล่าเรื่องผีทิ้งไว้เลย วิญญาณที่อาศัยอยู่ในตึกล้วนแอบหนีไปเงียบ ๆ หลังจากเงาจากไป
หลังจากค้นหาอยู่นาน ก็ไม่เจอญาติของทั้งมือกรรไกรและหมอ และพวกเขาก็ดูค่อนข้างเศร้าซึม
“ในเมื่อเงาก็ถูกจัดการไปแล้ว พวกเราก็คอยกลับมาที่นี่ สักวันหนึ่งพวกเราก็ต้องพวกเขา” เฉินเกอไม่รู้ว่ามันถูกหรือไม่ที่พูดอย่างนั้น แต่เขารู้สึกว่า ตราบใดที่มีชีวิต ตราบนั้นก็มีความหวัง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันก็ถูกต้องแล้ว
“ได้เวลากลับแล้ว พวกเราอยู่ในประตูนานเกินไปแล้ว ได้เวลาออกไปแล้ว”
ภารกิจเมืองหลี่ว่านนั้นมอบข้อมูลมากมายให้เฉินเกอ นอกจากปลดล็อกฉากและเพิ่มจำนวนพนักงานของเขาแล้ว เขายังได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับภารกิจระดับสี่ดาว ผีทารก
ผีทารกที่เติบโตอยู่ในอกของเงานั้นน่าจะเป็นหน้าตาตอนกำเนิดของผีทารก และเฉินเกอก็จดจำใบหน้านั้นไว้ในหัวแล้ว
พวกเขากลับไปที่เขตที่พักอาศัยของฟ่านฉง เฉินเกอให้เสี่ยวปู้เตรียมเปิดประตู จากนั้นเขาก็วางหลี่เจิ้งที่หมดสติอยู่ไว้ในห้องข้าง ๆ เขาเริ่มพูดคุยกับมือกรรไกรและคนที่เหลือถึงวิธีการรับมือกับการสอบปากคำจากตำรวจ ในเรื่องนี้ เฉินเกอนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
…
ในตึกเก่า ๆ ทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน ครอบครัวสามคนถูกบีบจนมุม ชายที่ดูตื่นตระหนกนั้นอายุราวสี่สิบปี เขาเบียดตัวอยู่กับผู้หญิงที่ดูไร้อารมณ์คนหนึ่งและเด็กชายคนหนึ่งก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“เงาก็ตายไปแล้ว แล้วพวกเราจะยังทำอะไรอยู่ที่นี่? ถ้าพวกคุณสนใจพวกเขา ก็แค่ฆ่าพวกเขาซะ หรือว่าอยากเล่นซ่อนหาต่อ?” เป้ยเยี่ยนั่งอยู่บนพื้นถือมีดเล่มหนึ่งเอาไว้ ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“ฉันจะพูดซ้ำอีกที– ฉันต่างจากแก” เจียหมิงรั้งหน้าเด็กชายและมองใกล้ ๆ “ใช่ เป็นเขา”
“แกกำลังพูดอะไร?” เป้ยเยี่ยเดินเข้าไปและมองเด็กชายที่หวาดกลัวครู่หนึ่ง
“ตอนที่เงานั่นสิงร่างฉันอยู่ เขาทำเรื่องบ้าคลั่งมากมาย และเพราะอย่างนั้น ฉันก็เลยรู้ความลับของเงานั่นอยู่บ้าง ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามใส่ชิ้นส่วนของร่างกายของเขาเอาไว้ในแก่นของแม่และใช้มันพยายามประเมินระดับของคำสาปและความอาฆาตแค้นสูงสุดที่คนเป็นสามารถรองรับได้ ในความทรงจำของฉัน เขาทำสำเร็จสองครั้ง ครั้งหนึ่งสร้างผีทารก และอีกครั้งสร้างปิศาจน้อยตนหนึ่ง” ดวงตาของเจียหมิงที่มองไปยังเด็กชายและผู้หญิงที่ดูไม่ค่อยสบายนั้นดูน่าผวา
“แกกำลังพูดว่าเด็กนั่นเป็นส่วนหนึ่งของผีทารก?” เป้ยเยี่ยนั้นไม่รู้ว่าเจียหมิงกำลังคิดทำอะไร เหตุผลเดียวที่เขาตกลงร่วมมือกับเจียหมิงก็เพราะว่าฝ่ายหลังนั้นรู้ความลับมากมายของเงา
“หลังจากทดลองสำเร็จ เงานั่นก็ดึงความอาฆาตแค้นและคำสาปกลับ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ในตัวเด็ก เขาครอบครองคำสาปที่มีแหล่งกำเนิดเดียวกับผีทารกเอาไว้ ดังนั้น เขาน่าจะสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของผีทารกได้ เพราะอย่างนั้น พวกเราก็ควรจะพาเขาไปกับพวกเราด้วย”
“แกแน่ใจเหรอ? เด็กคนนี้ดูธรรมดามาก”
“นี่คือการปลอมตัวที่ดีที่สุด ถ้าไม่เพราะแม่ของเขา ฉันก็คงจำเขาไม่ได้จริง ๆ” เจียหมิงอุ้มเด็กขึ้นมาแล้วบอกพ่อกับแม่ของเขา “นี่เป็นเพราะเด็กคนนี้พวกเราก็เลยจะไม่ฆ่าพวกแก แต่ฉันหวังว่าพวกแกจะทำตามคำสั่งของพวกเราและช่วยพวกเราฝึกเด็กคนนี้ เพื่อให้เขาเข้าใจวิธีการควบคุมความอาฆาตแค้นและคำสาปในร่างของเขา”
“ไม่มีปัญหา” ชายคนนั้นรับปากอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าต่ำ และความชั่วร้ายก็วิ่งผ่านดวงตาของเขา
“อย่างนั้นก็ไปกันได้แล้ว ฉันรู้ตำแหน่งของประตูอีกบานในจิ่วเจียงตะวันออก– พวกเราออกจากไปทางนั้นได้” หลังจากพูดอย่างนั้นแล้ว เจียหมิงก็พาพวกเขาเข้าไปในหมอกเลือด
ตอนที่ 679
“เสี่ยวปู้ เธอเปิดประตูตอนนี้ได้ไหม?” นอกจากสองแขนของเธอแล้ว เสี่ยวปู้เจอชิ้นส่วนร่างกายส่วนใหญ่แล้ว เธอยืนอยู่หน้าประตู และความทรงจำเลวร้ายมากมายก็ผุดขึ้นในใจเธอ หมอกเลือดรอบเมืองหลี่ว่านขยับ และมันก็พุ่งเข้าไปที่ชั้นใต้ดิน วัตถุที่คล้ายอวัยวะภายในคลานออกมาจากพื้นสีแดงเลือดและแหย่ตัวเองเข้าไปในประตูที่เปิดอยู่ครึ่ง ๆ สิบวินาทีให้หลัง ประตูที่เก่าและพังก็ดูเหมือนจะฟื้นฟูขึ้นมาด้วยตัวมันเอง และมีเพียงแค่มุมสองด้านที่ยังว่างเปล่า
“เตรียมพร้อมนะ พวกเรามีเวลาแค่นาทีเดียว ถ้าพวกเราหนีออกไปไม่ได้ อย่างนั้นพวกเราก็ต้องรออีกวันแล้ว” หมอกหนาหายไปเมื่อมันสัมผัสกับประตู แต่มุมที่หายไปทั้งสองก็ถูกซ่อมแซมด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หมอกเลือดเปลี่ยนไปเป็นหลอดเลือด และเหมือนกับเข็มและด้าย มันเข้าไปซ่อมเสริมแทนส่วนที่หายไป
เมื่อมุมทั้งสองที่หายไปได้รับการซ่อมแซม ประตูทั้งบานก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และมันก็เปิดออกช้า ๆ เห็นได้ชัดเจนว่าประตูที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นเป็นภาระหนักแก่เสี่ยวปู้จริง ๆ ดังนั้นเฉินเกอและคนที่เหลือจึงตั้งใจตั้งสมาธิให้มากขึ้น
ประตูสีเลือดนั้นเชื่อมอยู่กับพื้น และหลอดเลือดที่บนประตูก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา เสียงประหลาดดังมาจากตึกรอบ ๆ พวกเขา และด้วยสภาพนี้ ประตูก็เปิดออกเต็มที่
“เร็ว!” ชายขี้เมาเป็นคนแรกที่ออกไป แบกหลี่เจิ้งเอาไว้บนหลัง จากนั้นก็เป็นหมอ ฟ่านฉง และมือกรรไกร เฉินเกอที่แบกกระเป๋าสองใบนั้นรั้งท้าย ตอนที่เขาจะออกไป เขาก็หันมามองเสี่ยวปู้ “ถ้าเธอเจออะไรที่จัดการเองไม่ได้ จำไว้ว่าไปหาผมนะ ผมอยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ จิ่วเจียงตะวันตก”
ก้าวเท้าออกจากประตูไปนั้นราวกับตกลงไปในทะเลลึก มีความรู้สึกบิดเบี้ยวจากการไร้แรงโน้มถ่วงชั่วคราว และดวงตาก็ต้องการเวลาหลายนาทีในการปรับรับภาพใหม่ ตอนที่เฉินเกอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ‘ประตู’ ที่ด้านหลังเขาก็ปิดไปแล้ว และทั้งกลุ่มก็เบียดกันอยู่ในชั้นใต้ดินร้าง
“เฮ้! ตื่น!” หนีออกมาจากโลกแห่งฝันร้ายแล้วทั้งกลุ่มก็รู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่ สำหรับคนทั่วไป นี่ช่างเป็นค่ำคืนอัน ‘ตื่นเต้น’
“พวกคุณจะไม่บอกใครเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้เห็นที่อีกด้านของประตู และพวกคุณทุกคนก็จำได้ว่าต้องตอบคำถามตำรวจยังไงใช่ไหม?”
“ใช่ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น”
พวกเขาคลานออกจากห้องใต้ดินของเจี่ยงหลงและไปที่ห้องน้ำ กระจกที่เฉินเกอทำแตกเมื่อครั้งสุดท้ายที่เขามาที่นี่นั้นยังไม่ได้ซ่อม ฝ่ายจัดการของเขตที่พักอาศัยนั้นแค่ติดแผ่นไม้เอาไว้บนผนังเท่านั้น
“ผมจะไปที่สถานีตำรวจแล้ว พวกคุณควรกลับบ้าน ถ้าทุกอย่างสำเร็จด้วยดี พวกเราค่อยพบกันพรุ่งนี้ตอนบ่ายที่ทางเข้าบ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่” เฉินเกอรับหลี่เจิ้งมาจากชายขี้เมา เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นี้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และตอนนี้เขาก็กำลังลำบาก– เฉินเกอจะไม่ทิ้งเขาเอาไว้ข้างหลัง
“รอเดี๋ยวก่อน” ฟ่านฉงพูดอย่างเกรงใจ “บอสเฉิน ผมไปกับคุณด้วยได้ไหม? หนึ่ง ผมเป็นห่วงพี่ชายผม และสอง ผมไม่กล้ากลับบ้านจริง ๆ ตอนนี้ ถ้าฆาตกรนั่นยังรอผมอยู่ที่บ้านหรือมีอะไรคลานออกมาจากใต้เตียงอีกล่ะ?”
เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้นั้นทิ้งรอยแผลเป็นลึกเอาไว้กับฟ่านฉง เขาน่าจะคิดซ้ำสองก่อนที่จะเล่นเกมอะไรแล้วตอนนี้
“ได้ อย่างนั้นคุณก็ตามผมไปก่อนแล้วกัน ถ้าคุณยังหางานไม่ได้ งั้นก็มาช่วยผมที่บ้านผีสิง” เขาเคยทำงานกับฟ่านฉงมาก่อน เจ้าอ้วนคนนี้นั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ว่าเขามีจิตใจที่ดี หลังจากค่ำคืนยาวนาน ฝนที่ตกหนักก็หยุดแล้ว แต่ว่าเมฆดำยังคงลอยอยู่บนฟ้า และสายฟ้าก็ยังวาบผ่านลงมาอยู่บ้าง
“พวกเราสามารถใช้โทรศัพท์ได้แล้วตอนนี้ ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าครึ่ง และพวกเราก็ต้องไปเจอกันตอนเที่ยง ทางที่ดีให้หาเวลาพักผ่อนเสียตอนนี้” เฉินเกอพูดและเดินลึกเข้าไปในเมืองหลี่ว่านพร้อมหลี่เจิ้งบนหลัง
“บอสเฉิน ทำไมคุณถึงจะกลับเข้าไปในเมือง? มีอะไรให้พวกเราช่วยไหม?” มือกรรไกรนั้นดูกระตือรือร้น เขาเหมือนจะเห็นร่องรอยของพี่ใหญ่ของเขาในตัวเฉินเกอ และนั่นก็คือความจริงใจที่หาได้ยากในทุกวันนี้
“ผมต้องไปตรวจดูเสียหน่อยว่ารถเมล์ยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า มันยากที่จะหาแท็กซี่ที่ในเมืองหลี่ว่าน ผมรู้สึกว่ามันจะดีที่สุดสำหรับพวกเราที่จะขับรถเมล์ออกไป” เฉินเกอพูดง่าย ๆ เหมือนนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน
“คุณต้องการขับรถเมล์ผีสิงไปด้วยงั้นเหรอ?” นี่ก็มีเหตุผลในระดับหนึ่ง แต่มีบางอย่างดูไม่ถูกต้อง
“ไม่ใช้มันก็นับว่าเสียเปล่า เงานั่นใช้มันล่อลวงพวกเรา แต่ตอนนี้ที่เงานั่นตายแล้ว พวกเราก็ควรจะได้สืบทอดสิ่งของของมัน” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “สิ่งของน่ะไม่มีผิดถูกหรอก มันขึ้นกับใครเป็นคนใช้มัน ตราบใดที่คนใช้มีจิตใจที่ดี ทุกอย่างย่อมไม่เป็นไร”
“แต่… พวกเราจะไม่ถูกตำรวจเรียกตัวไว้เหรอถ้าเราขับรถเมล์ไปตามถนน?” หมอถามคำถามที่ดูมีเหตุผล
“นั่นทำให้พวกเราต้องรีบลงมือก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น” ตอนที่พวกเขาพูด เฉินเกอก็ไปถึงที่ตรงที่รถขนศพเคยจอดเมื่อครั้งสุดท้าย แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ รถขนศพหายไปแล้ว
นี่เป็นเพราะว่าฉันขับมันเข้าไปในโลกที่ด้านหลังประตู? รถขนศพถูกทิ้งเอาไว้ที่ด้านหลังประตู? เฉินเกอไม่เข้าใจ ในใจเขา อิทธิพลของประตูสีเลือดนั้นมีผลกับแค่มนุษย์และผี มันไม่ควรมีผลกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต
เกิดอะไรขึ้นกับรถขนศพหรือเปล่า? หรือว่าความเข้าใจโลกที่ด้านหลังประตูของฉันนั้นยังไม่เพียงพอ? เฉินเกอตัดสินใจมาเอารถขนศพกลับตอนที่ประตูเปิดครั้งถัดไป
เห็นรถขนศพหายไป ทั้งชายขี้เมาและหมอก็ดูโล่งใจ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่อยากต้องขึ้นรถผีสิงกลับบ้าน
พวกเขาเดินไปตามถนนอยู่นานมากก่อนที่จะเจอแท็กซี่ หลังจากคนขับหยุดรถ ในที่สุดเขาก็พบว่าคนกลุ่มนี้แบกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หมดสติมาด้วย และวิญญาณของเขาก็แทบจะหลุดออกจากร่างเพราะความกลัว
“คุณครับ พวกเรามีกันหลายคน ถ้าพวกเราเบียดกันไปที่ด้านหลังคุณจะรังเกียจไหม?”
“ไม่เลย ไม่เลย พวกคุณจะไปที่ไหน?”
“ไปส่งพวกเขาที่บ้านก่อน แล้วส่งผมที่สถานีตำรวจของเมือง”
“ได้ ได้”
บางทีอาจจะเป็นเพราะความกลัวหรืออย่างอื่น แต่ว่าคนขับขับรถเร็วมาก หลังจากส่งผู้โดยสารคนอื่น ๆ กลับบ้านเรียบร้อยมันก็เช้าแล้ว ฟ่านฉงที่นั่งอยู่ด้านหน้าง่วงงุน หลี่เจิ้งยังหมดสติ และนอกจากคนขับแล้ว เฉินเกอก็เป็นคนเดียวที่ยังตื่นอยู่ เขามองภาพด้านนอกหน้าต่างที่วิ่งผ่านไปรวดเร็วแล้วก็ดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมา เขาแตะเปิดข้อความ
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ทำภารกิจระดับ 3.5 ดาว– เมืองหลี่ว่าน สำเร็จ!
“อัตราความสำเร็จของภารกิจคือเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์! ได้รับรางวัลพิเศษ– พินัยกรรมของเทศมนตรี
“เมืองหลี่ว่านเป็นเมืองที่อยู่ในกำมือของปิศาจ มีเพียงผู้เดียวที่เหี้ยมโหดยิ่งกว่าฆาตกรเลือดเย็นและน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณที่สิ้นหวัง– ผู้ที่เลวทรามที่สุด โหดร้ายที่สุด– ที่จะได้รับรางวัลนี้!
“พินัยกรรมของเทศมนตรี: ขอแสดงความยินดีที่ได้กลายมาเป็นเจ้าของคนใหม่ของเมืองนี้ หลังจากบ้านผีสิงผ่านระดับวงกตสยองขวัญ และเข้าถึงระดับใหม่ คุณจะได้รับโอกาสในการเปิดสาขาที่มีเมืองหลี่ว่านเป็นฉาก! รายละเอียดตามจริงจะได้รับหลังจากเปิดให้มีการปลดล็อกอย่างเป็นทางการ!”
เฉินเกออึ้งไปเมื่อเห็นข้อความ ฉันขุดลึกลงไปใต้เมืองหลี่ว่านสามฟุต* แต่อัตราความสำเร็จก็ยังไม่ใช่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์? แต่ว่า รางวัลนี้ก็น่าสนใจมากทีเดียว
หลังจากการขยายอีกสองครั้ง บ้านผีสิงก็จะถึงระดับใหม่ และก็เป็นตอนนั้นที่เฉินเกอจะสามารถใช้พินัยกรรมของเทศมนตรีเปิดสาขาที่ในต่างเมือง
“นี่เป็นสิ่งที่คล้ายกับตาข่ายนิรภัย มีอะไรมารองรับไว้ย่อมดีกว่า แต่ว่าตอนนี้ฉันควรจะตั้งใจกับบ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ หลังจากฉันเจอพ่อกับแม่และทุกอย่างได้รับการจัดการเรียบร้อย แผนการอื่นค่อยพิจารณา”
เฉินเกอเลื่อนหน้าจอลงและแตะเปิดข้อความอื่น
TL note: *ขุดลึกลงไปสามฟุต เป็นสำนวนที่นิยมใช้กัน หมายถึง ตามล่าหาความจริงจนถึงที่สุด
ตอนที่ 680
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ทำภารกิจระดับ 3.5 ดาว– เมืองหลี่ว่าน สำเร็จ! ปลดล็อกฉากใหม่เอี่ยม เมืองหลี่ว่าน!
“เมืองหลี่ว่าน (ระดับความสยอง 3.5 ดาว): ฉากนี้ประกอบด้วยเขตที่พักอาศัยเมืองหลี่ว่าน โรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน ทางแยก หมาหน้ายิ้ม ลิฟท์ที่ลงไปที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง โรงแรมเที่ยงคืน และอื่น ๆ เพราะฉากนี้ค่อนข้างใหญ่มาก กรุณาเลือกอย่างระมัดระวังว่าจะเปิดเผยมันสู่สาธารณชนหรือไม่
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้สำเร็จสี่คน และได้รับรางวัลเพิ่มเติม– เครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์
“เขาคือฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้ เขาไม่เคยทิ้งหลักฐานการก่อคดีเอาไว้นอกจากศพ กระทั่งเชื้อชาติและเพศก็ยังไม่สามารถระบุได้
“เครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์– เสื้อคลุมหมอก: เสื้อคลุมนี้สามารถปิดบังใบหน้าของคุณ รูปร่างของคุณ และความผิดที่คุณได้ก่อเอาไว้
“เครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์– จดหมายสีดำ: ครั้งหนึ่งแจ็คเคยเก็บชิ้นส่วนของเหยื่อเอาไว้ในจดหมายและส่งมันไปให้กับสำนักงานท้องถิ่น
“เครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์– กรรไกรแห่งโชคดี: กรรไกรเปื้อนเลือดเล่มนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับโชคดี นั่นเป็นเพียงแค่ชื่อของมันเท่านั้น
“ผลพิเศษของเครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์– การผ่าตัดปลูกถ่าย*: ในค่ำคืนที่มีหมอกหนา ผลพิเศษของเครื่องแต่งกายจะเผยออกมา การปลูกถ่ายที่สมบูรณ์แบบนั้นต้องการประสบการณ์ล้ำลึกในการผ่าตัด แต่ว่าถ้าคุณทำสำเร็จ คุณก็จะได้สืบทอดพรสวรรค์แห่งการปลูกถ่าย”
เห็นโทรศัพท์เครื่องดำบอกว่าเขาช่วยเหยื่อผู้บริสุทธิ์ได้สี่คน เฉินเกอก็ถอนหายใจโล่งอก เพราะว่านั่นเข้ากันได้พอดีกับสี่คนที่เขาช่วยเอาไว้ หลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เฉินเกอก็สามารถให้พวกเขาทำงานที่บ้านผีสิงได้โดยไม่กังวล
ถ้านับเครื่องแต่งกายของคุณหมอนักเจาะกะโหลกกับพยาบาลไร้หัว ชุดแจ็ค เดอะริปเปอร์นี่ก็เป็นเครื่องแต่งกายชุดที่สามแล้ว
มองค้อนที่ในกระเป๋าสะพายหลัง ตอนนี้เฉินเกอก็แน่ใจแล้วว่าชุดพวกนี้นั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่มันเป็น ความแตกต่างใหญ่ที่สุดระหว่างพวกมันและชุดที่บ้านผีสิงก็คือพวกมันอาจจะมีความพิเศษ
กรรไกรแห่งโชคดี… หลังจากที่ตรวจดูมันแล้วฉันอาจจะให้มือกรรไกรยืมมันไปใช้ก่อน เขาน่าจะชอบตัวละครนี้
เก็บโทรศัพท์เครื่องดำแล้วเฉินเกอก็มีรอยยิ้มพอใจบนหน้า นอกจากรางวัลที่ได้จากโทรศัพท์เครื่องดำ เขายังได้อย่างอื่นจากเมืองหลี่ว่านอีกมาก หนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนนั้นเต็มแล้ว และพนักงานเก่า ๆ ตอนนี้ก็กำลังทำงานล่วงเวลาในการฝึกฝนคนใหม่
มีวิญญาณสัมภเวสีและวิญญาณอาฆาตเยอะขนาดนี้ มันน่าจะเพียงพอในการเติมเต็มทุกฉาก
เฉินเกอเริ่มคิดปรับเกมบ้า ๆ ที่เจ้าของโรงแรมแสดงให้เขาดูให้เข้ากับบ้านผีสิงของเขาเอง เขาเหม่อลอยจนไม่รู้ว่าพวกเขามาถึงสถานีตำรวจแล้ว
พอเฉินเกอลงจากแท็กซี่ เขาก็ดึงดูดความสนใจของยามได้ทันที พอเขาเห็นเฉินเกอแบกหลี่เจิ้งที่หมดสติลงจากแท็กซี่ เขาก็วิ่งเข้ามาทันที
“สารวัตรหลี่?”
“เขาไม่เป็นไร แค่หมดสติไปเท่านั้น”
“เขาหมดสติ และคุณยังบอกว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ? ทำไมคุณไม่ส่งเขาไปโรงพยาบาลเลย?” ยามร้องถามเสียงดัง และนั่นก็ทำให้คนอื่น ๆ ที่มาธุระที่สถานีตำรวจตกใจกลัว ได้ยินแล้วเจ้าหน้าที่หลายคนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานีตำรวจก็รีบร้อนออกมาเช่นกัน
คำถามจากยามทำให้เฉินเกอสะดุด เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นช่วยอะไรไม่ได้มาก ดังนั้นเขาจึงนำเจ้าหน้าที่ตำรวจตรงมายังสถานีตำรวจ อย่างไรเสียเขาก็มาที่นี่บ่อยและบอกให้คนขับรถมาส่งเขาที่สถานีตำรวจไปตามความคุ้นเคย
“นี่เป็นคำสั่งที่สารวัตรหลี่สั่งผมเอาไว้ก่อนที่เขาจะหมดสติไป นอกจากหัวหน้าเอี๋ยน เขาไม่เชื่อใครทั้งนั้น และเขาก็ขอให้ผมเป็นคนพาเขามาส่งให้หัวหน้าเอี๋ยนด้วยตัวเอง” เฉินเกอแบกหลี่เจิ้งเอาไว้และไม่ยอมให้ใครแตะต้องเขา
“ได้ แต่คุณต้องพาเขาไปโรงพยาบาลก่อน! อันที่จริง ผมจะไปกับคุณด้วย และพวกเราจะติดต่อหัวหน้าเอี๋ยนระหว่างทาง” ด้วยการจัดการของทางสถานี หลี่เจิ้งและเฉินเกอถูกเร่งให้ไปโรงพยาบาล ที่นั่นก็เป็นอีกสถานที่ที่เฉินเกอคุ้นเคย
หลี่เจิ้งถูกส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินเพื่อตรวจร่างกายขณะที่เฉินเกอรออยู่ที่ทางเดิน ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา หัวหน้าเอี๋ยนก็มาถึง เจ้าหน้าที่ที่ดูใจดีและเข้าถึงง่ายผู้นี้นั้นดูโทรมมาก
“หัวหน้าเอี๋ยน สารวัตรหลี่อยู่ในนั้น เขายังไม่ได้สติ” เฉินเกอและฟ่านฉงลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้? เธอเจอหลี่เจิ้งที่ไหน?” หัวหน้าเอี๋ยนดูเหมือนไม่ได้นอนเลยทั้งคืน และเขาก็ดูไม่ค่อยดีนัก
“พวกเราพบสารวัตรหลี่ที่ในเมืองหลี่ว่าน เขากำลังไล่ตามจับคนร้ายที่หนีการจับกุม เจียหมิง อยู่คนเดียว” เฉินเกอรู้ว่าปากนั้นพลั้งพลาดได้ ดังนั้นจึงเล่าเรื่องให้หัวหน้าเอี๋ยนฟังโดยย่อเท่านั้น
“แปลก ทำไมหลี่เจิ้งถึงได้กระทำการโดยตัวเอง? อันที่จริง พวกเราเสียการติดต่อกับเขาที่จุดหนึ่ง ฉันไม่อยากเชื่อว่าสารวัตรที่มีประสบการณ์ทำงานสิบปีจะทำอะไรวู่วามอย่างนั้น” จากสีหน้าหัวหน้าเอี๋ยน เห็นได้ชัดว่าเทียบกับการจับตัวเจียหมิงแล้ว เขาเป็นห่วงหลี่เจิ้งมากกว่า
“น่าจะเป็นเพราะผู้ต้องสงสัย– เขาดูไม่เหมือนคนธรรมดา” เฉินเกอมองไปยังแก้วสแตนเลสที่ข้างตัว สีหน้าหัวหน้าเอี๋ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้มากกว่าที่กำลังพูด เฉินเกอนั้นเห็นได้ชัดเจนผ่านเงาสะท้อนที่บนแก้ว
“ไม่ว่ายังไง เรื่องนี้ให้ฉันจัดการ พวกเธอสองคนไปให้ปากคำ”
“ได้ครับ”
ในเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอได้ยินจากหลี่เจิ้งว่าหัวหน้าเอี๋ยนนั้นมีเบื้องหลังบางอย่าง และการพูดคุยสั้น ๆ ก่อนหน้านี้ก็ยืนยันเรื่องนั้นได้ แต่ว่า หัวหน้าเอี๋ยนนั้นอยู่ข้างเฉินเกอมาโดยตลอดและดูประทับใจในเฉินเกอมากทีเดียว เขาช่วยเฉินเกอหลายครั้ง ดังนั้นฝ่ายหลังจึงไม่คิดมากนัก
ระหว่างการให้ปากคำ ฟ่านฉงได้ยินเกี่ยวกับพี่ชายของเขาที่สถานีตำรวจ เมื่อคืนนี้ ตอนที่ฝนกำลังตกหนัก ฟ่านต้าเตอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนกำลังกลับบ้าน เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่คนที่ชนกับเขานั้นเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทั้งหมดนี้เหมือนเป็นการบงการของบุคคลที่สาม
เมื่อรู้ว่าพี่ชายปลอดภัยดี ฟ่านฉงก็ถอนใจอย่างโล่งอก หลังจากให้ปากคำ เขาก็ไปเยี่ยมพี่ชายของตน เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันกับเฉินเกอว่าทุกอย่างถูกต้องเขาก็แยกกลับไปที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ โชคดี เขากลับไปถึงสวนสนุกก่อนเปิดทำการพอดี
“บอส เมื่อคืนคุณไปไหนน่ะ?” เสี่ยวกู่และซูว่านกำลังรออยู่ที่ประตู “ทำไมคุณมักจะมาถึงเป็นคนสุดท้ายทั้งที่คุณเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่น่ะ?”
“ฉันตื่นเช้าและออกไปที่ฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์พน้กงานใหม่สองสามคน พวกเขาน่าจะมาถึงตอนบ่าย” เฉินเกอผลักเปิดประตู “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาร่ำไร รีบเข้าไปแต่งตัวเตรียมทำงาน!”
ช่วงเวลาก่อนที่สวนสนุกแห่งอนาคตจะเปิดนั้นเป็นเหมือนเฮือกสุดท้ายของบ้านผีสิงของเฉินเกอ มันคือความสงบก่อนพายุจะมา
สวนสนุกเปิดตอนเก้าโมงเช้า และผู้เข้าชมก็หลั่งไหลเข้ามา พริบตาเดียว หน้าบ้านผีสิงก็มีแถวยาวเหยียด และมีฝูงชนออกันอยู่ในโถงพักอีกกลุ่มใหญ่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเหมือนที่ทำงานของเฉินเกอนั้นเป็น ‘ฐานทัพ’ ของพวกเขา
พนักงานส่วนใหญ่ในกระเป๋าสะพายของเขานั้นได้รับบาดเจ็บ และพวกเขาก็กำลังพักฟื้น ดังนั้นเฉินเกอจึงต้องทำหลายอย่างคนเดียว แต่ว่า เขาก็แค่คนคนเดียว– เขาไม่สามารถแยกร่างได้ ดังนั้น ระดับความยากของฉากจึงลดลง
ขณะที่จำนวนคนที่ผ่านฉากได้เพิ่มมากขึ้น ผู้เข้าชมก็ถูกสะกดให้หลงเชื่อและคุยโตว่าพวกเขานั้นใกล้จะได้ ‘ครอบครอง’ บ้านผีสิง แบบในภาษาเกมออนไลน์
เมื่อเห็นความมีชีวิตชีวาของผู้เข้าชม เฉินเกอก็รู้สึกดีใจแทนพวกเขา
ผู้เข้าชมผ่านฉากระดับสามดาวได้มากเท่าใด จำนวนคนที่สามารถท้าทายฉากระดับ 3.5 ดาวได้ก็เพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนว่าฉันต้องสร้างเมืองหลี่ว่านให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว
ตอนที่ 681
เฉินเกอนั้นวุ่นวายกับการรับมือเหตุการณ์ในและนอกบ้านผีสิง การผจญภัยครั้งนี้ของเขานั้นกินเวลาทั้งคืน และเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้พักผ่อนดี ๆ เลยเช้านี้ ดังนั้นพอถึงตอนบ่าย เขาก็แทบจะร่างสลายแล้ว
เขาเปิดกระเป๋าสะพายหลังปล่อยเหล่าโจวและคนที่เหลือออกมา เขาเลือกพนักงานสองสามคนที่หน้าตาพอดูได้ และให้พวกเขาเข้าไปที่ฉากใต้ดินช่วยดูแลเรื่องพื้นฐานที่นั่น นอกจากซู่อินแล้ว พนักงานส่วนใหญ่นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาป กลับกัน พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนได้รับสารอาหารจากหมอกเลือดและได้รับประโยชน์บางอย่าง พออาการบาดเจ็บของพวกเขาหายดีแล้ว พลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“สำหรับวันนี้ การหลอกผู้เขาชมนับเป็นเรื่องรองจากทุกอย่าง พวกเธอพักผ่อนให้ดี อย่าได้หักโหมมากเกินไป” เฉินเกอบอกพนักงานของเขา บอกให้พวกเขาผ่อนปรนแก่เหล่าผู้เข้าชม ถึงแม้ว่าเหล่าพนักงานจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเฉินเกอถึงได้ทำเหมือนเป็นปรปักษ์กับบ้านผีสิงของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังทำตามคำสั่งของเขา
เที่ยงครึ่ง เสี่ยวกู่และซูว่านออกไปพักคนละครึ่งชั่วโมง ผู้เข้าชมส่วนใหญ่ก็ไปรับประทานอาหารกลางวัน และแถวที่หน้าบ้านผีสิงก็ลงความยาวลง ขณะที่จำนวนผู้เข้าชมลดลง ผู้ชายสองคนก็เดินฝ่าฝูงชนมา
พวกเขาคนหนึ่งมีใบหน้าที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ ขณะที่อีกคนนั้นยืนตรงตัวแข็งทื่อ ฝ่ายหลังนั้นสวมสูท สีหน้าดูค่อนข้างกระวนกระวาย
“ขอโทษนะครับ แต่ว่าบอสเฉินอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” ชายในชุดสูทถามลุงซูที่กำลังควบคุมการขายตั๋วอยู่
“พวกคุณเป็นผู้เข้าชมหรือว่าญาติของผู้เข้าชม?” เมื่อลุงซูเห็นชายที่พันผ้าพันแผลไว้ที่บนหน้า หัวใจของเขาก็กระตุก และความคิดแรกของเขาก็คือเฉินเกอสร้างเรื่องอีกแล้ว
“พวกเรามาที่นี่เพื่อทำงาน บอสเฉินน่าจะแจ้งคุณไว้แล้วใช่ไหมครับ?”
“โอ้ คุณก็คือพนักงานใหม่? ได้ รอตรงนี้เดี๋ยวนะ ฉันจะไปเรียกเขา”
หลายนาทีให้หลัง เฉินเกอก็เดินออกมาจากบ้านผีสิง เขาเองก็ค่อนข้างตกใจเมื่อเห็นแขกสองคนของเขา สองคนนี้ต่างไปจากที่เขาจดจำได้
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของมือกรรไกรนั้นมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ เขารูปร่างผอมสูง ผิวขาวเผือดอย่างน่ากลัว เขาดูเหมือนจะดำเนินชีวิตห่างไกลจากแสงอาทิตย์มาเป็นเวลานาน แวบแรกเขาดูไม่เหมือนฆาตกรเลย แต่ดูเหมือนผู้ป่วยโรคร้ายแรงมากกว่า ขณะที่ชายขี้เมาจางจิงจิ่วนั้นตรงกันข้ามกับมือกรรไกรอย่างสิ้นเชิง หลังจากอาบน้ำและสวมชุดสูท เขาก็ดูสดใสและน่าเข้าหา ดูเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแบบที่จะอยู่บนปกนิตยสาร
“พวกคุณมาได้เวลาพอดีเลย ในเมื่อตอนนี้ไม่มีผู้เข้าชมอยู่พอดี ผมจะพาพวกคุณเดินดูรอบ ๆ” เฉินเกอต้อนรับสองคนเข้าไปในบ้านผีสิง “แล้วก็ หมอเล่า? เขาไม่ได้มากับพวกคุณเหรอ?”
“หลังจากแยกกับคุณ พวกเราก็แลกเบอร์กัน แต่ไม่รู้ทำไม พวกเราไม่สามารถติดต่อหมอผ่านโทรศัพท์ได้” เมื่อพูดถึงหมอ สีหน้าของจางจิงจิ่วก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ผมสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา หรือว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง? ผมไปตามที่อยู่ที่เขาให้ผมไว้ แต่หลังจากถามเพื่อนบ้านแถวนั้นแล้ว ผมก็พบว่าเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ
“หมายความว่าตอนนี้หมอหายตัวไป?” เฉินเกอคิดก่อนจะพยักหน้า “ไม่เป็นไร ผมเชื่อเขา พวกเราผ่านอะไรด้วยกันมามากเกินกว่าที่เขาจะทำร้ายพวกเราลง ต้องมีเหตุผลที่เขาหายตัวไป”
อันที่จริง พูดตามตรง เฉินเกอก็ไม่ได้เชื่อถือในตัวหมอเท่าไหร่นัก เขาเชื่อโทรศัพท์เครื่องดำมากกว่า หมออาจจะไม่ใช่ตัวละครธรรมดา แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายคนอื่น
นำพนักงานทั้งสองคนเข้าไปในบ้านผีสิง เฉินเกอก็อธิบายแต่ละฉากให้ฟังสั้น ๆ ไม่เหมือนเสี่ยวกู่และซูว่าน เฉินเกอวางแผนที่จะฝึกพวกเขาให้เป็นพนักงานบ้านผีสิงเต็มตัว แทนที่จะให้พวกเขาดูแลฉากใดฉากเดียว
“ตอนที่พวกเรากลับมาทำงานหลังพักเที่ยง ผมแนะนำให้คุณสองคนตามหลังผู้เข้าชมไปสัมผัสแต่ละฉากในบ้านผีสิงเริ่มตั้งแต่ฉากระดับหนึ่งดาว” เฉินเกอใช้น้ำเสียงใจดีและเป็นมิตรที่สุดพูดประโยคนั้นกับมือกรรไกรและชายขี้เมาที่ยังไม่รู้ว่าความจริงโหดร้ายแค่ไหน “ในเมื่อพวกคุณกำลังจะมาทำงานที่นี่ในอนาคต ก็ไม่มีทางที่พวกคุณจะมัวมากลัวสิ่งที่อยู่ที่นี่”
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะพยายามอย่างสุดความสามารถ” มือกรรไกรและชายขี้เมาสัญญาอย่างง่ายดาย บางทีจากมุมมองของพวกเขาแล้ว ในเมื่อพวกเขารอดพ้นจากสถานที่อย่างเมืองหลี่ว่านมาได้ จะยังมีอะไรที่พวกเขาต้องกลัวอีกบนโลกนี้?
“ยอดเยี่ยมมาก ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ขอให้พวกคุณสนุกสนานไปพร้อม ๆ กับผู้เข้าชมช่วงบ่ายนี้” เฉินเกอไม่ได้มอบหมายภารกิจอะไรให้กับมือกรรไกรและชายขี้เมา เขาแค่บอกให้ทั้งคู่ตามผู้เข้าชมเข้าไป– นั่นเป็นวิธีการที่ดีที่สุดให้พวกเขาเรียนรู้
พักกลางวันหมดลงในไม่ช้า และมือกรรไกรกับชายขี้เมาก็เริ่มต้นวันที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของพวกเขา
ได้ยินเสียงกรีดร้องและตะโกนดังมาจากในฉาก เฉินเกอก็เกาคาง “พวกเขายังตกใจกลัวง่ายเกินไป ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพนักงานบ้านผีสิง ฉันกลัวว่าก่อนที่พวกเขาจะหลอกผู้เข้าชม เขาจะถูกเพื่อนร่วมงานหลอกจนกลัวแทบตายไปก่อน แต่ว่า ฉันก็ต้องเริ่มใช้ฉากเมืองหลี่ว่านเร็ว ๆ นี้แล้ว ดังนั้นฉันต้องฝึกพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนที่เฉินเกอกำลังคิด เสียงลุงซูก็ดังมาจากข้างนอก และเฉินเกอก็วิ่งออกไปขานรับเสียงเรียกอย่างรวดเร็ว ลุงซูยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้อำนวยการลั่วที่ทางเข้า และพวกเขาก็ดูเหมือนจะมีอะไรมาบอกเฉินเกอ
“ผู้อำนวยการลั่ว ทำไมคุณถึงตัดสินใจมาหาผมด้วยตัวเองล่ะครับวันนี้?” เฉินเกอประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าสวนสนุกแห่งอนาคตปล่อยกลยุทธ์ใม่อีกนะครับ?”
“คนของสวนสนุกแห่งอนาคตเริ่มการโฆษณาแล้ว แต่ว่าผมมาที่นี่วันนี้เพื่อคุยกับเธอเรื่องอื่น” ผู้อำนวยการลั่วโบกมือให้เฉินเกอแล้วทั้งสองคนก็เดินยังมุมที่ลับตามากขึ้น “เฉินเกอ ผมตรวจดูแอพพลิเคชั่นเล็ก ๆ ที่พวกเราออกแบบกันก่อนหน้านี้ ผมพบว่าจำนวนผู้เข้าชมที่ผ่านฉากระดับสามดาวได้แล้วสูงพอสมควรทีเดียว อันที่จริง ผู้เข้าชมบางคนเกือบจะผ่านทุกฉากของบ้านผีสิงได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป บ้านผีสิงของเธอก็จะถูกเคลียร์ได้ทั้งหมดก่อนที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่จะเปิดให้บริการเสียอีก ถ้าเป็นอย่างนั้น แรงดึงดูดของบ้านผีสิงต่อผู้เข้าชมก็จะลดลงเป็นอย่างมาก และด้วยวิธีเล่นใต้โต๊ะของคนจากสวนสนุกแห่งอนาคต สถานการณ์ของพวกเราก็ดูจะไม่ดีนัก”
ผู้อำนวยการลั่วนั้นอยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี ถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่เหมือนอย่างนั้น แต่อันที่จริงเขาก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง “จุดดึงดูดใหญ่ที่สุดของสวนสนุกของพวกเราก็คือนานถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีใครสามารถเคลียร์ฉากบ้านผีสิงของเธอได้ครบ ผมรู้ว่านี่จะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของเธอ แต่ตอนนี้ พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และพวกเราก็แพ้ไม่ได้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้”
“ผู้อำนวยการลั่ว คุณมาที่นี่เพราะเรื่องนี้เหรอครับ?” เฉินเกอประหลาดใจที่วิธีการคิดของผู้อำนวยการลั่วนั้นคล้ายคลึงกับเขา “ไม่ต้องห่วงครับ ผมตั้งใจผ่อนปรนให้พวกเขาเองครับวันนี้”
“เธอตั้งใจ? แต่ว่าจำนวนผู้เข้าชมที่ผ่านฉากได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราได้ยังไง?” ผู้อำนวยการลั่วนั้นเชื่อในตัวเฉินเกอ แต่ว่าเขาก็คิดไม่ออกว่าทำไมเฉินเกอถึงทำอะไรอย่างนี้
“ครับ ยิ่งมีคนผ่านฉากระดับสามดาวได้มากเท่าไหร่ จำนวนคนที่จะสามารถเข้าไปสนุกกับฉากใหม่ที่น่ากลัวขึ้นก็มากขึ้นตาม ถ้าไม่มีใครท้าทายฉากที่เปิดใหม่ ไม่มีกระทั่งความตื่นเต้น มันก็ไม่เป็นการดีกับการโฆษณาของพวกเรา” เฉินเกออธิบายด้วยน้ำเสียงสงบ
“ฉากใหม่?” ผู้อำนวยการลั่วจับจุดหลักของสิ่งที่เฉินเกอพูดได้อย่างรวดเร็ว “เธอสร้างฉากใหม่เสร็จแล้ว?”
“แนวคิดกับวัตถุดิบนั้นพ่อกับแม่ของผมเตรียมเอาไว้แล้ว ดังนั้นผมก็แค่ต้องประกอบฉากขึ้นมาเท่านั้น ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมรับรองว่าฉากใหม่นี้จะน่ากลัวยิ่งกว่าฉากเดิมของพวกเรา” เฉินเกอมองผู้อำนวยการลั่ว โดยไม่ต้องพูดอะไรอย่างอื่นอีก พวกเขาทั้งสองคนต่างมีรอยยิ้มปริศนาให้กัน
“เอาละ อย่างนั้นก็ทำอย่างที่เธอกำลังทำต่อได้เลย ถ้าเธอต้องการอะไรอย่างอื่น ก็มาบอกผม ผมจะพยายามให้ความร่วมมือกับเธออย่างเต็มที่” ผู้อำนวยการลั่วรู้สึกดีขึ้นมากและเขาก็ถือเอกสารที่อยู่ในมือกลับไป
“มีเจ้านายที่ทุ่มเททุกอย่างให้กับสวนสนุกอย่างนี้ แล้วผู้เข้าชมจะกลัวไม่สนุกได้ยังไง?” เฉินเกอกลับไปที่บ้านผีสิง เขาก็วิ่งขึ้นลงชั้นใต้ดิน ตอนที่เขาตามดูสภาพของมือกรรไกรกับจางจิงจิ่ว เขาก็ดูให้แน่ใจไปด้วยว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผู้เข้าชมที่ในฉาก
หกโมงครึ่ง บ้านผีสิงก็ส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายกลับออกไป เฉินเกอให้ซูว่านและเสี่ยวกู่กลับไปก่อนก่อนที่จะกลับเข้าไปในบ้านผีสิงอีกครั้ง มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วนอนอ่อนแรงอยู่ที่บนพื้น สติสัมปชัญญะของพวกเขาอ่อนล้า
อันที่จริง พวกเขาจำได้ชัดเจนว่าตัวเองหมดสติไปในบ้านผีสิง ตอนที่พวกเขากำลังสวดภาวนาอยู่เงียบ ๆ ว่าได้รับการปล่อยตัวออกจากบ้านผีสิงแล้ว พวกเขาก็ลืมตามาและพบว่าตัวเองยังอยู่ในบ้านผีสิง พวกเขามองเวลาที่บนโทรศัพท์ และมันก็บอกพวกเขาว่าเวลาเพิ่งผ่านไปแค่สิบนาทีตั้งแต่ที่พวกเขาหมดสติไป
หลังจากถูกทรมานรอบแล้วรอบเล่า พวกเขาก็เริ่มหวาดกลัวน้อยลง ถึงแม้ว่าใบหน้าจะยังซีดขาวราวกับกระดาษเพราะความตกใจ แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่หมดสติแล้ว
“เป็นไง รู้สึกยังไงบ้าง?” เฉินเกอยื่นน้ำแร่สองขวดให้ เขาวางแผนจะฝึกมือกรรไกรและจางจิงจิ่วเป็นพนักงาน ดังนั้นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับพวกเขา เฉินเกอไปขอกลุ่มคุณหมอเว่ยให้ตามดูพวกเขา และให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์เมื่อจำเป็น
“ผมบอกไม่ถูกจริง ๆ มันเหมือนกับไม่ว่าในอนาคตจะเจอบททดสอบชีวิตอะไรอีก ผมก็คงสามารถยิ้มรับมือกับมันแล้วก็ชนะมันได้” จางจิงจิ่วฟื้นตัวได้ดีทีเดียว เขาพยายามหมุนเปิดฝาขวดน้ำด้วยมือสั่น ๆ แต่พยายามอยู่หลายครั้งก็ยังไม่สำเร็จ
“แล้วนายล่ะ มือกรรไกร?”
“ทำไมมันถึงเหมือนว่าผมรู้สึกดีกว่าตอนที่อยู่ในเมืองหลี่ว่าน? บางทีอาจจะมีความบ้าคลั่งแอบซ่อนอยู่ในตัวผมจริง ๆ ก็ได้” มือกรรไกรยกมือกุมหน้าตัวเอง ก่อนที่จะมาที่นี่ เขาไม่คิดจริง ๆ ว่าบ้านผีสิงของเฉินเกอจะน่ากลัว บาดแผลที่ค่อย ๆ ฟื้นฟูอย่างช้า ๆ บนหน้าของเขาเกือบจะฉีกจนมีเลือดซึมออกมาใหม่จากความหวาดกลัว
“ดีมาก ตอนนี้พวกนายก็ได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ในมุมของผู้เข้าชมแล้ว ฉันจะพาพวกนายไปสัมผัสกับทุกอย่างอีกครั้งในมุมมองของพนักงาน” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วไปเอารถเข็นมาจากห้องโถงพักรอ
“อะไรนะ? อีกครั้ง?” มือกรรไกรและจางจิงจิ่วเบียดตัวเข้าหากัน สหายที่ผ่านความหวาดกลัวมาด้วยกัน
“ถ้าพวกนายเดินไม่ไหว ฉันจะเข็นนายไปรอบ ๆ เองด้วยรถเข็นนี่ ไม่ต้องห่วง มันปลอดภัย ฉันวิ่งเล่นอยู่ในนี้มาจะเป็นสิบปีแล้ว ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรอก”
ด้วยการกระตุ้นจากเฉินเกอ มือกรรไกรและจางจิงจิ่วก็เข้าไปในบ้านผีสิงอีกครั้ง แต่ว่า การเข้ามาของพวกเขาครั้งนี้ต่างไปจากครั้งก่อน เฉินเกอเริ่มสอนพวกเขาถึงวิธีการหลอกให้ผู้เข้าชมหวาดกลัว
“นักแสดงในบ้านผีสิงน่ะไม่มีบท ดังนั้นทักษะการแสดงของแต่ละคนจึงสำคัญมากขึ้นไปอีก พวกนายต้องมองตัวเองเป็นตัวละครที่พวกนายกำลังสวมบทบาทอยู่จริง ๆ แล้วบทบาทของตัวละครนั้นก็จะหลั่งไหลออกมาจากตัวนายได้อย่างเป็นธรรมชาติ”
จากการเรียนรู้วิธีการฟื้นชีพที่ดีที่สุดด้วยการเป่าปาก จากการเรียนรู้วิธีการใช้กลไกเล็ก ๆ ที่เกลื่อนอยู่ในบ้านผีสิง จนถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาของคนบ้าคลั่ง มือกรรไกรและจางจิงจิ่วถึงได้ตระหนักว่าคนผู้หนึ่งต้องรู้เรื่องมากมายแค่ไหนถึงจะเป็นพนักงานบ้านผีสิงที่มีคุณภาพได้
“ดึกมากแล้ว พวกนายกลับบ้านไปพักผ่อนได้ มาที่นี่เช้าพรุ่งนี้ แล้วฉันจะมอบหมายงานให้พวกนายทำ ให้นายเข้าใจความสนุกและเสน่ห์แท้จริงของการทำงานในบ้านผีสิง
เมื่อมือกรรไกรและจางจิงจิ่วกลับไปแล้ว เฉินเกอก็ส่งโบนัสให้พวกเขาแต่ละคน นับเป็นค่านอกเวลา
หลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืนของการไม่ได้พักผ่อน ร่างกายของเฉินเกอก็ถึงขีดจำกัด เขาตั้งนาฬิกาปลุกแล้วล้มลงไปบนเตียง
ตอนตีสี่เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเกอก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุก เขาอุ้มเจ้าแมวขาวที่ตะกายขึ้นมาขดอยู่ข้างหมอนของเขาจากที่บนเตียงแล้วรีบเปิดโทรศัพท์เครื่องดำ
“ฉากระดับ 3.5 ดาว– เมืองหลี่ว่าน สร้างเสร็จแล้ว!
“คำเตือน! พื้นที่ภายในของบ้านผีสิงเต็มแล้ว กรุณาขยายพื้นที่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
“ต้องขยายพื้นที่อีกครั้งเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ฉากเมืองหลี่ว่านใหญ่แค่ไหนกันแน่?” บ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นเลื่อนระดับขึ้นเป็นวงกตสยองขวัญแล้ว หลังจากขยายอีกสองครั้ง มันก็จะเลื่อนระดับถึงขั้นต่อไป “ฉันต้องปล่อยเรื่องการขยายพื้นที่ออกไปจนกว่าจะสะดวกกว่านี้ ส่วนตอนนี้ ฉันควรลงไปตรวจดูฉากใหม่”
ฉากเปิดสู่สาธารณชนเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับเฉินเกอ เขาสวมเสื้อผ้า แบกกระเป๋า แล้วมุ่งหน้าไปที่ชั้นใต้ดิน ทางเดินที่นำไปสู่เมืองหลี่ว่านนั้นอยู่ถัดไปจากหมู่บ้านโลงศพ ทั้งสองฉากนั้นเชื่อมถึงกัน แต่ฉากใหม่นี้ใหญ่กว่าหมู่บ้านโลงศพรวมกับหอผู้ป่วยสามเสียอีก
“มีทะเลสาบสำหรับผีน้ำ และอุโมงค์ที่นำไปสู่ที่ไหนไม่รู้ ติดกับหมู่บ้านโลงศพ และยังมีโรงพยาบาลและโรงเรียนอยู่ข้างใต้นี่ ที่นี่กำลังจะกลายไปเป็นเมืองใต้ดินที่มีบริการต่าง ๆ ครบครัน”
เดินไปตามถนน ตึกที่รอบตัวเฉินเกอนั้นกลับปลูกลงไปด้านล่างแทนที่จะปลูกขึ้นมาด้านบน มีชั้นใต้ดิน และชั้นใต้ดินส่วนใหญ่ล้วนเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นวงกตในตัวมันเอง
เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เข้าชม เฉินเกอตรวจสอบทุกตึกทีละหลัง แค่นี้ก็ใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมงแล้ว ขนาดของที่นี่นั้นช่างน่าดูชมจริง ๆ นั่นแหละ
“แต่ที่กว้างใหญ่อย่างนี้ก็มีข้อดีของมันเอง ฉันจะทำให้ที่นี่กลายไปเป็นสิ่งที่ฉันต้องการได้อย่างอิสระ” เฉินเกอเรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาแล้วเริ่มปรับปรุงฉาก นี่รวมถึงเอาสิ่งของที่มีคนและอันตรายออก จากนั้นเขาก็จัดวางพนักงานที่ ‘ฝึกฝน’ แล้วคนใหม่เข้าไปในฉากของพวกเขา
“มีจุดสยองขวัญหลัก ๆ สามจุด– โรงแรม โรงพยาบาล และเขตที่พักอาศัย ตอนนี้ ฉันยังมีผีน้อยเกินไป หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ฉันจะให้มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วเข้ามาเติมจำนวนพนักงานที่นี่ แต่นอกจากนั้นแล้ว ฉันยังต้องทำหุ่นอีกชุดหนึ่ง”
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับโรงแรมก็คือห้องลับด้านหลังตู้เย็น โชคร้าย ผีผู้หญิงหิวโหยนั้นถูกฆ่าไปแล้ว และต้นกำเนิดความสยองชิ้นใหญ่จึงหายไป เฉินเกอพยายามคิดหาวิธีชดเชยเรื่องนั้น เขาวางแผนจะฟื้นฟูเมืองหลี่ว่านให้อยู่ในสภาพเหมือนจริงที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อสร้างความรู้สึกสิ้นหวังที่ทุกมุมนั้นมีวิญญาณซุ่มซ่อน และทุกเลี้ยวนำไปสู่ฆาตกรเหี้ยมโหด
“ฉากอื่นนั้นมีจุดสยองไม่ถึงสิบจุด และฉันก็วางจุดสยองขวัญเอาไว้ในเมืองหลี่ว่านมากกว่านั้น ด้วยความถี่ของความน่ากลัวสูงขนาดนี้ ฉันอยากรู้นักว่าผู้เข้าชมจะรอดจากฉากนี้ไปได้ไหม” เฉินเกอนั้นพอใจกับการทำงานของตนที่เมืองหลี่ว่าน เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่จนถึงแปดโมงเช้า ตอนที่เขาเข้าไปในฉาก หนังสือการ์ตูนของเขาอ้วนไปด้วยเนื้อหาด้านใน แต่ตอนที่เขากลับออกมา มันแทบจะว่างเปล่า
“เมื่อวานนี้ มีคนผ่านฉากระดับสามดาวได้มากมาย พอพวกเขาเริ่มผ่อนคลาย ก็ต้องมีคนที่ยินดีอาสาเข้าฉากระดับสามดาวครึ่งฉากใหม่ที่ฉันจะเปิดให้เข้าชมวันนี้ ถ้าฉันโชคดีพอ ฉันก็อาจจะเจอพวกโทรลล์อยู่ในพวกเขาด้วย จะดีที่สุดถ้าเป็นคนที่สวนสนุกแห่งอนาคตส่งมา”
ออกจากฉากใต้ดินแล้ว เฉินเกอก็ไปอาบน้ำเย็น ๆ และเตรียมเริ่มงาน วันนี้เป็นวันแรกที่มือกรรไกรและจางจิงจิ่วจะเริ่มงานของตน และพวกเขาก็มาถึงเช้ามาก
“บอส มีสิ่งที่ผมต้องบอกคุณด้วย” จางจิงจิ่วยังคงสวมสูท ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก “ผมยังไม่สามารถติดต่อกับหมอได้ มันเหมือนเขาหายตัวไป”
“ฉันเข้าใจแล้ว ตอนนี้ ยังไม่ต้องห่วงเรื่องเขา” เฉินเกอนำทั้งสองคนเข้าไปในห้องแต่งตัว “ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรอง ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองเลยนะ”
ใช้พรสวรรค์ที่ได้รับมาจากโทรศัพท์เครื่องดำ เฉินเกอก็แสดงสุดยอดทักษะในการแต่งหน้าพนักงานใหม่ทั้งสองคน นี่ทำให้มือกรรไกรและจางจิงจิ่วประหลาดใจ– บอสคนใหม่ของพวกเขานั้นเป็นอัจฉริยะในทุกด้านอย่างแท้จริง
“จะเปิดบ้านผีสิงก็ต้องแต่งหน้าเป็นละนะ” เฉินเกอแต่งจางจิงจิ่วเป็นบอสเจ้าของโรงแรมเมืองหลี่ว่าน จากนั้นก็หาชุดแจ็ค เดอะริปเปอร์ ในห้องเก็บของมาส่งให้มือกรรไกร “ตัวละครของนายก็คือฆาตกรบ้าคลั่ง ฉันเคยเจอพวกคนบ้ากว่าสิบแบบ ฉันจะจดรายละเอียดให้นายทีหลัง หวังว่านั่นจะช่วยให้นายมีแรงบันดาลใจ”
ตอนที่ 682
หลังจากมือกรรไกรแต่งตัวแล้ว เฉินเกอก็มองเขาและไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าจางจิงจิ่วถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว
“ชุดนี้เข้ากับนายมากเลย” เสื้อคลุมปิดบังใบหน้า และกรรไกรเปื้อนเลือดก็เห็นวับแวมเมื่อแขนเสื้อขยับ จากที่ไกล ๆ มันทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาด เขายืนอยู่ไกล ๆ แต่เหมือนเขากำลังขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และจะกระโจนใส่คนอื่น ๆ เมื่อไหร่ก็ได้
“ฉันจะหารองเท้าให้นายเปลี่ยนสักคู่หนึ่งหลังจากนี้ ไอ้ที่นายสวมอยู่มันไม่ค่อยเข้ากับเครื่องแต่งกายที่เหลือ”
โดยรวมแล้ว เฉินเกอพอใจกับชุดของมือกรรไกร ไม่เหมือนเสี่ยวกู่ มือกรรไกรนั้นฝึกฝนที่บ้านมาเป็นอย่างดี ดูวิดีโอและละครถึงวิธีการเล่นเป็นคนบ้าคลั่ง เขายังมีประสบการณ์มาก่อนที่เมืองหลี่ว่าน ตอนนี้ ในด้านรูปลักษณ์และท่าทาง เขาก็คล้ายกับคนบ้าคลั่งจริง ๆ มากทีเดียว
มันยากที่จะอธิบายรายละเอียด แต่ว่ามีความกลัวที่ก่อตัวขึ้นในตัวตนของเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูว่านกับเสี่ยวกู่ก็มาถึง
ในห้องแต่งตัว เฉินเกอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ “พวกเราจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันในอนาคต ดังนั้นก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซูว่านเป็นพนักงานที่มีประสบการณ์ที่สุดของฉัน ดังนั้นถ้ามีคำถามอะไร ก็ถามเธอได้”
หลังจากแต่งหน้าให้เสี่ยวกู่กับซูว่านแล้ว เฉินเกอก็ให้พวกเขาเข้าไปในฉากของตัวเองเพื่อเตรียมตัวก่อนที่จะไปยังห้องควบคุมหลักเพื่อหาวิทยุติดตามตัวและหูฟังกับไมโครโฟนส่งให้จางจิงจิ่วและมือกรรไกร
“มีกล้องวงจรปิดในห้องควบคุม ดับนั้นถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไร ฉันจะสั่งนายผ่านอุปกรณ์พวกนี้ ตอนนี้ พวกนายตามฉันเข้าไปในฉาก” เฉินเกอนำพวกเขาเข้าไปในเมืองหลี่ว่าน เดินไปตามถนน มือกรรไกรและจางจิงจิ่วก็รู้สึกเหนือจริง แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเฉินเกอของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ถามคำถามอะไรมากมาย
“จิงจิ่ว ฉันต้องการให้นายอยู่ในโรงแรมเล่นเป็นบอสก่อนตอนนี้ นายยังต้องฝึกหลอกลูกค้าให้มากกว่านี้ก่อน ดังนั้นอย่าได้เข้าไปพัวพันกับพวกเขาถ้าไม่จำเป็น” เฉินเกอมั่นใจในบ้านผีสิงของเขา ดังนั้นเขารู้ว่าคนที่สามารถผ่านฉากระดับสามดาวมาได้นั้นไม่กลัวอะไรง่าย ๆ แน่นอน พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าพนักงานใหม่ของเขา
“งั้นผมควรจะทำอะไร?” จางจิงจิ่วถูมือเข้าด้วยกัน มันเป็นการทำงานวันแรก และเขาก็รู้สึกอยากจะทำอะไรสักอย่าง เขาค่อนข้างตื่นเต้น
“แค่ฟังคำสั่งของฉัน ฉันจะมอบหมายหน้าที่ให้นายทำ” เฉินเกอพูดและหันไปมองมือกรรไกร “นายอยู่รอบ ๆ เขตที่พักอาศัยไปก่อนชั่วคราว เดินไปมาได้อิสระ แต่ว่าระวังไว้สามอย่าง หนึ่ง อย่าสัมผัสถูกตัวผู้เข้าชม สอง ความปลอดภัยของผู้เข้าชมสำคัญที่สุด สาม อย่าลืมป้องกันตัวเอง”
“ป้องกันตัวเอง?” มือกรรไกรมีความรู้สึกไม่ค่อยดีก่อตัวขึ้นในใจ
หลังจากมอบหมายบทบาทให้พวกเขาแล้ว เฉินเกอก็ออกไปจากฉากใต้ดิน เขาตั้งใจจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาดูสะอาดและเฉียบแหลม เหมือนพี่ชายข้างห้องผู้สดใส
“ลุงซู ลุงมาเช้าเชียวนะวันนี้!” เฉินเกอออกจากบ้านผีสิงวิ่งเข้ามาหาลุงซูที่ด้านนอก เขาทักทายพนักงานสูงวัยอย่างกระตือรือร้น
“ผู้อำนวยการลั่วบอกว่าแกอาจจะมีความคิดอะไรใหม่ ๆ ดังนั้นก็เลยให้ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยแกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ลุงซูมองเฉินเกอที่แต่งตัวใหม่และเพราะอะไรไม่รู้ เขารู้สึกกระวนกระวายอย่างประหลาด “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการแข่งขันระหว่างพวกเรากับสวนสนุกแห่งอนาคต ดังนั้นทางที่ดีแกอย่าทำอะไรที่เกินเลยไปนักนะ!”
“ไม่ต้องห่วงครับ” นั่นคือทั้งหมดที่เฉินเกอรับปากลุงซู จากนั้นเขาก็ดึงไม้กระดานที่วางเอาไว้ในห้องโถงรอพัก เขาใช้กระดานแผ่นเดิมที่เคยใช้ประกาศเปิดหมู่บ้านโลงศพ และครั้งนี้ เขาก็กำลังจะใช้มันอีกครั้ง “เรียกฉากเมืองหลี่ว่านคนท้องถิ่นอาจจะไม่เห็นด้วยนัก บางทีฉันควรจะปล่อยให้มันไร้ชื่อ นั่นก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน”
เฉินเกอเรียกฉากใหม่ว่าเมืองเล็กและวางป้ายเอาไว้ที่หน้าซุ้มขายตั๋ว มันเรียบง่ายและชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่เฉินเกอรู้ดี
“แกกำลังวางแผนจะเปิดฉากใหม่?” ลุงซูมองสองคำที่บนป้ายและขมวดคิ้ว เฉินเกอปล่อยฉากใหม่เร็วเกินกว่าทีมสนับสนุนจะตามทัน
“ใช่ มันไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ลุงก็เห็น มันเป็นเหมือนฉากคั่นน่ะครับ– ระดับความยากแค่สามดาวครึ่ง จุดประสงค์หลักก็คือวางรากฐานสำหรับฉากระดับสี่ดาวที่จะตามมาทีหลัง” เฉินเกอดึงโทรศัพท์เข้ามาแล้วล็อกอินเข้าไปในแอพพลิเคชั่นของผู้อำนวยการลั่วในฐานะผู้ดูแลและปล่อยประกาศใหม่
“เปิดให้บริการฉากใหม่! เมื่อความหวาดกลัวชุ่มโชกเข้าไปถึงกระดูกของคุณและฝันร้ายกลายเป็นความจริง คุณเพิ่งรู้ว่าคุณไม่สามารถหาทางออกจากเมืองเล็กนี้ได้”
เพียงแค่ไม่กี่นาทีหลังจากเฉินเกอปล่อยประกาศ ก็มีการคลิกเข้ามาดูมากกว่าสามพันครั้ง ลูกค้าผู้ภักดีบางคนยังแชร์ประกาศออกไปยังเวบอื่น ๆ และความคิดเห็นต่าง ๆ ก็ทะยอยเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ละครั้งที่กดเริ่มหน้าใหม่ หน้านั้นก็เต็มไปด้วยความคิดเห็นใหม่ ๆ
“เดี๋ยวก่อนนะ! ไม่ใช่ว่าฉากใหม่เพิ่งปล่อยเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองเหรอ? ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนเพิ่งกลับมาจากที่นั่นเองนะ? อย่าโกหกฉันนะ!”
“พวกคุณผลิตฉากใหม่ออกมาเหมือนเป็นบ้าอ่ะ! ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว เลขาลิ่ว ซื้อตั๋วกลับไปที่นั่นให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
“คำแนะนำนี่ค่อนข้างเรียบง่าย! ฉันอยากรู้ว่าฉากใหม่จะเป็นธีมเกี่ยวข้องกับอะไร”
“ฉันจะสนุกกับความซวยของพวกคุณอย่างปลอดภัยอยู่ที่บ้านนะ”
“นี่คือการโฆษณาชวนเชื่อ: ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ชื่นชอบการไปบ้านผีสิง บางทีวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงอาจจะเป็นสถานที่ที่อนาคตของพวกเธอจะสว่างไสว!”
สวนสนุกเปิดตามปกติตอนเก้าโมงเช้า เมื่อประตูเปิด วัยรุ่นหลายคนก็พุ่งมาทางบ้านผีสิง
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเห็นความหลงใหลบนใบหน้าของผู้เข้าชม ฉันก็รู้สึกโชคดีที่ได้อยู่ในธุรกิจนี้” เฉินเกอช่วยลุงซูขายตั๋วอยู่ที่ทางเข้า ผู้เข้าชมส่วนใหญ่ที่รีบร้อนมานั้นเป็นผู้เข้าชมที่มาครั้งแรก และพวกเขาก็ขอเข้าชมฉากระดับต่ำ พวกเขาตื่นเต้นเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกของตน
เป้าหมายของเฉินเกอก็คือผู้เช้าชม ‘รุ่นพี่’ ที่สามารถผ่านฉากระดับสามดาวได้แล้ว คนพวกนี้นั้นได้รับการฝึกฝนเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะมาเร็ว พวกเขาก็ไม่มาต่อแถวเร็วขนาดนั้น พวกเขาจะตรงเข้าไปยังห้องโถงพักรอเพื่อสังเกตสถานการณ์
ถึงแม้ว่าเฉินเกอจะไม่ได้ไลฟ์อีกเลยระยะหลังมานี้ และครั้งสุดท้ายที่อัพโหลดวิดีโอก็นานพอสมควรแล้ว คนที่เคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับบ้านผีสิงก็ยังรู้ว่าเขาคือใคร
อย่างไรเสีย ในการโหวตออนไลน์ ตัวละครที่ผู้เข้าชมไม่ปรารถนาจะเจอตอนที่อยู่ในบ้านผีสิง ผู้ชนะอันดับหนึ่งก็ไม่ใช่วิญญาณที่ไหน แต่เป็นเฉินเกอ แต่นี่ก็อาจจะเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
ตอนที่พวกเขาเห็นเฉินเกอกำลังขายตั๋วอยู่ที่ด้านนอกบ้านผีสิง พวกเขาก็เข้าไปดูใกล้ ๆ พวกเขาพบว่าเฉินเกอที่พวกตนจินตนาการเอาไว้นั้นต่างไปจากเฉินเกอตัวจริงอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มคนนี้ที่มีรอยยิ้มสบาย ๆ จะเป็นตัวละครที่คนไม่อยากจะเจอที่สุดในบ้านผีสิงได้อย่างไร?
“อย่าผลักกันครับ มีหลายฉากให้เยี่ยมชม กรุณาเข้าแถวให้เป็นระเบียบ” ตั้งแต่บ้านผีสิงกลายเป็นที่นิยมขึ้นมา ผู้อำนวยการลั่วก็ทำอะไร ๆ ให้เฉินเกอมากมาย เขากระทั่งสร้าง QR code ให้เฉินเกอหลายอัน แค่สแกน เขาก็จะบอกระดับฉากที่พวกผู้เข้าชมสามารถเข้าชมได้ได้ มันสะดวกมาก
สิบโมงเช้า ผู้เข้าชมกลุ่มแรกก็เยี่ยมชมเสร็จเรียบร้อย ผู้เข้าชม ‘รุ่นพี่’ ที่ยังสังเกตสถานการณ์อยู่นั้นกำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว พวกเขาเดินออกมาจากห้องโถงรอพักและเข้าต่อแถว
“มีใบหน้าเดิม ๆ เยอะเลยวันนี้ นี่เป็นเพราะการเปิดฉากใหม่หรือเปล่า?” ไม่มีอะไรหลุดรอดไปจากสายตาเฉินเกอ เขายังรักษารอยยิ้มเอาไว้บนใบหน้า หวังว่าฉากใหม่ของเขาจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าชม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น