My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 660-663
ตอนที่ 660
เฉินเกอรู้ว่าเขตที่พักอาศัยของฟ่านฉงนั้นเก่า แต่เขาไม่รู้เลยว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นอพาร์ทเม้นท์สวัสดิการของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และที่ประหลาดใจกว่านั้นก็คือครั้งหนึ่งโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคติดต่อเคยตั้งอยู่ที่เมืองหลี่ว่านนี้
“ผมได้ยินมาจากคนพื้นที่ที่ยังอยู่ที่นี่” ชายมีรอยสักรีบอธิบายด้วยกลัวว่าเฉินเกอจะเข้าใจผิด “ก่อนที่ประตูในเมืองหลี่ว่านจะถูกเปิดออก ที่นี่ก็เป็นสถานที่แปลก ๆ อยู่แล้ว หากพวกคุณเคยอยู่ในจิ่วเจียงตะวันตก คุณจะรู้ว่าคนเก่าแก่นั้นจะไม่ยอมอาศัยอยู่ใกล้ ๆ เมืองหลี่ว่าน เพราะว่าความ ‘สกปรก’ ของที่นี่ อันที่จริง ‘สกปรก’ ของพวกเขานั้นมีสองความหมาย– หนึ่งเป็นเพราะโรคติดต่อร้ายแรงที่เคยแพร่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ นี้มาก่อน และอีกความหมายก็คือมีเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่หลายต่อหลายครั้ง”
“คุณยังพอหาโรงพยาบาลนั่นเจอไหม?” เฉินเกอยืนอยู่หน้าตึกแรก
“คุณมีความสนใจแปลก ๆ ดีนะ ทำไมมันถึงเหมือนกับว่ายิ่งอยู่ในที่อันตราย ๆ คุณก็ยิ่งสนใจล่ะ?” ชายมีรอยสักคิดก่อนที่จะส่ายหน้า “ผมไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้งแท้จริงของมัน ตามข่าวลือ โรงพยาบาลน่าจะถูกรื้อถอนรากถอนโคน พวกเขาขุดหลุมเอาไว้รอบ ๆ ตึกและปล่อยให้ทั้งโรงพยาบาลจมลงไปในพื้น”
“พวกเขาฝังทั้งตึกลงไป? หรือกระทั่งอิฐสักก้อนของโรงพยาบาลเก่าก็ไม่อนุญาตให้หลุดหายไป?” เฉินเกอหันกลับไปมองชายมีรอยสัก “แต่ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องราวใหญ่โตอย่างนี้มาก่อน? คุณรู้ไหมว่าโรคอะไรที่ระบาดอยู่ในเมืองหลี่ว่านเมื่อหลายปีก่อน?”
“ผมต้องขอโทษด้วย ผมเองก็ไม่รู้ชัดเจนเรื่องนั้น บางคนบอกว่าเป็นโรคเรื้อน บางคนบอกว่าโรคฝีดาษกลายพันธุ์ มีข่าวลือมากมายเต็มไปหมด และมีแค่สองอย่างที่ผมยืนยันได้ โรคระบาดนี้ไม่เพียงแค่ติดต่อผ่านอากาศ มันยังสามารถติดต่อผ่านทางน้ำได้ด้วยเช่นกัน และโอกาสที่จะติดผ่านน้ำนั้นยังมากกว่าติดผ่านอากาศเป็นหลายเท่า อีกอย่างก็คือผู้ป่วยคนแรกสุดนั้นเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่ไม่ชัดเจนนักว่าเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย”
“เป็นโรคระบาดที่ติดต่อผ่านทางน้ำ และผู้ป่วยคนแรกยังเป็นเด็ก ฮึ?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงเขื่อนจิ่วเจียงตะวันออกและหลุมใหญ่ที่ก้นเช่นเดียวกับการประปาจิ่วเจียงตะวันออกที่อยู่ติดกับเขื่อน นั่นเป็นสถานที่ที่เฉินเกอเจอกับเงานั่นเป็นครั้งแรก
เงานั่นก็คิดจะใช้การประปาทำอะไรบางอย่าง?
ความคิดในใจเฉินเกอนั้นกระจ่างขึ้นเรื่อย ๆ
มีปิศาจซ่อนอยู่ในหลุมใต้ดินในเขื่อนจิ่วเจียงตะวันออก และเขื่อนยังเป็นสถานที่ส่งน้ำดิบให้กับการประปาไปผ่านกระบวนการ ถ้าเงานั่นผสมอะไรสักอย่างเข้าไปที่ในการประปา อย่างนั้นชาวเมืองทั้งหมดในจิ่วเจียงตะวันออกย่อมได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว
เฉินเกอไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป แต่เขาก็มีความคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับแผนการของเงานั่นแล้ว เงานั่นเกิดขึ้นจากความสิ้นหวังและความรู้สึกด้านลบจำนวนมากอย่างไม่น่าเป็นไปได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเกิดมาเป็นคนและไม่มีแม่คนไหนสามารถอุ้มท้องทารกเช่นนั้นได้ ดังนั้นเงานั่นจึงหันไปสนใจวิธีการฝังเมล็ดพันธุ์
เขาวางแผนจะฝังตัวเองเข้าไปในเด็กคนอื่นและใช้ทั้งเมืองจิ่วเจียงเป็นแหล่งอาหาร เฉินเกอยังไม่เข้าใจแผนการแท้จริงของเงานั่น แต่เขาเข้าใจแล้วว่าขนาดแผนการของเงานั่นใหญ่กว่าที่เขาเคยคาดคิดเอาไว้
ผีทารกนั้นเป็นภารกิจระดับสี่ดาว แต่อะไรที่ทำให้มันเป็นฉากระดับสี่ดาว? เพราะมันเกี่ยวข้องกับทั้งจิ่วเจียงตะวันออกเหรอ?
เฉินเกอนั้นไม่เคยทำภารกิจระดับสี่ดาวมาก่อน ความเชื่อมโยงเดียวที่เขามีก็คือหลาย ๆ ภารกิจที่เขาทำเพื่อปลดล็อกภารกิจโรงเรียนแห่งปรโลก
ผีทารกนั้นเป็นภารกิจระดับสี่ดาว และโรงพยาบาลต้องสาปก็เป็นภารกิจระดับสี่ดาว บังเอิญว่า เฉินเกอเพิ่งยืนยันกับชายมีรอยสักว่าหลังจากโรงพยาบาลเมืองหลี่ว่านถูกฝัง เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งก็ย้ายไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในซินไห่ และชื่อที่เขาพูดถึงนั้นก็คล้ายกับชื่อโรงพยาบาลที่เขาเห็นปักเอาไว้บนชุดผู้ป่วยของเด็กชาย
ฉากระดับสี่ดาวใหม่สองฉากที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้นั้นดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกัน และนี่ก็ทำให้เฉินเกอปวดหัว เงื่อนงำทั้งหมดที่เขาพบนั้นเกาะเกี่ยวพันกันอยู่ในใจเขา เกิดเป็นเงื่อนตาย
ฉากระดับสี่ดาวนั้นอันตรายเกินไป ต่อให้มีจางหยา มันก็ยังไม่อาจรับรองความปลอดภัยได้มากพอ ฉันต้องเค้นทุกหยาดหยดจากฉากระดับสามดาวครึ่งนี่! ตราบใดที่ฉันสามารถจับเงานั่นได้ ฉันก็สามารถเค้นเอาความจริงจากปากมันได้!
การมองผ่านความสัมพันธ์อันซับซ้อนไปจนถึงแก่นนั้นไม่ใช่ความสามารถของเฉินเกอ ดังนั้นเขาจึงวางแผนจะใช้วิธีการของตัวเองในการเปิดเผยความจริง
ไม่มีอะไรซับซ้อนถึงเพียงนั้น– ทุกอย่างสามารถทำให้เรียบง่ายได้!
มันแค่ไม่นานเลยตั้งแต่ที่เฉินเกอได้โทรศัพท์เครื่องดำมา แต่ว่าเขาเติบโตขึ้นด้วยความเร็วไม่น่าเชื่อ แต่ว่า ทิศทางการเติบโตของเขานั้นดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับที่โทรศัพท์เครื่องดำคาดเอาไว้ เฉินเกอนั้นกำลังเดินไปบนเส้นทางที่ไม่มีใครบอกได้ แต่สำหรับตอนนี้นั้น มันราบรื่นสำหรับเขา
คำประกาศของเงานั่นก่อนหน้านี้บอกว่าเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในหมู่พวกเรา อย่างนั้นจะฉันจะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับทุกคนที่นี่ ถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ฉันก็จะจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขา ต่อให้พวกเขาตาย ฉันก็จะแบกศพของพวกเขาไปด้วย ต่อให้ทุกคนไม่ใช่ ฉันก็จะพลิกเมืองหลี่ว่านหา ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะหาเขาไม่เจอ!
ถ้าเงานั่นเชี่ยวชาญสงครามจิตวิทยา อย่างนั้นเฉินเกอก็ตรงข้ามสุดขั้ว พวกเขามีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันและยังมีบุคลิกที่คล้ายคลึงกัน แต่วิธีการที่พวกเขารับมือกับปัญหาต่าง ๆ นั้นต่างกันอย่างมาก
“ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว ตามผมมา!” เฉินเกอดึงค้อนออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังและเปิดเครื่องเล่นเทป เขาใจเย็นมาก เมืองหลี่ว่านก็แค่ฉากระดับสามดาวครึ่ง และฉากย่อยส่วนใหญ่ก็ถูกจัดการแล้ว มีไกด์ที่เขาได้จากเกมของเสี่ยวปุ้ ความยากของภารกิจนี้ก็ลดลงต่ำสุด และเขาก็ตัดสินใจทิ้งการเสแสร้งก่อนหน้าของตัวเอง
เขาเรียกชื่อจางหยา และเงาที่ด้านหลังเขาก็กระเพื่อม– มันเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งหน้าเต็ม และพยายามยิ้มตอบเขา
“วันนี้ เธอดูไม่ปกติกว่าก่อนหน้า”
เฉินเกอลากค้อนเข้าไปในตึก ทุกก้าวของเขานั้นมั่นคง และมีเสียงประหลาดดังมาจากรอบตัว เหมือนมีคนมากมายล้อมอยู่รอบตัวเขา
“ระวังด้วย!” ชายมีรอยสักหยุดอยู่ที่ทางเข้า กะโหลกศีรษะทั้งห้าบนแขนของเขานั้นกรีดร้องเหมือนพวกเธอพยายามหนีออกจากร่างนี้ นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ถูกผีทารกฆ่ายินดีเข้าไปใกล้ที่นี่– มีบางอย่างอันตรายมากซ่อนอยู่ที่นี่ แต่ประตูออกไปจากที่นี่กลับตั้งอยู่ในตึกนี้เช่นกัน…”
“หยุดลังเล ในเมื่อแกตัดสินใจเชื่อเขาแล้ว ก็เชื่อมั่นในตัวเขา” มือกรรไกรเลียแผลที่มุมปาก เขาเรียนรู้จากชายมีรอยสักจนเสแสร้งเป็นฆาตกรบ้าคลั่งได้ดีกว่าเดิม
“เขาอาจจะดูไม่เหมือน แต่ว่าเขาเชื่อถือได้ที่สุดแล้วในเวลาสำคัญอย่างนี้” ชายขี้เมาแบกหมอเข้าตึกไป
เห็นพวกเขาเข้าไปแล้ว ชายมีรอยสักก็กัดฟัน ใช้แขนของตัวเองบังรอยสักทั้งห้าเอาไว้ ก้าวยาว ๆ เข้าไปในตึก
“คุณคิดว่าพวกเราควรจะตามเขาไปไหม?” เจียหมิงนั้นไม่กล้ามองหลี่เจิ้ง เขาคิดว่าเขาแสดงได้ดีทีเดียว แต่กระทั่งเขาก็ไม่รู้ตัวว่าเขาเริ่มทำตามความคิดของหลี่เจิ้ง และนั่นก็ต่างจากตอนที่พวกเขาเข้ามาในเมืองหลี่ว่านทีแรกมาก
“ตามเขาไป ฉันยังมีคำถามที่อยากจะถามเฉินเกอ” หลี่เจิ้งและเจียหมิงเข้าไปในตึก หมอกสีเลือดหนาหนัก ผู้ชายที่มีใบหน้ายิ้มยืนอยู่ด้านนอกตึกอยู่เป็นนานก่อนที่จะเข้าไปรวมกับคนที่เหลือ
ตอนที่ 661
เฉินเกอลากค้อนและเดินไปจนสุดทางเดิน เขาศึกษาเพื่อนร่วมทีมแต่ละคนอยู่ในใจและพบว่าพวกเขาทุกคนนั้นล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยได้
ชายขี้เมาขึ้นมาบนรถขนศพโดยบังเอิญ และเขาก็เป็นคนที่ธรรมดาที่สุดในกลุ่ม เขามีความหวังที่จะมีชีวิตต่อ กลัวความตาย และยังมีนิสัยแบบที่คนธรรมดาควรเป็น
เฉินเกอนั้นเคยเจอกับหมอมาก่อนแล้ว ตอนที่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ หายตัวไป หมอเป็นคนที่ขึ้นรถเมล์คันนี้แล้วรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์
ความน่าสงสัยในตัวเจียหมิงนั้นยังไม่สามารถปัดผ่านไปได้ แต่คนที่ทำให้เฉินเกอกังวลยิ่งกว่าก็คือหลี่เจิ้ง เขายังไม่ลืมข้อความที่ได้รับทางโทรศัพท์ก่อนที่จะมาถึงเมืองหลี่ว่าน คนส่งนั้นเหมือนไม่ใช่หลี่เจิ้ง หลังจากเขาพบหลี่จิ้ง เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เพราะว่าต้องการสังเกตคนผู้นี้ให้มากขึ้น
สำหรับเฉินเกอ โอกาสที่เงานั่นจะใช้ตัวตนของมือกรรไกรนั้นต่ำที่สุด เขาพยายามอย่างมากเพื่อจะทำให้ตัวเองนั้นน่ากลัวมากขึ้นและเข้าถึงยาก และนั่นก็เป็นสิ่งที่คนอื่นจะเลียนแบบได้ยากอย่างไม่น่าเชื่อ
ตัวตนของชายหน้ายิ้มนั้นลึกลับไปทั้งหมด เงานั่นสามารถฆ่าเขาได้ก่อนที่จะขึ้นรถเมล์แล้วเข้าใช้ตัวตนของเขา อย่างไรเสีย ก็ไม่มีใครคุ้นเคยกับชายหน้ายิ้ม ต่อให้เงานั่นจะใช้ตัวตนของชายคนนี้ ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเคยเป็นอย่างไร เขาเลียนแบบได้ง่ายที่สุด และเพราะอย่างนั้น เขาจึงเป็นคนที่น่าสงสัยได้ง่ายที่สุดเช่นกัน
ขอบคมของค้อนนั้นทำให้เกิดรอยแตกบนพื้น เกิดเสียงที่ทำให้สันหลังลุกวาบ เฉินเกอเดินอยู่คนเดียวในความมืด และกระทั่งชายขี้เมาและมือกรรไกรยังไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป เฉินเกอแผ่รัศมีของตัวอันตรายออกมา ก่อนหน้านี้เขายังดูเป็นปกติแล้วจู่ ๆ ก็แผ่รัศมีที่แตกต่างไปออกมา
“ฉันสงสัยว่าเงานั่นจะเตรียมเรื่องประหลาดใจแบบไหนไว้ให้ฉัน…” เจ้าแมวขาวหมอบอยู่บนไหล่ของเฉินเกอ หูของมันตั้งขึ้นเป็นสัญญาณเตือน แต่ว่า ซู่อินกลับไม่ได้เตือนอะไรเฉินเกอ นี่น่าจะหมายความว่ามีบางอย่างน่ากลัวมาก ๆ อยู่ในตึกนี้แต่ว่ามันยังไม่ปรากฏตัวออกมาชั่วคราว
ตึกนี้ไม่ได้ใหญ่ และเฉินเกอก็ไปถึงประตูบ้านของเจียงหลง ประตูที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นอยู่ข้างหลังนี่
“ในที่สุด ฉันก็ได้รู้ว่าประตูธรรมดากับประตูที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นต่างกันอย่างไร” เฉินเกอยกค้อนขึ้นแล้วทุบประตู หมอกเลือดหนาม้วนออกมาจากในห้อง น่าแปลก หมอกที่ด้านในห้องนั้นยังหนากว่าที่ในเมืองด้านนอกเสียอีก คนธรรมดามองเห็นตรงหน้าตัวเองได้เพียงไม่เกินสามเมตรเท่านั้น
“ฉันจะเข้าไปดูก่อน” เฉินเกอถือค้อนไว้ในมือหนึ่งแล้วเอื้อมอีกมือเข้าในกระเป๋าสะพายหยิบรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งออกมา “ขออภัยที่ล่วงเกินด้วย”
เขาโยนรองเท้าเข้าไปในห้องรับแขกและยืนสังเกตอยู่ที่ประตู เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีกับดัก เขาก็เดินเข้าไปในห้อง เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดตอนที่ร่างของเขาสัมผัสกับหมอก อารมณ์ด้านลบพุ่งเข้าไปในใจเขา และคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นแรงกล้าก็จะสูญเสียการควบคุมโดยง่าย “ฉันคิดว่าพวกคุณที่เหลือควรจะรออยู่ด้านนอกตอนนี้ หมอกที่ด้านในนี่หนามากและฉันก็กลัวว่ามันจะมีอันตราย”
เฉินเกอหยิบรองเท้าส้นสูงขึ้นมาและพบว่าหมอกนั้นเบาบางลงเมื่อมันเข้าไปสัมผัสกับรองเท้า– มันเหมือนรองเท้าสามารถดูดซับหมอกเหล่านี้ได้
“หมอกนี่เป็นผลดีต่อพวกผีเหรอ?” เฉินเกอถามไป๋ชิวหลินและได้รับคำยืนยัน เลือดรอบหัวใจไป๋ชิวหลินเริ่มแผ่ออกมา แต่ว่า เฉินเกอก็ยังไม่ได้เรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาเพราะว่าเขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเกิดผลเสียจากการกลืนกินหมอกเหล่านี้หรือไม่
“ไม่มีอะไรในห้องนั่งเล่น– ชั้นใต้ดินดูเหมือนจะอยู่ด้านหลังตู้…” เฉินเกอเดินตรงไปตอนที่เจ้าแมวขาวจู่ ๆ ก็ร้องเหมียวออกมา เฉินเกอหันไปมองและพบว่าเจ้าแมวขาวขู่ฟ่อไปทางห้องนอน
“ถ้าเป็นวิญญาณสีเลือด เจ้าแมวจะตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ในเมื่อมันกล้าขู่ ก็หมายความว่าวิญญาณในห้องนอนนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเกินไป”
ไม่ว่าอย่างไร เฉินเกอก็จะไม่ประมาทคู่ต่อสู้ของเขา เขาโยนรองเท้าส้นสูงเข้าไปในห้องก่อนจะตามเข้าไปช้า ๆ
“พยายามสัมผัสว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหน” ห้องนอนนั้นเล็ก แต่หลังจากพวกเขาเดินเข้าไป เจ้าแมวขาวก็ดูจะสับสน มันขู่ไปทางเตียง และจากนั้นก็หันไปแยกเขี้ยวใส่หน้าต่าง
“มันทำอย่างนี้เพื่อซื้อเวลาหรือ?” เฉินเกอรู้สึกว่านี่เป็นไปได้ ตอนที่เขากำลังจะกลับออกไปไม่ยอมเสียเวลาไปกว่านี้ ประตูห้องนอนก็กระแทกปิด เสียงกล่องดนตรีก้องอยู่ในห้อง และหมอกเลือดก็ค่อย ๆ นิ่งลง มีเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งผสมอยู่ในเสียงดนตรี
“แม่กับพ่อเข้าไปในชั้นใต้ดิน หลังจากพ่อกลับออกมาก็ล็อกประตู เขาแบกถุงสีดำใบใหญ่ไปด้วย เขาแตะหัวหนูแล้วก็บอกว่า ‘เด็กดื้อจะถูกผีพาตัวไป’
“หนูนอนอยู่บนเตียง คิดถึงที่แม่เคยพูด
“ก่อนที่จะเข้านอน หนูต้องดึงผ้าห่มออก ก่อนที่จะเข้านอน หนูต้องปิดหน้าต่าง ก่อนที่จะเข้านอน หนูต้องไปดูที่ตู้ ก่อนที่จะเข้านอน หนูต้องดูที่ใต้เตียง… ถ้าหนูนอนอยู่คนเดียว
“พ่อออกไปจากบ้านพร้อมถุง ทิ้งหนูเอาไว้
“หนูมองใต้ผ้าห่ม มองออกไปที่หน้าต่าง มองเข้าไปในตู้ มองใต้เตียง แต่ว่าหาแม่ไม่เจอ”
เสียงเพลงก้องอยู่ในห้องเหมือนมันกำลังบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องนอน
“พ่อบอกว่าเด็กดื้อจะถูกผีพาตัวไป และเด็กหญิงก็ทำตามที่แม่สอน เพลงนี่กำลังพยายามสื่ออะไร?” เฉินเกอรู้ว่าบ้านนี้นั้นเคยเป็นบ้านของเจียงหลง “ตอนนั้น เจียงหลงถูกเงานั่นสิงอยู่ และมันก็เป็นไปได้ที่เขาจะทำเรื่องประหลาดมากมาย ห้องใต้ดินที่หายไป แม่และพี่สาวที่หายไป ทั้งหมดนี่น่าจะเป็นการกระทำของเขา”
กล่องดนตรียังเล่นอยู่ แต่คราวนี้ เป็นเสียงของผู้หญิงอีกคน
“ดวงตาสีแดงจับจ้องหนูอยู่ หนูไม่เห็นแม่ แต่แม่เห็นหนู
“แม่ขยับไปตามสายตาหนู แม่ซ่อนอยู่ใต้เตียง ในตู้ หลังหน้าต่าง ก่อนที่จะคลานเข้าไปใต้ผ้าห่มหนู
“แม่นอนอยู่ข้างหลังหนูและบนตัวหนู แต่หนูกลับมองไม่เห็นดวงตาสีแดงของแม่”
เฉินเกอตรวจดูทุกที่ที่เสียงผู้หญิงพูดถึงขณะแกว่งค้อนไปรอบ ๆ “ดูเหมือนว่านี่จะยืนยันว่าเกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับคนแม่ เธอถูกซ่อนเอาไว้ในห้องนี้ แต่ลูกสาวมองไม่เห็นเธอเพราะอะไรบางอย่าง ในเมื่อฉันสามารถได้ยินเสียงทั้งของลูกและของแม่ มันก็หมายความว่าพวกเขาถูกทิ้งเอาไว้บนโลกนี้ นี่เข้ากับผลการสืบสวนของตำรวจ ภรรยาของเจียงหลงและลูกสาวหายตัวไปและยังหาไม่พบจนทุกวันนี้
“เป็นเจียงหลงที่สังหารครอบครัวตัวเอง หรือไม่อย่างนั้น ก็เป็นเจียงหลงที่ถูกสิงที่สังหารครอบครัว เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้มีความมีมนุษยธรรมเลยสักนิด” เฉินเกอนั้นไม่มีเงื่อนงำว่าภรรยาและลูกสาวนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ แต่เขาก็วางแผนจะพาพวกเธอกลับไปยังบ้านผีสิงเพื่อเก็บข้อมูลจากพวกเธอ
“จะให้ดีพวกคุณออกมาด้วยตัวเอง ผมขวางประตูเอาไว้แล้ว ไม่มีทางหนี”
ไม่มีการตอบกลับ กล่องดนตรียังเล่นต่อ เฉินเกอตัดสินใจเลิกเสียเวลา เขาใช้ค้อนทำลายเตียงและหน้าต่าง แต่ว่า ตอนที่เขาเดินไปที่ตู้ เสียงกล่องดนตรีจู่ ๆ ก็หยุดไป
“นี่น่าจะไม่ใช่กับดักของเงานั่น– มันน่าจะเป็นแค่กลเล็ก ๆ ให้ฉันสับสน” เฉินเกอถือรองเท้าส้นสูงสีแดงและใช้ส้นดึงมือจับประตูตู้ให้เปิดออก กล่องดนตรีสวยงามหรูหราวางอยู่ในตู้
กล่องดนตรีดูเก่า และรูปครอบครัวก็ถูกใส่ไว้ด้านใน แม่กอดน้องชายเอาไว้และพี่สาวก็พิงอยู่กับคนแม่อย่างมีความสุข มีคนยืนอยู่ข้างพวกเธอ แต่ส่วนนั้นของรูปถูกตัดทิ้งไป
หยิบกล่องดนตรีขึ้นมาแล้วเฉินเกอก็โยนมันเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลัง เขาคิดจะให้พนักงานของเขาจัดการกับสิ่งนี้
“ดวงตาสีแดงในตู้ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงน่าจะหมายถึงกล่องดนตรีนี่”
เฉินเกอชะงักและพบว่าเขาทำภารกิจย่อยที่โทรศัพท์ให้มาครบหมดแล้ว
“พอฉากเมืองหลี่ว่านเปิดใช้งาน มันน่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ทีเดียว เล่นซ่อนหาที่โรงพยาบาล บ้านสุนัข ดวงตาสีแดงในตู้ มนุษย์หัวไม้ม็อบ และอพาร์ทเม้นท์ที่เต็มไปด้วยฆาตกรและผี
“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหนีออกไปจากตึก ถนนก็จะเต็มไปด้วยเงาที่โบกมือและใช้รูปร่างของผู้เข้าชม ฉากแบบนี้ช่างสมบูรณ์แบบ และฉากนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในตึกเดียวและยังขยายออกไปได้อีกหลายทาง ถ้าฉันเพิ่มหุ่นและกลไก ฉันก็สามารถลอกแบบเกมของเสี่ยวปู้ในชีวิตจริงและให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์สนุกสุดเหวี่ยงด้วยตัวเอง”
เฉินเกอนั้นมองเห็นความครึกครื้นที่จะเกิดขึ้นในโลกออนไลน์เมื่อเปิดใช้ฉากเมืองหลี่ว่านได้เลย ไม่เคยมีบ้านผีสิงไหนทำฉากที่ใหญ่มหึมาระดับนี้มาก่อน
ตอนที่ 662
ที่บ้านผีสิง มีผู้เข้าชมบางคนนั้นเริ่มเขียนไกด์ผ่านฉากระดับสามดาว เฉินเกอต้องมีฉากใหม่เพื่อรักษาความสดใหม่ของบ้านผีสิงเอาไว้ เพื่อที่จะรักษาความคาดหวังของผู้เข้าชมให้สูงเข้าไว้ตลอดเวลา
เมืองหลี่ว่านระดับสามดาวครึ่งนั้นเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ที่สุดของเขาในตอนนี้ ในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาว ฉากพิเศษนี้จะทำให้ผู้เข้าชมของเขาได้มีระยะปรับตัวที่จำเป็นมาก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผู้เข้าชมที่เพิ่งผ่านฉากระดับสามดาวแล้วจะมุ่งหน้าไปท้าทายฉากระดับสี่ดาวในทันที
“แกเป็นยังไงบ้าง? ต้องการความช่วยเหลือไหม?” เสียงมือกรรไกรดังมาจากประตู และเมื่อเขาพูด เฉินเกอก็ได้ยินเสียงชายมีรอยสักพูดกับมือกรรไกร “เงียบหน่อย! พยายามอย่าส่งเสียงดังในสถานที่แบบนี้ แกไม่รู้หรอกว่าแกจะดึงดูดตัวอะไรมา!”
ได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้องนอน เฉินเกอก็ตอบอย่างรวบรัด “ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณอันตรายอะไรในบ้าน พวกคุณเข้ามาในนี้ได้”
เฉินเกอหยิบรองเท้าส้นสูงสีแดงแล้วเดินออกมาจากห้องนอน มืออีกข้างถือค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกเอาไว้ และเจ้าแมวขาวก็ขดอยู่รอบไหล่ของเขา ด้วยลักษณะของเขาตอนนี้แล้ว เป็นไปได้ยากมากที่คนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดา
“คุณเจออะไรบ้าง?” ชายมีรอยสักเดินเข้าไป เหตุผลที่เขาติดตามเฉินเกอก็เพราะว่าเฉินเกอนั้นทรงพลังมาก ดังนั้นโอกาสที่เขาจะหนีออกไปได้เมื่อติดตามเฉินเกอนั้นสูงที่สุด เป้าหมายของเขานั้นชัดเจนและเรียบง่าย
“ประตูถูกซ่อนเอาไว้ น่าจะมีห้องลับอยู่ในนี้” เฉินเกอเดินไปยังตู้ในห้องนั่งเล่นและผลักมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี หมอกสีเลือดนั้นเห็นได้ชัดจนแทบจะเหมือนวัตถุจริง ๆ มันพุ่งออกมาจากทางเข้าลับ และเหมือนกับคลื่นลูกหนึ่ง มันผลักเฉินเกอถอยหลังไปหลายก้าว
“นี่คือแหล่งที่มาของหมอกสีเลือด พวกเราต้องระวังให้มาก” หมอกสีเลือดนั้นทิ้งความรู้สึกเหนียวหนึบเอาไว้บนผิวของพวกเขา และมันก็ให้ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดเมื่อเดินผ่านไป เสื้อผ้าของพวกเขานั้นแนบติดกับร่างของพวกเขา และหลอดเลือดที่ในอากาศก็ราวกับกำลังพยายามคืบคลานเข้าไปในหูและรูจมูกของแต่ละคน
“คุณแน่ใจเหรอว่าพวกเราควรจะลงไป?” ลูกกระเดือกของชายขี้เมาสั่นระริก “ทำไมมันเหมือนกับพวกเรากำลังจะส่งตัวเองเข้าไปในกับดักเลยล่ะ?”
เขาส่ายหน้าและถอยไปก้าวหนึ่งทั้งที่ยังแบกหมอเอาไว้
หลังจากเฉินเกอเห็นทุกคนในกลุ่มเข้ามาใกล้ขึ้น เขาก็ออกความเห็น “ไม่มีใครรู้ว่าข้างในอุโมงค์ลับจะมีอะไรอยู่ พวกเราครึ่งหนึ่งควรจะอยู่จับตามองที่รอบ ๆ ด้านนอกนี่ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งตามผมลงไปที่นั่น นี่น่าจะเป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด”
“คนที่อยู่ด้านนอกต้องไม่อ่อนแอเกินไป พวกเขาอย่างน้อยต้องสามารถเตือนพวกเราได้เมื่อถูกโจมตี ดังนั้นผมแนะนำให้มือกรรไกรกับตำรวจอยู่ข้างหลัง” เฉินเกอให้ความเห็นของตัวเอง ในทุกคนที่นี่ เขาเชื่อมือกรรไกรที่สุด “คนหนึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่องบ้าคลั่งและอีกคนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีปืน มีพวกเขาคอยจับตามองทางออก นั่นน่าจะไม่เป็นปัญหาเกินไป
“ผมขออยู่ข้างนอกด้วยได้ไหม?” ชายขี้เมายกแขนสูง “ผมแบกคุณหมอเอาไว้ ดังนั้นจึงวิ่งได้ไม่เร็ว ถ้าผมตามคุณไป อาจจะตายครั้งเดียวสองศพ”
“คุณแน่ใจเหรอว่านั่นเป็นวิธีการที่ถูกต้องในการอธิบายสถานการณ์ของคุณน่ะ?” ชายมีรอยสักเบ้ปาก อันที่จริง เขาก็ไม่อยากจะลงไปตามเส้นทางนี้เช่นกัน แต่เขาไม่สามารถหาข้ออ้างที่เหมาะสมได้
“เอาละ พวกคุณสองคนอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่คนที่เหลือตามผมมา” จากนั้นเฉินเกอก็หันไปมองชายหน้ายิ้ม อันที่จริง ผู้ชายคนนี้น่าจะแข็งแกร่งที่สุดถัดจากเฉินเกอ แต่ทิ้งการปกป้องทางออกหนึ่งเดียวไว้กับคนแปลกหน้า เฉินเกอนั้นระแวดระวังเกินกว่าจะทำอะไรอย่างนี้ แต่ผิดจากที่เฉินเกอคาดเอาไว้ ชายหน้ายิ้มไม่ได้พูดอะไร เขาเดินไปที่ประตูและดูจริงใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้กัน? ทำไมเขาถึงต่างไปจากผู้ชายที่อยู่บนรถเมล์ก่อนหน้านี้?” เฉินเกอใช้ดวงตาหยินหยางพิจารณาผู้ชายคนนี้ใกล้ ๆ เพราะอย่างนั้น เขาถึงได้เห็นความกระอักกระอ่วนและแข็งทื่อของสีหน้าของชายคนนี้ มีเหงื่อเป็นหยดสีแดงเลือดไหลลงไปตามจอนผมของเขา เขาดูเหมือนจะไปเจอเข้ากับปิศาจที่อยู่เหนือความคาดคิดของเขาที่ในเมืองหลี่ว่านนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องการออกไปจากที่นี่เป็นที่สุด
เฉินเกอไม่ได้ถามรายละเอียด เขาและชายหน้ายิ้มนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ พวกเขาทำงานด้วยกันเพราะว่ามีเป้าหมายเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาคิดไม่ตรงกันเมื่อไหร่ พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะขายอีกคนออกไป
“นี่เป็นคนร้ายที่ผมได้รับมอบหมายให้มาจับกุม ดังนั้นผมต้องจับตามองเขาเอาไว้ ดังนั้น ต้องขอโทษด้วย แต่ว่าเขาไม่สามารถตามคุณลงไปที่นั่นได้” หลี่เจิ้งกดบ่าของเจียหมิงเอาไว้แน่นและน้ำเสียงของเขาก็มั่นคงไม่เปลี่ยนใจ
“คุณหาคนร้ายอันตรายได้ทุกหนแห่งที่นี่นั่นแหละ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานเพื่อความยุติธรรมที่นี่หายได้ยากกว่าเยอะ” เด็กนักเรียนมัธยมเผยร้อยยิ้มลึกลับ และสีหน้าของเขาก็ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ
“ไม่มีปัญหา” เฉินเกอต้องการแยกเจียหมิงและหลี่เจิ้งและจากนั้นก็ใช้วิธีการของเขาประเมินว่าเจียหมิงคือเงานั่นหรือไม่ แต่ในเมื่อหลี่เจิ้งยืนยันท่าทีเช่นนี้ เฉินเกอก็ไม่ดึงดัน อย่างไร หลี่เจิ้งก็ยังมีพฤติกรรมอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ว่าเป็นปกติของเขาเอง ถ้าเขาส่งตัวเจียหมิงไปโดยไม่ลังเล อย่างนั้นเฉินเกอจึงจะเริ่มสงสัยขึ้นมา
“ช่วยพวกเราเฝ้าทางออกเอาไว้ พวกเราจะกลับมาไม่นาน” อุโมงค์ด้านหลังตู้นั้นแคบอย่างไม่น่าเชื่อ และบีบตัวเดินผ่านไปได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น แน่นอนว่า เฉินเกอเป็นฝ่ายนำไป เขาเรียกซู่อินออกมา ถือรองเท้าส้นสูงสีแดงเอาไว้แล้วคืบคลานไปข้างหน้าทีละก้าว หลังจากเดินไปได้ประมาณห้าเมตร เฉินเกอก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ถูกหุ้มห่อเอาไว้ในหมอกสีเลือดแล้ว แต่ว่าเขาตกลงไปในทะเลสาบเลือดแทน และทุก ๆ ก้าวนั้นก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ เทียบกับก้าวก่อนหน้า
เงานั่นวางกับดักชนิดแบบไหนไว้กันแน่? ถล่มทั้งตึกเพื่อฝังพวกเราทั้งเป็น? หรือว่าระเบิดประตูที่หลุดออกจาการควบคุมทิ้งและฆ่าพวกเราทั้งหมดไปพร้อมกัน?
ภาพเหตุการณ์มากมายปรากฏขึ้นในใจเขา แต่ก่อนที่เฉินเกอจะหาคำตอบได้ ประตูที่เสี่ยวปู้เปิดที่เมืองหลี่ว่านก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
ประตูของกรงเหล็กที่ใช้ขังแม่ของเสี่ยวปู้เอาไว้นั้นบิดเบี้ยวผิดรูป หลอดเลือดหนาคืบคลานพันเกี่ยวอยู่บนประตูเหมือนพวกมันมีความคิดเป็นของตัวเอง เทียบกับประตูธรรมดาแล้ว มีรายละเอียดมากมายที่ค่อนข้างเฉพาะกับประตูนี้
อย่างแรก ประตูที่เต็มไปด้วยหลอดเลือดพันเกี่ยวอยู่นี้นั้นเต็มไปด้วยรอยแตกเหมือนมันจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างที่สอง ทั้งสี่ด้านของประตูนั้นดูเสียหายอย่างเห็นได้ชัด และตรงกลางประตูนั้นดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนหายไปเป็นชิ้นใหญ่ ถ้าประตูเทียบกับร่างกายคน มันก็เหมือนว่าส่วนหัวและแขนขาทั้งสี่ถูกตัดออกไป
“ดูที่ด้านล่างประตู” เฉินเกอพบความแตกต่างใหญ่ของ ‘ประตู’ นี้– มีนิ้วสีแดงดำหลายนิ้วเอื้อมออกมาจากที่ใต้ประตูดึงกรอบประตูไม้เอาไว้ ป้องกันไม่ให้มันปิดสนิท
“ฉันเคยเห็นประตูมาหลายบาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจออะไรแบบนี้” นิ้วเหล่านี้นั้นมีปุ่มนูนและแผลหลุมเหมือนกับเหยื่อที่ป่วยโรคฝีดาษ ไม่ว่าอย่างไร ก็ดูน่ากลัวมากจริง ๆ
“นิ้วเหล่านี้น่าจะเป็นของวิญญาณสัมภเวสีของผู้ป่วยในโรงพยาบาลตอนที่เกิดโรคระบาดล้างเมืองหลี่ว่าน จำนวนคนที่ตายที่นี่นั้นไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ แต่มันก็ปกคลุมเมืองเล็ก ๆ นี้เอาไว้ด้วยความแค้นหนาหนักจนหายใจไม่ออก” ชายมีรอยสักเช็ดเหงื่อเย็นเยียบที่หน้าผาก เขาให้ตัวเองยืนอยู่ห่างจากนิ้วพวกนั้นให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เงานั่นน่าจะเลือกประตูในเมืองหลี่ว่านเพราะต้องการใช้ความรู้สึกด้านลบมากมายเหล่านี้”
หมอกเลือดมากมายม้วนตัวออกมาจากช่องว่างที่ในประตู หมอกนั้นหนักไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่กระทั่งเฉินเกอที่มีเส้นประสาทเหนียวราวกับเส้นลวดยังประสบกับภาพหลอนตอนที่เข้าไปใกล้กับประตู ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นที่เหลือเลย
“พวกเราเจอประตูแล้ว แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นทางออก” เฉินเกอมองผ่านซี่กรงเล็ก ที่อีกด้านของประตูนั้นเป็นสีแดงไปหมด “พวกเราพยายามทุบนิ้วพวกนี้ให้เป็นชิ้น ๆ เป็นไง? นั่นจะปลดพลังของพวกมันที่มีต่อประตูออกไปไหม?”
“พวกเราไม่ควรไปสนใจนิ้วพวกนั้น พวกมันก็แค่สิ่งหล่อเลี้ยงความเจ็บปวดและความรู้สึกด้านลบ พวกมันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเราเลย” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหน้ายิ้มพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “เรื่องใหญ่ที่สุดที่นี่ก็คือนี่เป็นประตูที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น ถ้าพวกเราอยากจะหนีออกไปทางประตูนี้ พวกเราต้องซ่อมส่วนที่หายไปของประตู”
“เมืองหลี่ว่านใหญ่เกินกว่าที่จะเล่นตามหาสมบัติแบบนั้น” ชายมีรอยสักยอมแพ้แล้ว “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงไม่มีคนคอยระวังที่นี่เอาไว้– ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด เงานั่นวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว– เขานำเราอยู่ก้าวหนึ่ง”
“อย่าเพิ่งยอมแพ้เร็วขนาดนั้น” เฉินเกอพิจารณาประตูที่เสียหายรุนแรงและจู่ ๆ ก็หันมาหาชายมีรอยสัก “ก่อนหน้านี้คุณพูดว่าคนนอกส่วนใหญ่ผ่านอพาร์ทเม้นท์ผีเพื่อเข้ามาที่นี่?”
“ใช่ แต่อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นก็เหมือนควันสายหนึ่ง” ชายมีรอยสักนั้นรู้สึกถึงความไร้พลังเมื่ออยู่ต่อหน้าเงานั่น หลายปีของการสืบของเขานั้นไร้ค่า
“ไม่ เงานั่นไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นอย่างไม่มีจุดหมาย เขาต้องมีจุดประสงค์บางอย่างที่สร้างอพาร์ทเม้นท์ผีขึ้นมา” เฉินเกอเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าประตู “อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นอยู่ที่เขตที่พักหมิงหยาง ผมเคยตามตำรวจเข้าไปในเขตที่พักหมิงหยางระหว่างการสืบครั้งหนึ่งของพวกเขาและพวกเราก็พบชิ้นส่วนร่างกายของเด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่น มีแขนขารวมสี่ข้างและศีรษะ ร่างกายที่ถูกแยกชิ้นส่วนของเธอถูกซ่อนเอาไว้ในสี่อาคารของเขตที่พักหมิงหยาง และศีรษะของเธอก็ถูกฝังเอาไว้ที่ตรงกลางของเขตที่พักอาศัย”
“คุณกำลังพยายามจะบอกอะไร?” ชายมีรอยสักยังจับความหมายของเฉินเกอไม่ได้
“เด็กหญิงที่ถูกฆ่าคือคนที่เปิดประตูบานนี้ เธอยังถูกแยกชิ้นส่วนและซ่อนเอาไว้ในเขตที่พักหมิงหยาง ซึ่งก็คือตำแหน่งของอพาร์ทเม้นท์ผี และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…” เฉินเกอชี้ไปที่ประตูสีเลือดที่หลุดออกจากการควบคุม “ไม่ใช่ว่าประตูนี้ดูเหมือนคนที่สูญเสียหัวและแขนขาทั้งสี่ไปหรอกเหรอ?”
นั่นทำให้ชายมีรอยสักเข้าใจขึ้นมา และเขาก็เป็นคนแรกที่อธิบายรายละเอียดเพิ่ม “สำหรับผู้ผลักประตูแล้ว ประตูคือหลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงวิญญาณของพวกเขาหรือก็คือร่างกายของพวกเขา! ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว คุณกำลังบอกว่าชิ้นส่วนที่หายไปจากประตูถูกเงานนั่นเอาไว้ซ่อนไว้ที่เขตที่พักหมิงหยาง! ส่วนที่เหลือของเด็กหญิงก็คือประตูพัง ๆ นี่!”
“ผู้ผลักประตูที่เมืองหลี่ว่านนี่ไม่ใช่เงานั่น แต่ว่าก็ถูกเงานั่นควบคุม เพื่อที่จะเติมเต็มเป้าหมายของมัน มันจงใจทำให้ประตูหลุดออกจากการควบคุม ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้ผลักประตูคนแรกอยู่ที่ไหนกัน? เธอเลือกยอมแพ้ หรือว่าเธอถูกประตูนั่นควบคุมเอาไว้ด้วยสักวิธีการหนึ่ง?” เฉินเกอนั้นไม่ได้ค้นพบอะไรที่น่าทึ่ง แต่ว่าคนส่วนใหญ่นั้นไม่มีเวลาค่อย ๆ ย่อยเรื่องเหล่านี้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ที่สุดเช่นนี้
“ดูเหมือนว่าตำแหน่งของประตูนั้นจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นแล้ว ผมประเมินสถานการณ์ทั้งหมดนี้ต่ำไป” ชายมีรอยสักมีสีหน้าขมขื่น “งั้น คุณจะไปที่อพาร์ทเม้นท์ผีตอนนี้เลยใช่ไหม? หลายปีมานี้ มีคนพยายามไปที่นั่นมากมายแต่ไม่มีใครได้กลับมาเลย”
“พวกเราต้องหาส่วนที่หายไปของประตูถ้ายังต้องการออกไปจากที่นี่” เฉินเกอโบกมือให้พวกเขาขยับตัว ได้เวลาที่พวกเขาจะไปแล้ว ”อุโมงค์นี่แคบเกินไป ถ้าเงานั่นวางกับดักไว้ที่นี่ พวกเราก็ไม่มีทางหนีแล้ว หลังจากพวกเราหาส่วนที่หายไปเจอ ผมยังต้องเปิดอุโมงค์นี้อีกครั้ง”
“ประตูที่สูญเสียการควบคุมนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของหมอกเลือดที่ปกคลุมเมืองหลี่ว่าน อันที่จริง พอคุณพูดถึง ผมก็ประหลาดใจว่าทำไมพวกเราถึงไม่เจอการต่อต้านเลย แน่นอนว่าไม่นับว่าเงานั่นวางแผนสละทิ้งที่นี่แล้วน่ะนะ” ชายมีรอยสักนั้นเข้าใจเงานั่นได้ดีกว่าใคร เขาขยับตัวอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงกรีดร้องก็ดังมาจากที่ด้านนอกอุโมงค์
“เป็นเจียหมิง!” ได้ยินเสียงร้อง คนในอุโมงค์ก็เดินเร็วขึ้น พอเฉินเกอพุ่งออกมา เขาก็เห็นมือสีแดงคู่หนึ่งคว้ามือกรรไกรเอาไว้และลากเขาขึ้นไปด้านบน ตอนที่เฉินเกอเริ่มไล่ตามพวกเขาไป มือกรรไกรก็หายลับไปในทางเดินแล้ว
รอบด้านเงียบอย่างน่าขนลุกเหมือนกับสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งในจินตนาการของเขาเท่านั้น หลี่เจิ้ง เจียหมิง มือกรรไกร และชายขี้เมา… ทุกคนที่รออยู่ด้านนอกก่อนหน้านี้หายตัวไป มันใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี่
“คุณนี่มันปากศักดิ์สิทธิ์ดีแท้” เฉินเกอมองไปทางชายมีรอยสัก ฝ่ายหลังก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเหมือนกัน
“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอะไรต่อ? ไปที่อพาร์ทเม้นท์ผีหรือว่าไปตามหาพวกเขาก่อน?”
“พวกเราต้องไปช่วยพวกเขา” ช่วยเหลือเหยื่อผู้บริสุทธิ์จะทำให้เฉินเกอได้รับรางวัลเพิ่ม และเขาก็แน่ใจว่าคนที่ถูกจับตัวไปนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด– คนที่ยังอยู่กับเขานั้นเป็นปิศาจและฆาตกร เฉินเกอกำค้อนเอาไว้แล้ววิ่งไปทางที่มือกรรไกรหายตัวไปก่อนหน้านี้ เด็กนักเรียนมัธยมและชายมีรอยสักตามหลังเขาไปติด ๆ แต่ว่าชายหน้ายิ้มนั้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
“พวกแกทุกคนอยากตายขนาดนั้นเลยหรือ?” เสียงเย็น ๆ ดังมาจากปากที่มีรอยยิ้มแปะติดอยู่ ชายหน้ายิ้มมองเฉินเกอ “ประตูนี้เป็นแหล่งกำเนิดของหมอกสีเลือดและการวางกับดักเอาไว้ที่นี่นั้นส่งผลต่อประตูอย่างไม่คาดคิด นี่ขัดกับจุดประสงค์ของเงานั่น ดังนั้นเขาน่าจะใช้การค้นหาประตูของพวกเราทำให้พวกเราลดการระวังลงและค่อย ๆ ล่อพวกเราไปยังกับดักร้ายแรงอย่างช้า ๆ มากกว่า”
“ผมคิดต่างจากคุณ เงานั่นเก่งในด้านการทำสงครามจิตวิทยา– มันบอกใบ้เรานับครั้งไม่ถ้วนด้วยการบ่อนทำลายการสงบศึกของพวกเราเพื่อจุดประสงค์ของมัน ด้วยกลยุทธ์แบบนี้ ยิ่งพวกเรามีคนมาก มันก็ยิ่งง่ายที่จะยุแยง ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องทำร้ายคนพวกนั้น อีกอย่าง ผมรู้สึกเหมือนเขาเริ่มตื่นตระหนกเพราะสิ่งต่าง ๆ เริ่มหลุดออกจากการควบคุมของเขา นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เขาเลือกที่จะเข้ามาสอดแทรกด้วยการกระทำชัดเจนอย่างนี้”
พวกสามสี่คนนั้นหายลับไปตามทางเดินแล้ว เฉินเกอที่ลากค้อนอยู่กลับไม่ได้ดูรีบร้อนมากนัก เขาตรวจดูทุกห้องทีละห้อง ในเมื่อยังมีที่ว่างในกระเป๋าสะพายหลังและในหนังสือการ์ตูน เขาก็จะฉวยเอาทุกอย่างที่เขาคิดว่าใช้การได้ไป
“แต่ไม่มีใครในพวกเราทำอะไรเสียหน่อยไม่ใช่เหรอ? นี่เป็นเพราะคุณคาดเดาตำแหน่งของชิ้นส่วนที่หายไปของประตูได้ทำให้เงานั่นกระวนกระวาย?” ในใจชายมีรอยสัก เงานั่นก็เหมือนกับเทพเจ้าแห่งเมืองหลี่ว่าน และเทพเจ้านั้นไม่ทำอะไรผิดและไม่ตื่นตระหนก
“นั่นน่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ถ้าผมเดาไม่ผิด มันอาจจะเป็นเพราะว่ามีผู้มาเยือนคนอื่นมายังเมืองหลี่ว่านวันนี้ และเงานั่นก็ใช้เวลาหมดไปกับการรับมือกับผู้บุกรุกที่ว่า” เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ตั้งแต่แรกที่เงานั่นไม่ลงมือกับเขาด้วยกำลังทั้งหมดแล้ว เงานั่นดูเหมือนจะวุ่นวายอยู่กับบางอย่าง เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกอย่างนั้นตอนที่เขาจัดการกับผีหิวโหยที่โรงแรม และหลังจากเขาตระหนักได้ว่าที่บ้านของฟ่านฉงนั้นมีอันตรายเท่า ๆ กัน ความสงสัยนั้นก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
“ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา” เฉินเกอสรุป “ผมไม่กลัวว่าเงานั่นจะออกมาหาพวกเรา ตราบใดที่เขาลงมือ ความลับของเขาก็จะถูกเปิดเผย ผมกลัวว่าเขาจะซ่อนตัวเองไว้ต่อมากกว่า ยิ่งเขาซ่อนลึกไปเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น”
อยู่รวมกับฆาตกรตัวจริงหลายคน เฉินเกอกลับไม่ได้รู้สึกผิดที่ผิดทาง อันที่จริง เขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขากลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มไปแล้ว เฉินเกอมุ่งหน้าขึ้นบันไดไปแล้วก็พบว่ามีรอยเปื้อนรูปร่างคนสีเทาหลายรอยถูกทิ้งเอาไว้บนกำแพง ร่างของพวกเขาถูกบิดจนมีท่าทางต่างกันไป แต่ทั้งหมดแล้วบ่งบอกความเจ็บปวด
“ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอพาร์ทเม้นท์สำหรับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเมืองหลี่ว่าน และมันก็ถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่จะเกิดโรคระบาด แต่ว่า เป็นไปได้ไหมว่าที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักของผู้ป่วยโรงพยาบาลด้วยเหมือนกัน?” เฉินเกอไม่ได้แตะรอยเปื้อนเหล่านั้น เขาสงสัยว่าไพ่ตายของเงานั่นอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยด้วยโรคระบาดพวกนั้น
ตอนที่ 663
จิ่วเจียงตะวันออกนั้นใหญ่มาก แต่เงานั่นเลือกเมืองหลี่ว่าน– ต้องมีเหตุผลเรื่องนั้น รอยเปื้อนรูปคนที่ระหว่างทางนั้นไม่มีรูปแบบให้คิดถึงได้ และเฉินเกอก็ไม่รู้ว่าทำไมรอยพวกนี้ถึงถูกทิ้งเอาไว้บนกำแพง มันเหมือนพวกผู้ป่วยใช้วิธีการประหลาดเหล่านี้บันทึกความเจ็บปวดที่พวกเขาผ่านมา
“เป็นวิญญาณสัมภเวสีหรือเปล่า?” เฉินเกอยืนอยู่ที่ข้างรอยเปื้อนและใช้รองเท้าส้นสูงสีแดงแตะไปที่รอยหนึ่ง รองเท้าส้นสูงซึ่งนิ่งเฉยมาตลอดจู่ ๆ ก็หลั่งเลือดสีแดงเข้มออกมา มันเหมือนมีคนร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดหลังจากถูกทำให้เสียเกียรติ เห็นการตอบสนองจากรองเท้าส้นสูงสีแดงเฉินเกอก็ดึงรองเท้ากลับทันที “รอยเปื้อนบนกำแพงนั้นเป็นมากกว่าที่เห็น กระทั่งรองเท้าส้นสูงสีแดงยังไม่ยอมเข้าใกล้พวกมัน ดังนั้นนี่น่าจะหมายความว่ามีมากกว่าแค่วิญญาณสัมภเวสีธรรมดา”
เฉินเกอตรวจดูทุกห้อง แต่เขาก็ยังหาคนที่เหลือไม่เจอ “อพาร์ทเม้นท์ก็ใหญ่แค่นี้ พวกเขาจะไปซ่อนอยู่ที่ไหนได้? หรือว่าพวกเขาถูกดึงเข้าไปในกำแพงแล้วถูกเปลี่ยนไปเป็นรอยเปื้อนพวกนี้?”
กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ไปถึงที่ชั้นบนที่รอยเบื้อนบนกำแพงนั้นกลายเป็นมากมายนับไม่ถ้วน และสีก็เข้มขึ้นด้วยเช่นกัน มันเหมือนว่าพวกเขากำลังจะหนีออกมาจากกำแพงได้ในไม่ช้า
“ร่างกายของรอยเปื้อนทั้งหมดนี้นั้นบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดชนิดไหนกันที่พวกเขาต้องเจอก่อนที่จะตายไป?” ประวัติของเมืองหลี่ว่านนั้นถูกลืมเลือนไป กระทั่งบนอินเตอร์เนตก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเล็ก ๆ นี้เพียงไม่มาก อันที่จริง มันเหมือนกับมีใครจงใจลบข้อมูลของพวกเขาออกจากบันทึก
“ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ในตึก อย่างนั้นพวกเขาก็คงถูกส่งออกไปผ่านช่องทางลับ” ชายมีรอยสักรู้สึกไม่สบายใจ “พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ก่อน ตราบใดที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นพวกเราก็ยังมีทางเลือก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราด้วย อย่างนั้นก็ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้แล้ว”
“ตอนที่ผู้โดยสารคนหนึ่งถูกลากไป ผมสังเกตเห็นว่ามือที่จับเขาอยู่นั้นคล้ายกับรอยเปื้อนที่บนกำแพงพวกนี้ บิดเบี้ยวและมีรอยโรคฝีดาษ”
“คุณกำลังจะบอกอะไร?” ชายมีรอยสักนั้นไม่เข้าใจกระบวนการคิดของเฉินเกอ
“พวกคุณอาศัยอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่คุณไม่เคยเห็นรอยเปื้อนพวกนี้มาก่อน?” เฉินเกอโยนคำถามกลับไป
“ไม่! พูดโดยสัตย์จริงเลย ผมเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว แต่ตอนที่ผมมา รอยเปื้อนพวกนี้ไม่ได้มีอยู่ในตึก”
“หมายความว่าพวกมันเพิ่งปรากฏขึ้นที่นี่” เฉินเกอนั้นไม่สามารถลดความระมัดระวังลงได้ เขารู้ว่ารอยเปื้อนรูปคนเหล่านี้ที่กระทั่งรองเท้าส้นสูงยังไม่ยอมสัมผัสถูกเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเงานั่น ก่อนที่เฉินเกอจะเปิดไพ่ของตัวเอง เงานั่นก็ถูกบีบให้ต้องเผยไพ่ตายใบหนึ่งออกมาแล้ว
“ต้องเกิดบางอย่างขึ้นที่เมืองหลี่ว่าน ไม่อย่างนั้นเงานั่นจะไม่ทำอย่างนี้” เฉินเกอไม่สนใจรอยเปื้อนที่บนกำแพง และเปิดประตูที่นำไปยังดาดฟ้าออก เขาเดินผ่านประตูไป
สายลมพัดโหยหวนและหอบเอาความรู้สึกหายใจไม่ออกจากไปด้วย เฉินเกอมองท้องฟ้าด้านหลังหมอกเลือดและค่อย ๆ เลื่อนสายตาลงไปที่พื้น หมอกเลือดที่เมืองหลี่ว่านดูเหมือนจะถูกดึงดูดโดยบางอย่าง และมันก็กระเพื่อมไปทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน มันเหมือนว่าหมอกเลือดกำลังสร้างกำแพงเพื่อหยุดบางอย่างไม่ให้เข้ามา
“หมอกตรงนั้นมีบางอย่างน่าสงสัย” นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินเกอได้เห็นเมืองหลี่ว่านจากมุมสูง เทียบกับครั้งก่อนแล้ว สายตาของเขาดีขึ้นเพราะความช่วยเหลือจากดวงตาหยินหยาง เขามองเห็นได้ไกลกว่าเดิม
“แกมีผู้ช่วยเหลือคนอื่นเหรอ?” เป็นชายหน้ายิ้มที่พูดขึ้น สถานการณ์นั้นชัดเจน เหมือนที่เฉินเกอพูดถึงก่อนหน้านี้ มีกลุ่มที่สามมาถึงยังเมืองหลี่ว่าน และกลุ่มนี้นั้นก็ดึงดูดความสนใจส่วนใหญ่ของเงานั่นไป การคาดเดาของเฉินเกอทำให้ชายหน้ายิ้มตื่นตัว เขากลัวว่ากลุ่มกำลังใหม่นี้จะเกี่ยวข้องกับเฉินเกอ และถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะทำลายสมดุลของตาชั่งที่เปราะบางอยู่ก่อนแล้วระหว่างพวกเขา
“มันน่าจะไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือของผม และถ้าผมเดาไม่ผิด กลุ่มใหม่นี้ก็เป็นศัตรูของผมเหมือนกัน ความปรารถนาจะฆ่าผมของเขาไม่ต่ำไปกว่าเงานั่นแน่นอน” เฉินเกอบอกสิ่งที่เขาคิดออกมาตรง ๆ
“แกมีศัตรูเยอะเสียจริงนะ กระทั่งเวลาอย่างนี้ แกก็ยังมีศัตรูไล่ตามมา ฉันไม่รู้แล้วว่าควรจะบอกว่าแกโชคดีหรือโชคร้าย” ชายหน้ายิ้มยิ้มต่อ เฉินเกอนั้นสามารถดึงดูดความโกรธเกรี้ยวของตัวตนน่ากลัวได้มากมายขนาดนี้นั้นเป็นการแสดงว่าชายคนนี้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
“นั่นเป็นแค่ข้อสงสัยของผมเท่านั้น…” เฉินเกอต้องการเดินไปต่อตอนที่มีเสียงตูมดังมาจากทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ กลุ่มของเฉินเกอก็ยังรู้สึกได้ว่าตึกที่พวกเขายืนอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย
“เป็นการต่อสู้แบบไหนกันเนี่ย?” ชายมีรอยสักเตือนเฉินเกอ “ตอนนี้เงานั่นถูกศัตรูของคุณดึงดูดอยู่ นี่เป็นช่วงเวลาอันดีให้พวกเราไปตามหาชิ้นส่วนที่หายไปของประตู ตอนที่พวกเราได้มันมาแล้ว พวกเราก็สามารถออกไปตอนไหนก็ได้ นั่นน่าจะเป็นจุดประสงค์ที่พวกเราต้องยึดมั่นเข้าไว้”
หมอกเลือดพุ่งไปทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่านไปล้อมส่วนนั้นของเมืองเล็ก ๆ เอาไว้ กระทั่งดวงตาหยินหยางของเฉินเกอก็ไม่สามารถมองผ่านหมอกไปได้ เขาบอกได้แค่ว่ามีบางอย่างที่สะดุดความสนใจของเขาอยู่ในหมอกเลือด ยืนอยู่ที่ขอบตึก เฉินเกอหรี่ตาลงมองโซ่ที่ตวัดไปมาอยู่ในหมอก สิ่งที่เห็นนั้นทำให้เฉินเกอรู้สึกถึงความคุ้นเคยที่อยู่ในโซ่และหมอก
“เขาดูเหมือนจะรู้ว่าผมอยู่ที่นี่และกำลังเคลื่อนที่มาทางผม” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงบางอย่างและเปิดกระเป๋าสะพายหลังออก มีชายหน้ายิ้มและชายมีรอยสักจับตามองอยู่ เฉินเกอดึงเอารายชื่อผู้ป่วย จดหมายรัก และเอกสารปึกหนึ่ง และสุดท้ายก็คือใบปลิวที่พูดถึงสมาคมเล่าเรื่องผีออกมา
“มันน่าจะเป็นเพราะสิ่งนี้แหละ!”
ใบปลิวเดิมเป็นสีแดงเข้ม และครึ่งหนึ่งของประตูสีเลือดถูกพิมพ์เอาไว้บนนั้น แต่ว่า ประตูนั่นเป็นตัวแทนของความสยองขวัญและความสิ้นหวังที่ยังไม่ใช่เพียงแค่ถูกเปิดออก แต่ยังมีแขนบิดเบี้ยวที่มีโซ่พันอยู่ยื่นออกมาจากช่องเปิดแคบ ๆ ด้วย
แขนที่ยื่นออกมานอกประตูนั้นจับประตูเอาไว้เหมือนพยายามจะผลักให้ประตูเปิดให้กว้างที่สุด!
“ทำไมมันถึงเปลี่ยนไป? นี่เป็นสัญญาณบอกการกลับมาของเขา?” เฉินเกอนั้นเพิ่งหยิบใบปลิวออกมา สมองยังหมุนเพื่อหาทางแก้ไขตอนที่แขนบนใบปลิวนั้นเอื้อมออกมาภาพใบปลิวที่เป็นสองมิติโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า!
ปัง!
เฉินเกอถูกกระแทกถอยหลังไปด้วยแรงลึกลับ ตอนที่เขารู้สึกตัวก็เห็นแขนข้างนั้นจับแขนซู่อินเอาไว้ ซู่อินสลายแขนข้างนั้นของตัวเองทิ้งอย่างไม่ลังเล ยอมแพ้อย่างง่ายดาย และใช้แขนข้างที่เหลือพับใบปลิวเก็บไป
กลิ่นเลือดอ้อยอิ่งอยู่ที่จมูกเฉินเกอ หลอดเลือดคืบคลานออกมาจากร่างของซู่อินสร้างแขนใหม่ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ แขนข้างใหม่นั้นก็ยังมีรอยฝ่ามือสีแดงอยู่รอบข้อมือซู่อิน
ซู่อินมองรอยฝ่ามือที่บนข้อมือตัวเอง ไม่สนใจมันโดยสิ้นเชิงก่อนที่จะหายตัวไป เสียงแทรกดังอยู่ในหูของเฉินเกอเป็นสัญญาณว่าเครื่องเล่นเทปนั้นทำงานได้ปกติดี มันเหมือนว่าซู่อินใช้วิธีการนี้ในการบอกเฉินเกอว่าเขาไม่เป็นอะไร
“นายไม่แม้แต่จะอยู่ให้นานอีกสักนิด เป็นเพราะนายไม่รู้ว่าจะรับความขอบคุณของฉันยังไงใช่ไหม?” หลังจากซู่อินเก็บใบปลิวไป ก็มีเสียงก้องดังมาจากทางตะวันออกของเมืองอีกสองสามครั้ง มันเห็นได้ชัดเจนว่าหมอกสีเลือดถูกผลักดันกลับมา และปิศาจนั่นก็เคลื่อนที่มาทางเฉินเกอช้า ๆ
“กับดับถูกวางเอาไว้ในใบปลิว และประตูที่บ้านผีสิงของฉันก็ถูกทำสัญลักษณ์ ดูเหมือนว่าคุณหมอเกาจะทำอะไรไว้มากมายก่อนตาย– จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ ในใจของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?”
เฉินเกอแน่ใจว่านั่นคือคุณหมอเกาที่สู้อยู่กับเงานั่นที่ทางตะวันตกของเมืองหลี่ว่าน อย่างไรเสีย สมาชิกของสมาคมเล่าเรื่องผีที่ยังเหลืออยู่ก็คือเฉินเกอและคุณหมอเกา เฉินเกอไม่ได้เป็นคนวางกับดัก ดังนั้นคนเดียวที่จะทำอย่างนั้นได้ก็คือคุณหมอเกา
ตอนที่เฉินเกอกำลังตรึกตรอง หมอกเลือดก็ถูกผลักกลับมาอีกครั้ง ประธานคนใหม่และคนเก่าของสมาคมเล่าเรื่องผีมาเจอกันเข้าที่เมืองหลี่ว่าน และเหยื่อผู้โชคร้ายรายแรกก็คือเงานั่นที่ถูกบีบเอาไว้ตรงกลาง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น