My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 597-638

 ตอนที่ 597

เหมือนเงา

“คุณฝันถึงสิ่งที่คุณคิดในวันนั้น นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาออกนะ” หลี่เจิ้งคุ้นเคยกับเฉินเกอ และจากมุมมองของเขา มันไม่เหมือนว่าเฉินเกอจะทำอะไรอย่างซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงใครและจากนั้นก็ออกมากระซิบกระซาบข่มขู่ฆ่า


“ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อผม แต่ว่ามันไม่ใช่ความฝัน” เจียหมิงลดเสียงลงต่ำและน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นประหลาด “คุณไม่เคยสงสัยเลยเหรอว่าเงาของคุณกำลังทำอะไรตอนที่คุณยืนอยู่หน้ากระจกแล้วก้มลงล้างหน้า? เขาจะก้มหน้าตามสะท้อนการเคลื่อนไหวของคุณ หรือว่าเขาจะยังยืนตัวตรงอยู่ในกระจก มองลงมาที่คุณ? คุณไม่เคยเจอสถานการณ์ที่มีคนในห้องน้ำสาธารณะห้องติดกันขอกระดาษทิชชู่จากคุณ แต่พอคุณออกมา คุณก็พบว่าตลอดเวลานั้นคุณอยู่ในห้องน้ำคนเดียวเหรอ? คุณไม่เคยเจอเหรอว่าเวลาคุณโทรหาเพื่อนสนิทหรือว่าครอบครัวของคุณแล้วพวกเขาเอาแต่บอกว่าสายจากคุณมันเสียงดังวุ่นวายเหมือนรอบตัวคุณมีสิ่งต่าง ๆ มากมากมายยืนอยู่ด้วย?”


เจียหมิงกำขอบเตียงแน่นขึ้นเรื่อย ๆ “ผมเคยเจอมาหมดแล้ว”


“ผมคิดว่าพวกเราควรจะเรียกหมอกลับมา” หลี่เจิ้งนั้นเป็นพวกที่ไม่นับถือพระเจ้า และในมหาวิทยาลัยเขายังเรียนมาในด้านอาชญวิทยาและจิตวิทยา เขาไม่คิดว่าเจียหมิงโกหก ดังนั้นในกรณีนี้ จิตใจของเขาต้องมีอะไรผิดปกติ เขาน่าจะป่วยด้วยโรควิตกกังวลบางชนิด


“ก่อนที่หมอจะเข้ามา คุณฟังอีกสักสองสามเรื่องได้ไหม?” เจียหมิงเพยิดหน้าไปทางเฉินเกอ “มันเกี่ยวกับผมและเขา”


“ผมคิดไม่ออกเลยว่าพวกคุณสองคนจะสนิทกันถึงขนาดนั้น” หลี่เจิ้งพยักหน้า


“หลังจากออกจากบ้านเจียงหลง ผมก็ตกใจเกินกว่าจะนึกทางกลับบ้านได้ ผมวิ่งไปอย่างไร้จุดหมายอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะกลับถึงบ้าน ตอนนั้น ผมยังอาศัยอยู่ในห้องเช่าหนึ่ง และเจ้าของห้องเช่าก็เป็นหญิงชราคนหนึ่ง เธออาศัยอยู่ที่ชั้นแรก ครอบครัวของผมอยู่บนชั้นที่สอง และชั้นที่สามเป็นห้องเก็บของ


“ตอนที่ผมกลับไป มันก็ดึกมากแล้ว หลังจากเข้าไปที่นั่น สัตว์เลี้ยงของหญิงชราก็เอาแต่ร้องเสียงแหลม มันไม่ใช่เสียงร้องเหมียวให้เกาคางลูบหลัง แต่ว่าเป็นเสียงแหลมและน่ากลัว


“บางทีอาจจะเพราะถูกสัตว์เลี้ยงปลุก หญิงชราเปิดประตูออกมาดู จากนั้นเธอก็บอกบางอย่างแก่ผม


“ตอนเดินพวกคุณสองคนอย่าส่งเสียงดังนัก มันดึกมากแล้ว พวกคุณสองคนทำอะไรอยู่จนดึกป่านนี้?”


เจียหมิงยังจำสีหน้าบนใบหน้าหญิงชราได้เพราะว่าเขาลอกเลียนแบบมันมาให้ผู้ฟังดูได้อย่างสมบูรณ์แบบ


“ผมรีบขอโทษหญิงชรา แต่เมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นสองผมถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผมหันกลับไปมอง แต่ในทางเดินมืด ๆ มีแค่ผมคนเดียว แล้วทำไมหญิงชราถึงบอกว่า ‘สอง’?


“ในตอนนั้น ผมก็สันหลังเย็นวาบ ผมวิ่งไปที่ประตู คุ้ยหากุญแจ คุณก็รู้ว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนเป็นยุ่งยากเมื่อคุณตื่นตระหนก ผมพยายามหากุญแจประตู แต่มันก็ไม่เจอ จากนั้นก็เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้น


“มีเสียงเคาะดังมาจากชั้นที่สามเหมือนลูกบอลเด้งขึ้นลงกับพื้นซ้ำ ๆ


“ตอนที่ผมย้ายเข้าไป หญิงชราก็บอกผมแล้วว่าชั้นสามน่ะว่างอยู่ และมันก็ถูกใช้เป็นที่เก็บเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ๆ และของอื่น ๆ ผมเคยถามเธอว่าทำไมถึงไม่ให้เช่าที่นั่นและเธอก็บอกแค่ว่าครอบครัวของลูกชายเธอเคยอาศัยอยู่ที่ชั้นสามแต่ว่าครอบครัวสามคนนั้นเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ ถึงแม้ว่าเธอจะให้เช่าชั้นสามได้ เธอก็ไม่ต้องการ เพราะว่าเธออยากจะเก็บมันเอาไว้เป็นความทรงจำ


“เสียงแปลก ๆ ดังมาจากชั้นสามที่น่าจะว่างเปล่า ผมไม่กล้าอยู่ในทางเดินให้นานเกินไปแล้ว ในที่สุดผมก็หากุญแจเจอในกระเป๋าเสื้อของผม และในตอนนั้น เสียงนั่นก็หยุด ผมหันไปมองทางบันไดอย่างสงสัย และที่ตรงมุมเลี้ยวขึ้นชั้นสาม ผมก็ขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง จากมุมนั้น นั่นเป็นทั้งหมดที่ผมเห็นได้


“ผมกลัวมากและเปิดประตูเร็วเท่าที่ทำได้


“หลังจากเข้าไปในบ้านแล้วผมก็ยังตื่นตกใจอยู่ ผมปิดประตูนิรภัยชั้นนอก และตอนที่ผมกำลังจะปิดประตูชั้นใน ผมก็สงสัยมาก และในที่สุดผมก็เอนตัวออกไปนิด ๆ เพื่อมองขาที่อยู่บนบันได


“ตอนที่เอนตัวมองผ่านช่องว่างที่ประตู ผมก็ปรับมุมและนั่งลงช้า ๆ ผมมองขึ้นไปและเห็นขาคู่นั้นอีกครั้ง ตอนที่ผมกำลังมองขึ้นไปเรื่อย ๆ หัวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏในสายตาผม!


“ท่าของเขาประหลาดมาก ขาของเขาตรง และว่าหัวนั้นแทบจะแตะกับพื้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายมนุษย์ธรรมดาจะทำได้


“ผมกระแทกประตูปิดและพยายามเปิดไฟในห้องนั่งเล่น ผมรู้ว่าสวิตช์อยู่ที่ไหน และมือของผมก็เอื้อมไปก่อนที่ผมจะทันได้แตะสวิตช์ ปลายนิ้วของผมก็ปัดผ่านบางอย่าง มันเหมือนผิวหนังมนุษย์ มันเหมือนกับผมกำลังแตะโดนมือของมนุษย์อีกคนที่ในบ้านของผมเอง


“พอกดสวิตช์ ไฟติด และมอบความรู้สึกปลอดภัยให้ผมอย่างที่ผมต้องการแล้ว ผมก็เริ่มเรียกหาภรรยา แต่ว่าไม่มีการตอบรับ


“ผมกลัวมาก ดังนั้นจึงรีบเปิดไฟทั้งหมดในห้อง ในที่สุด ผมก็เจอโน้ตที่ภรรยาของผมทิ้งเอาไว้ตรงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่น


“เธอบอกว่าพ่อบุญธรรมของผมป่วยหนักมากและโรงพยาบาลก็บอกให้เธอไปที่นั่น เธอทำอาหารไว้ให้ผมทิ้งไว้ในตู้เย็น และถ้าผมจะกิน ก็แค่ต้องเอามาอุ่น


“ผมทิ้งกระดาษโน้ตไว้ที่เดิม ภรรยาของผมไม่ได้อยู่บ้าน ผมมองมือตัวเอง ผมแน่ใจว่าผมแตะถูกนิ้วของคนอื่นเมื่อครู่นี้ ดังนั้น มันก็มีแต่ต้องมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้นอกจากตัวผมเอง


“ผมไม่กล้านอน ผมตรวจดูทุกซ่อนทุกมุมที่น่าจะเป็นสถานที่ซ่อนตัวได้ แต่ไม่เจออะไร ผมพยายามโทรหาภรรยา แต่ว่าไม่มีคนรับสาย


“ผมกลัวมาก ผมเปิดทีวีและเร่งเสียงดังสุด จากนั้นผมก็ชงกาแฟเข้ม ๆ ให้ตัวเองกินหลายแก้ว ผมวางแผนจะอยู่ในห้องนั่งเล่นตลอดทั้งคืนและจากนั้นก็ย้ายออกไปจากที่น่ากลัวนี่ในเช้าวันรุ่งขึ้น


“ผมไม่ได้สนใจรายการในทีวีนัก ผมเอาแต่เติมกาแฟเพื่อสู้กับความง่วงงุนที่กำลังคืบคลานมา ในที่สุด ฟ้าก็สาง ผมทนไม่ไหวแล้วและเดินไปใช้ห้องน้ำ


“หลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ผมยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ คิดจะใช้น้ำเย็น ๆ ล้างหน้าเสียหน่อย พอเปิดก็อก ดูน้ำที่ไหลออกมา ผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองผมอยู่ ผมสงสัยว่าคนผู้นั้นที่ตามผมมาซ่อนอยู่ในห้องน้ำ ผมมองไปรอบ ๆ ห้องทางหางตา แต่ว่าห้องน้ำก็เล็กเกินกว่าที่ใครจะซ่อนอยู่ได้


“พอยืดตัวขึ้น ผมก็มองที่ภาพสะท้อนโทรม ๆ ของตัวเองในกระจก ผมส่ายหน้าและตัดสินใจจะย้ายออกโดยเร็ว ย้ายไปที่ที่มีคนอยู่มากกว่านี้


“พอวางผ้าเช็ดหน้าลง ผมก็ยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องออกไปได้ ยังไม่ทันได้มีโอกาสคิดเรื่องนี้ โทรศัพท์ก็ดัง ผมตกใจแทบตาย ผมรีบไปรับสาย– เป็นภรรยาผมโทรมา


“ท้องฟ้าสว่างแล้ว และภรรยาของผมก็บอกว่าเธอโทรหาผมหลายครั้งเมื่อคืนนี้ เธอเป็นห่วงมากเพราะว่าไม่มีคนรับสาย


“ตอนที่เธอพูดอย่างนั้น ผมก็เหงื่อหยดเป็นเม็ด เป็นเธอที่ไม่รับสายผมตลอดคืนนั้น ไม่ใช่ตรงข้ามกันอย่างนี้


“ผมมองไปยังสายโทรศัพท์อย่างไม่รู้ตัวและเกือบจะบอกเธอแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่จู่ ๆ เธอก็ถามผมว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องกับผมหรือเปล่า เธอได้ยินเสียงใครสักคนกำลังพูดบางอย่างย้ำ ๆ และเสียงก็คล้ายกับพ่อบุญธรรมผมมากอย่างน่าสงสัย เขากำลังพูดว่า ‘ดูด้านหลังแกสิ ดูด้านหลังแก…’


“ผมรีบหันหน้ากลับไป แต่ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มองเข้าไปในห้องน้ำ ผมก็เห็นแค่เงาสะท้อนของตัวเอง ยืนถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือมองกลับมาที่ผม


“ผมบอกภรรยาให้อยู่กับพ่อบุญธรรมของผมที่โรงพยาบาล หลังจากวางสาย ผมก็นั่งกลับลงไป แต่ยิ่งผมคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี”

 

 

 


ตอนที่ 598

 

มีคนอยู่ข้างหลังผม

“ผมกุมถ้วยกาแฟเอาไว้ คิดเรื่องนี้อยู่นานจนกระทั่งผมเห็นเงาสะท้อนที่บนผิวกาแฟ ตอนที่ผมมองเข้าไปในถ้วย เงานั่นก็มองกลับมาที่ผม


“จากนั้นจู่ ๆ ผมก็ตระหนักได้ว่าตอนที่ผมหันกลับไปมองกระจกก่อนหน้านี้ เงาของผมในกระจกไม่ได้บิดคอกลับมา? เขายืนตัวตรงหันมาทางผม แค่นั้น…”


ครู่หนึ่งที่เจียหมิงพูดไม่ออก เหมือนมีบางอย่างรวบมืออยู่รอบคอของเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


“แผ่นหลังผมเย็นเยือกขึ้นมา โซฟาห้องนั่งเล่นนั้นหันหลังให้ห้องน้ำ ผมรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างอยู่ด้านหลังผม! มันเหมือนมีคนยืนอยู่ตรงนั้น!


“ผมไม่กล้าหันกลับไป ผมขยับถ้วยกาแฟ ดวงตามองลงไปช้า ๆ ผมอยากจะมองผ่านเงาสะท้อนว่ามีอะไรอยู่ด้านหลังผม


“ตอนที่หมุนถ้วย ความเย็นนั่นก็คืบคลานเข้ามา ขนตรงหลังคอผมลุกชัน และตอนที่ผมกำลังจะเห็นเงาที่สะท้อนในน้ำ ผิวหนังที่หลังคอของผมก็เหมือนมีบางอย่างแตะลงมา เหมือนมีบางคนก้มหน้าลงมาปลายผมหล่นลงมาบนผิวของผม


“แขนผมสั่น แล้วผมก็ถือถ้วยเอาไว้ไม่ไหว ปล่อยมันลื่นหลุดจากปลายนิ้ว และกาแฟก็กระฉอกไปทั่ว ผมกรีดร้องคว้าที่เขี่ยบุหรี่กับจานผลไม้ที่บนโต๊ะเหวี่ยงมันไปด้านหลังผม ผมกระโดดข้ามเฟอร์นิเจอร์พุ่งตัวไปที่ประตู ผมกำลูกบิดประตูไว้ด้วยสองมือ ผมหันกลับไปมอง ในห้องไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่างเดียวที่ต่างออกไปคือสัญญาณทีวีที่ดูจะหลุดไป ไม่มีวิดีโอ มีแค่หน้าจอกะพริบสีฟ้าและขาว


“รอบด้านเงียบมากและผมก็ได้ยินเสียงโทรทัศน์ทำงาน ผมไม่กล้าอยู่ในห้องต่อ– ผมต้องการหนีออกไป แต่ผมก็เริ่มมีความคิดอื่น นึกถึงเด็กชายที่ผมเห็นที่บันไดในท่าทางที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมา ผมกลัวว่าเขาจะอยู่ที่อีกฟากของประตู


“ทางเดินไม่ปลอดภัย แต่ในห้องก็ด้วย ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรแล้ว ผมยืนตัวแข็ง มือกำลูกบิดประตู


“ตอนที่ผมกำลังลังเล ภาพบนโทรทัศน์ก็เริ่มกะพริบเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ผมสังเกตเห็น ระหว่างภาพที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็เริ่มชัดเจน!


“ทั้งหมดนั่นคือแรงผลักดันให้ผมดึงประตูเปิดและวิ่งหนีไป ผมพุ่งลงไปที่ถนนโดยไม่ได้มองรอบ ๆ แต่ว่าแสงไฟบนถนนมืด ๆ ก็ยังไม่ทำให้ผมรู้สึกถึงความปลอดภัย ผมวิ่งออกไปเหมือนคนบ้าจนหมดแรงและผมก็ล้มลงไปบนพื้น รายล้อมไปด้วยแสงไฟถนน ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย”


ตอนที่เขาเล่าเรื่อง หน้าผากและแผ่นหลังของเจียหมิงก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ และไม่มีใครในห้องมีสีหน้าปกติเลย น้ำเสียงของเจียหมิง รวมกับท่าทางหวาดกลัวอย่างแท้จริงของเขา ดึงผู้ฟังเข้าไปร่วมในเหตุการณ์


เจ้าหน้าที่หญิงกำปากกาที่เธอถืออยู่แน่นเข้า หลี่เจิ้งหันไปเหลือบมองเฉินเกอ “คุณคิดว่ายังไง? ก่อนที่คุณหมอเกาจะหายตัวไป เขาเคยบอกผมว่าคุณค่อนข้างเก่งในเรื่องจิตวิทยา คุณคิดว่าผีที่เขาเห็นนั้นหมายถึงอะไร?”


“เรื่องของเขาน่าสนใจมาก ผมสามารถวิเคราะห์มันคร่าว ๆ ได้” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วย้ายไปนั่งติดกับเตียง “เจียหมิงเริ่มเรื่องของเขาโดยการเล่าว่าเขาเห็นเจียงหลงถูกใครบางคนฆ่าที่บ้านพักของเขา คนที่ใช้มีดและข่มขู่เจียงหลงให้ทำบางอย่างที่น่าจะเจ็บปวดอย่างสุดแสน และเขายังพูดอย่างมั่นใจว่าคนผู้นั้นก็คือผม หรืออย่างน้อยที่สุดก็ดูคล้ายกับผม


“หลังจากผ่านเรื่องนั้นมา เขาก็รีบกลับบ้าน ตอนที่เขาอยู่ในทางเดิน หญิงชราเจ้าของบ้านก็บอกเขาว่า ‘ตอนเดินพวกคุณสองคนอย่าส่งเสียงดังนัก มันดึกมากแล้ว พวกคุณสองคนทำอะไรอยู่จนดึกป่านนี้?’


“นี่หมายความว่าหญิงชรามองเห็นว่ามีมากกว่าแค่เจียหมิงที่ในทางเดิน และคนที่สองนั้นยังอยู่ใกล้กับเจียหมิงมากด้วย! ใกล้ถึงขนาดที่หญิงชราคิดว่าคนผู้นั้นเป็นเพื่อนของเจียหมิง”


เฉินเกอยิ้มให้เจียหมิง


“ถ้าเขากำลังพูดความจริง อย่างนั้นนี่ก็หมายความว่า ตั้งแต่นั้นมา มีคนผู้หนึ่งหรือมีบางสิ่งบางอย่างตามติดเขาอยู่ และคนผู้นั้นก็น่าจะเป็นคนไม่ดีที่เขาเจอที่บ้านพักของเจียงหลง– ‘เฉินเกอ’ ที่ข่มขู่เจียงหลงด้วยมีด การตามรอยผู้ชายสักคนโดยไม่ถูกสังเกตเห็นนั้นยาก วิธีการที่ผมหลอกเขาก็ด้วย แต่กลับพลาดที่จะซ่อนตัวจากสายตาของหญิงชราคนหนึ่ง พวกเราสามารถลองสันนิษฐานได้ว่าสิ่งที่เขากำลังพูดความจริงเพื่อพวกเราสามารถวิเคราะห์ต่อไปได้


“จากนั้น เขาก็วิ่งไปที่ชั้นสองที่เป็นบ้านของเขา ตอนที่เขาเปิดประตู เขาเห็นขาของเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งกับหัวของเขาที่มุมบันไดขึ้นชั้นสาม และตำแหน่งที่เด็กชายปรากฏตัวก็น่าสนใจทีเดียว


“เจียหมิงบอกพวกเราว่าหญิงชราบอกว่าครอบครัวของลูกชายเธอที่มีกันสามคนตายในอุบัติเหตุรถยนต์ และชั้นสามเดิมเป็นพวกเขาอาศัยอยู่ เธอไม่ต้องการปล่อยให้เช่าเพราะอยากเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ


“พวกเราสามารถสันนิษฐานได้ว่าเด็กชายที่เจียหมิงเห็นคือหลานชายของหญิงชรา เด็กที่ตายในอุบัติเหตุ จากนั้นเรื่องแปลกก็คือ เจียหมิงอยู่ที่นั่นตั้งนาน แต่เขาก็ไม่เคยเห็นเด็กชายมาก่อน ดังนั้น คืนนั้นมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปทำให้เขาสามารถมองเห็นเด็กชายได้?”


เฉินเกอนั้นวิเคราะห์อย่างจริงจัง แต่จากมุมมองของหลี่เจิ้งและเจ้าหน้าที่หญิงแล้ว มันก็เหมือนฟังผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่งให้คำปรึกษาผู้ป่วยทางจิตอีกคน


“คำตอบนั้นง่ายมากเพราะว่าเด็กชายก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ตามเจียหมิงอยู่เช่นกัน เราลองให้ความสนใจกับวิธีการที่เด็กชายปรากฏขึ้น เขายืนอยู่ที่ตรงมุม หัวห้อยต่ำมาที่พื้นเหมือนกำลังแอบมองอยู่ นี่หมายความว่าสิ่งที่ตามเจียหมิงมานั้นน่ากลัวกว่าเด็กชาย” เฉินเกอมีรอยยิ้มบนใบหน้า “มนุษย์หวาดกลัวผี นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินอะไรแบบนี้


“มีรายละเอียดอีกอย่างหนึ่งที่ควรจดเอาไว้หลังจากที่เขาเข้าประตูไป ตอนที่เจียหมิงพบว่าเงาสะท้อนของเขาในกระจกนั้นไม่ได้สะท้อนกริยาที่เขาทำอยู่ในชีวิตจริง เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเข้ามาหาเขาจากด้านหลัง ตอนที่เขาขยับแก้วเพื่อดูว่าเป็นใครนั้น ลำคอของเขาก็ถูกบางอย่างที่คล้ายม่านผมแตะลงมา”


เฉินเกอชะงัก


“นี่สำคัญเพราะว่าผมมีผมสั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ล้วนผมสั้น ตอนที่พวกเราก้มหน้าลง มันเป็นไปไม่ได้ที่เส้นผมของพวกเราจะยาวพอที่จะหล่นลงไปกองที่หลังคอเขา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มันควรจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง หรือไม่ก็ผีผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา


“จากนั้น ตอนที่เขาเตรียมจะหนีออกจากห้อง เขาก็เห็นความผิดปกติในทีวี ภาพในทีวีเริ่มกะพริบ และใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้น จากการสังเกตจากไกล ๆ ต่อให้มีผีในห้อง มันก็น่าจะเป็นผีผู้หญิง รวมกับข้อมูลที่พวกเราเก็บมาได้ก่อนหน้านี้ ตัวตนแท้จริงของผีผู้หญิงก็น่าจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกสะใภ้ของหญิงชราเจ้าของบ้าน


“ในเรื่องของเจียหมิง มีผีสองตัว และพวกมันก็มีความสัมพันธ์กับเรื่องที่หญิงชราเจ้าของบ้านเคยเล่าให้เขาฟัง นี่น่าจะเกิดขึ้นเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจียหมิงในคืนนั้น ทำให้เขาเกิดความเครียดทางจิตใจอย่างมาก นี่ทำให้จิตใจแตกสลาย ทำให้เขามองเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง นี่สามารถอธิบายการที่เขาสร้างภาพผีจากเรื่องที่เขาเคยได้ยินมา”


เฉินเกอใช้คำศัพท์เฉพาะที่เขาเรียนรู้มาจากคุณหมอเกามาก่อน เขาไม่รู้หรอกว่าอันที่จริงแล้วมันหมายถึงอะไร แต่มันก็ทำให้เขาดูเป็นผู้เชี่ยวชาญได้


ด้วยการอธิบายของเขา สีหน้าของหลี่เจิ้งและเจ้าหน้าที่หญิงก็อ่อนลง และพวกเขาก็พยักหน้าซ้ำ ๆ เทียบกับเรื่องเหนือธรรมชาติแล้ว พวกเขาเชื่อได้ง่ายกว่าว่าเกิดความผิดปกติทางจิตขึ้นกับเจียหมิง


หลังจากชี้แจงในส่วนของตัวเองแล้ว เฉินเกอก็หันกลับไปมองเจียหมิง บางทีสายตาของเขาอาจจะทำให้เจียหมิงนึกถึงบางอย่างที่น่าหวาดกลัว หรือบางทีเจียหมิงอาจจะสัมผัสได้ถึงอันตรายจากตัวเขา แต่ว่าจู่ ๆ ร่างกายของเขาก็เกร็งกระตุกขึ้นมาก่อนที่จะหมดสติไปโดยสมบูรณ์


“ผมยังไม่ได้แตะตัวเขาเลยนะ” เฉินเกอยกสองมือขึ้นแล้วลุกขึ้นยืน ขณะที่หมอและพยายามเข้ามาล้อมวุ่นวายอยู่รอบตัวเจียหมิง เฉินเกอก็ก้าวเท้าถอยออกมาช้า ๆ เขาไม่ได้บอกตำรวจทุกอย่าง อันที่จริง ความเห็นของเขาก็คือเจียหมิงไม่ได้โกหก


คนที่ดูเหมือนเฉินเกอน่าจะเป็นเงานั่น ส่วนทำไมเขาถึงดูเหมือนเฉินเกอ เฉินเกอเองก็ไม่มีเงื่อนงำใดเหมือนกัน


สิ่งที่เจียหมิงพูดทั้งหมดน่าจะเป็นความจริง เงานั่นตามหลังเขากลับบ้านและถูกหญิงชราเจ้าของบ้านมองเห็นซึ่งทำให้ดวงวิญญาณของครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่ชั้นสามตื่นตัวขึ้นมาด้วย


เด็กชายน่าจะเป็นหลานชายของหญิงชรา และผีผู้หญิงก็น่าจะเป็นลูกสะใภ้ของเธอ น่าจะยังมีผีผู้ชายที่เจียหมิงยังไม่เจอ


เงานั่นตามเจียหมิงกลับบ้าน และยังมีดวงวิญญาณอีกสามดวงที่พยายามปกป้องเขา แต่ความแตกต่างของพลังนั้นมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ใช้วิธีการของตนเองเพื่อเตือนเขา ให้เขารู้ตัวว่าเขากำลังอยู่ในอันตรายร้ายแรงเพียงใด


เฉินเกอรู้ว่าเจียหมิงไม่ได้โกหก ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะว่าเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าเงานั่นยังอยู่กับเจียหมิงหรือไม่ เงานั่นเจ้าเล่ห์มากและนี่น่าจะเป็นวิธีการที่มันใช้ประโยชน์จากตำรวจ


เพื่อยืนยันว่าเจียหมิงโกหกหรือไม่นั้นง่ายมาก


หลังจากเรียกหลี่เจิ้งออกมาจากห้องเพื่อขอที่อยู่ห้องเช่าเก่าของเจียหมิง เฉินเกอก็ออกจากโรงพยาบาล เขาต้องการไปถามด้วยตัวเอง เขาอยากรู้ว่าที่หญิงชราเห็นคืนนั้นคืออะไรกันแน่และเขาก็ต้องการหาดวงวิญญาณเหล่านั้นมาถามว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรในคืนนั้น

 

 

 


ตอนที่ 599

 

ถ้าผมบอกว่า… (1+2)

สวนสนุกเปิดตอนเก้าโมงเช้า ดังนั้นเฉินเกอจึงมีเวลาเหลือไม่มากนัก เขาตัดสินใจที่จะสืบดูต่อในตอนนี้


“สารวัตรหลี่ อย่าประมาท ผู้ชายคนนั้นอันตรายมาก และเขาน่าจะไม่ได้ไร้อันตรายอย่างที่เขาทำให้ตัวเองดูเหมือนอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนผู้ป่วยทางจิตทั่วไป” เฉินเกอไม่รู้ว่าเจียหมิงจะตื่นขึ้นมาตอนไหน เขาพูดบางอย่างกับหลี่เจิ้งและจากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาลมา


เขาเรียกแท็กซี่ไปที่บ้านเช่าแรกของเจียหมิง พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น และมีคนอยู่บนถนนไม่มากนัก บางครั้งก็มีรถผ่านไป แต่ก็เท่านั้น เฉินเกอนั้นยังไม่ได้นอนเลยเมื่อคืนนี้ แรกเลยเขาไปที่โรงเรียนเด็กพิเศษเพื่อไล่ตามผีในน้ำและจากนั้นก็ดำลงไปในเขื่อนจิ่วเจียงตะวันออกเพื่อกู้ศพพวกนั้นก่อนที่ในที่สุดจะไปที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยตำรวจสืบเรื่องเจียหมิง พูดอีกอย่างหนึ่ง เขาใช้เวลาคืนนี้ของเขาอย่างเต็มที่ ไม่มีสักวินาทีที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์


หัวของเขารู้สึกเบาโหวงขณะที่ความง่วงงุนโจมตีเขาเป็นระลอก ๆ เฉินเกองีบหลับไปในรถแท็กซี่ และคนขับก็ปลุกเขาขึ้นมาตอนที่พวกเขามาถึงปลายทาง แต่ว่า การงีบหลับครู่หนึ่งนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์นัก แล้วมันยังทำให้เฉินเกอรู้สึกหัวหนักอึ้งและเชื่องช้าด้วย มันเหมือนสมองของเขาเต็มไปด้วยตะกั่ว


เขาลูบ ๆ หน้าตัวเองแล้วก็เดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ลมเย็น ๆ พัดผ่านหน้าเขา บางทีอาจจะเป็นเพราะวิธีการที่ตึกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมา แต่ว่าแสงอาทิตย์ยากที่จะสาดส่องเข้ามาในตรอกนี้


“ไม่แปลกใจที่เจียหมิงจะไม่กล้าหยุดสักครู่เดียวหลังจากหนีออกมาจากตึกที่เขาอยู่ เขากล้าหยุดก็ตอนที่วิ่งออกไปจนถึงถนนใหญ่แล้ว”


นี่เป็นเขตที่พักอาศัยเก่าและตึกรอบ ๆ นั้นก็ค่อนข้างต่ำ ส่วนมากแล้วเป็นตึกที่มีเพียงสองหรือสามชั้นเท่านั้น พวกมันดูโทรมและเก่า และบางตึกยังมีคำ ‘รอรื้อถอน’ สีแดงทาเอาไว้บนผนังด้วย


“เรื่องที่เจียหมิงเล่าที่โรงพยาบาลนั้นน่าจะเกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว ฉันหวังว่าหญิงชราจะยังไม่ย้ายไปไหนและตึกจะยังอยู่ที่เดิม”


เขาไปตามที่อยู่ที่หลี่เจิ้งให้มาและเดินเข้าเดินออกแต่ละตรอกอยู่นานกว่าจะพบบ้านของหญิงชราคนนั้น เพื่อนบ้านทางซ้ายและขวานั้นย้ายออกไปแล้ว และยังมีโพรงใหญ่โพรงหนึ่งอยู่ที่กำแพง จากที่เห็น ที่นี่ดูเหมือนจะร้างมานานแล้ว


“ที่นี่ไม่ได้หาเจอง่าย ๆ เลย” เฉินเกอเข้าไปในทางเดินและสังเกตเห็นกระถางต้นไม้ที่วางเอาไว้หลายมุม บางที อาจจะเพราะไม่เจอแสงแดด ดอกไม้ส่วนใหญ่จึงเหี่ยวเฉา และลำต้นยังเหลืองบาง


“มีใครอยู่ไหมครับ?” เฉินเกอเคาะประตูที่ชั้นแรก และเขาก็เรียกออกไปเบา ๆ ไม่มีการตอบรับ แต่เสียงของเขานั้นก้องไปตามทางเดินชั้นแรก เขาหันไปมองทางบันได เพราะอะไรสักอย่าง เฉินเกอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับที่นี่ เขาลองดึงประตูเปิด และประตูนิรภัยก็ถูกดึงเปิดได้ทั้งอย่างนั้น


“มันไม่ได้ล็อกไว้ด้วยซ้ำ?” เฉินเกอดึงประตูเปิดกว้างอย่างสงสัย กลิ่นอับกลิ่นรารุนแรงพุ่งมาจากด้านใน ในห้องเต็มไปด้วยเครื่องเรือนเก่า ๆ โซฟาเป็นรูปแบบที่นิยมเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แบบที่ยังเป็นเบาะหุ้มผ้าอยู่ กระทั่งนาฬิกานกคุกคูบนกำแพงและโต๊ะกินข้าวตัวเตี้ยยังดูทรุดโทรมไปแล้ว


“บนลูกบิดประตูไม่มีฝุ่น และนาฬิกาในห้องยังเดินตรงเวลา ดังนั้นน่าจะยังมีคนอาศัยอยู่ที่นี่”


เมื่อไม่ได้รับอนุญาต เฉินเกอก็ไม่หยาบคายพอที่จะบุกเข้าไปในบ้านคนอื่น เขาร้องเรียกอีกครั้งอยู่ที่กรอบประตู แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ แต่ว่า มีเสียงประหลาดดังมาจากบนเพดาน มันเหมือนลูกบอลแฟบ ๆ กระเด้งอยู่บนพื้น


“เสียงนั่นมาจากชั้นสาม” เฉินเกอเดินขึ้นบันได ตอนที่เขาผ่านชั้นสอง เขาก็พบว่าประตูห้องที่ชั้นสองเปิดอยู่ แต่ว่าไม่มีกลิ่นประหลาดจากที่นั่น เหมือนที่นั่นได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ


หลังจากหยุดอยู่ที่ชั้นสองครู่หนึ่ง เฉินเกอก็เดินขึ้นไปต่อ หน้าต่างที่ตรงมุมบันไดนั้นมีผ้าสีดำปิดเอาไว้ บนกำแพงไม่มีหลอดไฟ ดังนั้นต่อให้ที่ด้านนอกพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ที่ด้านในนี้ก็ยังคงมืดเหมือนยามราตรี


“มีคนอยู่ไหมครับ?” เสียงประหลาดดังเข้ามาในหูของเขา เฉินเกอรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครหลักอันอับโชคในหนังสยองขวัญพวกนั้นตอนที่เขาเดินขึ้นไปอีกก้าวเข้าใกล้แหล่งที่มาของเสียงประหลาด เขากำราวบันไดเอาไว้ รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่มาจากกลางฝ่ามือ


บนชั้นสามของตึกเก่า ๆ หลังนี้ไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาเลย เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของเขาออกมาแล้วเปิดไฟฉาย เขาส่องไฟไปยังที่ที่เสียงดังมา ตอนที่ไฟส่องกระทบตรงจุดนั้นก็มีบางอย่างเลื้อยผ่านไปในพริบตานั้น


เฉินเกอเกร็งร่างขึ้นขณะกวาดตาไปทั่ว ๆ ชั้นสาม ประตูบนชั้นนี้ถูกเอาออกไปหมดแล้ว และที่นี่ยังเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือเปียโนหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนา มีหลายคีย์ที่หายไป และมันก็ดูเหมือนชายแก่ที่ฟันหลายซี่หลุดหายไปกำลังอ้าปากอยู่


“พวกเขาน่าจะเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นเจ้าของตึกสามชั้นและยังสามารถซื้อหาสิ่งของฟุ่มเฟือยอย่างเปียโนสักหลังได้”


เฉินเกอเดินไปที่เปียโนนั่นแล้วกดนิ้วลงบนหลาย ๆ คีย์ เสียงดนตรีที่เขาคาดหวังให้ดังออกมาจากเปียโนกลับไม่ปรากฏ


เฉินเกอมองเข้าไปในเปียโน มีเส้นผมหลายกระจุกติดอยู่ในนั้น บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง แต่ครู่หนึ่งนั้น เฉินเกอรู้สึกว่าเส้นผมนั่นขดตัวลึกเข้าไปในเปียโน


เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในเปียโนดึงผมกระจุกหนึ่งออกมาอย่างใจเย็น “มีเส้นผมสีขาวและสีดำ ปลายยังสะอาดและเรียบร้อย ดังนั้นนี่จะถูกตัดออกมา ไม่ได้ถูกถอน นี่เป็นของสะสมพิเศษของหญิงชราเจ้าของบ้านงั้นหรือ? แต่ทำไมเธอถึงเก็บของพวกนี้ไว้ล่ะ?”


ลูกสะใภ้ของหญิงชรานั้นยังอายุน้อยอยู่ตอนที่เธอตาย ดังนั้นเส้นผมของเธอน่าจะยังไม่หงอกขาว


“ทำไมหญิงชราถึงได้เอาเส้นผมใส่ไว้ในเปียโนเยอะอย่างนี้?” เฉินเกอโยนเส้นผมที่เขาถือเอาไว้กลับเข้าไปในเปียโน ตอนที่เขาดึงแขนกลับมานั้น ที่ปลายหางตาของเขาก็มองเห็นใบหน้าสีเทา ๆ ท่ามกลางกลุ่มผม มันดูกำลังจับตามองเฉินเกออยู่จากใต้กระจุกผมนั่น


“นั่นอะไร?” ชั้นสามนั้นเป็นที่สำหรับเหล่าวิญญาณ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เขาจะเจอเข้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ เฉินเกอไม่ได้ตื่นตระหนก เขาวางโทรศัพท์ของเขาลงข้างตัว เล็งให้ไฟฉายส่องเข้าไปในเปียโน จากนั้นเขาก็เอื้อมเข้าไปหากลุ่มผมด้วยสองมือและเริ่มการค้นหา “คุณยังอยู่ที่นั่นไหม?”


ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้กองเส้นผม และไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเจอของสำคัญชนิดไหน แต่ว่า ความรู้สึกที่ผิวหนังเปลือยเปล่าสัมผัสกับเส้นผมนั้นก็ไม่ได้ดีนัก เขาคุ้ยไปทั่วอยู่นาน แต่สุดท้ายเฉินเกอก็หาคนไม่เจอ เขาดึงมือกลับมาแล้วมองนาฬิกาที่ด้านข้าง นาฬิกาดูคล้ายกับที่อยู่ในห้องของหญิงชราที่ชั้นแรก แต่ว่าอันนี้ มีเพียงเข็มวินาทีเท่านั้นที่ยังเดินอยู่


มันหมุนไปเรื่อย ๆ แต่เวลาบนหน้าปัดก็ยังคงนิ่งอยู่ที่ 3:44


“เป็นบ่ายสามสี่สิบสี่นาทีหรือว่าตีสามสี่สิบสี่นาทีกันล่ะ? และมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในเวลานี้ของวันนั้น?”


ตอนที่ความสนใจของเฉินเกอถูกดึงไปทางนาฬิกา ก็มีบางอย่างเลื้อยออกไปจากใต้เปียโน เสียงลูกบอลกระเด้งกลับมาอีกครั้ง และเมื่อเฉินเกอได้ยิน เสียงนั่นก็ย้ายไปที่ชั้นสอง


“มันหนี? ไม่ มันเหมือนมันพยายามนำทางให้ฉัน”


เฉินเกอกลับไปที่ชั้นสอง เขาไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างหรือบางคนจับจ้องแผ่นหลังเขาอยู่ออกไปได้ เสียงนั่นหายไปเมื่อเฉินเกอไปถึงชั้นสอง แต่น่าแปลก ประตูเปิดทิ้งเอาไว้นั้นเปิดกว้างไม่เท่าก่อนหน้านี้


“มันเข้าไปซ่อนในห้อง?” เฉินเกอผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องที่อยู่ในเรื่องเล่าของเจียหมิง แต่ว่า ต่างไปจากที่เจียหมิงอธิบาย หน้าต่างทั้งหมดในห้องนี้นั้นถูกไม้กระดานปิดเอาไว้ ถึงแม้ว่าที่นี่จะสะอาด แต่ว่ามันก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุก


เข้าไปในห้อง เฉินเกอรีบตรงไปยังห้องน้ำที่มีพลังหยินรุนแรงที่สุด ผลักประตูเปิดเข้าไป เขากวาดตามองรอบ ๆ คร่าว ๆ ครั้งหนึ่งและจากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่หน้ากระจก เฉินเกอยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องไปที่เงาสะท้อนของตัวเองในกระจกอยู่นาน


ถ้าคนผู้หนึ่งมองเงาสะท้อนของตัวเองนาน ๆ สมองของพวกเขาก็จะสร้างความทรงจำว่าเงานั่นไม่เหมือนตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ในกรณีรุนแรง อาจจะมีกระทั่งความรู้สึกประหลาดและหวาดกลัวอันอธิบายไม่ได้เกิดขึ้นด้วย


เฉินเกอมองไปที่กระจกอยู่ห้านาทีเต็ม ๆ แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ากระจกมีอะไรผิดปกติหรือไม่ เขาเชื่อว่าหลังจากเงานั่นทำตามจุดประสงค์สำเร็จแล้ว มันก็จากไปทันทีและไม่ได้ทิ้งร่องรอยหรือว่ากับดักอะไรเอาไว้ในกระจก แต่เพื่อความแน่ใจว่าตรวจดูครบถ้วนแล้ว ก่อนกลับออกไป เฉินเกอก็ใช้ดวงตาหยินหยางของเขาและจ้องเข้าไปในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ดวงตาของเขาหรี่ลง เขาก็มองเห็นขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง


มันเป็นเด็กชายที่หัวอยู่แทบจะถึงพื้น เขายืนอยู่หลังประตูห้องน้ำ มองมาทางเฉินเกอ


เฉินเกอหันควับกลับไปแต่กลับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขามองไปที่กระจกอีกครั้ง แต่คราวนี้ ถึงจะใช้ดวงตาหยินหยาง เด็กชายก็ไม่ปรากฏขึ้นในกระจกอีกเลย


“เขาไปไหนกัน?” เฉินเกอเดินออกไปจากห้องน้ำเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป


ประตูเข้าไปห้องนั่งเล่นนั้นปิด หน้าต่างถูกไม้กระดานตีปิดเอาไว้ และตอนนี้ประตูก็ปิดลง อากาศในห้องเริ่มอับและหนักขึ้นกดทับลงมาที่เฉินเกอ


“เป็นเด็กชายคนนั้นทำเหรอ?” เขาเดินไปที่ประตูแล้วหมุนลูกบิด เขาพบว่าประตูล็อกเอาไว้ และมันก็ไม่สามารถเปิดออกได้โดยไม่มีกุญแจ ตอนที่เฉินเกอกำลังดูว่าจะทำอย่างไรกับล็อกดีนั้น ก็มีเสียงดังมาจากที่มุมห้องนั่งเล่น จากนั้นก็มีเสียงซ่า ๆ ดังเข้ามาในหูเฉินเกอ


เขาหันกลับไปมอง ในห้องมืด ๆ ทีวีที่เดิมปิดอยู่ก็ถูกเปิด ภาพบิดเบี้ยวสีฟ้าและขาวปรากฏขึ้นบนหน้าจอ และบางครั้งมันก็กะพริบ


“ฉากนี้ก็ปรากฏขึ้นในเรื่องเล่าของเจียหมิงมาก่อนเหมือนกัน” เฉินเกอดูใจเย็น แต่ว่าหัวใจของเขานั้นเต้นรัว ก่อนที่เขาจะทันดูจบ จอทีวีที่กะพริบอยู่ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งลง และรูปร่างหยาบ ๆ ของเงาร่างหนึ่งก็เริ่มปรากฏ


เงาร่างนั้นคล้ายกับกำลังตรงเข้ามาหาเฉินเกอช้า ๆ เดิมที มันมีขนาดเท่ากำปั้น แต่ในที่สุด มันก็ขยายโตเท่าศีรษะ ขณะที่มันเข้ามาใกล้ เฉินเกอก็มองเห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม


มันเป็นเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง และหลังจากจอกะพริบแต่ละครั้ง เงาร่างผู้หญิงก็เข้าใกล้เขามากขึ้น และหัวใจของเฉินเกอก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้


ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นมีขนาดเท่ากับคนจริง ๆ และจอทีวีไม่ได้ใหญ่พอที่จะแสดงภาพของเธอได้ เฉินเกอก็เลิกลังเล เขาเอื้อมมือเข้าไปที่ด้านหลังตัวเองแล้วพึมพำสองคำ “ซู่อิน!”


นิ้วของเขาไปถึงที่ด้านหลังตัวเองแต่กลับไม่พบอะไร และหัวใจของเฉินเกอก็กระตุก จู่ ๆ เขาก็นึกได้ว่าเขาได้รับโทรศัพท์จากหลี่เจิ้งเมื่อเช้านี้ให้ไปที่โรงพยาบาลช่วยพวกเขาเรื่องคดี


เพราะเวลากระชั้นและกระเป๋าสะพายหลังของเขานั้นเปียกน้ำจากเสื้อผ้าของเขาที่ดำลงไปในเขื่อน เฉินเกอจึงไม่ได้เอากระเป๋าสะพายมาด้วย เขานึกได้ว่าตั้งแต่ที่เขาไปพบตำรวจ เขาก็ไม่ได้เจอกับอันตรายอะไร


นิ้วของเขาแข็งทื่ออยู่ท่าเดิม และเฉินเกอก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ทีวีอย่างช้า ๆ เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามใบหน้าของเขาขณะที่ดวงตาของเขาขยับช้า ๆ ในที่สุดเขาก็เห็นจอทีวีแล้ว มีเพียงแค่ภาพสีฟ้าและขาวที่ยังอยู่บนจอ– เงาของผู้หญิงนั้นหายไปแล้ว


เฉินเกอถอนหายใจโล่งอก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้หายใจครั้งต่อไป หลังคอเขาก็รู้สึกชายิบเหมือนมีเส้นผมของใครสักคนบังเอิญปัดผ่านผิวของเขา


ดวงตาของเขากระตุกและเฉินเกอก็จำได้ว่าได้ยินส่วนนี้ในเรื่องของเจียหมิงด้วยเหมือนกัน


เขาหันหลังกลับช้า ๆ และจากปลายหางตา เขามองเห็นดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งมองมาที่เขาจากด้านหลัง


ร่างที่ปรากฏในทีวีนั้นบิดเบี้ยวเป็นมุมที่เป็นไปไม่ได้และริมฝีปากของเธอก็แตกระแหง ผู้หญิงคนนั้นที่มีดวงตาหลุดออกจากเบ้ากำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา


ใบหน้าของเขากระตุกนิด ๆ และเฉินเกอก็รู้สึกเหมือนอากาศรอบ ๆ ตัวเขาถูกแช่แข็ง เขามองไปยังเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของเธอแล้วก็ถอยหลังกลับช้า ๆ


เขาเหยียบลงบนอะไรสักอย่างและเฉินเกอก็ล้มไปที่โซฟา เขามองเงาของผีที่กำลังตรงเข้ามาและพูดออกไปตามสัญชาตญาณ “คุณจะเชื่อไหมถ้าผมบอกว่าผมมาที่นี่เพื่อช่วยคุณ?”

 

 

 


ตอนที่ 600

 

ชายไร้เงา

เส้นผมสกปรกปลิวไหวตามจังหวะสายลม เสียงกระดูกบดกันดังมาจากลำคอของผู้หญิงคนนั้น เธอขยับตัวเร็วมากและตอนที่เฉินเกอพูด เธอก็กดอยู่เหนือตัวเขาแล้ว จากวิธีการตอบสนองของเธอ มันไม่เหมือนว่าเธอจะอยู่ในอารมณ์รับฟังสิ่งที่เฉินเกอจะพูด


“ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว” เหงื่อเย็น ๆ ยังซึมออกมาเหมือนเขากำลังห้อยโหนอยู่ที่ขอบหน้าผา เฉินเกอเอนหลังแนบไปกับโซฟามือจับที่พักแขนเอาไว้แน่นเท่าที่จะทำได้ “ผมไม่ได้คิดจะล่วงเกินอะไรคุณ ผมมาที่นี่เพื่อค้นหาความจริงบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว! มีผู้เช่ารายหนึ่งในห้องนี้ที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายหลอกหลอนเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้น คุณก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อเตือนเขาว่าเขาอยู่ในอันตรายแบบไหน และถ้าเขาไม่รู้สาเหตุเรื่องนั้น เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้ต่อไปแล้ว!”


ถ้านี่เป็นคนอื่น พวกเขาก็คงร้องไห้สะอึกสะอื้นหรือว่ากรีดร้องเสียจริตไปแล้ว แต่เฉินเกอนั้นต่างออกไป เขาพูดทุกอย่างที่ต้องการออกมาโดยใช้เวลาสั้นที่สุด ผีตนนั้นไม่ได้กดตัวลงมาอีก และเฉินเกอก็ถอนหายใจโล่งอก เขาปรับท่าทางของตัวเองให้สบายขึ้นกว่าเดิมและตอนที่เขากำลังขยับคอ เขาก็สังเกตเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา


ผิวของเด็กชายนั้นเป็นสีเทาซีดอย่างน่าตกใจ และสันหลังของเขาก็หัก ดังนั้นหัวของเขาจึงหล่นลงมาอยู่บริเวณหน้าอก ดวงตาของเขาขยับขึ้นลงขณะสำรวจเฉินเกอใกล้ ๆ


“นี่ลูกชายของคุณเหรอ? เป็นเด็กน้อยน่ารักทีเดียว…” เฉินเกอแย้มริมฝีปากออกป็นรอยยิ้ม เขารู้ว่าวิญญาณที่นี่นั้นอาจจะจำเจียหมิงไม่ได้ ดังนั้นหลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็รีบเสริม “ผู้เช่าคนนั้นเคยเป็นเพื่อนสนิทของผม เขาบอกผมว่าการได้อยู่ในตึกเก่าหลังนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา คุณยายเจ้าของตึกดีกับเขามาก และเขาก็หวงแหนความทรงจำช่วงนี้มาก แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดูเหมือนเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาเอาแต่ทำลายความทรงจำดี ๆ ทุกอย่างเพื่อให้ควบคุมตัวเองได้ เดิมที ผมคิดว่าเขาแค่ล้อเล่น แต่ความจริงก็ยืนยันแล้วว่าผมคิดผิดไป ถ้าผมไม่ได้เรียกตำรวจมาหยุดเขาเมื่อคืนนี้ เขาก็คงมาที่นี่พร้อมกับมีดแล้ว!”


ติดแหงกอยู่ระหว่างผีสองตน เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรได้อีก แต่เขารู้ว่าโทษทุกอย่างใส่เจียหมิงไปก่อน ผีที่นี่น่าจะเคยเห็นเงานั่นมาก่อน ดังนั้นเฉินเกอเชื่อว่าหากเขาคอยยกเรื่องเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา มันน่าจะพอที่จะกระตุ้นความทรงจำของพวกเขาได้


เขาไม่ได้อยากจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการโน้มน้าววิญญาณพวกนี้– เขาแค่ต้องการโอกาสจากพวกเขาให้ได้อธิบายตัวเองและไม่มาเอาชีวิตเขาในตอนที่เขาอ่อนแอถึงเพียงนี้ จากนั้น ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น


“ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนรักของผมจะกลายเป็นแบบนั้นไปได้ ดังนั้น ผมจึงมาที่นี่เพื่อเตือนคุณยายเจ้าของบ้านเช่าว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบไหน มีปิศาจสิงร่างเพื่อนผมแล้วกำลังตามล่าเธออยู่!” ยิ่งเขาพูด เขาก็ยิ่งร้อนรน และนั่นก็ค่อย ๆ ชนะความกลัวที่เฉินเกอรู้สึกอยู่ “คุณยายเป็นคนดี และความใจดีไม่ควรได้รับการตอบแทนเป็นการทำร้ายหรือว่าแก้แค้น!”


สำหรับวิญญาณในตึกเก่าหลังนี้ เจียหมิงนั้นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าผู้เช่าที่ผ่านเข้ามา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับหญิงชรานั้นต่างออกไป เธอคือครอบครัวของพวกเขา หลังจากพูดทั้งหมดนั้นแล้ว เด็กชายข้าง ๆ เขาก็หันไปมองผีผู้หญิง สีหน้าของเธอยังเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเฉินเกอจึงบอกไม่ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่


สมองเขาหมุนจี๋ และหลังจากกลั่นกรองประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็คิดวิธีการแก้ไขสถานการณ์อันซับซ้อนนี้ได้สามวิธี แต่ว่า ตอนที่เขากำลังจะใช้วิธีหนึ่งออกมานั้น ผู้หญิงและเด็กชายจู่ ๆ ก็ถอยไปที่ด้านข้างแล้วหายตัวไป


ประตูถูกผลักเปิดออกแล้วคุณยายอายุราวเจ็ดสิบหรือแปดสิบปีคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ประตู มือเหี่ยวย่นถือกุญแจเอาไว้ เธอพึมพำ “เฉียนเฉียน? นั่นหนูหรือเปล่า?”


ใบหน้าของหญิงชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างคาดหวังก่อนที่สายตาจะตกลงมาที่เฉินเกอที่นอนแผ่อยู่บนโซฟา


“ให้ผมอธิบายก่อนครับ!” เฉินเกอรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปหาหญิงชราแต่ว่าขากางเกงของเขากลับถูกดึงเอาไว้ เขาหันไปมองและเห็นเด็กชายซ่อนอยู่หลังโซฟา เขาคว้าขาของเฉินเกอเอาไว้และศีรษะน่าประหลาดนั่นก็หันซ้ายขวาเหมือนกำลังเตือนเฉินเกออย่าได้เปิดเผยตัวตนของพวกเขาให้หญิงชรา


“ไม่ต้องกังวล ว่าแต่เธอกำลังคุยกับใครเหรอ?”


ถึงแม้ว่าหญิงชราจะแก่แต่เธอก็ไม่ได้แก่หง่อมถึงเพียงนั้น เธอเดินเข้ามาในห้องแล้วชะโงกหน้าดูด้านหลังเฉินเกอ ตอนนั้นผู้หญิงและเด็กชายก็หายตัวไปแล้ว


“ผมกำลังพูดอะไรอยู่เหรอ?” เห็นหญิงชราเข้ามาในห้อง เฉินเกอก็พูดอย่างนุ่มนวล “คุณยาย อย่าได้เข้าใจผิด ผมไม่ใช่พวกหัวขโมย– ผมแค่มาที่นี่เพื่อถามคำถามคุณเล็กน้อย ผมเห็นประตูไม่ได้ล็อกดังนั้นจึงเข้ามาเพื่อตามหาคุณ แต่จู่ ๆ ลมก็พัดกระแทกประตูปิดจากด้านนอก”


“เธอกำลังบอกฉันว่าลมมันล็อกประตูได้งั้นเหรอ?” หญิงชราไม่ได้ถูกหลอกโดยง่าย เธอมองเฉินเกอก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋า เฉินเกอคิดว่าเธอจะหยิบอาวุธอะไรออกมาป้องกันตัวเอง ดังนั้นเขาจึงระวังตัวมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เธอเพียงแค่ส่งผ้าเช็ดหน้าสะอาดให้เขาผืนหนึ่งเท่านั้น “เช็ดเหงื่อเธอซะ ต่อให้เธอเป็นโจรก็ไม่เป็นไร– ที่นี่ไม่ได้มีของมีค่าอะไรให้หยิบฉวยหรอก”


“คุณยายเป็นคนดีจริง ๆ” เฉินเกอผ่อนคลายขึ้นและตัดสินใจแก้ต่างให้ตัวเอง “ผมมีเพื่อนที่เคยเช่าห้องนี้จากคุณยาย แต่ตอนนี้เขากำลังแย่ เขาเอาแต่พูดว่ามีคนอื่นอยู่ในตัวเขาแล้วก็ทำลายความทรงจำดี ๆ ที่เขามีอยู่อย่างบ้าคลั่ง…”


“เธอก็มาที่นี่เพราะเจียหมิงงั้นเหรอ?” หญิงชราขัดเขาขึ้น


เขาขมวดคิ้ว และเฉินเกอก็รีบถาม “มีคนมาถามถึงเขาก่อนผมเหรอ?”


“หลายวันก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่แซ่เอี๋ยนมายืนยันบางอย่างกับฉัน”


“หัวหน้าเอี๋ยน? เขาถามอะไรคุณเหรอ?” เฉินเกอนึกถึงหัวหน้าเอี๋ยนขึ้นมา


“ส่วนมากแล้วก็เป็นเรื่องที่ฉันจำได้เกี่ยวกับเจียหมิง เด็กนั่นมาจากบ้านนอก เขาซื่อสัตย์แล้วก็ขยัน และข้อเสียของเขาก็มีแค่เขาดื้อรั้นและยังโชคร้าย” ในน้ำเสียงของหญิงชราแฝงความเศร้าเมื่อพูดถึงเจียหมิง


“อย่างนั้นเขาถามไหมว่าทำไมเจียหมิงถึงย้ายออกไป?” เฉินเกอพบว่าเขาประเมินตำรวจต่ำไป ก่อนที่เจียหมิงจะถูกจับกุม หัวหน้าเอี๋ยนก็ตรวจสอบเบื้องหลังและประวัติทั้งหมดของเขาแล้ว


“เขาถาม แต่บอกตามตรง กระทั่งฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเด็กนั่นถึงได้รีบย้ายออก เขาไม่เอากระเป๋าหรือของไปด้วยด้วยซ้ำ ฉันอยากจะส่งมันให้เขาแต่เขาก็ปฏิเสธฉัน”


“อย่างนั้นคุณยังจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนก่อนที่เขาจะย้ายออก? มันน่าจะเป็นวันนั้นที่เขากลับบ้านดึกมาก” เฉินเกออยากจะยืนยันเรื่องที่เจียหมิงเล่าจากฝั่งหญิงชรา


“คืนนั้นฉันอยู่ในห้องฉันและไม่ได้…” จู่ ๆ หญิงชราก็ชะงัก และเธอก็มองหน้าเฉินเกออยู่นาน “เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนไหม?”


“พวกเราเคยพบกันเหรอครับ?” คราวนี้ เฉินเกอประหลาดใจอย่างแท้จริง


“ใช่ ฉันคิดว่าฉันจำได้แล้ว คืนนั้น ฉันได้ยินเจียหมิงเดินอยู่ในบ้านและฉันก็คิดว่าเขาทะเลาะกับเสี่ยวหลิง ดังนั้นจึงคิดที่จะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้พวกเขา แต่ตอนที่ฉันขึ้นไปถึงชั้นสอง ฉันก็เห็นมีคนยืนอยู่ที่ประตูห้องเขา” หญิงชรายกแขนผอมบางของเธอขึ้นช้า ๆ ชี้ไปที่เฉินเกอ “เป็นเธอ เธอเป็นคนที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องเขาคืนนั้น!”


หญิงชราเริ่มตื่นตระหนก จากแนวโน้มแล้ว เฉินเกออาจจะเผยยิ้มชั่วร้ายออกมาจากนั้นก็พูดอะไรอย่าง ‘ในเมื่อคุณเห็นหน้าผมแล้ว ผมก็คงปล่อยให้คุณมีชีวิตอยู่เพื่อไปบอกคนอื่นไม่ได้’ แต่อันที่จริง เฉินเกอกลับขยับตัวออกห่างจากหญิงชราเสียเองและเขาก็เริ่มใคร่ครวญอย่างละเอียด


หญิงชราเองก็เห็นคนที่ดูคล้ายเฉินเกอเช่นกัน นี่ยืนยันว่าเงานั่นมีความสัมพันธ์กับเฉินเกอ หรืออย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มีหน้าตาคล้ายกัน


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กชายกับผู้หญิงคนนั้นถึงเอาแต่จ้องหน้าฉันตอนที่พวกเขาเห็นฉัน– พวกเขาน่าจะตกใจเหมือนกัน” เฉินเกอพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง และจากนั้นเขาก็หันมามองหญิงชรา “คุณยาย คืนนั้น คุณเห็นคนที่ดูเหมือนผม เขากำลังทำอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า?”


หญิงชราส่ายหน้า “ทั้งหมดที่เขาทำก็คือยืนอยู่ตรงนั้น อ้อ ใช่แล้ว ฉันถือไฟฉายไปด้วยตอนนั้น แต่หลังจากที่แสงกระทบตัวเขา ฉันก็พบว่า ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะไม่มีเงา”

 

 

 


ตอนที่ 601

 

เขาต้องการเปิดประตูในจิ่วเจียงตะวันตก

“ชายไร้เงา?” หากนี่เป็นคนเป็น เขาก็ต้องมีเงา นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ใช่คนเป็น หรือเขาเป็นเงาของคนอื่นหลุดออกมา เฉินเกอตัดสินใจจะยืนยันเรื่องนี้กับหญิงชราอีกครั้ง “คุณยาย คุณยายแน่ใจเหรอครับว่าไม่ได้ดูผิด?”


“ใช่” ในความทรงจำของหญิงชรา คนผู้นั้นดูคล้ายเฉินเกอ เธอจ้องเฉินเกอแล้วความรู้สึกประหลาดก็ท่วมท้นขึ้นมา “วันนั้น เขายืนอยู่ด้านนอกห้อง ฉันถามเขาว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่เขาไม่ตอบ เขาพึมพำชื่อของคนคนหนึ่ง”


“ชื่อของคนคนหนึ่ง? คุณยายจำชื่อนั้นได้ไหมครับ?” เพื่อกำจัดข้อสงสัยที่ยังติดอยู่ในใจหญิงชรา เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาส่องไฟไปที่ตัวเองเพื่อให้เห็นว่าเขายังมีเงาอยู่ “คุณยาย ผมมาพร้อมกับเงา ดูสิ คนที่คุณเห็นน่าจะแค่มีใบหน้าคล้ายผมเท่านั้น”


“ความทรงจำของฉันอาจจะหลอกฉัน ฉันจะโทรบอกเธอถ้านึกชื่อนั่นได้” หญิงชราแลกเบอร์โทรศัพท์กับเฉินเกอ


“คุณยาย นอกจากนี้แล้ว คุณยังจำอะไรเกี่ยวกับคนผู้นั้นได้อีกไหม? เขายืนอยู่ที่ประตูนานแค่ไหน? หลังจากเขากลับไปแล้ว มีอะไรเปลี่ยนไปไหมในตึกนี่?” เฉินเกอนั้นกลัวว่าเงานั่นจะทิ้งกับดักเอาไว้ในตึก อย่างไรเสีย ศัตรูของเขาคนนี้ก็รวบทั้งจิ่วเจียงตะวันออกมาอยู่ในแผนการของมันเอง ดังนั้น เฉินเกอจึงไม่ระวังให้มากเสียหน่อยไม่ได้


“หลังจากเจียหมิงวิ่งออกไปแล้ว คนที่อยู่ด้านนอกประตูก็หายไป หลังจากเขาไปแล้ว ฉันก็ตรวจดูทั้งตึกและไม่เจอว่าอะไรหายไป น่าแปลก ฉันคอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแต่ว่าฉันบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร มันเป็นบางอย่างที่สำคัญที่ถูกชายคนนั้นเอาไป” หญิงชราถอนหายใจ เธอเดินไปทั่ว ๆ ห้อง “ฉันตรวจดูรอบ ๆ แล้ว แต่ว่าไม่มีอะไรหายไป แต่ความรู้สึกนั้นก็ไม่หายไป และฉันก็บอกไม่ได้ว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับที่ฉันนอนหลับไม่ค่อยได้หลังจากนั้น”


“คุณรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหายไป?”


“ฉันบอกคุณทุกอย่างที่ต้องบอกแล้ว ตอนที่คุณกลับออกไป ปิดประตูให้ฉันด้วยนะ” การพูดคุยกับเฉินเกอดูเหมือนจะทำให้หญิงชรานึกถึงความทรงจำอันน่าเศร้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลับออกไปไม่ยินดีจะพูดคุยต่อแล้ว เฉินเกอกำลังจะกลับออกมาพร้อมกับหญิงชราตอนที่เขารู้สึกว่าเสื้อถูกดึงเอาไว้


หันกลับไปมอง เขามองเห็นนิ้วหงิกงอทั้งห้ากำชายเสื้อเขาเอาไว้ และจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็คลานออกมาจากใต้โต๊ะกาแฟ


“ผมไม่ได้จะทำร้ายเธอ…” ดวงตาของเฉินเกอกวาดมองไปยังผู้หญิงคนนั้นกับเด็กชาย จู่ ๆ เขาก็นึกบางอย่างออก หลังจากเขาเข้ามาในตึกนี้ เขาเจอแค่ผู้หญิงกับเด็ก แต่เขาไม่เจอลูกชายของหญิงชรา “ครอบครัวสามคนประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ภรรยาและบุตรชายยังอยู่ในตึกนี้ ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลให้สามีไม่อยู่ที่นี่ด้วย”


เขาเชื่อมโยงมันกับสิ่งที่หญิงชราพูดก่อนหน้านี้ หลังจากเงานั่นจากไป เธอก็รู้สึกเหมือนเธอทำบางอย่างที่สำคัญหายไป เป็นไปได้ไหมว่าดวงวิญญาณของลูกชายของหญิงชราถูกเงานั่นลักพาตัวไป?


เฉินเกอตั้งใจจะตรวจสอบเรื่องนี้ หลังจะเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถาม “หลายปีก่อน พวกคุณน่าจะเจอกับวิญญาณร้ายที่หน้าตาคล้ายผม คุณบอกผมทุกอย่างที่คุณรู้เกี่ยวกับเขาได้ไหม?”


ผีทั้งสองอยู่ห่างจากเขา ดวงตาของพวกเขามองเฉินเกออย่างละเอียดและพวกเขาก็กำลังคิดถึงบางอย่าง


“ถ้าผมไม่ฆ่าเขา วันหนึ่งผมก็จะถูกเขาฆ่า ถ้าคุณเคยถูกเขาทำร้าย อย่างนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันเพราะว่ามีศัตรูคนเดียวกัน” เฉินเกอเอนตัวลงและเอื้อมมือไปจับนิ้วที่ผิดรูปและเปื้อนเลือดของเธอเอาไว้ “ผมช่วยคุณได้ และผมก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นสนุกเท่านั้น”


เมื่อผีผู้หญิงสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเฉินเกอที่จะจับมือกับเธอ เธอก็ถอยออกไปทันที หลายวินาทีให้หลัง เด็กชายก็วิ่งเข้าไปในห้องนอนและลากกระเป๋านักเรียนขาดวิ่นออกมาจากใต้เตียง เขาดึงปากกาด้ามหนึ่งกับกระดาษออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะกาแฟ เส้นผมของผู้หญิงคืบคลานมาขดรอบปากกา แล้วตัวอักษรขยุกขยุยก็เริ่มปรากฏขึ้นบนกระดาษ


“เขายังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตายไปโดยสมบูรณ์ เงานั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น สามีของฉันบอกให้พวกเราหนี และเขารั้งอยู่เพื่อช่วยพวกเราหนี เขากินสามีของฉันลงไป– เขาแข็งแกร่งขึ้น” เฉินเกอ่านคำที่บนกระดาษ


“หมายความว่าอะไรกันที่บอกว่าเขายังมีชีวิต? ร่างกายของเงานั่นยังมีชีวิต? เขาเป็นคนเป็น ๆ คนหนึ่ง? แต่ทำไมคนผู้นั้นถึงกินผีได้ล่ะ?” เฉินเกอไม่รู้ว่าตายของผู้หญิงคนนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่เขาเชื่อว่ามันต่างไปจากคำจำกัดความทางการแพทย์ แต่ว่า ถึงอย่างนั้น ข้อมูลนี้ก็เพียงพอให้เฉินเกอตกใจแล้ว “ร่างจริงของเขานั้นไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผี หรือไม่อย่างนั้น เขาก็ต่างไปจากผีทั่วไป ศัตรูผู้นี้ช่างน่าประหลาด”


ตอนที่เขาสู้กับสมาคมเล่าเรื่องผี ถึงแม้ว่าสมาชิกจะลึกลับมาก อย่างน้อยที่สุดเฉินเกอก็สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาล้วนเป็นคนเป็น ๆ สมาคมนั้นก่อตังขึ้นโดยคนเป็น และผีนั้นอันที่จริงก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น แต่ความรู้สึกของเฉินเกอต่อคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องที่เมืองจิ่วเจียงนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังบอกไม่ได้ว่าคนร้ายเป็นผีหรือเป็นคน หลังจากอ่านข้อความของผีผู้หญิงแล้ว ความสงสัยนั้นก็ยิ่งมากขึ้น


“แค่นั้นเหรอ?” เฉินเกอวางกระดาษลง และผีผู้หญิงก็ควบคุมปากกาแล้วเริ่มเขียนอีกครั้ง “ตอนที่เขากินสามีของฉัน เขาบอกว่า ด้วยแต่ละความตายนี้ ความแค้นในหัวใจของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และการกินแต่ละครั้งก็จะทำให้เขาเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้นมากขึ้น สักวันหนึ่ง เขาจะกลับไปที่จิ่วเจียงตะวันตกเพื่อเปิดประตูบานนั้นด้วยตัวเอง”


คำที่เขียนนั้นดูผิวเผินเหมือนไม่เป็นเหตุเป็นผลนัก แต่มันกลับทำให้เฉินเกอขนลุก ประโยคเหล่านี้เผยข้อมูลมากมายออกมา โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ที่เงานั่นพูดว่ามันต้องการเปิดประตูที่ในจิ่วเจียงตะวันตกด้วยตัวเอง เฉินเกอสงสัยเป็นอย่างมากว่าประตูที่ว่านั้นคงไม่ใช่บานไหนนอกจากบานที่ในห้องน้ำในบ้านผีสิง


บ้านผีสิงกำลังได้รับความนิยม แต่หากประตูในห้องน้ำเปิดออก ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปภายในแค่คืนเดียว ทุกความพยายามที่เขาทุ่มเทลงไปหลังจากได้โทรศัพท์เครื่องดำมาก็จะสูญเปล่าไป


“คนผู้นี้คือใครกันแน่?” ประตูที่บ้านผีสิงนั้นเป็นขีดจำกัดล่างของเฉินเกอ เขาจะสู้จนตายไปข้างหนึ่งกับคนที่กล้าเพ่งเล็งประตูบานนั้น ไม่มีการต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น


ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเฉินเกอกำลังคิดอะไร เธอเขียนกระดาษต่อ “มีสถานที่สิบแห่งในจิ่วเจียงตะวันออกที่เป็นจุดกำเนิดเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุด ผู้ชายคนนั้นกินผีในที่เหล่านั้นไปห้าแห่งแล้ว และเขาก็ได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งแรกที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว เงานั่นจะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะตอนกลางคืน มันเกลียดแสงไฟและเสียงเด็กร้อง”


หลังจากเขียนทั้งหมดนั่นแล้ว ผีผู้หญิงก็มองเฉินเกอและอุ้มเด็กชายขึ้นก่อนที่ทั้งคู่จะหายตัวไป


“คนในจิ่วเจียงตะวันออกนั้นค่อนข้างเชื่อโชคลาง และฉันก็เคยได้ยินเรื่องผีทั้งสิบนี่มาก่อน แต่ฉันไม่รู้เลยว่าอีกห้าที่เหลืออยู่นั้นมีอะไรบ้าง แล้วก็ ครั้งแรกที่เงานั่นเจออุปสรรคก็คือที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว และเมื่อคืนนี้ เจียหมิงก็บังเอิญถูกพบหมดสติอยู่ที่ปากอุโมงค์ เป็นไปได้ไหมว่าเขาหมดสติอยู่ที่นั่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อล่อฉันเข้าไปในอุโมงค์เพื่อตรวจสอบและใช้ฉันรับมือกับศัตรูของเขา?” เงานั่นเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่สุดในใจเฉินเกอ ดังนั้นเขาจึงตรึกตรองทุกอย่างจากมุมเลวร้ายที่สุดที่จะเป็นไปได้


“แต่ฉันสามารถใช้จุดอ่อนที่มันไม่ชอบแสงและเสียงเด็กร้องได้อยู่บ้าง ฉันคิดว่าอย่างนั้น” เฉินเกอยัดกระดาษที่บนโต๊ะเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ตอนที่เขาเตรียมตัวกลับนั้น เขาก็นึกได้ว่าเขาลืมถามว่าแม่ลูกคู่นั้นอยากจะไปกับเขาด้วยหรือไม่ ย้ายไปยังที่ที่สบายกว่า


หลังจากคิดแล้ว เฉินเกอก็ดึงกระดาษอีกแผ่นออกมาจากกระเป๋าของเด็กชายและใช้ปากกาที่ผู้หญิงคนนั้นใช้ก่อนหน้านี้ทิ้งข้อความเอาไว้ “ถ้าพวกคุณเจอปัญหาอะไร ให้ไปหาผมได้ที่บ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่จิ่วเจียงตะวันตกได้นะครับ ลองคิดดูสักนิด เด็กอายุไม่น้อยแล้ว และผมก็มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและเด็กวัยเดียวกับเขาอยู่ที่บ้านผีสิงของผม คุณควรจะคิดถึงอนาคตของเขานะครับ”


เขาวางกระดาษลงในจุดที่สะดุดตาที่สุดแล้วหันกลับออกจากห้องมา ฝีเท้าของเขาเงียบกริบ เป็นผลมาจากการทำภารกิจทดลองมากมาย ตอนที่เขามาถึงชั้นแรก ประตูห้องหญิงชราจู่ ๆ ก็เปิดออก


“คุณยาย? มีอะไรให้ผมช่วยครับ?”


หญิงชรามองเฉินเกอ ริมฝีปากของเธอขยับ แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ส่ายหน้าแล้วกลับเข้าห้องไป


เฉินเกอยืนอยู่ที่ประตู และเขาก็เดาได้ว่าหญิงชรารู้อยู่แล้วว่าครอบครัวของเธอนั้นไม่ได้จากไปไหน แต่ไม่มีฝ่ายไหนอยากจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาเท่านั้น


“พวกเขาเองก็ไม่ได้อยากให้คุณอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกนี้เพียงลำพังหรอกครับ”


ออกจากตึกแล้ว เฉินเกอก็เรียกแท็กซี่กลับไปที่สวนสนุก แล้ววันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 602

 

อาณาจักรผี

เฉินเกอมาถึงสวนสนุกนิวเซนจูรี่ประมาณแปดโมงสี่สิบนาที สวนสนุกยังไม่เปิด แต่ว่ามีผู้เข้าชมมารออยู่ที่ทางเข้าเยอะแล้ว เห็นใบหน้าตื่นเต้นของผู้เข้าชมขณะพูดคุยกันเอง เฉินเกอก็ยิ้มกว้าง ได้รู้ว่างานของเขานำมาซึ่งความสนุกของผู้เข้าชมและช่วยพวกเขาขับไล่ความทุกข์ออกไป มันทำให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จมาก


ท่ามกลางกลุ่มคน เฉินเกอมองเห็นคนคุ้นเคยหลายคน พวกเขามักจะกลับมาเยี่ยมชมและพูดคุยเกี่ยวกับบ้านผีสิง


การกลับมาอีกครั้งของผู้ชมหลาย ๆ คนยืนยันว่าการตัดสินใจของเฉินเกอในการจัดระดับฉากสยองขวัญออกเป็นระดับต่าง ๆ กันนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง คนที่ท้าทายฉากที่น่ากลัวน้อยกว่าย่อมต้องสนใจในฉากที่น่ากลัวกว่าขึ้นมาอย่างแน่นอน ด้วย ‘กำลังใจ’ จากเพื่อน ๆ ของพวกเขา โอกาสที่พวกเขาจะกลับมานั้นสูงมาก


แอปพลิเคชันเล็ก ๆ ที่ผู้อำนวยการลั่วออกแบบให้บ้านผีสิงก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน ไม่เพียงผู้เข้าชมบ้านผีสิง กระทั่งผู้นิยมเรื่องเหนือธรรมชาติและนักวิจัยวัฒนธรรมทางเลือกบนอินเตอร์เนตก็ดาวน์โหลดแอพนี้เช่นกัน แอปพลิเคชันนี้นั้นกำลังกลายเป็นสังคมโซเชียลที่ใหญ่ที่สุดในระดับประเทศของผู้รักบ้านผีสิงทีเดียว


จำนวนดาวน์โหลดแต่ละวันและจำนวนผู้ใช้งานที่มีการเคลื่อนไหวนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเฉินเกอก็ได้ยินจากผู้อำนวยการลั่วว่ามีผู้สนใจอยากให้การสนับสนุนหลายเจ้า แต่เขาปฏิเสธทั้งหมดนั่นไป ผู้อำนวยการลั่วนั้นมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน บ้านผีสิงนั้นเป็นเครื่องเล่นหลักของสวนสนุก และแอพนี้ก็เป็นส่วนเสริม ทุกอย่างนั้นเป็นไปเพื่อสนับสนุนการให้บริการของบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจะไม่ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานแย่ ๆ เพียงเพื่อเพราะเงินจากการโฆษณาเท่านั้น


“บอส คราวนี้คุณไปไหนมาอีกเนี่ย?” ซูว่านและเสี่ยวกู่ยืนอยู่ข้างประตู คนหนึ่งทางซ้ายอีกคนทางขวา เหมือนเป็นผู้พิทักษ์ประตูอย่างไรอย่างนั้น


“มันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้น่ะ รอดูข่าวแล้วกัน แล้วเธอก็รู้เอง” คำตอบของเฉินเกอนั้นสั้นและตรงประเด็น


“ช่องข่าวอาชญากรรมเหรอครับ?” กระทั่งเสี่ยวกู่ที่ไม่ได้ทำงานบ้านผีสิงมานานนัก ก็ยังคุ้นเคยกับ ‘งานอดิเรก’ ของบอสของตน ตอนนี้ ห้องที่เขาอยู่นั้นเขามีรูมเมท และรูมเมทของเขาก็งุนงงกับนิสัยของเขาเพราะว่าคนในวัยเดียวกับพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนใช้เวลาไปกับการเล่นเกมหรือดูวิดีโอ แต่กู่เฟยอวี้กลับฝังตัวเองอยู่หน้าทีวี ดูข่าวอาชญากรรมท้องถิ่น เพื่อนร่วมห้องของเขาไม่ค่อยเข้าใจเสี่ยวกู่เหมือนที่คนทั่วไปไม่เข้าใจความรู้สึกของการได้เห็นเจ้านายของตัวเองปรากฏตัวในข่าวอาชญากรรมท้องถิ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า


หลังจากแต่งหน้าให้เสี่ยวกู่และซูว่านแล้ว สวนสนุกก็เปิดทำการอย่างเป็นทางการ ลุงซูและพนักงานคนอื่น ๆ ช่วยรักษาระเบียบระหว่างที่ในที่สุดเฉินเกอก็หาโอกาสพักได้ เห็นผู้เข้าชมเข้า ๆ ออก ๆ เฉินเกอจู่ ๆ ก็พบว่าเขามีชีวิตที่สุขสบายมากทีเดียว


“บ้านผีสิงนั้นอาศัยความไม่รู้และความแปลกใหม่ดึงดูดผู้เข้าชม มีเพียงแค่ปลดล็อกฉากใหม่ ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ที่ฉันจะสามารถรักษาอาชีพนี้เอาไว้ได้”


เฉินเกอดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมาตรวจดูภารกิจทั้งหมด เส้นตายของภารกิจโลกหลังความตายนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว และเฉินเกอก็ไม่มีทางยอมปล่อยฉากระดับสี่ดาวนี้ไป


“ฉันไม่สามารถถ่วงเวลาต่อไปได้แล้ว ฉันต้องไปที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวคืนนี้และคุยกับผู้หญิงคนนั้นที่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ในเมื่อเธอเคยเจอกับเงานั่นมาก่อน มันน่าจะไม่ยากเกินไปที่จะสื่อสารกับเธอ” เฉินเกอวางโทรศัพท์เครื่องดำลงแล้วเหลือบมองโทรศัพท์ของตัวเอง “พยากรณ์อากาศวันนี้ไม่เลวเลย แต่ยังมีโอกาสที่จะมีฝนตกหนักคืนพรุ่งนี้ ฉันควรจะใช้โอกาสนี้เอารถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 ออกไปวิ่ง ต่อให้ฉันไม่เจอกับผู้หญิงในเสื้อกันฝน ฉันก็ไม่ได้มีอะไรจะเสียถ้าได้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ”


เขาหาปากกาและกระดาษมาจดโน้ตเล็ก ๆ น้อย ๆ “คืนนี้ ฉันจะไปที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวเพื่อทำภารกิจระดับสามดาว และพรุ่งนี้ ฉันจะไปหาผู้หญิงในเสื้อกันฝน และซื้อไฟฉายแรงสูงสักชุดใหญ่ แล้วคืนถัดจากนั้น ทั้งหมดก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว ฉันก็จะพนักงานของฉันไปที่เมืองหลี่ว่านเพื่อท้าทายภารกิจระดับ 3.5 ดาว”


เสี่ยวปู้ครั้งหนึ่งเคยเตือนเฉินเกอว่าเขาจะตายหากก้าวเข้าไปในเมืองหลี่ว่านอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรที่ในเมืองหลี่ว่าน แต่ก็ไม่มีอะไรผิดหากเขาจะเตรียมตัวไปอย่างเต็มที่


“เสี่ยวเฉิน แกกำลังยุ่งอยู่กับอะไรหรือเปล่า?” เสียงของลุงซูดังมาจากประตูบ้านผีสิง เพราะความขี้ขลาดของเขา เขาจึงไม่เคยเข้ามาในบ้านผีสิงของเฉินเกอมาก่อน


“ลุงซู มีอะไรให้ผมช่วยครับ?”


“ผู้อำนวยการลั่วอยากพบแก”


หลังจากส่งผู้เข้าชมเข้าฉากแล้ว เฉินเกอก็เก็บกระดาษแล้วออกไปจากบ้านผีสิง ไม่ไกลนัก ผู้อำนวยการลั่วกำลังพูดคุยอยู่กับกลุ่มผู้เข้าชมในชุดลำลองกลุ่มหนึ่งอยู่ พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะดังเป็นระยะ ผู้เข้าชมหลายคนน่าจะไม่ได้คิดว่าชายวัยกลางคนที่ดูเป็นมิตรและใจดีจะเป็นเจ้าของสวนสนุกนี่


“ผู้อำนวยการลั่ว คุณหาผมเหรอครับ?” เฉินเกอรอให้การพูดคุยของพวกเขาสงบลงก่อนที่จะเดินเข้าไป


“ฉันมีบางอย่างที่สำคัญจะคุยกับเธอ” ผู้อำนวยการลั่วเดินนำเฉินเกอไปยังจุดที่ไกลคนอื่นมากขึ้น และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปอย่างช้า ๆ “เธอยังจำได้ไหมว่าฉันเคยพาผู้ชายคนหนึ่งมาที่สวนสนุกและผู้ชายคนนั้นยังถามเกี่ยวกับบ้านผีสิงของเธอด้วย?”


“คิดว่าจำได้นะครับ ผมจำชื่อเขาไม่ได้ แต่เขาบอกว่าเขาต้องการลงทุนกับสวนสนุกของเรา ช่วยเราปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องเล่นของเราและขยายพื้นที่ของสวนสนุกออกไป” เฉินเกอจำชายคนนั้นได้ และเขายังเคยเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นในโทรศัพท์ของพนักงานจากสวนสนุกแห่งอนาคตด้วย


“ชื่อจริงของเขาคือไป๋ฉิน เป็นนักลงทุนที่เก่งกาจมาก เขามีความหลงใหลเพียงอย่างเดียวในชีวิต และนั่นก็คือเงิน เพื่อเงินแล้ว เขายินดีจะทำทุกอย่าง ต่อให้สิ่งนั้นจะอยู่คนละฝั่งกับกฎหมายก็ตาม” ผู้อำนวยการลั่วพูดช้า ๆ “พวกเราครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน ดังนั้นฉันจึงรู้จักเขาดี ผู้ชายคนนั้นจะไม่ทำอะไรที่ไม่มีผลประโยชน์ ตอนที่ยังหนุ่ม เขาแต่งงานกับลูกสาวของเศรษฐีคนหนึ่ง และยังเปลี่ยนแซ่ ดังนั้นทุกวันนี้ มีคนไม่กี่คนที่รู้จักชื่อจริงของเขา”


“พวกเราจะร่วมมือกับเขาใช่ไหมครับ?”


“เครื่องเล่นของสวนสนุกนิวเซนจูรี่นั้นล้าหลังเกินไปแล้ว และหากไม่ปรับปรุง มันก็ยากที่พวกเราจะรักษาผู้เข้าชมเอาไว้จากสวนสนุกแห่งอนาคต” ผู้อำนวยการลั่วเองก็มีความคิดของตัวเอง “ตอนนี้ในจิ่วเจียงนั้นมีเพียงไม่กี่ที่ที่มอบความบันเทิงอันมีคุณภาพให้ และคนก็เริ่มไม่มีทางเลือก ดังนั้นพวกเขาก็ได้แต่มาที่นี่ หลังจากสวนสนุกแห่งอนาคตเปิด มันย่อมต้องส่งผลกระทบต่อพวกเราอย่างมาก”


“พวกเขาจะอาศัยเครื่องเล่นที่มีเทคโนโลยีสูงและการผสมผสานความบันเทิงเสมือนจริงเข้ากับทางกายภาพเป็นส่วนใหญ่ มันต่างไปจากทิศทางของสวนสนุกของเราโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่พวกเรารอดพ้นจากคลื่นกระแทกแรกได้ ผมแน่ใจว่าในที่สุดแล้วผู้เข้าชมก็จะกลับมา”


“เธอประเมินความทะเยอทะยานของพวกเขาต่ำเกินไป” ผู้อำนวยการลั่วนั้นคือศูนย์กลางของสวนสนุก ดังนั้นน้อยครั้งที่เขาจะแบ่งปันความกังวลของเขากับผู้อื่นเพื่อไม่ให้เกิดการเสียขวัญขึ้น “ฉันลองสืบดูแล้ว และพวกเขาไม่ได้แค่วางแผนจะใช้เพียงเครื่องเล่นรุ่นล่าสุดเท่านั้น พวกเขายังวางแผนลอกเลียนแบบความคิดองค์รวมของบ้านผีสิงของเธอด้วย เพื่อการนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกเขาเลยผุดโครงการใหม่ขึ้นมา มันเรียกว่า อาณาจักรผี”


“อาณาจักรผี?”


“มันเป็นการผสานกันทั้งฉากทางกายภาพและฉากเสมือนจริงและยังร่วมด้วยนักแสดง พวกเขาใช้เงินมากมายสร้างบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดและมีเอกลักษณ์ที่สุดในประเทศขึ้นมา” ผู้อำนวยการลั่วมองเฉินเกอ “ไป๋ฉินให้ฉันดูข้อมูลลึก ๆ บางส่วน สวนสนุกแห่งอนาคตวางแผนจะเปลี่ยนบ้านผีสิงของพวกเขาไปเป็นเกมสยองของจริงที่ให้ผู้เข้าชมเข้าไปเยี่ยมและยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กัน พวกเขามีเนื้อเรื่องหลักทั้งหมดสี่ฉากและมีเนื้อเรื่องย่อยอีกกว่าสิบฉาก ขึ้นกับตัวเลือกที่เธอเลือก ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะต่างกันไปในแต่ละครั้ง”


“นั่นฟังดูยอดเยี่ยมมาก กระทั่งผมยังอยากจะไปเยี่ยมชมเลย” เฉินเกอนั้นอยากจะแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างบริสุทธิ์ใจและอยากจะแข่งกันฉันมิตร บางที พวกเขาอาจจะได้เรียนรู้จากอีกฝ่าย เหมือนที่เขาเคยไปเยี่ยมชมโรงเรียนแพทย์เทียนเถิงก่อนหน้านี้

 

 

 


ตอนที่ 603

 

ที่ปลายอุโมงค์

“เธอดูผ่อนคลายมากนะ” เห็นประกายในดวงตาของเฉินเกอและความตื่นเต้นของชายหนุ่มที่จะได้ลิ้มลองเครื่องเล่นใหม่ ๆ แล้ว ผู้อำนวยการลั่วก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง “บ้านผีสิงของเธอตอนนี้เป็นเครื่องเล่นหลักของสวนสนุกของเรา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง บ้านผีสิงของเธอทำให้พวกเราโดดเด่นขึ้นจากสวนสนุกอื่น ๆ แต่เมื่อผู้เข้าชมค้นพบสิ่งที่ทดแทนกันได้แล้ว พวกเราก็จะสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันไป”


“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรดีครับ?”


“ทำทุกอย่างที่พวกเขาวางแผนจะทำก่อนหน้าที่พวกเขาจะได้ทำ ด้วยวิธีนั้น เมื่อพวกเขาเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ผู้เข้าชมก็จะพบว่าพวกเขาลอกเลียนแบบพวกเรา”


ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด คำแนะนำของผู้อำนวยการลั่วนั้นดึงดูดใจเฉินเกอได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันก็หยุดอยู่เท่านั้น “เพิ่มปฏิสัมพันธ์ของผู้เข้าชมกับฉากนั้นทำได้ แต่การผสานทุกฉากสร้างเป็นเกมสยองขวัญให้สัมผัสนั้นยากเกินไป”


เฉินเกอรู้สถานการณ์ของตัวเองดี ฉากสยองขวัญทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับโทรศัพท์เครื่องดำ และเขาก็มีหน้าที่เพียงแค่ปลดล็อกฉากออกมาเท่านั้น


“พวกเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนฉากที่มีอยู่แล้ว ฉันแค่ลองให้ทิศทางคร่าว ๆ ให้เธอลองตรองดู” ผู้อำนวยการลั่วเสนอความคิดของเขาขึ้นมา “ลานจอดรถใต้ดินนั้นมีพื้นที่จำกัด เธอเคยคิดจะขยายขึ้นมาที่ด้านบนและเชื่อมทั้งบนดินและใต้ดินเข้าหากันไหม? มันจะมีมิติมากขึ้น และเธอยังสามารถสร้างฉากพิเศษอย่างบันไดหรือลิฟท์ได้ด้วย”


เป้าหมายสุดท้ายของเฉินเกอคือการสร้างสวนสนุกที่ทั้งน่ากลัวและสยองขวัญ ดังนั้นสุดท้ายแล้ว เขาก็จะต้องขยายออกมาเกินขอบเขตของลานจอดรถใต้ดิน


“ฉันสามารถช่วยเธอแก้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายและกำลังคนได้ เธอแค่ต้องตั้งใจกับการออกแบบภายในเท่านั้น” ผู้อำนวยการลั่วนั้นมั่นใจในตัวเฉินเกอมาก เขาดึงโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดเอกสารชุดหนึ่ง ในนั้นมีการออกแบบหลายรูปแบบ “บ้านผีสิงของเธอนั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสวนสนุก พวกเราวางแผนจะทลายรั้วทางตะวันออกเฉียงเหนือและขยายออกไปในทิศทางนั้น นั้นก็จะเชื่อมเข้าหาบ้านผีสิงของเธอได้อย่างพอดี”


เพียงแค่ออกแบบทางเดินที่เชื่อมโยงกันภายในบ้านผีสิงและเชื่อมพื้นที่เข้าหากัน ต่อให้ไม่ได้ใช้พื้นที่มากนัก ก็ยังสามารถสร้างความรู้สึกของเขาวงกตขึ้นมาได้ เฉินเกอนั้นเชี่ยวชาญด้านนี้ “การขยายของสวนสนุกนั้นจะใช้บ้านผีสิงของผมเป็นหลัก?”


“เครื่องเล่นอื่นจะได้รับการปรับปรุงเช่นเดียวกัน ดังนั้นสวนสนุกของเราก็จะไม่ดูล้าหลังมากนัก ขณะที่การขยายบ้านผีสิงของเธอนั้นก็จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสวนสนุกของพวกเรา เพื่อสร้างข้อได้เปรียบของพวกเราให้มากขึ้น” ความคิดของผู้อำนวยการลั่วนั้นเฉียบแหลม “ฉันเตรียมทีมก่อสร้างกับทีมออกแบบบ้านผีสิงเอาไว้แล้ว แต่อย่างหนึ่งที่เธอยังต้องระวังเอาไว้ ถึงแม้ว่าฉันจะตรวจสอบคนในทีมเหล่านี้ด้วยตัวเองแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขากับไป๋ฉินก็ยังไม่เลวนัก ดังนั้น เมื่อเธอออกแบบ เธอควรระวังเอาไว้ให้มาก”


ไป๋ฉินนั้นยินดีลงทุนเมื่อสวนสนุกต้องการมันอย่างที่สุด ดังนั้น โดยทฤษฎีแล้ว เฉินเกอย่อมต้องคิดถึงความช่วยเหลือของคนผู้นั้น แต่อันที่จริงแล้ว ทั้งเฉินเกอและผู้อำนวยการลั่วต่างคิดว่าผู้ชายคนนั้นมีแรงจูงใจแอบแฝง


“ผมใช้ทีมก่อสร้าง แต่ผมไม่คิดว่าผมจะต้องการใช้ทีมออกแบบ นี่คือหัวใจของบ้านผีสิง และผมก็ไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายด้วย” เฉินเกอปฏิเสธข้อเสนอโดยตรง


“แต่เธอจะทำทั้งหมดนั่นคนเดียวได้เหรอ? พวกเรากำลังวางแผนใช้งานที่ดินทั้งหมดทางตะวันออกเฉียงเหนือ งานจะหนักมากนะ”


“ผมมีทีมของผมอยู่แล้ว เป็นเพื่อน ๆ ของพ่อกับแม่ของผม หลังจากที่พ่อกับแม่ของผมหายตัวไป ผมก็ยังติดต่อกับพวกเขาอยู่ ถ้าผมขอ ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะยินดีให้ความช่วยเหลือ” พ่อกับแม่ของเฉินเกอนั้นไม่ได้มีเพื่อนสนิท หรือเฉินเกอก็ไม่เคยรู้ว่ามี– เขาก็แค่ต้องการสร้างตัวตนของทีมผีกับผีกูลของเขาขึ้นมาเท่านั้น


“นั่นยอดเยี่ยมมาก ถ้ามีการโอกาส พาพวกเขามาพบผม ผมจะช่วยเธอคุยกับพวกเขาเรื่องเงินเดือน” ผู้อำนวยการลั่วกังวลในตัวตนคนผู้นี้ ไป๋ฉิน ผู้ชายคนนั้นเป็นนักธุรกิจจนถึงแก่น ในเมื่อเขาสามารถขายข้อมูลภายในของสวนสนุกแห่งอนาคตออกมาได้ มันก็เป็นเหตุเป็นผลดีที่เขาจะขายข้อมูลเกี่ยวกับสวนสนุกนิวเซนจูรี่ออกไปเช่นกัน สำหรับคนที่วางผลกำไรไว้เหนือทุกสิ่งอย่างแล้ว ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เขาขายเพื่อเงินไม่ได้


“พวกเขากลางวันต้องทำงานและมาช่วยได้แค่ตอนกลางคืน ผมจะพูดคุยต่อรองกับพวกเขาเอง” เฉินเกอมีแผนการของเขาอยู่แล้ว การก่อสร้างที่บนดินนั้นต่างไปจากการก่อสร้างที่ใต้ดิน ดังนั้น เขาต้องมีกระบวนการก่อสร้างบ้าง หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ทำเหมือนว่ามันมี


“ได้ อย่างนั้นฉันจะทิ้งเรื่องการสร้างและออกแบบภายในให้ทีมของเธอ แล้วเรื่องลักษณะภายนอก เธออยากได้แบบไหนไหม?” ผู้อำนวยการลั่วมองโทรศัพท์ของตัวเอง “ตอนนี้ พวกเราออกแบบไว้สามแบบ อย่างแรกก็คือทำให้มันดูเหมือนโรงพยาบาล อย่างที่สองคือโรงเรียนร้าง และสามคือเขตที่พักอาศัยที่มีผีสิง”


เฉินเกอคิดว่าทั้งสามรูปแบบนั้นล้วนยอดเยี่ยม แต่เมื่อคิดถึงฉากระดับสี่ดาวที่โทรศัพท์เครื่องดำมีให้ เขาก็ตัดเขตที่พักอาศัยผีสิงออกก่อนเลย ฉากใต้ดินนั้นมีหลายฉากที่เกี่ยวเนื่องกับโรงเรียน ดังนั้นหลังจากคิดสักพัก เฉินเกอก็เลือกแบบแรก ซึ่งก็คือทำให้มันดูคล้ายเป็นโรงพยาบาล


“ผู้อำนวยการลั่ว ตอนที่คุณสร้างฉาก จำเอาไว้ว่าให้เก็บงำทุกอย่างให้มิดชิด ให้แน่ใจว่าไม่สามารถมองเห็นอะไรได้จากภายนอก ถ้าบ้านผีสิงสูญเสียความลึกลับของตัวเองแล้ว อย่างนั้นความคาดหวังก็จะลดลงอย่างมาก” เฉินเกอไล่ดูการออกแบบที่ผู้อำนวยการลั่วเตรียมเอาไว้ “ผมฝากเรื่องการก่อสร้างภายนอกให้คุณแล้ว และยิ่งสร้างเสร็จเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี พอพวกคุณเสร็จแล้ว ผมก็จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของพ่อกับแม่ออกแบบและตกแต่งภายใน”


“มันน่าจะไม่ช้านักเพราะอันที่จริงเราแค่สร้างตึกเปล่า ๆ” ผู้อำนวยการลั่วเก็บโทรศัพท์ลงไป “หลังจากที่นี่ขยายออกไป กำลังคนก็จะเป็นปัญหา ถ้าเธอมีปัญหาอะไร ก็บอกฉัน และฉันจะพยายามช่วย”


“ได้ครับ” หลังจากส่งผู้อำนวยการลั่วกลับไปแล้ว เฉินเกอก็มองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของสวนสนุก “เป็นความคิดที่ดีที่จะขยายบ้านผีสิงขึ้นมาบนดิน อย่างน้อยที่สุดนี่ก็จะกลายเป็นพื้นฐานของสวนสนุกสยองขวัญได้ในอนาคต”


กลับไปที่บ้านผีสิง ผู้เข้าชมยังคงคึกคัก เฉินเกอเรียกเหล่าโจวและต้วนเยว่ออกมาช่วยตอนที่เขาไปที่ห้องพักพนักงานเพื่อพัก


“สวนสนุกแห่งอนาคตวางแผนสร้างเกมสยองขวัญที่ผู้เข้าชมสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับฉากได้ และฉันก็ไม่ควรล้าหลัง สำหรับตอนนี้ พนักงานส่วนใหญ่นั้นรู้แต่วิธีการหลอกคน– การทำงานของพวกเขานั้นเฉพาะตัวเกินไป ฉันต้องการพนักงานอย่างเหล่าโจวและต้วนเยว่ที่สามารถเล่นบทบาทที่ต่างออกไปได้ ถ้ามีโอกาส ฉันคงต้องฝึกพนักงานของฉันทั้งหมด” เฉินเกอต้องการปรับเปลี่ยนบรรยากาศของบ้านผีสิงของเขา เพิ่มความท้าทายและความเป็นเกมให้เล่น และเขายังต้องการความร่วมมือจากพนักงานของเขาเพื่อให้เป็นเช่นนั้นได้


“ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก แต่ว่ามันก็มีทางลัด ฉันแค่ต้องหาผีที่เข้ากันได้กับชนิดของนักแสดงที่ฉันต้องการ”



ห้าโมงเย็น เฉินเกอออกจากห้องพักพนักงาน ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเลยในระหว่างวัน และเขาก็ยิ่งพอใจกับความสามารถของเหล่าโจวและต้วนเยว่ หกโมงครึ่ง เฉินเกอก็ส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายกลับออกไป เขาให้ซูว่านและเสี่ยวกู่ที่วิ่งวุ่นตลอดทั้งวันกลับบ้านส่วนเขาอยู่ทำความสะอาด


“นาฬิกาชีวิตของฉันตอนนี้พลิกกลับหมดแล้ว ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวามากในตอนกลางคืน”


ด้วยความช่วยเหลือจากพวกผี การทำความสะอาดก็เสร็จลงในไม่ช้า เฉินเกอเปลี่ยนเสื้อผ้าและคว้ากระเป๋า เตรียมตัวไปทำภารกิจทดลองที่เขาตั้งใจในคืนนี้


“เงานั่นเคยแพ้ที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว ดังนั้นภารกิจระดับสามดาวนี้น่าจะต่างไปจากที่ฉันเคยทำ” เฉินเกอยัดเครื่องเล่นเทป หนังสือการ์ตูน และทุกอย่างที่เขาสามารถแบกไปได้เข้าไปในกระเป๋า “ฉันประมาทไม่ได้ แต่ฉันก็อย่าได้กลัวเกินไปในเมื่อพวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน ดังนั้นพวกเราน่าจะพูดคุยกันได้อย่างดี”


หลังจากเตรียมทุกอย่างแล้ว เฉินเกอก็ดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมาและหาหน้าที่เขาต้องการ


“คุณต้องการรับภารกิจทดลองระดับสามดาว– ที่ปลายอุโมงค์?”


“ใช่”


“รับภารกิจแล้ว!


“ที่ปลายอุโมงค์ (ภารกิจทดลองระดับสามดาว): ไม่มีใครรู้ว่าที่ปลายอุโมงค์นั้นมีอะไรรออยู่ แต่ทุกคนที่เข้าไปล้วนไม่เคยกลับออกมา


“เงื่อนไขของภารกิจ: ไปถึงส่วนลึกที่สุดของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวก่อนเที่ยงคืน


“คำใบ้ของภารกิจ: หลับตาทั้งสองข้างลง และบางทีคุณอาจจะมองเห็นโลกแท้จริง”

 

 

 


ตอนที่ 604

 

แขกที่ไม่ต้องการ

“เข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของอุโมงค์ก่อนเที่ยงคืน ดังนั้น นี่ก็หมายความว่าฉันแค่ต้องเดินเข้าไปในอุโมงค์งั้นเหรอ?” เงื่อนไขของภารกิจนั้นคลุมเครือเกินกว่าที่เฉินเกอจะเข้าใจได้ไปสักนิด หากเขาทำภารกิจทดลองล้มเหลว บทลงโทษก็คือฉากของภารกิจนั้นก็จะถูกล็อกเอาไว้ไปตลอดกาล ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่กล้าเสี่ยงอะไรทั้งนั้น “สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็คือเดินเข้าไปในอุโมงค์ให้ลึกเท่าที่จะทำได้”


เฉินเกอนั้นได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวมาก่อนแล้ว ทุกอย่างบนออนไลน์นั้นดูจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์คนนั้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง คนส่วนใหญ่รู้แค่ว่าผีผู้หญิงเอาแต่ทวงถามชีวิต เฉินเกอนั้นไม่สามารถหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณตนอื่น ๆ อย่างเสียงลมหายใจประหลาด เงาของแมงมุม หรืออะไรอย่างนั้นได้บนอินเตอร์เนตเลย


“ฉันต้องไปที่นั่นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน” เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ต่อเนื่องกันในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจึงได้เข้าไปทำการปรับปรุงโครงสร้าง แต่ก็น่าแปลก ไม่ว่าจะแก้ไขกันอีกกี่ครั้ง เมื่อเปิดใช้งาน ก็มักจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น และในที่สุด ทางแก้เดียวก็คือปิดทั้งอุโมงค์นั่นลง


ในอินเตอร์เนตบอกว่าอุโมงค์นั่นได้รับการแก้ไขสามครั้งใหญ่ และยังมีการแก้ไขเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกหลายต่อหลายครั้ง มีคนแนะนำให้ผสมเลือดสุนัขกับกีบของลาสีดำเข้าไปในผนังและพื้นของอุโมงค์ แต่นั่นก็ไม่ได้ยืนยันว่าจะใช้ได้ผลจริง ๆ ด้านในอุโมงค์นั้นซับซ้อน และเฉินเกอก็ไม่กล้าทำอะไรโดยประมาท


เขาแบกกระเป๋าเอาไว้ ปิดล็อกบ้านผีสิง เฉินเกอรีบออกจากสวนสนุกนิวเซนจูรี่และโบกแท็กซี่เพื่อไปที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว จากประสบการณ์ก่อนหน้า เฉินเกอไม่ได้บอกคนขับรถโดยตรงว่าเขากำลังจะไปถ้ำมังกรขาวแต่บอกให้คนขับรถส่งเขาที่ทางแยกใกล้กับอุโมงค์


จุดประสงค์ดั้งเดิมของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวก็คือเพื่อเชื่อมจิ่วเจียงกับเมืองซินไห่ จิ่วเจียงนั้นล้อมรอบด้วยทะเลสาบและเทือกเขา ดังนั้นเพื่อเศรษฐกิจของเมืองแล้ว เส้นทางขนส่งจึงจำเป็น โชคร้าย อุบัติเหตุคอยแต่จะเกิดขึ้นบนถนนเส้นนี้


คนเก่าคนแก่ในจิ่วเจียงบางคนบอกว่าทะเลสาบจิ่วเจียงนั้นมีเฟิงฉุยเป็นเก้ามังกรเล่นลูกแก้ว ดังนั้นการตัดถนนผ่านภูเขาของจิ่วเจียงจึงทำให้พลังดีของเฟิงฉุยรั่วไหล และมันก็ไม่น่าแปลกใจที่คอยแต่จะเกิดอุบัติเหตุแปลก ๆ ขึ้นบนถนนเส้นนั้น ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ในตอนแรก แต่อุบัติเหตุประหลาดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก็เริ่มเปลี่ยนความคิดผู้คน พวกเบื้องบนในที่สุดก็เปลี่ยนใจและปิดอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวลง


ราตรีปกคลุมจิ่วเจียง ตอนที่แท็กซี่ขับมาถึงจิ่วเจียงตะวันออก บนถนนก็มีรถน้อยลง และจำนวนของตึกสูงระฟ้าก็ลดลงด้วยเหมือนกัน บ้านที่ตามริมถนนก็ดูทรุดโทรมและเก่า


คนขับรถนั้นมีอัธยาศัยดี เขาชวนเฉินเกอคุยตลอดทาง อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นอยู่ที่ชานเมืองและก่อนที่จะไปถึงจุดหมาย รถหลายคันก็จอดนิ่งอยู่บนถนน


บนถนนแคบ ๆ แสงไฟถนนแต่ละต้นนั้นห่างกันมาก บางทีคงเพราะถนนนี้ไม่ค่อยได้ใช้งาน รัฐบาลจึงไม่ได้สนใจบำรุงรักษามันนัก ขยะเกลื่อนเต็มถนนและแสงไฟถนนหลายต้นก็ใช้การไม่ได้


“ผมเกลียดการขับรถมาที่จิ่วเจียงตะวันออก คนที่นี่เกลียดคนนอกและยังมีนิสัยชอบทิ้งขยะลงบนถนน กับคนขับมีประสบการณ์อย่างผมมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่กับพวกมือใหม่นี่มักจะเกิดอุบัติเหตุเวลามาที่นี่” คนขับรถบ่นตามปกติ


“ขยะน่าจะไม่ใช่คนท้องที่ทำนะ” เฉินเกอเคยมาที่ชานเมืองจิ่วเจียงตะวันออกหลายครั้งแล้ว และทุกครั้ง ความรู้สึกที่เขาได้จากที่นี่ก็คือมนุษย์เป็น ๆ ควรจะอยู่ให้ไกลจากที่นี่


ยิ่งแท็กซี่เข้าใกล้อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว สภาพพื้นที่ก็ยิ่งดูกันดาร รอบด้านนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้สลับกับบ้านเรือนและแสงไฟเป็นครั้งคราว


“คุณส่งผมที่นี่ก็ได้” เฉินเกอไม่ต้องการให้คนขับแท็กซี่ได้รับอันตราย ระยะที่เหลือนั้นเขาตัดสินใจจะเดินไปเอง อย่างไรเสีย นี่ก็ยังหัวค่ำมาก


“คุณแน่ใจเหรอ? ตรงนี้มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่เงาคนที่ใกล้ ๆ นี่” คนขับรถพูดอย่างนั้น แต่ว่าเขาก็ยินดีรับค่าโดยสารจากเฉินเกอแล้ว เขาส่งกระดาษที่มี QR code ของกระเป๋าตังค์ในวีแชทของเขาให้เฉินเกอ


เฉินเกอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ก็แค่เป็นคนสุภาพเท่านั้น หลังจากเขาจ่ายเงินและเตรียมตัวลงจากรถ จู่ ๆ คนขับรถก็พูด “ทำไมถึงมีผู้หญิงอยู่ตรงนั้น?”


เฉินเกอมองตามสายตาของคนขับรถไปแล้วก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่หน้าบ้านพักเก่า ๆ ที่ด้านซ้ายของถนน เธอสวมรองเท้าข้างเดียว และเสื้อผ้าที่ด้านหนึ่งของเธอก็ฉีกขาด เธอนั่งอยู่หน้าบ้านก้มหัวต่ำเหมือนกำลังหาอะไรอยู่


คนขับรถลดกระจกหน้าต่างลงแล้วยื่นหน้าออกไป ผู้หญิงคนนั้นดูเปราะบางและอ่อนแอ แขนของเธอผอมเหมือนกิ่งไม้ ชุดกระโปรงลายทางสีขาวเหลืองนั้นยับยู่ยี่เหมือนมีคนขยำมัน


“เฮ้! ทำไมคุณมาอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ?” คนขับรถไม่ถามความเห็นเฉินเกอและร้องเรียกออกไปตรง ๆ ผู้หญิงคนนั้นได้ยินคนขับและเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ม่านผมสีดำแยกออกเผยให้เห็นใบหน้าซีด ๆ เธอดูปกติ แต่อย่างที่เขาว่ากัน สีขาวสามารถปกปิดความน่ารังเกียจเป็นร้อย ๆ แบบได้ เธอมีความเย้ายวนของตัวเอง


ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พูด แต่ว่าลุกขึ้นยืนช้า ๆ เธอเดินตรงมาทางแท็กซี่โดยไม่พูดอะไรสักคำ ด้านข้างของชุดของเธอนั้นขาด และชุดเองก็เต็มไปด้วยฝุ่นและใบไม้แห้ง มีแผลบนน่องทั้งสองข้างของเธอแต่น่าแปลก ไม่มีแผลไหนมีเลือดออก


“สมองของเด็กคนนั้นมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” เมื่อคนธรรมดาเจอกับอะไรเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้คิดถึงผีในทันที คนขับรถก็เป็นคนธรรมดาเช่นนั้น


หน้าต่างรถถูกเคาะเป็นจังหวะ ผู้หญิงคนนั้นมาถึงข้างแท็กซี่ในไม่ช้า เธอใช้ฝ่ามือของเธอเคาะลงบนหน้าต่าง ใบหน้าไร้ความรู้สึก


หากนี่เกิดขึ้นกับคนทั่วไป พวกเขาย่อมรู้สึกไม่ค่อยดี แต่การกระทำของคนขับรถนั้นค่อนข้างแปลก เขายิ้มให้ผู้หญิงที่ด้านนอกและเหมือนเขากำลังพูดกับตัวเองต่อ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว ผมจะพาคุณกลับบ้าน”


จากนั้นเขาก็เปิดประตูรถ และผู้หญิงคนนั้นก็ขยับเข้ามานั่งในที่นั่งผู้โดยสาร


“เกิดอะไรขึ้น?” เฉินเกอยังนั่งอยู่ที่ด้านหลัง และเขาก็หันไปมองที่ด้านหน้า


ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าต่ำเมื่อเข้ามาในรถ เธอไม่พูดอะไรสักคน แต่ว่าคนขับรถนั้นพูดไม่หยุด มันเหมือนเขากำลังคุยกับดินฟ้าอากาศและมันก็น่าประหลาดมาก


“คุณแต่งงานแล้ว?”


“การใช้ความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่ต้องทน ถ้ามันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว มันก็จะเกิดขึ้นอีก ไอ้ชั่วนั่นไม่ควรได้รับการอภัย”


“ผมเข้าใจว่าทำไมคุณถึงหนีออกจากบ้าน คุณน่าสงสารชะมัด”


“คุณคิดจะหนีไปบ้านพ่อแม่คุณเหรอ? ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ไม่มีปัญหา”


เฉินเกอไม่สามารถทนให้คนบริสุทธิ์ถูกทำร้ายได้ เขาดึงเอาปากกาลูกลื่นออกมาจากกระเป๋าแล้วทิ้งข้อความเอาไว้ที่ด้านหลังกระดาษที่มี QR code นั่น– ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนที่เห็น


จากนั้น เขาก็ส่งกระดาษกลับไปให้คนขับรถ “คุณ โค้ดนี่มันใช้ไม่ได้! ลองดูหน่อยสิว่ากระดาษนี่มันมีอะไรผิดไปหรือเปล่า”


“ฮึ? มันน่าจะใช้ได้นี่” คนขับรถจ้องกระดาษอยู่นานแต่กลับไม่ยอมพลิกด้านมันไปมา “คุณใช้แอพอื่นจ่ายเงินได้ไหมล่ะ?”


จากนั้นเขาก็ดึงกระดาษแผ่นอื่นออกมาแล้วส่งให้เฉินเกอ


เฉินเกอไม่รับกระดาษ เขามองไปยังที่นั่งผู้โดยสาร “คุณจะส่งเด็กคนนี้กลับบ้านเหรอ? บ้านของเธออยู่ที่ไหนล่ะ? บางทีพวกเราอาจจะไปทางเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะจ่ายค่าโดยสารของเราสองคนเอง”


คนขับรถเห็นที่เขาพูดมีเหตุผล “เธออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านใกล้ ๆ นี่ มันลึกเข้าไป แต่ที่นั่นน่ะกันดารกว่า ผมไม่คิดว่าคุณจะไปที่นั่นหรอกใช่ไหม?”


“ว้าว บังเอิญจังเลย ผมจะไปที่นั่นนั่นแหละ งั้นก็ขับไปเลย คุณส่งผมลงพร้อมเธอก็ได้” เฉินเกอเปิดกระเป๋าแล้วเอื้อมมือเข้าไปข้างใน

 

 

 


ตอนที่ 605

 

คุณกำลังหาอะไรอยู่?

คนขับรถไม่ได้ตกลงทันที เขาแอบหันมามองเฉินเกอด้วยดวงตาสงสัย จากมุมมองของเขา เฉินเกอคิดจะลงจากรถพร้อมเด็กสาวที่บาดเจ็บเพราะมีความคิดไม่ดีแอบแฝงอยู่ แต่เฉินเกอก็ดูเป็นคนที่เชื่อถือได้อยู่เหมือนกัน– เขาดูสดใสเหมือนพระอาทิตย์ ใจดี และยังสุภาพ แต่ว่า กระเป๋าใบใหญ่ที่เขาแบกมาด้วยนั้นทำให้คนขับรถรู้สึกไม่ดี และตอนนี้ เขายังได้กลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยออกมาจากในนั้น


นี่ฉันมาส่งคนร้ายหรือเปล่าเนี่ย? คนขับรถลังเลก่อนที่จะสตาร์ตรถ “ได้ครับ”


แท็กซี่แล่นต่อไป และคนขับก็ยังพูดกับอากาศขณะที่ผู้โดยสารทั้งสองคนในรถไม่สนใจเขา เฉินเกอจับตามองผู้หญิงตรงที่นั่งผู้โดยสาร เขาใช้ดวงตาหยินหยางกวาดมองเธอ แต่กลับไม่เห็นอะไรแปลกเกี่ยวกับตัวเธอ ผู้หญิงคนนี้ดูจะรู้ว่าเฉินเกอกำลังจับตามองเธออยู่ และในกระจกมองหลัง มุมปากของเธอก็เริ่มขยับยกขึ้นด้านบน รอยยิ้มนั้นรวมกับผิวขาวซีดของเธอทำให้เฉินเกอขนแขนลุกชัน


ยิ้มเข้าไว้เถอะ พวกเราค่อยมาดูกันว่าเธอยังรักษารอยยิ้มนั่นเอาไว้ได้ตอนที่เราไปถึงปลายทาง เฉินเกอคำรามอยู่ในใจ เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวกำลังจะไปที่ไหน แต่ในเมื่อเขา ‘โชคดี’ ที่ได้พบเธอเข้า เขาก็จะไปเป็นเพื่อนเธอในการเดินทางครั้งสุดท้ายนี้


ไฟถนนสลัวลง และต้นไม้ริมถนนก็สั่นไหวไปตามสายลม กิ่งไม้ตะปุ่มตะป่ำก่อเกิดเงาบนพื้น สร้างบรรยากาศของค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความสยองขวัญ


คนขับรถยังพูดกับตัวเองต่อ จากมุมมองของเฉินเกอแล้ว มันเหมือนเขากำลังคุยกับเด็กสาวอย่างสนุกสนาน แต่อันที่จริง เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรสักคำตั้งแต่เข้ามาในรถ ในบรรยากาศประหลาดเช่นนี้ รถแท็กซี่ก็ยังขับต่อไปอีกหลายร้อยเมตรก่อนที่จู่ ๆ คนขับจะเหยียบเบรก รถหยุด และเพราะความเฉื่อย หัวของเฉินเกอก็แทบจะชนเข้ากับหลังเบาะที่เด็กสาวนั่งอยู่


มือหนึ่งอยู่ในกระเป๋า ส่วนอีกมือจับมือจับประตูรถเอาไว้ เฉินเกอถาม “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”


ถ้าหากมีอันตรายอะไร เขาก็สามารถทุบล็อกแล้วกระโดดออกไปได้ทันที


“มีเด็กอยู่บนถนน” คนขับรถตัวสั่นเหงื่อเย็นหลั่งไหลขณะที่เขาชี้ไปที่ถนน ที่ทางแยกด้านซ้ายของถนนมีเด็กชายคนหนึ่งถือถุงพลาสติกสีดำอยู่ เขาดูอายุราวแปดหรือเก้าขวบและยังสวมเสื้อสีขาวเก่าซีด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและหวาดกลัวเหมือนตกใจจากรถแท็กซี่ที่แล่นเข้ามา


“ทำไมถึงมีเด็กอยู่ที่นี่ได้?” คนขับรถเปิดกระจกแล้วกำลังจะชะโงกหน้าออกไปตอนที่เฉินเกอที่ด้านหลังจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา “ผมแนะนำให้คุณอย่าหยุดรถที่นี่”


“คุณกลัวว่านี่จะเป็นการหลอกลวงเหรอ?” คนขับพยักหน้า “ผมอ่านเรื่องนี้ในข่าวมาเหมือนกัน ผู้ใหญ่จงใจให้เด็กเล่นอยู่ริมถนน แล้วพอรถขับผ่านไป เด็กก็จะตกใจ แล้วผู้ใหญ่ก็จะกระโจนออกมาเรียกร้องค่าเชยที่ทำให้เด็กตกใจกลัว ดังนั้นต่อให้มีกล้องติดรถ มันก็ยากที่จะชี้แจงความบริสุทธิ์ นี่เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วในข่าว”


“การหลอกลวงพวกนั้นต้องการเงินของคุณ แต่ผมเกรงว่า ที่คุณเจอนี่จะต้องการชีวิตของคุณ” เฉินเกอพึมพำเบา ๆ เขาสงสัยนักว่าทำไมคนขับรถนี่ถึงได้ดึงดูดพวกผีนัก เพราะว่าเขาเจอกับเรื่องบังเอิญมากมายก่อนที่จะไปถึงอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้น เฉินเกอจึงใช้ดวงตาหยินหยางมองคนขับรถ และผลก็คือเขาเป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น


“ถ้ามีคนขับไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่างนั้นก็คงเป็นฉันแล้ว” เฉินเกอนึกถึงที่เจียหมิงถูกเงานั่นควบคุมให้มาหมดสติอยู่ที่ด้านนอกอุโมงค์ และไม่มีใครรู้ว่าเงานั่นทำอะไรในคืนนั้นที่ในอุโมงค์ “เป็นไปได้ไหมว่านี่คือส่วนหนึ่งของกับดักของเงานั่น?”


ตอนที่เฉินเกอกำลังคิด เขาก็ได้ยินเสียงเคาะกระจกข้าง ๆ ตัว เขาหันไปมอง และใบหน้าของเด็กคนนั้นก็แทบจะติดอยู่กับหน้าเขา ผ่านกระจกรถ รอยยิ้มหนึ่งปรากฏบนใบหน้าซีดของเด็กชาย เขาโน้มตัวเข้ามาเหมือนกำลังมองเข้ามาในรถ


“เธอกำลังมองหาอะไรเหรอ?” เฉินเกอเองก็ยิ้มตอบ มือของเขานั้นอยู่บนด้ามค้อน เขาค่อย ๆ ดึงมันมาที่ปากกระเป๋า นี่เป็นภาพอันน่าประหลาด ผีที่ด้านนอกรถนั้นมีเจตนาชั่วร้ายขณะที่คนในรถนั้นก็มีแรงจูงใจของตัวเองเก็บงำเอาไว้เช่นกัน


เด็กชายใช้มือเล็ก ๆ เคาะกระจกซ้ำ ๆ ทิ้งรอยฝ่ามือเอาไว้ ฝ่ามือของเด็กชายนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นสีแดง และเขาก็ละเลงกระจกรถที่เดิมสะอาดให้เละเทะอย่างรวดเร็ว ใบหน้าซีดของเด็กชายนั้นผลุบโผล่ตามรอยมือ และมันก็ดูน่ากลัวทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้คนขับรถกังวลที่สุดก็คือผู้โดยสารที่เบาะด้านหลัง เขาดูเหมือนจะมีบางอย่างในกระเป๋าอยู่ในมือขณะที่ยิ้มให้เด็กชายที่ข้างนอก– ทั้งสองคนดูเหมือนกำลังเล่นเกมอะไรอยู่


“เอ่อ…” คนขับรถอยากจะผ่อนบรรยากาศ แต่หลังจากที่เขาอ้าปากขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี


“แค่ขับรถไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องสนใจเด็กประหลาดคนนี้”


“นั่นไม่ดีมั้ง?” คนขับรถลังเล มันไม่ใช่ว่าเขาใจดี แต่เขากังวลว่าพอออกรถแล้วจะไปเหยียบเด็กชายเข้าและถ้าเขาถูกล้อรถเหยียบ อย่างนั้นเรื่องก็จะเลวร้ายขึ้นแล้ว บางทีอาจจะเพราะได้ยินที่เฉินเกอพูด เด็กชายเริ่มทุบแรงขึ้นและรอยมือก็ปรากฏบนกระจกมากขึ้น


“ได้ เคาะต่อสิ ถ้าแกกล้าก็ทุบกระจกเลย” เฉินเกอดูเหมือนจะกำลังแข่งกับเด็กชาย เขายิ้มให้เด็กชายด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยการท้าทาย


“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?” คนขับรถพูดไม่ออก เขาบ่นอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่รถคุณด้วยซ้ำ ถ้าเขาทำกระจกแตกจริง ๆ คุณจะจ่ายค่าซ่อมให้ผมเหรอ?


เขากระแอมแล้วถามผู้หญิงที่ที่นั่งผู้โดยสาร “คุณรู้จักเด็กคนนี้ไหม? เขามาจากหมู่บ้านใกล้ ๆ นี่เหมือนกันหรือเปล่า?”


ตอนที่เขาเจอผีตนหนึ่ง เขายังจะถามความเห็นของผีอีกตัว เฉินเกอดูเหมือนจะเห็นเงาของตัวเองบนตัวคนขับรถคนนี้ แต่เขาก็ไม่พูดอะไร และสีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยน ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พูดสักคำ แต่ว่าคนขับรถเอาแต่พยักหน้าเหมือนถูกโน้มน้าวช้า ๆ


เขาโบกมือให้เด็กชายที่นอกรถและหลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็เปิดประตูรถ “เข้ามาสิ ในเมื่อเธอสองคนกำลังไปที่เดียวกัน ฉันก็รับเธอไปด้วยแล้วกัน”


ประตูหลังเปิดออกและเด็กชายก็กระโดดเข้ามาในรถพร้อมกับถุงพลาสติกสีดำ เขานั่งข้าง ๆ เฉินเกอและยังแข่งจ้องตากันต่อ


“เธอชื่ออะไร? เธอจำเบอร์โทรศัพท์ของพ่อกับแม่ได้หรือเปล่า?” คนขับรถติดเครื่องรถและถามเด็กชายด้วยคำถามพื้นฐาน เขารออยู่ครู่หนึ่งแต่ว่าไม่มีการตอบสนอง คนขับรถหันมามองและเห็นเด็กชายนั้นกำลังจ้องตาอยู่กับเฉินเกอ เขาไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนกำลังทำอะไรอยู่


“บ้าชะมัด ฉันไม่สนใจแล้วถ้างั้น” คนขับรถยอมแพ้ เขาวางโทรศัพท์ของตัวเองลงที่หน้ารถตำแหน่งที่เขาเอื้อมถึงได้ง่าย ๆ เขาเคาะระบบวิทยุสื่อสารแล้วพูดคุยกับคนขับรถคนอื่น ๆ “มีใครอยู่ในจิ่วเจียงตะวันออกไหม? คืนนี้ที่นี่มีงานให้ทำเยอะเลยนะ”


ในใจเขานั้นอันที่จริงค่อนข้างตื่นกลัวและอยากจะหาคนธรรมดา ๆ มาพูดคุยด้วย


ไม่ช้า ก็มีลุงคนหนึ่งตอบกลับมา “นี่แกยังกล้าไปที่จิ่วเจียงตะวันออกอีกเหรอ? คนขับรถส่วนใหญ่ที่ไปที่นั่นในช่วงเดือนนี้กลับมาพร้อมกับการบาดเจ็บ และฉันยังได้ยินว่ามีบางคนถูกพบหมดสติอยู่ในที่นั่งคนขับด้วย”


ลุงคนนั้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทของคนขับและพวกเขาก็มักจะล้อเล่นกับอีกฝ่าย “เลิกหลอกฉันน่า แกก็รู้ว่าฉันขี้กลัว”


“ใครหลอกแก? ฉันพูดจริง จิ่วเจียงตะวันออกไม่ปลอดภัย ไม่เชื่อก็ดูข่าวเองสิ”


“ข่าวอะไร? แกก็รู้ว่าฉันกำลังขับรถอยู่”


“ฉันแค่เตือนแก อันที่จริง ตำรวจพบ…” การสื่อสารถูกตัดกะทันหันก่อนที่ลุงคนนั้นจะพูดจบประโยค


“พบอะไร?” คนขับเคาะวิทยุสื่อสาร “ทำไมมันถึงมาเสียในเวลาแบบนี้กัน?”


ตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกกลัวมากนัก แต่หลังจากได้ฟังสิ่งที่ลุงคนนั้นพูด คนขับก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ เขาชะลอรถลงและดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาค้นหาเร็ว ๆ ครั้งหนึ่ง


ช่วงหลังมานี้ในจิ่วเจียงตะวันออกมีหลายคดีจริง ๆ ด้วย เขากวาดตามองทั้งหมดนั้นแล้วสายตาของเขาก็ตรึงอยู่กับข่าวหนึ่ง เด็กคนหนึ่งหนีออกจากบ้านพ่อเลี้ยงของเขาและร่างของเขาก็ถูกพบที่ถนนหลินเจียงจิ่วเจียงตะวันออก


“เดี๋ยวนะ ตอนนี้ฉันกำลังขับรถอยู่บนถนนหลินเจียงใช่ไหม?” คนขับแตะเปิดข่าวนั้นและรูปของเหยื่อก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นตา “เด็กชายคนนี้…”


เขาตัวแข็ง คนขับรถเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และแอบมองไปยังเด็กชายที่นั่งอยู่ด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง


เฉินเกอนั้นเบียดอยู่ข้างเด็กชาย และเขาก็เอนตัวเข้าไปใกล้กับถุงพลาสติกสีดำที่เด็กชายจับแน่น “มีอะไรอยู่ในถุงนั่นเหรอ? ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังหาบางอย่างอยู่ก่อนที่จะขึ้นรถมา”


เด็กชายยิ้มให้เฉินเกอแล้วพูดขึ้นหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ผมหาเจอเกือบครบแล้ว ผมขาดแค่มือข้างหนึ่งเท่านั้น”

 

 

 


ตอนที่ 606

 

คนที่สาม

หลังจากเด็กชายพูดอย่างนั้น อุณหภูมิในห้องโดยสารก็ลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และใบหน้าของคนขับก็ซีดเผือด


“ขาดแค่มือข้างหนึ่ง?” คนขับคิดว่าเขาได้ยินผิด เขายากที่จะเชื่อว่าได้ยินอะไรแบบนั้นดังออกมาจากปากของเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่ง ม่านตาของเขาสั่นระริก และเขาก็เหลือบมองไปยังโทรศัพท์ของเขา ข่าวไม่ได้มีรายละเอียดสาเหตุการตายของเด็ก– มันเพียงพูดถึงผ่าน ๆ ว่าเด็กชายถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด เพราะคำพูดเดียวของเด็กชาย บรรยากาศในรถก็เปลี่ยนไป


มือของคนขับรถที่กำพวงมาลัยรถอยู่นั้นลื่นไปด้วยเหงื่อ ผู้หญิงที่นั่งข้างเขายังเงียบอยู่ และเด็กชายที่เบาะหลังก็กำถุงพลาสติกสีดำไว้แน่น ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มที่ไม่เข้ากับอายุของเขาแปะเอาไว้


ใน ‘คน’ น้อยนิดในรถ มีแค่เฉินเกอที่เรียกได้ว่าปกติ เขาดูเหมือนเป็นคนเดียวที่ควบคุมทุกอย่างไว้แล้ว เขาขยับเข้าไปใกล้เด็กชาย เสียงของเขานุ่มนวลและอบอุ่น แต่สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นทำให้คนขับรถหลั่งเหงื่อเย็น ๆ ออกมาอีก


“เธอขาดแค่มือข้างหนึ่งเหรอ? นั่นหมายความว่าชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่เธอพบอยู่ในถุงพลาสติกนี่ทั้งหมดเลย?” เฉินเกอชี้ไปยังถุงป่อง ๆ “เธอให้ฉันดูข้างในหน่อยได้ไหม? และถ้าเธออยากได้ความช่วยเหลือ ฉันช่วยเธอหาชิ้นที่เหลือได้นะหลังจากที่พวกเราลงจากรถแล้ว”


“ไม่จำเป็น” เห็นเฉินเกอเปลี่ยนเป้าหมายไปทางถุงสีดำ รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กชายก็หายไปอย่างช้า ๆ


“อันที่จริง พวกเราก็ไม่ได้ต่างกันนัก เธอกับฉัน พวกเราทั้งคู่กำลังมองหาบางอย่าง” เฉินเกอหยิบกระเป๋าของเขาขึ้นมา แต่กระเป๋านั้นดูจะใหญ่กว่าของเด็กชาย


“คุณก็กำลังหาบางอย่างเหรอ?” เด็กชายได้กลิ่นเลือดจาง ๆ จากในกระเป๋าเฉินเกอ และเขาก็พบว่าสิ่งนั้นดูจะอันตราย มันต่างไปจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ก่อนที่จะเข้ามาในรถ “คุณกำลังมองหาอะไร?”


“อันที่จริง สิ่งที่ฉันกำลังมองหาน่ะอยู่ในรถกับฉันแล้ว เมื่อถึงเวลา ฉันจะยัดพวกมันทั้งหมดเข้าไปในกระเป๋าของฉัน”


เฉินเกอเล่นบทคุณลุงแปลกหน้าหลอกให้เด็กชายกลัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นเรื่องล้อเล่นของคนโต ๆ ที่เล่นกับเด็กน้อยไร้เดียงสา แต่เด็กชายที่ข้าง ๆ เขากลับไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว นี่เป็นเพราะเด็กชายรู้ว่าเฉินเกอนั้นพูดจริงจัง


“พวกเขาทั้งหมด?” ต่างจากเด็กชาย คนขับรถได้ยินที่เฉินเกอพูดและเกือบจะเหยียบคันเร่งแทนเบรก เกือบจะขับไปชนต้นไม้เข้าแล้ว เขาคิดว่าเฉินเกอหมายถึงว่าเขาจะฆ่าทุกคนในรถ และจากนั้นก็ยัดชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขาเข้าไปในกระเป๋านั่น


เขาไม่สามารถตามปกป้องผู้โดยสารที่เบาะหลังของเขาได้ ดังนั้นจึงมีเพียงผู้โดยสารคนเดียวที่คนขับรถปกป้องได้ ก็คือเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างเขา จากมุมมองของเขา เด็กสาวนั้นทั้งนุ่มนวลและน่าสงสาร และถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น เขาตัดสินใจจะพาเด็กสาววิ่งหนี ถ้าอย่างนั้น อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถดูแลกันได้


สถานการณ์กำลังจะเลวร้ายลง ทั้งหมดที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็คือช่วยคนให้มากที่สุดเท่าที่ฉันทำได้ขณะดูแลความปลอดภัยของตัวเองไปด้วย! คนขับรถตัดสินใจเงียบ ๆ เขาแอบมองไปยังเด็กสาวข้าง ๆ เขา เด็กสาวดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงปัญหาเช่นกัน และเธอก็แตะปลายนิ้วลงที่เข่าของคนขับรถ


เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นบทอะไรอยู่ในใจคนขับรถ สมาธิทั้งหมดของเขาอยู่ที่เด็กชายที่ข้างตัวเขา ในเมื่อพวกเขาได้มีโอกาสพบกัน เขาก็คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ เขาวางแผนจะเชิญ ‘คน’ ทั้งหมดนี้ไปเป็นแขกของเขาที่บ้านผีสิง


รถแท็กซี่ยังเคลื่อนไปตามถนนอีกพักหนึ่ง และไม่ช้ามันก็ไปถึงสามแยกตัวที ถนนสายหนึ่งนั้นจะนำพวกเขาออกจากจิ่วเจียงไปยังเขตอื่นขณะที่ถนนอีกสายนั้นจะพาพวกเขาไปยังอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว


“อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว?” คนจิ่วเจียงล้วนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบ ๆ อุโมงค์นั่น สถานที่ซึ่งคือถนนสาธารณะต้องสาป อุบัติเหตุจากรถยนต์เกิดขึ้นที่นั่นบ่อยราวกับเม็ดฝนและเรื่องผีมากมายรวมทั้งตำนานท้องถิ่นก็มีที่นั่นเป็นฉากหลังหรือเป็นจุดกำเนิด


ใบหน้าของคนขับซีดขาว เขาบังคับตัวเองให้สงบลง เขาหันกลับไปถามเด็กชายที่ถือถุงอยู่ “เด็กน้อย เธอยังจำได้ไหมว่าบ้านเธอไปทางไหน?”


เด็กชายไม่ชอบที่ต้องอยู่ข้าง ๆ เฉินเกอ เขาเพยิดคางไปยังทิศทางของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวสีหน้านิ่งเฉย


“บ้านของเธอก็อยู่ทางนั้นเหมือนกัน? ดูเหมือนว่าเธอสองคนจะมาจากหมู่บ้านเดียวกันจริง ๆ” คนขับรถพยายามหาข้ออ้างอันมีเหตุผลที่จะอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดนี้เพื่อให้ตัวเองสบายใจ เขาเค้นรอยยิ้มออกมาขณะหันไปหาเฉินเกอ “แล้วคุณล่ะ?”


“ผมก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน แต่ผมแนะนำให้คุณหยุดรถที่นี่และหันหลังกลับเสียตอนนี้ ให้พวกเขาสองคนลงจากรถและขับพาผมกลับไปยังจุดที่คุณรับเด็กสาวคนนี้ขึ้นมา” เฉินเกอต้องการปกป้องคนขับรถเอาไว้ ถ้าเขาลงจากรถพร้อมกับผู้หญิงและเด็กชายและให้คนขับรถกลับไปคนเดียว อย่างนั้นระหว่างทางกลับ ผู้ชายคนนี้ก็อาจจะเจอกับอุบัติเหตุอื่นได้ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัย เฉินเกอจึงอาสาไปส่งเขา


แต่ว่า คนขับรถไม่เห็นด้วยกับวิธีนั้น เขารู้สึกถึงอันตรายจากเฉินเกอ และเขาก็คิดว่าเฉินเกอพยายามให้เขาต้องอยู่คนเดียวเพื่อที่จะลงมือได้ ยิ่งคนขับรถคิดเรื่องนี้เขาก็ยิ่งหวาดกลัว เฉินเกอนั้นขึ้นรถแท็กซี่มาคนเดียวในตอนกลางคืน จะไปที่ไหนก็ไม่รู้พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่มีกลิ่นเลือดลอยออกมา สิ่งที่เฉินเกอทำนี้แทบจะเขียนเป็นเรื่องสยองขวัญได้เลย เขาเชื่อว่าเขารู้ว่าเฉินเกอกำลังวางแผนอะไรอยู่ และไม่มีทางที่เขาจะอยู่ในรถเพียงลำพังกับเฉินเกอ


“ผมไม่คิดอย่างนั้นะ ในเมื่อพวกคุณต้องการไปทางเดียวกัน ผมก็ควรขับไปส่งพวกคุณทุกคนที่นั่น” คนขับรถส่งตำแหน่งที่อยู่ผ่านทางข้อความไปยังห้องสนทนาของเพื่อนของเขา แต่การสื่อสารนั้นค่อนข้างแย่มากและเขาก็มองเห็นข้อความโหลดอยู่นานก่อนที่จะล้มเหลว เขาชะลอรถลงและพิมพ์อีกสองข้อความ แต่ก็ส่งออกไปไม่ได้เช่นกัน


รถของเขานั้นมีคนนั่งอยู่เต็ม แต่น่าแปลก คนขับไม่รู้สึกปลอดภัยเลยสักนิด เขาคิดถึงการโทรเรียกตำรวจ แต่เขาก็เกรงว่านี่อาจจะกลายเป็นล่วงเกินผู้โดยสารของเขาทำให้เขาลงมือทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล


ในตอนที่คนขับกำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไรอยู่นั้น ชายชราคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่กลางถนน เขาเดินลงมาตามทางลาดชัน เดินตรงมาที่แยกตัวทีที่รถแท็กซี่จอดนิ่งอยู่นี้ เขาแบกตะกร้าเก็บสมุนไพรเอาไว้บนหลังขณะเดินกะเผลกลงมา เขาดูเหมือนจะเป็นคนเก็บสมุนไพรคนหนึ่ง พื้นที่ส่วนใหญ่ของจิ่วเจียงตะวันออกนั้นเป็นภูเขาและทะเลสาบ ดังนั้นเศรษฐกิจจึงไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าเพราะอย่างนั้น ธรรมชาติจึงยังไม่ถูกแตะต้องมากนัก และสมุนไพรล้ำค่ามากมายที่ไม่สามารถพบได้ที่อื่นก็เติบโตงามสะพรั่งที่นี่


ต่างไปจากพืชที่ปลูกในห้องทดลองหรือว่าในฟาร์ม สมุนไพรป่านั้นมีค่ากว่านั้นมาก และคนรุ่นเก่า ๆ ที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล ้ๆ นี้ก็อาศัยการเก็บสมุนไพรในการเลี้ยงชีพ


ชายชราดูจะกำลังกลับลงมาจากบนเขา ขาขวาของเขากะเผลก และเสื้อของเขาก็มีรอยขาดจากกิ่งไม้และพุ่มไม้เกี่ยว มีกระทั่งรอยเลือดเปรอะอยู่ที่ปลายขากางเกงของเขา


ตอนที่เขาเดินผ่านแท็กซี่ไป เขาก็มองเข้ามาในรถอย่างใจลอย แต่เมื่อเขาทำอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นอย่างช้า ๆ และจู่ ๆ เขาก็เร่งฝีเท้าออกไปจากบริเวณนี้ เห็นสีหน้าของชายชราแล้วคนขับรถก็ตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม


เขาลดกระจกรถลงอยากจะของความช่วยเหลือจากชายชรา แต่เมื่อเขาหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ชายชราขากะเผลกก็หายลับไปแล้ว


“ทำไมเขาถึงได้เดินเร็วอย่างนั้นทั้งที่ขากะเผลก?” คนขับรถตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อเขารู้สึกถึงความเย็นที่ลูบไล้อยู่บนหลังมือของเขา เขาหันกลับไปและเห็นผู้หญิงคนนั้นขยับมือของเธอมาวางไว้ตรงหลังแขนของเขา


“เกิดอะไรขึ้น?”


ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปทางอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว เป็นท่าทีบอกให้เขาเริ่มขับไปได้แล้ว


ตอนที่คนขับรถเลี้ยวรถนั้น เฉินเกอก็พูดขึ้นมา “มีคนผ่านรถไปเหรอเมื่อครู่นี้? คุณคุยกับใครเหรอ?”


“มีชายชราขากะเผลกคนหนึ่ง เขาแบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง คุณไม่เห็นเขาเหรอ? เขายังหยุดมองเข้ามาในรถก่อนที่จะเร่งเท้าผ่านไป!” คนขับรถไม่สามารถหยุดความหวาดกลัวไม่ให้เข้าไปในน้ำเสียงของตนได้


เฉินเกอส่ายหน้า มีแค่กิ่งไม้ที่สั่นไหวและเงาของมันเท่านั้นที่นอกรถ เขาไม่เห็นชายชราที่ไหนทั้งนั้น

 

 

 


ตอนที่ 607

 

ไร้หนทางกลับ

ตั้งแต่เห็นเงานั่นปรากฏขึ้นที่ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว เรื่องแปลก ๆ ในแถบนี้ก็น่าตื่นเต้นขึ้นไปอีก เด็กสาว เด็กชาย และยังชายแก่ที่คนขับรถพูดถึง– ขนาดยังไม่ได้เข้าไปในอุโมงค์ เฉินเกอก็เจอถึงสาม ‘คน’ แล้ว


“ที่นี่ดูพลุกพล่านนะ” เฉินเกอไม่ได้ถามรายละเอียดเกี่ยวกับชายชราเพิ่มและนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่เบาะหลัง รถแท็กซี่แล่นไปตามถนนสู่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวช้า ๆ ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้ปลายทางเท่าไหร่ คนขับรถก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ถึงตอนนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้นอกจากไปข้างหน้าต่อ


ต้นไม้ที่ริมถนนแกว่งไกวเหมือนเหล่าวิญญาณกำลังคลานขึ้นมาจากนรก แสงไฟสลัวเพราะไฟถนนส่วนใหญ่บนทางสู่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นใช้การไม่ได้ และหน่วยงานท้องถิ่นก็ไม่สนใจพอที่จะซ่อมถนนที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ๆ และโคลนตม


แต่ว่า น่าแปลกทีเดียว ท่ามกลางเศษสิ่งต่าง ๆ นี้ กลับมีรอยเท้าเป็นทางชัดเจนให้เห็น– บางรอยใหญ่บางรอยเล็ก บ้างก็เท้าเปล่าและบ้างก็ใส่รองเท้า ไม่ว่าอย่างไร มันก็ชัดเจนว่าพวกเขามีกันมากกว่าหนึ่งคน


“ตอนที่ฉันมาที่นี่ครั้งสุดท้ายไม่ได้มีรอยเท้าเยอะขนาดนี้” เฉินเกอเพ่งมอง เขาพบว่ารอยเท้าทั้งหมดนั้นชี้ไปทางอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว “พวกเขาล้วนมุ่งหน้าไปที่อุโมงค์? มีอะไรในอุโมงค์ดึงดูดพวกเขากันนะ?”


เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ในอุโมงค์ แต่เขารู้ว่าหลังจากที่เงานั่นปรากฏตัวขึ้นที่นี่ อุโมงค์ก็จะต่างไปจากก่อนหน้า ล้อรถบดไปบนใบไม้และกิ่งไม้ที่ร่วงหล่น เกิดเสียงน่ากลัว ไฟหน้ารถส่องสว่าง ปรากฏกรอบเงาใหญ่โต แสงทั้งหมดหายวับไปเมื่อกระทบกับกรอบเงานั่น


“ถ้ำมังกรขาว!” สถานที่ต้องห้ามในตำนานท้องถิ่นทั้งหมดปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และเปลือกตาของคนขับรถก็กระตุกไม่หยุด ขาของเขาสั่น และร่างกายของเขาก็ส่งข้อความบอกเขาว่าถึงเวลาหันหลังกลับวิ่งหนีแล้ว


“พวกเรามาถึงแล้ว” แท็กซี่หยุดตรงหน้าอุโมงค์ แต่ผู้โดยสารที่ด้านในรถไม่มีที่ท่าจะลงจากรถ “พวกเรามาถึงอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวแล้ว ดังนั้นผมคิดว่าจะส่งพวกคุณที่นี่”


คนขับรถรู้สึกอยากถอยกลับแล้ว เขาผ่านเรื่องประหลาด ๆ มามากพอแล้วสำหรับหนึ่งคืน


“ผมน่ะไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญก็พวกเขาสองคนแล้ว” เฉินเกอเอนตัวพิงเบาะและถ่ายน้ำหนักให้อยู่ในท่าที่สบายมากขึ้น มันยังพอมีเวลาก่อนจะถึงกำหนดเวลาภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อน เฉินเกอนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ยินดีเจรจา– แต่กับผู้โดยสารอีกสองคนนั้นคงพูดไม่ได้เช่นนี้


เด็กสาวเหลือบตามองขึ้นช้า ๆ และที่ระหว่างปอยผมยุ่งเหยิงก็มีดวงตาคู่หนึ่งที่ส่องประกายสีแดง เธอเลื่อนนิ้วของเธอไปตามหน้าต่างเกิดเสียงแหลมบาดหู มันเหมือนมีบางอย่างในอุโมงค์ที่ทำให้เธอคลั่งขึ้นมา


ท่าทางของเด็กชายเองก็ประหลาดไปเช่นกัน เขายังถือถุงพลาสติกสีดำเอาไว้ แต่สีหน้าไร้เดียงสาเดิม ๆ ของเขาตอนนี้บิดเบี้ยวจนจำไม่ได้


ยิ่งพวกเขาใกล้อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวมากเท่าใด ก็ยิ่งเห็นว่าพวกเขาดูผิดปกติไปมากเท่านั้น มันเหมือนกันว่าความอาฆาตแค้นในร่างของพวกเขานั้นพลุ่งพล่านขึ้นมาและพวกเขาก็ไม่สามารถกดมันเอาไว้ได้อีกต่อไป ผู้โดยสารทั้งสามคนไม่มีใครมีทีท่าจะลงจากรถ และนี่ก็ทำให้คนขับเริ่มตื่นตระหนก เขาขมวดคิ้วแน่นและดูจนปัญญา


พวกเขาบอกว่าคนดีมักได้ดี แต่ตอนนี้ทำไมกับฉันมันตรงกันข้ามล่ะ? คนขับรถบ่นอยู่ในใจ เขาหยุดรถ อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามของคนขับแท็กซี่ทุกคนในจิ่วเจียง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะไม่ขับเข้าไปในอุโมงค์


ถึงจะนั่งอยู่ในรถ เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดมาจากในอุโมงค์ เขาเหลือบตาขึ้นมอง อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นราวกับปากที่อ้ากว้างของสัตว์ร้ายสักตัวหนึ่ง และทุกคนที่เดินเข้าไปในนั้นก็จะถูกกลืนกินลงไปกระทั่งกระดูกก็หาไม่พบ


“ทำไมถึงหยุดล่ะ? คุณต้องไปข้างหน้าอีกสิ! บ้านของผมอยู่ข้างหน้านี่แล้ว ขับไปต่อสิ!” เด็กชายที่เบาะหลังออกปากเร่ง


“บ้านของเธออยู่ในอุโมงค์เหรอ?” พอได้ยินอย่างนั้น ความอยากอยู่ให้ห่างจากอุโมงค์ของคนขับก็เพิ่มมากขึ้น เด็กชายที่เบาะหลังดูคล้ายกับเหยื่อที่ในข่าว ก่อนหน้านี้ เขายังบอกด้วยว่าตัวเองกำลังหามือข้างหนึ่งอยู่ หากนี่ไม่ใช่เรื่องตลก อย่างนั้นตัวตนที่แท้จริงของเด็กชายนั้นก็ช่างน่าคิด


คนขับรถตระหนักได้ว่าเขากำลังอยู่ในอันตรายแบบไหน และเขาก็ไม่สนใจคำสั่งของเด็กชาย เขาคิดจะขับรถกลับออกไปจนกว่าจะถึงสถานีตำรวจ– ไม่ว่าที่ในรถของเขาจะเป็นคนหรือเป็นผี เขาก็จะส่งตัวทุกคนให้ตำรวจ นั่นเป็นความคิดที่ดี แต่เมื่อเขาติดเครื่องรถ ก็เกิดเรื่องผิดปกติขึ้น


เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงาน แต่ว่ารถไม่ยอมขยับ เขาพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดแล้ว เขาก็กลับทำให้แผงหน้าปัดรถดับไปเท่านั้น คราวนี้ คนขับรถตื่นตระหนกจริง ๆ แล้ว รถเสียอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเขาไม่รู้เลยว่ามีคนที่เป็นผีกี่คนในรถของเขา


“ไม่ต้องตื่นตกใจไป หน้าปัดรถแค่ดับไปเพราะว่าคุณพยายามติดเครื่องหลายครั้งเกินไป และแบตเตอรี่ก็เลยหมด เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ในเวลาอันคับขันที่สุดนี้ ถ้อยคำของเฉินเกอมอบความรู้สึกปลอดภัยที่คนขับรถต้องการที่สุดให้ เสียงของเฉินเกอนั้นทรงพลังและยังอบอุ่น และมันก็ช่วยให้คนขับรถสงบลงอย่างช้า ๆ


“ได้ คุณอยู่ในรถนะ ผมจะลงไปดู” คนขับรถวางมือที่มือจับประตูและกำลังจะก้าวออกไปตอนที่ได้ยินเสียงดังทึบเหมือนมีบางอย่างหนัก ๆ กระแทกลงมาที่หลังคารถ คนขับตกใจและเขาก็ดึงมือกลับตามสัญชาตญาณ แต่จากนั้นก็เกิดบางอย่างที่ประหลาดยิ่งกว่าขึ้น


รถเริ่มขยับโดยที่เขาไม่ได้แม้แต่จะแตะพวงมาลัยรถ และทิศทางที่มันมุ่งหน้าไปน่ะเหรอ? ถ้าไม่ใช่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวแล้วจะเป็นที่ไหนได้?


“ฉันยังไม่ได้สตาร์ทรถเลยทำไมมันถึงแล่นได้เองล่ะ? พวกเราต้องกระโดดลงแล้วนะ!” คนขับรถต้องการเปิดประตู แต่ตอนที่มือของเขาแตะลงที่มือจับประตู เสียงดังทึบ ๆ นั่นก็ดังมาอีกครั้ง คราวนี้ เสียงนั่งดังมาจากตรงหน้าคนขับ เขามองเห็นอย่างชัดเจน หลังจากเสียงหายไป บนกระจกหน้าตรงหน้าที่นั่งคนขับนั้นมีรอยฝ่ามือสีแดงเลือดรอยหนึ่งประทับอยู่


ดวงตาของเขาเปิดกว้าง จิตใจของคนขับรถว่างเปล่า เขาไม่รู้เลยว่ารอยฝ่ามือสีแดงนี่มาปรากฏบนกระจกอย่างกับใช้มายากลได้อย่างไร ก่อนที่เขาจะทันได้เข้าใจ เสียงนั่นก็ดังมาอีกครั้งแต่ว่าเป็นที่ด้านหลังรถ จากนั้นรถทั้งคันก็สั่น และรอยฝ่ามือเปื้อนเลือดก็ปรากฏขึ้นที่กระจกหลังมากขึ้น


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” คราวนี้ กระทั่งเฉินเกอเองก็เริ่มหวาดหวั่นมาขึ้นมานิด ๆ ต่างไปจากคนขับ เขาใช้ดวงตาหยินหยาง เขาจึงมองเห็นได้ว่าตอนนี้รถนั้นถูก ‘คน’ ล้อมเอาไว้แล้ว และรอยฝ่ามือแต่ละรอยก็แทนวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น


“ทำไมถึงมีวิญญาณมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่ปากอุโมงค์?” เฉินเกอนั่งอยู่ในรถ พลิกหน้าการ์ตูนและเปิดใช้เครื่องเล่นเทป ทำให้กลิ่นเลือดในรถนั้นรุนแรงมากขึ้น


รอยมือเลือดปรากฏขึ้นมากเท่าใด พวกมันก็ดูน่ากลัวขึ้นเท่านั้น มีพวกเขาคอยผลักและดัน รถก็ถูกส่งเข้าลึกไปในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวอย่างช้า ๆ


คนขับรถร้องขอความช่วยเหลืออย่างสิ้นหวังก็ไม่สามารถหยุดรถจากการถูกความมืดกลืนกินได้


เหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีใครคิดว่ามันจะกลายเป็นอย่างนี้ ตอนที่พวกเขารู้สึกตัว รถก็เข้าลึกมาในอุโมงค์แล้ว


ยางล้อรถนั้นเหมือนหมุนทับไปบนบางอย่างเพราะว่ารถนั้นเสียหลักไปเล็กน้อย รอยฝ่ามือปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ และเสียงเคาะถี่ ๆ ที่ทำให้เสียวสันหลังนั้นก็ก้องอยู่ในหูพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 608

 

ฟังเสียงความมืด

แสงไฟรอบตัวพวกเขาค่อย ๆ หายไปช้า ๆ มันเหมือนกับรถแท็กซี่ถูกผลักลงไปในมหาสมุทร เมื่อแสงสุดท้ายจางหายไป มันก็หมายความว่าผู้โดยสารที่ด้านในนั้นถูกความมืดโอบล้อมเอาไว้


“มี… มีใครอยู่ตรงนั้นไหม?” เมื่อเสียงเคาะถี่ ๆ นั้นหายไป คนขับรถก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ มือของเขาควานหาโทรศัพท์มือถือ


“อย่าขยับ นอนลงไป” เสียงนั้นกระด้างแต่คนขับก็ไม่สามารถขัดขืนได้และขยับตัวตามไป คนที่สั่งก็คือเฉินเกอ เสียงเคาะหายไปแล้ว แต่วิญญาณยังล้อมอยู่รอบรถ พวกเขายังไม่จากไปไหน


“พวกเขาต้องการอะไรกัน?” ด้วยดวงตาหยินหยาง เฉินเกอสามารถมองเห็นสิ่งที่คนขับรถไม่เห็น และจากมุมมองของเขา พวกเขานั้นไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีนัก ทุกตารางนิ้วของด้านนอกรถนั้นเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือสีเลือดและคนที่ทิ้งรอยฝ่ามือเหล่านั้นเอาไว้ก็ยังล้อมอยู่รอบ ๆ รถ แต่ละคนนั้นมีสีหน้าประหลาด และร่างกายของพวกเขาก็หันไปทางเดียวกัน ริมฝีปากของพวกเขาขยับขึ้นลงเหมือนปลา สูบอากาศประหลาดในอุโมงค์เข้าไป


ประมาณสิบนาทีให้หลัง เสียงประหลาดดังมาจากส่วนลึกของอุโมงค์ มันยากที่จะบรรยายออกมา มันเหมือนมีตะขาบนับพันตัวไต่อยู่บนกำแพง และในเวลาเดียวกัน มันก็เหมือนมีเสียงลมหายใจของยักษ์ ลมหายใจของมันนั้นพรูไปตามผนังอุโมงค์ที่ไม่เรียบรื่น


หลังจากเสียงนั่นปรากฏขึ้น วิญญาณที่รอบ ๆ รถก็เริ่มขยับไปทางเสียงนั่น เสียงฝีเท้าก้องอยู่รอบ ๆ แต่ไม่มีคนเป็นอยู่ในสายตา คนขับรถซ่อนอยู่ในรถ กอดศีรษะตัวเองเอาไว้ เขากลัวมากแล้วจริง ๆ มันมืดเกินกว่าที่เขาจะมองเห็นอะไร แต่ว่าหูของเขาก็ยังคงได้ยินเสียงประหลาดเหล่านี้ เสียงนั่นพุ่งตรงเข้าหัวใจของเขา และคนขับรถก็รู้สึกเหมือนสมองกำลังจะระเบิด


มีเสียงลั่นเบา ๆ จากส่วนหนึ่งของรถ มันฟังเหมือนเสียงประตูรถเปิดออก


ไม่มีแสง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ตอนที่เสียงทั้งหมดเงียบสงัดลงและอุโมงค์ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ในที่สุดคนขับรถก็เรียกความกล้าได้มากพอที่จะมองหาโทรศัพท์ของตัวเอง เขาใช้แสงอ่อนจางจากหน้าจอโทรศัพท์มองไปรอบ ๆ ในรถของตัวเอง


ประตูถูกเปิดทิ้งเอาไว้ และไม่มีผู้โดยสารคนไหนอยู่ในรถ แท็กซี่ว่างเปล่ามีเพียงคนขับอยู่ที่ที่นั่งคนขับเท่านั้น


“ไปไหนกันหมดแล้ว?” ตอนที่มีคนอยู่ด้วย เขาก็ไม่ได้กลัวมากนัก แต่พอรู้ว่าตัวเองอยู่คนเดียวลำพัง คนขับรถก็เริ่มตื่นตระหนก เขาเปิดวิทยุสื่อสาร แต่ทั้งหมดที่ได้ยินก็คือเสียงสัญญาณเปล่า ๆ– ไม่มีใครพูดคุยอะไร เขาพยายามโทรศัพท์หาเพื่อนและเพื่อนร่วมบริษัทคนอื่น ๆ แต่น่าแปลก ไม่มีใครรับสาย


เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ได้เพราะเริ่มกระวนกระวาย และเขาก็ร้องออกไปน้ำตาเอ่อขึ้นมา “ได้โปรดเถอะ มีใครอยู่ไหม? ใครก็ได้ ตอบฉันหน่อย?”


“หยุดตะโกน ชู่!” แสงไฟสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้ารถ คนขับรถมองไปยังแสงนั่น เป็นชายหนุ่มกับกระเป๋ากระพายยืนอยู่ตรงนั้น คนขับรถคุ้นเคยกับโครงร่างของคนผู้นี้– เขาคือผู้โดยสารคนแรกที่เขารับมาคืนนี้


“อย่าเสียเวลา ทำตามที่ผมสั่ง อย่างแรกเลย ลอยสตาร์ทรถดูว่าติดไหม” เฉินเกอถือกระเป๋าเอาไว้ด้วยมือหนึ่งและสีหน้าก็ย่ำแย่ คนขับรถเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์และไม่เสียเวลาถาม เขาพยายามอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องยนต์ก็ยังไม่ทำงาน


“ลงจากรถมาตรวจสอบเครื่องยนต์เร็วเข้า พวกเราไม่มีเวลาให้เสียมากนัก” ด้วยการเร่งเร้าจากเฉินเกอ คนขับรถคลานลงจากรถ เส้นขนบนร่างของเขาลุกซู่เมื่อเห็นรอยฝ่ามือสีเลือดเต็มยานพาหนะของเขา เปิดกระโปรงหน้ารถแล้วคนขับก็ชะโงกเข้าไปดู เครื่องยนต์ด้านในนั้นเสียหายจากเส้นผมสีดำที่ขดอยู่รอบ ๆ ทุกอย่าง เขาไม่สามารถตัดพวกมันออกได้โดยไม่มีเครื่องมือ


“คุณมีกรรไกรไหม?” คนขับรถกระซิบถามเฉินเกอ


“ค้อนใช้ได้ไหม?”


“เอ่อ งั้นไม่เป็นไร” คนขับรถปิดฝากระโปรงลงแล้วบอกเฉินเกอไปคิ้วขมวดแน่น “มันน่าจะเป็นเส้นผมพวกนั้นอุดท่อมอเตอร์ ผมซ่อมมันไม่ได้ถ้าไม่มีเครื่องมือ”


“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะทิ้งรถไว้ก่อนตอนนี้ หลังจากนี้ จำไว้ว่าอยู่ใกล้ ๆ ผมเข้าไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าเดินไปไกลจากผม” เฉินเกอเปิดไฟฉายบนโทรศัพท์และเริ่มเดินไปตามถนนตรงข้ามกับทิศทางที่เหล่าวิญญาณไป


“คุณเห็นผู้โดยสารอีกสองคนไหม? ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?” หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดคนขับรถก็ถามออกมา


“จนถึงตอนนี้ คุณก็ยังคิดว่าพวกเขาเป็นผู้โดยสารธรรมดาอีกเหรอ? สองคนนั้นเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์แล้ว” เฉินเกอไม่เสียเวลาอธิบายเรื่องเหล่านั้นให้คนขับรถ ถ้าไม่เพราะว่าเขาคิดว่าคนขับรถเป็นคนที่ใจดีคนหนึ่งแล้ว เขาก็คงไม่คิดจะมาเสียเวลานำคนขับรถออกไปและไปเข้าร่วมกับ ‘ฝูงชน’ มุ่งหน้าเข้าไปในอุโมงค์แล้ว “อุโมงค์นี่อันตรายมาก ผมจะพาคุณออกไปก่อนรอให้แน่ใจว่าคุณปลอดภัย”


“ขอบคุณครับ” คนขับรถนั้นประทับใจในตัวเฉินเกออย่างแท้จริง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีคนเป็น ๆ คนหนึ่งอยู่ด้วยนั้นเป็นอะไรที่น่ายินดีมากแล้ว


“ถ้าคุณอยากขอบคุณผม ช่วยเก็บทุกอย่างที่คุณเห็นคืนนี้ไว้กับตัวเองและอย่าบอกใครหลังจากที่กลับออกไปจากที่นี่แล้ว” เฉินเกอพูดเสียงต่ำ และนั่นก็ทำให้ทุกอย่างดูมีบรรยากาศลึกลับมากขึ้น


หลังจากได้ยินอย่างนั้น คนขับรถก็พยักหน้าซ้ำ ๆ สัญญาตามที่เฉินเกอสั่ง ทั้งสองคนเดินไปตามอุโมงค์อยู่สามนาที แต่พวกเขากลับไม่เข้าใกล้ทางออกขึ้นเลย


“นี่ไม่ถูกต้อง” เฉินเกอหยุด ยืนอยู่กลางอุโมงค์ “มันใช้เวลาแค่ครึ่งนาทีเท่านั้นที่แสงหายไปหลังจากที่รถถูกผลักเข้ามาในอุโมงค์ ตอนนั้นรถก็เคลื่อนที่เร็วเท่า ๆ กับที่พวกเราเดินอยู่นี่ พูดอีกอย่างหนึ่ง พวกเราก็ควรใช้เวลาแค่ครึ่งนาทีก็ควรจะเห็นทางออกแล้ว แต่พวกเราเดินมานานกว่านั้น และยังไม่เห็นแสงสักลำ”


“คุณพูดถูก! เกิดอะไรขึ้น?” ได้ยินการวิเคราะห์ของเฉินเกอ คนขับรถก็ตัวสั่น เหงื่อเย็น ๆ ไหลพรั่งพรู “บางทีพวกเราอาจจะมาผิดทาง? พวกเราบังเอิญเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์แทน?”


“หน้ารถหันไปยังส่วนลึกที่สุดของอุโมงค์ ดังนั้นทิศทางของพวกเราไม่ผิด”


“อย่างนั้น ทำไมพวกเราถึงยังออกจากอุโมงค์ไม่ได้?”


“ผมจะไปรู้ได้ยังไง?” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเจอกับอะไรอย่างนั้น มือข้างหนึ่งของเขาวางแตะผนังอุโมงค์เอาไว้ เขาแอบดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมา “ถ้าเพียงแต่ฉันจะสื่อสารกับวิญญาณสีเลือดในอุโมงค์ได้ ครั้งสุดท้ายที่พวกเราพบกัน พวกเราพูดคุยกันได้เป็นมิตรทีเดียว และมันก็ไม่น่าจะยากเย็นถ้าจะขอความช่วยเหลือจากเธอเล็ก ๆ น้อย ๆ”


เฉินเกอไม่รู้ชื่อของวิญญาณสีเลือดตนนั้น และไม่รู้ว่าจะติดต่อเธอได้อย่างไร แต่ว่า เมื่อคิดถึงประสบการณ์ครั้งก่อนที่นี่แล้ว เฉินเกอก็มีความคิดบ้าระห่ำหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ


เขาแตะเปิดภารกิจ ที่ปลายอุโมงค์ บนโทรศัพท์เครื่องดำและอ่านคำใบ้ของภารกิจอีกครั้ง “หลับตาลง และคุณอาจจะเห็นโลกที่ต่างออกไป”


ตอนที่คนขับรถมองมาอย่างตกใจ เฉินเกอก็ฉีกแขนเสื้อเชิ้ตของเขาออกมาแล้ว


“คุณทำอะไรน่ะ?”


เฉินเกอไม่สนใจคนขับรถ เขาพับแขนเสื้อที่ฉีกออกมาเป็นผ้าปิดตาแล้วผูกเอาไว้รอบตา


“พี่ชาย คุณกำลังทำอะไรน่ะ? คุณช่วยทำอะไรที่มันดูธรรมดากว่านี้สักหน่อยได้ไหม?” คนขับรถยืนตัวแข็งอยู่กับที่ เขาไม่เข้าใจการกระทำของเฉินเกอเลย


“เงียบแล้วตามผมมา ถ้าคุณกลัวจริง ๆ ก็หลับตาลงก็ได้” มือหนึ่งของเขาแตะอยู่บนกำแพง เฉินเกอเดินต่อไปข้างหน้าทั้งอย่างนั้น

 

 

 


ตอนที่ 609

 

อุโมงค์วงกลมไร้สิ้นสุด

การสมัครใจหลับตาลงในถ้ำที่มืดและน่าหวาดกลัวนั้น ในทางหนึ่ง เป็นอีกวิธีที่ต่างออกไปในการมองโลก แต่ว่า คนขับรถที่ไม่ได้รับคำอธิบายถึงความตั้งใจของเฉินเกอนั้นไม่เข้าใจเลยว่าเฉินเกอกำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นปรากฏการณ์นกกระจอกเทศหรือเปล่า? พอหลับตาลง มันก็ง่ายขึ้นที่จะทำเหมือนว่าปิศาจที่เดินไปมาอยู่ในถ้ำนั้นไม่มีจริง?


ถึงแม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย คนขับรถก็ตามหลังเฉินเกอไปอย่างไม่รู้อะไรเลย อย่างไรเสีย ผู้ชายคนนี้ก็เป็นความหวังเดียวของเขา เขาไม่สามารถคิดภาพการถูกทิ้งเอาไว้ในอุโมงค์มืด ๆ ทอดยาวนี้ได้เลย


เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าในใจคนขับรถกำลังคิดอะไรอยู่


เขาหลังตาลงและจมลงไปในความมืดอย่างสมบูรณ์แบบ และรอบตัวก็กลายเป็นเงียบงัน บางที อาจจะเพราะเส้นประสาทอันตึงเขม็งของเขา แต่ว่าอุณหภูมิร่างกายของเขานั้นคอยแต่จะเปลี่ยนไป มันเหมือนมีใครบางคนเดินเฉียดเขาไป พวกเขาอาจจะคิดว่าสัมผัสกับศพศพหนึ่งก็ได้


เมื่อการมองเห็นถูกลดทอนไป เขาก็ทำได้เพียงอาศัยการฟัง การดมกลิ่น และความรู้สึกที่ผิวหนังช่วยเขาจำแนกทุกอย่างที่รอบตัว ผนังถ้ำนั้นไม่เรียบ และบางครั้งมือของเขาก็ยังแตะโดนบางอย่างที่คล้ายตะไคร่ เมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสโดนบางอย่างที่เปียกและเหนียวเป็นครั้งแรก ขนแขนของเฉินเกอก็ลุกชัน


“ฉันจะไปถึงทางออกด้วยวิธีนี้ได้จริง ๆ ใช่ไหม? หรือว่ามันจะไม่เรียบง่ายอย่างนั้น คำใบ้ที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาอาจจะมีความหมายต่างออกไป” เฉินเกอที่ปิดตาอยู่เดินไปข้างหน้าใช้มือนำทางไป เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ความมืด ความเย็นเยือก และเสียงแปลก ๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกจากปลายนิ้วของเขาส่งเข้ามาในระบบประสาทสัมผัสของเขาเป็นระลอกคลื่น


ด้วยการฝึกฝนและความตั้งมั่นที่เหนือมนุษย์ เฉินเกอกดความต้องการดึงผ้าปิดตาออกเอาไว้แล้วก้าวเท้าอีกก้าวหนึ่ง ไม่เห็น ไม่คิด ไม่มีอะไร


เฉินเกอปรับลมหายใจ และก็เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งแรกของเขา มีความคิดเดียวอยู่ในใจเขา– ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ จิตใจของเขาแยกตัวเองออกจากสัมผัสเรื่องเวลา และเฉินเกอก็ไม่รู้เลยว่าเขาเดินอยู่นานแค่ไหน ต่างไปจากภารกิจระดับฝันร้ายครั้งก่อนหน้า คราวนี้ เขาไม่ได้นับเสียงหัวใจเต้นหรือว่าจำนวนก้าวของตัวเอง เขาทำใจว่างเปล่าอย่างแท้จริง


ลูบไปตามผิวเปียก ๆ ของผนังถ้ำ เขาเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมือของเขาจับไม่โดนอะไรเลย


ในผนังมีโพรงหรือ? อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นทางตรง และไม่มีทางแยก ดังนั้นเรื่องเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้


ฉันควรจะดึงผ้าปิดตาออกดูไหม? ก่อนที่เฉินเกอจะตัดสินใจ จู่ ๆ ก็มีคนดึงแขนเขาและคนผู้นั้นที่ตัวสั่นอย่างแรงจนเฉินเกอรู้สึกได้ผ่านการสัมผัส


“ใจเย็นก่อน คุณเห็นอะไร?” ความไม่รู้นั้นมักจะน่ากลัวที่สุด หลังจากสูญเสียการมองเห็น อารมณ์ของเฉินเกอนั้นก็ได้รับอิทธิพลจากคนรอบตัวง่ายขึ้น


“มันอยู่ทางซ้ายของคุณ สิ่งนั้นอยู่ติดกับแก้มซ้ายของคุณเลย เขาอยู่ใกล้มาก ได้โปรดอย่าขยับ!” คนขับรถตอบอย่างตระหนก เสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดผวา


“ไม่ต้องตื่นตระหนก อธิบายรูปร่างของสิ่งนั้นสิ เป็นคนหรือว่าแมลง?” เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ระมัดระวังไม่ขยับกล้ามเนื้อสักมัด แต่เขารออยู่นานแล้วยังไม่มีคำตอบเลย “คุณยังอยู่ไหม?”


ในอุโมงค์ว่างเปล่า มีแค่เสียงของเฉินเกอเองที่ก้องอยู่ คนขับรถดูเหมือนจะหายวับไปในอากาศ


“เขาเห็นอะไรกันแน่?” ถ้าคนขับรถยังไม่หายตัวไป เฉินเกอก็คงไม่กังวลอย่างนี้ แต่จังหวะเวลานั้นน่าสงสัยเกินไป เขาทิ้งข้อความกำกวมถึงเพียงนั้นเอาไว้ก่อนที่จะหายตัวไป เขาบอกเฉินเกออย่างชัดเจนมากว่ามีบางอย่างที่ดูแตกต่างและอาจจะน่ากลัวอยู่ติดกับแก้มซ้ายของเฉินเกอ


“การหายตัวไปของคนขับรถน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ แต่ว่านั่นก็ไม่แน่ อาจจะเกิดบางอย่างขึ้นกับผู้ชายคนนั้นไปแล้วตั้งแต่ฉันตัดสินใจปิดตาตัวเอง และมันอาจจะเป็นใครสักคนที่กำลังตามหลังฉันอยู่ เขาอาจจะจงใจพยายามทำให้ฉันมองไปทางซ้าย” เฉินเกอไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือเสี่ยงโชคภายในความเป็นไปได้ที่เขายังควบคุมได้


เฉินเกอยกแขนขึ้นแตะที่ด้านซ้ายของใบหน้าตัวเอง– ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น เขาถอนหายใจโล่งอกก่อนที่จะขยับแขนของเขาไปยังกำแพงช้า ๆ ไม่ช้าปลายนิ้วของเขาก็แตะถูกผนังหินเย็น ๆ และเขาก็ไม่ได้ปัดผ่านอะไรที่ดูประหลาด เขาเหยียดนิ้วออกไปแล้วหยุดอยู่ที่ขอบของผนังและจุดที่สงสัยว่าเป็นโพรง


“มีรอยแยกประหลาดบนถนนที่ควรจะตรง ฉันควรจะเลี้ยวเข้าไปดูไหม?” เฉินเกอหักห้ามความต้องการจะดึงผ้าปิดตาออกแล้วยกทั้งสองมือขึ้น และก็เหมือนกับคนตาบอดคนหนึ่ง เขาขยับตัวไปทางปากทางที่เปิดออกทางด้านซ้ายของเขาช้า ๆ


“ทางนี้จะนำฉันไปที่ไหนกัน?” มันควรจะเป็นอุโมงค์ตรง ๆ แต่เพราะอะไรไม่รู้ เขากลับมาจบลงในเขาวงกต ทุก ๆ สองสามก้าว เฉินเกอจะทิ้งรอยครูดลึกเอาไว้บนกำแพง ทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้านหลังเป็นทาง


เขาเดินต่อไปอย่างนั้นอยู่หลายนาที และปลายนิ้วของเฉินเกอก็แตะถูกความว่างเปล่าเป็นครั้งที่สอง ทางแยกอีกหนึ่งเส้นปรากฏขึ้นบนการเดินทางของเขา


มันเป็นเพราะคำใบ้ของโทรศัพท์เครื่องดำที่ทำให้เฉินเกอตัดสินใจปิดตาตัวเอง แต่ผลที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายมาก อุโมงค์ตรง ๆ เส้นนี้ดูเหมือนจะแยกออกเป็นทางเลี้ยวและมุมมากมายไร้สิ้นสุด เหมือนชะตาชีวิตของคน ไม่มีใครรู้ว่าอะไรกำลังรออยู่ที่ทางเลี้ยวข้างหน้า


“ซู่อิน…” เฉินเกอนั้นกลัวว่าตัวเองจะเจอกับเรื่องอันตรายหรือพาตัวเองเข้าสู่อันตรายอย่างกะทันหันเมื่อเขาแกะผ้าปิดตาออก ดังนั้นก่อนที่จะทำเช่นนั้น เขาก็เรียกซู่อินออกมา กลิ่นเลือดลอยอยู่ในอากาศ และเฉินเกอก็สูดลมหายใจลึก ความกระวนกระวายของเขาสงบลง และตัวตนของซู่อินก็ทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยที่เขาขาดไป


เฉินเกอขยี้ตาแล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาหยินหยาง เขาพบอย่างประหลาดใจว่าเขากำลังยืนอยู่จุดที่เขาเริ่มออกเดิน ไม่กี่เมตรด้านหลังเขานั้นเป็นแท็กซี่ที่เต็มไปด้วยรอยฝ่ามือสีเลือด


ยานพาหนะนั่นยังอยู่ที่เดิม แต่ว่าคนขับรถนั้นหายไปแล้ว มีซู่อินอยู่ด้วย เฉินเกอจึงเดินเข้าไปในอุโมงค์ เขาไม่เจอทางแยกอะไรเลย และเขาก็ไม่เจอรอยที่เขาขูดเอาไว้บนกำแพงด้วย


อุโมงค์ที่เขาเห็นด้วยตาและอุโมงค์ที่เขาสัมผัสด้วยปลายนิ้วนั้นดูจะไม่ใช่อุโมงค์เดียวกัน นี่เป็นความรู้สึกประหลาดเหมือนหนึ่งในนั้นเป็นของจริง และอีกหนึ่งนั้นเป็นความฝัน แต่ก็น่าแปลกทีเดียว พวกมันผสมผสานกันด้วยสักวิธีหนึ่งจนกลายเป็นวังวนซ้ำ ๆ ไร้สิ้นสุด


“ไม่แปลกใจที่เงานั่นพ่ายแพ้ในที่เช่นนี้ ฉันคงต้องบอกว่าตัวเองโชคดีที่หนีออกไปได้เมื่อครั้งก่อน” อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นสถานที่อันพิเศษ แต่เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังความพิเศษของมันเช่นกัน


“ดังนั้น คำถามก็คือ อุโมงค์ไหนที่เป็นของจริง? และทำไมวิญญาณไร้บ้านเหล่านั้นถึงได้ถาโถมเข้ามาที่นี่กัน? เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันคิดว่าที่นี่นั้นเป็นวัฏจักรการกลับไปเกิดใหม่?”


ภารกิจทดลองนี้นั้นซับซ้อนกว่าที่เฉินเกอคิดมาก เขาไม่กล้าวู่วาม เขาพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนแล้วปล่อยพนักงานทั้งหมดของเขาออกมา


“เหล่าโจวกับต้วนเยว่ ผมอยากให้คุณสองคนคอยดูแลรถเอาไว้ คนที่เหลือตามฉันมา พยายามอย่าทิ้งระยะห่างระหว่างแต่ละคนมากเกินไป” เฉินเกอเคยเข้ามาในอุโมงค์นี้มาก่อน และจากการค้นหาทางออนไลน์ของเขา เขารู้ว่าอุโมงค์นี้ยาวแค่ไหน


เฉินเกอเรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาก็เพราะต้องการทดสอบสมมติฐานของตนเอง

 

 

 


ตอนที่ 610

 

สิ่งที่ดำรงอยู่ในฝันร้าย

แผนการของเฉินเกอนั้นเรียบง่ายมาก เขากำลังจะใช้ความเชื่อมโยงพิเศษระหว่างพวกผีเดินไปตามที่เขาเดินก่อนหน้านี้ แต่ไม่เหมือนครั้งก่อน คราวนี้ เขาตัดสินใจให้ไป๋ชิวหลินมาแทนตำแหน่งของเขา เขาอยากจะเห็นว่าสถานการณ์แบบเดียวกันจะเกิดขึ้นไหมหากว่าผู้ที่ถูกปิดตาเป็นผีตนหนึ่ง ไป๋ชิวหลินถูกบอสของเขาเอาผ้ามาผูกตาก่อนที่จะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น


“ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ทำใจให้ว่างเปล่าแล้วเดินไป” เฉินเกอและซู่อินยืนอยู่ห่างจากไป๋ชิวหลินที่ถูกปิดตาราว ๆ สามหรือสี่เมตร จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะเข้าไปช่วยทันที


แม้ไม่รู้ว่าบอสของเขาต้องการอะไร ไป๋ชิวหลินก็ยังทำตามคำสั่ง เพราะว่าในใจเขา บอสของเขานั้นถูกเสมอ เขาเดินไปตามอุโมงค์อยู่นานแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินเกอนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับไป๋ชิวหลิน กระทั่งตอนที่เขาถูกบอกให้ถอดผ้าปิดตาออก ใบหน้าของไป๋ชิวหลินก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจการกระทำของบอสของเขา


“ปิดตาผีนั้นไม่มีประโยชน์ แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ? ผีส่วนใหญ่นั้นก็คือรูปแบบหนึ่งจากความปรารถนาที่ยังเหลืออยู่ของคนเป็น และความแตกต่างใหญ่หลวงที่สุดระหว่างพวกเขากับคนทั่วไปก็คือพวกเขาไม่มีร่างเนื้อ เป็นไปได้ไหมว่าเพราะตอนที่ฉันลืมตาเดินไปตามอุโมงค์ มันจะเป็นโลกที่คนเป็นมองเห็น แต่เมื่อฉันปิดตา ฉันก็กำลังเดินไปตามโลกของวิญญาณ?”


คนทั่วไปคงไม่คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ แต่เฉินเกอนั้นต่างออกไป ในด้านนี้ เขามีประสบการณ์มากมาย และวิธีการคิดของเขาก็ต่างไปจากคนส่วนใหญ่ หลายครั้ง เขายังใช้มุมมองอย่างผีมองสิ่งต่าง ๆ


“ฉันยืนยันเรื่องนี้ไม่ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว ในกรณีนี้ การทดลองนี้ไม่ได้ยืนยันสิ่งใดโดยตรง– สิ่งประหลาดจะเกิดขึ้นเฉพาะหลังจากที่ฉันปิดตาตัวเองแล้วเท่านั้น” ให้ผีมาแทนที่เขาเพื่อหาทางออกนั้นเป็นไปไม่ได้ และเฉินเกอก็กลับไปที่เดิมอีก


“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องทำด้วยตัวเอง แต่คราวนี้มีพนักงานของฉันอยู่รอบ ๆ มันน่าจะปลอดภัยขึ้น” เฉินเกอนำพวกผีกลับไปที่รถแท็กซี่ สั่งการเหล่าโจวกับไป๋ชิวหลินสองสามอย่างก่อนที่จะปิดตาตัวเอง นี่เป็นครั้งที่สามของเขาแล้วที่จะเดินไปในอุโมงค์


ความมืดกลืนกินเฉินเกอ แต่เขาไม่รู้สึกกังวลเมื่อมีพนักงานของเขาจับตามองเขาอยู่ เขาเดินไปตามอุโมงค์อยู่สิบนาที ก่อนที่ในที่สุดจะหยุดเท้าลง ทางแยกบนถนนนั้นไม่ปรากฏขึ้น และอุโมงค์ก็มุ่งตรงไปเป็นทางเดียว นำไปสู่ที่ไหนสักแห่งหนี่ง


“ทำไมฉันถึงล้มเหลวอีกล่ะคราวนี้? ปัญหาอยู่ตรงไหน?” ความแตกต่างระหว่างการเดินครั้งแรกและครั้งที่สามของเขาก็คือจำนวนผู้เข้าร่วม ครั้งแรกนั้นเฉินเกอไปกับคนขับรถ แต่ครั้งนี้ เฉินเกอไปกับพนักงานของเขา


“จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงั้นหรือ? ไม่เหมือนอย่างนั้นนะ มันเป็นไปได้มากกว่าว่าพนักงานของฉันนั้นป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านั้นที่ปรากฏขึ้นรอบตัวฉันเข้าถึงฉันได้”


ตอนที่คนขับรถหายตัวไป เขาพูดถึงสิ่งประหลาดปรากฏขึ้นที่ข้างแก้มซ้ายของเฉินเกอ พอคิดกลับไป การเปลี่ยนแปลงของอุโมงค์ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งประหลาดนั่น


“คนขับรถหายตัวไประหว่างที่กำลังพูด และนั่นก็น่าจะเป็นการกระทำของสิ่งนั้นเช่นกัน” เฉินเกอมองไปตามอุโมงค์มืดและเริ่มลังเล มีพนักงานของเขาอยู่ด้วย สิ่งนั้นก็ไม่กล้าลงมือ แต่ถ้าเขาให้พนักงานกลับไป ก็ไม่มีอะไรรับรองความปลอดภัยของเขาเอง


เขาก้มหน้าลงไปดูที่โทรศัพท์ เฉินเกออยากรู้ว่าเขายังมีเวลาเหลือในการทำภารกิจอยู่เท่าไหร่ แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เขาพบว่าเวลาบนโทรศัพท์ของเขานั้นกำลังเดินถอยหลัง เหมือนแทนที่มันจะเป็นนาฬิกา มันกลับกลายไปเป็นตัวจับเวลา


“เกิดอะไรขึ้นกับโทรศัพท์ของฉัน? ทำไมเวลาถึงเดินถอยหลัง? ฉันเข้ามาในอุโมงค์อย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ว่าเวลาที่แสดงอยู่กลับเป็นตอนที่ฉันเข้ามาในอุโมงค์ตอนแรก”


มีบางอย่างเกิดขึ้น เฉินเกอเอนตัวพิงผนังแล้วขมวดคิ้วใคร่ครวญ


“ไม่มีใครมีพลังมากพอที่จะเข้าไปก่อกวนเวลาได้ ดังนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่?” เขาไม่ได้กระวนกระวายอย่างนี้มานานแล้ว ในเวลาเช่นนี้ พนักงานของเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้


เมื่อไม่มีวิธีการออกไปจากอุโมงค์นี้ เฉินเกอก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ อย่าว่าแต่จะทำภารกิจทดลองให้สำเร็จเลย


เขามองเข้าไปในความมืด และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ “สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นตอนที่ฉันมาที่นี่คนเดียวครั้งแรก”


เมื่อคิดกลับไปถึงภารกิจก่อนหน้าของเขาและนึกถึงรายละเอียดต่าง ๆ ในที่สุดเฉินเกอก็ตัดสินใจได้ เขาเก็บผีทั้งหมดของเขากลับเข้าไปในหนังสือการ์ตูน และอุโมงค์ที่ก่อนหน้านี้คนอยู่เต็มไปหมดจู่ ๆ ก็เย็นและเงียบ ในความมืด มีเพียงสองเงายืนอยู่ตรงกันข้ามกัน


“นายก็ไปได้แล้วแหละ ที่เหลือให้ฉันจัดการ” เฉินเกอตบบ่าซู่อินเบา ๆ แล้วปิดเครื่องเล่นเทป เขาเก็บทุกอย่างกลับไปแล้วก็ลุกขึ้น เขาเก็บสายตาให้นิ่งและไม่ปรากฏร่องรอยความกลัวบนใบหน้าสักนิด


“ภารกิจทั้งหมดของโทรศัพท์เครื่องดำนั้นยุติธรรม หากไม่พยายาม ก็ไม่มีสิ่งตอบแทน และความเสี่ยงกับรางวัลนั้นก็เป็นสัดส่วนกันเสมอ


“ฉันไม่ได้ผจญภัยอย่างนี้มานานแล้ว ฉันเกือบจะลืมความรู้สึกนี้ที่เป็นธรรมดาตอนที่ฉันได้โทรศัพท์เครื่องดำมาแรก ๆ ความรู้สึกของการเดินอยู่บนขอบเหวหรือด้ายบาง ๆ เคลื่อนไหวผิดเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างก็จบ”


เฉินเกอสูดลมหายใจลึกและพูดกับอากาศ


“และตอนนี้ ฉันก็อยู่ลำพังคนเดียวอีกครั้ง”


เขายัดกระเป๋าของเขาเข้าไปในแท็กซี่ และก็เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งก่อน เขาโดดเดี่ยวลำพังแล้ว ไม่มีอาวุธ ไม่มีพนักงานทั้งหลาย เขาเดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของความมืดโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเอง


“ฉันอยากจะเห็นว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรหลังจากฉันหลับตาลง” ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ฟางหยวนดูเหมือนจะพูดอย่างนั้นออกไปอย่างท้าทาย สายตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งผยอง เขาหยิบแขนเสื้อที่ฉีกออกนั้นออกมาแล้วในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะพันผ้าปิดตา เขาก็มองไปยังด้านหลังตัวเองและเรียกชื่อจางหยาเงียบ ๆ


ไม่มีคำตอบ– เงาของเขาเป็นแค่เงาของเขา พันผ้าปิดตาแล้ว และครั้งนี้ ไม่มีใครอยู่กับเขา เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งแรก ๆ ของเขาเลย


เขาแตะมือบนผนังแล้วเดินไปข้างหน้าช้า ๆ เขาเดินไปแค่ไม่กี่เมตรก็ได้ยินเสียงแกรกกรากปรากฏขึ้นที่ข้างหูเหมือนไส้เดือนนับพัน ๆ ตัวไต่อยู่บนผนัง


“ทุกอย่างจะเสียเปล่าไปทันทีที่ฉันลืมตาขึ้น ดังนั้นครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะไม่ลืมตาขึ้นมา” ความมั่นใจส่วนหนึ่งของเฉินเกอนั้นมาจากจางหยาที่ในเงาของเขา เขารู้ว่าเธอคงไม่ต้องการเห็นเขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง


“มาสิ ให้ฉันได้เห็นว่าที่ปลายอุโมงค์มันมีอะไร” เฉินเกอไม่ลังเลและเดินผ่านเสียงแกรกกรากนั่นไป เขากำลังใช้ตัวเองเป็นเหยื่อรอให้ ‘ปลาใหญ่’ ในอุโมงค์มาติดเบ็ด


มันเหมือนมีใครสักคนเป่าลมเข้ามาในหูของเขา และอุณหภูมิของร่างกายของเขาก็ลดลงแต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดยั้งการก้าวเดินของเฉินเกอได้

 

 

 


ตอนที่ 611

 

ผู้หญิงในอุโมงค์และเงาแมงมุม (1+2+3)

เฉินเกอนั้นเตรียมใจเอาไว้แล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่ลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาถูกความมืดกลืนกิน และเสียงที่รอบ ๆ หูเขาก็หายไป มันเหมือนว่าเขากำลังเดินช้า ๆ อยู่คนเดียวลึกลงไปในมหาสมุทร แยกออกจากโลกที่คุ้นเคย ด้วยความกลัวในอนาคตที่ไม่รู้ และยังมีความคาดหวังถึงปลายทางสุดท้ายที่แบกเอาไว้ ความรู้สึกมากมายก่อตัวขึ้นในใจ เหมือนหนวดของหมึกยักษ์โอบรัดตัวมันเองเอาไว้รอบ ๆ หัวใจสั่นไหวของเขา


“ฉันเคยรู้สึกถึงการถูกแยกออกอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ในชีวิตจริง คราวนี้ ฉันต้องมองเห็นปลายทางของมันให้ได้” เฉินเกอพึมพำกับตัวเอง ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่ามีใครหรืออะไรกำลังฟังอยู่แต่เพราะเขาพยายามให้กำลังใจตัวเองอยู่


หลังจากนั้นอีกสิบเมตร เฉินเกอก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าภายใต้ปลายนิ้วของเขา ในการเดินรอบนี้ ในที่สุดทางแยกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปในทางแยกอย่างไม่ลังเล


อุณหภูมิรอบตัวเขาลดลง เฉินเกอไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจถูกหรือไม่– เขาไม่เคยถูกเรียกได้ว่าเป็นคนที่ฉลาดเป็นพิเศษ ที่เขาสามารถอยู่รอดมาไกลถึงเพียงนี้ก็เพราะความสามารถในการสังเกตอันเหนือธรรมดาของเขา บุคลิกที่แน่วแน่ และความกล้าที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเล็กเท่านั้น


แตะถูกผนังที่เปียกและลื่น เฉินเกอก็ทำใจให้ว่างเปล่า ไม่ปล่อยให้มันยึดติดอยู่กับสิ่งใด เสียงเดียวที่ก้องอยู่ในหูของเขาก็คือเสียงฝีเท้าของตัวเอง ช้าแต่ว่ามั่นคง เสียงที่เดิมดังเป็นจังหวะถูกขัด มีบางคนหรือบางอย่างกำลังตามหลังเฉินเกออยู่


อย่าหันกลับไปมอง อย่ากระทั่งคิดถึงมัน


ไม่เห็นหมายถึงไม่มี และไม่คิดก็คือไม่มีอยู่ เฉินเกอย้ำคำนี้ในใจ และนั่นยังเป็นวิธีการดึงความสนใจของตัวเองด้วย


เสียงฝีเท้ามากมายเริ่มปรากฏขึ้นในอุโมงค์เงียบ ๆ เหมือนที่วิ่งผ่านอุโมงค์นี้ไปนั้นมีมากกว่าแค่เฉินเกอ เสียงฝีเท้าเดิมทีมาจากด้านหลังของเฉินเกอ แต่ไม่ช้า นอกจากด้านข้างที่เป็นผนังแล้ว ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทุกที่


หัวใจของเฉินเกอคันคะเยอเหมือนถูกแมวเกา เขาอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองได้มากพอที่จะไม่ปลดผ้าปิดตาบนใบหน้าออก หลังจากผ่านอะไรมามากมาย เฉินเกอก็มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก ไม่ช้าเขาก็สามารถควบคุมตัวเองได้และคุ้นเคยกับเสียงก้องของฝีเท้ารอบตัวอย่างช้า ๆ เขาให้กำลังใจตัวเองอยู่เงียบ ๆ หลอกตัวเองด้วยความเชื่อว่าเสียงฝีเท้าที่อยู่รอบตัวเขานั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายเขา อย่างน้อยที่สุด จากที่เขาเคยเจอมา มันก็แค่พวกเขาบังเอิญมาอยู่บนเส้นทางเดียวกับที่เฉินเกอกำลังเดินอยู่เท่านั้น


ฉันอยู่บนเส้นทางที่มีเพียงผีใช้งานเหรอ?


หลังจากอีกหลาย ๆ วินาที เฉินเกอก็พบปัญหาอื่น นอกจากเสียงฝีเท้า มีเสียงใหม่ มันฟังเหมือนเสียงล้อรถบดทับไปบนสิ่งของบนถนน


มีรถผ่านไป?


ตอนนี้ น่าจะมีรถยนต์อยู่แค่คันเดียวในอุโมงค์ และนั่นก็คือรถแท็กซี่ที่คนขับแท็กซี่ขับเข้ามา


ใครสตาร์ทรถนั่น? เป็นไปได้ไหมว่าคนขับรถหาทางกลับมาที่รถของตัวเองได้? หรือว่าอันที่จริงเขาเป็นมากกว่าแค่คนขับแท็กซี่ธรรมดา?


คนขับที่พาเฉินเกอมาที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นแค่คนที่เขาบังเอิญพบที่บนถนน ความน่าจะเป็นที่เขาจะเกี่ยวข้องกับอุโมงค์นั้นเป็นการคิดมากเกินไปสักหน่อย ความน่าจะเป็นนั้นน้อยมากจนไม่ต้องสนใจก็ได้


มันไม่น่าใช่คนขับคนนั้น หมายความว่ามีสิ่งอื่นกำลังขับรถอยู่อย่างนั้นเหรอ?


เฉินเกอที่กำลังคิดตรึกตรองนั้นอยู่ตอนนี้มีบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าเกิดขึ้น เขาได้ยินเสียงครางของเครื่องยนต์ดังเข้ามาในหูทั้งสองข้างของเขา มากกว่าแค่คันเดียว มีรถมากกว่าหนึ่งคันแล่นผ่านเขาไป


เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?


เมื่อถูกปิดตาเอาไว้ เฉินเกอก็ไม่รู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น– เขาทำได้แค่คิดภาพตามสิ่งที่เขาได้ยิน เสียงฝีเท้ารอบ ๆ ตัวเขาเร่งร้อนขึ้น และพวกมันก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน


มีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าบีบบังคับให้พวกเขาต้องวิ่งหนี? หรือว่าสิ่งนั้นที่ดึงดูดพวกเขาในที่สุดก็ปรากฏตัวออกมา? 


เฉินเกอนั้นไม่แน่ใจว่าเขาควรจะตามคนเหล่านั้นไปหรือไม่ เมื่อถูกปิดตาอยู่ มันก็ยากที่จะตัดสินใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจรักษาความเร็วในตอนนี้ของตัวเองเอาไว้ เขาตื่นตัวและระมัดระวังในทุกก้าวและใช้ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ค่อย ๆ แยกแยะ ‘โลก’ ใหม่นี้


ความลื่นบนผนังหายไปแล้ว และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือผิวแข็ง ๆ เย็น ๆ มันเหมือนจะเรียบลื่นขึ้นเมื่อสัมผัส เหมือนถูกขัดด้วยกระดาษทรายมาก่อน


เฉินเกอนั้นอยากจะปลดผ้าปิดตาออกเพื่อยืนยันข้อสงสัยของตัวเองจะแย่อยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในทางแยก โลกก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ทางแยกนี่นำเขาไปสู่อีกโลกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


เขาเดินต่อไปข้างหน้า และอุโมงค์ก็ดูเหมือนจะพลุกพล่านกว่าที่เคย เขาแทบจะฟังออกว่าคนอื่น ๆ กำลังพูดเรื่องอะไรกัน และยิ่งเดินไปข้างหน้าต่อ เสียงนั่นก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่น่าแปลก ถึงเสียงนั้นจะดังและแหลมสูงแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นได้ เขาทำได้เพียงจับอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านั้น– ความกระวนกระวาย ความโกรธ และความกลัวที่แฝงอยู่


เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


ถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในอุโมงค์ สถานการณ์ที่ด้านนอกนั่นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เสียงฝีเท้า เสียงกรีดร้อง เสียงแตรรถ เสียงล้อรถบดผ่าน และเสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม– มันเหมือนอุโมงค์นี้ยังถูกใช้งานอยู่


ถ้าอุโมงค์ยังไม่ถูกปิด มันก็คงจะมีชีวิตชีวาเช่นนี้แหละ ฉันคิดว่าอย่างนั้น…


เฉินเกอนั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ ทุกอย่างที่เขาได้เจอน่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวตัวจริง และมันน่าจะกำลังชักนำเขาไปที่นั่นอย่างมีจุดประสงค์


เสียงเอะอะรอบตัวเฉินเกอนั้นดังขึ้น ยิ่งมีเสียงต่าง ๆ เข้ามาในใจเฉินเกอมากขึ้น มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้ยินเสียงตัวเอง สิ่งเดียวที่เขาบอกได้ก็คือเสียงฝีเท้ายังคงเคลื่อนไหวไปยังทิศทางหนึ่ง และหลังจากที่เขาให้ความสนใจมากขึ้น เขาก็พบว่ารถทั้งหมดก็กำลังไปทางนั้นเช่นกัน


ทำไมพวกเขาถึงได้มุ่งหน้าไปทางนั้นกัน?


คำถามนั้นติดอยู่ในใจเขา ขณะที่เฉินเกอกำลังค้นหาคำตอบ อีกเสียงหนึ่งที่แตกต่างออกไปก็ดังเข้ามาในหูซ้ายของเขา เสียงนั่นต่างไปจากเสียงส่วนใหญ่ เฉินเกอถึงกับบอกได้ว่ามันเป็นเสียงของเด็กคนหนึ่ง มันชัดเจนแต่ขาด ๆ หาย ๆ และมันยังเหมือนกับเด็กคนนั้นได้รับบาดเจ็บอยู่


เฉินเกอเดินตาม ‘ฝูงชน’ ไปอีกหลายก้าวและเสียงเด็กก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


“ไม่ เดี๋ยวก่อน…” คราวนี้ เฉินเกอหยุด เขาพบว่ามีบางอย่างประหลาด เสียงเด็กนั้นมาจากด้านหลังเขาทางซ้าย ขณะที่ ‘คน’ ทั้งหมดและรถนั้นมุ่งไปข้างหน้า เจ้าของเสียงกลับยังอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับไปไหน


คนอื่น ๆ อาจจะไม่ได้สังเกตรายละเอียดเล็กน้อยเท่านี้ แต่เฉินเกอนั้นต่างออกไป เพื่อทำลายปริศนานี้ เขาตั้งใจกับทุกรายละเอียด จับสังเกตทุกอย่างที่รอบตัว เขาไม่กล้าพูดเพราะเกรงว่าจะเผยความจริงที่ว่าเขาต่างจาก ‘คน’ รอบ ๆ ตัวเขาออกไป


“ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย ช่วยแม่ผมด้วย…” หลายวินาทีให้หลัง เสียงนั่นกลับมาอีก และมันมาจากจุดเดิมก่อนหน้านี้


นี่แปลก ฉันได้ยินเสียงดังมากมาย แต่เพราะอะไรไม่รู้ ฉันกลับได้ยินเสียงเบา ๆ นี้ชัดเจนที่สุด


เขามองเห็นความสิ้นหวังในเสียงของคนผู้นั้น และความรู้สึกนั้นก็ยากจะอธิบาย มันทำให้ฟางหยวนรู้สึกเหมือนเสียงนั่นเข้าไปดังอยู่ในใจเขา


เขาหันกลับทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายเช่นใดมาจากด้านหลังของตัวเอง เฉินเกอขยับไปทางที่มาของเสียงนั่นตามสัญชาตญาณ เขาก้าวเท้าออกไปทีละนิดเหมือนคนตาบอด เขาค่อย ๆ คลำทางไปอย่างช้า ๆ


ตอนที่เขาเข้าไปใกล้เสียงนั่น จู่ ๆ ก็มีคนแตะมือลงที่บ่าของเขา และจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องร้อนรน เสียงนั่นดัง และมันก็บอกให้เขาเร่งฝีเท้าขึ้น ถ้าเขายังอยู่ เขาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต


นี่น่าจะเป็นวิญญาณที่เข้ามาในอุโมงค์พร้อมกับฉัน พวกเขากำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ดังนั้นสิ่งที่ไล่ตามพวกเขามาน่าจะเป็นเจ้าของอุโมงค์นี้!


วิธีการคิดของเฉินเกอนั้นต่างไปจาก ‘คน’ ที่ในอุโมงค์ เขารู้ชัดเจนถึงตัวตนของตัวเอง เขาเป็นเหยื่อ กำลังรอคอยให้เจ้าของอุโมงค์นี้ปรากฏตัวออกมา


มันเป็นการลงมือที่เสี่ยงมาก แต่นี่ก็เป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายที่สุดในการจัดการกับเรื่องที่เฉินเกอคิดออกตอนนี้ เขามักจะใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการแก้ไขปัญหาของตัวเอง– นี่เป็นวิธีการแบบของเขา


‘คน’ ที่ในอุโมงค์ดูเหมือนจะเข้าใจการกระทำของเขาผิด และเสียงที่รอบตัวเขาก็ชัดเจนขึ้น ‘คน’ เหล่านั้นเตือนให้เขารีบไป บอกเขาว่าถ้าเขายังอยู่ตรงนี้นานไป เขาจะตายจริง ๆ!


เฉินเกอนั้นไม่สนใจการโน้มน้าวของ ‘คน’ รอบตัว และไม่ช้า หูของเขาก็ได้ยินเสียงที่ต่างออกไปอีกเสียง


มันฟังเหมือนเสียงของเหลวหยด


ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง


มันอยู่ใกล้เขามาก


เห็นเฉินเกออยากจะอยู่ตรงนี้ ‘คน’ ที่พยายามโน้มน้าวเขาก็ทิ้งเขาเอาไว้ และอุโมงค์ก็เงียบลงอีกครั้ง เสียงฝีเท้า เสียงล้อรถ และเสียงแตรรถหายไปเหมือนอุโมงค์ถูก ‘สังคมและผู้คน’ ทอดทิ้งอีกครั้ง


“ช่วยผมด้วย ช่วยผม ช่วยแม่ของผม…” ตรงที่ใกล้ ๆ กับผนังมีเสียงเด็กร้องออกมาอีกครั้ง เฉินเกอเดินเข้าไปใกล้ ๆ และนั่งลงช้า ๆ ดวงตาของเขายังคงมีผ้าปิดอยู่ และเขาก็ไม่กล้าพูด กลัวว่ามันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้และไม่มีประโยชน์


หลังจากหลายวินาที มือของเฉินเกอ ที่ไม่ได้มีอะไรปกคลุมหรือสวมถุงมือ ก็เอื้อมออกไปตรงที่มาของเสียง ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนของเหลวที่เย็น ๆ และเฉินเกอก็คุ้นเคยกับความรู้สึกนี้


เลือด


เขาคลำไปรอบ ๆ อย่างมืดบอด และในที่สุด ปลายนิ้วทั้งห้าของเขาก็เจอกับแขนผอมบางข้างหนึ่ง


“ผมติดอยู่ตรงกระจก ไปช่วยแม่ของผมก่อนนะครับ เธอติดอยู่ตรงที่นั่งคนขับ!”


เสียงเด็กดังเข้ามาในหูเฉินเกอ เขาไม่ได้ทำตามที่เด็กชายพูดในทันทีแต่กลับนึกถึงเรื่องอื่น เสียงนั่นเดิมดังมาจากทางซ้ายของเขา เฉินเกอแน่ใจเรื่องนั้นมาก ตอนนี้ร่างกายของเขาหันกลับ เสียงนั่นก็ยังคงดังมาจากทางผนัง นี่หมายความว่าเสียงนั้นไม่สมเหตุสมผลเลย


ถ้ามีอะไรติดอยู่ในรถจริง แล้วมันสามารถพูดให้ดังเข้าหูฉันที่อยู่ด้านผนังได้ยังไง? อย่างไรเสียฉันก็เดินเลียบผนังมาตลอด


น่าสนใจ ตอนที่คนขับรถหายตัวไป ครั้งหนึ่งเขาก็พูดว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ที่แก้มซ้ายของเฉินเกอ


นี่มันบังเอิญมาก คนขับรถบอกว่าสิ่งนั้นอยู่ใกล้กับแก้มซ้ายของฉัน และนั่นก็ยังเป็นตำแหน่งที่เสียงของเด็กดังมา ดังนั้น ถ้าคนขับรถไม่ได้โกหก สัตว์ประหลาดที่ทำให้เขาเขากลัวน่าจะเป็น ‘เด็ก’ ที่ฉันกำลังได้ยินเสียงอยู่ตอนนี้


เฉินเกอค่อย ๆ เข้าใจอย่างช้า ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุผลที่คนขับรถหายตัวไปก็น่าจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นตัวจริงของสัตว์ประหลาดและทำลายแผนการของสัตว์ประหลาดไป


“แม่ของผมอยู่ตรงหน้านี่แล้ว คุณช่วยเธอได้ไหม? ได้โปรด?” เสียงนั่นสิ้นหวังและยากที่จะปฏิเสธ


“ได้ ฉันจะช่วยเธอ” เฉินเกอไม่รู้ว่าสิ่งน่ากลัวเช่นใดที่มีเสียงเหมือนเด็กและไร้เดียงสาอย่างนี้ได้ เขาเลือกที่จะทำตามคำขอร้องของสิ่งนั้น ช่วยคนแม่เพราะเขาเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควรต้องทำ มีเด็กคอยชี้นำ เฉินเกอก้มตัวลงและขยับไปข้างหน้าช้า ๆ


เสียงของเหลวหยดนั้นไม่หยุด กลิ่นประหลาดลอยเต็มอากาศ และยิ่งเฉินเกอขยับไปไกลเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เขามองไม่เห็นเพราะมีผ้าปิดตาอยู่ ดังนั้นเฉินเกอจึงทำได้แค่ค่อย ๆ งมทางไปอย่างช้า ๆ


ไม่ช้า มือของเขาก็เจอกับโครงรถ เขาก้มลง และมือของเขาก็แตะถูกเส้นผมของผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเพิ่มแรงจับที่ไหล่ของผู้หญิงคนนั้นและดึงเธอออกจากรถอย่างนุ่มนวล


“พาเธอไปห่าง ๆ! เร็ว! ตอนนี้เลย!” หลังจากเฉินเกอช่วยผู้หญิงคนนั้นออกมาได้ เสียงของเด็กก็เปลี่ยนเป็นสั่นพร่า ไม่เหมือนเด็กทั่วไป เด็กคนนี้ไม่ร้องไห้ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่ และน้ำเสียงของเขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างที่ไม่มีในเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุราวเดียวกัน


เฉินเกอไม่รู้ว่าเด็กวางแผนอะไรไว้ เขาพยุงผู้หญิงคนนั้นเดินไปหลายก้าวก่อนที่จู่ ๆ จะหยุดลง


“ไปสิ! หยุดทำไม? ไป!”


เฉินเกอแบกผู้หญิงคนนั้นขึ้นหลังและหันกลับไปหาเด็กชายโดยไม่สนใจคำสั่งของเด็กคนนั้น เขามองไม่เห็น มือของเฉินเกอแตะไปทั่ว ๆ หน้าต่างรถและเข้าใจสถานการณ์ของเด็กได้คร่าว ๆ ร่างกายส่วนล่างของเขานั้นติดอยู่ในหน้าต่างรถ และกระจกที่แตกออกก็แทงทะลุเข้าไปในท้องของเขา ถ้าเฉินเกอดึงเด็กออกมาด้วยกำลัง มันต้องทำให้การบาดเจ็บนั้นย่ำแย่ลงอย่างแน่นอน เฉินเกอพยายามยกรถขึ้น แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีพลังเหนือมนุษย์ให้ทำอย่างนั้นได้


“แค่ทิ้งผมเอาไว้ พาเธอไป!” บางทีอาจจะเพราะความเจ็บหรือบางทีอาจจะเพราะอย่างอื่น แต่ว่าเด็กกรีดร้องสุดเสียง และในที่สุดเฉินเกอก็ได้ยินแววน้ำตาในเสียงของเขา


“ถ้าฉันทิ้งเธอเอาไว้และแม่ของเธอรอดชีวิตไป เธอก็จะอยู่อย่างรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอ” เฉินเกอไม่สามารถห้ามความต้องการพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาไว้ได้ ตอนที่เขาพูดอย่างนั้น รอบด้านจู่ ๆ ก็เงียบลงมาก แต่ไม่ช้า ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ


“ตัวผมติดอยู่ และผมออกไปไม่ได้ คุณไปเถอะ หรือไม่อย่างนั้นทุกคนก็จะตาย!”


หลังจากแน่ใจแล้วว่าคำพูดของเขานั้นไม่ส่งผลต่อโลกนี้ เฉินเกอก็กล้ามากขึ้น “ฉันมีความคิดที่อาจจะช่วยเธอได้ แต่มันจะเจ็บหน่อย และฉันก็รับรองไม่ได้ว่าเธอจะรอดไปได้”


“คือยังไง?” ตราบใดที่มีความเป็นไปได้ คนส่วนใหญ่ย่อมต้องพยายามดู


“กระดูกสะโพกของเธอติดอยู่ในหน้าต่างรถที่ผิดรูป ฉันจะพยายามดึงเธอออกมา แต่ทำอย่างนั้น ร่างกายส่วนล่างของเธอน่าจะพิการแน่นอน และบาดแผลบนร่างของเธอก็อาจจะเลวร้ายลง” นั่นเป็นสถานการณ์ที่เฉินเกอประเมินจากการใช้มือคลำ และมันก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เห็นว่าความจริงแล้วมันเลวร้ายแค่ไหนเขาจึงกล้าเสนอความคิดเสี่ยง ๆ นี้ “เหมือนที่เธอพูด อยู่ที่นี่จะตายกันหมด แต่ถ้าทำอย่างนี้ก็เป็นโอกาสให้รอดชีวิตได้อยู่”


“แต่ว่าถ้าผมตายไประหว่างที่ดึงตัวผมออกไปล่ะ คุณก็จะกลายเป็นฆาตกรที่พรากชีวิตผมนะ?” เด็กชายจู่ ๆ ก็ถามออกมา


ถ้านี่เป็นชีวิตจริง บางทีเฉินเกออาจจะลังเล แต่ในสถานที่ประหลาดเช่นนี้ เขาไม่ตระหนกเลยสักนิด “หากมันเพิ่มโอกาสที่เธอจะรอดชีวิตได้แม้แค่เปอร์เซ็นต์เดียว ฉันก็ไม่ห่วงเรื่องที่จะถูกโลกนี้เข้าใจผิด”


เขาโน้มตัวลงกับพื้นแล้ววางเท้ายันกับหน้าต่างรถที่บู้บี้ขณะโอบร่างกายท่อนบนของเด็กชายเอาไว้ด้วยสองมือ “มันจะเจ็บ แต่ถ้าพวกเรารอดชีวิตไปจากเรื่องนี้ได้ อย่างนั้นก็มีชีวิตใหม่รอเราอยู่”


เขาเริ่มออกแรง และร่างกายของเด็กชายก็ถูกดึงออกมาช้า ๆ เสียงกระดูกแตกนั้นหลอนอยู่ในหูเฉินเกอ นอกจากนั้นแล้ว ผิวหนังของเด็กชายยังฉีกออก เลือดไหลออกมา แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดเฉินเกอจากการพยายามช่วยชีวิตต่อ


เขาใช้แรงทั้งหมดและในที่สุดก็ดึงเด็กชายออกมาจากหน้าต่างรถที่พังยับได้


“ดี พวกเราทำได้แล้ว! เธอเป็นอย่างไรบ้าง?” ไม่มีใครตอบเฉินเกอ และอุโมงค์จู่ ๆ ก็กลายเป็นรกร้างกว่าเดิม เฉินเกอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขากำลังรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง– บางทีสัตว์ประหลาดที่ด้านหลังคงไล่ตามพวกเขาทันแล้ว


กระทั่งในเวลาอย่างนี้ เฉินเกอยังไม่ลืมผู้หญิงที่บนพื้นและเด็กชายที่ข้างตัว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่มีใครเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์


“บางอย่างกำลังมาแล้ว ระวังด้วย” เฉินเกอเหวี่ยงผู้หญิงคนนั้นขึ้นหลังแล้วอุ้มเด็กชายขึ้นจากพื้น แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เด็กชายในอ้อมแขนของเขานั้นหนักกว่าผู้หญิงที่บนหลังเขา– ทั้งสองคนนั้นไม่ได้หนักเท่า ๆ กันด้วยซ้ำ


แต่ว่า มันไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องพวกนี้ และเขาก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ ไปข้างหน้า เฉินเกอมองไม่เห็นถนน และไม่นานเขาก็สะดุดแล้วล้มลง เขาไม่ได้พูดหรือว่าสบถเลยสักคำ เขารีบลุกขึ้น อุ้มเด็กและผู้หญิงคนนั้น แล้ววิ่งต่อ


เขาสะดุดและล้ม ได้รับแผลถลอกหลายจุดเมื่อกระแทกเข้ากับผนังและพื้น หลังจากหกคะเมนไปกี่ครั้งก็ไม่รู้ ตอนที่เฉินเกอลุกขึ้นและจะอุ้มเด็กชายขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีเสียงอื่นดังขึ้น


“นี่คุณโง่หรือเปล่าเนี่ย?” เสียงนั่นคล้ายกับเสียงเด็กที่เขาเคยได้ยิน แต่ว่ามันไม่เจ็บปวดแล้ว แต่กลับมีความเย็นชาและความอาฆาตแค้นอย่างประหลาด เฉินเกอไม่ตอบ เขาต้องการไปต่อและอุ้มเด็กชายขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าเขากลับคว้าได้แต่อากาศ


“บนโลกนี้ก็มีคนแบบนี้อยู่ด้วยสินะ” เสียงนั่นดังต่อ แต่คราวนี้ มันดังมาจากด้านบนเฉินเกอ เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าควรทำอะไรแล้ว มีคนแตะบ่าเขาเบา ๆ และแขนที่เย็นเฉียบเสียดกระดูกคู่หนึ่งก็โอบรอบคอเขาและคลายผ้าปิดตาออก


เฉินเกอลืมตา หันกลับไปมองและพบว่าผู้หญิงที่ในอุโมงค์ยืนอยู่ด้านหลังเขา แต่ต่างไปจากครั้งก่อน เธอน่ารักขึ้นกว่าเดิม– อย่างน้อยที่สุด กะโหลกของเธอก็ไม่ได้แตก และองคาพยพบนใบหน้าของเธอก็อยู่ในที่ที่มันควรอยู่


“คุณเองเหรอ?” เฉินเกอยิ้มออกมาแล้วกำลังจะพูดบางอย่างตอนที่เขาตกอยู่ภายใต้เงาของแมงมุมตัวใหญ่ มองขึ้นไปแล้วรอยยิ้มของเฉินเกอก็แข็งทื่ออยู่บนหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะพบผีมามากมาย แต่ตอนนี้เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ถึงความกลัวขดรอบตัวใจของเขา


ที่เหนือตัวเฉินเกอนั้นเป็นแมงมุมสีแดงตัวหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยวิญญาณและผีร้ายมากมายนับไม่ถ้วนห้อยหัวอยู่ สีแดงบนตัวแมงมุมนั้นสดกว่าสีแดงบนชุดของผู้หญิงเสียอีก มันเหมือนกับว่าเลือดกำลังไหวเวียนไปทั่วร่างของมัน และมันก็หยดลงมาช้า ๆ


“ทำไมคุณถึงหยุดพูดล่ะ?” เสียงดังมาจากหัวของแมงมุม จากเสียงนั้น เฉินเกอถึงได้เห็นว่าหัวของแมงมุมนั้นถูกแทนที่ด้วยหัวของเด็กชายคนหนึ่ง เขามีเพียงร่างกายท่อนบนเหลืออยู่ และร่างกายท่องล่างของเขานั้นติดอยู่กับแมงมุมยักษ์ ขาของเขานั้นเกาะอยู่กับผนัง เด็กชายห้อยโหนอยู่บนเพดาน มองมาที่เฉินเกอด้วยสายตาดุร้ายและเกลียดชัง


“เดี๋ยวก่อนนะ งั้นที่ฉันอุ้มอยู่ก่อนหน้านี้ก็คือเธอ?” ประโยคแรกจากปากเฉินเกอกระแทกเข้าใส่เด็กชาย อันที่จริง เขาเองก็ไม่คิดว่าเฉินเกอจะเลือกแบกเขาวิ่งหนี ทั้งผีทั้งคนต่างรู้สึกไม่ดีนักหลังจากปริศนาถูกเฉลย


“เอาเถอะ มันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจทีเดียว” เฉินเกอพยายามหาข้ออ้างให้กับพฤติกรรมของตัวเอง เขาไม่รอให้เด็กชายตอบ เขารีบเปลี่ยนเรื่อง “อันที่จริงฉันมาที่นี่ก็เพื่อคุยบางอย่างกับแม่ของเธอ ฉันไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันรู้ว่าหัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและฉันก็ไม่ได้คิดจะบอกให้เธอปล่อยมันไป แต่ฉันแค่อยากจะบอกว่าถ้าเธอมีความฝันใด ฉันสามารถช่วยเธอเติมเต็มมันได้ ต่อให้มันเป็นแก้แค้นก็ตาม”


สิ่งที่เฉินเกอพูดนั้นต่างไปจากที่เด็กชายคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง เขาไม่คิดว่าจะมีใครสามารถพูดอะไรอย่างนี้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรดีจึงเลือกที่จะเงียบ


“ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร แต่เธอบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าทำไมอุโมงค์ถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้?” เฉินเกอถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจเขา อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวหยุดได้กระทั่งเงานั่น ดังนั้นน่าจะมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ที่นี่


เด็กชายอ้าปาก แต่บางทีเขาอาจจะคิดว่าไม่ควรเปิดเผยอดีตของตนโดยง่าย ดังนั้นจึงปิดปากลงไปอีกครั้ง แต่ว่า ด้วยการโน้มน้าวจากผู้หญิงและความจริงที่ว่าเขาไม่มีอะไรจะเสีย เด็กชายจึงอธิบายให้เฉินเกอฟังคร่าว ๆ เรื่องที่ผ่านมา


เขาเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น และหลังจากที่แม่ของเขาหย่ากับพ่อของเขาหลายปีก่อน เธอก็ขับรถพาลูกของเธอกลับไปยังบ้านแม่ ตอนที่พวกเขาผ่านอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว พวกเขาประสบอุบัติเหตุทางรถ อันที่จริงเป็นเหตุการณ์รถชนครั้งใหญ่ และมีรถคันหนึ่งน้ำมันรั่ว


มันไม่ชัดนักว่ารถคันไหนเริ่มเกิดไฟไหม้ก่อน แต่ไฟลามไปยังรถที่น้ำมันรั่ว คนที่ในอุโมงค์เริ่มวิ่งหนี ตอนนั้น เด็กชายติดอยู่ที่หน้าต่างรถ และผู้หญิงก็ได้รับบาดเจ็บ เธอคลานออกจากซากรถได้ แต่เธอก็อ่อนแรงเกินกว่าจะช่วยลูกของเธอได้เมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากคนอื่น


เธอร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบ ๆ วิ่งตามรถที่ผ่านไปมาขอให้พวกเขาหยุดรถ ถ้ามีใครสักคนยินดีช่วยเธอ พวกเขาก็น่าจะช่วยเด็กชายเอาไว้ได้ แต่ว่า ภายใต้สภาพที่ชีวิตของพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายไปด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครยินดีช่วยเหลือ


สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงที่สามารถหนีออกไปได้ก็ไม่ได้จากไป แต่เลือกที่จะกลับอยู่ข้าง ๆ ลูกของเธอ ปลอบเขา อยู่กับเขาจนไฟลามมาถึงรถที่น้ำมันรั่ว


ตั้งแต่นั้นมา ความสงบสุขก็หายไปจากอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว


คนขับรถหลายคนเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงยืนอยู่ในอุโมงค์โบกให้เขาหยุดรถ บางคนมองเห็นสัตว์ประหลาดปะติดปะต่อสิ่งต่าง ๆ เข้ากับร่างกายของมัน…

 

 

 


ตอนที่ 612

 

ช่างทอฝัน?

ผู้หญิงคนนั้นโบกให้คนขับหยุดรถเพื่อหาคนมาช่วยลูกของเธอ ถ้าคนขับรถหยุดเพื่อช่วยเธอ เธอก็จะเข้าไปในรถแล้วตามพวกเขาไปจนกระทั่งพวกเขาไปถึงจุดที่ลูกชายของเธอตาย ขณะที่คนที่ไม่หยุดรถและจากไปทั้งอย่างนั้น เธอก็จะทิ้งบางอย่างที่พิเศษเอาไว้ในรถของพวกเขา เทียบกับเด็กชายที่เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว เธอยังนับว่ามีเมตตา


ด้วยร่างกายของเขาที่ติดอยู่ และดวงตาของเขามองเห็นความตายที่คืบคลานเข้ามาช้า ๆ ร่างกายเล็ก ๆ นั้นถูกไฟกลืนกินไปทีละน้อย และความเจ็บปวดที่ติดตรึงอยู่ในใจของเขา มันเป็นสิ่งที่เขาลืมไม่ลง ดวงตากระจ่างของเขานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและคั่งแค้น เปลวไฟเต้นยิบอยู่บนผิวของเขา ลามไปทั่วทุกตารางนิ้วบนร่างของเขา ค่อย ๆ เปลี่ยนเขาไปเป็นสิ่งอื่นอย่างช้า ๆ


ความเกลียดชังทำให้เขามืดบอด ทำให้เขาทำลายทุกอย่างที่มองเห็น ใช้ร่างกายของคนพวกนั้นเติมเต็มความหวาดหวั่นระแวงของเขา หากคนที่เข้ามาในอุโมงค์พบเจอกับผู้หญิงคนนี้ ถ้าพวกเขามีเมตตาพอ อย่างมากก็เพียงแค่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ รถอาจจะพังเสียหาย แต่ส่วนมากแล้วพวกเขาก็หนีออกมาได้โดยยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า หากเจอเข้ากับเด็กชาย ปลายทางเดียวก็คือความตาย


วิญญาณร้ายที่สุดแล้วก็คือวิญญาณร้าย ความแค้นถักทอเป็นม่านบดบังตาพวกเขา ปิดกั้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขา และกลายมาเป็นเหตุผลในการดำรงอยู่ของพวกเขา เฉินเกอฟังเรื่องราวของผู้หญิงและลูกของเธออย่างมีน้ำอดน้ำทน นี่เป็นโศกนาฏกรรมหนึ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นสีเทา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างคนบาปและนักบุญ ในฐานะคนผ่านมาคนหนึ่ง เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรับฟังเท่านั้น


เมื่อไม่มีใครหยุดเพื่อช่วยและลูกชายของเธอก็ติดอยู่ในรถ คนเป็นแม่ก็เลือกที่จะกลับมาอยู่กับลูกของเธอ รอคอยความตาย จากมุมมองของเฉินเกอ เด็กคนนี้เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง– ความแค้นของเขานั้นเหนือกว่าแม่ของเขามากนักเพราะความละอายและโทษตัวเอง บางทีเขาอาจจะคิดอยู่โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นเขาที่ทำให้แม่ของเขาต้องตาย แม่ของเขาคงจะไม่ตายหากไม่เพราะเขา เขาต้องการวิธีการระบายอารมณ์เช่นนี้ออกไป และนั่นก็เปลี่ยนเขาให้ตกลงไปในนรกลึกขึ้น


มีเงาร่างใหญ่โตของแมงมุมปีนป่ายอยู่ด้านบน มันก็คงเป็นการโกหกแล้วหากจะบอกว่าเฉินเกอไม่รู้สึกเศร้า แต่ว่า หลังจากเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว อย่างน้อยที่สุด เขาก็สามารถเข้าใจผู้หญิงที่ในอุโมงค์และลูกชายของเธอที่เปลี่ยนไปเป็นแมงมุมยักษ์ได้ดีขึ้น


“งั้น พวกคุณก็ทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง” น้ำเสียงของเฉินเกอนั้นราบเรียบ ไม่มีร่องรอยของความสงสาร– อย่างมากที่สุดก็เป็นความเศร้าเล็กน้อยเท่านั้น


“เจ็บปวด? ผมคงพูดอย่างนั้นไม่ได้ ตอนแรก มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่ไม่สบายนัก แต่ในที่สุดแล้ว ผมก็ตกหลุมรักความรู้สึกอย่างนั้น ทุกเส้นประสาทถูกมีดลับจนคม เห็นเลือดไหลพรูออกมาจากรอยมีดมากมาย จากนั้นก็แบ่งปันความสุขนี้กับคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมชอบสีหน้าของพวกเขาเพราะว่าผมรู้ว่าพวกเขาก็ชื่นชอบผมเหมือนกัน” ร่างกายท่อนบนของเด็กชายเติบโตอยู่บนร่างใหญ่มหึมาของแมงมุม และเขาก็มีรอยยิ้ม ‘ไร้เดียงสา’ อยู่บนหน้า


“ฉันเข้าใจ และอันที่จริง ฉันก็ชื่นชมเธอนะ” สีหน้าของเฉินเกอเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ และร่องรอยของความไม่สบายใจบนใบหน้าของเขาก็หายไป ในด้านการใจเย็นอยู่ได้ในขณะเผชิญหน้ากับเรื่องกดดันขนาดนี้ ในจิ่วเจียงไม่มีใครเก่งกาจไปกว่าเฉินเกอแล้ว


“คุณชื่นชมผม? ขอโทษทีนะ แต่ว่านั่นมีแต่จะทำให้หนังหัวผมชาหนึบ ดังนั้นได้โปรดระวังคำพูดและการกระทำของคุณด้วย อย่าเข้ามาใกล้ผมเกินไป คุณทำให้ผมรู้สึกไม่ดี” เด็กชายปฏิเสธความตั้งใจดีของเฉินเกอ เขาต้องการกลับออกไปแล้ว “กลับไปที่ที่คุณมา แม่ของผมจะอยู่กับผมเท่านั้น และเธอก็จะไม่ไปไหน”


สัตว์ประหลาดพูดด้วยอารมณ์ร้ายกาจของเด็ก ขัดกับร่างกายน่ากลัวของเขา มันช่างเป็นประสบการณ์อันประหลาดจริง ๆ


“ในเมื่อเธอยืนยันจะให้แม่ของเธออยู่กับเธอ ฉันก็คงไม่บีบบังคับอะไรหรอก แต่เพราะอย่างนั้น เธอช่วยฉันตอบคำถามง่าย ๆ สักสองสามข้อได้ไหม?” เฉินเกอพูดต่อโดยไม่รอคำตอบรับ “ทำไมจู่ ๆ ถึงมีทางแยกอยู่ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวล่ะ? อุโมงค์ที่ฉันเห็นตอนลืมตากับอุโมงค์ที่ฉันสัมผัสได้ตอนที่หลับตามันต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำไมเป็นอย่างนั้น? หลังจากหลับตา ฉันได้ยินเสียงคน เสียงแตรรถ และมือของฉันยังจับเจอโครงรถได้ แต่ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงได้หายไปหลังจากฉันลืมตา?”


“คุณมีคำถามเยอะแยะเลยนะ” เด็กชายหมดความอดทน รยางค์หนา ๆ ของเขาเริ่มคืบคลานไปบนผนัง แต่ละการเคลื่อนไหวเกิดเสียงแสกสาก


“ฉันก็แค่อยากรู้”


“ที่นี่มีอุโมงค์สายเดียว ก่อนหน้านี้ ผมดึงคุณเข้าไปในความฝันของผม”


คำตอบของเด็กชายทำให้เฉินเกอประหลาดใจ “ความฝันของเธอ?”


“มันอธิบายยาก ไม่มีใครเคยถามผมอย่างนี้มาก่อน ดังนั้นสำหรับตอนนี้ ก็ใช้คำว่าความฝันมาอธิบายมันแล้วกัน มันเป็นคำที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุดแล้ว” เด็กชายมองมายังเฉินเกอและเขาก็ดูรำคาญ ถ้าไม่เพราะว่าเฉินเกอทำทุกอย่างได้ถูกต้องในการทดสอบของเขา เขาก็คงไล่เฉินเกอไปแล้ว


“ความฝันนั้นอยู่แต่ในใจของแต่ละคน และร่างกายยังอยู่แต่สิ่งที่ฉันเจอก่อนหน้านี้มันต่างไปจากความฝันโดยสิ้นเชิง ฉันไม่เห็น แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจริง นิ้วของฉันสัมผัสมันได้ และหูของฉันก็ยังได้ยิน” เฉินเกอไม่เชื่อว่าเด็กชายจะสามารถถักทอความฝันได้ และยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถดึงคนเข้าไปในความฝันที่ถักทอขึ้นนั้น


“ทำไมคุณถึงมีคำถามมากมายไม่จบไม่สิ้น?” จิตสังหารของเด็กชายเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเห็นว่าเฉินเกอดื้อดึงเพียงไหน แต่เขาก็สามารถข่มมันเอาไว้ได้ “ผมบอกคุณแล้วไง ความฝันนั้นเป็นเพียงแค่ตั้งชื่อให้ ถ้าคุณต้องการ คุณก็สามารถมองว่ามันเป็นพลังในรูปแบบหนึ่งก็ได้ ตราบใดที่พวกเราอยู่ในอุโมงค์นี้ ผมก็สามารถลากทุกอย่างเข้ามาในความฝันของผมได้”


“มันจำกัดด้วยสถานที่ด้วยเหรอ? พลังนี่สามารถใช้ได้แค่ในอุโมงค์นี้เหรอ?” เฉินเกอพูดจุดอ่อนของเด็กชายออกมาต่อหน้า เขาเริ่มก้มหน้าลงคิดไม่สนใจสีหน้าของเด็กชายซึ่งเปลี่ยนเป็นสีเทา


เด็กชายนั้นต่างไปจากวิญญาณสีเลือดทั่วไป เทียบกับวิญญาณสีเลือดแล้ว เขาเหมือนสัตว์ประหลาดมากกว่า ความแตกต่างระหว่างร่างกายท่อนบนและท่อนล่างของเขานั้นดึงดูดความสนใจของเฉินเกอ เมื่อคิดกลับไปถึงก่อนหน้านี้ โลกที่เขาได้สัมผัส เด็กชายที่ติดอยู่ในรถโดยมีร่างกายท่อนบนโผล่ออกมาด้านนอกและท่อนล่างติดอยู่ด้านใน หลังจากเขาเปลี่ยนไปเป็นผีแล้ว ร่างกายท่อนบนของเขาก็ยังคงอยู่ แต่ว่าท่อนล่างนั้นหายไป


ร่างกายท่อนล่างของเขาหายไปไหน? เฉินเกอชะงัก และจากนั้นจู่ ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่าง ในฉากระดับสามดาวทุกฉากที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ จะมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน– มีประตู! แล้ว ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนี่ ประตูอยู่ที่ไหน?


นี่เป็นอุโมงค์สายหนึ่ง และผู้สร้างก็คงไม่ได้สร้างประตูเอาไว้ที่กลางถนนโดยไม่มีเหตุผลใช่ไหม?


มีแค่เมื่อคนผู้หนึ่งจมอยู่กับความสิ้นหวังอย่างที่สุดพวกเขาจึงจะสามารถเปิด ‘ประตู’ ได้ เด็กชายใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของตนเองติดอยู่กับหน้าต่างรถ ร่างของเขาถูกหน้าต่างที่ผิดรูปบดขยี้


ดวงตาเฉินเกอเป็นประกายวาบขึ้น ‘ประตู’ ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวน่าจะเป็นประตูรถแล้ว!


แต่นั่นก็นำไปซึ่งปัญหาอื่นอีก รถที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้นั้นถูกตำรวจนำไปนานแล้ว ดังนั้น ‘ประตู’ ที่ในอุโมงค์จะยังอยู่ได้อย่างไร?


ด้วยสายตาสงสัย เฉินเกอหันไปมองร่างกายที่ไม่เป็นสัดส่วนกันอย่างไม่น่าเชื่อของเด็กชาย


เป็นไปได้ไหมว่าประตูเติบโตอยู่บนร่างของเขา?


เฉินเกอนั้นตกใจกับความคิดนี้ที่ปรากฏขึ้นในใจเขา ถ้าเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นวิญญาณสีเลือดที่ตรงหน้าเขานั้นก็เป็นสิ่งที่พิเศษเหนือธรรมดา


ประตูสีเลือดที่เคลื่อนที่ได้…..


ถูกเฉินเกอจับจ้อง คิ้วเล็ก ๆ ของเด็กชายก็ขมวดเข้าหากัน เพราะอะไรไม่รู้ เขารู้สึกว่าในดวงตาของเฉินเกอนั้น เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาดน่ากลัวแต่ว่าเป็นงานศิลปะหายากชิ้นหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 613

 

ประตูติดอยู่ในร่าง

“คุณมองอะไรน่ะ?” รยางค์หนาขยับชี้มาทางเฉินเกอแล้วหยุดตรงหน้าเขา เด็กชายดูเหมือนจะไม่ชอบที่ถูกมองเหมือนเป็นอะไรสักอย่างที่น่าอัศจรรย์


“ฉันขอโทษที ฉันเสียมารยาทแล้ว” เฉินเกอดึงสายตากลับจากส่วนที่เป็นท้องของเด็กชายที่เชื่อมกับร่างกายของแมงมุม ต่อให้ ‘ประตู’ ของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นอยู่บนร่างของเด็กชายจริง เขาก็คงไม่บอกเฉินเกอหรอก ต่อให้จ้องมองไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้น เฉินเกอจึงจบหัวข้อนี้อย่างรวดเร็ว “ถ้าเธอไม่อยากพูดเรื่องนั้น งั้นพวกเราก็พูดเรื่องอื่นกัน”


จู่ ๆ เฉินเกอก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “นี่เป็นคำถามสุดท้ายของฉันและมันก็เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของพวกเราทั้งหมด ดังนั้นฉันหวังว่าเธอจะไม่ปิดบังอะไรจากฉันเกี่ยวกับคำถามนี้”


“ว่าไปสิ” เด็กชายดึงรยางค์น่ากลัวของตัวเองกลับ


“ตอนเที่ยงคืนเมื่อหลายวันก่อน เธอเห็นเงาหนึ่งเข้ามาในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวไหม?”


การพูดถึงเงานั่นทำให้สีหน้าของเด็กชายเปลี่ยนไปทันที “คุณมาที่นี่เพราะเขาเหรอ?”


“ดูเหมือนเธอจะรู้บางอย่าง” เฉินเกอตื่นเต้น ในที่สุดเขาก็มีใครบางคนที่บอกเขาเกี่ยวกับเงานั่นได้ อุณหภูมิในอุโมงค์จู่ ๆ ก็ลดลง และสายลมเย็น ๆ ก็พัดออกมาจากส่วนที่ลึกเข้าไปในอุโมงค์ ทั้งเด็กชายและแม่ของเขาต่างก็ไม่พูด พวกเขาเงียบไปนาน จนกระทั่งเด็กชายกระโดดลงมาจากผนัง รยางค์แข็งแรงของเขาพยุงร่างใหญ่โตของเขาเอาไว้ เด็กชายมองลงมาที่เฉินเกอ


สัตว์ประหลาดตัวนี้ตัวใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ และพอเขายืนอย่างนี้ ก็ทำให้เฉินเกอกดดันมาก


“กลับบ้านไปซะ ยิ่งคุณรู้เยอะ คุณก็ยิ่งจมลงไปในห้วงความสิ้นหวัง” ตอนที่เด็กชายพูดอย่างนั้น เสียงของเขาก็สั่นเล็กน้อย


“เธอกลัวเหรอ?”


“ไม่ได้กลัว!” จู่ ๆ เด็กชายก็สูญเสียการควบคุมอารมณ์และเขาก็ยกรยางค์หน้าขึ้นปัดไปที่หน้าอกของเฉินเกอ ใบหน้ามนุษย์บนรยางค์นั่นกรีดร้องโหยหวนแต่ก็หยุดลงในวินาทีสุดท้าย


“พวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน ดังนั้นฉันสามารถช่วยเธอได้ไม่ว่าเธอจะต้องการให้ฉันทำอะไร” เฉินเกอมองรยางค์ที่ตรงหน้าเขาและลดแขนลงช้า ๆ ถ้าเด็กชายต้องการทำร้ายเขา เขาก็คงปลิวไปแล้ว


หลังจากนั้นเป็นนาน เด็กชายก็ถอยจากเฉินเกอช้า ๆ แล้วลดตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกับเฉินเกอ “ผู้ชายคนนั้นบ้าไปแล้ว นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่ถ้ำมังกรขาว”


“เขาเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้? หลายปีก่อนใช่ไหม?” เฉินเกอคิดกลับไปถึง ‘ความทรงจำ’ ประหลาดที่เขาเห็นในอุโมงค์นี้ เกี่ยวกับที่ตัวเขาสมัยเด็กถูกฆ่า


“คุณรู้ไหมว่าทำไมแม่ผมกับผมถึงดึงดันจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ไม่ยอมก้าวเท้าออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว?” ความไม่แน่ใจกวาดผ่านใบหน้าของเด็กชาย


“เป็นเพราะเงานั่น? เขาต้องการทำร้ายเธอ?”


“ใครจะรู้ล่ะ? เงานั่นมาที่นี่ทุกปี และทุกครั้ง เขาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งก่อนหน้า ผมได้แต่ทำให้เขาถอยกลับไปทุกครั้ง” เด็กชายไม่รู้สึกถึงอันตรายอะไรจากเฉินเกอ แต่เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดจากเงาของชายคนนั้น “ผมเกลียดเงานั่น”


“ฉันเจอเงานั่นเมื่อไม่นานมานี้ และแค่อาทิตย์เดียว เขาก็แข็งแกร่งขึ้นอีก ฉันไม่รู้เลยว่าเขาทำอย่างนั้นได้ยังไง” บางทีข้อมูลที่เฉินเกอบอกอาจจะทำให้พวกเขาไม่สบายใจมากขึ้น หลังจากมองสบตากับแม่ของเขาแล้ว เด็กชายก็บอกเฉินเกอ “ผมบอกคุณทุกอย่างที่ผมรู้ก็ได้ แต่คุณต้องสัญญากับผมอย่างหนึ่ง”


“ไม่มีปัญหา” เฉินเกอให้สัญญาโดยไม่ถามว่าสัญญานั่นคืออะไร นิสัยง่าย ๆ ของเขาทำให้เด็กชายรู้สึกไม่ดี


“ผมต้องการให้คุณคล้องใยแมงมุมนี่เอาไว้รอบคอคุณ” รยางค์หนึ่งจากร่างแมงมุมยื่นออกมาแล้วช่องว่างหนึ่งก็ค่อย ๆ เปิดตรงที่ลำตัวของเด็กชายติดอยู่กับร่างแมงมุม กลิ่นเลือดรุนแรงลอยเต็มอากาศ และเลือดก็หยดลงมาจากร่างของเขา เมื่อช่องว่างใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของเด็กชายก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้น เขายื่นมือไปที่ช่องว่างนั้น และมันก็ดูเหมือนเขากำลังเอื้อมมือเข้าไปในท้องของตัวเอง


“บอกตัวเลือกของคุณมา” เด็กชายดึงมือของเขาเพื่อดึงเอาใยแมงมุมสีแดงหลายเส้นออกจากช่องว่างนั่น พวกมันพันเข้าหากันและเมื่อเด็กชายดึงมัน มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นห่วงสีแดงเส้นบาง


ไม่มีความกลัวอยู่ในดวงตาของเฉินเกอขณะที่เขามองไปยังใยแมงมุมชุ่มเลือด คำตอบของเขายังเหมือนเดิม “ไม่มีปัญหา”


เฉินเกอก้าวเท้าเข้าไปที่ด้านข้างเด็กชายอย่างไม่ลังเล


ความเฉยเมยของเขาทำให้เด็กชายเริ่มสงสัย เขามองเฉินเกออย่างละเอียด และครู่หนึ่ง เขาก็คิดว่าชายหนุ่มที่ดูใจดีตรงหน้าเขานี้คงซ่อนปิศาจที่เต็มไปด้วยความอยากทำลายล้างเอาไว้ลึกในใจตัวเอง


เข้าไปใกล้ ๆ เด็กชายแล้วในที่สุดเฉินเกอก็มีโอกาสได้มองช่องว่างบนร่างของเด็กชาย


เลือดสด ใยแมงมุมที่ดูเหมือนหลอดเลือด กลิ่นเลือดรุนแรง– ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เข้ากันได้กับการเป็น ‘ประตูสีเลือด’


เฉินเกอรับใยแมงมุมเอาไว้ด้วยสองมือ เขายิ้มให้เด็กชาย เขาเรียกชื่อจางหยาอยู่ข้างใน ต้องการให้จางหยาดูว่าใยแมงมุมนี้จะเป็นอันตรายต่อเขาหรือไม่ แต่ว่าจางหยาไม่ตอบ


ใยแมงมุมเข้าใกล้คอของเฉินเกอช้า ๆ มันสายเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว ในตอนนี้ใยแมงมุมกำลังจะพันรอบคอของเขานั้น ผู้หญิงในอุโมงค์ก็ก้าวเข้ามาแล้วผลักใยแมงมุมนั่นไปทางอื่น บางทีเฉินเกอคงจะมอบความประทับใจดี ๆ ให้เธอตอนครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกัน ดังนั้นครั้งนี้ เธอจึงช่วยเขา


“คุณไม่กลัวจริง ๆ น่ะเหรอ?” ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นของเด็กชาย จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ “ตามผมมา ผมรู้เรื่องเงานั่นหลายอย่าง บางทีพวกเราอาจจะร่วมมือกันได้ในครั้งนี้”


เฉินเกอไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เด็กชายถึงเปลี่ยนใจ เขาตามเด็กชายไป และบางอย่างก็ปัดผ่านศีรษะเขาไป เขาเงยหน้าขึ้นมอง และดวงตาของเฉินเกอก็กระตุก ที่กลางอุโมงค์ ที่บนเพดานมืด ๆ นั่นมี ‘ร่าง’ แขวนเอาไว้มากมาย


คอของพวกเขาล้วนถูกใยแมงมุมรัดพันเอาไว้ และพวกเขาก็ถูกแขวนห้อยลงมาจากเพดานเหมือนเหยื่อแขวนคอ


“ถ้าคุณพันใยแมงมุมนั่นรอบคอของคุณ ปลายทางเดียวของคุณก็คือความตาย ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่จู่ ๆ ก็ตัดสินใจเข้ามาขวาง แต่ว่าผมเคารพการตัดสินใจของเธอ” หัวใจของเด็กชายนั้นจมอยู่ในความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยว สิ่งเดียวที่หยุดเขาได้ในโลกนี้ก็คือแม่ของเขา


เด็กชายคลานไปตามผนัง– ‘ป่าซากศพ’ นี้เป็นที่ที่เขาอาศัยอยู่ตามปกติ “ผมเจอเงานั่นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้น เขายังไม่ทรงพลังเหมือนที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ เขาเป็นแค่เด็กที่อายุมากกว่าผมแค่เล็กน้อยเท่านั้น


“ผมไม่รู้ว่าเขามาจากที่ไหนหรือว่าถือกำเนิดขึ้นจากอะไร ผมรู้แค่ว่าเขากำลังมองหาเด็กมากมาย และถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาต้องเอาเด็กเหล่านั้นไปป้อนให้กับบางอย่างที่เรียกว่า ผีทารก


“เขาบอกผมว่าเขาต้องการสร้างประตูที่เมืองหลี่ว่าน ตอนแรก ผมไม่รู้เลยว่าเขาหมายถึงอะไร แต่หลังจากนั้น ผมเข้าใจแล้วว่าประตูที่เขาพูดถึงคือสิ่งนี้”


เด็กชายขยับร่าง เลือดสาดกระจายออกมา ช่องโพรงใหญ่เปิดออกระหว่างร่างแมงมุมและลำตัวของร่างมนุษย์ของเขา ความกดดันที่แทบจะมองเห็นได้ด้วยตา “ผมมีประตูที่บิดเบี้ยว และประตูนั่นก็ติดอยู่ในตัวผม มันเป็นสิ่งที่ผมเปิดออกทีละนิดตอนที่ไฟเริ่มลุกลาม”

 

 

 


ตอนที่ 614

 

มากับฉัน

มีเพียงเมื่อคนผู้หนึ่งสิ้นหวังอย่างที่สุด จนปัญญาอย่างที่สุด ที่จะสามารถเปิด ‘ประตู’ ได้ ตอนที่ไฟลามมานั้น เด็กชายถูกกักเอาไว้ในหน้าต่างรถที่ผิดรูปไป และสิ่งที่เขาเห็นก็คือแม่ที่ได้รับบาดเจ็บของเขาและคนอื่น ๆ ที่วิ่งออกห่างพวกเขาไป


ไฟเผาร่างของเขา เนื้อและเลือดของเขาหลอมเข้ากับประตูรถ ในที่สุดเขาก็เปิดประตูที่เขาติดอยู่ในนั้นออกได้ ร่างกายท่อนล่างของเขานั้นถูกทิ้งเอาไว้ในรถ แต่ร่างกายท่อนบนของเขานั้นไหม้ติดอยู่กับประตูรถ


เฉินเกอคิดไม่ออกเลยว่านั้นจะเป็นความเจ็บปวดแบบใดกัน ดังนั้นไม่ว่าเด็กชายจะทำอะไรลงไปบ้าง เฉินเกอก็ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่จะตัดสินเด็กคนนี้ได้ ไม่มีใครเกิดมาเป็นสัตว์ประหลาด ต่อให้พวกมันดูต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป แต่หัวใจของมันก็ยังทำมาจากเลือดและเนื้อ


ไต่อยู่ระหว่างป่าร่างมนุษย์ ช่องว่างบนร่างของเด็กชายก็ค่อย ๆ ลดขนาดลง


“เงานั่นต้องการสร้างประตูในเมืองหลี่ว่านเพื่อปล่อยบางอย่างจากด้านหลังประตูออกมา ก่อนที่เขาจะมาพบผม ชายเสียสติคนนั้นเคยทำการทดลองมากมายเพื่อพิสูจน์ธรรมชาติของมนุษย์และผลักดันผู้บริสุทธิ์จนแตกสลาย จากนั้นเขาก็ใช้คนเหล่านั้นเปิดประตู แต่จนกระทั่งพวกเขาตายไป ก็ยังไม่มีใครสามารถเปิดประตูได้ แผนการของเขาล้มเหลว จนกระทั่งในที่สุดเขาก็หันมาเพ่งเล็งผมแทน เขาอยากจะจับตัวผมไปแล้วขังผมเอาไว้ในเมืองหลี่ว่านเพื่อช่วยให้แผนการของเขาสำเร็จ”


เสียงของเด็กชายต่ำลง “แน่นอนว่า ผมไม่เห็นด้วย และผมก็ยังต้องการฆ่าเขาด้วย”


นี่เป็นนิสัยอันเหี้ยมโหด เขาจะฆ่าใครก็ตามที่กล้ามุ่งเป้ามาที่เขา


“แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอก็ล้มเหลว” เฉินเกอทำลายแผนการเด็กชายไปอย่างง่าย เขากำลังบอกเด็กชายว่าสิ่งต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว และเงานั่นก็คือศัตรูร่วมของพวกเขา


“คุณพูดถูก เขาฆ่าได้ยากมาก” หลังจากพูดอย่างนั้น เด็กชายก็มองพิจารณาเฉินเกอ “เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ตราบใดที่ผมอาศัยอยู่ในอุโมงค์นี้ ผมก็สามารถปกป้องตัวเองและแม่ของผมได้”


เลือดซึมออกมาจากลำตัวของเด็กชาย “ผมสามารถลากทุกอย่างที่เข้ามาในอุโมงค์เข้าไปในประตู และที่นั่น ผมก็สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ที่นอกอุโมงค์นั่น”


พลังของผู้ผลักประตูนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่าเมื่ออยู่ในประตู ดังนั้น ความสามารถในการดึงคนเข้าไปในประตูของเขานั้นย่อมมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อหากใช้ให้ถูกวิธี


“งั้น เธอก็คิดจะดึงฉันเข้าไปในประตูของเธอสินะ ก่อนหน้านี้?”


“ใช่ ที่นั่นนั้นเป็นฝันร้ายที่ผมถักทอขึ้นมา เวลาหยุดนิ่งอยู่ที่วันนั้น แต่มันก็มีจุดอ่อนของพลังนี้– มันสามารถใช้ได้แค่ในอุโมงค์นี้เท่านั้น เมื่อผมออกจากอุโมงค์ไป ประตูก็เปิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” ช่องว่างที่ตรงลำตัวของเด็กชายนั้นเหมือนปากปากหนึ่ง และมันก็ดูน่ากลัว “บางครั้ง ผมก็สงสัย ว่าผมเป็นคนเปิดประตูหรือว่าที่ผมเป็นอยู่ก็คือประตู?”


สถานการณ์ของเด็กชายนั้นค่อนข้างพิเศษมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเจอกับอะไรอย่างนี้เช่นกัน


“เธอเคยสู้กับเงานั่นมาก่อน เธอสังเกตเห็นจุดอ่อนของมันบ้างไหม?”


“ถ้าผมรู้เรื่องนั้น คุณคิดว่าผมจะยังมาคุยอยู่กับคุณที่นี่ไหมล่ะ?” รยางค์ของเขาสั่นอย่างกระวนกระวายและเด็กชายก็ดูค่อนข้างบ้าคลั่ง “ชายเสียสติคนนั้นแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่เขามาที่นี่ ผมพยายามหลายวิธี แต่ก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้ จากนั้นผมก็วางแผนจะกักเขาเอาไว้ในโลกที่ด้านหลังประตู แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็พบรูปแบบของอุโมงค์ที่ด้านหลังประตูและเกือบจะหนีออกมาได้เอง…”


เด็กชายกระแอมเพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่าบังเอิญเผยออกไปว่าอุโมงค์ที่ด้านหลังประตูนั้นมีแบบแผน


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” เฉินเกอทำเป็นไม่ได้ยินและกระตุ้นให้เขาพูดต่อ


“เขาล้มเหลว แต่ว่าผมก็ไม่สามารถใช้กลเม็ดเดิมได้อีกครั้งหน้า” เด็กชายเอนตัวไปด้านข้างเผยให้เห็นรอยแผลใหญ่บนร่างแมงมุม “ผมเพิ่งสู้กับเขาเมื่อไม่นานมากนี้ เขาดูสิ้นหวังอย่างประหลาด เหมือนหมาบ้า”


“หลังจากสู้กันแล้วเขาไปที่ไหน?” เฉินเกออยากจะรู้ว่าเงานั่นกลับไปสิงร่างของเจียหมิงไหมหลังจากออกจากอุโมงค์ไป


“ผมจะไปรู้ได้ยังไง?” เด็กชายเริ่มเลี่ยงคำถาม เมื่อเป็นการสอบถามจากเฉินเกอ ในที่สุดเขาก็เผยสามอย่างออกไป ตอนที่เงานั่นมาที่นี่ รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไป เด็กชายสงสัยว่าเงาจะมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและขนาดตัว มีเงาของเด็กคนหนึ่งซ่อนอยู่ด้านในเงานั่น– ไม่ว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบไหน เงาของเด็กนั้นไม่เคยเปลี่ยน อย่างสุดท้ายก็คือสิ่งที่เด็กชายเองก็ไม่แน่ใจ เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนอันคล้ายคลึงกับเฉินเกอในเงานั่น และนั่นเป็นเหตุผลให้เขาต้องการฆ่าเฉินเกอก่อนหน้านี้


เขาจำทั้งสามจุดเอาไว้ แล้วหลังจากแน่ใจว่าคงไม่ได้ข้อมูลอะไรจากเด็กชายแล้ว เฉินเกอก็หันไปหาคนผู้หญิง


“ทำอะไรน่ะ?” ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เด็กชายก็ไต่ผ่าน ‘ป่า’ มายืนอยู่ระหว่างเฉินเกอและแม่ของเขา


“หลังจากเธอออกไปจากอุโมงค์ เธอก็ไม่สามารถเปิดประตูในร่างของเธอได้ และพลังของเธอก็จะลดลงมาก ดังนั้นฉันจึงอยากจะขอให้แม่ของเธอไปช่วยฉันสู้กับเงานั่น อย่างไรเสีย ยิ่งมีกันมากคน ก็ยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้น”


เฉินเกอพูดอย่างเป็นธรรมชาติจนเด็กชายรู้สึกอึ้ง “ปล่อยคุณไปและยังบอกคุณตั้งหลายอย่างนี่ก็เป็นขีดจำกัดความใจดีของผมแล้ว แต่คุณก็ยังต้องการพาแม่ของผมไปกับคุณอีก?”


“ถ้าพวกเราจัดการกับเงานั่นไม่ได้ ตอนที่เขากลับมาที่อุโมงค์นี่ ทั้งเธอและแม่ของเธอก็จะตาย” เฉินเกอพูดอย่างธรรมดา จิตใจของเด็กชายนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและมุ่งร้าย ดังนั้นการโน้มน้าวธรรมดาที่เฉินเกอใช้กับผีอื่น ๆ คงไม่ได้ผล ดังนั้น เฉินเกอจึงเปลี่ยนมุมมองและตัดสินใจที่จะพูดออกไปตามตรงมากกว่า– บอกความจริงแก่เด็กชาย


“ฉันจะไม่บังคับให้เธอต้องเลือก แต่ฉันหวังว่าเธอจะลองคิดอย่างจริงจังถึงสถานการณ์ตอนนี้ของเธอกับแม่ของเธอ” ในน้ำเสียงของเฉินเกอนั้นมีความเจ็บปวด และเขาก็ยังเน้นย้ำถึงความเจ็บปวดของพวกเขาทั้งคู่ “ฉันเชื่อว่าเธอก็ไม่อยากตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างที่สุดเช่นนั้นอีกครั้งใช่ไหม?”


“เป็นไปไม่ได้ เธอจะตายถ้าเธอออกจากอุโมงค์นี้ พวกเราจะตายกันทั้งหมด” รยางค์หนึ่งกรีดปาดศพที่แขวนอยู่บนเพดานไป วิญญาณหลงผิดที่เจ็บปวดร้องโหยหวนแต่ว่าวิญญาณของพวกเขาก็ยังคงถูกรัดพันเอาไว้ในใยแมงมุม– พวกเขาหนีไม่ได้ เด็กชายนั้นน่ากลัวได้หากเขาต้องการ


“แทนที่จะรอความตาย ฉันยังคิดว่ามันจะดีกว่าที่จะกุมชะตาของตัวเองเอาไว้ในมือ” เฉินเกอเดินผ่านเด็กชายไปหาผู้หญิง “ลูกของคุณต้องการปกป้องคุณ และคุณก็ต้องการปกป้องลูกของคุณ ไม่มีใครในพวกคุณสามารถทนรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียได้อีกครั้ง ผมเข้าใจเรื่องนั้น ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร ผมก็จะยอมรับมัน”


ศพที่ห้อยอยู่แกว่งไกวไปมาขณะที่พวกเขากรีดร้องอย่างเจ็บปวด มันดำเนินอยู่หลายนาทีจนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เฉินเกอและเดินไปหาลูกของเธอ


เหมือนแม่ที่รักลูกคนหนึ่ง เธอเอื้อมมือออกไปกอดศีรษะของเด็กชายไว้ ดวงตาของเด็กชายที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจู่ ๆ ก็อ่อนโยนลงและรยางค์ใหญ่โตของเขาก็หดเข้าหากัน เลือดเริ่มหยุดไหลออกจากรอยแผลน่ากลัวบนร่างแมงมุม


เธอกระซิบบางอย่างเข้าไปในหูของเด็กชายก่อนที่จะปล่อยมือแล้วเดินออกจากอุโมงค์


เฉินเกอไม่ได้อยากรู้เพราะเขาบอกแล้วว่าเขาจะยอมรับการตัดสินใจของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สีหน้าของเฉินเกอในที่สุดก็อ่อนลงหลังจากตามผู้หญิงคนนั้นไปทัน


ฉากระดับสามดาวน่าจะสำเร็จหลังจากนำแม่ของปิศาจที่แข็งแกร่งที่สุดไปกับฉัน แต่อัตราความสำเร็จน่าจะต่ำมาก ฉันอาจจะกลับมาอีกทีถ้ามีโอกาสเพื่อให้แม่และลูกได้พบกันอีกครั้ง สำหรับตอนนี้ ฉันต้องตั้งใจจัดการกับเงานั่นก่อน

 

 

 


ตอนที่ 615

 

เตรียมงานให้พร้อม

รถแท็กซี่จอดอยู่ที่ทางเข้าอุโมงค์ และสมาธิของเฉินเกอนั้นก็นิ่งอยู่ขณะที่เขาตรวจดูหน้าหนึ่งของหนังสือการ์ตูน หลังจากนั้นเป็นนาน ก็มีการเคลื่อนไหวจากตำแหน่งที่นั่งคนขับรถ ดังนั้นเฉินเกอจึงดึงประตูรถเปิดออกเบา ๆ “ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว”


เขาตบหน้าคนขับเบา ๆ จากนั้นก็ปิดปากเขาเอาไว้ เขาเดาว่าสิ่งแรกที่คนขับรถจะทำหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือกรีดร้องดังนั้นจึงระวังไว้ก่อน ดวงตาของคนขับเบิกโพลงและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว


“ใจเย็นก่อน และฟังผม” หลังจากคุยกับเด็กชายแมงมุมแล้ว เฉินเกอก็ไม่ได้กลับออกไปทันที เพื่อให้แน่ใจว่าภารกิจสมบูรณ์ เขาใช้เวลาอยู่ในอุโมงค์จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากสำรวจอยู่หนึ่งคืน เฉินเกอก็พบอะไรหลายอย่าง


ดวงวิญญาณมากมายที่ตายจากอุบัติเหตุนั้นปักหลักอาศัยอยู่ในอุโมงค์ ที่นี่นั้นอันตรายเท่า ๆ กับที่ห้องเก็บศพใต้ดิน แต่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เงานั่นมา มันก็จะจัดการชำระล้างที่นี่อย่างหมดจด นำเอาวิญญาณเหล่านี้ที่ขวางทางมันไปหรืออาจจะกินลงไป เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผีในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวก็ลดลง และเพราะอย่างนั้น เฉินเกอจึงได้ประโยชน์จากเรื่องนี้


พวกเขายังเจอผีมากมายมุ่งหน้ามาทางอุโมงค์ตอนที่พวกเขามาถึงเพราะว่านั่นคือเด็กชายวางเหยื่อล่อให้พวกเขามา เด็กชายนั้นได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเงานั่นและวิธีที่เร็วที่สุดที่จะฟื้นฟูตัวเองก็คือการกิน


หลังจากพูดคุยกันแล้ว เฉินเกอก็รู้ว่าเด็กชายยังปิดบังพลังพิเศษเอาไว้ และพลังนั่นก็ดูจะเกี่ยวข้องกับร่างใหญ่โตของแมงมุม เฉินเกอไม่ได้พูดคุยกับเด็กชายมากนัก และเมื่อถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้วางแผนจะนำเอาเด็กชายกลับไปที่บ้านผีสิงของเขา หลังจากเปิด ‘ประตู’ ในกองไฟ เด็กชายก็บิดเบี้ยวไปโดยสิ้นเชิง


เขาเกลียดทุกอย่างยกเว้นแค่แม่ของเขา เห็นแก่ตัว เกลียดชัง โกรธแค้น– อารมณ์ด้านลบทั้งหมดของมนุษย์ล้วนพบได้ในตัวเด็กชาย ดังนั้น พูดอีกอย่างหนึ่งแล้ว เด็กชายนั้นอันตรายกว่าที่เห็นภายนอก


เฉินเกอดึงความคิดกลับมาและหันกลับไปหาคนขับรถที่กำลังตื่นตระหนก และเสียงของเขาก็อ่อนโยน “พวกเราดูเหมือนว่าจะเจอผีเข้าแล้วคืนนี้”


เฉินเกอปล่อยมือช้า ๆ เขาวางกระเป๋าลงที่ที่นั่งผู้โดยสารและพูดอย่างใจเย็น “พวกเราค่อยคุยกันบนถนน แต่ตอนนี้ ออกจากสถานที่ผีสิงนี่กันก่อน”


คนขับรถรีบสตาร์ทเครื่องและเลี้ยวกลับออกมาที่ถนน “เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้? ผมจำได้ว่ามีผู้โดยสารแปลก ๆ สามคน ไม่ เดี๋ยวก่อน สองคน อยู่ในรถ และจากนั้นพวกเราก็ถูกพาเข้าไปในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว มีคนมากมายทุบไปทั่วหน้าต่างรถ และยังมีรอยมือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด รถพัง และโทรศัพท์ก็ใช้การไม่ได้”


ตอนที่เขาพูด คนขับรถก็ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ เฉินเกอรีบพยายามสงบอารมณ์ของเขา “ผมคิดว่าคุณถูกผีสิง ผมขึ้นรถคุณมาจากจิ่วเจียงตะวันตก และผมก็ต้องการไปหาเพื่อนที่จิ่วเจียงตะวันออก แต่ระหว่างทาง ตอนที่พวกเราผ่านตึกร้างเก่า ๆ ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ คุณก็หยุดแล้วลดกระจกลงแล้วพูดกับอากาศ จากนั้นคุณยังเปิดประตูรถ คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวแค่ไหน”


“คุณไม่เห็นใครเลยเหรอ?” ใบหน้าคนขับรถซีดขาว


“ไม่มีใครเลย ผมเห็นแค่คุณพูดกับอากาศ จากนั้นก็เกิดบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าขึ้น หลังจากขับไปอีกครู่หนึ่ง จู่ ๆ คุณก็เหยียบเบรก ร้องออกมาว่าเกือบจะชนคนเข้า ผมรีบหันไปดู แต่บนถนนก็ไม่มีใคร จากนั้น คุณไม่ได้ถามผมด้วยซ้ำ คุณเปิดประตูหลังแล้วก็เริ่มวุ่นวายไปทั่วอีกครั้ง เฉินเกออธิบายกับคนขับรถเหมือนเขาเป็นฝ่ายผิด “จากนั้น ตอนที่ผมกำลังว่าคิดคงไม่มีอะไรแปลกไปกว่านี้แล้ว หลังจากคุณพูดคนเดียวจบ คุณก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว ผมพยายามแล้วแต่หยุดคุณไม่ได้”


“ผมคิดว่าผมจำเรื่องนั้นได้” คนขับรถสูดลมหายใจเย็น ๆ เขารู้สึกเหมือนแขนขาจะแข็งชาไป “นี่ผมถูกสิงจริง ๆ เหรอ? บนโลกนี้มีผีจริง ๆ เหรอ?”


“นั่น ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไง คุณก็ทำให้ผมกลัวที่สุดในชีวิตแล้วคืนนี้” เฉินเกอกอดกระเป๋าที่มีกลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยออกมาเอาไว้และดูน่าสงสารมาก


“พวกเราน่าจะเจอผีกันจริง ๆ นั่นแหละ” คนขับรถมองกระจกรถที่สะอาดมาก– ไม่มีรอยฝ่ามือสีเลือดให้เห็นเลย เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นเฉินเกอและพนักงานทั้งหมดของเขาที่ทำความสะอาดรถของเขาอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง หัวใจของเขาสั่นสะท้าน และคนขับรถก็คอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ว่า เขาก็หุบปากเงียบ และเขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากขับออกมาจากจิ่วเจียงตะวันออก


ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างเรือง คนขับรถส่งเฉินเกอลงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่


“ส่งผมที่นี่แหละ นี่หนึ่งร้อย ไม่ต้องทอน” เฉินเกอนั้นกำลังจะหันหลังกลับแล้วตอนที่คนขับรถคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ “มีอะไร?”


“พี่ชาย คุณแน่ใจนะว่าคืนนี้คุณไม่เห็นอะไรเลย?” คนขับรถมองไปรอบ ๆ รถของตัวเอง “ได้โปรด ตอบผมตามตรง ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถขับรถคันนี้ได้อีกแล้ว ผมคอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในนี้”


“ไม่ต้องห่วง รถของคุณตอนนี้สะอาดมาก และในอนาคต ก็เลิกขับไปยังจิ่วเจียงตะวันออก” เฉินเกอพูดขณะคว้ากระเป๋าของตัวเองมุ่งหน้าไปยังสวนสนุก


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เมื่อคืนนี้? โอ้ ใช่แล้ว ฉันสามารถกลับไปตรวจดูที่กล้องในรถ… เดี๋ยวก่อนนะ ใครถอดมันออกไป? ถ้าเป็นผี อย่างนั้นก็เป็นผีไฮเทคแล้ว!”



กลับไปที่สวนสนุก เฉินเกอก็เข้าไปในห้องพักพนักงานและดึงเอาโทรศัพท์เครื่องดำออกมา ขณะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น เขาก็ได้รับข้อความแจ้งภารกิจสำเร็จ


“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ทำภารกิจระดับสามดาวสำเร็จ


“ปลดล็อกฉากใหม่ ที่ปลายอุโมงค์


“ที่ปลายอุโมงค์: มีอะไรอยู่ที่ปลายอุโมงค์?


“อัตราความสำเร็จของภารกิจ: 20%


“รางวัลลับยังไม่ปลดล็อก”


อัตราความสำเร็จต่ำ สูงกว่าอัตราความสำเร็จที่หมู่บ้านโลงศพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เฉินเกอกำลังนั่งอยู่บนเตียงคิดกับตัวเอง ในเมื่ออัตราความสำเร็จนั้นแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดูเหมือนว่าเด็กชายในอุโมงค์ยังปิดบังบางอย่างที่สำคัญมากเอาไว้จากฉัน เขาน่าจะโกหกฉันเมื่อคืนนี้ แต่มันก็ยากที่จะบอกว่าสิ่งที่เขาโกหกคืออะไร


เด็กชายนั้นมีความเกลียดชังเต็มหัวใจ ดังนั้น มันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เชื่อเฉินเกอ หากไม่ใช่เพราะแม่ของเขา เด็กชายก็คงเอาเฉินเกอแขวนคอไปแล้ว


ดูเหมือนว่าเขาจะต้องได้รับบทเรียนอย่างแท้จริงสักครั้ง


เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ เขาลงไปที่ชั้นใต้ดินและพบฉากที่เพิ่งปลดล็อกใหม่อยู่ข้าง ๆ สระผีแฝดใต้น้ำ


มันเป็นอุโมงค์ที่มองไม่เห็นปลายทาง เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่ามันจะนำไปที่ใด และแค่ยืนอยู่ที่ทางเข้า เฉินเกอก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นเสียดกระดูกที่แผ่ออกมา


เด็กชายเปิดประตูที่ในร่างของเขาได้เฉพาะที่ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว ฉันอยากรู้ว่าเขาจะทำแบบนั้นได้ไหมหากเขาอยู่ในนี้ที่บ้านผีสิงจำลองมันออกมา


เด็กชายนั้นพิเศษเพราะว่าเขาครอบครองประตูที่เคลื่อนที่ได้ เฉินเกอประเมินค่าเขาไว้สูงเพราะว่าเขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เด็กชายน่าจะมีบทบาทสำคัญ


หลังจากปิดทางเข้าแล้ว เฉินเกอก็กลับออกไป เขาวางแผนจะจัดการกับฉากใหม่ ๆ เหล่านี้ ผสานให้มันกลายเป็นฉากระดับสี่ดาวจำลองหลังจากทำฉากระดับสามดาวครึ่งในเมืองหลี่ว่านสำเร็จ


เขามีแนวคิดอยู่ในใจแล้ว


ตอนที่ฉากใหญ่นี้ถูกสร้างขึ้น บ้านผีสิงของฉันก็จะมีชื่อเสียงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง


ตั้งแต่ตั้งใจรับมือกับเงานั่น มันก็นานแล้วที่เฉินเกอไม่ได้เห็นสีหน้ามีความสุขบนหน้าของผู้เข้าชมของเขา


พยากรณ์อากาศบอกว่าคืนนี้จะมีฝนตก หลักจากพระอาทิตย์ตกแล้ว ฉันจะไปสำรวจที่รอบ ๆ เมืองหลี่ว่านดูเผื่อว่าฉันจะเจอกับผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงคนนั้น

 

 

 


ตอนที่ 616

 

ฝนตกหนัก! ฝนตกหนักมาก!

ตอนแปดโมงเช้า เฉินเกอที่เพิ่งนอนหลับไปได้เพียงสองชั่วโมงก็เดินออกมาจากบ้านผีสิง ท้องฟ้าขมุกขมัวเป็นลางบอกสภาพอากาศที่จะแปรปรวน แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความกระตือรือร้นของเหล่าผู้เข้าชมลงไป สวนสนุกยังไม่ทันเปิดทำการ แต่ก็มีฝูงชนมารออยู่แล้ว


“ไม่ว่าเครื่องเล่นจะดีแค่ไหน หลังจากเล่นซ้ำ ๆ หลายหนเข้า ในที่สุดผู้เข้าชมก็จะหมดความสนใจไป ฉันต้องคอยปลดล็อกฉากใหม่ ๆ หรือคิดวิธีการเล่นใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนรสชาติประสบการณ์” บ้านผีสิงนั้นเป็นรากฐานของเฉินเกอ เขาตัดสินใจที่จะเลื่อนระดับมันให้ดีเมื่อจัดการกับเงานั่นแล้ว


“บอส คุณกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ?” เสี่ยวกู่วิ่งเหยาะมาจากประตูในชุดกางเกงวอร์ม “พวกเราน่าจะมีผู้เข้าชมไม่มากวันนี้เพราะว่าฝนกำลังจะตกแล้ว”


“อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อฝนเริ่มตก ผู้เข้าชมก็จะถูกบีบให้ต้องไปหลบอยู่ในเครื่องเล่นในร่มในเมื่อเครื่องเล่นด้านนอกไม่สามารถให้บริการได้ บางที ผู้เข้าชมหลายคนที่ปกติไม่ได้ให้ความสนใจในบ้านผีสิงก็จะมีโอกาสได้ลองเล่นดู” เฉินเกอนำเสี่ยวกู่เข้าไปในห้องแต่งตัว “หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง อย่าได้เฉื่อยชาในหน้าที่ ไปทำงาน”


“ครับ บอส” เสี่ยวกู่นั้นเป็นพนักงานที่มีคุณภาพ เขาภักดีและทำงานโดยไม่ปริปากบ่น เฉินเกอวางแผนจะขึ้นเงินเดือนให้เขาในเดือนถัดไป บ้านผีสิงคงไม่สามารถประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้โดยไม่มีพนักงาน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เฉินเกอจะรู้สึกว่าควรจะแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับพวกเขา


“หลังจากฉากใหม่ปลดล็อกแล้ว พนักงานสองคนก็จะไม่เพียงพออีกต่อไป ฉันควรจะพยายามคัดเลือกพนักงานมากขึ้นระหว่างภารกิจนี้”


สวนสนุกเปิดตอนเก้าโมงเช้าและวันยุ่ง ๆ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น คราวนี้ เฉินเกอไม่ได้แอบไปนอนในห้องพักพนักงาน เขาเรียกไป๋ชิวหลิน เหล่าโจว และต้วนเยว่ออกมา และยังให้พวกเขาเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าที่ไม่เผยหน้าตาของพวกเขา เฉินเกอนำพวกเขาผ่านฉากต่าง ๆ เข้าไปก่อนเหล่าผู้เข้าชม


เขาอธิบายจุดประสงค์ของทุกห้องในบ้านผีสิงและมอบตำแหน่งพนักงานของบ้านผีสิงให้พวกเขาทั้งสามคนอย่างเป็นทางการ เขายังสอนทั้งสามหลายอย่างเกี่ยวกับการดำเนินการและจัดการธุรกิจนี้


“ต่อไป ฉันคงจะต้องให้พวกคุณทั้งสามช่วยฉันดูแลฉากใต้ดิน ฉันจะให้ซู่อินและเอี๋ยนต้าเหนียนคอยช่วยพวกคุณด้วย”


ฉากใต้ดินนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเฉินเกอย่อมไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้คนเดียวแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาต้องเพิ่มระดับการตระหนักในเรื่องความปลอดภัยของ ‘พนักงาน’ ของเขา


“อีกเดี๋ยว ฉันต้องการให้พวกคุณถ่ายทอดสิ่งที่ผมสอนวันนี้ให้กับพวกนักเรียนในหุ่นและเหล่าศาสตราจารย์กับอาจารย์ในห้องเก็บศพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เตือนเหล่าศาสตราจารย์ด้วยว่าอย่าจงใจลงมือกับนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์”


เฉินเกอนั้นไม่รู้ถึงต้นเหตุความขัดแย้งของเหล่าศาสตราจารย์กับนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง พวกเขานั้นปกติแล้วจะอยู่เงียบ ๆ และวางตัวดี น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าผู้เข้าชม แต่เมื่อนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์เข้ามา พวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด


และเฉินเกอก็ต้องงุนงง อธิการบดีจากวิทยาลัยนั้นดูเหมือนจะมองเรื่องนี้เป็นความท้าทาย เขายังสนับสนุนให้นักศึกษาของเขามาที่ฉากห้องเก็บศพในบ้านผีสิงเพื่อฝึกความกล้าเมื่อมีเวลา เฉินเกอนั้นไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป เมื่อเขาเห็นเหล่านักศึกษาที่ถูก ‘อาจารย์’ ของตัวเองหลอกให้กลัวจนเสียจริต เขาก็ยังรู้สึกสงสาร


“ตอนที่ฉันไปดูที่เมืองหลี่ว่านคืนนี้ ฉันน่าจะพาศาสตราจารย์เหล่านี้ไปกับฉันด้วย ฉันมีความรู้สึกว่าคนเหล่านี้นั้นยังไม่ได้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ และมันก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาวที่ให้พวกเขาใช้เวลาไปกับการหลอกเด็กนักศึกษาที่ในฉากห้องเก็บศพใต้ดิน”


หลังจากสั่งการเหล่าโจวและคนอื่นที่เหลือคร่าว ๆ เฉินเกอก็ให้พวกเขาเข้าไปในฉาก


เหล่าผู้เข้าชมที่เข้ามาที่บ้านผีสิงวันนี้ล้วนประสบกับเหตุการณ์ประหลาด มีคนสวมชุดแปลก ๆ เหล่านี้ และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้เข้าชมหรือว่าเป็นพนักงาน พวกเขายืนอยู่บนโพเดียมในห้องเรียนอธิบายบทเรียนเกี่ยวกับการจัดการให้กับหุ่นในห้องเรียน ตัวอักษรมากมายปรากฏขึ้นบนกระดานดำ บอกวิธีการพูดคุยกับคนในกลุ่มคน และวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มันเหมือนภาพที่มักจะเกิดขึ้นในการสัมมนาทางการตลาดในหลาย ๆ ระดับ


เฉินเกอ ที่แอบอยู่ตรงมุม จับตามองกลุ่มของเหล่าโจวอยู่ และก็เห็นแล้วว่าพวกเขานั้นยอดเยี่ยมกันจริง ๆ และจะกลายเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของบ้านผีสิงได้ในอนาคต


“พวกเขาสามคนและเอี๋ยนต้าเหนียนนั้นเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม พวกเขารู้จักกันดี และแต่ละคนยังมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตนเอง จุดอ่อนเดียวก็คือพวกเขาขาดพลัง แต่ว่า เมื่อไป๋ชิวหลินพัฒนาขึ้นกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือดสักตนหนึ่ง จุดอ่อนนั้นก็จะหายไป ทีมสี่คนนี้สามารถช่วยฉันดูแลฉากหลาย ๆ ฉากได้”


เฉินเกอพอใจมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ในใจเพราะว่าผู้ที่น่าจะเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้จัดการของบ้านผีสิงน่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ผู้ชราของโรงเรียนมัธยมมู่หยาง


“บางที ฉันอาจจะกลับไปดูที่นั่นสักครั้งหากมีเวลา” เฉินเกอเดินออกจากที่จอดรถใต้ดิน เขาเข้าไปในห้องพักพนักงานแล้วอุ้มเจ้าแมวออกมาจากที่นอน เปิดลิ้นชักที่ล็อกเอาไว้และดึงเอากระดาษโน้ตที่เขาเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา เขาตรวจดูเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหมดที่เขาเจอที่ในจิ่วเจียงตะวันออก


หลังจากตรวจดูเสร็จ เฉินเกอก็ใช้ไฟจากไฟแช็กเผากระดาษเหล่านั้นทิ้ง ผู้ชายหนึ่งคนและเจ้าแมวหนึ่งตัวมองเถ้าที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ แต่พวกเขากำลังคิดถึงอย่างอื่นที่ต่างกัน


“ฟ้ามืดแล้ว คืนนี้น่าจะมีฝนตกหนัก”



บ่ายสาม เมฆบนฟ้าลอยต่ำ เพื่อความปลอดภัย เครื่องเล่นกลางแจ้งส่วนใหญ่นั้นปิดให้บริการลง และผู้เข้าชมมากมายจึงมุ่งหน้ามายังบ้านผีสิง ห้าโมงเย็น ฝนเริ่มโปรยปรายลงจากฟ้า และมันก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ลุงซูและพนักงานส่วนสนุกมอบร่มให้แก่เหล่าผู้เข้าชมที่ต้องการใช้อย่างมีน้ำใจและเป็นห่วง เห็นว่าฝนน่าจะตกหนักขึ้นอีก สวนสนุกจึงตัดสินใจปิดให้บริการตอนห้าโมงครึ่ง


“ฝนกำลังตก ทำไมพวกเธอสองคนไม่กลับบ้านก่อนล่ะ?” หลังจากส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายกลับออกไปแล้ว เฉินเกอก็ให้ซูว่านและเสี่ยวกู่เลิกงาน ขณะที่เขารั้งอยู่เพื่อทำความสะอาดให้เสร็จ


หนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ามืดลงอีก เฉินเกอมองไปยังท้องฟ้าสลัวที่ด้านนอกบ้านผีสิงและเขาก็พิจารณาอย่างเงียบ ๆ


“เป็นสภาพอากาศที่ยอดเยี่ยมมาก” เฉินเกอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่สะอาด ๆ คว้ากระเป๋าสะพายแล้ววิ่งลงไปที่ลานจอดรถใต้ดิน เขาเก็บผีทั้งหมดที่เก็บได้เข้าไปในหนังสือการ์ตูน รวมทั้งหมดอาวุโส เว่ยจิวฉินด้วย


“คุณไม่จำเป็นต้องออกมาด้านนอก อยู่ในห้องหนังสือไปก่อน ผมจะพาคุณไปกับผมด้วยเพราะว่าคุณเป็นหมอที่ดีและผมก็หวังว่ากรรมดีของคุณจะช่วยพาให้ผมโชคดีในคืนนี้”


เฉินเกอกลับไปที่ห้องพักพนักงานและหาถุงใบหนึ่งออกมา เขาเทอาหารแมวลงไปในนั้นเล็กน้อย


“ฉันจะออกไปทำเรื่องใหญ่บางอย่างที่ข้างนอกคืนนี้ แกจะไปด้วยไหม?” เฉินเกอคุกเข่าลงข้าง ๆ เจ้าแมวขาว เจ้าแมวที่งุนงงเอียงหัวมองไปยังถุงอาหารและมันก็รู้สึกว่าภาพนี้ช่างคุ้นเคยอย่างประหลาด ก่อนที่มันจะทันได้ขัดขืน เฉินเกอก็ยัดมันกับเสี่ยวเซียวเข้าไปในกระเป๋า


“อย่างไรเสีย เจ้าแมวตัวนี้ก็กินเลือดในหลอดของสมาคมเข้าไป มันต้องมีความสามารถบ้างแหละ” เฉินเกอรูดซิปปิดไว้ครึ่ง ๆ แล้วลูบ ๆ เจ้าแมวที่โผล่หัวออกมา


เฉินเกอออกจากห้องแล้วออกจากบ้านผีสิงผ่านประตูด้านหลัง เขาไปหยุดอยู่ข้าง ๆ รถเมล์ ตั้งแต่ที่เขาได้ยานพาหนะคันนี้มา มันก็จอดเอาไว้ใกล้ ๆ กับประตูด้านหลังของบ้านผีสิง


ลุงซูถามถึงมันกับเขาก่อนแล้ว และเฉินเกอก็บอกว่าเขาเอามันมาจากตลาดขายของเก่าและวางแผนจะเปลี่ยนมันเป็นฉากใหม่ เฉินเกอเรียกคนขับรถ ถังจวิน ออกมาจากหนังสือการ์ตูนแล้วส่งกุญแจให้ “คืนนี้ พวกเราจะออกไปซิ่งกัน”

 

 

 


ตอนที่ 617

 

ยินดีต้อนรับ ท่านผู้โดยสาร

ถังจวินผู้ใสซื่อเปิดประตูรถเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับและรู้สึกเหมือนทุกอย่างช่างเหนือจริง “ผมไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาทำอาชีพเก่าเร็วถึงขนาดนี้”


“นั่นเป็นที่คุณทำได้ดีที่สุด แต่ว่าผมก็จะไม่บังคับให้คุณทำอะไรที่คุณไม่ชอบ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ดังนั้นหากคุณมีข้อเรียกร้องอะไร ก็บอกออกมาได้” เฉินเกอวางกระเป๋าใบหนักเอาไว้ที่แถวสุดท้าย “อากาศคืนนี้ไม่เลวเลย ฝนจะตกหนักมากซึ่งเหมาะกับการออกไปข้างนอกที่สุด”


“พวกเราจะออกไปที่ไหนกันคืนนี้?” ถังจวินนั้นยังคงสงสัยในตัวเฉินเกอด้วยเหตุอะไรสักอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้


“เมืองหลี่ว่าน แค่ขับไปตามทางที่คุณคุ้นเคย”


“พวกเราจะไปที่นั่นเหรอ?” พอเขาได้ยินคำว่า ‘เมืองหลี่ว่าน’ ความรู้สึกเลวร้ายก็พลุ่งขึ้นในหัวใจของถังจวิน “บอส ที่นั่นอันตรายจริง ๆ นะ ผมไม่ได้สงสัยในความสามารถของคุณ แต่ผมแค่คิดว่ามันไม่มีเหตุผลให้พวกเราต้องไปล่วงเกินพวกเขา”


“ผมไม่ได้จะทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินใคร” ถังจวินนั้นเกือบจะถอนหายใจโล่งอกแล้วตอนที่เฉินเกอพูดเสริม “ผมวางแผนจะล้างบางเมืองหลี่ว่านตั้งแต่สูงสุดจรดต่ำสุดเพื่อช่วยชีวิตผู้ที่ต้องช่วยและค้นหาความจริง”


ในเมื่อเฉินเกอพูดเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรให้ถังจวินพูดอีกแล้ว พวกเขาอยู่กันคนละคลื่นความถี่


“ยังพอมีเวลาให้คุณถอนตัวนะ พวกเราจะออกเดินทางตอนห้าทุ่ม” ถนนสาย 104 นั้นยาวมาก และมันก็เชื่อมระหว่างจิ่วเจียงตะวันออกและตะวันตก ถ้าพวกเขาออกตอนห้าทุ่มแล้วไม่เสียเวลากับอะไร พวกเขาก็จะไปถึงเมืองหลี่ว่านหลังเที่ยงคืน


“ผมไม่หนี คุณสบประมาทผมเกินไปแล้ว” ขาของถังจวินสั่นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ และมือของเขาก็กำพวงมาลัยแน่นเกินไปสักนิด ฝนยังเทลงมา และมันก็มืดสนิทที่ด้านนอกรถเมล์


พอห้าทุ่ม รถเมล์ผุ ๆ คันนี้ก็ออกจากสวนสนุกนิวเซนจูรี่และหายลับไปในม่านฝนอย่างช้า ๆ


“คุณขับอย่างนี้เป็นปกติเหรอ?”


“ครับ”


“คุณเคยถูกตำรวจจราจรเรียกไหม?”


“ไม่ เงานั่นทำบางอย่างกับรถคันนี้ คุณมองว่ามันเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งคนตายและคนที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังก็ได้” ถังจวินตอบคำถามเฉินเกออย่างจริงจังขณะบังคับรถเมล์ และไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงที่ป้ายรถเมล์แรก


ป้ายรถเมล์ดูลางเลือนผ่านม่านฝนหนาหนัก ไม่มีใครอยู่ที่นั่น แต่ว่าถังจวินก็ยังคงเลือกที่จะเปิดประตูรถแล้วรอที่ป้ายสามนาที


“ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้โดยสารที่มองเห็นได้รออยู่ที่ป้ายรถเมล์ มันจะดีกว่าถ้าจะรอสามนาที บางทีอาจจะมีผู้โดยสารพิเศษที่เพิ่งมาถึง นั่นคือสิ่งที่เงานั่นบอกผม”


เม็ดฝนปลิวเข้ามาในรถ เฉินเกอ ที่นั่งอยู่ตรงแถวที่สองจับตามองทุกอย่างอยู่เงียบ ๆ มีเรื่องผีมากมายเกี่ยวกับรถคันนี้ในเมืองนี้ แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นอย่างนั้นจริง ๆ? แต่ว่า นี่ก็เรียกได้ว่าสอดคล้องกับเป้าหมายของสมาคมเล่าเรื่องผี


เมื่อฉันเดินไปในความมืด ฉันก็คือเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุดที่เคยมีในเมืองนี้


ถังจวินขับต่อไปเมื่อครบสามนาที หลังจากหยุดอยู่หลายป้าย ในที่สุดเฉินเกอก็เห็นมีคนกำลังรออยู่ที่ป้ายรถเมล์หลังจากที่พวกเขาออกจากจิ่วเจียงตะวันตกมา


“เขากำลังรอรถเมล์อยู่ตอนห้าทุ่ม แน่นอนว่านี่เป็นตัวละครที่น่าสนใจตัวหนึ่ง” รถเมล์ชะลอลงแล้วหยุด คนขับรถไม่พูดอะไรสักคำตอนเปิดประตูรถออก ผู้ชายที่ป้ายเดินตรงมายังรถเมล์


เขาสวมชุดสูทราคาถูก มีกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งออกมา แก้มของเขาเป็นสีแดง และเขาก็พูดไม่ค่อยชัด ทั้งเสื้อและกางเกงเปียกโชก


“คะ… คุณรับบัตรไหม…” เขาดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาและเคาะมันกับจุดหนึ่งบนรถเมล์หลายครั้ง เขากำลังกระวนกระวายเพราะว่าเขายังไม่ได้ยินเสียงสัญญาณว่ามีการตัดเงินจากบัตรของเขา


“ทำไมคุณไม่ขึ้นมาพักก่อนล่ะ? ผมจะจ่ายค่าตั๋วให้คุณเอง” เฉินเกอเดินเข้าไปพยุงขี้เมาที่เกือบจะหล่นลงไปขึ้นมา เขากวาดตามองคนผู้นี้ด้วยดวงตาหยินหยาง ผู้โดยสารคนนี้น่าจะไม่ใช่ ‘ผู้โดยสาร’ ที่เขากำลังรออยู่ “นั่งดี ๆ อย่าขยับไปไหน”


“ขอบคุณนะ ช่วงนี้ผมโชคไม่ดีเลย แต่ว่าคืนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปแล้ว! ผมได้เซ็นต์สัญญาแผนงานใหญ่ ขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายทัน แล้วยังได้รับความช่วยเหลือจากคนใจดีอย่างคุณด้วย ขอบคุณมากนะ!” ขี้เมาพูด เขาโซเซไปยังที่นั่งแถวที่สามแล้วนั่งขวางสองเบาะคนเดียว


“คุณโชคดีจริง ๆ นั่นแหละ” เฉินเกอหันไปมองถังจวิน และฝ่ายหลังก็เข้าใจความหมายของเขา เขาส่ายหน้า เขาไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นผู้โดยสารพิเศษที่เฉินเกอ ‘ต้องการ’ หรือไม่


“พี่ชาย คุณจะไปไหน? ผมจะปลุกคุณเมื่อเราไปถึง”


“ไม่ต้องสนใจผม ผมไม่อยากเป็นภาระให้คุณ! บ้านผมอยู่ป้ายสุดท้าย พอรถเมล์หยุด ก็ได้เวลาที่ผมจะลงแหละ” จากนั้นขี้เมาก็ฟุบไปบนที่นั่ง


“ป้ายสุดท้าย? คุณกำลังจะไปเมืองหลี่ว่าน?” เฉินเกอมองชายคนนั้นอย่างพิจารณาแต่ก็ยังมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติจากตัวเขา


รถเมล์แล่นต่อไปกลางสายฝน หลังจากเข้าสู่จิ่วเจียงตะวันออก รอบด้านก็ร้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด– ไม่มีรถบนถนนให้เห็นแล้ว พวกเขาผ่านป้ายรถเมล์มาอีกหลายป้าย และหนึ่งชั่วโมงให้หลัง เฉินเกอก็เห็นรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งอยู่บนป้ายรถเมล์หนึ่ง


รอบด้านไม่มีใคร แค่รองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งวางเอาไว้ตรงที่สายฝนสาดไม่ถึง เฉินเกอมองไปยังที่นั่งคนขับ ถังจวินดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง– เขาเอาแต่มองไปยังพวงมาลัยรถ


ไม่มีใครขึ้นมาบนรถ และหลังจากสามนาที ประตูก็ปิด ตอนที่ฟางหยวนกำลังดูว่ารองเท้าส้นสูงยังอยู่ที่นั่นไหม จู่ ๆ ถังจวินก็หัวเราะ จากน้ำเสียงของเขา เฉินเกอสังเกตว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นมาวางอยู่ที่นั่งด้านหลังที่นั่งคนขับแล้ว รองเท้าสีแดงเลือดนั้นวางอยู่เคียงกัน– มันเหมือนมีคนกำลังนั่งอยู่ที่ด้านหลังคนขับ


เธอขึ้นมาตอนไหน?


ตรงนั้นยังคงไม่มีใคร มีแค่รองเท้าคู่หนึ่ง เฉินเกอเดินไปแล้วสบตากับถังจวินผ่านกระจกเงา ในกระจก เขาพบว่าถังจวินพยายามยิ้มแม้ว่าเขากำลังจะร้องไห้แล้วก็ตาม


“ทัศนคติของคุณดีมาก รักษารอยยิ้มเอาไว้บนหน้า” เฉินเกอทำเหมือนเขามองไม่เห็นส้นสูงสีแดงคู่นั้นแล้วกลับไปยังที่นั่งตัวเอง เขาเปิดกระเป๋าออกพยายามปลอบเจ้าแมวขาวที่ถูกลักพาตัวมา เจ้าแมวคลานออกจากกระเป๋าและดูจะไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศในรถ และมันก็เดินดูเร็ว ๆ รอบหนึ่งก่อนจะกลับมาที่ข้าง ๆ เฉินเกอ


“แกน่าจะมีความสุขที่ได้ออกมาเที่ยวข้างนอกนะ” เห็นกริยาของเจ้าแมวแล้วเฉินเกอก็เข้าใจหลายอย่าง เขาคว้ากระเป๋าที่มีเครื่องเล่นเทปอยู่แล้ววางมันเอาไว้ข้างตัว ในรถนั้นเงียบมาก นอกจากเฉินเกอแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไร รถเมล์คันนี้เดินทางผ่านความมืดและสายฝนไปเหมือนโลงศพเคลื่อนที่


ฝนยังคงตกหนัก ตอนที่รถเมล์ไปถึงป้ายถัดไป เฉินเกอก็เห็นใครสักคนในชุดเสื้อกันฝนสีดำวิ่งออกไปจากป้ายรถเมล์ ผู้ชายคนนั้นวิ่งกลับไปกลับมาเหมือนกำลังรีบ แต่ว่า พอรถหยุดลงเข้าจริง ๆ เขากลับเดินหนีไปทันทีเหมือนเห็นบางอย่างที่ไม่ควรเห็น


“คนผู้นั้นจำฉันได้งั้นหรือ?” เฉินเกอมองโครงร่างของผู้ชายคนนั้นและคิดว่าเขาดูคุ้นตามาก เขาให้สัญญาณถังจวินขับรถเมล์ไล่ตามหลังชายคนนั้นไปทันที

 

 

 


ตอนที่ 618

 

 ใบหน้ายิ้มแย้ม

เสื้อกันฝนสีดำนั้นปกคลุมร่างของชายคนนั้นแต่เฉินเกอพบว่าคนผู้นี้สวมเสื้อผ้าหลายชั้นทำให้เขาดูตัวใหญ่กว่าความเป็นจริง ตอนที่เขาพบว่ารถเมล์แล่นมาทางเขา เขาก็รีบหันหนีวิ่งไปทางอื่น


“ทำไมมันถึงตามฉันมา?” ในดวงตาของคนผู้นั้นมีแววตระหนก รถเมล์แล่นออกจากเส้นทาง– นั่นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รถเมล์แล่นตัดผ่านสายฝน ความเร็วของมันนั้นไม่เร็วหรือช้าเกินไป มันแล่นมาเทียบข้างเขาเหมือนกำลังรอให้เขาขึ้นรถ เรื่องประหลาดเช่นนี้ทำให้ผู้ชายคนนั้นเร่งฝีเท้าขึ้นอีก เขามองซ้ายมองขวาหาตรอกที่เล็กเกินกว่าที่รถเมล์จะผ่านเข้าไปได้


“มันอันตรายมากนะที่คุณจะเดินอยู่คนเดียวดึกดื่นป่านนี้ท่ามกลางฝนตก” เฉินเกอให้ถังจวินหยุดรถขวางทางผู้ชายคนนั้นเอาไว้แล้วเปิดประตู ผู้ชายคนนั้นลังเลก่อนที่จะขึ้นมาบนรถ เขาถอดเสื้อกันฝนออกเผยให้เห็นใบหน้าที่เฉินเกอก็รู้จัก


เฉินเกอเคยพบกับผู้โดยสารคนนี้มาก่อน ตอนที่เขาไปเมืองหลี่ว่านก่อนหน้านี้ ก็เป็นผู้ชายคนนี้ที่แนะนำให้เฉินเกอรู้จักรถขนคนตาย เขาเป็นหมอจากหน่วยไฟไหม้ที่แต่งงานกับผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่าเขามาก เพราะเหตุผลอันซับซ้อน ภรรยาของเขาฆ่าตัวตายในห้องน้ำ ตั้งแต่นั้นมา เขาก็สวมผ้าพันคอที่ภรรยาของเขาถักให้และตามหาวิธีการที่จะได้พบภรรยาของเขาอีกครั้งในมุมมืด ๆ ของเมือง


หลังจากหมอขึ้นมาแล้ว เขาก็เห็นเฉินเกอ ในสถานการณ์อันประหลาดเช่นนี้ มันช่างน่ายินดีอย่างยิ่งที่เห็นใบหน้าอันคุ้นเคย เขาเดินมาหาเฉินเกอและนั่งลงข้าง ๆ โดยไม่ลังเล ยานพาหนะเคลื่อนที่ต่อไป สายฝนตกกระทบหน้าต่างรถเมล์ และเสียงที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ


“คุณยังมีชีวิตอยู่?”


คำทักทายของเฉินเกอนั้นเป็นสิ่งที่ปกติไม่พูดกันแต่ว่าหมอก็ไม่ได้โกรธ เขาส่งเสียงชู่ให้เฉินเกอแล้วจากนั้นก็กระซิบ “วันนี้ รถคันนี้ต่างไปจากปกติ มีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ”


“ต่างกันยังไง?” เฉินเกอรับฟังความคิดเห็น คิดหาวิธีปรับปรุง


“ผมก็บอกไม่ถูก แต่มันแค่รู้สึกแปลกไป” หมอถอดเสื้อคลุมออกแล้วกวาดตามองผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในรถด้วยปลายหางตา


“ไม่แปลกใจที่คุณเลือกที่จะหนีทันทีที่รถไปถึงที่ป้ายรถเมล์” เฉินเกอยักไหล่ เขาใส่เจ้าแมวกลับเข้าไปในกระเป๋า เมื่อมีอันตราย เจ้าแมวก็กลายเป็นเชื่อฟังอย่างไม่น่าเชื่อและยังชอบตัวติดอยู่กับเฉินเกอ


หลังจากหมอขึ้นรถมาแล้ว รถก็เลี้ยวกลับและกลับไปยังเส้นทางปกติของมัน


“พวกเราจะถึงเมืองหลี่ว่านในอีกไม่กี่ป้าย น่าจะมีผู้โดยสารต้องการขึ้นรถคันนี้คืนนี้มากทีเดียว” เฉินเกอหลับตาลงเพื่อพัก ไม่ว่าจะเป็นขี้เมาคนนั้นหรือรองเท้าส้นสูงสีแดง พวกเขาล้วนไม่ใช่เป้าหมายของเฉินเกอ เป้าหมายหลักของเขายังคงเป็นผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดง


แล่นฝ่าสายฝนไป ที่ด้านนอกรถเมล์ มีเสียงลมพัดโหยหวนและเสียงฟ้าร้อง แต่ในรถเมล์ มันให้ความรู้สึกกดดันจนเหมือนจะหายใจไม่ออก หลังจากผ่านไปอีกห้านาที รถเมล์ก็ไปถึงป้ายถัดไป


ป้ายรถเมล์ว่างเปล่า มีเลือดแอ่งหนึ่งถูกน้ำฝนชะไป ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ป้ายรถเมล์ก่อนที่รถจะมาถึง รอยเลือดถูกน้ำฝนชะจนจางหายไปอย่างช้า ๆ


“ตอนที่ผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนถูกโจมตีหรือว่าท้าทาย เลือดก็ซึมออกจากเสื้อกันฝนของเธอ งั้นนี่น่าจะเป็นของเธอด้วยหรือเปล่า?” เฉินเกอยืนยันเรื่องนี้ไม่ได้ บางที มันอาจจะมีผู้โดยสารที่กำลังรอรถถูกฆ่าก็ได้


เหมือนเดิม รถเมล์เปิดประตูแล้วหยุดอยู่สามนาทีถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรออยู่ที่ป้ายก็ตาม ไม่มีอะไรผิดปกติในช่วงนาทีแรก แต่ระหว่างนาทีที่สอง มีเงาหนึ่งเดินมาตามถนน


เขาเดินโซเซอยู่ในสายฝนที่ตกหนัก มีผมทรงดอกเห็ดเด่นชัด ลำคอของเขายาวกว่าปกติ และถึงแม้ว่าเครื่องหน้าจะยังดูปกติ แต่เมื่อรวมกันแล้วมันก็ให้ความรู้สึกประหลาดมาก


ตอนที่ประตูกำลังจะปิดนั่นเอง หัวดอกเห็ดก็ขึ้นมาบนรถ ทั้งร่างของเขาชุ่มโชก และเขาก็มีรอยยิ้มประทับค้างอยู่บนหน้า ริมฝีปากของเขาฉีกออกเผยให้เห็นฟันของเขา ถึงแม้ว่าน้ำฝนจะไหลเข้าไปในปาก เขาก็ไม่สนใจเหมือนว่านี่เป็นสีหน้าเดียวที่เขาทำได้


“ผู้ชายกับยิ้มประหลาด?” นั่นคือความประทับใจที่เฉินเกอมีต่อผู้โดยสารใหม่คนนี้ เขาใช้ดวงตาหยินหยางอย่างเงียบ ๆ และเพียงแค่เหลือบมอง มันก็เหมือนมีคนเอาเข็มหมุดจิ้มเข้ามาในลูกตาเขา เขารีบหลับตาลงเพื่อลดความเจ็บแปลบนั้นลง เมื่อเฉินเกอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ชายหน้ายิ้มคนนั้นก็นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เขาเลือกที่นั่งหนึ่งในแถวที่สอง มันเหมือนว่าเขาตั้งใจจะเลือกที่นั่งตรงข้ามกับรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น


คืนนี้ พวกเรามีผู้โดยสารคุณภาพหลายคนเลย!


เฉินเกอขยี้ตา แล้วก็ผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้ เขาไม่รู้เลยว่าชายคนนั้นเก็บซ่อนอะไรเอาไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนคุณหมอ


รถเมล์แล่นต่อไป อีกหลายนาทีให้หลัง หมอจู่ ๆ ก็เอื้อมมืออ้อมด้านหลังส่งโทรศัพท์ให้เฉินเกอ เฉินเกอรับโทรศัพท์มาแล้วอ่านข้อความที่เขียนเอาไว้– ‘ตั้งแต่พวกเราออกจากเมืองหลี่ว่าน รถขนคนตายก็หายไป มันเลิกออกวิ่งตามเวลาที่กำหนด คืนนี้ ผมแค่มาลองเสี่ยงดู แต่ว่ารถขนคนตายปรากฏขึ้นอีกครั้งทั้งที่ไม่ควร มันทำลายจังหวะที่ถูกตั้งเอาไว้เมื่อก่อน คืนนี้ คงจะมีผู้โดยสารเก่า ๆ แบบผมออกมาตรวจดูเส้นทาง ดังนั้นมันจะอันตรายมาก ระวังตัวด้วย และสิ่งหนึ่งที่ต้องสนใจเลยก็คือปิศาจหน้ายิ้มที่แถวที่สอง ระวังเอาไว้ มันเคยสังหารคนทั้งรถมาแล้ว’


อ่านข้อความของหมอแล้ว เฉินเกอก็พบบางอย่าง เมื่อพูดถึงผู้โดยสารหน้ายิ้ม หมอใช้คำว่าปิศาจและ ‘มัน’


หมอรู้ได้ยังไงว่ามันฆ่าคนทั้งคันรถมาก่อน? ถ้าเขาเป็นหนึ่งในผู้โดยสาร แล้วเขารอดมาได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่ได้อยู่บนรถในตอนนั้น แล้วใครบอกเขาเรื่องนี้?


ดวงตาของเขายังเต้นตุบด้วยความเจ็บปวด เฉินเกอแอบมองไปยังผู้ชายคนนั้นด้วยความสามารถที่ได้รับจากโทรศัพท์เครื่องดำ


ผู้ชายคนนั้นมีทรงผมที่ดูน่ารัก แต่อันที่จริงแล้ว เขากลับมีนิสัยเหี้ยมโหด


ตอนที่เฉินเกอแอบสังเกตชายหน้ายิ้มอยู่เงียบ ๆ รถเมล์ก็มาถึงป้ายถัดไป ก่อนที่จะเข้าไปเทียบป้าย เฉินเกอก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ดูค่อนข้างกระวนกระวาย หลังจากรถเมล์จอดและประตูเปิด เฉินเกอที่นั่งอยู่ในรถก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนนั้น “มันมีจริง ๆ ด้วย รถเมล์เที่ยงคืน! เรื่องเล่านั่นเป็นความจริง!”


เสียงของเขาสั่น ใบหน้าของเขาซีดขาว ริมฝีปากของเขาเป็นสีม่วงอย่างไม่ธรรมชาติ และร่างกายของเขาก็สั่นราวกับจะล้มไปได้ทุกเมื่อ


“ตาขาวอะไรขนาดนั้น?” เฉินเกอมองชายหนุ่มคนนั้นผ่านหน้าต่าง เขาดูอายุราวยี่สิบปี อาจจะยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ นี่เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่ง เฉินเกอเชื่อว่าเขาก็คงเหมือนเสี่ยวกู่ มีสิ่งไม่ธรรมดาตามติดอยู่ และด้วยความโชคร้ายของเขา เขาก็มาเจอเข้ากับรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104


เฉินเกอไม่มีความสนใจอะไรในตัวชายหนุ่ม เขามองคนผู้นั้นเหมือนชาวประมงมองปลาตัวเล็กที่ติดอวนขึ้นมา เขาเตรียมจะปล่อยคนผู้นี้ไป


รถเมล์เข้าจอดที่ป้าย และผิดไปจากที่เฉินเกอคิดเอาไว้ ชายหนุ่มที่ดูขี้ขลาดและขี้กลัวกลับกระโดดเข้าประตูมาอย่างเต็มใจตอนที่ประตูรถกำลังจะปิด

 

 

 


ตอนที่ 619

 

กระเป๋านักเรียนสีดำ

ประตูรถปิดลง และเครื่องยนต์ก็เร่งความเร็ว ลูกกระเดือกของชายหนุ่มขยับนิด ๆ เขาหุบร่มเอาไว้ระหว่างขาเขาแล้วค้นหาเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนเข้าไปในเครื่องออกตั๋ว หลังจากเหรียญกระทบกับถังที่เป็นโลหะเกิดเสียงดัง ผู้โดยสารหลายคนบนรถก็หันมามองชายหนุ่มคนนี้


ถูกคนแปลกหน้าหลายคนมองมา เขาก็รีบก้มหน้าลงเหมือนคิดว่าถ้าเขาไม่เห็นคนพวกนั้น คนพวกนั้นก็จะไม่เห็นเขา รถเมล์ออกตัว และชายหนุ่มคนนั้นก็จับราวบันไดไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหล่นลงไป บางทีอาจจะเพราะความกระวนกระวายของเขา ที่หลังมือของเขาจึงมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนเห็นได้ชัดเจน


“หน้าใหม่?” ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่หมอได้เจอกับชายหนุ่มคนนี้ คิ้วของเขาเลิกขึ้นนิด ๆ และริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร


สองนาทีต่อมา ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เงียบ ๆ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าผู้โดยสารเลิกให้ความสนใจเขาแล้ว เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเงียบ ๆ ดึงโทรศัพท์ออกมา มันเหมือนเขาคิดจะเปิดใช้งานกล้อง


“การพยายามถ่ายรูปก็ออกจะเกินไปสักนิด” เฉินเกอนั้นไม่ยินดีให้รถขนคนตายของเขาถูกเปิดเผยออกไป ดังนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ทำอะไร เขาก็ลุกขึ้นเดินไปทางนั้น เห็นมีคนเดินเข้ามาหา ชายหนุ่มก็กลัวจนโทรศัพท์เกือบจะลื่นหลุดจากนิ้ว


“มีที่นั่งว่าง ๆ ตั้งมากอยู่บนรถ ทำไมคุณถึงมายืนอยู่ตรงนี้” รอยยิ้มของเฉินเกอนั้นเหมือนจะติดต่อถึงคนอื่นได้ และน้ำเสียงของเขาก็เป็นมิตร


“ผม…” ชายหนุ่มไม่ได้อธิบายว่ามันเป็นเพราะว่าเขาขี้ขลาดเกินจะทำอย่างนั้น ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ เขาก็พบว่ากระทั่งสมองของเขาก็เริ่มทำงานช้าลง และเพราะอะไรไม่รู้ เขาไม่สามารถหาข้ออ้างที่น่าเชื่อถือออกมาได้


“คุณยังเรียนอยู่ใช่ไหม?” เฉินเกอวางมือลงที่แขนของชายหนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ “นั่นตรงนี้สิ อยู่ให้ไกลลมหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นไข้เอาได้”


ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกเฉินเกอลากไปยังแถวสุดท้าย คำนวนระยะห่างระยะห่างระหว่างตัวเขากับประตู และจากนั้นก็หันไปมองหน้าต่างที่ล็อกอยู่ เขาเดาว่ามันน่าจะเร็วกว่าถ้าจะทุบกระจกให้แตกแล้วกระโดดออกไป


“ไม่ต้องกระวนกระวายขนาดนั้นหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่คุณขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 ใช่ไหม?” เฉินเกอนั้นเหมือนกับพี่ชายข้างบ้าน “คุณน่าจะเข้าใจผิดจากข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงบนออนไลน์ อันที่จริงแล้ว บริษัทขนส่งมวลชนนั้นบางครั้งก็จะเสริมรถเที่ยวสุดท้ายที่วิ่งตอนเที่ยงคืนในบางวันน่ะ ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่คุณไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเราล้วนเป็นคนเป็น ๆ กันทั้งนั้น”


เพื่อเพิ่มแรงเกลี้ยกล่อม เฉินเกอกระทั่งเปิดกระเป๋าของเขา อุ้มเจ้าแมวขาวออกมา “คุณเห็นผีที่ไหนเลี้ยงแมวเหรอ?”


เจ้าแมวขาวที่ถูกดึงออกมาอวดเริ่มรำคาญ มันโบกกรงเล็บไปมาแต่ว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะแตะถูกเฉินเกอได้จริง ๆ ดังนั้นมันจึงโกรธจนขนพองฟู


เห็นสิ่งมีชีวิตที่แสนมีชีวิตชีวาแล้ว ความกลัวในใจของชายหนุ่มก็สลายไป เขาเกาหัวแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ “แต่มันเที่ยงคืนและฝนยังตกหนัก ทำไมถึงมีผู้โดยสารเยอะแบบนี้ล่ะ?”


“ถึงจะเป็นกลางคืน แต่ก็มีหลายคนที่ต้องทำงานเพื่อดำรงชีวิตนะ อย่างพนักงานรับโทรศัพท์ คนขับรถกะกลางคืน ยามกะกลางคืน และยังนักจัดรายการวิทยุช่วงเช้ามืดอีก งานของคนเหล่านี้น่ะมองข้ามไม่ได้หรอกนะ เพราะก็มีส่วนในการพัฒนาเมืองของเรา”


คำพูดเชิงบวกเหล่านี้ให้ความรู้สึกประหลาดเมื่ออยู่ในรถเมล์หลอน ๆ คันนี้ แต่ว่าเฉินเกอก็ไม่สนใจความไม่เข้ากันนี้ “แล้วก็นะ คุณทำงานอะไรเหรอ? ทำไมถึงยังออกมาข้างนอกตอนดึก ๆ อย่างนี้?”


“ผม…” ชายหนุ่มลังเล เขาหันไปมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ เพราะไฟในรถเมล์นั้นไม่ได้เปิด เขาจงมองเห็นแค่เงาตะคุ่ม ๆ เท่านั้น ฝ่ามือของเขาลื่นไปด้วยเหงื่อ หลังจากนั้นเป็นนาน เขาก็เก็บโทรศัพท์ลงแล้วบอกเฉินเกอ “ผมเป็นนักเรียนที่โรงเรียนมัธยมหลินเจียง”


“นักเรียนมัธยม?” เฉินเกอมองใบหน้าเด็กคนนี้ “คุณดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ”


“ผมซ้ำชั้นสองปีแล้ว และดูเหมือนว่าจะต้องซ้ำชั้นอีกปีด้วย แต่ว่านั่นก็ไม่สำคัญแล้วแหละ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่นที่เกินอายุไปมาก


“น้องชาย คุณเรียนซ้ำชั้นมาสองปีแล้ว มีอะไรที่สำคัญกว่าเรื่องนั้นใช่ไหม?”


“ใช่” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างหนักแน่น เขาดึงโทรศัพท์ออกมา “ในห้องผม มีนักเรียนหายตัวไปสามคน ผมรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ว่าตำรวจไม่เชื่อผม”


เปิดโทรศัพท์แล้วเด็กหนุ่มก็ให้เฉินเกอดูรูปหมู่รูปหนึ่ง “พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทของผม”


ในรูปมีคนอยู่สี่คน เด็กหนุ่มคือคนที่ถือลูกบาสเก็ตบอลเอาไว้และยืนอยู่ด้านหลัง ฝาแฝดคู่หนึ่งที่ดูนิสัยต่างกันยืนอยู่สองข้างของเขา คนทางซ้ายนั้นดูมืดมน เขาถือกระเป๋าสะพายหลังสีดำใบหนึ่งเอาไว้ในมือ ขณะที่คนทางขวานั้นมองไปยังเด็กสาวทางด้านหน้า ในดวงตานั้นมีความรักใคร่


“ทำไมจู่ ๆ พวกเขาก็หายตัวไปล่ะ?” เฉินเกอมองเด็กนักเรียนที่ในรูป ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับกระเป๋าที่เด็กชายทางซ้ายถืออยู่ ในเกมของเสี่ยวปู้ มีกระเป๋านักเรียนสีดำใบหนึ่งวางเอาไว้ที่แถวหลังสุดของรถเมล์ และเมื่อเสี่ยวกู่ขึ้นรถขนคนตาย เขาก็เจอกับเด็กนักเรียนมัธยมคนหนึ่งบนรถเมล์ เด็กนักเรียนคนนั้นก็มีกระเป๋าสีดำเหมือนกัน


“กระเป๋านักเรียนสีดำ ฝาแฝดคู่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกันแต่ว่าบุคลิกภาพต่างกัน…” เฉินเกอดูเหมือนจะนึกถึงบางอย่างได้ “พวกเขาสามคนหายตัวไปหลังจากขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104?”


เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง “ฝาแฝดคู่นั้นแซ่เป้ยที่หาได้ยาก ถึงพวกเขาจะหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ แต่พวกเขาก็ต่างกันมาก คนพี่ชื่อเป้ยเย่ เขาโมโหง่ายและมีเพื่อนไม่มากนัก กิจกรรมที่เขาชอบที่สุดก็คือเล่นแผลง ๆ แบบที่มีแต่เขาสนุกอยู่คนเดียว คนน้องชื่อเป้ยเหวิน เขาเป็นเด็กนักเรียนที่ดี เงียบและขี้อาย เขาเก็บตัวยกเว้นว่าจะมีคนเข้าหา


“พวกเราสี่คนสนิทกัน ดังนั้นจึงกลับบ้านด้วยกันเป็นปกติ จนเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเหตุผลประหลาด ๆ เป้ยเย่กับเป้ยเหวินก็เกิดทะเลาะกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เหมือนว่าเป้ยเย่เหนื่อยที่จะอยู่เป็นเงาของเป้ยเหวินแล้ว


“ตอนนั้น พวกเราไม่ได้คิดมากนัก เป้ยเย่กระแทกเท้าเดินหนีไป แต่ว่าวันต่อมา พวกเราก็พบว่าเป้ยเย่ไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้ ระหว่างเรียน เป้ยเย่ก็กลับมา และน่าแปลก สิ่งแรกที่เขาทำก็คือขอโทษเป้ยเหวิน จากนั้นเขาก็บอกความลับอย่างหนึ่งกับพวกเรา เขาบอกว่า หลังเที่ยงคืน จะมีรถเมล์คันหนึ่งบรรทุกคนตายมุ่งหน้าสู่จิ่วเจียงตะวันออก


“แน่นอนว่าพวกเราไม่เชื่อเขา เป้ยเย่ชวนพวกเรารอรถเมล์คันนั้นกับเขา ไม่ว่าเป้ยเหวินหรือผมก็อยากจะมีเวลาให้เขาวันนั้น แต่ว่าเขากลับมัดมือชกพวกเราด้วยการท้าเป้ยเหวินต่อหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้”


เด็กหนุ่มหยุดเพื่อหายใจ เขามองโทรศัพท์ตัวเองและยิ่งคิดเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งกลัว


“แล้วจากนั้นล่ะ?”


“จากนั้นพวกเขาสามคนก็หายตัวไป เป้ยเย่กับพ่อของเขาหายตัวไปในวันเดียวกัน จากนั้นก็เด็กผู้หญิง และในที่สุดก็เป้ยเหวิน”


เรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนี้คล้ายกับเรื่องในความทรงจำของเฉินเกอ เขารู้สึกเหมือนมีโอกาสอย่างมากที่เป้ยเหวินและเป้ยเย่จะติดอยู่ในโลกหลังประตูในเมืองหลี่ว่าน


“คุณลงจากรถเมล์ที่ป้ายถัดไป ถ้าผมเจอเพื่อนของคุณ ผมจะพาพวกเขากลับมา”


“คุณพาพวกเขากลับมาได้เหรอ? ไม่มีทาง” เด็กหนุ่มส่ายหน้า “คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหนก่อนที่จะขึ้นมาบนรถนี่ได้…”


“ทำตามคำสั่งของผมถ้าคุณไม่อยากตาย” รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเกอยังคงนุ่มนวล แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเขาถูกสาดด้วยน้ำเย็นหนึ่งถังกลางฤดูหนาว เขาอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้


เด็กหนุ่มคนนี้นั้นดูเหมือนตัวละครหลักในหนังสยองขวัญทั่ว ๆ ไปเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเขาโชคดีที่มาเจอเข้ากับเฉินเกอ

 

 

 


ตอนที่ 620

 

ลางบอกเหตุ

ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลพูดสิ่งที่น่ากลัวอย่าง ‘คุณจะตาย’… ครู่หนึ่งเลยทีเดียวที่เด็กหนุ่มคิดว่าหูเขาฟังผิดไปแล้ว เขานั่งอยู่ที่เดิม ตัวแข็งทื่อ และมองเฉินเกอด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้


“บอกผมทุกอย่างที่คุณรู้ ยิ่งละเอียด ผมยิ่งมีโอกาสช่วยเพื่อนของคุณได้ นอกจากนั้น จำเอาไว้– ไม่ว่าบ้านของคุณจะอยู่ที่ไหน อย่าได้ไปทางตะวันออกเมื่อลงจากรถ เข้าใจไหม?”


เฉินเกอเป็นคนประเภทไหนน่ะเหรอ? ถ้าพูดว่าเขาเป็นคนที่จะตะกายขึ้นไปบนสุดของกองซากศพก็ดูจะเกินไป แต่พอคิดถึงประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มาของเขาแล้ว ก็ต้องใช้ถึงสองมือเพื่อนับจำนวนฆาตกรบ้าคลั่งที่ตกมาอยู่ในมือของเขาเลยนะ


เตร็ดเตร่ไปตามบ้านผีสิงอยู่ทุกคืน มีการติดต่อใกล้ชิดกับพวกผี ทำให้พลังของพวกวิญญาณนั้นอาบอยู่บนตัวเขา เฉินเกอนั้นไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าเปลี่ยนโทนเสียง เด็กหนุ่มก็คิดไปแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บางทีมันอาจจะเป็นสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของเขาที่บังคับให้เขาอยู่ให้ห่างจากบุคคลอันตรายเช่นนี้ อุณหภูมิร่างกายของเฉินเกอนั้นต่ำกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้นับเป็นเรื่องผิดปกติอะไร แต่เด็กหนุ่มจู่ ๆ ก็รู้สึกย่ำแย่จากความเย็นอันหนาวเยือก มือทั้งสองข้างของเขากดอยู่กับเบาะ เขาขยับตัวออกห่างเฉินเกออย่างแอบ ๆ


“เป้ยเหวินเป็นคนสุดท้ายที่หายตัวไป บางทีอาจจะเพราะว่าเขากลัว เขาไม่ได้มีท่าทีต่างไปจากปกติเลย”


“นั่นไม่ใช่ข้อมูลที่มีประโยชน์ ผมต้องการเงื่อนงำเกี่ยวกับตัวเขา พวกเขาทิ้งอะไรเอาไว้ที่ดูใช้การได้ไหม? อย่างข้อความหรือว่าบันทึกประจำวัน” เฉินเกอบีบคั้นเด็กหนุ่มให้จนมุมอยู่ที่เบาะแถวหลังสุด “ลองคิดให้ดี ๆ”


ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูตึงเครียดขึ้น และหลังจากใคร่ครวญอยู่นาน ในที่สุดเขาก็นึกบางอย่างได้ “ก่อนที่เป้ยเหวินจะหายตัวไป เขาบอกผมว่าอย่าบอกตำรวจเรื่องรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขายังให้ลูกกุญแจผมดอกหนึ่งและบอกผมว่าถ้าเขาไม่กลับมาภายในสามสัปดาห์ให้เอาลูกกุญแจนี้ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายไปตามหาเขา”


“คุณเอาลูกกุญแจนั่นติดตัวมาไหม?” มีเฉินเกอจับตามองอยู่ เด็กหนุ่มก็ดึงกุญแจสนิมกรังดอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันเปื้อนเลือด


“ขอผมดูหน่อย” เฉินเกอรับกุญแจมาตรวจดู เขาไม่อยากเชื่อเลย เขาค้นทั่วกระเป๋าตัวเองและเจอกุญแจของเขาอยู่ในซอกกระเป๋า กุญแจทั้งสองดอกนี้เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ


“คุณเองก็มีกุญแจแบบเดียวกัน?” เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอย่างตกใจ


“เงียบก่อน” เฉินเกอวางกุญแจทั้งสองดอกลงบนเบาะและขมวดคิ้ว เขาได้รับกุญแจดอกนี้มานานแล้วตอนที่ทำภารกิจของบุคลิกที่สองของเหมินหนานสำเร็จ มันเป็นรางวัลจากโทรศัพท์เครื่องดำ กุญแจแห่งการรู้ตน กุญแจดอกนี้สามารถช่วยเขาตามหาตัวตนแท้จริงของเขาเมื่อเขาตกอยู่ภายใต้ผลของความสับสนหรือว่าภาพหลอน


เฉินเกอเชื่อว่ากุญแจดอกนี้จะเป็นประโยชน์ตอนที่เขาสำรวจหอผู้ป่วยสาม ใคร ๆ ก็ง่ายที่จะถูกรบกวนจากพลังงานด้านลบหนาหนักที่อยู่ด้านหลังประตูตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปครั้งแรก ทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองไป ตามที่เฉินเกอคิด กุญแจดอกนี้สามารถจัดการกับเรื่องเช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นได้


สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้ใช้กุญแจดอกนี้ตอนนั้นเพราะว่าจางหยานั้นมีพลังมากเกินไป เธอพุ่งเข้าไปในประตูและไล่ตามผู้อำนวยการคนนั้น นอกจากตกใจแล้ว เฉินเกอก็ไม่ได้ประสบกับอารมณ์อื่นที่มากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใช้กุญแจดอกนี้


เพราะเฉินเกอคิดว่าเขาอาจจะได้ใช้กุญแจดอกนี้ในอนาคต เขาจึงเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าสะพายหลัง แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ ว่าระหว่างเดินทางไปจิ่วเจียงตะวันออกในวันนี้ เขากลับได้เจอกุญแจที่เหมือนกันอีกดอกหนึ่ง ในด้านหน้าตาแล้ว นอกจากรอยกัด พวกมันก็ดูเหมือนกันเปี๊ยบ


“การปรากฏตัวของกุญแจดอกนี้นั้นบ่งบอกบางอย่าง?” กุญแจนี้สามารถหยุดบางคนจากการสูญเสียตัวตนได้ ก่อนที่เป้ยเหวินจะหายตัวไป เขาบอกเด็กหนุ่มคนนี้ให้ตามหาเขาด้วยกุญแจดอกนี้ นี่หมายความว่าที่ที่เขาไปนั้นเป็นสถานที่ซึ่งคนผู้หนึ่งจะหลงลืมตัวตนไปได้โดยง่าย?


“คุณรู้ไหมว่าเป้ยเหวินไปไหน?” เฉินเกอเก็บกุญแจทั้งสองดอกเข้าไปในกระเป๋าตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ


“เขาไม่ได้บอกผม” เด็กหนุ่มมองเฉินเกอฉวยกุญแจของเขาไปด้วย เขาตอบอย่างซื่อตรงและไม่กล้าขอกุญแจคืน


“กุญแจดอกนี้ค่อนข้างสำคัญ แต่ไม่ต้องห่วง ในเมื่อผมเอากุญแจของคุณมา ผมก็ต้องช่วยเพื่อนของคุณแน่นอน” เฉินเกอเอนตัวพิงเก้าอี้และจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่านี่เป็นลางร้าย ตอนที่กุญแจดอกแรกปรากฏขึ้น เขาก็เข้าไปในหอผู้ป่วยสามและเจอกับศัตรูที่รับมือได้ยากที่สุดในตอนนั้น– สมาคมเล่าเรื่องผี


คราวนี้ เขากำลังจะไปยังจิ่วเจียงตะวันออกเพียงคนเดียว และการปรากฏของกุญแจดอกนี้นั้นก็อาจจะเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะเจอเข้ากับศัตรูเก่งกาจอีกรายหนึ่ง


กุญแจดอกแรกนั้นเกี่ยวข้องกับเหมินหนาน เด็กที่มีสองบุคลิก และพวกเขายังมีบุคลิกภาพที่ต่างกัน กุญแจดอกที่สองนั้นเกี่ยวข้องกับฝาแฝดแซ่เป้ย ที่หน้าตาเหมือนกันแต่นิสัยต่างกัน เฉินเกอแตะกุญแจทั้งสองดอกในกระเป๋าและจู่ ๆ ก็นึกถึงเงาที่ดูคล้ายกับเขา นี่หมายความว่าฉันจะได้เจอกุญแจดอกที่สาม?


เฉินเกอหันมองไปที่หน้าต่าง ไม่มีใครพูดอะไรอีก และในที่สุดรถเมล์ก็จอดที่ป้ายถัดมา


“ลงรถที่นี่และเดินไปทางตะวันตก ทางตะวันออกจากนี้ไปไม่ปลอดภัยแล้ว” เฉินเกอเบี่ยงตัวให้เด็กหนุ่มผ่านออกไป เด็กหนุ่มลุกยืนขึ้น มันเหมือนเขามีอย่างอื่นจะพูด แต่เมื่อมองหน้าเฉินเกอ ในที่สุดเขาก็กลืนคำพูดของเขาลงไปแล้ววิ่งลงรถไป


“เฮ้ คุณลืมร่มของคุณแน่ะ!” เฉินเกอตะโกนออกไปทางหน้าต่าง เด็กหนุ่มกลัวมากจนแม้ว่าฝนจะยังตก เขาก็วิ่งไปทางตะวันตกโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองรอบ ๆ


“ฉันทำให้เขากลัวเหรอ? แต่นี่ก็เป็นเรื่องดี แบบนี้ เขาก็จะสามารถตั้งใจกับการสอบของเขาและไม่ต้องซ้ำชั้นเป็นครั้งที่สาม” เฉินเกอเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองและหมอก็เอนตัวเข้ามาหาเขานิด ๆ “มีอะไรเหรอ?”


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาเป็นห่วงคนอื่นแล้ว” หมอกระซิบก่อนที่จะขยับผ้าพันคอให้กระชับและปิดใบหน้าของเขาเอาไว้จนเกือบหมด


“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอหยิบร่มของเด็กหนุ่มและกลับไปยังที่นั่งตัวเอง ตอนที่เขาช้อนตาขึ้นมอง เขาก็เห็นหัวเห็ดที่แถวที่สองกำลังมองเขาอยู่ ด้วยริมฝีปากแห้งแตกและรอยยิ้มแข็ง ๆ เขากำลังมองเฉินเกออย่างตั้งใจและเฉินเกอก็รู้สึกอยากจะให้รางวัลเขาด้วยการกระแทกค้อนใส่หน้าสักครั้ง เมื่อคิดถึงคนบนรถ เฉินเกอก็กดความต้องการนั้นลงไป


“หยุดยิ้มได้แล้ว ถ้าหยุดยิ้มแล้วคุณจะน่าเกลียดเกินไปงั้นหรือ?” คำพูดของเฉินเกอนั้นท้าทายมาก แต่ว่าหัวเห็ดก็ไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรนอกจากมองเฉินเกอต่อ ยิ้มแบบเดิม ๆ


บรรยากาศบนรถเมล์เปลี่ยนเป็นตึงเครียด แต่ในตอนนี้เอง ประตูหน้าก็ส่งเสียงลั่น และมือชุ่มเลือดข้างหนึ่งก็เอื้อมเข้ามาในรถ เลือดหยด และผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงก็ยืนอยู่ที่ประตูหน้า


ผมของเธอลู่ติดกับใบหน้าของเธอ ปิดบังดวงตาของเธอเอาไว้ ริมฝีปากของเธอถูกเย็บปิดด้วยบางอย่าง และเธอก็ดูน่ากลัวมาก


“ในที่สุด คุณก็มาแล้ว”


เห็นผู้หญิงคนนี้แล้ว เฉินเกอก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา ผู้โดยสารทั้งหมดบนรถเมล์นั้นหันมาสนใจผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดงกันหมด

 

 

 


ตอนที่ 621

 

กับดัก

รถเมล์นั้นเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว แต่ผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงก็ยังคงระแวดระวังกับมันอยู่ แขนของเธอกำประตูเอาไว้ และสีแดงของเสื้อกันฝนของเธอก็เห็นเด่นชัดในความมืด


“พวกเราล้วนไปทางเดียวกัน ทำไมคุณไม่มากับเราที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลี่ว่านคืนนี้ล่ะ?” เฉินเกอเชิญเธอขึ้นมา เขามีคำถามมากมายที่อยากจะถามเธอ ครั้งสุดท้ายที่เขาออกจากรถขนคนตายนี่ เขาก็ได้ส่งตัว ‘พวกค้ามนุษย์’ ที่ขโมยลูกของเธอไปให้กับเธอ แต่ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่พบหญิงอ้วนคนนั้นอีกเลย


เฉินเกอสงสัยว่าผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงคงจะได้ข้อมูลที่เธอต้องการ ที่อยู่ของลูกของเธอ จากตัวหญิงอ้วนคนนั้นแล้ว อย่างไรเสีย หากเธอไม่ได้ผลลัพธ์อะไร เธอก็คงไม่มาปรากฏตัวรอรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 หรอก


เฉินเกอเดินไปที่ประตูหน้า ก้มตัวลงนิด ๆ เพื่อบอกกับเธอ “ถ้าคุณเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปช่วยลูกของคุณกันคืนนี้ ผมจะไปกับคุณด้วย– นั่นเป็นสิ่งผมสัญญาไว้กับคุณ”


ริมฝีปากของเธอถูกเย็บเอาไว้ด้วยเส้นเลือดหมายความว่าเธอพูดไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำท่าแปลก ๆ ชุดหนึ่งให้เฉินเกอแทน ปลายนิ้วของเธอชี้ไปที่รถเมล์ จากนั้นก็ที่หน้าเฉินเกอ และจากนั้นก็ที่หัวใจของเฉินเกอ สุดท้าย เธอก็ขยี้นิ้วของเธอเข้าด้วยกันเหมือนเธอกำลังขยี้หัวใจของเฉินเกอในมือเธอ


“รถขนคนตาย? หน้าผม? ขยี้หัวใจของผม?” เฉินเกอใช้เวลาหลังจากนานครู่หนึ่ง “คุณกำลังบอกว่ามีคนที่หน้าคล้ายผมจะมาควักหัวใจของผม? และตอนนี้คนผู้นั้นก็อยู่บนรถเมล์ด้วย?”


ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พยักหน้าหรือว่าส่ายหน้า เธอมองผ่านม่านผมมาขณะที่เอื้อมมือออกมาจับแขนเฉินเกอเอาไว้ พยายามดึงเขาออกจากรถ ตอนนี้รถเป็นของเฉินเกอ และกระเป๋ากับแมวของเขาก็ยังอยู่บนรถ ดังนั้นเขาย่อมไม่ยอมปล่อยมือโดยง่าย


เฉินเกอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พอผู้หญิงคนนั้นรู้สึกได้ เธอก็หยุดออกแรงและปล่อยให้เฉินเกอหลุดออกจากมือเธอ น้ำฝนไหลไปตามเสื้อกันฝนของเธอ สำหรับการสื่อสารสุดท้าย เธอชี้ไปทางเมืองหลี่ว่าน และแขนของเธอก็พับเข้าหากันเลียนแบบท่าอุ้มเด็กทารก ก่อนที่เฉินเกอจะทันเข้าใจความหมายของเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็ถอยออกไปจากป้ายรถเมล์ เลือดไหลเป็นทางลงมาตามเสื้อกันฝนของเธอ และรอบตัวเธอก็มีแอ่งเลือดเล็ก ๆ


รถเมล์ออกจากป้ายช้า ๆ และผู้หญิงคนนั้นก็ยืนอยู่ที่นั่นมองรถเมล์สาย 104 เคลื่อนตัวออกไป ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้เมืองหลี่ว่านเท่าไหร่ ฝนที่ด้านนอกก็ตกหนักเท่านั้น ที่นอกหน้าต่างไม่มีแสงอะไรเลย มันเหมือนรถคันนี้กำลังเดินทางผ่านอาณาจักรแห่งความมืด


“เธอกำลังพยายามบอกอะไร?” ผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธที่จะขึ้นมาบนรถ ซึ่งต่างไปจากที่เฉินเกอวางแผนเอาไว้ “แต่ถ้าเธอไม่ต้องการร่วมมือกับฉัน เธอก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวออกมาเลย เธอน่าจะรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างในรถเมล์นี่ ดังนั้นจึงไม่ยอมขึ้นรถมา”


เฉินเกอแอบมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ– หมอและขี้เมานั้นน่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นเฉินเกอจึงให้ความสนใจไปที่รองเท้าส้นสูงสีแดงและชายหน้ายิ้ม


ฉันควรจะลงมือก่อนไหม? เฉินเกอคิดกับตัวเองตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาสั่นขึ้น เขามองไปยังหมายเลขโทรเข้าก่อนจะกดตัดสาย จากนั้นเขาก็ส่งข้อความไปยังผู้โทร “สารวัตรหลี่ ผมไม่สะดวกรับสายคุณ ผมหวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไรถ้าจะต้องคุยผ่านข้อความ”


ตอนที่เฉินเกอเห็นว่าเป็นหมายเลขของหลี่เจิ้ง เขาก็คิดว่ามีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้น


“เจียหมิงหนีออกจากโรงพยาบาล! ระวังตัวด้วย! ผมกลัวว่าเขาจะไปทำร้ายคุณ!” หลี่เจิ้งใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ถึงสามอันในข้อความของเขา


“แต่ทำไมเขาจะมาหาผมล่ะ? ผมไม่ได้ทำอะไรเขาเสียหน่อย แล้วก็ ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในโรงพยาบาลมีตำรวจคอยจับตามองเหรอ? ทำไมเขาถึงหนีออกมาได้?” กองกำลังตำรวจจิ่วเจียงนั้นดีที่สุดในกองกำลังที่ดีที่สุดและเฉินเกอก็มีความรู้สึกดี ๆ กับกองกำลังรักษากฎหมายนี่


“ผู้ชายคนนั้นเล่าเรื่องปั่นหัวพวกเรา ในเรื่อง เขาเป็นเหยื่อคนหนึ่ง และตลอดการเล่าเรื่องสิบเอ็ดเรื่อง เขาก็พูดถึงปิศาจเงาที่เก่งกาจในด้านการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและน้ำเสียง เขาบอกพวกเราว่าปิศาจเงานั่นคือผู้บงการที่แท้จริง– เขาเป็นแค่คนโชคร้ายที่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น!”


“สิบเอ็ดเรื่อง?”


“ทั้งหมดสิบเอ็ดเรื่อง บอกว่าเขาถูกผู้บงการข่มขู่ให้ทำเรื่องต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกับศีลธรรมในใจเขา แต่ว่าไม่มีเรื่องไหนเลยที่มีช่องโหว่ และการสืบสวนของเราก็ยืนยันตามที่เขาอ้าง”


“นี่พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้โกหก”


“ใช่ เขาไม่ได้โกหกเกี่ยวกับสิบเอ็ดเรื่องนั่น แต่ว่าเขาหลอกเราเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง” หลี่เจิ้งดูกระวนกระวาย มีการเว้นวรรคและจุดเน้นย้ำมากมายในข้อความของเขา “ผู้บงการนั้นไม่เคยมีอยู่จริงตั้งแต่ต้น นั้นเป็นจิตใจเขาสร้างขึ้นมาเอง เขาคือฆาตกรที่แท้จริง! ทั้งสิบเอ็ดเรื่องนั่น เขาคือฆาตกรตัวจริง!”


เห็นข้อความนี้แล้ว ในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าสิบเอ็ดเรื่องนั่นน่าจะหมายถึงชีวิตของคนสิบเอ็ดคน


“ผู้ชายคนนี้ที่เบื้องหน้าดูขี้อายและอ่อนแอนั้นซ่อนตัวตนอันวิปริตเอาไว้! ตอนที่เขาเล่าเรื่องให้เราฟัง เสียงของเขายังขาด ๆ หาย ๆ หลายครั้งอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ เขาดูสำนึกเสียใจอย่างแท้จริงจนหมอและพยาบาลรู้สึกสงสารเขา พวกเราส่งคนออกไปตรวจดูสถานที่ในเรื่องของเขา และยิ่งสืบลงไปพวกเราก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี เพื่อให้สืบสวนได้เร็วขึ้น พวกเราจึงนำคนเข้ามาร่วมในคดีมากขึ้น คืนก่อนหน้านี้ อาการของเจียหมิงดูแย่ลง และหมอก็แนะนำให้ส่งเขาเข้าไปที่ห้อง ICU เพราะคิดว่าเขาคงจะยังไม่ตื่นขึ้นมาเร็ว ๆ นี้ พวกเราก็เลยทิ้งเจ้าหน้าที่เอาไว้จับตาดูเขาแค่คนเดียว


“แต่ระหว่างส่งเจียหมิงไปห้อง ICU ผู้ชายคนนี้ที่ไม่น่าจะเดินไหวก็กระโดดลงจากหน้าต่างชั้นสองและหนีไป เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาดูลู่ทางไว้ก่อนหน้า ห้องพักของเขาอยู่บนชั้นสามและห้อง ICU อยู่ที่ชั้นแรก หน้าต่างที่เขากระโดดออกมานั้นนำไปด้านหลังตรอกหนึ่ง ในนั้นมันเหมือนเขาวงกตที่มีทางแยกและทางเลี้ยวแอบอยู่มากมาย– เจ้าหน้าที่คนเดียวไม่พอจะตามตัวเขาได้”


หลี่เจิ้งบอกเฉินเกอเกี่ยวกับการหนีของเจียหมิง แต่เฉินเกอไม่สนใจเรื่องนั้นเลย “สารวัตรหลี่ ผมเดาไว้แล้วว่าเจียหมิงน่าจะพยายามหนี แต่ทำไมคุณถึงบอกว่าเขาจะมาทำร้ายผม?”


“พวกเราพบเศษไม้อยู่ใกล้ ๆ เตียงเขา พวกเราเปิดโต๊ะข้างเตียงและพบว่า ที่ด้านหลัง มีคนใช้นิ้วแกะชื่อของคุณเอาไว้ หลังจากชื่อถูกแกะ คนผู้นั้นยังใช้เล็บครูดชื่อนั้นทิ้งอีกครั้ง ผมไม่คิดว่าจะมีใครทำอย่างนั้นหากไม่เกลียดเจ้าของชื่อจนเข้ากระดูกดำ ไม่ว่ายังไง ระวังตัวเอาไว้– พวกเราสงสัยว่าเขาจะกำลังเดินทางไปหาคุณแล้ว”


ฉันไม่เคยมีเรื่องกับเจียหมิง ดังนั้นเขาไม่น่าจะมีความแค้นลึกล้ำอะไรกับฉันยกเว้นว่าที่เราเจอที่โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เจียหมิง


จากข้อความของหลี่เจิ้ง เฉินเกอสงสัยว่าเงานั่นยังอยู่ในร่างเจียหมิง เขาหมดสติไปที่ด้านนอกอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวในคืนนั้นเพราะอุบัติเหตุบางอย่าง


“แล้วก็ ตอนนี้คุณอยู่ไหน? อย่างออกไปที่ไหนนะคืนนี้!”


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลี่เจิ้งก็ส่งข้อความมาอีก เดิมที เฉินเกอก็ไม่ได้คิดว่ามันประหลาด แต่ตอนที่เขากำลังพิมพ์ตอบ เขาก็ชะงัก


เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมสารวัตรหลี่ถึงถามที่อยู่ตอนนี้ของฉัน? และเขาน้อยครั้งที่จะใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ในการสื่อสารก่อนหน้าของเรา นี่เป็นไปได้ไหมว่าที่คุยกับฉันอยู่นี่คือเจียหมิง ไม่ใช่หลี่เจิ้ง?

 

 

 


ตอนที่ 622

 

คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด (1+2)

เฉินเกออ่านข้อความทั้งหมดที่หลี่เจิ้งส่งมาอีกครั้ง การใช้เครื่องหมายวรรคตอนและน้ำเสียงโดยรวมนั้นต่างไปจากที่สารวัตรมักจะใช้ในการสื่อสารผ่านข้อความจริง ๆ ปิศาจที่เจียหมิงพูดถึงในข้อความนั้นก็คล้ายจะเปลี่ยนรูปลักษณ์และน้ำเสียงได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มันก็สามารถเลียนเสียงของหลี่เจิ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ว่า ในเมื่อเฉินเกอไม่สามารถรับสายได้เพราะว่าอยู่บนรถขนคนตาย หลี่เจิ้งก็ทำได้เพียงใช้วิธีการเขียนข้อความพูดคุยกับเฉินเกอ นี่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญที่อีกฝ่ายไม่ได้คาดคิดเอาไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะโทรศัพท์มา


เป็นไปได้ไหมว่าคนที่ส่งข้อความหาฉันจะเป็นเจียหมิงจริง ๆ?


เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้น มันก็คืบคลานไปรอบ ๆ หัวใจของฟางหยวนเหมือนกุหลาบพิษ ทำให้ต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา นิ้วของเขาค้างอยู่ที่เหนือมุมหนึ่งของหน้าจอ หลังจากนั้นเป็นนาน ในที่สุดเฉินเกอก็ตอบหลี่เจิ้ง “ไม่มีปัญหา คืนนี้ผมจะอยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่และไม่ออกไปไหน”


“อืม ผมแค่จะเตือนคุณเรื่องนี้– ผู้ชายคนนั้นเกลียดคุณสุด ๆ และตอนนี้ก็มีหมายจับเขาออกมาแล้ว ดังนั้นเขาน่าจะฉวยโอกาสสุดท้ายนี้ไปตามล่าคุณ มันจะดีกว่าถ้าคุณจะอยู่ที่สวนสนุก อีกสักครู่ ผมจะส่งคนของผมไปตั้งด่านที่รอบ ๆ สวนสนุกเพื่อปกป้องคุณ”


“ต้องลำบากคุณแล้ว”


“ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นหรอก อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นเพราะความประมาทของพวกเราที่ทำให้เขาหนีไปได้ แต่จำเอาไว้ว่าคืนนี้อย่าได้ออกไปไหน ถ้าคุณออกไปจากสวนสนุกนิวเซนจูรี่ มันก็จะยากที่เราจะดูแลความปลอดภัยของคุณ”


“เข้าใจแล้ว” หลังจากเฉินเกอตอบยืนยันกลับไป หลี่เจิ้งก็หยุดส่งข้อความหาเฉินเกอเหมือนไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยกันแล้วหลังจากเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว


“มันเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” เฉินเกอถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือ โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของผู้โดยสารคนอื่น ๆ เขาโทรหาหัวหน้าเอี๋ยนโดยตรง ต้องการยืนยันเรื่องที่หลี่เจิ้งเล่า มันเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่หัวหน้าเอี๋ยนก็ยังรับโทรศัพท์ของเฉินเกอ– นี่แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับชายหนุ่มคนนี่เพียงไหน จากหัวหน้าเอี๋ยนพูด เฉินเกอยืนยันว่าหลี่เจิ้งไม่ได้โกหก เจียหมิงนั้นหนีออกจากโรงพยาบาลจริง ๆ


หลังจากวางสาย เฉินเกอก็ยังรู้สึกว่าพลาดบางอย่างไป “เป็นไปได้ไหมว่าเงานั่นหนีออกจากร่างของเจียหมิงและตอนนี้สิงอยู่ในร่างหลี่เจิ้ง?”


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อย่างนั้นเรื่องก็ซับซ้อนกว่าเดิมมากแล้ว


“ที่โรงพยาบาล เจียหมิงเคยเล่าเรื่องว่าเขาไปเจอเงานั่นและเจียงหลงที่บ้านพักของฝ่ายหลัง ในตอนนั้น เจียงหลงคุกเข่าอยู่กับพื้น เลือดอาบไปทั่ว ขณะที่เงานั่นยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ถือมีดเอาไว้ นี่เป็นฉากที่น่าสนใจ


“เมื่อคิดถึงว่าหมาของเพื่อนบ้านของเจียงหลงเพิ่งถูกฆ่า ฉันจะลองสมมติได้ไหมว่าเป็นเจียงหลงที่ฆ่าสุนัขนั่น? เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ไม่มีเหตุผลให้ต้องฆ่าสุนัขของใคร ดังนั้นเห็นได้ชัดว่า ถ้าเขาเป็นคนทำ ก็เป็นเพราะถูกเงานั่นบังคับ ใช่ เงานั่นพยายามทำลายสภาพจิตใจของเจียงหลง จากจุดนี้ สามารถยืนยันได้ว่ามันมีขีดจำกัดอยู่ก่อนที่เงานั่นจะสามารถควบคุมเหนือใครได้โดยเบ็ดเสร็จ เหยื่อที่มีสภาพจิตใจอ่อนแอเท่าไหร่ มันก็ง่ายที่เงานั่นจะเข้าควบคุมเหนือพวกเขาได้


“หลี่เจิ้งนั้นเป็นตำรวจสืบสวนผู้เชี่ยวชาญ มันยากมากที่เงานั่นจะเข้าควบคุมเขาอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้”


ข้อความของหลี่เจิ้งทำให้เฉินเกอคิดถึงว่าเงานั่นละทิ้งร่างเดิมแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเชื่อใจใครได้เลยคืนนี้


“เสี่ยวปู้เคยบอกฉัน ถ้าฉันกล้าไปเมืองหลี่ว่านอีกครั้ง ชีวิตของฉันจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ฉันเพิ่งเข้ามาในจิ่วเจียงตะวันออก ก็เกิดบางอย่างขึ้นกับเจียหมิงที่น่าจะอยู่ภายใต้การจับตามองของตำรวจ ฉันจะแน่ได้เหรอว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ?”


เฉินเกอนั้นกำลังจะเก็บโทรศัพท์แล้วตอนที่หน้าจอสว่างขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นฟ่านฉงโทรมา


“คุณเป็นคนที่งานยุ่งจริง ๆ” หมอเหลือบมองมาจากด้านหลังเขา ทำท่าให้เฉินเกอเงียบ ๆ ทำตัวโดดเด่นในเวลาเช่นนี้นั้นไม่ได้นำประโยชน์อะไรมาให้เขา


“รายชื่อผู้ติดต่อของผมมีอยู่ไม่กี่คน ผมเองก็อยากรู้ว่าเหมือนกันว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่” เฉินเกอดึงหูฟังออกมา หลังจากเสียบหูฟังแล้ว เขาก็กดรับสาย


“บอสเฉิน! ผมเคลียร์เกมได้แล้ว! ผมรู้ความจริงแล้ว! ในที่สุดผมก็รู้ความจริงแล้ว!”


“ใจเย็นก่อนแล้วค่อย ๆ พูด ผมได้ยินคุณชัดเจนดี” เฉินเกอลดเสียงลง พบว่าเขาดึงดูดความสนใจเกินไปจริง ๆ


“ผมเริ่มจากจุดบันทึกที่คุณทิ้งเอาไว้ลองเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมไปเจอเข้ากับภารกิจย่อยสิบเอ็ดอย่าง และภารกิจย่อยสิบเอ็ดอย่างนั่นก็เป็นตัวแทนของสถานที่เกิดเหตุสิบเอ็ดแห่งและชีวิตคนอีกสิบเอ็ดคน ผมกำลังจะบอกคุณว่า ผมใช้ชีวิตสำรวจทุกซอกมุมในเกม ค่อย ๆ ก้าวหน้าไปทีละก้าว แต่ในที่สุดแล้ว ผมก็ทำภารกิจย่อยทั้งสิบเอ็ดอย่างสำเร็จ” เสียงของฟ่านฉงนั้นฟังดูดีใจเหลือล้นในสายโทรศัพท์


“สิบเอ็ดภารกิจย่อย?” เฉินเกอเพิ่งเจอตัวเลขสิบเอ็ดไปในข้อความของหลี่เจิ้ง เมื่อถูกตำรวจสอบปากคำ เจียหมิงก็เล่าเรื่องให้ตำรวจฟังสิบเอ็ดเรื่อง ฉากส่วนใหญ่ในเกมของเสี่ยวปู้ล้วนมีพื้นฐานจากชีวิตจริง อันที่จริง พวกมันอาจจะมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ด้วยซ้ำ เฉินเกอสงสัยว่าภารกิจย่อยสิบเอ็ดภารกิจที่ฟ่านฉงได้ทำไปนั้นคงเหมือนกับคดีฆาตกรรมสิบเอ็ดคดีที่เจียหมิงบอกตำรวจ


เมืองในเกมของเสี่ยวปู้นั้นก็มาจากเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นมันก็ดูเป็นเหตุเป็นผลดีที่คดีฆาตกรรมทั้งสิบเอ็ดคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับเมืองหลี่ว่านด้วย


หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง เฉินเกอก็ถามเบา ๆ “หลังจากทำภารกิจย่อยพวกนั้นสำเร็จแล้ว คุณได้คำใบ้อะไรไหม? หรือได้อะไรอย่าง รางวัล?”


“นั่นเป็นเหตุผลให้ผมโทรหาคุณนี่แหละบอส! หลังจากผ่านภารกิจย่อยทั้งหมด หน้าจอก็เริ่มมีเลือดไหล เกมที่เดิมเป็นสีเทา ๆ เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง และคราวนี้ ตึกทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ทั้งแป้นพิมพ์กับเม้าส์ก็ใช้การไม่ได้ และผมก็สูญเสียการควบคุมเสี่ยวปู้ เธอยืนอยู่ในเกม และโบกมือให้ผม มันน่ากลัวจริง ๆ ตอนนั้น ผมคิดจริง ๆ นะว่าเธอกำลังจะลากผมเข้าไปในเกมกับเธอ”


“ขอรายละเอียดที่สำคัญ ๆ นะ เกิดอะไรขึ้นถัดจากนั้น?”


“เธอเริ่มขยับด้วยตัวเธอเองและเข้าไปในตึกสีแดงหลังหนึ่ง จากนั้นหน้าต่างใหม่ก็เด้งขึ้นมา เป็นตัวอักษรที่เขียนด้วยเลือด– แม่น่าจะอยู่ที่นี่” ฟ่านฉงดื่มน้ำอึกใหญ่ ยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว


“ตึกนั่นมีอะไรที่โดดเด่นเฉพาะไหม?” เฉินเกอรีบถาม


“มันดูธรรมดามาก ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ว่ามีโปสเตอร์ของสวนสนุกติดเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของตึก บอสเฉิน นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ผมโทรมา!” ฟ่านฉงสูดลมหายใจลึก “สวนสนุกในโปสเตอร์นั่นน่าจะเป็นสวนสนุกนิวเซนจูรี่ บ้าเอ๊ย ผมเห็นกระทั่งบ้านผีสิงของคุณบนโปสเตอร์นั่น”


“คุณเห็นบ้านผีสิงของผมในโปสเตอร์?” เฉินเกอถามออกไปเสียงดัง


“ใช่ ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ผมเชื่อว่ามันหมายถึงว่าผู้สร้างเกมน่าจะรู้จักคุณ และนี่น่าจะเป็นสุดยอดอีสเตอร์เอ้กที่ซ่อนเอาไว้” ฟ่านฉงยังดูตื่นเต้นอยู่


“ทุกวันนี้ สวนสนุกน่ะเลิกอาศัยโปสเตอร์เพื่อโฆษณาแล้ว นอกจากนี้ หน้าตาของบ้านผีสิงของผมก็เปลี่ยนไปมาก ดังนั้นโปสเตอร์ที่คุณเห็นน่าจะเป็นสมัยพ่อกับแม่ของผมแล้ว” สิ่งที่เฉินเกอพูดนั้นดูมีเหตุผลสำหรับเขาเอง เขาไม่คิดจริง ๆ ว่าจะพบเงื่อนงำที่พ่อกับแม่ของเขาทิ้งเอาไว้ในเกมของเสี่ยวปู้


เขาคิดกลับไปถึงทุกอย่างที่ฟ่านฉงพูด หลังจากจัดการกับภารกิจย่อยทั้งหมดแล้ว เสี่ยวปู้ก็เข้าไปในตึกหลังหนึ่ง และสิ่งที่เธอพูดก็มีแค่ว่าแม่ของเธอน่าจะอยู่ในตึกนั้น เฉินเกอไม่รู้ว่าเสี่ยวปู้จะพบแม่ของเธอหรือไม่ แต่เฉินเกอพบว่าพ่อกับแม่ของเขาน่าจะเคยเข้าไปในตึกหลังนั้นมาก่อน


นี่คือเงื่อนงำที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ หรือว่าโปสเตอร์นั้นเป็นกับดักอีกอันที่เงานั่นวางเอาไว้?


ในเมื่อพลังของเงานั่นค่อนข้างแปลก มันสามารถปลอมเป็นใครก็ได้ หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งหนึ่งเพื่อไตร่ตรอง จู่ ๆ เฉินเกอก็ถามคำถามหนึ่งกับฟ่านฉง “รถจักรยานไฟฟ้าที่คุณใช้ก่อนหน้านี้ยี่ห้ออะไรนะ?”


“ฮะ? ของอ้ายเหนี่ยวน่ะ มีอะไรเหรอ?” ฟ่านฉงกำลังตื่นเต้น– ในที่สุดเขาก็สามารถเคลียร์เกมได้หลังจากใช้เวลากับมันทั้งวันพยายามผ่านมันไปให้ได้ เขาแทบจะไม่มีใครที่จะแบ่งปันความสุขนี้ได้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ เฉินเกอจะถามคำถามแบบนั้นออกมา คำตอบก็ผ่านปากเขาออกไปโดยไม่ทันได้คิด


“น่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เฉินเกอถอนหายใจโล่งอก ฟ่านฉงน่าจะเป็นตัวจริง ดังนั้นเขาจึงตอบคำถามได้อย่างดี “หลังจากเสี่ยวปู้เข้าไปในบ้านสีแดงนั่นแล้วเกิดอะไรขึ้นอีกไหม?”


“ผมขอโทษด้วยแต่ผมบอกไม่ได้แล้ว เกมติดอยู่ที่ตรงนั้น ผมลองโหลดเกมใหม่อีกหลายครั้ง แต่นั่นก็ไกลที่สุดที่ผมไปได้แล้ว ผมเชื่อว่านี่น่าจะเป็นจุดจบของเกม เสี่ยวปู้ ที่ตามหาแม่ของเธอ ก้าวเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของฝันร้ายของเธอและพบห้องที่แม่ของเธอน่าจะเคยอยู่ในเมืองนี้ที่เต็มไปด้วยฆาตกรและผีร้าย เกมตัดสินใจจบลงที่นี่เพราะว่ามันต้องการตอนจบปลายเปิด แบบนี้ ผู้เล่นก็จะสามารถคิดถึงตอนจบแบบที่พวกเขาชอบได้” ฟ่านฉงเล่นเกมนี้มาเป็นเดือนแล้ว เขาค่อนข้างยึดติดกับประสบการณ์ในเกมนี้โดยไม่รู้ตัว มันเหมือนกับเขามีชีวิตผ่านประสบการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเอง


“คุณติดเกมนี้เข้าแล้วใช่ไหมเนี่ย? คืนนี้จับตามองคอมพิวเตอร์ของคุณเอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น โทรหาผมทันที” เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ เชื่อมโยงกันมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ และเมื่อโยงแต่ละจุดเข้าด้วยกัน เขาก็ถูกบังคับให้ต้องเดินหน้าต่อไป “ระวังตัวด้วย คืนนี้น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองหลี่ว่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คืนนี้อย่าออกจากบ้าน”


เฉินเกอหันไปมองผู้โดยสารที่แปลกและประหลาดบนรถเมล์ ‘คน’ ทั้งหมดนี้ล้วนมุ่งหน้าไปยังเมืองหลี่ว่าน นั่นเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของพวกเขา


“ไม่ต้องห่วง ผมจะอยู่ดูเสี่ยวปู้คืนนี้ และถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมจะโทรหาคุณเป็นคนแรก” ฟ่านฉงเพิ่งพูดจบตอนที่มีเสียงเคาะประตูดังมาจากลำโพง “บอสเฉิน มีคนเคาะประตูฝั่งคุณหรือเปล่า?”


“ไม่มีหรอก ผมอยู่ข้างนอก และรอบตัวก็ไม่มีประตูด้วย เสียงเคาะดังมาจากฝั่งคุณ” เฉินเกอหรี่ตา “อย่าเปิดประตู และอย่าวางสาย”


“เสียงเคาะดังมาจากฝั่งผม? แต่ทำไมมันถึงเหมือนดังผ่านโทรศัพท์มาล่ะ?” ความตื่นเต้นหายวัยไปจากน้ำเสียงของฟ่านฉง– มันแทนที่ด้วยความไม่แน่ใจและสับสน เสียงเคาะในโทรศัพท์ดังชัดขึ้น เฉินเกอกลั้นหายใจเพื่อฟังให้ชัดขึ้น ฟ่านฉงเองก็กลั้นหายใจ แต่สำหรับเขานั้นเป็นเพราะว่าเขากลัว


“อย่าทำร้ายผม ผมไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลยในชีวิต” มีเสียงเก้าอี้เลื่อน มันฟังเหมือนฟ่านฉงขยับไปหลบอยู่บนเตียง แต่ว่า นั่นก็ไม่ได้หยุดเสียงเคาะประตูที่ดังสม่ำเสมอ


เฉินเกอได้ยินชัดเจนจากทางฝั่งเขา เสียงเคาะดูเหมือนจะเริ่มต้นที่ประตูห้องนั่งเล่นก่อนที่จะย้ายมาที่ประตูห้องนอนช้า ๆ เหมือนมีบางอย่างเข้ามาในห้องฟ่านฉง และเจ้าสิ่งนั้นก็ขยับเข้าไปหาเขาช้า ๆ


“ไม่ต้องกลัว เปิดกล้องมือถือของคุณแล้วหันกล้องไปทางประตู– ผมจะช่วยคุณดูเอง” เฉินเกอเป็นกังวลแทนฟ่านฉงเหมือนกัน แต่ว่า ตัวเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นต่อให้อยากจะไปช่วยฟ่านฉง เขาก็ทำไม่ได้


“โอะ… โอเค” ฟ่านฉงเสียงสั่น เขากำลังยุ่งกับโทรศัพท์ของตัวเองตอนที่เสียงเคาะดังขึ้นอีก ก่อนที่เขาจะทันได้จัดการกับกล้อง เสียงกรีดร้องของฟ่านฉงก็ก้องผ่านโทรศัพท์มา “พี่ใหญ่! ช่วยผมด้วย! ในห้อง! เขาอยู่ในห้อง!”


เสียงกรีดร้องตามมาด้วยเสียงดิ้นรน เหมือนตู้ล้มเก้าอี้พลิกคว่ำ เสียงเคาะบนประตูฟังดูหนักแน่นขึ้นจนกระทั่งสิบวินาทีให้หลังตอนที่เสียงเคาะจู่ ๆ ก็หายไปเหมือนตอนที่มันปรากฏขึ้น และที่อีกฝั่งของโทรศัพท์ก็กลายเป็นเงียบอย่างน่ากลัว


“ฟ่านฉง?” เฉินเกอเรียกเบา ๆ เข้าไปในสาย แต่ไม่มีการตอบกลับจากอีกฝ่าย


หลายวินาทีให้หลัง มีเสียงเหมือนรองเท้าใส่ในบ้านลากไปบนพื้นเหมือนมีบางคนเหยียบมันไป จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตะโกนอย่างประหลาดใจของฟ่านต้าเตอ “เสี่ยวฉง? ฟ่านฉง!”


ผ่านเสียงตะโกนของฟ่านต้าเตอ ฟางหยวนแน่ใจได้ว่ามีบางอย่างหล่นใส่ฟ่านฉง เขาตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์ พยายามดึงความสนใจของฟ่านต้าเตอ


“ฮัลโหล? บอสเฉิน? ก่อนหน้านี้คุณคุยโทรศัพท์กับเสี่ยวฉงอยู่เหรอ?”


“ฟ่านฉงได้รับบาดเจ็บเหรอ? เขายังพูดไหวไหม? คุณส่งโทรศัพท์ให้เขาได้ไหม?” เฉินเกอเป็นห่วง


“แต่ว่าเขาไม่อยู่บ้าน! ประตูห้องนั่งเล่นและประตูห้องนอนถูกเปิดเอาไว้ มันเหมือนว่าเขาเพิ่งวิ่งออกไปจากบ้าน!” คำพูดของฟ่านต้าเตอนั้นเหมือนระเบิดลูกหนึ่ง สั่นสะเทือนหัวใจฟางหยวน


“ไม่อยู่ในห้อง?” เฉินเกอนั้นนึกถึงเงานั่นทันที “ทำไมเขาถึงไล่ล่าฟ่านฉง? และเขารู้ที่อยู่ของฟ่านฉงได้ยังไง?”


“คุณขอให้เขาออกไปหรือเปล่า?” หลังจากได้ยินเสียงเฉินเกอจากอีกปลายสาย ฟ่านต้าเตอก็ใจเย็นลงมาก เขาเชื่อใจเจ้าของบ้านผีสิงคนนี้ที่อายุน้อยกว่าเขามา มีเขาคอยช่วย หลายปัญหาก็คลี่คลายได้โดยง่าย


“ก่อนหน้านี้มีคนบุกเข้าไปในบ้านคุณ มันน่าจะเป็นฆาตรกรสักคนที่หนีออกมา ชื่อว่า เจียหมิง ผมแนะนำให้คุณโทรหาตำรวจทันทีและบอกเขาทุกอย่างที่คุณรู้ นอกจากนั้นแล้ว ลองมองหาที่ซ่อนที่คุณจะแอบอยู่ได้ในบ้านของคุณ ทำให้แน่ใจว่าตัวเองปลอดภัยดีก่อนที่ตำรวจจะมาถึง” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ฆาตกร? ทำไมเขาถึงมาบ้านของพวกเราล่ะ? เสี่ยวฉงไม่มีทางไปล่วงเกินคนแบบนั้นแน่!” เสียงของฟ่านต้าเตอสูงขึ้นจากความวิตกกังวล


“ผมจะไปถึงที่นั่นเดี๋ยวนี้ คุณทำสิ่งที่ต้องทำก่อน เรียกตำรวจและดูแลตัวเองดี ๆ”


“ได้ ผมจะเรียกตำรวจเดี๋ยวนี้” หลังจากฟ่านต้าเตอวางสาย เฉินเกอก็มองหน้าจอโทรศัพท์ หมัดของเขาค่อย ๆ กำแน่น ศัตรูของเขาลักพาตัวฟ่านฉงไปขณะที่เขากำลังคุยโทรศัพท์ด้วยอยู่ ศัตรูคราวนี้กดดันเฉินเกอได้มากทีเดียว


“เสียงเคาะที่ดังมานั่นเป็นสัญญาณว่าเงานั่นกำลังลงมือ แต่นั่นมันหมายความว่าเขาทำเรื่องนี้เองคนเดียวหรือว่ามีความช่วยเหลือจากผีอื่น?” เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ เขากำมือเข้าด้วยกันแน่น ก้มหน้าต่ำเพื่อทวนทุกเหตุการณ์ในหัว จู่ ๆ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น “มีบางอย่างแปลก ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป พอมาคิดตอนนี้ สิ่งสุดท้ายที่ฟ่านฉงตะโกนออกมาฟังดูประหลาด มันเหมือนมีบางคนเอามือปิดปากเขาไว้ และเขาก็ตะโกนคำนั้นออกมาขณะกำลังดิ้นหนี”


เฉินเกอดึงกระดาษและปากกาออกมาจากกระเป๋าและเขียนทุกอย่างที่ฟ่านฉงตะโกนออกมาลงไป


“พี่ใหญ่! ช่วยผมด้วย! ในห้อง! เขาอยู่ในห้อง!”


สี่คำที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แวบแรกเลยนั้นมันน่าจะหมายถึงฟ่านฉงร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของเขาที่อยู่ในบ้านเดียวกันกับเขา แต่พอคิดจากอีกมุมหนึ่ง ถ้า ‘ช่วยผมด้วย’ นั้นไม่ได้บอกพี่ชายของเขาแต่บอกเฉินเกอ อย่างนั้นความหมายของประโยคทั้งหมดก็จะเปลี่ยนไปแล้ว


“เป็นไปได้ไหมว่าฟ่านฉงเปิดประตูไปห้องฟ่านต้าเตอแต่เขากลับพบว่าพี่ชายของเขากำลังทำสิ่งที่แปลกออกไปเทียบกับปกติ อย่างเช่นกำลังถือมีดเอาไว้ในมือ ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจึงร้องเรียกพี่ชายตัวเองออกมา และหันมาหาโทรศัพท์เพื่อขอความช่วยเหลือจากฉัน ‘เขาอยู่ในห้อง’ ก็จะหมายความว่าพี่ใหญ่ที่ประหลาดไปนั้นเข้ามาในห้องเพื่อจับเขา”


ประโยคเดียวกันนั้นมีความหมายที่ต่างออกไปขึ้นกับว่าฟ่านฉงนั้นพูดกับใคร


“เป็นไปได้ไหมว่าเงานั่นเข้าครอบครองร่างฟ่านต้าเตอหลังจากหนีออกมาจากโรงพยาบาล? อย่างนั้นแล้วจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่เจิ้งและเจียหมิงได้อย่างไร?” เฉินเกอรู้สึกเหมือนสันหลังเย็นวาบขึ้น– เขารู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ “หวังว่าฉันจะคิดมากไปเอง”


หากฟ่านต้าเตอกลายเป็นเหยื่อของเงานั่น อย่างนั้นบ้านของฟ่านฉงก็จะเป็นกับดักอันตราย เงานั่นกำลังรอให้เฉินเกอไปหาเพื่อจัดการเอาชีวิตเขา


“ฉันควรไปช่วยเขาไหม?” ดวงตาของเฉินเกอกวาดมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในรถ เขาหรี่ตาลงขณะที่แผนการหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ

 

 

 


ตอนที่ 623

 

คำพูดของเด็ก

เขตที่พักอาศัยที่ฟ่านฉงพักอยู่นั้นเรียกได้ว่าอันตรายมาก หากเฉินเกอไปที่นั่น เขาก็คงตกลงไปในกับดักที่เงานั่นวางเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงหันไปสนใจผู้โดยสารคนอื่น ๆ ส่งคนอื่นไปสู้กับศัตรูของเขา เฉินเกอนั้นเคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อนแล้วตอนที่เล่นเกมของเสี่ยวปู้


คนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ และมันย่อมไม่ง่ายที่จะเข้าไปมีอิทธิพลต่อความคิดของพวกเขาและให้พวกเขายินดีเป็นหน่วยสอดแนมให้ฉัน ฉันต้องวางแผนนี้อย่างรอบคอบ


จากที่เฉินเกอเห็น ไม่ว่าจะเป็นชายหน้ายิ้มหรือว่าส้นสูงสีแดง พวกเขาล้วนกลายมาเป็นอาวุธของเขาได้ เขาไม่สนใจว่าคนเหล่านี้ต้องการทำอันตรายเขาหรือไม่ เขาสนใจเพียงแค่ระดับพลังของคนเหล่านี้ หากพวกเขาอ่อนแอเกินไป เฉินเกอก็เกรงว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถทำหน้าที่ง่าย ๆ อย่างการสอดแนมได้ เฉินเกอไม่ต้องการบอกเล่าความคิดของเขากับคนอื่น ๆ หากหมอรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาย่อมเชื่อว่าเฉินเกอนั้นเสียสติไปแล้วเป็นแน่


เรื่องราวยิ่งมายิ่งน่าสนใจแล้ว


มีอุบัติเหตุมากมายเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เขาจะไปถึงเมืองหลี่ว่าน สิ่งต่าง ๆ หลุดออกจากการควบคุมของเฉินเกอ และไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวินาทีถัดไป


ฉันไม่สามารถกลับไปที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ได้แล้วตอนนี้ หลี่เจิ้งนั้นมีปืน และหากเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของเงานั่นจริง ๆ อย่างนั้นฉันก็จะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงหากกลับไปที่สวนสนุก


หากเงานั่นสามารถควบคุมหลี่เจิ้งได้ อย่างนั้นเขาก็สามารถเข้าครอบครองร่างของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ ได้ นรกเหอะ กระทั่งยามชราที่ทั้งใจดีและสุภาพที่สวนสนุกก็ยังสามารถทำร้ายเฉินเกอได้ นี่เป็นศัตรูที่รับมือได้ยากที่สุดที่เฉินเกอเคยเผชิญหน้ามาเลย ตั้งแต่เริ่มเกม เขาก็ไม่สามารถเชื่อถือใครที่อยู่รอบตัวได้เลย


เพื่อจัดการกับเงานั่น ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คืออาศัยสองมือของเขาเอง แทนที่จะรอให้ตัวเองตกลงไปในกับดักของมัน เฉินเกอควรจะเดินทางลัดตัดตรงสู่รังของเงานั่น หาร่างจริงของมันแล้วฆ่ามันซะ


การจัดการกับศัตรูที่ฉลาดและยังเหี้ยมโหดถึงขนาดนี้ เฉินเกอนั้นมีแผนการที่สมบูรณ์แล้ว ต้องอาศัยข้อได้เปรียบของตัวเองและหลีกเลี่ยงจุดอ่อนของตัวเอง– โดยที่ยังวางเอาความปลอดภัยของเขาเองไว้สำคัญที่สุด พยายามจัดการกับศัตรูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าเงานั่นจะวางแผนการอะไรไว้ลึกแค่ไหน หากเฉินเกอไม่ให้เงานั่นมีเวลาวางแผน ความฉลาดของมันก็เสียเปล่าแล้ว


ฉันไม่รู้ว่าเงานั่นซ่อนตัวอยู่ที่ไหนตอนนี้ เขาอาจจะรอลงมืออยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ หรือว่าแอบอยู่หลังประตูบ้านฟ่านฉง หรือกระทั่งอยู่บนรถเมล์คันนี้ก็ได้ ฉันต้องตื่นตัวให้มากเข้าไว้ มันจะแสดงตัวตนออกมาจริง ๆ เมื่อมันมั่นใจหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่าสามารถสังหารฉันได้


เฉินเกอนั้นประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ จิ่วเจียงตะวันออกนั้นนับเป็นพื้นที่ของเงานั่น และเมืองหลี่ว่านก็คือรังของมันที่มันควบคุมเอาไว้มานานหลายปี มันไม่เคยมีการต่อสู้อย่างยุติธรรมระหว่างเขากับเงานั่นอยู่ตั้งแต่ต้นแล้ว


“รถเมล์กำลังจะเข้าป้ายถัดไป กรุณานั่งประจำที่!”


ตอนที่เฉินเกอกำลังจัดระเบียบความคิดต่าง ๆ ของตัวเอง รถเมล์ก็ถึงป้ายถัดไป ประตูรถเปิดออก และสายลมรุนแรงก็พัดเอาเม็ดฝนเข้ามาในรถ หน้าต่างรถลั่นกราว และร่วมกับเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมา มันก็เหมือนว่าหน้าต่างจะแตกออกเมื่อไหร่ก็ได้


“พ่อ ผมกลัว…” เสียงอ่อนเยาว์ดังมาจากด้านนอกรถ


“ไม่เป็นไร พวกเราจะไปถึงปลายทางในไม่ช้า และพ่อกับแม่ก็ไปกับแกด้วยไง” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งใบหน้าซีดขาวดึงเด็กชายอายุประมาณห้าปีขึ้นมาบนรถ ที่ตามหลังพ่อกับลูกมานั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง


ผู้โดยสารประหลาดต่างกันไปนี้สามารถพบได้บนรถเมล์สาธารณะที่ดูน่ากลัวคันนี้ เด็กชายยืนอยู่ในทางเดินด้วยท่าทางจนปัญหา ไม่แน่ใจว่าจะวางมือตัวเองตรงไหนดี จากสีหน้าของเขา มันเหมือนเขากำลังจะร้องไห้แล้ว


“ไม่เป็นไร พวกเราจะไปถึงจุดหมายของเราในไม่ช้า” ผู้ชายคนนั้นพูดเหมือนกับเป็นเครื่องบันทึกเทปพัง ๆ เขาวางมือบนศีรษะของเด็กชาย บังคับให้เขาหันไปไม่สบตากับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ภรรยาที่เดินตามหลังนั้นไม่พูดอะไรสักคำ ครอบครัวประหลาดสามคนขึ้นรถมาและพวกเขาก็นั่งลงที่แถวที่สี่ที่กลางรถเมล์


ครอบครัวที่จะไปเที่ยวเมืองหลี่ว่าน? เฉินเกอมองครอบครัวสามคนอยู่ครู่หนึ่ง เท่าที่เขารู้ เมืองหลี่ว่านนั้นเป็นสถานที่ซึ่งเด็กมากมายหายตัวไป เพื่อผีทารก เงานั่นตามหาเด็ก ๆ และทั้งที่มีอันตรายเช่นนี้ ครอบครัวนี้ก็ยังกล้าพาลูกของตัวเองไปเมืองหลี่ว่าน คำว่าแปลกยังอธิบายสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เลย


ยิ่งมีผู้โดยสารขึ้นรถมามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นไปได้ที่เงานั่นจะปลอมเป็นหนึ่งในคนเหล่านี้


มีเด็กเพิ่มขึ้นมาบนรถหนึ่งคนหมายถึงความเงียบจากก่อนหน้านี้นั้นพังทลายไปโดยสิ้นเชิง


“พ่อครับ กลับบ้านกันเถอะ” เด็กชายอ้อนวอนเรื่อย ๆ ในน้ำเสียงมีรอยน้ำตา “ลุงคนนั้นเอาแต่มองมาที่ผม เขาดูน่ากลัวมาก”


เด็กชายใช้นิ้วชี้ไปยังชายหน้ายิ้ม พอพ่อเขาเห็นอย่างนั้นก็รีบคว้านิ้วของลูกเอาไว้แล้วดุเขาอย่างจริงจัง “อย่าใช้นิ้วชี้คนอื่น มันหยาบคายมาก”


“แต่เขาเอาแต่จ้องผมนี่” เด็กชายอยากจะพูดกับพ่อมากกว่านี้ แต่ว่าพ่อของเขาเพิ่มแรงมือที่จับแขนของเด็กชายเอาไว้จนมันขึ้นรอยแดง เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนตัวเอง ในที่สุดเด็กชายก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว น้ำตาหยดลงมาเป็นเม็ด ๆ


“หยุดสร้างเรื่อง ถ้าแกยังทำตัวแบบนี้ ฉันจะส่งแกลงจากรถ แล้วแม่แกกับฉันก็จะไปกันเอง” คำขู่ของคนเป็นพ่อนั้นได้ผล เด็กชายพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ก้มหน้าต่ำขณะถดตัวไปนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของเก้าอี้


“อย่างนั้นสิ แกเป็นผู้ชายคนหนึ่งในครอบครัวเรา ทำไมถึงร้องไห้กับเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ได้?” ชายวัยกลางคนปล่อยมือ รอยสีแดงเข้มปรากฏชัดตรงจุดที่คนพ่อเคยกำแขนเด็กชายเอาไว้ “ไม่ใช่ว่าแกอยากจะไปเจอพี่สาวของแกเหรอ? พอเราไปถึง พวกเราก็สามารถไปหาพี่สาวของแกได้ไง”


“พี่สาว? จริงเหรอครับ?” เด็กชายช้อนตาขึ้นมองเผยให้เห็นดวงตาวาววับคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นราวกับไข่มุกที่สวยที่สุดบนโลก มันใสกระจ่างและเป็นประกาย เหมือนดวงตาของเด็กชายนั้นเก็บเอาดวงดาวบนท้องฟ้าทั้งหมดเอาไว้


“แน่นอน ฉันเคยโกหกแกเมื่อไหร่กัน?” ชายวัยกลางคนฝืนยิ้มออกมาและขยี้ผมเด็กชาย


“แต่…” เด็กชายยังลังเล และดวงตาของเขาก็เผยแววไร้เดียงสาแบบเดียวกัน “พี่สาวบอกผมว่าพี่ถูกแม่ฆ่า และแม่ก็มาบอกผมว่าพี่สาวหายตัวไป และตอนนี้พ่อก็กำลังบอกผมว่าพวกเรากำลังจะไปหาพี่สาว ผมไม่รู้แล้วว่าจะเชื่อใครได้…” ก่อนที่เด็กชายจะทันพูดจบ เขาก็ถูกพ่อของเขาขัดขึ้นอย่างรุนแรงด้วยการจิกดึงผมเขาแรงจนเด็กชายตัวลอยขึ้นจากเบาะ


“โอ๊ย! ขอโทษครับพ่อ ผมจะไม่พูดอย่างนี้แล้ว! ยกโทษให้ผม พ่อครับ!”


“หุบปากซะ!” ชายวัยกลางคนที่ยังกำผมเด็กชายเอาไว้ผลักเด็กชายกลับไปที่ที่นั่ง ใบหน้าของชายคนนั้นดำทะมึนเหมือนท้องฟ้าไร้แสงจันทร์


เด็ก ๆ นั้นน้อยนักที่จะกลั่นกรองถ้อยคำก่อนจะพูดออกมา ดังนั้นบางครั้งพวกเขาก็พูดบางอย่างที่ไม่ควรออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ


หมอและเฉินเกอที่นั่งอยู่ท้ายรถได้ยินสิ่งที่เด็กชายพูด แต่ไม่มีใครตัดสินใจทำอะไร ความเงียบกลับคืนมา แต่บางครั้งก็มีเสียงสูดจมูกเงียบ ๆ จากเด็กชายดังมา


ฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง และรถเมล์ก็ออกจากป้าย ตอนนี้ พวกเขาอยู่ใกล้เมืองหลี่ว่านมากแล้ว อันที่จริง ยังเหลืออีกสามหรือสี่ป้ายก็จะถึงแล้ว


“นี่น่าจะเป็นผู้โดยสารกลุ่มสุดท้ายแล้วใช่ไหม?” เฉินเกอลุกขึ้น ตัดสินใจลงมือตามแผนการ เขาเปิดเครื่องเล่นเทป เฉินเกอเดินไปด้านหน้ารถ และด้วยการจับตามองจากชายหน้ายิ้มและหมอ เขาก็ก้มลงไปเก็บรองเท้าส้นสูงสีแดงขึ้นมา

 

 

 


ตอนที่ 624

 

ฉากที่มีความยากระดับ 3.5 ดาว

“รองเท้าส้นสูงคู่นี้มาจากไหนกัน?” เฉินเกอเก็บรองเท้าขึ้นมาเหมือนนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นมัน ได้ยินอย่างนั้น คนขับรถ ถังจวิน ก็มองเข้าไปในกระจกมองหลัง เขายังหลั่งเหงื่อเย็น ๆ อยู่– บอสใหม่ของเขาต่างไปจากคนทั่วไปจริง ๆ


คนที่ไม่ได้มีจิตใจผิดปกติย่อมไม่เข้าหาผีด้วยตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ว่าบอสของเขานั้นต่างไปโดยสิ้นเชิง เขามุ่งหน้าขึ้นเขาไปแม้จะรู้ว่ามีเสือร้ายด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ นรกเถอะ เขายินดีเข้าไปในถ้ำเสือด้วยซ้ำถ้าหากว่าจะได้อะไรกลับออกมา– นี่เป็นคนประเภทที่ไม่สนใจผลที่จะตามมา


เขาคิดจะโน้มน้าวบอสของเขา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหน ดังนั้นเขาจึงหุบปากเงียบเอาไว้แล้วตั้งใจขับรถต่อไป ไม่มีใครบนรถกล้าตอบคำถามของเฉินเกอ– พวกเขาล้วนมองไปที่เฉินเกออย่างประหลาดใจ


“ตอนนี้เขาจะทำอะไรอีกเนี่ย?” หมอยกผ้าพันคอขึ้นมาพันรอบใบหน้าให้กระชับขึ้น เผยออกมาเพียงแค่ดวงตาสองข้างเท่านั้น เมื่อคิดถึงว่าเขาแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาย่อมไม่ก้าวออกไปช่วยเฉินเกอ


สำหรับครอบครัวสามคนแล้ว ภรรยาและลูกชายเอาแต่ก้มหน้าต่ำ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ว่า คนสามีนั้นยิ้มชั่วร้ายออกมาเหมือนดีใจที่จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเฉินเกอ


ขี้เมาที่เป็นผู้โดยสารคนแรกของรถเมล์ ตอนนี้เขาฟุบไปกับที่นั่งและหมดสติไป ตั้งแต่นั้นเขาก็ยังคงไม่ได้สติขึ้นมา


ชายหน้ายิ้มนั้นมองเฉินเกอ และเฉินเกอก็บังเอิญสบตากับเขา


“คุณอยู่ใกล้ที่นั่งนี้ที่สุด คุณรู้ไหมว่าใครลืมรองเท้าคู่นี้เอาไว้?” ถือรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นี้เอาไว้ในมือนั้นทำให้เขามีความรู้สึกประหลาด ๆ จากฝ่ามือ– มันเหมือนกำลังแตะอยู่บนผิวหนังมนุษย์ที่ชุ่มไปด้วยเลือด เฉินเกอถือรองเท้าไว้ด้วยมือหนึ่งและเดินตรงไปหาชายหน้ายิ้มช้า ๆ


“นี่เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ทำให้คนผู้หนึ่งขุ่นเคืองไม่พอ เขายังก่อกวนถึงสองคนพร้อมกัน? นี่เขาไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผีอยู่จริง ๆ งั้นเหรอ? เขาคิดว่าฉันโกหกเขาเมื่อตอนที่พวกเราเจอกันครั้งก่อนบนรถคันนี้เหรอ?” หมอนั้นเป็นกังวลแทนเฉินเกอ เขาแน่ใจว่าเขาบอกเฉินเกอไปก่อนหน้านี้แล้วว่าชายหน้ายิ้มนั้นสังหารคนทั้งคันรถมาแล้ว แต่เฉินเกอก็ยังเป็นฝ่ายพุ่งออกไปท้าทายเขา การกระทำนี้ทำให้หมอต้องงุนงง


เฉินเกอที่ถือรองเท้าคู่นั้นเอาไว้เดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ชายหน้ายิ้ม เขาโบกรองเท้าไปมาตรงหน้าคนผู้นั้น


“คุณดูเครียดมาก” เฉินเกอนั้นวางรองเท้าส้นสูงลงข้าง ๆ ขาของชายหน้ายิ้มอย่างเป็นธรรมชาติมาก “เจ้าของรองเท้าคู่นี้น่าจะสวยมากเพราะว่ารสนิยมอันดีของเธอนั้นเห็นได้ชัดเจนจากรองเท้าส้นสูงคู่นี้ที่ดูสวยงามถึงเพียงนี้ คุณคิดว่าอย่างนั้นไหม?”


ชายหน้ายิ้มเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เขาเค้นคำพูดออกจากปากทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่ “เอามันออกไป”


นิสัยของคนผู้หนึ่งนั้น บางส่วนก็สามารถดูออกได้จากน้ำเสียง ในน้ำเสียงของชายหน้ายิ้มนั้นไม่มีร่องรอยขำขัน และเขาก็เว้นวรรคระหว่างแต่ละคำนานเกินจำเป็นเหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมานานแล้ว


“คุณเกลียดรองเท้าคู่นี้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมล่ะ? นี่เป็นรองเท้าส้นสูงสีแดงที่น่ารักขนาดนี้เลยนะ” ขาของเฉินเกอนั้นตึงเขม็ง เขาพร้อมที่จะถอยออกไปทันทีหากจำเป็น


สำหรับคนอื่นแล้ว มันดูเหมือนเฉินเกอกำลังเล่นกับไฟ หรือพูดให้ตรงกว่านั้น ล้อเล่นกับความตาย พวกเขาไม่รู้ว่าเฉินเกอไปเอาความกล้าจากไหนมาทำเรื่องอย่างนี้ และยังไม่รู้ด้วยว่าเฉินเกอทำแบบนี้ไปทำไม รถเมล์เกือบจะไปถึงเมืองหลี่ว่านแล้ว และเฉินเกอก็มีเวลาเหลือไม่มาก หากเขาสามารถใช้ผู้โดยสารที่บนรถได้ พวกเขาก็จะได้ผู้ช่วยที่ดี แต่ว่า หากเขาเอาชนะคนพวกนี้พวกนี้ไม่ได้ เขาก็จะเข้าสู่สนามรบด้วยสภาพที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้าแล้ว เขาไม่ต้องการมาระแวงถึงผู้โดยสารเหล่านี้ตอนที่รับมือกับเงานั่น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลองลงมือก่อน


การใช้รองเท้าส้นสูงสีแดงทดสอบชายหน้ายิ้มนั้นเป็นสิ่งที่เฉินเกอตัดสินใจกะทันหัน รองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นตอนแรกปรากฏขึ้นที่ป้ายรถเมล์ว่างเปล่า เฉินเกอไม่รู้ว่าพวกมันขึ้นมาบนรถได้อย่างไร– เขาเพียงแค่สังเกตเห็นพวกมันและพวกเขามันก็ขึ้นมานั่งที่ที่นั่งแถวแรกแล้ว


เดิมที เฉินเกอไม่ได้คิดมาก แต่ปฏิกริยาประหลาดของชายหน้ายิ้มนั้นสะดุดความสนใจของเขา หมอบอกเขาว่าชายหน้ายิ้มนั้นครั้งหนึ่งเคยสังหารคนทั้งคนรถ ดังนั้นเขาน่าจะเป็นตัวละครที่อันตรายมาก แต่หลังจากเขาขึ้นมาบนรถ เขากลับหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงสีแดงและยังเลือกที่นั่งแถวที่สองอย่างไม่ลังเล


ชายหน้ายิ้มนั้นทิ้งระยะกับรองเท้าส้นสูง เขาระแวงอะไรมัน?


เฉินเกอนั้นไม่เคยประมาทศัตรูของตัวเอง คิดถึงที่ว่ากันว่าคนยิ่งแรงเยอะก็ยิ่งโง่ อันที่จริงแล้ว เหล่าวิญญาณนั้นยิ่งทรงพลังเท่าใด พวกมันก็เฉียบแหลมเท่านั้น พวกมันรู้วิธีการปิดบังและแอบซ่อนตัวเอง พวกมันรอให้เหยื่อประมาทและจากนั้นก็หักคอเหยื่อด้วยการลงมือครั้งเดียว


ชายหน้ายิ้มไม่วุ่นวายกับรองเท้าส้นสูงเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่เขาไม่ได้คิดว่าเฉินเกอ ตัวละครตัวหนึ่งจะทำสิ่งที่ผู้อื่นคิดไม่ถึง


เฉินเกอนั้นไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองมากนักเพราะว่าเขาทำตามหลักการที่เหนือกว่า และนั่นก็คือทำให้สิ่งที่ศัตรูไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ปรากฏขึ้นมาจริง ๆ


เห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงที่ข้างขาแล้ว ชายหน้ายิ้มก็ใบหน้าทะมึนลง แต่กระทั่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังคงยังยกมุมปากขึ้นเอาไว้ได้ บางทีปิศาจตนนี้คงจะผ่านการกระทบกระเทือนบางอย่างมาตอนที่ยังเด็กหรืออาจจะต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาพเจ็บป่วยบางอย่างจนมีเพียงแค่สีหน้าเช่นนี้เท่านั้นที่เขาแสดงออกมาได้


รอยยิ้มไม่เปลี่ยน แต่ว่าสีขาวในดวงตาของเขาเริ่มมีประกายสีเทาและเส้นสีดำบิดไปมาเริ่มลามออกมาจากม่านตาของเขา มันดูน่าคลื่นไส้มากจริง ๆ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขายังเหนือกว่านั้น ลำคอที่เดิมก็ยาวกว่าธรรมดาอยู่แล้วเริ่มยาวขึ้น และรอยพับบนคอของเขาก็ฉีกออกเผยให้เห็นผิวหนังสีเทาเข้ม ปิศาจนี้ต่างไปจากวิญญาณสีเลือดที่เฉินเกอเคยเจอมาก่อน เขาไม่ได้มีอะไรที่จะบอกได้ว่าเขาเป็นผี อันที่จริง เฉินเกอแน่ใจว่าเขาเป็นมนุษย์อยู่ แต่ว่า สิ่งที่แผ่ออกมาจากชายหน้ายิ้มนั้นต่างไปจากคนทั่วไป และเฉินเกอก็ยังไม่พบเจออะไรที่จะบ่งบอกถึงผีบนร่างของชายคนนี้้


“เอามันออกไป!” เสียงเย็น ๆ ก้องออกมาจากปากชายคนนี้ ชายหัวเห็ดร่างโอนเอนไปเล็กน้อยและรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ฉีกกว้างมากขึ้น ฟันอย่างสัตว์ร้ายที่เหมือนถูกขัดไว้จนเรียบปรากฏขึ้น พวกมันต่างไปจากฟันของคนทั่วไป เมื่อมองไปแล้ว มันดูเหมือนปากของสัตว์สักตัวมากกว่า


เสียงเครื่องเล่นเทปดังขึ้นในหูเฉินเกอ มีเพียงตอนที่เฉินเกออยู่ในอันตรายที่ซู่อินจะส่งสัญญาณเตือนออกมา ครั้งสุดท้ายที่ซู่อินเตือนก็คือตอนที่เฉินเกอเผชิญหน้ากับเงานั่นที่การประปา


ผู้ชายคนนี้น่ากลัวขนาดนั้นเลย? ซู่อินนั้นห่างจากการเป็นวิญญาณสีเลือดโดยสมบูรณ์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น และเขาก็ยังเป็นคนที่จะสู้ได้ดีขึ้นเมื่อได้รับบาดเจ็บ เขาไม่เคยมีท่าทีหวาดกลัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายหน้ายิ้ม เขากลับรีบเตือนเฉินเกอ


ผู้ชายคนนี้อันตรายกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก


ซู่อินนั้นเป็นคนที่ต่อสู้ได้ดีที่สุดเป็นอันดับสองที่เฉินเกอมีอยู่ หากเขาเตือนออกมา อย่างนั้นสิ่งนั้นก็ย่อมต้องอันตรายมากทีเดียว


ปิศาจแบบไหนกันที่มาปรากฏขึ้นบนรถเมล์ก่อนที่ฉันจะไปเมืองหลี่ว่าน มันยากที่จะคิดภาพแล้วว่าเมืองหลี่ว่านนั้นมีปิศาจแบบไหนอยู่บ้างในหลายปีมานี้


ในที่สุด เฉินเกอก็ไม่ได้เอารองเท้าส้นสูงออกมา เขาปล่อยพวกมันเอาไว้กับชายหน้ายิ้มและพุ่งไปหาคนขับ นี่เป็นยานพาหนะของเขา ดังนั้นเขาจึงเป็นคนออกกฎ เขาจะให้ถังจวินขับรถคันนี้ไปยังเขตที่พักที่ฟ่านฉงอยู่ ไม่ว่าจะมีกับดักแบบไหนรอเขาอยู่ เขาก็จะพุ่งผ่านมันไปพร้อมกับพ่วงเอาชายหน้ายิ้มและรองเท้าส้นสูงสีแดงไปด้วย


ฉันลงมือวู่วามเกินไปหรือเปล่า? โอ้ บ้าชะมัด ไม่มีเวลามาค่อย ๆ คิดเรื่องนี้แล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 625

 

ผู้โดยสารคนสุดท้าย

เฉินเกอแอบกระซิบกับถังจวินให้เขาเปลี่ยนป้ายสุดท้าย ตอนที่พวกเขาถึงเมืองหลี่ว่าน รถจะมุ่งหน้าไปยังเขตที่พักอาศัยที่ฟ่านฉงอยู่ หลังจากพวกเขาตกลงกันได้แล้ว เฉินเกอก็เดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองที่ท้ายรถ ตอนที่เขาผ่านชายหน้ายิ้ม ความหนาวยะเยือกก็เหมือนจะแผ่ออกจากหัวใจของเขา


พอหันกลับไปมอง หน้ายิ้มนั่นก็กำลังมองมายังเฉินเกอด้วยดวงตาที่มีม่านตาสีเทาคู่นั้น


“ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องจะบอกฉันเยอะเลย ทำไมเขาถึงไม่แค่ย้ายรองเท้าส้นสูงคู่นั้นออกไปห่าง ๆ หากไม่ชอบมันขนาดนั้น? ทำไมมันถึงดูเหมือนว่าเขาไม่อยากกระทั่งจะแตะรองเท้าคู่นั้น? เป็นไปได้ไหมว่ารองเท้าคู่นั้นมีคำสาปอะไรอยู่?”


ขณะที่เฉินเกอกำลังพึมพำกับตัวเอง เขาก็เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้หลุดจากปาก จากท่าทีของชายหน้ายิ้ม บางทีอาจจะมีคำสาปติดอยู่กับรองเท้าคู่นั้นจริง ๆ


“โอ้ ดีเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็แตะต้องมันไปแล้ว ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลง ฉันก็แค่ต้องเหวี่ยงรองเท้าคู่นั้นใส่เงานั่นตอนที่ฉันเจอมันเข้า” เฉินเกอไม่สนใจเรื่องคำสาปมากนัก อย่างไรเสีย เขาก็ได้รับจดหมายรักต้องสาปมาแล้วตอนที่ได้รับโทรศัพท์เครื่องดำมา คำสาปไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น– สิ่งที่น่ากลัวก็คือผีที่อยู่เบื้องหลังคำสาปต่างหาก


พอกลับไปที่ที่นั่งแล้ว เฉินเกอก็เลิกท้าทายชายหน้ายิ้ม เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและมองออกไปนอกหน้าต่าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ด้านนอกหน้าต่างก็มีแต่ความมืด ไม่ช้า รถเมล์ก็มาถึงป้ายสุดท้ายก่อนที่จะไปถึงเมืองหลี่ว่าน


ประตูเปิด และก็มีเสียงโซ่ลั่นดังผ่านสายฝนมา มือคู่หนึ่งที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนจนซีดขาวเอื้อมเข้ามาในรถจับราวจับเอาไว้ น้ำฝนไหลลงมาตามนิ้วของชายคนนั้น และก็มีเสียงหัวเราะแหลมสูงประหลาดดังสลับกับเสียงโซ่ลั่น ตอนที่ใบหน้าของผู้โดยสารทั้งหมดหันไปทางประตูหน้า ใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ทางเดิน


ใบหน้านั้นงดงามมาก ใคร ๆ ก็สามารถมองเห็นได้ว่าเขาเคยมีใบหน้าหล่อเหลาเพียงใดหากมองข้ามรอยแผลยาวลึกจากปลายหางตาซ้ายไปจรดมุมปากได้ จากไกล ๆ มันดูเหมือนชายคนนี้มีปากสองปาก หนึ่งนั้นในแนวนอน และอีกหนึ่งในแนวตั้ง


รอยแผลนั้นดูเหมือนเพิ่งได้รับมาไม่นาน แผลยังไม่หายดี และเมื่อโดนฝน บาดแผลก็เริ่มดูเหมือนจะอักเสบและมีหนอง ริมฝีปากบางขยับเปิดอย่างช้า ๆ เขาแลบลิ้นเลียไปที่ขอบแผลที่อยู่เหนือริมฝีปากเขาพอดี เขาดูเจ็บปวด แต่ก็น่าแปลก เขาทำเหมือนเขามีความสุขกับความเจ็บปวดนี้


“คราวนี้เป็นคนบ้าแบบไหนอีก?” เฉินเกอสรุปได้หลังจากเหลือบมองผู้โดยสารคนสุดท้ายแวบหนึ่ง


ผู้ชายคนนี้ดูจะชื่นชอบความสนใจที่เขาได้รับ เขาใช้ปลายนิ้วเสยผมที่ยุ่งเหยิงจากน้ำฝน ปลายนิ้วนั้นขาวอยู่แต่แรกก่อนที่จะจัดผม แต่หลังจากจัดผมแล้ว ปลายนิ้วนั้นก็ย้อมเป็นสีแดง ดูเหมือนว่าบนศีรษะของชายคนนี้จะมีแผล หรือบางทีอาจจะมีเลือดแห้งแข็งตัวอยู่บนเส้นผมของเขา


“น่าสนุกอะไรขนาดนี้?” ผู้โดยสารคนใหม่นั้นบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าที่เฉินเกอคิดเอาไว้ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากขึ้นมาบนรถก็คือท้าทายชายหน้ายิ้ม เขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงอันตรายอะไรเลย และลูกตาโปน ๆ ของเขาก็จ้องไปยังชายคนที่มีรอยยิ้มแขวนเอาไว้บนหน้าอย่างถาวรทั้งที่มันเห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้อารมณ์ดีอะไร


“ชายคนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนเนี่ย?” เพราะความสนใจในรายละเอียดของเขา เฉินเกอสังเกตเห็นส่วนหนึ่งของบาดแผลบนใบหน้าของชายคนนั้นนั้นเริ่มเป็นหนองแล้ว และส่วนที่เหลือก็เริ่มตกสะเก็ด ดังนั้น ด้วยการสังเกตนี้ เขาเชื่อว่าคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทำไมคนเป็นถึงจงใจท้าทายชายหน้ายิ้มคนนั้น? เป็นความกล้าจากความไม่สนใจอะไรหรือว่าเขาแอบซ่อนไพ่ตายอะไรเอาไว้?


ผู้ชายหน้ายิ้มคนนั้นกำลังกรุ่นโกรธจากการท้าทายของเฉินเกอ และตอนนี้ ก็ยังถูกชายอีกคนหนึ่งรนหาที่ตายด้วยการคุกคามเขา เส้นสีดำในม่านตาของเขาเริ่มคืบคลานเหมือนหนอน และรอยแผลแคบยาวบนริมฝีปากของเขาที่อาจจะนับเป็นรอยยิ้มได้นั้นยิ่งเปิดกว้างขึ้นอีก


ทุกคนรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว… นอกจากผู้โดยสารคนใหม่ อันที่จริง เขายังแสดงความไม่เป็นมิตรออกมาด้วยการชี้ไปยังรอยแผลบนหน้าตัวเอง “แกพยายามลอกเลียนแบบฉันอยู่เรอะ?”


หลังจากเขาขึ้นมาบนรถเมล์ ผู้โดยสารที่เหลือก็พบว่าผู้โดยสารคนใหม่นี้นั้นเปรอะไปด้วยเลือด และเขายังถือกรรไกรเล่มหนึ่งที่ยาวประมาณสามสิบเซนติเมตรเอาไว้ในมือซ้ายขณะที่ลากกระเป๋าเก่า ๆ ที่ยังมีเลือดซึมออกมาด้วยมือขวา


“ฆาตกร?” เฉินเกอมองชายคนนั้น และยิ่งมองเขาก็ยิ่งสงสัย ผู้โดยสารสวมเสื้อยืดสีขาว ถ้าเขาเพิ่งก่อเหตุฆาตกรรมมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ การกระทำผิดของเขาก็เป็นที่เข้าใจได้ แต่เขากลับดูใจเย็นจนเกินไปในการทำเรื่องเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการฆาตกรรมที่ผ่านการไตร่ตรองเอาไว้ก่อน แต่ทำไมคนที่ยังคงรักษาสติเอาไว้ได้กระทั่งหลังจากลงมือฆ่ากลับเลือกสวมเสื้อสีขาวที่หากเปื้อนเลือดจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดด้วย?


มันจะเป็นเหตุเป็นผลกว่าไหมหากจะเลือกสวมเสื้อผ้าสีเข้มที่อำพรางร่องรอยได้ดีกว่า?


“งานอดิเรกของเขางั้นเหรอ? ผู้ชายคนนี้เป็นฆาตกรก่อเนื่อง?” นี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลแล้ว ผู้ชายคนนี้นั้นต่างไปจากฆาตกรส่วนมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายสิ่งอันไม่เป็นเหตุเป็นผลที่เขาทำได้


“แต่ก็ยังมีบางอย่างที่มันดูไม่ถูกต้อง” ดวงตาของเฉินเกอขยับไปยังแขนของผู้ชายคนนั้น กรรไกรหนึ่งเล่มนั้นเป็นอาวุธที่แปลกสำหรับฆาตกรสักคนจะใช้ ไม่ใช่ว่าขวานหรือว่ามีดทำครัวจะใช้การตามจุดประสงค์ได้ดีกว่าเหรอ?


จากนั้นเขาก็หันไปสนใจกระเป๋าที่ชายคนนั้นลากมาด้วย กระเป๋าใบนั้นชุ่มไปด้วยน้ำฝน และเลือดก็ไหลซึมออกมาจากข้างในนั้น ถ้ากระเป๋านี้มีชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ เลือดย่อมไม่ซึมออกมาจากด้านบนกระเป๋าแต่ควรจะนองอยู่ที่ก้นกระเป๋า นอกจากนี้ เลือดของมนุษย์จากชิ้นส่วนร่างกายมักจะแข็งตัว และไม่ไหลออกมาเหมือนน้ำพุเช่นนี้ ดังนั้น สำหรับเฉินเกอแล้ว มันเหมือนว่ากระเป๋านี้ไม่ได้ใส่ชิ้นส่วนร่างกายอะไรเอาไว้แต่ว่าน่าจะยัดทั้งร่างที่ยังมีเลือดไหลออกมาเอาไว้ในกระเป๋า


น่าจะเป็นไปได้ที่สุดแล้ว เฉินเกอใช้เวลาไปมากทีเดียวกับฆาตกรบ้าคลั่งเขาถึงสามารถมองรายละเอียดเหล่านี้ออกได้ในระยะเวลาอันสั้น


“ฉันถามอีกครั้งนะ แกพยายามลอกเลียนแบบฉันเหรอ?” ความท้าทายในน้ำเสียงของผู้โดยสารคนใหม่นั้นทำให้สิ่งที่เฉินเกอทำก่อนหน้านี้ดูจืดจางไปเลยเมื่อเทียบกัน กระทั่งเขาเองก็ยังไม่ได้พูดออกไปตรง ๆ เช่นนี้ตอนที่พยายามแกว่งเท้าหาเสี้ยนเมื่อครู่– เขาเพียงแค่เอาผีอีกตนไปวางไว้ใกล้ ๆ ชายหน้ายิ้มเท่านั้น เขาไม่ได้ปรามาสชายหน้ายิ้มไม่ว่าด้วยกริยาหรือว่าคำพูด


ความอดทนของชายหน้ายิ้มนั้นลดลงไปทีละน้อย เส้นสีดำคืบคลานออกจากดวงตาของเขาและไต่ลงไปตามแก้มของเขา


“แกเป็นใบ้เหรอ? ฉันถามแกอยู่นะ!” ผู้โดยสารคนใหม่ยังคงกดดันต่อไป เขาไม่ได้มีความหวาดกลัวให้เห็นเลยสักนิด เขากางกรรไกรออกให้เห็นคมและเดินตรงไปหาชายหน้ายิ้ม “ให้ฉันเดานะว่าทำไมแกถึงขึ้นรถคันนี้ตอนเที่ยงคืน…”


ตอนที่เขาก้มหน้าลงทำเป็นคิดนั้น เขาก็เห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงที่อยู่ข้าง ๆ ชายหน้ายิ้ม จากนั้นเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไร เขาเอื้อมมืออกไปคว้ารองเท้าคู่นั้นขึ้นมา “แกจะไปตามหาเมียเหรอ?”


ตอนที่ผู้โดยสารคนใหม่พูดอย่างนั้น รอยยิ้มบนหน้าของชายหน้ายิ้มก็ดูแข็งทื่อไป และนั่นก็ทำให้สีหน้าของเขาประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเลิกโกรธผู้โดยสารคนใหม่ เขามองไปยังรองเท้าส้นสูงสีแดงและสวมรอยยิ้มประหลาดเอาไว้ขณะกลับไปยังที่นั่งตนเอง


“ดูเหมือนฉันจะพูดถูก” คำพูดของผู้โดยสารคนใหม่นั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาห้อยรองเท้าคู่นั้นเอาไว้บนปลายกรรไกรขณะวางมันลงที่เดิม “ฉันจะปล่อยแกไปเพราะความจงรักภักดีในความรักของแก”


มันเหมือนว่าเขาหาข้ออ้างให้ตัวเองหนีจากชายหน้ายิ้มมากกว่า หลังจากนั้น เขาก็ลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปตามทางเดิน แต่เขาเพิ่งก้าวไปได้ก้าวเดียวตอนที่เกิดเรื่องประหลาดขึ้น


หลังจากเขาเดินไปก้าวแรก ก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้น มันเหมือนคนเดินตามเขามา พอหันกลับไปดู รองเท้าส้นสูงสีแดงก็ยังอยู่ที่เดิม


ผู้โดยสารคนใหม่ที่แสนดื้อรั้นก็เดินไปอีกสองก้าว และพอเขาก้าวเท้า ก็มีเสียงรองเท้าดังตามมา


“รองเท้ายังอยู่ที่เดิม แต่ทำไมถึงมีเสียงดังมาได้? ที่ตามฉันมาคืออะไรกัน?”


บางทีอาจจะเพราะความวิตกกังวลของเขา ผู้โดยสารคนใหม่พูดความคิดของตัวเองออกมา และเขาก็ดูต่างไปจากชายกล้าหาญที่ข่มขู่ชายหน้ายิ้มเมื่อครู่นี้


เฉินเกอที่คอยสังเกตอยู่ด้านหลังเห็นทุกอย่าง ชายหน้ายิ้มอาจจะวางแผนจบชีวิตชายคนนี้อยู่ แต่พอเขาหันไปล่วงเกินรองเท้าส้นสูงสีแดง รองเท้าส้นสูงก็ตัดสินใจจะลงมือกับชายคนนี้ก่อนที่ชายหน้ายิ้มจะทันลงมือ


“ชายคนนี้ไร้ประสบการณ์เกินไปแล้ว ฉันชื่นชมความงามของรองเท้าและยังทำให้แน่ใจว่าได้ชื่นชมรสนิยมของเจ้าของก่อนที่จะไปจัดการกับชายหน้ายิ้ม” เฉินเกอถอนหายใจ แต่จากนั้นก็เกิดบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิดขึ้น หลังจากผู้โดยสารคนใหม่ไม่สามารถจัดการกับเสียงรองเท้าส้นสูงได้ เขาก็มุ่งหน้าตรงมาทางเฉินเกอและหมอที่นั่งอยู่ที่ด้านหลังรถ

 

 

 


ตอนที่ 626

 

ป้ายถัดไป เมืองหลี่ว่าน

ทำไมเขาถึงเดินตรงมาทางพวกเรา? เฉินเกองุนงงกับการกระทำของชายคนนี้ เดี๋ยวก่อนนะ เขาวางแผนจะล่วงเกินผู้โดยสารทุกคนบนรถเมล์นี่อย่างน้อยคนละครั้งหรือ? ฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดีนะเพื่อน


เป็นธรรมดาที่ผู้โดยสารจะไม่ได้ยินความคิดของเฉินเกอ เมื่อไหร่ก็ตามที่รองเท้าของเขากระทบกับพื้น ก็จะมีเสียงฝีเท้าสองคู่ คู่หนึ่งอยู่ด้านหลังอีกคู่หนึ่ง พูดให้ดูดีที่สุดก็คือมันค่อนข้างหลอนทีเดียว


เฉินเกอเริ่มกระสั่บกระส่ายเมื่อชายคนนี้เดินตรงมาทางท้ายรถ อย่างไรเสีย ชายคนนี้ก็นำเอาคำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงมากับเขาด้วย เขาขยับตัวให้ลึกเข้าไปในเบาะที่นั่ง มันไม่ใช่ว่าเขากลัว แต่เขาแค่ไม่อยากถูกลากเข้าไปในปัญหาที่เขาไม่ได้ก่อ ผู้โดยสารคนนั้นสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ของเฉินเกอ ดวงตาของเขามองสลับไปมาระหว่างเฉินเกอและหมอ และในที่สุด รอยยิ้มกวนอารมณ์นั่นก็มาตกลงที่เฉินเกอ


“แกกลัว” น้ำเสียงนั้นมั่นใจ ดวงตาไร้ความรู้สึก และริมฝีปากของผู้โดยสารคนใหม่ก็โค้งขึ้นเหมือนเขาควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว เหมือนไม่มีสิ่งใดในยานพาหนะคันนี้รอดพ้นสายตาของเขาไปได้


“ก็นิดหน่อย” เฉินเกอยอมรับอย่างไม่อาย


“ยิ่งแกกลัว เรื่องแย่ ๆ ก็จะยิ่งเกิดขึ้นกับแก” ผู้โดยสารคนใหม่ดูตัดสินใจเลือกที่นั่งได้แล้ว เขาถือกรรไกรและกระเป๋าเอาไว้ในมือเดียวขณะที่มือข้างที่ว่างนั้นคว้ากระเป๋าสองใบของเฉินเกอเอาไว้


เขาไม่ได้ลงมือกับเฉินเกอแต่กลับเล็งไปที่สัมภาระของเฉินเกอแทน นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเจอกับคนเช่นนี้ เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว สงสัยว่าผู้โดยสารตนนี้สามารถมองเห็นกลุ่มของผีที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าของเขาใช่ไหม


แต่ว่า สองวินาทีให้หลัง เฉินเกอก็โยนความสงสัยนั้นออกไปจากใจ ผู้โดยสารคนใหม่นั้นคว้าสายกระเป๋าเอาไว้แน่นและพยายามยกมันขึ้นพร้อมรอยยิ้มประหลาดบนหน้า และเกินกว่าที่ผู้โดยสารอื่น ๆ จะคิดเอาไว้ กระเป๋ากลับไปขยับเลยสักนิด ผู้โดยสารที่ดูก้าวร้าวมากผู้นี้กลับไม่สามารถยกกระเป๋าของเฉินเกอได้ด้วยมือเดียว


“เหอเหอ” หลังจากหัวเราะ ผู้โดยสารคนใหม่นี้ก็พยายามอีกครั้ง กล้ามเนื้อบนแขนของเขาปูดนูน และมันก็เหมือนเขาใช้แรงทั้งหมดที่มีถึงจะยกกระเป๋าของเฉินเกอขึ้นแล้วโยนมันไปบนพื้นได้


ปัง!


กระเป๋าหนักมาก พอตกลงพื้นก็เกิดเสียงกระแทกดังลั่น


“ในกระเป๋ามีอะไรน่ะ?” ผู้โดยสารคนใหม่เพยิดคางและชี้ปลายกรรไกรไปยังดวงตาของเฉินเกอ


“ผมเป็นคนสร้างอุปกรณ์ประกอบฉากให้กับสวนสนุก กระเป๋านั่นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประจำของผม หรือเรียกว่าเป็นเครื่องมือหากินของผมก็ได้” เฉินเกอยกสองมือขึ้นเพื่อให้ชายคนนั้นพอใจ เขาเคยเห็นตำรวจทำแบบเดียวกันนี้ที่สถานที่เกิดเหตุเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดอันไม่จำเป็น ความลื่นไหลของกริยาและความจริงใจในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินเกอทำอะไรเช่นนี้


‘ความขี้ขลาด’ ของเฉินเกอนั้นทำให้ผู้โดยสารคนใหม่พึงพอใจมาก เขากวาดตามองทั้งคันรถ และชายหนุ่มที่ตรงหน้าเขานี้ก็ดูเหมือนจะรังแกได้ง่ายที่สุดแล้ว เขาแลบลิ้นออกมาแล้วพยายามเลียแผลตัวเองก่อนที่ในที่สุดจะนั่งลงที่ข้าง ๆ เฉินเกอ


เฉินเกอลดมือลงช้า ๆ หันหน้าไปมองที่ข้าง ๆ ตัว หลังจากได้ยินที่ผู้โดยสารคนใหม่พูด กระทั่งเขาเองก็คิดว่าผู้ชายคนนี้จะลงมือกับเขาแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เปิดกระเป๋าเขาดูข้างใน แต่ว่า มันกลับกลายเป็นว่า ผู้ชายคนนี้ดีแต่ปาก พูดแต่ไม่ทำ เขาไม่กระทั่งจะหาข้ออ้างให้ตัวเองและนั่งลงไปตรง ๆ เลย


“เอ่อ… คุณก็จะไปเมืองหลี่ว่านเหมือนกันเหรอ?” เฉินเกอนั้นรู้สึกตลกกับสิ่งที่ผู้โดยสารคนนี้ทำ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากขึ้นมาบนรถก็คือท้าทายผู้โดยสารคนอื่น ๆ การกระทำและสีหน้าของเขานั้นเหมือนกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่เห็นว่าเขานั้นเป็นฆาตกรบ้าคลั่ง


“ใครจะไปขึ้นรถเมล์คันสุดท้ายตอนเที่ยงคืนที่มีไว้ให้คนตายกันถ้าไม่ได้จะมุ่งหน้าไปเมืองหลี่ว่าน?” ผู้โดยสารคนใหม่มองเฉินเกอใกล้ ๆ มันน่าประทับใจสำหรับเขาที่ในผู้โดยสารทั้งหมดบนรถนั้น เฉินเกอดูปกติที่สุดและยังดูเป็นคนดีที่สุดด้วย


“รถเมล์ที่มีไว้ให้คนตาย…” คนที่เห็นอาจจะคิดว่าเฉินเกอนั้นเคยเรียนการแสดงมาก่อนได้เลยทีเดียวเพราะว่าเพียงแค่ดีดนิ้วครั้งเดียว เขาก็สวมบทบาทของคนที่กำลังหวาดกลัวได้ทันที เขาสูดลมหายใจที่ดูเหมือนจะเย็นจนหนาวลึก ๆ เหมือนกำลังพยายามเก็บกลั้นความกลัว แต่ว่าการกระทำของเขานั้นก็เผยอารมณ์ ‘ที่แท้จริง’ ของเขาออกมา ความกลัวแผ่ออกมาจากข้างใน ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาก็ยังทำให้แน่ใจว่าขอบตาของเขากระตุกและลูกตากลอกไปมารอบ ๆ อย่างกระวนกระวาย


ผู้โดยสารคนใหม่นั้นพึงพอใจยิ่งกว่าเดิมกับปฏิกริยาของเฉินเกอ เขาชอบคนที่ ‘อ่อนแอ’ กว่าตัวเอง “แกชื่ออะไร?”


“ผมชื่อเฉินเกอ เป็นพนักงานในสวนสนุก แล้วคุณล่ะ?” เฉินเกอขดตัวลึกเข้าไปในที่นั่งเหมือนกลัวว่าคำถามของตัวเองจะไปล่วงเกินชายคนนี้เข้า ดังนั้นเขาจึงรีบเสริม “แต่คุณไม่บอกก็ไม่เป็นไรนะ ผมแค่ถามเผื่อเฉย ๆ”


“แกเรียกฉันว่ามือกรรไกรก็ได้ ฉันกำลังจะไปตามหาคนคนหนึ่งในเมืองหลี่ว่าน คนตายคนหนึ่งน่ะ” เฉินเกอไม่ได้ถามรายละเอียด แต่ว่าผู้โดยสารคนใหม่ก็เล่าเรื่องของเขาให้เฉินเกอฟังอย่างง่าย ๆ


“ผมเองก็กำลังไปที่นั่นเพื่อตามหาคนผู้หนึ่งเหมือนกัน เพื่อนคนหนึ่งของผมหายตัวไป และเงื่อนงำสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้ผมก็คือรถเมล์คันนี้ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อจนกระทั่งผมเห็นรถเมล์นี่ปรากฏขึ้นต่อหน้า คุณไม่รู้หรอกว่าผมลังเลอยู่นานแค่ไหนก่อนที่จะรวบรวมความกล้าขึ้นมาบนรถนี่ได้…” คำอธิบายของเฉินเกอนั้นละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ และมันยังฟังดูคุ้น ๆ อย่างน่าประหลาดใจสำหรับคุณหมอที่นั่งอยู่ด้านหลัง เขาพบว่าเฉินเกอนั้นดัดแปลงเรื่องเล่าของเด็กนักเรียนมัธยมคนนั้นมาเป็นเรื่องของตัวเอง


“ดูเหมือนว่าฉันคงไม่ใช่คนเดียวที่มีประสบการณ์อย่างนั้น” รอยยิ้มบนหน้าของกรรไกรหุบลงช้า ๆ เขาดูเหมือนกำลังไตร่ตรองบางอย่าง และเมื่อเขาไม่ได้ตั้งใจแสดง สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ นี่เป็นสีหน้าของเขาในชีวิตปกติ


“พวกเราเหมือนกันทั้งหมด” เฉินเกอก้มลง ทำทีเป็นผูกเชือกรองเท้า ปลายนิ้วของเขาปัดผ่านรอยเลือดที่หยดลงมาบนรองเท้าของเขาตอนที่ผู้โดยสารโบกกรรไกรไปมา เฉินเกอถูปลายนิ้วเข้าด้วยกันและแอบขยับปลายนิ้วมาที่จมูก ประสาทสัมผัสของเขานั้นดีมาก ดีกว่าคนทั่วไป แต่ถึงจะอยู่ใกล้เพียงนี้เขาก็ยังไม่ได้กลิ่นของเลือดจาก ‘รอยเลือด’ นี่


นี่ไม่ใช่เลือด ความสงสัยของเฉินเกอได้รับการยืนยัน โดยปกติแล้ว หากคนผู้หนึ่งแบกกระเป๋าที่เต็มไปด้วย ‘ชิ้นส่วนร่างกาย’ นอกเสียจากพวกเขาจะมีการเตรียมการพิเศษด้วยถ่านหรือว่าพลาสติกหุ้ม มันต้องมีกลิ่นเลือด


ผู้ชายคนนี้น่าจะไม่ต่างไปจากหมอ คนธรรมดาที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลี่ว่านเพื่อพบ ‘ความหวังสุดท้าย’ ของตัวเอง


เฉินเกอลองเอาตัวเองไปอยู่ในสถานะเดียวกับผู้โดยสารคนนี้ เขารู้ว่าบนรถคันนี้นั้นอันตราย และรู้ว่าปลายทางนั้นเต็มไปด้วยฆาตกรและผี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแกล้งทำตัวเป็นหนึ่งในคนบ้าและเสียสติเหล่านี้


ถึงจะปลอมตัวเป็นหมาป่า แต่แกะก็คือแกะ เฉินเกอมองปลายนิ้วบอบบางของชายคนนี้แล้วก็ส่ายหน้าเงียบ ๆ เขางึมงำอยู่ในใจ วิธีการที่เขาจับกรรไกร คนแรกที่เขาจะทำร้ายเมื่อต้องเผชิญอันตรายก็คือตัวเขาเอง เมื่อต้องหนีอย่างร้อนรน ไม่มีทางที่เขาจะยังรักษาความสงบเอาไว้จนจำได้ว่าที่ต้องแทงคือศัตรู ทางที่ดีนั้นควรจะจับกรรไกรที่ตรงจุดหมุนแล้วใช้มันแทงหรือทิ่ม


ผู้ชายคนนี้เรียกตัวเองเป็นมือกรรไกรที่เผยให้เห็นจุดอ่อนมากเกินไป คนทั่วไปอาจจะกลัวเมื่อเห็นรูปลักษณ์น่ากลัวและคำพูดที่ดูบ้าคลั่งของเขา แต่ไม่ใช่เฉินเกอ เขาเป็นเจ้าของบ้านผีสิง และจากมุมมองของมืออาชีพ ที่มือกรรไกรทำลงไปนี้ยังต้องพัฒนาอีกมาก


มือกรรไกรนี่ไม่ได้ดูน่ากลัวนัก ดังนั้นเฉินเกอจึงหันกลับไปสนใจผู้โดยสารคนอื่น ๆ พวกเขาจะไปถึงเมืองหลี่ว่านในไม่ช้า เขาปล่อยให้ผู้โดยสารเดินไปมาอิสระเกินไปไม่ได้ ก่อนที่แผนการจะเริ่มต้นขึ้น ความบังเอิญอีกอย่างก็เกิดขึ้นเสียก่อน– โทรศัพท์ในกระเป๋าเฉินเกอจู่ ๆ ก็สั่นขึ้นมา เฉินเกอใส่หูฟังและรับสาย เสียงของฟ่านต้าเตอดังมา


“บอสเฉิน! ผมเจอปัญหาเข้าแล้ว! เพราะว่าประตูห้องนั่งเล่นน่ะเปิดอยู่ ผมก็เลยออกไปดูข้างนอก มีแต่รอยเท้ามุ่งหน้าไปทางบันไดและไม่มีรอยไหนเลยที่ย้อนกลับลงมา เจ้าสิ่งนั้นน่าจะยังอยู่ในตึก! ผมควรจะออกไปจากที่นี่ตอนที่ยังทำได้ไหม?”


“มีแต่รอยเท้าเดินขึ้นไป?”


“ใช่ คืนนี้ดูมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทุกอย่างดูผิดที่ผิดทางไปหมด! บอสเฉิน คุณอยู่ไหนแล้ว? ผมไม่คิดว่าผมจะทนได้นานกว่านี้แล้ว!”


“รออยู่ที่นั่นอีกครู่นะ ผมจะไปถึงที่นั่นในไม่ช้าแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 627

 

เมืองที่เรียกได้ว่าเป็นฝันร้าย

“บอสเฉิน ผมไม่คิดว่าผมจะอยู่ในบ้านไหวแล้ว ผมจะไปรอคุณที่ชั้นล่าง” ฟ่านต้าเตอตะกุกตะกักออกมา รอยเท้าบนบันไดทำให้เขาตระหนก และเสียงฝีเท้าก็ดังผ่านโทรศัพท์มา


“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เขาน่าจะยังแอบอยู่ที่บันได บอกผมสิว่ารอยเท้านั่นมีขนาดและรูปร่าง…” ก่อนที่เฉินเกอจะทันพูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกตัด “พอคนผู้หนึ่งตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก พวกเขาก็มักจะทำเรื่องไร้เหตุผล แต่ฉันก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าฟ่านต้าเตอจะเป็นคนที่เป็นแบบนี้หรือเปล่า”


เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ลงไปแล้วเก็บกระเป๋าขึ้นจากพื้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังถนนตรงหน้า “ป้ายหน้าคือเมืองหลี่ว่าน ฉันมาแล้ว แต่แกอยู่ไหนล่ะ?”


ความมืดและน้ำฝนปิดซ่อนทุกอย่างเอาไว้ ไม่มีใครบอกได้ว่ามีสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่ในเงาจำนวนมากมายเท่าใดที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ไกลความเจริญ เมืองหลี่ว่านนั้นอยู่ข้างหน้านี่แล้ว!


คนขับ ถังจวิน เหยียบคันเร่ง รถเมล์เก่า ๆ พุ่งผ่านม่านฝนเร่งความเร็วขึ้น สายฝนกระทบกับหน้าต่าง และรถเมล์ก็สั่นอย่างรุนแรงจนเหมือนทั้งคันจะพังลงมาแล้ว แต่ว่า ไม่มีผู้โดยสารคนไหนบนรถสนใจเรื่องนั้น


เมื่อเงาเลือนรางปรากฏขึ้น ทุกคนก็กลั้นหายใจ สายฟ้าแลบวาบอยู่บนฟ้า และในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ท้องฟ้าสว่างขึ้นนั้นก็เพียงพอให้เห็นเงามากมายที่งุ่มง่ามอยู่ในความมืด และเงาเหล่านั้นก็สังเกตเห็นรถเมล์สาย 104 ที่แล่นฝ่ายสายฝนมาเช่นกัน


“พวกเราเกือบถึงที่นั่นแล้ว” หมอเป็นคนแรกที่ลุกจากที่นั่ง เขารับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของรถขนคนตายคันนี้ และมันก็ต่างไปจากปกติ เขาไม่คิดจะอยู่บนรถให้นานขึ้นสักวินาที


“เฮ้ พวกเราสามคนควรจะลงไปด้วยกัน” หมอกระซิบกับเฉินเกอและผู้ชายคนที่เรียกตัวเองเป็นมือกรรไกร “มีผู้โดยสารอีกคนด้านหน้าที่อันตรายมาก เมื่อพวกเราสามคนลงไปแล้ว พวกเราก็จะแยกกันไปคนละทาง ใครจะถูกไล่ตามก็ขึ้นกับโชคแล้ว”


ผู้โดยสารเหล่านี้ที่รอดชีวิตมาได้หลังจากขึ้นรถขนคนตายนั้นประมาทไม่ได้ ดังนั้นหมอจึงไม่คิดปิดบังแผนการและบอกกับคนอื่นอย่างเปิดเผย


ทั้งเฉินเกอและมือกรรไกรล้วนไม่พูดอะไร มือกรรไกรนั้นสงสัยว่านี่จะเป็นแผนการที่หมอวางเอาไว้– หมอพยายามแยกเขาออกและเขาจะได้ตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายขึ้น แต่ว่าเฉินเกอเองก็มีแผนการของตัวเอง เขาวางแผนจะขับรถต่อไปยังเขตที่พักของฟ่านฉงและพารองเท้าส้นสูงสีแดงกับชายหน้ายิ้มไปด้วยเพื่อลุยผ่านกับดักที่เงานั่นอาจจะวางเอาไว้ ช่วยฟ่านฉงที่มีข้อมูลสำคัญอยู่ในครอบครอง


ขึ้นรถเฉินเกอมานั้นมันง่าย แต่ว่าการจะกลับลงไปนั้นยาก จากอีกมุมหนึ่ง ใครก็บอกได้ว่ารถคันนี้นั้นอันตรายมากเทียบกับตอนที่มันยังทำงานอยู่ภายใต้เงานั่น


หมอเดินไปที่ทางออก มือจับราวบันไดเอาไว้ เขาได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับชายหน้ายิ้มมาก่อนและแผนการของเขาก็คือหาสถานที่ปลอดภัยซ่อนตัวหลังจากลงจากรถ รถเมล์นั้นขับเข้ามาในเมืองหลี่ว่านแล้วและพวกเขาก็ใกล้จะถึงป้ายรถเมล์เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้แล้ว หัวใจของหมอเต้นตุบ และกล้ามเนื้อแขนและขาของเขาก็ตึงเขม็ง เขาเตรียมตัวกระโจนลงไปทันทีที่ประตูเปิด


นั่นคือแผนการ แต่ว่าความจริงนั้นก็มีแผนการอื่นเหมือนกัน รถเมล์ไม่จอดตอนที่มันผ่านป้ายสุดท้าย มันไม่กระทั่งลดความเร็วลงและพุ่งผ่านไป


“มันไม่หยุด?” ลางสังหรณ์เลวร้ายผุดขึ้นในหัวใจของหมอ– เขารู้ว่ามีบางอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้ รถเมล์ไม่หยุดที่ป้ายที่มันมักจะหยุดเป็นปกติ


นอกจากเฉินเกอแล้ว ผู้โดยสารทั้งหมดล้วนหันไปมองคนขับ ถังจวินที่อยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ร่างกายเริ่มสั่น เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่เหมือนกัน– เขาแค่ทำตามที่เจ้านายของเขาสั่งลงมา


“เฮ้ ทำไมคุณไม่หยุดล่ะ? เฮ้!” จากครอบครัวสามคน ชายวัยกลางคนลุกขึ้นจากที่นั่น สีหน้าของเขาดูย่ำแย่ เด็กชายที่นั่งอยู่ข้างเขาก็โผล่หัวขึ้นมามองไปรอบ ๆ อย่างแอบ ๆ ด้วย เขาไม่ค่อยเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ ทุกอย่างนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้อยู่เสมอ


“หยุดรถ! หยุดรถบ้า ๆ นี่เดี๋ยวนี้!” ชายวัยกลางคนกระทืบเท้าเดินไปทางที่นั่งคนขับ เมื่อเห็นอย่างนี้ เฉินเกอก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไป เขาก้มหน้าต่ำ และทุกคนก็คิดว่าเขาเองก็จะตรงไปหาคนขับอย่างไม่พอใจเช่นกัน เห็นเฉินเกอก้าวเท้าออกไป หมอก็ตัดสินใจตามหลังเขาไป– เขาอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


“แกได้ยินฉันหรือเปล่า?” ไม่ว่าชายวัยกลางคนจะตะโกนอย่างไร ริมฝีปากของคนขับก็หุบแน่น และใบหน้าของเขาก็ซีดขาวเหมือนทาแป้งเอาไว้ “ฉันจะบอกแกอีกครั้งนึงนะ! กลับรถเดี๋ยวนี้! อย่าขับต่อไปข้างหน้าอีกเด็ดขาด!”


ถังจวินไม่สนใจชายวัยกลางคนและตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถ


“ถึงแกจะอยากตายก็อย่าลากพวกเราไป! พวกเราไปต่อไม่ได้แล้ว!” นี่น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายวัยกลางคนมาที่เมืองหลี่ว่าน เขารู้มากกว่าที่เขาแสดงออกมา เขายกขาขึ้นและพยายามถีบเท้าของถังจวินอีกครั้งเพื่อเหยียบเบรก


“นี่เพื่อน คุณกำลังทำผิดอยู่นะ” ผู้ชายคนหนึ่งคว้าแขนชายวัยกลางคนเอาไว้แน่นหนา เฉินเกอลากเขากลับไปแล้วดันเขาไปข้าง ๆ ชายหน้ายิ้ม


“ปล่อยฉันไป! แกไม่รู้หรอกว่ามีอะไรรอพวกเราอยู่! รีบปล่อยฉันไปเร็ว ๆ!” ชายวัยกลางคนกรีดร้องและดิ้นรน ”หยุดรถ! อย่าไปต่ออีกเลย! นั่นไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราไปได้!”


“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้อะไรบางอย่าง ทำไมไม่เล่าให้พวกเราฟังเล่า?”


“หมอก หมอกสีเลือด พวกเราจะกลับออกมาไม่ได้เมื่อเข้าไปในนั้นแล้ว! เร็วเข้า หยุดเขา!” ใบหน้าของชายคนนั้นบิดเบี้ยวอย่างหวาดกลัว เขาร้องคำรามขณะพุ่งไปยังที่นั่งคนขับ แต่ก็ถูกเฉินเกอรั้งกลับมาอีกครั้ง


“หมอกอะไรกัน? คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนกว่านั้น” เฉินเกอกำลังตั้งใจเค้นคำตอบจากชายวัยกลางคนตอนที่พบว่ารถแล่นช้าลง หมอแตะไหล่เขาเบา ๆ และเขาก็เงยหน้ามองไปยังทิศทางที่หมอชี้ไป


ภาพประหลาดรอเขาอยู่ ครึ่งหนึ่งของเมืองนั้นอยู่ในม่านฝนหนาหนัก แสงไฟทั้งหมดถูกความมืดและความสิ้นหวังกลืนกิน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งนั้นแห้งสนิท แทนที่จะมีฝน กลับมีหมอกสีแดงหนาหนักลอยอยู่บนถนน อารมณ์ด้านลบต่าง ๆ เต้นเร่า


นี่คือ… โลกที่ด้านหลังประตู?


เฉินเกอนั้นมีประสบการณ์เข้าไปในโลกหลังประตูอยู่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นโลกที่ด้านหลังประตูในโลกจริงและยังหมอกเลือดมากมายระดับนี้


นี่ไม่น่าเชื่อเลย มันลอกแบบมาจากโลกที่ด้านหลังประตูได้อย่างสมบูรณ์แบบ!


ความตกใจในใจของเฉินเกอนั้นไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ เมืองหลี่ว่านนั้นเหมือนถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งนั้นปกคลุมด้วยม่านฝน และอีกส่วนหนึ่งนั้นถูกหมอกสีเลือดกลืนกิน มันช่างน่าอัศจรรย์ที่โลกทั้งสองนี้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง


นี่คือผลจากการที่ประตูหลุดออกจากการควบคุมเหรอ? เมืองถูกกลืนกิน และฝันร้ายกลายเป็นส่วนหนึ่งของความจริง?


ในค่ำคืนที่ฝนตก หลังเที่ยงคืน เมืองหลี่ว่านก็เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันออกมา ระหว่างภารกิจระดับสามดาวก่อนหน้านี้ของเฉินเกอ โลกที่ด้านหลังประตูมักจะเป็นอาคารสิ่งก่อสร้างที่เต็มไปด้วยหมอกสีเลือด แต่ตรงหน้าเฉินเกอนี้เป็นครึ่งเมืองที่ถูกหมอกสีเลือดปกคลุมอยู่!


“อย่าไปต่ออีกเลย!” ถึงแม้ว่าเสียงของชายวัยกลางคนจะแหบแห้งจากการตะโกน รถเมล์ก็ไม่หยุด


ถังจวินเหลือบมองเฉินเกอผ่านกระจกมองหลัง เฉินเกอแอบส่งสัญญาณให้เขาขับต่อไปเมื่อหันหน้าหลบพ้นสายตาผู้โดยสารคนอื่น ๆ หลังจากได้รับคำสั่ง ถังจวินก็เลิกลังเลและเหยียบเท้าลงบนคันเร่ง


บอสใหม่ของเขานั้นภายนอกดูใจดีและสุภาพ แต่อันที่จริงแล้ว เขาเป็นคนบ้าที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าเงานั่น เทียบกับหมอกสีเลือดแล้ว ถังจวินกลัวบอสของเขามากกว่า


รถเมล์เร่งความเร็วขึ้นโดยไม่บอกล่วงหน้า


เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นก้องอยู่บนรถ และชายหน้ายิ้มก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาพร้อมรอยยิ้มที่ประทับอยู่บนใบหน้า แต่ทั้งสองคนก็ช้าเกินไปแล้ว


รถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 พุ่งหัวเข้าไปในหมอกสีเลือดและแล่นไปตามถนนที่ถูกย้อมด้วยสีแดง!

 

 

 


ตอนที่ 628

 

เหตุผลของเหตุผล

หลังจากรถเมล์พุ่งเข้าไปในหมอกสีเลือด เสียงรองเท้าส้นสูงก็หายไปและสีหน้าของชายหน้ายิ้มก็แข็งค้างอยู่ เรื่องต่าง ๆ หลุดออกจากการควบคุมกระทั่งพวกผีก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะไปจบลงอย่างไร


สายฝนยังไหลลงไปตามหน้าต่างรถเมล์ เมื่อหมอกสัมผัสถูกตัวรถ มันก็เปลี่ยนไปเป็นเส้นเลือดเล็ก ๆ แนบตัวเองติดกับที่ด้านนอกรถ จากด้านนอก มันเหมือนรถเมล์เก่าคร่ำนี้กลายเป็นผืนผ้าใบใหม่ไป เมื่อหันกลับไปมอง ถนนที่พวกเขาเพิ่งผ่านมาก็ถูกหมอกสีเลือดกลืนกิน พวกเขาล้วนไม่สามารถกลับออกไปได้แล้วแม้ต้องการจะกลับออกไปก็ตาม


ที่นี่นั้นก็ยังต่างไปจากโลกที่ด้านหลังประตูของจริง ในหมอก ตึกต่าง ๆ ไม่ได้ถูกย้อมเป็นสีแดงไปทั้งหมด หากฉันเข้าใจไม่ผิด กระบวนการที่เกิดขึ้นที่นี่นั้นยังไม่สมบูรณ์นัก


ในฐานะคนที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เฉินเกอนั้นใจเย็นเป็นที่สุด นิ้วของเขานั้นเกี่ยวหลวม ๆ อยู่กับกระเป๋าเสื้อ และเมื่อรถเมล์พุ่งเข้าไปในหมอกสีเลือด โทรศัพท์เครื่องดำก็สั่นอยู่หลายครั้ง


สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปในนาทีไหนก็ได้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่คิดที่จะดึงโทรศัพท์ออกมาดู เขาตัดสินใจรอจนกว่าเขาจะไปถึงสถานที่ปลอดภัยก่อน ตามทิศทางที่เฉินเกอสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ถังจวินมุ่งหน้าไปยังบ้านของฟ่านฉง แต่ว่า เพราะเส้นเลือดที่รอบ ๆ ตัวรถ รถเริ่มช้าลง กระทั่งถังจวินเหยียบคันเร่งจนสุด ความเร็วก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ผู้โดยสารทั้งหมดบนรถต้องการคำอธิบาย และความกดดันบนถังจวินก็เพิ่มมากขึ้น เขาทำตามคำสั่งของเฉินเกอ แต่ว่าตอนนี้ ความโกรธที่สั่งสมอยู่ของผู้โดยสารกลับมุ่งตรงมาที่เขา ถังจวินกำพวงมาลัยรถแน่น และกลัวจริง ๆ ว่าฟางหยวนจะทิ้งเขาเอาไว้


ในฐานะวิญญาณที่รู้จักแค่การขับรถเมล์ มันไม่คุ้มค่าจริง ๆ ที่จะเป็นศัตรูกับชายหน้ายิ้มและรองเท้าส้นสูงสีแดง รถช้าลงนั้นไม่ใช่ข่าวดีของถังจวินเลย เขาทำภารกิจที่บอสมอบให้ไม่สำเร็จ และตอนนี้เขาก็ยังต้องทนรับความเกรี้ยวกราดของผู้โดยสาร– เขาล่วงเกินผู้คนทั้งสองฝ่ายเลย


เขาไม่รู้แผนการของเฉินเกอและไม่เคยคิดจะถามถึง มันคงเป็นการโกหกแล้วถ้าจะบอกว่าเขาไม่รู้สึกสำนึกเสียใจสักนิดเลย


“แกคิดจะพาพวกเราไปที่ไหน?” ชายวัยกลางคนถาม ใบหน้าขุ่นเคือง เขาดิ้นหลุดจากมือเฉินเกอไปเหยียบเบรกอีกครั้ง คราวนี้ เฉินเกอไม่ห้ามเขา รถเมล์นั้นแล่นช้าอยู่แล้ว ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่เห็นประโยชน์ในการรั้งชายวัยกลางคนเอาไว้


“หยุดรถเมล์บ้า ๆ นี่ซะ!” ชายวัยกลางคนเหยียบเบรกและเริ่มแย่งพวงมาลัย ด้วยสัญชาตญาณของคนขับรถ ถังจวินพยายามผลักเขาออกไป พวงมาลัยรถหมุนไปมาระหว่างการแย่งชิง และรถก็เลี้ยวออกจากถนน มุ่งหน้าไปยังที่กั้นขอบถนน


“ระวัง!” เฉินเกอร้องออกมาแล้วพุ่งเข้าไปผลักชายวัยกลางคนออกไปแล้วไปยืนแทนที่ ตอนที่พ้นจากสายตาของผู้โดยสารทั้งหมดเขาก็ให้สัญญาณถังจวินให้เปิดประตูแล้วลงจากรถไปให้เร็ว ถังจวินเข้าใจสัญญาณของเฉินเกอและตัดสินใจเชื่อเขาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากเฉินเกอคุมพวงมาลัยได้ เขาก็กัดฟันผลักประตูด้านคนขับออกแล้วกระโดดลงไป


“เฮ้ นั่นคุณจะไปไหนน่ะ?” เฉินเกอร้องออกมาสุดเสียง เขากระทืบเท้าลงกับเบรก และก่อนที่รถจะหยุดนิ่ง เขาก็คว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วกระโดดตามคนขับรถไป


“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! เขาตะโกนลั่นขณะไล่ตามไป


“อย่าวิ่งตามเขาไป! กลับมาเร็ว!” หมอรู้ว่าอันตรายนั้นอยู่ทั่วไปในหมอกสีเลือด เขาต้องการรั้งเฉินเกอเอาไว้แต่ทำไม่ได้ หลังจากเลี้ยวที่ตรงมุม แม้ว่าเฉินเกอจะตะโกนบอกให้ถังจวินหยุด เขาก็กลับดึงเปิดกระเป๋าสะพายและดึงถังจวินกลับเข้าไปในหนังสือการ์ตูน


“อย่าไล่ตามเขาไป!” เสียงของหมอก้องอยู่ที่ด้านหลังเขา เฉินเกอวิ่งกลับไปที่รถ


“คนขับรถไปไหนแล้วล่ะ?” สีหน้าของชายวัยกลางคนคงบิดเบี้ยวไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว


“ผมไล่ตามเขาไม่ทัน นี่น่าจะเป็นการเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว อย่างไรซะ เขาก็คงเตรียมทางหนีเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว” เฉินเกอเพิ่งพูดจบตอนที่ชายวัยกลางคนพุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อเฉินเกอเอาไว้ “ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของแก! ถ้าแกไม่มาหยุดฉันไว้ก่อนหน้านี้พวกเราก็จะไม่มาจบลงในสถานที่บ้า ๆ แบบนี้!”


“คุณโทษผมเหรอ? คุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้รถแล่นเร็วแค่ไหน ถ้าระหว่างแย่งพวงมาลัยกันแล้วคุณกับคนขับสูญเสียการควบคุมรถไปแล้วมันชนกับตึกข้างทาง คุณรู้ไหมว่ามันจะอันตรายแค่ไหน?” เฉินเกอเองก็มีเหตุผลเหมือนกัน


“บ้า บ้า บ้าเอ๊ย!” ชายวัยกลางคนกระแทกกำปั้นเข้ากับรถ เขาขยุ้มผมตัวเองแน่นเหมือนกำลังจะทึ้งผมออกมาแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ”เพื่อหนีจากสิ่งเหล่านี้ ฉันเสียสละลูกสาวไปแล้ว และวันนี้ ฉันก็ยังพาลูกชายมาแล้วด้วย ดังนั้นนี่น่าจะเรียบร้อยแล้วแท้ ๆ แล้วดูสิ ดูว่าตอนนี้มันเกิดบ้าอะไร!”


“สละลูกสาวของคุณ?” คิ้วของเฉินเกอเลิกสูง เขาเคยเจอคนชั่วร้ายมากมายมาก่อน แต่แบบชายวัยกลางคนนี้… นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับคนเช่นนี้ อารมณ์ของชายวัยกลางคนนั้นพลุ่งพล่าน– เขาต้องการระบายความโกรธในใจออกไป และเฉินเกอที่ดูใจดีก็เป็นเป้าหมายของเขา ถ้อยคำไม่น่าฟังมากมายถูกพ่นออกมาจากปากเขา


ตรงกันข้ามกับชายวัยกลางคน เฉินเกอกลับยังดูสุภาพและน่านับถือ ดวงตาของเขาเบนจากชายวัยกลางคนไปยังเด็กชายที่ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว มีรอยช้ำหลายรอยที่บนแขนของเด็กชาย เขาต้องการดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าพอ เขาแอบมองมาเป็นครั้งคราวและรีบหดหัวลงไปเมื่อพบว่ามีคนมองมาทางเขา


“คุณทำอย่างนั้นกับเด็กชายตัวเล็ก ๆ น่ารักแบบนั้นได้ยังไง?”


“นี่ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ถ้าพวกเราไม่สามารถสลัดสิ่งนั้นออกไปได้ ทั้งครอบครัวของฉันก็จะตาย!” ยิ่งเขาพูด เขาก็ยิ่งโกรธ เขาคว้าคอเสื้อเฉินเกออีกครั้ง “ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของแก!”


“ถ้าคุณใช้ความสิ้นหวังของคนอื่นช่วยเหลือตัวเองขึ้นจากความสิ้นหวังของตัวคุณเอง คุณก็มีแต่จะจบลงด้วยความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด มีเพียงการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเท่านั้นที่คุณจะได้รับการอภัยอย่างแท้จริง” เฉินเกอสะบัดมือชายคนนั้นออกไป “นี่เป็นครั้งที่สองที่คุณดึงคอเสื้อผม ผมหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สาม”


“มันไม่มีประโยชน์ที่พวกเราจะมาทะเลาะกันเองตอนนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับพวกเรามากกว่าที่จะหาทางแก้ไข” หมอออกมาไกล่เกลี่ย ยืนอยู่ระหว่างชายวัยกลางคนและเฉินเกอ “มีคนสั่งให้คนขับรถจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเส้นทางและขับเข้ามาในหมอกสีเลือดนี่ ผมเคยขึ้นรถคันนี้หลายครั้ง และไม่มีครั้งไหนที่เกิดเรื่องแบบนี้ คนขับรถนั่นเป็นแค่ลูกกระจ็อกตัวน้อย ๆ เท่านั้น ดังนั้นน่าจะมีคนอื่นออกมาจัดการกับพวกเรา”


การวิเคราะห์ของคุณหมอนั้นถูกต้อง แต่เพราะไม่มีข้อมูล ทิศทางการวิเคราะห์ของเขาจึงผิด “รถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 นั้นวิ่งผ่านจิ่วเจียง เชื่อมตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน นี่เป็นการจัดการของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเมืองหลี่ว่าน ดังนั้น นี่น่าจะเป็นความตั้งใจของฝ่ายนั้นที่พวกเรามาติดอยู่ในหมอกเลือดนี่ มีโอกาสที่จะมีอะไรหรือว่าใครที่เขาต้องการอยู่บนรถคันนี้”


“คุณพูดถูก ผมก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ต่อให้รถขนคนตายจะหยุดที่ป้าย คนที่บงการอยู่เบื้องหลังน่าจะมีวิธีการอื่นบังคับให้พวกเราเข้ามาในหมอกนี่อยู่ดี” เฉินเกอคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วไปยืนอยู่ข้าง ๆ หมอ


“คนที่บงการอยู่เบื้องหลังเมืองหลี่ว่าน? คุณดูรู้เรื่องเยอะมากนะ” เห็นหมอออกมาพูดให้เฉินเกอ น้ำเสียงของชายวัยกลางคนอ่อนลงเพราะว่าเขามีจำนวนคนน้อยกว่า “ถ้าอย่างนั้น บอกฉันสิ คุณคิดว่าคนที่เรียกว่าคนบงการนี่ต้องการอะไร?”


“เขาน่าจะต้องการจัดการกับใครสักคนที่อยู่ที่นี่กับพวกเรา” ถ้อยคำของหมอทำให้หัวใจของเฉินเกอกระตุก แต่เมื่อเขาหันไปมอง เขาถึงได้พบว่าอันที่จริงแล้วหมอกำลังจ้องไปที่ชายหน้ายิ้ม


“ทุกคนในพวกเรานั้นมีความลับของตัวเอง อย่างผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างคุณ ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารผู้โดยสารทั้งคันรถมาก่อน ทำลายแผนการของคนบงการเบื้องหลังไป” ในเมื่อเขาคือเหตุผลให้ทุกคนถูกลากลงมาในเรื่องวุ่นวายนี้ หมอก็คิดว่ามันก็สมควรแล้วที่จะแฉชายหน้ายิ้ม


คอของชายหน้ายิ้มยืดยาวขึ้นมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มหลอน ๆ อยู่บนหน้า ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยเส้นสีดำหันกลับไปมองหมอ “ฉันเคยฆ่าคนทั้งคันรถจริง ๆ รวมทั้งคนขับด้วย ไม่มีใครเหลือรอด แล้ว… แกรู้เรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ?”

 

 

 


ตอนที่ 629

 

ผมเคยอยู่ที่นี่มาก่อน

เผชิญหน้ากับการสอบถามจากชายหน้ายิ้ม หมอดูใจเย็นอย่างน่าประหลาดใจเหมือนเขาคิดถึงคำถามนี้เอาไว้ก่อนแล้ว เขาขยับไปยืนอยู่ด้านหลังเฉินเกอและดึงผ้าพันคอมาปิดใบหน้าของตัวเองมากขึ้น “เพื่อนผมบอกข่าวเรื่องคุณกับผม”


“อย่างนั้นเพื่อนของแกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” หลังจากความลับของเขาถูกเปิดเผยออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหน้ายิ้มก็ยิ่งคลี่ขยายเป็นดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิ ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเขาต่างไปจากก่อนหน้า มันเหมือนว่าชายคนนี้นั้นรู้สึกยินดีอย่างแท้จริงก็ตอนที่ลงมือฆ่า


“แกฆ่าคนแค่บนรถ ตอนนั้น เพื่อนของฉันอยู่ด้านนอกรถ และเขาเห็นทุกอย่าง”


“อย่างนั้นเหรอ? งั้น เพื่อนคนนั้นอยู่ที่ไหนแล้วล่ะตอนนี้?”


“เขาตายแล้ว เขาไม่เคยกลับออกมาอีกเลยหลังจากเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ผีนั่น” ตอนที่เขาได้ยินว่าเพื่อนของหมอนั้นตายแล้ว ก็เหมือนสีหน้าของชายหน้ายิ้มจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันเหมือนความเสียดาย


“งั้นตอนนั้นฉันก็คงพลาดปล่อยให้มีผู้รู้เห็นเหตุการณ์ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ นั่นก็แค่เตือนฉันว่าให้ระวังมากขึ้นครั้งหน้า” ชายหน้ายิ้มเลิกซ่อนจิตสังหารของตน เขาเดินออกมาที่ทางเดิน เส้นสีดำเริ่มปรากฏขึ้นบนผิวของเขา– มันดูเหมือนหลอดเลือดสีดำ


“นี่เป็นคนหรือผีเนี่ย?” ชายวัยกลางคนรู้ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คู่มือของชายหน้ายิ้ม เขาทิ้งภรรยาและลูกชายของตัวเองโดยไม่คิดสักวินาทีวิ่งไปที่ประตูหน้าและเตรียมจะหนีไป


“ใจเย็นลงก่อน ต่อให้คุณฆ่าพวกเรา คุณก็หนีไม่ได้ อย่างที่หมอพูด เป้าหมายแท้จริงของผู้บงการเบื้องหลังก็คือคุณ และพวกเราก็เป็นผู้เสียหายร่วมแล้ว” เฉินเกอยืนบังหมอเอาไว้ “พวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าพวกเราสู้กันเอง ก็มีแต่จะเป็นประโยชน์กับผู้บงการเบื้องหลัง มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าพวกเราจะร่วมมือกันรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมา?”


ปลายนิ้วของเขานั้นจับกระเป๋าเอาไว้ ฝ่ามือของเฉินเกอชุ่มไปด้วยเหงื่อ ซู่อินเตือนเขาก่อนหน้านี้แล้วว่าชายหน้ายิ้มนั้นอันตรายมาก ตอนที่หมอพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ชายคนนั้นไม่ชอบใจนัก แต่ว่าพอเฉินเกอพูดขึ้น เขาก็ลังเลแต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น


“แกพูดมีเหตุผล แต่ทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งของแกด้วย?” เส้นสีดำใต้ผิวของชายคนนั้นเชื่อมเข้าด้วยกันเกิดเป็นสิ่งที่ดูคล้ายตาข่าย มันเหมือนว่าตาข่ายนั่นกำลังจะฉีกเนื้อหนังเขาออกมา สำหรับคนธรรมดาแล้วนี่ย่อมเป็นความเจ็บปวดอันเกินทนทาน แต่ว่าชายหน้ายิ้มกลับไม่แสดงท่าทางเจ็บปวดเลยสักนิด เขากำลังยิ้มกว้างด้วยซ้ำ


เขาดูจะคุ้นเคยกับความเจ็บปวดนี้ มือของเขายกขึ้นไปทางมุมปาก เขาดึงผิวหนังของเขา การดึงผิวออกไปเช่นนั้นคือการฉีกทึ้งการปลอมแปลงของเขาออก สันหลังของเขายาวขึ้น และคอที่ยาวอย่างผิดธรรมชาติอยู่แล้วก็เหยียดยาวออกไปอีก


“บางทีคุณอาจจะคิดว่ามันง่ายมากที่จะฆ่าพวกเราทั้งหมด แต่อย่าลืม ยังมีรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่หนึ่งอยู่บนรถด้วย และเจ้าของรองเท้าคู่นั้นก็อาจจะกำลังตามติดอยู่กับผู้โดยสารสักคน ผมเชื่อว่าคุณสามารถฆ่าพวกเราทั้งหมดได้ แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไรกับคุณล่ะ?” การพูดถึงรองเท้าส้นสูงสีแดงทำให้ชายหน้ายิ้มชะงัก และมือของเขาที่ดึงแก้มตัวเองอยู่ก็ลดต่ำลง


“พวกเราไม่ใช่ศัตรูกัน ครั้งหนึ่งคุณเคยสังหารคนทั้งคันรถและนั่นก็ทำให้คุณเป็นศัตรูกับผู้บงการเบื้องหลัง แต่ว่านั่นเกี่ยวอะไรกับพวกเราที่เหลือล่ะ? ผู้บงการคนนั้นลากพวกเรามาเพื่อจัดการกับคุณ ดังนั้นมองจากมุมหนึ่ง พวกเราล้วนเป็นฝ่ายเดียวกันเพราะว่ามีศัตรูคนเดียวกัน!” เฉินเกอชี้ไปที่หมอกสีเลือดด้านนอกหน้าต่าง “ถนนที่พวกเราผ่านมานั้นหายไปแล้ว พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย และไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คุณยังมั่นใจเหรอว่าจะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ด้วยตัวคนเดียว?”


เลือดในหมอกนั้นติดอยู่บนหน้าต่างรถ และรถเก่า ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงไปโดยสมบูรณ์


“มีเวลาให้คิดไม่มากแล้ว ถ้าคุณยินดี พวกเราก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าคุณไม่ อย่างนั้นพวกเราก็สู้กัน พวกเราอาจจะไม่สามารถฆ่าคุณได้ แต่ก่อนที่พวกเราจะตาย ผมแน่ใจว่าพวกเราต้องทำให้คุณบาดเจ็บได้บ้างแหละ” เฉินเกอรู้สึกได้ถึงด้ามค้อนผ่านเนื้อผ้าของกระเป๋า เขาไม่รู้ว่าชายหน้ายิ้มจะให้ความร่วมมือหรือไม่ และเขาต้องเตรียมการสำหรับทุกความเป็นไปได้


ไม่มีใครพูดอะไร เมื่อความเงียบครอบคลุมลงมา ชายหน้ายิ้มก็ดูเหมือนจะชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ ตอนที่ความตึงเครียดเพิ่มสูง จู่ ๆ ก็มีเสียงตุบดังมาจากที่กลางรถ


“บ้าชะมัด? นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?” ขี้เมากลิ้งตกลงมาจากที่นั่งและฟุบอยู่กับพื้น เขาเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง และเมื่อเห็นหมอกเลือดหนาหนักปกคลุมไปทั่ว เขาก็ตื่นทันที


ขี้เมาที่ตื่นขึ้นมาทำให้บรรยากาศในรถลดความตึงเครียดลง เส้นสีดำใต้ผิวของชายหน้ายิ้มหายไปช้า ๆ และร่างกายของเขาก็กลับเป็นปกติ เหมือนทุกอย่างก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น และชายหน้ายิ้มก็กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ขี้เมาหยิกแก้มตัวเอง “ฉันแค่หลับไปตื่นเดียว และพวกคุณก็พาผมมาที่ไหนไม่รู้? แล้วคนขับรถไปไหนล่ะ?”


“คนขับรถทิ้งรถไปแล้ว พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหน แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ ที่นี่อันตรายมาก” เฉินเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นชายหน้ายิ้มกลับไปที่นั่งตัวเอง การที่พวกเขาไม่ต้องใช้ความรุนแรงนับเป็นข่าวดีของเฉินเกอเพราะอย่างไรเสีย เขาก็ยังคิดจะขอยืมพลังของชายหน้ายิ้มรับมือกับเงานั่น


“คนขับทิ้งรถไปแล้ว? เดี๋ยวนะ นี่มันงงไปหมดแล้ว ให้เวลาผมเรียบเรียงความคิดก่อน” ชายขี้เมานับนิ้ว “แรกเลย ผมดื่มมากไปสักหน่อย จากนั้นผมก็มารอรถเมล์อยู่ที่ป้าย ผมดูเหมือนจะเผลอหลับไปบนรถ นั่นไม่มีอะไรผิดปกติเสียหน่อย!” กลิ่นเหล้ายังอวลอยู่รอบตัวขี้เมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก และเขาก็พูดไม่ชัดนัก ”แล้วก็ ทำไมคนขับรถถึงทิ้งรถไปล่ะ? พวกเราไม่ได้ถูกปล้นใช่ไหม? ทำไมคุณไม่ปลุกผมขึ้นมาถ้าเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้?”


ถ้ามีใครกล้าปล้นรถของเฉินเกอ อย่างนั้นพวกเขาก็น่าจะเป็นพวกโง่ที่โชคดีที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว


“ไม่ได้เกิดอะไรอย่างนั้นหรอก แต่ว่าสถานการณ์ของพวกเราตอนนี้น่ะอันตรายกว่าถูกปล้นเป็นสิบเท่า” เฉินเกอไม่สนใจขี้เมาเพราะว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดา “น่าจะมีฆาตกรบ้าคลั่งซ่อนตัวอยู่ในหมอกเลือด ถ้าคุณตกลงไปอยู่ในมือของพวกมันตอนที่อยู่คนเดียว คุณคงจะจบลงด้วยการถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ”


“ฆาตกร? หั่นเป็นชิ้น ๆ? มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย? ผมจะเรียกตำรวจ!” ขี้เมาดึงโทรศัพท์ออกมา แต่ว่าไม่มีสัญญาณตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในหมอก


“หมอกนี่ขัดขวางสัญญาณทั้งหมด คุณเก็บแรงเอาไว้เถอะ ถ้าพวกเราหนีออกจากหมอกนี่ไม่ได้ พวกเราก็จะตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด” เฉินเกอปลอบขี้เมาแล้วหันไปหาคนอื่น ๆ “รถคันนี้ดึงดูดความสนใจและยังติดอยู่กลางถนน ผมคิดว่าพวกเราน่าจะหาที่ซ่อนก่อนและคอยดูรอบ ๆ ตัวก่อนที่จะตัดสินใจอย่างอื่นต่อไป”


“ผมเห็นด้วย” หมอเป็นคนแรกที่ตกลง และผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก็ทำตามในไม่ช้า


“เอาละ อย่างนั้นพวกเราก็ควรจะลงจากรถ อยู่ที่นี่รังแต่จะทำให้พวกเราเป็นเป้าง่ายขึ้น” เฉินเกอคว้ากระเป๋าและกระเป๋าที่เจ้าแมวขาวอยู่แล้วลงจากรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 ไปเป็นคนแรก


เขาใช้ดวงตาหยินหยางกวาดมองตึกรอบ ๆ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ฉันเคยเห็นตึกนี้ในเกมของเสี่ยวปู้มาก่อน!”


ตอนนั้น เพื่อหาจุดเซฟจุดแรก เฉินเกอวิ่งไปตามถนนในเกมนับครั้งไม่ถ้วน


“เกมสะท้อนชีวิตจริง นี่น่าจะเป็นข้อได้เปรียบมาก ๆ ของฉันแล้ว” มีแผนที่ของเมืองอยู่ในความทรงจำ การรบกวนของหมอกสีเลือดที่มีต่อเฉินเกอนั้นลดลงไปอยู่ในระดับต่ำสุด

 

 

 


ตอนที่ 630

 

สรวงสวรรค์ของความระทึกขวัญเริ่มต้นขึ้น

‘ประตู’ ในเมืองหลี่ว่านนั้นหลุดออกจากการควบคุม และหมอกสีเลือดก็กลืนกินเมืองลงไปครึ่งหนึ่ง เส้นแบ่งระหว่างฝันร้ายและความจริงนั้นพร่าเลือนไป ตอนนี้ เฉินเกอไม่รู้ว่าเขาอยู่ในประตูแล้วหรือยังเพราะว่าหมอกสีเลือดปกคลุมทุกอย่างเอาไว้ เส้นเลือดคืบคลานอยู่บนผิวกำแพงของทุกตึกราม


หากพวกเราเดินไปตามทางนี้ พวกเราก็จะไปถึงตึกที่ร่างของผีโทรศัพท์ถูกพบ บางทีฉันอาจจะลองขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าลองตรวจดูในถังน้ำ


ในชีวิตจริง ร่างของผีโทรศัพท์ ถงถง นั้นถูกตำรวจนำไปแล้ว ดังนั้นหากยังมีศพอยู่ในถังน้ำ อย่างนั้นมันก็ต้องหมายความว่าเฉินเกอนั้นอยู่ในโลกด้านหลังประตู โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสร้างขึ้นจากความทรงจำของผู้เปิดประตู ดังนั้นตราบใดที่ศพของถงถงยังอยู่ในความทรงจำของเสี่ยวปู้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ศพจะยังถูกทิ้งเอาไว้ในถังน้ำ


แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของเฉินเกอ และเขาก็ไม่มีวิธีการยืนยันเรื่องนี้


ฟ่านฉงอาศัยอยู่ในเขตที่พักเดียวกันกับเพื่อนร่วมชั้นของเสี่ยวปู้ มันค่อนข้างไกลจากที่นี่ และถ้าฉันไปที่นั่น พวกเราย่อมต้องไปเจอเข้ากับบางอย่างแน่นอน


เฉินเกอมองไปด้านหลังตัวเอง ทุกที่ที่เขาเห็นก็คือหมอกสีเลือด ถนนที่พวกเขาใช้นั้นหายไปแล้ว และโลกนี้ที่ด้านหลังหมอกก็ดูจะมีแต่ทางไปไม่มีทางกลับแล้ว


ถ้าสมมติว่านี่เป็นโลกที่ด้านหลังประตูจริง ๆ หนทางเดียวที่จะออกจากที่นี่ไปได้ก็คือผ่านประตู ประตูเมืองหลี่ว่านนั้นอยู่ในตึกตรงข้ามกับบ้านของฟ่านฉง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องวนไปที่บ้านเขาในคืนนี้


เฉินเกอวางแผนจะแบ่งปันผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ของเขากับเหล่าผู้โดยสารและใช้มันเป็นข้ออ้างขอให้พวกเขาตามตนเองไปยังเขตที่พักอาศัย


“ฉันต้องบอกทิศทางอันแน่นอนให้พวกเขา ว่าจะช่วยพวกเขาหาทางกลับบ้าน”


เส้นเลือดรวมกันอยู่ที่ด้านนอกรถเมล์ มันเหมือนหมอกนั้นมีชีวิตขึ้นมาและค่อย ๆ กลืนกินทุกอย่างที่มาจากด้านนอกลงไปอย่างช้า ๆ


“คุณกำลังพึมพำอะไรน่ะ?” ผู้โดยสารลงจากรถทีละคน หมอรุนหลังเฉินเกอ “พวกเราควรจะอยู่ด้วยกันเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ไม่ควรแยกกันไป”


“ได้” เฉินเกอหันไปมองที่ประตูรถเมล์ ชายขี้เมานั้นอยู่กับครอบครัวสามคน และชายหน้ายิ้มยืนอยู่ที่ด้านข้าง และ ‘ฆาตกร’ ที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกรก็อยู่คนเดียวที่ด้านหลัง


“ก่อนที่จะแน่ใจในความปลอดภัยของตึก มันจะดีกว่าถ้าจะไม่เข้าใกล้ตึกต่าง ๆ มากเกินไป ของน่ากลัวอย่างแขนที่ถูกตัดขาดหรือว่าหัวลอยได้อาจจะโผล่ออกมาจากในนั้น” เฉินเกอนั้นเคยเห็นสิ่งของเช่นนั้นจากในเกมของเสี่ยวปู้ และเพราะอย่างนั้น เขาจึงค่อนข้างมีประสบการณ์มาก


“ผมหวังว่านั่นจะเป็นแค่เรื่องตลกของคุณ” ชายขี้เมานั้นตื่นเต็มตาแล้ว– เขาจะไม่ตื่นได้อย่างไร? หากเขาสามารถมีชีวิตรอดออกจากเมืองหลี่ว่านไปได้ เขาจะไม่เข้าใกล้สิ่งมึนเมาเช่นนี้อีกเลย


“แน่นอน ผมแค่พูดเล่น ผมไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น– มันอาจจะน่ากลัวกว่าที่ผมพูดก็ได้” เฉินเกอชี้ไปยังตึกที่พบร่างของผีโทรศัพท์ “ไปดูที่นั่นกัน พวกเราจะตรวจดูทุกชั้น และหลังแน่ใจแล้วว่ามันไม่มีอันตราย อย่างนั้นพวกเราก็หลบอยู่ที่นั่นชั่วคราวก่อน”


“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักที่นี่ดี” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมชักสีหน้า ความไม่เชื่อถือในน้ำเสียงของเขานั้นชัดเจนมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว “มีตึกอยู่รอบตัวพวกเราตั้งมาก ทำไมคุณถึงจะนำพวกเราไปยังตึกหลังนั้น? คุณวางกับดักอะไรเอาไว้ในนั้นใช่ไหม?”


“คุณกำลังอคตินะ” เฉินเกอยิ้มให้ชายวัยกลางคน “ผมไม่ต้องอาศัยกับดักในการฆ่าคุณหรอกนะ”


ใบหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันที และจากนั้นเฉินเกอก็ยักไหล่ “ผมแค่พูดเล่นน่ะ ผมไม่เคยกระทั่งฆ่าไก่มาก่อนเลยในชีวิตนี้ เหตุผลเดียวที่ผมยังคงใจเย็นอยู่ได้ก็เป็นเพราะว่าผมดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการเล่นเกมสยองขวัญ”


เฉินเกอหันไปชี้ไปที่ตึกที่เขาเลือก “แน่นอนว่า มันมีเหตุผลให้ผมเลือกตึกนั้นให้พวกเรา อย่างที่พวกเขาพูดกัน รู้จักศัตรูก็ชนะสงครามไปครึ่งหนึ่งแล้ว พวกเราจะแอบอยู่ในตึกนั่นแล้วจับตามองรถเมล์ผ่านหน้าต่าง ในเมื่อคนบงการส่งพวกเราเข้ามาในหมอกเลือด เขาย่อมต้องส่งใครสักคนมาตรวจดูพวกเรา พวกเราอย่างน้อยที่สุดก็จะได้รู้จักหน้าค่าตาของศัตรู และก็จะสามารถวางแผนการที่ใช้ได้ขึ้นมา นอกจากนี้ ในหมอกนั้น การมองเห็นจะแย่ลง หากพวกเรายังอยู่ใกล้กับรถเมล์มากเกินไป พวกเราก็จะถูกศัตรูพบ ดังนั้นหลังจากประมวลปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว ผมก็คิดว่าตึกนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด”


หลังจากแย้งออกไปแล้ว กระทั่งชายหน้ายิ้มก็ยังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ชายวัยกลางคนไม่สามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลที่หนักแน่นได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด “อย่างนั้นคุณก็เดินนำไป และพวกเราตามหลังคุณไป”


“ไม่มีปัญหา แต่ว่าระวังอย่าถูกทิ้งไว้ข้างหลังล่ะ” เฉินเกอรับปากอย่างง่ายดาย เขาหิ้วกระเป๋าทั้งสองใบขึ้นมาและเดินนำไป หมอตามหลังเขาไปติด ๆ


“มีบางอย่างไม่ปกติในตัวผู้ชายคนนั้น” ชายวัยกลางคนคว้าแขนภรรยาของเขา ภรรยาของเขานั้นเหมือนตุ๊กตาชักใย ปล่อยให้เขาควบคุมตัวเธอเอาไว้โดยไม่ดิ้นรน


“จริงหรือ? ผมคิดว่าเขาแย้งได้มีเหตุผลหนักแน่นออกนะ” ในเมื่อครอบครัวสามคนไม่ขยับ ชายขี้เมาก็อยู่นิ่งไปด้วย ครอบครัวสามคนดูคุกคามเขาน้อยที่สุดแล้วดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอยู่กับคนพวกนี้


“เขาดูมีเหตุผล แต่ว่ามันก็สายเกินไปที่จะเสียใจหากว่าเขาปิดบังบางอย่างไว้จากพวกเรา การระมัดระวังเอาไว้ไม่ใช่เรื่องผิด” ชายวัยกลางคนอุ้มเด็กชายขึ้นมา พวกเขาตามหลังเฉินเกอไปแต่ว่ารักษาระยะห่างระหว่างสองฝ่ายเอาไว้ค่อนข้างห่าง


ชายหน้ายิ้มไม่ตามเฉินเกอไปแต่เลือกเดินไปที่อีกฝั่งของถนนคนเดียว จากฝั่งของเฉินเกอ เขามองเห็นเพียงแค่รูปเงาพร่ามัวผ่านหมอกเท่านั้น


มือกรรไกรนั้นอยู่ท้ายกลุ่ม ใบหน้าของเขาซีด และเมื่อไหร่ที่เขาเคลื่อนที่ ก็จะมีเสียงฝีเท้าสองเสียง พวกเขาเดินฝ่าหมอก ตอนที่เข้าไปใกล้ตึกนั่นแล้วก็มีคนดึงเสื้อเฉินเกอ


เขาหันกลับไปมองและเห็นหมอดึงผ้าพันคอลงกระซิบ “ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นการฉลาดที่พวกเราจะเข้าไปในตึกหลังไหนก็ตามในหมอกสีเลือดนี่ ถ้าตึกมันว่างเปล่าอย่างนั้นพวกเราก็โชคดีไป แต่ฉันเกรงว่ามันจะมีใครจับจองแล้ว”


“ไม่เป็นไร ผมสัญญาว่าจะระวัง” เฉินเกอพบว่าหมอนั้นมีความรู้อย่างน่าสงสัย มันเหมือนเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งคู่เข้าไปในตึก ในทางเดินมืด ๆ ล้อมรอบไปด้วยสีทาผนังที่เริ่มลอกและหมอกสีเลือดที่ลอยเอื่อยอยู่ในทุกตารางนิ้วของตึก แค่ยืนอยู่ที่นี่ก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจแล้ว


ประตูไม้ที่มีกลิ่นประหลาดถูกผลักเปิด และเฉินเกอก็เข้าไปตรวจดูในทุกห้อง


“คุณวางแผนจะตรวจดูทุกห้องเลยเหรอ?” หมอดูลังเล “ถ้าเกิดว่าพวกเราไปเจออะไรเข้าล่ะ?”


“เป็นฝ่ายบุกเข้าไปหาพวกเขาน่าจะดีกว่าปล่อยให้พวกมันลอบลงมือกับพวกเรา” เฉินเกอขยับตัวรวดเร็ว เขาไม่หยุดพักเลย มันเหมือนเขาไม่เข้าใจความรู้สึกกลัว ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงที่ชั้นบนสุด


บนชั้นแรก ครอบครัวสามคนและชายขี้เมาหยุดนิ่งอยู่ พวกเขาจับกลุ่มกัน ไม่รู้ว่าควรจะขึ้นบันไดไปหรือไม่


“ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะไปถึงชั้นบนสุดแล้ว” ชายขี้เมายืนอยู่ที่ช่องบันไดและมองผ่านช่องว่างขึ้นไป


“ไม่มีเหตุผลให้พวกเราตามเขาไป อยู่ที่ชั้นแรกนี่พวกเราจะหนีได้เร็วกว่า” ชายวัยกลางคนค่อนข้างขี้ขลาด


“พ่อครับ…” เด็กชายในอ้อมแขนของเขาเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรขณะที่เขามองไปยังทางเดินมืดสลัวด้านหลังชายวัยกลางคน


“คุณพูดถูก” ชายขี้เมาคอยมองขึ้นไป แต่มันมืดเกินกว่าจะเห็นอะไร เขาหรี่ตาและแอบรู้สึกสงสัยว่ามีบางอย่างอยู่บนบันไดชั้นบนยื่นหน้าออกมา เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นของตกแต่งสักชิ้นหนึ่ง


“ให้เขาเดินนำล่วงหน้าไป– พวกเราแค่ต้องรอจนกว่าเขาจะยืนยันว่าที่นี่ปลอดภัย”


ชายวัยกลางคนอยากจะพูดอย่างอื่นอีกตอนที่เด็กชายกระซิบขึ้นอีกครั้ง “พ่อครับ…”


“ว่า? มีอะไร? ฉันรู้แล้วว่าแกไม่เป็นไร ชู่!”


“ลูกปิดประตูที่ทางเดินกำลังขยับ ดูสิ ตรงนั้นครับ” เด็กชายยกมือชี้ไปยังจุดที่ลึกเข้าไปในทางเดิน

 

 

 


ตอนที่ 631

 

อันตรายข้างหน้า

ภรรยาที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ชายวัยกลางคน และชายขี้เมา ล้วนหันกลับมองไปยังทิศทางที่เด็กชายชี้ไป เสียงประหลาดดังมาจากที่สุดทางเดิน ลูกบิดประตูของห้องหนึ่งนั้นขยับเล็กน้อยเหมือนมีบางคนที่ถูกล็อกเอาไว้ในห้องพยายามจะออกมา


เสียงประหลาดนี้ดังอยู่ในตึกที่พักอาศัยที่เงียบอย่างน่ากลัวทำให้หัวใจของพวกเขาทุกคนบีบรัดแน่น


“ผู้ชายคนที่นำทางขึ้นชั้นบนไป เขาบอกว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่”” ชายวัยกลางคนยิ่งคิดเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น “ฉันเคยมาที่เมืองหลี่ว่านมาก่อน ฉันจะพูดอย่างไรดี? บางครั้ง คุณก็จะเจอเรื่องแบบนี้ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์”


“ตัวอย่างเช่น?”


“คุณไม่อยากรู้สักตัวอย่างหรอก เชื่อผม ทั้งหมดที่พวกเราทำได้ก็คือหลีกเลี่ยงพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”


“แล้วถ้าพวกเราหลีกเลี่ยงเขาไม่ได้ล่ะ?” ชายขี้เมาเอนตัวพิงผนัง และดวงตาของเขาก็หรี่มองไปยังปลายสุดทางเดิน


“ถ้าพวกเราหลีกเลี่ยงเขาไม่ได้ อย่างนั้นพวกเราก็ทำเป็นมองไม่เห็นพวกเขาและทำตัวปกติที่สุดเท่าที่พวกเราทำได้ บอกตัวเองเข้าไว้ว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจินตนาการของคุณเอง” ใบหน้าของชายวัยกลางคนซีดเหมือนเขากำลังนึกถึงความทรงจำน่ากลัวบางอย่าง เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากของเขา และเขาก็ดูเหมือนกำลังจะอาเจียนออกมา “เมืองหลี่ว่านที่ฉันเคยมาเมื่อตอนนั้นไม่เหมือนเมืองหลี่ว่านตอนนี้ ตอนนั้นไม่มีหมอกสีแดง มันเหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นมา”


“หยุดพยายามทำให้ผมกลัวได้แล้ว บ้าชะมัด ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนมีคนเป่าลมเข้ามาในหูผมละเนี่ย แล้วยังมีเสียงผู้หญิงกำลังพูดอีก!” ชายขี้เมาหันกลับไปมองด้านหลังตัวเอง ‘ฆาตกร’ ที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกรนั้นเดินไปตามทางเดิน มันควรจะเป็นใบหน้าของชายคนหนึ่ง แต่เมื่อมองนานเข้า ก็จะรู้สึกเหมือนกำลังมองผู้หญิงคนหนึ่งอยู่


คนผู้นั้นไม่ได้ตามพวกเขาเข้าไปในทางเดินแต่ว่าเดินต่อไปข้างหน้า


“นั่นผู้ชายหรือว่าผู้หญิงน่ะ?” ความรู้สึกประหลาดทำให้ขี้เมารู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง เขาตบไหล่ชายวัยกลางคน “เมื่อกี้นี้มีคนเดินผ่านไป”


“จริงเหรอ?” เมื่อชายวัยกลางคนหันกลับไปมอง หมอกเลือดก็ปกคลุมทั่วทางเดินไปแล้วและเขาก็มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น “ไม่ต้องสนใจเขา พวกเราระวังตัวเองก่อน”


เพียงแค่พริบตาเดียว ลูกบิดประตูที่ปลายทางเดินก็หยุดขยับ และทุกอย่างก็กลับเป็นเงียบลงอีกครั้ง หมอกหนา และรอบด้านก็ดูหลอนอย่างประหลาด บางครั้งก็มีเสียงลมพัดโหยหวนและทำให้ทั้งกลุ่มเป็นกังวลมากขึ้น


“คนที่อยู่ด้านหลังประตูยอมแพ้ไปแล้วเหรอ?” ชายขี้เมาจับราวบันไดเอาไว้ เขากำลังยืนอยู่ที่ปากทางเดิน เตรียมตัววิ่งหนีหากจำเป็น


“บางที หรือสิ่งนั้นอาจจะหนีออกมาจากห้องแล้วก็ได้” ชายวัยกลางคนก้มลงไปดึงโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า ชายขี้เมาสังเกตเห็นว่าโทรศัพท์ของชายวัยกลางคนนั้นเป็นรุ่นเก่าหลายปีแล้ว เขาปรับความสว่างของหน้าจอไปที่ระดับสูงสุด เขายกมันขึ้นตรงหน้า และมันก็ดูเหมือนจะมีบางอย่างเข้ามาอยู่กับพวกเขาในทางเดินด้วย แต่ว่า พวกเขาก็อยู่ไกลเกินกว่าจะมองเห็นว่ามันคืออะไร


“นี่แปลก” ชายวัยกลางคนใช้ศอกสะกิดขายขี้เมา “ฉันรู้สึกเหมือนว่าในทางเดินนี้ต่างไปจากก่อนหน้า ไปดูกัน”


ตอนที่สายลมพัดระใบหู มันก็เหมือนมีคนบ้ากระซิบกระซาบกับเขา ชายขี้เมารับโทรศัพท์ของชายคนนั้นมาและเข้าไปดูใกล้ ๆ “มันดูไม่เหมือนว่าสิ่งนี้จะอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้นะ”


เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจนักและใบหน้ายังขมวดมุ่นขณะตรวจดูเพดานที่เสื่อมสภาพ ประตูที่ปิดอยู่ และขยะที่กองอยู่ตามทางเดิน


“หืม?” ความสนใจของชายขี้เมาไปสะดุดอยู่ที่ของสิ่งหนึ่งทันที


“คุณเห็นอะไร?” ชายวัยกลางคนรีบเดินไปดูสิ่งที่ชายขี้เมาเจอ เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ– ไม่มีผีหรือว่าศพ


“ผมก็ไม่แน่ใจ รอเดี๋ยวนะ” ชายขี้เมาส่งโทรศัพท์คืนและดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเปิดใช้ไฟฉาย แสงไฟหักเหอยู่ในหมอก และนั่นก็หมายความว่าพวกเขาก็ยังมองเห็นสิ่งนั้นไม่ชัดอยู่ดี


“มันน่าจะเป็นประตูบานนี้แหละที่มีเสียงดังมาก่อนหน้านี้” ชายขี้เมาสะกดความกลัวเอาไว้แล้วเดินไปข้างหน้า ในที่สุดเขาก็เห็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาที่ไม่เห็นว่าจะมีอยู่ตรงนี้มาก่อน “ไม้ถูพื้น?”


มีไม้ถูพื้นด้ามหนึ่งเพิ่มเข้ามาในทางเดิน ไม้ถูพื้นแบบที่ใช้กันทุก ๆ วัน เขาสงสัยว่าใครกันที่โยนมันเอาไว้ตรงนี้


“ก็แค่ไม้ถูพื้น ทำไมคุณถึงพยายามทำให้ผมกลัวแบบนั้นด้วย?” ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจลึกและวางเด็กชายลงบนพื้น แขนของเขาเริ่มปวด


ชายขี้เมาถอนหายใจอย่างโล่งใจ และเขาก็เกาหัวอย่างอาย ๆ “ผมเดาว่าผมคงจะกระวนกระวายเกินไป… แต่ว่าก่อนหน้านี้มีไม้ถูพื้นนี่อยู่ในทางเดินนี้เหรอ?”


“มันน่าจะมีนะ ฉันเองก็จำไม่ได้” ชายวัยกลางคนยืนอยู่กับชายขี้เมา และพวกเขาก็มองไปตามทางเดินด้วยแสงจากโทรศัพท์ของตัวเอง


ชายขี้เมาที่ต้องการเดินไปต่อ จู่ ๆ ก็หยุดเท้า เขาถามชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างไม่แน่ใจ “ไม้ถูพื้นขยับใช่ไหมน่ะ? ก่อนหน้านี้มันไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่? ผมจำได้ว่ามันพิงอยู่กับประตูห้องที่สามจากด้านหลัง ทำไมมันถึงเหมือนกับว่ามันขยับมาอีกประตูหนึ่งล่ะ?”


“จริงเหรอ?” ชายวัยกลางคนหันกลับไปมองไม้ถูพื้น


ภายใต้การเพ่งมองของชายสองคน จู่ ๆ ไม้ถูพื้นก็ขยับ และผ้าถูพื้นสีดำก็เริ่มขยับช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าคนผู้หนึ่งที่ด้านใต้!


ชายขี้เมาและชายวัยกลางคนนั้นไม่คิดว่าจะเกิดอะไรอย่างนี้ขึ้น แขนขาของพวกเขาเย็นเฉียบ ก่อนที่พวกเขาจะทำได้ทำอะไร ไม้ถูพื้นก็เริ่มคืบคลานมาทางพวกเขา เมื่อมันใกล้เข้ามา ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นไม่ใช่ไม้ถูกพื้น แต่ว่าเป็นคนผู้หนึ่งที่มีผมยาว


“วิ่ง!”


ชายขี้เมากำโทรศัพท์เอาไว้หันหลังวิ่งหนี ชายวัยกลางคนทิ้งภรรยาและลูกเอาไว้แล้วตามชายขี้เมาไป เด็กชายกลัวมาก เขาเริ่มร้องไห้จนกระทั่งแม่ของเขาเข้ามาอุ้มเขาเอาไว้


เสียงฝีเท้าก้องไปทั้งตึก และชายขี้เมาก็เป็นคนแรกที่ออกมาจากทางเดิน เขาลังเลครู่หนึ่งระหว่างขึ้นบันไดไปหาเฉินเกอกับวิ่งออกไปจากตึกนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองบันได ม่านผมสีดำตกลงมาบนใบหน้าของเขา และใบหน้าซีดเผือดก็ไถลลงมาตามราวบันไดในช่องบันได


เขาโยนความระมัดระวังทิ้งไปกับสายลมแล้ววิ่งออกไปจากตึกพร้อมกับกรีดร้อง ในถนนที่มีหมอกหนาของเมือง ที่ซึ่งความจริงและฝันร้ายถักทอเข้าด้วยกัน ทุกตึกดูเหมือนปิศาจกินคน


หัวใจของเขายังเต้นกระหน่ำ ชายขี้เมาไม่กล้าอยู่นานต่อ เขาตะโกนไปที่ชายวัยกลางคนด้านหลังเขา “วิ่ง ทางนี้!”


จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปซ่อนในตึกสองชั้นที่ข้าง ๆ กัน


ประตูนั้นไม่ได้ล็อกเอาไว้ แต่ว่าต้นไม้ที่ในสวนล้วนแห้งและเหี่ยวไปหมดแล้ว และที่สะดุดตาที่สุดก็คือบ้านสุนัขหลังใหญ่ที่ตรงมุมลึกสุดของสวน


มันทำจากท่อเหล็กและไม้กระดานที่ขึ้นรา มีรอยกัดแทะทิ้งเอาไว้หลายจุด นอกจากที่ด้านในตึกแล้ว ที่เดียวที่สามารถซ่อนตัวได้ก็คือในบ้านสุนัขนี่


เสียงผีเท้าและเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังมาจากด้านนอก และมันก็ทำให้ชายขี้เมาปั่นป่วน มันทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัย


เขาพุ่งไปที่บ้านสุนัขและนั่งยอง ๆ ลงที่ด้านหลัง ที่ด้านในดูอันตราย ใครจะไปรู้ว่าฉันจะวิ่งเข้าไปเจออะไรที่ข้างในนั่น? มันจะดีกว่าที่จะซ่อนอยู่ตรงนี้ก่อน


ชายขี้เมาพยุงตัวเองเอาไว้ด้วยการจับแผ่นไม้ที่ใช้เป็นหลังคาบ้านสุนัข เขาคิดจะไปซ่อนตัวในบ้านสุนัข แต่ว่าก่อนที่เขาจะชะโงกหน้าเข้าไป ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าพลุ่งเข้ามาในจมูกเขาเสียก่อน

 

 

 


ตอนที่ 632

 

น้ำยาปรับอากาศ

“กลิ่นจากอะไรเนี่ย?” ชายขี้เมาปิดปากและจมูกเอาไว้ขณะส่องไฟฉายเข้าไปในบ้านสุนัข ที่เกินกว่าที่เขาจะคาดเอาไว้ก็คือ ในนั้นไม่มีอะไรเลย “มันดูสะอาดมาก แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงมีกลิ่นเหม็นขนาดนี้ล่ะ? กระทั่งเนื้อเน่าก็ยังไม่เหม็นขนาดนี้เลย!”


ชายขี้เมากลั้นความอยากจะอาเจียนเอาไว้แล้วก็หยิบกิ่งไม้ที่ใกล้ ๆ ขึ้นมาเขี่ยดินที่ด้านในบ้านสุนัขไปมา “ไม่มีอะไรฝั่งอยู่ข้างใต้ด้วยเหมือนกัน งั้นกลิ่นเหม็นเน่านี่มาจากไหน? มันเหมือนกลิ่นเหม็นเน่านี่ซึมซาบเข้าไปในแผ่นไม้…”


เสียงก้องของฝีเท้ารีบร้อนดังใกล้เข้ามา ชายขี้เมาก้าวเท้าถอย เพราะว่าเขาไม่สามารถทนกลิ่นได้ เขาจึงกระโจนผ่านหน้าต่างเข้าไปในตัวบ้าน


“หวังว่า ครอบครัวนั้นจะไม่ชักนำปิศาจมาที่นี่” ชายขี้เมาเริ่มรู้สึกเสียใจที่เรียกชายวัยกลางคนให้ตามเขามา– นั่นเปิดเผยตำแหน่งที่อยู่ของตัวเขาเองออกไปชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?


เขากุมหัวตัวเองเอาไว้แล้วก็นั่งยอง ๆ ลงไปใต้หน้าต่างและหยิกตัวเอง “นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ที่ฉันเห็นมันเป็นนรกบ้าอะไรกันล่ะ? ทำไมหัวนั่นถึงเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนั้น? และมันเคลื่อนที่ได้ยังไง? ใช้คางของมันหรือไง?”


ชายขี้เมาเชื่อว่าครอบครัวสามคนนั่นคงประสบกับโศกนาฏกรรมแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะออกไปช่วยคนพวกนั้นเช่นกัน “นอกจากฉันแล้ว ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ทั้งหมดบนรถเมล์น่าจะตายไปหมดแล้ว ไม่มีใครมีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้หรอก ไม่มี…”


เขายังรู้สึกหัวเบา ๆ อยู่ แต่ว่า มันไม่ใช่จากเหล้าแล้วแต่จากความกลัวและความตกใจ เหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมาจากทุกรูขุมขนของเขา ชายขี้เมาตัวสั่น “ตอนนี้ฉันควรจะทำยังไง? โทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ฉันเดาว่าฉันอาจจะต้องซ่อนอยู่ที่นี่จนกว่าหมอกจะสลายไป”


หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ชายขี้เมาก็ไม่กล้าเดินไปมาอย่างไร้จุดหมายอีกต่อไปแล้ว เขาขดตัวอยู่ใต้หน้าต่าง และหลายนาทีก็ผ่านไป จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงประตูเข้าสวนแง้มเปิดออก


“มีคนมาที่นี่!” เขากลั้นหายใจ แล้วก็ตั้งใจฟัง หลังจากประตูเปิด ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก


“สิ่งนั้นแค่เข้ามาดูแวบเดียวเหรอ? ปิศาจนั่นไม่ได้เจอฉันใช่ไหม?” คราวนี้ ชายขี้เมาเรียนรู้จากบทเรียนก่อนหน้าของตัวเอง เขาไม่ได้ชะโงกหน้าออกไปดูผ่านหน้าต่าง เพราะกลัวว่าจะมีใครมองกลับมาที่เขา กลับกัน เขาใช้โทรศัพท์ของตัวเอง ปรับมุม และเปิดใช้กล้องเพื่อมองออกไปยังสวนด้านนอก ประตูนั้นเปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ แต่ว่าไม่มีใครอยู่ในสวน


“ฉันคงจะโชคดีแล้ว” ชายขี้เมาลุกขึ้นและเมื่อเขาเก็บโทรศัพท์ลงไป ศอกของเขาก็ปัดผ่านขวดที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่ขอบหน้าต่าง


“น้ำยาปรับอากาศ?” ชายขี้เมาวางขวดกลับลงไปและไม่ได้คิดอะไรมากนัก เขาลุกขึ้นยืน ในที่สุดชายขี้เมาก็มีเวลาตรวจดูสถานที่ซ่อนของเขา บางที มันอาจจะเพราะเส้นประสาทตึงเครียดของเขา แต่เขารู้สึกเหมือนมีเสียงแปลก ๆ กระซิบเข้าไปในหูเขา มันเหมือนเสียงกระดิ่งลม


มันเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ที่จะแขวนกระดิ่งลมเอาไว้เหนือประตู เมื่อกระดิ่งส่งเสียงกังวาน ก็หมายความว่ามีคนเข้ามาในห้อง ถ้าเป็นปกติแล้ว ชายขี้เมาก็คงไม่สนใจ แต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างออกไป มีความรู้สึกเหมือนมีคนเดินอยู่ใกล้ ๆ กับทางเข้า และมันยังเคลื่อนที่เร็วด้วย


แค่คิดว่ามีสิ่งอื่นอยู่ในบ้านนี้กับเขาก็ทำให้หัวใจของเขาหดเกร็ง เสียงฝีเท้าสับสนบนพื้น ชายขี้เมาหันหน้าหลบจากหน้าต่าง และจู่ ๆ เขาก็พบว่าแสงไฟที่ด้านหลังเขานั้นสลัวลงเหมือนมีบางอย่างกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างบังแสงเอาไว้


ใครยืนอยู่ที่นอกหน้าต่างน่ะ? เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในใจเขา หัวของชายขี้เมาก็ราวกับจะระเบิดออกมา ร่างของเขาแข็งทื่อด้วยความกลัว และเสียงกระดิ่งลมก็ดังรัวขึ้นกว่าเดิม มีบางอย่างกำลังมา!


ชายขี้เมารวบรวมความกล้าหันกลับไปมอง แต่ว่าที่หน้าต่างไม่มีอะไร


“ฉันทำตัวเองกลัวไปเองแล้ว” เขาถอยกลับไปที่หน้าต่าง และตอนที่เขาปัดผ่านกรอบหน้าต่างด้านล่าง ผิวของเขาก็รู้สึกถึงบางอย่าง เขาใช้แสงจากโทรศัพท์ส่อง เขาเห็นว่ามีขนสุนัขสีดำติดอยู่ที่รอยแตกบนกรอบหน้าต่างเป็นจำนวนมาก


ผัวะ!


หน้าต่างที่บนชั้นสองเหวี่ยงเปิดออก มือของชายขี้เมาสั่น และขนสุนัขที่บนมือของเขาก็ร่วงลงพื้น เขาได้ยินชัดเจนว่าหน้าต่างที่เหนือหัวของเขานั้นเหวี่ยงเปิดออก!


บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรือบางทีใครบางคนอาจจะกำลังปั่นหัวเขาอยู่ เขาไม่กล้ากระโดดออกไปจากหน้าต่าง แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่คิดว่าการอยู่ในบ้านจะปลอดภัย ตอนที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น ขนสุนัขก็ฟุ้งหล่นลงมาจากบนเพดานมากขึ้น


“ทำไมถึงมีขนหมาเยอะขนาดนี้?” เขานึกถึงบ้านสุนัขว่างเปล่าที่ในสวนและกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงนั่น!


“เกิดอะไรขึ้น?” ชายขี้เมาไม่กล้ามองขึ้นไป เขาไม่สนใจจะรู้ว่าสิ่งที่มองเขาจากด้านบนอยู่คืออะไร ตอนนี้ เขาแค่อยากถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว


“ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันต้องกลับออกไป!” ตอนที่เขาตัดสินใจนั้น ประตูในสวนก็ถูกผลักเปิดอีกครั้ง และในความมืด บางอย่างที่ดูเหมือนไม้ถูพื้นก็ขวางหน้าประตูเอาไว้


เห็นใบหน้าที่ใต้เส้นผมนั่นแล้ว หัวใจของชายขี้เมาก็เหมือนถูกจุ่มลงไปในน้ำแข็ง เขาไม่ขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างและวิ่งหนีออกไปจากห้องนี้ที่อยู่ใกล้สวนที่สุด


“บ้าชะมัด มันมาถึงเมื่อไหร่น่ะ?” ชายขี้เมาวิ่งไปในทางเดินและเสียงกระดิ่งลมก็ดังมาจากที่ปลายทางเดิน รองเท้าใส่ในบ้านเก่า ๆ หลายคู่กระจายอยู่บนพื้น และที่นี่ก็ดูยุ่งเหยิงไปหมด


“ขนสุนัขปลิวลงมาจากด้านบน ดังนั้นน่าจะมีบางอย่างน่ากลัวอยู่ที่ชั้นสองด้วยเหมือนกัน! ฉันขึ้นไปบนนั้นไม่ได้ และฉันก็ต้องอยู่ให้ไกลจากบันได!” ชายขี้เมาสูดลมหายใจลึก ๆ ให้ตัวเองสงบลง เขาเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องที่อยู่ห่างจากบันไดมากกว่าที่นี่


เสียงพื้นลั่นกราว และเสียงเพลงกล่อมเด็กที่ฟังประหลาดก็ดังมาจากที่ไหนไม่รู้ มันเหมือนมีคนเปิดเครื่องบันทึกเสียงของคนตาย


“ฉันเห็นรองเท้าใส่ในบ้านของทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่ในทางเดิน ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในบ้านนี้น่าจะมีมากกว่าหนึ่ง…” ยิ่งเขาคิด เขาก็ยิ่งกลัว แผ่นหลังของชายขี้เมาเปียกชุ่ม และร่างของเขาก็เย็นเฉียบ “หวังว่า พวกเขาจะไม่มาที่นี่”


หลังจากปิดประตูลงเงียบ ๆ ชายขี้เมาก็สังเกตเห็นว่ามีกระป๋องเปล่าหลายใบถูกทิ้งเอาไว้ที่หลังประตู พวกมันดูเหมือนกับใบที่เขาเห็นที่ขอบหน้าต่าง “ทำไมถึงมีน้ำยาปรับอากาศอยู่ในบ้านเยอะขนาดนี้?” เขากวาดกระป๋องพวกนี้ไปที่ด้านข้างและจากนั้นก็เห็นว่ายังมีขวดน้ำหอมเปล่า ๆ รวมทั้งน้ำยาดับกลิ่นอีกมากมายทิ้งเอาไว้ที่มุมห้อง


“ทำไมถึงมีน้ำยาพวกนี้ในบ้านนี้เยอะขนาดนี้? เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?” ชายขี้เมาเอาแต่นึกถึงกลิ่นเหม็นที่บ้านสุนัข “บ้านสุนัขนั้นได้รับการดูแลอย่างดีแต่ว่ามีกลิ่นน่าคลื่นไส้ ห้องของคนก็เละเทะไปหมด แต่ว่ามีกลิ่นน้ำหอม ที่นี่มีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว”


เขามองไปรอบ ๆ และคิดว่าเขากำลังอยู่ในห้องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง มีนิตยสารแฟชั่นและยังหนังสือเพาะกายกระจายอยู่บนเตียง และยังมีดัมบ์เบลล์รวมทั้งเครื่องชั่งน้ำหนักอยู่ใต้โต๊ะ


ห้องนี้นั้นดูปกติไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไร ชายขี้เมารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก


เขาเปิดลิ้นชักโต๊ะอ่านหนังสือออก ที่ก้นลิ้นชัก เขาพบรูปการทารุณกรรมสัตว์กองหนึ่ง มันทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ แต่ว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ตอนที่ชายขี้เมาพลิกภาพพวกนั้นดู เขาก็พบว่า หนึ่งในสี่ส่วนแรกของรูปนั้นมีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังทรมานสัตว์ แต่ว่า สามส่วนที่เหลือนั้นเป็นเด็กวัยรุ่นคนนั้นถูกทรมานแทน

 

 

 


ตอนที่ 633 ไม่มีที่ให้หนี

 

“นี่เป็นการทารุณกรรมสัตว์หรือว่ามนุษย์กันแน่?” ความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนในรูปนั้นทำให้ชายขี้เมารู้สึกไม่สบายใจ เขายัดรูปพวกนั้นกลับไปในลิ้นชักโดยไม่ดูทั้งหมด ตอนที่เขาดึงมือกลับมานั้น จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เปียกและเหนียวบนฝ่ามือของตัวเอง เขาใช้โทรศัพท์ส่องดูแล้วตาของชายขี้เมาก็กระตุก ฝ่ามือของเขานั้นเปียกไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม


“แต่ว่าฉันไม่ได้แตะอะไรเลยนอกจากรูปพวกนี้? เป็นไปได้ไหมว่าเลือดซึมออกมาจากรูปพวกนี้?” ยืนอยู่ในห้องแปลก ๆ คนเดียว มีสิ่งที่น่ากลัวอยู่ในทางเดิน เสียงกระดิ่งลมดังกังวาน และยังปิศาจที่ดูเหมือนไม้ถูพื้นขวางอยู่ที่ประตูหน้า… ต่อให้ชายขี้เมามีความกล้ามากกว่านี้ร้อยเท่า เขาก็จะไม่ออกไปจากห้องนี้


“ปิศาจที่โปรยขนหมาลงมาที่นอกหน้าต่างน่าจะอยู่ที่ชั้นสอง และห้องนี้ก็อยู่ไกลจากบันไดที่สุด ดังนั้นมันน่าจะเป็นห้องที่ปลอดภัยที่สุด” เขาไม่กล้าออกไป กลัวว่าปิศาจอาจจะอยู่ด้านนอกประตูเมื่อเขาเปิดออกไป ดังนั้น เขาจึงจนปัญญาได้แต่อยู่ในห้องนี้อย่างตื่นตระหนกต่อ “แต่ทำไมรูปพวกนั้นถึงมีเลือดซึมออกมา? ฉันบังเอิญไปปัดโดนส่วนอื่นของลิ้นชัก หรือว่ามีห้องลับซ่อนอยู่ที่ด้านในประตู”


ชายขี้เมารวบรวมความกล้าแล้วดึงลิ้นชักสุดท้ายออกจากช่องแล้ววางลงบนพื้น คราวนี้ เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีแค่รูปภาพอยู่ในลิ้นชัก


“เดี๋ยวนะ งั้นเลือดก็มาจากในรูปจริง ๆ?” ข้อสันนิษฐานของเขานั้นดูเป็นไปไม่ได้ และจู่ ๆ ก็มีแรงกระตุ้นบอกให้เขาหนีออกไปจากห้องนี้ ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่รูปพวกนั้น และชายขี้เมาก็พบบางอย่างที่แปลกไป ในรูปทั้งหมดที่เป็นรูปคนถูกทารุณกรรมนั้น ใบหน้าของคนในรูปถูกปิดเอาไว้ แต่ในรูปที่มีคนทำทารุณกรรมสัตว์ เมื่อสัตว์กำลังจะตายนั้น จะมีมือหนึ่งกำคอของสัตว์ตัวนั้นเอาไว้ บังคับให้มันหันหัวไปหากล้องเหมือนกำลังอวดรางวัลที่ชนะได้มา


“บ้าไปแล้ว” บางทีเขาคงดูรูปพวกนั้นนานเกินไป แต่จู่ ๆ ชายขี้เมาก็พบว่าสัตว์ทั้งหมดในรูปดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่


“นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นสีหน้าอย่างนี้ของสัตว์ หรือบางทีฉันอาจจะคิดไปเองว่ามันน่าจะกำลังยิ้มอยู่ ใช่ไหม? หมายิ้ม?” ชายขี้เมาตัวสั่น เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้รูปที่บนพื้น เขามองไปรอบ ๆ และยิ่งอยู่ในห้องนี้นานขึ้น เขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นตามไป “ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนว่าที่นี่น่ะน่ากลัวกว่าที่ด้านนอกก่อนหน้านี้เสียอีก?”


เขาถูมือกับเตียง พยายามเช็ดคราบเลือดออก แต่ว่าปลายนิ้วของเขากลับแตะถูกอย่างอื่น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ดึงผ้าปูที่นอนออก และกลิ่นเหม็นเน่าก็ตลบใส่เขาราวกับเป็นกำแพงหนา บนที่นอนของเตียงไม้นั้นมีแอ่งเลือดรูปร่างอย่างมนุษย์ที่แห้งกรังไปแล้ว


จากแค่รูปร่างอย่างเดียวเขาก็บอกได้ว่าเหยื่อน่าจะเจ็บปวดเป็นอย่างมากก่อนที่จะตายลง เลือดกระจายไปทั่วบริเวณท้อง มันเหมือนกับว่าเหยื่อถูกสัตว์ร้ายหลายชนิดโจมตี และสัตว์ร้ายเหล่านั้นก็ฉีกทึ้งท้องและลำคอของเขา


ชายขี้เมานั้นเป็นนักขายคนหนึ่ง เขาไม่เคยเจอกับอะไรอย่างนี้มาก่อน ร่างกายของเขาแข็งทื่อ สมองของเขาหยุดทำงาน เขาขนลุกชัน และอากาศเฮือกหนึ่งก็ดันพรวดออกมาจากปอดของเขา ในวินาทีสุดท้าย เขากัดมือตัวเองเพื่อยั้งไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา


“เคยมีคนตายอยู่ในห้องนี้! เตียงนี่คือสถานที่พักผ่อนสุดท้ายของเขา!” มันดูออกได้อย่างง่ายดาย เขาไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว สำหรับคนผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ในโลกอันสงบสุข นี่เป็นครั้งแรกที่ชายขี้เมาได้ใกล้ชิดกับการฆาตกรรมของจริงถึงขนาดนี้ ดวงตาของเขากลอกไปมา และในที่สุดเขาก็ได้สติกลับมา สิ่งแรกที่เขาทำก็คือโยนผ้าปูเตียงทิ้งไป


ดวงตาของเขาย้ายมาที่เท้าของตัวเอง และใบหน้าของสัตว์ตัวหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเขา “ไอ้หมาตัวนั้นกำลังยิ้ม มันกำลังหัวเราะอยู่จริง ๆ! ฉันไม่ได้ดูผิดไป!”


ชายขี้เมาเกือบจะเสียสติไปจากความหวาดกลัวทั้งหมดนี่ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย หลังจากตื่นขึ้นมาบนรถเมล์ มันก็เหมือนว่าทั้งโลกของเขานั้นเปลี่ยนไป เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ไม่แม้กระทั่งในฝันร้ายของเขาเอง


“ฉันต้องออกไปจากที่นี่ ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว!” ชายขี้เมาเอนตัวแนบกำแพงและเดินไปทางหน้าต่าง เขาจับม่านเอาไว้ แต่ว่าไม่กล้าพอที่จะดึงมันเปิดออก กลัวสิ่งที่เขาจะเห็นที่ด้านหลังนั้น


หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความลังเล และขาของเขาก็สั่น ตามกฎของเมอร์ฟี* อะไรที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นเสมอ เสียงประหลาดดังออกมาจากด้านในห้อง– มันเหมือนเสียงหนูกำลังกัดกินอะไรสักอย่างอยู่


“เสียงเหมือนดังมาจากใต้เตียง…” ชายขี้เมาไม่ได้บ้าพอที่จะก้มลงไปดูใต้เตียง เมื่อเสียงนั้นเริ่มดังเกินไป เขาก็ดึงม่านเปิดออก


หน้าต่างห้องนอนนั้นเปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ อยู่แล้ว เมื่อชายขี้เมามองผ่านหน้าต่างออกไปก็พบใบหน้าหนึ่งกำลังมองเข้ามา เส้นผมสีดำนั้นราวกับติดแน่นอยู่บนใบหน้าและใบหน้าซีดเผือดนั้นก็พยายามสุดกำลังเบียดตัวเองผ่านหน้าต่างเข้ามา!


ปัง!


ชายขี้เมาใช้แรงทั้งหมดของตัวเองกระแทกหน้าต่างปิดจนเกิดเป็นเสียงดังลั่น สมองของเขาว่างเปล่า และมันเป็นปฏิกริยาของร่างกายของเขาที่สั่งให้เขากระแทกหน้าต่างปิด


หัวนั่นไถลไปกับกระจกบาง ๆ ของหน้าต่าง ริมฝีปากของมันเปิดปิดช้า ๆ และฟันไม่กี่ซี่ที่ยังเหลืออยู่ก็กระแทกกับกระจกเหมือนมันกำลังพูดว่า “ในที่สุดฉันก็เจอแก”


หลังจากล็อกหน้าต่างแล้ว ชายขี้เมาก็รู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะหมดแรง เขาล้มไปกับพื้นและมองขึ้นไปยังหัวที่บนหน้าต่าง ก่อนที่เขาจะลุกไหว เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเปียกเปื้อนกางเกงของเขา ความเย็นที่วาบเข้ามาทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว


เขาหันหน้ามองลงไปด้วยสายตาสั่นไหว เขาล้มลงไปบนกองรูปภาพ และเลือดก็นองอยู่บนกางเกงของเขา


นอกจากนั้นแล้ว ชายขี้เมายังพบว่าหัวสัตว์ทั้งหมดนั้นหายไปจากรูปที่บรรดาสัตว์ถูกทารุณกรรม เลือดสีแดงเข้มซึมออกมาจากจุดที่เคยมีหัวของพวกมันอยู่


ชายขี้เมารู้สึกว่าอากาศถูกสูบออกจากปอดของเขา และเขาก็คลานหนีอย่างรวดเร็ว


ปัง! ปัง!


หัวมนุษย์กระแทกเข้ากับหน้าต่าง แต่ว่าชายขี้เมาไม่ได้หันไปมอง เขาบังคับให้ตัวเองลุกขึ้นและวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน


“ช่วยด้วย ช่วยด้วย คนอื่น ๆ ไปอยู่ไหนกันหมด?” เขาคลานกลับเข้าไปในทางเดิน ตั้งใจจะหาห้องอื่นซ่อนตัว แต่เมื่อเขาออกมา เขาก็เห็นเงาหนึ่งเอนตัวแนบอยู่ที่มุมบันไดขึ้นชั้นสอง มันดูเหมือนสุนัขสักตัวแต่ก็เหมือนคนด้วย!


“นั่นอะไรน่ะ?” เพราะกลัวเกินกว่าจะเข้าไปใกล้ ๆ บันได ชายขี้เมาหันกลับและหลบเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุด เขาปิดประตูโดยไม่รู้เลยว่านี่เป็นห้องอะไร เขาล็อกประตูแล้วหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปอย่างกระหายขณะเอนตัวพิงประตูเอาไว้ สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งแล้ว เขาก็นับได้ว่ามีจิตใจที่แข็งแกร่งพอสมควรเมื่อคิดถึงประสบการณ์ที่เขาผ่านมานี้


“ไม่ ฉันจะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้! ฉันต้องกลับออกไปและรวมกลุ่มกับคนอื่นที่เหลือ!” ชายขี้เมาตอนนี้นั้นรู้แล้วว่าการเกาะกลุ่มกันเอาไว้นั้นสำคัญอย่างไร เขาย้ายโต๊ะไปขวางประตูเอาไว้แล้วเริ่มตรวจดูรอบตัว


เตา ตู้เย็น และตู้กับข้าวหลังใหญ่


“ห้องครัวหรือ?” ชายขี้เมามองไปรอบ ๆ และพบว่านี่ไม่ดีสำหรับเขาเลย เขาเข้ามาในห้องครัว และที่แย่ที่สุดก็คือในห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง


“มันจบแล้ว”


มีเสียงกระจกแตกดังมาจากด้านนอก และกระดิ่งลมที่ทางเดินก็ส่งเสียงดังกว่าเดิม ชายขี้เมาไม่ยอมแพ้ ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ เขาเริ่มค้นไปทั่วห้องครัวมองหาสิ่งที่จะใช้การได้


TL note: *กฎของเมอร์ฟี (Murphy’s Law) เป็นภาษิตที่มีการกล่าวถึงการอย่างกว้างขวางว่า “ทุกสิ่งที่สามารถผิดพลาด จะผิดพลาด” (Anything that can go wrong, will go wrong)

 

 

 


ตอนที่ 634 หนึ่งเรื่องผีทุกครัวเรือน

 

ห้องครัวเรียกไม่ได้ว่าใหญ่ และสิ่งที่สะดุดตาที่สุดในห้องก็คือตู้กับข้าว มีอาหารที่ดูน่ากินหลายจานวางเอาไว้ด้านใน แต่น่าแปลก ทั้งหมดล้วนมีพลาสติกบางใสหุ้มห่อเอาไว้ และส่วนใหญ่แล้วล้วนถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่นานแล้วจนน่าจะเริ่มมีการบูดเน่า “ทำไมพวกเขาถึงใช้ตู้กับข้าวเก็บอาหารในเมื่อก็มีตู้เย็นที่ดูใช้การได้เป็นปกติ?”


สถานการณ์นั้นเร่งร้อนเกินกว่าที่ชายขี้เมาจะหยุดเพื่อหาคำตอบของคำถามนั้น เขาพุ่งไปยังเตาและพบว่ามีพัดลมดูดอากาศติดตั้งไว้บนผนัง


“พัดลมนี่…” บางทีนี่อาจจะเป็นการออกแบบพิเศษ หรือบางทีมันอาจจะเป็นความต้องการของครอบครัวนี้ แต่ว่าพัดลมดูดอากาศที่ติดตั้งเอาไว้ในครัวนี้ใหญ่กว่าปกติ และมันยังใหญ่พอที่เด็กคนหนึ่งจะลอดผ่านไปได้


“ไม่มีหน้าต่างในห้องครัว ดังนั้นเพื่อระบายอากาศ จึงติดตั้งพัดลมดูดอากาศขนาดใหญ่ไว้?” ชายขี้เมาขึ้นไปเหยียบบนเก้าอี้และใช้กำลังดึงพัดลมดูดอากาศให้หลุดออก เขามองโพรงที่เกิดขึ้น และสีหน้าของเขาก็ยังดูลังเล โพรงนั้นเล็กเกินไปสำหรับผู้ใหญ่สักคน หากเขาติดอยู่ในนั้น เขาก็คิดไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“ตอนนี้ฉันควรจะทำอย่างไรดี?” ในตอนที่ขี้เมากำลังลังเลอยู่นั้น เขาก็เห็นมีดปังตอเล่มหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้บนเขียง เลือดและเศษกระดูกติดอยู่บนใบมีด เขามองขึ้นไปยังโพรงนั่นและมองลงมาที่มีดเล่มนั้น ความคิดประหลาดปรากฏขึ้นในใจชายขี้เมาเหมือนทุกอย่างนั้นถูกใครบางคนจัดวางเอาไว้ล่วงหน้าอย่างชาญฉลาด


โพรงนั่นเล็กเกินไปสำหรับผู้ใหญ่สักคน แต่หากสับกระดูกสะบักของตัวเองกับเฉือนกระดูกสะโพกออกสักหน่อย พวกเขาก็จะลอดผ่านโพรงไปได้โดยง่าย เขากำมีดปังตอเอาไว้ในมือ ด้ามจับนั้นเหนียวหนึบ และมันก็ทำให้ชายขี้เมารู้สึกไม่ค่อยดี ราวกับทุกอย่างกำลังเร่งเขา เขาได้ยินเสียงประตูที่ด้านหลังในทางเดินกำลังถูกเปิดออกเหมือนมีใครบางคนกำลังเปิดเข้าไปดูทุกห้องทีละห้อง


“ถ้าฉันหนีจากที่นี่ ใครจะรู้ว่าถัดไปฉันจะไปเจอบ้า ๆ เข้าอีก มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำร้ายตัวเอง” เขากำมีดปังตอเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง เขากัดริมฝีปากและจู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวเขา “ฉันสามารถทำเป็นหนีออกไปทางพัดลมดูดอากาศ แต่ว่าอันที่จริงแล้ว ฉันกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักที่ ตอนที่เจ้าของมาตรวจดูในห้อง ฉันก็สามารถใช้โอกาสนี้หนีไปได้”


ชายขี้เมามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็น


ครัวนั้นไม่ได้ใหญ่ แต่ว่ามีตู้เย็นสองประตูหลังใหญ่ ชายขี้เมาเปิดประตูด้านบนออกดู และในนั้นก็มีน้ำยาดับกลิ่นและน้ำยาปรับอากาศหลากหลายชนิดอัดไว้จนแน่นเต็ม– บางขวดก็ยังไม่ได้เปิด บางขวดก็เปิดใช้แล้ว


“ของพวกนี้มันอะไรกัน?” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของพวกนี้ถูกเก็บเอาไว้ในตู้เย็น เขาก้มลงไปเปิดประตูตู้ชั้นล่าง และมันก็เต็มไปด้วยถุงพลาสติกสีดำมากมาย


“นี่คงไม่ใช่ชิ้นส่วนซากศพหรอกใช่ไหม?” อย่างไรเสียก็ไม่มีตัวเลือกอื่นให้ชายขี้เมาแล้ว– ที่ซ่อนเดียวที่ใหญ่พอสำหรับคนคนหนึ่งนั้นก็คือตู้เย็นนี่ เขาย้ายถุงพลาสติกสีดำจากตู้ชั้นล่างขึ้นไปไว้ที่ชั้นบน ระหว่างการขนย้าย หัวสุนัขหัวหนึ่งก็หล่นออกมาจากรอยฉีกของถุงใบหนึ่ง


“พวกนี้เป็นเนื้อหมาเหรอ?” เพื่อปกปิดร่องรอยของตัวเอง ชายขี้เมาหยิบหัวสุนัขขึ้นมาแต่ตอนที่เขายัดหัวสุนัขกลับเข้าไปในตู้เย็น เขาก็บังเอิญมองไปที่หัวนั่น ม่านตาที่แข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว และยิ่งเขามองมันนานขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวนี่เหมือนเป็นหัวคน เขาไม่สามารถอธิบายได้จริง ๆ ว่าทำไม แต่มันแค่เหมือนเขาไม่ได้กำลังมองหัวสุนัข แต่ว่าเป็นหัวคนแช่แข็ง


“เชี่ยเอ๊ย!” ชายขี้เมาไม่สามารถมองไปยังหัวสุนัขได้อีกต่อไป เขากระแทกประตูตู้เย็นปิดหลังจากย้ายถุงพลาสติกสีดำทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว


ปัง!


เขาเพิ่งย้ายของเสร็จตอนที่ลูกบิดประตูของห้องครัวนั้นกำลังถูกบิด ตอนที่คนผู้นั้นพบว่าประตูเปิดไม่ออกหลังจากพยายามหลายครั้ง ประตูก็สั่นแรงขึ้น


“ฉันถูกเจอตัวแล้ว!” ชายขี้เมาวางเก้าอี้ไว้ด้านใต้พัดลมพูดอากาศ คว้ามีดปังตอ และคลานเข้าไปที่ชั้นล่างของตู้เย็นก่อนที่จะปิดประตูลง ประตูห้องครัวถูกกระแทกอยู่หลายครั้ง แต่ว่ามันก็ยังเปิดไม่ออก ปิศาจที่ด้านนอกประตูดูเหมือนจะยอมแพ้ไปแล้ว เสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป และในห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง


ชายขี้เมาตัวสั่นเพราะความเย็น เขาไม่กล้าออกจากที่ซ่อนของเขา กลัวว่านี่จะเป็นกับดัก ประมาณครึ่งนาทีให้หลัง เสียงฝีเท้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงสอดลูกกุญแจเข้าไปในล็อก ประตูที่ถูกล็อกเอาไว้เปิดออก และโต๊ะก็ถูกผลักไปที่ด้านข้าง


“มันมาแล้ว!” ชายขี้เมาไม่รู้ว่าเจ้าของที่นี่หน้าตาแบบไหน แต่เมื่อคิดถึงรูปภาพพวกนั้นก็ทำให้เขาหนาวไปจนถึงแก่นแล้ว เสียงฝีเท้าก้องอยู่ในครัว ไม่ช้า เก้าอี้ก็ถูกย้ายไปรอบ ๆ เหมือนเจ้าของที่นี่กำลังตรวจดูมัน


“หวังว่า นั่นจะหลอกเขาได้…” นั่นคือความปรารถนาของชายขี้เมา แต่เพียงไม่นานหลังจากที่เขาภาวนาอยู่ในใจก็มีเสียงประตูตู้เย็นถูกดึงเปิดออก ประตูชั้นบนถูกเปิดออกก่อน และถุงพลาสติกสีดำที่เขายัดเอาไว้อย่างรีบร้อนก่อนหน้านี้ก็หล่นลงมาเหมือนหิมะถล่ม


ใบหน้าของชายขี้เมาซีดเผือดทันที เขารู้ว่าเขาถูกเจอตัวแน่แล้ว!


“ฉันต้องออกไปจากที่นี่!” บางทีการถือมีดปังตอเอาไว้จะทำให้เขากล้าขึ้นเพราะว่าชายขี้เมากระแทกประตูเปิดออกจากด้านใน เนื้อสุนัขที่กระจายเต็มพื้นเข้าสู่ครรลองสายตาของเขา และหัวสุนัขที่มีสีหน้าอย่างมนุษย์ก็อยู่ตรงหน้าเขาพอดี


ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว ชายขี้เมาก็ยังกลัวมาเมื่อเห็น ดวงตาของเขาเบนไปด้านข้างและเขาก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเนื้อสุนัขที่กระตัดกระจายอยู่


ขนสุนัขเป็นปึก ๆ ติดอยู่ทั่วร่างคนผู้นั้น และสีหน้าของคนผู้นั้นก็ทำให้ชายขี้เมารู้สึกถึงความคุ้นเคย


“ใบหน้านี่คือหมายิ้มจากในรูปพวกนั้น!” ร่างของเขาเหมือนแช่อยู่ในน้ำเย็น เขาคลานออกจากตู้เย็นด้วยพลังทุกหยาดหยดที่มีและพุ่งไปทางประตู


“สีหน้าของหมาตายตัวนั้นดูเหมือนสีหน้าคน แต่คนเป็น ๆ กลับมีหน้ายิ้มแย้มเหมือนหมาตายที่ในรูป” ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของชายขี้เมา “หมาตายนั่นเข้าสิงร่างของคนเป็น ๆ คนนั้น หรือว่าพวกมันแลกเปลี่ยนวิญญาณกัน? เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นคำสาปแบบหนึ่ง คำสาปของหมาหน้ายิ้ม?”


ชายขี้เมาไม่สามารถอธิบายความคิดที่ผ่านเข้ามาในใจของตัวเองได้ เขาพุ่งไปที่ห้องแรกที่เขากระโดดเข้ามาเหมือนชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับมันแล้ว เทียบกับสิ่งที่น่ากลัวกว่า สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกลัวเมื่อตอนแรกกลายเป็นน่ากลัวน้อยลงไปแล้ว เมื่อชายขี้เมาวิ่งเข้าไปในห้อง ที่ตรงมุม เขาหันกลับไปมองด้านหลังตัวเอง ชายแปลกหน้าคนนั้นก้มลงใช้แขนและขาทั้งสี่ข้างไล่ตามหลังเขามาเหมือนหมาบ้า ผิวหนังที่พับย่นบนใบหน้าของเขานั้นยู่เข้าหากันเผยให้เห็นรอยยิ้มที่คล้ายกับสุนัขในรูป


ชายขี้เมากระแทกประตูปิด กระโจนออกจากหน้าต่าง เขาหนีออกจากตึกสองชั้นนี้โดยไม่หันกลับไปมอง ความกลัวเปลี่ยนเป็นพลัง ชายขี้เมาไม่หยุดวิ่งจนกระทั่งออกมาจากตึกนั้น เขาวิ่งไปตามถนนอีกประมาณสิบเมตรและหยุดเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามเขามา


“ปิศาจพวกนี้คือตัวอะไรกัน? ทำไมมันถึงเหมือนกับว่าทุก ๆ ตึกที่นี่ล้วนมีปิศาจเช่นนั้นอยู่กัน?” หมอกเลือดปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ชายขี้เมายืนอยู่กลางถนน เขามองซ้ายและขวาและพบว่ารถเมล์ที่น่าจะจอดอยู่ตรงนี้นั้นหายไปแล้ว


“ฉันวิ่งมาผิดทางเหรอ? หรือว่ารถเมล์อยู่ทางอื่น?” ชายขี้เมายืนอยู่บนถนน ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ตึกไหน “เทียบกับตึกก่อนหน้าแล้ว มันดูจะปลอดภัยกว่าที่บนถนน ฉันควรจะพยายามเดินไปตามถนนและจำเส้นทางเอาไว้ รถเมล์น่าจะอยู่ตรงไหนสักที่แถวนี้”


ชายขี้เมาเดินไปตามถนน แต่แค่ไม่นานเขาก็ไปเจอใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าโบกมือมาให้เขา หมอกสีเลือดลดระดับการมองเห็นลงมาเป็นอย่างมาก และเขาก็บอกได้แค่ว่ามันมีรูปร่างอย่างมนุษย์

 

 

 


ตอนที่ 635 เล่น-ซ่อน-หา

 

“นั่นใครน่ะ? เขาดูคุ้น ๆ เป็นหนึ่งในผู้โดยสารจากบนรถเมล์หรือเปล่า?” ชายขี้เมาเพิ่งพูดไปเมื่อวินาทีที่แล้วว่าถนนนั้นดูปลอดภัยกว่าที่ในตึก แต่เขายังไม่ทันพูดจบ เขาก็ได้รับการยืนยันแล้วว่ามันผิด เขาสงสัยว่าจะมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับตามองเขาจากที่ที่เขามองไม่เห็น จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขา


“เขาโบกมือให้ฉันใช่ไหมน่ะ? มีหมอกนี่อยู่ ฉันมองไม่เห็นหน้าเขา ดังนั้นเขาก็น่าจะมองไม่เห็นฉันเหมือนกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ คนทั่วไปย่อมไม่เป็นฝ่ายเข้าไปทักทายผู้อื่นก่อน”


ศักยภาพของคนผู้หนึ่งย่อมสามารถรีดเค้นออกมา หลังจากผ่านประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ชายขี้เมาก็ระแวดระวังมากขึ้นอย่างสังเกตได้ และเขาก็ยังคิดก่อนที่จะเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง เงาร่างคนในหมอกชัดเจนขึ้น– คนผู้นั้นดูเหมือนกำลังเดินตรงมาทางเขา


“ไม่ ฉันต้องอยู่ให้ห่างจากเขาเอาไว้” ชายขี้เมาสังเกตเห็นคนผู้นั้นเร่งความเร็วขึ้น เขาไม่กล้าตอบรับและยังหันกลับวิ่งหนีไป


“หากเขาเป็นคนเป็น ๆ เขาน่าจะต้องพูดอะไรสักอย่าง แค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วโบกมือและวิ่งเข้ามาหาฉันโดยไม่พูดอะไรสักคำน่ะน่าสงสัยเกินไป”


กระทั่งบนถนนก็ไม่ปลอดภัยแล้ว ดังนั้นชายขี้เมาจึงรู้สึกเหมือนติดกับดัก เขาไม่รู้แล้วว่าควรหนีไปที่ไหน


“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือไปรวมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ มันอันตรายเกินไปที่ฉันจะอยู่คนเดียว” ชายขี้เมาวิ่งเหยาะ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ว่ารถเมล์นั้นไปไหนแล้วไม่รู้ ยิ่งเขาวิ่งไป เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี “บ้าชะมัด ฉันว่าฉันหลงทางแล้วตอนนี้ ตึกที่นี่ดูเหมือนกันไปหมด และรถเมล์ก็เป็นปจุดอ้างอิงเดียวของฉัน”


เขายังสามารถมองเห็นเงารางเลือนอยู่ในหมอกที่ด้านหลังเขา คนผู้นั้นที่โบกมือให้เขานั้นยังอยู่ด้านหลังเขา รักษาระยะปลอดภัยระหว่างกันไว้


“แล้วนั่นมันเป็นบ้าอะไร? ทำไมมันถึงตามฉันมา?” ชายขี้เมาวิ่งเร็วขึ้นและไม่หยุดจนไปถึงแยกถัดไป เขายังไม่เจอรถเมล์ และเขาก็ลังเลว่าควรจะไปทางไหน จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่อีกฟากถนน มันโบกมือให้เขา!


“เจ้าสิ่งนั้นมันผ่านฉันไปเมื่อไหร่กัน? มันน่าจะอยู่ด้านหลังฉันสิ!” ความสิ้นหวังคืบคลานเข้ามาในหัวใจของเขาเหมือนเถาวัลย์อันยากควบคุม ชายขี้เมามึนงง ราวกับไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขาก็จะเจอกับคนผู้นี้


“ตอนนี้ฉันควรจะทำอย่างไรดี?” ประสบการณ์ชีวิตสามสิบปีนั้นไม่ช่วยอะไรเขาเลย ชายที่ฝั่งตรงข้ามถนนยังโบกมือให้เขา ด้วยรูปเงารางเลือน แขนที่แกว่งไปมานั้นดูราวกับเข็มนาฬิกาแห่งความตาย


“ต่อให้ฉันวิ่งไปทางอื่น ปิศาจนี่ก็จะยังตามฉันไป ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ฉันต้องสู้กับมัน!” ชายขี้เมากัดฟันแล้วกำมีดปังตอที่เขาเอามาด้วยจากในห้องครัวของบ้านมนุษย์สุนัขนั่น ในชีวิตนี้เขาไม่เคยกระทั่งฆ่าไก่เพื่อทำอาหาร แต่ทว่า ความคิดอันเหี้ยมโหดนี้กลับผุดขึ้นในใจเขา


“ใจเย็นไว้ ไม่ต้องตื่นตระหนก!”


อยู่ในหมอกเลือดนานเข้านั้นก็จะส่งผลต่อคนผู้นั้น ชายขี้เมานั้นไม่ได้สังเกตตัวเอง ที่ปลายหางตาของเขานั้นเป็นสีแดง เต็มไปด้วยเส้นเลือด มันเหมือนเขาไม่ได้นอนมาเป็นหลายวันแล้ว ต่างไปจากตอนที่เขาเป็นเมื่อขึ้นรถเมล์มาในทีแรก


เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเขา หัวใจของชายขี้เมาจึงเต้นด้วยอัตราเร็วอันไม่น่าเป็นไปได้ เขากำมีดเอาไว้ด้วยสองมือและเดินข้ามถนนไปด้วยท่าทางประหลาด เงารางเลือนนั้นยังโบกมือให้เขา เมื่อเขาเข้าไปใกล้มากขึ้น ชายขี้เมาจึงได้มองเห็นชัดขึ้น


“เขาดูคุ้นตา ฉันน่าจะเคยเจอเขามาก่อนที่ไหนสักแห่ง เขาเป็นผู้โดยสารจากบนรถเมล์จริง ๆ เหรอ?”


ชายขี้เมาหยุดอยู่ที่กลางถนนแล้วตะโกนถามชายคนนั้น “เฮ้! คุณชื่ออะไรน่ะ?”


ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายหนึ่งนอกจากมุมการโบกมือเหมือนจะตกลงไป และจู่ ๆ ชายคนนั้นก็เดินมาทางเขา ในเมืองสีแดงเลือดนี้ บนถนนอันว่างเปล่า ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดแคบเข้า เมื่อชายคนนั้นตรงเข้ามาอย่างช้า ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยในใจชายขี้เมาก็เพิ่มมากขึ้น


“เขาดูคุ้น ๆ จริง ๆ ฉันสาบานเลยว่าฉันต้องเคยเจอเขามาก่อนที่ไหนสักแห่ง” ชายขี้เมาเดินเข้าไปช้า ๆ และในที่สุดก็ผ่านหมอกหนาไปยืนตรงหน้าชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นมีเลือดเปื้อนเต็มตัว และช่องท้องของเขานั้นน่าสยดสยองเป็นที่สุด เอวคือส่วนที่ร่างกายท่อนล่างและท่อนบนเชื่อมเข้าหากันนั้นแทนที่ไว้ด้วยเส้นสีดำ มันเหมือนร่างกายของชายคนนั้นถูกตัดครึ่งแล้วก็เอามาต่อกันใหม่


เห็นรูปลักษณ์ของชายคนนี้แล้ว ชายขี้เมาก็คิดจะถอยกลับ แต่ว่า นอกจากความกลัวแล้ว เขากลับไม่สามารถสลัดความรู้สึกคุ้นเคยทิ้งไปได้ เขาแน่ใจว่าเขารู้จักชายคนนี้จากที่ไหนสักแห่ง


“คุณเป็นใคร?” สมองของเขาว่างเปล่า และชายขี้เมาก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคำถามนี้ถึงเล็ดรอดออกไปจากริมฝีปากของตนได้ มือของเขาที่กำมีดปังตอเอาไว้สั่น


“ถนนข้างหน้านั้นเป็นทางแยก– หนึ่งสำหรับคนเป็น และอีกหนึ่งสำหรับคนตาย” ชายแปลกหน้าเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และภายใต้ศีรษะที่เต็มไปด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้านั้นชายขี้เมาคุ้นเคยจริง ๆ ม่านตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความเกลียดชังผุดขึ้นมา เขาพุ่งเข้าหาชายขี้เมาด้วยสันหลังที่บิดเบี้ยวแตกหักรองรับร่างเขาอยู่ ริมฝีปากของเขาฉีกเปิด และเสียงโหยหวนหลากหลายก็หลุดออกจากลำคอของชายขี้เมา “ฉันก็คือแก! แกที่ตายอย่างน่าสยดสยอง!”


เมื่อเขาเห็นว่าปิศาจนี้ดูคล้ายตัวเอง กำแพงป้องกันชั้นสุดท้ายในจิตใจของเขาก็พังทลายลง เขาไม่มีความต้องการต่อสู้หลงเหลืออยู่ในตัวอีก เขากำมีดเอาไว้ หันหลังกลับแล้วออกวิ่ง คราวนี้ เขาไม่กระทั่งจะสนใจทิศทางของตัวเอง เส้นประสาททุกเส้นของเขานั้นตึงเขม็ง และเขาก็แทบจะบังคับขาที่พาเขาไปข้างหน้าไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหนเพราะเขาไม่รู้ว่าที่ไหนถึงจะปลอดภัย ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือวิ่ง


ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างของเขา และปอดของเขาก็เหมือนกำลังจะลุกไหม้ โลกในสายตาของเขาซีดจางไปขณะที่อากาศถูกสูบออกจากลำคอของเขา


“ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว…”


นี่เป็นโลกที่สร้างขึ้นจากความสิ้นหวัง ทางเลือกเดียวสำหรับคนเป็นก็คือเลือกเข้าไปในตึกสักหลังและเลือกวิธีตายที่ต้องการ


“ไม่มีใครรอดชีวิตอยู่ที่นี่ได้หรอก ทุกคนจะตายกันหมด…” สติสัมปชัญญะของเขาพังทลายไป ชายขี้เมาใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของตนวิ่งเข้าไปในตึกที่ใกล้ที่สุด สีหลักของตึกนี้คือสีขาว มันดูเหมือนจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนเพียงแห่งเดียวในเมืองหลี่ว่าน มันไม่ได้ใหญ่โต เป็นเพียงแค่ตึกสามชั้นเล็ก ๆ หลังหนึ่งเท่านั้น



“พ่อ…”


“หุบปาก” ชายวัยกลางคนหอบ เขาซ่อนตัวอยู่ในทางเดินหนีไฟและคอยหันกลับไปมองด้านหลังตัวเองเรื่อย ๆ หลายนาทีให้หลัง เมื่อเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว เขาก็เอนตัวพิงกำแพงแล้วไถลตัวลงนั่งกับพื้นช้า ๆ “ฉันเคยเห็นผู้โดยสารที่ไม่ให้ความร่วมมือถูกส่งเข้าไปในประตูในอพาร์ทเม้นท์ผี โลกที่ด้านหลังประตูนั้นคล้ายกับที่นี่ เต็มไปด้วยหมอกสีเลือด นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนเป็น ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผู้ชายคนนั้น! ถ้ามีโอกาส ฉันจะให้มันชดเชยหนี้นี้!”


ยิ่งเขาคิด เขาก็ยิ่งโกรธ และมันก็ยิ่งเลวร้ายหลังจากที่เห็นผู้หญิงและเด็กชายหมอบอยู่ข้างตัวเขา จู่ ๆ เขาก็เตะขาผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง ”ตั้งแต่ฉันแต่งงานกับแก ฉันก็ไม่เคยมีวันดี ๆ ในชีวิตอีกเลย! ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของแก อีใบ้!”


ผู้หญิงคนนั้นครวญครางอย่างแปลความหมายไม่ได้ เธอดูเหมือนจะกลัวผู้ชายคนนี้มาก เธอกุมขาตัวเองไว้ ขยับถอยไปด้านหลังและยังคงปกป้องเด็กชายเอาไว้จากความโกรธแค้นของผู้เป็นพ่อ


“พ่อ…”


“หยุดเรียกฉันได้แล้ว ไอ้เด็กโง่! แกยิ่งมายิ่งเหมือนเจ้าหนี้ฉันเข้าไปทุกที!” ชายวัยกลางคนมองไปรอบ ๆ และใบหน้าก็ทะมึนลง “พวกเราเอาแต่หนีจนมาจนมุมอยู่ในโรงพยาบาลนี่ ที่นี่มันถูกสาปชัด ๆ หลังจากปิศาจนั่นจากไปแล้ว พวกเราต้องไปให้ห่างจากที่นี่”


“พ่อ…” พึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งถูกด่า แต่เด็กชายก็ยังเรียกพ่อซ้ำ ๆ ในที่สุด ชายวัยกลางคนก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หากเป็นปกติแล้ว เด็กชายต้องขอโทษหรือปิดปากเมื่อเขาเริ่มโกรธ เด็กชายไม่เคยต่อต้านเขา


“อะไร?”


“ก่อนหน้านี้ มีพี่ชายใหญ่ตัวเล็กแปะกระดาษบางอย่างเอาไว้ที่หลังพ่อ” เด็กชายชี้ไปที่หลังของชายวัยกลางคน


“บนหลังฉัน?” ชายวัยกลางคนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปด้านหลังตัวเองแล้วดึงประวัติผู้ป่วยแผ่นหนึ่งออกมา


บันทึกนั้นบอกว่าผู้ป่วยเสียชีวิตไปแล้ว แต่ด้านหลังกระดาษแผ่นนี้ มีคนเขียนเอาไว้ด้วยลายมือหวัด ๆ ‘เป็นตาแกหาฉันแล้ว’

 

 

 


ตอนที่ 636 หาฉันให้เจอ

 

“มันถูกติดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชายวัยกลางคนถือประวัติการรักษาเอาไว้และดวงตาก็แทบจะถลนออกมา– เขาจำไม่ได้เลยสักนิด


“ผม…” เด็กชายกลัวพ่อเขาแทบตายแล้ว ดังนั้นจึงขดตัวอยู่หลังผู้เป็นแม่


“ตอนนี้ทำไมแกถึงไม่พูดล่ะ? มันเป็นเวลาที่แกต้องพูด แต่แกเลือกที่จะเงียบ?” ชายวัยกลางคนดึงเด็กชายออกมาจากด้านหลังมารดาของเขา เขาคว้าเสื้อเด็กชายแล้วเขย่าเขา ”มันติดเอาไว้ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนนั้นพวกเราอยู่ที่ไหน? คนที่เอามันมาติดไว้หน้าตาแบบไหน?”


“ที่ชั้นแรก ตอนที่พวกเราเดินผ่านห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง ประตูถูกเปิดแง้มไว้ ผมเห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาแล้วก็แปะกระดาษนี่บนหลังพ่อ” มันไม่ชัดเจนนักว่าเด็กชายนั้นกลัวพ่อของเขามากกว่าหรือว่ากลัวมือข้างนั้นมากกว่า “ผมอยากจะบอกพ่อตั้งแต่ตอนนั้น แต่หลังจากนั้นใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังประตู ผิวของเขาเป็นสีเทา และเขาก็กระซิบกับผมว่าอย่าบอกความลับนี้ไปเพราะนี่ควรจะเป็นเกมซ่อนหาที่ยุติธรรม”


“แกเชื่อฟังขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาบอกให้แกไม่พูดแกก็ไม่พูดงั้นเหรอ?” ชายวัยกลางคนเงื้อมือขึ้นและกำลังจะตบลงมาที่ใบหน้าเด็กชาย “สวะ พวกแกทั้งคู่เลย! แกมันก็ไร้ประโยชน์เหมือนแม่ของแก สักวันฉันคงตายเพราะพวกแกสองคนเนี่ย!”


เขาจ้องไปที่กระดาษที่เขาถือเอาไว้ และลายมือชุ่ย ๆ บนนั้นก็ทำให้เขาขนลุกซู่


“ตาฉันหาแกงั้นเหรอ? มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำตามคำสั่งแบบนี้!” ชายวัยกลางคนขยำกระดาษประวัติผู้ป่วยเป็นก้อนกลมแล้วโยนทิ้งลงพื้น บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ว่ารูปของผู้ป่วยนั้นโผล่ออกมาจากกระดาษขยำและมันก็บังเอิญมองตรงไปยังชายวัยกลางคน


“โชคร้ายชะมัด” เขากระแทกเท้าเหยียบกระดาษขยำก้อนนั้น ชายวัยกลางคนมองไปตามทางเดิน “ปิศาจจากถนนไม่ไล่ตามพวกเราเข้ามาในนี้– มันคงจะยอมแพ้ไปแล้ว พวกเราควรจะเดินเข้าไปในตึกนี่ ตอนที่พวกเราวิ่งเข้ามา ฉันจำได้ว่าเห็นประตูหลังอยู่ที่อีกด้านของตึกนี่”


หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกของเขาพูด ก็ไม่มีทางที่ชายวัยกลางคนจะเดินกลับไปทางที่พวกเขาผ่านมาก่อนหน้านี้ เขามองห้องพักผู้ป่วยที่เรียงรายอยู่สองข้างทางเดินและฝ่ามือของเขาก็เหงื่อออกชุ่ม


“พวกเราจะไม่ไปตามหาพี่ชายคนนั้นเหรอ?” เด็กชายถามอย่างระมัดระวังตอนที่เงยหน้าขึ้น


“หาเขา? แกอยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ? เรื่องเร่งด่วนที่พวกเราต้องทำตอนนี้ก็คือออกไปจากที่ที่พระเจ้าทอดทิ้งนี่” ชายวัยกลางคนคว้าไหล่ภรรยาของตนด้วยกริยาหยาบคาย “ดูแลเขาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้เขาเดินไปไหนมาไหน คนที่ในอพาร์ทเม้นท์ผีนั้นมีวิธีการจัดการกับผู้ใหญ่และเด็กต่างกัน…”


ตอนที่เขาพูด เขาก็เดินไปข้างหน้า แต่ว่าชายกางเกงของเขากลับถูกเด็กชายดึงเอาไว้ “มีอะไรอีก?”


“พ่อ เขากำลังเล่นซ่อนหากับพวกเรา”


“เจ้าโง่ ฉันรู้แล้ว” ชายวัยกลางคนเตะเด็กชาย “แกคิดจะเล่นซ่อนหากับผีนั่นในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผีอย่างนี้จริง ๆ หรือไง?”


“แต่ถ้าพวกเราไม่ไปหาเขา เขาก็จะมาหาพวกเราแทน” เด็กชายใช้น้ำเสียงจริงจังอธิบายกติกาของเกม แต่ว่า น้ำเสียงใสซื่อของเขากลับกลายเป็นถ่ายทอดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่อาจบรรยายได้เมื่อมันเข้าหูพ่อของเขา


“ผีนั่น… จะมาหาพวกเรา?” ตามกติกาแล้ว มีโอกาสที่จะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริง ๆ ใบหน้าของชายวัยกลางคนทะมึนลงในทันที ไม่ว่าจะเป็นตามหาผีหรือว่าถูกผีตามหา ทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่เขายากจะยอมรับได้


“ไม่ นี่น่าจะเป็นกับดัก ต่อให้พวกเราหาผีนั่นเจอ หลังจากบทบาทเปลี่ยนไปแล้ว มันก็จะยังมาหาพวกเราอยู่ดี! พวกเราต้องออกไปจากที่นี่! พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว” ชายวัยกลางคนอุ้มเด็กชายขึ้น เรียกหาภรรยาและเร่งเท้าเดินไปตามทางเดินหนีไฟ



‘ฆาตกร’ ที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกรกำกรรไกรคมกริบเอาไว้ในมือ ยืนอยู่คนเดียวที่ชั้นแรกของโรงพยาบาลของเมือง


“สัตว์อ่อนแอไปเป็นฝูง มีเพียงแค่สัตว์ร้ายที่ลงมือตัวคนเดียว ดังนั้น ฆาตกรย่อมต้องโดดเดี่ยวเสมอ” หลังมือของมือกรรไกรนั้นมีเส้นเลือดเต้นตุบ เผยให้เห็นว่าเขากระวนกระวายเพียงไหน “เมืองเล็ก ๆ ที่มีหมอกสีเลือดปกคลุม ที่นี่ต่างไปจากที่ในบันทึกของพี่ชายของฉันโดยสิ้นเชิง เขาบันทึกเอาไว้ผิด ๆ หรือว่าฉันขึ้นรถผิดป้ายนะ?”


มือกรรไกรแตะใบหน้าตัวเอง เมื่อปลายนิ้วปัดผ่านรอยแผล เขาก็ทำหน้าบึ้งจากความเจ็บปวด ตอนที่เขาอยู่คนเดียวเขามีท่าทางต่างไปจากที่เขาเป็นตอนที่อยู่บนรถเมล์โดยสิ้นเชิง


“เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ก็ต้องทำเหมือนตัวเองเป็นผู้ล่า ฉันไม่สามารถทำผิดแบบเดียวกับพี่ชายทำได้” มือกรรไกรเดินไปข้างหน้าอีกหลายก้าว โรงพยาบาลตอนกลางคืนนั้นน่ากลัวกว่าที่มันเป็นในตอนกลางวัน และถ้าแสงไฟยังไม่เปิด ความน่ากลัวก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นหลายเท่า


“ฉันจะมัวตื่นตระหนกไม่ได้ สถานที่อันตรายที่สุดย่อมเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด การขัดขืนเป็นทางเลือกเดียวที่ฉันจะรอดชีวิตอยู่ได้” นั่นคือสิ่งที่เขาบอกตัวเอง แต่เขาก็พบว่ามันยากมากกับแค่ยกเท้าก้าวเดิน ร่างกายของเขาต่อต้านสิ่งนี้ตามสัญชาตญาณ “ไม่ต้องกลัว ยิ่งกลัวสิ่งพวกนี้เท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่พวกมันจะมามากเท่านั้น ระหว่างทาง มีเสียงกรีดร้องของคนอื่นดังมาจากทางอื่นเรื่อย ๆ แต่ฉันเองกลับไม่เจออะไรเลย ดังนั้นนี่จึงพิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีของฉันน่ะถูกต้องแล้ว”


เขากำกรรไกรในมือแน่น หลังจากให้กำลังใจตัวเองอีกหลายคนแล้ว เขาก็ก้าวเท้าเข้าไปตามทางเดินยาวทางซ้าย หลังจากก้าวเท้าก้าวหนึ่ง ก็มีเสียงฝีเท้าสองเสียงก้องอยู่ หนึ่งเป็นของเขา และอีกหนึ่งนั้นเป็นเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้น


“นั่นเป็นแค่จินตนาการของฉันเท่านั้น ไม่มีอะไรอยู่ด้านหลังฉัน ไม่มีอะไรอยู่ด้านหลัง…” เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก มือกรรไกรกำลังพยายามสะกดจิตตัวเอง– เขารู้สึกเหมือนเขากำลังจะเคยชินกับการมีอยู่ของเสียงนี้แล้ว “ฉันกระวนกระวายเกินไป เสียงนั่นย่อมหายไปเมื่อฉันออกไปจากที่นี่ อีกแค่ห้าหรือหกชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้น ดังนั้นฉันต้องทนเอาไว้จนถึงตอนนั้น”


สุดท้ายแล้วมือกรรไกรก็เป็นคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหนักหนา จู่ ๆ เขาก็หยุดเท้าและยกมือขึ้นตบ ๆ ใบหน้าตัวเอง “นายมาที่นี่เพื่อตามหาพี่ชายของนาย แล้วนายจะเอาแต่คิดถึงตัวเองในเวลาแบบนี้ได้ยังไง?”


ภาพพี่ชายของเขาผุดขึ้นมาในใจ และมือกรรไกรก็ดูมุ่งมั่นขึ้น “ฉันเตรียมตัวมาห้าเดือนเพื่อวันนี้ ฉันยังมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อีกตั้งมาก ดังนั้นไม่มีเหตุผลให้ฉันต้องตื่นกลัว”


เขาบังคับให้ตัวเองเลิกกลัว เขาถือกรรไกรไว้ในมือซ้ายและกระเป๋าที่ไม่มีเลือดซึมออกมาแล้วอยู่ในมือขวา


“รูปลักษณ์ของฉันนั้นดูไม่น่าเข้าใกล้ มีผู้โดยสารคนหนึ่งบนรถเมล์ก่อนหน้านี้ที่ดูคล้ายฉัน– เขาน่าจะเป็นคนที่มีเรื่องราวในใจเหมือนกัน– แต่ว่าการเตรียมการของเขาน่ะไม่ครบถ้วนอย่างฉันหรอก” มือกรรไกรนั้นมั่นใจในตัวเองมาก หรือบางคนอาจจะเรียกว่ามั่นใจอย่างไร้เหตุผล เขาไม่สนใจเสียงฝีเท้าที่ก้องอยู่ด้านหลังและเดินไปตามทางเดินในโรงพยาบาล


โรงพยาบาลนั้นไม่ใหญ่ และยังมีห้องพักผู้ป่วยไม่มากนัก มือกรรไกรเดินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากชั้นสอง


“นั่นดูเหมือนจะมีบางอย่างมาจากทางเดินหนีไฟ จะเป็นใครกัน?” มือกรรไกรเลียริมฝีปากและคิดภาพบุคลิกที่มักพบเจอของฆาตกรบ้าคลั่งที่เขาเคยดูในหนังและค่อย ๆ คืบคลานขึ้นไปยังชั้นสอง


ในทางเดินมีลมพัด และประตูห้องพักผู้ป่วยบางห้องก็ถูกเปิดทิ้งไว้ครึ่ง ๆ เพราะไม่มีแสงไฟ ทุกห้องจึงมืด และพอยืนอยู่ที่ด้านนอก ก็ไม่มีทางบอกได้ว่าที่ด้านในนั้นมีอะไรอยู่


“มีคนอยู่ที่นี่?”


มือกรรไกรระมัดระวังทุก ๆ ก้าว เมื่อเขาผ่านห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งจู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง เสียงฝีเท้าที่ตางหลังเขามานั้นหายไปแล้ว


“ทำไมเสียงนั่นถึงหยุดลงล่ะ?”


ตอนนี้เมื่อมันไปแล้ว เขากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด พอหันกลับไปมอง เขาก็พบว่ามีบางคนแปะกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้บนไหล่ของเขา


“หาฉันให้เจอสิ?”

 

 

 


ตอนที่ 637 พวกเราเจอแกแล้ว (1+2)

 

“อยากให้ฉันหาตัวแกงั้นเหรอ? แกเสียสติไปแล้วหรือเปล่า?” ลายมือหวัด ๆ ที่ด้านหลังประวัติการรักษาทำให้เขารู้สึกถึงอะไรอย่างนั้น ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้นแรกของโรงพยาบาล ยืนอยู่ที่กลางทางเดิน


ถึงแม้ว่าลมจะหยุดพัดแล้ว ประตูที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ก็ยังขยับไปมาเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ฝุ่นผงมากมายร่วงลงมาจากเพดานเก่าโทรม และบางครั้งยังมีเสียงกระดาษปัดผ่านพื้นดังเข้ามาในหูเขาด้วย ยืนอยู่คนเดียวในสถานการณ์เช่นนี้หลังเที่ยงคืน มันคงเป็นการโกหกแล้วหากจะบอกว่าไม่รู้สึกกลัว


มือกรรไกรกำกรรไกรในมือแน่น และเขาก็ยังคับให้ตัวเองดูนิ่งเฉยเท่าที่จะทำได้ “มีคนแปะกระดาษนี่ไว้บนหลังของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


มือกรรไกรหันกลับไปมองห้องพักผู้ป่วยสองสามห้องที่เขาเพิ่งผ่านมา “คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องตลกนี่น่าจะมาจากหนึ่งในห้องที่ฉันเพิ่งเดินผ่านมา”


เขากลัวมาก แต่ความกลัวยังไม่ได้เข้ามาควบคุมความคิดอันเป็นเหตุเป็นผลหรือจิตใจของเขา เขาเตือนตัวเองว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในบทบาทของฆาตกรบ้าคลั่งเลือดเย็นและเขาก็ต้องรักษาความเยือกเย็นของตัวเองเอาไว้ไม่ว่าจะอย่างไร


ถ้าฉันดูอ่อนแอ ฉันก็จะยิ่งถูกพวกผีรังแก ดังนั้นฉันจึงดูอ่อนแอไม่ได้ ฉันแสดงความหวาดกลัวออกไปไม่ได้ 


เขาพับกระดาษประวัติการรักษาอย่างเรียบร้อยแล้วเก็บมันลงไปในกระเป๋า มือกรรไกรผลักเปิดประตูที่ใกล้เขาที่สุดที่เปิดไว้ครึ่ง ๆ อย่างระมัดระวัง ในห้อง ผ้าปูเตียงนั้นขาดเป็นชิ้น ๆ และที่นอนก็ถูกพลิกไว้ที่ด้านข้าง มันเหมือนกับเตียงนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องของสัตว์ร้ายสักตัวที่ต้องขังเอาไว้


“นี่มันโรงพยาบาลหรือว่าสถาบันจิตเวชกันแน่?” มือกรรไกรไม่ได้เข้าไปในห้องผู้ป่วยและเพียงแค่มองมันจากตรงธรณีประตูเท่านั้น เตียงนั้นไม่ใหญ่ และมีพื้นที่ซ่อนตัวใครสักคนเอาไว้ได้เพียงแค่ใต้เตียงหรือในตู้เสื้อผ้าเท่านั้น


“คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องตลกนี่ไม่ได้อยู่ที่นี่” เขามองเห็นพื้นที่ใต้เตียงได้อย่างชัดเจนและประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิดอยู่ ข้างในนั้นว่างเปล่า– ของทั้งหมดล้วนถูกนำออกไปแล้ว “เขาน่าจะอยู่ในห้องพักผู้ป่วยห้องอื่น”


ข้างในนั้น หัวใจของเขากำลังสั่นไหวราวกับเป็นใบไม้ใบหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้แสดงออกมาที่สีหน้าของเขา มือกรรไกรถอยออกจากห้องไปด้วยแขนขาที่แข็งทื่ออย่างไม่เป็นธรรมชาติและขยับไปยังห้องผู้ป่วยห้องอื่น


“ห้องนี้ก็ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่นี่เหมือนกัน…” มือกรรไกรขยับอย่างรวดเร็วผ่านหลายห้องไปจนกระทั่งเขาไปถึงห้องผู้ป่วยที่อยู่ใกล้กับทางเข้าโรงพยาบาลที่สุด


“หลังจากฉันเข้ามาในโรงพยาบาล ฉันก็เดินตรงเข้าไปในทางเดิน ฉันผ่านห้องผู้ป่วยแค่ไม่กี่ห้องเท่านั้นในตอนนั้น ในเมื่อห้องพักผู้ป่วยอื่น ๆ ล้วนว่างเปล่า อย่างนั้นเขาก็น่าจะซ่อนอยู่ในห้องสุดท้ายนี้” มือที่กำกรรไกรเอาไว้นั้นมีเหงื่อไหลพรั่งพรูขณะที่เขาผลักประตูห้องพักผู้ป่วยให้เปิดออกช้า ๆ กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงลอยออกมาจากด้านในห้อง เป็นกลิ่นเลือดและน้ำยาฆ่าเชื้อปะปนกันอยู่


“มีคนตายที่นี่มาก่อน?” ภาพด้านในห้องนั้นทำให้เขาต้องส่ายหน้า ผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือดนั้นถูกยัดเอาไว้ใต้เตียงอย่างรีบร้อน และจากหน้าต่างที่ติดเหล็กดัดกันขโมยเอาไว้ก็มีชุดผู้ป่วยที่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาดมากมายแขวนเอาไว้ วิกผมยาววางอยู่ในตู้เสื้อผ้า และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ บนกำแพงสีขาวสว่างนั้นมีบางคนหรือบางอย่างใช้เลือดสด ๆ เขียนเอาไว้ ‘เดาสิว่าฉันอยู่ที่ไหน?’


หลังจากเทียบลายมือแล้ว เขาก็พบว่าคนที่เขียนข้อความเลือดบนกำแพงและคนที่เขียนข้อความลงบนหลังประวัติการรักษานั้นต่างกัน การค้นพบครั้งนี้ทำให้มือกรรไกรรู้สึกไม่ดีขึ้นกว่าเดิม “มีมากกว่าหนึ่ง ‘คน’ กำลังเล่นซ่อนหาอยู่ในโรงพยาบาลนี่?”


ความอยากหันหลังกลับวิ่งหนีออกไปพุ่งขึ้นมาทันที เขาถอยออกจากห้องพักผู้ป่วย วางแผนจะออกจากโรงพยาบาลแล้วอยู่ให้ห่างจากมันสักพัก “ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ทฤษฎีนั้นเป็นความจริง แต่มันต่างออกไปเวลาจะเอามาใช้จริง”


กลับไปที่ทางเข้าโรงพยาบาล สีหน้าของมือกรรไกรก็เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ มีคนล็อกประตูใหญ่ของโรงพยาบาลโดยที่เขาไม่รู้ตัว!


“ตอนนี้ฉันควรทำอย่างไร?” มือกรรไกรเริ่มตื่นตระหนกจากความจนปัญญา เขากัดริมฝีปากและฉีกเปิดแผลที่บนใบหน้าตัวเอง ความเจ็บทำให้เขามีสมาธิและสงบลง “ฉันควรจะมองหาหน้าต่างสักบานที่เปิดได้”


ตอนที่เขาเข้าไปตรวจดูห้องพักผู้ป่วยบนชั้นแรกเมื่อครู่นี้ เขาแน่ใจว่าหน้าต่างทั้งหมดล้วนติดเหล็กดัดกันขโมยเอาไว้ ดังนั้นคงได้แต่ฝากความหวังเอาไว้ที่ชั้นสองแล้ว “ฉันฝึกตั้งมากก็เพื่อวันนี้ อาการบาดเจ็บจากการกระโดดลงมาจากชั้นสองน่าจะไม่รุนแรง แต่ว่าฉันคงพูดไม่ได้ว่ามันจะเป็นอย่างเดียวกันหากต้องกระโดดลงมาจากชั้นสาม ความเสี่ยงสูงเกินไป”


มือกรรไกรหิ้วถุงเอาไว้ กระโจนขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง


ตอนนี้ เขาล้มเลิกความคิดที่จะเล่นซ่อนหาไปแล้ว แล้วก็ การเล่นเกมกับผีมันไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย เขากระโจนขึ้นบันไดทีละสามขั้น ตอนที่เลี้ยวหัวมุมบันได เขาก็เห็นเท้าสีเทาคู่หนึ่งจากปลายหางตา เท้าคู่นั้นอยู่เหนือหัวเขาไปเล็กน้อย สัญชาตญาณของเขาบอกให้เงยหน้าขึ้นมอง และขาสีเทาซีดคู่หนึ่งก็โผล่เข้ามาในสายตาเขา แต่เมื่อเขามองขึ้นไปอีก สิ่งนั้นก็หายไปแล้ว


“บ้าอะไรกันน่ะ?” ‘เรื่องประหลาดใจ’ ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นทำให้ขาของมือกรรไกรอ่อนยวบลง เขาไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้กับเขาถึงขนาดนี้ อันที่จริง ระหว่างพวกเขานั้นห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น “เขาอยู่ตรงนั้นแล้ว บางที เขาอาจจะกำลังจับตามองฉันจากมุมมืดนั่น!”


มือกรรไกรหยุดอยู่ที่กลางบันได ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไปต่อดีหรือไม่ ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างโชคดี สิ่งนั้นกำลังรอเขาอยู่ที่ชั้นบนจริง ๆ


“หน้าต่างทั้งหมดในห้องพักผู้ป่วยบนชั้นแรกนั้นถูกล็อกเอาไว้ด้านหลังเหล็กดัดกันขโมย ไม่มีทางที่ฉันจะสามารถหนีออกไปทางนั้นได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะออกไปจากสถานที่ต้องสาปอย่างนี้ผ่านทางหน้าต่างได้ก็ต้องเป็นที่ชั้นสอง”


เมื่อตัดตัวเลือกอื่นแล้ว มือกรรไกรก็บังคับตัวเองให้เดินขึ้นบันไดไป


กรุณาอย่าโผล่ออกมาอีกเลย


เขาสวดภาวนากับตัวเองเงียบ ๆ มือกรรไกรวิ่งเหยาะ ๆ ไปยังห้องพักผู้ป่วยห้องแรกทางซ้ายมือของตัวเอง เขาผลักประตูเปิดพร้อมความหวังในหัวใจแต่ความหวังนั้นก็หายวับไปเมื่อเขามองไปทางหน้าต่าง เศษผ้ารุ่งริ่งติดอยู่ในระหว่างเหล็กดัดกันขโมย


“กระทั่งหน้าต่างที่ชั้นสองก็ยังติดเหล็กดัดด้วยเหรอ?”


ริมฝีปากของเขาแห้ง หัวใจของมือกรรไกรนั้นค่อย ๆ สิ้นหวังไปอย่างช้า ๆ เขาเดินไปยังหน้าต่างและเอื้อมมือออกไปเขย่าเหล็กดัดแรง ๆ เหล็กดัดโลหะบาดเข้าที่นิ้วของเขา และความเจ็บปวดจากแผลนั้นก็ช่างเหมือนจริงอย่างยิ่ง แต่หมอกเลือดที่ด้านนอกหน้าต่างก็เหนือจริงมากเช่นกัน


หากนี่เป็นฝันร้าย ฉันก็หวังว่าฉันจะตื่นขึ้นในไม่ช้า


เหล็กดัดกันขโมยนั้นแน่นหนา ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะเปิดมันได้โดยไม่มีอุปกรณ์ มือกรรไกรปล่อยมือและเตรียมตัวกลับออกไป แต่ตอนที่เขาไปถึงประตู เสียงฝีเท้าก็ก้องลงมาตามทางเดินหนีไฟจากที่อีกด้านหนึ่ง มันเหมือนมีคนกำลังวิ่งอยู่


ฟังเหมือนมาจากทางนี้ และยังมีกันหลายคนด้วย!


โดยไม่ลังเล มือกรรไกรปิดประตูและล็อกเอาไว้ เขาขยับไปยืนที่ด้านหลังประตู หวังว่าจะได้เห็นสถานการณ์ที่ด้านนอกผ่านช่องหน้าต่างที่บนประตู เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มือกรรไกรมองเห็นหลายเงาพุ่งไปตามทางเดิน ดูเหมือนจะมุ่งหน้ามาทางเขา


ฉันไม่สามารถปล่อยให้พวกมันเจอตัวได้! หากต้องติดอยู่ในห้องนี้ก็จบกันแล้ว!


เงาหลายเงานั่นเข้าใกล้จุดที่เขาอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ มือกรรไกรกวาดตามองห้องที่ด้านหลังตัวเอง และในที่สุด ก็คว้ากระเป๋าเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชน และสิ่งอำนวยความสะดวกก็ต่างไปจากที่ในโรงพยาบาลรัฐ พื้นที่ในตู้นั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยแผ่นไม้กระดาน และหลังจากดึงแผ่นไม้นั่นออก ตู้เสื้อผ้าก็ใหญ่พอให้คนผู้หนึ่งเข้าไปซ่อนด้านในได้


เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจากที่ไกล ๆ ก่อนที่จะหายไปที่ด้านนอกห้องพักผู้ป่วย


พวกมันหยุดอยู่ที่หน้าประตู? หรือว่าพวกมันเจอฉันแล้ว?


มือกรรไกรไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องฉลาดที่จะออกไปเพราะอาจจะถูกสิ่งเหล่านั้นจับตัวได้ทันทีที่เผยตัวออกไป ดังนั้นจึงตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า


ซ่อนและหา ซ่อนและหา ฉันยังไม่ได้หาเลยแล้วทำไมถึงมาหาฉันแล้วล่ะ? เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันรู้ว่าฉันคิดจะหนี?


มือกรรไกรกลั้นหายใจ เปลี่ยนไปอยู่ในท่าที่สบายมากขึ้น แต่ตอนที่เขากำลังปรับท่านั้น รองเท้าของเขาก็กระทบถูกบางอย่าง หัวใจของเขาเย็นเฉียบขึ้นมา เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผาก มือกรรไกรบังคับให้ตัวเองสงบใจลงขณะควานหาโทรศัพท์จากในกระเป๋า


เขาเปิดโทรศัพท์ พื้นหลังของหน้าจอนั้นเป็นรูปของชายหนุ่มสองคนที่หน้าทางเข้าบ้านเด็กกำพร้า ชายหนุ่มคนหนึ่งนั้นไว้เคราแพะ ตัวสูงและร่างหนามาก ขณะที่อีกคนนั้นดูเหมือนมือกรรไกร ในตอนนั้น เขาดูค่อนข้างเขินกล้อง ตอนที่รูปถูกถ่าย เขายกมือขึ้นเหมือนพยายามจะบังหน้าตัวเองจากกล้อง


“พี่ดูแลผมมาตั้งนาน– นี่ถึงเวลาที่ผมต้องดูแลพี่แล้ว” มือกรรไกรถอนหายใจลึกและเพิ่มความสว่างหน้าจอถึงระดับสูงสุด จากนั้นก็ส่องไปที่ใต้เท้าตัวเอง


สิ่งที่รองเท้าของเขากระทบถูกนั้นเป็นชุดผู้ป่วย และที่โผล่ออกมาจากใต้เสื้อผ้านั้นเป็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง เป็นเพราะว่ามือกรรไกรได้อ่านบันทึกของพี่ของเขาเขาจึงตัดสินใจขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 มาที่เมืองหลี่ว่านนี่ ตอนนี้ เขาก็เจอบันทึกอีกเล่มในระหว่างการเดินทาง เขาหยิบมันขึ้นมาโดยไม่ลังเลมากนักและเริ่มพลิกดู


“ลิ่วเฟยหมิง? นี่เป็นชื่อเจ้าของบันทึกเล่มนี้เหรอ?”


ตอนที่เขาพลิกหน้าบันทึก เขาก็พบประวัติการรักษาสอดเอาไว้ ชื่อของผู้ป่วยก็ยังเป็นลิ่วเฟยหมิง และตามการวินิจฉัยของเขา ขาทั้งสองข้างของเขาหักจากการตกจากที่สูง


ทำไมมันถึงเหมือนกับกำลังพูดถึงอนาคตของฉันอยู่เลยล่ะ? หนทางเดียวที่จะหนีออกจากสถานที่ต้องสาปนี่ก็คือกระโดดลงไปจากชั้นสาม


มือกรรไกรดูยิ่งกว่าวิตกกังวลเสียอีกตอนที่เริ่มอ่านเนื้อหาในบันทึก


“วันที่ 1 มิถุนายน: ฉันจะไปทวงหนี้ผู้ชายขาเป๋คนนั้นทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล! ถึงไอ้บ้านั่นจะขาเป๋ หัวใจของมันก็ดำยิ่งกว่าถ่าน! อย่างน้อยที่สุดฉันก็ทำงานในทีมของมันตั้งหลายปีแล้ว เขายังคิดจะปิดปากฉันด้วยเงินแค่ไม่กี่ร้อยหลังจากที่ฉันตกจากชั้นสาม ได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังหมดสติ? ไม่มีทาง! เรื่องไม่จบแค่นี้แน่!


“วันที่ 2 มิถุนายน: เพราะการบาดเจ็บของเส้นประสาทและกระดูก ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนี้อย่างน้อยที่สุดก็สามเดือน ฉันอยากรู้ว่าฉันจะออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่กันแน่ อยู่ที่โรงพยาบาลนี่มันน่าเบื่อมาก ฉันอยากรู้ว่าคนที่บ้านฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันหวังว่าคู่หูของฉัน พี่หลี่ จะไม่ได้บอกพวกเขาว่าฉันได้รับบาดเจ็บ ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องเป็นห่วง


“วันที่ 3 มิถุนายน: ทำไมมันถึงเหมือนกับพวกพยาบาลจงใจหลีกเลี่ยงฉันล่ะ? พวกเขากลับออกไปทันทีที่เปลี่ยนน้ำเกลือเสร็จ มันเหมือนฉันเป็นเทพปิศาจอะไรแบบนั้น เป็นเพราะพวกเขาดูถูกคนจน ๆ ใช่ไหม? พวกเขาจะต้องเสียใจเรื่องนี้ตอนที่ฉันร่ำรวยขึ้นมา


“วันที่ 4 มิถุนายน: โอ้พระเจ้า ฉันเบื่อมาก ไม่มีใครสักคนให้คุยด้วย หมอและพยาบาลก็ไม่เข้ามาแล้ว ไม่ใช่พวกเขาบอกว่าเตียงไม่พอหรอกเหรอ? ข้าง ๆ นี่ก็มีเตียงว่างอยู่ แต่พวกเขากลับให้ผู้ป่วยนอกอยู่ตามทางเดินแทนที่จะให้เข้ามานอนที่นี่ ในห้องเดียวกับฉัน นี่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไง? คนพวกนี้ดวงตางอกเงยที่หน้าผากเหรอไง


“วันที่ 6 มิถุนายน: เกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยห้องข้าง ๆ น่ะ? จะให้คนอื่นหลับลงได้ยังไงในเมื่อเขาเอาแต่ทำเสียงแบบนั้นตลอดทั้งคืน? การดูแลของโรงพยาบาลเก่า ๆ นี่ย่ำแย่ชะมัด ฉันจะเขียนจดหมายสนเท่ห์ไปหาบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อเปิดเผยเรื่องนี้


“วันที่ 7 มิถุนายน: ตอนตีสองเมื่อเช้านี้ ผู้ป่วยห้องข้าง ๆ เริ่มมีอาการอีกแล้ว ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าพวกเขาขังผู้ป่วยทางจิตเอาไว้ที่ห้องข้าง ๆ ใช่ไหม ทำไมถึงมีเสียงใครกำลังทุบกำแพง?


“วันที่ 8 มิถุนายน: ในที่สุดฉันก็ทนไม่ไหวและตะโกนกลับไปที่ผู้ป่วยห้องข้าง ๆ คืนนี้ ฉันคิดว่าพวกเขาก็จะตะโกนกลับมาหาฉันเหมือนกันแต่ว่าพวกเขากลับเป็นแค่สวะกลุ่มหนึ่ง ไม่มีเสียงตอบจากพวกเขา อันที่จริง ฉันก็ต้องขอบคุณพวกเขานะ หลังจากเบื่อแทบตายมาหลายวัน การได้ตะโกนออกไปก็ผ่อนคลายดีทีเดียว


“วันที่ 9 มิถุนายน: ตอนที่ฉันตื่นเช้านี้ มีเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ เตียงของฉัน มันทำให้ฉันค่อนข้างตกใจ หลังจากฉันถามเขา ฉันก็พบว่าเขาคือลูกของผู้ป่วยห้องข้าง ๆ พ่อแม่ของเขากล้ามากที่ปล่อยให้เด็กน้อยอย่างเขาเดินไปมาอย่างนี้ แล้วก็ เด็กคนนี้ค่อนข้างน่ารักทีเดียว และเขาก็ไม่กลัวคนแปลกหน้าด้วย ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้ามาหาฉัน ยินดีจะพูดคุยกับฉัน


“วันที่ 10 มิถุนายน: ฉันทำความคุ้นเคยกับเด็กคนนั้นแล้ว เขาชอบเล่นซ่อนหาและมาหาฉันตอนกลางคืน มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเหรอที่จู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ? ฉันรับปากเขาว่าเมื่อฉันลงจากเตียงได้ ฉันจะเล่นซ่อนหากับเขาในโรงพยาบาลนี้ แล้วก็ พ่อกับแม่ของเด็กน่าจะเป็นคนดี– อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ดูถูกฉันเหมือนพยาบาลกับหมอที่ในโรงพยาบาลนี่ ฉันอยากรู้ว่าพวกเขาป่วยด้วยโรคอะไรถึงได้ต้องอยู่ในโรงพยาบาลหลายวันขนาดนี้


“วันที่ 14 มิถุนายน: คืนนี้ ผู้ป่วยมะเร็งห้อง 305 ตาย หมอและพยาบาลหลายคนมาแล้วก็ไป แต่น่าแปลก ฉันสังเกตเห็นว่าพวกเขายังเว้นระยะห่างจากห้องพักผู้ป่วยของฉันตอนที่เดินผ่านเพื่อลงไปชั้นล่าง พวกเขายังเลือกเดินอ้อมไปไม่ยอมเดินผ่านห้องพักผู้ป่วยของฉัน เป็นเพราะว่าฉันถูกขึ้นบัญชีดำหรือเปล่า?


“วันที่ 15 มิถุนายน: ในที่สุดก็ถึงวันถอดเฝือกแล้ว และฉันก็นึกว่าหมอคงจะลืมฉันไปหมดแล้ว วันนี้เป็นวันที่ลมแรง ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจะอยู่แต่ในห้อง


“วันที่ 15 มิถุนายน: คืนนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมฉันถึงยังได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากห้องถัดไปล่ะ? เสียงนั่นคล้ายกับเสียงชายชราที่ตายเมื่อวานนี้ ฉันถามเด็กชายเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากบอกอะไรฉัน ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือให้ฉันเล่นซ่อนหากับเขาในตอนกลางคืน ถ้าฉันสามารถหาเขาเจอ เขาก็จะตอบคำถามฉัน ขาของฉันยังอยู่ในช่วงฟื้นฟู และถ้าฉันเดินท่อม ๆ ออกไปตอนกลางคืน ฉันคงจะทำให้พยาบาลที่อยู่เวรตกใจแน่ ๆ


“วันที่ 16 มิถุนายน: โอ้พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับฉันกัน? วันนี้ ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่และออกไปข้างนอกพร้อมกับไม้เท้า ตอนที่ฉันอยากจะไปห้องข้าง ๆ เพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้าน ฉันก็พบว่าฉันกำลังออกมาจากห้องผู้ป่วยห้องแรกทางซ้ายของบันได! ถัดไปจากห้องของฉันนั้นเป็นห้องเก็บของ และไม่มีห้องพักผู้ป่วยที่ด้านนั้น! แต่ว่าฉันได้ยินเสียงพูดคุยทุกคืนและยังเด็กคนนั้น! บ้าชะมัด! ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมหมอและพยาบาลถึงไม่ยอมเข้าใกล้ห้องของฉัน


“วันที่ 16 มิถุนายน: หมอไม่ยอมให้ฉันกลับ อย่างไรเสียฉันก็ยังติดค่ารักษาพยาบาลพวกเขาก้อนใหญ่ เพื่อนของฉันไม่มีใครเชื่อถือได้เลยสักคน! ฉันไม่สนใจ ฉันจะออกจากที่นี่วันพรุ่งนี้ แต่เรื่องใหญ่ก็คือ… ฉันจะรอดไปจากคืนนี้ได้ยังไง? ถ้าเด็กคนนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกล่ะ?


“วันที่ 17 มิถุนายน: ไม่มีทาง ฉันต้องออกไปจากที่นี่ ฉันต้องไป เมื่อคืนนี้ เด็กชายกลับมาและจะให้ฉันเล่นเกมซ่อนหากับเขา! เขาอยู่ในห้องฉันแล้วก็วิ่งไปมา ฉันเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ทำไมฉันถึงได้สัญญาจะเล่นกับเขานะก่อนหน้านี้? ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต่อให้โรงพยาบาลจะห้ามฉันออกไป ฉันก็จะหาทาง ถ้าฉันอยู่ที่นี่ต่อไป ในที่สุดพวกเขาก็จะเอาชีวิตฉันแล้ว!


“วันที่ 17 มิถุนายน: ฉันจะทำยังไง? ฉันจะทำยังไงดี? ฉันคิดว่าในที่สุดฉันก็เสียสติไปแล้ว! ตอนที่ฉันอยากออกไปจากที่นี่เมื่อตอนบ่ายนี้ ฉันยืนอยู่ที่เหนือบันได และจู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่ามีคนอยู่ด้านหลังฉัน ฉันหันกลับไปและเห็นเด็กชาย เขาถามว่าฉันจะไปไหน และอยากรู้ว่าทำไมฉันถึงไม่เล่นซ่อนหากับเขา!


“วันที่ 18 มิถุนายน: เพื่อนร่วมงานของฉันไม่มีใครโทรกลับมาเลย และหัวหน้าก็ยังหนีหายไปแล้ว โรงพยาบาลไม่ยอมปล่อยฉันออกไป และค่ารักษาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้ฉันรอดชีวิตไปได้ หนี้ค่ารักษาก็จะถล่มฉันตายอยู่ดี! แต่ว่า ฉันไม่สนใจแล้ว– หนีออกไปจากที่นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดของฉัน


“วันที่ 18 มิถุนายน: ตอนที่ฉันวิ่งลงบันไดไป มีคนผลักฉันจากด้านหลัง และมันก็ทำให้ฉันขาหักอีกครั้ง หมอบอกว่าที่ในกล้องวงจรปิดน่ะ ฉันกระโดดลงจากบันไดมาเอง แต่ฉันเห็นด้วยสองตาตัวเองเลยว่า เป็นเด็กชายคนนั้นผลักฉัน! เขาไม่อยากให้ฉันออกไปจากที่นี่ ฉันกำลังพูดความจริง แต่ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อฉันเลย?



วันที่ 1 กรกฎาคม: นี่น่าจะเป็นบันทึกครั้งสุดท้ายของฉันแล้ว ขาทั้งสองข้างหัก ดวงตาของฉันบอด ลำคอของฉันเสียหายจากน้ำกรด และนิ้วของฉันก็บิดงอ– ไม่มีทางที่ฉันจะหนีไปจากที่นี่ได้อีกแล้ว ฉันรู้ว่าเด็กชายนั้นยังอยู่ข้าง ๆ ตัวฉัน ไม่มีห้องผู้ป่วยข้าง ๆ ห้องฉัน พวกเขาล้วนอยู่ในห้องนี้กับฉัน ฉันเจอพวกเขาแล้ว แต่นั่นหมายความว่าฉันจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อีกต่อไป”


อ่านมาถึงหน้าสุดท้ายแล้วหัวใจของมือกรรไกรก็เย็นเยียบ “ไม่มีห้องพักผู้ป่วยข้าง ๆ? พวกเขาล้วนอยู่ในห้องนี้?”


ความเย็นแล่นวาบไปตามสันหลังของเขา มือกรรไกรไม่คิดจะอยู่ในห้องนี้ให้นานไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว และเขาก็ผลักประตูตู้เปิด


หลังจากออกจากตู้เสื้อผ้า มือกรรไกรก็มองไปทางประตูที่อยู่ข้างตัวและสมองของเขาก็ว่างเปล่าไปในทันที


ในช่องหน้าต่างบนประตู ใบหน้ามนุษย์ที่ดูซีดเผือดหลายต่อหลายคนกำลังมองเข้ามา “พวกเราเจอแกแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 638 เรื่องผีที่น่ากลัวยิ่งกว่าของฉัน? (1+2)

 

แอบอยู่ในห้องกักกันของโรงพยาบาล อ่านบันทึกที่เต็มไปด้วยความสยองที่เหยื่อทิ้งเอาไว้ และความสยองขวัญที่เขียนไว้ในบันทึกก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทันทีที่ปิดบันทึกลง มือกรรไกรไม่สามารถเสแสร้งอีกต่อไปได้ เขาเชื่อว่าไม่ว่าใครก็คงเสียสติไปในสถานการณ์เช่นนี้


หน้าต่างเล็ก ๆ บนประตูนั้นเต็มไปด้วยใบหน้าซีดเผือดมากมาย และขนาดมองผ่านประตู มือกรรไกรยังเห็นสีหน้าของคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน


“พวกเขาทุกคนกำลังมองฉันอยู่!” มือกรรไกรหายใจได้อย่างยากลำบาก มันเหมือนมีมือเย็นเฉียบคู่หนึ่งเอื้อมมาที่หน้าอกของเขาแล้วล้วงเข้าไปบีบปอดของเขาเอาไว้ เรี่ยวแรงทั้งหมดหายไปจากร่างของเขา และเขาก็พบว่ามันยากมากที่จะขยับตัวแม้แค่การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ


“เจอแกแล้ว” เสียงหลอน ๆ นั่นก้องอยู่ในหูเขามากขึ้น ขาของมือกรรไกรสั่นระริก ความสนใจทั้งหมดของเขาถูกดึงไปที่ด้านนอกช่องหน้าต่างเล็ก ๆ บนประตู จนมันต้องใช้เวลาเป็นนานกว่าเขาจะรู้สึกว่าเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากด้านนอกประตู ความกลัวแทรกเข้ามาในทุกเส้นประสาทของเขาอย่างฉับพลัน ดวงตาของมือกรรไกรแทบจะถลนออกมาจากเบ้า และเขาก็หันกลับไปมองข้างหลังตามสัญชาตญาณ


ที่นั่งอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่เขาซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้ก็คือชายคนหนึ่งในชุดผู้ป่วย ผู้ชายคนนั้นตัวไม่สูง เขาใส่เฝือกอยู่ที่ขาทั้งสองข้าง ดวงตาข้างซ้ายของเขาถูกดินสอแทงบอด จมูกหัก และนิ้วทั้งสิบซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ รอยเท้าของมือกรรไกรและเลือดที่หยดจากกรรไกรของเขานั้นปรากฏอยู่บนชุดผู้ป่วย เห็นได้ชัดเจนว่า ชายคนนี้ ‘ซ่อน’ อยู่ในตู้เสื้อผ้า


“เจอแกแล้ว” น้ำเสียงราวกับหุ่นยนต์และเฉยเมย ฟังเหมือนเป็นตุ๊กตาชักใยมากกว่าเป็นคน สีหน้าบนใบหน้าก็ไม่เป็นธรรมชาติมาก เขาดูมีความสุขและตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ ที่ได้รับของเล่นใหม่มาเล่น


ผีอยู่ในตู้เสื้อผ้า คิดกลับไปถึงเวลาที่เขาใช้ไปในตู้เสื้อผ้าแล้วมือกรรไกรก็ขนลุก ‘ผู้ป่วย’ ที่เป็นคนเขียนบันทึกปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขา แต่ชายคนนั้นน่าจะตายไปนานแล้ว


มือกรรไกรยืนอยู่ระหว่างเจ้าของบันทึกและประตูห้องพักผู้ป่วย เขาติดอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้ว


“ใจเย็นไว้ อย่าตื่นตระหนก แกดูหนังสยองขวัญมามากกว่าสิบเรื่อง และยังเล่นเกมสยองขวัญมามากกว่าสิบเกมก่อนจะมาที่นี่ แกเตรียมการทุกอย่างที่สามารถทำได้แล้ว ดังนั้นมันจะต้องมีวิธีการแก้ไขปัญหานี้” สมองเขาหมุนเร็วจี๋ แต่เขาก็ไม่สามารถหาแรงบันดาลใจใด ๆ ได้จากทั้งหนังสยองขวัญหรือว่าเกม นี่ก็เป็นเพราะว่าไม่มีฉากอย่างนี้ในหนังพวกนั้น ฉากที่ตัวละครหลักถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างผีตนหนึ่งกับผีทั้งกลุ่ม


เหงื่อเย็น ๆ บนหน้าผากเขาไหลกลิ้งลงมาเรื่อย ๆ หัวใจของเขาเต้นรัวไม่หยุด “มีผีตนหนึ่งอยู่ด้านหลังฉัน และยังมีผีอีกทั้งกลุ่มอยู่ตรงหน้า ปกติแล้วมันน่าจะปลอดภัยกว่าที่จะอยู่ในห้อง แต่ถ้าฉันไม่หนีออกไปจากห้องนี้มันก็เท่ากับเป็นการตายอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ สูญเสียอิสระของตัวเองไปจนกระทั่งอยากจะตายก็ตายไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด นั่นก็เป็นปลายทางของเจ้าของบันทึก ดวงตาของเขาถูกแทงจนบอด ขาของเขาหักจนรักษาไม่ได้ และในที่สุด เขาก็ทำได้แค่อยู่เล่นกับผีที่เหลือที่นี่ไปตลอดกาล”


เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของชะตากรรมที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขาตามที่บรรยายเอาไว้ในบันทึก มือกรรไกรก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ “ในเมื่อฉันยังเคลื่อนไหวได้ ฉันก็ต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะหนี”


หน้าอกที่กระเพื่อมแรงของเขาค่อย ๆ กลับเป็นปกติช้า ๆ เขากลั้นหายใจแล้วหันไปมองช่องหน้าต่างที่บนประตู “ไม่มีทางเลือกแล้ว! ฉันต้องสู้กับพวกมัน! ฉันจะบุกขึ้นไปที่ชั้นสามแล้วกระโดดออกจากที่นี่ทางหน้าต่าง!”


มือกรรไกรรู้สึกเหมือนเขาได้เลือกวิธีการที่ดีที่สุดแล้วเมื่อคิดถึงตัวเลือกอันสิ้นหวังอื่น ๆ ที่เขามี เขากำกรรไกรแน่นและท่ามกลางการจับตามองของ ‘ผู้ป่วย’ จู่ ๆ เขาก็ร้องคำรามออกมาแล้วพุ่งไปทางประตู ตอนที่เขาลงมือ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เสียงฝีเท้าดังมาจากอีกด้านของทางเดิน เสียงฝีเท้าดูเหมือนจะมาจากทางเดินหนีไฟที่ชั้นสอง และมันฟังดูไม่สม่ำเสมอเหมือนมีมากกว่าหนึ่งคนกำลังวิ่งลงมาตามทางเดิน


เสียงร้องออกมาอย่างกะทันหันของเขานั้นทำให้อีกฝ่ายที่กำลังวิ่งมาทางเขาตกใจกลัว ตอนที่เขาไปถึงประตูห้องพักผู้ป่วย มือกรรไกรก็ได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนดังมาจากทางเดิน ห่างไปราว ๆ หกหรือเจ็ดเมตร “บ้าชะมัด! ที่นี่มีผี! กลับไป! ถอยกลับไป!”


ใบหน้ามนุษย์ที่บนช่องหน้าต่างหายลับไปทันที มือกรรไกรปล่อยวางความระแวดระวังของตัวเอง เขาพุ่งออกจากห้อง โบกกรรไกรของตัวเองไปมาอย่างบ้าคลั่งและพุ่งตรงไปยังชั้นสาม บนแขน ขา และไหล่ของเขา เขารู้สึกเหมือนมีมือมากมายยื่นออกมาจับตัวเขาเอาไว้ในเวลาเดียวกัน!


“ปล่อยฉัน!” เขาเล็งกรรไกรในมือไปยังกระเป๋าที่เขาถือเอาไว้ เขาแทงมันทะลุ และบางอย่างในกระเป๋าก็ถูกกรีดขาด ของเหลวสีแดงเข้มระเบิดออกจากข้างในนั้น เหมือนผู้ป่วยบ้าคลั่ง เขาสะบัดเลือดที่ด้านในกระเป๋าไปรอบ ๆ เปรอะไปทั่วร่างของเขาและพื้นที่รอบ ๆ ตัว


ตอนที่เขาอาบของเหลวนั่นทั่วร่าง เขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาอาจจะไม่ได้เสียสติไปจริง ๆ แต่ในด้านรูปลักษณ์แล้ว มือกรรไกรนั้นจัดการให้ ‘ผู้ป่วย’ ที่อยากจะเล่นซ่อนหาคนนั้นถอยไปได้


หลังจากสาดเลือดออกไปแล้ว มือกรรไกรก็ไม่ชะงักสักวินาทีและพุ่งตรงไปยังชั้นสาม แต่ว่า ตอนที่เขาไปถึงชั้นสาม บางอย่างที่สิ้นหวังยิ่งกว่ากำลังรอเขาอยู่ หน้าต่างบนชั้นสามนั้นไม่ได้ติดเหล็กดัดกันขโมยเอาไว้ แต่ว่าทั้งหมดล้วนถูกปิดไว้ด้วยแผ่นไม้กระดาน


มันต้องใช้เวลามากทีเดียวถึงจะเอาแผ่นไม้พวกนี้ออกได้ เวลาที่เหล่าปิศาจในโรงพยาบาลนี่ไม่มีให้มือกรรไกร “พอฉันหยุด ปิศาจพวกนั้นต้องมาทำร้ายฉันแน่ ๆ พวกมันต้องใช้ทุกวิถีทางให้ฉันต้องอยู่ที่นี่และเล่นเกมกับพวกมัน ถ้าฉันขัดขืน ฉันก็จะจบลงในสถานการณ์เดียวกันกับผู้ป่วยที่ตาบอดขาหักคนนั้น”


มือกรรไกรบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง เขามองไปที่ด้านหลังตัวเอง ไปตรงที่เขาสาดเลือดเอาไว้ โรงพยาบาลนี่ดูน่ากลัวมากกว่าตอนที่เขามาถึง แต่การตกแต่งใหม่ ๆ นี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเขาทำลงไป


“ฉันสงสัยว่าเลือดหมาดำนี่ใช้ได้หรือไม่ได้กันแน่? ก่อนหน้านี้ฉันเห็นคนในกระดานสนทนาถามหาความช่วยเหลือหลังจากถูกผีสิง เขายืนอยู่ในห้องน้ำ อัญเชิญวิญญาณผ่านทางกระจกเงาและมีผู้เชี่ยวชาญบางคนให้ความเห็นว่าเลือดหมาดำน่าจะให้ผลในการหยุดยั้งวิญญาณร้าย…”


แฉะ!


มีเสียงดังมาจากชั้นล่างที่ทำให้หัวใจของมือกรรไกรแทบจะแข็งตัว เขาหันไปที่บันไดและเห็นรอยเท้าปรากฏขึ้นบนแอ่งเลือดสุนัขดำที่ยังไม่แข็งตัว มีเพียงแค่รอยเท้า และไม่มีเจ้าของรอยเท้านั่น ดังนั้นจึงไม่ชัfเจนนักว่านั่นเป็นรอยเท้าของใคร


“โชคดีที่ฉันยังมีไพ่ตายอยู่อีก” มือกรรไกรพยายามปลอบตัวเอง เขาลากกระเป๋าวิ่งไปตามทางเดิน ลึกเข้าไปในโรงพยาบาล “หน้าต่างในห้องผู้ป่วยทั้งหมดถูกผนึกเอาไว้ แต่ฉันสงสัยว่าห้องเก็บของกับห้องน้ำจะเป็นอย่างไร พวกเขาอาจจะลืมที่แบบนั้นไปก็ได้”


มือกรรไกรคืบคลานเข้าไปในห้องน้ำด้วยความหวังสุดท้ายในหัวใจ เมื่อเขาเข้าไปในห้องน้ำแล้ว เขาก็ได้พบกับภาพประหลาด ประตูห้องส้วมทั้งห้าล้วนปิดอยู่ แต่สี่ห้องนั้นดูเหมือนจะมีคนใช้งาน!


เลิกเล่นกับฉันได้แล้ว! มือกรรไกรกรีดร้องอยู่ในใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างในห้องน้ำ และประกายความหวังใหม่อย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเขา หน้าต่างในห้องน้ำนั้นไม่ได้ถูกปิดเอาไว้โดยสมบูรณ์ น่าจะมีบางคนเคยพยายามหนีออกไปจากที่นี่มาก่อน และพวกเขาก็ดึงแผ่นไม้กระดานสองแผ่นลงมาแล้ว “หลังจากแกะไม้กระดานอีกแผ่นหนึ่งก็จะมีช่องว่างใหญ่พอให้ฉันลอดออกไปได้!”


เขาวิ่งไปยังหน้าต่าง วางแผนจะใช้กรรไกรใหญ่ในมืองัดไม้กระดานออก แต่ผีที่ในโรงพยาบาลดูเหมือนว่าตั้งใจจะเล่นสนุกกับเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาจากทางเดิน– พวกมันมาถึงเร็วมาก


“ฉันต้องเร็วกว่านี้!” ทุก ๆ วินาทีนั้นมีความหมาย มือกรรไกรใช้เรี่ยวแรงทุกหยาดหยดในการงัด เขาตั้งสมาธิอยู่กับหน้าต่าง ดังนั้นจึงไม่ได้คิดว่าประตูห้องส้วมห้องหนึ่งจะถูกเปิดออกในไม่กี่วินาที เสียงกระแทกปังทำให้หัวใจและร่างกายของเขาสั่น นิ้วของเขาอ่อนแรงลงและกรรไกรใหญ่ที่อยู่ระหว่างแผ่นไม้และหน้าต่างก็หลุดมือและไหลผ่านหน้าต่างออกไป!


“บ้าชะมัด!” อาวุธเดียวของเขาตกลงไปด้านนอกโรงพยาบาลแล้ว มือกรรไกร่นิ่งอึ้งอยู่ตรงที่เดิมเกือบวินาทีหนึ่ง จากนั้นเขาก็คว้ากระเป๋าแล้วพรวดเข้าไปในห้องส้วมเดียวที่ไม่ถูกล็อกเอาไว้ เขาอยากจะทุบหน้าอกตัวเอง แต่เมื่อคิดถึงว่าเสียงอาจจะดึงดูดความสนใจจากผี เขาก็กลั้นเอาไว้


“มันจบแล้ว! กรรไกรออกไปจากที่นี่ได้แล้ว แต่ว่าฉันยังอยู่ข้างใน! ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ ฉันจะไม่เรียกตัวเองด้วยชื่อนี่!”


เขากัดฟัน กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างตึงเขม็ง มือกรรไกรปิดปากและจมูกของตัวเองไว้ กลัวว่าจะหายใจเสียงดังเกินไป


เขาสวดภาวนาอยู่ในใจอย่างบ้าคลั่ง ได้โปรดอย่าเจอตัวฉันเลย ได้โปรดอย่าได้เจอฉัน!


แต่ว่า ตอนที่เขามองลงไป ความสิ้นหวังในใจเขาก็เพิ่มพูนขึ้น ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาสาดทางเดินด้วยเลือดหมาดำ มันก็สาดลงที่ตัวเขาเช่นกัน ดังนั้น เขาจึงทิ้งรอยเท้าเลือดเอาไว้ในทุกย่างก้าว ร่องรอยของเขานั้นถูกเปิดเผยออกทั้งหมดเลย ตราบใดที่ผีพวกนั้นไม่ได้ตาบอด พวกมันย่อมหาเขาเจอ


“นี่ต่างไปจากที่ฉันคาดเอาไว้หมดเลย! ฉันทำอะไรผิดไปกัน?” ใบหน้าของเขาขาวซีด มือกรรไกรยอมแพ้แล้ว ตอนนี้เขาแค่กำลังรอให้ความตายมาถึง “โชคไม่ดี ฉันยังหาพี่ชายไม่เจอ…”


เขาซ่อนอยู่ในห้องส้วมหลายนาที แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่มีใครมาหาเข้า


“พวกมันก็หาฉันไม่เจอเหรอ? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ รอยเท้าที่ฉันทิ้งเอาไว้น่ะมันชี้บอกว่าฉันกำลังแอบอยู่ในห้องน้ำชัด ๆ ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังรู้ว่าฉันแอบอยู่ที่นี่” มือกรรไกรขยับตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เขาต้องการเปิดประตู แต่ตอนที่นิ้วของเขาแตะลงที่ประตูห้องส้วม เขาก็ชักมือกลับทันที “ไม่ รอก่อน พวกมันน่าจะอยู่ที่ด้านนอกประตูแล้ว! พอฉันเปิดประตู ใบหน้ามากมายพวกนั้นอาจจะกำลังเบียดกันอยู่ พวกมันแค่กำลังรอให้ฉันยอมแพ้แล้วเปิดประตู


“ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ ฉันออกไปไม่ได้ ฉันต้องรออยู่ที่นี่ ถ้านั่นจะทำให้ฉันมีเวลาอีกสักวินาทีก็เอาอย่างนั้นแหละ!” มือกรรไกรอยู่ท่าเดิมเอาไว้อย่างสุดความสามารถไม่กล้าขยับแม้แต่ศีรษะตัวเอง “ตราบใดที่ฉันไม่เห็นพวกมัน พวกมันก็ไม่มีจริง”


คราบเลือดสุนัขดำยังอยู่บนร่างของเขา แต่มือกรรไกร กำกระเป๋าใบเก่าเอาไว้ด้วยสองมืออย่างไม่รู้สึกสกปรกหรือว่ารังเกียจ “ห้องน้ำนี่ก็แค่ฉากพื้น ๆ ในหนังสยองขวัญทุกเรื่อง มันเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก แต่ไหนลองคิดซะว่า มีตัวละครไหนบ้างที่หนีออกจากห้องน้ำได้?”


เขานึกถึงหนังเรื่องต่าง ๆ ในใจอยู่เป็นนาน แต่ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งกลัว ห้องน้ำในหนังสยองขวัญนั้นเป็นสถานที่แห่งความตายโดยแท้ เขานึกวิธีการหนีออกไปไม่ออกเลย กลับกัน เขากลับนึกถึงฉากสยองขวัญหลาย ๆ ฉากในห้องน้ำจากหนังสยองขวัญดัง ๆ หลายเรื่องได้


“ประตูห้องส้วมติด ๆ กันนี่ล็อกเอาไว้หมดเลย นั่นหมายความว่ามีคนอยู่ในนั้นแน่ ๆ! บ้าชะมัด นั่นเหมือนในหนังสือเรื่องหนึ่งที่ฉันเคยดูเลย ในห้องน้ำตอนกลางคืน มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาในห้องส้วมแล้วถามว่าฉันอยากได้กระดาษทิชชูสีน้ำเงินหรือว่าสีแดง”


เหงื่อเย็น ๆ ไหลมาตามใบหน้าของเขา เขากำลังอยู่ในฉากแบบเดียวกับในหนังสยองขวัญ และเนื้อเรื่องที่เขากำลังนึกถึงนั้นก็สามารถเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้!


“ฉันจะทำยังไงถ้ามีมือเอื้อมเข้ามาในนี้แล้วถามว่าฉันอยากได้กระดาษทิชชูแบบไหน? บอกเขาว่าฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าผู้ชาย แล้วก็แค่ต้องนั่งฉี่ ดังนั้นฉันก็เลยไม่ต้องการกระดาษทิชชูอะไรทั้งนั้น? แต่ว่าผีจะเชื่อเหตุผลโง่ ๆ แบบนั้นเหรอ?”


ปัง!


ประตูห้องน้ำถูกกระแทกเปิดอีกครั้ง และเสียงก็ดังกว่าครั้งก่อนหน้า มันเหมือนมีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าเข้ามาในห้องน้ำนี่ มือกรรไกรจู่ ๆ ก็หยุดคิดวุ่นวาย เขาหุบปากสนิทและก็ตัวสั่นอย่างกระวนกระวาย


ปัง!


ประตูห้องส้วมห้องแรกถูกกระแทกเปิดด้วยกำลังแรง และหัวใจของมือกรรไกรก็ขมวดเกร็งจากเสียงกระแทกนั่น  มันกำลังตรวจดูห้องส้วมทีละห้อง ได้โปรดอย่ามาถึงที่นี่เลย ได้โปรดอย่ามา!


เป็นธรรมดา สิ่งต่าง ๆ ล้วนไม่เป็นไปอย่างที่เขาหวัง ประตูห้องส้วมห้องก่อนหน้าล้วนถูกเปิดออกทีละห้อง ในที่สุด เสียงฝีเท้าก็มาหยุดอยู่ตรงนอกห้องส้วมที่เขาอยู่ พระเจ้า คราวนี้มันจบแล้วจริง ๆ



เสียงกรีดร้องลอยขึ้นมาจากชั้นล่าง และหมอก็หยุดเดิน เขาบอกเฉินเกอที่อยู่ด้านหน้า “ที่นี่ดูไม่ถูกต้อง ทำไมพวกเราไม่กลับลงไป? มันจะปลอดภัยกว่าถ้าพวกเราจะอยู่ด้วยกันเอาไว้”


“อยู่กับพวกเขาน่ะสิที่จะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น อย่าลืมว่าชายหน้ายิ้มนั่นยังอยู่ด้านล่าง บางทีมันอาจจะเป็นเขาก็ได้ที่ลงมือทำร้ายผู้โดยสารคนอื่น ๆ” เฉินเกอนั้นขึ้นมาถึงชั้นบนสุด และภายใต้สายตาสั่นไหวของหมอ เขาก็ดึงค้อนออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังและพังประตูขึ้นดาดฟ้าทิ้ง


“คุณ… ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับที่นี่มาก คุณเคยมาที่นี่มาก่อนไหม?” หมอถามอย่างระมัดระวัง


“ผมมีลูกจ้างคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นก็เลยเคยมาที่นี่ ถึงแม้ว่าหมอกเลือดจากปกคลุมเมืองอยู่ แต่โครงสร้างทั่วไปของตึกก็ไม่ได้เปลี่ยน” เฉินเกอขึ้นไปชั้นดาดฟ้า


“ลูกจ้างของคุณ?”


“ใช่ ผมเป็นคนทำอุปกรณ์ประกอบฉากที่สวนสนุก ค้อนนี่ก็เป็นหนึ่งในผลงานสร้างของผม มันดูน่ากลัว แต่ว่ามันก็ดูดีกว่าชิ้นอื่น ๆ” เฉินเกอเดินตรงไปยังถังน้ำ เขาเปิดถังทั้งหมดและก็หาร่างของผีโทรศัพท์ไม่เจอ “พวกเรายังอยู่ในโลกจริง”


‘ประตู’ นั้นหลุดออกจากการควบคุม และหมอกเลือดที่ด้านหลังประตูก็ลอยออกมาแล้วกลืนกินเมืองเล็ก ๆ นี่ไปอย่างช้า ๆ บางทีหลังจากระยะเวลาหนึ่ง เมืองหลี่ว่านก็จะถูกครอบงำไปโดยสมบูรณ์และเปลี่ยนไปโดยหมอกสีเลือดนี่ กลายเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกจริงและโลกด้านหลังประตู


“คุณกำลังมองหาอะไร?” หมอเดินตรงเข้ามาหาเขา


“ผมแค่อยากตรวจดูว่าจะมีสัญญาณอันตรายอะไรรอบตัวพวกเราหรือเปล่า แต่ว่าหมอกหนาเกินกว่าที่ผมจะมองเห็นอะไร” เฉินเกอหาข้ออ้างมั่ว ๆ “กลับลงไปกันเถอะ”


กลับมาที่ชั้นล่างแล้ว รถเมล์ก็ยังอยู่ตรงที่เดิม แต่ไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ๆ ให้เห็นเลย


“น่าจะเกิดบางอย่างขึ้นที่ในตึก แต่ว่าพวกเราโชคดีพอที่จะไม่เจอกับมันเข้า” หัวใจของหมอยังคงสั่นระริก เขายืนอยู่ข้าง ๆ เฉินเกอ และหลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็เปิดปากพูด “อันที่จริง ผมเคยมาที่นี่มาก่อน หมอกสีเลือด…”


“พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากทางนั้น” ด้วยประสาทสัมผัสที่ดีขึ้นของเขา เฉินเกอคว้ากระเป๋าสองใบวิ่งไปตามถนน


“เฮ้ ระวังด้วย!” คำแนะนำของหมอนั้นไม่เข้าหู ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ หมอก็เลือกตามหลังเฉินเกอไป วิ่งไปตามถนน เฉินเกอเจอเข้ากับเงาราง ๆ ที่โบกมือให้เขาจากตรงแยกหนึ่ง แต่ว่าเงานั่นดูจะหันหน้าหนีเขา


“ในที่สุดก็เจอคนที่นี่แล้ว” เขาวิ่งเร็วขึ้น แต่ว่าเงาโบกมือนั่นก็หายเข้าไปในหมอกอย่างช้า ๆ เฉินเกอไม่ยอมปล่อยให้ ‘คน’ ผู้นั้นหนีไปโดยง่าย เขาไล่ตามมันไประยะหนึ่งก่อนที่ในที่สุดจะหยุดเท้าลงตอนที่ผ่านโรงพยาบาล


“ทำไมถึงมีคนนอกอยู่ตรงนั้น?” เฉินเกอเจอเข้ากับชายขี้เมาที่กำลังตัวกระตุกรุนแรงอยู่ที่ด้านนอกโรงพยาบาล ที่ปากมีน้ำลายเป็นฟองฟ่อด มันดูเหมือนเขากำลังจะจากโลกนี้ไปในไม่ช้า


“ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับความตกใจอย่างรุนแรง” หมอส่ายหน้า “ผมเป็นหมอแต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ด้านที่ผมเชี่ยวชาญ ผมจะพยายามแต่ก็ขึ้นกับโชคของเขาแล้วว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่”


“ถือนี่ไว้” เฉินเกอส่งกระเป๋าให้หมอ “ผมมีประสบการณ์กับเรื่องนี้มากกว่า”


เขาคลายคอเสื้อชายขี้เมาและคลายเข็มขัดออก เขาดันศีรษะของชายขี้เมาให้นอนลงไปกับพื้น จากนั้นก็นวดขมับของชายขี้เมาด้วยจังหวะคงที่ และจากนั้นก็ตามมาด้วยการกดที่หน้าอกเป็นจังหวะ เป็นวิธีการกู้ชีพที่ไม่มีจุดบกพร่อง มันเป็นมาตรฐานราวกับลอกมาจากในตำราโดยตรง*


สามนาทีให้หลัง ชายขี้เมาก็ฟื้นขึ้นช้า ๆ เขาไม่ได้กรีดร้องตอนที่ใบหน้าของเฉินเกอเข้ามาอยู่ในสายตาเขา แต่หลังจากรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เขาก็เริ่มกระวนกระวาย เขาชี้ไปทางหนึ่งแล้วพูด “อย่าเข้าไปในบ้านหลังนั้น มีหมาที่มีหน้าคนยิ้มอยู่ที่นี่– มันเป็นคำสาปเลือด”


“ไม่ต้องห่วง ให้ผมส่งคุณกลับไปที่รถเมล์นะ”


เฉินเกอต้องการพยุงชายขี้เมาขึ้น แต่ว่าชายคนนั้นกลับยื่นมือออกมาจับเฉินเกอเอาไว้ “พวกเรากลับไปไม่ได้! มีผีกลุ่มหนึ่งอยู่ในตึกนั่นและยังมีผีแขวนคออยู่ที่ช่องบันได! พวกเรากลับไปไม่ได้!”


“มีผีอยู่ที่นี่มากมายเลยหรือ?”


“ใช่! ผมไม่โกหกคุณ! ตอนนี้ผมสงสัยว่าที่นี่อย่างน้อยต้องมีหนึ่งเรื่องผีซ่อนอยู่ในตึกแต่ละหลัง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่อย่างน้อยที่สุดก็มีผีหนึ่งตัวต่อตึกหลังหนึ่ง!” ร่างของชายขี้เมาสั่น


“ผีหนึ่งตนในตึกหนึ่งหลัง? นั่นไม่หมายความว่าแต่ละตึกนั้นกลายเป็นฉากสยองขวัญฉากหนึ่งเหรอ?” ดวงตาเฉินเกอสว่างวาบ เขากวาดตามองตึกที่รอบ ๆ ตัว และสีหน้าก็ต่างออกไปจากตอนที่เขามาถึงที่นี่ทีแรก


“ผมคิดว่าคุณจะพูดอย่างนั้นก็ได้” ชายขี้เมาไม่รู้ว่าเฉินเกอกำลังคิดอะไรอยู่ “อ้อ และโรงพยาบาลที่ข้าง ๆ พวกเรานี่ อย่าเข้าไปในนั้น ผมได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากในนั้นก่อนหน้านี้!”


 


 


 


 


TL note: การกู้ชีพเป็นวิธีที่ถูกต้องตามบริบทของนิยายเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่จะนำมาใช้ในชีวิตจริง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม