Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 95-101

 บทที่ 95 ความลำบากใจ (2)


  สองแขนของลั่วจื่อหานกอดแน่น “ไม่มีได้ยังไง เป่ยซี ฉันจะพาเธอกลับบ้าน กลับบ้านของเธอดีหรือเปล่า?”


            “ตอนนี้ฉันไม่มีแล้ว พวกเขาไม่ต้องการฉันแล้ว ไม่คิดที่จะต้องการฉันแล้ว เป็นความผิดของฉัน ฉันทำให้บ้านของตัวเองพัง ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้ว” ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมา ปลอบใจอย่างอ่อนโยน


            “เป่ยซี เธอเองมีบ้านนะ บ้านของเธออยู่ทางนั้น เธอลืมแล้วเหรอ?”


            อี้เป่ยซีอึ้งไป จากนั้นก็ร้องไห้อีกครั้ง “ฉันไม่มี ฉันไม่มี  ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง ฉันไม่มีบ้าน ไม่มีบ้านแล้ว”


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานประกบริมฝีปากลงบนเปลือกตาของเธอ จากนั้นก็ประกบบนหน้าผากที่สะอาดสะอ้านของเธอ “จริงๆ นะ พวกเรามีบ้าน พวกเราไปดูก่อนดีหรือเปล่า?”


            เขาพาเธอไปนั่งที่เบาะด้านข้างคนขับ กำลังจะอ้อมไปอีกฝั่ง อี้เป่ยซีกลับยื่นมือคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ ดวงตาเต็มไปด้วยความไร้ทางสู้และความหวาดกลัว ลั่วจื่อหานลูบหัวของเธอเบาๆ


            “ฉันจะไปนั่งที่เบาะนั้น จะไม่ไปไหน ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหน โอเคไหม” อี้เป่ยซีจึงผ่อนคลายลง ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ประตูอีกบาน รอจนกระทั่งลั่วจื่อหานนั่งที่เบาะคนขับ เธอจึงโล่งอก


            ลั่วจื่อหานขับรถ รู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ รู้สึกสับสนในใจ ปกติแล้วเธอควรจะมีความแจ่มใสเหมือนดวงอาทิตย์ สุกใสเหมือนดวงดารา ไม่ควรจะกลัวจนเลิกลั่กเช่นนี้ ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้ารัก ไม่กล้าต่อสู้ ไม่กล้าส่องแสงในตัวเอง ราวกับนักโทษที่ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน เริ่มเฆี่ยนตีตัวเองด้วยหนาม


            “เป่ยซี พวกเราถึงแล้ว” อี้เป่ยซีมองดูอะพาร์ตเม้นต์ที่ตัวเองเช่า กรอกตาไปมา


            “ขอบคุณ” เธอพูดเสียงเบา หันไปต้องการจะเปิดประตูรถ ลั่วจื่อหานยื่นมือดึงเธอไว้


            “เป่ยซี” มือของเขาปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผากของอี้เป่ยซี ทันใดนั้นก็กอดเธอแน่น “รู้สึกได้ไหม เธอกลับบ้านแล้ว เป่ยซี”


            ราวกับคนที่กำลังจมน้ำคว้าขอนไม้เอาไว้ อี้เป่ยซีก็โอบเอวเขากลับ ซบอยู่บนไหล่ของเขาไม่ได้พูดอะไร


            ทั้งสองคนกอดกันอย่างนี้ตลอดทั้งคืน เหมือนกับเด็กน้อยเร่รอนที่กอดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่กันและกัน ลั่วจื่อหานลืมตา พระอาทิตย์ขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว อี้เป่ยซียังคงขดตัวอยู่ ศีรษะหนุนตักของเขา เขายกมือขึ้น ปัดผมที่ปิดหน้าของเธอไปอีกข้างอย่างเบามือ มองดูใบหน้าของเธอที่หลับใหล มือหนึ่งวางอยู่บนไหล่ของเธอ


            น่าจะฝันร้าย อี้เป่ยซีพูดพึมพำเล็กน้อย เธอโค้งตัวไปข้างหน้าด้วยความอึดอัด ราวกับว่าชนอะไรบางอย่างเข้า อดไม่ได้ยื่นมือออกไปผลัก ถูกคนคว้าตัวไว้ เสียงหายใจหนักหน่วงในรถยิ่งหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ


            “อือ” อี้เป่ยซีดิ้นไม่หลุด จึงลืมตาขึ้นช้าๆ วินาทีต่อมาเกือบจะลื่นไหลออกไปจากตักของลั่วจื่อหานแล้ว ลั่วจื่อหานรีบคว้าตัวเธอ ประคองเธอขึ้นมา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนกับใบหน้าของอี้เป่ยซี


            “คือว่า ฉัน…เอ่อ…ไม่ได้ หา…” ต้องพูดยังไง? อี้เป่ยซีหน้าแดงก่ำ เมื่อครู่เธอยังยื่นมือออกไปสัมผัสเขาไม่ใช่เหรอ สองมือประสานอยู่ด้วยกัน อี้เป่ยซีแทบจะรอไม่ไหวที่จะสลัดมันทิ้ง แต่ว่าในสายตาของคนอื่นกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง


            ลั่วจื่อหานมองมือของเธอที่วางไว้ด้วยกัน เปลวไฟในดวงตาลุกขึ้นทันใด เขากระแอม “พวกเราไปอาบน้ำกันก่อนเถอะ”


            “หา อ่อ ได้ๆๆ” อี้เป่ยซีออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว รีบเปิดประตู ลั่วจื่อก็เดินตามเธอเข้าไปด้วย ทั้งสองคนไปเตรียมตัวกันคนละห้อง


            น้ำเย็นในฤดูร้อนก็มีผลในตัวเองเช่นกัน ผ่านไปเนิ่นนาน ลั่วจื่อหานจึงเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ มีความเหนื่อยล้าเล็กน้อย เปิดประตูเดินเข้าห้องของอี้เป่ยซีโดยไม่รู้ตัว หยิบกล่องเสื้อผ้าใบเล็กออกมา จู่ๆ ลั่วจื่อหานก็เกลียดจิตใต้สำนึกของตัวเองมาก เพิ่งจะหันหลังกลับมาก็เห็นอี้เป่ยซีในผ้าขนหนู


            ผมที่ดำสนิทปล่อยอยู่ข้างแก้มทั้งสองข้าง ยิ่งทำให้ผิวขาวเด่นชัดมากขึ้น ใบหน้าเนื่องจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จจึงเป็นสีชมพูระเรื่อ เหมือนผลลูกพีชที่มีน้ำค้างเกาะ ไหล่เปลือยเปล่าเผยอยู่ในอากาศ กระดูกไหปลาร้าที่สวยงามนั้นยังปรากฏอยู่ในสายตาอย่างโจ่งแจ้ง ดูเหมือนว่ายังมีน้ำจำนวนหนึ่งหยดไหลลงสู่ผิวที่บอบบาง ไหลผ่านร่างกายทุกส่วนของเธอ


            พอเห็นลั่วจื่อหานอี้เป่ยซีก็ประหลาดใจเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นึกถึงฉากในรถเมื่อครู่อีกครั้ง รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว แสร้งทำเป็นไม่ได้มองเขา “คือว่า ฉัน”


            เธอยังลังเลอยู่ว่าจะพูดอะไร แต่ลั่วจื่นหานกลับออกไปทันที อี้เป่ยซีมองประตูที่ปิดลงด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก เห็นเสื้อผ้าบนเตียงที่ตัวเองวางกระจัดกระจาย เหมือนว่าหน้าจะร้อนขึ้นมาอีกครั้ง


            ลั่วจื่อหาน นาย นายมันขี้โกง อี้เป่ยซีแอบด่าในใจ ถอนหายใจและเริ่มแต่งตัว ลั่วจื่อหานมองดูเลือดบนนิ้ว ในรอยยิ้มเจือปนความเหนื่อยหน่าย เป่ยซี เมื่อไรเธอถึงจะเข้าใจ


            อี้เป่ยซียืดยาดในห้องตัวเองนานมากกว่าจะเปิดประตูห้องนอน ได้ยินเสียงทำกับข้าวดังมาจากห้องครัวด้านล่าง ทันใดนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ เธอเดินลงไป เดิมทีอยากจะช่วย หลังจากเห็นลั่วจื่อหานแล้วก็ค่อยๆ ถอยกลับไป


            อย่ามัวแต่หน้าแดงเวลาเจอเขาได้ไหมนะ ไม่ใช่ว่า…เธอไม่ได้โดนมันไม่ใช่เหรอ


            “ลั่วจื่อหาน นายมันขี้โกง” เธอด่าเสียงต่ำ สังเกตการเคลื่อนไหวของเขาด้วยความระมัดระวังมาก จนกระทั่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว จึงนั่งลงอย่างสบายใจ คว้าน้ำบนโต๊ะขึ้นมาจิบ


            “แค่กๆๆ…” ได้ยินเสียงไอของอี้เป่ยซี ลั่วจื่อหานรีบออกมา


            “เป็นอะไรไป?” ยื่นมือออกมาเช็ดหยดน้ำที่มุมปากอี้เป่ยซี การสัมผัสทำให้ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อ ทั้งสองคนต่างรู้สึกได้ถึงความอ่อนไหวของอีกฝ่าย


            ลั่วจื่อหานยังคงตอบสนองเร็วที่สุด เขาเดินเจ้าห้องครัวไปโดยไม่ได้พูดอะไร ยกกับข้าวที่ทำเสร็จแล้วออกมา อี้เป่ยซีได้กลิ่นหอม ดึงสติกลับมา สบสายตากับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกแล้ว


            พระเจ้า ช่วงนี้เป็นอะไรไป ทำไมเรื่องที่เกิดขึ้นถึงได้แปลกประหลาดอย่างนี้


            อี้เป่ยซีรีบก้มหน้า กินข้าวอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ในหัวกลับคิดโน่นคิดนี่ไม่หยุด แม้จะไม่มีใครบอกเธอว่านี่มันคืออะไร แต่ว่าการท่องโลกอินเทอร์เน็ตนานขนาดนั้น สิ่งที่ควรรู้ก็รู้แล้ว เธอกัดตะเกียบ ในใจสับสนเล็กน้อย


            “กำลังคิดอะไรอยู่?”


            ราวกับว่าถูกมองทะลุในใจ อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นทันที สบสายตาที่ยิ้มหยอกคู่นั้น เบ้ปาก “กำลังคิดเรื่องที่ตัวเองทำกับข้าว”


            “โกหก ทำไมฉันรู้สึกว่าเธอกำลังคิดถึงฉัน”


            เรื่องนี้นายก็รู้สึกได้ด้วยเหรอ อี้เป่ยซีคีบผักเพิ่มลงไปในถ้วยของเขา “กินเถอะ กินเถอะ”


            ลั่วจื่อหานขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังคีบผักเข้าปาก คนตรงข้ามจึงโล่งอก กินข้าวด้วยอารมณ์เลื่อนลอยต่อไป


            อี้เป่ยซีวางตะเกียบลงแล้ววิ่งพรวดออกมาสถานที่อันตรายแห่งนี้ หนีกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง หัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งค่อยๆ สงบลง หลังจากเมื่อคืน การปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็แปลกประหลาดมาก รู้สึกว่าเมื่ออยู่ข้างๆ เขา อากาศก็เบาบางลงไปมาก มันเต็มไปด้วยกลิ่นไอของเขา เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น


            เธอกุมหน้าอก รู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ ราวกับกำลังจะหลุดออกมาข้างนอก


        เธอเป็นอะไรไป?


————


บทที่ 96 ความลำบากใจ (3)


             อี้เป่ยซีอยู่ในห้องนอนของตัวเองตลอดเวลา เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างนอกเป็นครั้งคราว ยังคงเงียบสงบ ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย เธอวางหนังสือลง รู้สึกห่อเหี่ยว


            ‘ป่านนี้แล้ว ลั่วจื่อหานน่าจะกลับไปแล้วมั้ง’


            ‘เขาจะจากไปโดยไม่บอกลาคำเลยงั้นเหรอ? ช่างไร้มารยาทจริงๆ’


            อี้เป่ยซีคิดพลางเปิดประตูห้องเบาๆ ชะโงกหน้าออกไปก็ถูกใครบางคนใช้นิ้วเคาะหัว


            “โอ๊ย นายมือหนักชะมัดเลย” อี้เป่ยซีนวดคลึงหน้าผากของตัวเอง มองค้อนเขาด้วยความไม่พอใจ


            “กินข้าวได้แล้วเป่ยซี”


            “หา” เธอแอบมองลั่วจื่อหาน ‘ทำไมพออยู่กับนายแล้ววันๆ เอาแต่กินๆๆ’ คิดแล้วทันใดนั้นก็รู้สึกขุ่นเคือง ‘คนคนนี้น่าเบื่อเกินไปแล้ว’


            ลั่วจื่อหานเพียงเหลือบมองก็เข้าใจความคิดของเธอ หัวเราะแผ่วเบา เดินอยู่ด้านหน้า อี้เป่ยซีตามหลังเขาไป เดินไม่กี่ก้าวก็ชนกำแพงเข้าอย่างจัง เธอเจ็บจนน้ำตาแทบไหล


            “ลั่วจื่อหานนายตั้งใจใช่หรือเปล่า”


            เขายักๆ ไหล่ “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ จริงจังเชียว”


            อี้เป่ยซีไม่พูดความในใจออกมาอยู่แล้ว มองไปทางอื่น “เอ่อ กินข้าว กินข้าว”


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานลงบันไดต่ำกว่าเธอขั้นหนึ่ง ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้ “กำลังคิดถึงฉันเหรอ หืม?”


            อี้เป่ยซีหน้าแดง “เปล่า เปล่านะ ฉัน ฉันจะคิดถึงนายทำไม นายก็อยู่ตรงหน้า…” ได้ยินเสียงหัวเราะของฝ่ายชายหน้าของอี้เป่ยซียิ่งแดงกว่าเดิม “ไม่ใช่ ฉันหมายความว่า อัยยา ไม่พูดแล้ว ฉันหิวแล้วจะไปกินข้าว” พูดจบก็ต้องการจะเดินหลบไปด้านข้าง แต่ถูกลั่วจื่อหานดึงเข้ามากอด


            “งั้นก็ต้องคิดถึงฉันคนเดียว มองฉันคนเดียว และในใจก็ต้องมีแค่ฉันคนเดียว” พูดจบก็ประกบริมฝีปากของเธออย่างลึกซึ้ง แม้ไม่ได้ดูดดื่มแต่ว่าระคนด้วยความรักและความทะนุถนอม อี้เป่ยซีมองเขางงงวย ลืมตอบสนองไปชั่วขณะ


            เมื่อได้สติกลับมา อี้เป่ยซีจึงพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของลั่วจื่อหานไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร และเขากำลังป้อนข้าวเธออย่างสบายอารมณ์


            “ฉัน ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว กินเองได้” พูดพลางต้องการจะลุกขึ้นจากเขา ลั่วจื่อหานไม่ได้ห้ามเธอ หัวเราะพร้อมมองเธอนั่งลงตรงข้ามตัวเอง อี้เป่ยซีรู้สึกอึดอัด


            “เป่ยซี เธอสวยจังเลย เวลากินข้าวก็สวยมาก”


            ตะเกียบของอี้เป่ยซีเกือบร่วงลงพื้น ‘นี่คือลั่วจื่อหานที่เธอรู้จักเหรอ? ทำไม เขาถึงพูดจา…ชวนคลื่นไส้แบบนี้’ ทำทีขยะแขยงแต่กลับรู้สึกเบิกบานในใจ


            หลังจากกินข้าวเสร็จอย่างสงบภายใต้สายตาของลั่วจื่อหานแล้ว อี้เป่ยซีตัดสินใจจะใช้แผนการหลบหนีซึ่งเป็นแผนการที่ดีที่สุด ลุกขึ้นยืนฉับพลัน รู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยมากจนอยากจะกลิ้งไปกับพื้น


            “เป็นอะไรไป” ลั่วจื่อหานรีบเดินมาหาเธอ เห็นใบหน้าของเธอซีดขาว บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อบางๆ ซึมออกมาด้วย


            “ไม่ ไม่รู้ ปวดท้องมากเลย” เธอกัดริมฝีปากแน่น ลั่วจื่อหานอุ้มเธอ


            “ฉันจะพาเธอส่งโรงพยาบาล”


            อี้เป่ยซีพิงอยู่บนตัวเขาอย่างหมดแรง พยักหน้าน้อยๆ


            ในโรงพยาบาล


            มู่ลี่ไป๋มองดูทั้งคนสองที่เหมือนกระต่ายตื่นตูมเมื่อครู่ก็นึกขำ ‘เรื่องแบบนี้ ลั่วจื่อหานอายุป่านนี้แล้วไม่รู้งั้นเหรอ? ยัยหนูนั่นก็ไม่รู้?’


            เขากระแอมไอ “โรคนี้อาจจะอยู่กับเธออีกหลายสิบปี แต่วางใจเถอะ ไม่ร้ายแรงหรอก”


            ลั่วจื่อหานเหลือบมองเขา มู่ลี่ไป๋รีบเก็บอาการขึงขังของตัวเอง “มากินยาแก้ปวด กลับไปก็ดื่มน้ำหวานสักหน่อย ทางที่ดีที่สึดคือทำท้องน้อยให้อุ่น ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่เป็นอะไร”


            “เขาเป็นอะไรไป?” ลั่วจื่อหานมองดูคนข้างๆ ที่ใบหน้าซีดขาว รู้สึกปวดใจ


            “ปวดเดือนละครั้งน่ะ ดูท่าทางนายแบบนี้ รออาการทุเลาเถอะ” พูดพลางยื่นใบสั่งยาให้เขา เห็นว่าเขาไม่รับก็กัดฟันออกไปรับยาเองแล้ว


            เมื่อทั้งสองคนเข้าใจความหมายที่มู่ลี่ไป๋พูด หน้าก็แดงเล็กน้อย อี้เป่ยซีทนไม่ไหวจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี


            ‘น่าจะนึกออกตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ปล่อยไก่ตัวใหญ่จริงๆ’


            “ฉัน…”


            “ฉัน…”


            สองคนพูดพร้อมกัน ลั่วจื่อหานไออย่างอึดอัด “เป็นไงบ้าง? ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”


        “ปะ เปล่า” เธอกำเสื้อของตัวเอง ก้มหน้า


            มู่ลี่ไป๋เอายากลับมาเห็นท่าทางของสองคน อดไม่ได้ที่จะมีความสุขไปกับเพื่อนสนิทของตัวเอง “เด็กน้อยผู้ไร้ความรู้ จำไว้ว่าช่วงนี้ห้ามมี*** เข้าใจไหม?” เขาตั้งใจเน้น***สามคำนี้มาก เห็นดวงตาที่เบิกกว้างและแก้มที่แดงก่ำของอี้เป่ยซี รู้สึกดีใจที่มุขแผลงๆ ประสบความสำเร็จ


            “พวกเรา…ไม่ได้…”


            “รู้แล้ว” ลั่วจื่อหานไม่ได้มองเขาอีก เดินเฉียดไหล่ของเขาออกจากโรงพยาบาลไป


            ยื่นของที่เตรียมไว้แล้วให้อี้เป่ยซี ชงน้ำหวานอยู่ด้านข้างพร้อมอ่านเนื้อหาในโทรศัพท์มือถืออย่างตั้งใจ ราวกับว่ากำลังทำโครงการขนาดใหญ่


            เขาเหลือบมองชั้นบน มุมปากยกยิ้ม ขึ้นชั้นบนแล้วเคาะประตู อี้เป่ยซีนอนอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย ใบหน้ายังคงไร้สีเลือด


            “ยังปวดมากไหม?”


            เธอพยักหน้าแล้วก็ส่ายหัว รับน้ำหวานมา ของเหลวอุ่นๆ ไหลเข้าสู่ร่างกาย ปลอบประโลมบริเวณที่เจ็บปวด


            อี้เป่ยซีม้วนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบางๆ “ฉันเพลียแล้ว นอนก่อนนะ”


            ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านหลัง อี้เป่ยซีพิงอยู่บนหมอน ความเจ็บปวดของท้องน้อยไม่สามารถทำให้เธอพักผ่อนได้ จู่ๆ เตียงสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นลั่วจื่อหานก็เอนตัวอยู่ข้างๆ เธอ มืออุ่นๆ ลอดผ่านผ้าห่มและวางอยู่บนท้องน้อยของเธอ นวดคลึงเบาๆ


            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน นาย…” อี้เป่ยซีต้องการจะลุกขึ้นก็ถูกมือนั้นกดไว้


            “อย่าขยับสิ เป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?” เขานวดคลึงต่อไป อี้เป่ยซีหน้าแดงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ว่าก็ไม่มีทางหนี ทั้งร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ได้ยินคำถามของเขา อี้เป่ยซีเงียบไปครู่หนึ่ง


            “เปล่า…ฉัน…อือ นี่เป็นครั้งแรกของฉัน…ก็เลย”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะ ลมหายใจรดถี่อยู่บนคอของเธอ “นี่ก็เป็นครั้งแรกของฉัน” ด้วยเสน่ห์ที่ยากจะเหลือรับ หัวใจของอี้เป่ยซีเริ่มเต้นรุนแรงอีกครั้ง เธอไม่กล้าขยับตัว ตอบว่าอือเบาๆ ไม่กล้ามีปฏิกิริยาอื่นอีก


            “แบบนี้สบายหรือเปล่า?”


            อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงสัมผัสอบอุ่นบนท้องน้อย เหมือนกับน้ำหวานแก้วนั้นที่ปลอบประโลมเธอ “สบาย สบายมาก”


            “เพลียแล้วก็นอนเถอะ”


        “อืม”


            ทันทีที่ฟ้าสางลั่วจื่อหานก็ลืมตาขึ้น มองดูเด็กสาวที่โอบกอดตัวเอง รู้สึกพึงพอใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


            พอลืมตาก็เห็นคนที่ตัวเองชอบ ข้างกายล้วนเป็นลมหายใจที่ตัวเองชอบ หนึ่งวันสามเวลา ตราบฟ้าดินสลาย


            ราวกับว่าเวลานี้ ได้ครอบครองโลกทั้งใบแล้วจริงๆ


            เขาพลิกตัวเล็กน้อยกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขน นอกจากเตียงจะเล็กแล้ว คนที่อยู่ในอ้อมแขนก็เล็กด้วย


            ‘เป่ยซี เธอต้องโตเร็วกว่านี้ เร็วกว่านี้อีกหน่อย’


            “ลั่วจื่อหาน…” จู่ๆ อี้เป่ยซีพึมพำ


            “ฉันอยู่นี่”


        “นายเลิกจูบฉันได้แล้ว หวานจัง”


————


บทที่ 97 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (1)


             ลั่วจื่อหานได้ยินเสียงของเธอ รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ เขาเอามือพยุงศีรษะ มองใบหน้าที่หลับใหลของอี้เป่ยซี ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อย ริมฝีปากก็อ้าออกเล็กน้อยเช่นกัน ราวกับว่ามีกลิ่นหอมหวานแผ่ซ่านออกมาจากข้างใน


            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน นาย ทำไมนาย…”


            “เมื่อกี้ฝันถึงฉันเหรอ”


            “ปะ เปล่า” อี้เป่ยซีรีบดึงผ้าห่มขึ้นมา ปิดหน้าแดงๆ ของตัวเอง


            “เป่ยซี” เขายิ่งเข้าใกล้อี้เป่ยซี ในแววตาของทั้งสองคนมีเพียงใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ “ชอบจูบของฉันเหรอ?”


            “เปล่าซะหน่อย นายอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ก็ ก็แค่ฝันเท่านั้น…อือ” ลั่วจื่อหานดึงผ้าห่มที่ปิดใบหน้าของเธอออก ประกบริมฝีปากของเธออย่างดุเดือด เข้าใกล้ส่วนที่ลึกที่สุดทีละน้อย ปล้นความหวานตามที่ใจปรารถนา อี้เป่ยซีก็ดื่มด่ำกับจูบนี้โดยไม่รู้ตัว จูบตอบอย่างไม่ชำนาญ ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ของลั่วจื่อหานมากขึ้น จนกระทั่งคนที่อยู่ด้านล่างใกล้จะขาดอากาศหายใจจึงคลายออก


“หวานไหม?”


            “นายๆๆ…” หางตาของอี้เป่ยซีมีไอน้ำเล็กน้อย เธอยิ่งดูยั่วยวนกว่าเก่า ทำให้ทนไม่ไหวจนแทบอยากจะกลืนกิน


            “เอาล่ะ เดี๋ยวจะส่งเธอไปเรียน”


“ใครให้นายไปส่ง” พลิกตัวด้วยอาการเคืองๆ หันหลังให้ลั่วจื่อหาน เขาเลียริมฝีปากเหมือนอยากให้มันดำเนินต่อ อมยิ้ม


            อี้เป่ยซีสาบานว่าจะไม่กลับมาที่อะพาร์ตเม้นต์ของตัวเองอีก จะไม่ไว้หน้าลั่วจื่อหานอีก เห็นเขาโทรมาก็ตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่คิด จากนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดและดึงเขาเข้าไปในรายชื่อแบล็คลิสต์แล้ว


            ‘ลั่วจื่อหานคนบ้า ลั่วจื่อหานคนเลว มีสิทธิ์อะไรถึงจูบเธอตลอดเวลา ต่อไปถ้าเจอเขาอีกเธอก็จะเลี่ยงไป’


            ‘ไม่สิ ทำไมเธอต้องเป็นคนเลี่ยงด้วย เขาเป็นคนผิด เพราะว่าเขาชอบหาเรื่องต่างหาก คนบ้า อ๊าๆๆ น่าหงุดหงิดชะมัด’


            อี้เป่ยซีต่อยๆ หมอนสีขาว สุดท้ายรู้สึกไม่สบอารมณ์โยนไปใต้เตียงอย่างแรง หายใจหอบเล็กน้อย


            “เป่ยซี?” พอถังเสวี่ยเปิดประตูก็เห็นหมอนที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น หัวเราะอ่อนโยน เก็บหมอนขึ้นมายื่นให้เธอ อี้เป่ยซีเม้มปาก รับไว้


            “ถัง ถังเสวี่ย เธอกับฟางหมิ่นหายไปไหนตั้งนาน?”


            “เป่ยซี ฉันขอโทษ” ระคนเสียงสะอื้น ถังเสวี่ยก้มหน้า ไหล่ก็สั่นเทาด้วย อี้เป่ยซีรีบลงมาจากเตียงแล้วเดินไปหาเธอ


            “เป็นอะไรไป? ทำไมจู่ๆ ถึงร้องไห้ล่ะ”


            “เป่ยซี” น้ำตาเอ่อล้นในดวงตา เธอดึงแขนของอีกฝ่าย กัดริมฝีปาก อดกลั้นต่ออะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บปวด


        “เธอหยุดร้องไห้ก่อนสิ” เธอดึงทิชชู่สองสามแผ่นให้ถังเสวี่ย “เป็นอะไรไป? ใครรังแกเธอใช่ไหม?”


        “เป่ยซี ขอโทษนะ ขอโทษ เธอยกโทษให้ฉันได้หรือเปล่า? เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของพวกเรา ฉันไม่ได้ ฉันไม่ได้…” สะอื้นหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพูดไม่ได้ มือที่คว้าอี้เป่ยซียิ่งบีบแน่น


            “ถังเสวี่ย…” เธอขมวดคิ้ว รู้สึกสับสน ‘ถังเสวี่ยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหรอ?’


            ถังเสวี่ยเห็นท่าทางครุ่นคิดของเธอ สองมือคว้าเธอไว้ “เป่ยซี ที่จริงถึงฉันจะรู้ว่าฟางหมิ่นทำเรื่องพวกนั้น แต่ว่า แต่ว่า ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจปิดบังเธอ ฉัน ฉันขอโทษจริงๆ ขอโทษจริงๆ ทำให้เธอต้องเป็นทุกข์ขนาดนั้น” พูดจบก็กอดอี้เป่ยซีร้องไห้โฮ


            อี้เป่ยซีเห็นเธอร้องไห้เสียใจขนาดนี้ก็รู้สึกทนไม่ไหว “เอาล่ะๆ ไม่เป็นไร ฟางหมิ่น…เขา…ไม่จริงมั้ง”


            “เป่ยซี ฉันกับพี่ชาย หลังจากที่พวกเรารู้เรื่องนี้แล้ว ก็รีบหยุดฟางหมิ่นทันที แต่ว่าเขา…เขาก็…ที่จริง ฉันควรจะหยุดเขาเร็วกว่านี้”


        “เรื่องพวกนี้…เป็นฝีมือ…ฟาง ฟางหมิ่น?”


            ถังเสวี่ยพยักหน้า อี้เป่ยซีส่ายหน้าด้วยท่าทางหนักแน่น “ไม่ ฟางหมิ่นไม่มีทางทำเรื่องพวกนั้นแน่ เขามีเรื่องลำบากอะไรหรือเปล่า?”


            ในแววตาของถังเสวี่ยมีประกายบางอย่าง เธอสูดจมูกฟึดฟัด ท่าทางคับข้องใจและระแวดระวังมาก “เป่ยซี เธอไม่เชื่อฉันเหรอ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันจะโกหกเธอได้ยังไง”


            “ฉันไม่ได้ไม่เชื่อเธอ เพียงแค่ แปลกใจ…นิดหน่อย ฉันคิดมาตลอดว่าเป็นฝีมือฉินแยว่เข่อสองพี่น้องนั่น ทำไมจู่ๆ ฟางหมิ่นถึงโผล่มาได้?”


            “เป่ยซี ไม่ใช่แค่นี้นะ เรื่องบนภูเขาหิมะตอนนั้น เขาเป็นคนเปิดเผยตำแหน่งของเธอ จากนั้น จากนั้นก็เป็นเขาอีก เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับลู่เยี่ยจิ่ง ก็ ก็เลยตั้งใจกันฉันออกไป”


            อี้เป่ยซีสั่นเทิ้มทั้งตัว มือออกแรงโดยไม่รู้ตัว กัดฟันแน่น “เรื่องพวกนี้…เป็นเรื่องจริงเหรอ?”


            “ฉันก็ไม่ได้รู้ทั้งหมดหรอก แต่ว่าประธานลั่วสืบเจอหมดแล้ว เธอ เธอจะถามเขาก็ได้ แต่ว่าเป่ยซี ฉันรู้ว่าฉันปกปิดสิ่งที่ควรบอก แถมยังทำร้ายเธอ เธอจะ…ฉันไม่อยากเสียเพื่อนอย่างเธอไปจริงๆ” พูดพลางก็ร้องไห้อีกครั้ง ดวงตาของถังเสวี่ยราวกับมีก๊อกน้ำอย่างไรอย่างนั้น ร้องไห้เท่าไรก็ไม่หมด


            อี้เป่ยซีข่มเสียงของตัวเอง “เพราะอะไร? ทำไมฟางหมิ่น?”


            ถังเสวี่ยสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป่ยซี เธอรู้หรือเปล่า ฟางหมิ่นเป็นเมียน้อยที่พี่ชายฉันเก็บเอาไว้?”


            “อะไรนะ?”


            เธอกัดริมฝีปากดูเหมือนลำบากใจมาก ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจ ราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ “เป่ยซี ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องอื้อฉาวของครอบครัวฉันที่พี่ชายปกปิดเอาไว้ ก็เลยไม่มีใครรู้ เป็นไปได้ว่าฟางหมิ่นเห็นตัวเองในเธอ รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ก็เลย…” พูดพร้อมแอบมองปฏิกิริยาของอี้เป่ยซี


            อี้เป่ยซีวางศอกลงบนโต๊ะ เท้าศีรษะ ดูไม่ออกว่าเชื่อถังเสวี่ยหรือเปล่า


            ถังเสวี่ยรีบพูดเสริม “เป็นไปได้ว่าเขารู้เรื่องเธอกับลู่เยี่ยจิ่งจากพี่ชายฉัน”


            เธอเบิกตากว้างทันที ‘ใช่ ใช่แล้ว ตอนนั้น เขาก็เคยติดต่อกับถังเฉิงไม่ใช่เหรอ หรือว่าเป็นเพราะเหตุนี้จริงๆ’


            “เกิดอะไรขึ้นกับฟางหมิ่น”


            ถังเสวี่ยโล่งอก ค่อยๆ เก็บกับดักที่เหวี่ยงออกไปเมื่อครู่ เธอมองดูรอบกาย ราวกับว่าหวาดกลัวเล็กน้อย จากนั้นก็กระแอมแล้วพูดเสียงต่ำ “เดิมทีบ้านฟางก็เป็นบริษัทจดทะเบียนเล็กๆ อยู่ที่เมือง B ไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ว่าพวกเขาก็ใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบาย ไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ฟางหมิ่นเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน พ่อแม่รักเขามาก”


            “แต่ว่าต่อมาบริษัทมีการเปลี่ยนแปลง แค่คืนเดียวบ้านฟางก็ล้มละลาย คุณลุงฟางเห็นความพยายามแสนสาหัสของเขาถูกทำลายเพียงชั่วข้ามคืน ก็ ก็เลือกที่จะฆ่าตัวตาย คุณป้าฟางตอนแรกก็จะตามเขาไป แต่ว่ามีคนมาเจอทันเวลา ก็เลยถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล”


            “เพราะเหตุนี้นิสัยฟางหมิ่นก็เลยเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่เด็กสาวที่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งนิ่งเงียบและเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ใครๆ ก็ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร”


            “จากนั้นครอบครัวศัตรูก็ชอบมารังควานพวกเขาสองแม่ลูก ตอนนั้นคุณป้าฟางก็ตรวจเจอว่าป่วยหนัก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ฟางหมิ่นเทียวหาคนที่เคยญาติดีกันเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้ค่ารักษาพยาบาลเลยสักแดง”


        “สุดท้าย” ถังเสวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง ปลายนิ้วสั่นเทาเล็กน้อย “สุดท้าย เขา เขาก็เลย…เป่ยซี ฉัน ฉันไม่อยากพูดแล้ว ฟางหมิ่นเขา เขาทรมานมาก…ฉัน…ฉันพูดต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ”


————


บทที่ 98 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (2)


             ในใจและในสมองของอี้เป่ยซีสับสน สับสนมากๆ เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเบื้องหลังคำพูดนี้ แต่ว่าทำอย่างไร ทำอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามันมาจากตรงไหน


            เธอกอดตัวเอง เรื่องก่อนหน้านี้ทำให้อี้เป่ยซีสั่นสะท้าน แต่ว่าฟางหมิ่นเหรอ เธอแทบจะคิดไม่ถึงเลย


            “เป่ยซี เธอ เธอไม่เป็นไรนะ?”


            อี้เป่ยซียิ้ม “ฉันสบายดี ไม่เป็นไร”


            “เป่ยซี เธอจะต้องยกโทษให้ฉันนะ” อี้เป่ยซีมองดูหยดน้ำตาที่ค้างเติ่งอยู่ที่แก้ม แสงแห่งความแน่วแน่เปล่งประกายอยู่ในดวงตาสุกใส เธอพยักหน้า


            “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ” เธอส่ายหน้า “ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ฉันก็ต้องโทษตัวเอง ฉันแค่คิดไม่ถึงว่า…” คิดไม่ถึงว่าเรื่องทั้งหมดจะมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับลู่เยี่ยจิ่ง คิดไม่ถึงว่าฟางหมิ่น…จะใช้วิธีสกปรกแบบนี้


            ‘นอกจากฟางหมิ่นแล้ว ลู่เยี่ยจิ่งจะไปหาใครได้ จะทำอะไรได้ เรื่องของฉินรั่วเข่อล่าสุด เขาก็มีส่วนร่วมด้วยสินะ’


            “เป่ย เป่ยซี ที่จริงก่อนหน้านี้ฉันเห็น…ฟางหมิ่น แอบตามเธอกับ…กับฉินรั่วเข่อ ฉันสงสัย ว่าวีดีโอล่าสุด มีส่วนเกี่ยวข้อง…กับเขาหรือเปล่า…”


            อี้เป่ยซีดื่มน้ำ “เรื่องนี้…ฉันไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว” เธอลูบคลำแก้ว “มันก็ไม่ได้มีผล…อะไรกับฉันมาก…”


            “เป่ยซี แต่ว่าเธอชอบ…”


            “เปล่า” ในใจเจ็บปวดเล็กน้อย จู่ๆ ภาพในคืนนั้นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอพร้อมเสียงที่น่าอับอายขายหน้า เธอส่ายหน้าทันที “พี่เป่ยเฉินมีชีวิตเป็นของเขาเอง ฉันเป็นแค่น้องสาวของเขา เขาก็น่าจะเห็นฉันเป็นแค่น้องสาวเหมือนกัน”


            “เป่ยซี แต่ว่าเธอ…”


            อี้เป่ยซีวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ หมุนฝาปิดด้วยความจริงจังมาก ก้มหน้าต่ำ “ฉันเหนื่อยแล้ว อยากไปพักผ่อนสักหน่อย อาจารย์ให้การบ้านมา ถ้าพรุ่งนี้เธอจะเข้าเรียนก็อย่าลืมซะล่ะ ฉันนอนก่อนนะ ราตรีสวัสดิ์”


            ถังเสวี่ยแอบกำมือแน่น ยิ้ม “อือ ราตรีสวัสดิ์เป่ยซี”


            ‘ฟางหมิ่น ฉินรั่วเข่อ ฉินแยว่เข่อ ลู่เยี่ยจิ่ง…เมื่อกี้ยังมีใครอีกนะ…ลั่วจื่อหาน…เขาก็มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง…’


            ‘ฟางหมิ่น’ อี้เป่ยซีนึกถึงเรื่องที่ถังเสวี่ยเล่า เห็นได้ชัดว่าตอนเปิดเทอมคนที่จิกกัดเธอมากที่สุดก็คือเธอ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า…รู้สึกว่าเธอไม่มีทางทำเรื่องพวกนั้น


            สับสนจังเลย ใครจะช่วยเธอได้บ้าง อี้เป่ยซีคลำหาของอยู่ข้างๆ หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา นิ้วเลื่อนเปิดรายชื่อผู้ติดต่อ


            ‘พี่เป่ยเฉิน…เขาจะต้องไม่มีเวลาแน่ๆ เขากำลังยุ่งนี่นา เซี่ยเช่อก็ไม่ชอบเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลานฉือเซวียน…เขาจะต้องไปบอกพี่เป่ยเฉินแน่ๆ ผลก็คงออกมาเหมือนกัน’


            ‘อ๊า น่าหงุดหงิดจัง ควรจะหาใครดีนะ?’


            ‘ประธานลั่ว ลั่วจื่อหาน…รู้เรื่องนี้นานแล้วเหรอ ถ้าเขารู้แล้วทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย’


            ‘ตาบ้านั่น ต่อให้เธออยากรู้ก็อย่าไปหาเขาเลย’ คิดพลางปิดโทรศัพท์มือถือ นอนหงายอยู่สักพัก ขบฟัน สุดท้ายก็ยอมแพ้


            “ขอโทษค่ะ ไม่มีหมายเลขที่คุณเรียก…”


            ‘อะไรกันเนี่ย! เขาบล็อคเธองั้นเหรอ? คนขี้งอน ก็แค่ดึงเขาเข้าแบล็คลิสต์แป๊บเดียวเองนี่นา ตาแก่ขี้น้อยใจ ไม่น่าล่ะจนป่านนี้ถึงยังไม่มีผู้หญิงมาชอบ’


            เธอพ่นลมหายใจทางจมูก ‘ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบแบบนี้เหมือนกัน’


            อี้เป่ยซีโยนโทรศัพท์มือถือไปอีกทาง นอนอยู่บนเตียง กัดชายผ้าห่มครุ่นคิดถึงปัญหาที่อยู่ภายใน มันมากเกินไปสับสนเกินไปวุ่นวายเกินไป ขณะที่กำลังสลึมสะลืออยู่นั้น จู่ๆ แรงสั่นก็ทำเอาเธอตกใจตื่นทันที


            “ฮัลโหล” เธอขยี้ตา


            “ในที่สุดก็ยอมเอาชื่อฉันออกจากแบล็คลิสต์แล้วเหรอ?” ไม่มีความโมโหใด ราวกับว่าแม้แต่ระคนความเอ็นดู


            “ลั่วจื่อหาน?” ได้ยินชื่อของลั่วจื่อหาน ถังเสวี่ยที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะก็ราวกับถูกไฟช็อต ตัวแข็งทื่อเฉียบพลัน ตั้งอกตั้งใจฟังบทสนทนาของอี้เป่ยซี


            “นายก็ดึงชื่อฉันเข้าไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เราเสมอกันแล้ว”


            ทางนั้นถอนหายใจเบาๆ “ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ตามหาตัวอยู่ตั้งนาน ฉันจะทำลงได้ยังไงล่ะ”


            อี้เป่ยซีได้ยินเสียงที่อบอุ่นของเขา พูดไม่ออกไปชั่วครู่ “พูดยังกับว่าฉันแล้งน้ำใจ…”


            “ทำไม คิดถึงฉันซะแล้วเหรอ?”


            “เชอะ ใครคิดถึงนาย” เธอลุกขึ้นนั่ง เล่นกับผมของตัวเอง “คือว่า…”


            “เป่ยซี”


            “หืม?”


            “ฉันเคยพูดหรือเปล่าว่าฉันชอบเธอมาก”


            อี้เป่ยซีสะดุ้งตกใจกับคำสารภาพที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงน่าดึงดูดของลั่วจื่อหานได้ยินชัดเป็นพิเศษในค่ำคืนที่เงียบสงัด ดวงตาค่อยๆ เลื่อนลอย ใบหน้าก็แดงก่ำ


            “เป่ยซี เธอยังฟังอยู่ไหม?”


            อี้เป่ยซีไอ “ฉัน วันนี้ดึกมากแล้ว ฉันจะไปนอนแล้ว มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้”


            “ได้ ช่วงนี้ดูแลสุขภาพด้วย ถ้าไม่สบายอย่าลืมโทรมาหาฉันนะ”


            เธอนึกขึ้นได้ทันทีว่าลั่วจื่อหานหมายถึงเรื่องเมื่อวาน “รู้แล้ว รู้แล้ว นายนี่ขี้บ่นจริงๆ ราตรีสวัสดิ์”


            วางโทรศัพท์มือถือลง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลืมเสียสนิทว่าตัวเองอยากพูดอะไรกับลั่วจื่อหาน เกาๆ หัว ‘แต่ว่าแบบนี้ก็ดี…ถังเสวี่ยยังอยู่ ถ้าหากได้ยินว่าเธอพูดอะไร ก็คงจะไม่มีความสุขแน่ๆ พรุ่งนี้ค่อยคุยเถอะ’


            เธอล้มตัวลงบนเตียง นึกถึงคำพูดของลั่วจื่อหานเมื่อครู่ มือแตะอยู่บนริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ‘ไม่เคยเห็นตาแก่ขี้บ่นแบบนี้มาก่อนเลย’ เธอครุ่นคิด เปลี่ยนคำแนะนำของลั่วจื่อหานเป็นตาแก่จอมเงอะงะ แตะๆ โทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยความพึงพอใจ


            “เป่ยซี เธอกับ…”


            “ฉันกับลั่วจื่อหานไม่ได้เป็นอะไรกัน เธอ เธออย่าคิดมาก”


            “ฉันยังไม่ได้พูดถึงใครเลยนะ เธอจะตื่นเต้นไปทำไม?”


            “หา อะไรน่ะ ฉันง่วงมากเลย พรุ่งนี้ค่อยคุยกันเถอะ” อี้เป่ยซีหาวแล้วล้มตัวลงบนเตียง หันหน้าเข้าหากำแพง ไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกอยากเปลี่ยนวอลเปเปอร์เป็นสีครามที่สดชื่นเหมือนเขา


            วันต่อมา อี้เป่ยซีคว้าโทรศัพท์มือถือทันทีที่ตื่นนอน ต้องการจะโทรออก แต่กลับรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว รอจนกระทั่งเรียนรอบเช้าเสร็จ จึงกดเลขหมายโทรออก


            “ฉันอยู่ใต้ตึกเรียนของพวกเธอ”


            “นายมาที่มหา’ลัยพวกเราทำไม?” อี้เป่ยซีนึกถึงลั่วจื่อหานที่มีออร่าจับขนาดนี้ ไม่ว่าจะเดินไปไหนจะต้องมีกลุ่มสาวๆ ห้อมล้อมเขาแน่นอน


            ‘หลงตัวเอง เพลิดเพลินกับความรู้สึกแบบนี้มากล่ะสิ’


            “คาบต่อไปของเธอว่าง”


            “ไม่มีเรียนก็ห้ามนายมาที่มหา’ลัย รอแป๊บ ฉันจะลงไป” อี้เป่ยซีสะพายกระเป๋าแล้วลงไปทันที เห็นสาวๆ กลุ่มหนึ่งแอบมองลั่วจื่อหานตามคาด ตาลุงนั่นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างค่อนข้างเปิดเผย ราวกับว่ากำลังเพลิดเพลินไปกับมัน


            เมื่อเห็นอี้เป่ยซีมาถึง ลั่วจื่อก็เผยยิ้มทันใด เธอรีบรุดไปหาเขาแล้วดึงเขาจากไป ไม่สนใจหน้าตาบูดเบี้ยวของคนรอบข้าง


            “ยิ้มจนหน้าบานเลยใช่ไหม ทำไมปกติไม่เห็นนายชอบยิ้มขนาดนี้ ยิ้มให้ตายไปเลย” พูดพลางเดินกระแทกเท้าด้วยความขุ่นเคือง


            “หึงเหรอ?”


            อี้เป่ยซีหยุดเดิน หน้าแดงเล็กน้อย “ใคร ใครหึงกัน ฉันก็แค่ ก็แค่ไม่อยาก ไม่อยากให้คนตาบอดเพราะนายเยอะขนาดนั้น หรือถูกหน้าตาของนายหลอกน่ะ” เธอพยักหน้าอย่างแรง


            ลั่วจื่อหานโอบอี้เป่ยซีเข้ามาในอ้อมแขน “เป่ยซี ฉันชอบอาการเมื่อกี้ของเธอมาก”


            เธอผลักเขาออก “ฉันไม่ชอบอาการเมื่อกี้ของนายเลย”


            “งั้นเธอชอบอาการฉันตอนนี้ไหม?”


            “……”


————


บทที่ 99 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (3)


             “เอาล่ะ” ลั่วจื่อหานเอาผมที่ปรกหน้าของเธอเกี่ยวหู ปลายนิ้วสัมผัสหูของเธอ รู้สึกเย็นๆ “เป็นอะไรไป?”


            อี้เป่ยซีมองดูรอบๆ เขยิบเข้าไปใกล้ “นาย รู้เรื่องอดีตของฟางหมิ่นไหม?”


            “ฟางหมิ่น?” เขามองไปทางอื่น นึกถึงคำอธิบายทั้งหมดที่บ้านถังมีให้เขา เหมือนกับว่าโยนเรื่องทั้งหมดไปให้ฟางหมิ่นซะแล้ว “ถังเสวี่ยบอกอะไรกับเธอ”


            น้ำเสียงมั่นใจ อี้เป่ยซีกระพริบตาใส่เขา “นายรู้ได้ยังไงน่ะ”


            ลั่วจื่อหานยิ้มเยือกเย็น “ฉันนึกถึงคนอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ”


            “หืม?”


            เขาส่ายหน้า ลูบหัวของเธอ “ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวไว้ฉันจะไปสืบดู”


            “อ่อ ได้ ขอบคุณนะ”


            “มีอะไรอีกไหม?”


            “มีอีกไหม? ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้ว แค่เรื่องนี้แหละ เขาไม่ได้มาที่มหา’ลัยเลย ก็แค่รู้สึกแปลกๆ” อี้เป่ยซีก้มหน้าแคะเล็บ ถูกลั่วจื่อหานดึงมือไว้


            “คิดจะขอบคุณฉันยังไง?”


            “หา?”


            เขายิ้ม “หรือว่าไม่มีค่าตอบแทนเหรอ”


            “นาย…ก็คิดซะว่าตอบแทนสังคมก็แล้วกัน” วินาทีต่อมาปากของลั่วจื่อหานก็ประกบบนริมฝีปากของเธอเบาๆ ค้างอยู่พักหนึ่งจึงคลายออกด้วยความพึงพอใจมาก


            “คิดดีๆ ว่าควรขอบคุณฉันยังไง”


            “นาย…ไม่ใช่ว่านาย…”


            ลั่วจื่อหานมองดูแก้มแดงๆ ของเธอ ยื่นมือจิ้มๆ แต่ถูกเธอสะบัดออก “งั้นก็ติดไว้ก่อนเถอะ สถานที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย”


            ‘นายยังรู้ด้วยเหรอว่าไม่เอื้ออำนวย แล้วเมื่อกี้นายยังจะจูบฉัน’ อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นมองด้วยความโมโห


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเชิดคางของเธอขึ้น “อยากอยู่ตรงนี้มากเหรอ?”


            “ฉัน…ฉันเปล่า” เธอถอยหลังห่างจากลั่วจื่อหานทันที “ฉัน ฉันยังมีเรียน ไปก่อนล่ะ” ไม่รอให้คนข้างหลังตอบสนองก็วิ่งไปอย่างรวดเร็วแล้ว ลั่วจื่อหานหันหลังมองแผ่นหลังของเธอ ยิ้มน้อยๆ


            ‘ถังเสวี่ยเอ๋ยถังเสวี่ย ฉันประมาทเธอเกินไปจริงๆ’ ใบหน้าของลั่วจื่อหานราวกับน้ำแข็ง ดูแล้ว เขายังสั่งสอนบ้านถังไม่มากพอ ยังต้องจัดการพวกเขาให้ดีกว่านี้


            “ส่งคนจับตาดูถังเสวี่ยไว้” ผู้ชายในชุดสูทกับรองเท้าหนังโผล่มาจากด้านหลังของลั่วจื่อหานตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้


            “ครับ”


            ลั่วจื่อหานจึงหันหลังแล้วเดินไปยังทางออกของมหาวิทยาลัย “ผู้หญิงคนนั้นว่ายังไงบ้าง”


        “รับทุกอย่างไว้เอง ไม่ได้ปริปากอะไร”


            “ถังเฉิงนี่ก็ใช้ได้จริงๆ ส่งของขวัญชิ้นนั้นไปเถอะ”


            “ครับ”


            จนกระทั่งไม่มีคนเห็นเงาของลั่วจื่อหานแล้ว มีคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมด้านข้าง เธอมองทิศทางที่อี้เป่ยซีจากไปด้วยความโมโห กำมือแน่นจนส่งเสียงกร็อบๆ


            “อี้เป่ยซี” ในดวงตาหลิงจื่อเซี่ยราวกับว่าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอลอยหน้าลอยหน้าแบบนี้อีกต่อไปแล้ว”


            “ฮ่าๆ…” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังมาจากด้านหลังของเธอ หลิงจื่อเซี่ยหันหลังไป เห็นสาวผมบรอนด์นัยน์ตาสีฟ้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ ก้าวย่างสง่างามและหยิ่งผยอง สีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ


            “เธอเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาหัวเราะฉัน”


            “อี้เป่ยซีพูดถูกจริงๆ วันๆ ทำตัวเหมือนเป็นคุณหนูใหญ่ เหนื่อยมากสินะ บางทีชีวิตสามัญชนเมื่อก่อนเหมาะกับเธอมากกว่าซะอีก”


            สีหน้าหลิงจื่อเซี่ยเผยอาการขมขื่น “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เธอเป็นใคร?”


            “ฉันเป็นใคร?” เธอหัวเราะ “ฉันก็เหมือนกับเธอ คนที่หวังว่าอี้เป่ยซีจะหายไปอย่างสมบูรณ์” พูดจาเจ้าเล่ห์ ราวกับว่ามีความแค้นอันยิ่งใหญ่กับอี้เป่ยซีจริงๆ บุคลิกของเธอทำให้หลิงจื่อเซี่ยตัวสั่นเทิ้ม


            “เธอกลัวอะไร ไม่ได้จะกำจัดเธอซะหน่อย” เธอหัวเราะแผ่วเบา “หลิงจื่อเซี่ย ฉันช่วยเธอได้นะ”


            “ตอนนั้นฉินแยว่เข่อก็พูดกับฉันแบบนี้”


            “ฉินแยว่เข่อ? เขากับพี่สาวเขาก็เป็นแค่ขยะเท่านั้น เห็นผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ก็คาบมันเหมือนกับลูกหมาตัวน้อย คนแบบนี้จะเป็นอะไรได้”


            ผู้หญิงคนนี้พูดพลางหันหามาหลิงจื่อเซี่ย “แต่เธอไม่เหมือนกัน ขอเพียงอี้เป่ยซีหายไปโดยสิ้นเชิง เธอถึงจะมีโอกาสแทนที่ ไม่ใช่เหรอ?”


            “ทำไมฉันต้องเชื่อเธอด้วย”


            “ฉันว่าเธอเข้าใจผิดแล้ว พวกเราร่วมมือกันไม่จำเป็นต้องเชื่อใจ เธอก็แค่ฟังที่ฉันพูด จะทำหรือไม่ทำมันเรื่องของเธอ จะกำจัดอี้เป่ยซี ฉันไม่จำเป็นต้องมีเธอ”


            มือของหลิงจื่อเซี่ยผ่อนคลายเล็กน้อย “เธอ…ทำได้จริงเหรอ?”


        “ฉันคิดว่าด้วยสมองของคุณหนูใหญ่อย่างหลิงจื่อเซี่ยตอนนี้ก็คงรู้แล้วว่าเรื่องในอดีตกับเรื่องปัจจุบันมีผลกระทบมากแค่ไหน แต่มันไม่ใช่สิ่งที่พวกไม่มีสมองอย่างพวกเธอจะทำได้”


            ตาของเธอเบิกกว้างทันที “เธอหมายความว่า…”


            เธอพยักหน้า มือหนึ่งเล่นกับหางม้าของตัวเอง “ฉันมีเวลาไม่มาก คิดจะเอายังไง?”


            หลิงจื่อเซี่ยกัดริมฝีปาก พยักหน้าแน่วแน่ ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะ สายตาที่มองเธอนั้นมีความดูถูกยิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย “ได้” พูดจบก็หันหลังจากไป


            “เธอชื่ออะไร ฉันจะติดต่อเธอยังไง”


            ผู้หญิงคนนั้นหันหลังให้เธอ “ลู่เซิง เวลาที่เราต้องติดต่อกัน จะมีคนหาเธอเอง ไม่ต้องใจร้อน ตอนนี้สิ่งที่ควรร้อนใจที่สุดก็การแต่งตัวของเธอ” เธอปิดจมูกของตัวเอง “รสนิยมช่างต่างจากอี้เป่ยซีเหลือเกิน แต่งตัวให้มันดีๆ หน่อยสิ” เดินกระแทกส้นสูงจากไปแล้ว หลิงจื่อเซี่ยสำรวจดูเสื้อผ้าของตัวเอง


            ‘ยัยผู้หญิงตาไม่มีแวว รสนิยมของเธอกับอี้เป่ยซี เด็กสาวที่มีแต่เสื้อผ้ากีฬาธรรมดาคนนั้นจะมาเทียบกับระดับเธอได้อย่างไร’


            ‘อี้เป่ยซี ครั้งนี้เธอตายแน่’


            ลู่เซิงเดินเลี้ยวไม่กี่รอบก็มาถึงชั้นบนสุดของอาคารเรียน เห็นเงาดำก็รีบเดินไปหาพร้อมโอบเอวของเขาไว้ “เขารับปากแล้ว” น้ำเสียงอ่อนหวาน ไม่มีบุคลิกเหมือนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย


            ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ “ประหยัดแรงพวกเราไปเยอะจริงๆ”


            “จิ่ง ฉันไม่เข้าใจ ทำไมต้องลงทุนลงแรงกับอี้เป่ยซีขนาดนี้ ฉันแค่บอกพ่อ เขาก็จะไม่โผล่หน้ามาให้คุณเห็นอีกแล้ว”


            “ไม่ แบบนั้นมันดูถูกเธอเกินไปแล้ว อีกอย่าง เป็นศัตรูกับบ้านอี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่มีลั่วจื่อหานเพิ่มเข้ามา…”


            ใบหน้าของลู่เซิงถูไถอยู่บนหลังของเขา “ฉันยังนึกว่าคุณอาลัยอาวรณ์อดีตพี่สะใภ้คนนี้ซะอีก” เธอตั้งใจเน้นคำว่าพี่สะใภ้ คอยสังเกตปฏิกิริยาเขาด้วยความอึดอัดเล็กน้อย


            “คุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ชอบให้คนอื่นมาซักไซ้ผมที่สุด” ลู่เยี่ยจิ่งคลายมือของเธอออก หันหลังประกบริมฝีปากของเธอ กระหน่ำจูบเธอโดยไร้ความอบอุ่นใดๆ กลืนกินลมหายใจของเธอทีละน้อยๆ เขาโอบรัดเอวที่บอบบางของเธอ พลิกตัวแล้วกดเธอเข้ากับราวบันได ผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งเธอหายใจหอบจึงปล่อยมือ


            ลู่เซิงหน้าแดง “จิ่ง พ่อฉันคิดว่า เดือนหน้าพวกเรากลับประเทศไปหมั้นกันก่อน คุณ…”


            “ไม่ล่ะ ถ้าเรื่องของพี่ชายยังไม่จบ ผมไม่มีอารมณ์”


            “แต่ว่าจิ่ง…”


            ลู่เยี่ยจิ่งเอานิ้วชี้จุ๊ปากของเธอ ยิ้มมีเสน่ห์ “เซิง ผมรับปากคุณ หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ผมจะจัดพิธีหมั้นให้คุณอย่างสมเกียรติแน่นอน”


            ลู่เซิงก้มหน้า ผงกหัว


            “เอาล่ะ พวกเรากลับกันก่อน” ลู่เยี่ยจิ่งกลับหลังหัน หันหลังให้เธอ ลู่เซิงรีบตามหลังเขาไป


————


บทที่ 100 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (4)


             “เป่ยซี” ถังเสวี่ยกระพริบตาเขยิบเข้าใกล้อี้เป่ยซี ราวกับลูกแมวตัวหนึ่งที่ถูๆ แขนของเธออย่างเอาอกเอาใจ “บ่ายนี้เธอว่างหรือเปล่า?”


            อี้เป่ยซีพยักหน้า ก้มหน้าไม่ได้มองเธอ “มีอะไร?”


            “เป่ยซี ฉัน…” นั่งตรงตัว ถังเสวี่ยก้มหน้า เปี่ยมด้วยความออดอ้อนของเด็กสาว สักพักจึงเอ่ยเสียงเบา “ฉันมีแฟนแล้ว แฟนฉันอยากเชิญเธอกินข้าว ยังไงซะฉันก็อยากให้เธอช่วยสแกนให้ฉันหน่อย เธอว่าดีหรือเปล่า?”


            “หืม?” อี้เป่ยซีจึงตื่นตัวขึ้นมา “เธอชอบหลานฉือเซวียนไม่ใช่เหรอ พวกเธอคบกันแล้วเหรอ?”


            “อัยยา หลานฉือเซวียนเป็นแค่เทพบุตรของฉัน เหมือนกับดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าคอยให้คนชื่นชม เขาสง่างามขนาดนั้นจะรับปากคบกับฉันได้ยังไง”


            “อ่อ ขอโทษที ฉันนึกว่า…”


            ถังเสวี่ยส่ายหน้า “ไม่เป็นไรเป่ยซี งั้นบ่ายนี้เธอว่างไหม?”


            เห็นสายตาคาดหวังของเธอ อี้เป่ยซีก็ไม่กล้าปฏิเสธอีกต่อไป พยักหน้าแล้ว


            “งั้นก็ตามนี้นะเป่ยซี ฉันชอบเธอมากๆๆ เลย” ถังเสวี่ยกอดอี้เป่ยซี ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย็นชา อี้เป่ยซีหัวเราะแห้งๆ ไปกับเธอสองสามที ไม่ได้พูดอะไรอีก


            ถังเสวี่ยคลายกอดเธอ นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะตัวเองและเริ่มแต่งตัว อี้เป่ยซียังคงไม่เข้าใจ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา รู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้าง


            มู่ไป๋: อัดเสียงเสร็จแล้ว เธอลองเอาไปฟังดูก่อน


บนหน้าจอมีข้อความกับไฟล์ที่มู่ลี่ไป๋ส่งมา อี้เป่ยซีเปิดด้วยความลังเลเล็กน้อย


            ‘ไม่น่าใช่นะ ทำไมถึงส่งบันทึกเสียงให้เธอ ไม่ใช่สไตล์ของมู่ไป๋เลย’ เสียบหูฟัง ยังคงเป็นเสียงที่เปี่ยมด้วยความน่าดึงดูดของมู่ลี่ไป๋ มันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ดึงผู้คนเข้าไปในฉากรักทันที ความโศกเศร้านั้นไม่หนักไม่เบาแต่กระทบหัวใจของคุณเข้าอย่างจัง… ‘นี่ นี่เป็นเสียงของใครกัน’ อี้เป่ยซีรู้สึกว่าขนบางๆ บนหูของตัวเองสั่นไหว เสียงนั้นทะลุเข้าไปในทุกโสตประสาททีละน้อยๆ จนค่อยๆ ไร้ความรู้สึก ราวกับลำธารบนภูเขา ราวกับไวน์รสเลิสที่บ่มเพาะมาหลายปี…


            ไม่อยากจะเชื่อเลย น้ำเสียงงดงาม การตีความสมบูรณ์แบบ อันที่จริงแม้แต่มู่ไป๋ก็ดูด้อยกว่าเล็กน้อย


            เป็นหยกเม็ดงามคนไหนกันนะ เธอไม่เคยได้ยินคนพูดถึงมาก่อนเลย


            หลิงซี: !!! ผู้ชายคนที่อยู่กับนายเป็นใคร? เสียงเพราะสุดๆ ไปเลย ใครน่ะ ใครเหรอ


            มู่ลี่ไป๋ราวกับว่ากำลังรอข้อความของเธอ ตอบรับอย่างรวดเร็ว


            มู่ไป๋: เพื่อนสนิทลับ


            หลิงซี: ทำไมฉันถึงไม่รู้จักชื่อ แต่ว่าเสียงร้องนี่คุ้นๆ จังเลย แต่ว่านึกไม่ออก


            มู่ไป๋: คิดดีๆ ไม่ต้องรีบ


            หลิงซี: พูดแบบนี้ฉันรู้จักเหรอ!


            มู่ไป๋: อีกไม่กี่วันก็จะมีผลงานแล้ว ฉันยังมีธุระ ลาก่อน


            “ออฟไลน์ไปซะแล้ว โธ่เว้ย ไม่บอกฉันสักหน่อยว่าเป็นใคร” อี้เป่ยซีพิงเก้าอี้ อดใจไม่ไหวเริ่มฟังซ้ำๆ ทุกๆ ประโยคราวกับไข่มุกเม็ดกลมที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน เสียงและความรู้สึกที่เอิบอิ่มผสมกันแผ่วเบา…


            มู่ลี่ไป๋ที่อยู่ในออฟฟิศแกว่งปากกาไปมา มองคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน กระแอมไอพร้อมกับพูด “ฉันส่งมันไปให้เธอแล้ว”


            “อืม” ไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย


            “นายไม่อยากรู้ปฏิริยาของเธอเหรอ? นายกดดันอยู่ตลอดเลยไม่ใช่เหรอไง?”


            ลั่วจื่อหานเหลือบตาขึ้นกวาดมองเขา ท่าทางที่จับปากกายังคงเหมือนเดิม “งั้นเหรอ?”


            “เออๆๆ นายไม่ได้กดดัน แต่ฉันดันอยากบอกนายเอง”


            “นายพูดได้แล้ว”


            “ฮู่ ฮ่าๆ…” มู่ลี่ไป๋วางปากกาลง หัวเราะจนตัวหงิกงอ “ก่อนหน้านี้ดูไม่ออกเลยว่านายจะแข็งนอกอ่อนในแบบนี้”


            จู่ๆ เอกสารแผ่นหนึ่งก็บินไปที่หน้าของมู่ลี่ไป๋ “นายหนวกหูชะมัดเลย”


            เขายิ้มกรุ้มกริ่มถือเอกสารไว้ “คนที่บ้านนายคนนั้นพอใจมาก วางใจเถอะ ไม่จำเป็นต้องกำปากกาแน่นขนาดนั้นหรอกคุณชายใหญ่”


            ไม่รู้เป็นเพราะคำว่า “พอใจ” หรือเพราะคำว่า “คนที่บ้านนาย” ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าฟังแล้วไพเราะมาก ปลายปากกาหยุดอยู่บนแผ่นกระดาษ ยิ้มแล้วส่ายหน้า เริ่มเขียนต่อไป ตัวอักษรลายเส้นสีดำนั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง


        เมื่อถังเสวี่ยเอาหูฟังออกจากหูของอี้เป่ยซี เธอจึงพบว่าตอนนี้เธอฟังมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ดื่มด่ำอยู่กับเสียงอันไพเราะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เธอบิดขี้เกียจ ทันใดนั้นก็รู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย


            “เอาล่ะ เป่ยซีพวกเราไปกันได้แล้ว”


            “ไป?” เธอหาว “ไปไหนเหรอ ฉันง่วงมากเลย”


            ถังเสวี่ยตบศีรษะของเธอเบาๆ “เมื่อกี้เธอรับปากฉันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไปหาแฟนฉันด้วยกัน”


            “อ๋อ ใช่ๆๆ แฟน แฟน” อี้เป่ยซีตบๆ หน้าผากของตัวเอง หวังว่าจะทำให้ตื่นตัว ส่ายๆ หน้า “ฉันขอไปล้างหน้าก็พอ”


            “อืม ฉันจะรอเธอ ไม่ต้องรีบ”


            ถังเสวี่ยสวมชุดเดรสสีเหลืองเสมอเข่า ลากอี้เป่ยซีที่ง่วงเหงาหาวนอนออกจากหอพัก นั่งอยู่ในรถ อี้เป่ยซีก็เริ่มหาวไม่หยุด ขอบตาเปียกชื้นเล็กน้อย เธอพิงอยู่ที่เบาะหลัง หรี่ตา


            ‘ทำไมเธอต้องรับปากว่าจะมาด้วยนะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว’


            “เป่ยซี เธอไม่สบายเหรอ?”


            “เปล่าๆ แค่ง่วงนิดหน่อย อยากนอน”


            “ฮ่าๆ เดี๋ยวเธอเห็นของกินก็น่าจะหายง่วงแล้ว”


            อี้เป่ยซีเห็นด้วยอย่างมาก พยักหน้า จนกระทั่งมาถึงโรงแรม เธอจึงรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เธอหายง่วงนั้นไม่ใช่ของกิน


            ทั้งสองคนมาถึงห้องส่วนตัวภายใต้การนำทางของบริกร เปิดประตูออกช้าๆ ก็เห็นขายาวๆ คู่หนึ่งที่ห่อหุ้มด้วยกางเกงสีไวน์ เจ้าของขายาวคู่นั้นนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มุมปากอมยิ้ม หลังจากที่อี้เป่ยซีเห็นชัดแล้วว่าเป็นใครแล้วก็ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน


            ถังเสวี่ยลากเธอเข้าไปในห้องส่วนตัวทันที แล้วปิดประตู


            “เป่ยซี นี่คือแฟนของ…”


            “ถังเสวี่ย” อี้เป่ยซีตะโกนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “เธอ เธอไม่เคยบอกฉันว่าเป็น ว่าเป็นเขา…”


            ถังเสวี่ยเอียงคอ มองอี้เป่ยซีด้วยความสงสัย “เป่ยซี เธอเป็นอะไรไปน่ะ มีปัญหาอะไรเหรอ? เยี่ยจิ่ง พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”


            “เธอ…เธอไม่รู้จักเขาเหรอ เขาเป็น…” อี้เป่ยซีเห็นแววตาของถังเสวี่ย แล้วมองลู่เยี่ยจิ่ง


            ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะพร้อมจิบไวน์แดง กล่าว “ถังเสวี่ย นี่คือเพื่อนของคุณเหรอ? สงสัยผมต้องพิจารณาความสัมพันธ์ของเราใหม่ซะแล้ว”


            “หา เกิดอะไรขึ้น พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”


            “ลู่เยี่ยจิ่ง นายตั้งใจสินะ แกล้งฉันแบบนี้สนุกมากใช่ไหม?” อี้เป่ยซีก้มหน้า กำชายเสื้อของตัวเองแน่น


            “ลู่เยี่ยจิ่ง คุณคือลู่เยี่ยจิ่ง? แต่ว่าคุณบอกฉันว่าคุณแซ่เยี่ยนี่” ถังเสวี่ยเบิกตากว้างด้วยความเจ็บปวดและเหลือเชื่อ ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ


            “คุณหนูอี้เป่ยซี ประหลาดใจมากใช่ไหม?”


            “นายคิดจะทำอะไร?”


        เขาวางแก้วลง “แฟนสาวของฉันบอกชัดแล้วไม่ใช่เหรอว่าอยากจะทำอะไรกับฉัน ทำไมเธอลืมซะล่ะ? หรือว่าคุณหนูอี้เป่ยซี ไม่เคยใส่ใจเรื่องของคนอื่นเลย”


————


บทที่ 101 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (5)


             ถังเสวี่ยก้าวไปข้างหน้า กันอี้เป่ยซีไว้ข้างหลัง เงยหน้าขึ้น ตอนนี้น้ำตาเอ่อล้นขอบตาแล้ว “คุณ ทำไมคุณต้องหลอกฉัน ฉันนึกว่า คุณชอบฉัน ชอบฉันจริงๆ ถึงได้ ได้คบกับฉัน…”


            “ร้องไห้พอแล้วยัง?”


            น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เด็กสาวในห้องต่างสะดุ้งโหยง ถังเสวี่ยเบือนหน้าหนีด้วยความคับข้องใจ “เป่ยซี ขอโทษนะ รู้งี้ฉันก็ควรจะเช็คให้มั่นใจ มั่นใจว่าเขาคือใคร ขอโทษนะเป่ยซี ฉันไม่รู้ว่าเขาคือลู่เยี่ยจิ่งจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าเขาก็คือคนนั้นที่คอยจะทำร้ายเธอ”


            ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะเยาะเย้ย “คุณไม่รู้เหรอ?” เขาเลิกคิ้ว “งั้นผมก็ชักอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาซะแล้วสิ”


            “นายคิดจะทำอะไรกันแน่?” อี้เป่ยซีดึงมือของถังเสวี่ย รวบรวมความกล้ามองตาของลู่เยี่ยจิ่งโดยตรง


            “ถังเสวี่ยก็พูดชัดเจนแล้ว ฉันจะพูดอะไรได้อีก”


            ใบหน้าถังเสวี่ยเผยความตื่นตระหนก ดึงอี้เป่ยซีไปอีกทาง “เป่ยซี เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉัน ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับเขา”


            “ถังเสวี่ย”


            “ไม่เป็นไรเป่ยซี เธอกลับไปก่อน เขาไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก ฉันยังอยากจะถามอะไรเขาบางอย่าง” พูดพลางมองไปทางลู่เยี่ยจิ่งเป็นระยะๆ ระคนความหลงใหลที่ล้ำลึก คิ้วของอี้เป่ยซีพันกันยุ่ง “เป่ยซี ถ้าเขาอยากจะทำอะไรฉันก็คงทำไปนานแล้ว ตอนนี้คนที่ไม่ปลอดภัยที่สุดก็คือเธอ ถึงยังไงฉันก็ยังเป็นคุณหนูบ้านถัง เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก”


            ลู่เยี่ยจิ่งมองทั้งสองคนตรงหน้า “พูดได้น่าฟังจังเลย”


            “ลู่เยี่ยจิ่ง” อี้เป่ยซีส่ายหน้า ‘เธอไม่รู้หรอกว่าอำนาจของลู่เยี่ยจิ่งน่ากลัวแค่ไหน บ้านถังก็ปกป้องเธอไม่ไหว’


            “เป่ยซี เธอออกไปก่อน เธอออกไปก่อนได้หรือเปล่า” พูดลางถังเสวี่ยก็ผลักบังคับให้เธอออกไปจากห้อง อี้เป่ยซีตบๆ ประตูสองสามครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับ


            ‘ไม่ได้ ปล่อยให้ถังเสวี่ยอยู่กับเขาตามลำพังมันอันตรายเกินไป ต้องรีบตามคนมาช่วย’


            ถังเสวี่ยปิดประตู ถอนหายใจยาว “ทำไมถึงพูดแบบนั้น คิดจะเปิดโปงฉันหรือไง? คุยกันแล้วว่าจะช่วยฉันกำจัดความเคลือบแคลงใจของอี้เป่ยซีไม่ใช่หรือ?”


            “ฉันแค่รับปากว่าจะมา ฉันไม่ได้รับปากว่าจะช่วยเธอ”


            “งั้นนายมาทำไม?”


            ลู่เยี่ยจิ่งส่ายหน้า “อาจเพราะอยากทำดี อาจเพราะอยากทำเลว หรืออาจเพราะเบื่อ”


            “นาย…” ถังเสวี่ยเดินเข้าไปหาเขาทันที ครุ่นคิดแล้วก็ลดมือของตัวเองลง “นายคิดอยากจะทำอะไร เรื่องนี้พวกเราไม่ได้เข้าสงครามเดียวกันหรือไง?”


            เขายกมือขึ้นแคะหูของตัวเอง “ฉันพูดตั้งแต่ตอนไหนว่าจะร่วมสงครามเดียวกับเธอ ฉันไม่เคยยอมรับตำแหน่งเพื่อนร่วมรบอย่างเธอเลย”


            “นายอยากจะทำอะไรกันแน่ ที่ฉันทำแบบนี้ก็เป็นการช่วยนายทางนึงไม่ใช่เหรอ”


            “อยากทำอะไรงั้นเหรอ?” ลู่เยี่ยจิ่งแสร้งทำเป็นพินิจพิเคราะห์ พยักหน้า “นี่เป็นคำถามที่ดี อยากจะทำอะไร ฉันก็ต้องอยากให้คนเลวหายสาบสูญไปอยู่แล้ว ไม่ก็ได้รับบทลงโทษที่สาสม เธอว่าใช่หรือเปล่า”


            “นาย…” ความเกลียดชังในดวงตาของเขาทำให้ถังเสวี่ยตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว “ลู่เยี่ยจิ่ง นายมันไม่มีเหตุผล”


            “รู้ว่าฉันไม่มีเหตุผลก็อย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า อวดฉลาด ที่ถูกลั่วจื่อหานจับตามองก็เพราะเธอ เธอนึกว่าทำดีต่อหน้าอี้เป่ยซีนิดหน่อยแล้วจะมีประโยชน์งั้นเหรอ น่าตลกจริงๆ”


            ถังเสวี่ยกำมือแน่น “ฉันอยู่ข้างกายเขาวันนึง ก็ทำอะไรได้มากขึ้นวันนึง นายทำได้เหรอ?”


            ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ ลุกขึ้นยืนขายาวๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ถังเสวี่ย จนกระทั่งตัวเธอชิดติดประตู ถังเสวี่ยมองเขาด้วยความตื่นกลัว “นายจะทำอะไร”


            “ทำอะไรเหรอ? หึ” ลู่เยี่ยจิ่งมองถังเสวี่ยด้วยความจริงจัง ยื่นมือบีบคางของเธอ บังคับให้เธอสบตากับเขา “เธอไม่เคยคิดล่ะสิว่าเพราะตัวเองขี้เหร่ หลานฉือเซวียนก็เลยไม่ได้คบกับเธอ?”


            “แก…” เธอเงื้อมมือ ยังไม่ทันฟาดลงไปก็ถูกลู่เยี่ยจิ่งจับเอาไว้ ออกแรงกดไว้ที่ประตู “นายปล่อยฉันนะ”


            จู่ๆ ลู่เยี่ยจิ่งก้มหน้า ดมผมของเธอด้วยความคลุมเครือมาก โน้มตัวไปข้างแก้มของเธอ ลมหายใจอุ่นทำให้ถังเสวี่ยตัวสั่น “ถ้าเธอยังไม่เชื่อฟังอีก ฉันก็ปกป้องเธอจากลั่วจื่อหานไม่ได้”


            “ฉัน ฉันรู้แล้ว ฉันจะไม่ จะไม่ลงมือเองอีกแล้ว”


            “ดีมาก” ลู่เยี่ยจิ่งปล่อยเธอ “ยังมีอีกเรื่องนึง กลิ่นตัวของเธอน่าสะอิดสะเอียนมาก” พูดจบก็ผลักเธอ เปิดประตูแล้วก้าวเท้าจากไป หันหน้ามองปลายรองเท้าผ้าใบสีขาวที่โผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง มุมปากยกยิ้ม


            หลังจากอี้เป่ยซีเห็นลู่เยี่ยจิ่งออกไปแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องส่วนตัว เห็นถังเสวี่ยนั่งหมดแรงอยู่บนพื้น ใบหน้าเปื้อนน้ำตา ผมเผ้าและเสื้อผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ข้อมือราวกับว่ายังแดงบวมอยู่


            “ถังเสวี่ย เจ้าคนชั่วนั่น เขา เขาทำอะไรกับเธอ?”


            ถังเสวี่ยส่ายหน้า “เป่ยซี” เธอกอดอี้เป่ยซีทันที “ฉันทรมานจังเลย เขาหลอกใช้ฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันนึกว่า ฉันนึกว่าฉันจะเจอความรักของฉันแล้วจริงๆ แต่ว่าทำไมต้องหลอกฉันด้วย ทำไมต้องหลอกฉัน”


            “ถังเสวี่ย ขอโทษนะ เพราะฉันผิดเอง ขอโทษนะ”


            “ไม่โทษเธอหรอกเป่ยซี เพราะฉันเอง เพราะว่าฉันถูกความรักทำให้เลอะเลือน เกือบจะทำให้เธอลำบาก เป่ยซี เธอยกโทษให้ฉันได้หรือเปล่า พวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ไหม”


            อี้เป่ยซีประคองไหล่ของเธอ หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเช็ดน้ำตาให้เธอ “ถังเสวี่ย เธอไม่ผิดจริงๆ อย่าเสียใจไปเลย”


            ถังเสวี่ยคว้าแขนของเธอ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แล้วพวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีกันอยู่ไหม?”


            เธอพยักหน้า “ถังเสวี่ย เด็กโง่”


            “เป่ยซี แต่ว่าฉันยังเสียใจอยู่เลย”


            “ไม่เป็นไร มันจะผ่านไป”


            ทันใดนั้นประตูก็เปิดพรวด เสียงอันดังทำให้เด็กสาวสองคนที่อยู่ในห้องตกใจ อี้เป่ยซีหันไป เห็นลั่วจื่อหานที่กระวนกระวาย มีเม็ดเหงื่อซึมอยู่บนหน้าผาก ในเวลานั้นเองทั้งสองสบสายตากัน ราวกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน


            หลังจากถังเสวี่ยเห็นคนที่เข้ามาแล้วก็ซ่อนตัวอยู่หลังอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีนึกว่าเธอกลัว ตบๆ หลังของเธอ “ไม่เป็นไร ฉันเป็นคนเรียกลั่วจื่อหานมาเอง ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร เขาเป็นคนที่ดีมากๆ เธอไม่ต้องกลัว”


            ลั่วจื่อหานเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มองซ้ายมองขวาบนตัวเธอ เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงโล่งอก “เธอไม่เป็นไรนะ”


            อี้เป่ยซียกมือขึ้นเช็ดๆ เหงื่อบนใบหน้าเขาโดยไม่รู้ตัว “ฉันไม่เป็นไร พวกเราไม่เป็นไร” ลั่วจื่อหานกอดเธอแน่น สายตาที่มองถังเสวี่ยมีคำเตือนแฝงอยู่


            “นายปล่อยนะ ยังมีคนมองอยู่”


            “ไม่มีคนก็กอดได้ใช่ไหม?”


            “นายปล่อยก่อน อย่ากวน” อี้เป่ยซีทุบๆ ไหล่ของเขา ลั่วจื่อหานจึงปล่อยเธออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก มองอี้เป่ยซีประคองถังเสวี่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา


            “ประธานลั่ว ขอบคุณมาก”


            ลั่วจื่อหานยิ้มเยาะ “สภาพเธอแบบนี้ ไม่ควรจะขอบคุณฉันหรอก”


            อี้เป่ยซีรู้สึกได้ว่าร่างกายของถังเสวี่ยสั่นเทิ้ม มองตำหนิลั่วจื่อหาน ราวกับว่ากำลังตำหนิเขาว่ามีตาแต่ไร้แวว “ถังเสวี่ย เขาก็เป็นแบบนี้ ชอบพูดจาแปลกๆ ถ้าเธอชินก็ดีแล้ว”


            “อืม เป่ยซีขอบคุณนะ”


            ลั่วจื่อหานฟังเด็กสาวพูดคุยกันไร้สาระอยู่เงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร อี้เป่ยซีก็ไม่ได้มองเขา จูงถังเสวี่ยออกไปด้วยกัน


        “ฉันจะไปส่งเธอ” เขาตามไป แต่อี้เป่ยซีไม่ได้ตอบ


————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม