Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 80-94

 บทที่ 80 แผนร้ายถูกเปิดโปง (9)


“เป่ยซี เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันต้องการอะไร” ดวงตาเป็นประกาย อี้เป่ยซีไม่ระวังทำตะเกียบหลุดมือ เธอก้มตัวลงไปเก็บทันที แต่ก็ไม่ระวังชนแก้วที่อยู่ข้างหน้าล้มอีก เสียงแก้วแตกดังแสบแก้วหู กระจัดกระจายไม่เป็นท่า


“นายดูสิ ช่วงนี้ชีวิตของฉันยุ่งเหยิงไปหมด”


ลั่วจื่อหานส่งตะเกียบคู่ใหม่ให้เธอ “เพราะว่าคนเก่าน่าจะไปแล้ว” พูดพลางรินน้ำให้เธอใหม่อีกแก้ว อุ่นกำลังดี ความอบอุ่นค่อยๆ แผ่ซ่านจากฝ่ามือ เธอดื่มไปอึกหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ลั่วจื่อหานก็ก้มหน้ากำลังง่วนกับอะไรบางอย่างบนโทรศัพท์มือถือ ไม่นาน กับข้าวที่สั่งก็มาเสิร์ฟ แม้ไม่ค่อยอยากกินเท่าไร อี้เป่ยซีก็ยังฝืนตัวเองกินเข้าไปนิดหน่อย


กินไปได้ครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์ของลั่วจื่อหานก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองดูคนด้านข้าง ออกไปรับสาย หลังจากกลับมาแล้วสีหน้าไม่สู้ดีนัก เจือปนความโมโหที่กลั้นเอาไว้


“เป็นอะไรไป?”


“เปล่า” เขาทำไปเป็นปกติอีกครั้ง “อาหารไม่ถูกปากเหรอ ทำไมกินน้อยแบบนี้?”


อี้เป่ยซีไม่ได้ซักไซ้ต่อ ในใจของเธอก็มีคำตอบอยู่บ้างแล้ว แม้ไม่ได้ถามอะไร แต่ว่าตอนนี้คนที่ต่อต้านเธอคือใคร คนที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ที่สุดคือใคร ตอนนี้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แม้เธอจะโง่ไปกว่านี้ก็รู้ว่าใครที่ต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้แน่ๆ


เรื่องของคราวนี้กับคราวที่แล้ว เธอจะปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้


“ก็นิดหน่อย อาหารที่นี่มันไปหน่อย ไม่อร่อยเหมือนที่นายทำ” เธอเขี่ยกับข้าวในจาน ใบหน้าไม่มีความอยากอาหารอย่างเห็นได้ชัด และพูดประโยคนี้โดยไม่รู้ตัว


“งั้นต่อไปฉันก็ทำให้เธอกินดีไหม”


“ดี…หา?” เธอดึงสติกลับมาทันที “ไม่ ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก นายกินอิ่มแล้วยัง ไม่อย่างนั้นพวกเรากลับกันเถอะ แหะๆ”


ลั่วจื่อหานวางตะเกียบในมือลง “งั้นพวกเราไปกันเถอะ”


“ไป? ไปไหน?”


เขาลากอี้เป่ยซีออกไปโดยไม่พูดอะไร ทั้งสองคนวิ่งอยู่บนถนนเหมือนเด็ก จนกระทั่งมาถึงที่หมาย


อี้เป่ยซีจึงเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่จนน่าประหลาดใจ สวนสนุก


สวนสนุกที่ควรจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนในบัดนี้เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมพัด อี้เป่ยซีเห็นมุมปากที่โค้งขึ้นของลั่วจื่อหาน เข้าใจในเจตนาดีของเขา แต่ว่า เธอก็ไม่ชอบมาที่สวนสนุกทุกอาทิตย์หรอกนะ


“ในนี้ยังมีห้องลับนะ”


“ห้องลับ!” ดวงตาของอี้เป่ยซีเป็นประกาย รบเร้าให้คนที่อยู่ข้างๆ นำทางไปทันที


ออกมาจากห้องลับ เด็กน้อยที่คิดว่าตัวเองไม่สนใจกำลังเล่นสนุกอยู่ในบรรดาเครื่องเล่น ข้างกายก็เริ่มเต็มไปด้วยเสียงที่มีความสุขและผ่อนคลาย


ลั่วจื่อหานอยู่เป็ยเพื่อนเธอตลอดเวลา คว้ามือของเธอ มองดูเวลาบนมือ ดึงคนที่กำลังพุ่งไปยังเรือโจรสลัดเอาไว้


“ไว้วันหลังเถอะ ยังมีอีกเรื่องนึงที่สำคัญกว่า”


“หา ให้ฉันเล่นให้จบค่อยก่อนไปไม่ได้เหรอ?”


“จนปัญญากับเธอจริงๆ”


จากนั้นทั้งสองคนก็มาถึงบนภูเขาด้านหลังสวนสนุก อี้เป่ยซีที่เล่นอย่างบ้าคลั่งเกินไปตอนนี้ไม่มีพลังเหลือแล้ว ขณะที่ขึ้นเขาก็สัปหงกตลอด


“พวกเราจะไปไหนเหรอ?” แทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เธอรู้สึกว่าขาของเธอไม่ใช่ของเธอ เธอไม่สามารถควบคุมการเดินของตัวเองได้แล้ว


“ใกล้จะถึงแล้ว”


ภูเขาลูกนี้ไม่สูงมาก เพียงไม่นานก็ถึงยอดเขาแล้ว ต้นไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิเขียวชอุ่มและเหลื่อมอยู่ด้วยกัน ศาลาที่สวยงามผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในช่องว่างระหว่างต้นไม้ เพ้นท์สีแดงเข้ากันอย่างยิ่งกับสีเขียวที่แน่นหนา เส้นทางสายเล็กที่ปูด้วยหินดูเหมือนจะให้สัมผัสอบอุ่นของหินกรวด กลิ่นหอมของหญ้าลอยอบอวลอยู่ในอากาศ


ดูค่อนข้างเยือกเย็นและเปล่าเปลี่ยว


เห็นได้ขัดว่าไม่ใช่ทิวทัศน์ที่ชวนน่ายินดีอะไร แต่จู่ๆ อี้เป่ยซีกลับกระปรี้กระเปร่า ทั้งๆ ที่เห็นการตกแต่งเรียบง่าย แต่กลับทำให้รู้สึกอารมณ์ดีและต้องการชมโดยรอบ


“ว้าว ที่นี่มันที่ไหน สวยจังเลย หืม ทำไมรู้สึกคุ้นจังเลย…” เธอก้มหน้าครุ่นคิด “นี่คือวิวที่จื่อจวีหานซื่อเลือกมาถึงสี่ครั้งไม่ใช่เหรอ?”


ลั่วจื่อหานหยุดเดิน “สี่ครั้ง?”


“ใช่แล้วๆ เอ๊ะ นายรู้จักจื่อจวีหานซื่อไหม ภาพวาดของเขาสวยมากๆ เลย อีกอย่างรู้สึกเหมือนกับที่นี่มาก แต่น่าเสียดายที่เลิกวาดไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว”


“จะไม่รู้จักได้ยังไง”


พูดพลางเดินถึงด้านข้างของศาลา นกตัวหนึ่งยืนอยู่บนชายคาที่ยื่นออกมา ยิ่งเพิ่มชีวิตให้กับมัน คำพูดบนเสามีพลัง แม้จะถูกลมฝนชะล้างมายาวนาน แต่ก็ยังสามารถเห็นลายเส้นที่งดงามของนักเขียน เงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นภาพวาดหลากสีที่วาดด้วยปากกาสีซึ่งเชื่อมต่อเป็นวงกลมไม่มีที่สิ้นสุด


“เป่ยซี ดูสิ”


อี้เป่ยซีมองไปตามทิศทางนิ้วของลั่วจื่อหาน พระอาทิตย์ทำให้แสงเรียวเล็กดุจเข็มที่ทอประกายของวันธรรมดาจางหายไป มันอ่อนโยนและสว่างไสว ราวกับรอยยิ้มที่ค่อยๆ เลือนลาง ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางหุบเขา เมฆสีส้มที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเริงร่าเสียงดัง บนใบหน้ามีสีสันที่แตกต่างกันออกไป สะท้อนซึ่งกันและกัน


ทิวทัศน์ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนรูปร่างโดยพลันภายใต้แสงสีทอง ทุกสิ่งรอบตัวราวกับว่าชุบด้วยชั้นทองคำที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม เพลงเสียงที่เปล่งประกายสดใสในสมัยโบราณเหมือนจะดังอยู่ข้างหู เดินทางมาอย่างยาวนานเพื่อร้องสรรเสริญให้กับช่วงเวลานี้


“ลั่วจื่อหาน สวยจังเลย”


เขามองแววตาที่ดื่มด่ำของอี้เป่ยซี มองดูใบหน้าน้อยๆ ของเธออย่างพินิจพิเคราะห์ “ใช่ สวยมาก”


“เอ่อ?” เธอหันมาสบตากับลั่วจื่อหาน เห็นการแสดงออกของดวงตาทั้งคู่นั้น มันเทียบไม่ได้กับแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำและป่าไม้ได้เลย เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ลืมที่จะละสายตา มีอะไรบางอย่างเต้นรัวเร็วอยู่ในร่างกาย มีอะไรบางอย่างถูกดึงเข้าไปสู่ความล้ำลึกและสงบนั้นทีละน้อย


ทั้งสองคนขยับเข้าใกล้กันทีละน้อย เข้าไปใกล้อีก สายตาของลั่วจื่อหานหยุดอยู่บนริมฝีปากที่อ้าออกเล็กน้อยของเธอ และโน้มตัวไปข้างหน้า


“ลั่วจื่อหาน” อี้เป่ยซีหดตัวถอยหลัง เธอยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาเอาเธอมากอดในอ้อมอกของตัวเอง คางชิดกับศีรษะของเธอเบา ๆ


“ฉันจะไม่บังคับเธอ”


“อืม” อี้เป่ยซีพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาเงียบๆ ฟังเสียงหัวใจเต้นของเขาที่เต้นเหมือนกับหัวใจของตัวเอง ทรงพลังและเข้มแข็ง แสงพลบค่ำสีแดงราวกับโบยบินอยู่บนใบหน้าของทั้งสองคน


หลังจากลั่วจื่อหานส่งเธอไปถึงมหาวิทยาลัยแล้วก็ขับรถจากไป อี้เป่ยซีครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เรียกรถกลับบ้าน ไฟปิดอยู่ ห้องทั้งห้องราวกับว่ากำลังตกอยู่ในความฝัน อี้เป่ยซีหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู เปิดไฟในห้องรับแขก แสงไฟสีอบอุ่นขับไล่ความเยือกเย็นออกไป เธอนั่งอยู่บนโซฟา ปล่อยให้โทรทัศน์ส่งเสียงดังอยู่ด้านข้าง สายตาจับจ้องเพดานตลอดเวลา


พี่เป่ยเฉินคงกลัวว่าพอเธอรู้แล้วจะเจ็บปวดสินะ ซีรีส์ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายและลาจอไป บทเพลงชื่อว่ารักหรือไม่รักดังขึ้น แนวคิดศิลปะเชิงสร้างสรรค์ในฉากหลังนั้นไม่มีอิทธิพลแต่อย่างใดภายใต้ความนึกคิด เธอเหลือบดูโทรทัศน์อย่างเกียจคร้าน แล้วจ้องเพดานต่อ


จะพูดอย่างไรดี จะบอกว่าอย่าเป็นห่วงเธอเลยแล้วอวยพรให้เขากับฉินรั่วเข่อ?


แต่ก็ยังพูดไม่ออก รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเลย


ทำไมในตอนสุดท้ายคนที่ได้อยู่กับพี่เป่ยเฉินถึงเป็นเพียงคนอื่นล่ะ?


แต่ทำไมไม่ใช่คนอื่น ทำไมถึงเป็นเธอ


ใต้หล้าแห่งนี้ น่าจะมีเพียงเธอคนเดียวที่ไม่สมควรยืนอยู่ข้างกายพี่เป่ยเฉิน


อี้เป่ยซี นั่นคือพี่ชายของเธอ เธอควรจะอวยพรให้เขามีความสุข ไม่ใช่เป็นอย่างเมื่อก่อนที่ดึงคนอื่นตกลงไปในหนองน้ำอีกคน


………………………..


บทที่ 81 จื่อจวีหานซื่อ (1)


หลังจากลั่วจื่อหานส่งอี้เป่ยซีกลับมหาวิทยาลัยแล้วไม่ได้กลับบ้านทันที แต่ขับรถไปยังสถานที่หนึ่งเขตชานเมือง บนพื้นลูกรังที่กว้างขวางและรกร้างอย่างเห็นได้ชัดนั้นมีบ้านเหล็กหลังหนึ่งที่ชำรุดทรุดโทรมอย่างยิ่งตั้งอยู่ เงี่ยหูฟังก็ราวกับว่ายังได้ยินเสียงลมที่กระทบบนผิวเหล็กและเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสกรูที่หละหลวมเล็กน้อย ทำให้ชวนพะวงว่าวินาทีเดียวต่อมาสิ่งก่อสร้างสิ่งนี้จะยังคงอยู่หรือว่าจะกลายเป็นส่วนประกอบที่รกร้างไร้คนรู้จักเหมือนเศษหินที่อยู่บนพื้น


“ประธานลั่ว” ผู้ชายคนนั้นที่อยู่ในศูนย์การค้าโค้งนอบน้อม ลั่วจื่อหานลงจากรถเห็นสภาพของที่แห่งนี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าส่งเสียงกระทบกัน


“ประธานลั่ว คุณหนูอี้กลับบ้านแล้วครับ” เมื่อรับสายรายงาน เขาตอบว่าอือคำเดียว บนใบหน้าไม่มีอารมณ์ใดๆ เมื่อส่งสัญญาณ ประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด นักข่าวที่แอบถ่ายถูกโยนไปที่กลางห้อง ภายใต้แสงไฟนั้น เขาเหมือนกับลูกแกะที่รอการถูกเชือด มือและเท้าที่ผูกติดกันยังคงสั่นเทา


“พูดอะไรบ้าง?” ลั่วจื่อหานนั่งลงบนเก้าอี้ ถามคนที่อยู่ข้างๆ


“ไม่พูดอะไรเลยครับ”


“อ๋อ?” เขาหรี่ตา ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “ตอนนี้หนึ่งทุ่มยี่สิบหก ฉันจะให้นายสี่นาที”


แววตาที่แหลมคมราวกับมีดยิงตรงไปที่คนนั้น คนอื่นก็ต่างตื่นกลัวกับกลิ่นไอบนตัวลั่วจื่อหาน ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพ


“ผม ผมไม่มีอะไรจะพูด ผมเป็นแค่นักข่าวคนนึง ผมแค่ถูกหัวข้อข่าวบังตาไว้ก็เลยตามพวกคุณมา ไม่มีใครสั่งผม และจะไม่มีใครสั่งผมด้วย”


“นายคิดว่า ฉันพานายมาที่นี่ทำไม?” ลั่วจื่อหานเหลือบมองคนด้านข้าง “ซ้อมจนกว่ามันจะพูด”


เขาตอบรับ จากนั้นผู้คนรอบกายที่มีเครื่องมือก็ล้อมรอบคนนั้น ไม้หน้าสามทั้งหมดตีลงไปบนตัวของเขา เสียงกรีดร้องและเสียงไม้ที่ปะทะลงบนเนื้อหนังทำให้ห้องนี้สั่นไหว ลั่วจื่อหานนั่งลง อารมณ์บนใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย


“พวกแก นี่มันผิดกฎหมายนะ แก…บ้าเอ๊ย พวกแกไม่ตายดีแน่”


“อ๊า…หยุดตีได้แล้ว หยุดตีได้แล้ว ผมพูด ผมพูด ผมพูดแล้วโอเคไหม?”


“ประธานลั่ว” คนนำทีมก้าวไปข้างหน้า รอคำสั่งขั้นต่อไป


ลั่วจื่อหานเหลือบดูเวลา “หนึ่งทุ่มสามสิบเอ็ด ตอนนี้ฉันไม่อยากฟัง พวกนายซ้อมต่อเลย”


“ครับ”


เขาเท้าศีรษะมอง กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่อย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน จึงสั่งให้ลูกน้องหยุด ลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาคนนั้นทีละก้าวๆ คุกเข่าลง


“พูด”


“เป็น เป็นหลิงจื่อเซี่ย เรื่อง เรื่องก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนให้ผมทำ”


“ตีต่อ” ลั่วจื่อหานหันหลังกลับอย่างไร้ความปรานี กลับไปนั่งที่ตำแหน่งเดิม “ไม่อยากพูดใช่ไหม?”


“อัยยา ที่ผมพูดเป็นความจริงทุกคำ ถึงหลิงจื่อเซี่ยจะสนิทกับคุณ แต่ว่า แต่ว่าก็ ก็ด่วนตัดสินว่าผมเป็นคนผิดไม่ได้นะ หยุดตีได้แล้ว อ๊า…”


ลั่วจื่อหานยิ้มเยาะ “คนเบื้องหลังของนายคือใคร ใครสั่งให้นายใส่ร้ายหลิงจื่อเซี่ย”


“เรื่อง…เรื่องมันเป็นแบบนี้แหละ ผม จะกล้าโกหกได้ยังไง” เสียงอ่อนแอมากแล้ว ชวนให้น่าเป็นห่วงว่าเขาจะหมดสติหรือเปล่า ลั่วจื่อหานส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดตี ถังน้ำเกลือที่เย็นจัดราดบนตัวเขาโดยตรง ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด


“เป็น เป็นหลิงจื่อเซี่ยนั่นแหละ” อ่อนแรงเต็มทีแต่ก็ยังยืนยันหนักแน่นในคำตอบของตัวเอง


“ต้องการให้ฉันช่วยนายกำจัดคนพวกนั้นที่เป็นไปไม่ได้ออกไป เพื่อที่นายจะได้แปดเปื้อนต่อไปหรือเปล่า?” ลั่วจื่อหานไม่ได้มองเขาเลย “ฉันเสียเวลากับนายมามากพอแล้ว ฉันคิดว่านายน่าจะรู้ดี มีนายหรือไม่มีนาย สุดท้ายใครเป็นคนทำ ฉันก็จะสืบเจอเหมือนกัน”


“ในเมื่อนายปากหนักขนาดนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอะไรแล้ว วี๊ด แล้วแต่พวกนายเลย”


เสียงหมาหอนดังมาจากระยะไกล คนที่ล้มอยู่บนพื้นลังเลเล็กน้อย จนกระทั่งเห็นว่าลั่วจื่อหานกำลังจะเดินออกไป เห็นใบหน้าที่กระหายเลือดของคนข้างๆ เขารวบรวมกำลังสุดความสามารถเพื่อรั้งเขาเอาไว้


“ผมพูด ผมพูด”


ดวงตาของลั่วจื่อหานเป็นประกาย หันกลับมามองเขาด้วยความดุร้าย พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พูดทุกอย่างให้ละเอียด”


ภายใต้ความโกรธเคืองของลั่วจื่อหาน เขาอธิบายเรื่องทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย


เสียงหวีดของลมพัดผ่านข้างหูไป มือกำพวงมาลัยแน่น พวกนายนี่ช่างเป็นคนที่อันตรายจริงๆ จะต้องไม่ให้อยู่ข้างกายอีกต่อไปแล้ว


“ประธานลั่ว ตอนนี้เขาอยู่ในบ้าน พวกเราจะ…”


“ไม่ต้อง ฉันเอง” เขาเหยียบเพิ่มคันเร่ง รถมาถึงคฤหาสต์หลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว


“ประธานลั่ว วันนี้คุณหนูของพวกเราไม่สบาย คุณค่อยมาวันอื่นเถอะ” ลั่วจื่อหานถูกผู้ดูแลบ้านขวางที่หน้าประตู แม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ผู้ดูแลบ้านยังคงรักษาความสง่างามดังเช่นปกติ พูดจาอย่างชัดถ้อยชัดคำ


ลั่วจื่อหานไม่ใส่ใจคนอีกฝ่ายเดินไปข้างหน้า ผู้ดูแลบ้านถอยหลังโดยไม่รู้ตัว


“ประธานลั่ว อย่าทำให้พวกเราลำบากใจดีกว่า” พวกเขารู้ดีว่านิสัยของลั่วจื่อหานค่อนข้างเย็นชา ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น โดยปกติแล้วก็มักทำให้ผู้คนเกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนนี้ท่าทางเกรี้ยวกราดแบบนี้ ยิ่งทำให้น่ากลัวเข้าไปอีก “ประธานลั่ว คุณหนูของพวกเราไม่สบายจริงๆ”


กล่าวปฏิเสธตลอดเวลา แต่ก็ยังถูกลั่วจื่อหานต้อนจนถึงห้องรับแขก เขากวาดตามองคนบอดี้การ์ดในห้องรับแขก ท่าทีที่เข้มงวดทำให้อดใจไม่ไหวจนหลุดขำ “พร้อมกันเลยไหม?” เมื่อพูดจบกลุ่มคนก็บุกเข้าไป ลั่วจื่อหานออกแรงสบายๆ สองสามทีก็ล้มหมอบกันทั้งแถบแล้ว เหลือบมองขึ้นเห็นถังเสวี่ยที่อยู่ในชุดนอน ใบหน้าน้อยซีดขาว ลักษณะเหมือนป่วยและไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่


“พวกนายทำอะไรกัน?” ในเสียงที่อ่อนแอนั้นระคนความสูงส่งและสง่างาม “ประธานลั่วเป็นเพื่อนของฉัน ทำไมพวกนายถึงวุ่นวายแบบนี้ ไปรินน้ำชา”


ลั่วจื่อหานมองเธอ จู่ๆ ความโกรธเอ่อล้นขึ้นในดวงตา ถังเสวี่ยที่กำลังลงมาข้างล่างก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ขาเกิดลื่น คว้าราวจับโงนเงนจึงจะสามารถพยุงตัวได้ แล้วลงข้างล่างต่ออย่างระมัดระวังมาก ชั้นเหงื่อซึมเต็มแผ่นหลัง


“ประธานลั่ว ดึกป่านนี้แล้ว มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่า?”


“ผมนึกว่าคุณจะรู้”


ถังเสวี่ยประสานมือเข้าด้วยกัน ก้มหน้า “เรื่องเกี่ยวกับอี้เป่ยเฉินเรื่องนั้น ฉันไม่ได้บอกเป่ยซีนะ” เธอชะงักไปเล็กน้อย กลืนน้ำลาย “คุณก็รู้ ฉันเป็นเพื่อนคนเดียวของเป่ยซี เขาเห็นคุณค่าฉันขนาดนั้น ฉันก็ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับเขาเหมือนกัน ฉันจะไปทำเรื่องที่ทำร้ายเป่ยซีได้ยังไง ประธานลั่วอย่ากังวลใจไปเลย”


เธอรับน้ำชาที่ส่งมาจากคนข้างๆ รวบรวมความกล้าเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “ก่อนหน้านี้ฉันมักจะปวดหัวตัวร้อนอยู่บ่อยๆ พี่ชายซื้อชานี้มาให้ฉัน แถมยังทำให้รู้สึกสดชื่นด้วย ประธานลั่วจะลองไหม?”


ลั่วจื่อหานฟังคำพูดของเธอ ยิ้มเย็นชา “คุณหนูถังพูดจาเก่งจริงๆ นะ”


“ฉัน เปล่าหรอก ฉันชอบพูดจาโง่ๆ ทุกครั้งก็กังวลว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดทำร้ายจิตใจใครเข้าหรือเปล่า เวลาที่พูดกับเป่ยซีก็ระวังตัวตลอด”


“คุณกำลังขู่ผมเหรอ?”


“เปล่าๆ ประธานลั่ว คือว่า…” ถังเสวี่ยร้อนรนเล็กน้อย คอยมองความเคลื่อนไหวข้างนอกอยู่เสมอ เธอรู้ดีว่าถ้าถูกลั่วจื่อหานพาตัวไป เธอจะลงเอยเช่นไร แม้เธอจะเล่นไพ่ความสัมพันธ์กับอี้เป่ยซีก็ไม่เห็นว่าเขาจะปล่อยเธอไป ในตอนนี้ได้แต่หวังว่าพี่ชายของตัวเองจะกลับมาเร็วหน่อย เร็วอีกหน่อย


“เสียวเสวี่ย…” ถังเฉิงพุ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นลั่วจื่อหานก็หยุดกึก บังคับตัวเองให้เดินไปหาเขา “ประธานลั่วมีเวลามาหาพวกเราได้ยังไง เป็นการรับแขกที่แย่จริงๆ เสียวเสวี่ย ยังไม่เอาชาให้ประธานลั่วอีก” ถังเสวี่ยยกมือที่ถือแก้วชาขึ้นสูง แขนสั่นเทา


ลั่วจื่อหานมองถังเฉิงที่ศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อจึงเข้าใจ “ถังเฉิง นายมีน้องสาวที่ดีจริงๆ ไม่รู้ว่าน้องสาวที่ฉลาดของนายคนนี้ ต่อไปจะช่วยนายได้หรือเปล่า”


…………………….


บทที่ 82 จื่อจวีหานซื่อ (2)


ถังเฉิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเหลือบมองถังเสวี่ยเงียบๆ จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าลั่วจื่อหานพร้อมรอยยิ้ม “เสียวเสวี่ยทำอะไรให้ประธานลั่วไม่พอใจหรือเปล่า ผมจะต้องลงโทษเขาแน่นอน เสียวเสวี่ยยังเด็ก ถ้าทำอะไรผิดตรงไหนก็ควรเห็นแก่เหตุและผล ประธานลั่วจะโมโหเพราะเรื่องเล็กๆ มันไม่คุ้มค่าหรอก”


“เรื่องเล็ก? นายต้องเห็นจริงๆ ว่าปกติน้องสาวนายทำ ‘เรื่องเล็ก’ อะไรบ้าง”


“ประธานลั่ว…”


ยังไม่ทันพูดจบ โทรศัพท์มือถือของลั่วจื่อหานก็ดังขึ้น เขาชำเลืองมองหน้าจอก็วางลงไม่ได้สนใจอีก


“ประธานลั่ว โทรศัพท์มือถือของคุณดังตลอดเลย หรือว่ามีเรื่องด่วนอะไร?”


“ไม่ด่วน ดูว่านายจะสั่งสองน้องสาวแสนดีของนายยังไงต่างหากถึงจะเป็นเรื่องด่วนที่สุด ทำไมล่ะ ทำไม่ลงหรือไง อยากให้ฉันช่วยไหม?”


ถังเฉิงโบกมืออย่างรวดเร็ว ทำทีดูเคร่งขรึม ตะคอกเยือกเย็น “เสียวเสวี่ย คุกเข่า” ถังเสวี่ยคุกเข่าลงทันที หลังก็งุ้มงอ หวาดกลัวมาก


“เธอทำอะไรให้ประธานลั่วไม่พอใจกันแน่ เธอรู้หรือเปล่า”


น้ำตาเอ่อล้นดวงตาของถังเสวี่ย “พี่ ฉันไม่…”


“ถ้าคุณหนูถังไม่อยากพูด ผมจะเล่าให้พี่ชายคุณฟังแทนอย่างละเอียดก็ได้”


เธอหดตัว กัดริมฝีปาก “พี่ฉันเปล่า”


ถังเฉิงสังเกตอาการของลั่วจื่อหาน จนถึงตอนนี้บนใบหน้าของลั่วจื่อหานยังคงมีความโกรธ เขารู้ดีว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่างก็จะไม่หลุดพ้นพระผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ “ถังเสวี่ย ถ้าเธอไม่พูดอีกก็อย่าโทษที่พี่ใช้กฎบ้านแล้วนะ”


เธอไม่อยากจะเชื่อ สองมือกำแน่นอยู่ด้านหน้า “เพราะ เพราะเป่ยซี…”


อี้เป่ยซี เขาเอียงคอครุ่นคิด ทำไมช่วงนี้มีแต่เรื่องอี้เป่ยซี เขากระแอมไอ “พูดต่อ”


ท่าทางที่ลำบากใจของถังเสวี่ยทำให้ถังเฉิงยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเอง เรื่องนั้นไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับน้องสาวของเขา น่าจะเป็นเพราะอี้เป่ยซี


“ประธานลั่ว ในเมื่อเสียวเสวี่ยบอกแล้วว่าเป็นเพราะอี้เป่ยซี งั้น…”


“จะรีบทำไม นายฟังเขาพูดให้จบ”


“พี่ ฉันผิดเอง ฉันขอโทษ” เธอยอมรับผิดทันที ไม่ต้องการพูดอะไรมาก น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลอาบแก้ม หัวใจของถังเฉิงทนไม่ไหว


“คุณไม่อยากพูด ผมจะช่วยคุณพูดเอง” ลั่วจื่อหานไม่ต้องการมองเธออีก “รูปถ่ายของพวกหลานฉือเซวียนคุณหาคนมาถ่ายสินะ จากนั้นคุณก็เขียนบทความที่เป็นที่ฮือฮาของมหา’ลัยพวกคุณ เพื่อไม่ให้คนจับได้ว่าเป็นคุณ คุณยังตั้งใจแอบให้ฉินรั่วเข่อไปหาหลิงจื่อเซี่ย ก็ดี โยนความผิดทั้งหมดให้จื่อเซี่ย ใช่หรือเปล่า?”


“เสียวเสวี่ย” ถังเฉิงมองดูน้องสาวที่น่ารักอ่อนโยนของตัวเอง เธอทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร “ประธานลั่ว ไม่แน่อาจจะมีใครใส่ร้ายเสียวเสวี่ยของพวกเราก็ได้นะ”


ลั่วจื่อหานไม่ได้มองเขา “ยังไม่จบ ทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่ามีคนคิดทำร้ายเป่ยซี ตั้งใจนัดเขาออกไปเที่ยว เปิดเผยตำแหน่งของเธอให้คนเลวพวกนั้น คุณทำร้ายเป่ยซีจนเกือบจะ…” เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้เล็กน้อยและนึกถึงก่อนหน้านี้ อี้เป่ยซีล้มอยู่บนพื้นหิมะอย่างไร้หนทาง พวกสัตว์เดียรัจฉานที่ไร้ความเป็นมนุษย์ต้องการทำอะไรกับเธอ ถ้าหากเขาไปไม่ทัน…


และเรื่องทั้งหมดนี้ ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องได้เลย


“เป็นไปไม่ได้ เสียวเสวี่ยไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้น เขากับอี้เป่ยซีเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก” แม้ว่าถังเฉิงจะพูดเช่นนี้ คิ้วที่ยับย่นก็แสดงให้เห็นถึงความสงสัยของเขา


“จากนั้น คุณรู้เรื่องของเป่ยซีกับลู่เยี่ยหวา คุณก็รู้ว่าลู่เยี่ยจิ่งแทบทนไม่ไหวที่จะกำจัดอี้เป่ยซีออกไปจากโลกใบนี้เร็วๆ ก็เลยวางแผนให้พวกเขาสองคนได้เจอหน้ากัน ใช่หรือเปล่า”


“ถังเสวี่ย” ถังเฉิงมองถังเสวี่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เห็นเธอไม่พูดไม่จา เข้าใจว่าที่ลั่วจื่อหานพูดทั้งหมดคือเรื่องจริง เพียงแต่ยากที่จะจินจนาการว่าน้องสาวของตัวเองจะ… “ประธานลั่ว มันไม่มีหลักฐานอะไรที่จะยืนยันได้ว่าเสียวเสวี่ยของพวกเราทำเรื่องพวกนี้จริงๆ”


ขณะที่ลั่วจื่อหานกำลังจะพูดต่อ จู่ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงเรียกเข้าต่างออกไป เขาขมวดคิ้ว กดปุ่มรับสาย


“เจ้าเด็กบ้า นายไม่กลับมาก็รอเก็บศพให้ฉัน” พูดจบก็วางสายไปแล้ว


ลั่วจื่อหานละสายตา มองไปยังถังเสวี่ย “ต้องการหลักฐานที่ผมพูดงั้นเหรอ ถังเสวี่ย อยากให้ผมพูดกับพี่ชายที่รักคุณต่อไหม?”


“ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” ถังเสวี่ยส่ายหัวอย่างแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา


“ถังเสวี่ย” ถังเฉิงก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย “ที่ประธานลั่วพูดเป็นความจริงเหรอ?”


ถังเสวี่ยเอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้ตลอดเวลา ไม่ได้ตอบคำถามของเขาทันที ถังเฉิงลุกขึ้นยืน “วางใจเถอะประธานลั่ว ผมจะต้องหาคำอธิบายให้คุณแน่นอน”


ลั่วจื่อหานไม่พูด มองปุ่มรับสายที่เด้งขึ้นมาอีกครั้งแล้วกดตัดสาย “ฉันจะรอดูคำอธิบายของประธานถัง” พูดจบก็จากไปโดยไม่หันมามอง


ถังเสวี่ยนั่งอยู่บนพื้น ยังคงร้องไห้ไม่หยุด ถังเฉิงเดินเข้าไปหาเธอ คุกเข่า ยกมือขึ้นสูง ขณะที่กำลังจะร่วงลงอย่างแรงนั้นก็สูญเสียพลังทั้งหมดฉับพลัน “เสียวเสวี่ย เพราะอะไร?”


เธอคว้าแขนเสื้อของถังเฉิงไว้ กอดถังเฉิงเหมือนตอนเด็กๆ “พี่ ฉันเปล่า ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้จริงๆ เป็นเพราะ เป็นเพราะ ฟางหมิ่น พวกเขาสองคนทะเลาะกันตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกแล้ว ฉัน ฉันก็ถูกบังคับนะพี่ พี่เชื่อฉันนะ”


“จนป่านนี้แล้ว เธอยังคิดโยนความผิดให้คนอื่นอีก” ถังเฉิงดึงมือของเธอออก “เธอน่าจะคิดทบทวนให้ดีนะ ถังเสวี่ย”


เมื่อออกมาจากบ้านถังลั่วจื่อหานยังคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ความโกรธเคือง ความสงสาร ความกล่าวโทษตัวเองระคนอยู่ด้วยกัน มันยกระดับสูงจนทำให้เขาหายใจได้ไม่ทั่วท้อง เขาคลายเนกไทออก หยิบบุหรี่ออกมาม้วนหนึ่งจุดให้ตัวเองอย่างกระสับกระส่าย จากนั้นเนิ่นนานจึงจะสตาร์ทรถอีกครั้ง


“พี่จื่อหาน ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว พวกเรารอพี่…นานแล้ว” เดิมทีหลิงจื่อเซี่ยเปิดประตูต้อนรับลั่วจื่อหานด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่เห็นแววตาเตือนภัยของเขาแล้วก็ห่อเหี่ยวลง “เอ่อ แม่ก็มาแล้วด้วย”


“พี่รู้” ลั่วจื่อถอดเสื้อโค้ทให้คนรับใช้ เดินไปหาคุณแม่ลั่ว “แม่ วันนี้ผมเหนื่อยนิดหน่อย ไว้กินข้าวกับแม่วันหลังนะ”


คุณแม่ลั่วได้กลิ่นบุหรี่จางๆ บนตัวของลูกชายตัวเอง แล้วมองดูสีหน้าบนใบหน้าเขา มันคือความเหนื่อยล้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน “ช่วงนี้งานยุ่งขนาดนี้เลยเหรอ? แม้แต่เวลาพักผ่อนของประธานก็ไม่มีหรือไง? เหนื่อยแล้วก็รีบไปพักผ่อน ไปเถอะๆ”


“อืม” หลังจากได้รับคำอนุญาตก็กลับห้องของตัวเอง ปล่อยให้แม่ลูกสองคนอยู่หน้าโต๊ะกินข้าว เห็นอาหารน่ากินละลานตาก็ไม่รู้สึกอยากอาหาร


หลิงจื่อเซี่ยเคลื่อนไหวรุนแรง คุณแม่ลั่วพริบตาเดียวก็มองอารมณ์ของเธอออก “แค่ก เซี่ยเซี่ย ช่วงนี้จื่อหานยุ่งอะไรเหรอ?”


เธอเบ้ปาก แสดงความไม่พอใจทั้งหมดออกมา “ตอนนี้พี่จื่อหานยังจะยุ่งอะไรได้ ยุ่งกับการแก้ปมของคนบางคนน่ะสิ ก็ไม่รู้ว่าในใจของเด็กสาวพวกนั้นคิดอะไรอยู่ พอเห็นพี่จื่อหานก็คิดจะโยนทุกอย่างมาให้เขา พี่จื่อหานจะไม่เหนื่อยได้ยังไง?”


“เซี่ยเซี่ย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรพูดนะ” หลิงจื่อเซี่ยเพิ่งจะรู้ตัว รีบนั่งตัวตรง กลัวสู่สภาวะเด็กสาวปกติอีกครั้ง


“ค่ะแม่ เพราะหนูผิดเอง แต่ว่ามีบางคนทำเกินไปจริงๆ หนูอดไม่ได้ก็เลยเสียมารยาทไปหน่อย คราวหน้าจะไม่เป็นแล้ว”


คุณแม่ลั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย “เธอบอกแม่มาว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”


ดังนั้น หลิงจื่อเซี่ยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เล่าว่าอี้เป่ยซียั่วยวนคนข้างกายเธออย่างไร เรื่องที่ไม่ปล่อยแม้กระทั่งพี่ชายของตัวเอง พูดพลางยังทำท่าทีซื่อตรงเป็นอย่างมากพร้อมวิพากย์วิจารย์ไปสองสามคำ พอคุณแม่ลั่วได้ฟังคำพูดของเธอแล้วคิ้วก็ยับย่น


“ในเมื่อเป็นเพื่อนในมหา’ลัยของเธอ เธอก็ควรช่วยพี่ชายเธอสักหน่อย อย่าปล่อยให้คนที่ไม่ประสงค์ดีพวกนี้ได้มีโอกาส”


หลิงจื่อเซี่ยหดหู่ใจมาก ลั่วจื่อหานจะฟังหลิงจื่อเซี่ยอย่างเธอได้อย่างไร อี้เป่ยซีดีเสมอในสายตาของเขา ส่วนหลิงจื่อเซี่ยในสายตาเขานั้นไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง แม้จะเป็นเช่นนี้ หลิงจื่อเซี่ยก็ยังยิ้มและตอบรับ


……………………………….


บทที่ 83 จื่อจวีหานซื่อ (3)


เสียงนาฬิกาเวลาเที่ยงคืนดังขึ้น อี้เป่ยซีมองไปที่ประตู ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก วันนี้พี่เป่ยเฉินคงไม่กลับมาแล้วมั้ง


การฝึกฝนฉากที่เจอหน้ากันในหัวหลายต่อหลายครั้งนั้นช่างสูญเปล่าจริงๆ เธอลุกขึ้นยืนเทน้ำให้ตัวเอง ถืออยู่ในมือ สายตายังคงมองที่โทรทัศน์ที่กำลังฉาย


มันคือตอนใหม่ของซีรีส์ หนุ่มน้อยหน้าตาดีกับเทพธิดาตัวน้อยแสดงร่วมกันในบทละครน้ำเน่าที่ตื้นเขิน อี้เป่ยซีเบะปาก ดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง เฮ้อ รออีกหน่อยเถอะ อีกนิดเดียวแล้วค่อยไปนอน สายตาจับจ้องไปที่ภาพที่กำลังฉายอย่างเลื่อนลอย


ประตูใหญ่ถูกเปิดออกเบาๆ


“เสี่ยว เสี่ยวซี” ความอ่อนล้ายังคงอยู่บนใบหน้าของอี้เป่ยเฉิน คำที่พูดอออกมาระมัดระวังเป็นอย่างมาก กลัวว่าจะพูดอะไรผิดเข้า


อี้เป่ยซีเงยหน้าสบตากับเขา ยิ้ม แล้วรินน้ำอีกแก้วหนึ่งส่งให้เขา อี้เป่ยเฉินรับน้ำมา นั่งลงบนโซฟาข้างเธอ


“วันนี้พี่เป่ยเฉินกลับมาดึกจังเลย ตอนนี้ที่บริษัทยุ่งมากเลยเหรอ?”


มือของเขาลูบคลำบนด้านนอกของแก้ว ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร


“งั้นฉันไม่อยู่นี่รบกวนเวลาพักผ่อนของพี่เป่ยเฉินแล้ว ฉันจะกลับไปนอนก่อน” วางแก้วน้ำลง ปิดโทรทัศน์ จู่ๆ ห้องนั่งเล่นก็เข้าสู้ความเงียบที่แปลกประหลาดมาก อี้เป่ยซีไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป ก้าวเท้าต้องการจะจากไป


“เสี่ยวซี พี่ขอโทษ”


เธอเม้มปาก “พี่เป่ยเฉินไม่ได้ทำผิดอะไรนี่ เพราะปกติเสี่ยวซีทำอะไรไม่เป็นเอง ชอบทำให้พี่เป่ยเฉินเป็นห่วงอยู่บ่อยๆ วางใจเถอะ ต่อไปเสี่ยวซีจะเปลี่ยนแปลงแน่นอน จะไม่ทำให้พี่เป่ยเฉินเป็นทุกข์แบบนี้อีก”


“เสี่ยว…”


ทันใดนั้นเองอี้เป่ยซีหันกลับมาตัดบทของเขา “จริงสิ พี่เป่ยเฉิน ต่อไปถ้ามีข่าวเรื่องพี่สะใภ้พี่ต้องบอกฉันนะ รู้เป็นคนสุดท้ายมันรู้สึกแปลกๆ เกินไปแล้ว รู้สึกอึดอัดมาก” พูดพลางคิ้วก็ขมวดกัน เหมือนกับเด็กขี้น้อยใจอย่างไรอย่างนั้น


“พี่กับฉินรั่วเข่อไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้น”


ปฏิเสธว่าไม่มีอะไรงั้นเหรอ? อี้เป่ยเฉินโกหกเธอไม่ลง ที่หนังสือพิมพ์บอกล้วนเป็นความจริง ที่รายงานก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เพียงแต่มันเป็นความจริงขั้นพื้นฐานและคาดเดาผลลัพธ์ที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เขาคบกับฉินรั่วเข่องั้นเหรอ? น่าตลกสิ้นดี


“อือ ฉันรู้”


“เสี่ยวซี เธอยอมเชื่อพี่เหรอ?” อี้เป่ยเฉินเก็บอาการดีใจของตัวเองไว้ไม่อยู่


อี้เป่ยซีหัวเราะ “พี่เป่ยเฉินพูดอะไรฉันก็เชื่อทั้งนั้นแหละ” เธอยกข้อมือของตัวเองขึ้น “ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ฉันจะกลับไปนอนก่อน ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฉันจะตั้งใจเรียนแล้ว”


“อืม ราตรีสวัสดิ์” อี้เป่ยเฉินรอจนเธอจากไปแล้วพิงอยู่บนโซฟา เขาเห็นแล้ว บนข้อมือที่เรียวบางนั้นว่างเปล่า…แต่ว่า ขอเพียงเธอยอมเชื่อก็พอ แค่นี้ก็พอแล้ว


เช้าวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็เลือกที่จะเรียกรถไปมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง โดยไม่ได้มองอี้เป่ยเฉินเลย


ในช่วงสุดสัปดาห์ ผู้คนในมหาวิทยาลัยมีไม่มากนัก อี้เป่ยซีดึงๆ กระเป๋าหนังสือของตัวเอง เดิมทีต้องการจะไปหอพัก ครุ่นคิดแล้วก็กลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง เข้าไปนั่งลงบนโซฟาไปได้เพียงครู่เดียว เสียงร้องไห้โหยหวนก็ดังมาจากข้างนอก


“พระเจ้า ข้างในมีคนหรือเปล่า มีใครเห็นพี่สาวที่น่าสงสารของผมบ้างหรือเปล่า?” พูดพลางเคาะประตู เพราะว่าอาการป่วยยังไม่หายดี เสียงยังคงแหบแห้งอยู่บ้าง ยิ่งเพิ่มความน่าสมเพศอย่างเห็นได้ชัด


“คนข้างใน คุณเอาพี่สาวของผมคืนมาให้ผมเถอะ คืนมาให้ผมเถอะ”


“เจ้าผักกาดน้อยอยู่ใต้ผืนดิน…”


อี้เป่ยซีทนไม่ไหวเปิดประตูออกทันที เห็นรอยยิ้มจางๆ ของฉู่ซ่ง “ฉู่เซี่ย”


เธอดึงเขาเข้ามา “ไม่เพราะเอาซะเลย นายไม่อายบ้างรึไง”


“ฉันนึกว่าเธอโกรธฉัน”


“อืม ฉันต้องโกรธอยู่แล้ว นายอธิบายมาซะดีๆ” อี้เป่ยซีนั่งลงบนโซฟา มองเขาอย่างดูถูก ฉู่ซ่งเกาหัว นั่งลงอีกด้านหนึ่งของโซฟา เขาไม่เอ่ยปาก อี้เป่ยซีก็จ้องเขาตลอดเวลา นั่งตัวแข็งทื่อไม่ทันไร ฉู่ซ่งได้แต่ร้องขอความเมตตาและสารภาพตามความจริง


“ฉู่เซี่ย ฉันจะบอกเธอว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นเพราะลั่วจื่อหาน ใช่ เป็นเพราะเขา”


“อืม พูดต่อ”


“เขาบอกฉันว่าห้ามบอกเธอ ถ้าหากเธอรู้ล่ะก็ฉันจะได้เห็นดีแน่…แม้ แม้ว่าคำพูดจะไม่ใช่แบบนี้แต่ก็มีความหมายแบบนี้” หลังจากที่เห็นแววตาของเธอแล้ว ฉู่ซ่งรีบเปลี่ยนคำพูด “เธอก็รู้ ฉันมันเด็กตัวน้อยๆ อยู่ที่นี่ไม่ครอบครัวเลยสักคน พี่สาวคนเดียววันๆ ยังคิดเอาแต่จะตัดขาดกับฉัน ฉันจะปฏิเสธคำขอร้องของคนที่ทั้งร่ำรวยและมีอำนาจได้ยังไง ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือเปล่า”


เริ่มเล่นกับไพ่อารมณ์อีกแล้ว อี้เป่ยซีนวดๆ ขมับ “ฉันไม่ได้คิดจะตัดขาดจากนาย วันๆ นายมัวแต่คิดไร้สาระอะไรกัน”


“อืมๆ ฉู่เซี่ยดีที่สุดเลย” พูดพลางต้องการจะเข้าไปกอด อี้เป่ยซีดีดหัวกลับทันที


“รับสารภาพจะลดโทษให้กึ่งหนึ่ง พูดต่อ”


ฉู่ซ่งถูๆ บาดแผลของตัวเองด้วยอาการน้อยใจเป็นอย่างมาก “ฉันก็พูดไปหมดแล้ว มีอะไรน่าพูดอีกล่ะ เธอตีฉันให้ตายก็มีแค่นี้ ฮือๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว”


“เอาเถอะๆ นายน่ะทำตัวน่าสงสารทุกวัน” อี้เป่ยซีเท้าศีรษะครุ่นคิด ลั่วจื่อหาน เขาเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้เพราะกลัวว่าเธอจะเสียใจงั้นเหรอ? แต่ว่าในโลกนี้มีความลับที่ไหนกัน เขาจะทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร


คิดพลางพิงตัวอยู่บนโซฟา ลั่วจื่อหานดีกับเธอมากจริงๆ นะ เพราะอะไรล่ะ? เธอยกข้อมือขึ้น มองดูสร้อยข้อมือคริสตัลเส้นนั้น เพราะเรื่องในสมัยเด็กเหรอ?


ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ตอนเด็กก็คือตอนเด็ก ตอนนี้ก็คือตอนนี้ เธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแม้แต่เธอเองก็บอกไม่ได้ จะเก็บความรู้สึกตอนเด็กๆ มาจนป่านนี้ได้อย่างไรกัน


ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง เหตุผลข้อนี้เขาต้องรู้ดีอยู่แล้ว


“ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีตวัดมือเรียกเขา ฉู่ซ่งป้องหัวของตัวเองเขยิบเข้าไปใกล้ “นายรู้จักกับลั่วจื่อหานมานานแค่ไหนแล้ว เล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟังหน่อยสิ”


ฉู่ซ่งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ก็ยังรู้สึกศรัทธาอยู่บ้างและกำลังจะเอ่ยปากเล่าเรื่องของลั่วจื่อหาน


“ทำไมไม่ถามฉันล่ะ?” เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำเอาสองคนที่อยู่บนโซฟาตัวแข็งทื่อ อี้เป่ยซีเคาะหัวคนที่อยู่ตรงหน้า


“นายไม่ได้ปิดประตู”


เขาถูๆ ด้วยความน้อยใจ “ฉันปิดแล้ว แต่ห้ามคนที่มีกุญแจไม่ได้นี่นา”


ลั่วจื่อหานวางอาหารลงด้วยความคุ้นเคย หยิบผลไม้บางส่วนวางบนโต๊ะกาแฟ มองดูการปฏิสัมพันธ์การสองพี่น้อง


กุญแจ ลั่วจื่อหานไปแอบปั๊มกุญแจบ้านของเธอเหรอ?


ไม่ใช่หรอกๆ เขาไม่ทำเรื่องต่ำๆ แบบนี้แน่ ฉู่ซ่งน่าจะเป็นคนประเภทนั้นมากกว่า


งั้นเป็นไปได้แค่…


เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สำรวจดูการตกแต่งภายในห้อง การตกแต่งเรียบง่ายแต่กลับไม่มีรสนิยม บรรยากาศที่เย็นชาช่างคล้ายคลึงกับอะพาร์ตเมนต์ของเขาอย่างยิ่งยวด


เดิมทีห้องนี้เป็นของลั่วจื่อหานเหรอ?


ไม่น่าล่ะดึกๆ ดื่นๆ เขาถึงปรากฏตัวในห้องของเธอ ไม่น่าล่ะเวลาที่หาของถึงได้คุ้นเคยกับสถานที่ถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นอาณาเขตของเขาตั้งแต่แรก


อี้เป่ยซีกระแอมไอ ต่อไปเวลาจะพูดถึงใครลับหลังจะต้องเลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ให้คนจับได้แบบนี้มันน่าอายเกินไปแล้ว


“กินข้าวเร็วหน่อยเถอะ เริ่มหิวแล้ว” ฉู่ซ่งมองอี้เป่ยซีอย่างเหลือเชื่อ พวกเขาสองคนพัฒนากันไปถึงขั้นไหนแล้วนะ ถึงได้พูดจาเป็นกันเองขนาดนี้


ลั่วจื่อหานหัวเราะ “ได้”


……………………………….


 บทที่ 84 จื่อจวีหานซื่อ (4)


ในร้านอาหารเคล้าดนตรี บทเพลงที่ไพเราะหลั่งไหลออกมาจากการกระโดดขึ้นลงของคีย์สีดำขาว เสียงที่นุ่มนวลของนักร้องยิ่งเพิ่มรสชาติของความสง่างามและการผ่อนคลายให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อี้เป่ยซีจับกระชับกระเป๋าของตัวเอง ไม่มีกะใจชื่นชมเสียงดนตรี พอเห็นเงาที่คุ้นเคย ก็พุ่งปรี่เข้าไปหาด้วยความโมโหเล็กน้อย


            “เซี่ยเช่อ นายมันจอมหักหลัง” เธอพูดกัดฟัน


            เซี่ยเช่อละสายตาออกจากเมนู กวาดมองอี้เป่ยซีอย่างเกียจคร้าน แล้วพลิกเมนูด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก บอกชื่อรายการอาหารแก่บริกรข้างๆ เป็นครั้งคราว อี้เป่ยซีเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจเธอ ทันใดนั้นความโมโหทั้งหมดก็อันตธานหายไป นั่งลงบนที่นั่งตรงข้ามกับเขา ดื่มน้ำเงียบๆ


            “เท่านี้ละกัน” ในที่สุดเขาก็สั่งอาหารเสร็จ ส่งเมนูให้บริกรด้วยความสง่างาม ดวงตาที่น่ามองสำรวจคนที่อยู่ตรงหน้าไปทั่ว “มีอะไรอยากพูดไหม?”


            “ฉันผิดไปแล้ว ฉันเองก็มีธุระเหมือนกันนี่นา ก็เลยไม่เห็นข้อความของนาย แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมนายถึงรีบร้อนเรียกฉันไปขนาดนั้น?”


            ริมฝีปากของเซี่ยเช่อยกขึ้น เจือปนความดูหมิ่นและความลึกลับ “เธอทายสิ”


            “คราวหน้าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว นายอย่าโกรธฉันเลยนะ ได้หรือเปล่า?”


            “ฉันเคยบอกว่าโกรธเธอเหรอ?”


            “หา?”


            “ฉันไม่ได้บอกว่าโกรธ คนขี้งกอย่างเธอจะยอมทำของหล่นได้ยังไง เอ๊ะ แต่คุยกันแล้วนะว่าเธอเลี้ยง”


            หางตาของอี้เปยซีกระตุก “แน่นอน เป็นเจ้าบ้านที่ดีไม่ใช่เหรอ ฉันเลี้ยง ฉันเลี้ยง”


            เขาพยักหน้า ราวกับว่าพอใจในการต้อนรับแขกของเธอมาก สองขาไขว่ห้างกัน ทำทีเอ่ยปากอย่างไม่ใส่ใจ “เป่ยซี เธอเคยได้ยินหลานฉือเซวียนพูดถึงคนคนนึงไหม?”


            “เขาพูดถึงตั้งหลายคน นายหมายถึงใคร?”


            “ลั่วจื่อจี้”


            อี้เป่ยซีนึกย้อนด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก นึกถึงความทรงจำทั้งหมดที่มีร่วมกับหลานฉือเซวียน แต่ไม่มีชื่อนี้ปรากฏออกมาเลย ส่ายหัวกับคนตรงหน้าด้วยความสัตย์จริง “ไม่รู้แฮะ ที่จริง ช่วงหลังนี้เขาไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้ฉันฟังแล้ว นายลองไปถามพวกพี่เป่ยเฉินดูสิ เขาน่าจะรู้อะไรบางอย่าง”


        “อือ” เซี่ยเช่อพยักหน้า ในเวลานี้เอง บริกรได้เอาไวน์มาเสิร์ฟแล้ว มาถึงตรงหน้าเซี่ยเช่อและรินให้เขา เงาของแก้วทรงสูงถูกย้อมด้วยสีแดง อี้เป่ยซีจ้องไวน์แดงที่ไหลออกมาแน่นิ่ง


            “อย่าได้คิด ดื่มน้ำผลไม้ของเธอไป”


            เธอกัดหลอด “ฉันก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมถึงยังไม่ให้ฉันดื่ม นายแกล้งฉัน”


            “อือ ก็แกล้งเธอนี่แหละ” พูดพลางยกแก้วไวน์ขึ้นมา จิบไปหนึ่งคำ “ฉันนึกว่าเธอจะยึดติดเรื่องราคาของมันซะอีก”


            อี้เป่ยซีจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง “เซี่ยเช่อ นายๆๆ…”


            “เธอจะเลี้ยงไม่ใช่เหรอ ของที่อยากลองก่อนหน้านี้ก็สั่งมาหมดแล้ว ไม่เป็นไร อย่างมากก็กักตัวเธอไว้ขัดหนี้”


            มือหนึ่งของเธอกุมกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง อีกมือหนึ่งกุมหน้าอกของตัวเอง ท่าทางเจ็บปวดอย่างมาก


            ทั้งสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง หลานฉือเซวียนในชุดสูทสีขาวกับหญิงสาวสวมชุดวันพีซสีขาวเดินมาทางพวกเขา การเคลื่อนไหวมีความระแวดระวังและอึดอัดเล็กน้อย


            จนกระทั่งมาถึงที่โต๊ะ อี้เป่ยซีจึงสังเกตเห็นทั้งสองคน บนใบหน้าของเซี่ยเช่อผุดรอยยิ้มขี้เล่น


            “คุณนี่เอง เยี่ยฉิน”


            “เป่ยซี เธอก็อยู่นี่ด้วยเหรอ” อี้เป่ยซีรีบทักทายเยี่ยฉินที่นั่งลงข้างเธอ หลานฉือเซวียนเม้มปากไม่พูดไม่จานั่งลงข้างๆ เซี่ยเช่อ


            “ทำไมนายถึงมากับเยี่ยฉินได้ล่ะ เกิดอะไรขึ้น?”


            เยี่ยฉินรีบโบกมือ “เป่ยซี เธอเข้าใจผิดแล้ว คือ คืออย่างนี้ เรื่องการเลือกวิชาของนักศึกษาในคาบพวกเรา ตอนแรกทางมหา’ลัยบอกว่าพวกเขาจะจัดการกันได้ ตอนนี้ผ่านไปเดือนนึงแล้ว เพิ่งมาบอกฉันว่าให้มาหาอาจารย์เซี่ย พอดีเจอประธานหลานระหว่างทาง เขาก็เลยพาฉันมา”


            “เอ่อ เรื่องนี้นี่เอง” อี้เป่ยซีเกาหัว “คือว่า ก่อนหน้านี้ ฉันลืมบอกเซี่ยเช่อน่ะ แหะๆ ขอโทษนะคะ”


            “ไม่เป็นไรๆ อาจารย์เซี่ย เรื่องวิชาเลือกของนักศึกษาพวกเรา…” บริกรที่อยู่ข้างๆ มาเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่งยวด


            เซี่ยเช่อขมวดคิ้ว หมุนจานใบหนึ่งเล็กน้อย ไม่ได้มองเยี่ยฉินเลย “ตอนนี่เป็นเวลาส่วนตัวของผม ผมไม่ชอบคุยเรื่องงาน”


            อี้เป่ยซีเห็นท่าทางเย็นชาและหยิ่งยโสของเขาก็อยากจะชกเขาสักหมัด เธอตบๆ มือของเยี่ยฉิน “ไม่เป็นไรนะ ความหมายของอาจารย์เซี่ยก็คือ ช่วงเวลางานเขาจะต้องแก้ปัญหานี้ให้คุณอย่างแน่นอน เยี่ยฉินคุณวางใจเถอะ”


            “เธอสนิทกับเยี่ยฉินตั้งแต่เมื่อไร?” หลานฉือเซวียนพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยถาม


            “เอ๊ะ ฉันยังอยากจะถามนายอยู่เลย ว่าทำไมถึงสนิทกับอาจารย์เยี่ยฉินขนาดนี้ แถมยังยอมพาเธอมาที่นี่ด้วยตัวเอง”


            หลานฉือเซวียนเหลือบมองเยี่ยฉิน เห็นเธอส่ายหัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความวิงวอน “ฉันถามเธอก่อนนะ อย่ายืมแรงเพื่อตอบโต้กลับตลอดเวลาสิ”


            “ก็ตอนที่ไปหาเซี่ยเช่อน่ะ เจอระหว่างทาง จากนั้นก็ตกหลุมรักอาจารย์เยี่ยตั้งแต่แรกพบ สองคนรู้สึกดีๆ ต่อกัน โอเคไหม?”


            คนที่นั่งอยู่ต่างผงะออกอย่างขยะแขยงกับเรื่องรักที่อี้เป่ยซีจงใจสร้างขึ้นมา เยี่ยฉินยิ้มเจื่อน บนใบหน้าของหลานฉือเซวียนกับเซี่ยเช่อมีอาการคล้ายคลึงกันเล็กน้อย ต่างมีความรังเกียจเหลือจะรับ


        “รับเธอไม่ไหวเลย ทำซะจนไม่อยากกินข้าวแล้ว” หลานฉือเซวียนตัวสั่นขนลุกทั่วร่างกาย รินไวน์แก้วหนึ่งให้ตัวเอง


            “เอ๊ะ เป่ยซี ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นเธอที่มหา’ลัยเลยล่ะ?” บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวลดลงถึงจุดเยือกแข็งฉับพลัน อี้เป่ยซีเอาหลอดที่กัดจนแบนกัดคืนสู่ลักษณะเดิม คนๆ แก้วเล่นด้วยความอึดอัดเล็กน้อย


            “เรื่องนี้พูดแล้วมันยาว พวกเรากินไปคุยไปเถอะ”


            ดังนั้นเรื่องทั้งหมดจากปากของเธอก็กลายเป็นเรื่องการคัดเลือกเพื่อนร่วมทีมห่วยๆ และการถูกเพื่อนร่วมทีมโกงในเกมส์ การต่อสู้ในที่มืด ความอดทนต่อความหิวโหย ทั้งโต๊ะต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ


            เธอโล่งอก และหยอกล้อกับสามคนต่อไป


            หลังจากกินข้าว เซี่ยเช่อเสนอให้ไปชมนิทรรศกาลภาพวาดในบริเวณใกล้เคียง อีกสามคนเห็นด้วยอย่างง่ายดาย หลังจากมาถึงแล้วจึงพบว่าผลงานหลักที่นำมาจัดแสดงในวันนี้คือภาพวาดเก่าๆ ของจื่อจวีหานซื่อ มีมูลค่าสูงลิ่ว และจัดแสดงน้อยมาก เด็กสาวทั้งสองคนตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหว แทบจะกระโดดลอยจากพื้น


            “เป่ยซี เธอก็ชอบเขาเหรอ”


            อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ๆๆ ฉันชอบเขาที่สุดเลย”


            “ได้ยินว่ายังมีภาพวาดน้ำมันบางส่วนของเขาจัดแสดงด้วย เหมือนจะอยู่ทางนั้น” เซี่ยเช่อชี้นำทางพวกเธอสองคน แม้แต่คนนั้นก็อดใจไม่ไหวโบยบินข้ามไปแล้ว สีหน้าของหลานฉือเซวียนที่อยู่ด้านหลังกลับมีความสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังตามเซี่ยเช่อ และเดินทันเด็กสาวทั้งสองคน


            หลานฉือเซวียนกระแอมไเบาๆ เดินมาข้างๆ อี้เป่ยซี “เธอชอบจื่อจวีหานซื่อขนาดนั้นเลยเหรอ?”


            “ใช่แล้ว ฉันก็บอกนายตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันชอบเขาที่สุดๆ ๆ เลย เวลาที่เห็นภาพวาดของเขาก็รู้สึกเงียบสงบมาก เหมือนกับว่าตัวเองก็อยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลายและล้ำลึกของเขาด้วย เขาจะต้องมีพรสวรรค์แน่ๆ จะต้องเป็นคนประเภทที่ดีดพิณอยู่ในป่าไผ่ร้างผู้คน ดื่มน้ำจากลำธารทุกวัน เป็นบุรุษที่พูดคุยเยี่ยงมิตรกับดวงจันทร์”


            “พูดยังกะว่าเธอเคยเจอเขา” ดวงตาของหลานฉือเซวียนจ้องเขม็งมาที่อี้เป่ยซี


            เธอพยักหน้า “เหมือนกับว่าฉันเคยเจอเขา ในภาพวาด ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าภาพวาดไหนก็มีเขาอยู่ข้างใน แต่ไม่รู้ว่าในความเป็นจริงเขาจะมีหน้าตายังไง ทำไมฟังจากน้ำเสียงนายแล้ว นายรู้จักเขาเหรอ?”


            “ไม่รู้”


            “ชิ อะไรเรียกว่าไม่รู้ ทำตัวลึกลับ เอ๊ะ เยี่ยฉิน พวกเราไปดูทางนั้นกัน”


            เซียเช่อเดินมาข้างหลานฉือเซวียนทีละก้าวๆ ด้วยความเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง “อยากพนันไหม?”


        “ไม่มีความหมายหรอก พนันอะไร?”


————


บทที่ 85 จื่อจวีหานซื่อ (5)


            สายธารเอื่อยไหลคดเคี้ยวลงมาจากหุบเขา ชายชราถือไม้เท้าหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน หิ้วถังที่ยังคงเปื้อนด้วยหยดน้ำ มองดูที่ราบลุ่มที่ถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์สีทอง น้ำที่ไหลอยู่ข้างๆ สะท้อนใบหน้าด้านข้างที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของเขา รอยยิ้มบางๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วนอ้อยอิ่งอยู่ตรงมุมปาก เงาสะท้อนของคลื่นในแสงแดดราวกับทำให้ร่างนั้นมีชีวิตขึ้นมา


            อี้เป่ยซีอดไม่ไหวจนต้องปรบมือชื่นชม ใบหน้าของเยี่ยฉินที่อยู่ข้างๆ ก็เปี่ยมด้วยความเลื่อมใส ทั้งสองคนมองตากัน ยิ้มปริ่ม


            “เหมือนไม่เคยเห็นรูปนี้มาก่อนเลย?” เยี่ยฉินถาม “ลายเส้นของเขา ละเอียดกว่าภาพวาดอื่นของเขามากเลยนะ พระเจ้า”


            “คือว่า เอ่อ ภาพวาดนี้ไม่รู้เพราะเหตุผลอะไร เหมือนกับเขาไม่ค่อยจัดแสดงในที่สาธารณะเท่าไร ฉันยังเคยเห็นมันในสตูดิโอของเซี่ยเช่อหลายครั้ง”


            “เซี่ยเช่อ…อา อาจารย์เซี่ย?”


            เธอพยักหน้า “ได้ยินเขาพูดเองว่าจื่อจวีหานซื่อเป็นศิษย์พี่ของเขา แล้วก็ยังบอกว่าต่อไปจื่อจวีหานซื่อจะมาช่วยที่มหา’ลัยพวกเรา ”


            “จริงเหรอ?” เยี่ยฉินตื่นเต้นมาก “ภาพวาดนี้ทำให้ฉันนึกเพลงนึง ‘ติดตาม’ ไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินหรือเปล่า คล้ายกับภาพนี้เลย”


            รอยยิ้มภาคภูมิใจผุดขึ้นบนใบหน้าของอี้เป่ยซี “เพลงนั้นเขียนจากภาพวาดนี้แหละ”


            “หา จริงเหรอ? มิน่าล่ะ หลิงซีสนิทกับจื่อจวีหานซื่อมากเลยใช่ไหม รู้สึกว่าผลงานบางอย่างของเธอก็เขียนจากภาพวาดของเขาเหมือนกัน เธอว่าพวกเขาจะเป็น…”


            “ไม่ใช่” อี้เป่ยซีเสียงสูงขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็มองรอบกายด้วยความรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ลากตัวเยี่ยฉิน “แค่ก พวกเราไปดูทางนั้นกันเถอะ”


            “เป่ยซี เธอรู้จักหลิงซีเหรอ?”


            “เปล่าๆๆ ไม่รู้จัก ชอบเสียงของมู่ไป๋มากกว่า แล้วก็แค่เห็นกลอนที่หลิงซีเขียนบ่อยกว่า”


            “หา เธอก็ชอบมู่ไป๋ ฉันก็ชอบเขามากเลย เขาเป็นรักแรกของฉัน”


            “ใช่ๆๆ เขาก็เป็นเทพบุตรของฉัน เสียงเพราะ การร้องก็เยี่ยมมาก รู้สึกลงตัวเป็นพิเศษ รู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ควบคุมได้”


            เยี่ยฉินเอออออยู่ข้างๆ แม้แต่คนนั้นก็พูดคุยอย่างกะตือรือร้น ทันใดนั้นก็ไม่ได้ตระหนักถึงเวลาที่ผ่านเลยไป พูดพลางมาถึงมุมที่ห่างไกลผู้คนแล้ว อี้เป่ยซีเห็นรูปร่างที่สูงใหญ่คุ้นเคยจึงหยุดเดิน


            ลั่วจื่อหานยืนอยู่หน้าภาพวาดภาพหนึ่ง มองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับว่ากำลังลิ้มรสกับอะไรบางอย่าง หวนนึกถึงอะไรบางอย่าง คนทั้งคนราวกับเข้ากับสีสันของภาพวาดได้เป็นอย่างดี ทั้งเงียบสงบและสง่างาม ขนตาของเขาขยับแผ่วเบา เหมือนกับรู้สึกได้ถึงสายตาที่อยู่ข้างๆ หันหน้าไป


            สายตาของอีกฝ่ายเหมือนกับเดินออกมาจากภาพวาด เต็มไปด้วยความรู้สึกเหินห่าง


            “ประธานลั่ว ภาพวาดพวกนี้…” คนที่รับผิดชอบงานแสดงนิทรรศการศิลปะเดินมาหาลั่วจื่อหานจากด้านข้าง เมื่อเห็นฉากที่อยู่ตรงหน้าก็เข้าใจเป็นอย่างดีและหาข้ออ้างจากไปแล้ว เยี่ยฉินก็เดินไปอีกทางหนึ่ง ชมเชยงานศิลปะต่อ


            “เป่ยซี” ผ่านไปเนิ่นนาน ลั่วจื่อหานจึงเอ่ยปากและเดินเข้าไปหาเธอ “แค่เธอเหรอ?”


            “ไม่ใช่อยู่แล้ว” เซี่ยเช่อดึงอี้เป่ยซีไปข้างหลังทันที เมื่อเห็นลั่วจื่อหานมองดูมือของตัวเองที่ดึงอี้เป่ยซีมาอย่างไม่พอใจ ก็ยังเดินไปยังมุมนั้นของเขา โน้มตัวด้วยความยั่วยุเล็กน้อย “บังเอิญจัง อยู่ที่นี่ แล้วเจอกับ…” ด้วยแวตาของเขา คำที่ต้องการจะพูดนั้นติดอยู่ในปากทันที


            “ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็วางใจแล้ว ยังมีธุระนิดหน่อย ไปก่อนนะ เป่ยซี”


            คนที่ถูกเรียกชื่อจึงดึงสติกลับมาแล้วเงยหน้าขึ้น ลั่วจื่อหานก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ดึงมือของอี้เป่ยซีออกจากมือของเซี่ยเช่อโดยไม่แสดงอาการใดๆ นวดคลึงศีรษะของเธอ “คืนนี้อยากกินอะไร?”


            “อืม แล้วแต่เถอะ วันนี้ทำอะไรเบาๆ หน่อยเถอะ”


            “ได้” พูดจบก็จากไปแล้ว ไม่สนใจสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเซี่ยเช่อที่อยู่ข้างหลังโดยสิ้นเชิง


            รอจนเขาจากไปแล้ว เซี่ยเช่อคว้าไหล่ของอี้เป่ยซีด้วยความตื่นเต้นสุดขีด “พวก พวกเธออยู่ด้วยกันเหรอ? เขายังทำอาหารให้เธอกินด้วย?”


        อี้เป่ยซีส่ายหัว แล้วพยักหน้า แกะมือของเขาออกอย่างหงุดหงิด “ไม่ใช่แบบที่นายคิด”


            “ไม่ได้ๆ เป่ยซี คืนนี้เธอคงไม่รังเกียจถ้าที่บ้านต้องเพิ่มถ้วยกับตะเกียบอีกคู่นึงหรอกนะ ฉันไม่ได้ชิมฝีมือของเจ้าหมอนั่นตั้งนานแล้ว ตอนนี้คิดดูแล้ว มันช่างชวนให้น่าคิดถึงมากจริงๆ”


            “พวกนายสนิทกันมากเหรอ?”


            “ไม่ใช่แค่สนิทนะ แต่ว่าโคตรสนิทเลย” เซี่ยเช่อมองไปยังประตูใหญ่ อี้เป่ยซีส่ายหัวชมภาพวาดกับเยี่ยฉินต่อ ในตอนบ่ายก็แอบไปที่นิทรรศการภาพวาดจีน เซี่ยเช่อยืนกรานว่าจะกลับบ้านกับอี้เป่ยซี หลานฉือเซวียนก็พูดว่าจะไปส่งเยี่ยฉินกลับมหาวิทยาลัยอย่างสุภาพบุรุษ ทั้งสี่คนก็แยกกันเป็นสองทางเช่นนี้ ต่างคนต่างไปสู่ที่หมายของตน


            “ประธานหลาน ขอบคุณนะ” เยี่ยฉินยิ้มอย่างสงวนท่าทีเป็นอย่างมาก หลานฉือเซวียนมองไปทางอื่นอย่างเหลือเชื่อ เรื่องราวพี่ชายเหลียวหนิงของพวกเขาในตอนนั้น แม้เขาจะไม่พูด ช้าเร็วอี้เป่ยซีก็จะรู้ ทำไมตัวเองจะต้องเป็นคนปากสว่างด้วย…


            กลับมาถึงบ้าน ฉู่ซ่งนั่งลงที่โต๊ะด้วยความห่อเหี่ยวเล็กน้อย เหมือนกับลูกแกะที่รอคอยการป้อนอาหาร ลั่วจื่อหานนั่งอยู่ข้างๆ อย่างใจเย็น กับข้าวบนโต๊ะถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว ยังมีไอร้อนจางๆ ลอยออกมา ได้ยินเสียงเปิดประตู หน้าทั้งใบของฉู่ซ่งก็สว่างไสว


            “ฉู่เซี่ย…ใน ที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว” เห็นคนที่ตามมาข้างหลัง ฉู่ซ่งมุ่ยปากไม่สบอารมณ์ “เธอพาเขามาได้ยังไง?”


            เซี่ยเช่อนั่งลงข้างฉู่ซ่งด้วยความเป็นมิตรอย่างยิ่ง “เด็กน้อย พี่สาวเธอไม่เคยสอนว่าต้องปฏิบัติกับแขกยังไงเหรอ?”


            “พี่จื่อหาน เขานับว่าเป็นแขกไหม”


            ลั่วจื่อหานชำเลืองมองเซี่ยเช่อด้วยสีหน้านิ่งเฉย เซลส์ทั่วร่างกายของเซี่ยเช่อถูกปลุกให้ตื่นด้วยสายตาของเขา นั่งหลังตรงทันที หรี่ตาสบสายตากับเขา คนหนึ่งเยือกเย็น คนหนึ่งไม่หวาดหวั่น ราวกับว่ามีกลิ่นควันปืนลอยอยู่ในอากาศด้วย


            “อืม ฉันเป็นคนเชิญเซี่ยเช่อมาเอง” อี้เป่ยซีแอบด่าเซี่ยเช่อในใจ “ลั่วจื่อหาน นายคงไม่รังเกียจนะ”


            “พี่จื่อหาน”


            “ลั่วจื่อหานดึงสายตาของตัวเองกลับมาเชื่องช้า “ไม่รังเกียจ”


            อี้เป่ยซีถอนหายใจโล่งอก เข้าไปในห้องครัวหยิบเครื่องครัวมาอีกชุดหนึ่ง วางกระแทกลงตรงหน้าของเซี่ยเช่อ จากนั้นระหว่างมื้ออาหาร ตราบใดที่มันเป็นอาหารที่เซี่ยเช่อต้องการจะกิน ฉู่ซ่งก็จะชิงคีบก่อน แม้จะเป็นเช่นนี้ เซี่ยเช่อก็ยังกินอย่างพออกพอใจมาก เห็นท่าทางที่อิ่มหนำสำราญของเขาแล้ว ฉู่ซ่งกัดแก้วน้ำต้องการจะไล่เขาออกไป


            “ซ่งซ่ง เมื่อก่อนพวกนายมีความแค้นอะไรกันหรือเปล่า?”  อี้เป่ยซียกผลไม้ที่ลั่วจื่อหานเตรียมเสร็จแล้วออกมา เอ่ยถาม


            ฉู่ซ่งกัดแก้วน้ำต่อ ไม่พูดจา ดวงตาของเซี่ยเช่อสำรวจเขารอบหนึ่ง ในเวลานั้นฉู่ซ่งเหมือนกับแมวที่พองขน ซ่อนตัวอยู่ข้างอี้เป่ยซีทันที “ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ย เขาชอบแกล้งฉันตลอดเลย จริงๆ นะ”


            เซี่ยเช่อหรี่ตา หยิบผลไม้ขึ้นมาหนึ่งชิ้น “เอาเถอะ ตอนนั้นก็แค่หยอกนายเล่น ใครจะไปสนใจเด็กเมื่อวานซืนอย่างนายล่ะ”


            รู้จักเซี่ยเช่อมานาน อี้เป่ยซีรู้สเป๊คของเขาโดยธรรมชาติ ตบๆ มือของฉู่ซ่ง “นายไม่ใช่คนแบบที่เขาชอบจริงๆ”


            พูดพลาง คนข้างหน้าเลิกคิ้ว “แล้วเธอว่าใครล่ะที่ใช่?”


            “แค่ก ฉันคิดว่า กับนายน่ะลั่วจื่อหานก็…” ยังไม่ทันพูดจบ เซี่ยเช่อก็รีบยัดผลไม้ใส่ปากเธอทันที เหลือบมองห้องครัวด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงถอนหายใจโล่งอก


            “เธออย่าพูดจาเหลวไหลนะ ระวังฉันจะตายเพราะเธอ”


            ราวกับว่าอี้เป่ยซีจับอะไรบางอย่างได้ ภูมิใจเป็นอย่างมาก ยกขาทั้งสองข้างไขว่ห้าง “ฉันว่าพวกนายสองคนเคมีเข้ากันดี เมื่อกี้ไฟกำลังร้อนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”


            “บอกเธอว่าอย่าพูดไง ยังจะพูดอีก” เขาขว้างหมอนที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ยิ้ม “เธอคิดว่า หลานฉือเซวียนเป็นยังไง?”


    เธอรีบเก็บอาการผิดปกติบนใบหน้าทันที น้ำเสียงยังคงขึงขังเล็กน้อย “เซี่ยเช่อ ถ้านายอยากเล่น อย่าเล่นกับเขา นายรับไม่ไหวหรอก”



บทที่ 86 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (1)


             เสียงดนตรีเอื่อยๆ ดังมาจากลำโพง ได้ยินคำเตือนของอี้เป่ยซี เซี่ยเช่อพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย นั่งอีกสักพักก็หาข้ออ้างจากไปแล้ว อี้เป่ยซีก็คิดว่าเขาเพียงพูดเล่นเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นอีก


            หลังจากลั่วจื่อหานเก็บของเสร็จเรียบร้อยและนั่งลงบนโซฟา ฉู่ซ่งก็หาข้ออ้างจากไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคนอีกครั้ง


            “คิดอะไรอยู่เหรอ?” นิ้วของอี้เป่ยซีหยุดอยู่บนรีโมทตลอดเวลา เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไม่หยุด รอบแล้วรอบเล่า เสียงที่ไม่ต่อเนื่องของแต่ละรายการถูกรวมเข้าด้วยกัน ทั้งตลกและเป็นความเหงาที่ว่างเปล่า ได้ยินคำพูดของคนข้างๆ เธอจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง ส่ายหัว วางรีโมทลงบนโต๊ะกาแฟ


            “เปล่า” เธอมองข้ามไหล่ลั่วจื่อหานไปยังทิศทางอื่น “ทำไมรู้สึกว่าช่วงนี้นายผ่อนคลายจังเลย เหมือนจะอารมณ์ดีมากด้วย”


            “อืม” ในดวงตาก็มีรอยยิ้มเช่นกัน แต่มันไม่เหมือนความตื่นเต้นที่เพิ่งพบเจอกับเรื่องที่มีความสุข ไม่เหมือนความยินดีที่เจอเรื่องน่าประหลาดใจ แต่กลับเป็นรอยยิ้มจางๆ ที่ส่งผ่านจากส่วนลึกไปยังดวงตาช้าๆ มันผ่านการสั่งสมประสบการณ์อันล้ำค่าเป็นเวลายาวนานและมีกำลังแพร่กระจายไปได้ถึงขั้นสุด


            ไม่เหมือนกับอารมณ์ชนิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่เหมือนพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่เหมือนถือกำเนิดออกมาจากกระดูกและแกะสลักลึกลงไปในเลือดเนื้อ


            อี้เป่ยซีที่ห่อเหี่ยวก่อนหน้านี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เธอปิดโทรทัศน์ด้านข้างที่ส่งเสียงเรื่อยเปื่อยไม่หยุด “ฉันจะไปทำการบ้านแล้ว”


            “ได้ งั้นฉันก็จะกลับก่อนเหมือนกัน”


            “เอ๊ะ วันนี้กลับเร็วจังเลย?”


            ลั่วจื่อหานแตะปลายจมูกเธอเบาๆ “อืม เธอตั้งใจเรียนเถอะ” พยักหน้า ทั้งสองคนเดินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ประตูใหญ่กับประตูห้องนอนปิดลงพร้อมกัน ทำให้เกิดเสียงแผ่วเบา บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย


            อี้เป่ยซีกวาดตาอ่านวิทยานิพนธ์ด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็เริ่มเบื่อ ความคิดล่องลอยไปยังสถานที่อื่นๆ แล้ว ตรอกซอยที่มีฝนพรำในเจียงหนาน หรือหมอกควันเปล่าเปลี่ยวยามพระอาทิตย์ตกดินในเขตแดนทางตอนเหนือ หรือว่าสายลมและหิมะในประเทศทางตอนเหนือ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ก็ล้วนน่าสนใจกว่าวิทยานิพนธ์ที่ไร้ชีวิตมากมาย


            เธอกำลังดื่มด่ำกับจินตนาการของตัวเอง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแผ่วเบา เกือบจะทำให้เธอตกใจจนตกจากเก้าอี้ เธอมองดูเวลา รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา


            มู่ไป๋: หลิงซีอยู่ไหม?


            อี้เป่ยซีเห็นข้อความเทพบุตรของตัวเอง สติทั้งหมดกลับเข้ามาหาเธอ เกือบจะกระโดดโลดเต้นอยู่บนเก้าอี้แล้ว เธอรีบส่งข้อความออกไปอย่างรวดเร็ว มองไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยรอยยิ้มโง่ๆ


            หึๆๆ เทพบุตรทักฉันมาก่อน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร หรือว่าอยากนัดเจอฉันนะ แต่ยังรู้สึกเขินๆ อยู่เลยน่ะ อี้เป่ยซีหัวเราะ แค่ก ไม่ได้ จะตอบตกลงง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่รักนวลสงวนตัว แล้วต้องปฏิเสธอย่างไรล่ะ น่าปวดหัวชะมัด


            จะบอกว่าผู้ใหญ่ที่บ้านเธอไม่ชอบให้เธอไปเจอผู้ชาย หรือจะบอกว่าเธอมีสอบคราวหน้าค่อยว่ากัน?


            ไม่ได้ เทพบุตรฉลาดขนาดนี้ จะต้องเดาออกแน่ๆ ว่าเธอกำลังปฏิเสธเขา


            แต่ฉันก็อยากไปเหมือนกันจริงๆ นะ


            เมื่อกระดานสนทนามีข้อความต่อไปเด้งขึ้นมา รอยยิ้มของอี้เป่ยซีจางหายไปจากใบหน้าชั่วขณะหนึ่ง เส้นในสมองส่งเสียงแตกร้าวดังเปรี๊ยะๆ ตามมาด้วยเสียงระเบิด


            มู่ไป๋: เธอเริ่มเขียนเนื้อร้องแล้วยัง?


            เธอคว้าเก้าอี้ของตัวเอง เทพบุตรนายไม่ต้องเข้าใจฉันขนาดนี้ก็ได้ ไม่ต้องตรงไปตรงมาขนาดนี้ก็ได้ ถามอ้อมๆ สักนิดไม่ได้หรือยังไง


            มุ่ยปาก ครุ่นคิดถ้อยคำของตัวเองอย่างระมัดระวัง


            เฮ้อ ตอนนี้เขียนได้พอประมาณแล้ว ไม่ได้ ถ้าหากเทพบุตรขอให้เธอเอาให้เขาดูจะทำยังไง


            ไม่อย่างนั้นก็พูดความจริง แต่ว่า แบบนี้มันจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่จริงจังกับเรื่องของเทพบุตรหรือเปล่า


            อ๊า อี้เป่ยซี อี้เป่ยซี เพราะปกติเธอไม่ทำอะไรเลยเอาแต่เล่น จะพูดยังไงดี จะพูดยังไงดี


            สุดท้ายก็ตัดสินใจสารภาพไปตามตรง ยังไม่ทันพิมพ์อักษรตัวแรกเสร็จ ทางนั้นก็ส่งข้อความมาแล้ว


            มู่ไป๋: ยังไม่ได้เริ่มเขียนใช่ไหม?


            หลิงซี: หึหึ เทพบุตรเก่งดุจเทพจริงๆ เลื่อมใส เลื่อมใส


มู่ไป๋: ไม่เป็นไร แค่วันนี้เห็นเพื่อนคนนึง จู่ๆ นึกขึ้นมาได้ก็เลยถามเธอเรื่องนี้ ไม่เป็นไร ฉันไม่รีบ เธอค่อยๆ เขียนเถอะ


            หลิงซี: เพื่อน? เพื่อนคนสำคัญของเทพบุตรเหรอ?


            มู่ไป๋: เคยเป็นเพื่อนคนสำคัญ ไม่คุยกับเธอแล้ว ทางนี้ยังมีงานต้องทำ ราตรีสวัสดิ์


        อี้เป่ยซีมองดูเวลาอีกครั้ง เวลานี้จะมาราตรีสวัสดิ์อะไรกัน ชีวิตยามราตรียังไม่เริ่มต้นเลยนะ เธอยังคงตอบไปว่า ราตรีสวัสดิ์ รู้สึกหนักอึ้งในใจเล็กน้อย


            ใครๆ ก็มีเรื่องของตัวเองสินะ เธอดูรูปโปรไฟล์ของมู่ไป๋ มันคือดอกกุหลาบช่อหนึ่ง แต่ว่าสิ่งที่ยึดครองรูปภาพทั้งหมดไม่ใช่กลีบกุหลาบ แต่เป็นก้านของมันที่เต็มไปด้วยหนามเล็กๆ


            ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก เธอโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียง ปิดโน้ตบุ๊คเสียงดังเพี๊ยะ หยิบกระดาษขาวสองสามแผ่นออกมาเริ่มละเลงวาด กัดปากกาเหม่อลอยเป็นครั้งคราว แล้วก็เริ่มวาดอีกครั้ง


            ในที่สุดกระดาษแผ่นหนึ่งวางเรียบอยู่บนโต๊ะ แต่ในดวงตากลับขมุกขมัวไปด้วยละอองน้ำ ปลายปากกาหยุดอยู่บนกระดาษ สั่นเทาเล็กน้อย ด้านแหลมของปลายปากกาตกลงบนมุมบนซ้ายของกระดาษและหยดน้ำหยดหนึ่งร่วงอยู่บนมุมล่างสุด ปลายปากกาเริ่มส่งเสียงครืดคราดบนกระดาษอีกครั้ง น้ำหยดนั้นกลืนกินใยกระดาษจากจุดเดิม แพร่กระจายเป็นวงกว้างทีละน้อยๆ


            จู่ๆ เธอก็หยุดเขียน ขยำกระดาษเป็นลูกกลมๆ แล้วทิ้งลงบนพื้น และหยิบกระดาษใหม่อีกแผ่นออกมา ปากกาเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วอยู่บนกระดาษ การเขียนเหมือนกับแผ่นที่แล้ว ภาษาคล้ายกับแผ่นที่แล้ว ทุกอย่างเหมือนกับแผ่นที่แล้ว เมื่อเขียนถึงเรื่องการหลอกลวงก็เขียนต่อไปไม่ได้อีก ขยำกระดาษในมือแผ่นนี้เป็นลูกกลมๆ แล้วทิ้งไปอีกครั้ง


            ทำอยู่ซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดอี้เป่ยซีก็กลั้นไว้ไม่ไหว ปีนขึ้นไปบนเตียงร้องไห้


            ในบางครั้ง พวกเรามักจะต้องการเขียนหรือพูดบางสิ่งบางอย่างที่สามารถสะท้อนจิตใจผู้อื่นและสัมผัสถึงอารมณ์ของผู้อื่นได้


            ภูเขาน้ำแข็งมักจะบอกกับพวกเราอยู่เสมอว่า ตราบใดที่คุณมีเต็มร้อย คนอื่นก็จะรู้สึกได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์


            คำพูดน่าเสียใจเหล่านั้น ล้วนถูกเขียนขึ้นด้วยเสียงและน้ำตาจากคนที่เคยทุกข์และสิ้นหวัง


            ทุกๆ คำต่างกำลังหั่นตัวเองจนแหลกละเอียด


            จากนั้นก็จะไม่มีคำพูดสวยหรูใดที่จะสามารถเล่นกับเส้นแห่งความรู้สึกของคุณได้อีกซ้ำๆ


            เสียงดังหึ่งราวกับเสียงหายใจฮืดฮาดของคนที่เหนื่อยหอบ น้ำตาหยุดแล้ว อี้เป่ยซีนั่งลงที่โต๊ะ ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ถือแผ่นกระดาษที่ถูกขยำ แขวนมันอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนในความฝัน


            ลืมตาขึ้นมาอีกที ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว เธอบิดขี้เกียจ เหยียบย่ำอยู่บนกองเศษกระดาษลูกกลมๆ เดินไปที่ห้องน้ำ


            คนแรกที่เห็นเมื่อถึงมหาวิทยาลัย กลับเป็นคนที่ตัวเองไม่อยากเจอเลยสักนิด


            เห็นได้ชัดว่าฉินรั่วเข่อก็เห็นเธอแล้ว บีบกระเป๋าตัวเองด้วยความตื่นตระหนกและอ่อนแอเล็กน้อย แต่ก็ยังรวบรวมความกล้าเดินไปหาอี้เป่ยซี


            “เป่ยซี เธอรู้แล้วเหรอ?”


            “ฉันนึกว่าเธอกับฉินเยวี่ยเข่ออยากให้ฉันรู้มากซะอีก”


            รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแข็งทื่อ “เปล่านะ เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ทำให้เธอวุ่นวายฉันต้องขอโทษด้วย ถ้าหากเธอโมโหล่ะก็ เธอจะด่าฉันก็ได้ ตีฉันก็ไม่เป็นไร”


            อี้เป่ยซีหัวเราะ “อย่าเลย ถึงฉันจะไม่อยากเป็นเด็กสาวผู้มีชื่อเสียงอะไรนั่น แต่ว่าฉันก็ไม่อยากเห็นตัวเองโผล่อยู่บนพาดหัวข่าวน่ายุ่งเหยิงอีกแล้ว เธออยากพูดอะไรกันแน่?”


            “ฉันแค่อยากขอโทษ”


            “อืม ฉันไม่รับ เอาเถอะ เธอไปให้ไกลๆ ได้แล้ว”


            “เป่ยซี หรือว่า เธอจะชอบพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองจริงๆ?”


อี้เป่ยซีเม้มปากไม่ได้พูดอะไร เดินไปหาเธออย่างหยิ่งผยอง ฉินรั่วเข่อกลัวจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว เบี่ยงตัวไปทางขวา อี้เป่ยซียื่นมือ หยิบเครื่องบันทึกเสียงจากในกระเป๋าเธอออกมา “หืม ฉินรั่วเข่อ เสื้อผ้าบางไปหน่อยนะ พอลมพัดก็เห็นแล้วว่าข้างในมีอะไร วันนี้ฉันก็ยังได้รู้จักเธอใหม่อีกครั้ง”


            “เป่ยซี ฉันไม่รู้ว่าใครเอามาใส่ในกระเป๋าเสื้อฉัน จริงๆ นะ เธอเชื่อฉันสิ” ดวงตาสีดำสดใสมีประกายน้ำตา อี้เป่ยซีเอาเครื่องบันทึกเสียงใส่ในมือเธอ ท่าทางสง่างาม


            “ทางขวามีคนใช่ไหม” อี้เป่ยซีเงยหน้ามองไปทางขวา มีร่องรอยความดุร้ายในดวงตา “ละครจบแล้ว ฉันไปได้แล้วสินะ”


        พูดจบก็ก้าวเท้าของตัวเองจากเธอไปทันที ฉินรั่วเข่อจับจ้องแผนหลังของเธอ ความไม่เต็มใจที่หนักอึ้งทั้งหมดพรั่งพรูออกมา เธอสูดหายใจลึก กำเครื่องบันทึกเสียงในมือแน่น


————


บทที่ 87 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (2)


             แวะไปกินอาหารเช้าที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยก่อน อี้เป่ยซีกัดซาลาเปา ด้วยคิ้วที่ขมวดกันเล็กน้อย


ให้ตายเถอะ กินข้าวที่ลั่วจื่อหานทำมากเกินไป อาหารที่โรงอาหารมันช่าง… ช่างเถอะ มันก็เลยเป็นแค่โรงอาหารไง เธอกัดไปหนึ่งคำเคี้ยวช้าๆ ราวกับคนข้างๆ ไม่มีตัวตน


ถ้าลั่วจื่อหานทำอาหารเช้าด้วยก็ดีสิ แล้วก็ข้าวเที่ยงด้วย ฮือ ทำไมเขาถึงทำอาหารอร่อยแบบนี้?


            อี้เป่ยซีกินโจ๊กคำสุดท้าย เดินไปยังห้องเรียนด้วยความเอื่อยเฉื่อย นั่งลงที่นั่งของตัวเองด้วยความพออกพอใจมาก ขัดกับบรรยากาศที่อึกทึกครึกโครมของห้องเรียน โดยสิ้นเชิง เธอหยิบหนังสือออกมา เท้าศีรษะมองไปยังเวทีบรรยาย


ผ่านไปครึ่งคาบเรียนแล้ว ที่นั่งสองที่ข้างอี้เป่ยซียังคงว่างเปล่า เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ว่าไม่ได้เอามาใส่ใจ


            นั่งจนหมดคาบ เธอจึงตัดสินใจออกมาผ่อนคลายสักหน่อย ลุกขึ้นยืนก็เดินออกไปข้างนอก ระหว่างทางกลับห้องเรียน เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ มันถูกขยำจนยับยู่ยี่ แต่จงใจเผยชื่อออกมาด้านนอก


            ฉินรั่วเข่อ วิธีนี้ช่างอ่อนหัดเกินไปแล้ว


เธอดูถูกเล็กน้อยแต่ต้องยอมรับว่ากลอ่อนหัดประเภทนี้ได้ผลดีมากทีเดียว ในเมื่อเธออยากจะเล่น เธอจะเล่นเป็นเพื่อนเธอสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ากระดาษแผ่นนี้มันคืออะไรกันแน่


นิ้วที่เรียวยาวและผอมบางค่อยๆ เปิดใบผลตรวจออก เมื่อเห็นข้อมูลจำเพาะข้างใน เสียงระเบิดในหัวดังขึ้น โลกที่อยู่ตรงหน้าล่มสลายท่ามกลางเสียงดังกึกก้องนั้น ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินเสียงกระดิ่งของชั้นเรียนวิ่งผ่านเธอไปอย่างรีบร้อน


            เธอประคองกำแพง ค่อยๆ เดินเลียบไปอีกทาง ไม่ ไม่จริงมั้ง อี้เป่ยซีขยี้ตา ยังคงสามารถเห็นผลการตรวจเหล่านั้น


ฉินรั่วเข่อท้อง?


เธอดูวันที่ที่อยู่ข้างบน ปีที่แล้ว ปีที่แล้ว ใช่แล้ว ปีที่แล้ว แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย ปีที่แล้วก็ไม่ใช่ปีนี้้ เรื่องก็น่าจะผ่านไปตั้งนานแล้ว อีกอย่าง ทำไมถึงรู้สึกว่าเป็นของพี่เป่ยเฉิน


ต่อให้วิธีแบบนี้มันเน่าเฟะ เธอจะบอกได้อย่างไรว่าเป็นของพี่เป่ยเฉิน แล้วจะบอกได้อย่างไรว่ารายงานนี้เป็นของจริง


            ไร้สมอง อี้เป่ยซีส่ายหัว ต้องการฉีกกระดาษในมือทิ้งแต่ถูกฉินรั่วเข่อที่ปรี่เข้ามาแย่งไป ปกป้องมันอยู่ข้างกายตัวเองดุจสิ่งของล้ำค่า ราวกับกระดาษแผ่นนั้นคือลูกของเธอ ขณะที่อี้เป่ยซีเหลือบขึ้นมามองเธอนั้น น้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงมาจากดวงตาพอดิบพอดี


“ฉันรู้สึกว่าเธอเอาอย่างน้องสาวเธอมากเกินไป ฉันแนะนำให้พวกเธอปลูกสมองสักอัน พวกเธอใครคนใดคนหนึ่งมีก็พอแล้ว”


ฉินรั่วเข่อรีดเรียบกระดาษแผ่นนั้น เก็บไว้ “ขอบคุณ ขอโทษทีที่ทำให้เธอเห็นซะแล้ว”


“ของแบบนี้จะเอาแค่ไหนก็ได้ เธอยังอยากได้อีกไหม ฉันจะให้เธอลังนึงก็ได้ พอให้เธอทิ้งได้หลายปีเลย”


“ของพวกนั้นก็ไม่ใช่ของจริง มีแค่ใบนี้ที่เป็นของฉัน เป่ยซี ฉันรู้ว่าฉันทำบางอย่างผิดไป เธอ…”


อี้เป่ยซีโบกมือ “เงียบเถอะ เรื่องนี้มันพัฒนามาได้ยังไงฉันไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ว่าเธอใช้วิธีอะไร ยิ่งไม่อยากได้ยินคำสำนึกผิดอะไรของเธอต่อหน้าฉัน เพียงแค่ ฉินรั่วเข่อ แม้ว่าจะทำเพื่อเป้าหมายที่สวยงาม มาก แต่ก็จะใช้วิธีต่ำๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนัันเธอจะรับผลแย่ๆ ที่ตามมาไม่ไหวหรอก”


“หรือว่าเธอไม่อยากรู้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับพี่ชายเธอ? ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมปากกาหมึกซึมที่เขาพกติดตัวถึงมาอยู่ในมือฉัน ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” เสียงของฉินรั่วเข่อดังมาก ได้ยินชัดเป็นพิเศษในทางเดินที่ว่างเปล่า แม้แต่ข่มเสียงของอาจารย์ที่กำลังบรรยายอยู่ในห้องเรียนข้างๆ


“ไม่อยากรู้ข่าวอะไรจากคนที่ไม่ชอบ ไม่มีความหมาย รุ่นพี่ ถ้าเธอไม่มีธุระแล้วฉันยังมีเรียน ลาก่อน”


“เรื่องพวกนี้พี่ชายเธอจะเล่าให้เธอฟังได้ยังไง อี้เป่ยซี ฉันรอให้เธอมาหาฉัน”


“พิลึก”


“ชื่อของกองทุนคือฉินฉู่สินะ เป็นชื่อที่เพราะมากจริงๆ ฉินรั่วเข่อ ฉู่เซี่ย”


            อี้เป่ยเฉินหยุดเดินครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้า นั่งลงที่เดิมของตัวเองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จดจ้องมือของอาจารย์ ที่ฉวัดเฉวียนอยู่บนกระดานดำ ในใจกระสับกระส่าย ราวกับว่าอ่านเนื้อหาบนกระดานดำไม่เข้าใจอย่างไรอย่างนั้น


            เธอไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องนี้ ตอนนี้ก็คลี่คลายแล้ว เหลือเพียงแค่คิดบัญชีกับคนพวกนั้นก็เท่านั้นเอง ทำไมจะต้องไปเข้าใจสาเหตุที่เกิดข่าวอื้อฉาวขึ้นด้วย?


            น่าขำ ฟังตัวละครหญิงจากข่าวอื้อฉาวเล่าเรื่องนี้งั้นเหรอ? ไม่แน่ว่าความจริงอาจถูกบิดเบือนจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว ถามเธอสู้ไปถามพี่เป่ยเฉินยังจะดีกว่า


            พี่เป่ยเฉินก็อาจจะปิดบังด้วย… ชิ อี้เป่ยซี เธอคิดแบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่เชื่อใจพี่เป่ยเฉินนะ


ความจริงไม่มีความหมาย ผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายก็ออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ เธอจะกังวลใจขนาดนี้เพื่ออะไร


ปากเป็นของฉินรั่วเข่อ เธออยากจะพูดอะไรก็ได้ เธอจะควบคุมเธอได้เหรอ?


ครุ่นคิด ความยุ่งเหยิงปรากฏอยู่บนหนังสือ ซ่อนเร้นตัวอักษรดั้งเดิม เดิมทีก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว เธอฟุบลงบนโต๊ะอย่างหมดกำลังใจ ไม่ได้ไปหาพี่เป่ยเฉินนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นบ่ายนี้ไปหาเขาที่บริษัทก็แล้วกัน


เจอหน้าแล้วจะอึดอัดหรือเปล่า มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเขากำลังหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง? อี้เป่ยซีหยิบปากกาหมึกซึมด้ามหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ใช่ ปากกาหมึกซึมของพี่เป่ยเฉินอยู่ที่เธอ ไปคืนปากกาเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ลืมอีก นี่คือเรื่องใหญ่เชียวนะ


            เธอที่หาข้ออ้างได้แล้วพยักหน้า บังคับตัวเองให้ฟังเนื้อหาที่อาจารย์ บรรยายอย่างตั้งใจ รอจนเวลาที่นาฬิกาบนกำแพงเวียนมาถึงเลขสิบสอง


            เธอเรียกรถ นั่งไปถึงใต้ตึกเยี่ยถัง ทักทายพี่สาวเลขาที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ อย่างสนิทสนม ย่องขึ้นชั้นบน มองลอดประตูออฟฟิศ เข้าไปก็สามารถเห็นท่าทางของอี้เป่ยเฉินที่กำลังจมอยู่ในความคิดอยู่หน้าโต๊ะเลือนลาง บางครั้งก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็ยืดเส้นยืดสาย


“เป่ยซี เธอมาแล้วเหรอ” เจี้ยยังคงถือเอกสารอยู่ในมือ กำลังจะเตรียมตัวเข้าไปก็ถูกอี้เป่ยซีดึงเอาไว้


“พี่เจี้ย พี่ไปทำงานอื่นเถอะ ฉันจะช่วยไปส่งให้พี่”


“ก็ดี”


            อี้เป่ยซีเดินเข้าไปหาอี้เป่ยเฉินแผ่วเบา วางเอกสารลงบนโต๊ะของเขา อาจเป็นเพราะจริงจังเกินไป จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าในออฟฟิศมีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน เธอโน้มตัวเล็กน้อย สายตาจ้องเขม็งอยู่ที่อี้เป่ยเฉิน


“เอาล่ะ รู้แล้วว่าเธอมาแล้ว” อี้เป่ยเฉินปิดเอกสาร มองเธอด้วยความเอ็นดู “เป็นอะไรไป?”


“เปล่านี่” อี้เป่ยเฉินเดินไปยังข้างหน้าต่าง ราวกับหัวหน้าที่กำลังตรวจงาน เหมือนกับว่านึกอะไรได้ เดินไปข้าง ๆ อี้เป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว “พี่เป่ยเฉิน ล่าสุดพี่ทำอะไรหายหรือเปล่า?”


“อะไรเหรอ?”


เธอมองปากกาบนโต๊ะของอี้เป่ยเฉิน สไตล์เหมือนกับด้ามที่อยู่ในกระเป๋าของเธอไม่มีผิดเพี้ยน  ฝีมือแบบเดียวกัน แม้แต่ตัวอักษรที่คดเคี้ยวก็เหมือนกัน อาจเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างในใจ อี้เป่ยซีรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวอักษรที่เธอแกะสลัก ไม่ใช่จริงๆ


            ความน่าเกลียดในตัวอักษรที่เธอแกะสลักล้วนแสดงออกมาทีละเส้นๆ อย่างเป็นธรรมชาติมาก แต่ว่าตอนนี้ชื่อบนปากกาหมึกซึมนั้นน่าเกลียดอย่างจงใจ ราวกับว่าตั้งใจอำพรางตัวเองเป็นหญิงสาวตงซือจากซีซือ แม้ว่าฝีมือการแต่งหน้าจะเก่งสักแค่ไหน คนอื่นก็ดูออก


            ยิ่งไปกว่านั้นตงซือคนนั้นเป็นลูกของเธอ


            “อืม งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” อี้เป่ยซีถึงเข้าใจว่าที่แท้เรื่องนี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว เด็กสาวที่อ่อนแอคนนั้นต้องการจะบอกเรื่องนี้กับเธอตั้งนานแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่ใส่ใจกับการหายตัวไปถึงเพียงนี้ ละเลยในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย


            อี้เป่ยซีรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอหยิบปากกาจากกล่องปากกาขึ้นมาด้ามหนึ่ง “ปากกาด้ามนี้สวยจังเลย ให้ฉันเถอะ”


            “เสี่ยวซีชอบก็เอาไปเถอะ”


            “พี่เป่ยเฉินใจดีขนาดนี้เลยเหรอ ไม่รู้ว่าพี่เป่ยเฉินจะเอาปากกาที่เสี่ยวซีให้พี่ไปให้คนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยหรือเปล่า” เธอมุ่ยปาก แสร้งทำเป็นโมโห


            “จะเป็นไปได้ยังไง”


        “นอกเสียจากว่าพี่เป่ยเฉินจะเลี้ยงมื้อใหญ่ฉัน ไม่งั้นฉันไม่เชื่อหรอก” รอยยิ้มที่เจือปนความขี้เล่นทำลายความกังวลใจของอี้เป่ยเฉิน เขาพยักหน้า ดึงมือของอี้เป่ยซีออกไปจากออฟฟิศแล้ว


————


บทที่ 88 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (3)


             อี้เป่ยซีจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัดตลอดทั้งบ่าย ทุกอย่างข้างหูล้วนพร่ามัว เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังดูโทรทัศน์ สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บนหน้าจอนั้น สามารถมองเห็นและได้ยิน แต่ว่าไม่สามารถรับรู้และรู้สึกถึงมันได้ซึ่งสิ่งนั้นก็คือความจริง


            ความรู้สึกเช่นนี้ยืดเยื้อไปจนถึงกลางคืน เธอกลับถึงหอพัก ไม่มีคนอยู่เลย ราวกับว่านี่ต่างหากคือสถานการณ์ที่เป็นจริงที่สุด เรื่องนอกจอ นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอยู่เลย


            ทันทีที่ฟ้ามืดอี้เป่ยซีก็ขึ้นไปนอนบนเตียง นอนขีดเขียนปากกาหมึกซึมสีขาวด้ามนั้น ลายเส้นลื่นมาก เรียบง่ายและมีสไตล์ ภายนอกแวววาวเหมือนใหม่ เหมือนกับว่ายังไม่เคยถูกใช้ มือของเธอถูไถอยู่บนแล็คเกอร์ เพิ่มความรุนแรงขึ้นในแต่ละครั้ง ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะทิ้งร่องรอยความเก่าให้กับปากกาหมึกซึมได้ในทันที


            ดูจากภายนอกแล้ว เหมือนผ่านประสบการณ์มามาก


            เธอหยุดการกระทำที่งี่เง่าแบบนั้น หันหน้าดูไฟบนโทรศัพท์มือถือที่กระพริบสองสามครั้ง พลิกตัวลงจากเตียง


            ไม่ได้มองก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะแล้ว เอาคอมพิวเตอร์วางในที่ที่ตัวเองมองไม่เห็น เปิดโคมไฟขนาดเล็กบนโต๊ะ ส่องสว่างปากกาสีขาวด้ามเล็กที่เธอถืออยู่ในมือ เขียนทีละตัวๆ อยู่บนหนังสือรวดเดียวโดยไม่หยุดชะงัก ตัวอักษรยังไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษแต่กลับใช้พลังทั้งหมดที่เธอมีและจบประโยคสุดท้ายด้วยความผิดแปลกไปจากเดิม น้ำตาที่ไหลอาบแก้มก็ถูกปาดออกไป


        ชดใช้หนี้หมดแล้ว ครั้งนี้ก็จบแล้วสินะ


            มันจบแล้ว ช่วงนี้ไม่ต้องการจะเขียนอะไรอีกแล้ว ช่างทรมานเสียจริง


            อี้เป่ยซีเท้าศีรษะมองดูไฟถนนข้างนอก แสงไฟสีเหลืองสลัวเล็กน้อย ดอกไม้ใบหญ้าก็ดูคลุมเครือ ชั้นกระจกกั้นกลางเธอไว้ เหมือนกับหน้าจอโทรทัศน์


            เธอเดินเข้าไปไม่ได้ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นก็ข้ามมาไม่ได้…


            เมื่อฟ้าสว่าง อี้เป่ยซีก็ส่งสิ่งที่เขียนเสร็จแล้วออกไป เลื่อนดูรายชื่อผู้ติดต่อซ้ำๆ พบว่าตอนนี้ไม่มีใครที่สามารถรับฟังเธอได้เลย


        มู่ไป๋: หลิงซี…นี่เธอเขียนเองเหรอ


            เดิมทีอี้เป่ยซีไม่มีกะจิตกะใจ แต่ว่าเธอก็ยังตอบว่า อืม ไปตามมารยาท


            มู่ไป๋: ไม่เหมือนเนื้อเพลงที่เธอเขียนตามปกติเลย อันนี้เหมือนจะต่างกัน…


            หลิงซี: บางทีฉันก็อยากลองสไตล์ใหม่ดูบ้าง


            สุดท้ายก็รู้สึกว่าเคร่งขรึมไปหน่อย อี้เป่ยซีสูดหายใจลึก ส่งอิโมจิน่ารักกลับไป


            มู่ไป๋: เธอเจอเรื่องอะไรมาใช่หรือเปล่า?


            เรื่อง?


            มีสิ แต่เหมือนจะไม่ใช่เร็วๆ นี้มั้ง อี้เป่ยซียิ้มเจื่อน จะมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้บ้างล่ะ การที่คุณรับมือไม่ทันนั้นมันเป็นเพียงผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการไม่ใส่ใจกับสัญญาณต่างๆ ก่อนหน้านี้ต่างหาก


            ถ้าหากรู้เร็วกว่านี้หน่อย รู้ไปถึงตอนที่ฉินรั่วเข่อจะปรากฏตัว จนถึงตอนที่พี่เป่ยเฉินจะไปทริปธุรกิจ ถึงตอนที่คุณแม่อี้จะมา ถึงตอนที่ตัวเองเกิด ไม่มีการเริ่มต้นก็จะไม่มีจุดจบ ไม่ดีไม่ร้าย ไม่มีอะไรทั้งนั้น


            ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ผิดหวัง แบบนั้นจะดีแค่ไหนนะ


            มู่ไป๋: หลิงซี?


        หลิงซี: เปล่านะ ฉันสบายดี


            มู่ไป๋: ตอนนี้ฉันอยู่เมือง B ถ้าไม่รังเกียจ พวกเรามาเจอกันเถอะ


            อี้เป่ยซีมองดูหน้าจอมือถือ ทำท่าทางครุ่นคิด ในสมองกลับว่างเปล่า***เวลาบนหน้าจอคริสตัลสั่นไหวหลายครั้ง อี้เป่ยซีส่งว่าได้กลับไป แล้วรับได้ข้อความของตำแหน่งที่ตั้งทันที


            มู่ไป๋: เธอนัดเวลาเถอะ


            หลิงซี: ตอนนี้ก็แล้วกัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้


            อี้เป่ยซีเก็บโทรศัพท์มือถือ ใส่แจ็คเก็ตตัวหนึ่งก็ออกไปแล้ว เธออยู่ยืนข้างถนน รอการสิ้นสุดของสัญญาณไฟแดงฝั่งตรงข้าม รู้สึกขำจนอดไม่ได้


            ดูสิ คำสั่งที่ว่าพวกเราจะเดินได้หรือไม่นั้น พวกเราไม่มีทางรู้ได้เลยตั้งแต่แรก


            ไฟเขียวสว่างขึ้น อี้เป่ยซีเดินอยู่บนทางม้าลาย นึกถึงตอนที่หลานฉือเซวียนเคยพาเธอผ่านมาทางนี้ เหมือนกับเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงได้เศร้าโศกเหลือเกิน


            ทำไมไฟของพวกเขาเขียวแล้ว แต่ว่าเธอไม่มีวันรู้เลยว่าเมื่อกฎของไฟสีแดงจะจบลง เธอดึงกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วเร่งฝีเท้า


            อี้เป่ยซีมาถึงด้านหน้าของ “มู่ไป๋” จากการนำทางของบริกร ในตอนแรกเธอยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยและหงุดหงิดเล็กน้อยด้วย ทำไมถึงตอบตกลงที่จะเจอหน้าง่ายดายแบบนี้ ตอบตกลงแล้วก็ช่างมันแต่ทำไมถึงไม่แต่งตัวให้ดีก่อนจะออกจากบ้าน อย่างน้อยก็ต้องสร้างความประทับใจที่ดีให้คนอื่นบ้าง


            หลังจากเห็นคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะชัดเจนแล้ว นอกจากอี้เป่ยซีจะประหลาดใจแล้วก็ประหลาดใจอีก ฉะนั้นถึงได้รู้สึกว่าเสียงของเขาคุ้นเคยมาก ที่แท้ก็เป็นคนรู้จักกันจริงๆ


            “มู่ มู่ลี่ไป๋?”


            มู่ลี่ไป๋เงยหน้า ยิ้ม “ไม่ต้องตกใจขนาดนี้ ฉันนึกว่าเธอรู้ว่าเป็นฉันก็เลยตัดสินใจว่าจะมาตามนัดแบบนี้”


            “หึๆ” อี้เป่ยซีหัวเราะแห้งๆ ลากเก้าแล้วนั่งลง ถ้ารู้ว่าเป็นนายจะต้องตัดสินใจปฏิเสธอย่างแน่นอน “นายรู้ตั้งนานแล้วเหรอว่าเป็นฉัน?”


            “อืม เดาไม่ยากหรอก สนิทกับสือนั่ว ไม่สิ สนิทกับหลานฉือเซวียน แล้วก็มีแค่เธอคนเดียวแหละที่ทำเรื่องพวกนี้ ฉันแค่สงสัยนิดหน่อย ทำไมเธอถึงจำเสียงฉันไม่ได้?”


            เธอดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง สายตาจ้องมองไปทางอื่น “คือว่า ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้”


            “ก็จริง ฉันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะไปร้องเพลง” มู่ลี่ไป๋พูดจบ บริกรก็เสิร์ฟอาหารที่สั่งไว้บนโต๊ะแล้ว ถอยหลังออกไปอย่างนอบน้อม


            ได้ยินหลานฉือเซวียนบอกว่าเธอชอบกินพวกนี้ ไม่รู้ว่าที่นี่จะถูกปากเธอหรือเปล่า


            อี้เป่ยซีเพียงแค่ชำเลืองมอง แม้ว่าจะเป็นของโปรดของเธอ แต่ว่าตอนนี้แค่รู้สึกว่าที่นั้นแออัดไปด้วยผู้คน มีเพียงที่เดียวที่ว่างเปล่า ป้อนอย่างไรก็ไม่อิ่ม


            “เพราะเรื่องของอี้เป่ยเฉินช่วงนี้หรือเปล่า?” มู่ลี่ไป๋มองดูอี้เป่ยซีที่กำลังต่อสู้กับเนื้อปลาชิ้นน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่มีความอยากอาหาร เมื่อได้ยินชื่อของอี้เป่ยเฉิน มือของอี้เป่ยซีนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คีบเนื้อปลาในถ้วยขึ้นมา


            “อี้เป่ยซี แม้ว่าฉันไม่ได้สนิทกับเธอมาก แต่ว่าฉันก็ยังชอบหลิงซีมากนะ ฉันอยากรู้ว่าทำไมหลิงซีถึงเป็นทุกข์ขนาดนี้ ทำไม…เนื้อเพลงนั่น…”


            เธอเม้มปาก ยื่นตะเกียบไปหาเนื้อปลาชิ้นต่อไป “เนื้อเพลงนั่นคือจุดจบของทั้งหมด ฉันนึกว่าฉันเขียนอย่างผ่อนคลายมากซะอีก นายก็รู้เรื่องหมดแล้วนี่นา ฉันก็ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มาก”


            “เทพบุตรมู่ไป๋ขอบคุณมากที่นายเห็นฉันเป็นเพื่อน แต่ว่าเรื่องของฉันฉันจัดการด้วยตัวเองจะดีกว่า คนที่รู้เรื่องนี้มีเยอะ ฉันไม่จำเป็นต้องไปเปิดโปงอะไร”


            “ฉันในตอนนี้น่ะ อยากรีบทำใจกับเรื่องก่อนหน้านี้ให้เรียบร้อย ต่อไปจะได้รับสิ่งใหม่ที่เข้ามาได้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ คราวนี้นายถึงนัดเจอฉัน…”


            อี้เป่ยซีหยุดเล่นกับเนื้อ “แต่ฉันรู้สึกว่า นายมองเห็นตัวเองใช่หรือเปล่า อยากรู้ว่าคนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกับนายจะเป็นยังไงใช่ไหม?”


            มู่ลี่ไป๋หัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร


            “ฉะนั้น คนที่อาบน้ำร้อนก่อน นายมีวิธีอะไรกำจัดมันหรือเปล่า พวกเราสองคนมาแบ่งปันกันสักหน่อยไหม?”


            “กินข้าวก่อนเถอะ”


            “กินข้าวก่อนอีกแล้ว” อี้เป่ยซีโยนตะเกียบไปด้านข้าง “ฉันไม่อยากกินข้าวก่อนแล้ว เทพบุตรมู่ไป๋ ถ้างั้นพวกเราไปทำอย่างอื่นกันเถอะ”


        ดวงตาสดใสนั้นเปล่งประกายสวยงามเป็นพิเศษ มู่ลี่ไป๋ได้ยินคำพูดของเธอแล้วก็รู้สึกสนใจ เด็กผู้หญิงที่ไม่เคยเล่นไพ่ตามสามัญสำนึกคนนี้ต้องการจะทำอย่างอื่น มันทำให้เขารู้สึกตั้งตาคอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



บทที่ 89 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (4)


             เมื่อหูถูกทรมานนับครั้งไม่ถ้วนและในขณะที่ทิชชูแผ่นหนาก็ไม่สามารถสกั้นกัดการบุกรุกของเสียงอันชั่วร้ายได้แล้วนั้น มู่ลี่ไป๋รู้สึกเสียใจกับหลุมที่ตัวเองขุดเอาไว้


            เพียงแค่ต้องการปลอบโยนเธอและช่วยลั่วจื่อหานเท่านั้น ทำไมตัวเองต้องมารับกรรมอะไรแบบนี้ด้วย เขาเหลือบมองอี้เป่ยซีที่ยังถือไมโครโฟนและร้องเพลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา เหมือนกับว่าไม่มีวันรู้สึกเหนื่อย แต่ละบทเพลงใส่อารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ


            เสียงของเธอนับว่าคมใส เวลาฟังเธอพูดแล้วรื่นหูมาก แต่ว่าเวลาร้องเพลง เธอที่ไม่มีทักษะใดๆ อาศัยการตะโกนเพียงอย่างเดียว เหมือนกับว่ากำลังระบายออกมา ไม่ได้ร้องอยู่ในคีย์เลย ทั้งตะเบ็งเสียงและเพี้ยนมาก


            แม่สาวน้อยคนนี้ วันนี้นับว่าได้เห็นความร้ายกาจของเธอแล้ว มู่ลี่ไป๋ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ต้องการจะจากไป


        “ห้ามไปนะ” เพราะว่าดื่มไปนิดหน่อย บนใบหน้าของอี้เป่ยซีจึงแดงอย่างผิดธรรมชาติ มองมู่ลี่ไป๋ด้วยความโมโห “ฉันร้องไม่เพราะหรือไง?”


        “เพราะ เพราะ เพราะอยู่แล้ว”


            “งั้นก็นั่งลงฟังดีๆ รอจนฉันร้องเพลงที่เลือกพวกนี้ให้หมดก่อน” อี้เป่ยซีหันหน้ากลับไปที่หน้าจออีกครั้ง ร้องเพลงลั้นๆ ลาๆ ขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ลี่ไป๋รู้สึกถึงรสชาติแห่งการไม่อยากมีชีวิตอยู่จากคนอื่น


            น่าจะคิดได้ว่าเธอจะมาที่นี่ มีอะไรเหนือความคาดหมายกัน


            เขามองดูโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ค่อยๆ ค่อยๆ ยื่นมือออกไป ในขณะที่ปลายนิ้วกำลังจะสัมผัสกับหน้าจอ อี้เป่ยซีวางเหล้าขวดหนึ่งตรงหน้าเขาอย่างแรง


            “ดื่ม”


            “หรือว่าเธอจะติดเหล้า?” คนที่ส่งเหล้ามาไม่สนใจเขาอีก มือหนึ่งกอดขวดเหล้า อีกมือหนึ่งถือไมโครโฟน นั่งลงบนพื้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ ร้องเพลงเสียงดังด้วยความหดหู่และความตื่นเต้น


            มู่ลี่ไป๋นวดคลึงขยับตัวเองแรงๆ จากนั้นก็ยิ้มโล่งอก คว้าขวดเหล้าที่อยู่บนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างอี้เป่ยซี ทั้งสองคนส่งเสียงโหวกเหวกด้วยกันอยู่อย่างนี้ หัวเราะเยาะการร้องเพลงของอีกฝ่ายอย่างไร้หัวใจ เอาขวดเหล้าชนกันคุยกันอย่างตรงไปตรงมา…


            “มู่ลี่ไป๋ที่แท้นายก็ร้องเพลงได้ห่วยแบบนี้เหมือนกันเหรอ” สองคนที่เมาแอ๋ประคองกันและกัน เดินตุปัดตุเป๋ออกไปจากห้องส่วนตัว อี้เป่ยซีเมาจนพูดจาไม่รู้เรื่อง มู่ลี่ไป๋ฝืนประคองสติ แต่ว่าก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย


            “ก็ดีกว่าเธอที่ร้องไม่ได้เรื่องแล้วกัน”


            “เชอะ ฉันร้องเพลงเหมือนเสียงจากธรรมชาติ ตอนนั้นฉันยังอยากเป็นนักร้องอยู่เลย อย่าโกหกหน้าด้านๆ สิ”


            มู่ลี่ไป๋หัวเราะ “งั้นเธอโชคดีที่เจอฉัน ชีวิตเธอจะได้ไม่สูญเปล่า ไม่อย่างนั้น…” จู่ๆ เขาก็หยุดเดิน มีร่างที่งดงามร่างหนึ่งปรากฏตัวท่ามกลางสายตาที่ขมุกขมัว ชุดเดรสสีขาวดุจหิมะ ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับผู้ชายข้างๆ


        “ไม่อย่างนั้นอะไร นายกำลังมองอะไร?” อี้เป่ยซีมองไปตามสายตาของเขา “นี่ เยี่ยฉิน ฉันอยู่นี่ อยู่นี่น่ะ” เธอวิ่งไปหาเยี่ยฉินด้วยความดีใจ เกือบจะล้มเข้าสู่อ้อมอกของเธอ ยังมีที่เยี่ยฉินตาไวมือไว ยื่นมือประคองเธอไว้แล้ว


            “เป่ยซี เธอมาคนเดียวเหรอ?” เธอมองไปข้างหลัง ตัวแข็งทื่อ สายตาของทั้งสองคนประสานกันกลางอากาศ แววตาดูต่างออกไป


            มู่ลี่ไป๋ละสายตา เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ดึงอี้เป่ยซีออกมาจากแขนของเธอด้วยความรังเกียจเล็กน้อย “ยัยหนู อย่าไปแตะต้องของสกปรกสิ”


            “คุณนี่ทำไมพูดจา…” ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ รีบปกป้องเธอ เธอเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ สงวนท่าทีที่ดีเอาไว้


            “ไม่เป็นไร ประธานมู่ก็เมาเหมือนกันเหรอ ต้องการให้ฉันช่วยเรียกคนไหม?”


            “เรื่องของผมคุณไม่ต้องยุ่ง” พูดพลางลากอี้เป่ยซีที่กำลังตื่นเต้นออกไปจากคาราโอเกะ อี้เป่ยซีที่ถูกดึงคอเสื้อเต้นรำอย่างมีความสุข


            “หา นี่คือความรู้สึกของคนเมาเหรอ แปลกจังเลย เหล้าเอ๋ย เหล้าเอ๋ย ฉันจะร้องเพลงให้เธอฟัง…”


            มู่ลี่ไป๋อยากจะขว้างคนนี้ทิ้งไปมาก ปกติแล้วสุขุมเรียบร้อย พอเมาเหล้าก็บ้าคลั่งจนแทบรับมือไม่ไหวจริงๆ เขาหยุดรถคันหนึ่ง ต้องการที่จะยัดเธอเข้าไปข้างใน ตอนนี้หัวของอี้เป่ยซีมุดเข้าไปแล้ว แต่มืออีกข้างถูกคนหนึ่งคว้าไว้ ได้ยินเสียงดังตึ่ง หัวของอี้เป่ยซีกระแทกเข้ากับรถ


            “ฮือๆๆ…เจ็บจังเลย”


            ลั่วจื่อหานกอดเธอไว้ในอ้อมแขนทันที กล่าวปลอบโยน “เรื่องนี้ไว้จะคิดบัญชีกับนายทีหลัง” พูดจบก็พาเด็กสาวจากไปแล้ว มู่ลี่ไป๋มองดูเบื้องหลังของทั้งสองคน รู้สึกได้ถึงความร้อนระอุอยู่ในอากาศ เขาเข้าไปในรถแท็กซี่ บอกที่อยู่บ้านของตัวเองแล้วจากไป


            “โว้ว นายเป็นใครน่ะ?” อี้เป่ยซีถูกวางลงบนเบาะข้างคนขับแผ่วเบา โน้มตัวมองดูผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ยื่นมือจิ้มๆ หน้าของเขา แล้วก็ยื่นสองมือนวดคลึงอยู่บนหน้าของลั่วจื่อหาน จากนั้นก็นวดคลึงหน้าของตัวเองด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ทำไมหน้าของฉันถึงได้นุ่มแบบนี้ สนุกจังเลย”


            ลั่วจื่อหานอดไม่ได้หัวเราะออกมา สตาร์ทรถ


            “นายพูดไม่เป็นเหรอ” อี้เป่ยซีขยับตัวเข้าไปด้านข้างลั่วจื่อหาน เงยหน้าจ้องเขา สายตาที่มองตรงมาของเด็กสาว ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย


            “เป่ยซี ฉันขับรถอยู่”


            “หา ขับรถ…หืม อย่าขับรถ ขับรถมันน่ากลัวจะตายไป…เอ๊ะ นายรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ ฉันคือเป่ยซี ฉันชื่ออี้เป่ยซีนะ ฉันชื่ออี้เป่ยซี ลาๆๆ มีความสุขจังเลย”


            “นายชื่ออะไรเหรอ?” อี้เป่ยซีโน้มตัวไปข้างหน้าอีก รู้สึกถึงเข็มขัดนิรภัยที่รัดตัวเองแน่น ใช้มือปลดมันพัลวันแต่ก็ยังปลดออกได้ เธอต้องการจะไปอยู่ด้านหน้าลั่วจื่อหาน


            “นายดูคุ้นตาจังเลยนะ ใช่พี่ชายเทพบุตรในฝันหรือเปล่าน้า”


            “เป่ยซี” ผลักๆ เธอลงไปที่ที่นั่ง “เชื่อฟังก่อนนะ”


            “ไม่เอา ไม่เอา” เธอใช้มือและเท้าแสดงความต่อต้านทานของตัวเอง “ฉันไม่อยากเชื่อฟัง เชื่อฟังน่ะไม่มีประโยชน์ที่สุดเลย ฉันไม่อยากทำ”


            ลั่วจื่อหานเลี้ยวไปอีกทาง จอดรถที่มุมถนน ดูแล้วเขาเองก็ไม่มีปัญญาขับรถพาเธอกลับได้แล้ว      เมื่อรถหยุด อี้เป่ยซีนั่งคลอเคลียอยู่บนตักของเขา แขนโอบอยู่ที่คอของเขา ทันใดนั้นเอง บรรยากาศภายในรถก็คลุมเครือฉับพลัน


            “พ่อเทพบุตรนายหล่อจังเลย หล่อกว่าพี่เป่ยเฉินอีก” ลั่วจื่อหานอาศัยจังหวะนี้กดเบอร์บนโทรศัพท์มือถือ ส่งตำแหน่งที่ตั้งออกไป เงยหน้ามองตาอี้เป่ยซี


            ข้างในมีโลกทั้งใบ โลกทั้งใบของเขา หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้


            “ทำไมนายหน้าแดงล่ะ” อี้เป่ยซีหัวเราะเบาๆ ปากแดงๆ อ้าออกเล็กน้อย “ร้อนมากเหรอ?”


            ลั่วจื่อหานรู้สึกว่ามีบางอย่างพังครืน เสียงข้างหูค่อยๆ เลือนลาง สายตาจับจ้องอยู่บนริมฝีปากนั้นที่ประเดี๋ยวเปิดประเดี๋ยวปิด ทุกคำพูดราวกับเป็นการเชื้อเชิญ


            “เป่ยซี อย่าเสียงดัง” น้ำเสียงระคนการอดกลั้น เขาส่ายหัว เพื่อให้ตัวเองฟื้นสติ


            อี้เป่ยซีได้ยินคำพูดของเขาก็มุ่ยปากไม่พอใจ “ฉันจะเสียงดัง ฉันจะไม่เชื่อฟัง” พูดพลางขยับตัวเล็กน้อยแสดงความไม่พอใจของตัวเอง ทันใดนั้นสองแขนของลั่วจื่อหานออกแรง กอดเธอแน่นอยู่บนหน้าอกของตัวเอง


            “อย่าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า” คำเตือนที่แฝงด้วยอันตราย อี้เป่ยซียิ่งต่อต้านรุนแรงกว่าเดิมแล้ว


            “มีสิทธิ์อะไร นายไม่ให้ฉันขยับฉันก็ไม่ขยับงั้นเหรอ ฉันอยากจะ…อือ…”


            ลั่วจื่อหานกัดริมฝีปากของเธอ มีรสชาติของการลงโทษเล็กน้อย แหวกว่ายเข้าไปในปากของเธอทีละนิดๆ รสหอมหวานของหญิงสาวผสมผสานกับกลิ่นหอมของเหล้านั้น มีฤทธิ์ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต


        “อืม รสส้มเหรอ? หวานจัง” อี้เป่ยซีพึมพำ บางอย่างเมื่อเริ่มแล้วก็ไม่สามารถควบคุมได้ ลั่วจื่อหานล็อคศีรษะของเธอ เพิ่มจูบให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น



บทที่ 90 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (5)


             อุณหภูมิภายในรถสูงขึ้นรุนแรงจนแทบจะทำให้ทั้งสองคนหลอมละลาย หลอมละลายจนกลายเป็นของกันและกัน หลอมละลายจนไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น หลอมละลายอย่างแนบแน่น หลอมละลายกลายเป็นร่างเดียวกัน เธอมีฉัน ฉันมีเธอ ร่างทั้งสองนั้นแนบชิดผสานเป็นหนึ่งเดียวไร้ช่องว่างใดๆ สวยงามจนทำให้แทบหยุดหายใจและคุ้มคลั่ง


            ลั่วจื่อหานผละออกจากปากของอี้เป่นเฉิน ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้ง มือวาดผ่านแก้มของเธอทีละน้อยๆ เด็กหญิงที่ดวงตาเหม่อลอยส่งเสียงหัวเราะคิกคัก เหมือนแสงอาทิตย์แรกอันอบอุ่นสดใสครั้งเมื่อโลกเพิ่งถูกสร้าง


            เธอยื่นมือออกไปสำรวจ ยังคงหายใจไม่เป็นจังหวะแต่ก็ยังมีความแน่วแน่ที่จะมองหารสหวานที่ได้ลิ้มลองก่อนหน้านี้ ริมฝีปากน้อยๆ ประทับลงบนริมฝีปากบางๆ ยื่นลิ้นออกมาลิ้มรสอย่างละเอียดด้วยความไร้เดียงสา ถูกอะไรบางอย่างนุ่มๆ ห่อพันไว้แผ่วเบา เธอหาที่มาของน้ำผึ้งนั้นเจอแล้ว


            “อือ แข็งจัง” อี้เป่ยซีขยับตัวอย่างอึดอัด ราวกับได้ยินเสียงซี่โครงเมื่อหลายร้อยปีก่อนกลับเข้าที่ ชัดเจนและสมบูรณ์


            “ปังๆๆ…” ผู้ช่วยเคาะกระจกด้านข้างด้วยความตื่นตระหนก เนื่องด้วยฟิล์มป้องกันชั้นพิเศษ เสียงและฉากที่คลุมเครือภายในรถจึงถูกห่อหุ้มอยู่ภายในชั้นสีเทา บุคคลที่สามไม่สามารถสอดรู้สอดเห็นได้


            ในที่สุดเสียงเคาะกระจกก็ทำให้ลั่วจื่อหานกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขาลูบหัวของอี้เป่ยซี จัดแจงเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของทั้งสองคนและพาคนที่ยังพูดจาเหลวไหลไปนั่งที่เบาะหลัง ผู้ช่วยนั่งลงที่เบาะคนขับอย่างกระวนกระวายใจ ฉากที่กั้นขึ้นมาทำให้เขารู้สึกวางใจเล็กน้อย


            นั่นคือ…ที่แท้ท่านประธานมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ไม่น่าล่ะ


            ราวกับว่าได้สอดรู้สอดเห็นความลับอะไรบางอย่างเข้า เขาจึงระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเสียงที่ดังมาจากด้านหลังเป็นครั้งคราว ทำให้ขนชั้นบางๆ ลุกชัน


            “เป่ยซี พอแล้ว” ลั่วจื่อหานล็อคตัวเธอไว้อีกทาง ลมหายใจหนักหน่วงเล็กน้อย


            อี้เป่ยซีเหมือนสัตว์ร้ายตัวเล็กๆ ที่ถูกกักขังมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะพูดอะไร จะผิดหรือถูก จะดีหรือเลว ก็ต่างไม่ยอมรับดังเช่นตนคือกบฏ


            “อย่านะ อย่านะ นายเอาลูกอมไปซ่อนไว้ที่ไหน” พูดพลางทั้งสองมือก็ยิ่งควานหาบนตัวของลั่วจื่อหานอย่างไม่เกรงใจ ไม่สนใจสีหน้าของเจ้าตัวเลย เส้นเลือดสีเขียวเส้นตุบอยู่บนหน้าผาก เหงื่อที่ไหลอยู่ข้างๆ ราวกับว่ากำลังแพร่กระจายด้วย ลั่วจื่อหานจับมือของเธอไว้


            “อย่าเสียงดัง ไม่งั้นเธอรับไม่ไหวแน่”


            อาจเป็นเพราะในคำพูดนี้มีพลังการข่มขู่เพียงพอ อี้เป่ยซีจึงพิงอยู่ด้านข้างอย่างไร้ชีวิตชีวา สีหน้าที่ไร้เดียงสาเหมือนเด็กในตอนแรกหายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่าและอ้างว้างที่แม้แต่ลั่วจื่อหานก็ไม่เคยเห็นมาก่อน วินาทีต่อมาก็กลายเป็นความสิ้นหวัง เธอยืนอยู่บนขอบหน้าผา ขุดสุสานของตัวเองทีละน้อยๆ


            “เป่ยซี” เขารู้สึกว่าคนในอ้อมกอดของตัวเองสั่นเทาเล็กน้อย ขดตัวเล็กอยู่ด้วยกัน กระดูกหัวไหล่กระทบอยู่บนหน้าอกของเขา สิ่งที่อยู่ในอกก็เจ็บปวดจางๆ เช่นกัน


            “ฉันอยากร้องเพลง ร้องเพลงร้องเพลง” คนในอ้อมอกเริ่มไม่เชื่อฟังขึ้นมาอีกครั้ง ตะโกนร้องเพลงเสียงดัง แผดเสียงจนสามารถทำลายโครงสร้างที่ราบรื่นของตัวอักษรจีนทุกตัว “นายก็ร้องสิ ร้องเพลงสิร้องสิ ร้องพร้อมกัน”


            ลั่วจื่อหานนิ่งเงียบ ตบเธอเบาๆ ฮัมเพลงพื้นบ้านต่างถิ่นอย่างสงบนิ่ง โน้ตแต่ละตัวไหลเข้าหูอย่างช้าๆ เหมือนไข่มุกที่เคาะอยู่บนเครื่องปั้นลายครามแผ่วเบา จู่ๆ อี้เป่ยซีรู้สึกเงียบสงบมาก เธอซบอยู่บนหน้าอกของเขาราวกับเจอเปลในวัยเด็กที่นอนสบาย มือที่อบอุ่นแกว่งไกวและปลอบประโลมอย่างละมุนละม่อม ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวสุกใสและเยือกเย็น มุมปากยกยิ้ม ในที่สุดก็หลับตาลง


            เมื่อมาถึงบ้านของลั่วจื่อหาน ผู้ช่วยก็จากไปโดยไม่พูดอะไร ลั่วจื่อหานอุ้มอี้เป่ยซีออกจากรถด้วยความระมัดระวัง วางลงบนเตียงที่อ่อนนุ่มในห้องนอน สองมือน้อยๆ เกาะเสื้อแน่น เขาก็ไม่ต้องการจะแกะมือคู่นั้นเช่นกัน เอนตัวลงข้างกายเธอแล้วกอดเธอเข้าสู่ความฝันด้วยกัน


            อี้เป่ยซีตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าหัวของเธอไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งปวดและเวียนหัวมาก พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองเป็นเหมือนกับปลาหมึก มือและเท้าวางเต็มพื้นที่ร่างกายของลั่วจื่อหาน เธอตกใจ เก็บมือและเท้าของตัวเองกลับมาเบาๆ


            เสื้อผ้ายังเป็นของเธอ เธอถอนหายใจโล่งออก


            แต่ว่าทำไมถึงมาโผล่ที่บ้านของลั่วจื่อหานได้ล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ร้องเพลงอยู่ที่คาราโอเกะหรอกหรือ จากนั้น จากนั้นเกิดอะไรขึ้น?


            เหมือนกับว่าฝันถึงลูกอมหวานๆ เหมือนกับว่าฝันถึงเสียงธรรมชาติอันเงียบสงบ?


            แล้วมันเกี่ยวอะไรกับลั่วจื่อหาน?


            “ตื่นแล้วเหรอ” ลั่วจื่อหานลุกขึ้นนั่ง อี้เป่ยซีมองเขาด้วยความงุนงงเล็กน้อย มองไปยังริมฝีปากของเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วส่ายหัวของตัวเองอย่างแรง


            “ปวดหัวเหรอ?”


        อี้เป่ยซีพยักหน้า


            “ดูซิว่าครั้งหน้าเธอยังจะดื่มเหล้าอีกไหม”


            “ฉัน มาอยู่ที่ได้ได้ยังไง?” อี้เป่ยซีเอ่ยปาก น้ำเสียงแหบแห้ง


            ลั่วจื่อหานหรี่ตา “ฉันพาเธอมา เธอเอะอะโวยวายว่าไม่อยากกลับบ้าน ฉันก็เลยพาเธอมานี่ที่นี่ก่อน”


            “ฉันมีอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงพามาที่บ้านนาย”


            “นอนเตียงเธอมันไม่ชิน”


        หน้าของอี้เป่ยซีแดงไปชั่วขณะ “ใคร ใครให้นายมาชินกับเตียงของบ้านฉันล่ะ ฉัน ฉันก็แค่พูด”


            “เอาล่ะ รู้แล้วว่าเธออยากจะพูดอะไร ดื่มน้ำชาหน่อยเถอะ” ลั่วจื่อหานยื่นชาให้อี้เป่ยซี เธอรับมาดื่มอึกๆ จนหมด น้ำชารสหวานขมไหลผ่านลำคอ อ่อนนุ่มกลมกล่อม


            เธอเหลือบมองเวลาบนโต๊ะ ตีหนึ่งครึ่ง


            ดึกป่านนี้แล้วเหรอ? ถ้างั้นให้เขาส่งเธอกลับไปดีกว่า


            “คือว่า…” อี้เป่ยซีรวบรวมความกล้าเอ่ยปาก ประโยคต่อไปของลั่วจื่อหานทำให้เธอพูดไม่ออก


            “ตรงนี้ยังมีเสื้อผ้าให้เธอเปลี่ยน อาบน้ำก่อนแล้วค่อยนอนดีไหม?” รอยยิ้มที่ไร้พิษสง อี้เป่ยซีพยักหน้า เดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเชื่อฟัง


            ไหนๆ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก อีกอย่างดึกป่านนี้แล้วก็ไม่ควรรบกวนคนอื่นตลอดเวลา เธอยืนครุ่นคิดอยู่หน้ากระจก ถอดเสื้อออกช้าๆ บนตัวยังคงมีกลิ่นเหล้าหึ่ง


            จะดื่มเยอะแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว มันแปลกเกินไปแล้ว


            ทั้งๆ ที่รู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ว่ากลับนึกไม่ออก ทุกอย่างล้วนเลือนลาง อีกทั้งยังมีสิ่งกีดขวางทางเดินของตัวเอง ไม่อนุญาตให้ก้าวไปข้างหน้า


            แต่ก็เหมือนรู้สึกว่ามีฝนตกพรำในพื้นที่แตกระแหงบางแห่ง แล้วก็รู้สึกเหมือนไม่มี แต่กลิ่นหอมสดชื่นของฝนที่เพิ่งตกใหม่ๆ ลอยอยู่ในอากาศ


            กลิ่นที่จางๆ ที่เงียบสงบนั้นหอมเป็นพิเศษ


            “คืนนี้เธอนอนที่นี่เถอะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะส่งเธอกลับมหา’ลัย” เสียงของลั่วจื่อหานดังขึ้นนอกห้องอาบน้ำ


            อี้เป่ยซีตอบว่าอือ ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างนอกไกลออกไปเรื่อยๆ


            เธอเอนตัวอยู่บนเตียงตามลำพัง แสงดาวเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง บทเพลงยามราตรีดังขึ้นข้ามผ่านกาลเวลา เธอที่ไร้ซึ่งความง่วงหลับตาลง ลมหายใจแผ่วเบากลายเป็นจังหวะต่อเนื่อง


        ลั่วจื่อหานนั่งอยู่ในห้องหนังสือของตัวเอง มีสมุดภาพวางอยู่ด้านหน้า ใช้ความพยายามทั้งหมดร่างเส้นด้วยดินสอที่ไม่คุ้นเคย ท้องฟ้า ก้อนเมฆ พระอาทิตย์ รวมทั้งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่กำลังฟังเสียงจากสายน้ำ แต่ละหน้าที่พลิกผ่านมีฉากทิวทัศน์แตกต่างกัน สิ่งที่เหมือนกันคือเด็กผู้หญิงคนนั้นที่กำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แสงอาทิตย์เลือนลางโผล่ขึ้นมาจากกระดาษวาดภาพ



บทที่ 91 สุขสันต์วันเกิด (1)


             สุดท้ายมู่ลี่ไป๋ก็ยังใช้เนื้อเพลงที่อี้เป่ยซีเขียน และยังประกาศว่าจะทำให้เธอประหลาดใจ อี้เป่ยซีกลับไม่มีความรู้สึกตั้งหน้าตั้งตาคอย เธอรู้ดีว่าเธอได้เอ่ยอำลาแล้วและหวังว่าเธอจะสามารถบอกลาได้จริงๆ เนื้อเพลงนี้เป็นการเขียนขึ้นเพื่อตัวเอง เขียนเพื่อตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัวมาก


            เวลายังคงไหลผ่านไปเป็นเวลาหลายเดือน ถังเสวี่ยกับฟางหมิ่นลาหยุดกับทางมหาวิทยาลัยเนื่องด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ฉินเยวี่ยเข่อก็ถูกลงโทษกักบริเวณเนื่องด้วยเรื่องก่อนหน้านี้ ส่วนฉินรั่วเข่อนั้น เพราะไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนจึงไม่มีใครพูดถึง ชีวิตก็ยังเหมือนกับเมื่อวานที่ผ่านไปอย่างสงบ


            หลังจากฤดูร้อนอันร้อนระอุได้ทรมานทุกคนแล้ว มันก็จากไปโดยยังทิ้งร่องรอยไว้เล็กน้อย ใบไม้ในบริเวณมหาวิทยาลัยค่อยๆ เปลี่ยนสี เหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ที่เฝ้าดูทุกอย่างอย่างอ่อนโยน


            อี้เป่ยซีเก็บสมุดวาดภาพของตัวเอง คิดจะจบธุระแล้วกลับบ้าน


            ราวกับว่าหลังจากเมามายครั้งนั้น ก็ชอบการวาดภาพโดยไม่รู้ตัว


            “ฉู่เซี่ย” เสียงดังขึ้นฉับพลัน สมุดวาดภาพในมือของอี้เป่ยซีร่วงลงพื้นเสียงดัง เธอมองค้อนคนที่กำลังเดินมา


            “ทำไมนายถึงโผล่มาปุบปับแบบนี้ ตกใจแทบแย่”


            “โถ่เอ้ย ตอนนี้จะมีอะไรทำให้เธอตกใจได้อีกล่ะ ไปๆๆ ไปที่นึงกับฉันหน่อย”


            อี้เป่ยซีหลบมือของเขา “ไม่ได้ วันนี้ฉันจะกลับบ้าน”


            “เธอจะตามใจฉันสักครั้งไม่ได้หรือไง?”


            “ฉู่ซ่งไม่ดื้อนะ พรุ่งนี้ฉันจะไปเที่ยวกับนาย” เก็บหนังสือวาดภาพใส่กระเป๋าของตัวเอง อี้เป่ยซีกำลังจะเดินไปยังสวนมหาวิทยาลัย


            ฉู่ซ่งหยุดอยู่หน้าม้านั่งเนิ่นนาน วิ่งเหยาะตามมาข้างๆ อี้เป่ยซี “ฉู่เซี่ย เธอรู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร?”


            “วันที่ฉันกลับบ้าน”


            เขาเผยอาการเสียใจเป็นอย่างมาก น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นมืดมน “วันนี้เป็นวันเกิดของฉู่เซี่ย วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของฉู่เซี่ย”


        อี้เป่ยซีหยุดเดิน ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร เม้มปากไม่พูดอะไร


            “เมื่อก่อนฉันก็ฉลองวันเกิดด้วยกันกับเขาทุกปี ฉลองกับเขาตอนเด็ก พอโตขึ้นก็ยังฉลองกับเขา ถ้าเธอมีธุระก็ไปเถอะ ไม่เป็นไร ฉันฉลองวันเกิดให้ฉู่เซี่ยคนเดียวจนชินแล้ว”


            “ตอนแรกฉันนึกว่าครบสิบแปดปีก็ควรจะพิเศษสักหน่อย ขอโทษที รบกวนเธอแล้ว”


            “ฉู่ซ่ง นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”


            ฉู่ซ่งปลดมือเธอออก แววตาเมินเฉย “ฉันรู้ว่าเธอหมายความว่าอะไร ป่านนี้แล้ว เธอก็น่าจะลืมไปหมดแล้ว ไม่เป็นไร ฉันไม่โทษเธอ”


            “ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีมองฉู่ซ่งที่เดินไปยังทิศทางตรงข้ามรู้สึกร้อนรนเล็กน้อย เธอสาวเท้าตามไป “ฉันจะไปกับนาย”


            “ไม่ต้องหรอก เธอกลับบ้านเถอะ ฉันจะกลับบ้านไปฉลองวันเกิดกับฉู่เซี่ย”


            “อัยยา ทำไมนายถึงขี้น้อยใจอยู่เรื่อยเลย ถ้านายให้ฉันไปอีกฉันก็จะไปจริงๆ แล้วนะ”


            ฉู่ซ่งกอดอี้เป่ยซี เสียงจมูกฟึดฟัด “ฉันก็แค่กลัว กลัวว่าเธอจะลืมฉู่เซี่ย ลืมฉู่ซ่ง ฉันกลัวว่าเธอจะลบอดีตทิ้งไป ฉันกลัวมาตลอดเลยเธอรู้ไหมฉู่เซี่ย”


            “ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันก็ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันจำได้ว่าตัวเองคือฉู่เซี่ย แล้วก็รู้ว่านายคือฉู่ซ่งนี่นา นายอย่าคิดมากได้หรือเปล่า”


            อี้เป่ยซีตบๆ หลังของเขา “ถ้านายยังร้องไห้อีก เจ้าของวันเกิดก็ไม่ไปแล้วนายจะจัดวันเกิดให้ใครล่ะ”


            “ได้ ฉันจะพาเธอไป” พูดจบก็ดึงมือของอี้เป่ยซีวิ่งไปยังสวนมหาวิทยาลัย ในตอนแรกย่าวก้าวของเธอหนักอึ้งเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังยึดติดกับอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ค่อยๆ เบาขึ้น ราวกับเด็กซุกซนที่ไล่จับผีเสื้ออยู่ริมแม่น้ำ


            ฉู่ซ่งไม่ได้พาเธอไปที่ภัตตาคารโรงแรมอะไรเทือกนั้น แต่กลับพาเธอไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารสด เลือกวัตถุดิบทำอาหารด้วยท่าทางจริงจัง


            “ไม่จริงมั้ง นายทำอาหารเป็นเหรอฉู่ซ่ง คิดไม่ถึงจริงๆ”


            “มีเรื่องที่เธอคิดไม่ถึงอีกเยอะ” ฉู่ซ่งวางวัตถุดิบลงในรถเข็น ไปยังเป้าหมายต่อไป อี้เป่ยซีมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ


            ซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารสดมีความเชื่อถือมากกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป จึงไม่มีสิ่งของไร้คุณภาพโผล่มาให้เห็น เธอพยักหน้า เดินตามฉู่ซ่ง


            สถานที่คือบ้านของฉู่ซ่ง อี้เป่ยซีกำลังเล่มเกมส์อยู่บนหน้าจอโดยไม่สนใจสิ่งใด เสียงที่อยู่ภายนอกถูกสกัดกั้นด้วยหูฟัง


            “ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งตะโกนเรียกอยู่หลายรอบ เธอจึงถอดหูฟังออก


            “นายเรียกฉัน?”


            “มาช่วยหน่อย”


            อี้เป่ยซีเล่นกับจอยสติ๊ก “ฝันไปเถอะ ฉันเป็นเจ้าของวันเกิด ไม่ต้องทำอะไร นายจัดการเองสิ ฉันเห็นตอนที่ลั่วจื่อหานทำกับข้าวเรื่องมากที่ไหนกัน ส่วนนายน่ะ ฝีมือไม่เท่าไรถนัดแต่เรื่องไร้สาระ”


            “ฉันอยากให้เธอหยุดพักจากเกมส์ที่วุ่นวายต่างหาก”


            “ขอบใจล่ะ ฉันยังอยากจะโฟกัสกับการต่อสู้ของฉัน ลาก่อนนะน้องชาย” พูดจบก็ใส่หูฟังอีกครั้ง ติดพันอยู่กับเรื่องราวของตัวละครที่ต่อสู้กันบนหน้าจอ ส่งเสียงประหลาดใจและเสียงดีใจแห่งชัยชนะออกมาเป็นครั้งคราว


            มีคนแตะไหล่ของเธอเบาๆ


            “อย่ายุ่งน่า ไม่เห็นเหรอว่าฉันจะชนะอยู่แล้ว…บ้าเอ๊ย ทำไมยังมีด่านนี้อีกนะ” อี้เป่ยซีกัดฟันมองดูผลแห่งความพ่ายแพ้ แสงสว่างที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิดเบื้องหน้ายังคงรอฉันอยู่นะ เธอถอดหูฟังออก หันหน้ามอง แต่กลับไม่ใช่รอยยิ้มของฉู่ซ่ง เธอลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น


            “นายๆๆ นายมาได้ยังไง”


        “เธอประมาทศัตรูเกินไปแล้ว” ลั่วจื่อหานลุกขึ้นเช่นกัน พร้อมประเมิน


            “ประมาทศัตรูอะไร เพราะว่าเขาเจ้าเล่ห์เกินไปต่างหาก นาย มานานแล้วเหรอ?”


            ลั่วจื่อหานวางของลงบนโต๊ะ “เปล่า เพิ่งมา”


            อี้เป่ยซีหันไปมองกล่องของขวัญบนโต๊ะ


            “ฉู่เซี่ย สุขสันต์วันเกิด”


            พอได้ยินคำอวยพร อี้เป่ยซีกลับไม่รู้ว่าต้องตอบว่าอะไร เธอหัวเราะแห้งๆ สองที “ฉลองวันเกิดสองครั้งได้ของขวัญวันเกิดนายสองรอบ ฉันนี่กำไรจริงๆ มันคืออะไรเหรอ”


            “ลองเปิดดูสิ”


            อี้เป่ยซีไม่หาข้ออ้างใดๆ วางจอยสติ๊กไว้อีกทาง แกะของขวัญออกด้วยความจริงจัง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจรู้สึกตั้งตาคอย


            ภายในกล่องไม้มีม้วนกระดาษม้วนหนึ่ง มือเธอสั่นเทาเล็กน้อย แกะเชือกไหมด้านนอกม้วนกระดาษออก


        มันคือภาพวาดที่ชื่อว่า ‘ติดตาม’ ในนิทรรศการภาพนั้น


            เขาทำได้อย่างไร จื่อจวีหานซื่อไม่แม้แต่จะแสดงมันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยอมขายให้เขา


            “นายนาย…ฉัน…” อี้เป่ยซีตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว


            “เพลงนั้นเพราะมาก เข้ากับภาพนี้มาก”


            “ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ นี่มันช่าง อา ช่างตื้นตันจังเลย”


            ลั่วจื่อหานมองดูท่าทางของเธอที่แทบจะกอดภาพวาดกระโดดโลดเต้น แววตามีความลึกซึ้งที่ต่างออกไป เพียงแต่ยิ้ม อี้เป่ยซีเก็บของขวัญไว้อย่างระมัดระวังมาก


            “ลั่วจื่อหาน อา ฉันชอบนายมากๆ เลย”


            “อืม ฉันรู้”


            เอ๊ะ อี้เป่ยซีเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจึงรู้ตัวว่าพูดผิดไป แก้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เธอมองไปทางอื่นด้วยความอึดอัด ไอเบาๆ ยกน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม


            “คือว่า งั้นเราสองคนมาเล่นกันสักตาไหม?” อี้เป่ยซีเปลี่ยนหัวข้อ หยิบจอยสติ๊กขึ้นมา ลั่วจื่อหานอมยิ้มพยักหน้า


            พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า


        “ไม่ได้ๆ อีกตา ฉันไม่เชื่อหรอก” อี้เป่ยซีคว้าจอยสติ๊ก เริ่มเกมส์ต่อสู้อีกครั้ง



บทที่ 92 สุขสันต์วันเกิด (2)


             “เสร็จแล้วยัง กินข้าวได้แล้ว” ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ฉู่ซ่งจึงวางอาหารทุกอย่างลงบนโต๊ะกินข้าวด้วยความพิถีพิถันมาก


            อี้เป่ยซีกุมจอยสติ๊กแน่นด้วยดวงตาแดงก่ำ แอบมองลั่วจื่อหานเป็นครั้งคราว กัดริมฝีปากและกดปุ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว สีหน้าของลั่วจื่อหานผ่อนคลาย ตรงกับข้ามกับการต่อสู้ที่ดุเดือนบนหน้าจอ


            “โถ่เว้ย” อี้เป่ยซีโยนจอยสติ๊กไปบนโซฟา “ไม่เล่นแล้วๆ ไม่ชนะนายเลย”


            ฉู่ซ่งเข้ามาแทรกระหว่างสองคน “ไม่เจียมตัว กินข้าวเถอะ”


            “ไม่ได้ รอฉันไปฝึกมาแล้วจะมาสู้กับนายสักร้อยตา ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะไม่ชนะเลยสักครั้ง”


            “โอเค กินข้าวก่อนเถอะ”


            ทันทีที่อี้เป่ยซีนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวก็ลืมเรื่องที่ตัวเองแพ้ราบคาบไปแล้ว เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นและตั้งตารอ “เอ๊ะ นายทำกับข้าวไม่เลวนี่นา”


            “จำเป็นต้องประหลาดใจขนาดนี้ด้วยเหรอ เธอไม่เห็นเหรอว่าฉันเป็นใคร จะแย่ได้ยังไง”


            ลั่วจื่อหานก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช้ได้”


            หลังจากทั้งสามคนกินอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ฉู่ซ่งง่วนกับบางอย่างใต้โต๊ะสักพัก ไฟในห้องก็ดับลงกะทันหัน แสงเทียนที่สั่นไหวเล็กน้อยค่อยๆ เดินออกมากจากห้องครัว เสียงทุ้มต่ำฮัมเพลงวันเกิดอยู่เนิ่นนาน ในเวลานั้นเองอี้เป่ยซีไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร


            เธอเห็นฉู่ซ่งที่ตระเตรียมด้วยความตั้งใจมาก เห็นจินตนาการที่เขามีต่อครอบครัวและมีต่อเธอ


            อี้เป่ยซีพบว่าตัวเองเหมือนจะผิดไปแล้วจริงๆ ไม่มีความรู้สึกอบอุ่น และไม่มีน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความตื้นตัน ความงดงามทั้งหมดกลายเป็นความกดดันทันทีที่ไฟดับลง กดอยู่บนบ่าของเธอ ในคอของเธอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ต้องปล่อยให้มันติดอยู่ตรงนั้น


            คนหนึ่งคนแบกรับชีวิตของสองคนไม่ไหวหรอก เธอนึกว่าตัวเองจะสามารถควบคุมสมดุลย์ได้ สุดท้ายจึงค้นพบว่าตัวเองห่างไกลจุดนั้นออกไปทุกที


            “ฉู่เซี่ย ขอพรเถอะ”


        “อ่อ” อี้เป่ยซีสองมือประสานกัน เธอไม่รู้ว่าต้องการอะไร หรืออยากขอพรอะไร ความคิดที่สับสนกำลังฉีกทึ้งเธอ ไม่สามารถคิดอะไรได้


            “เอาล่ะ เป่าเทียนเถอะ”


            แสงเทียนเลือนลางถูกเป่าจนดับ เมื่อไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง เค้กก็เด่นชัดอยู่ตรงหน้า ตุ๊กตาเด็กสาวถือผลไม้เชื่อมอยู่ในมือยืนอยู่หน้าชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ยิ้มอย่างสบายใจ


            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเหมือนกับตัวเองกำลังดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง มีเสียงหัวเราะร่าเริง เสียงเฮฮาและบรรยากาศน่ารื่นรมย์ แต่ว่าตัวเองอยู่อีกฝั่งของหน้าจอแบนราบ เพียงแค่ได้ยินแต่กลับสัมผัสไม่ได้และไม่มีความรู้สึกร่วม ความสวยงามของภาพยนตร์นั้นผู้ชมอย่างเธอเข้าไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว


            เธอคงจะเป็นผู้ชมที่ล้มเหลวมากที่สุดล่ะมั้ง


สังสรรค์กันต่อสักพัก อี้เป่ยซีกอดของขวัญของตัวเองต้องการจะกลับบ้าน เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบแล้ว ราตรีกำลังก้าวเข้ามา


            “ฉันไปส่งเธอเถอะ” ลั่วจื่อหานลุกขึ้นเสนอตัว อี้เป่ยซีครุ่นคิด พยักหน้า


            “ไม่มีความสุขเหรอ?” บนรถ ลั่วจื่อหานถามคำถามนี้ขึ้นสบายๆ แววตานิ่งเฉย


            เธอพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “ฉันโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ แล้วใช่ไหม คิดอยู่เสมอว่าปัญหาก็คงจะต่างจากเมื่อก่อนแล้ว”


            “เป่ยซี พรุ่งนี้กับวันนี้อาจจะไม่ต่างกันเลยก็ได้”


            “นั่นสิ แต่ฉันรู้สึกว่าเส้นทางข้างหน้ามันเปลี่ยนไปมาก พวกมันทั้งตัดกัน เชื่อมเข้าด้วยกัน ฉันหาถนนเส้นเก่าไม่เจอและเดินเข้าสู่ความมืดแล้ว ไม่ใช่แค่นี้ ฉันไม่เชื่อว่าถนนเส้นนี้จะพาฉันไปถึงที่สุดได้ แม้แต่รู้สึกว่าการที่ฉันมาถึงปัจจุบันได้เป็นเพราะทุกๆ ย่างก้าวในอดีตหรือเปล่า”


            “เอาเถอะ ฉันคงแค่รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ อยากจะพิสูจน์ตัวเองสักครั้งก็เลยคิดไร้สาระ นายไม่ต้องสนใจฉัน บางทีพรุ่งนี้ฉันก็อาจจะดีขึ้นก็ได้”


            พูดจบก็ฮัมเพลงกับตัวเอง ไม่ปล่อยให้ลั่วจื่อหานมีโอกาสได้พูด มือที่ถือของขวัญออกแรงเล็กน้อย เหงื่อซึมอยู่บนฝ่ามือโดยไม่มีสาเหตุ


            หลังจากรถจอดอี้เป่ยซีก็ลงจากรถอย่างรวดเร็วราวกับต้องการจะหลบหนี ไม่มีแม้แต่คำลา ลั่วจื่อหานมองดูแผ่นหลังที่พุ่งพรวดออกไป “เซี่ยเซี่ย สุขสันต์วันเกิด”


            พอเปิดประตูก็ได้กลิ่นเหล้าจางๆ อาหารยังคงวางอยู่บนโต๊ะ ดูแล้วยังไม่มีใครกิน เธอกัดริมฝีปาก เดินไปข้างหน้า มันเย็นชืดหมดแล้ว หยิบตะเกียบที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา คีบขึ้นมาชิ้นหนึ่งกำลังจะเอาเข้าปาก


            “เย็นหมดแล้ว” อี้เป่ยซีขนลุกชัน ยังคงกัดไปคำหนึ่ง วางตะเกียบลงข้างๆ


            “พี่เป่ยเฉิน พี่ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ งั้นฉันช่วยพี่อุ่นนะ”


            อี้เป่ยเฉินไม่ได้ตอบเธอ เดินตรงไปด้านหน้าอี้เป่ยซีโดยตรง ริมฝีปากที่โก่งยิ้มอยู่เสมอเม้มกันแน่น “เสี่ยวซี วันนี้เธอไปไหนมา”


            “ฉัน” กรอกตาไปมา ถอนหายใจอย่างยอมรับชะตากรรม “วันนี้ฉันไปกินข้าวที่บ้านฉู่ซ่ง ฉันบอกพี่เป่ยเฉินแล้วว่าจะกลับดึก…ฉัน…อือ ก็ตามนี้แหละ”


            “เสี่ยวซี เรื่องนี้พี่ถอยห่างออกมามากพอแล้ว”


            “ฉันรู้ ขอบคุณพี่เป่ยเฉิน”


            “อี้เป่ยซี หรือว่าเธอยังไม่เข้าใจว่าที่เธอมีความมั่งคั่งมีสถานะและมีความสุขทั้งหมดตอนนี้ก็เป็นเพราะชื่อของอี้เป่ยซี เธอคิดว่าฉู่เซี่ยดีกว่างั้นเหรอ ยากจนและตกต่ำ บางทีสักวันหนึ่งเธออาจจะเป็นเหมือนฉินรั่วเข่อที่พยายามทำทุกวิถีทาง แม้แต่การดูถูกตัวเองก็ไม่รู้สึกอะไร” อี้เป่ยเฉินแทบจะคำรามคำพูดเหล่านี้ออกมา ทันใดนั้นเสียงตบหน้าดังขึ้น ทั้งห้องเงียบลงอย่างประหลาด ดวงตาของอี้เป่ยซีราวกับว่ามีน้ำตาส่องประกาย


            “ฉันไม่เหมือนกับฉินรั่วเข่อ” น้ำตาทำให้สายตาขมุกขมัวทีละน้อย “พี่เป่ยเฉิน ฉันคิดว่าพวกเราต้องสงบสติอารมณ์สักหน่อย”


            “เสี่ยว เสี่ยวซี…” อี้เป่ยเฉินเห็นน้ำตาของเธอ ทันใดนั้นก็หายจากความบ้าคลั่งกลับสู่สภาวะปกติ “พี่ พี่ไม่ได้…”


            “ฉันรู้พี่เป่ยเฉิน พี่พูดถูกเลย ไม่ใช่เพราะว่าฉันคือฉัน แต่เพราะฉันคืออี้เป่ยซี ไม่มีปัญหาอะไรเลย” เธอหยิบของขวัญบนโต๊ะกินข้าว “แต่ว่าเรื่องล่อแหลมทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”


            ฉันอาจเลือกสิ่งของที่คนอื่นให้ฉันไม่ได้ แต่ว่าฉันสามารถเลือกที่จะรับหรือไม่รับได้ แน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่รักษาความมั่นคงของฝีเท้าตัวเองขึ้นไปข้างบน


            “พี่เป่ยเฉิน ราตรีสวัสดิ์” พูดจบก็ล็อคประตูจากด้านใน พิงประตูไหลตัวลงสู่พื้น อี้เป่ยซีซุกหัวอยู่บนเข่าของตัวเอง


            มีอะไรน่าเสียใจล่ะ ความจริงก็ควรเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ อี้เป่ยซี ทุกอย่างไม่ได้เป็นของเธอ มันเป็นของชื่อนี้ต่างหาก สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือให้เธอแสดงบทบาทนี้ให้ดีเท่านั้น เธอก็น่าจะเข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว


            เธอน่าจะเข้าใจว่าตราบใดที่เธอยังอยู่ก็เพียงพอแล้ว ทำไมถึงยังต้องการร้องขออย่างอื่น ความรัก การยอมรับ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องน่าตลกสำหรับเธอทั้งสิ้น


            อี้เป่ยเฉินคิดว่าเธอคืออี้เป่ยซีผู้เชื่อฟัง งั้นก็เป็นสิ ฉู่ซ่งต้องการเพียงฉู่เซี่ยที่อยู่เป็นเพื่อนเขาเพียงครั้งคราว งั้นก็ทำมันต่อไปสิ ไม่มีใครขอให้เธอทำอะไร เธอก็ไม่ต้องไปคิดสิ


            ไม่ต้องไปคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นอะไร ทำตามคำร้องขอให้ดีก็เพียงพอแล้ว


        เธอฝืนยิ้ม ดูแล้ว เธอก็เป็นแค่ตัวประกอบดีๆ นี่เอง



บทที่ 93 สุขสันต์วันเกิด (3)


             นั่งอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง อี้เป่ยซีขยี้ตา เดินลากเท้าไปที่เตียง ล้มตัวลงบนเตียงทันที ห้องยังคงเป็นเหมือนตอนที่เธอเพิ่งกลับประเทศ แต่ไม่รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติและอบอุ่นแบบนั้นอีกแล้ว เธอดึงผ้าห่มขึ้นแล้วพลิกตัว


            หลับตาลง ร่างกายราวกับว่ากำลังหลับใหล แต่สมองกลับตื่นตัวเป็นอย่างมาก ตื่นตัวจนไม่สามารถหลับลงได้


            ระหว่างที่กำลังสลึมสะลือนั้นเหมือนกับว่าชนอะไรบางอย่างเข้า ร่างกายของอี้เป่ยซีสั่น ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะที่กำลังสั่นได้ยินชัดเจนเป็นพิเศษ


            “ฮัลโหล”


        “ยังไม่นอนเหรอ”


            “นายทายถูกอยู่แล้วว่าป่านนี้ฉันยังไม่นอนสินะ” อี้เป่ยซีขยับตัวหาตำแหน่งสบายๆ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง “นายเป็นอะไรไป? นอนไม่หลับ?”


            “ฝันเห็นเด็กคนนึงกำลังผลักก้อนหิน ทั้งๆ ที่ผลักไม่ได้ก็ยังอวดเก่งยืนอยู่หน้าก้อนหิน ไม่รู้จักหาคนช่วย ก็เลยอยากดูสักหน่อยว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ”


            “จะทำอะไรได้ล่ะ กำลังคิดว่าจะผลักก้อนหินยังไง” น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มของอี้เป่ยซีเจือปนด้วยความเกียจคร้าน ในกลางดึก แม้มันจะผ่านการตัดแต่งด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ยังน่าฟังเป็นพิเศษ


            เหมือนระลอกคลื่นเล็กๆ ในทะเลสาบสีฟ้าคราม เหมือนน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ที่ละเอียดอ่อน


            “ลั่วจื่อหาน ขอบคุณที่นายเป็นห่วงฉันอยู่เสมอ” ไม่เกี่ยวกับเป่ยซี ไม่เกี่ยวกับฉู่เซี่ย เธอยื่นมือถือออกไปไกลแล้วถอนหายใจลึก


            “เป่ยซี ฉันอยู่ที่นี่เสมอ มีอะไรไม่สบายใจ เป็นทุกข์อะไรก็พูดกับฉันได้”


            อี้เป่ยซีกำโทรศัพท์มือถือแน่น “ไม่ว่าฉันพูดอะไร นายก็ดูออกไม่ใช่เหรอ”


            “มันไม่เหมือนกันเป่ยซี มันไม่เหมือนกัน สำหรับเธอแล้วมันไม่เหมือนกัน”


            เธอเงียบไปพักใหญ่ “เฮ้อ พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้เลย” อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรกับเขา แต่ก็ไม่อยากวางสาย ยังอยากจะจะหาหัวข้อเพื่อคุยต่อไป


            “ลั่วจื่อหานนายวาดรูปเป็นไหม?”


            “ทำไมถึงถามแบบนี้?”


        “อ่อ งั้นฉันไม่ถามแล้ว งั้นนายร้องเพลงเป็นไหม?”


            “ไม่เป็น”


            “งั้นนายร้องเพลงให้ฉันฟังได้หรือเปล่า?”


            ลั่วจื่อหานวางแก้วเหล้าในมือลง รู้สึกขำโดยไม่มีเหตุผล “ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นยังจะให้ร้องอีก”


            “ก็เพราะว่าไม่เป็นน่ะสิถึงจะหาความน่าสนใจจากเสียงเพลงของนายได้ ร้องเถอะ ร้องเถอะ”


             “……”


            “เฮ้อ ฉันไม่มีความสุขเลย ลั่วจื่อหาน มีคนไม่ยอมร้องเพลงให้ฉันฟัง เศร้าจริงๆ เลย เศร้าจนอยากจะร้องไห้”


             “……”


        “นายไม่ร้อง…ฉันจะ…”


            “หืม?”


            อี้เป่ยซีเบะปากร้องไห้ “นายจะร้องไหม ร้องไหม ไม่แน่ว่าร้องไปร้องมาฉันก็หลับไปแล้วถูกไหม นายก็ไม่ต้องถูกฉันดึงสายให้ยาวแล้ว”


            “ก็ได้”


            เสียงที่ทุ้มต่ำเหมือนไวน์ที่ถูกบ่มอยู่ในห้องใต้ดินเป็นเวลาหลายปี มนตร์สะกดผู้คนและความรู้สึกห่างไกลล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ เสียงเพลงที่เบาสบายค่อยๆ ทะลวงอะไรบางอย่างราวกับหยดน้ำที่กัดเซาะก้อนหิน อี้เป่ยซีประหลาดใจเล็กน้อย


            เสแสร้งอะไรกัน นี่หรือที่เรียกว่าร้องเพลงไม่เป็น?


            ถ้านี่คือร้องเพลงไม่เป็น งั้นคนที่ร้องเป็นก็มีไม่กี่คนแล้ว


            ฟังแล้วรู้สึกสบายมาก ราวกับว่ามันกำลังเยียวยาอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ


            ฉันแค่อยากบอกเธอคนเดียว


            อี้เป่ยซีนึกถึงคำพูดของลั่วจื่อหานก่อนหน้านี้ ในเวลานี้เสียงและบทเพลงนี้ราวกับว่าเป็นของเธอคนเดียว หัวใจสั่นเล็กน้อยอย่างมีความสุข


            “เป่ยซี อี้เป่ยซีก็ดี ฉู่เซี่ยก็ดี…”


            “ฉันน่ารักที่สุดใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า”


            ลั่วจื่อหานถอนหายใจ “ใช่ เธอน่ารักที่สุด”


            “งั้นนายชอบฉันหรือเปล่า” พอพูดจบทั้งสองคนก็เงียบ


            อี้เป่ยซีเธอนี่ปากไวจริงๆ ปากมากที่สุด ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือระหว่างคนสองคนนั้นดูเหมือนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเนื่องจากประโยคนี้


            พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว หมอกก็ค่อยๆ จางหายไป


            “แค่ก เปล่านะ ฉันหมายความว่า…คือว่า…”


            “เป่ยซี ฟ้าสว่างแล้ว”


            “อ๊ะ” อี้เป่ยซีรีบออกมาจากผ้าห่ม แสงแรกของวันสาดส่องอยู่บนตัวเธอพอดี เธอลุกขึ้นเท้าเปล่า เท้าเพิ่งจะแตะพื้น เสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น


            “ใส่รองเท้าไปดูสิ”


            “ทำไมนายรู้ทุกอย่างเลย พูดมา ติดกล้องอะไรไว้ในบ้านของฉันใช่หรือเปล่า? สารภาพมาซะดีๆ” แม้จะพูดแบบนี้ เธอก็ยังเอาเท้าเกี่ยวใส่รองเท้าแตะของตัวเอง เดินไปที่หน้าต่าง ดึงเปิดผ้าม่านออก


            “ว้าว สวยจังเลย พระเจ้า”


            “อืม แสงอาทิตย์แรกของเธอ”


            อี้เป่ยซียิ้ม “นายรอแป๊บนะ เหมือนจะมีข้อความเข้า ฉันขอดูหน่อย”


            เปิดออกมาจึงพบว่าเป็นข้อความของลั่วจื่อหาน เลิกคิ้วเล็กน้อย เปิดออกดู มันคือภาพน้ำมันของแสงอาทิตย์แรกของวัน เหมือนกับทิวทัศน์ที่สวยงามตรงหน้าเธอไม่มีผิดเพี้ยน


            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน นาย นายทำให้ฉันประหลาดใจจริงๆ หา นายเก่งจังเลย”


            “ให้เธอ แสงอาทิตย์แรกของเธอ” ลั่วจื่อหานวางพู่กันไว้ข้างๆ มองพระอาทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่าง เขารู้ดีว่าเธอก็มองเห็นทิวทัศน์เดียวกัน หรืออาจจะมีอารมณ์เดียวกัน


            “วันใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว พระอาทิตย์ตัวน้อย”


            “อืมๆ เริ่มแล้ว เดี๋ยวเจอกัน”


            “เดี๋ยวเจอกัน”


            อี้เป่ยซีหันหลังเข้าห้องน้ำไป เลือกเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสกว่าเดิมอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า สวมรองเท้าส้นเตี้ยที่ระบายอากาศได้แล้วออกจากบ้าน


            บนโต๊ะไม่มีอาหารเช้า และไม่เห็นเงาของอี้เป่ยเฉิน เธอดื่มน้ำไปหนึ่งแก้ว แววตามืดมนเล็กน้อย พี่เป่ยเฉินพูดแบบนั้น เขาเองก็เสียใจมากสินะ


            เธอวางแก้วน้ำลงอย่างแรง ช่วงนี้ อย่าเพิ่งไปรบกวนพี่เป่ยเฉินจะดีกว่า บางทีการที่เธอปรากฏตัวจะยิ่งทำให้เขาอึดอัด ตอนนี้ไปมหาวิทยาลัยแล้วจัดการอาหารเช้าของตัวเองน่าจะสมเหตุสมผลกว่า


            สะพายกระเป๋า เพิ่งเดินออกจากชุมชนก็เห็นรถที่รู้สึกคุ้นเคยคันหนึ่งเลือนลาง จนกระทั่งรถคันนั้นบีบแตรดังปิ๊นๆ เธอจึงนึกออกว่าเป็นใคร วิ่งเยาะเข้าไปหา


            “อรุณสวัสดิ์”


            “อรุณสวัสดิ์”


            “ไม่ทราบว่าพี่ชายสุดหล่อท่านนี้จะแวะส่งฉันที่มหา’ลัยได้หรือเปล่า?”


            “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ขึ้นมาเถอะ”


            อี้เป่ยซีเปิดประตูรถ หลังจากรัดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ลั่วจื่อหานจึงค่อยๆ ออกรถ ระหว่างนั้นอี้เป่ยซีจ้องมือของเขาตลอดเวลา


            “เป็นอะไรไป?”


            เธอส่ายหัว “ก็แค่รู้สึกประหลาดใจ มือของนายเหมือนกับมีเวทมนตร์เลย วาดรูปก็ได้ ทำกับข้าวก็ได้ ไม่รู้ว่าทำอะไรได้อีก…เอ๊ะ นายเล่นดนตรีอะไรได้ไหม”


            ลั่วจื่อหานยกปากยิ้ม ระคนความหมายลึกซึ้ง “กินข้าวเช้าแล้วยัง?”


            “ยังเลย”


        ลั่วจื่อหานราวกับเป็นนักมายากล หยิบถุงกระดาษออกมาจากข้างตัว “น่าจะยังร้อนอยู่”


            อี้เป่ยซีรับมา เนิ่นนานยังไม่เปิดออก “ลั่วจื่อหาน พวก พวกนาย ไม่จำเป็นต้องดีกับฉันขนาดนี้หรอก”


            “ตอนนี้พวกเราไม่ใช่เพื่อนกันหรือไง? ถ้าหากเธอรู้สึกว่าฉันกดดันอะไรเธอ ก็พูดตรงๆ ได้”


            “เปล่า ฉันก็แค่กลัว”


        “กลัวว่าอดีตจะซ้ำรอยเหรอ? เป่ยซี เรื่องนี้ฉันเป็นคนเลือกเอง สุดท้ายผลจะเป็นยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ อีกอย่าง เธอจะต้องเชื่อว่าฉันไม่เหมือนลู่เยี่ยหวา เธอก็ไม่เหมือนเธอในอดีตไม่ใช่เหรอ ปิดตายทุกเส้นทาง คิดจะยืนอยู่กับที่คนเดียวไม่ก้าวไปข้างหน้า แบบนั้นต่างหากถึงทำร้ายคนอื่นรวมทั้งตัวเธอเองด้วย”


        “เป่ยซี ถ้าหากไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องไปคิดแล้ว ตั้งใจทำสิ่งที่ควรทำ บางทีต่อไป ข้อสงสัยทุกอย่างอาจจะคลี่คลายก็ได้”



บทที่ 94 ความลำบากใจ (1)


             อี้เป่ยซีพยักหน้า ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ช้ารถก็มาถึงหน้ามหาวิทยาลัย เธอกล่าวขอบคุณแล้ววิ่งกลับไปยังหอพัก ประตูหอพักล็อคอยู่ ไม่มีใครอยู่เลย


            ทำไมมักรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง?


            เธอเปิดประตู ดึงเปิดผ้าม่านออก แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องนั้นอบอุ่น ยังมีเสียงร้องของนกและแมลงตามแสงอาทิตย์เข้ามาในห้อง ทุกอย่างเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด


            ผ่านไปสองสัปดาห์ อี้เป่ยซีไม่ได้โทรศัพท์หาใคร ไม่ได้กลับบ้านและไม่อยากกลับที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง ราวกับว่าพวกเขาก็คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไม่ติดต่อเธอ สิบสามวัน อี้เป่ยซีใช้ชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่สุดแสนจะธรรมดา เข้าเรียนกินข้าวแล้วกลับหอ เรียบง่ายเหมือนสายน้ำ นอกจาก…


            นอกจากว่าในหอพักของตัวเองมีเพียงเธอเท่านั้น เธอพลิกตัวอยู่บนเตียง แขนห้อยอยู่ตลอดเวลาขณะอ่านหนังสือ มือข้างหนึ่งไม่ได้จับหนังสือไว้มันจึงปิดเข้าด้วยกันแล้ว ในใจรู้สึกตลกเล็กน้อย ลุกขึ้นลงจากเตียงเอาหนังสือไปเก็บไว้ที่ชั้นวาง


            คว้ารองเท้าคู่หนึ่งมาใส่ อี้เป่ยซีคิดจะไปเดินเล่นในมหาวิทยาลัย ราวกับว่าเมื่ออารมณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน ความน่ารักที่ไม่เคยสังเกตก่อนหน้านี้ก็ต่างปรากฏให้เห็น คลื่นสีฟ้าในทะเลสาบเทียม ต้นหลิวที่พริ้วไหวอยู่ข้างๆ เสียงของหมากรุกที่กระทบบนกระดานชนวน…


            อี้เป่ยซีนั่งลงข้างรูปปั้น เลียนแบบเขา นั่วไขว่ห้างชมท้องฟ้า ไม่มีร่องรอยของพระอาทิตย์ตกดิน สว่างสดใสยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ เธอนึกถึงเวลาที่ลั่วจื่อหานพาเธอชมพระอาทิตย์ตกดินที่งดงาม นึกถึงตอนที่ลั่วจื่อหานพาเธอชมแสงแรกของวัน เงียบสงบและเปี่ยมด้วยความหวัง


            ตอนกลางคืนผ่านไปแล้ว


            “พระอาทิตย์ขึ้นแล้วใช่หรือเปล่า?” เธอหันมองรูปปั้นที่อยู่ข้างๆ ราวกับว่ามองเห็นประกายส่วนลึกในดวงตาของรูปปั้น อี้เป่ยซีลุกขึ้น เตรียมเก็บของกลับบ้าน


            ไม่ได้กินอาหารฝีมือพี่เป่ยเฉินนานแล้ว โทรไปก่อนดีหรือเปล่า? อี้เป่ยซีเดินไปได้ครึ่งทางก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ครุ่นคิด แล้วก็เก็บมันกลับไป


            เตรียมตัวกลับไปทำให้เขาประหลาดใจดีกว่า


            อี้เป่ยซีสะพายเป้ที่เต็มไปด้วยสิ่งของอย่างมีความสุข เรียกรถแท็กซี่ มันเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนพอดี รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าช้าๆ เหมือนหอยทาก อี้เป่ยซีมองไปนอกหน้าต่าง เสียงแตรรถดังสนั่น เสียงแออัดจอแจ จิตใจที่แจ่มใสหม่นหมองลงมาเล็กน้อย


            ไม่ต้อนรับฉันกลับไปหรือไง รถถึงได้ติดขนาดนี้ เธอพิงอยู่ที่เก้าอี้ ถอนหายใจ จนกระทั่งฟ้ามืดลงเล็กน้อย อี้เป่ยซีจึงถึงบ้านตัวเอง ประตูไม่ได้ล็อคไว้ราวกับกำลังรอให้ใครบางคนมา


            เธอครุ่นคิด มุมปากยกยิ้ม คนในมหาวิทยาลัยพวกนั้นคงจะบอกพี่เป่ยเฉินว่าตัวเองจะกลับมาล่ะมั้ง รู้งี้ก็บอกเขาด้วยตัวเองไปแล้ว


            ผลักประตูออกแผ่วเบา ฉากกลับไม่เหมือนที่ตัวเองคิดไว้ บนโต๊ะมีถ้วยกับตะเกียบสามชุด เห็นแล้วเหมือนกับกินเสร็จแล้วแต่ยังไม่ทันได้เก็บ เธอสงสัยเล็กน้อย


            ปกติแล้วจะไม่มีคนมาบ้านของเธอ นอกจาก…น่าจะเป็นพี่เจี้ยกับหลานฉือเซวียนล่ะมั้ง พวกเขาอยู่กันครบเหรอ? คุยธุระกันในบ้านหรือไง?


            อี้เป่ยซีตัดสินใจเอาของเก็บในห้องของตัวเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน เดินถึงชั้นบนก็ได้กลิ่นน้ำหอมที่เธอไม่คุ้นเคยตลบอบอวล เป็นกลิ่นน้ำหอมที่แสบจมูกมาก


            กวาดตามองซ้ายขวา เอ๊ะ พบว่ามีบางอย่างแปลกไป เธอส่ายหัว ปลอบใจตัวเองว่าน่าจะเกิดภาพหลอน เดินขึ้นชั้นบนอย่างอย่างระมัดระวัง เสียงที่ได้ยินเลือนลางอยู่ข้างหูยิ่งชัดเจนมากขึ้น


            เพิ่งเดินถึงหัวบันได ก็เห็นเสื้อผ้าร่วงกระจัดกระจายอยู่หน้าประตูห้อง มันคือหน้าประตูห้องของเธอ


            เสียงคำรามของผู้ชายและเสียงครางขอความเมตตาของผู้หญิงแจ่มชัดยิ่งขึ้น และยังได้ยินเสียงการปะทะกันของร่างกายเป็นครั้งคราว อี้เป่ยซียืนอึ้งอยู่ตรงนั้น พลังงานในร่างกายราวกับว่าถูกสูบออกไปจนหมด เธอก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ประตูของห้องตัวเองกลับเปิดออกโดยไม่มีสัญญาณเตือน ร่างเปลือยเปล่านัวเนียกันอยู่บนเตียง เสียงแห่งความรื่นรมย์ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นตามเรี่ยวแรงของฝ่ายชาย เสียงกรีดร้องดังเป็นระยะๆ


            เธอหยุดอยู่ตรงนั้นทำอะไรไม่ถูก เสียงของชายหญิงยังคงดังอยู่ในหู ราวกับว่ามีบรรยากาศที่ชวนให้หน้าแดงอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งโผล่มาแล้วลากเธอไปด้านข้างทันที ลากมาถึงห้องรับแขกชั้นล่าง อี้เป่ยซีจึงตื่นจากภวังค์ รู้สึกอะอิดสะเอียน เธอประคองโซฟาทรุดตัวลงนั่ง


            “อี้เป่ยซี ฉันเตือนเธอตั้งนานแล้ว” ฉินเยวี่ยเข่อกอดอก พูดจาหยิ่งยโส “ตอนนี้ก็เห็นแล้ว ตัดใจซะเถอะ”


            พี่เป่ยเฉิน…ทำไมถึง…ทำไมถึงยังจะ…เธอรู้สึกในสมองสับสน สับสนมากๆ เหมือนกับคุณนึกว่าในที่สุดแล้วพระอาทิตย์จะขึ้น แต่ทันใดนั้นมีคนมาบอกคุณว่า ราตรีจะยาวนานกว่าเดิม ไม่มีที่สิ้นสุด คุณไม่มีวันเดินออกไปได้ตลอดกาล และอย่าพยายามที่จะขัดขืน


            “นี่เป็นความตั้งใจของพี่เขย เธออย่าไปรบกวนพวกเขาจะดีกว่า อ้อ จริงสิ” ฉินเยวี่ยเข่อทำเป็นไม่ตั้งใจเตะๆ ขาของอี้เป่ยซี “ฉันนอนห้องรับแขก ห้องของพี่เขยปกติแล้วไม่ให้ใครเข้า เธอก็น่าจะรู้นะ ฉะนั้น วันนี้รบกวนเธอไปค้างที่อื่นสักคืนเถอะ”


            อี้เป่ยซีประคองตัวลุกขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าซีดขาว แต่รอยยิ้มกลับคมกริบจนทำให้ไม่กล้ามองตรงๆ “ฉินเยวี่ยเข่อ พี่เป่ยเฉินทนทรายในตาไม่ได้หรอก เธอทำเรื่องเลวอะไรอย่าทิ้งร่องรอยไว้แล้วกัน ไม่อย่างั้นศพจะไม่สวย”


            “แก…” ฉินเยว่เข่อจ้องเธอเขม็ง จากนั้นก็ยิ้มผ่อนคลาย “เธอคิดว่า พี่เขยจะฟังคำของน้องสาวที่กำลังจะจากไปเร็วๆ นี้ หรือว่าจะฟังคำของพี่สาวของฉันคนนั้นที่เขาปลีกตัวออกมาไม่ได้ล่ะ? ประเด็นไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ว่าฉันทำอะไร แต่พี่เขยคิดจะทำยังไงต่างหาก เธอมองไม่ออกเหรอ?”


            “งั้นก็อวยพรให้เธอโชคดี” พูดจบก็หันหลัง ต้องการจะออกไปจากบ้านหลังนี้


        “ฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดไป ต่อไปเธอก็อย่าคิดที่จะกลับมาอีก”


        อี้เป่ยซีหัวเราะเยือกเย็น น้ำเสียงนั้นทำให้ฉินเยวี่ยเข่ออดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “งั้นต้องดูว่าเธอมีความสามารถอะไร” พูดคำนี้จบก็ปิดประตูอย่างแรง


            ฟ้ามืดแล้ว ยังมีคนบางส่วนเดินเล่นบนถนน ในตอนนั้นเองอี้เป่ยซีไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน   อี้เป่ยซี เหมือนกับว่าเธอไม่มีบ้านแล้ว เธอยิ้มขมขื่น ทำไมทุกครั้งเวลาที่คิดว่าตัวเองหนีออกมาได้แล้ว ก็จะถูกติดอยู่ในร่างแหที่ใหญ่กว่าเดิมจนถอนตัวไม่ได้แบบนี้…


            หนีออกไปไม่ได้ งั้นก็ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่ตัวเองสมควรได้รับ จะพูดอะไรได้ล่ะ แล้วจะโทษใครได้ล่ะ?


            เธอเดินอยู่บนถนน คิดว่าถ้าตอนนั้นฝนตกก็จะเหมาะสมที่สุด แต่ว่าสภาพแวดล้อมเงียบสงบ ยังมีเสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างผ่อนคลายของผู้คนบนถนน มีเพียงเธอคนเดียวที่เศร้าโศก ไม่มีใครอยู่กับเธอ ไม่มีแม้ทัศนียภาพที่สวยงาม


            เธอมักจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกแยก เป็นเช่นนี้มาตลอด


            “อุ๊ย น้องสาวเป็นอะไรไป? อกหักเหรอ?” เสียงหัวเราะของคนเร่ร่อนดังมาจากข้างหลัง น่าจะมีสามถึงห้าคน หลังจากได้ยินประโยคนี้แล้วก็หัวเราะอย่างหยาบคาย อี้เป่ยซีเดินเร็วขึ้น


            “เอ๋ น้องสาวเดินเร็วแบบนี้ทำไม เดี๋ยวล้มเจ็บจะทำยังไง มา ให้พี่ชายดูหน่อย”


            อี้เป่ยซีกำสองมือแน่นออกวิ่งทันที หลายคนด้านหลังจึงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ ผิวปากอย่างไม่สบอารมณ์ ราวกับว่ากำลังเล่นเกมส์แมวจับหนู ไม่ช้าก็จะกลายเป็นอาหารในจาน


            ไม่ได้ วิ่งไปที่ถนนใหญ่ วิ่งไปที่ถนนใหญ่ เธอเพิ่งก้าวออกไปก้าวแรก ก็ถูกจับไว้ทันทีสองมือถูกมัดเอาไว้


            “วอร์มร่างกายเสร็จแล้ว พวกเราควรจะออกกำลังกายจริงๆ ได้แล้วยัง?”


            “พวกแกปล่อยฉัน ปล่อยฉัน” อี้เป่ยซีดิ้นรน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ชายสี่คนโดยธรรมชาติ ผู้ชายตรงหน้าค่อยๆ ยื่นมืออกมา ปลายนิ้ววาดอยู่บนใบหน้าของเธอ


            “เด็กดี เดี๋ยวพี่ชายจะทำกับเธออย่างดี พวกนายสองคน หืม” สองขาของอี้เป่ยซีถูกมัดแน่น ในขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะก้าวเข้ามาใกล้ จู่ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้น ทุกคนทิ้งเธอรีบหนีเตลิดเปิดเปิง


            เธอล้มลงบนพื้น กอดตัวเองสะอื้น


            “คุณหนูวางใจเถอะ พวกเราจะไม่ปล่อยให้คนที่ทำร้ายคุณหนูจบสวยแน่” เขามองไปยังทิศทางที่คนพวกนั้นหนีไป ดวงตาหรี่ลง ก้มหน้ายืนอยู่ข้างอี้เป่ยซี


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานกอดอี้เป่ยซีด้วยความตื่นตระหนก สั่นเทาเล็กน้อย “เป่ยซีไม่เป็นแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”


        “ลั่วจื่อหาน ฉันไม่มีบ้านแล้ว ลั่วจื่อหาน ฉัน ฉันไม่มีบ้านแล้ว”


————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม