Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 61-79

 บทที่ 61 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (3)


            “เป่ยซี ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว หลายวันนี้เธอไปไหนมา?” ถังเสวี่ยเดินมาที่ข้างเตียงอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีลงจากเตียงมานั่งอยู่บนม้านั่งไม้ของตัวเอง


            “มีธุระที่ยังจัดการไม่เรียบร้อยน่ะ ก็เลยอยู่บ้านหลายวัน หลายวันนี้ไม่มีการบ้านอะไรเนอะ”


            ถังเสวี่ยส่ายหน้า มองเธอเหมือนต้องการจะพูดบางอย่างแต่ไม่ได้พูด “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร”


            “อะไรๆ?”


            ฟางหมิ่นเปิดประตู สีหน้าของเธอดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก้าวเดินยังคงอ่อนแรงนิดหน่อย เธอเดินเข้ามาในห้องพัก นั่งลงข้างโต๊ะอ่านหนังสือ “อี้เป่ยซี หลายวันนี้เธอไม่เป็นไรนะ?”


            อี้เป่ยซีที่จู่ๆ ได้รับความห่วงใยอย่างไม่คาดฝันก็ประหลาดใจ ปกติฟางหมิ่นพูดจาเย็นชา ทำไมวันนี้ถึงได้อ่อนโยนขึ้น “ไม่เป็นไร เธอล่ะ ได้ยินว่าเธอเข้าโรงพยาบาลเหรอ? ตอนนี้ร่างกายเป็นยังไงบ้าง ทำไมดูแล้วยังไม่มีชีวิตชีวาเลย”


            ฟางหมิ่นหัวเราะอย่างอ่อนแรงมากสองครั้ง เธอจะยกมุมปากขึ้นเผยรอยยิ้ม แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้ากลับกระตุก ทำอย่างไรก็ยิ้มไม่ออก จึงได้แต่ยอมแพ้ “ไม่มีอะไรดีไม่ดีหรอก ไม่ตายก็นับว่าเป็นบุญแล้ว”


            “ฟางหมิ่น” ถังเสวี่ยมองเธออย่างตำหนิ รู้สึกไม่ชอบใจกับความรู้สึกหดหู่ในคำพูดของเพื่อน ฟางหมิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า เหลือบมองถังเสวี่ย ความขมขื่นในแววตายิ่งล้ำลึก มือที่ถือแก้วสั่นเบาๆ ของเหลวสองสามหยดกระเด็นใส่เสื้อตัวเอง


            “ฉันรู้แล้ว” เธอดึงทิชชูสองสามแผ่นมาเช็ดน้ำบนเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วเช็ดหยดน้ำบนโต๊ะอย่างพิถีพิถัน ทุกขั้นตอนเป็นไปด้วยความเชื่องช้า อี้เป่ยซีมองดูการกระทำและอาการเจ็บป่วยอ่อนแรงของฟางหมิ่นทั้งอย่างนี้โดยไม่ได้พูดอะไร ฟางหมิ่นป่วยหนักเป็นอะไรงั้นเหรอ?


            “เป่ยซี ฉันจะบอกเธอให้ ฝั่งวิจิตรศิลป์มีอาจารย์หล่อมากคนหนึ่งมาใหม่ หล่อมากๆ จริงๆ นะ ได้ยินว่าเป็นคนประเทศ U แหละ”


            อี้เป่ยซีไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนี้ เธอพยักหน้า รู้สึกว่าแบบนี้จะทำให้หอพักกลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง “เอ่อ แล้วเขาชื่ออะไรเหรอ?”


            ถังเสวี่ยหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ชื่อของเขาก็เพราะมากด้วย ชื่อเซี่ยเช่อ เซี่ยที่หมายถึงฤดูร้อน เช่อที่แปลว่าใสสะอาด คนก็ช่างเข้ากับชื่อดีจริงๆ อาจารย์คนนั้นดูแล้วก็สะอาดเอี่ยมมากเลยล่ะ”


            “เซี่ย เซี่ยเช่อ”


            “ใช่แล้ว แต่ฉันรู้สึกว่าอาจารย์คนนี้ดูคุ้นตานิดหน่อย แค่นึกไม่ออกว่าเคยเจอเขาที่ไหน” ถังเสวี่ยครุ่นคิดจนสมองแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ สีหน้าใช้พลังมากอย่างเห็นได้ชัด


            “เธอว่า คงไม่ใช่เซี่ยเช่อคนนั้นที่ฉันรู้จักหรอกมั้ง”


            “ใช่ๆๆ เซี่ยเช่อคนนั้นแหละ ฉันก็ว่าทำไมเขาถึงคุ้นหน้าขนาดนี้ ที่แท้ก็เคยเห็นที่งานวันเกิดเธอ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะเป็นศิลปิน”


            อี้เป่ยซีหัวเราะแห้งๆ “งั้นวิชาเลือกต่อไปของพวกเราก็ไม่เกี่ยวกับเขาสินะ”


            “จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ต่อไปเขานี่แหละที่จะสอนพวกเรา อาจารย์คนก่อนลาหยุดไปแล้ว ได้ยินว่าจะกลับไปคลอดลูก”


            หางตาเธอกระตุก อาจารย์หนุ่มโสดจะลาคลอดอะไรกัน “เอ่อ งั้นต่อไปวิชานั้นก็ไม่สนุกแล้ว” เธอส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าทำเซี่ยเช่อถึงสนใจอยากเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียน รู้สึกเหนื่อยกับการออกแบบงั้นเหรอ หรืออยากเปลี่ยนรสชาติ?


            เหตุผลอะไรก็ไม่สำคัญ สุดท้ายอย่าทำให้คะแนนของเธอดูไม่ได้ก็พอแล้ว อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างจริงจังมาก ใช่ นี่แหละคือประเด็นสำคัญ


            “เป่ยซี อาจารย์เซี่ยเขาคุยง่ายหรือเปล่า วิชาเลือกน่ะ เขาคงไม่ปล่อยให้นักศึกษาดรอปกันหลายคนหรอกนะ” ถังเสวี่ยถามอีก


            อี้เป่ยซีส่ายหัว “ทุกอย่างต้องดูอารมณ์ของเขาเลย ถ้าเขาเห็นเธอแล้วไม่ถูกชะตา เรื่องบ้าบออะไรก็หยิบยกขึ้นมาได้ ถ้าเขาอารมณ์ดี ทุกๆ อย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาก็จะปล่อยผ่านไปได้ แต่ว่าฉันไม่เคยเป็นนักเรียนของเขา ไม่รู้ว่าเขาโหดหรือเปล่า”


            “หา ฉันดูแล้วอาจารย์เซี่ยน่าจะคุยง่ายซะอีก”


            ถ้าถังเสวี่ยเห็นเขาเผาเสื้อผ้าที่คนอื่นทำมาอย่างยากลำบาก หรือตอนที่เขายัดแป้งเข้าไปในปากอีกฝ่ายแล้วล่ะก็ เธอก็จะไม่คิดว่าเขาเป็นคนพูดง่ายแล้ว


“ที่จริง ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ถือว่าคุยง่ายอยู่นะ”


            “เป่ยซี แล้วก็ๆ เธอรู้รึเปล่า คาบของอาจารย์เซี่ยบ่ายนี้น่ะ รุ่นพี่หลานก็กลับมาแล้วด้วย” ดวงตาทั้งคู่ของถังเสวี่ยเป็นประกายแวววาว


            “ว่าไงนะ? วันนี้ก็มีคาบของเขาแล้วเหรอ?”


            “ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นเหอะ”


            ตอนพักเที่ยง อี้เป่ยซีทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเพราะเรื่องของฉินรั่วเข่อกับเซี่ยเช่อวนเวียนอยู่ในหัว ดังนั้นเมื่อเธอลืมตาขึ้นมา คนในหอพักก็ต่างเตรียมตัวออกไปเรียนกันแล้ว เธอเก็บข้าวของช้าๆ ยังคงอยู่ในอาการเหม่อลอย จนกระทั่งถึงห้องเรียน ขณะนี้เลยเวลาเข้าเรียนมาสิบกว่านาทีแล้ว เธอค่อยๆ เดินย่อง ต้องการจะเข้าห้องเรียนทางประตูหลัง ชอล์กตกลงมาจากท้องฟ้า หล่นลงบนศีรษะของเธอโดยตรง ห้องเรียนเงียบสงัด เธอกลายเป็นจุดเด่นทันที


            “นักศึกษาคนนี้ เธอมาสายแล้ว” เซี่ยเช่อกอดอกยืนอยู่บนเวทีบรรยาย ยิ้มมองอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีรู้สึกแต่ว่าตัวเองไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัวอีก เธอยิ้มเก้ๆ กังๆ ในใจรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี ตราบใดที่หมอนี่ยิ้มสวยขนาดนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เธอยอมรับชะตากรรมแล้วเดินไปด้านหน้า


            “อาจารย์คะ ชอล์กของอาจารย์ค่ะ” เธอก้มหน้า ราวกับเด็กนักเรียนประถม


            เซี่ยเช่อรับชอล์กมาจากมืออี้เป่ยซี แล้วเริ่มบรรยายเนื้อหาเมื่อครู่ต่อ อี้เป่ยซียืนทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย จะไปก็ไม่ใช่ จะยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ จนกระทั่งเหลือบไปเห็นที่นั่งว่างข้างๆ หลานฉือเซวียน เธอจึงขยับเข้าไปอย่างระมัดระวัง และนั่งลงข้างเขา


            “เกิดอะไรขึ้น?” หลานฉือเซวียนถามเธอ อี้เป่ยซีส่ายหน้าให้


            “ไม่รู้สิ ใครจะไปรู้ว่าในใจเขาคิดอะไร”


 “ฉันหมายถึงเธอ ก่อนหน้านี้เขาก็บอกแล้วนี่ เธอจะไม่มาก็ได้ แต่ว่าห้ามสายเด็ดขาด”


            “ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้อยู่ที่มหา’ลัย ใช่ว่านายไม่รู้”


            “เกือบลืมไปแล้ว” หลานฉือเซวียนพยักหน้า “เธอกับเป่ยเฉินเกิดอะไรขึ้น ทำไมขังเธอไว้นานขนาดนั้น”


            เธอถอนหายใจ “พูดไปเรื่องมันยาว ไม่เล่าจะดีกว่า แต่ทำไมจู่ๆ นายถึงโผล่มาที่มหา’ลัยล่ะ แถมยังเรียนเซ็คนี้อีก”


            หลานฉือเซวียนมองคนที่อยู่บนเวที หรี่ตาเล็กน้อย “เรื่องนี้จะว่าไปก็ซับซ้อนเหมือนกัน วันหลังค่อยคุยเถอะ”


            “ดูแล้วเซี่ยเช่อยัง…”


            “นักศึกษาอี้เป่ยซี” อี้เป่ยซียังไม่ทันพูดจบก็ถูกเซี่ยเช่อเรียกชื่อ เธอลุกขึ้นยืน ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร


            เซี่ยเช่อกวาดตามองหลานฉือเซวียนแล้วมองเธอ คนที่เขาพามาพูดกับเขาไม่กี่คำ แต่พออยู่กับเธอแล้วกระซิบกระซาบกันขึ้นมาเชียว มือยาวๆ ออกแรงเล็กน้อย “ได้ยินว่าเธอเข้าใจภาพวาดหมึกดี ถ้าอย่างนั้นเธอมาบรรยายตามแนวคิดของพวกเราเมื่อกี้หน่อย”


            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าฟ้าผ่ากลางศีรษะของตัวเอง เธอเข้าใจภาพวาดหมึกอะไรกัน เธอก็แค่รู้สึกชอบเท่านั้นเองนะ เธอหันไป ต้องการจะมองเนื้อหาที่อยู่บนกระดานดำ ขณะที่กำลังเดาว่าแนวคิดเมื่อครู่คืออะไร เซี่ยเช่อก็เอาแปรงลบกระดานลบทุกอย่างจนสะอาดสะอ้านแล้ว เธอมองหลานฉือเซวียนเพื่อขอความช่วยเหลือ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยักไหล่อย่างจนปัญญา


            ‘เซี่ยเช่อ นายตั้งใจนี่’ เธอมองคนบนเวทีบรรยายอย่างขุ่นเคือง


            ‘ฉันตั้งใจเองแหละ เธอจะทำอะไรฉันได้’ เซี่ยเช่อเผยยิ้มไม่แยแสเหมือนปกติออกมา กำลังรอคำตอบของอี้เป่ยซีอยู่เงียบๆ


            “คือว่า ที่จริงฉันรู้สึกว่พวกภาพวาดหมึกอะไรนั่น เอ่อ แบบว่ามันคือ ฉันรู้สึกว่าที่จริงมีหลายครั้ง ทำไมจะต้องวัดค่าของความสวยงามในเชิงปริมาณด้วย คิดว่าวาดได้ก็สวยแล้ว ตรงตามมาตรฐานนี้ก็ถือว่าสวยแล้ว แม้ว่าจะมีสิ่งที่เป็นนามธรรม ก็ควรจะมีความยืดหยุ่น และถูกลอกไปดื้อๆ ไม่ได้ เพื่อแสดงความสามารถด้านสุนทรียภาพและคำศัพท์เฉพาะทางอะไรนั่น”


            เธอรวบรวมความกล้าพูดต่อ “ภาพวาดหมึกที่ฉันชอบ ไม่ใช่เพราะศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณเป็นคนวาด หรือเพราะรสนิยมความงามสุดขั้วอะไร แต่เป็นเพราะความรู้สึกที่มันส่งต่อมาให้ฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันอยู่ในภาพวาดจริงๆ ไม่ใช่แค่ฉากทิวทัศน์ แต่แนวคิดโดยรวมทั้งหมดที่เขาวาดก็ทำให้ฉันรู้สึกถึงมันจริงๆ ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขและพอใจ”


            เซี่ยเช่อพยักหน้า อี้เป่ยซีจึงค่อยถอนหายใจโล่งอกแล้วนั่งลง หลานฉือเซวียนเหลือบมองเธอด้วยความสับสนเล็กน้อย “นี่คือเหตุผลที่เธอชอบภาพวาดของจื่อจวีหานซื่อ?”


        เธอเผยรอยยิ้มกว้าง พยักหน้าตอบ


………………………..


บทที่ 62 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (4)


      การบรรยายในห้องเรียนยังนับว่ามีชีวิตชีวา มีคำศัพท์สุนทรียศาสตร์ที่เข้าใจยากอยู่บ้าง เมื่อประกอบกับตัวอย่างที่มีเหตุผลเข้าใจง่ายก็ไม่น่าเบื่อ แต่ว่าอี้เป่ยซีรู้สึกไร้พลังงาน เธอใช้มือเท้าศีรษะ เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ หัวก็หนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด ราวกับไก่ตัวน้อยที่จิกข้าวสาร ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ทนไม่ไหวฟุบลงบนโต๊ะแล้วผล็อยหลับไป


ในฝัน เธอเห็นฉินรั่วเข่อในชุดสีขาวยืนอยู่บนขอบหน้าผาสูง ใบหน้ามีรอยยิ้มบางที่สง่างาม ปากฮัมเพลงที่เธอไม่ค่อยชอบนัก เนื้อเพลงที่น่าสะอิดสะเอียนทั้งยังให้ความรู้สึกเศร้าโศกออกมาจากปากฉินรั่วเข่อ ไม่มีทำนองขึ้นลงใดๆ จู่ๆ ก็แสบแก้วหูขึ้นมา


อี้เป่ยซีอยากก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยอีกฝ่าย ทันใดนั้นอี้เป่ยเฉินปรากฏตัวต่อหน้าเธอ ท่าทางขึงขัง ขวางทางของเธอไว้ อี้เป่ยซีมองดูอี้เป่ยเฉินที่เดินไปหาฉินรั่วเข่อตาปริบๆ เห็นพวกเขาทั้งสองคนทะเลาะกันเนิ่นนาน จู่ๆ เธอก็ค้นพบว่าคนที่ยืนอยู่ริมหน้าผาคือตัวเธอเอง เธอกำลังฮัมเพลงรักที่ว่างเปล่า สองคนที่ทะเลาะกันเข้าใกล้เธอทีละน้อยๆ ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าโปร่งใสชัดเจน เธอลื่นตกลงมาจากขอบหน้าผา…


ร่างกายที่หลับใหลอยู่บนโต๊ะสะดุ้งโหยง อี้เป่ยซีจึงลืมตาขึ้นด้วยความมึนงงเล็กน้อย หลังจากลืมตาแล้วกลับไม่มีความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเมื่อก่อน ได้แต่รู้สึกยิ่งเวียนหัวและหายใจไม่ออกอยู่บ้าง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแปลกๆ เธอดื่มน้ำไปอึกหนึ่งแต่ก็รู้สึกคลื่นไส้ พยายามข่มเอาไว้


“เธอเป็นอะไรไป?” หลานฉือเซวียนยื่นทิชชูให้เธอแผ่นหนึ่ง อี้เป่ยซีจึงพบว่าบนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เธอเม้มปากส่ายหัว


“เมื่อกี้ฝัน”


“ฝันร้าย?”


“ไม่รู้สิ ลืมไปแล้ว แค่รู้สึกว่าตัวเองในฝันไม่สบายมาก”


อี้เป่ยซีสังเกตเห็นสายตาของเซี่ยเช่อที่มองมาทางนี้เป็นครั้งคราวจึงรีบนั่งตัวตรง ในสมองว่างเปล่า เหม่อลอยทั้งแบบนี้จนหมดไปหนึ่งคาบ


“อี้เป่ยซี” อี้เป่ยซีหยุดเก็บของแล้วมองคนบนเวทีบรรยาย เธอขานรับอย่างยอมรับชะตากรรม เก็บของของตัวเองต่อ ปากกาหมึกซึมร่วงหล่นจากกระเป๋าเสื้อตกกระแทกพื้นอย่างแรง ปลายปากกาไม่ตรงดิ่งเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอกระวีกระวาดเก็บมันขึ้นมา


ทำไมถึงตกพื้นได้นะ ทั้งๆ ที่จำได้ว่าตัวเองครอบฝาปากกาและเก็บไว้อย่างดีแล้ว ทำไมถึงมาอยู่บนโต๊ะได้อีก เธอจับๆ ปลายปากกาด้วยความปวดใจเล็กน้อย น้ำหมึกสีน้ำเงินทิ้งร่องรอยบนปลายนิ้ว เธอถอนหายใจครอบฝาปากกา ลูบปากกาสองสามที


ด้ามนี้เหมือนจะไม่ใช่ของเธอ เธอเปิดกระเป๋าของตัวเองทันที ควานหาในกระเป๋าเครื่องเขียนใบเล็ก เธอหยิบปากกาของพี่เป่ยเฉินผิดไปตอนไหนนะ?


ไม่ใช่สิ ด้ามนี้น่าจะเป็น…ด้ามนี้เป็นด้ามที่ฉินรั่วเข่อให้เธอ ปากกาของเธอด้ามนั้น น่าจะอยู่ในเสื้อที่ให้ฉินรั่วเข่อยืมไป ฉินรั่วเข่อ…อี้เป่ยซีครุ่นคิด เวลาที่เธอเก็บปากของพี่เป่ยเฉินได้มันแปลกอยู่นะ


“อี้เป่ยซี”


“หา”


เซี่ยเช่อมองเธอเงียบๆ “เธอเหม่อมองอะไรปากกาตัวเองอยู่น่ะ เรียกเธอตั้งนานแล้ว”


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” แววตาของเธอลอกแลกเล็กน้อย ไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อคำพูดนี้ของเธอทั้งนั้น สายตาที่หลานฉือเซวียนมองเซี่ยเช่อนั้นมีคำถาม


เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน ใครจะไปรู้ว่าวันนี้เธอเป็นอะไร เซี่ยเช่อยักไหล่อย่างไร้เดียงสามาก


“ฉันแค่อยากบอกเธอ ฉันเชิญจื่อจวีหานซื่อมาแล้ว เขาต้องการผู้ช่วย ไม่รู้ว่าเธอเต็มใจรึเปล่า”


อี้เป่ยซีเพียงแต่ตอบว่าอือเบาๆ ไม่ได้แสดงอาการอื่นใด


ช่างเถอะๆ ในเมื่อไม่มีใครบอกเธอ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องรู้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมตัวเองจะต้องไปคิดให้มันวุ่นวายขนาดนี้ ยังไงก็คืนปากกาให้พี่เป่ยเฉินก็แล้วกัน


อี้เปยซีที่ดึงสติกลับมาพบว่าสองคนตรงหน้าต่างกำลังจ้องมองเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย


“คุณหนูอย่างฉันสวยอย่างหมดจดโดยธรรมชาติ แต่พวกนายก็ไม่ต้องมองฉันแบบนี้ก็ได้นี่นา ฉันก็เขินเป็นเหมือนกันนะ” พูดพลางแสดงท่าทีเขินอาย


“เมื่อกี้เธอกำลังคิดอะไร จริงจังเชียว?” หลานฉือเซวียนถาม


“เปล่านี่ อ้อ จริงสิเมื่อกี้พวกนายว่าไงนะ? เมื่อกี้เซี่ยเช่อบอกว่าใครจะมา”


เซี่ยเช่อตบหัวของเธออย่างไร้เมตตา “จื่อจวีหานซื่อน่ะ เขาจะมา ดูท่าทางเธอคงไม่อยากช่วยงานนี้ฉันแล้ว งั้นก็ช่างเถอะ ฉันจะไปหานักศึกษาคนอื่นก็แล้วกัน”


“หาๆๆ อะไรนะ? เขาจะมามหา’ลัยพวกเรา ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม คิดไม่ถึงว่านายจะเชิญเขามาได้ ไม่ได้ๆ จะไปเชิญคนอื่นไม่ได้ จริงสิ นายจะให้ฉันทำอะไร?”


“เธอเป็นแบบนี้ ฉันไม่ไว้ใจที่จะยกเขาให้เธอเลยจริงๆ” มุมปากเซี่ยเช่อยิ้มเยาะ


อี้เป่ยซีตบๆ หน้าอกของตัวเอง “นายวางใจเถอะ มีฉันอยู่เทพบุตรจะต้องปลอดภัยแน่นอน แล้วจะให้ฉันไปเป็นบอดี้การ์ดหรือว่าอะไรล่ะ?”


“ฉันว่าช่างมันเถอะ นอกจากอี้เป่ยซีจะช่วยก่อเรื่องวุ่นแล้วจะทำอะไรได้อีก” หลานฉือเซวียนก็ส่ายหัวแล้วพูด


“ไม่ได้ เซี่ยเช่อพวกเรามีคำโบราณที่บอกว่าอย่าปล่อยให้ปุ๋ยไหลไปที่นาคนอื่น เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ยังแลกกับโอกาสของบอดี้การ์ดไม่ได้เหรอ? ช่างน่าเศร้าจริงๆ”


เซี่ยเช่อวางอุปกรณ์การสอนของตัวเองทั้งหมดไว้ด้านหน้าอี้เป่ยซี “ขอดูผลงานเธอก่อน เอาของพวกนี้ไปไว้ที่ออฟฟิศฉัน ฉันจะไปขับรถ”


“ได้เลยๆ ออฟฟิศของนายอยู่ไหน”


เขาเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ไกลๆ อยู่ที่อาคารฝั่งตะวันตกของมหา’ลัย รีบไปสิ”


อี้เป่ยซีเบะปาก หยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนักและก้าวออกไปจากห้องเรียนแล้ว ห้องเรียนกว้างใหญ่เหลือเพียงหลานฉือเซวียนกับเซี่ยเช่อสองคน


“เรื่องที่นายอยากให้ฉันทำฉันก็ทำเสร็จแล้ว ตอนนี้นายก็บอกฉันได้แล้วสิว่าเขาอยู่ไหน”


“หรือนายไม่รู้สึกว่าเพราะเขาไม่อยากเจอนายก็เลยหลบหน้างั้นเหรอ?” เซี่ยเช่อหัวเราะ


“อะไรก็ช่าง ตอนนี้ฉันแค่อยากเจอเขา พูดกับเขาให้รู้เรื่องก็เท่านั้นเอง”


“พูดให้รู้เรื่อง แล้วนายจะจบได้เหรอ?”


หลานฉือเซวียนก้มหน้าไม่ได้พูดอะไร เซี่ยเช่อมองใบหน้าด้านข้างของเขา “ถ้านายปล่อยวางได้ ฉันจะพานายไปหาเขาตอนนี้เลย แต่ว่า หลานฉือเซวียนนายคิดดีแล้วจริงๆ เหรอ? นายที่มัวแต่หนีตลอดเวลา ต่อให้เจอลั่วจื่อจี้แล้วจะทำอะไรที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจได้ล่ะ”


“ฉันยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไร ทางเลือกอยู่ในมือเขาเสมอ”


“หลานฉือเซวียน นายยังแบกรับไว้ไม่พออีกเหรอ ยังอยากหมกมุ่นอยู่แบบนี้เหรอ? ลั่วจื่อจี้เขาไม่เคยคิดถึงนายเลย นายเดินจนสุดทางแล้วมีความหมายอะไร”


“นี่มันเรื่องของฉัน พวกเราตั้งเงื่อนไขกันแล้ว นายแค่ทำให้มันสำเร็จก็พอแล้ว ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ผลจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย”


เซี่ยเช่อหัวเราะขมขื่น “ตอนนี้ฉันเพิ่งรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมให้นายไปเจอเขา”


หลานฉือเซวียนเม้มปาก ทำทีเป็นพูดผ่อนคลาย “ถ้างั้นเซี่ยเช่อ ขอบคุณนะ”


………………………..


บทที่ 63 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (5)


            เรื่องราวของแมงเม่าบินเข้ากองไฟที่ตายอย่างน่าอนาจล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้เข้าใจทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน และบอกตัวเองว่าจะไม่แตะต้องมันอีก แต่แม้ว่าจะผ่านไปนานขนาดนั้น ทุกวันคืนก็ยังคงพลิกตัวไปมายากจะหลับลง ยังต้องการที่จะไปหาเขาด้วยตัวเอง ร้องขอผลลัพธ์ แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ แม้ว่าต้องฉีกแผลเป็นที่ยังไม่หายดีอีกครั้ง ก็ยังต้องการให้ตัวเองได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย


            จริงใจก็ดี เสแสร้งก็ดี ถ้าไม่ได้หลุดออกมาจากปากของคนคนนั้นก็รู้สึกว่าทุกอย่างยังไม่จบลง ตัวเองก็ไม่สามารถปล่อยวางได้เช่นกัน


            ตัวเองยังมีใจแล้วจะทำอย่างไรได้ ตัวเองยังจบไม่ลงแล้วจะทำอย่างไรได้ อดีตผ่านไปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็อธิบายเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์เป็นไปตามธรรมชาติ ใครบ้างจะสามารถย้อนเวลาได้ เพียงแค่ไปบอกลาเองนี่นา ทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อตัวเอง แม้แต่เขาก็ไม่เชื่อ


            เซี่ยเช่อเห็นสีหน้าเศร้าโศกของเขา ก็ยื่นมือตัวเองออกไปตามจิตใต้สำนึก ทว่าก็วางลงทันใด แม้จะรับรู้เรื่องนี้จากปากของพวกเขาเท่านั้น แต่เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงทุกอารมณ์ของหลานฉือเซวียน ความกล้าหาญที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากถูกทำลายจนแตกสลาย เหลือเพียงแค่ความเจ็บปวดและการดูถูก เขาต้องเจ็บมากแน่นอน


            ทำไมไม่เอาความชอบ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่นของนายไปให้คนที่คู่ควร ทำไมไม่รอจนเขาปรากฏตัว รอที่จะได้อยู่กับเขา จากนั้นทำลายห่วงผูกมัดประเภทนี้เพื่อไปอยู่กับ เขา แล้วหันหลังให้กับคนที่ดูถูกเหยียดหยามทุกคน


            “ไม่มีประโยชน์ ฉันก็รู้สึกว่าพวกนายควรจะบอกลากันดีๆ” ร่างของหลานฉือเซวียนหยุดชะงัก ในเวลานี้เซี่ยเช่อยืนอยู่เคียงไหล่ของเขา เงาของสองคนทอดตัวลงบนแผ่นหินอ่อนบนทางเดิน รอยกระดำกระด่างเล็กละเอียดกลายเป็นพื้นหลังของเงาทั้งสองคน กลมกลืนกันอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าถูกแกะสลักลงในหินนานแล้ว


            เมื่ออี้เป่ยซีมาถึงก็มีเหงื่อบางๆ ซึมออกมาแล้ว เธอจึงค่อยเข้าใจว่าเซี่ยเช่อกำลังแกล้งเธอ หนังสือแค่ไม่กี่เล่ม เดิมทีเอากลับบ้านไปได้อย่างง่ายดาย ทำไมถึงต้องการให้เธอเอามาไว้ในออฟฟิศ เธอส่ายหัว แต่ก็ยังก้าวขึ้นบันไดที่ด้านหน้าตึกไป


            “นี่เธอ รบกวนถามหน่อยสิ เธอรู้ไหมว่าออฟฟิศของอาจารย์เฉินหวาเฉินอยู่ที่ไหน? ฉันไปที่ออฟฟิศก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าเขาไม่อยู่ ได้ยินอาจารย์คนอื่นบอกว่าเขาเปลี่ยนออฟฟิศแล้ว” อี้เป่ยซีมองเด็กสาวที่เดินเข้ามาหา หางม้าที่สดใสถูกผูกไว้ด้านหลังศีรษะ รอยยิ้มเป็นมิตรกับผู้คนอย่างยิ่ง บนตัวราวกับยังมีกลิ่นหอมสดชื่นของอบเชยฤดูใบไม้ร่วงด้วย


            “อาจารย์เฉิน อาจารย์เฉินลาคลอดแล้วน่ะ ตอนนี้อาจารย์เซี่ยสอนแทน มีอะไรหรือเปล่า?” เด็กสาวคนนั้นลังเลเล็กน้อย กระซิบเบาๆ สองสามคำ แม้เสียงจะเบามาก แต่อี้เป่ยซียังได้ยินชัดเจน


            “อาจารย์เฉินเป็นคนโสดไม่ใช่เหรอ จะลาคลอดได้ยังไง?” เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ค่อยเชื่อข้ออ้างประเภทนี้เท่าไรนัก น่าจะเป็นมุกตลกของพวกนักศึกษาล่ะมั้ง


        อีกฝ่ายถามกลับ “งั้นเธอรู้ไหมว่าห้องของอาจารย์เซี่ยอยู่ที่ไหน เพื่อนร่วมห้องพวกเราเลือกวิชาเขาแล้วมีปัญหานิดหน่อย ฉันคิดว่าจะปรึกษาเขาได้หรือเปล่า”


            อี้เป่ยซีส่ายหัว “ตอนนี้อาจารย์เซี่ยไปแล้ว ฉันช่วยเขาเอาหนังสือกลับมาที่ออฟฟิศเขา”


            “หา งั้นหรอกเหรอ” เด็กสาวผิดหวังเล็กน้อย “ถ้างั้นฉันไปกับเธอเถอะ แบบนี้มาครั้งหน้าจะได้หาเจอ”


            เธอพยักหน้า สองคนที่เดินเข้าไปในลิฟต์ไม่ได้พูดอะไรอีก อี้เป่ยซีมองเด็กสาวคนนี้จากผนังลิฟท์โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าอ่อนโยน มุมปากเหมือนจะยกยิ้มตลอดเวลา เหมือนหญิงสาวสูงศักดิ์ผู้อ่อนโยนที่หลุดออกมาจากเจียงหนานอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกดีโดยไม่รู้ตัว


            “เธอสะดวกบอกฉันหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร? ฉันจะช่วยเธอไปบอกกับอาจารย์เซี่ยก็ได้”


            เด็กสาวคนนั้นยิ้มกว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณเธอนะ แต่ไม่รบกวนเธอดีกว่า เอ่อ เธอสะดวกเอาข้อมูลติดต่อของอาจารย์เซี่ยให้ฉันไหม? ฉันบอกเขาเองก็ได้”


            มือของอี้เป่ยซีถือหนังสือแน่น เอาข้อมูลติดต่อของอาจารย์เซี่ยให้เธอ…ใช้ขนหน้าแข้งคิดก็คิดออกว่าถ้าหากเอาข้อมูลติดต่อของเซี่ยเช่อไปให้คนแปลกหน้าแล้วจะลงเอยอย่างไร เธอมองคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธไปตรงๆ เธอกัดริมฝีปากแผ่วเบาแล้วจึงเอ่ยปาก “คือว่า ฉันไม่มีหรอก ถ้างั้นคราวหน้าฉันช่วยเธอถามให้ไหม?”


            “อืม ได้ งั้นเธอเมมเบอร์ของฉันก่อนเถอะ”


            อี้เป่ยซีพยักหน้า เพิ่มข้อมูลติดต่อของเธอแล้ว ขณะที่กำลังป้อนชื่อก็หยุดมองอีกฝ่าย


            “เยี่ยฉิน เยี่ยที่เหมือนใบไม้ตอนฤดูใบไม้ร่วง ฉินที่มาจากคำว่าความสามัคคีที่สมบูรณ์แบบ”


            “อือ ชื่อดีนี่” อี้เป่ยซีพยักหน้าเล็กน้อย เยี่ยฉินกลับยิ้มอย่างเขินอาย


            “ก็แค่ชื่อธรรมดาน่ะ จริงสิ ยังไม่รู้ชื่อเธอเลย?”


            “อี้เป่ยซี”


        “ที่แท้เธอก็คืออี้เป่ยซี” เยี่ยฉินมองเธอประหลาดใจ สำรวจอย่างละเอียด ไม่เห็นจะน่ารำคาญเหมือนที่พวกนักศึกษาประเมินกันเลยนี่นา ดูแล้วเธอก็เป็นสาวน้อยที่สวยๆ ใสๆ และยังไม่โต จากนั้นครู่หนึ่งถึงรู้ตัวว่าตัวเองเสียมารยาท “ขอ ขอโทษทีนะ”


            “ไม่เป็นไร เยี่ยฉิน เธอเป็นนักศึกษาที่ย้ายมาเหรอ?”


            “เปล่าหรอก” เธอยิ้มพร้อมส่ายหัว “ฉันเป็นผู้ช่วยอาจารย์ที่ย้ายมาปีนี้ ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องที่มหา’ลัยเท่าไร แต่ว่าเป่ยซี ฉันเรียกเธอแบบนี้ได้ไหม?”


            อี้เป่ยซีพยักหน้า บอกให้เธอพูดต่อ เยี่ยฉินจึงพูดต่ออย่างโล่งอก “เกือบเป็นเวอร์ชั่นจริงของ Pride and Prejudice ซะแล้ว”


            อี้เป่ยซียักไหล่ไม่ใส่ใจ “พวกเขาอยากจะพูดอะไรก็พูดเถอะ ฉันชอบท่าทางของพวกเขาที่ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าฉันแต่ก็ยังยิ้มให้ฉัน”


            “เธอนิ่งมากเลยนะ” ในคำพูดของเยี่ยฉินไม่มีการประชดประชันใดๆ อี้เป่ยซีถอนหายใจ ไม่งั้นจะให้ทำยังไงล่ะ ตัวเองรู้ความจริงก็พอแล้ว “แต่ว่าเธอก็น่าชอบจริงๆ”


            “งั้นผู้ช่วยอาจารย์ชอบฉันแล้วเหรอ?” อี้เป่ยซีเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาโค้งยิ้มสดใส เยี่ยฉินอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง


            “แน่นอนๆ แต่น่าเสียดายนะ ถ้าเธอเป็นนักศึกษาในวิชาของฉัน พวกเราคงจะได้มีโอกาสรู้จักกันมากขึ้น”


            “อย่าเลย อาจารย์กับนักศึกษาจะรักกันไม่ได้นะ” อี้เป่ยซีส่ายหน้าตามปกติ แต่เยี่ยฉินกลับถูกคำพูดประหลาดของเธอแหย่จนขำแล้ว แถมยังพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจัง


            “อือ บางทีฉันควรจะพิจารณาเรื่องการลาออก”


            ระหว่างที่คุยๆ ขำๆ กันก็เดินมาถึงออฟฟิศแล้ว อี้เป่ยซีเห็นออฟฟิศเดี่ยวสไตล์หรูหราของเซี่ยเช่อแล้วรู้สึกโมโหเล็กน้อย เธอวางหนังสือลงบนโต๊ะ ตั้งใจทำให้มันไม่เสมอกัน แล้วก็เอาปากกามาเรียงกันตามใจชอบ จากนั้นเผยรอยยิ้มเหมือนเด็กน้อยที่เล่นพิเรนทร์ เสร็จแล้วออกไปจากออฟฟิศกับเยี่ยฉินอย่างสบายใจ


            “เป่ยซี ทำแบบนี้ ไม่ดีมั้ง”


            “เปล่าๆ ฉันจะบอกคุณให้ อาจารย์เซี่ยชอบวางของแบบนี้มากเลย เขาจะรู้สึกว่าการจัดของรกๆ แบบนี้อบอุ่นเป็นพิเศษ มีความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ทำให้เขารู้สึกสบายใจน่ะ” ท่าทางของเธอจริงจังเป็นอย่างมาก “จริงๆ นะ”


            เยี่ยฉินมองประตูที่ปิดสนิทด้านหลังด้วยความสงสัยเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ‘เด็กน้อยเอ๊ย’ ทั้งสองคนสบตากัน เข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องพูดออกมา


……………………….


บทที่ 64 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (6)


            ในอดีต ผู้คนมักบอกว่าเวลาทำให้คุณลืมทุกอย่างได้ เวลาสามารถลบล้างทุกอย่างได้ ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดเมื่ออยู่ต่อหน้ากาลเวลาแล้วก็ต่างกลายเป็นเรื่องเล็กที่ไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง คำพูดประโยคนี้ถูกปฏิบัติตามและส่งผลในชีวิตมาโดยตลอด แต่ว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากนี้นานมากๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าทุกข์มากแค่ไหน ปวดใจมากเพียงใด ก็ต้องอดทนกับอดีตให้ได้ เพียงแต่หลังจากที่มันถูกแผดเผาตามกาลเวลาแล้ว คุณจึงจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลยจริงๆ


            ความเฉยชาทั้งหมดคือความเจ็บปวดที่ยากจะอดทนยิ่งกว่าความสงบนิ่งท่ามกลางความเจ็บปวด การค้นพบท่ามกลางความเจ็บปวดที่เหมือนกับว่าไม่เป็นไรจริงๆ


            ฉะนั้น เวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรและไม่เคยซ่อนเร้นอะไร ทุกความสังหรณ์ใจจะปะทุออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงเวลาที่มันควรระเบิด


            “ไม่จริงมั้ง นายจะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ยังไง?” อี้เป่ยซีมองฉู่ซ่งอย่างเหลือเชื่อ เห็นเขาพูดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจได้อย่างลื่นไหล แต่ละประโยคเต็มไปด้วยการประยุกต์ใช้ความรู้ในหนังสือ ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม


            ฉู่ซ่งเงยหน้าขึ้นด้วยความภูมิใจ “แน่นอน เธอคิดว่าทุกคนจะไม่มีสมองเหมือนเธอเหรอ”


            “ไม่มีอะไร ฉันก็แค่เรียนรู้ช้า นายพูดเรื่องนี้อีกทีซิ”


            “ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งปิดหนังสือในมือของเธอทันที “เธอไม่ต้องขยันขนาดนี้ก็ได้” เขาตั้งใจเน้นหนักคำว่าขยัน มีความไม่พอใจเจือปนอยู่เล็กน้อย


            อี่เป่ยซียิ้มแห้งๆ “ฉันขยันเหรอ?”


            “เธอนึกว่าฉันชมเธออยู่รึไง?” ฉู่ซ่งมองเธออย่างดูถูก “ทุกวันนี้เธอมัวแต่เข้าห้องสมุดห้องเรียนกับหอพัก ทุกอาทิตย์แต่มีมหา’ลัยกับบ้าน เพื่อนน้อยยังกับอะไรดี เวลาพักก็ไม่ทำอะไรที่มันสนุกๆ เธอไม่คิดว่าชีวิตในมหา’ลัยแบบนี้มันสูญเปล่าเหรอ?”


            เธอจ้องตาไม่กะพริบ “เพื่อนฉันไม่น้อยนะ ทำไมฉันรู้สึกว่าเยอะล่ะ เยอะจนบางทีฉันไม่มีแรงไปใส่ใจ” นั่นสินะ นอกจากเพื่อนของอี้เป่ยซีแล้ว ยังมีเพื่อนสนิทของเธออีก ตัวเองก็นับว่ามีเพื่อนเยอะแล้วล่ะมั้ง “เอาละ นายอยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”


            “วันอาทิตย์นี้มีปาร์ตี้” รอยยิ้มประจบประแจงปรากฏบนใบหน้าของฉู่ซ่งทันที “เธอวางใจเถอะ มีแต่คนที่เธอรู้จัก ฉันอยากนัดเธอออกไปเที่ยวด้วยกัน คิดซะว่าไปผ่อนคลายเธอว่ายังไง?”


            “วันอาทิตย์? ไม่ได้ๆ วันอาทิตย์ฉันต้องกลับบ้าน วันจันทร์ถึงวันเสาร์ นายเลือกมาวันหนึ่ง”


            “น่าเบื่อชะมัด วันอาทิตย์เป็นวันพิเศษนะ เธอออกไปเดินเล่นกับฉันก็ไม่ได้รึไง”


            อี้เป่ยซีเงื้อมมือตบๆ ไหล่ของเขา “นายสูงขึ้นอีกแล้วใช่ไหม?”


            “เธออย่ามัวแต่เปลี่ยนเรื่องสิ ยังตกลงไม่เรียบร้อยเลยนะ”


            “เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เวลาอื่นเมื่อไรก็ได้”


            “ดูแล้วฉันว่าอาทิตย์นี้อี้เป่ยเฉินจะไม่ว่างอยู่กับเธอแล้ว” ฉู่ซ่งยิ้มเยาะเย้ย


            เธอมองเขา รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ “งั้นก็ออกไปเที่ยวกันไหม ไป ตอนนี้พี่สาวจะพานายไปเที่ยว แบบนี้ก็โอเคแล้วมั้ง”


            ฉู่ซ่งมองเธอเหมือนมองเด็กปัญญาอ่อน ขาของอี้เป่ยซีเตะไปที่แข้งของเขาอย่างไม่เกรงใจ


            “ฉู่เซี่ยเธอมันป่าเถื่อนเกินไปแล้ว”


            “ทำตัวดีๆ กับพี่สาวหน่อย ไม่งั้นต่อไปนายจะ…” ยังไม่ทันพูดจบ อี้เป่ยซีก็ดึงฉู่ซ่งไปหลบข้างทางทันที เธอมองไปข้างหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ตอนนี้ระหว่างเธอกับถนนใหญ่มีเพียงรั้วต้นไม้กั้น ช่องว่างระหว่างต้นไม้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามถนน


            ทำไม่พี่เป่ยเฉินถึงมาอยู่ที่นี่ได้ วันนี้ไม่ใช่วันพุธเหรอ? ต่อให้โผล่มา ทำไมเธอถึงไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง จะเซอร์ไพรส์เธอเหรอ? เป็นไปไม่ได้ อี้เป่ยซีส่ายหน้า รีบเอาความคิดที่ไม่สมจริงนี้ออกไปจากในหัว


        “เธอทำอะไรน่ะ เหมือนพวกแอบคบชู้เลย”


            “บอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ? พี่เป่ยเฉินยังไม่อยากเจอนาย”


            ฉู่ซ่งไม่ชอบใจ “ในมหา’ลัยมีคนของเขา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวันวันเธอขลุกอยู่กับฉัน”


            “เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าพูดจาพล่อยๆ สิ” อี้เป่ยซีพูด สายตายังคงจับตาดูฝั่งตรงข้าม ไม่นานหญิงสาวคนหนึ่งก็ลงมาจากรถ เดินจากไปอย่างเชื่องช้าเป็นพิเศษ


            ใบหน้าด้านข้างนี้ คุ้นจริงๆ เธอคือ…


            ฉินรั่วเข่อ เธอลงมาจากรถของพี่เป่ยเฉินได้ยังไง?


            ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว หรือว่าระหว่างพวกเขาจะมีอะไรกันจริงๆ?


            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าจู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณเตือนดังอยู่ในหัว เธอกดขมับด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย


            ความรู้สึกก่อนหน้านี้ถูกต้องงั้นเหรอ ฉะนั้นเรื่องปากหมึกซึมนั่นก็ใช่ด้วย พี่เป่ยเฉินเป็นคนให้เธอหรือไม่ก็ทำหล่นไว้กับเธอ พวกเขาสองคนเริ่มติดต่อกันนานแล้วสินะ เพียงแต่ทำไมเธอถึงไม่รู้ ทำไมถึงไม่มีใครเคยเล่าเรื่องนี้กับเธอเลย


            เสียงสตาร์ทรถดังขึ้น รถค่อยๆ จากไป อี้เป่ยซีจึงลากซูฉ่งไปด้านข้างด้วยอาการเหม่อลอย


            “ฉันนึกว่าก่อนหน้านี้เธอก็เคยคิดมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์อย่างวันนี้ เธอบอกว่าเรื่องเธอกับอี้เป่ยเฉินมันเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่เคยคิดว่าเขาจะหาอาซ้อให้เธอเหรอไง?”


            “ฉู่ซ่ง ทำไมคำพูดเหลวไหลนายเยอะจังเลย หนวกหูจะตายอยู่แล้ว”


            ฉู่ซ่งปิดปากอย่างว่าง่าย ในดวงตามีความทนไม่ได้เล็กน้อย ‘อี้เป่ยเฉิน นายทำให้เธอทุกข์ได้ยังไง’


            “ฉู่ซ่ง นายว่าฉันโลภเกินไปหรือเปล่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าพวกเราไม่มีทางเดินถึงขั้นนั้น แต่ก็ยังโลภต้องการครอบครองทุกตำแหน่งข้างกายเขาไว้คนเดียว” น้ำเสียงของอี้เป่ยซีเจือความเสียใจ


            เดิมทีฉู่ซ่งอยากพูดว่าใช่ แต่ก็เอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก และไม่ต้องการพูดแทนอี้เป่ยเฉิน เขาได้แต่รักษาก้าวเดินของตัวเองให้อยู่ระดับเดียวกับอี้เป่ยซี


            “ฉันสับสนจังเลย” อี้เป่ยซีข่มน้ำเสียงแห่งความผิดหวังเอาไว้ จากนั้นก็เห็นรถที่คุ้นเคยคันหนึ่งมาจอดข้างตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไมทันใดนั้นเธอคิดอยากจะหลบหนี เหลือบมองฉู่ซ่งอย่างกล่าวโทษเล็กน้อย


            “เสี่ยวซี” หน้าต่างรถค่อยๆ ลดระดับลง ทั้งสองคนสบตากัน อี้เป่ยเฉินเอ่ย “ขึ้นรถเถอะ”


            อี้เป่ยซีเม้มปากส่งหนังสือให้ฉู่ซ่ง แล้วเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ เธอรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถมีกลิ่นหอมจางๆ แต่เวลาที่ดมอย่างจริงจังก็ไม่มีกลิ่นแบบนั้นแล้ว หลังจากหันไปมาหลายครั้งก็ไม่ขยับเขยื้อนอีกและไม่พูดไม่จา


        “เสี่ยวซีมีเรื่องในใจเหรอ?”


            “พี่เป่ยเฉินทำไมวันนี้ถึงมาที่มหา’ลัยพวกเราล่ะ ฉันแปลกใจนิดหน่อย” อี้เป่ยซีมองไปนอกหน้าต่าง กลัวว่าบนใบหน้าของตัวเองจะเผยอารมณ์ออกมา


            อี้เป่ยเฉินลดหน้าต่างรถลงเล็กน้อย ความเย็นหลั่งไหลเข้ามาในรถ เขาหยิบถุงใบหนึ่งออกมา “นี่คือเสื้อของเธอ แล้วก็ปากกาหมึกซึมของเธอก็อยู่ข้างใน”


            “ทำไมเขาถึงไม่คืนให้ฉันด้วยตัวเอง แถมยังต้องไปหาพี่อีก” อี้เป่ยซีหยิบปากกาหมึกซึมออกมาจากข้างใน ดูรอยขีดข่วนและรอยบุบเล็กๆ บนฝาปากกา นี่คือของเธอ ไม่ผิดแน่


            “ทำไม เธอไม่ชอบใจเหรอ ที่แท้เสี่ยวซีของพวกเราขี้หึงแบบนี้นี่เอง”


            เพียงครู่เดียวอี้เป่ยซีก็หน้าแดง “หึงอะไรกัน พี่เป่ยเฉินอย่าพูดเหลวไหลนะ ฉันก็แค่รู้สึกแปลกๆ พวกพี่ไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ต้องใจดีมาเขาส่งกลับอีก…”


            อี้เป่ยเฉินตอบว่าอืออย่างอารมณ์ดีมาก ส่งยิ้มให้เธอพูดต่อไป


            “ช่างเถอะๆ ฉันพูดไม่รู้เรื่องเอง”


        “เอาเถอะ เสี่ยวซีไม่อยากให้พี่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่น งั้นต่อไปพี่ก็จะไม่ติดต่อกับพวกเขา จะไม่มองพวกเขาเลย ดีหรือเปล่า?”


……………………………….


บทที่ 65 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (7)


             “พี่เป่ยเฉิน” อี้เป่ยซีมองเขาอย่างตำหนิ ก่อนก้มหน้าลงต่ำทันที พูดทีละคำช้าๆ “ต่อไปพี่ต้องอยู่ด้วยกันกับพี่สะใภ้ ตอนนี้ยังจะพูดแซวฉันอีก”


            อี้เป่ยเฉินไม่ได้มองเธอ ขับรถไปเหมือนปกติ นิ้วมือที่ออกแรงจนโค้งงอเล็กน้อยสื่อให้เห็นความอดกลั้นของเขาในตอนนี้ ผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงเอ่ยปาก “พี่ไม่ยักจะรู้ว่าเสี่ยวซีอยากได้พี่สะใภ้ขนาดนั้น”


            “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่” อี้เป่ยซีส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก ทำไมพี่เป่ยเฉินถึงคิดกับเธอแบบนี้ “ฉันแค่ แค่…” เธอก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้าต่ำ ไม่สนใจสายตาที่อยู่เหนือศีรษะอีก ในใจรู้สึกสับสน


            เธอจะพูดอะไรได้? ถ้าบอกว่าอยากเหรอ? แบบนั้นก็จะเป็นการผลักพี่เป่ยเฉินออกไป


            ถ้าบอกว่าไม่อยากก็จะเป็นการผูกมัดพี่เป่ยเฉินไว้กับตัวเองคนเดียวอย่างเห็นแก่ตัว ให้เขาอยู่ข้างกายเธอชั่วชีวิต แต่กลับไม่สามารถมอบความรักที่นอกเหนือจากพี่น้องให้เขาได้?


            อี้เป่ยซี ทำไมเธอถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ นึกถึงแต่ความสุขและความปรารถนาของตัวเอง หรือว่าเธออยากจะทำลายพี่เป่ยเฉินด้วยมือของเธอ?


            ทำไมคนที่เธอชอบถึงไม่สามารถไปตามหาความสุขของตัวเองได้ แต่ต้องอยู่ข้างกายเธอราวกับทาสล่ะ


            เธอกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง เลือดซึมออกมา แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงเลย


            “เสี่ยวซี เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินเรียกเธอด้วยความปวดใจ อี้เป่ยซีจึงฟื้นขึ้นมาจากความคิดของตัวเอง มองไปรอบๆ ทำตัวไม่ถูก ทันใดนั้นกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า


            “เพราะพี่ผิดเอง ขอโทษนะเสี่ยวซี” อี้เป่ยซีรับกระดาษทิชชูมา กำไว้ในมือแล้วส่ายหัว


            “เพราะเสี่ยวซีคิดมากไป” เธอสูดหายใจลึก “ที่จริงฉินรั่วเข่อก็ดี ต่อไปพี่เป่ยเฉินจะชวนเขามาเที่ยวที่บ้านก็ได้นะ”


            รถเบรกเข้าข้างทางดังเอี๊ยด อารมณ์ในดวงตาของอี้เป่ยเฉินไม่ชัดเจน เขามองอี้เป่ยซี ราวกับว่าต้องการจะจารึกคนที่อยู่ด้านหน้าไว้ในดวงวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่ารักใคร่ขนาดนี้ แต่บรรยากาศของความโศกเศร้าที่แผ่ซ่านรุนแรงระหว่างคนสองคน จะอย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้


            อี้เป่ยซีมองเขาตาโต ทั้งคู่สบตากัน ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ อี้เป่ยเฉินขยับเข้าใกล้เธอทีละนิด เธออดไม่ได้ที่จะหดตัวไปข้างหลัง ลมหายใจอบอุ่นคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน อุณหภูมิในรถราวกับสูงขึ้นเล็กน้อย


            “พี่เป่ยเฉิน” อี้เป่ยซีเบือนหน้าหนีพร้อมเรียกชื่อของเขา อี้เป่ยเฉินหัวเราะ หยิบกระดาษทิชชูในมือเธอออกมา ซับแผลบนปากของเธออย่างแผ่วเบา เลือดสดสีแดงซึมกระจายเป็นดอกไม้รูปร่างประหลาดบนกระดาษทิชชูที่อ่อนนุ่ม เธอเหม่อมองชายผู้อ่อนโยนที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าหัวใจแทบหยุดเต้น


            “คราวหน้าอย่ากัดอีกนะ” เขากำชับเบาๆ อยู่ข้างหู อี้เป่ยซีหน้าแดง เธอก้มหัวลงแล้วตอบรับเสียงเบา รถเริ่มเคลื่อนตัวอยู่บนถนนอีกครั้ง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก


รถมาจอดที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง อี้เป่ยเฉินเอากุญแจรถให้บริกร จากนั้นจูงมือของเธอเดินตรงเข้าไปในห้องที่จองไว้แล้ว


            “ครั้งนี้ถือซะว่าเธอเลี้ยงพี่ชดเชยอาหารเช้าคราวก่อนแล้วกัน” อี้เป่ยเฉินเขี่ยจมูกเธอเล่น


            “ไม่เอา ฉันไม่มีเงิน พี่เป่ยเฉินกล้าให้ฉันเลี้ยงได้ยังไง” อี้เป่ยซีกุมกระเป๋าเงินของตัวเอง ท่าทางเหมือนคนขี้งก


            “เธอมันเด็กขี้งก นอกจากของพวกนี้แล้วยังอยากกินอะไรอีกไหม”


            อี้เป่ยซีกลอกตาไปมาหลายรอบ “อยากกินไอติมแล้ว ได้รึเปล่า” ในดวงตามีแววอ้อนวอน


            “ตอนนี้อากาศยังเย็น รออีกหน่อยได้ไหม?”


            “แต่ว่าอยากกินตอนนี้นี่นา พี่เป่ยเฉิน เสี่ยวซีเลี้ยงไอติมพี่นะ พลาดครั้งนี้พี่อาจไม่มีโอกาสแล้ว” เธอพูดพลางเลิกคิ้ว ราวกับว่านี่เป็นโอกาสที่หายากจริงๆ


            อี้เป่ยเฉินพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง “นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวจัง โอกาสแบบนี้หายากจริงๆ นะ แต่ถ้าเสี่ยวซีกินไอติมตอนนี้ก็อาจจะเป็นหวัด…ทำไงดี”


            “ไม่เป็นหรอก ภูมิต้านทานฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”


            “อือ จะว่าไปก็จริง พี่คงทำได้แค่บอกเรื่องนี้กับแม่ ให้เขาช่วยพี่ตัดสินใจ” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ อี้เป่ยซีฉวยไปอย่างรวดเร็ว


            “คราวหน้า คราวหน้าค่อยคุย พวกเราจำไว้ก่อน จำไว้ก่อน” เธอยิ้มเอ่ย โทรศัพท์มือถือที่ฉวยมาในมือกลับดังขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ทำเอาอี้เป่ยซีตกใจจนเกือบโยนมันออกไป อี้เป่ยเฉินเห็นชื่อของสายเรียกเข้าก็ขมวดคิ้ว เขาเดินออกจากห้องเพื่อรับสายท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของอี้เป่ยซี เธออดใจไม่ไหวตามไปด้วย


            “ตามนี้นะ ต่อไปอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก จับตาดูเขาไว้หน่อยก็ดี เขาไม่กล้าหรอก


            แค่นี้ก่อนเถอะ ฉันกำลังกินข้าวกับเสี่ยวซี โอเค”


            เมื่อเขาผลักประตูเปิดก็เห็นอี้เป่ยซีนั่งอยู่ที่เก้าอี้อย่างเรียบร้อยต่างจากปกติ


            “เป็นเด็กดีจังเลย?”


            “ใช่แล้วๆ พี่เป่ยเฉิน ฉันหิวแล้ว เริ่มได้แล้วยัง?”


            อี้เป่ยเฉินลูบหัวของเธอ นั่งลงข้างเธอแล้วคีบกับข้าวลงในถ้วยให้ อี้เป่ยซีคุ้นชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติ กินอย่างเอร็ดอร่อย เธอคีบกับข้าวที่อี้เป่ยเฉินชอบลงในถ้วยของเขาเป็นครั้งคราว มีความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ


            “เสี่ยวซี อยากไปดูหนังหรือเปล่า?”


            “เอ๋ ตอนนี้มีหนังอะไรน่าดูเหรอ? ไม่ได้สนใจนานแล้ว”


            เขาพยักหน้า “ใช่ มีเรื่องหนึ่งได้ยินว่าไม่เลวเลย”


            “เอาสิ” อี้เป่ยซีนั่งที่เบาะข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองเรียบร้อย รถออกตัวไปอย่างมั่นคง หลังจากนั่งอยู่ในโรงหนังที่น่าเบื่อเกือบสองชั่วโมง อี้เป่ยซีจึงเดินออกมาจากโรงหนังด้วยความงุนงง ราวกับถูกทำให้ตกใจกลัวอย่างไรอย่างนั้น


            “พี่จะไปเอารถก่อน” เสียงอบอุ่นของอี้เป่ยเฉินดังอยู่ข้างหู ขณะที่กำลังจะปล่อยมืออี้เป่ยซี เธอคว้าแขนเขาไว้แน่นทันที


            “ฉะ ฉันจะไปกับพี่”


            “เอาสิ” อี้เป่ยเฉินลูบๆ หัวของน้องสาว พาเธอไปที่ลานจอดรถด้วยกัน แสงไฟสลัวเล็กน้อย มือของอี้เป่ยซีจับแขนเสื้อของเขาแน่นกว่าเดิม


            อี้เป่ยเฉินรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปแล้ว จึงกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว มันไม่ใช่เรื่องจริงน่าเสี่ยวซี”


            “ฮือๆๆ…พี่เป่ยเฉิน ถ้าพี่บอกเร็วกว่านี้หน่อยว่าเป็นหนังสยองขวัญฉันก็ไม่มาแล้ว น่ากลัวเกินไป”


            ใบหน้าที่อยู่ภายใต้เงามืดมีรอยยิ้มแห่งชัยชนะ “พี่ก็ไม่ได้สังเกตมาก ครั้งหน้าพี่ต้องดูให้ดีแล้วค่อยพาเธอมาโอเคไหม?”


            “คราวหน้าไม่มากับพี่เป่ยเฉินแล้ว” เธอทำหน้าคร่ำครวญ


            “วันนี้กลับบ้านไหม หืม?”


            อี้เป่ยซีครุ่นคิด ไหนๆ พรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียน จึงพยักหน้าตกลง เธอยังคงจับแขนเสื้อของอี้เป่ยเฉินแน่นไม่ปล่อย แม้แต่ตอนอยู่บนรถ มือน้อยไ ก็ยังจับชายเสื้อของเขาแน่น รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก


            หลังจากอี้เป่ยเฉินกล่อมให้อี้เป่ยซีไปอาบน้ำ ตัวเองก็ไปที่ห้องหนังสือเพื่อจัดการงานที่ยังทำไม่เสร็จ ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกช้าๆ คนที่ใส่ชุดนอนสีขาวขุ่นนั่งลงข้างเขาเงียบๆ กอดหมอนใบโปรดเหมือนปกติ ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่โต๊ะหนังสือ


            “กลัวเหรอ?” มือของอี้เป่ยเฉินเคาะอยู่บนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วขณะเอ่ยถาม


            อี้เป่ยซีพยักหน้า “ฉันมาให้พี่เป่ยเฉินเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง”


            “เธอนอนข้างๆ เถอะ พี่อยู่นี่แหละ โอเคไหม?”


            เธอยื่นมือดึงแขนเสื้อของเขาไว้ “ไม่เอา เดี๋ยวพี่เป่ยเฉินก็จะพาฉันกลับไป แล้วฉันจะอยู่คนเดียวอีก ไม่ได้ ฉันจะรอจนพี่เป่ยเฉินทำงานเสร็จ”


            “ถ้าเธอนั่งมอง พี่ก็ทำงานไม่ได้สิ” จู่ๆ อี้เป่ยเฉินก็รู้สึกเสียใจกับมุขตลกเล็กๆ ของตัวเอง


        “ฉันดูไม่รู้เรื่องสักหน่อย ทำไมถึงทำงานไม่ได้ล่ะ” อี้เป่ยซีกอดหมอนบ่นพึมพำ ยืนอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้น แสดงความตั้งใจแน่วแน่ของตัวเอง


……………………………


บทที่ 66 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (8)


กำแพงสี่ด้านเชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนา การอยู่ตามลำพังราวกับว่ากำแพงขาวทั้งสี่ด้านต่างรุมล้อมคุณเพียงคนเดียว คุณจะไม่ได้อยู่ในห้องที่อบอุ่นของตัวเองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นโลงศพที่ทั้งสี่ด้านมีแต่ความเยือกเย็นจางๆ ยื่นมือสัมผัสตัวเองก็เป็นกระดูกแห้งเหือด


อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าถูกคนบีบคอ มวลอากาศมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากทรวงอกของเธอ แต่กลับมีเพียงอากาศที่มีกลิ่นเหม็นจางๆ หลั่งไหลเข้าไป เธอรู้สึกว่าในสายตาของเธอเต็มไปด้วยดวงตาเปื้อนเลือดไม่ก็ใบหน้าสยดสยอง เธอก้าวไปข้างหน้า คว้าแขนเสื้อของอี้เป่ยเฉินเอาไว้


“พี่เป่ยเฉิน พี่…”


อี้เป่ยเฉินพลิกตัวมา เชยคางของเธอขึ้นมา แววตาที่จนปัญญานั้นเข้มข้นขึ้น น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนสง่างาม “ทำไมถึงกลัวขนาดนี้” หน้าผากของเขาชนกับหน้าผากของอี้เป่ยซี ลมหายใจอบอุ่นรินรดอยู่บนใบหน้าของเธอ “เสี่ยวซี่ ไม่ต้องไปคิดอะไรแล้ว มีแต่จะทำให้ตัวเองกลัวซะเอง”


“แต่ว่ามันน่ากลัวจริงๆ นี่นา พี่เป่ยเฉิน ต้องโทษพี่นั่นแหละ ดึกๆ ดื่นๆ ยังจะดูหนังผีอีก” เธอพูดด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย


อันที่จริงไม่ควรใช้วิธีนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอเลยจริงๆ อี้เป่ยเฉินโทษตัวเอง กอดเธอไว้ในอ้อมแขน ตบไหล่ของเธอเบาๆ เหมือนกับปลอบโยนเด็กน้อย “เอาเถอะ เอาเถอะ เพราะพี่เป่ยเฉินไม่ดีเอง พี่อุ้มเธอกลับไปนอนนะ? นี่ก็ดึกมากแล้ว”


อี้เป่ยซีกำชายเสื้อของเขา ทั้งใบแนบอยู่บนหน้าอกกว้างเขา รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัยจากร่างกายเขา เธอตอบรับด้วยเสียงต่ำในลำคอ อี้เป่ยเฉินจึงค่อยจัดโต๊ะลวกๆ แล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้อง


“พี่เป่ยเฉิน พี่ไม่ไปได้ไหม?” ดวงตาที่มีน้ำตาคลอแฝงแววอ้อนวอน อี้เป่ยเฉินพยักหน้า กำลังจะไปปิดไฟ “ไม่ปิดไฟได้ไหม?”


“อืม ได้สิ” เขาดึงมือของตัวเองกลับ หยิบเครื่องนอนอีกชุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า เอนตัวลงข้างอี้เป่ยซี ห่มผ้าห่ม หันหน้าเข้าหาเด็กสาวของเขาพร้อมโอบหลังไว้


อี้เป่ยซีดึงมือของอี้เป่ยเฉินขึ้นมา หันหน้าเข้าหาเขา กอดแขนของเขาด้วยความออดอ้อนเล็กน้อย


“เป็นอะไรไป?”


“เปล่า” อี้เป่ยซียักไหล่ “ก็แค่รู้สึกว่านานแล้วที่ไม่ได้นอนคุยกับพี่เป่ยเฉิน”


อี้เป่ยเฉินยื่นมือออกไปลูบผมของเธอ “เสี่ยวซี พวกเรายังอยู่ด้วยกันอีกนาน เธออยากจะคุยกับพี่ยังไงก็ได้”


เธอไม่ได้ครุ่นคิดลึกลงไปในประโยคนี้ เพียงหลับตาด้วยสีหน้าพึงพอใจ “พี่เป่ยเฉิน พี่อยากเล่านิทานให้ฉันฟังไหม?”


“ได้ พี่จะเล่านิทานให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง…” เขาพูดพลางยื่นมือออกมาตบๆ หลังของอี้เป่ยซี น้ำเสียงไพเราะเป็นพิเศษในค่ำคืนที่เงียบสงัด “เสี่ยวซี เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินผลักเธอเบาๆ ก็ไม่เห็นว่าคนที่หลับตาจะมีปฏิกิริยาใดๆ เขาหัวเราะอย่างเอ็นดู จูบหน้าผากเธอเบาๆ อดไม่ไหวเอื้อมมือลูบไล้หน้าผาก คิ้ว และปลายจมูกของเธอ ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากอวบอิ่มยังคงยกยิ้มมีความสุข เขาก้มหน้าเล็กน้อย สัมผัสมันอย่างเบามือราวกับแมลงปอที่สัมผัสผิวน้ำ


“ราตรีสวัสดิ์ เสี่ยวซี”


ทั้งสองคนหลับสนิททั้งคืนไร้ซึ่งความฝัน


ขณะที่ฟ้าสว่างและอี้เป่ยซีลืมตาขึ้นก็ค้นพบว่าตัวเองไม่รู้ว่ามาอยู่ในผ้าห่มของอี้เป่ยเฉินตั้งแต่เมื่อไร เธอเกาะแน่นอยู่บนตัวเขาราวกับปลาหมึก ร่างกายที่ถูกคั่นด้วยเสื้อผ้าแนบแน่น เธอรีบปล่อยมือทันที กลับไปที่ผ้าห่มของตัวเองด้วยความเศร้าหมอง แล้วผ้าห่มก็ถูกคนข้างหลังดึงเข้าไปกอด


“พี่ พี่เป่ยเฉิน” อี้เป่ยซีรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเหมือนถูกแผดเผา เธอตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนของคนข้างหลัง ไม่กล้าขยับตัว แย่แล้วๆ ครั้งนี้พี่เป่ยเฉินจะดูออกหรือเปล่า ไม่สิ เข้าใจผิดซะบ้างเถอะ ความคิดเธอหมุนวนไปมาอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดเหตุผลเพื่ออธิบาย


“ทำก็ทำไปแล้ว ยังจะคิดข้ออ้างอะไรอีก”


อะไรทำไม่ทำกันเล่า อี้เป่ยซีรู้สึกแต่ว่าได้ยินเสียงฟ้าผ่าอยู่ในหัว เธอขยับตัว ก็ถูกคนตบหัวเบาๆ


“นอนต่อ อย่าขยับตัวสิ” ลมหายใจบนคอดูเหมือนจะร้อนขึ้นเล็กน้อยด้วย อี้เป่ยซีตอบรับขณะหน้าแดง เอาหน้าซุกไว้ในผ้าห่ม


“ตอนนี้หน้าแดงเป็นด้วยเหรอ?” เขาเอ่ยแซว ริมฝีปากเหมือนจะสัมผัสหูของอี้เป่ยซี ความรู้สึกอ่อนปวกเปียกส่งผ่านระหว่างคนสองคน เธอยิ่งหดคอหนักกว่าเดิม


ลมหายใจข้างหลังเริ่มหนักหน่วงขึ้น อี้เป่ยซียังไม่ทันตอบสนอง มือที่อยู่บนเอวก็ยกออกไปแล้ว เธอไม่กล้าหันกลับไปมอง “เสี่ยวซีนอนต่อไปหน่อยเถอะ พี่จะไปเตรียมอาหารเช้าให้” แล้วเขาก็ออกจากห้องไป


เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู เธอคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม


‘อี้เป่ยซี เธอยิ่งทำอะไรเกินหน้าเกินตามากขึ้นทุกที ถูกกระตุ้นด้วยกิเลสตัณหา ฉัน ฉันทนเธอไม่ไหวจริงๆ’


ดูเหมือนว่ากลิ่นของเขายังคงลอยอยู่ในอากาศ อุณหภูมิบนผิวหนังก็ถูกจารึกไว้ในหัวและปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว


“ไม่ต้องคิดแล้ว ไม่ต้องคิดแล้ว” เธอยกผ้าห่มออกอย่างหงุดหงิด ลุกจากเตียงไปล้างหน้าล้างตา


อี้เป่ยซีลงไปชั้นล่างด้วยความเชื่องช้าเล็กน้อย พบว่าอี้เป่ยเฉินเพิ่งเข้าห้องครัว เธอย่องเข้าไป กระโดดไปที่ด้านหลังของเขา “มาฉันช่วย”


“อือ เอาถ้วยกับตะเกียบออกมาก่อนเถอะ” อี้เป่ยเฉินส่งของให้เธอ ปล่อยให้อี้เป่ยซีไปเล่นอีกด้านหนึ่ง เธอปฏิบัติต่อเครื่องใช้เซรามิกในมือด้วยความระมัดระวังมาก จานรองที่ถูกจัดไว้อย่างดีตั้งแต่แรกร่วงลงมาจากโต๊ะ อี้เป่ยซีตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวแบะและชนเข้ากับหน้าอกของอี้เป่ยเฉิน เขากอดเธอไว้แผ่วเบา


“ไม่เป็นไรนะ?” อี้เป่ยเฉินสำรวจอย่างละเอียด เมื่อพบว่าบนตัวเธอไม่มีบาดแผลอะไร จึงถอนหายใจโล่งอก


“ก็เห็นอยู่ว่าฉันวางไว้ดีแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงตกลงมาได้ล่ะ” อี้เป่ยซีรู้สึกผิดเล็กน้อย กำลังจะก้มลงไปเก็บเศษขยะพวกนั้น เขาก็คว้ามือน้อยๆ ที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบเศษของแตกไว้


“เสี่ยวซีออกไปเล่นข้างนอกเถอะ พี่จัดการก็พอแล้ว”


เธอพยักหน้าก่อนเดินออกไปข้างนอก อี้เป่ยเฉินทำความสะอาดชิ้นส่วนบนพื้นด้วยความคล่องแคล่ว ใส่เข้าไปในถุงหนา เอาถุงกระดาษคราฟท์ห่อไว้อีกที แล้ววางลงด้านข้าง ทำงานในมือต่อ อี้เป่ยซีนั่งอยู่ด้านนอกรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก


เธอทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เธอบีบนิ้วของตัวเอง ทั้งๆ ที่วางไว้ดีแล้วนี่นา ‘ทำไมถึงร่วงลงมาได้ วันนี้ซวยจริงๆ เลย’ เธอปีนขึ้นไปบนโต๊ะ เหม่อมองน้ำที่อยู่ในแก้ว เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นแก้วใสที่มีน้ำใส แต่ทำไมสิ่งของที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ชัดเจน


เธอเอียงศีรษะ ไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากมายอีก ไม่นานบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหาร อี้เป่ยซีนั่งตัวตรงอย่างไร้ชีวิตชีวา หยิบตะเกียบของตัวเองมา


“โอเคแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ก็แค่จานแตกเอง” อี้เป่ยเฉินนึกว่าอาการเหม่อลอยของเธอในตอนนี้เป็นเพราะตัวเองทำผิด จึงรีบปลอบโยน


อี้เป่ยซีคนช้อนอยู่ในโจ๊กสองสามรอบแล้วจึงเงยหน้า ไอน้ำในถ้วยลอยขึ้น “พี่เป่ยเฉิน บางทีฉันก็ซุ่มซ่ามใช่หรือเปล่า” สีหน้าเธอหมดความนับถือในตัวเองเล็กน้อย


“ก็แค่ไม่ระวังเอง ใครๆ ก็เป็น ทำไมวันนี้เธอถึงคิดมากแบบนี้ล่ะ?”


เธอส่ายหน้า ถอนหายใจยาว “ก็แค่รู้สึกว่าพอได้ยินเสียงแบบนั้นแล้วอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ฉันก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร”


อี้เป่ยเฉินคีบของโปรดของเธอใส่ลงในถ้วยให้ “เดี๋ยวพวกเราไปสวนสนุกกันดีไหม?”


อี้เป่ยซีก็ไม่อยากรู้สึกหมดสนุก เธอฝืนทำตัวร่าเริง แล้วพยักหน้าให้เขา


………………………..


บทที่ 67 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (9)


            คุณเคยมีความรู้สึกแบบนั้นไหม คุณสามารถหัวเราะได้อย่างมีความสุขมากๆ แต่ว่าคุณก็รู้สึกหมองเศร้า แม้ว่าคุณกำลังเพลิดเพลินกับสิ่งที่คุณชอบ หรือรู้สึกได้ถึงแสงอาทิตย์สีทองสดใส แต่ไม่อาจนอนอยู่ในอ้อมแขนของเมฆขาว มันถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้ม ไม่สามารถขยับตัวได้


            เล่นอยู่ในสวนสนุกเนิ่นนาน อี้เป่ยเฉินซื้อไอศกรีมที่ทั้งเย็นทั้งหวานให้อี้เป่ยซีเป็นข้อยกเว้น จู่ๆ มันก็ไม่ชวนให้คนรู้สึกพอใจอีกต่อไป ความสุขทั้งหมดกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงผิวเผิน ความหนักหน่วงที่พูดไม่ออกต่างหากคืออารมณ์ส่วนลึกที่แท้จริง อี้เป่ยซียังคงยิ้มน้อยๆ แต่วันนี้เธอเพิ่งค้นพบว่าการยิ้มแบบนี้ตลอดเวลาช่างเหนือจริงๆ


            แม้แต่แรงที่จะยิ้มก็มีไม่เพียงพอ


            หลังจากอี้เป่ยเฉินทานข้าวเที่ยงกับเธอแล้ว จึงค่อยส่งอี้เป่ยซีกลับหอพัก ทันทีที่กลับถึงหอพักเธอล้มตัวลงบนเตียงทันที ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงแต่ไม่มีความง่วงสักนิด เธอวางมือซ้อนกันที่หน้าท้องส่วนล่าง รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในโลงศพ


            มีเพียงความระลึกได้กับความคิด แต่กลับไม่อยากขยับตัวอีก ไม่อยากลืมตาขึ้นมา


            เธอได้ยินเสียงนอกหอพักอย่างชัดเจน ได้ยินถังเสวี่ยส่งเสียง “ชู่” เพราะนึกว่าเธอกำลังหลับ ได้ยินเสียงถอนหายใจของฟางหมิ่น


            สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นที่ข้างหูจริงๆ แต่รู้สึกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตัวเอง ร่างกายนอนอยู่ตรงนั้น แต่ความคิดราวกับหลุดพ้นจากพันธะผูกพันของร่างกายแล้ว


            อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เธอเพียงแต่รู้สึกทุกข์ใจมาก แค่อยากจะหลับตาชั่วนิรันดร์เพียงลำพัง นอนอยู่ตรงนี้คนเดียวโดยไม่คิดอะไร เหมือนกับท่อนไม้ ไม่ร้องไห้ ไม่หัวเราะ ไม่ส่งเสียง


เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในหอพักที่เงียบสงัด แม้แต่ดนตรีที่ผ่อนคลายตอนนี้ก็ยังหนวกหูมาก อี้เป่ยซีขมวดคิ้ว ยังคงไม่ลืมตา ในเวลานี้เสียงของฉินเยว่เข่อกลับดังขึ้น “ตอนนี้ทักษะการแกล้งหลับของใครบางคนนี่มันสุดยอดจริงๆ”


            คำพูดแสบแก้วหูสุดๆ อี้เป่ยซีก็ยังคงไม่ลืมตาหรือแม้แต่ขยับตัว


            “เธอนึกว่านอนอยู่ตรงนี้แล้วจะหนีความจริงได้เหรอ อี้เป่ยซี จุ๊ๆ โง่เง่าจนหมดทางรักษาจริงๆ”


            “ฉินเยว่เข่อ คิดว่าคงมีแต่คนที่ฝันว่าอีกาจะกลายเป็นหงส์แบบเธอที่เชื่อข่าวปลุกกระแสแบบนั้น”


            “ปลุกกระแสอะไร” น้ำเสียงของฉินเยว่เข่อแหลมสูงกะทันหัน จากนั้นก็อวดดี คำพูดคำจาหยิ่งผยอง “พี่สาวฉันก็บอกแล้วว่าพวกนั้นเป็นเรื่องจริง”


            เสียงหัวเราะดูถูกของฟางหมิ่นดังขึ้น “งั้นพี่สาวเธอก็เป็นหนึ่งในตัวละครจริงๆ สินะ”


            ฉินเยว่เข่อไม่พูดกับอีกฝ่ายอีก เดินไปข้างเตียงอี้เป่ยซีทันที เห็นเธอนอนเงียบๆ อยู่บนเตียงก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเสแสร้ง “อี้เป่ยซี เพลิดเพลินกับชีวิตคุณหนูในหลายวันนี้ไปเถอะ ต่อไปฉันจะไม่ให้เธอได้อยู่เป็นสุขแน่” พูดจบก็กระแทกส้นสูงจากไป


            “เป่ยซี เป่ยซี” ถังเสวี่ยเรียกชื่ออย่างเป็นกังวลขณะผลักเธอเบาๆ


            “หนวกหูชะมัดเลย” อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่งบนเตียง โลกทั้งใบหมุนคว้าง เธอพิงกำแพงอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ลงมาจากเตียง แล้วจัดกระเป๋าหนังสือของตัวเอง


            “เป่ยซี เธอไม่เป็นไรนะ?” ถังเสวี่ยดึงมือเธอ เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง อี้เป่ยซีไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร เธอจะเป็นอะไรได้ และไม่อยากไปสืบเสาะหาสาเหตุของมันด้วย เธอส่ายหัว ดึงมือตัวเองกลับ จัดของต่อไป จากนั้นก็แบกกระเป๋าและออกจากหอพักไปโดยไม่ได้พูดอะไร


            ถึงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายข้างหลังสั่นก็ไม่หือไม่อือ เธอเดินไปทีละก้าวๆ เพียงแค่ต้องการกลับไปที่อพาร์ทเมนต์เล็กๆ ของตัวเองแล้วหลับตานอน เอนนอนอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว


            เธอรู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังเดินเหมือนเครื่องกลอยู่บนพื้น แต่ตัวเองกลับเดินท่องน่องอยู่บนก้อนเมฆ จิตใจหนักอึ้งเล็กน้อย


            เปิดประตูปิดประตูแล้วล็อค ทำทุกอย่างรวดเดียวอย่างมีกลไกลและต่อเนื่องกัน เธอโยนกระเป๋าหนังสือลงบนพื้น ไฟก็ไม่ได้เปิด นอนลงบนเตียงทั้งเสื้อผ้า หลับตาลงอย่างจริงจัง ลมหายใจสม่ำเสมอและแผ่วเบา


            ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ทุกความรู้สึกค่อยๆ เลือนราง ราวกับว่ามีเพียงเธอบนโลก แม้แต่ร่างกายของตัวเองก็หายไป มีแต่ตัวเองเท่านั้น


            เธอเดินอยู่บนก้อนเมฆตามลำพัง รอบกายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ความสุขทวีขึ้นอีกครั้ง


            “เป่ยซี อี้เป่ยซี อี้เป่ยซี” โลกของตัวเองสั่นคลอนในฉับพลัน ฉากสีขาวก่อนหน้านี้กลายเป็นฉากสีดำ แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ยังลืมตา สติของเธอกลับเข้าสู่ร่างกายของตัวเองอีกครั้ง พบว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่นิดเดียว และกำลังซุกตัวอย่างอ่อนแรงอยู่ในอ้อมแขนของคนคนหนึ่ง เสียงหัวใจเต้นและเสียงเรียกจากข้างหลังนั้นอ่อนโยนและไพเราะ


            ใครกำลังเรียกเธอ? เธอไม่รู้ และไม่อยากเอ่ยปากถาม อยู่ในอ้อมอกของคนคนนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ


            “อี้เป่ยซี เธอตื่นแล้วเหรอ” น้ำเสียงเจือความดีใจและความคาดหวัง เธอรู้สึกว่าตัวเองควรจะพยักหน้า แต่กลับไม่อยากพยักหน้า ดวงตาทั้งคู่เหม่อมองใบหน้าของคนตรงหน้า


            ‘ลั่วจื่อหานนี่เอง นายโผล่มาในห้องฉันได้ยังไง?’


            เพียงแค่เธอคิด ก็รู้สึกว่าตัวเองได้พูดประโยคนี้ออกไปแล้ว แต่ว่าริมฝีปากกลับไม่ได้ขยับ เงาของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาชัดเจน


            “เธอเป็นอะไรไป? อยู่ที่นี่ตั้งแต่บ่ายวานแล้ว โทรเข้ามือถือเธอก็ไม่รับ”


            ‘ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก เลยไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้’ ดวงตาของเธอขยับเล็กน้อย เห็นลักษณะของห้องที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่าง ‘ตอนนี้ดึกมากแล้วเหรอ?’


            “ตอนนี้ตีสี่ของตอนเช้าแล้ว” ลั่วจื่อหานจัดผมเผ้าของเธอ อากัปกิริยาระมัดระวังและอ่อนโยน


            ‘งั้นนายมาอยู่ในห้องของฉันได้ยังไง ป่านนี้แล้วควรนอนไม่ใช่เหรอ?’


            “เป็นห่วงเธอน่ะก็เลยมาดู ฉันเรียกเธอเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ถึงจะตื่น”


            ‘ฉันไม่รู้ แค่รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรเลย ที่จริงฉันไม่ได้หลับ แค่หลับตาเท่านั้น ฉันไม่รู้ว่าทำไมไม่ได้ยินเสียงนายเรียกฉัน’


            “เธอ เธอเป็นอะไรไป ทำไมไม่พูดล่ะ?” ลั่วจื่อหานมองเธอ สีหน้าท่าทางจริงจัง


            ‘ฉันไม่อยากพูด ไม่อยากพูดจริงๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม’


            “ไม่อยากพูดใช่ไหม?”


            ขณะที่มองตาของสาวน้อย ลั่วจื่อหานรู้ว่าตัวเองทายถูกแล้ว แต่ในใจกลับไม่ดีใจเลย


            “ที่แท้เธอก็เป็นห่วงเรื่องนี้มากขนาดนี้” น้ำเสียงเขาเศร้าสร้อยเล็กน้อย “หิวหรือเปล่า ฉันทำอะไรให้เธอกินไหม?”


            ‘ไม่เอา ฉันยังอยากหลับตาต่อ นายปล่อยให้ฉันนอนก็พอแล้ว’


            ลั่วจื่อหานวางเธอลงเบาๆ “งั้นเธอพักผ่อนต่อ ถ้าไม่สบายก็เรียกฉัน โอเคไหม”


            อี้เป่ยซีไม่สนใจคำพูดของลั่วจื่อหานอีก หลับตาลงอีกครั้ง สองมือประสานกันที่หน้าท้องของตัวเอง อีกสองมือวางทับอยู่ด้านบน เธอขี้คร้านจะไปใส่ใจ เดินอยู่บนเมฆต่อไป


            จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีแมลงกัดที่แขน อี้เป่ยซีเพียงแค่ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ลืมตา จากนั้นก็ถูกกัดเบาๆ บนหลังมืออีก แต่เธอก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ


            ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เธอจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลับตาพักผ่อนตั้งนานขนาดนี้ ทำไมยังรู้สึกเหนื่อยอยู่เลย เหนื่อยมาก ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น


        แสงไฟที่สว่างเกินไปทำให้แสบตามาก เธอหลับตาลงอีกครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยๆ ลืมตา ปรับตัวให้เข้ากับแสง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดีใจของลั่วจื่อหาน และค่อยๆ รู้สึกถึงเข็มที่หลังมือตัวเอง…


………………………………….


บทที่ 68 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (10)


ทำไมต้องให้น้ำเกลือเธอด้วย? อี้เป่ยซียังไม่ทันอ้าปาก ได้แต่มองดูลั่วจื่อหาน เธอพบว่าบนใบหน้าของลั่วจื่อหานมีหนวดเคราเฟิ้ม ความอ่อนโรยปรากฏอยู่บนใบหน้า ‘ทำไมนายถึงกลายเป็นแบบนี้?’


     “ฉู่เซี่ย ในที่สุดเธอก็ตื่นสักที” ฉู่ซ่งวางอาหารที่ซื้อมาจากข้างนอกลงบนโต๊ะ “ก็ไม่เห็นต้องนอนนานขนาดนี้เลยนี่นา เธอกล้ามากนะ ปล่อยให้พี่จื่อหานเฝ้าตั้งหลายวัน”


            ‘ฉันก็ไม่ได้ให้เขาเฝ้าฉันนี่’ อี้เป่ยซียังคงมองลั่วจื่อหาน เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา คิ้วที่ขมวดกันก็ผ่อนคลาย อบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องบนใบหน้าของเขา


            “น่าจะหิวแล้วมั้ง กินข้าวไหม”


            ไม่กิน ไม่อยากกินอะไรเลย


            “เธอจะเป็นเทพเซียนรึไง ไม่กินข้าวมาสามวันแล้ว” ฉู่ซ่งประหลาดใจเล็กน้อย “เธอไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้มั้ง ก็แค่คนห่วยๆ คนหนึ่ง เธอต้องอดข้าวเพื่อเขาด้วยเหรอ?”


            ลั่วจื่อหานมองฉู่ซ่งอย่างตักเตือน เขาถึงค่อยรู้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงนั่งลงด้านข้างแล้วหุบปาก


            ทำไมฉู่ซ่งถึงพูดอะไรแปลกๆ เธอนอนไปสามวันงั้นเหรอ? แต่ว่าเธอไม่รู้สึกถึงการไหลผ่านของกาลเวลาเลย เธอรู้สึกว่าตัวเองนอนไปแค่ประเดี๋ยวเดียว เพียงครู่เดียวเท่านั้น ตอนนี้เธอยังรู้สึกเหนื่อยมากอยู่เลย แล้วก็คนห่วยๆ อะไรนั่น ทำไมเธอไม่เห็นเข้าใจ


            คำถามมากมายปรากฏอยู่ในหัวของเธอ แต่ละคำถามผุดออกมา แต่กลับไม่ได้เอื้อนเอ่ย ลั่วจื่อหานเห็นแววตาของเธอ เข้าใจความคิดของเธอในขณะนี้


            “กินโจ๊กหน่อยเถอะ” เมื่อเขาจะลุกขึ้น อี้เป่ยซีจึงพบว่ามือของตัวเองกำลังกุมนิ้วเขาไว้ เขาคลายมือเล็กน้อย ลั่วจื่อหานเดินไปยังอีกข้างหนึ่งของเตียง ประคองเธอขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ถือโจ๊กบนโต๊ะขึ้นมา หลังจากมั่นใจว่าไม่ร้อนแล้วจึงป้อนไปที่ปากของอี้เป่ยซี แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อ้าปาก


            “ไม่อยากกินเหรอ? หรือว่าไม่ชอบ”


            ‘ไม่รู้สิ แค่ไม่อยากทำอะไรเลย ฉันอยากนอนต่อไม่ได้เหรอ?’


            ลั่วจื่อหานชิมไปคำหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ ฉันไปทำให้เธอก็แล้วกัน” เขาลุกขึ้นไปที่ห้องครัวทันที ขณะอี้เป่ยซีมองเขา เดิมทีอยากจะพูดว่าไม่ต้องลำบากหรอก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อ้าปากไม่ออก


            ‘ก็แค่ไม่อยากพูด ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องสนใจฉันได้ไหม’


            “ฉู่เซี่ย” อี้เป่ยซีได้ยินเสียงฉู่ซ่ง แต่ดวงตาไม่ขยับเขยื้อน “เธอเป็นอะไรไป อย่าทำให้ฉันตกใจสิ? เอ๋อไปแล้วเหรอ?”


            นายนั่นแหละเอ๋อ ทั้งบ้านนายมีนายคนเดียวที่เอ๋อ ไม่เข้าใจหรือไงว่าคนอื่นเขาไม่อยากขยับตัว? นายเข้าใจความรู้สึกที่เหนื่อยมากๆ หรือเปล่า ฉันก็แค่อยากหลับตา ประคองลงไปฉันนอนเถอะ


            “เฮ้อ” ฉู่ซ่งลูบผมที่หน้าผากของเธอ “กว่าจะหาเธอเจอไม่ง่ายเลย ตอนนี้ดันเป็นบ้าซะแล้ว”


            อี้เป่ยซีเหม่อมองมือของตัวเอง ไม่ได้สนใจเขา เขาพูดกับตัวเองอีกครั้ง “อ้อ จริงสิ นี่ของของเธอเมื่อก่อน ฉันจะใส่ให้เธอนะ เกือบลืมไปแล้ว” เขาพูดพลางทำอะไรบางอย่างที่ข้อมือเธอครู่หนึ่ง อี้เป่ยซีเห็นสร้อยบนข้อมือ คริสตัลสีฟ้าส่องประกายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในดวงตา


            “ทำไมถึงไปอยู่ที่นายได้?” เสียงของอี้เป่ยซีแหบแห้งเล็กน้อย


            “พูดได้แล้วเหรอ ถ้ารู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ใช้ได้ผลก็เอาให้เธอนานแล้ว จะเสียพลังงานไปขนาดนั้นเพื่ออะไร”


            “ได้มาจากไหน?”


            ฉู่ซ่งแปลกใจเล็กน้อย นอนนานขนาดนี้จนบ๊องไปแล้ว ยังจะมาถามเขาอีกว่าได้ของนี้มาจากไหน เห็นชัดๆ ว่าเขาควรเป็นคนถามว่าได้มาจากไหนถึงจะถูกนะ


            “นี่ไม่ใช่ของของเธอเหรอ? เธอถามฉันว่าได้มาจากไหน นอนจนเพี้ยนแล้วเหรอไง?”


            “…” อี้เป่ยซียกมือของตัวเองขึ้นมา ผิวที่ขาวบริสุทธิ์เข้ากับสร้อยข้อมือสีฟ้า ยิ่งเผยให้เห็นความเพรียวบางละเอียดอ่อน เธอมอบให้ลั่วจื่อหานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่บนมือของเธออีก ไม่พูดอะไรสักคำก็สวมให้เธอซะแล้ว เธอไม่เต็มใจหรอกนะ


            แม้จะคิดแบบนี้ อี้เป่ยซีก็ยังไม่ได้ถอดออก เธอหันหน้ามองนอกหน้าต่าง ฉู่ซ่งเห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้น่ากังวลมากมาย จึงซุกตัวอยู่ที่เดิมแล้วหลับตาลง รอจนลั่วจื่อหานกลับมาเขาจึงลุกจากไป


            ลั่วจื่อหานเหลือบเห็นสร้อยข้อมือบนมือของเธอ รู้สึกดีอย่างเลี่ยงไม่ได้


            “อันนี้นายให้ฉู่ซ่งเหรอ?” ยังไม่ทันรอเขานั่งลง คนที่นั่งบนเตียงก็มองเขาพลางเอ่ยปาก


            “กินโจ๊กก่อนเถอะ ไว้ค่อยว่ากัน” อีกฝ่ายพูดพลางตักขึ้นมาคำหนึ่ง ยื่นไปที่ปากอี้เป่ยซี ร่างกายของเธอหดถอยเล็กน้อย


            “ฉันกินเองเถอะ” พอต้องการจะยกมือจึงนึกได้ถึงเข็มบนมือตัวเอง อี้เป่ยซีวางมือลงด้วยความท้อแท้เล็กน้อย “งั้นรบกวนนายแล้ว”


            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าตัวเองกินข้าวมื้อนี้ช้ามากๆ คิดว่ามือที่ถือถ้วยของลั่วจื่อหานจะต้องเมื่อยแน่ๆ เดิมทีอยากกินแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ว่าเขายังคงยืนกรานให้อี้เป่ยซีทานให้หมดถ้วย


            “คือว่า นายเอาอันนี้ให้ฉู่ซ่งเหรอ?”


            “ตอนนี้อยู่บนมือเธอแล้ว”


            “แต่ว่าฉัน…”


            “ใส่ไว้เถอะ เธอใส่แล้วดูดีมาก” ลั่วจื่อหานวางถ้วยลงบนโต๊ะ “นอนอีกไหม?”


            เธอส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวฉันอยากออกไปเดินเล่นหน่อย”


            ลั่วจื่อหานมองแสงอาทิตย์ด้านนอก พยักหน้าให้ “วันนี้เหมาะจะออกไปเดินเล่นดี”


            คนคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่พูดไม่จา อี้เป่ยซีรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ลังเลแล้วลังเลอีก “ลั่วจื่อหาน ขอบคุณนะ”


            “อือ” เขาอึ้งไปนิด “เทียบกับเรื่องนี้ ฉันอยากรู้มากกว่าว่าเธอเป็นอะไรไป? เป่ยซีสะดวกเล่าไหม?”


            อี้เป่ยซีถอนหายใจ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองตั้งแต่ต้นให้ฟัง เมื่อเงยหน้าก็เห็นลั่วจื่อหานมองตัวเองโดยไม่ขยับเขยื้อน แววตาที่ลึกซึ้งราวกับจะดูดเธอเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น


            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน”


            “หืม ไม่มีอะไร งั้นตอนนี้เธอพักผ่อนพอแล้วยัง?”


            “ฉันยังรู้สึกเหนื่อยอยู่เลย ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่นอนไปตั้งนานแล้ว”


            เขายื่นมือมากุมมือของอี้เป่ยซี “เดี๋ยวออกไปเดินเล่นก็หายแล้ว”


อี้เป่ยซียิ้มพลางพยักหน้า น่าจะเป็นแบบนั้น ออกไปเดินเล่นก็หาย อารมณ์ก็ดีแล้ว จะไม่รู้สึกเหนื่อยแล้วสินะ


            “แค่ก ฉันมาผิดจังหวะ” บนใบหน้าของมู่ลี่ไป๋ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ เขาถือกล่องยาเดินลอยชายเข้ามา “เป็นไงบ้าง? มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”


            อี้เป่ยซีส่ายหน้า ต้องการดึงสองมือออกมาจากมือของลั่วจื่อหาน แต่ทำอย่างไรก็ดึงไม่ออก มู่ลี่ไป๋ถอดเข็มบนมือของเธอออก กำชับเล็กๆ น้อยๆ พอเอ่ยแซวทั้งสองคนแล้วจึงเดินจากไปภายใต้สายตาของลั่วจื่อหาน


            “เขาเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?” อี้เป่ยซีหน้าแดงเรื่อ


            “เขาเข้าใจอะไรผิด?” เขายิ้มเอ่ย ท่าทางเป็นปกติมาก


            คราวนี้ถึงตาเธอเขินอายบ้าง ตัวเองคิดมากไปแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาก็ไม่ได้คิดแบบนั้น


            “จะออกไปเดินเล่นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เลยไหม?”


            “ก็ได้นะ”


            “งั้นฉันไปเก็บของก่อน”


            อี้เป่ยซีมองแผ่นหลังของเขา มีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่อธิบายไม่ได้ หมายความว่าช่วงนี้เขาเฝ้าเธอตลอดงั้นเหรอ? แล้ว…แล้วพี่เป่ยเฉินล่ะ ทำไมเขายังไม่ปรากฏตัวอีก? เธอหลับไปนานมากเลยไม่ใช่เหรอ? เขาไม่รู้เลยสักนิดหรือยังไง?


        เธอเลิกผ้าห่มต้องการลงจากเตียง แต่ละก้าวอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด เธอเข้าห้องน้ำไปอย่างชำนาญทาง เริ่มล้างหน้าล้างตา มองตัวเองในกระจก ใบหน้าน้อยๆ ขาวซีดไร้สีเลือด อิดโรยราวกับคนป่วยหนัก มือของเธอหยุดชะงัก ตัวเธอเป็นอะไรไปกันแน่?


………………………………..


บทที่ 69 แย่มาก โดนจูบ (1)


            “เป่ยซี ถ้าวันหลังไม่สบายใจก็มาหาฉันได้” ลั่วจื่อหานเดินอยู่ข้างเธอ อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาที่ตึงเครียดอยู่บ้าง สายตามองไปข้างหน้า มีความกังวลที่ไม่อาจเข้าใจได้ ผ่านไปเนิ่นนานคนข้างๆ ไม่ได้ตอบ ลั่วจื่อหานหันมาสบสายตาของเธอเข้าพอดี


            อี้เป่ยซีหลบตาด้วยความตื่นตกใจ ทำทีเป็นชื่นชมทัศนียภาพรอบข้าง ลืมตอบคำถามของเขาแล้ว


            “เป่ยซี”


            “หา นายเรียกฉันเหรอ อากาศวันนี้ไม่เลวเลย วิวก็ใช้ได้ เหมาะกับการออกมาเดินเล่นมากจริงๆ เอ๊ะนายดูตรงนั้นสิแมวเยอะจังเลยนะ นายว่าพวกมันเป็นแมวจรจัดหรือว่าแมวเลี้ยง เมื่อก่อนฉันก็อยากเลี้ยงแมวมากเหมือนกัน ว้าว นั่นคอร์กี้เหรอ? น่ารักจัง ทำไมถึงไม่เห็นเจ้าของมันล่ะ…” อี้เป่ยซีพูดเจื้อยแจ้วเป็นชุด ลั่วจื่อหานได้แต่ตามความคิดและจังหวะก้าวเดินของเธอ


            ทั้งสองเดินไปได้สักพักหนึ่ง ร่างกายก็มีเหงื่อซึมออกมา อี้เป่ยซีกำลังจะหยิบกระดาษทิชชู จู่ๆ ก็มีสัมผัสอ่อนโยนบนหน้าผาก ลั่วจื่อหานกำลังใช้ทิชชูซับให้ด้วยความจริงจังมาก ราวกับว่าเป็นงานที่สำคัญมากงานหนึ่ง


            “คือว่า ฉัน ฉันซับเองเถอะ” อี้เป่ยซียื่นมือต้องการจะรับกระดาษทิชชูมา แต่กลับโดนมือของลั่วจื่อหานโดยไม่ได้ตั้งใจ เขากุมมือน้อยๆ นั้นขึ้นมาแผ่วเบา


            “เมื่อกี้ทำไมไม่พูดต่อล่ะ?” เสียงของลั่วจื่อหานราวกับหยกที่ร่วงลงบนจานหยก เสนาะหูเป็นอย่างมาก อี้เป่ยซีพยายามที่จะดึงมือตัวเองกลับมา


            “ฉันไม่ได้ไม่สบายใจจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรน่าเล่านี่นา” ทันใดนั้นมือเธอก็ถูกเขาออกแรงบีบ เธอเจ็บจนต้องมองลั่วจื่อหาน “นาย…ปล่อยมือได้ไหม หงะ เหงื่อออกมากแล้ว มะ มันอึดอัด”


            เขาหัวเราะเบาๆ ไม่รังเกียจเลยสักนิด ฝ่ามือใหญ่ยังคงลูบคลำอยู่บนมือน้อยที่อ่อนแอและเหมือนไร้กระดูก อี้เป่ยซีรู้สึกว่าท้องฟ้ากำลังสั่นไหวเล็กน้อย


            ทำไมวันนี้ลั่วจื่อหานถึงประหลาดแบบนี้ เป็นเพราะว่าไม่ได้พักผ่อนนาน สติก็เลยเลอะเลือนงั้นเหรอ?


            เมื่อเธอคิดว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะเธอเอง ก็ไม่ได้พูดหรือทำอะไรอีก ปล่อยให้เขาเล่นมือของตัวเองไป เธอก้มหน้ามองดูมือของลั่วจื่อหาน เรียวยาวทรงพลัง เห็นข้อต่อชัดเจน สวยงามจนน่าประหลาดใจ ราวกับเป็นชิ้นงานศิลปะที่ไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง เธอมองมือของตัวเองอีกครั้ง ส่วนที่ตัวเองเคยภูมิใจที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วก็หยาบกร้านขึ้นมาทันใด


        คุณชายใหญ่ก็คือคุณชายใหญ่ แม้แต่มือยังดูดีเล่อค่า


            “สนุกไหม?” เมื่อได้ยินเสียง ทันใดนั้นเธอจึงค้นพบว่าตัวเองเล่นกับมือของลั่วจื่อหานตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอหยุดการกระทำอย่างเคอะเขิน


            “อืม ดูจากลายมือแล้วก็รู้ว่านายเป็นคนที่มีอันจะกิน ทุกอย่างเป็นไปดังใจหวัง มีความเป็นอยู่ที่ดี เส้นชีวิตการงานความรักก็ดีมากนะ” อี้เป่ยซีรวบรวมความกล้า พูดจาไร้สาระไปเรื่อย


            ลั่วจื่อหานกลับมองเธอไม่ออก “เป่ยซีใส่ใจความรู้สึกฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”


            ‘เป่ยซีอะไร พวกเรายังไม่ได้สนิทกันมากซะหน่อย ใครให้นายเรียกแบบนี้’ อี้เป่ยซีวิพากษ์วิจารณ์เงียบๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเสียงที่ลั่วจื่อหานเรียกเป่ยซีนั้นไพเราะมาก


            “ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ?”


            “ลั่วจื่อหาน นายเคยคิดจะเป็นนักพากย์ไหม? เสียงของนายแบบนี้ ฆ่าคนได้ภายในวินาทีเดียวแน่นอน” อี้เป่ยซีตอบไม่ตรงคำถาม เธอยังคงอยู่ในความเพลิดเพลิน


            “ถ้างั้น…” เขาทำทีครุ่นคิด อี้เป่ยซีนึกว่าเขากำลังคิดถึงคำแนะนำของเธอ รู้สึกสนใจในทันที


            พูดเป็นเล่น นึกถึงตอนนั้นหลานฉือเซวียนก็ถูกเธอดึงมาติดกับ เธอมีความสามารถในการโน้มน้าวคนมากนะโอเคไหม


            “ใช่แล้วๆ พื้นฐานโทนเสียงของนายมันดีมากอยู่แล้ว แค่เพิ่มการเรียนรู้ทักษะเข้าไปหน่อย จริงๆ นะ คิดๆ ดูก็อยากเห็นแล้ว ว่ายังไง ว่ายังไง สนใจหรือเปล่า?”


            ลั่วจื่อหานเห็นเธอโน้มน้าวตัวเองอย่างมีชีวิตชีวา ก็แสร้งเผยอาการคาดหวังออกมา “อันนี้ฉันก็รู้สึกสนใจเหมือนกัน…”


            เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบททันที “ใช่ไหมล่ะ ใช่ไหมล่ะ”


            “แต่ว่านะเป่ยซี ฉันอยากพูดให้คนคนเดียวฟังเท่านั้น”


            พูด…พูดให้คนคนเดียวฟังเท่านั้น อี้เป่ยซีเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเขา จึงรู้ตัวว่าตัวเองโดนแกล้งเข้าแล้ว “อืมๆ งั้นเขาก็โชคดีจริงๆ ฮ่ะๆๆ”


            “ใช่ อยากบอกอรุณสวัสดิ์ราตรีสวัสดิ์เขาคนเดียวทุกวัน อยากเล่าเรื่องที่เขาชอบฟังโดยใช้เสียงที่เขาชอบ”


            อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองตัวเอง หางตาเธอกระตุก ถ้างั้นลั่วจื่อหานกำลังพูดเรื่องความรักอยู่เหรอ? มันไม่เหมาะกับเขาคนนี้เลยสักนิดโอเคไหม แม้ว่ามันจะปลุกเร้าได้ดีทีเดียวก็ตาม


            เธอไอเบาๆ หันหน้าไปข้างหน้า “อืมๆๆ ก็ดีนะ ก็ดีนะ”


            “เธอจะเต็มใจให้โอกาสฉันไหม? เป่ยซี” น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายน้ำ ไหลผ่านหูไปอย่างอ่อนละมุน ทำให้หัวใจรู้สึกจั๊กจี้


            เธอมองลั่วจื่อหานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อก่อนใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงความรู้สึกที่เขามีต่อตัวเอง เพียงแต่นึกว่ามันคือความรู้สึกดีทั่วๆ ไป ผ่านเข้ามาก็ผ่านไปแล้ว ต่อมารู้ว่าเขาคือคนเมื่อสมัยเด็ก ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คำสารภาพที่ฉับพลันแบบนี้ มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของตัวเองมาก


            คนที่โดดเด่นอย่างลั่วจื่อหานจะชอบอะไรในตัวเธอได้? รูปลักษณ์ภายนอก? เขาก็ไม่ใช่คนที่คิดอะไรผิวเผินแบบนั้น คุณค่าภายใน แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ว่าที่จริงเธอก็ไม่ได้มีคุณค่าภายในอะไร นิสัยเหรอ? คนที่เกียจคร้านเฉื่อยชาและเอาแต่ใจเหมือนคุณหนูอย่างเธอ ถ้าชอบก็ไม่เท่ากับหาความทุกข์หรอกเหรอ?


            ถ้างั้นทำไมลั่วจื่อหานถึงพูดแบบนี้ บางทีเพราะเห็นว่าเธออารมณ์ไม่ดีก็เลยล้อเล่นล่ะมั้ง เหมือนกับพวกฉู่ซ่ง เหมือนพวกหลานฉือเซวียนที่ชอบล้อเล่นกับเธอ ไม่มีอันตรายอะไร


            “มุกนี้ไม่ขำเลย เปลี่ยนมุกอื่นเถอะ”


            “ใช่มุกรึเปล่า เธอเองก็น่าจะรู้ แต่ไม่ต้องรีบตอบหรอก” ลั่วจื่อหานลูบไล้ผมของเธอ


            “แต่ทำไมล่ะ?”


            ลั่วจื่อหานหลุดขำ เชิดหน้าของอี้เป่ยซีขึ้น มองตาเธอด้วยความจริงจัง เงาของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาเธอ โครงร่างชัดเจน “อาจเป็นเพราะว่าเธอก็คือเธอ คนที่ฉันชอบ เหตุผลนี้เป็นไง?”


            อี้เป่ยซีเก็บขาเข้าไปข้างในอีก ลั่วจื่อหานยังคงไม่ปล่อยมือ เธอหลับตาลง ความมืดทำให้ยิ่งอ่อนไหวต่อความรู้สึกอื่นเป็นพิเศษ ลมหายใจของเขา ความรู้สึกจากการสัมผัสชัดเจนยิ่งขึ้น ชัดเจนจนยากที่จะมองข้ามได้


            “ฉัน ลั่วจื่อหาน…” เธอรวบรวมความกล้าลืมตาขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้านั้นใหญ่ขึ้นทีละน้อย ริมฝีปากสองของคนประกบกัน ปลายลิ้นของลั่วจื่อหานบรรจงวาดอยู่บนริมฝีปากแดงของเธอ ราวกับกำลังแกะสลักงานศิลปะอย่างไรอย่างนั้น อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าจู่ๆ เวลาก็หยุดนิ่ง ในสมองว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่


            “อ้าปากสิ” เสียงมีทรงเสน่ห์ดังขึ้นข้างหู เธออ้าปากออกเล็กน้อย ลั่วจื่อหานกอดเธอไว้แน่น อาศัยจังหวะนี้เคลื่อนริมฝีปากที่เปี่ยมด้วยรสหวานดุจน้ำผึ้งเข้าไป ดูดดื่มเล็กน้อย ประกบแนบแน่นอ่อนโยน


            “อือ…” ขณะที่อี้เป่ยซีกำลังจะขาดอากาศหายใจ ลั่วจื่อหานจึงปล่อยเธอทั้งๆ ที่อยากจะทำต่อ รอยยิ้มเขาเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ จากนั้นกัดริมฝีปากที่บวมแดงของเธอเบาๆ


            “ลั่วจื่อหาน นาย ฉัน…” หลังจากอี้เป่ยซีมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว เธอรู้สึกเพียงว่าในหัวสับสน ไม่แม้แต่จะจัดระเบียบประโยคได้ เธอพลันพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักของเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มือกำลังโอบอยู่บนเอวตัวเองตามอำเภอใจ


        อี้เป่ยซีหน้าแดงทันที ลุกขึ้นมาจากตัวเขา แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ และไม่สนใจเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนที่อยู่ข้างหลังด้วย


………………………..


บทที่ 70 จูบแย่ๆ (1)


อี้เป่ยซีรีบกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของตัวเองแล้วล็อคประตูทันที


“เอ๋ เธอออกไปกับพี่ใหญ่จื่อหานไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอถึงกลับมาคนเดียวล่ะ?”


เธอทำลมหายใจให้เป็นปกติ เอ่ยปากสบายๆ “เขามีธุระกลับไปแล้ว”


“ฉู่เซี่ย ทำไมเธอหน้าแดงแบบนั้น? ปากเป็นอะไรไป? เหมือนมันบวมเลย”


เธอกัดปาก บ่นแล้วมองฉู่ซ่ง “สังเกตละเอียดขนาดนั้นทำไมไม่ไปเป็นนักสืบล่ะ”


“ฉันก็เคยคิดนะ แต่น่าเสียดาย มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันสนใจที่สุด”


“พูดมาก ฉันกลับห้องแล้ว นายเก็บของแล้วรีบไปซะ”


“เธอนี่นะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”


“เด็กดี อย่าพูดสำนวนส่งเดช อย่างฉันน่ะลับมีดเร็วรี่ปรี่หาหมูแพะเพื่อฆ่าต่างหากเล่า ถอยไปๆ ฉันจะกลับพักผ่อน”


ฉู่ซ่งมองแผ่นหลังของเธอที่เดินเข้าไปข้างใน เอ่ยปากขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าขึ้นบันได “ฉู่เซี่ย ไม่ใช่ว่าหลับไปแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้จะกลายเป็นความฝันนะ โตป่านนี้แล้ว เธอควรจะคิดว่าจะเผชิญหน้ายังไง ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย คิดแต่จะหนีอย่างเดียว คิดจะรักษาสภาพที่เป็นอยู่”


อี้เป่ยซีจับราวบันได ทำอย่างไรก็ก้าวเท้าไม่ออก ฉู่ซ่งเดินมาข้างเธอ


“นึกว่าผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว เธอจะพัฒนากว่านี้”


“ฉัน…”


“เจ้าเต่าน้อย เธอไปแอบเถอะ ถึงยังไงก็ไม่มีคนบังคับเธอ จะให้ฉันซื้อทรายให้ด้วยไหม?” ฉู่ซ่งผลักเธอ “เหนื่อยแล้วขึ้นไปพักผ่อนเถอะ ไปสิ ไปสิ เอนตัวหลับตาสบายจะตาย ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ฉันจะไม่บอกลั่วจื่อหานแล้วก็จะไม่บอกอี้เป่ยเฉินหรอก แบบนี้โอเคแล้วมั้ง”


อี้เป่ยซียังคงหยุดยืน เธอมองดูมือของตัวเอง “บางทีฉันไม่อยากคิดอะไรชัดเจนขนาดนั้น ฉันจะรู้สึกเหนื่อยมาก ฉันนึกว่าจะเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างโง่ๆ ไม่ต้องไปสนใจอะไรมาก หลับไปก็ลืม ก็เปลี่ยนไปแล้ว สิบกว่าปีมานี้ฉันสบายดีมาก คนรอบกายก็ต่างมีความสุขมาก ทำไมฉันจะต้องเลือกให้ตัวเองรับความกดดันจากการตัดสินใจ แล้วก็ยอมรับความหดหู่ที่พูดไม่ได้ด้วยล่ะ”


“ฉู่เซี่ย เธอนี่จริงๆ เลย” ฉู่ซ่งกุมหน้าผาก “ดูแล้วพวกเขาคงใจกว้างกับเธอจริงๆ เธอไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเอาเรื่องของตัวเองผลักไปให้คนอื่นหมดแล้วเหรอ? ตอนนี้ฉันชักรู้สึกสงสารอี้เป่ยเฉินขึ้นมาซะแล้ว ฉู่เซี่ย มันคือเรื่องของเธอ เธอก็ควรคิดให้มันชัดเจน อย่าคลุมๆ เครือๆ ทำให้ทุกคนต่างอึดอัดไปด้วย ถึงตอนนั้นอี้เป่ยเฉินก็ดี ลั่วจื่อหานก็ดีก็จะสับสนเพราะเธอและได้รับความเจ็บปวดที่ไม่สมควรได้รับ”


“เอาเถอะ ฉันรู้แล้ว ฉันจะคิดให้ดีๆ”


ฉู่ซ่งพยักหน้าชื่นชม บนใบหน้าเผยให้เห็นอาการว่าเด็กคนนี้โตแล้วพูดรู้เรื่อง จึงหันหลังและเดินจากไป แต่อี้เป่ยซีกลับรู้สึกหนักอึ้ง ประคองราวบันไดขึ้นชั้นบน นั่งบนเก้าอี้โยกขนาดเล็กที่จัดไว้ก่อนหน้านี้ มองแสงพลบค่ำนอกหน้าต่าง ครุ่นคิด


เธอรู้สึกอย่างไรกับลั่วจื่อหาน? เธอยื่นมือออกไป ยกสร้อยข้อมือขึ้นมาตรงหน้า เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะคิดออกได้อย่างไร อยู่กับเขา…เธอนึกถึงตอนยังเป็นเด็ก นึกถึงลั่วจื่อหานเนื้อตัวมอมแมมตอนที่ทั้งสองคนเจอกันครั้งแรก นึกถึงสมบัติของเขาบนภูเขาหิมะ นึกถึงเรื่องรูปถ่าย นึกถึงจูบหวานๆ เมื่อครู่ เหมือนกับกำลังอยู่ในความฝัน นึกถึงฝันนั้น


เธอจึงพบว่าเธอกับลั่วจื่อหานรู้จักกันมานานแล้วจริงๆ เกิดเรื่องมากมายขนาดนั้น เวลาที่มีเขาอยู่ก็จะรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายมาก เวลาไม่มีเขาอยู่ก็ไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น เวลาที่เจอเขาก็รู้สึกดีใจแทบกระโดดโลดเต้น เวลาที่ไม่เจอเขาก็ไม่ได้คิดถึงเขาเท่าไร


ฉะนั้นสรุปแล้วเธอรู้สึกอย่างไรกับลั่วจื่อหานกันแน่? เป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ เป็นญาติก็ไม่ใช่ และไม่น่าจะเป็นความรักที่จะอยากเข้าใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าเขาดีมาก และรู้สึกว่าเขาสำคัญมาก มีบางเวลาที่อยากจะแบ่งปันความสุขกับเขา บางเวลาก็อยากระบายเรื่องทุกข์ใจกับเขา อยากเอาความคิดทั้งหมดของตัวเองบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาที่สุด


จะไม่บอกหลานฉือเซวียนหรือเซี่ยเซ่อ จะไม่บอกฉู่ซ่ง จะไม่บอกพี่เป่ยเฉิน จะไม่บอกคุณพ่อคุณแม่อี้ ต้องการจะบอกเขาเพียงคนเดียว


ก็เพราะรู้สึกว่าเขาไว้ใจได้อย่างสมบูรณ์ พูดคุยได้ทุกเรื่อง


เพราะว่าหน้าแดงเมื่ออยู่ใกล้เขา เพราะจูบของเขา…


“อ๊าๆๆ…ลั่วจื่อหานนายทำให้ฉันปวดหัวจริงๆ เลย”


“อย่าเพิ่งไปคิดเลย” จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาอี้เป่ยซีตกใจจนเกือบตกจากเก้าอี้


“นายๆๆ ทำไมถึงนายถึงเดินมาเงียบๆ? ตกใจหมดเลย”


“เพราะว่าเธอคิดจนใจลอยเกินไป กำลังคิดถึงฉันเหรอ?” พูดพลางลั่วจื่อหานก็เดินเข้ามาข้างเธอ แววตาลึกซึ้ง “เธอเพิ่งฟื้นมาไม่เท่าไร อย่าฝืนตัวเองแบบนี้สิ”


เสียงของอี้เป่ยซีต่ำมาก “แต่ว่า ฉันก็อยากคิดให้ชัดเจนนี่นา”


ลั่วจื่อหานเอื้อมมือเคาะหัวของเธอ “เด็กโง่ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องคิดให้เข้าใจหรอก ใช้ใจก็พอแล้ว”


“เจ็บนะ” แววตาไม่พอใจทำให้ลั่วจื่อหานรู้สึกอบอุ่น


“หิวหรือเปล่า คืนนี้อยากกินอะไร?”


“เอ๋ นายทำกับข้าวเป็นเหรอ?” ลั่วจื่อหานแสดงอาการอวดเก่งประมาณว่าเธออย่ามาพูดเป็นเล่นนะ “อืม อยากกินปลานึ่ง ปลาเปรี้ยวหวาน เนื้อสันในหมูเปรี้ยวหวาน…”


ลั่วจื่อหานได้ยินแล้วพยักหน้าเป็นครั้งคราว อี้เป่ยซียิ่งประหลาดใจ “นายก็ทำพวกนี้เป็นด้วยเหรอ?”


“วันนี้เลือกสองสามอย่างเถอะ ไม่ได้กินอะไรหลายวันแล้ว อย่ากินเยอะ ท้องจะรับไม่ไหว”


“เชอะ” เธอพิงอยู่บนเก้าอี้หลับตา “เพราะนายทำไม่เป็นล่ะมั้ง”


“เป่ยซี เธอกินของพวกนี้คนเดียวไม่หมดหรอก”


“วางใจเถอะๆ ฉันกินเก่งนะ”


ลั่วจื่อหานจูงมือของเธอ “ไปเถอะ พวกเราไปซื้อวัตถุดิบกัน”


“หา” แม้ไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ยังเดินออกไปกับเขาแล้ว มาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ไม่ไกลนัก อี้เป่ยซีเห็นท่าทางของเขาที่เลือกวัตถุดิบอย่างตั้งใจก็เหม่อลอยเล็กน้อย หมอนี่ คงไม่ทำกับข้าวเยอะแบบนั้นจริงๆ หรอกนะ


ขณะที่ลั่วจื่อหานกำลังหยิบเนื้อวัวอีกชิ้นขึ้นมานั้น อี้เป่ยซีรีบยื่นมือห้ามเขาทันที “อย่าๆๆ วันนี้ถ้าทำหมดทุกอย่างแล้ว ต่อไปจะมีอะไรใหม่ๆ ล่ะ” ลั่วจื่อหานได้ยินคำว่าต่อไปของเธอ จึงวางเนื้อวัวในมือลง ดึงเธอมาอยู่ระหว่างตัวเองกับรถเข็น


“นี่ คนมองเยอะแยะ นายอย่านะ” อี้เป่ยซีหันซ้ายหันขวา โดยปกติหน้าตาของลั่วจื่อหานก็ดึงดูดความสนใจอยู่แล้ว บวกกับการกระทำของเขา ผู้คนที่อยู่ข้างๆ กำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง คนจะหาว่าไม่มีกาลเทศะน่ะสิ


“ต่อไป เธอก็จะชินแล้ว” ลั่วจื่อหานพูดคำว่าต่อไปอย่างชัดเจนมาก อี้เป่ยซีหน้าแดงอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ เธอก้มหน้า ในใจบ่นพึมพำว่ามองไม่เห็นฉัน


ลั่วจื่อหานไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก จุ๊บหน้าผากของเธอแล้วปล่อยอย่างเป็นธรรมชาติมาก แต่อี้เป่ยซี


กลับรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติอยู่สักหน่อย


ทำไมเขาเอะอะอะไรก็จูบนะ เขาเป็นโรคอะไรกัน ไม่ได้ จะต้องคุยกับเขา เธอมองลั่วจื่อหานกำลังลังเลครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องเอ่ยปากอย่างไร เพียงแค่สบสายตาของเขาที่หันมาก็หลบตามองไปทางอื่นแล้ว และยังหยิบของบนชั้นวางของข้างๆ


“กล่องเล็กนี้ดูแล้วก็ไม่เลวนะ มีโปรโมชั่นด้วย” ขณะที่เธอเห็นตัวอักษรด้านบนชัดเจนแล้วก็รู้สึกประหลาดใจราวฟ้าผ่า ใครเล่นพิเรนเอา***มาไว้ตรงของสดนะ นี่มันทำร้ายกันชัดๆ


อี้เป่ยซีหน้าแดงต้องการจะวางของกลับไป ลั่วจื่อหานแย่งมาได้ด้วยความว่องไว “ใช่ไม่เลวเลย” เขายกมุมปาก เผยยิ้มที่มีเสน่ห์ชั่วร้ายให้อี้เป่ยซี “เป่ยซีอยากจะส่งสัญญาณบอกอะไรฉันเหรอ?”


เธอรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงจนแทบระเบิด ต่อไปเธอจะไม่มาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้อีกแล้ว น่ากลัวเกินไปจริงๆ “แค่ก ยังจะซื้ออะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีแล้วก็กลับกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”


ลั่วจื่อหานไม่ได้แซวเรื่องนี้ต่ออีก เอาของวางกลับไปที่เดิม “ทำไมเธอถึงหน้าแดงแบบนั้นล่ะ?”


“ที่นี่มันอบอ้าวเกินไป” พูดพลางใช้มือพัดวี “พวกเรารีบกลับบ้านเถอะ”


เขายิ้มจูงมือของเธอ “ได้ กลับบ้าน”


เหมือนจะพูดผิดอีกแล้ว…


……………………..


บทที่ 71 จูบแย่ๆ (3)


“ให้ฉันช่วยนายเถอะ” อี้เป่ยซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะกินข้าวครู่หนึ่ง รู้สึกว่าปล่อยให้แขกยุ่งอยู่แบบนี้ไม่ดีเท่าไร จึงเบียดตัวเองเข้าไปในห้องครัวเล็กๆ เห็นท่าทางที่คล่องแคล่วของลั่วจื่อหานแล้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คุณชายใหญ่ที่ดูสูงส่งกว่าคนทั่วไป คิดไม่ถึงว่าจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย


ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเธอ จึงตอบอือเบาๆ “เธอไปล้างผักชีฝรั่งที่อยู่ทางนั้นเถอะ”


อี้เป่ยซีพับแขนเสื้อตัวเอง ตั้งใจทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ลั่วจื่อหานไว้วานเป็นครั้งคราวอยู่ข้างๆ บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมาก


“นี่ ฉันอยากลองดู” ลั่วจื่อหานมองดวงตากลมโตเป็นประกายที่เปี่ยมด้วยความคาดหวังคู่นั้น ท้ายที่สุดก็คลายมือ ส่งตะหลิวให้เธอ ส่วนตัวเองมองอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง


“ใส่น้ำมันก่อน”


“อืมๆๆ”


ภายใต้ความร่วมแรงร่วมใจของทั้งสองคน ไม่นานอาหารค่ำก็เสร็จสมบูรณ์ อี้เป่ยซีมองดูกับข้าวที่มีสีสันน่ารับประทาน เผยรอยยิ้มพึงพอใจ “ที่แท้ทำกับข้าวมันง่ายแบบนี้นี่เอง ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย” เธอสูดหายใจลึก “ไม่รู้สึกเหมือนตัวเองทำเลย”


“เอาไปวางกันเถอะ” ลั่วจื่อหานมองเธออย่างเอ็นดูพร้อมกล่าวเสียงเบา อี้เป่ยซีที่กำลังดื่มด่ำกับฝีมือการปรุงอาหารของตัวเองจึงดึงสติกลับมาแล้วพยักหน้าให้ จากนั้นเอาจานไปวางบนโต๊ะอย่างมีความสุขมาก ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน ลั่วจื่อหานลุกขึ้นหยิบไวน์แก้วหนึ่งจากตู้เก็บไวน์มารินให้ตัวเอง


เธอถาม “บ้านฉันมีไวน์ตั้งแต่เมื่อไร?”


เขาจิบไปคำหนึ่ง “เธออยากดื่มไหม ในตู้ไวน์ยังมีเหล้าผลไม้ แอลกอฮอล์ต่ำมาก”


อี้เป่ยซีกัดตะเกียบพยักหน้า ไม่นานแก้วไวน์ที่อยู่ตรงหน้าก็ปรากฏเหล้าผลไม้สีชมพู เธอหยิบขึ้นมาดมๆ รสพีชเหรอ?


“อร่อยจริงด้วย นายไปซื้อมาจากไหน?”


“เพื่อนหมักน่ะ ถ้าชอบยังมีอีกเยอะ ค่อยๆ ดื่มก็ได้”


เธอพยักหน้าให้ เริ่มลองชิมอาหาร ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าอาหารโฮมเมดเหล่านี้กลายเป็นความแปลกใหม่ ทุกคำล้วนมีรสเลิศ เธอแอบเหลือบมองลั่วจื่อหาน จากนั้นก็ก้มหน้ากินข้าว น่าจะเป็นเพราะตัวเองก็ได้มีส่วนร่วมด้วย อารมณ์จึงต่างออกไป


“ฉันล้างเอง” หลังจากกินเสร็จ อี้เป่ยซีอาสาเข้าห้องครัวไป ลั่วจื่อหานยืนอยู่ด้านข้างพอดี เขาช่วยเธอพับแขนเสื้อที่ตกลงขึ้นมาอีกรอบ นิ้วที่สัมผัสโดนแขนเรียวเล็กโดยไม่ได้ตั้งใจก็นุ่มนวลอ่อนโยน เขาไอเบาๆ ทำจนเสร็จด้วยความคล่องแคล่ว อี้เป่ยซีรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเขา ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วล้างจานต่อไป


ทำไมต้องออกแบบห้องครัวให้เล็กแบบนี้ด้วย เธอคิดในใจ รู้สึกว่ารอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นกายของผู้ชาย แม้ว่ากลิ่นนั้นจะทำให้รู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่งก็ตาม


“ระวัง” ลั่วจื่อหานดึงเธอหลบไป ถ้วยกระเบื้องที่ร่วงลงบนพื้นจึงไม่ได้กระเด็นบาดใส่ขาเธอ เสียงแตกของเครื่องเซรามิกทำให้ในใจของอี้เป่ยซีบีบรัดแน่น แตก…แตกอีกแล้ว


“ก็แค่ถ้วยแตกใบหนึ่ง ไม่เป็นไร” ลั่วจื่อหานปลอบโยนอยู่เหนือศีรษะเธอ ได้ยินเสียงของเขา ไม่รู้ว่าทำไม่ถึงรู้สึกอยากร้องไห้ “เป็นอะไรไป เป่ยซี”


“ไม่รู้ ฉันเสียใจมากเลย ลั่วจื่อหาน”


“ไม่เป็นไร ฉันอยู่นี่”


“ฮือๆๆ…” อี้เป่ยซีพิงที่ไหล่ของเขา ร้องไห้ออกมาทันที สองแขนของลั่วจื่อหานกอดแน่นเล็กน้อย ปลอบประโลมเธอเบาๆ ไม่รู้ว่าร้องไห้นานแค่ไหน เธอจึงค่อยหยุดน้ำตาไหล แต่ตอนนี้เสื้อของเขาเปียกไปส่วนหนึ่งแล้ว


เธอผละออกมาจากอ้อมอกเขาอย่างเขินอาย ก้มหน้าลง “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”


ทันทีที่ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าอ้อมอกของตัวเองว่างเปล่า ก็รู้สึกว่าบางตำแหน่งเบาโหวงด้วย “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ทำไมถึงเสียใจขนาดนี้ล่ะ?”


อี้เป่ยซีส่ายหน้า เขานึกว่าเป็นเพราะเธอไม่อยากพูด จึงก้าวไปข้างหน้ากอดเธอไว้ในอ้อมแขน “มีอะไรไม่สบายใจก็บอกฉันได้ ไม่ต้องกังวลอะไร”


“อือ แต่ว่าเสื้อของนาย…”


“หืม? เรื่องเล็กน้อยน่ะ”


“ลั่วจื่อหาน ให้เวลาฉันอีกหน่อย ฉันจะคิดให้ดี”


เขาหัวเราะเบาๆ “ได้ ฉันจะรอเธอคิดให้ดี”


ลั่วจื่อหานพาเธอไปส่งที่ห้องรับแขกแล้วก็จัดการกับตัวเอง เขาขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อชั้นบน แล้วลงมาจัดการความยุ่งเหยิงในห้องครัวให้เรียบร้อย อี้เป่ยซีมองดูห้องของตัวเอง เหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย รูปแบบสีขาวดำที่เย็นชืดในตอนแรกกลับเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอบอุ่น หลายจุดที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้ก็ถูกเติมเต็มแล้ว


ตัวเองนอนหลับไปนานแค่ไหน ถึงเพียงพอให้ลั่วจื่อหานย้ายของเข้ามามากขนาดนี้?


สิ่งของทุกชิ้นล้วนเข้ามาในนี้อย่างเงียบเชียบ คนก็เข้ามาอยู่ที่นี่อย่างเงียบเชียบเช่นกัน


จู่ๆ อี้เป่ยซีรู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจ เธอกอดหมอนที่อยู่บนโซฟา เปิดโทรทัศน์เลือกซีรี่ส์ดูตามใจชอบ เรื่องราวและนักแสดงมีความเอาใจใส่ ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกเนื้อเรื่องดึงเข้าไปอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ลั่วจื่อหานมานั่งข้างตัวเองก็ไม่รู้เรื่อง


เขาก็ไม่ได้อ้าปากเรียกเธอ นั่งลงข้างเธอเงียบๆ ดูภายนอกเหมือนคู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน มีความกลมเกลียวและเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไร ลั่วจื่อหานไม่กล้าขยับตัว ด้วยกลัวว่าบรรยากาศแบบนี้จะหลุดลอยจากมือไป


นาฬิกาบนเหนือศีรษะเดินไปอย่างระมัดระวัง รอบแล้วรอบเล่า บทเพลงในตอนจบดังขึ้น อี้เป่ยซีจึงกลับมาสู่โลกปัจจุบันด้วยความตื้นตันเล็กน้อย ซีรี่ส์เรื่องนี้สนุกเกินไปแล้ว จะต้องไปดูย้อนหลังสักหน่อย


“เอ๊ะ นายมานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” เธอพูดพลางกะพริบตาปริบๆ


ลั่วจื่อหานรู้สึกใจเต้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขายื่นมือออกไปลูบผมของเธอ “ดูจบแล้วก็ไปนอนก่อนเถอะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว”


อี้เป่ยซีเงยหน้าดูนาฬิกาบนผนัง ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว งั้นเขานั่งอยู่ข้างเธอตลอดเวลา ก็เพื่อรอจนเธอดูจบแล้วกำชับให้ไปนอนงั้นเหรอ?


น่าจะไม่ใช่มั้ง จะมีคนที่รอนานแบบนี้เพื่อประโยคเดียวได้อย่างไร เธอส่ายหัวด้วยความวุ่นวายใจเล็กน้อย กอดหมอนในอ้อมแขนไว้แน่น


“งั้นฉันกลับแล้วนะ เธอระวังตัวด้วย”


“เอ๊ะ? นายจะกลับเหรอ? ดึกป่านนี้แล้ว”


เมื่อเข้าใจความหมายของเด็กสาว ลั่วจื่อหานหัวเราะก่อนเอ่ยว่า “ทำไมล่ะ อยากให้ฉันค้างคืนกับเธอหรือไง?”


“เชอะๆๆ ฉันเปล่าสักหน่อย นายไปเถอะ กลับดีๆ ล่ะ รีบไปๆ” อี้เป่ยซีเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นไม่อยากสนใจเขาอีก


ลั่วจื่อหานเข้าใกล้เธอเล็กน้อย อี้เป่ยซีหันกลับมากะทันหัน ปลายจมูกจึงสัมผัสกัน รู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เขาหัวเราะเบาๆ แล้วคว้าศีรษะของคนที่ยังคงงุนงงกับสถานการณ์เข้ามา จูบบนริมฝีปากแดงที่งดงาม เพียงประกบครู่เดียวไม่ได้ลึกซึ้ง จากนั้นก็ปล่อยอี้เป่ยซีที่หน้าแดงจนถึงคอไป


“งั้นฉันกลับก่อนนะ”


อี้เป่ยซีซ่อนตัวอยู่หลังหมอน ไม่ได้พูดอะไร เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาที่ค่อยๆ ไกลออกไปจึงรวบรวมความกล้าพูดว่ากลับดีๆ นะ จากนั้นก็หดตัวแกล้งตายเหมือนเต่าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา


อี้เป่ยซี อี้เป่ยซี สมองเธอพังไปแล้วหรือยังไงนะ ผลักเขาออกไปไม่ได้หรือไง ผลักออกไปสิ


ยังไม่ทันคิดให้ดีก็รับจูบของเขาด้วยความนิ่งเฉยขนาดนั้น เชอะ เธอนี่มันหน้าไม่อายเกินไปแล้ว


เธอหน้าไม่อายอะไรกัน เพราะลั่วจื่อหานเป็นคนเข้ามาจูบเอง เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกต่างหากโอเคไหม แบบนี้จะผลักเขาออกไปได้ยังไง เขาต่างหากล่ะที่หน้าไม่อาย ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย


ใช่ ลั่วจื่อหาน หมอนั่นไร้ยางอายเกินไปแล้ว


………………………….


บทที่ 72 แผนร้ายถูกเปิดโปง (1)


หลังจากตื่นนอน อี้เป่ยซีค้นซ้ายหาขวาก็หาโทรศัพท์มือถือของตัวเองไม่เจอ ขณะที่เห็นเวลาในห้องก็กัดฟันจำใจไปมหาวิทยาลัย พอออกจากบ้านก็เจอฉู่ซ่ง ราวกับว่าเขากำลังรอเธออยู่ตรงนั้น


“ฉู่ซ่ง ก่อนหน้านี้นายเห็นมือถือฉันไหม?”


ดวงตาสีดำเป็นประกาย น้ำเสียงเขายังคงเป็นปกติ “ความจำเธอไม่ดีเอง ใครจะรู้ว่าเธอทิ้งไว้ไหนแล้ว เอาล่ะ ไปเรียนก่อนเถอะ เดี๋ยวเธอจะสายเอานะ”


“ไม่หรอกมั้ง ฉันจำได้ว่าใส่ไว้ในกระเป๋าหนังสือแล้ว” เธอเกาหัว พยายามนึกย้อนดู


“โธ่เอ๊ย ก็แค่มือถือเครื่องหนึ่ง กลับไปซื้ออีกเครื่องให้เธอก็โอเคแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด ต้องการจะเปลี่ยนหัวข้อนี้โดยเร็ว อี้เป่ยซีคว้าเสื้อของเขา เดินไปด้านหน้า มองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ จู่ๆ ฉู่ซ่งก็รู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย


“เธอ เธอจะทำอะไร”


“ฉู่ซ่ง วันนี้นายพูดจาแปลกๆ นะ”


“แปลก แปลกที่ไหนกัน ปะ ปกติฉันก็พูดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”


“พูดมา มีอะไรปิดบังฉันใช่ไหม”


ฉู่ซ่งดึงมือของเธอออกทันที ไม่มองตาเธออีก “ฉันจะมีอะไรปิดบังเธอได้ อย่าคิดมากเลย ไปเถอะๆ ไปมหา’ลัยได้แล้ว”


“ไม่ได้ ฉู่ซ่ง นายมาคุยกับฉันให้รู้เรื่อง นายฟอกเงินมาใช่ไหม” อี้เป่ยซีถามอย่างเอาจริงเอาจัง ฉู่ซ่งสีหน้างงงวย ฟอกเงินอะไรกับอะไร


“ทำไมจินตนาการเธอถึงล้ำแบบนี้เนี่ย”


“งั้นทำไมจู่ๆ นายก็ใจกว้างแบบนี้ล่ะ แถมยังบอกว่าจะซื้อมือถือเครื่องใหม่ให้ฉันอีก ก่อนหน้านี้ใครกันที่ไม่ยอมเลี้ยงแม้แต่ข้าวสักมื้อ”


ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ฉู่ซ่งถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย “เฮ้อ ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าฉันจะซื้อให้เธอ”


“แล้วทำไมนายถึงพูดด้วยความมั่นใจเต็มร้อยแบบนั้น” อี้เป่ยซีก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า “ไปสิๆ เดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก”


ตอนนี้นึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่


“ทำไมนายยังไม่ไปอีก?”


“รู้แล้ว” ฉู่ซ่งเร่งฝีเท้าให้ทันเธอ


ทันทีที่เข้าห้องเรียน อี้เป่ยซีก็รู้สึกได้ว่าเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ข้างๆ ทำตัวแปลกๆ ทุกคนไม่กล้ามองตาเธอโดยตรง เธอรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ยังไปนั่งที่เดิม เพื่อนนักศึกษาข้างๆ ทำตัวเหมือนนกกระจอกแตกรัง รวมตัวอยู่ด้วยกันแต่ไม่ต้องการจะเข้าใกล้เธอ


เธอกลายเป็นสัตว์ร้ายน่ากลัวไปแล้วหรือไง? เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ หยิบหนังสือเรียนออกมาอย่างไม่ใส่ใจ และรออาจารย์เข้ามา วันที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ อาจารย์มาถึงอย่างไม่เร่งรีบ คนอื่นที่อ้อยอิ่งในเวลาเดียวกันนั้นก็คือเพื่อนร่วมหอพักของอี้เป่ยซีอีกสามคน


ฉินเยวี่ยเข่อเหลือบมองเธอด้วยความหยิ่งยโสมาก แล้วนั่งลงที่นั่งด้านหน้า ฟางหมิ่นกับถังเสวี่ยนั่งข้างเธอ เพิ่งจะนั่งลง ถังเสวี่ยก็แอบมองอี้เป่ยซีตลอดเวลา คาบเรียนผ่านไปแล้ว ถังเสวี่ยยังคงมองมายังทิศทางของอี้เป่ยซีอยู่


“ถังเสวี่ย ตาเธอเป็นอะไรไป?”


คนที่ถูกเรียกชื่อรีบละสายตาของตัวเองไปด้วยความกระวนกระวาย ส่ายหน้า ปิดปากแน่น ราวกับกลัวว่าตัวเองจะหลุดเอ่ยอะไรออกไป อี้เป่ยซีไม่ใส่ใจ ฟังบทเรียนและจดบันทึกต่อ


ขณะอยู่ในห้องน้ำหลังเลิกเรียน อี้เป่ยซีกลับถูกคนขวางทางเอาไว้ เธอมองคนที่ขวางทางตัวเองข้างหน้าอย่างหงุดหงิด ตอนนี้ชักจะอดไม่ไหวแล้ว “ถอยไป ฉันจะกลับ”


ฉินเยวี่ยเข่อหัวเราะเยือกเย็น “อี้เป่ยซี เธออย่าคิดว่าจะรังแกพวกเราง่ายๆ นะ ก็แค่เกิดมาต่ำต้อยกว่าเธอนิดหน่อยเท่านั้น นอกจากเรื่องนี้แล้วเธอยังมีอะไรน่าอวดดีอีกล่ะ”


อี้เป่ยซีคร้านจะใส่ใจคำถามถางของอีกฝ่าย “ความต้องการของฉันไม่สูงหรอก มีแค่ด้านหนึ่งที่ชนะคนอื่นก็พอแล้ว ในเมื่อรู้ว่าสถานะของเธอสู้ฉันไม่ได้ เธอยังไม่หลีกทางไปอีก”


“อี้เป่ยซี อย่านึกว่าเธอเป็นคุณหนูบ้านอี้แล้วจะทำอะไรตามใจชอบไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาได้นะ พี่สาวฉันน่ารังแกแต่ฉันไม่ใช่ ฉันจะเตือนเธอให้ อย่ามาหาเรื่องพี่สาวฉันอีก ไม่อย่างนั้นแม้แต่อี้เป่ยเฉินก็จะไม่ปล่อยเธอ”


นี่มันเรื่องอะไรกัน? อี้เป่ยซีถูกเธอพูดจาอ้อมค้อมใส่จนสับสนเล็กน้อย มันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวเธอและพี่เป่ยเฉินด้วย


“ฉินเยวี่ยเข่อ พวกเราสองคนไม่มีเรื่องขัดใจกันนะ แต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับเธอเลยนะ ตอนนี้เธอกำลังเล่นอะไรกันแน่?”


“อี้เป่ยซี สักวันหนึ่งฉันจะทำให้เธอสูญเสียทุกอย่าง คุกเข่าแทบเท้าฉัน ขอร้องให้ฉันปล่อยเธอไป” พูดจบก็จากไปอย่างไม่แยแส ปล่อยให้อี้เป่ยซีมีสีหน้างงงวย


ดูซีรีส์น้ำเน่าเยอะเกินไปหรือเปล่า? จิ๊ๆ ช่างเป็นตัวละครในซีรีส์ที่มีชีวิตจริงๆ พูดจาชวนให้คนกังขา อี้เป่ยซีล้างมืออีกครั้ง เดินออกมาจากห้องน้ำ จะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง


“เป่ยซี” อี้เป่ยซีนั่งแถวสุดท้ายติดประตู ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนเรียกอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นฉินรั่วเข่อเธอขมวดคิ้ว แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ยังเดินออกไปแล้ว


วันนี้สองพี่น้องคู่นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?


“นี่เธอเป็นอะไร?” เธอเห็นมือของฉินรั่วเข่อบิดเข้าหากัน ก้มหน้า ราวกับว่าทำอะไรผิดอย่างไรอย่างนั้น “เอ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”


ฉินรั่วเข่อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าซูบตอบเห็นได้ชัด ดวงตาก็บวมแดงเพราะร้องไห้มานาน อิดโรยเป็นอย่างมาก น้ำตายังคงร่วงลงมาจากแก้มอย่างต่อเนื่อง


“เธอ เธอเป็นอะไรไป?”


เธอกัดริมฝีปาก ท่าทีเหมือนอดกลั้นเอาไว้ ปาดน้ำตาบนใบหน้า สูดหายใจเข้าลึก แล้วยิ้มน้อยๆ “ฉันไม่เป็นไร ฉันแค่ได้ยินว่าฉินเยวี่ยเข่อสร้างความเดือดร้อนให้เธอ เลยอยากจะขอโทษเธอแทนเขา”


“เธอเป็นแบบนี้แล้วจะขอโทษอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า? วันนี้พวกเธอสองคนแปลกๆ”


ความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาของฉินรั่วเข่อ จากนั้นก็กำมือตัวเองแน่นกว่าเดิม กิริยาเล็กน้อยเหล่านี้แน่นอนว่าไม่รอดพ้นสายตาของอี้เป่ยซี


เธอควรจะรู้อะไรหรือเปล่า? ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเหลือเชื่อแบบนี้ วันนี้ทำไมทุกคนถึงได้แปลกเหลือเกิน


“เธอพูดมาก็พอ ไม่เป็นไรหรอก”


ฉินรั่วเข่อยิ้มขมขื่น “ฉันจะพูดอะไรได้ เป็นเพราะ เป็นเพราะคนอื่นสร้างเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น ต่อไปฉันจะคุยกับฉินเยวี่ยเข่อให้รู้เรื่อง ต่อไปเขาจะไม่หาเรื่องเธออีก” น้ำเสียงเหมือนกับถูกรังแกแต่ไม่กล้าพูดอะไร อี้เป่ยซีรู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่รื่นหูอยู่บ้าง ลักษณะนี้เหมือนสาเหตุที่ไม่กล้าพูดความจริงเป็นเพราะเธอ เหมือนเธอกำลังรังแกอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น


ความรู้สึกแบบนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ ขณะที่อี้เป่ยซีต้องการเอ่ยถามต่อ จู่ๆ ฉู่ซ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเธอ ไม่เก็บซ่อนความรังเกียจที่มีต่อฉินรั่วเข่อเลยแม้แต่น้อย เขาดึงมือของอี้เป่ยซีมาทันที ดึงระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายออกจากกัน


“เธอมาทำอะไรที่นี่?”


มือของฉินรั่วเข่อผ่อนคลาย “ฉันมาขอโทษ”


“หืม ขอโทษ? ก็ควรขอโทษอยู่หรอก ตอนนี้ขอโทษเสร็จแล้วเธอก็รีบไปซะ ต่อไปถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอมาหาอี้เป่ยซี มันจะไม่ง่ายแค่การขอโทษแล้ว”


“ขอบคุณที่เตือนสตินะ” พูดจบฉินรั่วเข่อก็จากไป ลำตัวไม่ได้ยืดตรงเหมือนก่อนหน้านี้ แต่โค้งงอเล็กน้อย


อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นมองน้องชายที่สูงกว่าตัวเอง “มีอะไรปิดบังฉันจริงๆ ใช่ไหม ทำไมถึงรู้สึกว่าพวกเธอแปลกๆ กัน”


“เอ๋ งั้นเป็นไปได้แล้วว่าเธออยู่บนจุดสูงสุดที่คนทั่วไปถูกมอมเมาแต่มีเธอคนเดียวที่ตื่นรู้ ขอชื่นชม ขอชื่นชม”


……………………..


บทที่ 73 แผนร้ายถูกเปิดโปง (2)


“โอ๊ย เธอทำอะไรน่ะ เจ็บนะ” ฉู่ซ่งมองอี้เป่ยซีด้วยสีหน้าน้อยใจ ลูบคลำหน้าอกของตัวเองที่ถูกศอกของเธอกระแทกอย่างอดไม่ได้ ไม่เห็นต้องลงมือกันแรงแบบนี้เลย เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย


อี้เป่ยซีกวาดตามองเขาอย่างสงสัย “นายรีบพูดมาเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้านายไม่พูดฉันจะไปถามคนอื่น ถึงยังไงพวกเขาก็รู้”


‘ใครจะกล้าเสี่ยงชีวิตบอกเธอล่ะ’ ฉู่ซ่งไม่เห็นด้วยอยู่เงียบๆ “ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่เชื่อเธอก็ไปถามคนอื่นสิ พวกเขาก็จะตอบแบบนี้แหละ”


“ลั่วจื่อหานไม่ให้นายพูดใช่ไหม? ใช่ไหม?”


“เกี่ยวอะไรกับพี่จื่อหานด้วยล่ะ ฉู่เซี่ยเธอถามใจตัวเองดู ลั่วจื่อหานทำไม่ดีกับเธอเหรอ ทำไมพอเกิดเรื่องก็สงสัยเขา”


เธอหรี่ตา “นายบอกว่าไม่มีอะไรไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้มาบอกว่าเกิดเรื่องล่ะ ถ้านายไม่บอกฉัน ฉันจะไปถามเอง” พูดจบก็หันหลังจะจากไป ฉู่ซ่งดึงเธอไว้


‘ครั้งนี้จะเฉไฉก็เฉไฉต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้างั้นผ่อนหนักให้เป็นเบาเล่าสักหน่อยเถอะ’ เขาพยักหน้า กระแอมไอ


“ก็เพราะเธอนั่นแหละ ก่อนหน้านี้ส่งฉินรั่วเข่อกลับหอพัก เขาร้องไห้หนักขนาดนั้น คนอื่นก็พูดว่าเธอเป็นคนรังแก ก็เลยรักษาระยะห่างจากเธอ ฉันก็กลัวว่าเธอจะโมโหนี่นาเลยไม่ได้บอก แต่ว่าเธอวางใจเถอะ เรื่องนี้อีกไม่นานก็เรียบร้อยแล้ว”


‘หวังว่านะ’ เขาแอบอธิษฐานอยู่ในใจขณะสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของอี้เป่ยซี


“ฉันก็ว่าทำไมฉินเยวี่ยเข่อถึงมาหาเรื่องฉัน ที่แท้ก็เพราะอย่างนี้…” เธออึ้งไป “ไม่ใช่สิ แล้วทำไมฉินรั่วเข่อต้องร้องไห้เสียใจขนาดนั้นด้วยล่ะ?”


ฉู่ซ่งเกาหัว “เธอถามว่าทำไมเยอะแบบนั้น ฉันอยากรู้เหมื่อนกันว่าทำไมพวกผู้หญิงอย่างเธอเอะอะๆ ก็ร้องไห้ เธอก็เหมือนกัน ร้องไห้จนคนอื่นทำตัวไม่ถูกเลย”


“ฉันมีเหตุผลโอเคหรือเปล่าล่ะ แต่นายโง่เองที่ดูไม่ออก”


เขายักไหล่ “ฉะนั้นนะ เธอกับฉินรั่วเข่อรู้จักกันไม่นาน เธอจะดูเขาออกได้ยังไงล่ะ” มองเห็นชัดเจนว่าเธอเป็นคนอย่างไรกันแน่ ใช้ลูกไม้ไหนกันแน่ คิดถึงตรงนี้ ฉู่ซ่งอดไม่ได้ที่จะกัดฟัน


อี้เป่ยซีค่อยพยักหน้าด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่ความสงสัยในใจยังคงไม่จางหายไป “ทำไมจู่ๆ นายก็โผล่มาที่หน้าห้องเรียนพวกเราล่ะ?”


“ฉัน ฉันอยากจะไปกินข้าวกับเธอนี่นา เธอไม่ได้อยู่กับฉันนานแล้ว ไปเถอะๆ”


“ตอนนี้เพิ่งสิบโมงจะกินข้าวอะไร อีกอย่างฉันยังมีเรียนนะ เด็กน้อยไปเล่นที่อื่นไป อย่ามารบกวนความตั้งใจเรียนของฉัน”


“ไม่สน ไม่สน ไป” เขาไม่สนว่าอี้เป่ยซีจะเต็มใจหรือเปล่า ก็ดึงเธอออกไปทันทีแล้ว ในใจรู้สึกโล่งอก


ปิดบังเธอตลอดแบบนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ใช่ เมื่อไรมันจะจบลงสักทีนะ เขาอยากจะบอกเธอทุกอย่างจริงๆ อยากให้เธอได้เห็นอย่างชัดเจนเร็วกว่านี้ และอยู่ห่างคนพวกนั้นไปให้ไกล มือเขายิ่งออกแรงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว


ทั้งสองคนมาถึงร้านอาหารที่ธรรมดามากร้านหนึ่งนอกมหาวิทยาลัย ฉู่ซ่งสั่งกับข้าวจำนวนมาก ท่าทางอยากอาหารเป็นอย่างยิ่ง อี้เป่ยซีมองดูอาหารชั้นเลิศแต่กลับไม่มีความอยากอาหาร


“ฉู่ซ่ง ฉันขอมือถือนายแป๊บนึงสิ”


“ธะ เธอจะทำอะไร?”


“โทรหาพี่…ไม่ ฉันจะโทรหาลั่วจื่อหาน เมื่อวานเอ่อ…อยากบอกอะไรเขาหน่อย”


ฉู่ซ่งยิ้มด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม พยักหน้าให้ “ฉันเข้าใจ อยากให้ฉันหลบไปหรือเปล่า ให้พวกเธอได้คุยอะไรกัน?”


อี้เป่ยซีคว้าโทรศัพท์มือถือมาทันที จากนั้นเปิดประตูห้องอาหารออกไป หามุมหนึ่งแล้วกดโทรหาเบอร์ของอี้เป่ยเฉิน


“ฮัลโหล” น้ำเสียงปลายสายเต็มไปด้วยความอ้อนล้าและกระสับกระส่าย เขาเป็นอะไรไป? อี้เป่ยซีนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก


“พี่เป่ยเฉิน”


“เสี่ยวซี ตอนนี้เธอดีขึ้นบ้างหรือยัง?”


“พี่เป่ยเฉิน พี่ก็รู้แล้ว ทำไมไม่มาเยี่ยมเสี่ยวซีล่ะ”


“เสี่ยวซี พี่มีธุระด่วนต้องจัดการจริงๆ เดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว รอจนสุดสัปดาห์ เดี๋ยวพี่จะพาเสี่ยวซีไปเที่ยวเป็นการชดเชยดีไหม?”


“ได้ งั้นพี่ไปทำงานเถอะ เสี่ยวซีไม่รบกวนพี่แล้ว วางหูแล้วนะ”


“เสี่ยวซี”


“หืม?”


“เธอต้องเชื่อพี่นะ” ไม่รู้ว่าทำไม อี้เป่ยซีรู้สึกว่าเขามีความกังวลใจและทำอะไรไม่ถูก คงจะกดดันมากเกินไปล่ะมั้ง


“พี่เป่ยเฉิน เสี่ยวซีจะเชื่อพี่ตลอดไป พี่ก็ต้องเชื่อในตัวเองด้วย สู้ๆ นะ”


“อืม สู้ๆ”


อี้เป่ยซีวางสาย รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม จึงลบบันทึกการโทรออกไป ขณะที่กำลังจะก้าวเดินก็ครุ่นคิดเล็กน้อย และยังเลือกโทรหาลั่วจื่อหาน รอจนเสียงสัญญาณดังขึ้นสามครั้งถึงรีบตัดสาย แล้วจึงเดินเข้าไปที่ห้องส่วนตัว


“กับข้าวมาครบแล้ว เธอรีบกินเถอะ”


อี้เป่ยซียัดโทรศัพท์มือถือใส่ตัวของเขา ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้ถาม ฉู่ซ่งนึกว่าเธอเขินจึงไม่ได้พูดอะไรมาก กินไปได้ครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์กลับดังขึ้น


“พี่จื่อหาน?”


อี้เป่ยซีได้ยินเสียงก็แย่งโทรศัพท์มือถือไปทันที แล้วออกไปข้างนอก


“ฮัลโหล ฉันเอง”


“เดาอยู่แล้วว่าเป็นเธอ เมื่อกี้กำลังประชุม มีอะไรเหรอเป่ยซี?”


“คือว่า…” เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะโทรหาเขาด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง มือกำโทรศัพท์มือถือแน่นเล็กน้อย ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ “แค่อยากถามว่านายเห็นมือถือฉันไหม? เมื่อเช้าฉันหายังไงก็หาไม่เจอ”


“เด็กโง่” เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมด้วยความเอ็นดู แม้ไม่เห็นเธอก็จินตนาการถึงใบหน้าตกใจที่อมยิ้มชวนหลงใหลได้


“ฉันเปล่าซะหน่อย งั้นนายรู้สิว่ามันอยู่ไหน?”


“อือ บ่ายวันนี้กลับอะพาร์ตเมนต์ฉันจะช่วยเธอหา”


“เฮ้อ แต่ว่าฉันหาทั่วอะพาร์ตเมนต์แล้วนะ”


“เธอน่ะ จะไปสังเกตเห็นตรงซอกเล็กๆ ที่ไหนล่ะ คืนนี้อยากกินอะไร ฉันจะซื้อข้าวเข้าไปให้”


“อยากกิน…” อี้เป่ยซีเพิ่งรู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเขาแบบนี้เหมือนคนสนิทที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย


อีกฝ่ายดูเหมือนจะเข้าใจว่าทำไมเธอถึงหยุดไป จึงหัวเราะออกมา “เอาเถอะ ฉันรู้แล้ว”


“นายรู้ว่าอะไร?”


“ฉันยังมีประชุม คืนนี้ค่อยคุยกันเถอะ”


“อ้อ”


เธอกุมโทรศัพท์ไว้ จิตใจรู้สึกสงบมาก แต่ก็รู้สึกว่าไม่สมจริงเล็กน้อย รู้สึกว่าเห็นชัดๆ ว่ายืนอยู่บนพื้นแต่เท้ากลับล่องลอย ความรู้สึกประเภทนี้บอบบางมาก ชวนให้รู้สึกว่าไขว่คว้าไม่ได้ทั้งๆ ที่อยู่ในมือ


อี้เป่ยซีถอนหายใจ เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าชีวิตสับสนวุ่นวายอีกแล้ว ตัวเองจะต้องมีสติ ต้องมีสติ


อาจเป็นเพราะคิดมากเกินไป อี้เป่ยซีเห็นกับข้าวเต็มโต๊ะก็กินอย่างสำราญเต็มที่ แย่งไปแย่งมากับฉู่ซ่งราวกับเด็กน้อยสองคน บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง


สุดท้ายภายใต้คำขอร้องอันแรงกล้าของฉู่ซ่ง อี้เป่ยซีได้แต่จำใจพาเขาไปที่คาบเรียนช่วงบ่ายของตัวเองด้วย คาบของเซี่ยเช่อ ในห้องเรียนเต็มไปด้วยผู้คนเช่นเคย


รอจนกระทั่งออดคาบเรียนดังขึ้น คนที่เข้ามากลับไม่ใช่เซี่ยเช่อ แต่เป็นอาจารย์เฉินที่ลือกันว่าลาคลอด เธอมองนักศึกษาที่อยู่ด้านล่างเวทีด้วยความขึงขัง แล้วเริ่มบรรยายวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะของตัวเอง ด้านล่างหลับกันเป็นแถบ


“เอ๊ะ นี่เหมือนจะไม่ใช่อาจารย์ต่างชาติที่พวกเขาว่ากันว่าหล่อมากนี่นา?” ฉู่ซ่งเท้าศีรษะถาม เห็นได้ชัดว่าก็ง่วงนอนเช่นกัน


“ไม่ใช่เขา” อี้เป่ยซีคิดอยากเอาโทรศัพท์มือถือออกมาถามความเป็นไปสักหน่อย แต่นึกได้ว่ามือถือของตัวเองหายไป จึงถอนหายใจ ไม่มีมือถือนี่ไม่ชินเลยจริงๆ


………………………



บทที่ 74 แผนร้ายถูกเปิดโปง (3)


หลังจากอี้เป่ยซีกลับถึงบ้าน ตอนนี้บนโต๊ะมีอาหารวางเรียงรายแล้ว เธอมองดูผู้ชายที่ยกกับข้าวออกมาจากห้องครัว อ้าปากด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “นาย นายเข้ามาได้ยังไง ฉันจำได้ว่าล็อคประตูแล้วนะ”


“วางกระเป๋าแล้วกินข้าวก่อนเถอะ”


“อ่อ” เธอวางกระเป๋าลงอย่างเชื่อฟัง เดินไปด้านหน้าโต๊ะกินข้าวเงียบๆ กับข้าวที่ทำเสร็จแล้วต่างจากเมื่อวานมาก คีบชิ้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ อดไม่ได้จนร้องอุทาน


“เป็นไงบ้าง? รสชาติแย่เหรอ?” ลั่วจื่อหานก็ชิมไปคำหนึ่ง ขมวดคิ้วกันเล็กน้อย “วันนี้ไฟอ่อนไปหน่อย”


“หา!” ไม่เกินไปหน่อยมั้ง ทำไมกินให้ตายยังไงเธอก็กินไม่ออก คิดพลางเล่นข้าวในถ้วยด้วยความขับข้องใจเล็กน้อย


ลั่วจื่อหานเห็นการกระทำของเธอ เอ่ยปาก “ช่างเถอะ ไม่งั้นไปกินข้างนอกไหม?”


“ไม่ๆๆ รสชาติไม่เลวเลยนะ ไฟอ่อนไฟแรงอะไรนั่น ฉันกินไม่ออกหรอก”


“ฉันก็นึกว่า…” เขาเห็นท่าทางของอี้เป่ยซีที่เตรียมลงมือกิน “ไม่มีอะไร”


“อืมๆ”


หลังจากกินข้าวแล้วไม่ว่าจะพูดอย่างไรลั่วจื่อหานก็ไม่ยอมให้เธอเข้าไปล้างถ้วย อี้เป่ยซีได้แต่นั่งบนโซฟา หยิบนิตยสารเล่มหนึ่งออกมาอ่าน ยังคงเป็นข่าวปกติทั่วไป ชีวิตยังคงเรียบนิ่งราวกับสายน้ำ เธอทนไม่ไหวโยนนิตยสารไปอีกทาง อยากเล่นมือถือจังเลย พระเจ้า เธอจากมันมากนานเท่าไรแล้ว


เธอนอนหงายอยู่บนโซฟา ข่มความกระวนกระวานภายในร่างกายเอาไว้ มองดูเพดาน เบื่อหน่ายเป็นที่สุด


“ลั่วจื่อหาน นายรู้ไหมว่ามือถือฉันอยู่ไหน?” คนในห้องครัวแหย่มือออกมา พยักหน้า วางโทรศัพท์มือถือที่มีเคสสีเขียวบนโต๊ะกาแฟ อี้เป่ยซีลุกขึ้นมารวดเร็ว ราวกับได้เจอเพื่อนสนิทที่หายไปหลายปี คว้าหมับทันที


เปิดเครื่อง นอกจากข้อความไม่กี่ข้อความจากสำนักงานธุรกิจแล้วก็ไม่มีอะไรเลย จู่ๆ ก็รู้สึกท้อแท้ ไหนบอกว่าตัวเองสลบไปตั้งนานไม่ใช่เหรอ ทำไมข้อความถามสารทุกข์สุกดิบสักข้อความก็ไม่มีเลย แม้แต่พี่เป่ยเฉินก็ไม่มี


แปลก แปลกมาก แปลกเกินไปแล้ว


ดวงตาโตของเธอสอดส่องไปรอบกาย สุดท้ายหยุดอยู่บนใบหน้าของลั่วจื่อหาน


“ลั่วจื่อหาน” เธอยิ้ม คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นก็สบสายตากับเธอ ระคนด้วยความลึกซึ้งและความรัก อี้เป่ยซีลืมว่าตัวเองต้องการพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง


“หืม?”


เธอเบือนหน้าหนีทันที มองไปอีกทางพลางพูด “คือว่า ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมพวกนายทุกคนแปลกๆ กันทั้งนั้นเลย”


“เป่ยซี เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าอยากพูดแบบนี้?”


เธอกระแอมไอ หันกลับมา ก้มหน้า มองดูปลายนิ้วของตัวเอง “แบบนี้ก็ได้มั้ง อัยยา อย่าเปลี่ยนหัวข้อสิ นายก็รู้อะไรใช่ไหม?”


“อาจเป็นเพราะเธอสลบนานไป ก็เลยอ่อนไหวบ้าง ทุกคนก็รู้สึกว่าทุกอย่างปกติดี”


“แต่ว่า ฉันรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิมนะ พี่เป่ยเฉินไม่มาหาฉัน คนอื่นพอเห็นฉันก็หลบหน้า ฉู่ซ่งก็อ้ำๆ อึ้งๆ” เธอจับชายเสื้อของตัวเอง “ยังไงก็ไม่เหมือนเดิมแต่ว่าฉันพูดไม่ถูก”


“แบบนี้ไหม งั้นฉันจะช่วยเธอถามฉู่ซ่งให้ ถ้ามีเรื่องอะไร ฉันจะบอกเธอเป็นไง?” ลั่วจื่อหานเหมือนกับกำลังกล่อมเด็กตัวน้อย น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน


อี้เป่ยซีมองสีหน้าของเขา ทุกอย่างเป็นปกติ แต่ก็รู้สึกว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เธอพยักหน้า


ทำไมถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเธอ


แม้จะมีความขี้เกียจจนเป็นนิสัย แต่ครั้งนี้อี้เป่ยซีก็อยากจะเข้าใจโดยเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพื่อขจัดความกังวลใจในตอนนี้ออกไปให้สิ้น


งั้นก็ไปสืบเองแล้วกัน


เธอพยักหน้ากับตัวเอง ไม่ได้พูดอะไรอีก ลั่วจื่อหานง่วนอยู่สักพักก็ออกมาพร้อมผลไม้อีกครั้ง หลังจากกำชับให้เธอกินก็ไม่ได้อยู่ต่อนานนัก เธอครุ่นคิดเพียงลำพังอยู่ในความเงียบสงัด


จะเริ่มจากใครดี เธอกัดผลไม้ชิ้นหนึ่ง เท้าศีรษะ นักศึกษาคนอื่น? ดูแล้วคงจะไม่บอกอะไรกับเธอแน่ ถังเสวี่ย? ถ้าเธออยากพูดก็คงพูดนานแล้ว ฟางหมิ่นฉินรั่วเข่อ อัยยา จะไปหาใครดีนะ


ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวเอง อีกทั้งการคาดเดาก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร เช่นนั้นใครจะบอกเรื่องพวกนี้กับเธอได้บ้างล่ะ?


เธอวางส้อมในมือลง ใช่แล้ว ฉินเยวี่ยเข่อ ดูจากท่าทีของเธอวันนี้แล้ว เธอจะต้องรู้ทุกอย่างแน่ พรุ่งนี้ไปหาเธอก็แล้วกัน ตามนี้แหละ


เธอไปที่ห้องหนังสือหาซีรีส์ที่ดูเมื่อวาน ดูไปไม่กี่ตอน รอจนเวลาทั้งหมดบนหน้าจอกลับไปที่เลขศูนย์จึงลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจ ล้างหน้าล้างตา แล้วก็เตรียมตัวเข้านอน ทันใดนั้นเองก็นึกเรื่องนึงขึ้นมาได้ รีบเปิดโปรแกรมแชทด้วยความร้อนรน


ในเวลานี้ เขาน่าจะยังไม่นอนมั้ง


หลิงซี: เซี่ยเช่อ นายอยู่ไหม?


ผ่านไปหลายนาที ในขณะที่อี้เป่ยซีกำลังจะเข้าสู่ความฝันอยู่นั้น เสียงข้อความในมือถือดังขึ้น


พี่เป่ยเฉิน? เธอเปิดข้อความ


“เสี่ยวซี ยังไม่นอนเหรอ ตอนนี้พี่อยู่ข้างล่าง” อี้เป่ยซีวิ่งลงไปข้างล่างโดยไม่คิดอะไร เห็นอี้เป่ยเฉินกำลังพิงอยู่ที่รถของเขา ในมือคีบบุหรี่มวนหนึ่ง เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พบว่าอี้เป่ยเฉินซูบผอมลงมาก ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงเล็กน้อย ดวงตาก็แดงก่ำอีกทั้งยังรื้นน้ำตา เธอเรียกเบาๆ


อี้เป่ยซีทิ้งบุหรี่ในมือ กอดเธอแน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป อี้เป่ยซีก็เอื้อมมือโอบเอวของเขา แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่อี้เป่ยซีทำให้เขาหดหู่เช่นนี้ รู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวเหลือเกิน


“พี่เป่ยเฉิน”


“ชู่ว์ ขอให้พี่กอดแบบนี้อีกหน่อย” น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง เหมือนกับคนที่ไม่ได้พูดมานาน หรือคนที่พูดมากเสียจนทำให้เส้นเสียงเสียหาย คนที่พูดพยายามอย่างมาก พยายามมาก พยายามจนชวนให้คนปวดใจ


อี้เป่ยซีก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ รักษากิริยาเมื่อครู่ไว้ ฟังเสียงหัวใจเต้นบนหน้าอกเขาเงียบๆ มันเต้นถี่เล็กน้อยแต่ว่าทรงพลังมาก


ผ่านไปเนิ่นนานเนิ่นนาน นานเสียจนลมฤดูใบไม้ผลิยามค่ำคืนพัดโชยจนเสื้อผ้าบนตัวเย็น นานเสียจนปลายนิ้วก็หนาวเหน็บด้วยอี้เป่ยเฉินจึงค่อยๆ ปล่อยเธอ เขาประคองไหล่ของอี้เป่ยซี ยื่นมือสางผมที่ยุ่งเหยิงของเธอ


“พี่เป่ย…อือ…” อี้เป่ยซีมองคนข้างหน้าอย่างเหลือเชื่อ ริมฝีปากถูกเขาประกบอย่างแรง เจือปนความเอาแต่ใจและความอุกอาจไม่ลังเล สองมือถูกกุมไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีที่ว่างสำหรับการต่อต้านเลย ปิดปากแน่น ในดวงตาก็ค่อยๆ เต็มไปด้วยน้ำตา


“เสี่ยวซี” เสียงที่สั่นเครือของอี้เป่ยเฉินเต็มไปด้วยความเสียใจและการตำหนิตัวเอง อี้เป่ยซีไม่ฟังเขาอธิบาย วิ่งกลับห้องของตัวเองทันที ปิดประตูอย่างแรง นั่งอยู่บนพื้นไร้เรี่ยวแรง


อี้เป่ยเฉินเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว สุดท้ายก็วางมือลงอย่างหมดแรง จุดบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน นั่งอยู่หน้าประตูด้วยความกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง แสงจันทร์สดใสไร้ซึ่งดวงดาว กลิ่นของดอกไม้ที่หอมสดชื่นยังคงลอยอยู่กลางอากาศแต่ว่ามันก็ไม่สามารถบดบังกลิ่นความเศร้าอันหนักอึ้งของบุหรี่ได้


เขาพิงประตู เหมือนว่ายังได้ยินเสียงคนที่อยู่ในห้องสะอึกสะอื้น คิ้วที่ย่นอยู่แล้วยิ่งขมวดกันหนักกว่าเดิม


………………………….



บทที่ 75 แผนร้ายถูกเปิดโปง (4)


อี้เป่ยซีขดตัวเข้าด้วยกัน ไหล่สั่นเทาเล็กน้อย ไม่ช้าน้ำตาก็เปียกเลอะเสื้อผ้าบริเวณหัวเข่า ค่อยๆ ขยายออกเป็นวงกว้าง


ชอบพอกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องเสียใจด้วยล่ะ ทำไมถึงรู้สึกเสียใจขนาดนี้ ทำไมถึงรู้สึกว่ารับไม่ได้แบบนี้?


แต่ว่าทุกอย่างมันจบแล้ว ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว ระหว่างเธอกับอี้เป่ยเฉินตอนนี้มีอีกคนคั่นกลางแล้ว คนที่จากโลกนี้ไปเพราะความเห็นแก่ตัวและความโง่เขลาของเธอ เธอจะอยู่กับอี้เป่ยเฉินอย่างสบายใจได้อย่างไร


อุปสรรคความรักของพวกเขาก็คือชีวิตของคนคนหนึ่ง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถข้ามผ่านชีวิตในอดีตที่นองเลือดวันนั้นได้ เช่นนี้แล้วจะสบายใจได้อย่างไร จะมีความสุขได้อย่างไร


ฆาตกรคนหนึ่งจะสามารถเต้นรำอยู่บนร่างของผู้ถูกสังหารได้อย่างไร


อี้เป่ยซียังคงร้องไห้ไม่หยุด


ความสามารถและอิสระในการตกหลุมรักตอนนี้ได้มลายหายไปแล้ว มันต้องหายไปอยู่แล้วล่ะ เธอกอดตัวเองแน่น คำที่เคยพูดในอดีตดังอยู่ข้างหูทีละประโยค


“ใช่ ฉันชอบพี่เป่ยเฉินแล้วจะยังไง ไม่ว่านายจะทำอะไร นายเทียบหนึ่งในพันของเขาไม่ติดเลยด้วยซ้ำ”


“ก็เพราะว่านายเหมือนเขาฉันถึงอยู่กับนาย ไม่งั้นนายคิดว่าจะมีเหตุผลอื่นเหรอ”


“ถ้านายอยากเป็นตัวตายตัวแทนอยู่ข้างๆ ฉันละก็ ฉันก็ไม่รังเกียจ ดีเหมือนกันฉันขี้เกียจไปหาแล้ว”


“นายไปซะ อย่าโผล่มาอีก ฉันเล่นจนเบื่อแล้ว ฉันก็ไม่อยากให้ของเล่นชิ้นนึงของตัวเองรู้สึกรังเกียจฉันมากขนาดนี้”


ลู่เยี่ยหวา ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดคำพูดพวกนั้นจริงๆ ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเสียใจขนาดนั้นจริงๆ อี้เป่ยซีราวกับได้ยินเสียงนั้นลอยผ่านมาจากฟากฟ้าอีกแล้ว เสียงรถเบรกที่ดังสนั่นหวั่นไหว ได้ยินเสียงกรีดร้องรอบกายที่พร่าเลือนไปเรื่อยๆ เลือดกระจายไปทั่วพื้นถนนทีละน้อยๆ แทรกซึมไปตามถนน เลือดสีแดงฉานไหลออกมาด้านนอกอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่สนใจว่าสีหน้าเจ้าของของมันจะซีดขาวเพียงใด


“เป่ย…เป่ยซี เธอ…เธอ อย่า…อย่า…”


“ลู่เยี่ยหวา!”


อี้เป่ยซีกัดริมฝีปากตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงอะอื้นยังคงดังอยู่ในห้องเป็นช่วงๆ ท้องฟ้านอกหน้าต่างค่อยๆ สว่างขึ้น เธอโทรศัพท์ไปขอลาหยุด ล้มตัวลงบนพื้น โยนโทรศัพท์มือถือไปอีกทางหนึ่ง ลืมตาของตัวเองเหม่อลอย ราวกับว่าวิญญาณไม่ได้อยู่ในร่างนี้แล้ว


เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เธอทีละน้อยๆ ขณะที่มาถึงหน้าห้องนอนของเธอทันใดนั้นเสียงก็หยุดชะงัก ราวกับว่ากำลังกลั้นหายใจผลักประตูเปิดอย่างระมัดระวังสุดขีด นอนลงบนพื้นข้างเธอ ยื่นมือโอบเอวของเธอแผ่วเบา


ลมหายใจของทั้งสองคนสลับกันไปมาภายในห้อง อ่อนโยนระคนความอ่อนหวาน ความเยือกเย็นเจือปนความหลงใหล ไม่มีใครพูดจา ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาติ๊กต๊อกๆ อีกแล้ว


จนกระทั่งแสงอาทิตย์ไม่ลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านหน้าต่างอีกต่อไป จนกระทั่งแสงไฟนอกบ้านส่องแสงเป็นเส้นสีส้มบนพื้น อี้เป่ยซีจึงค่อยๆ เอ่ยปาก


“ทำไมคนที่ทำผิดถึงยังร้องขอความสุขครั้งแล้วครั้งเล่าล่ะ? เธอไม่ควรชดใช้ความผิดทั้งหมดของตัวเองเหรอ? ทำไมเธอถึงยังสามารถทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ยังอยู่ที่นี่อย่างสบายดีและมีความสุข”


ลั่วจื่อหานขยับเข้าใกล้เธออีก เขารู้สึกปวดใจเล็กน้อย ฟังเธอพูดต่อ


“ทั้งๆ ที่ลู่เยี่ยหวาดีขนาดนั้น เขาสง่างามและเก่งขนาดนั้น ดีกับคนอื่นขนาดนั้น ดีกับฉันขนาดนั้น ทำไมเขาถึงเป็นคนจากไปแต่ไม่ใช่ฉัน ทำไมเขาต้องพุ่งไปข้างหน้า ทำไมฉันเอาเขากลับมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนดีขนาดนั้น เป็นคนดีแบบนั้น ทำไมต้องไม่ยุติธรรมแบบนี้ด้วย”


“ทำไมฉันต้องพูดแบบนั้นกับเขา ทำไมไม่เคยคิดว่าเขาจะเสียใจแค่ไหน ทำไมตอนที่เขาอยู่โรงพยาบาลไม่เคยคิดจะไปเยี่ยมเขา ทำไมถึงเอาแต่ใจแบบนี้”


“เป็นความผิดของฉันทั้งนั้น เป็นความผิดของฉัน เดิมทีฉันควรจะจากไปกับเขา”


ลั่วจื่อหานกอดเธอแน่นขึ้นทันที “เป่ยซี ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุแบบนี้หรอก นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอ”


“นี่คือความผิดของฉัน ถ้าฉันไม่ได้ทำร้ายเขาแบบนั้น เขาก็คงไม่เสียใจจนติดเหล้า ก็จะไม่คิดที่จะตามหลังฉัน ก็จะไม่ผลักฉันออกไป ก็จะไม่ถูกชนตาย ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเขาก็คงไม่ตาย ตอนนี้เขาควรจะอยู่ในที่สูงราวกับกษัตริย์ ไม่ใช่กลายเป็นก้อนดิน กลายเป็นสุสานในพงหญ้า”


“เป่ยซี”


“ฉันไม่ดีเอง ฉันไม่ดีเอง”


“พอแล้วเป่ยซี เลิกพูดได้แล้ว เลิกคิดได้แล้ว เสียใจก็ร้องไห้เถอะ ร้องออกมาให้พอ”


อี้เป่ยซีพิงอยู่บนไหล่ของเขาร้องไห้โฮ น้ำหูน้ำตาต่างร่วงลงบนเสื้อโค้ทที่สะอาดสะอ้านของเขา เขาไม่ใสใจ มือตบหลังของเธอเบาๆ ปลอบโยน


ตกดึก อาจเป็นเพราะร้องจนเหนื่อยแล้ว หรือเพราะเหนื่อยเพราะไม่ได้นอนเป็นเวลานาน อี้เป่ยซีผล็อยหลับไปเงียบๆ หยดน้ำตายังติดอยู่บนขนตา ลั่วจื่อหานลุกขึ้นอุ้มเธอไปบนเตียง การกระทำเป็นไปอย่างระมัดระวังกลัวว่าจะทำเธอตื่น เขาหาผ้าขนหนูชุบน้ำ เช็ดหน้าให้อี้เป่ยซี แล้วยังหาถุงน้ำแข็งประคบดวงตาที่บวมเป่งเบาๆ เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปตีสองของตอนเช้าแล้ว เขากำลังจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อ มือเล็กๆ คว้านิ้วของเขาแน่นเหมือนกับหลายวันก่อน


ลั่วจื่อหานนั่งลงอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง ในห้องไม่ได้เปิดไฟ มืดมากๆ เขาเห็นเพียงโครงร่างของคนที่หลับใหลเลือนลาง เขาอดใจไม่ไหวยื่นมือออกไปก็สัมผัสได้ถึงคิ้วที่ยับย่น ปลายนิ้วค่อยๆ เกลี่ยออก ไม่มีผลใดๆ เกลี่ยออกอีกรอบ ครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่หลับใหลจึงมีปฏิกิริยาเล็กน้อย คิ้วผ่อนคลายลงมาบ้าง


“ฉันอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเธอดีไหม” เสียงในยามดึกมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง คนบนเตียงกลับไม่มีปฏิริยาตอบสนอง เขาเพียงแต่ยิ้มครู่หนึ่ง


เป่ยซี ฉันอยู่ด้วยกันเธอในอนาคตดีหรือเปล่า เธอจะไม่รู้สึกว่ามีภาระ จะไม่รู้สึกเสียใจ จะไม่รู้สึกผิด มีแค่พวกเราสองคนดีหรือเปล่า?


จนกระทั่งอี้เป่ยซีลืมตาขึ้นในขณะนี้คือเวลาเที่ยงของอีกวันแล้ว ภาพที่ปรากฏสู่สายตาคือลั่วจื่อหานหลับตาพิงอยู่ที่หัวเตียง สิบนิ้วของทั้งสองคนสอดประสานกัน


เธอไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าจะปลุกคนข้างๆ ให้ตื่น กัดริมฝีปากมองดูใบหน้าที่หลับใหลของเขา ขนตายาวทำให้เกิดเงาเล็กๆ ที่ด้านล่าง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบอบบางเล็กน้อย มันยกทำมุมขึ้น ทำมุมขึ้น?


“หล่อรึเปล่า?”


ก็ว่าอยู่ว่าทำไมคนที่กำลังหลับถึงยิ้มมีความสุขเพียงนี้ เธอกลิ้งตัวลงบนเตียง ทำให้มือของทั้งสองที่ประสานกันขยับเขยื้อน รีบสะบัดออก แต่กลับถูกมืออีกข้างกุมไว้


“ไม่เป็นไรเป่ยซี ไม่เป็นไร” เขาเอาหัววางอยู่บนมือที่จับอยู่ด้วยกัน “เธอไม่จำเป็นต้องแบกรับเยอะขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ลู่เยี่ยหวาที่จากไปแล้วก็จะเสียใจมากเหมือนกัน”


มืออีกข้างของอี้เป่ยซีคว้าผ้าห่มไว้ ไม่ได้พูดอะไร


“ลู่เยี่ยหวาไม่เคยโทษเธอเลย แม้แต่วินาทีสุดท้าย เขาก็ไม่อยากให้เธอเป็นทุกข์ ไม่อยากให้เธอเสียใจและรู้สึกผิดเพราะว่าเขาจากไป ความตายของเขาไม่มีทางแก้ไขได้แล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ยิ่งควรใช้ชีวิตให้ดี ตอนนี้เขากำลังแบกรับความสุขของคนสองคนอยู่นะ”


……………………….



บทที่ 76 แผนร้ายถูกเปิดโปง (5)


อี้เป่ยซีมองผนังภายอยู่บนเตียงเงียบๆ ไม่รู้ว่าฟังเข้าใจแล้วหรือว่ายังฟังไม่เข้าใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ลั่วจื่อหานถอนหายใจเบาๆ และนั่งลงข้างเธอโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน เงาของแสงอาทิตย์สาดลงข้างเตียง ค่อยๆ เปลี่ยนมุมของมัน ราวกับว่ากำลังสำรวจทุกพื้นที่ ก่อนหน้านี้อยู่ท่ามกลางความมืดมิด ตอนนี้อยู่ภายใต้ความมืดมิด ล้วนต้องการให้อยู่ในการควบคุมของตัวเอง…


ตอนบ่ายอี้เป่ยซีตัดสินใจกลับมหาวิทยาลัยเพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในห้องเรียนก็ไม่เห็นเงาของผู้หญิงที่แต่งตัวจัดจ้านคนนั้น แม้แต่ในหอพักก็ไม่ได้ยินน้ำเสียงเย้ยหยัน


“ถังเสวี่ย เธอรู้ไหมว่าทำไมคืนนี้ฉินเยวี่ยเข่อถึงไม่กลับมา?” อี้เป่ยซีนั่งลงบนเตียงของตัวเองพลางเอ่ยถาม


ถังเสวี่ยกัดริมฝีปาก มองอี้เป่ยซีด้วยความลังเลเล็กน้อย ท่าทางดูหวาดกลัว ทำให้อี้เป่ยซีมั่นใจในความคิดของตัวเองมากขึ้น “ถังเสวี่ย พวกเธอมีเรื่องปิดบังฉันใช่ไหม”


ในขณะที่ถังเสวี่ยกำลังจะหลุดปากบอก ฟางหมิ่นก็อาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาในหอพัก มองถังเสวี่ยอย่างสงสัย มีการเตือนอยู่ในดวงตาอย่างเห็นได้ชัด


“พวกเธอสองคนคุยอะไรกัน ท่าทางตื่นเต้นเชียว”


อี้เป่ยซีไม่เห็นการสบสายตาระหว่างคนสองคน แต่ว่าเมื่อเห็นสีหน้าหงอยๆ ของถังเสวี่ยก็รู้แล้วว่าตอนนี้คงถามไม่ได้ความอะไร เธอเอนตัวลงด้วยความท้อแท้เล็กน้อย มือกรีดอยู่บนวอลเปเปอร์อย่างหงุดหงิด ทำให้เกิดเสียงที่ระคายหูเบาๆ


‘ทำไมถึงไม่ยอมบอกฉัน’ เธอหันหน้าไป ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาก็เห็นข้อความของถังเสวี่ยกับเซี่ยเช่อ เธอกดเปิดหน้าแชทของถังเสวี่ยโดยไม่ลังเล


ถังเสวี่ย: เป่ยซี ฉันก็ไม่อยากเห็นเธอถูกปิดบังอีกแล้ว คนที่ผิดคือพวกเขา เธอต่างหากที่เป็นผู้เสียหาย แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับเธอเลย


สุดท้ายก็ยังส่งอีโมจิโมโหมาให้ อี้เป่ยซีรู้สึกว่ารังไหมที่พันแน่นรอบตัวเธอ ในที่สุดก็มีรอยแตกแล้ว เธอส่งเครื่องหมายคำถามกลับไปสองสามอัน


ถังเสวี่ย: ตอนนี้เธอหาในเน็ตก็หาไม่เจอแล้วล่ะ พวกเขาเข้ามายุ่มย่ามทุกอย่าง ลิงก์ของฉันตรงนี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว เอางี้ไหม ฉันมีสกรีนช็อตสองสามรูป ไม่อย่างงั้นเธอลองดูก่อน


จากนั้นก็มีรูปถ่ายสองสามรูปส่งเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอทันที เมื่ออี้เป่ยซีเปิดดูก็พบว่ารูปถ่ายทั้งหมดเสียหาย เปิดดูไม่ได้


หลิงซี: ดูรูปไม่ได้ โหลดไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรน่ะ?


ถังเสวี่ย: คิดว่าพวกเขาคงทำอะไรกับมือถือเธอ เธอก็เลยดูไม่ได้มั้ง เอางี้ ฉันจะเล่าให้เธอฟัง…


โทรศัพท์มือถือของอี้เป่ยซีดังขึ้น ‘ฉู่ซ่ง? ทำไมเขาต้องโทรมาในเวลานี้ด้วย?’ แม้จะสงสัยเล็กน้อย แต่เธอก็ยังกดปุ่มรับสาย ก่อนจะได้ยินเสียงที่อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่งของฉู่ซ่ง


“ฉู่ ฉู่เซี่ย เธอ มา มาบ้านฉัน…ฉัน…” ยังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินโทรศัพท์มือถือร่วงลงพื้นเสียงดัง


“ฉู่ซ่ง ฉู่ซ่ง…” นี่มันเรื่องอะไรกัน อี้เป่ยซีกำลังจะลุกขึ้นมาจากเตียง เธอครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง ฉู่ซ่งไม่ต้องการให้เธอรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด อีกทั้งตอนนี้ถังเสวี่ยกำลังจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังอย่างแจ่มแจ้ง การที่เขาโทรมาตอนนี้ก็เพื่อหยุดยั้งเธอไม่ให้ล่วงรู้ความจริงอย่างแน่นอน


อาจจะเป็นการแกล้งก็ได้ งั้นอย่าไปสนใจเขาเลย


แต่ว่าน้ำเสียงทุกข์ทรมานแบบนั้นจะสมจริงเกินไปแล้ว ถ้าฉู่ซ่งเกิดเรื่องจริงๆ จะทำยังไง ช่างมันเถอะ เธอค่อยดูระหว่างทางก็ได้ ทำไมต้องมาใจร้อนเวลานี้ด้วย


หลังจากคิดได้แล้วก็คว้าเสื้อโค้ทพาดไหล่ ต้องการจะไปที่อะพาร์ตเมนต์ของฉู่ซ่ง


“เป่ยซี เธอจะไปไหนน่ะ” ถังเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองอี้เป่ยซี แววตาสั่นไหว มีอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้


“ฉู่ซ่งมีเรื่องด่วนนิดหน่อย ฉันจะไปดูก่อน พวกเธอตามสบายเถอะ คืนนี้ฉันอาจจะไม่กลับมาแล้ว ไปนะ” อี้เป่ยซีก้าวเท้าวิ่งเหยาะๆ ออกไปนอกมหาวิทยาลัย ขณะที่เปิดประตูอะพาร์ตเมนต์ออกก็เห็นคนนอนอยู่บนพื้นของห้องรับแขก เธอเดินเข้าไปใกล้ พบกว่าฉู่ซ่งนอนอยู่บนพื้นทั้งใบหน้าแดงก่ำ คิ้วขมวดกันแน่น ปากอ้าออกเล็กน้อย หายใจเฮือกสองครั้งด้วยความอึดอัดมาก


อี้เป่ยซีรีบประคองเขาขึ้นมา “หน้าผากร้อนมากเลย ป่วยแล้วไม่รู้จักไปโรงพยาบาลรึไง?”


“ไม่อยากไปโรงพยาบาล ไม่อยากไปโรงพยาบาล” ฉู่ซ่งกอดเธอ แขนก็หนักอึ้งและไร้เรี่ยวแรง อี้เป่ยซีจำต้องยื่นมือประคองเขาไว้ “ฉู่เซี่ย ฉันอยากกินน้ำ”


“กินน้ำอะไรล่ะ ฉันจะพานายไปโรงพยาบาล”


“ฉันไม่…”


“ถ้านายยังพูดอีกคำเดียว ต่อไปฉันจะไม่สนใจนายอีกแล้ว นายลองดูสิ”


ฉู่ซ่งซบอยู่บนตัวของเธอ ราวกับว่ากำลังออดอ้อน “แม่เสือฉู่เซี่ย น่ากลัวจริงๆ”


“ตอนนี้เป็นไงบ้าง ยืนได้หรือเปล่า?”


“ไม่ได้ ไม่ได้ เธอไปข้างบนเอายามาให้ฉันก็พอแล้ว จริงๆ เมื่อก่อนฉันก็เป็นแบบนี้ แค่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะหนักขนาดนี้น่ะ”


“ได้ ฉันจะประคองนายนั่งก่อน” หลังจากประคองเขาไปนั่งที่โซฟาเรียบร้อย อี้เป่ยซีก็เหงื่อท่วมตัวแล้ว เธอไปตามที่ฉู่ซ่งบอก เอายามาป้อนให้เขา ผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่อยู่ข้างๆ ก็ยังหน้าแดงก่ำ หน้าผากยังร้อนจนน่าตกใจ ภายใต้การยืนกรานของอี้เป่ยซี ทั้งสองคนจึงไปที่โรงพยาบาล ฉู่ซ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย เข็มน้ำเกลืออยู่บนมือซ้าย


“ไหนนายบอกว่าจะไม่มาที่โรงพยาบาลอีกไม่ใช่เหรอ?” ยังไม่เห็นเจ้าตัวก็ได้ยินเสียงเอ่ยแซวลอยมา มู่ลี่ไป๋เห็นอี้เป่ยซีที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้จึงเข้าใจได้ “เป่ยซีก็มาด้วยเหรอ”


“อืม พวกคุณคุยกันเถอะ ฉันจะไปเอายาก่อน” เธอพูดจบก็ลุกขึ้นจากไป


มู่ลี่ไป๋นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างเตียง มองเขาอย่างค่อนข้างขบขัน และเหลือบมองบันทึกอุณหภูมิร่างกาย “39.8 เฮ้อ ยังเหลืออีกนิดเดียว”


ฉู่ซ่งมองค้อนเขา


“นายนี่มีความพยายามสูงจริงๆ นายกับลั่วจื่อหานคิดอะไรอยู่กันแน่ ยังไม่บอกความจริงให้เขาฟังอีก เจ็บนานมันแย่กว่าเจ็บสั้นนะ”


“ตราบใดที่อี้เป่ยเฉินเลือกที่จะทำร้ายเขา สำหรับเขามันก็คือเจ็บนาน”


“อืม ฉะนั้นนายก็เลยเลือกเจ็บสั้นแบบนี้ เดี๋ยวจะไปตรวจเลือดกัน ไข้สูงขนาดนี้ ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเชื้อไวรัสหรือเปล่า”


ฉู่ซ่งโมโห “พี่ไม่รู้แน่เหรอ ผมไม่ไป”


“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” มู่ลี่ไป๋หัวเราะอย่างอบอุ่นอย่างมาก “จรรยาบรรณแพทย์น่ะ ฉันก็หวังดีกับนาย ทำไมล่ะ หรือว่านายยังกลัวเจ็บ?”


“ผม ผมเปล่านะ” ฉู่ซ่งเบือนหน้าหนี ไม่ได้มองเขาอีก แต่เสียงหัวเราะของมู่ลี่ไป๋ข้างๆ กลับทรมานเขาอยู่ตลอดเวลา ‘ทำไมต้องมาที่โรงพยาบาลนี้ด้วย ฉู่เซี่ย เธอตั้งใจแกล้งฉันนี่’


“อย่างนั้นเหรอ งั้นก็ได้” จากนั้นมู่ลี่ไป๋ก็ไม่พูดอะไรอีก ฉู่ซ่งรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย ยอมแพ้เร็วแบบนี้เลยเหรอ แต่ว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากอีกฝ่าย หัวใจของเขาก็เต้นวูบหนึ่ง


จนกระทั่งอี้เป่ยซีเอายากลับมา มู่ลี่ไป๋รีบออกไปรับหน้าทันที หลังพูดกับเธอไม่กี่คำ เห็นแววตาที่ตื่นเต้นของอี้เป่ยซี ฉู่ซ่งก็เข้าใจ สงสัยว่าการตรวจเลือดครั้งนี้ เขาต้องไปซะแล้ว


‘มู่ลี่ไป๋ ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าปล่อยให้ผมมีโอกาสได้แกล้งพี่บ้างนะ ไม่งั้นผมจะให้พี่ได้เห็นดีกัน’ ฉู่ซ่งจับมุมผ้าห่มด้วยความโกรธสุดขีด สักครู่ก็มีพยาบาลเข้ามา ภายใต้การข่มขู่ของอี้เป่ยซี ฉู่ซ่งกัดมุมผ้าห่มยอมรับการตรวจเลือดแต่โดยดี



บทที่ 77 แผนร้ายถูกเปิดโปง (6)


พอนั่งลง ฉู่ซ่งก็สั่งให้อี้เป่ยซีทำโน่นทำนี่ จนกระทั่งดึกแล้ว เธอเหนื่อยจนปีนขึ้นไปบนเตียงทันทีไม่มีเวลาดูโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ฉู่ซ่งจึงพอใจ ผล็อยหลับไปด้วยความอ้อนล้าเล็กน้อย มุมปากยกยิ้ม


“นี่ๆๆ คนที่ฉันเห็นเมื่อกี้ใช่อี้เป่ยซีหรือเปล่า ดูแล้วไม่เห็นร้ายเหมือนที่คนอื่นเขาว่ากันเลยนี่นา”


“อย่าดูคนที่ภายนอก ฉันเจอมาเยอะแล้ว เห็นสาวน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ทำเรื่องที่เธอจิตนาการไม่ถึง แต่ว่าเขาก็ใจร้ายจริงๆ นะ แม้แต่พี่ชายของตัวเองก็ไม่เว้น”


“เห็นว่าเขากับพี่ชายเขาไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันไม่ใช่เหรอ?”


พยาบาลตัวเล็กคนนั้นสีหน้าลึกลับ เอ่ยปากดูถูก “หึ นี่เป็นวิธีล้างความผิดของเธอยังไงล่ะ ถ้าบอกว่าพวกเขาไม่ใช่พี่น้องกันก่อนที่เรื่องนี้จะเกิด ความเชื่อถือก็เป็นไปได้สูง ถ้าเป็นหลังจากนั้น ทำไปเพื่ออะไรไม่ต้องพูดก็เห็นชัดๆ อยู่แล้ว สงสารแต่อี้เป่ยเฉิน ผู้ชายที่สง่างามแบบนั้น ต้องมาตกอยู่ในกำมือของสาวน้อยคนนี้ คนที่ตัวเองชอบก็ถูกรังแก โอกาสที่จะพูดความจริงยังไม่มีเลย”


“สังคมชั้นสูงนี่ซับซ้อนจริงๆ ไม่เข้าใจเลย”


นางพยาบาลคนหนึ่งพูดเสียงต่ำ “พวกเธอว่า เขากับเด็กผู้ชายที่ป่วยคนนั้นเป็นอะไรกัน?”


“น่าจะเป็นผู้ชายหนึ่งในคอลเลคชั่นของเธอล่ะมั้ง ฉันได้ยินมาจากเพื่อนฉันคนนึง ตอนที่เขาอยู่ในมหา’ลัย ดึงดูดผู้ชายไปทั่วเลย มารยาร้อยเล่มเกวียนจริงๆ”


“น่าเสียดายพวกเทพบุตรเก่งๆ พวกนั้นเนอะ”


“นั่นสิๆ เด็กผู้ชายคนนั้น เฮ้อ…”


อี้เป่ยซียืนอยู่หน้าประตู ความโกรธก่อตัวขึ้นในใจ แต่ก็ยังกัดฟันข่มมันเอาไว้ พิงประตูมองไปยังพวกเธอ กระแอมไอเบาๆ พยาบาลที่อยู่ในห้องต่างมองไปยังประตู แต่ละคนตกใจจนตาแทบจะหลุดออกมา


“ทำไมไม่พูดต่อล่ะ?” อี้เป่ยซีหัวเราะเสียงเบา “ฉันอยากรู้ตอนต่อไปมากเลย พูดต่อสิ”


“ฉันยังมีงานที่ห้องคนไข้ทางนั้นนิดหน่อย ฉัน…” อี้เป่ยซีขวางเธอ ปิดประตูเสียงดังปัง ไอแห่งความเย็นยะเยือกภายในร่างกายทำให้คนที่มีความผิดในใจรู้สึกกลัวที่จะทำอะไรมากกว่านี้ เธอนั่งลงที่โต๊ะทำงาน กวาดตามองพวกเธอ มองปลายเล็บของตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ ฉุนเฉียวสุดขีด และมีความกลัวที่อธิบายไม่ได้


“คุณ คุณหนู พวก พวกฉันยังมีงาน ขอ…”


“ไม่รีบ” อี้เป่ยซีราวกับว่าเป็นผู้หญิงที่หลงเสน่ห์เล็บของเธอ จากนั้นเธอมองดูคนที่พูดจาเมื่อครู่ “รอพวกคุณเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว ค่อยไปทำงานก็ไม่สายมั้ง”


“คุณคะ เรื่องความเป็นความตาย ถ้าหากคนไข้เป็นอะไรไปเพราะความละเลยของพวกเรา คุณจะให้เราอธิบายกับครอบครัวว่ายังไง” ราวกับได้เห็นรุ่งอรุณแห่งความหวัง คนอื่นต่างเออออตามไปด้วย


“ฉันนึกว่าพวกคุณเปลี่ยนกะแล้วถึงได้กล้ามาเม้าส์มอยกันที่นี่”


“งั้น…ฉัน ฉันยังมีงานที่ยังส่งมอบไม่เสร็จ”


“ก็ได้” อี้เป่ยซีเสียงสูง มีความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “พวกคุณอธิบายเร็วหน่อย จบให้มันเร็วหน่อย ฉันก็ไม่มีเวลากับพวกคุณมากเหมือนกัน”


“อะ อธิบาย?”


อี้เป่ยซีขี้คร้านที่จะมองพวกเธอ “เล่าทุกอย่างให้ละเอียด ไม่งั้นเมื่อพวกคุณออกจากประตูไป มันคือจุดจบของอาชีพพยาบาลพวกคุณ เชื่อฉันเถอะ ฉันพูดได้ก็ทำได้”


“ค่ะๆๆ”


ฉะนั้นพวกเธอจึงเล่าเรื่องฉินรั่วเข่อกับอี้เป่ยเฉิน รวมทั้งเรื่องที่อี้เป่ยซีรังแกฉินรั่วเข่อ อีกทั้งข่าวทั้งหมดที่ถูกลบไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน


“ฉะนั้นตอนนี้หุ้นของบ้านพวกคุณก็ตกลงมามาก พวกเราคิดอยู่ว่าจะรีบถอนหุ้นดีหรือเปล่า”


อี้เป่ยซีฟังอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้ว เธอกำมือแน่น ในใจเต็มไปด้วยอี้เป่ยเฉินและฉินรั่วเข่อ


พวกเขาสองคนไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอยู่…


“จริงเหรอ?”


“จริงแท้แน่นอน ข่าวนี้ดังขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน มีหลักฐานที่เชื่อถือได้เยอะด้วย คุณไม่เชื่อไม่ได้หรอก”


“พวกคุณออกไปเถอะ”


“คุณ”


“ไม่อยากให้ฉันโมโหพวกคุณก็ออกไป”


เพียงครู่เดียวในห้องก็เหลืออี้เป่ยซีเพียงลำพัง เธอมองพื้นห้องเหม่อลอยเล็กน้อย กระเบื้องสีขาวในโรงพยาบาลถูกสิ่งของดำๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรปกคลุมไว้ เมื่อมองให้ชัด มันคือเลือดชั้นบางๆ


เธอรู้สึกสมองสับสน อยากจะร้องตะโกน อยากจะหนีไป อยากจะรีบไปจากที่นี่ ไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่


ที่ ที่จริงมันก็ดีนะ ถ้าหาก ในอนาคตพี่เป่ยเฉินควรอยู่กับใครสักคน ทำไมเธอจะต้องไปเสียใจด้วย เธอควรจะดีใจนี่นา อวยพรพวกเขาอย่างมีความสุข อวยพรให้พวกเขาครองรักยาวนาน นี่ต่างหากคือสิ่งที่เธอควรทำ


ไม่ใช่มัวแค่คิดเรื่องว้าวุ่นใจอยู่ตรงนี้


อี้เป่ยซี เห็นชัดๆ ว่าเธอตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอ ฉะนั้นตอนนี้น่ะ ทุกอย่างดำเนินไปตามความคิดของเธอ นี่ต่างหากคือสิ่งที่เธออยากเห็น ทุกอย่างเป็นไปตามใจปรารถนา จะมีใครที่ไหนแล้วที่มีความสุขได้ถึงเพียงนี้


เป็นทุกข์อะไร เสียใจอะไร นี่คือพฤติกรรมที่คิดว่าตัวเองถูกตลอดเวลาต่างหากล่ะ


น้ำหยดหนึ่งร่วงลงบนหลังมือของอี้เป่ยซี เธอออกแรงเช็ด แล้วเช็ดตา ตึกแห่งนี้เก่าเกินไปแล้ว แถมน้ำยังรั่วอีก อยากจะออกไป อยากจะออกไป


จากนั้นร่างที่ขวัญหนีดีฝ่อก็ออกไปจากโรงพยาบาล มู่ลี่ไป๋ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่ออฟฟิศก็ไม่ได้สังเกตเห็นร่างนั้น ฉู่ซ่งยังคงนอนอยู่บนเตียง มองไปยังประตูห้องคนไข้ด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอจากไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องการไปที่ไหน แม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้


ตอนนี้ได้เวลาเข้างานแล้ว บนถนนมีรถขวักไขว่ อี้เป่ยซีเดินตามฝูงชนที่หลั่งไหล ใบหน้าที่เฉยเมยผ่านเธอไป ไม่มีใครสังเกตเห็นความสิ้นหวังของเธอ


ฝนปรอยเริ่มตกลงมาจากฟากฟ้า น่าจะเป็นฝนสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิแล้ว คนที่ได้รับรายงานพยากรณ์อากาศต่างหยิบร่มขึ้นมา ทั้งสีดำ สีแดง สีม่วงและมีสีสัน ราวกับได้เดินเข้าสู่โลกแห่งเห็ดหลากสี มีเพียงอี้เป่ยซีคนเดียวเท่านั้นที่เดินอยู่ท่ามกลางเห็ดที่สูงเท่าคน


ไม่นานผมเผ้า เสื้อผ้า และใบหน้าต่างเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน ราวกับว่าเป็นน้ำตาจากทั่วทุกสารทิศ ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน เหมือนกับเป็นศตวรรษล่ะมั้ง คนบนถนนยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ รถก็น้อยลงเรื่อยๆ จากนั้นก็มากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวน้อย เดี๋ยวมาก…


คนที่วิ่งมาชนเธอล้มลงไปกับพื้นด่าสองสามคำแล้วจากไป น้ำสกปรกเปรอะบนเสื้อผ้าแต่เธอไม่รังเกียจเลยสักนิด นั่งอยู่บนพื้นเนิ่นนาน เหมือนกับเป็นนักท่องเที่ยวที่เที่ยวจนเหนื่อยและกำลังพักผ่อน ทิวทัศน์เบื้องหน้าราวกับว่าไม่ได้สวยเท่าไรจึงไม่ต้องการที่จะลุกขึ้นแล้ว


ร่มคันหนึ่งบดบังท้องฟ้าเหนือศีรษะของเธอ มือที่สวยงามปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ว่านะ ตอนนี้ก็เปียกหมดแล้ว กางร่มแล้วมีประโยชน์อะไร ตอนนี้เสื้อผ้าเปื้อนแล้ว ลุกขึ้นมาอีกจะมีประโยชน์อะไรล่ะ


อี้เป่ยซีเหม่อมองมือนั้น ลั่วจื่อหานไม่ต้องการเห็นเธอนั่งอยู่ในแอ่งน้ำอีกต่อไป ทิ้งร่มลงทันที อุ้มเธอขึ้นมา


………………………….



บทที่ 78 แผนร้ายถูกเปิดโปง (7)


ลั่วจื่อหานพาเธอขึ้นไปบนรถ เอากระดาษทิชชูเช็ดน้ำบนตัวเธอออกเล็กน้อย อี้เป่ยซีเหมือนกับตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต ไม่ขยับเขยื้อน


“กลับอะพาร์ตเมนต์” รถขับอยู่บนถนนอย่างรีบร้อน ก็เหมือนอารมณ์ของคนที่นั่งเบาะหลังในตอนนี้


เขาอุ้มอี้เป่ยซีแทบจะวิ่งเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบผ้าขนหนูใส่มือเธอ รีบไปเตรียมน้ำในห้องอาบน้ำ จนกระทั่งเขาออกมาจึงพบว่าอี้เป่ยซียืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูฝนห่าใหญ่ข้างนอก ผ้าขนหนูร่วงอยู่บนที่ที่เธอยืนเมื่อครู่


“เป่ยซี ตอนนี้เธอไปอาบน้ำร้อนแล้วเปลี่ยนเสื้อดีหรือเปล่า?”


“ลั่วจื่อหาน” เสียงของอี้เป่ยซีเบามาก ปะปนอยู่ด้วยกันกับเสียงฝน ถ้าหากปากไม่ได้ขยับขึ้นลงก็ชวนให้น่าสงสัยจริงๆ ว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า “นายว่าข้างนอกฝนตกหนักแบบนี้ ทำไมข้างในถึงไม่มีฝนเลยล่ะ”


ยังไม่ทันรอให้ลั่วจื่อหานพูด จู่ๆ เธอก็หัวเราะขึ้นมา ราวกับว่าได้ยินเรื่องที่ขบขันที่สุดในโลก หัวเราะจนน้ำตาเล็ด หัวเราะจนตัวโก่งงอ ลั่วจื่อต้องการยื่นมือไปประคองเธอ เธอหลบและประคองตัวอยู่บนหน้าต่างยาว คราบน้ำปรากฏบนกระจกที่ใสสะอาด


“ตลกจังเลย เฮ้อ หัวเราะจนฉันปวดท้องแล้ว” เธอก้มหัวพิงหน้าต่างและหัวเราะเบาๆ


“เป่ยซี…”


ทันใดนั้นอี้เป่ยซีหมุนตัวรอบหนึ่งเดินไปยังจุดที่ว่างเปล่าของห้อง แล้วหมุนตัวอีกรอบ “ดูเร็วสิ ดูเร็วฝนตกแล้ว พวกของที่อยู่ในห้องจะต้องไม่รู้ว่าอะไรคือฝนแน่ๆ ในที่สุดพวกมันก็ได้เห็นแล้วล่ะ มีความสุขมากใช่ไหมล่ะ นี่แหละคือฝน ฉันทำฝนให้พวกเธอ”


ลั่วจื่อหานดึงตัวเธอแล้วล็อคเธอไว้ในอ้อมแขน “เอาล่ะฝนหยุดตกแล้ว เป็นเด็กดีไปอาบน้ำแล้วไปพักผ่อนสักหน่อยดีไหม?”


ความตื่นเต้นในแววตาของเธอหายไปโดยพลัน พยักหน้าอย่างอ่อนแรงเล็กน้อย เดินลากเท้าเข้าห้องอาบน้ำไป จากนั้นก็โยนเสื้อผ้าลงบนพื้น นอนแช่อยู่ในอ่างทันที มองดูเพดานเงียบๆ ดวงตาไม่กระพริบ


ลั่วจื่อหานที่อยู่ข้างนอกจัดเก็บข้าวของทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เหลือบมองประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ ถอนหายใจเบาๆ มือที่จับผ้าปูเตียงนั้นนั้นออกแรงเล็กน้อยเหมือนกับว่ากำลังอดกลั้นต่ออะไรบางอย่างอยู่ เขาออกไปข้างนอก โทรศัพท์หาฉู่ซ่ง อธิบายสถานการณ์ให้ฟัง


“ครั้งนี้เพราะผมคิดไม่ถึงเอง ขอโทษนะพี่จื่อหาน สุดท้ายฉู่เซี่ยก็รู้อยู่ดี”


“ช้าเร็วเขาก็จะรู้ ปิดบังไว้ไม่ได้นานหรอก” ลั่วจื่อหานบีบจมูก “นายก็อย่ากังวลให้มาก”


“ขอบคุณพี่จื่อหานครับ”


“อือ”


วางสาย ลั่วจื่อหานมองเวลาบนโทรศัพท์มือถือ ต้มน้ำขิงไว้ถ้วยหนึ่ง นั่งสักพัก เมื่อขึ้นไปข้างบนก็พบว่าในห้องว่างเปล่า เขาเคาะประตูห้องน้ำเบาๆ


“เป่ยซี เป่ยซี”


ไม่มีเสียงตอบรับมาจากข้างใน เขาเปิดประตูทันที พบว่าอี้เป่ยซีใส่เสื้อที่เขาเตรียมไว้ให้เธอ นั่งอยู่บนฐานอ่างล้างหน้า เหม่อมองอ่างอาบน้ำ แกว่งเท้าน้อยๆ เธอดูเบื่อหน่ายแต่กลับชวนให้น่าตกใจอย่างบอกไม่ถูก


“เป่ยซี”


“เสื้อเปื้อนแล้ว ลั่วจื่อหาน” เสียงสะอึกสะอื้นเปี่ยมด้วยความคับค้องใจ อี้เป่ยซีกระพริบตาถี่ ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาส่องแสงเป็นประกายอยู่ภายใต้แสงไฟ


ลั่วจื่อหานกอดเธอไว้ในอ้อมแขนตัวเอง “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดี๋ยวซักให้สะอาดก็โอเคแล้ว ถ้าหากไม่ชอบล่ะก็ พวกเราก็เปลี่ยนอีกตัวดีไหม” ระมัดระวังเพียงใดหรือตื่นเต้นเพียงใด แม้แต่ตัวเขาเองก็มองไม่ออก


อี้เป่ยซีขำคิกคักอยู่ในอ้อมกอดของเขา ราวกับเด็กน้อยที่ลูกไม้เล็กๆ ของเธอบรรลุผล พร้อมทั้งแสดงอาการลำพอง “ดีเลย ดีเลย พวกเราไปซื้อเสื้อกัน ไปซื้อเสื้อใหม่เยอะๆ…ฮัดเช้ย”


“พวกเราไปดื่มน้ำก่อน พักผ่อนสักพัก แล้วค่อยไป หืม?”


“ได้” อี้เป่ยซีวางคางลงบนไหล่ของเขา เธอจึงผ่อนคลายลงบ้าง ลั่วจื่อหานก็ผ่อนคลายเช่นกัน ดึงเธอไปดื่มน้ำขิง และกล่อมให้เธอนอนลงบนเตียง มองออกไปยังนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ฝนก็หยุดตกแล้ว นอกหน้าต่างมีแมลงส่งเสียงร้อง ได้ยินชัดเจนเป็นพิเศษ เขาหันหน้ามองคนที่กำลังหลับใหลอีกครั้ง ปกปิดสีหน้ารักลึกซึ้งไว้ไม่มิด


รอจนกลางคืนผ่านพ้นไป พรุ่งนี้ก็อากาศแจ่มใสแล้วเป่ยซี พออากาศแจ่มใสก็ออกไปเดินเล่นได้แล้วและสามารถทิ้งของสกปรกเหล่านั้นออกไปไกลๆ ได้แล้ว…


วันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีลืมตาและพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเท่าไรนัก ครุ่นคิดเล็กน้อยก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือบ้านของลั่วจื่อหาน และนึกถึงกิริยาที่บ้าบิ่นของตัวเองเมื่อคืน จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ค่อยดี เธอมองซ้ายมองขวา คล้ายผ้าห่มออกเดินเท้าเปล่าและเปิดประตูแผ่วเบา


“อรุณสวัสดิ์” เสียงของลั่วจื่อหานมีความเฉื่อยชาและแหบแห้งจากการเพิ่งตื่นนอน เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นเขาขมวดคิ้ว วินาทีต่อมาตัวเองก็ถูกช้อนตัวอุ้มขึ้นมา เธอคว้าเสื้อของเขาไว้โดยไม่รู้ตัว “ทำไมเดินเท้าเปล่าล่ะ?”


“ไม่ค่อยอยากใส่รองเท้า” ถูกวางลงบนเตียงอีกครั้ง ลั่วจื่อหานเอารองเท้าแตะที่มีหูกระต่ายคู่หนึ่งไว้ที่ด้านหน้าของเธอ สไตล์น่ารัก ช่างไม่เข้ากับการตกแต่งของที่นี่และเจ้าของที่นี่เลย


แม้จะแปลกใจเล็กน้อย อี้เป่ยซีก็ยังสวมรองเท้าแตะแล้วยืนขึ้น


“อืม เมื่อคืนขอบคุณนายนะ รบกวนนายอีกแล้ว” เธอก้มหน้า น้ำเสียงเกรงใจมาก ลั่วจื่อหานลูบๆ หัวของเธอ


“ไม่เป็นไร เก็บของแล้วลงไปกินข้าวเช้ากันเถอะ วางเสื้อไว้ที่หัวเตียงให้เธอแล้ว” ปิดประตูเบาๆ อี้เป่ยซีหยิบเสื้อผ้าที่หัวเตียงขึ้นมา เสื้อแขนยาว กางเกง…เมื่อเห็นเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย หน้าน้อยๆ ก็แดงทันใด รีบเปลี่ยนเสื้อแล้วลงไปกินข้าวข้างล่าง ก้มหน้าตลอดเวลา ไม่กล้ามองลั่วจื่อหาน


หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว ลั่วจื่อหานก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอี้เป่ยซีอีกครั้ง “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”


“ไป? ไปไหน?”


“เธออยากไปซื้อเสื้อผ้าไม่ใช่เหรอ? ลืมแล้ว?”


อี้เป่ยซีจึงนึกถึงคำพูดของตัวเองเมื่อวานได้ เกาหัวอย่างเขินอาย “หา ตอนนั้นฉันอารมณ์ไม่ดี อย่าถือคำพูดเป็นจริงจังเลย ฉันไม่รบกวนนายดีกว่า กลับก่อนล่ะ”


ลั่วจื่อหานดึงข้อมือของเธอไว้ สร้อยข้อมือสีฟ้ากั้นกลางระหว่างสองคน “ฉันถือเป็นจริงจังแล้ว” จากนั้นก็พาเธอขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไรเลย ขับรถมุ่งหน้าไปยังศูนย์การค้าทันที


“เอ๊ะ นายไม่ต้องทำงานเหรอ?”


“ไม่ต้อง”


“บริษัทนายไม่มีงานเหรอ?”


“ไม่มี”


“นายไม่มีธุระอื่นเหรอ ลืมแล้วหรือเปล่า”


ลั่วจื่อหานมองเธออย่างมีนัยนะ อี้เป่ยซีรีบหลบตา “ฉัน ฉันก็แค่รู้สึกว่า นายยุ่งขนาดนี้ ลากนายไปช้อปปิ้งกับฉันทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ มันจะเกินไปหน่อย”


“อ๋อ?” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ถ้าเธออยากทำอะไรที่มีสาระกับฉัน ฉันพร้อมทุกเมื่อ”


“อืม งั้นพวกเราไปช้อปปิ้งเถอะ” เธอนั่งตัวตรง แสดงท่าทีสนใจมาก ลั่วจื่อหานมุมปากยกยิ้ม


……………………………….



บทที่ 79 แผนร้ายถูกเปิดโปง (8)


เมื่อถึงศูนย์การค้า อี้เป่ยซีสุ่มเลือกเสื้อผ้าไม่กี่ตัวโดยขาดความสนใจ แต่ลั่วจื่อหานกลับจริงจัง เลือกมากองหนึ่งยัดใส่หน้าอกเธอให้เธอไปลอง เธอมองเขาอย่างหมดแรงเล็กน้อย แต่หลังจากสังเกตเห็นอาการที่ไม่อาจปฏิเสธได้บนใบหน้าของลั่วจื่อหานแล้ว ได้แต่เดินเข้าห้องลองเสื้อไปโดยไม่พูดจา ลองตัวแล้วตัวเล่า แต่สีหน้าของลั่วจื่อหานที่นั่งอยู่บนโซฟากลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด


“ช่างเถอะๆ ไม่ลองแล้ว ถึงยังไงก็ไม่สวย” อี้เป่ยซียัดเสื้อในมือใส่มือของพนักงานข้างๆ อย่างหมดกำลังใจเล็กน้อย ยกน้ำผลไม้บนโต๊ะขึ้นมาดื่ม ได้ยินเสียงตกอกตกใจของคนข้างๆ รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง


ก็แค่ดื่มน้ำผลไม้ไปอึกเดียว มีอะไรน่าประหลาดใจงั้นเหรอ?


ลั่วจื่อหานราวกับว่าอารมณ์ดีมาก ขยับเข้าไปใกล้เธอ “แค่ไม่กี่ตัวเอง ลองอีกหน่อยดีหรือเปล่า” อี้เป่ยซีได้แต่พยักหน้า เข้าไปในห้องลองเสื้ออีกครั้ง


“คุณคะ ตัวนี้คือสไตล์ใหม่ของพวกเราที่เพิ่งมาถึง ตอนนี้ยังไม่มีขาย เหมาะกับคุณมากเลยนะคะ” เธอลองเสื้อที่ลั่วจื่อหานหยิบมาจนหมดอย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมไปลองอีกแล้ว พอนั่งลงบนโซฟาจึงเห็นว่ามีน้ำผลไม้สองแก้ว


เมื่อกี้มีแค่แก้วเดียวไม่ใช่เหรอ? ทำไม ไม่จริงมั้ง แสดงว่าที่เธอดื่มไปเมื่อกี้เป็นของลั่วจื่อหาน? เธอรู้สึกถึงสายตายิ้มกรุ้มกริ่มอยู่เหนือศีรษะ แทบทนไม่ไหวที่จะมุดเข้าไปในหลุม เธอลุกขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจเล็กน้อย รับเสื้อผ้าที่พนักงานขายยื่นมาให้ ปิดประตูห้องลองเสื้อราวกับกำลังหลบหนี


เมื่อกี้เธอกับลั่วจื่อหานจูบกันทางอ้อมงั้นเหรอ? ไม่รู้ว่าทำไม อี้เป่ยซีรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องลองเสื้อสูงขึ้นหลายองศา ร้อนจนหน้าแดง


ก็ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย เธอจะมัวเขินอายอะไรอยู่ในนี้ เธอปลอบใจตัวเอง ถอดเสื้อบนตัวออกช้าๆ


แต่ว่าก่อนหน้านี้เพราะเธอถูกบีบบังคับ ครั้งนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไร เธอก็เป็นคนที่ริเริ่มก่อน


เชอะ ก็จูบนั่นแหละ จะแยกว่าเริ่มก่อนเริ่มหลังอะไรกัน


หลังจากคิดได้ก็เปลี่ยนเสื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอเปิดประตูได้ยินเสียงอัศจรรย์ใจของพนักงานในร้าน สังเกตปฏิกิริยาของลั่วจื่อหานด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย เขาลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาหาเธอ รูปร่างที่สูงใหญ่บดบังสายตาผู้คนโดยรอบ


“เป่ยซี เธอสวยมาก”


หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปอีก เขายื่นสองมือกุมใบหน้าของเธอไว้ อี้เป่ยซีหดตัวไปข้างหลัง


“ลั่วจื่อหาน นาย นายอย่ามามั่วนะ”


เขาหัวเราะเบาๆ ลมหายใจกระทบอยู่บนใบหน้าของอี้เป่ยซี รู้สึกคันๆ เล็กน้อย


“มีคนแอบถ่ายเธอ อยากรู้ไหมว่าเป็นใคร?” อี้เป่ยซีรู้สึกว่าระหว่างที่ตัวเองกำลังงุนงงอยู่นั้นเห็นสีหน้ากระหายเลือดของเขา เธอขยี้ตา คนที่อยู่ตรงหน้ายังคงสง่างามดังเช่นปกติ


“เป็นอะไรไป?”


“มีฝุ่นเข้าตาน่ะ รอให้ฉันเปลี่ยนเสื้อเสร็จก่อนเถอะ เสื้อตัวนี้ขยับตัวไม่ค่อยสะดวก”


“ได้” รอจนกระทั่งอี้เป่ยซีเข้าห้องลองเสื้อไปแล้ว ลั่วจื่อหานมองแต่ทำเหมือนไม่ได้มองตึกฝั่งตรงข้าม หัวเราะเย้ยหยัน เดินมาติดกับดักเอง เขาก็ไม่ต้องออกแรงแล้ว


“เสื้อพวกนี้พอห่อเสร็จแล้วส่งไปที่อยู่นี้นะครับ” เขาหยิบเศษกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง มีที่อยู่ของ


อะพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของอี้เป่ยซีอยู่ด้านบน


“ได้ค่ะ ประธานลั่ว” สาวพนักงานขายยิ้มตามปกติ แต่ว่าในใจกลับสั่นไหวรุนแรง


พระเจ้า ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับประธานลั่วกันแน่ ทำให้เขายิ้มมีความสุขขนาดนี้ แต่ว่าพอประธานลั่วยิ้มแล้วหล่อจริงๆ เลยแฮะ


อี้เป่ยซีเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้วก็ถูกลั่วจื่อหานลากออกไปทันที ทั้งสองคนเลี้ยวซ้ายทีขวาที อี้เป่ยซีก็สังเกตได้ถึงพิรุธของคนที่อยู่ข้างหลัง ลั่วจื่อหานดึงเธอเข้าไปอยู่ในมุม


“ทำไมถึงหายไปแล้วล่ะ โถ่เว้ย ช่างเถอะ มีของพวกนี้ก็ใช้ได้แล้ว” พอหันหลังก็ถูกคนจับไหล่เอาไว้ ท่าทุ่มไหล่ที่งดงามทำให้ล้มลงบนพื้นเสียงดัง กล้องที่คล้องคอขณะนี้อยู่ในมือของผู้ชายอีกคนแล้ว


เขาถอยหลังหวาดกลัวต้องการจะหนี ลั่วจื่อหานเข้าใกล้อย่างสบายๆ “นายคิดว่า นายยังมีโอกาสหนีงั้นเหรอ?”


“ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้ว รูปถ่ายผมให้พวกคุณ ผมไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว”


ลั่วจื่อหานเหลือบมองรูปถ่ายในกล้องถ่ายรูปเชื่องช้า “พูดเถอะ ใครส่งนายมา?”


“ผม ผม…” คนนั้นทำตาเลิกลั่ก เอ่ยปากสั่นเทาภายใต้ความโมโหของลั่วจื่อหาน เห็นได้ชัดว่าขาดความมั่นใจ “เพื่อน เพื่อนร่วมวงการบอกว่า จะขุดข่าวของอี้เป่ยซีจากที่นี่ได้ ผมก็เลยมา”


“ปาปารัสซี่? ชักจะเกินไปแล้ว ฉันก็ไม่ใช่คนสาธารณะสักหน่อย” อี้เป่ยซียืนอยู่ข้างลั่วจื่อหานมองเขาอย่างดูถูก ลั่วจื่อหานยื่นกล้องในมือให้เธอ


“ฉันจะให้โอกาสนายเป็นครั้งสุดท้าย นายอย่าทำมันสูญเปล่าล่ะ พูด” คำพูดสุดท้ายทำให้อี้เป่ยซีก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่เริ่มแผ่กระจายออกมาจากขา อุณหภูมิรอบตัวลดลงอย่างมากโดยพลัน ทำให้อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนตัวสั่น


“เพื่อน เพื่อนร่วมวงการเป็น เป็นคนบอกจริงๆ นะ ผม ผมไม่ ไม่กล้า…”


ลั่วจื่อหานไอ “พูดต่อ”


“อ่อ” ผู้ชายคนนั้นเหมือนกับจู่ๆ นึกอะไรขึ้นมาได้ หยิบบัตรประจำตัวนักข่าวออกมาจากกระเป๋าด้วยความสั่นเทา “นี่ นี่เป็นของผม…”


ลั่วจื่อหานชำเลืองมองแต่ไม่ได้รับมา “ในเมื่อไม่ยอมนะ…” พูดพลางมีคนวิ่งมาหาลั่วจื่อหาน กระซิบอะไรบางอย่างข้างหูเขา จากนั้นก็มองคนที่อยู่บนพื้นด้วยความโมโหสุดขีด


“สารเลว ดูเรื่องที่พวกแกทำล่าสุดสิ” เสียงนั้นไม่ดังมากแต่ว่าทุกคนที่ได้ยินต่างตกใจกลัว ทันใดนั้นอี้เป่ยซีก็รู้สึกว่าเธอไม่รู้จักคนที่อยู่ตรงหน้า ในสายตาของเธอ ลั่วจื่อหานเป็นคนที่เรียบง่ายและสง่างามดุจเหล้าขาว มีความเมินเฉยอยู่บ้างราวกับว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยวกับตน พอได้รู้จักแล้วก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถน่าเชื่อถือ เปี่ยมด้วยความรู้สึกปลอดภัยชวนให้คนอยากพึ่งพา


แต่คนที่เย็นยะเยือกตรงหน้านี้ราวกับเป็นองค์จักรพรรดิ์ เป็นคนที่เธอไม่รู้จัก


เธอไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร เธอกอดกล้องไว้กับตัวเอง


“เป่ยซี เป่ยซี”


“หา มีอะไร” ในขณะที่เธอกำลังเหม่อลอย เขาก็ถูกพาตัวไปแล้ว เธอลังเลครู่หนึ่งแต่ก็ยังเอ่ยปาก “หืม พวกเขาจะพาตัวเขาไปไหน?”


“ฉันพาเธอไปหาะไรกินก่อนเถอะ ช้อปปิ้งมาทั้งเช้าแล้ว” ลั่วจื่อหานหลีกเลี่ยงคำถามของเธอ พาเธอไปที่ชั้นห้าทันที อี้เป่ยซีก็ไม่ได้ถามอะไรอีก มองดูกล้องในมือ


นั่งอยู่ในห้องส่วนตัว ทั้งสองคนต่างไม่ได้พูดอะไร อี้เป่ยซีเปิดกล้องดูรูปที่อยู่ข้างใน ยิ่งเลื่อนดูก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ


คนคนนี้ เป็นนักข่าวจริงเหรอ? เธอนึกว่าเรื่องที่ดังๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องล่าสุด ทำไมถึงมีรูปถ่ายก่อนหน้านี้ และยังมีรูปของเธอกับเซี่ยเช่อด้วย


หรือว่าเรื่องก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือเขา?


“ลั่ว…”


“กินข้าวก่อนเถอะ เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเองก็พอแล้ว เธอไม่ต้องไปเหนื่อยอะไร”


อี้เป่ยซีส่ายหน้า “ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าใครอยากเป็นศัตรูกับฉันตั้งแต่แรก เมื่อกี้นายก็ดูออกนี่นา”


“ความสามารถในการโกหกแย่มาก”


“ลั่วจื่อหาน ขอบคุณนะ”


………………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม