Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 41-60

 41 งานวันเกิด (1)


ฤดูหนาวเดินจากเมืองแห่งนี้ไปอย่างช้าๆ เหมือนกับคนแก่ถือไม้เท้า ฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาดุจสายลม ทุกอย่างกำลังฟื้นตัว ชีวิตใหม่กำลังเริ่มขึ้น


“เป่ยซี ทำไมไม่รีบบอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดเธอล่ะ แบบนี้จะเตรียมของขวัญทันได้ยังไง” ถังเสวี่ยบ่นอุบ อี้เป่ยซีวางของในมือลง มองถังเสวี่ยที่เพิ่งกลับถึงหอด้วยความสงสัยเล็กน้อย


“เธอรู้ได้ยังไงเนี่ย?”


คราวนี้ถึงตาถังเสวี่ยสับสนบ้าง เธอมองอี้เป่ยซี เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่นจึงเอ่ยปาก “อ๋อ วันนี้พี่ชายฉันได้รับการ์ดเชิญก็เลยรู้น่ะ”


การ์เชิญ การ์ดเชิญอะไร ทำไมเธอไม่รู้อะไรเลย ก็บอกกับพี่เป่ยเฉินแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอไม่ชอบปาร์ตี้ ทำไมเขาต้องคิดเองเออเองด้วย ไม่ได้ปรึกษากับเธอเลย เธอวางหนังสือลงบนชั้นวางหนังสือ รู้สึกหงุดหงิด เธอคิดตั้งแต่แรกแล้วเชียวว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี


“เป่ยซี บัตรเชิญของพวกเราล่ะ? เธอคงไม่ได้ไม่อยากเชิญพวกเราหรอกนะ” ถังเสวี่ยยิ้มเอ่ย


อี้เป่ยซีโบกมือ เธอไม่อยากเชิญใครทั้งนั้นโอเคไหม “ไว้ค่อยให้พวกเธอแล้วกัน ฉันยังมีธุระนิดหน่อย ออกไปแป๊บหนึ่งนะ”


“แปลกคน” ถังเสวี่ยมองแผ่นหลังของเพื่อน คิ้วขมวดกันโดยไม่รู้ตัว


งานวันเกิดก็ควรเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ อีกทั้งพี่ชายเธอยังทุ่มเทแรงกายแรงใจเตรียมงานเพื่อเธอด้วย แต่ทำไมเธอดูแล้วไม่มีความสุขเลย


อี้เป่ยซีเดินออกจากหอพัก รู้สึกว่าอากาศข้างนอกน่าหงุดหงิดใจเล็กน้อย สุนัขจรจัดข้างๆ ก็เห่าด้วยความตื่นเต้นโดยไม่รู้สาเหตุ เห่าอย่างนั้นไม่หยุด เธอเดินไปข้างหน้าพร้อมอารมณ์ฉุนเฉียว ขณะที่กำลังจะถึงรั้วมหาวิทยาลัย จึงเห็นรถที่นัดไว้ขับเข้ามาในบริเวณสถานศึกษา


รถจอดลง เมื่อเปิดประตูก็เห็นการ์ดเชิญที่ถูกตกแต่งอย่างบรรจง เธอนั่งลงข้างอี้เป่ยเฉินด้วยความอึดอัด


“พี่เป่ยเฉิน พี่ไม่บอกฉันเลย”


อี้เป่ยเฉินวางการ์ดไว้อีกทาง “เสี่ยวซี นี่เป็นวันเกิดครบสิบแปดปีของเธอ พี่อยากให้เจ้าหญิงน้อยของพี่ได้รับความสนใจและคำอวยพรจากทุกคนในวันนั้น” จากนั้นก็ค่อยอวยพรให้พวกเราสองคน


“แต่ว่าพี่เป่ยเฉิน ฉัน…” อี้เป่ยซีเห็นแววตาของอี้เป่ยเฉินที่เปล่งประกายด้วยความสุข จู่ๆ สิ่งที่ต้องการจะพูดก็ถูกยับยั้งไว้ในใจ อารมณ์หนักหน่วงในตอนแรกยิ่งไม่สามารถบรรเทาได้ เธอกัดริมฝีปาก จะพยักหน้าก็ไม่ได้จะส่ายหัวก็ไม่ได้


ถึงอย่างไรพี่ชายก็พยายามทำเพื่อเธอขนาดนี้ แต่ว่าจะขัดความต้องการของตัวเองแล้วรับมันไว้ทั้งอย่างนี้เหรอ? หลังจากกลอกตาไปรอบๆ เธอกลืนน้ำลาย “ฉันรู้แล้ว”


อี้เป่ยเฉินยื่นมือลูบผมของอี้เป่ยซีอย่างชื่นชม ผมนุ่มสลวยลื่นไหลผ่านฝ่ามืออุ่นๆ ของเขาไปอย่างง่ายดาย “เสี่ยวซี วันเกิดครั้งต่อไป เธอจะเอายังไงพี่ก็จะตามใจเธอโอเคไหม?”


เธอพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร และยื่นมือออกไปรับการ์ดที่อี้เป่ยเฉินยื่นมา การ์ดเชิญสีชมพูสะท้อนแสงสดใส เธอเก็บไว้อย่างไม่เต็มใจนัก


“บัตรพวกนี้เธอไปส่งเองนะ”


“อืม”


“คืนนี้พี่จะรับเธอกลับบ้าน”


“อืม”


“เสี่ยวซี ไม่พอใจพี่ใช่หรือเปล่า”


“อืม” ผ่านไปเนิ่นนานอี้เป่ยซีจึงค่อยรู้สึกตัว เธอรีบแก้คำพูด “เปล่านะ ฉันก็แค่ แค่รู้สึกว่าวันเกิดปีหน้ายังอีกตั้งนาน” เพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองรอคอยวันเกิดครบสิบแปดปีครั้งนี้อย่างมีความสุขมานาน จู่ๆ มันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว


ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ผิดหวังเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเสียใจ พรุ่งนี้ก็เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่ง ไม่มีอะไรน่าเสียใจเลย วันเวลาในอนาคตยังอีกยาวไกล เรื่องบางอย่างและคำพูดบางคำค่อยว่ากันใหม่ในอนาคต หรือในอนาคตของอนาคตก็ได้


อี้เป่ยซีรู้สึกว่าไม่มีอะไรจริงๆ เธอพยักหน้ากับตัวเอง “พี่คะ งั้นฉันกลับหอก่อนนะ”


เขาตอบรับ มองดูแผ่นหลังของเด็กสาวที่จากไปพลางกล่าวโทษตัวเองอยู่ในใจ เขาทำเกินไปหรือเปล่าที่ไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของเธอแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ชอบปาร์ตี้แบบนี้ก็ยังผลักเธอไปยังสถานที่ที่แสงไฟส่องสว่างที่สุด วางเธออยู่ในจุดที่วุ่นวายที่สุด


เขามองบัตรเชิญปึกสุดท้ายในมือ ความรู้สึกผิดเมื่อครู่หายไปในพริบตา มือที่บนพวงมาลัยออกแรงมากกว่าเดิม มันคือความแน่วแน่ชนิดหนึ่งที่บรรยายไม่ได้


วันต่อมา พออี้เป่ยซีลุกจากเตียงก็ถูกลากไปยังห้องทำงานชั่วคราวของเซี่ยเช่อ เธอไร้ซึ่งชีวิตชีวา รอยยิ้มที่ส่งมาดูฝืนเล็กน้อย ริมฝีปากดูแข็งทื่อ


“คุณหนูใหญ่อี้ เธอทำแบบนี้ฉันแต่งลำบากนะ” เซี่ยเช่อหยุดถือแปรงอยู่ตรงหน้าเธอเนิ่นนาน ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มวาดจากตรงไหนดี เมื่อเห็นหน้าตาเธอที่น่าเกลียดยิ่งกว่าตอนร้องไห้ ความสวยงามในจินตนาการทั้งหมดก็พังทลาย


“ฝีมือนายไม่ดีมากกว่ามั้ง”


เซี่ยเช่อหัวเราะกับเธออย่างอารมณ์ดี “เห็นท่าทางเธอแบบนี้ฉันก็อดเล่นพิเรนทร์ไม่ได้น่ะสิ งั้นแบบนี้ไหม ปาร์ตี้วันเกิดเปลี่ยนเป็นงานเต้นรำสยองขวัญเป็นไง แบบนั้นน่ะฉันแต่งได้ทันทีเลย” เขาพูดขณะไปเอาอุปกรณ์แต่งหน้าอีกชุด อี้เป่ยซีรีบคว้าแขนเขาไว้


“คนเราจะอารมณ์เสียหน่อยไม่ได้หรือไง” เธอมองเซี่ยเช่อด้วยความน้อยใจเล็กน้อย


“อี้เป่ยซี ถ้าเธอไม่อยากทำอะไรใครจะบังคับเธอได้ เธอมานั่งอยู่ตรงนี้เอง ไม่ใช่เพราะพี่ชายเธอ หรือเพราะฉันจับเธอมัดไว้ที่นี่ ถ้าเธอไม่ชอบใจก็ออกไปได้เลย อย่าทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้ขายตัวสิ” เขาโบกมือไปมา


“ก็เห็นอยู่ว่านี่มันเรื่องของพวกเธอ ฉันเป็นแค่คนแต่งหน้า อย่ามากวนอารมณ์ฉันเลยถ้าจะงอแงก็ไปหาพี่ชายเธอโน้น” เขาก้มหน้าก็เห็นหน้าตาบึ้งตึงของเธอตามที่คาดไว้


เซี่ยเช่อถอนหายใจ โน้มตัวเข้ามาหาเธอกึ่งหนึ่ง “เด็กน้อย เด็กดี เก็บหน้าตาน่าเกลียดของเธอไว้เถอะ พี่ชายจะแต่งหน้าเธออย่างงามแน่นอน”


ดวงตาอี้เป่ยซีกลอกไปมา ก้มหน้าลง


“อี้เป่ยซี รูปวิวของจื่อจวีหานซื่อ”


มือของเด็กสาวขยับไปมาแต่ยังไม่เงยหน้าขึ้น


“ฉันจะให้เธอเพิ่มอีกรูป”


“…”


“ก็ได้ฉันยอมเธอแล้ว ดอกเหมยหิมะรูปนั้นของเขาเธอคงไม่อยาก…”


“ขอบคุณ สามรูปไม่มีเครดิต” เธอเงยหน้ายิ้มสดใสอีกครั้ง เซี่ยเช่อส่ายหัวจนใจ ช่างเถอะ ตอนแรกก็คิดจะให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดอยู่แล้ว เขาหยิบเครื่องสำอางมาและเริ่มวาดลงบนใบหน้าของอี้เป่ยซี


ในที่สุดก็แต่งหน้าจนเสร็จ เซี่ยเช่อมองดูผลงานของตัวเองอย่างพึงพอใจ ทั้งบริสุทธิ์และเจือกลิ่นอายของความขี้เล่น อ่อนเยาว์แต่กลับไม่ทิ้งบุคลิกสง่างาม เขายื่นมือลูบผมของอี้เป่ยซี ตรงนี้ก็ควรจะเปลี่ยนสักหน่อย


“ฉันจะบอกนายนะ ถ้านายคิดจะม้วนผมของฉันล่ะก็ ฉันกับนายจบกัน” อี้เป่ยซีเอาผมดกดำของตัวเองออกมาจากมือเขาราวกับแม่แกะปกป้องลูกน้อย เธอมองตัวเองในกระจก แบบนี้ก็ได้แล้วนี่นา จะม้วนผมหรือไม่ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง


“เด็กน้อย คนสวยก็ต้องลองทรงผมใหม่สักหน่อยสิ”


“ไม่ได้ๆๆ บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ”


เซี่ยเช่อยิ้มชั่วร้าย “เสี่ยวซีซีจ๊ะ เธอจะปฏิเสธฉันเหรอ? งั้นฉันก็ไม่รู้นะว่าภาพวาดของเธอจะถึงมือเธอเมื่อไร”


อี้เป่ยซีปล่อยมือของตัวเองด้วยความละเหี่ยใจ ดูแล้วคงหนีไม่พ้นการทำลายล้างของเครื่องม้วนผม “งั้นนายก็ทำกับผมฉันดีๆ หน่อยนะ”


……………….


42 งานวันเกิด (2)


อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าตัวเองยึดติดกับผมตรงของตัวเองตั้งแต่เมื่อไร อาจเป็นเพราะพี่ชายบอกว่าผมตรงของเธอสวย และอาจเป็นเพราะเนิ่นนานก่อนหน้านั้น เธอมักจะรู้สึกว่ามันคือตัวแทนของอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ แต่เพราะอธิบายไม่ได้ เธอเองจึงบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่ายอมรับไม่ได้ เพียงแค่ไม่ชอบเอามากๆ ไม่ชอบเปลี่ยนสไตล์ผมตรงสุดๆ


แต่ว่าวันนี้ยังต้องยอมให้ภาพวาดสามรูป เธอถอนหายใจ นึกถึงตัวเองเมื่อก่อน คิดอยากทำอะไรก็ได้ทำ แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์ถูกชี้นิ้วสั่งการ


ง่วนอยู่อีกสักพักใหญ่ เซี่ยเช่อจึงเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดของเขาอย่างพึงพอใจ เขาตบๆ ไหล่คนที่อยู่ด้านหน้า “ไม่เลวเลย แบบนี้สิถึงจะถูก ไป ฉันจะพาเธอไปลองเสื้อ”


อี้เป่ยซีลูบคลำผมของตัวเองด้วยความเสียใจ เดินตามหลังเขาไปอย่างทำอะไรไม่ได้


“เสื้อชุดนี้น่ะฉันคิดไว้นานมาก พอดีเลย ครั้งนี้มีประโยชน์แล้ว” เซี่ยเช่อพูดอยู่ข้างหน้าอย่างเย่อหยิ่ง ไม่สนใจปฏิกิริยาของอี้เป่ยซีที่อยู่ข้างหลัง ผลักเธอเข้าไปในห้องลองเสื้อทันที แล้วนั่งยุ่งกับการดื่มสาเกของตัวเองอยู่บนโซฟาตัวยาว


รสชาติสาเกนี้ไม่เลวทีเดียว ไม่น่าล่ะเขาถึงชอบขนาดนั้น แต่ว่าดื่มตามลำพังก็ดูจะเหงาไปหน่อย เขาจึงวางเหล้าสาเกในมือลง


ผ่านไปสักพักอี้เป่ยซีจึงเดินออกมาอย่างอืดอาด


เมื่อก่อนเซี่ยเช่อคิดว่าสไตล์เสื้อผ้าตามอายุของเธอล้วนเป็นแนวอนุรักษ์นิยมและน่าเบื่อสำหรับวัยสาว แต่ว่าตอนนี้ อี้เป่ยซีดึงๆ เสื้อผ้าด้วยความอึดอัดเล็กน้อย ส่วนไหล่ที่เปลือยเปล่าทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ชุดเดรสระดับอกทำให้เธอทนไม่ไหว คิดจะเอื้อมมือดึงมันขึ้นไป เสื้อผ้าที่แนบชิดผิวหนังทำให้ทุกกระเบียดนิ้วของร่างกายเด่นชัด อี้เป่ยซีทรมานสุดจะทน


ทำไมต้องออกแบบเสื้อผ้าประหลาดแบบนี้ด้วย เธอมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟายากที่จะเข้าใจ


“เหมาะจริงๆ” เซี่ยเช่อร้องชมอย่างอดใจไม่ไหว แม้ว่าจะจินตนาการภาพที่อี้เป่ยซีใส่ชุดนี้ไว้แล้ว แต่เธอที่อยู่ตรงหน้าก็ยังทำให้อัศจรรย์ใจ ชุดที่ออกแบบให้ระดับอกเผยกระดูกไหปลาร้างดงามของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชุดเดรสเข้ากับเรือนร่างสวยงามของเธออย่างลงตัว ทุกอิริยาบทดูน่ารักขึ้นเป็นกอง


“นี่มันไม่ต่างจาก….ไม่ต่างจากที่ฉันใส่มากไปหน่อยเหรอ”


“อืม บอกตามตรง ฉันรู้สึกว่าชุดที่เธอใส่มีแต่ชุดออกกำลังกายน่ะนะ” เซี่ยเช่อพยักหน้า “เอาละ เสี่ยวซีซี เธอดูสิ เธอสวยมากเลย”


อี้เป่ยซีมองดูตัวเองในกระจก เหมือนกับว่าต่างจากที่ตัวเองจินตนาการไว้ แต่ว่าเสื้อตัวนี้มันอึดอัดจริงๆ นะ เธอมองไปยังเซี่ยเช่อเชิงอ้อนวอน


“เอาเถอะ เดาออกอยู่แล้วว่าเธอไม่ชิน”


“งั้นฉันเปลี่ยนเสื้อได้แล้วสิ?”


“ไม่ได้ มีเสื้อคลุมตัวเล็กอยู่ เธอใส่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


มีก็ดีกว่าไม่มี อี้เป่ยซีรับเสื้อคลุมมาใส่ไว้ เธอสังเกตเห็นเหล้าสาเกบนโต๊ะและแก้วเหล้าพอร์ซเลนสีฟ้าขาว เขาก็ชอบของแนวนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน


“นายชอบของโบราณพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไร อือ ทำไมดื่มเหล้าสาเกเหมือนหลานฉือเซวียนเลย”


เซี่ยเช่อไอสองที แต่ไม่ได้พูดอะไร


“ฉันจะบอกให้ หลานฉือเซวียนน่ะสะสมชุดเหล้าชุดหนึ่ง สวยมากเลยล่ะ อีกอย่างสาเกที่เขาหมักเองก็มีกลิ่นเฉพาะตัวด้วย ไม่เหมือนของนายที่ต้องเข้าใกล้ขนาดนี้ถึงจะได้กลิ่นเหล้า”


“งั้นเหรอ”


อี้เป่ยซีรู้สึกว่าน้ำเสียงในคำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ อาการบนใบหน้าของเซี่ยเช่อก็แปลกมากเช่นกัน แต่ว่าทั้งสองคนก็ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย เธอส่ายหัว จะคิดมากไปทำไม


อี้เป่ยซีอยู่ที่ชั้นสองมองดูแขกเหรื่อที่ทยอยกันเข้ามาก็ถอนหายใจ ช่างเถอะ อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ผ่านไปแล้ว นอนครั้งหนึ่งก็หมดไปเจ็ดถึงแปดชั่วโมง เพียงแค่พริบตาเดียว พริบตาเดียวก็จบแล้ว


“เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินเดินมาด้านข้างเธอ ดึงเธอมากอดในอ้อมแขนตัวเอง “ถ้าเธอเหนื่อยแล้ว เดี๋ยวเธอออกไปแป๊บเดียวก็พอ ที่เหลือไว้ให้พี่จัดการเอง”


เธอส่ายหน้า “พี่เป่ยเฉินเหนื่อยมากแล้ว เป่ยซีไม่เป็นไร” เธอดึงๆ เสื้อตัวนอก กลางคืนมันหนาวนี่นา


“เสี่ยวซียิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ทุกวันแล้ว”


“ฉันเป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว แต่พี่เป่ยเฉินทำยังกับฉันเป็นเด็กน้อยตลอด”


“ใช่ๆๆ ความผิดพี่เอง คนเริ่มมากันแล้ว พวกเราลงไปเถอะ”


อี้เป่ยซีพยักหน้า จูงมือเธอ ความอบอุ่นไหลจากปลายนิ้วผ่านเข้าสู่หัวใจทีละน้อย


ภายในห้องโถงเงียบลงโดยพลัน สายตาทุกคู่ต่างหยุดอยู่ที่คนสองคนที่เดินมาช้าๆ น่าทึ่งเหลือเกิน น่าอิจฉาจริงๆ


“อี้เป่ยเฉินรักน้องสาวของเขาจริงๆ เลยนะ”


“เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ไม่ใช่เหรอ?”


“ว่าไงนะ?”


“นั่นสิ ได้ยินว่าอี้เป่ยซีถูกรับเลี้ยง”


เซี่ยเช่อได้ยินเสียงคนข้างๆ ปรึกษาหารือกันก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย เรื่องนี้มีอะไรน่าคุย จะเป็นพี่น้องกันจริงหรือเปล่ามันก็อยู่ตรงนั้นแล้วไม่ใช่เหรอไง เขาหรี่ตามองหาเป้าหมายของตัวเองไปทั่วทุกทิศ ในที่สุดก็มองเห็นอีกฝ่ายในชุดสูทสีดำท่ามกลางฝูงชน…หลานฉือเซวียน เซี่ยเช่อไม่พูดไม่จา เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


“วันนี้ประธานหลานก็มาด้วยเหรอ ขอคุยด้วยสักเดี๋ยวได้ไหม” เซี่ยเช่อไม่รอเขาตอบ ดึงตัวไปทันที หลานฉือเซวียนที่ไม่ชอบเข้าสังคมอยู่แล้วก็ตามออกไปที่สวนดอกไม้หลังโรงแรมด้วยกัน


……….


“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานวันเกิดของเสี่ยวซี…”


อี้เป่ยซียืนอยู่ข้างอี้เป่ยเฉิน คงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า


“เป่ยซี สุขวันต์วันเกิดนะ”ถังเสวี่ยถือของขวัญของตัวเองวิ่งเข้าไปหาเธออย่างมีความสุข อี้เป่ยซียิ้มรับของเอาไว้


“อี้เป่ยซี สุขสันต์วันเกิด”ผู้คนทยอยอวยพรและมอบของขวัญให้เธอไม่ขาดสาย เธอรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองยิ้มจนแข็งทื่อไปหมดแล้ว เอาแต่คิดว่าพอทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจะมีของขวัญจำนวนมากปรากฏอยู่ตรงหน้าตัวเอง


“สุขสันต์วันเกิด” เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหู เหมือนสายลมสดชื่นที่พัดความน่ารำคาญเบาบางภายในห้องออกไป เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีดำที่ราวกับทะเลสาบเงียบสงบคู่นั้น ในขณะนั้นเอง ก็ลืมไปว่าต้องพูดขอบคุณอย่างไร ลืมไปว่าต่อไปต้องทำตัวอย่างไร “จะไม่รับเหรอ?”


“เปล่า เปล่า” อี้เป่ยซีรีบรับของขวัญ “ข้างในคืออะไรเหรอ?” น่าแปลกใจจริงๆ ที่คนอย่างเขาจะมอบของขวัญเป็นด้วย เธอเขย่าอย่างสงสัย


ลั่วจื่อหานหัวเราะเบาๆ “อยากรู้เธอก็แกะสิ”


“แกะได้จริงเหรอ” ปากเธอพูดแบบนี้ แต่แกะของขวัญออกทันทีโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง มันคือกล่องไม้สวยงามกล่องหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายส่งสัญญาณให้เปิดต่อก็เปิดกล่องไม้ออก มีหุ่นโมเดลแนวโบราณน่ารักที่สวมชุดกระโปรงสีฟ้าสดใส


“ทำไมคนนี้หน้าตาคุ้นๆ จังเลย”


“หน้าตาคุ้นจริงๆ” เขาพยักหน้า ไม่ได้อธิบายอะไร


อี้เป่ยซีหยิบหุ่นโมเดลออกมา พระเจ้า พระเจ้า น่ารักเกินไปแล้ว คนคนนี้…


“นี่ฉันเหรอ?”


เขาพยักหน้าให้


“ฉันยิ้มบ๊องๆ แบบนี้ที่ไหนกัน” เธออุ้มมนุษย์น้อยๆ ในมือไม่ยอมวาง “นี่นายทำเองเหรอ” ไม่รอให้เขาตอบ อี้เป่ยซีก็พูดต่อ “จะเป็นไปได้ยังไง แต่ว่าฉันชอบมากเลยนะ ขอบคุณ”


“เสี่ยวซี”


ลั่วจื่อหานมองไปตามเสียงและเห็นคนที่เดินเข้ามา ตาหรี่ลงเล็กน้อย


………………………….


43 งานวันเกิด (3)


อี้เป่ยซียังคงจมอยู่กับความยินดีจากการได้รับหุ่นโมเดลมา อี้เป่ยเฉินเห็นท่าทางที่จริงจังของเธอก็อดไม่ไหวลูบหัวที่ก้มลงของเธอ ฝ่ามือรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แท้จริง ความรู้สึกทั้งหมดที่ได้รับจากการสัมผัสทำให้เขาสบายใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


“ประธานลั่ว” ลั่วจื่อหานพยักหน้าทักทาย ตอนนี้ละสายตาออกจากเด็กสาวแล้ว และกลับคืนมามีท่าทางปกติที่เย็นชาและดูไร้เหตุผล


“พี่เป่ยเฉิน พวกพี่คุยกันเถอะ ฉันจะไปเก็บของก่อน” อี้เป่ยซีเก็บของอย่างจริงจังมาก หลังจากได้ยินคำอนุญาตแล้วก็กลับขึ้นไปชั้นบนด้วยความเบิกบานใจ


อี้เป่ยเฉินรินไวน์แก้วหนึ่งให้ลั่วจื่อหาน “ขอบคุณที่นายช่วยเหลือเสี่ยวซี”


ลั่วจื่อหานรับไวน์มา พลางมองดูของเหลวในแก้วทรงสูงหมุนแกว่งภายใต้แสงไฟจนเป็นสีสันที่ต่างออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากดื่ม จึงเม้มปากเล็กน้อย “เปล่าหรอก ก็แค่บังเอิญช่วยไว้เท่านั้น” ผ่านไปสักพักเขาก็เอ่ยช้าๆ “แต่ว่าโอกาสบังเอิญมีมากไปหน่อย”


“เป็นเพราะปกติฉันละเลยเอง”


“ก็โทษนายไม่ได้หรอก แค่อี้เป่ยซีไม่อยากพูดมากเท่านั้นเอง” ดวงตาลั่วจื่อหานเป็นประกาย ฉะนั้นเธอเลยไม่บอกนายว่าเกิดอะไรขึ้นที่ประเทศ U กันแน่ เธอจะไม่บอกนายว่าทำไมต้องละทิ้งสิ่งที่ตัวเองชอบมากที่สุด จะไม่บอกนายว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้เธออึดอัดมากแค่ไหน เธอจะไม่บอกนายว่าทั้งๆ ที่วันนี้สำคัญกับเธอมาก แต่กลับพังลงเพราะความเห็นแก่ตัวของนาย


เธอจะไม่บอกเรื่องทุกข์ใจของตัวเองให้นายฟัง เธอใช้นิสัยเด็กๆ ปิดบังความทุกข์ของตัวเอง เธอไม่อยากบอกอะไรนายทั้งนั้น


ลั่วจื่อหานส่ายหัว ทำไมตัวเองต้องคิดเยอะแบบนี้ เรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขามากเท่าไร เขาดื่มไวน์ในแก้วรวดเดียวหมดอย่างหงุดหงิดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไรกันแน่ เรื่องราวหลายอย่างรวมอยู่ด้วยกันเยอะเกินไปจนไม่สามารถแยกแยะได้


หลังจากอี้เป่ยซีเก็บของขวัญของตัวเองเรียบร้อย ก็รู้สึกว่าตัวเองเข้ากับบรรยากาศในล็อบบี้ไม่ได้ จึงหนีมาที่ที่มีแสงไฟเข้าถึง เธอได้เสียงที่คุ้นเคยพูดคุยกันในสวนดอกไม้ด้านหลัง จึงอดเงี่ยหูฟังไม่ได้


“นายเข้าใจผิดแล้ว ขอโทษทีฉันไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว” หลานฉือเซวียนกล่าว


“เพราะนายก็รู้สึกได้ เลยกลัวเป็นพิเศษว่าคนรอบข้างจะดูออกใช่ไหม? ทำไมไม่กล้ายอมรับ ทำไมไม่กล้ารับล่ะ นายจะยอมทิ้งสิ่งที่ตัวเองปรารถนามากที่สุดแค่เพราะสถานการณ์นี้เหรอ?”


‘ยอมทิ้งอะไร ของอะไรเหรอ’ อี้เป่ยซีฟังใจจดใจจ่อ ขดตัวฟังต่ออยู่ที่มุมกำแพง


“ฉันก็บอกไปแล้ว ฉันไม่เข้าใจว่านายกำลังพูดอะไร” จากนั้นเสียงฝีเท้าของหลานฉือเซวียนก็ดังขึ้น ไม่กี่ก้าวก็หยุดลง เซี่ยเช่อน่าจะหยุดเขาไว้


เซี่ยเช่อหัวเราะเบาๆ “ทำไม เพราะกลัวว่าฉันจะพูดจี้ใจดำก็เลยคิดหนีออกไปจากที่นี่เหรอ กลัวที่จะเห็นความคิดตัวเองตรงๆ ขนาดนี้เลยเหรอไง?”


“ฉันไม่มีความคิดอะไร” หลานฉือเซวียนยิ้มเยาะ “นายถอยไป ไม่อย่างนั้น…”


“ทำไม ไม่อย่างนั้นนายจะตะโกนเหรอ? ให้ทุกคนรู้ว่านายหลานซือเซวียนเป็น…”


“หุบปาก”


อี้เป่ยซีไม่เคยได้ยินน้ำเสียงหลานฉือเซวียนที่โมโหขนาดนี้มาก่อน ก็แค่คำไม่กี่คำเอง เพราะอะไรต้องโมโหขนาดนั้น ความคิดที่แท้จริงของเขาคืออะไรกันแน่นะ?


‘น่าจะเป็นเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้’ อี้เป่ยซีพยักหน้าในใจ งั้นเธอก็ไปเถอะ พฤติกรรมแอบฟังแบบนี้ไม่ดีเลยจริงๆ แต่ว่าคิดดูอีกที เรื่องที่เซี่ยเช่อรู้หมดแต่เธอไม่รู้ มันก็ไม่ค่อยยุติธรรมน่ะสิ


พวกเขาสองคนสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? หรือว่าหลานฉือเซวียนเชื่อใจคนอย่างเซี่ยเช่อได้ง่ายกว่า ช่างเถอะ ฟังต่อแล้วกัน


“เสี่ยวเซวียนเซวียน นายดูท่าทางนายตอนนี้สิ เหมือนกับเด็กสาวที่ถูกคนจี้ใจดำจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย ว่ายังไง ลองกับคนอื่นไม่ได้ ทำไมไม่ลองกับฉันล่ะ?”


“เป่ยซี” เสียงที่สดใสดังขัดจังหวะทั้งสามคน อี้เป่ยซีเดินออกมาอย่างกระอักกระอ่วน ท่ามกลางความมืด อาการบนใบหน้าของหลานฉือเซวียนเห็นได้ไม่ชัดเจน


อี้เป่ยซีบ่นในใจว่าทำไมเธอถึงโผล่มาเวลานี้ ในตอนที่ฉันกำลังจะเข้าถึงความจริงอยู่แล้วเชียว “ฉันเพิ่งมาถึงตรงนี้ ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย”


เซี่ยเช่อหัวเราะชั่วร้าย “ฉันกลับอยากให้เธอได้ยินอะไรซะอีก?”


“จริงเหรอ?” พอรู้สึกได้ถึงสายตาดุร้ายของทั้งสองคน อี้เป่ยซีรีบหันเดินไปหาถังเสวี่ย “ถังเสวี่ย มีอะไรเหรอ?”


ถังเสวี่ยไม่ใส่ใจบรรยากาศลึกลับระหว่างทั้งสามคน พูดว่า “ใกล้จะตัดเค้กแล้วนะ รอเธอกลับไปอยู่”


“อืมๆๆ ไปกินเค้กกันได้แล้ว พวกนายมาด้วยกันเถอะ”พูดจบก็ยังหัวเราะแห้งๆ สองที เซี่ยเช่อเดินไปหาอี้เป่ยซีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจัดแจงเสื้อผ้าของเธอ


“เสื้อเย็นหมดแล้ว อย่าอยู่ข้างนอกนานๆ เลย เดี๋ยวฉันกับรุ่นพี่หลานของเธอจะตามไป” รอยยิ้มบนใบหน้าเขาชั่วร้าย ตลกน่ะ ไม่ง่ายเลยกว่าวันนี้เขาจะได้คุยเปิดอกกับหลานฉือเซวียน จะปล่อยให้เด็กสาวคนนี้ทำเรื่องของตัวเองพังได้อย่างไร


อี้เป่ยซีฟังคำเตือนของเขาออก จึงพยักหน้า “งั้นพวกเรากลับไปก่อนนะ พวกนายค่อยๆ คุยกัน ค่อยๆ กัน” จากนั้นดึงตัวถังเสวี่ยจากไปอย่างรวดเร็ว


“เป่ยซี คนนั้นสนิทกับรุ่นพี่หลานมากเหรอ? เขาเพิ่งกลับประเทศมาไม่นานไม่ใช่เหรอ?”


‘ฉันเองก็อยากรู้ว่าเขาเป็นอะไรกับรุ่นพี่หลานของเธอเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็รู้สึกได้ว่าไม่ชัดเจน ซับซ้อน และคลุมเครือมาก’


“ไม่รู้สิ บางทีหลานฉือเซวียนอาจจะอยากยกระดับสุนทรียภาพของเขาก็ได้” อี้เป่ยซีพูดเดาไปเรื่อย แต่ถังเสวี่ยกลับไม่เห็นด้วยเลยสักนิด


เธอขมวดคิ้ว “จะเป็นไปได้ยังไง” สำรวจอี้เป่ยซีรอบหนึ่ง “จะว่าไปเธอน่าจะเป็นคนไปยกระดับมากกว่านะ”


“แบบฉันเรียกว่าชิลๆ โอเคไหม ใครจะไปชอบเล่นอะไรวุ่นวายขนาดนั้น”


“เป่ยซี เธอนี่เหมือนลูกแมวพองขนเลย” ถังเสวี่ยแซว แต่อี้เป่ยซีกลับอึ้งอยู่ตรงนั้น


‘เป่ยซี ท่าทางตอนที่เธอโกรธเหมือนลูกแมวขี้โมโหยังไงยังงั้นเลย’


‘เชอะ นายต่างหากเป็นลูกแมว ทั้งบ้านมีนายคนเดียวแหละที่เหมือนแมว’


‘เพราะงั้นลูกแมวอี้ก็เลยชอบแมวตัวใหญ่แบบฉันมากที่สุดสินะ’


ภาพในความทรงจำปรากฏขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว จะกดยัดไปในกล่องเก็บอดีตอย่างไรก็ไม่ลง


‘ทำไมถึงคิดถึงนายได้ แต่ว่าก็เป็นแค่คำพูดเดิมๆ เป็นคำพูดธรรมดาที่ไม่มีความรู้สึกอะไร คงเป็นเพราะช่วงนี้เกิดเรื่องมากเกินไปจึงซ่อมกุญแจล็อกที่เสียของตัวเองไม่ทันล่ะมั้ง’ เธอถอนหายใจ


“อืม ฉันไปหาพี่เป่ยเฉินก่อนนะ”


อี้เป่ยเฉินกำลังจูงมือของเธอ เขารู้สึกได้ว่าจิตใจของเธอเลื่อนลอย “เป่ยซีเหนื่อยเหรอ?”


“อือ เดี๋ยวพี่เป่ยเฉินกลับไปคนเดียวเถอะ ฉันจะนอนอยู่ที่นี่แหละ”


“ได้ เธออยู่นี่พักผ่อนให้เต็มที่”


เขากุมมือเธอตัดเค้กพอเป็นพิธี ที่เหลือก็ยกให้เป็นหน้าที่ของพนักงานบริการที่อยู่ข้างๆ อี้เป่ยซีอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับขึ้นข้างบน


วันนี้ออกจะเหนื่อยจริงๆ แฮะ…


นายบอกว่าจะทำให้ฉันลืมนายไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ต่างหากคือสิ่งที่นายอยากทำจริงๆ เพราะนายอยากลงโทษฉัน ลู่เยี่ยหวา ลู่เยี่ยหวา ทำไมนายต้องขัดขวางกันด้วย นายก็รู้ความจริงแล้วไม่ใช่เหรอ


แต่ละย่างก้าวที่ขึ้นชั้นบนหนักหน่วงมากเกินจะเปรียบ


“ฉันจะถือว่าอาการหนักใจของเธอเป็นเพราะกำลังคิดถึงคนพิเศษบางคนในวันพิเศษแบบนี้ได้หรือเปล่า?”


อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นเห็นคนใส่สูทสีแดงเหมือนไวน์ ม่านตาหดลงทันที…


…………………………….


44 งานวันเกิด (4)


“เป็นอะไรไป เห็นฉันแล้วดีใจมากเหรอ” เขาหรี่ตาลง สายตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “หรือว่า รู้สึกผิด รู้สึกหวาดกลัว”


อี้เป่ยซีก้มหน้า “ยะ…เยี่ยอิ่ง นายมาประเทศ C ตั้งแต่เมื่อไหร่”


“ดูท่าพี่สะใภ้สุดที่รักของฉันคงไม่ต้อนรับฉันซะแล้ว” ลู่เยี่ยอิ่งยักไหล่ ยิ้มเหมือนจนใจ “ฉันยังนึกว่าพี่สะใภ้จะรักพี่อย่างสุดซึ้ง นึกว่ารักเขาแล้วจะรักฉันด้วยซะอีก ตอนนี้ฉันละปวดใจจริงๆ”


เธอยิ่งก้มหน้าต่ำกว่าเดิม สองมือซ้อนกันตรงหน้าอย่างทำตัวไม่ถูก กัดริมฝีปากแน่นไม่ได้พูดอะไร


“นั่นสิ ยังไงฉันก็นึกไม่ถึง พี่สะใภ้ตอนนี้น่ะอยู่กับอี้เป่ยเฉินทุกวัน วันๆ มีความรักสดใส จะมาคิดถึงคนเก่าที่ประเทศ U ได้ยังไงกัน เฮ้อ ใช่แล้ว ที่ประเทศ C มีคำพูดที่เรียกว่าคบชู้สู่ชายใช่ไหม พี่สะใภ้รู้สึกหรือเปล่าว่าสี่คำนี้เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้มากเลย” พูดจบลู่เยี่ยอิ่งก็รู้สึกว่าคนตรงหน้าตัวสั่นเล็กน้อย ไม่รู้เป็นเพราะโมโหหรือว่ากำลังกล่าวโทษตัวเอง


เขากระแอมไอ “พี่สะใภ้ ไม่เป็นไรหรอก พี่ใหญ่งี่เง่าของฉันคนนั้นน่ะไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลยไม่ใช่เหรอ ใช่แล้ว ถ้าเขาเก็บมาใส่ใจจริงๆ ตอนนั้นจะผลักไสไล่ส่งเธอออกไปได้ยังไง เธอว่าจริงไหม พี่สะใภ้” สองคำสุดท้ายออกเสียงเน้นหนักมาก แฝงด้วยความเหี้ยมโหดที่โจมตีศัตรูถึงตาย เป็นไปตามคาด เขาเห็นเรือนร่างผอมบางนั้นไหวเอนครู่หนึ่ง ยื่นมือไปจับราวจับด้านข้างไว้แน่น ข้อนิ้วมือเปลี่ยนเป็นสีขาว


“แค่นี้ก็รับไม่ได้ เธอจะให้ฉันทำยังไง”


ผ่านไปเนิ่นนาน อี้เป่ยซีสูดหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาน้อยๆ น้ำเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณที่นายมาร่วมงานวันเกิดฉัน”


“เฮอะ” เขามองเธออย่างดูถูก “ฉันเหรอ เปล่าๆๆ ฉันมาเพื่อพี่ใหญ่ต่างหาก ถึงยังไงเขาก็รอวันนี้มาตั้งนานแล้ว น่าเสียดายนะ ถึงเวลาแล้วแต่คนกลับไม่เหมือนเดิม เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะให้เหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ”


“ขอโทษที ฉันไม่สบายนิดหน่อย ขอตัวก่อน” เธอก้าวเท้าเดินอ้อมเขาไปทันที


ลู่เยี่ยอิ่งฟังเสียงฝีเท้าที่จากไปสองสามก้าวก็เอ่ยปากอีกครั้ง “เธอรู้ไหมว่าเดิมทีวันนี้ลู่เยี่ยหวาอยากทำอะไร?”


อี้เป่ยซียังคงก้าวเดินไปข้างหน้า ถึงแม้ฝีเท้าหนักขึ้น


“เดิมทีวันนี้ควรจะมีพิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ U เขาเตรียมการไว้ตั้งแต่สองปีก่อนเพื่อให้เธอประหลาดใจ” ลู่เยี่ยอิ่งขบกรามพูดจนจบ ไม่สามารถควบคุมความโกรธที่แล่นเข้าสู่หน้าอกตัวเองได้


นั่นคือพี่ชายของเขา คนที่ควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องบน คนที่มีอำนาจเหนือทุกอย่างดุจเทพเจ้า ทำไมถึงต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างต่ำต้อยข้างผู้หญิงธรรมดาที่ไร้หัวใจคนนี้ด้วย อี้เป่ยซี จิตใจเธอทำด้วยอะไร เขาเย็นชาถึงขนาดนี้ เธอจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับสักนิดเชียวเหรอ?


ตอนนี้พี่เห็นแล้วสิ ลู่เยี่ยหวา สิ่งที่พี่ทำทั้งหมดมันไม่มีความหมายอะไรกับผู้หญิงไร้หัวใจคนนี้เลย หญ้าที่หน้าสุสานพี่ถูกปล่อยทิ้งจนรกชัฏ แต่เธอกลับอยู่ที่นี่ หัวเราะร่าอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของผู้ชายคนไหนสักคน ไม่คุ้มค่าจริงๆ เลย ฉันรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนพี่จริงๆ


“อี้เป่ยซี เธอนี่มันสุดยอดจริงๆ ทำให้คนที่หยิ่งยโสแบบนั้นจมอยู่ในกองดิน เหยียบย่ำเขาไปอยู่ในหลุมศพด้วยมือของเธอเอง”


ลู่เยี่ยอิ่งเตะบันไดอย่างแรงแล้วจากไปรวดเร็วดังสายลม อี้เป่ยซีหยุดเดิน กำมือแน่น ถ้ามองอย่างละเอียดจะเห็นว่าไหล่กำลังสั่นเล็กน้อย น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย


‘ลู่เยี่ยหวา ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่ตั้งใจทำให้นายเข้าใจผิด ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าใกล้นาย ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่กับนาย ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจเลย


ถ้านายที่มองทุกอย่างออกในตอนนั้นผลักฉันออกไปก็คงดี ผลักออกไปให้แรง ไม่ต้องสงสารฉัน ไม่ต้องปล่อยให้เพ้อฝันและให้ความหวังฉัน นายควรจะจากไปโดยไม่ต้องสนใจ จากไปเลย


อี้เป่ยซีไม่คู่ควรกับนายตั้งแต่แรก ไม่คู่ควรกับการทุ่มเทของนายตั้งแต่แรกเลย


ลู่เยี่ยหวา ขอโทษ ฉันขอโทษนายจริงๆ ขอโทษ…’


45 บทที่ 45 งานวันเกิด (5)


ฉินเยว่เข่อสังเกตเห็นว่าลั่วจื่อหานมา เธอมองหาทั่วทุกที่กลับไม่เห็นเงาของหลิงจื่อเซี่ยเลย


หึ อี้เป่ยซี ดูแล้วเธอยังคงคิดไม่ซื่อกับลั่วจื่อหานจริงๆ ถึงได้เชิญแค่เขาแต่ไม่ได้เชิญจื่อเซี่ยให้มาด้วยกัน


เธอส่ายหัวพิมพ์ข้อความและส่งออกไป เผยรอยยิ้มชั่วร้าย ‘ฉันไม่มีอำนาจต่อสู้กับเธอแล้วยังไงเหรอ ยังไงซะก็มีคนที่จัดการกับเธอจนไม่เหลือแม้แต่โอกาสให้ตอบโต้ได้อยู่แล้ว อี้เป่ยซี คราวนี้เธอคอยดูให้ดีเถอะ’


“เยว่เข่อ”


“ถังเสวี่ย” ฉินเยว่เข่อยิ้มบางๆ ให้ถังเสวี่ย เธออารมณ์ดีมาก


“เมื่อกี้ฉันเหมือนเห็นพี่สาวเธอข้างนอกน่ะ”


เขาอยู่ที่เมือง B ไม่ใช่เหรอ…ฉินเยว่เข่อเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่พี่สาวฉันจริงๆ เหรอ?”


ถังเสวี่ยแอบหัวเราะ “ไม่ผิดแน่นอน พี่สาวเธอโดดเด่นขนาดนั้น มองแวบเดียวก็จำได้แล้ว”


“งั้นฉันออกไปดูหน่อย” ฉินเยว่เข่อยังข้องใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าพี่สาวเอาเงินก้อนมาจากไหนเพื่อช่วยแม่ ตอนนี้ควรจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ไม่ใช่เหรอ หรือว่าได้เวลาติดตามความก้าวหน้าเรื่องการเรียนของเธอแล้ว ทำไมถึงมาเมือง A ตอนนี้ได้ อีกอย่าง ฝ่ายนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่ล่ะ


เธอเดินออกไปอย่างรวดเร็วก็เห็นฉินรั่วเข่อที่แต่งหน้าบางๆ เธอสวมชุดเดรสสีฟ้า พลิ้วไหวน้อยๆ ท่ามกลางสายลม เต็มไปด้วยอารมณ์ที่สดชื่นและละเอียดอ่อน เธอแย้มยิ้มให้กับคนตรงหน้า


ฉินรั่วเข่อน้องสาวตัวเองปรากฏตัวก็ประหลาดใจเล็กน้อย เธอมาที่เมือง A เมื่อสองวันก่อนเพื่อจัดการเรื่องย้ายมหาวิทยาลัยให้เรียบร้อย ยังไม่มีเวลาไปหาน้องสาว คืนนี้หลังจากจัดของเรียบร้อยก็ออกมาผ่อนคลายสักหน่อย ได้ยินคนในมหาวิทยาลัยพูดว่าอี้เป่ยเฉินจัดงานวันเกิดให้น้องสาวของเขาที่โรงแรมแห่งนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ยังอดใจไม่ไหวเดินมาถึงตรงนี้ อาจเพราะรู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วได้ใกล้ชิดเขาอีกครั้งล่ะมั้ง


เพียงแต่ทำไมน้องสาวของตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เธอรู้ว่าปกติฉินเยว่เข่อเป็นพวกชอบความหรูหรา ชอบซื้อของแบรนด์เนมต่างๆ แต่ว่าไม่เคยขอเงินจากเธอเลย เธอก็เคยมีความคิดไม่ดีมาก่อน แต่สุดท้ายก็ละทิ้งไปด้วยคำพูดของน้องสาวแล้ว เป็นเพราะว่าอี้เป่ยซีก็เป็นเพื่อนของเธองั้นเหรอ เธอถึงได้มาที่นี่


“พี่ พี่มาได้ยังไงน่ะ” ฉินเยว่เข่อควงแขนเธออย่างสนิทสนม “พี่สาวฉันสวยขึ้นเยอะเลยนะ”


“เธอก็ปากหวานไป นี่มางานนี้ด้วยเหรอ?”


ฉินเยว่เข่อกลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอะไร เธอกล่าวอย่างไม่ชอบใจ “ใช่สิ งานอวดรวยประเภทนี้ ฉันไม่มีทางเลือก ที่มาก็แค่มาเข้าสังคมตามปกติเท่านั้น”


“เป็นไปได้ยังไง อี้เป่ยเฉินไม่เหมือนพวกที่ชอบอวดร่ำอวดรวยเลยนะ” เธอพูดพลางก้มหัวลง เสียงยิ่งเบาลงเรื่อยๆ มันหายไปในอากาศจนฟังไม่ได้ศัพท์


ฉินเยว่เข่อสังเกตอาการของพี่สาวเธอ หัวเราะประชดประชันเล็กน้อย “เขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เจ้าของงานอาจจะไม่ใช่คนแบบนั้นนี่ก็ได้นี่นา พี่ ฉันจะบอกพี่ให้ อี้เป่ยซีคนนี้น่ะ ที่จริงก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก”


“พี่เคยเห็นเขาในทีวี รู้สึกว่าบุคลิกเขาสง่างามเรียบร้อย ไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะ”


“พี่ พี่ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เขาอยู่ในทีวีก็ต้องจงใจแสดงออกแบบนั้นอยู่แล้ว ใครจะเอาด้านที่น่าเกลียดที่สุดของตัวเองออกมาให้คนอื่นเห็นล่ะ ฉันอยู่หอพักเดียวกับเขา เขาเป็นคนยังไงมีเหรอที่ฉันจะไม่รู้”


ฉินรั่วเข่อครุ่นคิดก็รู้สึกว่าน้องพูดมีเหตุผลอยู่ เธอคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทว่าก็พูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าเออออไป เมื่อฉินเยว่เข่อเห็นความแน่ใจของพี่สาวตัวเองก็ยิ่งใส่ไฟมากกว่าเดิม


“พี่ ฉันจะบอกพี่ให้ อี้เป่ยซีคนนั้น พี่อย่าไปมองว่าเขาดูว่านอนสอนง่ายนะ ที่จริงมีแผนการเต็มไปหมด เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมจับพวกคนมีเงิน ส่วนคนอื่นเขาไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ แต่ตอนที่เขาคบอยู่ด้วยกันกับหลานฉือเซวียนก็ยังมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับผู้ชายคนอื่นอีก ยังไม่หยุดแค่นี้นะ ได้ยินว่าเขาถูกหลายคนใช้งานมาแล้ว เข้ากับคำโบราณที่ว่าข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงจริงๆ”


“อี้เป่ยซีไม่แย่ขนาดนั้นมั้ง” ฉินรั่วเข่อกล่าวอย่างลังเล มองยังไงฝ่ายนั้นก็เป็นเด็กสาวที่ใสบริสุทธิ์น่าเอ็นดูคนหนึ่ง จะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เธอจะทำไปเพื่ออะไรล่ะ


ฉินเยว่เข่อเห็นว่าพี่สาวลังเล จึงยิ่งเพิ่มระดับให้คำพูดตัวเอง “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่ออดอ้อนจนเป็นนิสัย อีกอย่างฉันยังได้ยินมาว่าเขากับพี่ชายหรืออี้เป่ยเฉินก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนด้วยนะ”


“อี้เป่ยเฉิน?” ฉินรั่วเข่อนึกถึงคืนนั้นทันที ผู้ชายคนนั้นดูแลเธออย่างระมัดระวังราวกับเป็นของมีค่า ปากก็พึมพำชื่อเสี่ยวซี เสี่ยวซี ดังนั้นเสี่ยวซีก็คืออี้เป่ยซีเองเหรอ ที่แท้เขารักคนที่เขาไม่ควรรักมาตลอด เธอยิ้มขมขื่น ไม่น่าล่ะ ไม่น่าล่ะเขาถึงได้โศกเศร้าถึงขนาดนี้ แล้วอี้เป่ยซีล่ะ เธอจะชอบเขาหรือเปล่า? ถ้าหากชอบเขาทำไมถึงสนิทกับผู้ชายคนอื่นอีก


อี้เป่ยซีก็น่าจะชอบเขาเหมือนกันล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นอี้เป่ยเฉินก็เหนื่อยเกินไปแล้ว แต่ว่าพวกเขาสองคนจะชอบพอกันได้ยังไง พวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง


“ใช่แล้ว อี้เป่ยเฉิน ฉันว่าจะต้องเป็นอี้เป่ยซีคนนั้นแน่ๆ ขนาดพี่ชายตัวเองยังไม่ปล่อย เรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ยังทำไปได้”


“บางทีเธออาจเข้าใจอะไรผิดไป” ฉินรั่วเข่อพูด หลบสายตาเล็กน้อย


จู่ๆ ฉินเยว่เข่อก็พูดเสียงสูงอย่างโมโหมาก “เข้าใจผิดอะไร พี่ไม่รู้หรอกว่าเขามีลูกไม้เยอะแค่ไหน เขาก็เหมือนกับ…เหมือนกับร่องน้ำลึก มีผู้ชายเยอะอีกแค่ไหนก็เติมเต็มไม่ได้หรอก” พูดจบแล้วหน้าอกก็กระเพื่อมเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เมื่อสงบลงแล้วเธอจึงนึกถึงปัญหาของตัวเองได้


“พี่ พี่มาได้ยังไง พี่ยังไม่ได้ตอบฉันเลย”


ฉินรั่วเข่อดึงมือของน้องสาวตัวเองขึ้นมา “พี่ไปสมัครเรียนกับอาจารย์ เทอมนี้จะมาแลกเปลี่ยนที่มหา’ลัยพวกเธอ”


“ว้าว จริงเหรอ ดีจังเลย แต่ว่าแม่ล่ะจะทำยังไง?”


“ตอนนี้แม่ดีขึ้นเยอะแล้ว เขาก็อยากให้พี่ได้อยู่กับเธอ”


ฉินเยว่เข่อดีใจจนกระโดดโลดเต้น “แต่ว่าพี่ต้องจำไว้นะ จะต้องระวังอี้เป่ยซีเอาไว้”


“เอาเถอะ พี่ก็ไม่ใช่ผู้ชายซะหน่อย เขาจะมาหาพี่ทำไม อีกอย่างพี่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่แบบนั้นได้ยังไง”


ฉินเยว่เข่อหัวเราะหึๆ “ไปเถอะพี่ ฉันจะพาพี่เข้าไปแป๊บนึง คืนนี้ยังอีกนานกว่าจะเลิก พอเลิกแล้วพวกเราก็กลับมหา’ลัยด้วยกัน”


“ไม่ๆๆ ไม่ต้องแล้ว พี่แต่งตัวแบบนี้ไม่เหมาะมั้ง เดี๋ยวพี่ไปรอเธอข้างนอกที่ไหนสักที่ก็ได้”


“ไปน่าๆ พี่สาวฉันสวยขนาดนี้ ไม่เหมาะอะไรกัน ไปเถอะ”


ภายใต้การดึงดันของฉินเยว่เข่อ ประกอบกับความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวเล็กน้อยของตัวเอง ฉินรั่วเข่อก็ตามน้องสาวไปที่ห้องโถงของโรงแรม การตกแต่งสไตล์ยุโรปทั่วทุกที่เผยให้เห็นความหรูหราฟุ่มเฟือย ก็เหมือนกับคนคนนั้นที่เธอจดจำได้อยู่เสมอ


ฉินรั่วเข่อยืนอยู่ข้างน้องสาวตัวเองด้วยความเขินอายเล็กน้อย ไม่นานก็มีคนเข้ามาหาพวกเธอ ฉินรั่วเข่อก้มหน้าด้วยความอึดอัดมาก สายตาของเธอถูกบดบังด้วยผมหน้าม้า


“เยว่เข่อ คนนี้คือ?”


“พี่สาวฉัน ต่อไปก็จะเป็นเพื่อนนักศึกษาของพวกเราแล้ว ปีนี้เธอจะมาแลกเปลี่ยนที่มหา’ลัยพวกเรา”


คนคนนั้นถือแก้วไวน์ ยิ้มให้ “ตอนแรกนึกว่าเธอสวยแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่สาวเธอจะโดดเด่นแบบนี้”


“แน่นอนอยู่แล้ว พี่สาวฉันเป็นคนสวยที่สุดเสมอ” น้ำเสียงเธอเหมือนเด็กน้อยที่พูดจาโอ้อวด ฉินรั่วเข่อรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าว


“ไม่ค่อยเห็นเธอชมใครแบบนี้เลยนะ” คนคนนั้นยิ้ม “ไม่รบกวนพวกเธอพี่น้องคุยกันแล้ว รุ่นพี่ ไว้เจอกันนะครับ”


ฉินรั่วเข่อพยักหน้าให้ รอจนกระทั่งคนนั้นไปแล้วรีบดึงฉินเยว่เข่อไว้ “เยว่เข่อ เธออย่าพูดถึงพี่แบบนี้อีกนะ”


“ฮ่า พี่นี่หน้าแดงง่ายจังเลย แต่เวลาที่พี่หน้าแดงสวยจริงๆ นะ”


“พูดจาลื่นไหลไปเรื่อย ยังไม่รู้เลยว่าเธอเรียนอะไรกันแน่”


ดวงตาของเธอกวาดไปมาไม่กี่ครั้ง ในที่สุดก็หยุดที่อี้เป่ยเฉินที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน เขายังคงดูสง่างามเช่นทุกครั้ง รอยยิ้มที่พอเหมาะพอดีนั้นอ่อนโยนและผ่าเผย ทุกอิริยาบถเยือกเย็นสุขุมมาก เธอได้แต่มองเขาเงียบๆ อยู่อย่างนี้


‘อี้เป่ยเฉิน คุณรู้หรือเปล่าว่ามีคนไร้ตัวตนเหมือนฝุ่นละอองคนนี้ถือวิสาสะอยู่ข้างกายคุณ และเฝ้ามองคุณอย่างระมัดระวังอยู่อย่างนี้’ ในชั่วเวลานั้น ราวกับว่าโลกทั้งใบตกอยู่ในสายตาของเธอ แม้ว่าทุกกระทำของเขาจะไม่ได้เป็นเพราะฝุ่นละอองเม็ดนี้ แต่เธอก็พึงพอใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว…


……………………………


บทที่ 46 เพื่อนเก่ากลับมา (1)


“เป่ยซี ต่อไปขโมยลูกอมกินอีกไม่ได้นะ” ลั่วจื่อหานเขกศีรษะของเธอเบาๆ


อี้เป่ยซีกะพริบตาถี่ ท่าทางงุนงงมาก “ทำไม…อือ…” ไม่รอให้เธอพูดจบ ลั่วจื่อหานจับศีรษะของเธอไว้ทันที สบตาเธอพลางจุมพิตริมฝีปากแดงๆ แทรกผ่านสิ่งกีดขวางไปพันรอบปลายลิ้นน้อยๆ ของเธอ ผ่านไปเนิ่นนานจึงผละจากเธออย่างอ้อยอิ่ง


“หวานเกินไปก็ไม่ดี”


บ้าเอ๊ย อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่งจากเตียงอย่างรวดเร็ว ลูบริมฝีปากตัวเองตามจิตใต้สำนึก ทำไมถึงฝันแบบนี้ได้ ตัวละครเอกก็ยังเป็นเขาอีก พระเจ้า พระเจ้า ต้องเป็นเพราะช่วงนี้ตัวเองนอนดึกมากไปแน่ๆ คนหนุ่มสาวจะนอนดึกไม่ได้ เธอคิดพลางพัดวีใบหน้าของตัวเอง


ฤดูใบไม้ผลิของเมือง B อบอุ่นกว่าที่อื่น เธอยังคงครุ่นคิดอยู่


เชอะ กำลังคิดอะไรบ้าบอกันแน่เนี่ย เป็นฤดูใบไม้ผลิหรือไม่ใช่อะไรกัน


คงเป็นเพราะช่วงนี้ลั่วจื่อหานมักเสนอหน้ามาให้เธอเห็นบ่อยๆ ต้องใช่แน่ๆ มันก็แค่ความฝันเอง จะมีอะไรนักหนาเชียว


คนประเภทอย่างเขาจะขี้เล่นแบบนี้ได้ยังไง?


นั่นสิ คนอย่างลั่วจื่อหานเห็นแวบแรกก็เย็นชาเฉยเมย ไร้ความน่าสนใจมาก จะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง


อา…อี้เป่ยซี คิดเหลวไหลอีกแล้ว เธอล้มลงบนเตียงอย่างผิดหวัง ต่อไปเจอหน้าเขาก็หลบๆ ไปก็แล้วกัน


“เสี่ยวซี เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินเคาะประตูอยู่ด้านนอก “ไหนบอกว่าวันนี้มีกิจกรรมอาสาสมัครไม่ใช่เหรอ ยังจะนอนอยู่อีก?”


“ฉันจะตื่นเดี๋ยวนี้แหละ” อี้เป่ยซีกอดหมอนตัวเองพลางพลิกตัว แล้วก็พลิกอีกรอบ สุดท้ายจึงลุกขึ้นนั่ง ธุระสำคัญต้องมาก่อน


ขณะที่กำลังกินข้าวเช้า อี้เป่ยซีใจลอยเล็กน้อย ในสมองมีแต่เรื่องวุ่นวายที่ผสมปนเปเข้าด้วยกันเหมือนกับกาวเหนียวๆ


“เสี่ยวซี เสี่ยวซี” หลังจากอี้เป่ยเฉินเรียกชื่อเธอหลายครั้ง อี้เป่ยซีจึงตอบอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อย “ช่วงนี้เธอชอบกินหวานเป็นพิเศษเหรอ?”


อี้เป่ยซีลุกขึ้นยืนเสียงดังปัง “เปล่านะ ฉันไม่ได้กินหวาน”


“เธอจะตื่นเต้นขนาดนี้ทำไม” อี้เป่ยเฉินหัวเราะเสียงเบา “เติมน้ำตาลในกาแฟเยอะเกินไปแล้วน่ะ”


เธอมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ผลักน้ำตาลออกไปไกล พอมองกาแฟแล้วรู้สึกขัดสายตา จึงผลักออกไปเช่นกัน “พี่เป่ยเฉิน” เธอทำท่าทางน้อยใจ “ต่อไปพวกเราอย่ากินน้ำตาลเลย ไม่สิ ต่อไปฉันไม่อยากเห็นมันแล้ว ฉันเกลียดของหวานที่สุด”


อี้เป่ยเฉินแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเออออตามไป “ได้ ต่อไปไม่กินแล้ว เอ้า แก้วนี้พี่ให้เธอก่อน ไม่ได้เติมอะไรเลย ดีหรือเปล่า”


อี้เป่ยซีรับมาอย่างดีใจ หลังดื่มไปอึกหนึ่งคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน ขม…เธอสูดหายใจแล้วดื่มกาแฟที่เหลือรวดเดียวหมด ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง อี้เป่ยเฉินเห็นท่าทางของเธอกับคิ้วที่ขมวดกันก็ถามว่า “ไม่ชินใช่ไหม?”


“ไม่ ฉันจะต้องชินแน่” สาวน้อยพูดพลางพยักหน้าหงึกหงัก


“โอเค”


หลังจากอี้เป่ยเฉินไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยก็จากไป อี้เป่ยซีมาถึงที่จึงค่อยเห็นว่าถังเสวี่ยยังยืนอยู่ที่นั่นด้วย


“เธอไม่ได้อยู่กับฟางหมิ่นเหรอ?”


ถังเสวี่ยพยักหน้า “ฉันกลับมาเอาของนิดหน่อย ก็เลยแวะมาดูเธอด้วยน่ะ”


“มีอะไรน่าดูล่ะ” อี้เป่ยซีรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย “ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร เธอไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก”


“งั้นก็รบกวนเธอแล้วนะ” ถังเสวี่ยเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างได้ “นี่คือลูกอมที่คุณอาให้ฉันไว้ อร่อยมากเลย ปกติเธอชอบกินของหวานไม่ใช่เหรอ อะ ฉันให้”


“ไม่เอา” อี้เป่ยซีถอยห่างไปทันทีหลายก้าว “ตอนนี้ฉันเซนซิทีฟกับของหวานมาก เธอช่วยเอาออกไป เอาออกไปที”


“แปลกคนจริง” ถังเสวี่ยถือลูกอมไปทักทายคนอื่นแล้ว


อี้เป่ยซีร้องไห้อยู่ในใจ ทำไมกลัวอะไรแล้วสิ่งนั้นก็ยิ่งมาปรากฏอยู่ตรงหน้ากัน วันนี้เธอลืมไหว้เจ้าที่ตอนออกจากบ้านหรือไง?


อี้เป่ยซีถอนหายใจยาว หยิบสายที่หัวหน้าทีมมอบให้มาคล้องไว้ด้วยความไม่ชอบใจเล็กน้อย ยืนอยู่ไม่ทันไรก็เริ่มหาวอย่างอดใจไม่ไหว ถ้ารู้ว่าน่าเบื่อแบบนี้เธอก็คงไม่รับปากถังเสวี่ยแล้ว ไม่รู้ว่าฟางหมิ่นเป็นยังไงบ้าง


เธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตอนตัวเองกำลังเล่นเกมส์ ถังเสวี่ยกระหน่ำโทรหาไม่หยุดจึงต้องรับสายอย่างจนใจ เธอที่รีบร้อนกลับไปร่วมการต่อสู้ของทีมรับปากคำขอถังเสวี่ยไปโดยไม่ได้คิดอะไร


ฟางหมิ่น…อี้เป่ยซีนึกถึงอีกคน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แม้ว่าทุกวันอีกฝ่ายจะปากคอเราะราย แต่ว่าแท้จริงแล้วเป็นคนมีจิตใจเอื้อเฟื้อทีเดียว นี่คงเป็นเหตุผลที่ถังเสวี่ยสนิทกับเธอล่ะมั้ง


“มาแล้วๆ” ระหว่างที่เอ่ย ทุกคนต่างยืนตัวตรงอยู่ที่สองฝั่งถนน อี้เป่ยซีบังคับให้ตัวเองมีชีวิตชีวาขึ้น รถคันสีแดงมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา รองเท้าหนังคู่หนึ่งที่ขัดจนแวววับก้าวแตะพื้น ผู้คนที่กำลังเสียงดังเงียบสงบลงทันที ผู้ชายสวมสูทสีแดงเหมือนไวน์ก้าวลงจากรถ หลังจากเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนแล้ว กลุ่มคนที่เงียบสงบก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน


อี้เป่ยซีตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น สีเลือดบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตา


เดิมทีลู่เยี่ยอิ่งนึกรำคาญเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นบางคนที่ยืนตัวแข็งทื่อโดยไม่ตั้งใจแล้วก็รู้สึกสนุกขึ้นมา ดูแล้ววันนี้คงเป็นวันที่น่าสนุกมากทีเดียว มุมปากของเขายกยิ้ม เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอี้เป่ยซีด้วยความระมัดระวังมาก


“มายก๊อด อี้เป่ยซีรู้จักเขาเหรอ?”


“ว้าว เขาหล่อจริงๆ เลย อยู่กับอี้เป่ยซีแล้วเหมาะสมกันมาก”


ผู้อำนวยการเห็นสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนคนนอก สีหน้าก็เงอะงะ เขากระแอมไอเบาๆ “ประธานลู่ ยินดีต้อนรับครับ ห้องประชุมอยู่ทางนี้”


ลู่เยี่ยอิ่งละสายตาตัวเองไป ตอบว่าอือเบาๆ แล้วก้าวเท้าเดินจากไป อี้เป่ยซีพ่นลมหายใจ ราวกับถูกดูดพลังงานไปจนหมด


‘ลู่เยี่ยอิ่ง ที่นายมาครั้งนี้เป็นเพราะฉันเหรอ?’


“ตายๆ แม่คุณทูนหัวของฉัน เธอมาอยู่ในทีมอาสาสมัครได้ยังไงเนี่ย” หลังจากรองผู้อำนวยการที่อยู่ข้างๆ เห็นลู่เยี่ยอิ่งจากไปแล้วก็รีบพูดกับอี้เป่ยซี ตอนนี้ใครบ้างจะไม่รู้ว่าเธออี้เป่ยซีคือน้องสาวของอี้เป่ยเฉิน การเปิดตัวครั้งใหญ่ก็เพียงพอแล้ว ยังมีคนลากเธอมาร่วมกิจกรรมพวกนี้อีก


“วันนี้ถังเสวี่ยมีธุระ ฉันมาช่วยแทนเขาน่ะค่ะ”


“ถังเสวี่ย?” รองผู้อำนวยการประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร เด็กน้อยเธอกลับไปเถอะ ตรงนี้แค่พวกเราก็พอแล้ว”


อี้เป่ยซีไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกได้ว่าใครคือแขกถึงพยักหน้า และกำลังจะจากไป


“อี้เป่ยซี”


“คะ” อี้เป่ยซีหันไปก็เห็นผู้อำนวยการที่มีสีหน้าขึงขัง


“ประธานลู่อยากหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเป็นล่ามให้เขาหน่อย”


อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก…ไม่ได้ เธอจะเข้าไปไม่ได้ “ผู้อำนวยการคะ ภาษาของฉันแย่เกินไป ตรงนี้ก็มีเพื่อนนักศึกษาที่เรียนเอกภาษาของประเทศ U ไม่ใช่เหรอคะ?” ไว้ใจได้เหรอ เขาจะไว้ใจเธอได้อย่างไร เขาอยากฆ่าเธอล่ะสิไม่ว่า


“เอ่อ…นักศึกษาอี้เป่ยซี ประธานลู่บอกว่าเธอคือเพื่อนสนิทของพี่ชายเขา”


“ฉันไปค่ะ ฉันไป” อี้เป่ยซีกัดริมฝีปากพลางตามผู้อำนวยการไปถึงห้องประชุม เธอยืนอยู่หน้าประตู มือที่เปิดประตูสั่นเทาเล็กน้อย ผู้อำนวยการชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง


“นักศึกษาอี้เป่ยซี เธอกลัวอะไรอยู่หรือเปล่า?”


อี้เป่ยซีพยักหน้า “ผู้อำนวยการคะ ฉันจะขอ…”


ผู้อำนวยการส่ายหน้าให้ พูดชี้แนะอย่างจริงใจ “นักศึกษาอี้เป่ยซี แม้ว่าฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับประธานลู่ที่อยู่ข้างใน แต่อาจารย์ก็เคยสอนเธอแล้วว่าการหนีไม่ใช่วิธีที่ถูก วันนี้เธอหลบได้ แล้วพรุ่งนี้ล่ะ? เธออยากจะสูญเสียความเป็นตัวเองระหว่างการไล่ตามและหลบหนีไปตลอดเหรอ?”


อี้เป่ยซีมองลูกบิดประตูโดยไม่ได้พูดอะไร


“คนที่จิตใจอ่อนไหวก็ต้องสัมผัสกับของที่ตัวเองแพ้ทาง ถึงจะแก้อาการแพ้ได้ไม่ใช่เหรอ?” เขาล้วงกระเป๋า “ตอนที่ลูกสาวฉันอารมณ์ไม่ดีเขาชอบกินลูกอม ฉันเลยพกติดตัวไว้เม็ดหนึ่ง เอาไปสิ”


อี้เป่ยซีหันหน้าไปด้วยความรังเกียจ จากนั้นผลักประตูทันที…


…………………


บทที่ 47

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 47 เพื่อนเก่ากลับมา (2)


ลู่เยี่ยอิ่งหมุนปากกาในมืออย่างเบื่อหน่าย หลังจากที่เห็นอี้เป่ยซีก็แย้มยิ้ม จากนั้นลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไป อีกฝ่ายก็ยื่นมือของตัวเองออกมาอย่างจนปัญญา


“ดีใจมากที่ได้เจอเธออีกครั้ง อี้เป่ยซี” ลู่เยี่ยอิ่งทักทายด้วยภาษาประเทศ U ที่คล่องแคล่ว จับมือกันครู่หนึ่งก็ปล่อยตามมารยาท อี้เป่ยซีฝืนยิ้มให้


“ดีใจที่ได้เจอคุณค่ะ ลู่เยี่ยอิ่ง” อี้เป่ยซีพูดด้วยภาษา C เธอยืนอยู่ด้านข้างโต๊ะประชุม แม้จะรู้ว่าคือความตั้งใจของคนที่นั่งอยู่ อี้เป่ยซีก็ยังแปลด้วยความตั้งใจมาก เสียงที่สดใสสลับไปมาระหว่างสองภาษา


เธอก้มหน้ามองท่าทางมีส่วนร่วมของลู่เยี่ยอิ่งเป็นครั้งคราว เหม่อลอยเล็กน้อย จากนั้นค่อยกลับคืนสู่อาการปกติ แล้วทำหน้าที่แปลของตัวเองต่อไป


ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็เซ็นสัญญากัน ธุระปะปังเสร็จสิ้นแล้ว อี้เป่ยซีจึงถอนหายใจโล่งอก ขณะที่เดินผ่านลู่เยี่ยอิ่งไป จู่ๆ เธอก็เห็นกระดาษบนโต๊ะเขียนตัวเลขจำนวนหนึ่งไว้ชัดเจน ย่างก้าวที่กำลังจะจากไปอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้น


‘ลู่เยี่ยหวา ลู่เยี่ยหวา ฉันอยากให้ตัวเองมีความสามารถในการเรียกหาได้จังเลย’


‘ตอนนี้เธอก็เรียกได้แล้วไม่ใช่เหรอ เธอแค่พูดประโยคเดียว ฉันก็รีบมานี่เลยไม่ใช่เหรอ?’


‘นั่นสิ ไม่ได้หรอก แบบนี้ง่ายเกินไปแล้ว ฉันต้องคิดรหัสเรียกพิเศษ ต่อไปพอนายได้ยินรหัสนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ต้องโผล่มาหาฉันนะ’


‘ก็ได้ งั้นเป่ยซี ฉันก็อยากได้รหัสด้วยได้ไหม รหัสที่ไม่ต้องถูกเธอเรียกทุกครั้ง บางครั้งฉันก็ไม่อยากเห็นหน้าเธอไง’


‘งั้น…ก็ได้ นายอยากได้รหัสอะไร’


‘01080206’


‘เอ๋ หมายความว่าอะไรเหรอ’


‘คิดดูดีๆ’


เธอมองดูตัวเลขบนกระดาษ กำหมัดแน่นจนเจ็บ ลู่เยี่ยอิ่งทำเป็นมองไม่เห็น นั่งทำตัวตามสบายอยู่ตรงนั้น


“อี้เป่ยซี พาฉันเยี่ยมชมมหา’ลัยพวกเธอหน่อยได้ไหม?”


“ได้” เธอหยิบกระดาษจากบนโต๊ะเก็บใส่กระเป๋าตัวเอง


อี้เป่ยซีก้มหน้าเดินนำทางอยู่ด้านหน้า พูดแนะนำบริเวณมหาวิทยาลัยเป็นครั้งคราว ลู่เยี่ยอิ่งหมดความอดทนเล็กน้อย


“แปลกใจไหมว่าทำไมฉันถึงรู้ตัวเลขชุดนี้?”


อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร เดินนำหน้าต่อไป


“จะว่าไปฉันก็คิดว่ามันตลกดี เธอรู้ไหมว่าลู่เยี่ยหวามีไดอารี่เล่มหนึ่ง เป็นไดอารี่ที่เกี่ยวกับเขาและยัยเด็กที่เขาชอบ ยัยเด็กน้อย เอามาใช้กับเธอแล้วช่างเป็นการเหยียดหยามคำนี้จริงๆ”


คนที่อยู่เบื้องหน้ายังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ลู่เยี่ยอิ่งพูดต่อว่า “เธอรู้ไหมว่าตัวเลขหมายความว่าอะไร? เธอในตอนนั้นทายไม่ถูก ตอนนี้รับรองว่าเธอก็ทายไม่ถูกเหมือนกัน ใช่สิ หัวใจเธอไม่ได้อยู่ที่เขา จะไปเข้าใจความหมายมันได้ยังไง


เธอต้องไม่รู้อยู่แล้ว เขาเอาตัวเลขนี้สลักไว้บนของขวัญวันเกิดครบสิบแปดปีของเธอ รอจนเธออายุสิบแปด กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตอนนั้นเขาจะยี่สิบหก พวกเธอสองคนก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป


เจ้าโง่นั่น ทำไมถึงนึกว่าการเธอที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะได้อยู่กับเขาตลอดไป เขาไม่รู้เหรอว่าก่อนอายุสิบแปดหัวใจของเธอไม่ได้อยู่ที่เขา หลังอายุสิบแปดหัวใจของเธอจะอยู่ที่เขาได้ยังไง


อี้เป่ยซี เธอเป็นคนใจดำที่สุดที่ฉันเคยเจอมา แม้แต่งูพิษก็เทียบเธอไม่ได้


คนอย่างเธอไม่คู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป”


ทันใดนั้นอี้เป่ยซีหันไปร้องลั่นใส่เขา “นายพูดจบแล้วหรือยัง”


“เป็นอะไรไป รับไม่ได้เหรอ?”ทุกน้ำเสียงในคำพูดเต็มไปด้วยการดูหมิ่น


“ฉันไม่อยากร้องขอการให้อภัยจากนาย ลู่เยี่ยอิ่ง ฉันรู้ว่าเรื่องนี้ฉันเป็นคนผิดตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันก็โทษตัวเอง ฉันก็เสียใจ ฉันก็อยากใช้ชีวิตตัวเองแลกชีวิตของลู่เยี่ยหวากลับมา ฉันถามตัวเองไม่หยุด ถามไม่หยุดเลยว่าทำไมฉันถึงมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำไมลู่เยี่ยหวาจากไปแล้วฉันยังอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข


ฉันเข้าใจได้ นายจะโทษฉันก็ดี เกลียดฉันก็ดี แก้แค้นฉันก็ดี แต่ขอร้องล่ะ ขอร้องนายอย่าว่าลู่เยี่ยหวาอีกได้หรือเปล่า เลิกพูดถึงเขาสักทีได้ไหม” เธอค่อยๆ ย่อตัวลง น้ำตาหยดใหญ่ร่วงลงบนพื้น ทำให้ละอองฝุ่นเล็กๆ เปียกชื้น


ลู่เยี่ยอิ่งก้มตัวลงข้างเธอ ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเช่นเมื่อครู่ “แค่นี้ก็รับไม่ได้เหรอ? แล้วฉันต้องทำยังไง ทุกคืนฉันฝันเห็นพี่ชายฉันนอนจมอยู่ในกองเลือด ทำไมตอนนี้เพิ่งมารู้สึกผิดรู้สึกเสียใจได้? ตอนนั้นที่เธอบอกเลิก ทำไมถึงไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นที่พวกเราขอร้องให้เธอมาดูใจเขา ทำไมถึงไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นที่เธออยากตายทำไมเธอไม่คิดถึงวันนี้


อี้เป่ยซี ถึงเธอจะไม่ใช่คนชนเขาตาย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาก็ไม่ต้องจากไปแบบนี้


เธออี้เป่ยซี ทั้งๆ ที่ในใจมีคนอื่นอยู่แล้ว ยังเอาเขามาเป็นตัวแทน มาเป็นของเล่นอยู่ในมือเธอ เป็นไงบ้าง ความรู้สึกแบบนี้มันสบายมากสินะ พอเบื่อแล้วก็ทิ้งขว้างเขาทันที แล้วผลักเขาไปหาความตายใช่ไหม?


ฉันจะบอกเธอให้นะอี้เป่ยซี ต่อให้เธอกลับไปอยู่ข้างอี้เป่ยเฉินแล้วยังไง เธอนึกว่าสองคนจะได้อยู่ด้วยกันงั้นเหรอ ไม่มีวันหรอก ตราบใดที่ฉันลู่เยี่ยอิ่งยังอยู่ ฉันก็จะทำให้เธออี้เป่ยซีอยู่อย่างไม่สงบสุข” พูดจบเขาก็จากมหาวิทยาลัยไปด้วยความสง่างาม ปล่อยให้อี้เป่ยซีแอบสะอื้นอยู่ตรงนั้นตามลำพัง


“รั่วเข่อ ตรงนี้ก็คือ…” เพื่อนนักศึกษาข้างๆ ยังคงแนะนำเธออยู่ แต่ฉินรั่วเข่อกลับเขยิบไปข้างคนที่นั่งยองๆ อยู่ เธอยื่นทิชชูหนึ่งห่อให้อีกฝ่าย แต่กลับถูกอี้เป่ยซีปัดกระเด็นออกไป


ฉินรั่วเข่อนั่งยองอยู่ข้างเธอ “ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเสียใจขนาดนี้” เธอต้องการยื่นมือออกไปปลอบประโลมอีกฝ่าย แต่เมื่อมือค้างอยู่ครึ่งหนึ่งกลางอากาศก็ดึงกลับมา “ฉันก็จะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเธอ ถ้าเธอร้องไห้เสร็จแล้วยังไม่สบายใจ จะเล่าให้ฉันฟังก็ได้ ถ้าหากฉันทำได้จะช่วยเธอแก้ปัญหาแน่นอน”


อี้เป่ยซีไม่ได้สนใจเธอ ร้องไห้อยู่บนตักของตัวเองต่อไป ฉินรั่วเข่อจึงเอ่ยปากช้าๆ “ถ้างั้นฉันเล่านิทานให้เธอฟังเรื่องหนึ่งแล้วกัน


นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักที่น่าเบื่อ เรื่องราวของมันก็เริ่มต้นจากเรื่องน่าขันระหว่างซินเดอเรลลาผู้ต่ำต้อยกับเจ้าชายทองคำ


ซินเดอเรลล่าไม่ได้มีจิตใจงดงามเหมือนในนิทาน เธอวางแผนเล่นงานเจ้าชายร่วมกับคนอื่น ทำให้เจ้าชายตกเป็นเป้าหมายโจมตี อีกทั้งยังข่มขู่เจ้าชาย ถ้าหากเจ้าไม่รับปากเงื่อนไขของพวกเขา พวกเขาก็จะทำให้ชื่อเสียงเจ้าชายป่นปี้อยู่ในสถานที่ที่น่าขยะแขยงแห่งนั้น


แต่ว่ายังไงเจ้าชายก็คือเจ้าชาย เขาฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหมดด้วยรัศมีแห่งความเป็นพระเอกของตัวเอง สุดท้ายเขาก็เอาดาบจ่อที่คอของซินเดอเรลลากับคนชั่วพวกนั้น ซินเดอเรลล่าตกใจ ในขณะที่เธอคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย เจ้าชายก็ปล่อยเธอไป และยังช่วยซินเดอเรลลาแก้ไขปัญหาสุดท้ายที่เธอมี ซินเดอเรลลาหลงรักเจ้าชายคนนั้นซะแล้ว


นับตั้งแต่ที่ซินเดอเรลลากลายเป็นหญิงสาวธรรมดาอีกครั้ง ก็ขังเจ้าชายของเธอไว้ในความฝันของตัวเอง ในฝันของเธอจะมีนางฟ้าที่มอบชุดสวยๆ ให้เธอใส่ และได้เต้นรำกับเจ้าชายของเธออย่างสง่างาม”


…………………………..


บทที่ 48

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 48 เพื่อนเก่ากลับมา (3)


ฉินรั่วเข่อหยุดพูด มองดูอี้เป่ยซีที่ขดตัวอยู่ สูดหายใจแล้วพูดต่อ “หลังจากนั้นนะ ซินเดอเรลล่าก็คิดว่า เธอจะหาเจ้าชายคนนั้นเจอหรือเปล่า เลยยืนอยู่ตรงนั้น หลบซ่อนอยู่ตรงนั้นจากที่ไกลๆ พลางมองดูเขา มองเขาอยู่เงียบๆ ก็พอ ซินเดอเรลล่าตัดสินใจจากบ้านเกิดของตัวเองมาที่ประเทศของเจ้าชาย เธอเห็นเจ้าชายแล้ว ได้เห็นเจ้าชายที่ยิ้มมีความสุขแล้ว


ซินเดอเรลล่าก็มีความสุขมากเลยนะ เธอยิ้มไปยิ้มมา จู่ๆ ก็ร้องไห้ เธอรู้ดีว่าในนิทานของเจ้าหญิงกับเจ้าชาย ซินเดอเรลล่าไม่ใช่นางเอก เธอเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ เป็นแค่ตัวละครหนึ่ง สอง สามที่ไม่เข้าตาเท่านั้น แม้ว่าเธอจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าชาย เจ้าชายก็จำไม่ได้ว่าเคยมีซินเดอเรลล่าในหมู่บ้าน ซินเดอเรลล่าน่าจะพอใจแล้ว และซินเดอเรลล่าพอใจมากจริงๆ อย่างน้อยเจ้าชายของเธอก็มีความสุขมาก”


เธอถอนหายใจ… อี้เป่ยซี เจ้าหญิงตัวน้อยๆ อย่างเธอจะเผชิญกับอะไรได้ล่ะ? จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคืออยากได้แต่ไม่ได้มา อะไรคือความรู้สึกด้อยค่า อะไรคือความต่ำต้อย


ดังนั้นจะมีอะไรให้เสียใจล่ะ เธอมีมากมายขนาดนี้ ยืนอยู่สูงส่งขนาดนี้ สวยงาม ฉลาด และมีหลายคนอิจฉา ยังจะมีอะไรทำให้เธอเสียใจได้ขนาดนี้ล่ะ


เพราะวันนี้อากาศไม่ดี อาหารไม่ถูกปาก หรือลูกอมไม่หวานพอ?


อี้เป่ยซีเธอรู้หรือเปล่า หากเธอร้องไห้ต่อไป อี้เป่ยเฉินรู้แล้วจะเสียใจนะ เธอคิดเพื่อพี่ชายหน่อยไม่ได้เหรอ


“นี่เธอ เธอหนวกหูมากเลย” อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้น สองตาแดงก่ำ น้ำเสียงยังคงสะอื้นอ่อนแอจนชวนให้คนปวดใจ เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สูดหายใจลึกแล้วก้าวเดินจากไป ทั้งดื้อรั้นและแน่วแน่


ฉินรั่วเข่ออึ้งอยู่ตรงนั้น ‘อี้เป่ยซี ทำไมบนตัวเธอถึงมีกลิ่นอายของความเสียใจแบบนี้’ นี่เธอคิดผิดไปหรือเปล่า? ฉินรั่วเข่อส่ายหัว อาจเป็นเพราะว่าสาวน้อยคนหนึ่งได้ยินคำพูดไม่เข้าหูก็เลยน้อยใจมากล่ะมั้ง เธอบังคับตัวเองให้คิดแบบนี้


“รั่วเข่อ” เพื่อนของฉินรั่วเข่อเดินมาหาเธอ ดึงตัวเธอขึ้นมา “ฉันคงไม่เคยบอกเธอสินะ คนนี้คืออี้เป่ยซี เพิ่งย้ายมาเรียนเอกการเงินที่มหา’ลัยเราเมื่อปีที่แล้ว นิสัยเขาแปลกๆ แล้วก็ยัง…ช่างเถอะ เธออยู่ห่างเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน”


ฉินรั่วเข่อพยักหน้า ขนตายาวปิดบังดวงตาเอาไว้ ทำให้ดูไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่


อี้เป่ยซีเดินอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานแค่ไหนแล้ว และก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปที่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ใด และไม่รู้ว่าก้าวต่อไปจะอยู่จุดไหน ถ้าหากชีวิตเป็นเพียงเครื่องจักรกลที่ทำงานซ้ำๆ ไม่มีความทรงจำ ไม่มีความคิด เป็นเหมือนฟันเฟืองที่หมุนไปหมุนมาไม่หยุด ก็คงจะดีไม่น้อย


“เธอ เธอ เธอ อี้เป่ยซี” ฉินรั่วเข่อวิ่งมาหยุดข้างเธอ อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร ยังคงเดินต่อไป ดวงตาของเธอยังแดงก่ำ ดวงตาแห้ง แห้งจนไร้ความชุ่มชื้น


“เธอทำของหล่นไว้น่ะ” ฉินรั่วเข่อหยิบปากกาหมึกซึมที่ประณีตด้ามหนึ่งออกมา อีกฝ่ายยังคงไม่สนใจเธอ “อี้เป่ยซี เธอไม่เป็นไรนะ”


“หึ ไม่เป็นไร จะเป็นอะไรได้ยังไง คนชั่วอายุยืนเป็นพันปี ฉันถูกกำหนดให้อยู่แค่ร้อยปี ตอนนี้จะเป็นอะไรได้ยังไง จะเป็นอะไรได้ยังไง ฉันมีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าตัวเองเป็นอะไร”


ฉินรั่วเข่อได้ยินน้ำเสียงประชัดประชันของอี้เป่ยซี ในใจก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย สุดท้ายแล้วเด็กต้องได้รับการปลอบใจ ไม่ใช่เพียงแค่เล่านิทานให้ฟังก็จบ เธอเอ่ยปาก “ที่จริงเธอไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ เธอคืออี้เป่ยซี คนที่สวรรค์โปรดปราน ทุกคนชอบเธอเอ็นดูเธอขนาดนี้ อย่าเศร้าไปเลย เด็กดี”


อี้เป่ยซีมองอีกฝ่ายพลางยิ้มเย็นชา “ซินเดอเรลล่าใช่ไหม? คนที่สวรรค์โปรดปราน ทำไมล่ะ รู้สึกไม่แฟร์รึไง? ต่อให้เธอเป็นเจ้าหญิงแล้วยังไง? ตัวประกอบก็คือตัวประกอบอยู่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเปลี่ยนตัวตนแล้วก็เปลี่ยนได้ทุกอย่าง ต่อให้เจ้าหญิงคนนั้นกลายเป็นสนมธรรมดา สุดท้ายแล้วเจ้าชายของเธอก็เลือกเขาอยู่ดี เธอรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”


ฉินรั่วเข่อกัดริมฝีปากไม่พูดอะไร มือกำปากกาไว้แน่น


“ความต่ำต้อยจากเนื้อแท้ยังไงก็เปลี่ยนกันไม่ได้หรอก เธอเข้าใจรึเปล่า?”อี้เป่ยซีพูดจบก็รีบก้าวเท้าจากไป ฉินรั่วเข่อสูดหายใจลึก ข่มกลั้นหยาดน้ำที่ผุดขึ้นในดวงตา จากนั้นเดินไปข้างๆ อี้เป่ยซีอย่างรวดเร็ว


“เธอพูดจบแล้วหรือยัง” ฉินรั่วเข่อยิ้มอ่อนโยน ท่าทางบริสุทธิ์ไร้พิษภัย “เธอเป็นแบบนี้ฉันวางใจไม่ได้”


อี้เป่ยซีชำเลืองมองเธอเงียบๆ สะบัดหน้าหนีแล้วพูดด้วยเสียงดุดันเล็กน้อย “แล้วแต่เธอ”


ทั้งสองคนไม่รู้ว่าเดินอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยมานานแค่ไหนแล้ว ฉินรั่วเข่อรู้สึกได้ว่ามีชั้นเหงื่อบางๆ ซึมอยู่ด้านหลังของตัวเอง ขณะที่ไม่รู้ว่าเดินผ่านทางเดินยาวเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนั้น อี้เป่ยซีก็หยุดเดิน เธอมองฉินรั่วเข่อ นั่งลงบนเก้าอี้กลมตรงทางเดินยาวโดยไม่พูดไม่จา พร้อมกอดตัวเองไว้แน่น


ฉินรั่วเข่อเดินมาข้างเธอเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เพิ่งอ้าปากก็ปิดปากลงอีก


“เพราะคิดว่าตัวเองผ่านอะไรมาเยอะใช่ไหม ก็เลยรู้สึกว่าอดีตของคนอื่นเป็นเรื่องเล็กๆ” อี้เป่ยซียังคงพูดต่อ ฉินรั่วเข่อรีบส่ายหัว


“ไม่ใช่แน่นอน ฉันก็แค่อยากปลอบใจเธอ ไม่อยากเห็นเธอเศร้าแบบนี้”


อี้เป่ยซียิ้มเย็นชา “ตลกจังเลย พวกเรารู้จักกันเหรอ?”


“เธอคืออี้เป่ยซี ฉันรู้”


“ใช่สิ ฉันคืออี้เป่ยซี เป็นอี้เป่ยซีแล้วยังไง เธอรู้ว่าเป็นอี้เป่ยซีก็รู้จักฉันแล้วเหรอ เธอไม่รู้อะไรเลยแต่ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้างคนอื่นเหมือนกับตัวเองถูก แบบนี้มันเหมาะแล้วเหรอ เพื่อนนักศึกษา”


ฉินรั่วเข่อก้มหน้า พูดเสียงต่ำว่า “ฉันแค่อยากช่วยเธอ”


“สงสารฉัน?”


“เปล่า ฉันแค่รู้สึกว่าอดีตมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เธอไม่ควรผูกมัดอยู่กับเรื่องราวในอดีต ควรจะมองไปข้างหน้า ไม่ควรมองว่าเธอขาดอะไร แต่ควรมองว่าเธอมีมากแค่ไหน เธอคืออี้เป่ยซี คนที่มีคนมากมายรัก เธอควรใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ใช่สับสนอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง”


จู่ๆ อี้เป่ยซีก็หัวเราะ ทำเอาฉินรั่วเข่อสะดุ้งโหยง เธอพูดต่อว่า “ควรจะปลงกับเรื่องทุกอย่างหน่อยไม่ใช่เหรอ?”


อี้เป่ยซีกวาดตามองอีกฝ่าย ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่กอดตัวเองแน่นกว่าเดิม วางศีรษะอยู่บนเข่าของตัวเองอย่างเหนื่อยล้า


ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่ออี้เป่ยเฉินปรากฏตัวต่อหน้าสองคน ฉินรั่วเข่อจึงค่อยโล่งอก รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงประดับบนใบหน้า แต่แก้มกลับแดงโดยไม่รู้ตัว อี้เป่ยเฉินเดินผ่านเธอไป กลิ่นสดชื่นจากตัวเขาลอยปะปนอยู่ในสายลม


“เสี่ยวซี”


“พี่เป่ยเฉิน ฉันไม่สบาย ฉันรู้สึกเหนื่อยมากเลย” อี้เป่ยซีพิงอยู่บนไหล่ของเขา


อี้เป่ยเฉินกล่าวโทษตัวเอง ตั้งแต่ที่อี้เป่ยซีกลับมาเขาก็มักจะละเลยไม่ดูแล ไม่รู้จักถามว่าอี้เป่ยซีมาที่มหาวิทยาลัยทำไมกันแน่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่มหาวิทยาลัยบ้าง ถ้าหากตัวเองใส่ใจมากกว่านี้ละก็…


“ได้ พี่จะพาเธอกลับบ้าน”


“อือ กลับบ้าน” เธอพยักหน้าหงึกหงัก อี้เป่ยเฉินอุ้มเธออย่างระมัดระวัง แล้วจึงค่อยสังเกตเห็นว่ายังมีอีกคนยืนอยู่ที่ทางเดิน “ขอบคุณมาก” จากนั้นก้าวจากไปโดยไม่หันมามองเธอแม้แต่นิดเดียว ฉินรั่วเข่อได้แต่มองดูพวกเขา ทั้งอยากหัวเราะ ทั้งอยากร้องไห้


‘ดีจังเลย อี้เป่ยเฉิน วันนี้ได้เจอคุณอีกแล้ว แต่ว่าอี้เป่ยเฉิน คุณจำฉันไม่ได้สักนิดจริงเหรอ?’ เธอมองปากกาหมึกซึมในมือซึ่งมีตัวอักษร ‘เฉิน’ กับ ‘ซี’ สลักเอาไว้


หวังว่าเจ้าหญิงกับเจ้าชายจะมีความสุขด้วยกัน เธอคิดในใจพลางเอามือเช็ดๆ ตา อากาศช่วงนี้ชื้นจังเลยนะ บนมือก็เปียกนิดหน่อยด้วย


…………………………..


บทที่ 49

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 49 เพื่อนเก่ากลับมา (4)


ฉินรั่วเข่อเดินออกจากทางเดินยาว เพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินมาทางนี้อย่างตื่นตระหนก ไม่ใช่สิ เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีเพียงฉินรั่วเข่อคนเดียวก็ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขามองไปข้างหลังแล้วเอ่ยถาม “พี่ครับ อี้เป่ยซีล่ะครับ?”


เธอยิ้มน้อยๆ “พี่ชายเขาพาไปแล้ว”


“พี่ชายเขา?” เขาพึมพำ “ถูกเขาพาไปอีกแล้ว”


“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”


“เปล่าครับ ขอบคุณพี่มาก”


“ไม่เป็นไร งั้นฉันไปก่อนนะ” ฉู่ซ่งตอบรับเบาๆ แล้วเดินไปนั่งที่ทางเดินยาว มองไปยังต้นไม้เขียวขจีพลางครุ่นคิด…


……..


เพราะลาหยุดไปสองวัน อี้เป่ยซีจึงอยากกลับไปที่มหาวิทยาลัย ก่อนจะไปอี้เป่ยเฉินกำชับเธอด้วยความไม่สบายใจมาก


“ถ้ามีอะไรต้องโทรหาพี่ก่อนรู้รึเปล่า?”


“อืม รู้แล้ว”


“ไม่งั้นก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิมเถอะ”


อี้เป่ยซีส่ายหน้า “ไม่เอา ฉันก็อยากเรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่นนะ อีกอย่าง เพื่อนในหอพักก็ดีกับฉันด้วย”


“เสี่ยวซี เธอก็รู้…”


“ฉันไม่รู้ ฉันก็เก่งมากเหมือนกันนะ พี่เป่ยเฉินอย่าดูถูกฉันสิ”


“ได้ๆๆ เสี่ยวซีของพวกเราฉลาดที่สุดเก่งที่สุดแล้ว ไม่รู้ว่าเธอเหมือนใคร”


เธอพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “ใช่แล้ว ที่จริงฉันคือนางฟ้าตัวน้อย ลงมาจากสวรรค์เพื่อเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ของพวกพี่ ไม่มีใครเหมือนฉันอยู่แล้ว”


“แล้วโลกสวรรค์พวกเธอเป็นยังไง?”


“โลกสวรรค์ของพวกเราสวยมาก มีหมอกควันปกคลุมทุกพื้นที่…” อี้เป่ยเฉินเห็นเธอพูดไม่หยุดก็ยิ้มวางใจ เออออไปกับคำพูดของเธอ รถวิ่งอยู่บนถนนอย่างมั่นคง “เอาละ พี่เป่ยเฉิน เจอกันสุดสัปดาห์”


“เจอกันสุดสัปดาห์”


อี้เป่ยซีก้าวเข้าไปในมหาวิทยาลัยอย่างสบายใจ เมื่อเลี้ยวตรงหัวมุมไหล่ก็ห่อเหี่ยวลง จากนั้นก็ฮึกเหิมขึ้นอีกครั้ง


‘แม้จะเสียใจก็ต้องก้าวต่อไปนะ ลู่เยี่ยหวา’ เธอก้มหน้าลง แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใสที่ปลอดโปร่งไร้เมฆ เธอสูดหายใจแล้วก้าวเท้ายาวๆ ไป


“เป่ยซี ขอโทษที ฉันเพิ่งจะรู้ว่าเธอ…” ถังเสวี่ยดึงมือของเธอพลางกล่าวขอโทษ “ขอโทษ ขอโทษนะ”


อี้เป่ยซีเก็บโต๊ะหนังสือ กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เธอรู้แล้วเหรอ?”


ถังเสวี่ยรีบส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้าด้วยความลังเลเล็กน้อย “แต่ก็ไม่เข้าใจเท่าไร แค่ได้ยินพี่ชายฉันพูดนิดหน่อย”


“อืม ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้น่ะสุดท้ายแล้วก็ต้องมีคนรู้ ซ่อนไม่ได้หรอก” เธอถอนหายใจ


“เป่ยซี เธอ…เสียใจมากใช่ไหม?”


“ขอโทษทีถังเสวี่ย ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้”


“อือ ได้” ถังเสวี่ยรีบเปลี่ยนเรื่อง “เป่ยซี เธอรู้ไหมว่าพรุ่งนี้ต้องส่งงานวิจัยแล้ว?”


อี้เป่ยซีเบิกตากว้าง “ทำไมเธอไม่รีบบอกล่ะ”


เธอหัวเราะอย่างเขินอาย “ก็เป็นห่วงเธอจนวุ่นวายน่ะสิ งานวิจัยสำคัญกว่าเธอที่ไหนกัน”


“งานวิจัยสำคัญสิ อาจารย์หนีเข้มงวดแบบนั้น ลาก่อนนะเพื่อน คืนนี้ฉันไม่กลับมาแล้ว” เธอพูดพลางแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองออกจากไปหอพัก


ฟางหมิ่นที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จาตลอดเวลานั้น วางหนังสือที่ปิดหน้าลง ใบหน้าน้อยๆ ซีดขาว เสียงก็อ่อนแรงเล็กน้อย “ถังเสวี่ย”


ถังเสวี่ยหันไปมองคนเรียก ผ่านไปเนิ่นนาน ฟางหมิ่นถึงเหมือนกับถอนหายใจ “รินน้ำให้ฉันสักแก้วได้ไหม?”


“อือ ได้สิ”


………


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อี้เป่ยซีรีบกลับมายังบ้านที่ตัวเองเช่าไว้ข้างนอก เธอเอาเอกสารไปที่มหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่เหรอ อี้เป่ยซีส่ายหัว ความจำของเธอยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จริงๆ


ฉู่ซ่งหอบของว่างจำนวนหนึ่ง เดินเข้ามาหาเธอแล้วเอ่ยทัก “สวัสดีครับ”


มือของอี้เป่ยซีที่ถือกุญแจหยุดกึก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กผู้ชายตรงหน้า บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่สดใสเป็นอย่างมาก “สวัสดี”


“ฉันยังนึกว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่ซะอีก”


“เอ่อ คุณเป็นเจ้าของบ้านเหรอ?”


“ไม่ใช่ๆ ฉันก็เป็นผู้เช่าที่นี่ อยู่ข้างๆ เธอเลย เป็นเพื่อนบ้านกัน วันหลังมีอะไรต้องช่วยเหลือกันนะ”ฉู่ซ่งพูดพลางหยิบไก่เส้นรสเผ็ดสองสามห่อออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่ในมือของเธอ เดิมทีอี้เป่ยซีอยากปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นห่อบรรจุแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ


“ของว่างพวกนี้…”


ฉู่ซ่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ใช่ไหมล่ะ หลายที่เขาไม่ขายแล้ว บางอันยังเป็นอาหารขึ้นชื่อของเมือง A เลยนะ”


“ขอบคุณนะ คือว่าฉันยังมีธุระนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะ”


“อืม งั้นฉันก็จะกลับเหมือนกัน”


ฉู่ซ่งอุ้มของกินไว้ในอ้อมอก อารมณ์ดีมาก ‘คือเธอใช่ไหม จะต้องใช่เธอแน่ๆ’


อี้เป่ยซีมองของกินในมือ ผ่านไปเนิ่นนานเธอจึงละสายตาไป แล้ววางของว่างในมือบนพื้นที่ว่างเปล่าบนชั้นหนังสืออย่างดี รู้สึกกระปรี้กระเปร่า


จากนั้นเธอนั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ เริ่มขีดเขียนลงในเอกสารที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา รู้สึกผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าคืนนี้จะนอนเร็วได้นะ


แต่เสียงระเบิดดังขึ้นกะทันหัน ทั้งห้องเข้าสู่ความมืด แสงไฟของหน้าจอคอมพิวเตอร์ส่องอยู่บนหน้าของเด็กสาว เธอไม่หวั่นไหว ยังคงตั้งใจทำงานของตัวเองไป ใกล้จะเสร็จแล้ว ทันใดนั้นแสงไฟหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ดับลง การเชื่อมต่อประหลาดเด้งขึ้นมา


บ้าเอ๊ย เธอตบโต๊ะด้วยความโมโห ทำไมพี่เป่ยเฉินถึงได้…เธอมองคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ แย่แล้ว ทำไมถึงไม่ใช้ชุดที่พี่เป่ยเฉินเตรียมให้เธอนะ คราวนี้เยี่ยมไปเลย แล้วงานวิจัยของเธอล่ะ


อี้เป่ยซีสาปแช่งให้คนปล่อยไวรัสต้องไม่ตายดี เธอกำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นจากด้านล่าง


“เอ่อ ไฟดับแล้ว ฉันก็แค่มาดูว่าบ้านเธอมีอะไรหรือเปล่า” ฉู่ซ่งถือไฟฉาย เมื่อเห็นท่าทีที่ทั้งน้อยใจทั้งโมโหของอีเป่ยซีก็รีบถาม “เป็นอะไรไป?”


“คอมพ์โดนไวรัสแล้ว ฉันมีงานวิจัยต้องเขียนให้เสร็จ ถ้าฉันรู้นะว่าเป็นฝีมือใคร…” เธอกัดฟันหรี่ตา “ฉันจะทำให้เขาเขียนวิจัยสามหมื่นคำของฉันร้อยรอบ ไม่สิ เอาพันรอบไปเลย ไม่กินไม่ดื่ม ไม่หลับไม่นอน”


ฉู่ซ่งจงใจกระแอมไอ “ฉันจะลองดูให้”


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรบกวนนายหรอก เดี๋ยวเพื่อนฉันก็มาแล้ว”


“ดึกป่านนี้แล้ว เธอยังจะเรียกเพื่อนมาอีกเหรอ?”


อี้เป่ยซีมองดูเวลาในโทรศัพท์มือถือ เธอแลบลิ้น ป่านนี้แล้ว พี่เป่ยเฉินคงนอนแล้วล่ะมั้ง


“งั้นก็รบกวนนายแล้ว”


“ไม่เป็นไร”ฉู่ซ่งส่องไฟเดินตามอี้เป่ยซีไปยังห้องหนังสือของเธอ โคมไฟบนโต๊ะยังสว่างอยู่ ฉู่ซ่งนั่งลงบนเก้าอี้ นิ้วพิมพ์อยู่บนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็วครู่หนึ่ง ก็สามารถดึงการเชื่อมต่อเดิมกลับมาได้


อี้เป่ยซีรุดไปข้างหน้า “ว้าว เธอนี่เก่งจังเลย แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”


เขาพยักหน้าให้ “การป้องกันความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์เธอมันอ่อนเกินไป ฉันช่วยเธอเสริมให้มันแรงได้”


“งั้นก็รบกวนเธอแล้ว แล้วเธอช่วยฉันดูได้ไหมว่าใครเป็นคนโจมตีคอมพ์ของฉัน?”


มือบนแป้นพิมพ์ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พิมพ์ต่อด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง “เรื่องนี้น่ะ เดิมทีก็ทำได้ แต่ว่าฉันลบไอพีไปแล้ว” ฉู่ซ่งอ้างส่งเดช อี้เป่ยซีเชื่อโดยไม่สงสัย แล้วพยักหน้าให้


“น่าเสียดายจริงๆ”


“คนเรามันผิดพลาดกันได้ ให้อภัยได้ก็ให้อภัยเถอะ อีกอย่างไฟล์ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ?” เขาหัวเราะเขินอาย


อี้เป่ยซีหาว “ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ว่ายังไงก็ขอบคุณเธอนะ”


“แหะๆ เรื่องเล็กน้อยน่ะ งั้นฉันรับสายก่อนนะ”


ฉู่ซ่งเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา จึงรีบหลบไปด้านข้าง


“ฉู่ซ่ง นายเลิกเล่นได้แล้ว รีบเปิดไฟเหมือนเดิมเถอะ”เสียงของลั่วจื่อหานเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย


ฉู่ซ่งเหลือบมองด้านข้าง เมื่อเห็นว่าอี้เป่ยซียังคงอยู่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์จึงถอนหายใจโล่งอก “รู้แล้ว ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”


……………………….


บทที่ 50

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 50 เพื่อนเก่ากลับมา (5)


“หวัดดีตอนเช้า” อี้เป่ยซีเพิ่งจะล็อกประตู ยืดตัวบิดขี้เกียจ เมื่อได้ยินเสียงฉู่ซ่งก็หันไปมอง นัยน์ตายังมีประกายฉ่ำวาว “ตอนนี้เธอจะไปมหาลัยเหรอ”


เธอพยักหน้าอย่างไร้ชีวิตชีวา ขยี้ตา แล้วหาวอีกรอบอย่างอดไม่ไหว “ใช่แล้ว ใช่แล้ว”


“งั้นพวกเราไปด้วยกันเถอะ” ฉู่ซ่งยิ้มพลางเดินไปข้างๆ เธอ


“เอ๊ะ นายก็เรียนที่มหา’ลัยเราเหรอ”


รอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่ายมืดมนทันใด น้ำเสียงฉู่ซ่งจนปัญญา “ฉันนึกว่าเธอรู้จักฉันซะอีก”


“หา?” อีเป่ยซีดึงกระเป๋าหนังสือ เธอเคยเจอเขาเหรอ? ไม่น่าล่ะถึงได้ดูคุ้นตา “อืม ฉันน่าจะเคยเจอเธอมาก่อน”


ฉู่ซ่งมองเธอ ไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนใบหน้าได้อีกต่อไปแล้ว เขาข่มความอยากจะใช้นิ้วจิ้มเธอไว้ บ่นพึมพำว่า “เธอนี่ยังไม่สนใจเรื่องภายนอกจริงๆ”


“เธอว่าไงนะ?” สมองของอี้เป่ยซียังคงสะลึมสะลืออยู่บ้าง เธอรู้สึกเพียงว่าคนที่อยู่ข้างๆ กำลังพูด แต่ฟังไม่ออกเลยสักนิดว่าเนื้อหาคืออะไร จึงยกมือขึ้นมานวดคลึงหูของตัวเอง


รายงานวิจัยช่างทำร้ายคนจริงๆ ตอนนี้ง่วงจนฟังอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว เธอสะบัดหัว หวังว่าจะได้ยินชัดกว่านี้หน่อย


“ไม่มีอะไร” ฉู่ซ่งโมโหเล็กน้อย เดินอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จาอีก อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังอยู่ในความฝัน ทำอะไรก็ดูไม่สมจริง


อี้เป่ยซีมาถึงชั้นเรียนด้วยความสับสนมึนงงแบบนี้ ส่งงานวิจัย แล้วหาที่ที่ห่างไกลผู้คนสักหน่อย ล้มฟุบลงบนโต๊ะและหลับไปทันที จนกระทั่งเมื่อลืมตา พบว่าสายตาของอาจารย์มองเธอเป็นครั้งคราว เธอจึงค่อยตื่นตัวขึ้นมา


การอดนอนส่งผลเสียต่อร่างกายจริงๆ เธอส่ายหัว ถามถังเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ว่าบรรยายไปถึงไหนแล้ว จึงค่อยเปิดหนังสือตาม เปลือกตาเดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิด


“เป่ยซี เป่ยซี” ถังเสวี่ยสะกิดเธอ


“มีอะไรเหรอ?”


ถังเสวี่ยแอบขำ “เธอมีเรื่องอะไรอีกใช่ไหม?”


“เรื่องอะไร?”


“เมื่อเช้านี้ ฉันเห็นเธอมามหา’ลัยกับฉู่ซ่ง”


“อืม ต่อให้มากับฉู่ซ่ง…ฉู่ซ่ง”ความง่วงนอนทั้งหมดหายไปปลิดทิ้งในชั่วพริบตา เธอเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า “เธอ เธอบอกว่าเขาชื่อฉู่ซ่งเหรอ?”


ถังเสวี่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว ฉู่ซ่ง ย้ายเข้ามามหา’ลัยพวกเราปีก่อน ทุกคนพูดถึงเขากันตั้งนานแล้ว เธอไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?”


“เขา…มาที่มหา’ลัยนานแล้ว?”


ฉู่ซ่ง…ฉู่ซ่ง เขาก็ชื่อฉู่ซ่ง บังเอิญล่ะมั้ง ซ่งซ่งเขาจะโผล่มาที่นี่ได้ยังไง ถ้าหากเป็นฉู่ซ่งจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่พูดต่อหน้าเธอให้ชัดเจนล่ะ หึ ไม่มีทางหรอก ฉู่ซ่งไม่มีทางปรากฏตัวต่อหน้าเธอได้


ก็คุยกันแล้วว่าจะไม่ติดต่อกันอีก แล้วเขารู้ที่อยู่ของเธอได้อย่างไร คุณน้าอี้ของพวกเขาปล่อยให้เขากลับมาอีกได้อย่างไร


เธอกำปากกาในมือแน่น ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องของฉู่ซ่ง


ทำไมถึงไม่เคยถามชื่อของเขา ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยสนใจเรื่องในมหาวิทยาลัยพวกนี้ อี้เป่ยซีอารมณ์เสีย คิดอยู่เสมอว่าเขาคุ้นตามาก แต่ก็ไม่รู้จักคิดถึงเรื่องพวกนี้


“ถังเสวี่ย เธอรู้ไหมว่าฉู่ซ่งเขา…เขาเรียนคณะอะไร?”


“เรียนคอมพิวเตอร์ เอ้อ กำลังเรียนวิชาเอกอยู่ชั้นบนน่ะ ทำไมล่ะ จะขึ้นไปหาเขาเหรอ?”


“อืม อยู่ห้องไหนเธอรู้ไหม?”


“ฉันจะถามเพื่อนฉันให้”


ถังเสวี่ยก้มหน้ากดมือถืออยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเหลือบมองอี้เป่ยซี “นี่เป่ยซี คือว่า เพื่อนฉันบอกว่าฉู่ซ่งเขาไม่ได้มาเรียน เขาก็ไม่รู้ว่าไปไหน”


“อย่างนั้นเหรอ…งั้นมีวิธีติดต่อกับฉู่ซ่งไหม?”


“อันนี้…มีนะ นี่เบอร์มือถือของเขา แต่ว่าอาจจะโทรไม่ติดก็ได้”


“ฉันลองดูก็แล้วกัน” อี้เป่ยซีแอบย่องออกจากห้องไป กดเบอร์นี้ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ที่ระเบียง ทำไมโทรไม่ติด นายรับสายสิ หลังจากเสียงรอสายดังนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เธอก็ตัดสินใจออกไปหาเขาด้วยตัวเอง


“เป่ยซี ช่างมันเถอะ”ถังเสวี่ยถือกระเป๋าของสองคนเดินเข้าไปหาเธอ “เขาอาจจะไม่ค่อยใช้เบอร์นี้”


“ยังมีวิธีอื่นติดต่อเขาอีกไหม?”


เธอส่ายหัว อี้เป่ยซีถามอีก “เธอรู้ไหมว่าปกติแล้วเขาอยู่ตรงไหน?”


“ห้องสมุด ห้องอ่านหนังสือ ทางเดินฝั่งตะวันตกของมหา’ลัย อือ สถานที่ก็ประมาณนี้แหละ”


“งั้นฉันจะไปหาดู ดูว่าจะเจอเขาไหม”


“เป่ยซี เธอคงไม่ได้จะไปหรอกนะ”


อี้เป่ยซีสะพายกระเป๋าของตัวเอง ทิ้งไว้แต่แผ่นหลังให้ถังเสวี่ย “ฉันไปก่อนนะ”


ห้องสมุด ห้องอ่านหนังสือ ทางเดิน สถานที่เหล่านี้…หวังว่าจะโชคดีได้เจอนาย


จากห้องสมุดถึงห้องอ่านหนังสือ จากห้องอ่านหนังสือถึงทางเดิน แล้วก็จากทางเดินถึงห้องอ่านหนังสือ จากห้องอ่านหนังสือถึงห้องสมุด อี้เป่ยซีนั่งลงบนเก้าอี้ยาวข้างทางด้วยความท้อใจเล็กน้อย ‘ควรจะไปหานายที่ไหนดี’


เธอมองดูสายเรียกเข้า รีบรับสายทันที


“คุณหนู พวกเราตามหาเจ้าของหมายเลขนี้ที่สำนักงานใหญ่แล้ว แต่ว่าพวกเราทำอะไรไม่ได้”


“ไม่เป็นไร ช่างเถอะ”


เธอวางสาย มองไปรอบทิศอย่างเหม่อลอย บริเวณมหาวิทยาลัยก็เล็กขนาดนี้ ทำไมถึงหาฉู่ซ่งไม่เจอ


“อี้เป่ยซี” ฉินรั่วเข่อยิ้มให้เธอ “ตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นแล้วยัง?”


ผู้หญิงจากวันนั้น…อี้เป่ยซีนึกถึงคำพูดที่รุนแรงของตัวเองในตอนนั้น ยิ้มให้เธออย่างรู้สึกผิด “อือ ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว ขอโทษนะ วันนี้พูดจาไม่น่าฟังไปตั้งเยอะ เธออย่าเก็บมาใส่ใจเลย”


เธอยิ้มตาหยีพลางส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร เพราะฉันปลอบใจคนอื่นไม่ค่อยเก่ง เอ่อ เธอกำลังหาอะไรอยู่หรือเปล่า?”


“ฉัน” เดิมทีอี้เป่ยซีอยากเรียกชื่ออีกฝ่าย แต่เพิ่งรู้ว่าเธอไม่รู้จักแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ “เธอ เธอเห็นฉู่ซ่งไหม?”


“ฉู่ซ่ง? เด็กท็อปคณะคอมพิวเตอร์น่ะเหรอ?”


“น่าจะใช่เขา”


ฉินรั่วเข่อส่ายหน้าเชิงขอโทษ “วันนี้ฉันมีเรียนทั้งวัน ไม่เห็นเขาเลย เธอไม่มีวิธีติดต่อเขาเหรอ?”


อี้เป่ยซีส่ายหัว “ยังไม่รู้เลยว่าเธอชื่ออะไร”


“ฉินรั่วเข่อ”


“ฉินเยว่เข่อเป็น…”


คู่สนทนาจัดผมที่ข้างหู ท่าทางอ่อนโยนมาก น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้น “เขาเป็นน้องสาวฉัน”


“พวกเธอสองคนเป็นพี่น้อง?”


“มีหลายคนบอกว่าพวกเราไม่ค่อยเหมือนกัน เยว่เข่อเขาสวยเด่นขนาดนั้น ฉันเทียบเขาไม่ติดจริงๆ”


อี้เป่ยซีรีบส่ายหัว “ไม่ใช่แบบนั้น คือว่า ฉันจำได้ว่าคราวก่อนเหมือนเธอพูดอะไรบางอย่าง เรื่องอะไรนะ ฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว”


“อ่อ คือเรื่องนี้”เธอหยิบปากกาหมึกซึมออกมาจากกระเป๋า แค่มองก็รู้ว่าเป็นรุ่นเก่า แต่ว่าถูกดูแลรักษาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ดูแล้วเหมือนเพิ่งซื้อมาใหม่ “นี่เป็นของที่เธอทำหล่นใช่ไหม?”


อี้เป่ยซีลูบคลำกระเป๋าของตัวเองทันที พบว่าปากกายังนอนอยู่ในกระเป๋าของตัวเองเหมือนเดิม ด้ามนี้เป็นของพี่เป่ยเฉิน เธอรับปากกาหมึกซึมมา คงมีแต่เป็นของพี่เป่ยเฉินแล้ว น่าจะทำหล่นตอนที่มารับเธอคราวก่อน ทำไมถึงสะเพร่าแบบนี้ พอเธอกลับไปแล้วจะต้องต่อว่าเขาสักหน่อย


“ขอบคุณมาก”


“ไม่เป็นไร”ฉินรั่วเข่อลังเลครู่หนึ่งจึงกล่าว “เดิมทีตอนที่พี่ชายมารับเธอ ฉันจะถามเขาก็ได้ว่าใช่ของเขาหรือเปล่า มาคืนเจ้าของเอาป่านนี้ รู้สึกแย่จังเลย”


มือของอี้เป่ยซีที่รับของหยุดชะงักลง “ด้ามนี้ เธอเก็บได้ตอนไหน”


“เมื่อวานไง” เธอแสร้งทำเป็นยิ้มผ่อนคลาย “ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะ”


อี้เป่ยซีพยักหน้า ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ ช่างเถอะ ตอนนี้การหาตัวฉู่ซ่งสำคัญกว่า…


……………………..


บทที่ 51

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 51 เพื่อนเก่า (1)


ย่างก้าวที่สับสนอลหม่านของอี้เป่ยซีหยุดลง ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย นักศึกษาในอาคารเรียนค่อยๆ ทยอยไปยังโรงอาหารและหอพัก ราวกับแม่น้ำที่แบ่งตัวเป็นสาย เธอยืนขวางกระแสของฝูงชน แสดงให้เห็นถึงความแปลกแยกโดดเดี่ยวรูปแบบหนึ่ง เธอเม้มปาก


ในเวลานี้เขาก็กลับไปแล้วหรือเปล่า เธอออกแรงดึงสายสะพายกระเป๋าหนังสือ ก้าวเดินไปด้วยความมั่นคงอีกครั้ง


บอกว่าอยู่ข้างบ้านเธอไม่ใช่เหรอ? อี้เป่ยซีมองไปรอบๆ มีบ้านไม่กี่หลังในบริเวณใกล้เคียง ต้องไปถามทีละหลังเหรอ? แม้จะกดกริ่งไปหลายหลังแล้วแต่ก็ลงเอยด้วยความผิดหวัง อี้เป่ยซีรวบรวมความกล้าอีกครั้งกำลังจะกดกริ่งตรงปลายนิ้ว โทรศัพท์มือถือบนตัวสั่น เธอไม่กล้าเพิกเฉย จึงกดปุ่มรับสายทันที


“เสี่ยวซี”น้ำเสียงของอี้เป่ยเฉินไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ “ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่?”


“ฉัน ฉันกำลังเดินอยู่นอกมหาลัย ช่วย…เอ่อ” อี้เป่ยซีรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องเหล่านั้นแล้ว อี้เป่ยเฉินก็แยกมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นพื้นที่อันตรายด้วย “กำลังช่วยเพื่อนทำแบบสอบถาม พี่ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาน่าโมโหแค่ไหน ไม่ตอบแบบสำรวจเลย”


“งั้นพี่ไม่กวนเสี่ยวซีแล้ว”


“โอเค พี่เป่ยเฉินไว้ดึกๆ ค่อยคุยกัน”


เธอมองหน้าจอที่ดับลง พี่เป่ยเฉินจะไม่รู้เรื่องของฉู่ซ่งงั้นเหรอ? เขาไม่ชอบให้เธอไปค้นหาอดีตไม่ใช่เหรอ หรือว่าพี่เป่ยเฉินทำให้ฉู่ซ่งจากไปอีกแล้ว?


ช่างมัน ถามต่ออีกหน่อยเถอะ เธอมองดูประตูในละแวกบ้านที่ปิดสนิท ถอนหายใจ จากนั้นก็กดกริ่ง


ขณะที่ยังเหลือบ้านไม่กี่หลัง ไม่รู้ว่าไฟของรถใครส่องสว่าง มันส่องอยู่บนตัวอี้เป่ยซีโดยตรง เธอเบะปาก เดินเข้าไปเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง


“พวกเรากลับบ้านกันก่อน”


“พี่เป่ยเฉิน”


อี้เป่ยเฉินหัวเราะเบาๆ “ทำไมล่ะ อยากถามพี่ว่ารู้ไหมว่าฉู่ซ่งอยู่ไหนเหรอ?”


คำที่เธอต้องการพูดแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ไม่พยักหน้า ไม่ส่ายหัว ซุกตัวอยู่ในเก้าอี้ ราวกับเต่าที่หดหัวกลับเข้ากระดองของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น


“เสี่ยวซีเธอก็น่าจะรู้ แม่กับพี่ไม่อยากให้เธอติดต่ออะไรกับคนพวกนั้นอีกแล้ว แม้ว่าพ่อจะเคยพูด แต่ว่า…”


“ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันแค่อยากรู้ว่าฉู่ซ่งมาหาฉันหรือเปล่า ตอนนี้เขาสบายดีไหม บอกเขาว่าฉันก็สบายดี แค่นี้เอง ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย”


“เสี่ยวซี พี่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้เธอตัดสินใจและได้เลือกตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้วแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงอยากทำลายมันล่ะ”


“พี่เป่ยเฉิน ฉันไม่เข้าใจ ต่อให้ฉันติดต่อกับฉู่ซ่ง ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้นนะ ฉันก็ยังเป็นอี้เป่ยซี ฉู่ซ่งก็ยังเป็นฉู่ซ่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่งแยกปัจจุบันกับอดีตชัดเจนขนาดนั้น ทำไมต้องแบ่งแยกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกเราด้วย”


“เสี่ยวซี เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เธอจะทนทุกข์ทรมานอยู่ข้างนอกขนาดนั้นได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา แม่แท้ๆ ของเธอจะทนที่เธอจากไปไม่ไหวจนเลือกแขวนคอตายได้ยังไง” อารมณ์ของอี้เป่ยเฉินอ่อนไหวจนควบคุมไม่ได้


“ไม่ใช่ว่าพี่คัดค้านที่เธออยู่กับพวกเขา แค่รู้สึกว่าพวกเขาไม่คู่ควรได้รับการปฏิบัติจากเธออย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เสี่ยวซี พี่แค่ไม่ต้องการให้ใครมาทำร้ายเธอ เธอน่าจะเข้าใจใช่หรือเปล่า?”


อี้เป่ยซีพยักหน้า พิงอยู่ข้างหน้าต่างรถด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย ในใจรู้สึกสับสน แต่ว่าในตอนนั้นเธอที่ทิ้งทุกอย่างและยอมรับสิ่งที่พวกเขาให้ทุกอย่างแล้ว เรื่องนี้จะโทษพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ถูก เธอหลับตา แพขนตายาวปิดบังดวงตาเอาไว้ หากดูผ่านๆ ก็จะเหมือนกับว่ากำลังขดตัวหลับอยู่ตรงนั้น


อี้เป่ยเฉินถอนหายใจ มือที่จับพวงมาลัยกำแน่นเล็กน้อย


พวกเขาจากไปไม่ทันไร ก็มีรถคันหนึ่งปรากฏอยู่ในละแวกที่พักอาศัย


“สงสัยเธอโดนพาตัวไปแล้ว” ฉู่ซ่งพิงเก้าอี้อย่างหมดกำลังใจ “มาช้าอีกแล้ว”


“ฉู่ซ่ง เธอกับอี้เป่ยซีรู้จักกันได้ยังไง?”


นิ้วของฉู่ซ่งหงิกงอเล็กน้อย “รู้จักได้ยังไง รู้จักตั้งแต่ตอนที่ผมเกิดมาล่ะมั้ง พี่สนใจเรื่องของอี้เป่ยซีไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่รู้ว่าอี้เป่ยซีถูกบ้านอี้รับเลี้ยงล่ะ”


“เขาถูกรับเลี้ยงจริงๆ”


“ใช่แล้ว เขาก็ไม่ได้ชื่ออี้เป่ยซี เขาชื่อฉู่เซี่ย เซี่ยที่แปลว่าฤดูร้อนน่ะ”


“ฉู่เซี่ย” ลั่วจื่อหานทวนชื่ออีกรอบ หรี่ตาลง


ฉู่ซ่งพยักหน้า “ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ยที่งี่เง่าคนนั้น”


“ทำไมไม่เคยได้ยินนายพูดถึงเขา” ลั่วจื่อหานถาม ทำไมก่อนหน้านี้เขาคิดไม่ถึง เซี่ยเซี่ยพูดอยู่เสมอว่ามีน้องสาวชื่อว่าซ่งซ่ง ก็คือฉู่ซ่งน่ะเหรอ?


ทำไมมักจะรีบร้อนอยากหาหลักฐานเสมอ แต่กลับลืมสังเกตสิ่งเหล่านั้นที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดตลอด อี้เป่ยซี ฉู่เซี่ย อี้เป่ยซี ฉู่เซี่ย…ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าจู่ๆ บางอย่างก็ชัดเจนขึ้นมา ร่างกายก็พลอยร้องดีใจไปด้วย


ไม่น่าล่ะดวงตาถึงได้เหมือนขนาดนี้ เหมือนกันขนาดนี้


“ผมจะไปสู้บ้านอี้ได้ยังไง” ฉู่ซ่งน้ำเสียงท้อแท้ “ผมจะพาฉู่เซี่ยไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่ว่านะ พอบ้านอี้เจอทีไรก็จะส่งผมไปอยู่ที่ไกลๆ ทุกที จนแม้แต่ประเทศ U ผมก็ไปไม่ได้” เขาแสร้งพูดด้วยความผ่อนคลาย


“ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ผมอยู่ข้างๆ ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เขาไปประจำ ใส่ชุดมาสคอตรอเขาโผล่มา ตอนนั้นอากาศร้อนมากเลย บนตัวไม่มีส่วนไหนที่ไม่มีเหงื่อเลย ตอนที่ผมคิดว่ากำลังจะจับตัวเขาได้แล้ว อี้เป่ยเฉินก็โผล่มา พาเขากลับบ้าน ฉู่เซี่ยไม่ได้มองผมเลย วิ่งไปกับเขาอย่างมีความสุข มันจะมากเกินไปแล้ว ผมเกือบจะเป็นโรคลมแดดตายอยู่แล้วแต่เขาไม่มองผมเลย จากนั้นผมก็ถูกซ้อม แล้วถูกส่งกลับประเทศ Z”


เขาพูดอย่างสบายๆ มาก จากนั้นก็เริ่มร่ายยาว “เพราะเรื่องนี้ผมเลยถูกพ่อแม่สั่งสอนซะนานเลย แต่ว่าผมไม่เห็นด้วยกับพวกเขาแม้แต่นิดเดียว เรื่องขายลูกสาวเพื่อความรุ่งเรืองแบบนี้ ผมรู้สึกแต่ว่ารังเกียจ อะไรคือรู้สึกผิดรู้สึกถูก ทำเพื่อใครหรือไม่ได้ทำเพื่อใคร ก็เป็นแค่ข้ออ้างที่ทำให้พวกเขาสบายใจ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ฉู่เซี่ยงี่เง่าคนนั้นทำไมถึงรับปากไปกับคนอื่นแบบนี้ นึกว่าตัวเองเสียสละเพื่อคนอื่นเยอะขนาดนั้นแล้วยิ่งใหญ่นักหรือไง?” เขาพูดพลางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย


เสียงที่ทุ้มต่ำของลั่วจื่อหานดังขึ้น “มันก็โทษเขาไม่ได้หรอก”


“ใช่ โทษเขาไม่ได้ ต้องโทษผม โทษพ่อแม่ผม โทษที่พวกเขาไม่ได้เรื่อง ขนาดลูกสาวตัวเองก็รักษาไว้ไม่อยู่ โทษที่ผมไร้ความสามารถ หาเขาเจอแล้วแต่กลับพาเขากลับไปไม่ได้”


“บางครั้งผมก็รู้สึกเศร้านะ ทำไมผมหาเขามาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเขาทำอะไรเลย ทุกครั้งที่ผมปรากฏตัวข้างๆ เขา แต่กลับไม่เห็นว่าเขาสังเกตเห็นผม พี่ดูตอนนี้สิ ผมปรากฏตัวต่อหน้าเขาแล้ว เขาก็จำไม่ได้ว่าผมคือฉู่ซ่ง”


“บางทีเขาอาจแค่ไม่กล้ายอมรับ”


“พี่รู้ได้ยังไง?”


ลั่วจื่อหานส่ายหัว “ฉันไม่รู้ ก็แค่เดา”


“ไม่รู้ว่าเขากล้าหรือเปล่า แต่ว่าพฤติกรรมของเขาวันนี้โง่เง่าเกินไปแล้ว ถ้ารู้ว่าผมอยากตามหา เขาแค่ยืนอยู่ที่เดิมก็พอแล้ว แต่ว่าผมก็ดีใจมากนะ”


“แต่ว่าวันนี้พี่สาวนายคงดีใจไม่ออกแล้ว”


ฉู่ซ่งเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจ ลั่วจื่อหานจึงพูดต่อ “เกิดเรื่องตั้งเยอะแบบนี้ อี้เป่ยเฉินไม่รู้หรอกว่าอี้เป่ยซีทำอะไรในมหา’ลัยบ้าง


เขาชื่อฉู่เซี่ย”


……………….


บทที่ 52

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 52 เพื่อนเก่า (2)


“ฉันไปเรียนแล้วนะ” อี้เป่ยซีพูดพลางคว้ากระเป๋าหนังสือของตัวเองออกจากบ้าน แต่ถูกคนที่อยู่ข้างหลังเรียกไว้


“เสี่ยวซี ช่วงหลายวันนี้อย่าเพิ่งไปที่มหา’ลัยเลย” อี้เป่ยซีอ่านหนังสือพิมพ์ในมือ ไม่ได้เงยหน้ามอง ในน้ำเสียงมีความเข้มงวดเล็กน้อย ไม่สามารถปฏิเสธได้


“พี่เป่ยเฉิน” อี้เป่ยซีเดินมานั่งข้างๆ เขา “พี่คิดว่าจะรอจนส่งตัวฉู่ซ่งไปก่อน ถึงให้ฉันกลับไปใช่ไหม?”


“เสี่ยวซี่ พี่หวังดีกับเธอนะ อย่าใช้อารมณ์เพราะเรื่องนี้เลย เด็กดี” เขาพูดพลางลูบผมของเธอ คนข้างๆ เชื่อฟังเหมือนกับแมวตัวหนึ่ง


อี้เป่ยซีรู้สึกแสบตาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าของเหลวอะไรบดบัง การมองเห็นพร่ามัว ความรางเลือนตรงหน้าทำให้รู้สึกหมดหนทางและคับข้องใจอย่างที่ไม่อาจสลัดออกไปได้


“พี่เป่ยเฉิน ฉันยังต้องไปเรียน เดี๋ยวจะตามเขาไม่ทัน”


“ช่วงหลายวันนี้พี่จะอยู่บ้านเป็นเพื่อนเธอ สอนชดเชยให้เธอดีไหม”


“พี่เป่ยเฉิน”


อี้เป่ยเฉินวางมือลง กอดเธอไว้เบาๆ ริมฝีปากจรดจูบบนหน้าผากอี้เป่ยซี กลิ่นหอมจางๆ โชยเข้าไปในโพรงจมูก หอมหวนเป็นอย่างมาก “เสี่ยวซี ตั้งหลายครั้งแล้ว ตอนนี้พอเถอะ ถ้าพวกเขาคิดถึงเธอจริงๆ ก็ต้องมาหาเธอตั้งนานแล้วถูกไหม? ช่วงนี้เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะ ที่เหลือยกให้พี่จัดการก็พอ”


“ครั้งนี้ให้ฉันตัดสินใจเองได้ไหม พี่เป่ยเฉิน ก็แค่ฉู่ซ่งเอง เขาไม่มีทางทำร้ายฉันหรอก อีกอย่างพี่เป่ยเฉินก็อยู่ข้างฉันตลอดไม่ใช่เหรอ เขาจะมีโอกาสได้ยังไง” อี้เป่ยซีซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา น้ำเสียงที่อ่อนโยนเจือการอ้อนวอน


“เสี่ยวซี สิบกว่าปีแล้ว ฉู่ซ่งเป็นคนยังไง แม้แต่พ่อแม่เขาเองก็ไม่กล้ารับประกัน พี่หวังดีกับเธอนะ”


“พี่เป่ยเฉิน ขอร้องล่ะ ให้ฉันกลับไปเจอหน่อยก็พอแล้ว ฉันคิดถึงเขาจริงๆ อยากรู้ว่าเขาสบายดีหรือเปล่า”


“เขาสบายดีมาก เธอไม่ต้องเป็นห่วงอะไร อยากเรียนไม่ใช่เหรอ พี่จะพาเธอไปห้องหนังสือ”


อี้เป่ยซีดึงมือออกมาจากเขาพลางก้มหน้าลง “ไม่ต้องหรอก ฉันง่วงแล้ว จะกลับไปนอน”


เขาไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน มองดูแผ่นหลังของเธอที่ค่อยๆ หายขึ้นไปชั้นบน ในใจรู้สึกเหมือนถูกหินก้อนใหญ่กดทับไว้ ความรู้สึกกังวลกดดันก่อตัวขึ้นโดยไร้สาเหตุ เขาใส่ใจในอดีตของเธอมากเกินไปหรือเปล่า?


แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ต้องการให้เธอหมกหมุ่นกับเรื่องราวในสมัยเด็ก ไม่ต้องการให้เธอคิดถึงเรื่องของตัวเองหลังจากที่จากมาแล้ว อี้เป่ยเฉิน นายนี่มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว


อี้เป่ยเฉินส่ายหัว หยิบหนังสือพิมพ์ข้างๆ ขึ้นมา ตัวหนังสือแน่นขนัดกระจายอยู่ทั่วสายตา แต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด


‘ฉู่ซ่งคนนี้จะต้องจากไป’ เขาคิดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา…


…….


อี้เป่ยซีไม่ปรากฏตัวในมหาวิทยาลัยติดกันสิบวันแล้ว ฉู่ซ่งวนเวียนอยู่ตรงทางเดินยาวในสถานศึกษาตามลำพัง ข้างนอกฝนเริ่มตกพรำๆ กระจายตัวออกไปอย่างหนาแน่น ผู้คนที่ติดอยู่ในฝนกระหืดกระหอบ


‘ถ้างั้น….ฉู่เซี่ย พวกเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วเหรอ? ถ้าเธอรู้ช้ากว่านี้สักนิด ฉันหลบซ่อนตัวกว่านี้อีกหน่อย จะได้อยู่ข้างกายเธออีกสักสองสามวันใช่ไหม แม้เธอจะไม่รู้ว่ามีฉันอยู่นี่ก็ตาม’


เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทางเดินยาว ฝนเย็นๆ ที่กระเซ็นโดนร่างกายทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ


อากาศที่เมือง B ไม่อบอุ่นเลยสักนิด


“อี้เป่ยเฉินไม่ส่งอี้เป่ยซีไปไหนหรอก” ลั่วจื่อหานถือร่มสีดำเดินเข้ามาหา เขามองฉู่ซ่งคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง


“พี่จื่อหาน ขอบคุณที่พี่เป็นห่วง ถ้าพี่ไม่ได้ช่วยผม คิดว่าป่านนี้ผมอาจจะไปจากมหา’ลัยนี้แล้ว” เขาลูบๆ แขนของตัวเอง รอยแผลเป็นยังคงรู้สึกเจ็บเบาๆ


อี้เป่ยเฉินก็ลงมือรุนแรงเกินไปหน่อย อีกทั้งยังไม่กลัวว่าอี้เป่ยซีจะรู้ด้วย


“ไม่เป็นไร แผลดีขึ้นแล้วรึยัง?”


“ก็แค่บาดแผลภายนอก ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก”


“อืม”


ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร ฉู่ซ่งมองลั่วจื่อหานที่อยู่ตรงหน้าตลอดเวลา


เขาถาม “เป็นอะไรไป?”


ฉู่ซ่งส่ายหน้า “พี่จื่อหาน ช่วงนี้ที่บริษัทไม่มีเรื่องอะไรแล้วเหรอ?”


“ก็พอได้”


“รู้สึกเหมือนพี่จะเป็นห่วงเรื่องนี้มากเหมือนกัน หืม ทำไมล่ะ? เพราะอี้เป่ยซีเหรอ?”


ลั่วจื่อหานไม่ได้มองเขา แต่เดินไปยังม่านฝน ฉู่ซ่งมองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขาที่ถูกความเศร้าโศกชั้นบางๆ ปกคลุม เหมือนกับสายฝนตกปรอยๆ


“ฉู่ซ่ง เล่าเรื่องของนายกับอี้เป่ยซีตอนเด็กๆ ให้ฟังได้ไหม?”


ฉู่ซ่งคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถามแบบนี้ จึงเหม่อไปชั่วขณะหนึ่ง


ทำไมพี่จื่อหานถึงถามเขาแบบนี้? ได้ยินมู่ลี่ไป๋บอกว่าอีกฝ่ายก็ตามหาคนอยู่เหมือนกัน หรือว่าคนที่เขาหาก็คือฉู่เซี่ย


ไม่ๆๆ เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นฉู่เซี่ยจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเลย ตอนที่ฉู่เซี่ยยังเป็นเด็กจะมีโอกาสรู้จักคนอย่างลั่วจื่อหานได้อย่างไรกัน


เขายิ้มโล่งใจ “ได้สิ พวกเรากลับไปคุยกันถอะ”


“อืม”


เมื่อกลับมาถึงห้องของตัวเอง ฉู่ซ่งนำของที่ตัวเองเก็บรักษาไว้นานแล้วออกมาทั้งหมด วางไว้ตรงหน้าลั่วจื่อหาน และเริ่มเล่าเรื่องราวของสิ่งของแต่ละอัน


“นี่คือของที่ฉู่เซี่ยใช้สานความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ เอาเงินค่าอาหารหนึ่งวันของพวกเราไปซื้อสร้อยข้อมือโดยที่ไม่ได้ขอผม ทำให้ผมหิวไปทั้งวันเลย แต่ว่าแม่ใส่ไม่ทันไรก็ขาดแล้ว ทำเอาเขาเสียใจไม่น้อย”


“นี่ปากกาอันแรกของผม ผมใช้แค่ไม่กี่วันก็ถูกฉู่เซี่ยทำพังแล้ว วันนั้นผมโกรธมาก ไม่พูดกับเขาทั้งวันเลย”


“นี่คือการ์ดเกมที่เมื่อก่อนพวกเราชอบเล่นที่สุด พี่ไม่รู้อะไร ฝีมือการเล่นของฉู่เซี่ยแย่มาก ช่วยยังไงก็ช่วยไม่ได้แล้ว คราวก่อนยังมาเอาชีวิตผมไปอีก ครั้งนั้นที่จริงผมจะผ่านด่านอยู่แล้ว”


ฉู่ซ่งพูดจาคล่องแคล่ว จำเรื่องราวของสิ่งของทุกอย่างได้ชัดเจน เหมือนเรื่องราวในอดีตถูกฉายซ้ำในหัวอีกครั้ง ราวกับเด็กสาวเจ้าของเรื่องคนนั้นกำลังตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ เขา


“พวกนี้เป็นของเธอทั้งนั้น ของบางอย่างผมก็จำไม่ค่อยได้ว่ามาได้ยังไง”


ฉู่ซ่งเปิดกล่องขนาดเล็กที่ทำจากเซรามิกอย่างประณีต ข้างในมีเพียงดาวดวงเล็ก หัวใจดวงเล็ก และนกกระเรียนกระดาษอะไรทำนองนั้นถูกพับไว้เป็นอย่างดี ดวงตาของลั่วจื่อหานคล้ายไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า เขาหยิบกล่องเล็กนั้นขึ้นมา วิธีการพับกระดาษยังหยาบอยู่บ้าง มีหลายมุมโผล่ออกมาข้างนอก ดาวนำโชคที่รูปร่างแตกต่างกันก็นอนอยู่ในกล่อง ไม่มีดวงใดที่พับเรียบร้อยเลย


‘ฉันเพิ่งหัดของพวกนี้ พี่หาน ฉันสอนพี่ได้นะ’


‘ฉันไม่ทำของพวกนี้หรอก ของพวกนี้เด็กผู้หญิงอย่างเธอเล่นกัน’


‘งั้นเหรอ”


‘…เซี่ยเซี่ย ดาวนี่พับยังไง”


‘ฮ่าๆ ฉันจะสอนพี่ให้”


ลั่วจื่อหานมองด้านล่าง ก็เห็นสร้อยข้อมือฝังเพชรสีฟ้าอ่อน เขาหรี่ตาลง


ไหนบอกว่าไม่เก็บไว้แล้วนี่นา ทำไมถึงมาอยู่ในกล่องนี้


“สร้อยข้อมือนี่” ฉู่ซ่งรับมาดูอย่างละเอียด ราวกับว่ากำลังยืนยันอะไรบางอย่าง “คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่เอาไปด้วย ตอนนั้นเห็นเขาทะนุถนอมมาก ยังนึกว่า…”


มือของลั่วจื่อหานลูบคลำคริสตัลสีฟ้าคล้ายกำลังครุ่นคิด


“พี่จื่อหาน พี่เป็นอะไรไป?”


“เปล่า อันนี้ยกให้ฉันเถอะ ฉันจะช่วยนายเอาให้ฉู่เซี่ยเอง”


ฉู่ซ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าแรงๆ


“พวกนายไม่มีรูปตอนเด็กๆ เหรอ?”


อีกฝ่ายส่ายหน้า “ตอนนั้นสถานะทางบ้านไม่ดี แถมยังติดหนี้อีก ไม่มีรูปถ่ายหรอก ผมก็รู้สึกเสียดาย ต่อมาได้ถ่ายรูปครอบครัวตั้งหลายใบ แต่คนก็ไม่ครบ”


“เดี๋ยวจะครบแน่”


…………………………


บทที่ 53

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 53 เพื่อนเก่า (3)


“พี่จื่อหาน ผมขอถามพี่หน่อย พี่รู้สึกยังไงกับอี้เป่ยซี”


ลั่วจื่อหานก้มหน้าก้มตาคิด เขารู้สึกยังไงกับอี้เป่ยซี? น่าทึ่งเหรอ เขารู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นน่ามองมาก คนคนนั้นทำให้คนรู้สึกอยากปกป้องได้ หรือเป็นเพราะว่า…เพราะว่าเธอคือเซี่ยเซี่ย คนที่เขาตามหามาสิบกว่าปีและคิดถึงมาสิบกว่าปี


เป็นเพราะว่าเซี่ยเซี่ยทำให้อดีตของเขาอบอุ่น ฉะนั้นจึงให้ความสำคัญกับอี้เป่ยซีในปัจจุบันมากขึ้น หรือเป็นเพราะว่าอี้เป่ยซีคู่ควรกับความใส่ใจของเขาตั้งแต่แรก


เป็นเพราะว่าเธอก็คือเธอล่ะมั้ง ไม่ว่าในอดีตจะเป็นเซี่ยเซี่ย หรือตอนนี้จะเป็นอี้เป่ยซี เธอก็คือคนในความทรงจำของเขา คนที่เขาชอบในตอนนี้


ลั่วจื่อหานยิ้มผ่อนคลาย “ไม่มีอะไร ตอนนี้ดึกมากแล้ว ฉันกลับก่อนล่ะ”


“ผมไปส่งพี่”


“ฉู่ซ่ง เรื่องนี้ฉันจะช่วยเอง”ลั่วจื่อหานที่เดินถึงหน้าประตูแล้วพูดกับเขา “และหวังว่านายจะไม่รังเกียจ”


“พี่จื่อหาน ไม่ ไม่จริงมั้ง ฉะ…ฉู่เซี่ยเมื่อก่อน…” ฉู่ซ่งประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่เซี่ยที่ไม่มีอะไรโดดเด่นในตอนนั้น ฉู่เซี่ยที่ต่ำต้อยที่สุดถึงมีโอกาสรู้จักกับคนอย่างลั่วจื่อหาน ทั้งๆ ที่พวกเขาสองคนอยู่กันคนละโลก


“ชัดเจนมาก แต่ว่านะฉู่ซ่ง เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว อย่าเอามาปนกับเรื่องงาน”


“ครับ”


ไม่นานเสียงและเงาของลั่วจื่อหานก็หายไปในสายฝน ฉู่ซ่งปิดประตู สีหน้าสับสน เฮ้อ ช่างเถอะๆ เรื่องของอนาคตค่อยว่ากันในอนาคต ตอนนี้มาคิดก่อนว่าจะจัดการเรื่องในปัจจุบันอย่างไร เขาพูดขณะคิดจะเหยียดตัว แต่เพิ่งยกแขนขึ้นก็ร้องเจ็บปวดพร้อมกับหดแขนกลับ


‘ยังต้องรักษาอีก ฉู่เซี่ย ถ้าเธอโผล่มาแล้วละก็ จะให้เธออยู่ปรนนิบัติข้างๆ ฉันอย่างดีเลย ไม่งั้นที่ฉันถูกอี้เป่ยเฉินรังแกหลายปีมานี้ก็จะสูญเปล่า’


ที่จิ่นหยวน อี้เป่ยเฉินกำลังโทรศัพท์อยู่ในห้องหนังสือ สีหน้ามีความกังวล


“ครับ อืม ครับ ให้อี้เป่ยซีเริ่มไปเรียนพรุ่งนี้วันจันทร์ได้เลย ดีครับ ขอบคุณอาจารย์นะครับ” คนปลายสายยังพูดอยู่ ประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดพรวด อี้เป่ยเฉินเหลือบมองน้องสาว เขาวางสายไปแล้ว


“ฉันไม่อยากย้ายมหา’ลัย”


“เสี่ยวซี มหา’ลัยจิงเหยียนก้าวหน้ากว่าที่หนิงเปิ่น เธอก็อยากเรียนเอกการเงินของเธอให้ดีไม่ใช่เหรอ?”


“พี่เป่ยเฉิน พี่ไม่ได้ปรึกษาฉัน พี่ควรจะถามว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่”


อี้เป่ยเฉินเดินเข้าไปต้องการจะดึงตัวเธอมา อี้เป่ยซีหลบทับที “พี่เป่ยเฉิน ฉันแค่ต้องการเรียนหนังสือที่หนิงเปิ่น ฉันจะไม่ไปที่จิงเหยียน ฉันไม่รู้ว่าพี่เป็นห่วงอะไร กังวลอะไร แต่ฉันอยากทำสิ่งที่ฉันอยากทำ ทำไมตอนนี้พี่ถึงไม่ยอมปล่อยฉัน ตอนนั้นพี่เป่ยเฉินก็เดินจากไปอย่างสง่างามไม่ใช่เหรอ?”


“เสี่ยวซี พี่รู้ว่าเมื่อก่อนพี่ผิดเอง ตอนนี้พี่จะไม่ทิ้งเธอไปอีกแล้ว จะไม่ปล่อยให้เธอตัดสินใจทำอะไรที่ทำร้ายตัวเองอีก”


“ฉันไม่ได้ทำร้ายตัวเอง พี่เป่ยเฉิน ฉันทำตามพี่ที่เอะอะอะไรก็ส่งฉันไปที่อื่นไม่ได้หรอก ฉันต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง ตอนนี้ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันรับผลจากการตัดสินใจของตัวเองได้ อีกอย่างนะพี่ ฉู่ซ่งเขาเป็นคนดีมากจริงๆ ทำไมพี่ไม่ลองทำความรู้จักเขาดูล่ะ”


“ไม่จำเป็นหรอก เสี่ยวซี ตอนนี้ก็ดึกแล้ว กินข้าวแล้วไปพักผ่อนเถอะ”


อี้เป่ยซีกัดริมฝีปากมองผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง เธอเติบโตอยู่ภายใต้การปกป้องของเขา เดินตามรอยเท้าเขา ทำตามการชี้นำของเขา เมื่อก่อนเคยคิดว่าเป็นเรื่องที่มีความสุข แต่ว่าตอนนี้ พี่เป่ยเฉิน ทำไมพี่ถึงดื้อดึงขนาดนี้ ก็เห็นอยู่ว่าพี่ไม่ใช่คนแบบนี้เลย


“เป็นอะไรไป”


“คุณแม่อี้ถามถึงพี่น่ะ ฉันกลับห้องก่อน” เธอพูดจบก็กลับไปยังห้องของตัวเองทันที แล้วล็อกประตู อี้เป่ยซีซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม รู้สึกเสียใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำไมจะต้องยืนกรานกับเรื่องนี้ขนาดนั้นด้วย พี่เป่ยเฉิน ปกติพี่ไม่ใช่คนดื้อด้านแบบนี้นี่


“ฮัลโหล แม่ครับ” อี้เป่ยเฉินนวดคลึงขมับ โทรศัพท์หาแม่ที่อยู่ต่างประเทศ


“หลายวันนี้ลูกคงเหนื่อยสินะ”


“พอได้ครับ เสี่ยวซีดื้อกับเรื่องนี้มากไปแล้ว ก็เลยยากนิดหน่อย”


“เป่ยเฉิน เรื่องนี้น่ะ คนที่ดื้อคือลูกล่ะมั้ง”


อี้เป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร มองดูมือของตัวเอง ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ มาจากปลายสาย


“ลูกก็น่าจะรู้ เป่ยซีเป็นคนที่ใส่ใจกับความรู้สึก และลูกก็น่าจะเข้าใจว่าถึงครอบครัวของฉู่ซ่งจะเลี้ยงน้องมาแค่ไม่กี่ปี แต่ก็มีผลกับใจของน้องมาก”


“พวกเขาไม่เหมาะสมกันอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อฉู่ซ่ง เสี่ยวซีจะมีชีวิตที่ลำบากแบบนั้นได้ยังไง คุณน้าเจิ้งจะฆ่าตัวตายได้ยังไง พวกเขาทำร้ายเสี่ยวซี ทำไมยังอยากจะให้เสี่ยวซีไปอยู่ใกล้พวกเขาอีก ผมไม่เห็นด้วย”


“เป่ยเฉิน นี่มันเรื่องในอดีตทั้งนั้น เป็นเรื่องสมัยก่อนพวกเรา ถึงจะพูดว่าพวกฉู่อี้พาตัวเสี่ยวซีไป แต่ว่าก็เพราะเขา เสี่ยวซีถึงได้เติบโตอย่างปลอดภัยแบบนี้ เติบโตจนกระทั่งวันที่แม่ไปรับน้องมา”


“เขาก็แค่อยากทำให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น ก็แค่อยากให้ตัวเองเป็นอิสระจากการถูกประณามเรื่องความรับผิดชอบชั่วดีของตัวเอง แม่ครับ เรื่องนี้ผมแยกแยะเองได้”


“เป่ยเฉิน ลูกเป็นลูกของแม่ ลูกเป็นยังไงทำไมแม่จะไม่รู้ เป่ยเฉิน พวกลูกจะทำยังไงก็เป็นเรื่องของทั้งสองคนนะ แม่แก่แล้วช่วยอะไรไม่ได้ แต่ว่าวันนี้ลูกยังไม่ได้ไปดูน้องใช่ไหม ปกติเสี่ยวซีดูเป็นคนว่านอนสอนง่าย แต่น้องก็ดื้อเหมือนลูกนั่นแหละ ลูกอย่าผลักคนที่ตัวเองอยากปกป้องออกไปไกลกว่าเดิมสิ รู้ไหม”


“ผมรู้ว่าทำแบบไหนถึงเรียกว่าปกป้องเขา”


“เป่ยเฉิน ลูกกำลังกลัว ลูกไม่เชื่อเสี่ยวซีใช่หรือเปล่า?”


“แม่ เรื่องพวกนี้น่ะ ผมไม่คุยกับแม่แล้ว”พูดจบอี้เป่ยเฉินก็วางหู กลัวเหรอ เขาจะต้องกลัวอะไรอีก? มีอะไรคุ้มค่ากับความกลัวของเขา


เขาลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้องนอนของอี้เป่ยซี คนของเขาไม่ได้มีไว้เพื่อให้คนอื่นเล่นและเหยียบย่ำ พวกเขาทำผิดต่อเสี่ยวซีขนาดนี้ ทำไมเขาจะต้องใจกว้างปล่อยให้เสี่ยวซีตกอยู่ในกับดักของคนอื่นอีก


คนที่คิดไม่ซื่อพวกนั้นควรจะอยู่ห่างจากเจ้าหญิงของเขา ฉู่ซ่งด้วย ลั่วจื่อหานก็ด้วย


เขาเคาะประตูเบาๆ แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน


“เสี่ยวซี เปิดประตูก่อน”


“เสี่ยวซี เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินเม้มปาก หยิบกุญแจออกมาเปิดประตู เขาเห็นอี้เป่ยซีนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง ทั้งใบหน้าซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ดูเหมือนกับหนอนผีเสื้อ


“เสี่ยวซี เสี่ยวซี” อี้เป่ยซีไม่สนใจเขา แกล้งทำเป็นนอนต่อ


อี้เป่ยเฉินตบๆ ผ้าห่ม นอนลงข้างเธอ แล้วกอดเธอไว้ผ่านผ้าห่ม “ทำไงดี พี่ไม่อยากเห็นเสี่ยวซีน้อยใจและทุกข์ใจเลย แต่พี่ก็ไม่อยากเห็นเสี่ยวซีถูกคนอื่นหลอกเหมือนกัน


เสี่ยวซี เธอไม่รู้เรื่องราวในอดีต แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ตอนนั้นพวกเขาทำผิดต่อเธอ พี่จำเป็นต้องทำให้เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าตอนนี้เธอเห็นอะไร ตอนนี้เธอคิดว่าใครเป็นยังไงก็ช่าง รอบตัวเธอจะมีอันตรายซ่อนอยู่ไม่ได้อีก


ก่อนหน้านี้พี่ทำผิดพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง พี่จะไม่ทำผิดอีก


เสี่ยวซี ถ้าเธอไม่อยากย้ายมหา’ลัยจริงๆ พวกเราก็ไม่ย้าย แต่ว่าเธอต้องรับปากพี่ว่าจะอยู่ให้ห่างจากพวกเขา ฉู่ซ่งก็ดี ลั่วจื่อหานก็ดี พวกเขาไม่ใช่คนดีอะไร”


อี้เป่ยซีเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผ้าห่ม อี้เป่ยเฉินพูดต่อ “เสี่ยวซี เธอก็รู้ว่าพี่ไม่มีวันทำร้ายเธอ”


“พี่เป่ยเฉิน เชื่อฉันอีกสักครั้งได้ไหม…”


……………………….


บทที่ 54

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 54 เพื่อนเก่า (4)


“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อเธอนะเสี่ยวซี พี่แค่ไม่เชื่อพวกฉู่ซ่งกับฉู่อี้ ดึกมากแล้ว หิวหรือเปล่า พี่ไปทำกับข้าวให้กินดีไหม?”


อี้เป่ยซีขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม น้ำเสียงอู้อี้ “ไม่ต้องแล้ว ฉันง่วงมาก กินข้าวไม่ลง”อี้เป่ยเฉินไม่มีท่าทีต้องการจะจากไป กอดเธอไว้อย่างนั้น ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มลงเล็กน้อย ทั้งสองคนที่เดิมทีกอดกันต่างลืมตา ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ


อี้เป่ยเฉินมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างยาวที่มืดครึ้มลง จากนั้นก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมาอีกครั้ง ‘เสี่ยวซี นานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่ปล่อยวาง ทำไมตั้งหลายวันแล้วยังไม่เข้าใจ’ เขารู้สึกว่าคนในอ้อมกอดเคลื่อนไหว จึงอดไม่ได้ที่จะกอดแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย พร้อมตัดสินใจว่าจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไป


“พี่เป่ยเฉินจะกอดเป่ยซีแบบนี้ตลอดไปเหรอ?” เสียงของอี้เป่ยซีขึ้นจมูกมาก น้ำเสียงยังคงแหบแห้งอยู่บ้าง เหมือนกับว่าร้องไห้มานาน อี้เป่ยเฉินปวดใจเล็กน้อย เขาต้องการจะดึงผ้าห่มที่คลุมตัวอี้เป่ยซีออก แต่ว่าถูกเธอดึงไว้สุดชีวิต


“เสี่ยวซี อย่าให้ตัวเองกลุ้มใจสิ”


“นี่เป็นสิ่งที่พี่เป่ยเฉินต้องการไม่ใช่เหรอ เสี่ยวซีอยู่ในบ้านแบบนี้ตลอดมันดีมากไม่ใช่เหรอไง? ไม่มีฉู่ซ่ง ไม่มีฉู่อี้ ไม่มีลั่วจื่อหาน พี่เป่ยเฉินน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอ”น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมาจากดวงตาของอี้เป่ยซี เปียกชื้นเป็นปื้น เธอกัดฟันพลางหายใจหอบเล็กน้อย ในช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งสองคนต่างรู้สึกเจ็บปวดกันทั้งคู่


“เสี่ยวซี อย่าเอาแต่ใจเลย” ถกเถียงกันเนิ่นนานแล้ว อี้เป่ยเฉินก็รู้สึกว่าอ่อนล้าไม่น้อย “เธออยากให้พี่ทำยังไงกันแน่ เธอยกโทษให้พวกเขาได้ แต่ว่าพี่ยกโทษให้ไม่ได้”


คนบนเตียงยังคงไร้การตอบสนอง เขาถอนหายใจ “ถ้าเธออยากขังตัวเองอยู่ในนี้ก็ทำต่อไปเถอะ พี่ยังมีงานอีก ต้องกลับบริษัทก่อน ข้าวทำให้เธอเสร็จแล้ว จะไปกินเมื่อไรก็ได้ ช่วงนี้เธอไม่ควรติดต่อกับคนภายนอก พี่จะเอามือถือไปก่อน”อี้เป่ยเฉินลุกขึ้น ขณะที่ออกไปก็มองอี้เป่ยซีที่ซ่อนอยู่บนเตียงอีกครั้งอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกไร้กำลังและโกรธเกรี้ยวผูกเข้าด้วยกัน เขาปิดประตู เสียงล็อกประตูดังขึ้นเบาๆ


อี้เป่ยซีได้ยินเสียงปิดประตูจึงค่อยออกมาจากผ้าห่ม ตาทั้งคู่บวมแดงจากการร้องไห้ เธอลุกขึ้นนั่งกอดตัวเอง ดวงตาที่แห้งเหือดเหม่อมองเพดาน ผ่านไปเนิ่นนานก็คว้าหมอนทุกใบบนเตียงโยนออกไป เธอกำเสื้อผ้าบนตัวของตัวเองแล้วร้องไห้อีกครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังร้องไห้เพราะตัวเองหรือว่าเพราะเรื่องอื่นกันแน่


มือถือถูกยึดไป อินเทอร์เน็ตถูกปิด อี้เป่ยซีทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก บ้าเอ๊ย จะไม่ให้เธอออกไปตลอดกาลเลยหรือไง? พี่เป่ยเฉินเห็นเธอเป็นอะไร? ขว้างแก้วในมือทิ้ง เสียงแก้วแตกดังลั่น น้ำไหลกระจายออกมา เธอเอียงศีรษะ ไม่มีทางออกเลยสักนิด


“เธอดูไม่มีความสุขเอาซะเลยนะ” ไม่รู้ว่าลั่วจื่อหานเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร เขาเดินลงบันไดมาจากชั้นสองช้าๆ อี้เป่ยซีมองคนที่ปรากฏตัวขึ้น สีหน้าตกใจ


“นายเข้ามาได้ยังไง?”


ลั่วจื่อหานลูบผมของเธอ แล้วหัวเราะ “ไม่มีอะไรขวางฉันได้หรอก ไปเถอะ”


“ไปไหน?”


“เธออยากไปไหนล่ะ?”


อี้เป่ยซีกัดริมฝีปากส่ายหน้า “ข้างนอกยังมีคนของพี่เป่ยเฉิน พวกเขาไม่ปล่อยฉันออกไปแน่”


“เสี่ยวซี เธอดูถูกฉันเกินไปแล้ว ในเมื่อฉันเข้ามาตอนที่พวกเขาจับตามองได้ ก็ต้องออกไปภายใต้การควบคุมของพวกเขาได้อยู่แล้ว” ลั่วจื่อหานกล่าวด้วยท่าทีอวดเก่ง ทันใดนั้นเอง อี้เป่ยซีก็ติดเชื้อความเชื่อมั่นจากเขาเสียแล้ว เธอพยักหน้าหงึกหงัก


“ฉันไปเปลี่ยนเสื้อก่อน แป๊บเดียวก็ได้แล้ว”


“ได้” เธอกลับห้องตัวเอง จากนั้นก็หาเสื้อคลุมง่ายๆ มาตัวหนึ่ง ตอนลงมาข้างล่างก็เห็นลั่วจื่อหานกำลังง่วนอยู่หน้าประตู คิ้วขมวดกันเล็กน้อย ท่าทางจริงจังมาก ผ่านไปครู่เดียว คิ้วก็ผ่อนคลายเหมือนเดิม ประตูใหญ่ถูกเปิดออกช้าๆ


ตอนนี้นอกจากประหลาดใจแล้ว อี้เป่ยซีก็ยังประหลาดใจอีก แม้เธอจะไม่เข้าใจหลักการของเทคโนโลยีขั้นสูงในปัจจุบัน แต่เธอรู้ว่าเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของอี้เป่ยเฉินถึงจะพูดไม่ได้ว่าเป็นผู้นำ แต่ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ทำไมของเหล่านั้นจึงถูกเขาปลดออกอย่างง่ายดายเช่นนี้ ราวกับเป็นเพียงเครื่องประดับอย่างไรอย่างนั้น


“คิดไม่ถึงว่านายจะปลดล็อคเป็น”


ตาของลั่วจื่อหานกระตุก ดึงมือของเธอออกไปข้างนอกทันทีโดยไม่พูดไม่จา พาเธอเข้าไปในรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบินแต่ก็ไม่ทิ้งความราบรื่นมั่นคง


ชายหนุ่มหันหน้าไปเห็นเด็กสาวที่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ รู้สึกปวดใจเล็กน้อย ถ้าตัวเองมาเร็วกว่านี้ก็ดีสิ


“นายรู้จักฉู่ซ่ง?”


ลั่วจื่อหานพยักหน้า “อืม เมื่อก่อนเคยเจอเขาที่ประเทศ Z”


“ประเทศ Z ก็คือประเทศ Z ที่เขาใช้ชีวิตมาโดยตลอดก่อนหน้านี้ นายรู้ไหมว่าเขาใช้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง คุณพ่อกับคุณแม่ฉู่ยังสบายดีไหม พวกเขา…”


“เรื่องพวกนี้เธอไปถามเขาเองดีกว่า ฉันตอบอะไรไม่ได้”


อี้เป่ยซีพยักหน้า พิงอยู่ข้างหน้าต่างรถ ‘ดีจังเลย ในที่สุดก็ได้เจอกับนายแล้ว ฉู่ซ่ง’ระหว่างที่คิดรอยยิ้มยินดีก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ลักยิ้มจางๆ นั้นเหมือนอาบด้วยแสงอาทิตย์


“อันนี้ฉันให้เธอ”


“นี่คืออะไร” อี้เป่ยซีรับกล่องของขวัญที่หีบห่อสวยงามมา แปลกใจเล็กน้อย “นายให้ฉัน หรือว่าฉู่ซ่งฝากนายมาให้ฉัน”


ลั่วจื่อหานมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปข้างหน้าอีกครั้ง ตอบอย่างเรียบง่ายว่า “ทั้งสองอย่าง เธอเปิดดูก็รู้แล้ว”


เธอแกะห่อออกด้วยท่าทางจริงจังมาก สร้อยข้อมือเพชรสีฟ้าเส้นหนึ่งปรากฏสู่สายตา อี้เป่ยซีรู้สึกว่าตัวเองหยุดหายใจ เธอหยิบสร้อยข้อมือออกมา มันเหมือนสร้อยเส้นหนึ่งของตัวเองเมื่อก่อนแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เธอพิจารณาดูอย่างละเอียด ถอนหายใจเบาๆ ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว สิ่งที่เคยคิดว่าชัดเจนมากสุดท้ายก็กลับเลือนราง เมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง แม้แต่รายละเอียดที่ตัวเองคิดว่าตราตรึงไว้ก็ลืมไปแล้ว


“ลั่วจื่อหาน ขอบคุณนะ” อี้เป่ยซีวางมันลงอย่างดี แล้วห่อกล่องกลับไปอีกครั้ง


“ไม่เหมือนของเธอตอนเด็กๆ เลย”


อี้เป่ยซีหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงฟังดูหดหู่เล็กน้อย “ก็นี่มันไม่ใช่ของฉันนี่นา ฉันก็เลยทิ้งมันไว้ นี่เป็นของฉู่เซี่ย อี้เป่ยซีจะเอาไปไม่ได้”


“มันไม่เหมือนกันเหรอ?”


“ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว” อี้เป่ยซีละสายตาไปจากกล่อง แล้วเอ่ยปากช้าๆ “นี่เป็นเรื่องของฉู่เซี่ยกับพี่ชายตัวน้อยคนนั้น ไม่มีฉู่เซี่ยแล้ว เรื่องราวของพี่ชายคนนั้นก็หายไปด้วย ไม่รู้ว่าเขายังรอฉู่เซี่ยอยู่ที่ปากถนนหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะโกรธที่ฉู่เซี่ยผิดนัดหรือเปล่า”


“เรื่องนี้เธอแบ่งแยกชัดเจนมาก” ลั่วจื่อหานพูด ไม่รู้ว่าในใจตัวเองรู้สึกอย่างไร ฉะนั้นเธออยากจะพูดว่าฉู่เซี่ยก็คือฉู่เซี่ยอี้เป่ยซีก็คืออี้เป่ยซีบ้าบออะไรนั่นเหรอ? มือที่จับพวงมาลัยออกแรงโดยไม่รู้ตัว


“ฉู่เซี่ยชอบพี่ชายตัวน้อยคนนั้นจริงๆ นะ แต่ว่าต่อให้ชอบอีกแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์” อี้เป่ยซีก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ราวกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่


“เธอ…ไม่เคยคิดจะตามหาเขาเหรอ?”


อี้เป่ยซีเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ลั่วจื่อหาน ทำไมนายถึงได้ห่วงเรื่องนั้นขนาดนี้”


เขาฝืนยิ้ม ยากที่จะซ่อนความเศร้าโศกบนใบหน้า “เพราะว่าความรู้สึกของการถูกทิ้งให้รอมาตลอด ตามหามาตลอด มันทรมานมากจริงๆ”


…………………….


บทที่ 55

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 55 เพื่อนเก่า (5)


ทุกครั้งก็คิดอย่างหมดหวังว่าเธอจากไปแล้วหรือเปล่า ทุกครั้งก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะท่าทางของเธอ อยากจะยอมแพ้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ลุกกลับขึ้นมาอีกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันรู้สึกแย่มากจริงๆ ลั่วจื่อหานถอนหายใจ รู้สึกราวกับว่าตะกอนที่อยู่ในใจค่อยๆ หายไปแล้ว


อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร ลั่วจื่อหานก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รถแล่นไปจนถึงใต้อพาร์ทเมนต์ของลั่วจื่อหาน เมื่ออี้เป่ยซีลงจากรถจึงเอ่ยปาก “ลั่วจื่อหาน นายไม่ต้องเสียใจหรอก คนดีๆ อย่างนาย ใครที่ทิ้งนายก็ถือเป็นความสูญเสียของเขา”


“อืม ฉันรู้ว่าเธอคิดยังไง ขอบคุณมากนะ เป่ยซี” เขาพูดพลางยื่นมือมาหยิกแก้มเธอ อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่หยาบกร้านและเจ็บปวดบนใบหน้า จึงรีบหลบอย่างไม่พอใจ


“เลิกหยิกได้แล้ว หน้าบานแล้วเนี่ย ปกติก็บานอยู่แล้ว”


ลั่วจื่อหานเหลือเชื่อ “แบบนี้ก็น่ารักดี” เขาพูดพลางก็ใช้มือจิ้มๆ อีก อี้เป่ยซีปัดออกและเดินไปข้างหน้าอย่างโกรธๆ เขาส่ายหน้า ยังเหมือนตอนเด็กๆ เลย


“ฉู่ซ่ง”เมื่ออี้เป่ยซีเห็นคนที่อยู่ในห้องรับแขก ดวงตาก็เปียกชื้น ฉู่ซ่งเงยหน้าขึ้นแล้วขมวดคิ้ว แต่ก็ยังเดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว


“ถ้าขัดอี้เป่ยเฉินไม่ได้ เธอยอมรับไปก็พอแล้ว ร้องไห้…ร้องไห้ทำไม ดูซิว่าหน้าตาเธอตอนนี้น่าเกลียดจะตายอยู่แล้ว”


“ฮือๆๆ ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีกอดเขา “ฉันตามหานายมานานแล้ว”


ฉู่ซ่งที่แสร้งทำเป็นขึงขังในตอนแรกอ่อนลง ตบหลังของเด็กสาวเบาๆ พลางพูดปลอบใจอย่างอ่อนโยน “เอาเถอะ ฉันอยู่นี่แล้ว มีอะไรน่าร้องล่ะ โตขนาดนี้แล้ว ทำตัวเหมือนเด็กไปได้”


น้ำตาของอี้เป่ยซีไหลรินลงมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ฉู่ซ่งที่มีสีหน้าอ่อนโยนก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำด้วยความโมโห “ฉู่เซี่ย น้ำมูกเธอเลอะเสื้อฉันแล้ว” เขาผลักเธอด้วยความรังเกียจ ขณะที่กำลังจะรับเอาทิชชูที่ลั่วจื่อหานยื่นให้มาเช็ดเสื้อผ้า ก็เห็นอีกฝ่ายส่งให้อี้เป่ยซีอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ ส่วนเขาก็เอาทิชชูห่อใหม่มาเช็ดเสื้อตัวเอง


“ฉันมียังธุระต้องจัดการ พวกเธอตามสบายเถอะ” ลั่วจื่อหานพูดจบก็เดินขึ้นไปข้างบนทันที อี้เป่ยซีนั่งอยู่บนโซฟาอยู่เนิ่นนานถึงจะหยุดร้องไห้


“ฉู่ซ่ง นายรู้จักกับลั่วจื่อหานได้ยังไง”


ฉู่ซ่งยิ้มมีเลศนัย “ฉันอยากถามเธอมากกว่าว่ารู้จักกับลั่วจื่อหานได้ยังไง”


“รอยยิ้มนายนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ”


“เธอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันหรอก”


“ฉู่ซ่ง พอฉันไปแล้ว พวกเธอสบายดีไหม?”


“ไม่ดี ไม่ดีเลยสักนิด” ฉู่ซ่งกอดอี้เป่ยซีไว้ “ฉู่เซี่ยเธอเป็นคนโง่ที่งี่เง่าที่สุดในโลกเลย ใครสอนเธอว่ารวยแล้วจะสบายดี ใครจะไปสนใจผลประโยชน์น้อยนิดที่พวกบ้านอี้ให้กันล่ะ เธอเหมือนกัน ไม่บอกฉันสักคำก็จากไปแล้ว ฉันยังไม่เห็นด้วยเลย เธอมีสิทธิ์อะไรทำตามใจตัวเอง”


อี้เป่ยซีลูบหัวของเขา เหมือนกับเป็นพี่สาวคนหนึ่ง “ซ่งซ่ง ตอนนั้นน่ะ พ่อทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันไม่อยากพวกเขาลำบาก บ้านอี้ดีกับฉันมาก แล้วก็ดีกับพวกนายมากเหมือนกันนะ”


ฉู่ซ่งเกาะเธอแน่น ส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย “ไม่ดีๆ ไม่ดีเลยสักนิด ที่พ่อยืนหยัดต่อไปไม่ได้มันไม่เกี่ยวกับเธอเลย ตัวเองแก้ไขปัญหาไม่ได้ สุดท้ายยังให้คนที่อ่อนแอกว่าเข้ามาช่วย ฉันละอายใจแทนพ่อจริงๆ”


เธอยื่นมือตบหลังของเขา ก็ได้ยินเสียงร้องลั่นของฉู่ซ่ง “โอ๊ย…ฉู่เซี่ย เธอนี่มือหนักจริงๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว”


“ฉันแค่ตบเบาๆ เอง คงไม่ขนาดนั้นมั้ง นายเจ็บขนาดนั้นจริงเหรอ?”


“ล้อเล่นน่ะ” ฉู่ซ่งกัดฟัน เธอลองให้คนอื่นตบบนแผลเธอดูสิ อย่าร้องไห้ก็แล้วกัน


“เอาเถอะ ฉันจะนวดให้นาย”


“เธออย่า โอ๊ย…ฉู่เซี่ย หยุดเดี๋ยวนี้ เจ็บๆๆ” ฉู่ซ่งเจ็บจนน้ำตาไหล ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นฉันจะเอาหลังไปรับไม้ทำไมกัน


อี้เป่ยซีรู้สึกผิดปกติจึงดึงเสื้อยืดของฉู่ซ่งขึ้นทันที รอยฟกซ้ำปรากฏสู่สายตา เธอยื่นมือไปแตะด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ฉู่ซ่งรู้สึกว่ามีของเหลวเย็นๆ บางอย่างสัมผัสกับร่างกายของตัวเอง เขารีบดึงเสื้อของตัวเองขึ้น


“ฉู่เซี่ย เธอทำมาจากน้ำรึไง? น้ำตาเยอะขนาดนี้ยังร้องไห้ไม่หมดอีกเหรอ อีกอย่างเพิ่งเจอกันครั้งแรกก็คิดจะถอดเสื้อฉันซะแล้ว เธอนี่หน้าไม่อายจริงๆ”


อี้เป่ยซีถูกเขาแซวจนหัวเราะ เธอด่าเขาทั้งน้ำตา “เกิดอะไรขึ้นกับนาย?”


“ไม่มีอะไร ก็แค่พวกเด็กเมื่อวานซืนสองสามคนเล่นเกมแพ้แล้วก็มาซ้อมฉัน หน้าไม่อายจริงๆ” เขามองเธอแล้วเอ่ยขำๆ จากนั้นก็กอดอี้เป่ยซีอีกรอบ “แต่ว่าฉันชนะแล้วก็คือชนะ ไม่ว่าเขาจะซ้อมฉันยังไงฉันก็ชนะแล้ว โอ้โห ความรู้สึกแบบนี้มันดีจริงๆ”


“ขอโทษนะ ฉู่ซ่ง”


ฉู่ซ่งอึ้งไป จากนั้นก็พูดต่อ “ฉู่เซี่ย เธอฉลาดกว่าเมื่อก่อนหน่อยหนึ่ง แต่ฉันไม่ชอบเอาซะเลย ต่อไปจะหลอกเธอออกไปช่วยงานฉันคงยากแล้วล่ะ ฉันไม่เป็นไร เธอจะโทษตัวเองไปทำไม เอาเถอะๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เธออยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าพวกเราเป็นยังไงบ้าง ฉันจะค่อยๆ เล่าให้เธอฟัง”


ฉู่ซ่งเลือกเล่าเพียงเรื่องที่น่าสนใจหลังจากเธอจากไปแล้วให้ฟัง และยังเล่าถึงเรื่องที่เขาไปตามหาเธอ ตำหนิเธออีกเล็กน้อย


“ตอนนั้นฉันสงสัยจริงๆ ว่าตาของเธอเป็นของปลอมรึเปล่า ฉันยืนอยู่ตรงหน้าทั้งคน แต่เธอกลับมองไม่เห็นฉันเลย”


อี้เป่ยซีหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร ‘ฉู่ซ่ง ที่จริงฉันก็ตามหานายเหมือนกัน แต่ว่าตอนอยู่บนเครื่องบินกำลังจะบินไปประเทศ Z ก็ยังถูกพวกเขาขวางเอาไว้ ฉันก็เคยเห็นนายเหมือนกัน นายใส่เสื้อหมวกตุ๊กตาร้องไห้งอแงเหมือนเด็กโง่เลย’


“ฉู่ซ่ง นายบอกว่าอยากเล่นเกมกับฉันไม่ใช่เหรอ ว่ายังไง ยังอยากเล่นไหม”


“ฉู่เซี่ย ตอนนี้ไม่มีใครกล้าท้าทายฉันมาหลายปีแล้ว วันนี้แหละพี่ชายจะทำให้เธอรู้จักกับคำว่าอับอาย”


อี้เป่ยซีตีเขาทันที


“โอ๊ย ฉู่เซี่ย เจ็บจะตายแล้ว”


“ขอโทษ ขอโทษ ฉันลืมไป ลืมไป”


“รอฉันไปเอาจอยสติ๊กแป๊บหนึ่ง” ฉู่ซ่งลุกขึ้นอย่างไม่รีรอ หยิบเครื่องเกมกับจอยสติ๊กออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง ทั้งสองคนเล่มเกมกันอยู่ในห้องรับแขก ขณะที่อี้เป่ยซีแพ้นับครั้งไม่ถ้วนแล้วนั้น เธอแย่งจอยสติ๊กมาจากมือของฉู่ซ่งทันที ปัดไปปัดมาไม่กี่ครั้ง ในที่สุดจึงชนะเขาจนได้


“ขี้โกงอีกแล้ว”


“ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว แพ้นายตลอด ไม่สนุกเลย นายหิวหรือเปล่า ฉันหิวแล้ว”


ฉู่ซ่งพยักหน้าอย่างเกียจคร้าน “อืม หิวแล้ว เธอไปทำกับข้าวเถอะ”


เธอขว้างจอยสติ๊กไปที่หน้าอกเขาทันที “ทำกับข้าวอะไร ฉันทำกับข้าวเป็นที่ไหนกัน”


“เธอเป็นผู้หญิงดุแบบนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบหรอกนะ แน่นอนว่าก็ไม่มีเด็กผู้หญิงมาชอบเธออยู่แล้ว”


“อย่ามาพูดพล่อยๆ” อี้เป่ยซีมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “พวกเราไปกินปิ้งย่างกันเป็นไง?”


เขาเบะปากอย่างไม่ใส่ใจนัก “เธอก็โตแล้ว ในหัวยังมีแต่เรื่องของเด็กๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพ ตอนเด็กๆ ก็เคยสอนเธอ ตอนนี้ก็ลืมซะแล้ว”


“ตอนเด็กวันๆ ใครเห็นปิ้งย่างแล้วน้ำลายไหลกันแน่”


“แค่ก เธออยากไปกินไม่ใช่เหรอ งั้นไปเถอะ ฉันจะไปบอกพี่จื่อหานก่อน”


อี้เป่ยซีหยุดเขาไว้ทันที “ไม่ต้องหรอก พวกเราไปกันเอง”


…………………..


บทที่ 56

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 56 เพื่อนเก่า (6)


ฉู่ซ่งลังเลครู่หนึ่ง พยักหน้าด้วยความลำบากใจเล็กน้อย เขาเหลือบมองที่บันได แต่ก็ยังออกไปกับอี้เป่ยซี


แสงอาทิตย์ของฤดูใบไม้ผลิสาดส่องอบอุ่นอยู่บนตัว ความโศกเศร้าทุกข์ใจทั้งหมดต่างมลายหายไป รอยยิ้มเจือก็ความหวานชื่น มือทั้งสองอดไม่ได้ที่จะจับกันไว้แน่น


ได้เจอคนที่ตามหาแล้ว ทำไมจะไม่ดีใจล่ะ


“เอ่อ ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีที่วิ่งมาถึงปากทางหยุดลง “เธอรู้ไหมว่าที่ไหนมีปิ้งย่างขาย?”


ฉู่ซ่งเอามือกุมหน้าผากอย่างห้ามไม่ได้ เหลือบมองเธอแวบหนึ่งด้วยความรังเกียจ “ไม่รู้แล้วยังพาฉันออกมานานขนาดนี้?”


“ก็คนมันตื่นเต้นนี่ เลยห้ามไว้ไม่อยู่”


“ตามฉันมาเถอะ” เขาส่ายหัว ดึงมือเธอเดินไปยังทิศตะวันออก ย่ำไปตามร่มเงาไม้ ก้าวย่างแผ่วเบา


ทั้งสองคนหยุดอยู่ที่ร้านปิ้งย่างชื่อล่งถัง เวลานี้มีคนไม่มาก ในร้านอาหารผู้คนบางตาอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาเลือกห้องส่วนตัวห้องเล็ก ทันทีที่อาหารมาเสิร์ฟทั้งสองคนก็เริ่มกินอย่างเต็มที่ แม้ว่าปริมาณจะเพียงพอ แต่พวกเขาก็ยังแย่งกันกิน ไม่ได้กินไปมากนัก แต่พูดคุยเสียงดังกันจนเหนื่อย


“ไม่ได้กินข้าวแบบนี้นานแล้ว” อี้เป่ยซีพิงเก้าอี้อย่างพออกพอใจ “พวกเราจะทำอะไรกันต่อดี? ดูหนัง?”


เขาขมวดคิ้ว “ทำไมรู้สึกว่าวันนี้เธอรีบจังเลย?”


“จริงเหรอ? ไหนๆ ก็ออกมาแล้วนี่นา จะนั่งแช่ที่อยู่เดียวแล้วไม่ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ หลุดออกมาแล้วไม่เที่ยวเต็มที่ ถ้างั้นออกมาจะไปสนุกอะไร”


“ฉู่เซี่ย” เขามองเธอ ดวงตาเป็นประกาย อี้เป่ยซีเอียงศีรษะด้วยความสงสัย


“เปล่า ฉันจะดูว่ามีหนังอะไรบ้าง” เขาพูดพลางก็ก้มหน้าเปิดแอปพลิเคชัน “เธออยากจะไปดูรอบไหน?”


อี้เป่ยซีคิดครู่หนึ่ง นิ้วเคาะอยู่บนแก้วเบาๆ “อืม ตอนนี้เลย มีอะไรดูบ้าง?”


“มีเรื่องหนึ่งชื่อ ‘เหนือใต้ออกตก’ ดูจากบทวิจารณ์แล้วแย่อยู่นะ งั้นดูรอบกลางคืนเถอะ มีเรื่องหนึ่งคะแนนดีมาก”


“งั้นดูเรื่องนั้นแหละ ตอนกลางคืนก็มีเรื่องของตอนกลางคืน ไปเถอะ นายไปจ่ายเงิน”


ฉู่ซ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง “นี่คือความเป็นพี่สาวของเธอเหรอ? ให้ฉันไปจ่ายเงิน ทำไมเธอถึงขี้งกแบบนี้”


“อือ พูดได้ดี ฉันนี่แหละขี้งก นายไปจ่ายเงินไป” เขาส่ายหัว แต่ก็ยังไปที่เคาน์เตอร์อย่างว่าง่าย


หลังจากที่ทั้งสองคนเข้าโรงหนังไป หนังก็ฉายแล้ว หนังฉายไปได้สิบกว่านาที ทั้งโรงหนังก็ยังมีเพียงพวกเขาสองคน


“นายเหมาโรงเหรอไง?” อี้เป่ยซียัดข้าวโพดคั่วใส่ปากขณะถาม


“บอกเธอแล้วว่าหนังเรื่องนี้มันแย่ ไม่มีคนดูหรอก ตอนนี้รู้แล้วล่ะสิ” ฉู่ซ่งออกอาการประมาณว่าฉันก็บอกเธอแล้ว อี้เป่ยซียกมือขึ้นตบๆ หัวของเขา


“กินข้าวเมื่อกี้ยังงกอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงใจกว้างเหมาโรงหนังซะล่ะ”


ฉู่ซ่งหัวเราะหึๆ สองคำแต่ไม่ได้พูดอะไร กดข้าวโพดคั่วลงบนหน้าอกของอี้เป่ยซี “กินเถอะ กินแล้วก็หุบปากเธอไม่ได้ เธอพูดเก่งขนาดนี้ คนอื่นมายังต้องไล่เธอออกไปเลย”


“ถือว่านายชนะ”เธอเอาความสนใจไปอยู่บนหน้าจออีกครั้ง หนังน่าเบื่อเล็กน้อย รู้สึกว่าแต่ละฉากไม่ได้ใส่ความพยายามลงไป เรื่องราวดำเนินไปอย่างเรื่อยเปื่อย ฉู่ซ่งดูไม่ทันไรก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังเรียกเขาอยู่ในหัวแล้วผล็อยหลับไป อี้เป่ยซีจ้องบนหน้าจอขนาดใหญ่ ดวงตาสุกใส


“แม่น้ำทั้งห้าสายและทะเลทั้งสี่ไหลมาบรรจบ แล้วไหลไปทั่วทุกสารทิศ เรื่องราวของพวกเราไร้ซึ่งอิสระมาตั้งแต่แรก…” เสียงเพลงตอนจบดังขึ้น ฉู่ซ่งจึงลืมตา


“หืม จบแล้วเหรอ?”


“อืม จบแล้ว” อี้เป่ยซีถือถังข้าวโพดคั่วที่ว่างเปล่าแล้ว “แต่ของกินเล่นที่ซื้อมาไม่พอ หมดตั้งแต่ยังไม่จบเรื่อง”


ฉู่ซ่งมองเธออย่างประหลาดใจ “เพิ่งกินปิ้งย่างไปไม่ใช่เหรอ เธอกินถังใหญ่ขนาดนี้ลงไปได้ยังไง”


“มีอะไรน่าแปลก ของว่างก็คือของว่าง ปิ้งย่างก็คือปิ้งย่าง ไม่เหมือนกันนะ ไปเถอะ พวกเราไปที่อื่นต่อ”


เมื่อออกจากโรงหนัง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ฉู่ซ่งดูเวลา “ป่านนี้แล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”


“ไม่ๆๆ รอจนทำอย่างสุดท้ายเสร็จแล้วก่อน สถานที่สุดท้าย ไปที่สวนสนุกแล้วค่อยกลับเถอะ” อี้เป่ยซีคว้าตัวฉู่ซ่ง ต้องการจะเดินไปข้างหน้า


“เธอรู้เหรอว่าอยู่ที่ไหน?”


“เหมือนว่าฉันเคยไป แต่ว่าจำไม่ได้แล้วว่าไปยังไง”


“ฉันพาเธอไปแล้วกัน” ฉู่ซ่งก้มหน้าส่งข้อความ แล้วก็ลากอี้เป่ยซีไปยังทิศทางของสวนสนุก


ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในสวนสนุกก็เริ่มเล่นอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับเด็กน้อยที่ยังไม่โต อยู่ในสวนสนุกที่เต็มไปด้วยแสงไฟสีสันสดใส ไล่จับกันครึกครื้นและไร้กังวล


ลั่วจื่อหานได้รับข้อความของฉู่ซ่งแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูอาหารชั้นเลิศที่วางอยู่เต็มโต๊ะก่อนจะถอนหายใจ แล้วทิ้งของทุกอย่างลงในถังขยะ หลังจากล้างถ้วยชามจนสะอาดและเก็บเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นชั้นสองไปตามลำพังอย่างอ้างว้าง


‘เซี่ยเซี่ย ครั้งหน้าอย่าลืมกลับมานะ’


เข็มนาทีหมุนอยู่บนหน้าปัดสองรอบ เสียงกริ่งประตูดังชัดเจนอยู่ในอาคารที่ว่างเปล่า มุมปากของลั่วจื่อหานกระตุกเบาๆ เขาไปเปิดประตู


ทันทีที่เปิดประตู อี้เป่ยเฉินชกลั่วจื่อหานทันทีโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ หมัดที่กำแน่นส่งเสียงกรอบๆ เขาข่มความโกรธของตัวเองเอาไว้ “เสี่ยวซีอยู่ที่ไหน”


“เธอไม่ได้อยู่ที่นี่” หลังจากได้รับหมัดของอี้เป่ยเฉิน มุมปากลั่วจื่อหานมีเลือดซึมออกมา เขาหยิบทิชชูมาเช็ด “นั่งคุยกันก่อนเถอะ”


“ไม่มีอะไรให้คุย ถ้านายรู้ว่าเสี่ยวซีอยู่ที่ไหนก็พูดออกมา ถ้านายไม่รู้ฉันจะไปตามหาเธอเอง”


“แล้วหลังจากเจอเธอล่ะ? ก็ขังไว้อีกเหรอ”


“นี่คือเรื่องระหว่างพวกเรา ไม่เกี่ยวกับนาย”


ลั่วจื่อหานหัวเราะเบาๆ “ถ้าเป็นเรื่องของฉู่เซี่ย งั้นมันก็เกี่ยวกับฉันแล้ว ทำไม นายก็แคร์มากไม่ใช่เหรอ แคร์เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉู่เซี่ย ที่นายกีดกันฉู่ซ่งแบบนี้น่าจะยังมีเหตุผลอื่นอีกมั้ง”


“ใช่ เพราะงั้นนะลั่วจื่อหาน นายทำไปเพื่ออะไร เพื่อช่วยฉู่ซ่งเหรอ? นายคิดว่าฉันจะเชื่อว่านายมีน้ำใจขนาดนั้นรึไง”


“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด น่าจะพูดว่าเป็นเพราะอี้เป่ยซี ไม่สิ เพราะฉู่เซี่ยก็ได้”


“ลั่วจื่อหาน ฉันจะเตือนนาย อยู่ห่างๆ เสี่ยวซีไว้”


เขาพยักหน้า “อี้เป่ยเฉิน นายคิดว่าหลังจากลู่เยี่ยหวาเกิดเรื่องแล้ว ระหว่างนายกับอี้เป่ยซียังเป็นไปได้อีกงั้นเหรอ?”


อี้เป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร ลั่วจื่อหานยังคงพูดต่อไป “นายคือสาเหตุของเรื่องนั้นไม่มากก็น้อยไม่ใช่เหรอ ในเมื่อตอนนี้พวกนายสองคนมีช่องว่างต่อกันแล้ว ตอนนี้นายยังมาทำแบบนี้อีก จะไม่เป็นการผลักอี้เป่ยซีให้ยิ่งห่างออกไปเหรอไง?”


“สักวันเธอจะเข้าใจ”


“เธอไม่เข้าใจหรอก อี้เป่ยซีเป็นคนยังไง นายเห็นเธอเติบโตมา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ ถ้าเป็นเรื่องที่เธอเชื่อมั่นแล้วไม่ยอมให้ลุยสักตั้ง เธอไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน ตอนนี้เธอเชื่อมั่นในฉู่ซ่งแล้ว นอกจากฉู่ซ่งจะทำอะไรจริงๆ ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีวันทิ้งเขาไปแน่นอน”


แม้จะแค่ห้าปี แต่ชีวิตช่วงนั้นของฉู่เซี่ยก็เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของอี้เป่ยซี ยิ่งนายปฏิเสธของพวกนี้ ก็จะยิ่งห่างเธอไปไกลขึ้นเรื่อยๆ อี้เป่ยเฉิน หรือว่านายไม่รู้สึกหรือไง?


ไม่รู้สึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนและความลังเลของเธอในตอนนี้ ไม่รู้สึกถึงความน้อยใจกับความเสียใจของเธอในตอนนี้หรือไง นายคิดว่าทำเพื่อเธอแต่นายทำเพื่อตัวเองมาตั้งแต่แรก


ถ้านายชอบเธอจริงๆ ก็ควรจะชอบทั้งหมดที่เป็นเธอ ไม่ใช่ลักษณะของอี้เป่ยซีที่นายหล่อหลอมมาเองกับมือ นายกำลังกลัว กลัวว่าเธอจะกลายเป็นตัวของตัวเองจริงๆ และอยู่นอกเหนือความควบคุมของนาย”


คำพูดของลั่วจื่อหานพรั่งพรูออกมา มือที่กำแน่นของอี้เป่ยเฉินค่อยๆ ผ่อนคลาย…


………………………..


บทที่ 57

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 57 เพื่อนเก่า (7)


ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท ค่อยๆ แทรกตัวกันหนาแน่นราวกับน้ำหมึกสีดำที่หยดลงมาได้ ดวงดาวสุกใสไม่กี่ดวงกระจัดกระจายอยู่ตรงกลาง เผยความอ้างว้างออกมาให้เห็น ผู้คนในสวนสนุกทยอยจากไป เสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เบาบางจนเงียบลงในที่สุด อี้เป่ยซีเดินออกมาจากสวนสนุกกับฉู่ซ่ง พลังทั้งร่ายกายราวกับถูกสูบออกจนหมดในพริบตาที่ก้าวออกจากประตู เธอก้มหน้ายิ้ม


            “รู้สึกฟ้ามืดเหมือนฝนจะตกเลย”


            ฉู่ซ่งเงยหน้าขึ้นตามเธอ “จะเป็นไปได้ยังไง หลายวันนี้อากาศก็แจ่มใสดี”


            เธอไม่ได้รับคำเขา พูดกับตัวเองว่า “นายรู้ไหม ฉันเกลียดวันฝนตกที่สุดเลย อากาศชื้นๆ ทำให้ฉันรู้สึกว่าของที่ตัวเองเก็บไว้จะขึ้นรา ไม่ทันรู้ตัวก็เอาพวกมันออกมาตรวจดูแล้ว พลิกไปพลิกมาก็รู้สึกว่าปล่อยให้มันเน่าอยู่ตรงนั้นก็แล้วกัน ความรู้สึกที่เป็นแบบนี้ตลอดเวลามันแย่มากๆ เลย”


            ฉู่ซ่งขยับนิ้ว แต่ยังจูงมือของเธออยู่ มือของอี้เป่ยซีที่เล็กๆ เย็นๆ วางอยู่ในมือของเขาอย่างว่าง่าย


            “ทำไมมือของเธอเย็นจัง? เธอหนาวเหรอ?” เขาพูดพลางทำท่าจะถอดเสื้อตัวนอกของตัวเอง อี้เป่ยซีห้ามเขา


            “นายเป็นเด็กขี้โรคยังจะกล้าถอดเสื้อให้ฉันอีก ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากดูแลคนป่วย”


            “นั่นมันเป็นเรื่องตอนเด็กๆ ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว”


            เธอส่ายหัว “ฉู่ซ่ง ขอบคุณนะ แล้วก็ขอบคุณลั่วจื่อหานแทนฉันด้วย”


            “ฉู่เซี่ย”


            อี้เป่ยซีดึงมือของตัวเองออกมา ยิ้มแล้วมองเขา “ฉู่เซี่ยไม่อยู่แล้ว ฉู่ซ่ง ฉันคืออี้เป่ยซี ยินดีที่ได้รู้จักเธอนะ”


            “ฉู่เซี่ย เธอก็คือฉู่เซี่ย ฉันไม่สนหรอก เธอคือฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งกอดเธอไว้ทันที “ไม่น่าล่ะเธอถึงไม่ยอมหยุดเลย ที่แท้ก็คิดแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วเหรอ? คิดไว้แล้วว่าคืนนี้จะเตะฉันออกไปอย่างไม่ใยดี ฉู่เซี่ย เธอใจร้ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ฉันตามหาเธอมาสิบกว่าปี สิบกว่าปีเพื่อให้เธอบอกฉันว่าไม่มีฉู่เซี่ยแล้วงั้นเหรอ?


            ฉันไม่ต้องการ เธอคืนฉู่เซี่ยของฉันมาให้ฉัน ฉันไม่สนว่าฉู่เซี่ยจะอยู่กับอี้เป่ยเฉิน แต่ว่าเธอจะฆ่าฉู่เซี่ยฉันไม่ได้ อี้เป่ยซี เธอทำไม่ได้”


            อี้เป่ยซีคิดจะตบๆ หลังของเขา ถึงเพิ่งนึกได้ว่าเขาบาดเจ็บ จึงทิ้งมือลงข้างลำตัวอย่างอ่อนแรง “ฉู่ซ่ง ฉันไม่ได้หมายความว่าจะเตะนายออกไป ฉันยังเป็นพี่สาวของนาย ในฐานะอี้เป่ยซี”


            “อี้เป่ยซีอะไร ฉันไม่รู้จักเขา ฉันรู้จักแต่ฉู่เซี่ย และเธอก็คือฉู่เซี่ยไง ทำไมถึงไม่ยอมรับ”


            “ฉันไม่เข้าใจ อี้เป่ยซีกับฉู่เซี่ยก็เป็นแค่ชื่อเท่านั้น ฉันก็คือฉัน ทำไมพวกนายต้องยึดติดขนาดนี้ด้วย ฉันก็เหนื่อยมากเหมือนกันนะ เกือบโดนพวกนายบีบจนเป็นบ้าอยู่แล้ว”


            “ฉู่เซี่ย”


            อี้เป่ยซีถอนหายใจ “ฉู่ซ่ง ปกตินายน่ะฉลาดที่สุด นายน่าจะเข้าใจความรู้สึกของฉัน พี่เป่ยเฉิน เขาไม่ชอบให้ฉันติดต่อกับพวกนาย…”


            “งั้นตอนนี้เธอจะไปแล้วเหรอ? ให้ความหวังกันแล้วก็ถีบส่งฉันอย่างโหดเหี้ยม?”


            “ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันหมายถึง…”


            “ฉันไม่อนุญาต ฉู่เซี่ย ฉันไม่อนุญาต”


            “นายฟังฉันให้จบก่อน” อี้เป่ยซีรู้สึกสมองจะระเบิดอยู่แล้ว ทำไมพวกเขาต่างต้องยึดติดกับอะไรแปลกๆ พวกนี้ด้วย พี่เป่ยเฉินก็ด้วย ฉู่ซ่งก็ด้วย เธอเป็นตัวเธอเอง เธอจะกลายเป็นคนอีกคนเพราะเปลี่ยนชื่อตัวเองได้อย่างไร “อย่าขัดฉัน ถ้านายขัดฉันอีกฉันจะต่อยนายเลย


            พี่เป่ยเฉินเขาดีกับฉันมาก ฉันก็ไม่อยากเห็นเขาไม่มีความสุข แน่นอนว่าฉันก็ไม่อยากเห็นน้องชายคนโปรดของตัวเองเสียใจเหมือนกัน ชื่อไม่สำคัญเลยจริงๆ แต่ฉันหวังว่านายจะเคารพการตัดสินใจของฉัน ตอนนี้ฉันคืออี้เป่ยซี นี่คือความจริงที่ไม่จำเป็นต้องเถียงกัน


            ฉันไม่อยากเห็นนายกับพี่เป่ยเฉินไม่มีความสุข ฉันจะไม่มีทางปล่อยคนใดคนหนึ่งไป แต่ว่านะฉู่ซ่ง ตอนนี้พวกเราไม่ควรจะสนิทกันให้มาก แต่นายเชื่อฉันเถอะ อีกหน่อย อีกหน่อยฉันจะทำให้พี่เป่ยเฉินค่อยๆ ยอมรับนายเอง”


            ฉู่ซ่งเบะปาก “เขาไม่ใช่พี่ชายฉัน”


        “นายดูสิ ตอนนี้เขาก็ต่อต้านนายเหมือนที่นายต่อต้านเขานั่นแหละ”


            “มันไม่เหมือนกัน เขาเป็นโจรที่ขโมยเธอไป ฉันไม่เหมือนกัน”


            อี้เป่ยซีส่ายหัว “ฉันว่าตอนนี้พี่เป่ยเฉินก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”


            มือของฉู่ซ่งแข็งทื่อ ปล่อยมือขณะมองตาเธออย่างจริงจังมาก “ไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน ฉันบอกว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือนสิ”


            “นายยังเป็นเด็กจริงๆ”


            “ก็ฉันยังเป็นเด็กอยู่ ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายคุ้มครองเยาวชน ฉู่เซี่ย เธอต้องระวังหน่อย อย่าลงมือลงไม้กับฉันสุ่มสี่สุ่มห้านะ”


            อี้เป่ยซีเตะไปที่น่องของเขาทันที ทั้งสองคนหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ


            “ถ้าพี่ชายเธอไม่ยอมไปตลอดล่ะจะทำยังไง?”


            “ไม่หรอก พี่เป่ยเฉินรักฉันที่สุดแล้ว เขาน่ะที่จริงก็คุยง่ายอยู่นะ” ตัวอี้เป่ยซีเองก็ไม่แน่ใจเท่าไร


            ฉู่ซ่งมองเธอด้วยความสงสัยเล็กน้อย “แค่ก ฉู่เซี่ย ฉันมีคำถาม คือว่า คนอื่นที่เป็นพี่ชายน้องสาวกันเขาก็เรียกว่าพี่ชายหรือพี่สาวเฉยๆ ไม่ก็เรียกชื่อกัน เธอเรียกเขาว่าพี่เป่ยเฉินอะไรนั่น มันรู้สึกแปลกๆ แล้วก็…แค่ก”


            “พวกเราไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ นะ นายไม่รู้เหรอ?”


            เขาตบๆ หัวเงียบๆ “ประเด็นของฉันไม่ได้อยู่ตรงนี้น่ะ”


            อี้เป่ยซีกะพริบตาปริบๆ จงใจหลบเลี่ยงคำถามนี้ แต่ฉู่ซ่งกลับเริ่มพูดต่อ “ฉู่เซี่ย หรือว่าเธอ…”


            เธอคว้านิ้วของฉู่ซ่งที่ยื่นมาไว้ “มองออกแล้วก็ไม่ต้องพูด รู้หรือเปล่า”


            “อืมๆๆ”


            “ที่จริง” เธอปล่อยมือเขาอย่างเศร้าสร้อย “ระหว่างฉันกับพี่เป่ยเฉินมันเป็นไปไม่ได้ พวกเราเป็นแค่พี่ชายกับน้องสาว” และก็เป็นได้เพียงแค่พี่ชายน้องสาว เธอไม่สามารถแบกรับเรื่องราวเหล่านั้นเหมือนกับคนไร้หัวใจ และชอบอี้เป่ยเฉินต่อไปได้


            “เป็นเพราะว่าลู่เยี่ยหวา เหมือนจะเป็นชื่อนี้นะ เพราะเขาใช่ไหม”


            อี้เป่ยซีเบิกตาโต “นายรู้ชื่อเขาได้ยังไง ตอนนี้ที่มหา’ลัยก็รู้แล้วเหรอ?”


            “ก่อนหน้านี้ลู่เยี่ยอิ่งทำเธอร้องไห้ไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยสืบดู แล้วเธอชอบลู่เยี่ยหวาไหม?”


            “ฉันไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้กับด้วย” เธอเบือนหน้าหนี


            ฉู่ซ่งวิ่งไปยังทิศทางที่เธอหันหน้าหนี พูดเอาใจว่า “ก็ได้ ไม่พูดถึงพวกเขาแล้ว แล้วลั่วจื่อหานล่ะ เธอคิดว่าพี่จื่อหานเป็นยังไง รู้สึกว่าก่อนหน้านี้เขา…”


            รถที่เคลื่อนมาข้างหน้าบีบแตร อี้เป่ยซีเห็นรถที่คุ้นตาก็แย้มยิ้ม “เรื่องของอนาคตไว้คุยกันในอนาคตเถอะ รบกวนนายฝากไปบอกด้วยนะ ฉันกลับก่อนล่ะ บาย”


            ฉู่ซ่งยังไม่ทันเรียกเธอให้หยุด อี้เป่ยซีก็ขึ้นรถไปแล้ว เธอนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ แอบมองอี้เป่ยเฉินด้วยความอึดอัดเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าที่ขึงขังของเขา คำพูดที่ต้องการพูดวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยปากอย่างไร


            “เสี่ยวซี วันนี้ไปเที่ยวสนุกเหรอ?”


ใบหน้าเล็กๆ ของอี้เป่ยซีก้มต่ำลงทันที “ขอโทษนะพี่เป่ยเฉิน ทำให้พี่เป็นห่วงแล้ว คราวหน้าฉันจะไม่ทำอีก”


………………………….


บทที่ 58

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 58 เพื่อนเก่า (8)


อี้เป่ยซีก้มหน้า เหมือนกับเด็กน้อยที่ทำผิดแล้วรอการดุด่าจากผู้ปกครอง แอบดูปฏิกิริยาของอี้เป่ยเฉินเป็นครั้งคราว


            แย่แล้วๆ นี่คือความสงบก่อนลมพายุหรือเปล่า มือเล็กๆ กำแน่นด้วยความตื่นเต้น ทำก็ทำไปแล้ว ยอมรับการลงโทษก็เป็นสิ่งที่สมควร อี้เป่ยซี อย่ากลัวสิ เธอคิดพลางมือกำแน่นขึ้นอีกพร้อมน้อมรับความตายอย่างกล้าหาญ


            อี้เป่ยเฉินหลือบมองเธอตลอดเวลา เห็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด จึงแสร้งทำเป็นขึงขังแล้วกระแอมไอ “เอาเถอะ มีใครที่ยอมรับผิดแล้วยังล่อกแล่กขนาดนี้ล่ะ นั่งดีๆ เถอะ”


            เธอหันไปยิ้มอย่างสดใส ถอนหายใจอยู่ในใจ ครั้งนี้โอเคแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว


            “คำถามของพี่ยังไม่ได้ตอบเลยนะ วันนี้เสี่ยวซีสนุกมากไหม?”


            มันก็ผ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังวุ่นกับคำถามนี้อีก อี้เป่ยซีพิงพนักเก้าอี้ ประเมินด้วยสายตาก็เดาไม่ออกว่าพี่เป่ยเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เธอควรจะตอบอย่างไรดี ไม่สิ เขาอยากให้เธอตอบแบบไหนล่ะ? สนุก? จะทำให้เขาโกรธหรือเปล่านะ ไม่สนุก นี่ก็ดูจะโกหกไปหน่อยมั้ง


            ‘เดาไม่ออกจริงๆ ว่าพวกนายกำลังคิดอะไรกันแน่’ อี้เป่ยซีลูบๆ คาง สับสนเอามากๆ


            “ตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”


            อี้เป่ยซีส่ายหน้า “พี่เป่ยเฉิน ฉันไม่รู้ ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่คิดยังไง ฉันอยากให้พี่มีความสุข แต่ว่าฉันก็ปล่อยฉู่ซ่งไปไม่ได้ ฉันรู้ว่าตัวเองโลภมากที่รักพี่เสียดายน้องแบบนี้ แต่ว่าพี่เป่ยเฉิน ฉันเลือกไม่ได้จริงๆ”


            “ถ้าเธอต้องเลือกล่ะ”


            เธอมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ อย่างเหลือเชื่อเล็กน้อย ก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อย “พี่เป่ยเฉิน ไม่ตอบคำถามนี้ได้หรือเปล่า เที่ยวมาทั้งวันแล้ว ฉันเหนื่อยมากเลย”


            อี้เป่ยเฉินเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก อี้เป่ยซีหลับตาพิงอยู่ที่หน้าต่าง


            รถจอดอยู่ที่หน้าประตู อี้เป่ยเฉินหันมองใบหน้าด้านข้างของอี้เป่ยซีอยู่เนิ่นนาน จึงค่อยปลดเข็มขัดนิรภัยบนตัวออก แล้วอุ้มคนที่นั่งบนเบาะข้างคนขับอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไปในบ้านมั่นคง เขาวางคนลงบนเตียงด้วยความอ่อนโยนเป็นพิเศษ จากนั้นใช้ผ้าขนหนูเปียกเช็ดหน้า มือ จูบหน้าผากเบาๆ แล้วจึงปิดไฟ


            หลังจากประตูห้องปิดแล้ว อี้เป่ยซีจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น กอดผ้าห่มบนร่างกายพลางพลิกตัว แสงจันทร์ที่สงบเยือกเย็นสาดส่องเข้ามาในห้อง ส่องมาที่ปลายเตียงโดยตรง ห้องทั้งห้องตกอยู่ในบรรยากาศเงียบสงบ เธอไม่ได้นอนทั้งคืน…


            แต่มองท้องฟ้าที่สว่างขึ้นอย่างช้าๆ อยู่อย่างนั้น อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่ามีสิ่งของบางอย่างทับอยู่บนหน้าอก บีบรัดทุกพื้นที่ ไม่มีที่ว่างให้อากาศบริสุทธิ์อีกต่อไป เธอลุกขึ้นนั่ง สูดหายใจแรงๆ รู้สึกว่าสมองด้านหลังชาอีกครั้ง


            ‘ทรมานจังเลย’ เธอกอดตัวเองไว้ รู้สึกควบคุมไม่ได้แม้แต่ลมหายใจ


            “เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินก็มีลักษณะเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน เขานั่งลงข้างเธอ กอดเธอไว้จากด้านหลัง “ไม่สบายหรือเปล่า?”


            “พี่เป่ยเฉิน ฉันทรมานจังเลย” เธอซบอยูในอ้อมอกของเขา กำแขนเสื้อของเขาแน่น


            แขนทั้งสองของอี้เป่ยเฉินกอดแน่น “เสี่ยวซี เพราะพี่ไม่ดีเอง พี่ดื้อเกินไปทำให้เสี่ยวซีลำบากใจ เสี่ยวซีไม่ต้องเสียใจแล้วได้หรือเปล่า”


            “ฮือๆ…พี่เป่ยเฉิน”


            “เอาละเสี่ยวซี ไม่ต้องร้องแล้ว ขอแค่คราวหน้าออกไปก็บอกพี่สักคำ ไม่งั้นพี่จะเป็นห่วงนะรู้หรือเปล่า?”


            “อืมๆๆ”


            เขายื่นมือออกไปจัดแจงปอยผมของเธอ “วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้พี่จะส่งเธอกลับไปที่มหา’ลัยโอเคไหม?”


            “พี่เป่ยเฉิน พี่นี่ดีจังเลย”


            อี้เป่ยเฉินยิ้มอยู่ด้านหลังเธอ ลมหายใจสดชื่นรดอยู่ที่หลังคอของอี้เป่ยซี แต่ละจุดรู้สึกชา เธออดไม่ไหวต้องหดคอหนี


            “รู้แล้ว ทุกครั้งก็พูดเป็นมีคำนี้”


            “พี่เป่ยเฉินดีที่สุดของที่สุดของที่สุดแล้ว เป่ยซีชอบพี่เป่ยเฉินที่สุดที่สุดเลย”


            เขาได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม วางคางอยู่บนคอของเธอ พูดเสียงเบาว่า “พี่ก็ด้วย”


            เสียงทุ้มต่ำลอยเข้าหู อี้เป่ยซีรู้สึกว่าอุณหภูมิที่หูสูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ แผ่ซ่านไปที่แก้มจนถึงข้างแก้ม ทั้งใบกลายเป็นสีชมพู เธอหัวเราะอย่างเขินอายอยู่บ้าง


            “พี่เป่ยเฉิน วันนี้ฉันไปที่บริษัทกับพี่ได้ไหม? ฉันรับรองว่าจะไม่ก่อกวน จะนั่งอยู่ที่นั่นอย่างว่าง่าย”


            “งั้นครั้งนี้เธออยากไปทำอะไร? นอนเหรอ?”


            “เปล่าสักหน่อย ฉันเป็นผู้ช่วยพี่ก็ได้นะ ก่อนหน้านี้พี่ไม่ได้ไปทำงานนานแล้ว หลายวันนี้น่าจะยุ่งมากไม่ใช่เหรอ?” เธอเล่นนิ้วของอี้เป่ยเฉิน ข้อนิ้วเรียวยาว ไม่มีข้อบกพร่องเลย


            “เสี่ยวซี เธอไม่ต้องคิดจะทำอะไรชดเชยหรอก ขอแค่เธอมีความสุขก็พอแล้ว เข้าใจไหม”


            มืออี้เป่ยซีหยุดนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็เล่นต่อพร้อมพูด “เปล่านะ ฉันก็แค่อยากอยู่กับพี่นี่นา หรือว่าพี่ไม่อยากเห็นเสี่ยวซีแล้ว? น่าเสียใจจังเลย”


            “เอาเถอะ ให้เธอจัดการทุกเรื่องเลยก็แล้วกัน เธอไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปกินข้าวเช้าเถอะ พี่จะพาเธอไปโอเคไหม” อี้เป่ยเฉินดึงมือออกจากมือน้อยๆ ของน้องสาว ลูบคลำผมของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป อี้เป่ยซีกระโดดลงจากเตียงอย่างมีความสุข แล้ววิ่งเข้าห้องอาบน้ำ


            น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว อี้เป่ยซีคิดพร้อมกับฮัมเพลงในห้องน้ำอย่างมีความสุข เธอเลือกเสื้อผ้าสีสันสดใส เหมือนกับสวมใส่แสงอาทิตย์ ก้าวลงไปข้างล่างอย่างสบายใจ


            “ว้าว อาหารเช้าวันนี้เยอะจังเลย”


            อี้เป่ยเฉินวางนมที่อุ่นแล้วไว้ข้างๆ เธอ “ฉะนั้นวันนี้เสี่ยวซีต้องกินเยอะๆ อย่าเสียของล่ะ”


            “อืม”


            เขาเอียงหัวมองอี้เป่ยซีที่กินข้าวอย่างจริงจัง สีหน้าพึงพอใจ จะคิดถึงเรื่องอดีตมากไปทำไม อย่างน้อยตอนนี้เธอก็นั่งอยู่ข้างกายเขาแล้ว เขายื่นมือไปเช็ดคราบนมที่มุมปากของเธอ ‘เสี่ยวซี เสี่ยวซี เสี่ยวซี’ เขาเรียกชื่อนี้อยู่ในใจซ้ำๆ ราวกับน้ำตาลมอลต์หวานๆ ที่ละลายอยู่ในหัวใจ หน้าอก และระหว่างซอกฟัน


            หลังจากกินข้าว อี้เป่ยซีลังเลอยู่หน้าห้องหนังสือครู่หนึ่ง กำลังคิดว่าเธอจะเอาหนังสือไปกี่เล่มดี


            หนึ่งเล่ม? อ่านแล้วก็เบื่อแย่สิ สองเล่ม? เหมือนว่าจะไม่พอ อีกอย่างช่วงนี้มีหลายเล่มที่อยากอ่านมากด้วย อี้เป่ยเฉินเห็นท่าทางของเธอ ก็ส่ายหัวอย่างจนใจแล้วเดินเข้าไปหา


            “หยิบไปสักเล่มเถอะ เธออ่านได้ไม่เท่าไรหรอก”


            “อะไรกัน ฉันจริงจังกับการเรียนมากนะ”


            เขาเอื้อมมือไปลูกขอบตาดำของเธอ “อืม เสี่ยวซีจริงจังมาก จริงจังกับการนอนมาก?”


            “อย่าดูถูกฉันนะ” อี้เป่ยซีใส่หนังสือสองเล่มลงไปในกระเป๋า อี้เป่ยเฉินรับกระเป๋ามา ‘ยัยเด็กคนนี้นะ กะว่าจะนอนในห้องพักผ่อนทั้งวันอีกล่ะสิ’


            เมื่อถึงออฟฟิศของท่านประธาน อี้เป่ยซีเพิ่งมาถึงก็ง่วนอยู่กับการจัดแจงสมบัติเล็กๆ ของตัวเองแล้วชงกาแฟให้สองคน เธอเปิดหนังสือของตัวเองด้วยความเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก อ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็รู้สึกว่าตัวอักษรสีดำพร่ามัวเล็กน้อย ทุกตัวอักษรกลายเป็นกลุ่มสีดำ สุดท้ายก็รวมตัวกันเป็นชิ้นเดียว สุดท้าย…สุดท้ายก็กลายเป็นสีดำสนิท เธอผล็อยหลับไปบนโซฟาแล้ว


        อี้เป่ยเฉินวางปากกาหมึกซึมในมือลง เดินไปข้างๆ เธอ “ฝันดีนะ เสี่ยวซี” เขาอุ้มเด็กสาวขึ้นมาจากโซฟาแล้วพาไปที่ห้องพักผ่อน…


………………………….


บทที่ 59

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 59 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (1)


เช้าตรู่ หมอกควันในอากาศค่อยๆ จางหายไป ทัศนวิสัยยังคงพร่ามัวเล็กน้อย อี้เป่ยซีบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง รู้สึกพึงพอใจเกินบรรยาย เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา แล้วลุกขึ้นมาอย่างร่าเริง


เวลานี้พี่เป่ยเฉินน่าจะยังไม่ตื่นล่ะมั้ง เธอแปรงฟันพลางครุ่นคิด ถ้างั้นเช้านี้เธอทำอาหารเช้าก็แล้วกัน ความคิดนี้ทำให้เธอตื่นเต้นขึ้นมา หลังจากเธอล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็วแล้วก็ย่องลงมาชั้นล่าง ลงมือเสียงดังอยู่ในห้องครัว


‘อืม ปกติพี่เป่ยเฉินชอบกินอะไรนะ?’ อี้เป่ยซีเอียงหัว ไม่ค่อยมั่นใจ หรือว่าจะทำเหมือนที่ทำประจำ?


ไม่ดีๆ ไม่มีความแปลกใหม่ อีกอย่างสิ่งของที่เหมือนกัน เมื่อเทียบแล้วก็จะทำให้รู้สึกว่าฝีมือของเธอแย่แค่ไหน


ถ้าอย่างนั้นตอนเช้าจะทำอะไรได้บ้าง? ยังไงต้มโจ๊กแล้วก็ทำกับข้าวสองสามอย่างแล้วกัน เมื่อตัดสินใจแล้วอี้เป่ยซีก็ดีดนิ้ว ลงมือทำทันที


ทันทีที่อี้เป่ยเฉินเปิดประตูห้องนอนก็ได้ยินเสียงในห้องครัว เขาก้าวเท้าเดินไป มุมปากยกยิ้ม พิงขอบประตูมองดูร่างที่กำลังวุ่นอยู่ภายใต้แสงไฟ กลิ่นหอมหวานลอยอวลอยู่ในอากาศ


อี้เป่ยซีหันกลับมาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มของอี้เป่ยเฉิน ทั้งสองคนสบตากัน เขายื่นมือกอดคนตรงหน้าไว้ในอ้อมแขน


“พี่เป่ยเฉิน”


อี้เป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร กำลังตั้งใจสัมผัสอุณหภูมิของคนในอ้อมแขน รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจตัวเอง


“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วน่า ครั้งนี้จะให้พี่ลองชิมฝีมือของฉัน”


“เสี่ยวซี”


“หืม?”


“พี่ตั้งตารอเลย” อี้เป่ยเฉินคลายอ้อมกอดช้าๆ เขายิ้มแล้วจูบหน้าผากของเด็กสาว


ราวกับมีฟองสบู่หลากหลายสีสันผุดอยู่ในอากาศ ข้างหูคือเสียงลมเย็นและเสียงฮัมเพลง ใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนหญ้าต้นเล็กๆ งอกขึ้นมาแผ่วเบา อี้เป่ยซีรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนแดง เธอรีบผลักเขาออกไป “เอาละ ระหว่างที่เชฟกำลังเข้าครัวห้ามรบกวนล่ะ จะปล่อยให้พี่เอาสูตรของฉันไปไม่ได้”


เขาพยักหน้า “สูตรของเชฟไม่ใช่พี่เป็นคนสอนหรอกเหรอ?”


“ไม่สนๆ บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้” อี้เป่ยซีหันหลังกลับงอนๆ ทำงานในมือต่อไป เขามองอยู่ด้านหลังเธอครู่หนึ่ง จึงค่อยออกจากห้องครัว แล้วนั่งลงบนที่นั่งอย่างเงียบๆ


หลังจากได้ยินเสียงก๊องๆ แก๊งๆ อยู่ครู่หนึ่ง อี้เป่ยซีจึงยกอาหารที่ตัวเองตั้งใจทำออกมาอย่างระมัดระวัง เธอนั่งลงข้างๆ อี้เป่ยเฉิน มองเขากินคำแรกด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย


“เป็นไงบ้าง เป็นไงบ้าง”


“อืม พัฒนากว่าครั้งก่อนเยอะมาก”


ดวงตาของอี้เป่ยซีเป็นประกาย เธอชิมไปหนึ่งคำ


“หืม พี่หลอกกันนี่นา” เธอรีบดื่มน้ำอึกใหญ่ทันที ทั้งมันทั้งเค็ม ให้ตายเถอะ


อี้เป่ยเฉินยื่นมือเช็ดคราบน้ำที่มุมปากให้เธอ “ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้วนะ”


“เมื่อก่อนฉันทำได้แย่ขนาดนี้เลยเหรอ?”


“เมื่อก่อนขนาดเกลือกับน้ำตาลยังแยกไม่ออก ครั้งนี้ดีกว่าเดิมเยอะแล้วเสี่ยวซี ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน”


“ต่อไปฉันจะไม่เข้าครัวอีกแล้ว” เธอวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างแรง เหมือนกับกำลังกล่าวสาบาน “ทำไมพี่เป่ยเฉินถึงทำอร่อยขนาดนั้นแต่ฉันทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่ใส่น้ำมันใส่เครื่องปรุงรสเหรอ ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้”


“เป็นคำถามที่ดี ถ้าอย่างนั้นต่อไปเธอก็ดูสิว่าพี่ทำยังไง?”


อี้เป่ยซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “เมื่อกี้ฉันเพิ่งพูดไปเองว่าจะไม่เข้าห้องครัวอีกแล้ว”


“เสี่ยวซี ต่อไปคิดจะใช้เหตุผลนี้หนีงานบ้านใช่หรือเปล่า” อี้เป่ยเฉินเขี่ยจมูกเธอ


“แหะๆ ไม่หรอกๆ งั้นฉันคืนคำ ต่อไปงานหนักงานหยาบก็ฝากไว้ที่ฉัน ส่วนงานฝีมือพวกนี้ก็ยกให้พี่แล้วกัน”


“เธอนี่นะ” อี้เป่ยเฉินลูบผมของเธอ อี้เป่ยซีพิงอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างว่าง่าย


“พี่เป่ยเฉิน พวกเราออกไปกินข้างนอกกันเถอะ”


“ตอนนี้ก็คงทำได้แค่นี้แหละ พี่จะขึ้นไปเอาของ เธอเก็บของพวกนี้ดีไหม?”


“อืม”


หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว อี้เป่ยซีแบกกระเป๋าหนังสือใบน้อยของตัวเองนั่งรออี้เป่ยเฉินอยู่บนโซฟาอย่างว่าง่าย เธอเหลือบมองหนังสือพิมพ์ กระดาษพิมพ์สีขาวดำถูกยึดครองด้วยรูปถ่ายขนาดใหญ่ คิดว่าคงเป็นข่าวใหญ่โตอะไรสักอย่าง เธอพิงพนักโซฟา แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนใบหน้า หลับตาลงด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ เหมือนกับแมวสีขาวที่นอนกรนอยู่ข้างเก้าอี้โยก


“เสี่ยวซี พวกเราไปได้แล้ว” อี้เป่ยเฉินจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง จูงมือน้อยๆ ของเธอออกไป


พอสั่งอาหารเสร็จแล้ว อี้เป่ยซีรู้สึกว่าไม่สบายท้อง จึงลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ ขณะที่กำลังจะออกจากประตูกลับได้ยินเสียงแปลกๆ


“เอาใจผมแล้ว คุณไม่มีอะไรเลย คุณคิดว่าเขาเล่นกับคุณแล้วจะรับผิดชอบอะไรงั้นเหรอ อย่าฝันไปหน่อยเลย”


“ขอโทษที เชิญคุณหลบไปซะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”


ฉินรั่วเข่อ? อี้เป่ยซีกลอกตา เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?


“แหม ในโลกนี้มันหายากจริงๆ คุณหนูที่เลือกแขกได้ด้วย…”


“คุณอย่า…อือ…” จากนั้นเสียงเสื้อผ้าฉีกขาดก็ดังขึ้นในห้องน้ำที่เงียบสงบ อี้เป่ยซีทนไม่ไหว ผลักประตูพรวดออกไป


“ใครให้แกมาขัดความสุขฉัน” ผู้ชายคนนั้นหันมา ใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หลังจากเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าสีหน้าก็อ่อนลง “อี้เป่ยซี? ทำไม อยากเป็นลูกมือพี่ชายวีรบุรุษของเธอช่วยสาวงามรึไง? อย่ามาขัดจังหวะเรื่องของฉัน ไม่งั้นฉันจะจัดการเธอไปด้วยกันเลย ไปให้พ้น”


อี้เป่ยซีเอียงหัวชำเลืองมอง คว้าไม้ที่อยู่บนพื้นตีไปที่หัวของเขาทันที จากนั้นดึงคนคนนั้นขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่ห้องกินข้าวของตัวเอง


“พี่เป่ยเฉิน ที่ห้องน้ำ มี…” เธอหายใจไม่ทั่วท้อง อี้เป่ยเฉินเห็นสภาพของฉินรั่วเข่อก็คิ้วขมวดกันแน่น ดึงอี้เป่ยซีเข้ามาอย่างเป็นกังวล


“เธอไม่เป็นไรนะ”


“ฉันไม่เป็นไร แค่เจอคนไม่ดีน่ะ แต่ว่าเพื่อนนักศึกษาของฉันไม่ค่อยดีเท่าไร”


อี้เป่ยเฉินเหลือบมอง ตอนนี้เสื้อผ้าของฉินรั่วเข่อถูกดึงออกไปแล้ว เศษผ้าที่ขาดวิ่นปกคลุมร่างกายของเธอ ผิวที่ขาวผ่องยังมีร่องรอยแดงช้ำ เธอก้มหน้าอย่างอึดอัดใจ ยืนอยู่ข้างประตูไม่พูดไม่จา


อี้เป่ยซีคิดครู่หนึ่ง จึงเอาเสื้อนอกของตัวเองคลุมร่างกายของฉินรั่วเข่อไว้ ปากยังคงพูดไม่หยุด “พี่เป่ยเฉิน เขาจะต้องได้รับโทษอะไรนะ มันเกินไปแล้วจริงๆ”


“อืม เขาได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า”


เธอรีบโบกมือ “ไม่มีๆ เขาก็แค่ขู่ฉันสองสามคำ เธอไม่เป็นไรนะ?”


ฉินรั่วเข่อเงยหน้า กัดริมฝีปากแน่น ตอนนี้น้ำตาเอ่อล้นเบ้าตาแล้ว เธอส่ายหัวกับอี้เป่ยซี เอ่ยน้ำเสียงอ่อนแรง “ฉันไม่เป็นไร เรื่องนี้อย่าเอาเรื่องกันอีกได้ไหม เขาเป็นคนบ้านเดียวกับฉัน ปกติก็ดูแลฉันดีมาก ฉัน…ให้มันแล้วไปแล้วได้หรือเปล่า”


“ไม่ได้ๆ คนประเภทนี้ถ้าไม่ได้รับบทลงโทษที่สมควรได้รับ ฉันทนไม่ได้แน่ เขาทำแบบนี้กับเธอ ทำไมต้องพูดแทนเขาด้วย ใครจะรู้ว่าเมื่อก่อนที่ดีกับเธอเป็นเพราะมีเหตุจูงใจอย่างอีกอื่นหรือเปล่า” อี้เป่ยซีหันไปมองอี้เป่ยเฉิน “พี่เป่ยเฉิน ฉันไม่อยากกินข้าวที่นี่แล้ว”


“ได้” อี้เป่ยเฉินตบๆ ไหล่ของเธอ ถอดเสื้อนอกของตัวเองออก “เดี๋ยวจะหนาวเอานะ”


อี้เป่ยซีคิดพลางพยักหน้า แล้วมองฉินรั่วเข่ออย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมของตัวเธอเอง สองมือกำแน่นอีกทั้งยังสั่นเล็กน้อย ‘คงจะทรมานมากสินะ’ อี้เป่ยซีคิดในใจ แววตามัวหมอง


……………………..


บทที่ 60

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 60 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (2)


         ฉากอดีตที่ผ่านไปแล้วกลับมาฉายซ้ำ ไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่เป็นคนคนเดียวกัน แต่ว่าการกระทำของพวกเขาแตกต่างกันเหลือเกิน ฉินรั่วเข่อกำมือตัวเองแน่น ตามอี้เป่ยซีไปนั่งที่นั่งเบาะหลัง อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร ได้แต่นั่งข้างอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ


            ทั้งสามคนบนรถไม่พูดไม่จา บรรยากาศเงียบอย่างประหลาด


            รถหยุดอยู่ที่หน้าประตูหอพักของอี้เป่ยซี เธอมองอี้เป่ยเฉินด้วยความสับสน “พี่เป่ยเฉิน ไปจอดที่ตึกหอพักของฉินรั่วเข่อได้ไหม? หอพักเธออยู่ที่ไหน?”


            “ไม่ต้องหรอก ฉันเดินไปเองก็ได้” ฉินรั่วเข่อท่าทีแน่วแน่อย่างมาก พูดพลางต้องการเปิดประตูลงจากรถ


        “ออกไปแบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง” อี้เป่ยซีมองไปข้างหน้าเป็นเชิงอ้อนวอน หวังว่าพี่ชายจะพูดอะไรเพื่อรั้งไว้


            อี้เป่ยเฉินขมวดคิ้วหงุดหงิด พ่นคำพูดออกมาอย่างเย็นชา “ถ้าถูกคนกล่าวหาเกินจริงโดยไม่มีหลักฐานแบบนั้นก็แย่สิ คุณว่าไง?”


            ฉินรั่วเข่อรู้สึกว่านิ้วของตัวเองเย็นลงในฉับพลัน อุณหภูมิหนาวเหน็บแผ่ซ่านจากปลายนิ้วไปทั่วร่างกาย แม้ว่าภายในรถจะอบอุ่นเธอก็ยังรู้สึกหนาวจนตัวแทบสั่น ขยับเท้าโดยไม่รู้ตัว เธอยิ้มเจื่อน ดึงมือของตัวเองกลับไป “ใช่ งั้นรบกวนไปส่งที่ตึกเก้าแล้วกัน”


            “พี่เป่ยเฉิน?” อี้เป่ยซีมีสีหน้าสงสัย ไม่รู้ว่าความเป็นศัตรูของพี่เป่ยเฉินต่อฉินรั่วเข่อมาจากไหน คนที่อยู่ข้างหน้าตอบรับอย่างอ่อนโยน ต่างจากน้ำเสียงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เธอส่ายหัว ช่างเถอะ บางทีเธออาจเข้าใจผิดไปเอง


            เมื่อมาถึงตึกเก้า อี้เป่ยซีลงรถกับฉินรั่วเข่ออย่างไม่วางใจ อี้เป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร ทำตัวเหมือนปกติ บอกลากับอี้เป่ยซีเสร็จก็จากไป


            “เป่ยซี…” ฉินรั่วเข่อคว้าชายเสื้อของอี้เป่ยซีไว้ ค่อยๆ คุกเข่าลงไป ท่าทางทรมานเจียนตาย ใบหน้าน้อยๆ ซีดขาวไร้สีเลือด น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มลงมา แต่ละหยดร่วงลงสู่พื้น แตกสลายไม่มีชิ้นดี


            “เธอเป็นอะไรไป?” อี้เป่ยซีไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะต้องทำอย่างไร ปกติเมื่อตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้ ถ้าไม่หวังให้รอบด้านไม่มีใครอยู่ ก็หวังว่าพี่เป่ยเฉินจะคอยดูแล แล้วฉินรั่วเข่อล่ะ เธอต้องการอะไร? หรือว่าน้องสาวของเธอ?


            “เธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะโทรหาฉินเยว่เข่อ ให้เขามาเดี๋ยวนี้”


            “ไม่ต้อง เธออย่าโทรหาเยว่เข่อนะ” ฉินรั่วเข่อดึงแขนเสื้อของอี้เป่ยซี เหมือนกำลังขอร้องเธอ “เธออยู่กับฉันสักแป๊บได้ไหม แค่แป๊บเดียว”


อี้เป่ยซีนวดคลึงแขนของตัวเอง ลมฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็นเล็กน้อย เวลาที่พัดโดนตัวก็เหมือนพัดเอาแมลงเย็นๆ ตัวเล็กจำนวนมากที่พยายามเจาะเข้าไปในรูขุมขนอย่างเอาเป็นเอาตายมาด้วย แต่เธอก็ยังพยักหน้าให้


            ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน อี้เป่ยซีรู้สึกว่าสองขาของตัวเองไร้ความรู้สึกไปแล้ว ฉินรั่วเข่อที่เอาแต่จับแขนเสื้อของเธอตลอดเวลาจึงค่อยเงยหน้าขึ้น เอามือปาดน้ำตาตัวเอง “เป่ยซี ขอบคุณนะ”


            “ไม่เป็นไร” อี้เป่ยซีส่ายหน้า “แต่เธอรู้สึกไหมว่าฉากนี้มันเหมือนกันมากเลย?”


            ฉินรั่วเข่ออึ้งไปเล็กน้อย อี้เป่ยซียังคงพูดต่อ “แต่ฉันไม่มีนิทานซินเดอเรลล่าเล่าให้เธอฟังหรอก เธอเสียใจขนาดนี้ เพราะว่าคิดถึงเจ้าชายของเธอเหรอ?”


            ฉันรั่วเข่อได้ยินเช่นนั้นแล้วก็สบตาของอี้เป่ยซีโดยตรง ดวงตาสีดำบริสุทธิ์เป็นประกาย ราวกับอำพันที่พระเจ้าสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างประณีต มีเสน่ห์จนไม่อาจละสายตา อี้เป่ยซีก็มองตาของเธอเช่นกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางที่มีเมตตามาก ฉินรั่วเข่อก้มหน้าอย่างละอายใจเล็กน้อย “อืม”


            “เธอก็อย่าเสียใจนักเลย เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ อีกอย่าง เจ้าชายที่เธอพูดถึงก็มีชีวิตของเขาไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ทำไมเธอต้องเสียใจเพื่อเขาด้วย”


            แววตาของฉินรั่วเข่อสั่นไหว ยิ่งก้มหน้าต่ำกว่าเดิม อี้เป่ยซีจึงรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดไป “ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันหมายถึงเจ้าชายก็มีเจ้าหญิงของตัวเองต้องดูแล…”


            “เป่ยซี เธอไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจ” ฉินรั่วเข่อลุกพรวดขึ้น รู้สึกหน้ามืด ร่างกายเธอเซเล็กน้อยถึงจะค่อยๆ ทรงตัวได้ อี้เป่ยซีก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ


            “ไม่ใช่นะ โธ่เอ๊ย ฉันไม่ได้มีเจตนาจะเยาะเย้ยเธอเลย ฉันหมายถึง…” อี้เป่ยซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ในเรื่องสโนว์ไวท์ก็มีเจ้าชายของเขา ซินเดอเรลล่าก็มีบ้านให้กลับ ในเรื่องสโนไวท์ เธออาจไม่ได้เป็นแม้แต่ตัวอะไรเลย แต่ว่ามีนิทานเด็กเรื่องหนึ่งชื่อว่ารองเท้าแก้ว เรื่องนี้ต่างหากเธอถึงเป็นตัวละครเอก ทุกคนรวมถึงเจ้าชายของเธอก็ต่างหมุนรอบตัวเธอ” อี้เป่ยซีพูดเร็วมากเพราะรีบร้อน ที่ปลายจมูกก็มีเหงื่อซึมเล็กน้อย


            ฉินรั่วเข่อหันมายิ้มให้เธออย่างสบายใจ “เป่ยซี ขอบคุณนะ”


            อี้เป่ยซีเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ยิ้มกลับเด๋อด๋า รู้สึกโล่งอก ครั้งนี้ตัวเองไม่ได้พูดอะไรผิดสินะ แต่ว่าเมื่อเห็นท่าทางขมขื่นของฉินรั่วเข่อก็ยังรู้สึกผิดเล็กน้อย


            “ฉินรั่วเข่อ…”


            “ฉันเข้าใจ เขาเข้ากันได้ดีและมีความสุขกับคนที่เขาชอบมาก ฉันเห็นแบบนี้ก็น่าจะรู้แล้ว ถ้าคิดไปมากกว่านี้ ทำอะไรไปมากกว่านี้แล้วเกิดเรื่องอะไร ผลที่ตามมาก็เป็นเพราะฉันหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น จะโทษคนอื่นไม่ได้”


            อี้เป่ยซีงุนงงเล็กน้อย จริงสิ เมื่อกี้ควรจะปลอบใจเธอเรื่องเมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ ถึงออกไปเรื่องเจ้าหญิงเจ้าชายได้ล่ะ? ดูเหมือนว่าจะเป็นเธอเองที่เปิดประเด็น แต่ว่าทำไมเมื่อกี้ถึงนึกถึงเรื่องนี้ล่ะ? เป็นเพราะรู้สึกว่าน้ำตาของเธอมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นเหรอ? คิดว่าความเข้มแข็งของเธอจะเอาชนะอุบัติเหตุเมื่อเช้านี้ได้อย่างสมบูรณ์งั้นเหรอ? อี้เป่ยซี ดูสิ เธออวดฉลาดอีกแล้ว


            “ขอโทษนะ ฉันไม่ควรพูดเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจ”


            “เปล่าเลย” ฉินรั่วเข่อส่ายหัว “เสื้อตัวนี้รอฉันซักเสร็จแล้วค่อยคืนให้เธอเถอะ ถ้าเธอรังเกียจฉันจะซื้อตัวใหม่คืนให้เธอก็ได้”


            เธอรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก”


            “งั้นฉันไม่รบกวนเธอแล้ว ฉันกลับหอพักก่อนนะ” พูดจบก็หันหลังขึ้นตึกไปทันที อี้เป่ยซีมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย รู้สึกประทับใจมาก เธอทั้งเข้มแข็งและกล้าหาญมากจริงๆ


            อี้เป่ยซีกลับถึงหอพัก จัดข้าวของตัวเองเสร็จเรียบร้อย จากนั้นมองดูตารางเรียน เมื่อเห็นว่าไม่มีเรียนจึงปีนขึ้นไปบนเตียงของตัวเอง ในหัวคิดถึงฉินรั่วเข่อโดยไม่รู้ตัว ท่าทางดื้อรั้น ใบหน้าขมขื่น แผ่นหลังเหยียดตรง ตอนที่อีกฝ่ายเกาะแขนของตัวเอง ฉินรั่วเข่อราวกับมีเสน่ห์บางอย่าง แม้ว่าเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง เธอก็รู้สึกประทับใจมาก อดไม่ได้ที่จะอยากเข้าใกล้


            มันเกิดเรื่องอะไรกับเธอกันแน่? เจ้าชายกับเจ้าหญิง? อี้เป่ยซีนึกถึงเรื่องเปรียบเปรยนั้น นิทานแสนธรรมดาที่ฉินรั่วเข่อพูดถึง เรื่องแบบนี้มันจะเหมือนกันได้อย่างไร เธอครุ่นคิด รู้สึกว่าทั้งน่าขำทั้งน่าเศร้าใจ ความรักที่ไม่อาจพูดออกมาได้ ความรักที่ต้องซ่อนเร้นตลอดไป ความรักที่ไม่มีวันถูกค้นพบ นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นรสสัมผัสที่ลึกซึ้งล่ะมั้ง


            เหมือนกับว่าเธอยกโลกทั้งใบให้เขา แต่ว่าเขาไม่แม้แต่จะมอบความรู้สึกให้เธอ เธอควักหัวใจที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา ส่วนเขาเพียงแค่ถามตามมารยาทว่า เธอคือใคร


            อี้เป่ยซีไม่อยากคิดต่อไปแล้ว เธอพลิกตัวเข้าหากำแพง มองเห็นจุดเล็กๆ บนกำแพงเห็นได้อย่างชัดเจน


        น่าจะซื้อวอลเปเปอร์ที่มีสีอบอุ่นกว่านี้หน่อย เธอกะพริบตา เห็นด้วยกับความคิดนี้มาก เสียงพูดคุยดังขึ้นในทางเดินตึก ก่อนจะค่อยๆ เข้ามาใกล้ห้องพัก


……………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม