Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 179-182
ตอนที่ 179
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 179 คืนดี (6)
เมื่อเวลาตีสามของเช้าตรู่ ลั่วจื่อหานจึงกลับมาถึงบ้านของตัวเองพร้อมร่างอันหนาวเหน็บ ห้องที่กว้างใหญ่นั้นว่างเปล่า เขาราวกับว่าถูกความว่างเปล่านี้กดทับทีละน้อยๆ ทั้งตัวเล็กและอ่อนแอ เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะวิ่งออกไปนอกประตูในวินาทีต่อมา
ลั่วจื่อหานนวดคลึงขมับของตัวเอง ทำจิตใจของตัวเองให้มั่นคง เสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงละเมออยู่ในความฝันลอยมาเข้าหูของเขา ลั่วจื่อหานเดินเข้าไปในห้องนอนตามจิตใต้สำนึกแล้ว
ประตูเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ลั่วจื่อหานวางเสื้อผ้าลงด้านข้างอย่างเบามือ เดินไปที่เตียง ใบหน้าเล็กๆ ของอี้เป่ยซีถูกอาบด้วยแสงสลัว ยังคงมองเห็นเส้นขนละเอียดอ่อนบนใบหน้า ความว่างเปล่าที่อยู่ข้างนอกถูกเติมเต็มทันใด
ช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ฉันได้พบเธอในโลกที่กว้างใหญ่และในเวลาอันแสนสั้นเช่นนี้
เป่ยซีรู้ไหมว่าถ้าหากไม่ได้พบเธอ ถ้าหากไม่ได้หาเธอจนเจอ เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรอย่างเขาจะต่างจากสิ่งประดิษฐ์ตรงไหน
เซี่ยเซี่ยส่องสว่างวัยเด็กของเขา ส่วนอี้เป่ยซีเป็นคนถือโคมไฟและเดินไปกับเขาในความมืด
เขานึกถึงคำที่อาจารย์พูดกับเขาในวันนี้
เวลาของพวกเรามีไม่มาก ควรจะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
อยู่กับคนที่ตัวเองชอบ แบบนั้นเมื่อเวลาที่พวกเรามองย้อนกลับไปแล้ว
จึงจะไม่เสียใจกับชีวิตที่ตัวเองเลือกเดิน
เมื่อสามารถมีเขาแล้วก็จงกอดเขาไว้ให้แน่น
ถ้าหากเขาไม่อยากหยุด ก็จงปล่อยให้เขาลอยไปตามสายลม
เธอก็คว้าเงาของเขาไว้
คว้าเสี้ยววินาทีของฉากนั้นไว้
คว้าความงามในชีวิตของเธอไว้
เขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ความงามทั้งหมดในชีวิตของเขาก็คือฉากในชีวิตของเขาเอง
ลั่วจื่อหานนั่งยิ้มอยู่อย่างนี้จนรุ่งสาง
เมื่ออี้เป่ยซีลืมตาสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือผู้ชายที่จ้องมองเธอพร้อมอมยิ้ม เสียงของเธอยังคงมีความงัวเงียเล็กน้อยและอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด “เป็นอะไรไป?” เธอสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวของลั่วจื่อหานยังเป็นตัวของเมื่อวาน “นายไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ?”
ลั่วจื่อหานเดินไปยังอีกด้านของเตียง เปิดผ้าห่มแล้วเข้าไปนอน กอดอี้เป่ยซีไว้ในอ้อมแขน ถอนหายใจเบาๆ อี้เป่ยซีค่อยๆ ตื่นขึ้นมาแล้ว
“หืม?”
ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดอะไร เข้าไปใกล้คอของเธอกัดอย่างนิ่มนวลแล้วปล่อย กลิ่นหอมละลายอยู่ระหว่างปากและฟัน
“วันนี้นายเป็นอะไรไป ทำไมถึงติดฉันหนึบแบบนี้?”
“เป่ยซี…”
“หืม?”
“เมื่อคืนฉันไปหาอาจารย์มา”
อี้เป่ยซีเกี่ยวมือของเธอ น้ำเสียงของเขามีความผิดหวังเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังกังวลอะไรอยู่ “เป็นอะไรไป? อาจารย์บอกให้นายดูแลฉันให้ดี อย่าให้คนอื่นพาหนีไปเหรอไง?”
“ประมาณนั้นแหละ”
เดิมทีเธอต้องการจะหยอกลั่วจื่อหาน คิดไม่ถึงว่าเขาจะไหลไปตามน้ำแล้ว มือที่เรียวเล็กออกแรงเล็กน้อย มันผนึกแน่นอยู่บนมือของเขาจนกลายเป็นเส้นตรงสองเส้นที่มาบรรจบกัน “อาจารย์นายไม่รู้จักฉันสักหน่อย พูดเหลวไหลอะไร”
ลั่วจื่อหานปล่อยตัวไปตามการเคลื่อนไหวของเธอ แขนทั้งสองข้างกอดเธอแน่น “เป่ยซี มีเธออยู่มันดีจริงๆ จริงๆ นะ”
“นายเป็นอะไรไป?”
“อาจารย์อาจจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
เสียงของอี้เป่ยซีถูกสกัดกั้นทันใด แม้เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลั่วจื่อหานกับอาจารย์ของเขาเป็นอย่างไร แต่จากคำพูดปกติแล้วก็สามารถมองเห็นความเคารพรักที่เขามีต่ออาจารย์ตัวเอง คนที่ลั่วจื่อหานเคารพมีไม่มากนัก แต่เมื่อเคารพใครแล้วก็มาจากใจจริงเป็นที่สุด
“นาย…ชะตาฟ้าลิขิต นาย…ก็อย่า…”
“ฉันรู้ ฉันรู้ แต่ว่าพอเห็นชีวิตของอาจารย์ที่ไหลไปเหมือนนาฬิกาทราย แต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ได้แต่มองดู ฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กและน่าหดหู่แค่ไหน”
“บางทีจุดจบในตอนนี้อาจเป็นการเริ่มต้นใหม่ก็ได้นะ”
“เป่ยซี เวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันมันสั้นมากๆ จริงๆ เหมือนเวลาที่ใครบางคนแค่กระพริบตาหรือหันมา ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันเป็นภาพลวงตาและน่ากลัวมาก อนาคตมันเปราะบางเกินไป…”
อี้เป่ยซีก้มหน้า เธอก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเพราะคำพูดของลั่วจื่อหาน แต่ประโยคต่อไปของเขาทำให้ความคิดเชิงลบที่ก่อตัวขึ้นหายไปทันที
“เป่ยซี แต่งงานกับฉันเถอะ” ไม่รู้ว่าแหวนงานปราณีตมาอยู่ในมือของลั่วจื่อหานตั้งแต่เมื่อไร คงจะเก็บไว้กับตัวนานแล้ว บนเนื้อโลหะจึงอบอุ่นด้วยอุณหภูมิของเขา ราวกับจะสามารถเผาไหม้คนได้อย่างไรอย่างนั้น มือของอี้เป่ยซีกระตุกเล็กน้อย
เพราะเซี่ยเช่อพูดอะไรกับลั่วจื่อหานหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ ถึงมาขอแต่งงานล่ะ? เธอยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้เลยนะ ตอนนี้เธอจะเป็นคู่หมั้นที่ดีของเขาได้หรือเปล่า?
แล้วก็นอนขอแต่งงานบนเตียง มันไม่เป็นทางการไปหน่อยหรือเปล่า จะว่าไปแล้วก็ควรเลือกสถานที่ที่มันใช้ได้หน่อยนี่นา
ทำไมถึงปล่อยให้เธอทำเรื่องที่ควรจะเป็นสิ่งที่พิเศษและสวยงามที่สุดในชีวิตตอนที่เธอยังไม่ได้ล้างหน้า ฟันก็ยังไม่ได้แปรง และสภาพก็ดูไม่ได้แบบนี้…
“เป็นอะไรไป?”
“ทำไมถึงไม่จริงจังแบบนี้?” อี้เป่ยซีดันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียง “ฉัน…ฉันโตป่านนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นคนที่รับปากแต่งงานด้วยสภาพรุงรังแบบฉันเลย”
ลั่วจื่อหานก็ลุกขึ้นนั่งด้วย ปล่อยให้อี้เป่ยซีซบอยู่บนหน้าอกของตัวเอง “เธออยู่ในสภาพไหนก็สวยทั้งนั้น”
“แบบนั้นก็ไม่ได้หรอกนะ อย่างน้อยตอนนี้ไม่ใช่ตอนที่ฉันสวยที่สุด ไม่ได้ ไม่มีความเป็นพิธีรีตองเอาซะเลย” ทันใดนั้นราวกับอี้เป่ยซีนึกอะไรบางอย่างได้ “นี่ พวกเราพูดถึงอาจารย์ของนายไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นเรื่องนี้ได้ล่ะ”
ลั่วจื่อหานเล่นกับแหวนที่อยู่ในมือ “เวลามันสั้น ถ้าเป็นสามีภรรยาเพิ่มขึ้นได้อีกวันก็เป็นซะ ถ้าเธอไม่ยอมรับ งั้นฉันเอาคืนนะ?”
“ลั่วจื่อหาน! นายนี่มันชอบทำอะไรเกินความสามารถ! ฉันไม่เคยคนขอแต่งงานแบบนายเลย หน้าไม่อายจริงๆ”
“แล้วคุณนายลั่วจะเต็มใจหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีรู้สึกทั้งโมโหทั้งขำ ยื่นมือของตัวเองออกมา เพชรระยิบระยับเปล่งประกายแวววาวบนมือที่เรียวบาง มันส่องแสงด้วยตัวของมันเอง ราวกับว่าจะใช้นิจนิรันดร์ของหินมาเป็นสักขีพยานในการแสวงหานิจนิรันดร์ของช่วงชีวิตอันแสนสั้น อวยพรให้พวกเขามีชีวิตที่งดงามและยืนยาวดังสายรุ้ง
“ต่อไปต้องเรียกว่าคู่หมั้นแล้ว”
“ได้สิพ่อคู่หมั้น”
อี้เป่ยซีมองมือของตัวเองตลอดเวลา รอยยิ้มราวกับว่าจะไม่มีวันหายไปจากใบหน้า ลั่วจื่อหานกุมมือของเธอ สิบนิ้วประสานกัน เพชรที่นูนขึ้นมาอยู่ในฝ่ามือของเธอพอดิบพอดี มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
“บ่ายนี้ ไปเยี่ยมอาจารย์ด้วยกันกับฉันดีไหม?”
อี้เป่ยซีพยันหน้า แล้วก็ลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า อาจารย์ของนาย…จะชอบฉันไหม?”
“ชอบสิ ต้องชอบแน่นอน เธอวางใจเถอะ เธอเป็นคนที่คู่ควรแก่การชอบที่สุดในโลกนี้แล้ว ไม่มีใครไม่ชอบเธอหรอก”
“ทำไมช่วงนี้นายพูดเก่งจัง?”
“ไม่ชอบเหรอ?”
อี้เป่ยซีส่ายหน้า “ก็แค่รู้สึกว่ามีความสุขมาก แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยสมจริงเท่าไร…นี่คือสิ่งที่ฉันใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อได้มาใช่ไหม? มันเป็นความสุขที่ฉันควรได้รับและจะไม่จากไปไหน ใช่หรือเปล่า?”
————
ตอนที่ 180
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 180 คืนดี (7)
“มันจะไม่ไปไหน เป่ยซี มันจะไม่จากไปไหน”
อี้เป่ยซีพยักหน้า รอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง “ลั่วจื่อหาน ฉันเคยบอกนายหรือเปล่าว่าการได้เจอกับนาย คือความโชคดีที่สุดในชีวิตของฉันจริงๆ”
“ฉันก็เหมือนกัน”
อี้เป่ยซีนอนอยู่บนเตียงกับลั่วจื่อหานครู่หนึ่ง จนกระทั่งหลังกินข้าวเที่ยงจึงขับรถไปโรงพยาบาล
ลั่วจื่อหานพาอี้เป่ยซีไปยังสวนดอกไม้หลังโรงพยาบาลโดยตรง เห็นคุณปู่ที่ผมหงอกทั้งหัวกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้อย่างสงบ อมยิ้มมุมปาก ผมที่ถูกลมพัดเผยให้เห็นความมีชีวิตชีวาน้อยๆ ราวกับความอ่อนเยาว์ได้เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง
ราวกับสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนเข้ามาใกล้ ชายชราค่อยๆ ลืมตาขึ้น ม่านตาสีน้ำตาลตอนนี้พร่ามัวเล็กน้อยแล้วแต่ก็ยังคงสดใส เมื่อเห็นทั้งคนที่กำลังเข้ามา ชายชรายิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม แสดงอาการต่อหนุ่มสาวทั้งสองคนโดยไร้การเสแสร้ง
อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหาน เขาตบๆ มือของเธอ อี้เป่ยซีจึงสูดหายใจลึก ยิ้มพร้อมเดินไปข้างหน้า
ชายชราเบื้องหน้าไม่ใช่คนประเภทเดียวกันกับคุณปู่ของลั่วจื่อหานเลย คุณปู่ลั่วนั้นชัดเจนและเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า ราวกับว่าไม่มีวันใช้พลังงานในตัวจนหมด มีความเข้มแข็งทำให้รู้สึกปลอดภัย ส่วนคุณปู่ที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนนักวิชาการที่เงียบสงบและเก็บตัว ท่องกลอนเขียนกวี ฟังเพลงเย้าแหย่นกอยู่ในโลกส่วนตัว เหมือนกับอาจารย์ที่แก่ตัวลง
ทั้งสองคนจูงมือกันหยุดอยู่ด้านหน้าของเขา จู่ๆ อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร ราวกับคำพูดที่ระเบียบมาก่อนหน้านี้หายเข้าไปในสมองอันว่างเปล่า เธอเลียริมฝีปาก…
“เธอจะตื่นเต้นอะไร ฉันก็ไม่ได้จะกินเธอสักหน่อย” เสียงแก่ๆ ของชายชรามีความขุ่นเคืองเล็กน้อย อี้เป่ยซีลดสายตาลง
“หนู…อาการออกขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” อี้เป่ยซีส่งสายตาให้กับลั่วจื่อหานที่อยู่ด้านข้าง ลั่วจื่อหานเห็นท่าทีอึดอัดของอี้เป่ยซีจากหางตา หัวเราะเบาๆ แล้วหยุดครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก
“อาจารย์ นี่แหละครับเป่ยซี”
“รู้แล้ว รู้แล้ว ฉันรู้จักเขาตั้งนานแล้ว”
“เอ่อ คุณรู้จักหนูเหรอคะ?”
ชายชราหัวเราะ “เธอ ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขาหรอกเหรอ? ฉันได้ยินเขาพูดถึงเธอบ่อยๆ บอกว่าเธอน่ะ วิชาเลขอ่อนยังกะอะไรดี วันๆ ไม่รู้ว่าฝันถึงอะไร?”
ใบหน้าของอี้เป่ยซีแดงก่ำทันใด บ่นพึมพำเสียงเบา “ใครกันคะ ที่เผยข้อบกพร่องของหนูแบบนี้”
อี้เป่ยซีเงยหน้า เมื่อเห็นความคิดถึงในแววตาของชายชรา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “เป็นคนที่อาจารย์ชอบมากเหรอคะ?”
“ใช่แล้ว ชอบมาก…” ชายชราเคลื่อนรถเข็นไปข้างหน้าเล็กน้อย “เธออยู่ด้วยกันกับลั่วจื่อหาน เขาได้กำไรจริงๆ”
“แค่ก เปล่าเลยค่ะ เปล่าเลย หนูก็ได้กำไรเหมือนกัน”
ชายชราหันมามองอี้เป่ยซี “ตอนที่ฉันยังไม่รู้จักเขา อารมณ์แปลกประหลาดเป็นที่สุดเลย ขอเพียงแค่เขาต้องการไม่ว่าคนอื่นจะโน้มน้าวยังไงก็รั้งไว้ไม่อยู่ ตอนนั้นฉันยังคิดอยู่เลย ว่าคุณหนูบ้านไหนกันนะที่ปลงไม่ตกแล้วเลือกที่จะอยู่กับเขา ฉันยังพูดกับเซี่ยเช่อเลยว่าไม่แน่ลั่วจื่อหานอาจจะเป็นโสดตลอดชีวิตก็ได้”
“หา พวกคุณคิดแบบนี้กับเขาเหรอคะ…” อี้เป่ยซีคิดถึงฉากที่ตัวเองเจอกับลั่วจื่อหานครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ที่จริงตอนที่หนูเจอเขาครั้งแรกก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ใครจะรู้ว่าชะตาฟ้าลิขิตก็ไม่เท่าคนลิขิตเอง ก็เลยจับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้ว”
“เพราะเจ้าลั่วจื่อหานมันดวงดี” เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์แล้ว อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของลั่วจื่อหาน แสงแดดแสดงเค้าโครงของแสงและเงาบนใบหน้าของเขาซึ่งจับคู่กันอย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับเป็นชิ้นงานที่สุดประณีตของพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างหรือสีสัน ทำให้อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความชื่นชม
อี้เป่ยซีนึกถึงประโยคนั้นโดยพลัน ‘เธอจะพูดว่าไม่ชอบก็ได้ แต่ห้ามพูดว่าไม่ดีเด็ดขาด’
เธอคิดว่าคนที่ไม่ชอบมีน้อยมากในโลกใบนี้
ทั้งสองคนนั่งเป็นเพื่อนอาจารย์อีกเนิ่นนานจึงจะกลับไป ระหว่างทางอี้เป่ยซีมองใบหน้าด้านข้างของลั่วจื่อหานตลอดเวลา
ลั่วจื่อหานหมุนพวงมาลัยฉับพลัน รถจอดอยู่ริมถนน รถขับผ่านด้านข้างไปคันแล้วคันเล่า
“ทำไมถึงมองฉันแบบนี้?” ลั่วจื่อหานยังคงประคองพวงมาลัย แต่กลับโน้มตัวเข้ามาหาอี้เป่ยซี อี้เป่ยซียังคงจับราวเนื่องจากการเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันเมื่อครู่ มองลั่วจื่อหานอย่างตำหนิ
“หลงตัวเองให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันมองนายที่ไหนกัน รีบขับรถเถอะ ฉันอยากกลับบ้านไปกินข้าว”
“วันนี้ก็ทิ้งสามีไว้ในห้องคนเดียวแล้วเหรอ? อี้เป่ยซีต่อไปพวกเราแต่งงานแล้วชีวิตจะทำยังไง?”
อี้เป่ยซีหน้าแดง มองไปนอกหน้าต่างอย่างอึดอัด พ่นลมออกทางจมูกสองสามที “นายอย่ามัวแต่หน้าด้านได้ไหม”
ลั่วจื่อหานคว้ามือของอี้เป่ยซี จูบแหวนเพชรบนมือของเธอ “ลืมแล้วเหรอ”
“อัยยา พอแล้วๆ รีบกลับบ้านเถอะ” อี้เป่ยซีชักมือของตัวเองกลับ มืออีกข้างก็อดไม่ได้ที่จะลูบคลำแหวน
เธอกระพริบตา อดไม่ได้ที่จะออกแรง
เจ็บ งั้นก็น่าจะเรื่องจริงสินะ
เมื่อลั่วจื่อหานออกรถอีกรอบ อี้เป่ยซีก็ไม่มองเขาอีก ก้มหน้ามองแหวนที่ยังคงส่องประกายบนมือของตัวเอง
ลั่วเยี่ยจิ่งได้ยินรายงานของลูกน้องตัวเอง มือที่ถือแก้วไวน์ยิ่งออกแรงจนมันแตกคามือ เศษแก้วทิ่มแทงลงไปในเนื้อ แต่ลู่เยี่ยจิ่งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย
ดังนั้นทุกคนต่างรู้ความจริงหมดแล้ว มีแต่ตัวเองที่ถูกซ่อนอยู่ในที่มืดงั้นเหรอ?
ดังนั้นทุกสิ่งที่เขาทำก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพียงการทำร้ายเด็กสาวที่ไร้ทางสู้คนหนึ่ง
“นี่คือสิ่งที่เราสืบได้ในตอนนี้ ยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน แต่ว่าก็ยืนยันแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว”
ลู่เยี่ยจิ่งมองเห็นเลือดซึมออกมาจากมือของตัวเอง มันร่วงลงพื้นแล้วแตกกระจายออก เขาหัวเราะเย็นชา “สืบมา ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“คุณชาย”
ลู่เยี่ยจิ่งเงยหน้าไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากลับมีเหงื่อหยดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เกรงว่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเยอะนิดหน่อย…คุณ คุณชายกับคุณผู้หญิง คุณผู้หญิงทางนั้นก็ไม่ง่าย…”
“งั้นฉันเลี้ยงพวกแกมีประโยชน์อะไร” ลู่เยี่ยจิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง “คนที่ฉลาดก็น่าจะรู้ว่าต้องเลือกอะไร”
คนนั้นพยักหน้า ถอยออกไปด้วยความกังวลเล็กน้อยแล้ว ลู่เยี่ยจิ่งจึงเรียกให้เข้ามา
อี้เป่ยซี อี้เป่ยซี…เธอก็ถูกปิดบังจนน่าสมเพศสินะ…
ลู่เยี่ยจิ่งขมวดคิ้ว อาจเป็นเพราะความเจ็บปวดบนมือหรืออาจเป็นเพราะความเจ็บปวดในความทรงจำ
ทรมานกับความทุกข์อันไร้เหตุผลมากมายขนาดนี้…
จู่ๆ เขาก็นึกถึงฉากที่ตัวเองเจอกับอี้เป่ยซีครั้งแรก เขาเหมือนจะรู้จักเด็กสาวตัวน้อยที่สะอาดสะอ้านและมีชีวิตชีวาคนนี้ก่อนพี่ชายของตัวเองเสียอีก
ตอนนั้นเขายังอยู่มัธยมปลายล่ะมั้ง ทันใดนั้นคนตัวเล็กๆ อย่างเธอก็เข้ามาในรั้วโรงเรียนมัธยม และทันใดนั้นก็เข้ามาอยู่ในสายตาของเขา
ในเวลานั้นเขาก็รู้สึกว่าทำไมถึงได้มีสิ่งของที่เล็กและน่ารักถึงเพียงนี้ ขาวผ่องราวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า เขาอดไม่ได้ที่จะมองเธอ แน่นอนว่าเธอไม่ได้มาหาเขาแต่มาหาอี้เป่ยเฉิน
ต่อมาพี่ชายก็พาเธอมาอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมยิ้มเอ่ยกับเขา
เยี่ยจิ่ง นี่คือพระอาทิตย์ดวงน้อยของฉัน เธอชื่ออี้เป่ยซี
————
ตอนที่ 181
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 181 คืนดี (8)
เดิมทีลู่เยี่ยจิ่งไม่ได้ชื่อลู่เยี่ยจิ่ง เขามีชื่อของตัวเองในประเทศ U แต่ว่าพี่ชายต้องการจะเข้าใกล้อี้เป่ยซีมากกว่านี้ อยากจะเข้าใจประเทศของเธอและเข้าใจความชอบทั้งหมดของเธอ ทั้งๆ ที่สิ่งที่อี้เป่ยซีชอบคือสิ่งที่ดั้งเดิมที่สุดในประเทศ C ของพวกเขา พี่ชายของเขาวันๆ ‘ไม่ทำการทำงาน’ คอยศึกษาของเหล่านั้นด้วยความยากลำบาก
ชื่อของลู่เยี่ยหวากับลู่เยี่ยจิ่งรวมทั้งลู่เซิงสามชื่อนี้ เป็นชื่อที่พี่ชายของเขากับอี้เป่ยซีตั้งด้วยกัน
เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงของพี่ชายทีละน้อย เขาไม่ขังตัวเองอยู่ในห้องอีกต่อไป ไม่โมโหโดยไม่มีเหตุผล ไม่ทำหน้าบึ้งตึงตลอดทั้งวันอีกต่อไป และไม่ทำเรื่องอะไรพิเรนทร์
พี่ชายกลายเป็นคนชอบยิ้ม ชอบพูดจา ทุกวันราวกับกำลังใช้ชีวิตอยู่ในไหน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น
ลู่เยี่ยจิ่งสูดหายใจลึก หันมองรูปถ่ายของเขา ลู่เยี่ยหวากับอี้เป่ยซีสามคน
ที่เขาก็นับว่าชอบอี้เป่ยซีสินะ
คุณหมอพันแผลของเขาแล้วออกไปอย่างเงียบๆ หลังจากเสียงปิดประตูแผ่วเบา ในห้องก็เข้าสู่ความเงียบงันโดยสิ้นเชิง
มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน? บางทีเขาเองก็ไม่รู้ มันเป็นตอนที่เธอรออี้เป่ยเฉินที่ประตูชั้นเรียนอย่างเขินอาย ตอนที่เธอจูงมือพี่ชายของตัวเองพร้อมรอยยิ้ม หรือว่าเป็นตอนที่เรียนภาษากับเธอ แล้วหัวเราะบอกว่าเขาไม่จริงจัง
หรืออาจจะนานกว่านั้น ตั้งแต่เมฆสีขาวก้อนนั้นที่ล่องลอยอย่างเชื่องช้าอยู่ในท้องฟ้าสีคราม
แต่ว่าอี้เป่ยซีไม่เคยเป็นของเขาเลย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าคนอย่างอี้เป่ยซีก็ไม่มีทางเป็นของเขา
เพราะอะไร? เพราะอะไร? ลู่เยี่ยจิ่งมองดูผ้าพันแผลบนมือของตัวเอง รอบพันแต่ละวงนั้นแนบชิบกับบาดแผล เหมือนกับได้แยกชิ้นส่วนของความเปราะบางชิ้นนั้นออกไป
แม้ว่าเขาไม่เหมาะสม ลั่วจื่อหานก็ไม่สามารถเป็นคนดีของอี้เป่ยซีได้
อากาศที่ประเทศ U หนาวลงเรื่อยๆ หลายวันนี้อี้เป่ยซีตามลั่วจื่อหานไปเยี่ยมอาจารย์ของเขาที่โรงพยาบาล ชายชราพูดด้วยความยากลำบากเล็กน้อย ยังคงเล่าเรื่องตลกหลายเรื่องของลั่วจื่อหานในอดีตให้อี้เป่ยซีฟังด้วยความกะตือรือร้น
แต่เวลาที่อี้เป่ยซีมองไม่เห็น ชายชราก็เผยความเสื่อมถอยออกมา ไม่แตกต่างอะไรกับคนแก่ไม้ใกล้ฝั่งทั่วไป
เพียงไม่กี่วัน คุณหมอก็ไม่ปล่อยให้ชายชราออกมาอีกแล้ว ส่วนชายชราเองก็ไม่มีแรงที่จะเดินออกจากห้องคนไข้แล้วเช่นกัน
“เซี่ยเช่อ” อี้เป่ยซีพิงอยู่ที่กำแพงนอกห้องคนไข้ เธอสวมเสื้อผ้าชั้นหนามาก แต่ความเย็นยะเยือกของกำแพงยังคงจู่โจมเข้ากระดูกโดยตรงจนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “ไม่มีหนทางแล้วจริงเหรอ?”
เซี่ยเช่อพยักหน้า ลั่วจื่อจี้ที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าเสียใจ เขาไม่สามารถช่วยพี่ชายได้ ไม่สามารถช่วยชีวิตอาจารย์ของเขาได้
“เป่ยซี ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์อายุปูนนี้แล้ว ตอนนี้ก็พอใจมากแล้ว” เซี่ยเช่อตบๆ ไหล่ของเธอ เพิ่งจะสัมผัส อี้เป่ยซีก็ถูกคนข้างๆ ดึงเข้าไปกอด มือของเขาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ดึงมือกลับ
อี้เป่ยซีดวงตาแดงก่ำ สิ่งที่เธอหวงแหนจะต้องจากไปสักวันหนึ่งใช่ไหม เธอก้มหน้ามองรองเท้าไม่กี่คู่ที่อยู่บนพื้น เช่นนั้นพวกเขาและเธอ ยังมีเวลาเหลืออีกแค่ไหนกัน?
เธอจะสามารถจับมืออยู่เคียงข้างลั่วจื่อหานได้อีกนานแค่ไหน?
ลั่วจื่อหานอาจเป็นเพราะเดาความคิดในใจของเธอได้ จึงกอดเธอแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย “ไม่เป็นไร เข้าไปเยี่ยมอาจารย์เถอะ”
อี้เป่ยซีพยักหน้า ขณะที่เปิดประตูมีบางอย่างที่สำคัญผ่านวูบเข้ามาในสมองว่าเราไม่สามารถควบคุมความเป็นไปของสรรพสิ่งได้ เธอเดินเข้าไปกับลั่วจื่อหานด้วยความกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย
อากาศวันนี้แย่มาก อาการของชายชราบนเตียงก็แย่เช่นกัน เขาหรี่ตาครึ่งหนึ่ง เปลือกตาที่ใหญ่โตราวกับว่าได้บดบังดวงตาไว้ทั้งหมดแล้ว ภายในดวงตาที่พร่ามัวนั้นหลงเหลือเพียงความว่างเปล่าและความเลื่อนลอย
เขาหันหน้าด้วยความยากลำบาก เมื่อเห็นว่าเป็นพวกเขาสองคนก็ต้องการจะยิ้ม แต่มีเพียงกล้ามเนื้อด้านข้างที่กระตุก แม้แต่การยิ้มก็ทำไม่ได้แล้วเหรอ?
“พวกเธอมาแล้วเหรอ”
“อืม”
มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับว่ามีพลังหยิบแปรงขึ้นมาสาดหมึกอยู่ในสตูดิโอที่ว่างเปล่าทั้งวันอีกครั้ง เขาเผยยิ้ม แล้วค่อยๆ ค่อยๆ หลับตาลง
อี้เป่ยซียกมือขึ้นกุมปาก น้ำตาเม็ดโตๆ ร่วงอยู่บนมือ ชวนให้เจ็บปวด
ลั่วจื่อหานกอดเธอ ลำคอขยับเขยื้อน ดวงตาก็แดงก่ำและเงียบงันเช่นกัน
“อา…” เซี่ยเช่อเดินมาข้างเตียง จัดแจงผ้าห่มของอาจารย์อย่างดีราวกับว่าเขากำลังหลับสนิท และเอ่ยสองสามคำเหมือนทุกครั้ง
“อาจารย์ อย่านอนดึกนะครับ”
งานศพถูกจัดขึ้นสิบวันหลังจากนั้น อาจารย์ไม่มีลูกเมียของตัวเอง และไม่มีทายาทของตัวเองหลงเหลืออยู่ งานศพถูกตระเตรียมโดยกลุ่มนักเรียนที่มีลั่วจื่อหานเป็นผู้นำ แม้จะไม่หรูหราแต่ก็ปราณีตเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังเข้ากับความชอบและอารมณ์ของอาจารย์ครั้นยังมีชีวิตอยู่ อี้เป่ยซียืนอยู่ข้างลั่วจื่อหาน ฟังคำสรรเสริญเยินยอของนักบวช เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคุณยายแก่ๆ ที่สะอึกสะอื้นหนัก เธอหลบอยู่ด้านหลังผู้คนราวกับว่ากลัวจะมีคนเห็น
อี้เป่ยซีหลับตา
อาจารย์คะ เธอก็มาด้วย อาจารย์น่าจะดี…
จู่ๆ ก็เกิดความโกลาหลท่ามกลางฝูงชน อี้เป่ยซีกับลั่วจื่อหานหันไปพร้อมกัน ทิศทางเมื่อครู่ถูกล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหานด้วยความตื่นตระหนก เขาเข้าใจความหมายของเธอทันที เดินก้าวเข้าไปจัดการกับฉากปั่นปวนนั้น งานศพจึงดำเนินไปอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง
หญิงชราลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่สะอาดสะอ้าน
“อาจารย์ม่อ ตื่นแล้วเหรอคะ” อี้เป่ยซีถือน้ำแก้วหนึ่งเดินเข้ามาพอดี “ดื่มน้ำก่อนเถอะค่ะ”
หญิงชราหยุดชะงักเล็กน้อย เธอพยายามลุกขึ้น อี้เป่ยซีเอื้อมมือออกไป เธอส่ายหน้า ลุกขึ้นมาเองแล้วรับน้ำอุ่นไว้
“เป่ยซี ทำไมเธอ…มาอยู่ที่นี่ได้”
“สวัสดีค่ะอาจารย์ อาจารย์มาได้ยังไงคะ ทำไมถึงเสียใจขนาดนั้น อาจารย์ต่งอยู่โรงพยาบาลตั้งนาน หนูยังไม่เคยเห็นอาจารย์มาเลย?”
เธอดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง มองดูไอน้ำที่ลอยขึ้นมาช้าๆ ราวกับความคิดถูกดึงไปสู่อดีตอันยาวนาน “ฉันนึกว่า…ที่จริง ฉันก็เคยไป…เขาน่ะ…”
ลั่วจื่อหานเคาะประตู ได้ยินข้างในบอกให้เข้าไปได้จึงเดินเข้าไป ในมือถือกล่องผ้าใบหนึ่ง
“นี่คือของที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ครับ บอกว่าพอเขาไปแล้วให้เอาให้คุณ”
“ให้ ให้ฉัน?” เธอรับมาด้วยมือสั่นเทา แววตามีความเหลือเชื่ออยู่บ้าง เธอก้มหน้า ดวงตาระคายเคืองเล็กน้อย
“เป่ยซี ข้างล่างมีคนมาหาเธอน่ะ” ตอนแรกอี้เป่ยซีอยากอยู่ต่ออีกหน่อย แต่เมื่อได้ยินลั่วจื่อหานก็รู้ว่าตั้งใจให้เธอออกไป เธอพยักหน้า ออกไปพร้อมกันกับเขาแล้ว
“นายก็รู้เหรอ?”
แววตาของลั่วจื่อหานยังคงหนักอึ้งเล็กน้อย “เปล่า อาจารย์ไม่เคยพูดถึงเลย ถึงจะไม่บอกตรงๆ แต่เรื่องทุกเรื่อง พอดูจากพฤติกรรมกับปลายพู่กันแล้วมันชัดเจนมาก”
“ทำไมพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน?”
“อาจเป็นเพราะนี่คือเรื่องราวของพวกเขา…”
————
ตอนที่ 182
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 182 ความเชื่อใจที่สั่นคลอน (1)
แม้อี้เป่ยซีจะต้องการอยู่กับคุณแม่ต่ออีกหลายวัน ทางคณะก็จะไม่อนุญาตให้เธออยู่ต่ออีกแล้ว ลั่วจื่อหานก็ควรกลับไปจัดการเรื่องที่บริษัท ทั้งสองคนหารือกันว่าจะกลับไปวันอาทิตย์หน้า และยังสามารถอยู่ที่ประเทศ U ต่อได้อีกห้าหกวัน
“พี่สาว ดอกไม้ให้พี่สาวครับ” เด็กน้อยตัวอ้วนกลมวิ่งมาหาอี้เป่ยซีด้วยขาที่สั้นป้อม เขาถือดอกกุหลาบช่อใหญ่ กลีบดอกไม้สีแดงสดบดบังวิสัยทัศน์ของเขา อี้เป่ยซีรีบเดินไปข้างหน้า กลัวว่าเขาจะหกล้ม
เธอยิ้มรับดอกไม้ที่อยู่ในมือ แล้วลูบหัวปุกปุยของเขา “ใครเป็นคนให้เธอส่งมาเหรอ”
ลั่วจื่อหานเหรอ? นอกจากเขาแล้วยังมีใครอีก อี้เป่ยซีมีคำตอบที่แน่วแน่อยู่ในใจแล้ว แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยตัวจ้ำม่ำที่อยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้อยากจะหยอกเขาสักหน่อย
“คุณอาที่อยู่ตรงนั้น เขาบอกว่าเอาดอกไม้มาให้พี่สาวคนที่สวยที่สุด แล้วพี่สาวคนนี้จะพาผมไปซื้อลูกอมกิน”
อี้เป่ยซีเอื้อมมือเขี่ยๆ จมูกของเขา “เธอนี่พูดเก่งจริงๆ งั้นเธอรู้ไหมว่าร้านขายลูกอมที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน?”
หัวกลมๆ ผงกอย่างแรงสองสามที อี้เป่ยซีเฝ้าอยู่ด้านหน้า “อยู่ที่คุณอาตรงนั้น ผมพาพี่สาวคนสวยไปได้นะ”
“งั้นก็รบกวนเธอแล้ว”
เด็กผู้ชายตัวน้อยยื่นมือของตัวเองออกมา “พี่สาว จูงมือ ระวังจะหลงนะ”
อี้เป่ยซีหน้าแดง ลั่วจื่อหานทำไมถึงบอกกับเด็กน้อยทุกอย่างเลย ผู้ใหญ่อย่างเขาช่างหน้าไม่อายจริงๆ
เธอยื่นมือออกมา จูงมือน้อยๆ ที่อ้วนกลมของเด็ก มันอ่อนนุ่มราวกับปุยเมฆ ความรักและความเอ็นดูก็ก่อตัวขึ้นโดยธรรมชาติ มือน้อยๆ ถูกมือของเธอห่อหุ้มไว้พอดิบพอดี ในวินาทีนั้นราวกับว่าตัวเองได้กุมโลกทั้งใบ
ถ้าลูกของเธอยังอยู่ก็ดีสิ…
หลังจากผ่านถนนไปหลายซอย อี้เป่ยซีก็มาถึงร้านขนมแห่งหนึ่งที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามมาก ดูแล้วลงทุนลงแรงไปไม่น้อย เธอมองไปรอบกาย คิ้วขมวดกันบางๆ
ต่อให้ไวน์ดีแค่ไหนก็ไม่สู้ทำเลที่ตั้ง ร้านค้าดูมีราคาขนาดนี้ ทำไมถึงเลือกมาอยู่สถานที่ห่างไกลและไร้ผู้คนแบบนี้ได้
อี้เป่ยซีเปิดประตูพร้อมกับเด็กชาย เสียงระฆังที่ประตูดังกรุ๊งๆ กริ๊งๆ ลูกค้าคนเดียวที่อยู่ในร้านหันมามองที่ประตู
ทำไมถึงเป็นเขาได้!
อี้เป่ยซีมองดอกไม้ที่ในอ้อมอกอย่างเหลือเชื่อ ตอนนี้พวกมันดูเหมือนสัตว์ร้ายสีแดงที่กำลังมองเธออย่างโกรธแค้น ทิ่มแทงร่างกายของเธออย่างหนักหน่วง เธอปล่อยมือทันที แล้วถอยหลังไปสองสามก้าว
“แปลกใจมากเหรอ?” ลู่เยี่ยจิ่งเดินเข้าไปหาอี้เป่ยซี ยิ้มแสยะพร้อมกดเธอไปที่ประตู พ่นลมหายใจอยู่บนใบหน้าของเธอ “ไม่อยากเห็นฉันขนาดนี้เลยเหรอ”
อี้เป่ยซีสูดหายใจลึก “ฉันนึกว่า พวกเราหายกันแล้ว”
ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ “ฉะนั้นนี่ก็เลยเป็นเหตุผลที่เธอตั้งใจล้มลงไปกับพื้นเหรอ?”
อี้เป่ยซีเบิกตากว้าง “ไอ้คนชั่ว ต่อให้ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวกับนาย ทำไมต้องเอาลูกตัวเองมาล้อเล่นด้วย”
มือของเขาสัมผัสอยู่บนใบหน้าของอี้เป่ยซีอย่างละมุนละม่อม สัมผัสที่บางเบานั้นทำให้ขนลุกซ่าน “คิดอะไรอยู่เหรอ? คิดว่าเมื่อไรลั่วจื่อหานจะมาช่วยเธอ หรือว่าฉันจะบอกเรื่องนี้กับลั่วจื่อหานหรือเปล่า?”
“ลู่เยี่ยจิ่งนาย…” อี้เป่ยซีมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ สัมผัสอันเยือกเย็นบนริมฝีปากราวกับจะกัดกินเธอ เธอดิ้นรนสุดชีวิตแต่มันกลายเป็นสิ่งไร้ค่าภายใต้การควบคุมของเขา ทันใดนั้นเองคางของเธอก็สึกเจ็บ อี้เป่ยซีเปิดปากออกเล็กน้อย แล้วก็ถูกเขาบุกทะลวงเข้าไป
เธอกัดลิ้นของเขาอย่างรุนแรง กลิ่นคาวเลือดแทรกซึมเข้าไปในปาก แต่ลู่เยี่ยจิ่งกลับเหมือนเป็นคนบ้า ไม่สนใจความเจ็บปวดยังคงเกี่ยวพันกับเธออยู่เนิ่นนานจึงปล่อยเธอไป
เขาเกลียดเธอมาตลอดไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ต้องการจะทำอะไรอีก?
อี้เป่ยซีพิงอยู่บนกระจกอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
“ไปจากลั่วจื่อหานซะ”
“เป็นไปไม่ได้”
เขาหัวเราะเย็นชา “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พวกเธอสองคนเจอเรื่องนี้แล้ว ยังจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้เหรอ?”
อี้เป่ยซีต้องการจะตบหน้าเขาด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี แต่ก็ถูกคว้าไว้กลางอากาศ “ไม่มีทาง ลั่วจื่อหานไม่มีทางเชื่อที่นายพูด”
“ก็เพราะเธอคิดมาตลอดว่าเขาจะไม่เชื่อที่ฉันพูด เธอก็เลยทำแบบนี้? ไม่ใช่เหรอ?”
“ลู่เยี่ยจิ่ง นายต้องการอะไรกันแน่?”
เขาต้องการให้เธอทำอย่างไรกันแน่ถึงจะปล่อยเธอไป เธอทนทุกข์มามากเกินไปแล้ว และเธอก็ชดใช้มามากแล้ว จะต้องให้เธอทำอย่างไรถึงจะเป็นการชดใช้สำหรับหัวใจเขา เขาถึงจะพอใจและปล่อยเธอไป
“อี้เป่ยซี” จู่ๆ ลู่เยี่ยจิ่งก็อ่อนโยนลง “ลั่วจื่อหานไม่เหมาะสมกับเธอ ถ้าเธอยังชอบเขาอยู่จะไปต่อกับอี้เป่ยเฉินก็ได้ แต่ว่าลั่วจื่อหานน่ะ เธออย่าไปแหยมกับเขาจะดีกว่า”
“ลู่เยี่ยจิ่ง นายเห็นฉันเป็นอะไร?”
“ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดี ระวังตัวไว้ต่อไปเขาจะกินเธอจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก”
“ขอบคุณที่เตือน มีอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีแล้ว งั้นฉันก็ขอตัวก่อน”
ลู่เยี่ยจิ่งลังเลครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจพูดออกมา “อุบัติเหตุ ของพี่ชายฉันครั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอหรอก มีคนใส่ยากล่อมประสาทในเหล้าของเขา ฉะนั้น เธอก็อย่าโทษตัวเองให้มากนักเลย?”
“นายพูดอะไร? ใคร?”
เขาพึมพำพร้อมหันหน้าไปอีกทาง “ฉันกำลังสืบเรื่องนี้ เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
“ถ้าหากมีข่าวอะไร ขอร้องนายบอกฉันหน่อยได้ไหม?”
ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ เอ่ยขึ้นอย่างโหดร้าย “บอกเธอ? ไม่ต้องพูดว่าเธอมีสิทธิ์อะไรหรอกนะ ขนาดคนที่นอนข้างเธอยังไม่บอกเธอเลย ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วยล่ะ?”
อี้เป่ยซีเดินอยู่บนถนนอย่างขวัญหนีดีฝ่อ เธอมองดูถนนสายเล็กๆ ตรงหน้า มันเหมือนกับถนนสายเล็กๆ ที่เธอผ่านมาก่อนหน้านี้ เธอทรุดตัวลงอย่างเศร้าโศก
“ขนาดคนที่นอนข้างเธอยังไม่บอกเธอเลย ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วยล่ะ?”
“อี้เป่ยซี คนที่ใช้วิธีสกปรกเพื่อเข้าหาเธอทีละก้าวๆ เธอแน่ใจจริงๆ เหรอว่าอยากเดินต่อไปกับเขา?”
“ถ้าหากการที่ทำร้ายเธอทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย เขาก็เลือกที่จะทำแบบนั้นโดยไม่ลังเล จนป่านนี้เธอยังมองไม่ออกอีกเหรอ?”
“ฉันมองไม่ออกหรอกนะว่าเขาชอบเธอหรือเปล่า แต่ว่าเธอค่อยๆ ถูกเขาผูกมัดอยู่ข้างกาย หรือว่าเธอไม่รู้สึกเหรอ? เชื่อใจอย่างไม่มีเงื่อนไข พึ่งพาเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ อี้เป่ยซี เธอกลายเป็นวัตถุของเขาไปแล้ว”
“วันนั้นที่แท้ง มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้วล่ะมั้ง”
“เธอชอบตำหนิว่าฉันทำอะไรลงไปบ้าง แต่ว่าสุดท้ายคนที่ทำร้ายเธอ จริงๆ แล้วก็เป็นคนที่เธอแคร์ที่สุดสินะ”
อี้เป่ยซีกุมศีรษะ น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ มันร่วงอยู่บนใบหน้าหยดแล้วหยดเล่า รอบกายเงียบสงบแทบจะไม่มีใครเดินมา ไม่มีใครรบกวนเธอ มีเพียงตึกสูงสีเทายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ไว้อาลัยให้เธอ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง พิธีกรรมยังคงดำเนินต่อไปโดยใช้น้ำตาของหัวใจที่แตกสลายและความสงสารของกำแพงสูงที่ไม่สามารถพูดออกมาได้
————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น