Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 172-178

 ตอนที่ 172

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 172 โชคชะตาฟ้าลิขิต (7)


             มุมปากด้านขวาของมู่ลี่ไป๋ยกยิ้ม นึกถึงตัวเองเมื่อก่อนที่ทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมพูดจา ไม่น่าล่ะเธอถึงได้ตำหนิเขา ไม่น่าล่ะเธอถึงคิดที่จะจากเขาไป


            ลมพัดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง มู่ลี่ไป๋ห่มผ้าให้เยี่ยฉิน “ไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่ไหม?” เขามองนาฬิกาบนมือของตัวเอง ตอนนี้ผ่านไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จากคนที่อยู่บนเตียง ความขมขื่นผุดขึ้นในใจของเขา เพราะว่าเขาอยู่ข้างกายเธอ ในจิตใต้สำนึกจึงไม่อยากเจอเขา


            มือของเขาสั่น เดินไปยังข้างหน้าต่าง ยื่นมือลูบไล้ช่องหน้าต่างสีขาวบริสุทธิ์


            เขายังจำได้หลังจากที่เยี่ยฉินวางสายไปแล้ว ไม่ว่าเขาทำอย่างไรก็ไม่สามารถสงบจิตใจของตัวเองลงได้ กระโดดออกจากหน้าต่างทันที คนในสวนทำเป็นมองไม่เห็น ชั้นสองนั้นค่อนข้างสูง มู่ลี่ไป๋เหมือนกับได้ยินข้อเท้าของเขาส่งเสียงไม่สมดุลย์กัน เขาพุ่งไปที่รถของตัวเองอย่างทะลุกทุเล แล้วออกไป


            เธออยู่ที่ไหน? มู่ลี่ไป๋ครุ่นคิดครู่หนึ่ง มาถึงบาร์แห่งหนึ่งข้างมหาวิทยาลัยด้วยความแน่วแน่มาก เขายังจำได้ว่าเขาเคยบอกเธอว่าอย่ามาที่นี่


            มู่ลี่ไป๋เห็นเยี่ยฉินถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน มือก็กำแน่นด้วยความโกรธ เขาเตะทุกอย่างที่ขวางทางเขา คว้าข้อมือของเยี่ยฉินอย่างแรง


            “คุณทำอะไรน่ะ” เยี่ยฉินดิ้นรนไม่หยุด มู่ลี่ไป๋ไม่พูดจา เมื่อเธอเห็นว่าตัวเองไม่สามารถดิ้นหลุดได้ ก็ก้มลงกัดแขนของมู่ลี่ไป๋อย่างแรง จนกระทั่งกลิ่นเลือดที่หนักหน่วงบุกเข้าไปในโพรงจมูก ก็ไม่เห็นว่ามู่ลี่ไป๋จะมีท่าทีปล่อยมือ


            “พอแล้วยัง?” เดิมทีมู่ลี่ไป๋อยากจะหัวเราะ แต่ว่าใบหน้านั้นแข็งทื่อจนตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ เหลือบมองอย่างเย็นชา


            เขากวาดตามองคนรอบกายเยี่ยฉินอย่างเยือกเย็น แววตาที่เย็นเยียบนั้นทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นด้วยความกลัว และก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว


            “คุณปล่อยนะ ฉันไม่อยากไปกับคุณ คุณมีสิทธิ์อะไร”


            มู่ลี่ไป๋รู้สึกว่าเส้นเอ็นบนหัวเต้นตุบๆ เขาดึงเธอเข้ามากอด “พวกเรากลับไปค่อยคุยกัน”


            “ใครจะกลับไปกับคุณ พวกเราเลิกกันแล้ว ฉันไม่อยากกลับไปกับคุณ มู่ลี่ไป๋ คุณหาคนอื่นมาเล่นเกมส์เถอะ ไปหาคุณหนูหลี่คุณหนูจางของคุณซะ ฉันเยี่ยฉินใช่ว่าจะขาดคุณไม่ได้” เธอดิ้นรนสุดกำลังที่เธอมี อาศัยจังหวะที่มู่ลี่ไป๋เหม่อลอยผลักเขาออกไป ตัวเองก็ตุปัดตุเป๋สองสามก้าว


            “เยี่ย…”


            เยี่ยฉินมองเขาอย่างเย็นชา แววตาที่เย็นชาไม่คุ้นเคยนั้นทำให้มู่ลี่ไป๋หยุดเดิน


            “เยี่ยฉิน”


            เยี่ยฉินดึงกระเป๋าที่อยู่ข้างเคาน์เตอร์เข้ามากอด เดินลับสายตามู่ลี่ไป๋ด้วยแผ่นหลังที่ตั้งตรง


            ความห่างเหินและเย็นชา กันทุกคนออกจากรอบตัวเขา


            ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?


            มู่ลี่ไป๋ห้ามปรามตัวเองไม่ให้เดินตามไป “สนุกไหม?” สามคำสั้นๆ ทำให้ทุกคนแตกตัวเป็นนกแตกรัง เขาซดเหล้าอย่างเอาเป็นเอาตายแก้วแล้วแก้วเล่า


            มู่ลี่ไป๋ส่ายหน้า ปิดหน้าต่าง พิงหน้าต่างมองเยี่ยฉิน


            “ถ้าลูกไม่ไป แม่จะก็ตายอยู่ที่โรงพยาบาลนี่แหละ”


            “แม่ครับ ทำไมแม่ชอบบังคับผมอยู่เรื่อย”


            “แม่บังคับแก แกต่างหากที่บังคับแม่ แกทำให้แม่ผิดหวังเกินไปแล้ว หึ ถ้าแกไม่ไป แม่ก็จะคิดซะว่าไม่เคยมีลูกชายอย่างแก เรื่องของแม่แกก็ไม่ต้องมายุ่ง”


            “แม่”


            “คุณนายมู่ คุณนายมู่ คุณหมอ…” เสียงดังอลหม่านดังมาจากปลายสาย…


            เขามองดูเบอร์ที่คุ้นเคยบนโทรศัพท์มือถือ ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่มีความกล้าที่จะกดรับสาย เขาครุ่นคิดแล้วส่งข้อความไป


        ดังก้อนหินที่จมสู่ทะเลลึก เขาไม่เห็นเยี่ยฉินฟื้นขึ้นมาตลอดทั้งคืน


            เขาควรจะทำอย่างไร จึงจะสามารถรักษาความสมดุลย์ของความสัมพันธ์นี้ได้


            “ลี่ไป๋ ลูกอย่าเอาแต่ใจได้ไหม”


            “คุณพ่อ”


            “ลูกคิดให้ดี พ่อจะไม่พูดมาก แม่ของลูก…เพื่อลูกแล้ว”


            “ผมรู้แล้วครับ”


            คุณพ่อของมู่ลี่ไป๋รีบออกไปจากโรงพยาบาล ถอนหายใจ สองคนนี้ช่างน่ารำคาญจริงๆ


            เขาเดินเข้ามาที่เตียงของแม่ตัวเอง พูดด้วยเสียงต่ำที่สุด “แม่ครับ ผมจะไป แต่ว่ามีเงื่อนไขนึง”


            มือของผู้หญิงที่อยู่บนเตียงขยับ แต่ยังไม่คิดที่จะลืมตา


            “ไว้ผมกลับมาแล้ว เรื่องหลังจากนั้นปล่อยให้ผมตัดสินใจได้ไหมครับ?”


            “แม่อยากให้ผมไปประเทศ U ผมก็ไป อยากให้ผมประสบความสำเร็จในวงการแพทย์ ผมก็ทำให้ได้ แล้วก็มีความสุขด้วย แต่ว่าแม่ครับ เรื่องชีวิตรักของผมให้ผมตัดสินใจได้ไหม”


            “แม่ครับ เยี่ยฉินเป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ จริงๆ ไว้แม่ได้รู้จักกับเขาสักพักนึงแล้ว แม่ก็จะชอบเขาเหมือนกัน”


            “ลี่ไป๋”


            “แม่ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ” พูดจบก็ออกจากห้องคนไข้ไป


            เธอนอนอยู่บนเตียง พิงอยู่บนเงาของลูกตัวเองที่กำลังจากไป รูปร่างเขาสูงใหญ่ ลูกของเธอโตแล้วจริงๆ


            เธอถอนหายใจ หลับตาลงอีกครั้ง อย่างน้อยเรื่องราวก็ได้รับการแก้ไขแล้ว


            มู่ลี่ไป๋กำลังคิดว่าถ้าตอนนั้นเขาจากไปโดยพูดอะไรสักอย่าง ตอนนี้มันจะแตกต่างกันหรือเปล่า?


            หรือว่าทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เขาจะจากไปหรือไม่ก็มีอะไรแตกต่างล่ะมั้ง


            จู่ๆ ประตูก็เปิดออก ผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเป็นหมอเดินเข้ามา เขาพิงอยู่ข้างมู่ลี่ไป๋ วางข้อศอกไว้บนบ่าของเขา


            “ยังไม่ตื่น?”


            “อืม”


            “หึ” เขานวดคางของตัวเอง “ตั้งใจแหละ น่าจะตื่นตั้งนานแล้ว”


        เยี่ยฉินได้ยินพวกเขาสองคนคุยกัน มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มออกแรงเล็กน้อย


            มู่ลี่ไป๋กวาดสายตา พูดเสียงเบา “ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยดี ไปคุยข้างนอก”


            “ไม่ต้องหรอก” ลั่วจื่อจี้ย่นจมูก “พี่ชายกับอาซ้อของฉันรู้เรื่องนี้แล้ว อาซ้องอแงว่าจะมา”


            “อี้เป่ยซี?”


            ลั่วจื่อจี้พยักหน้าอย่างจนปัญญาเล็กน้อย “ฉะนั้นนะ ให้ฉันได้สร้างความประทับใจต่อหน้าพี่สะใภ้อย่างเร็วที่สุดเถอะ”


            มู่ลี่ไป๋บีบๆ คิ้ว “อืม”


            “ยากมากเลยเหรอ? ให้ฉันช่วยไหม?”


            “ไม่ต้อง” พูดจบก็ก้าวออกไปจากห้องคนไข้อย่างสง่างามแล้ว ลั่วจื่อจี้ออดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอยู่ด้านหลังเขา


            มู่ลี่ไป๋นี่เหมือนกับลั่วจื่อหานจริงๆ สมองไม่รู้จักคิด


            “คุณหนูเยี่ย?”


            เยี่ยฉินไม่ได้ตอบสนอง ลั่วจื่อจี้หัวเราะ เดินมาด้านข้าง


            “ผมไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของพวกคุณหรอกนะ แต่ว่าคุณหนูเยี่ย คุณไม่อยากลองดูสักครั้งจริงๆ เหรอ มีผมอยู่ คุณก็จะได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถ้าคุณยังดึงดันต่อไป ผมก็รับประกันอะไรไม่ได้แล้ว”


        “คุณหนูเยี่ย รักษาตัวให้ดี” พูดจบก็เดินลากเท้าจากไปแล้ว เยี่ยฉินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น


————


ตอนที่ 173

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 173 โชคชะตาฟ้าลิขิต (8)


             อี้เป่ยซีไม่ได้บอกแม่ของตัวเองอย่างชัดเจน แต่หาข้ออ้างไปเรื่อยแล้วพาลั่วจื่อหานไปยังโรงพยาบาลที่เยี่ยฉินอยู่อย่างรวดเร็ว


        “เธอระวังหน่อยสิ” ลั่วจื่อหานดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของตัวเอง เพื่อลงความความเร็วของอี้เป่ยซีลง


            “ฉัน ฉันรีบนี่นา ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ยอมแพ้แบบนี้” อี้เป่ยซีนิ่วหน้า คว้าเสื้อของลั่วจื่อหานต้องการนำไปข้างหน้า


            เขาส่ายหน้า วางมือโอบอยู่บนเอวของอี้เป่ยซี


            อี้เป่ยซีมองหมายเลขประตูห้องด้วยความร้อนใจ ผลักเข้าไป เยี่ยฉินกำลังถือแก้วน้ำ เมื่อเห็นอี้เป่ยซีที่เดินหน้าเข้ามาก็กระพริบตา


            “เธอมาได้ยังไง”


            อี้เป่ยซีต้องการวิ่งเข้าไป แต่ถูกลั่วจื่อหานดึงคอเสื้อเอาไว้ เธอหน้าบึ้ง เดินเข้าไปหาเยี่ยฉินทีละก้าวๆ


            “เธอรู้เรื่องหมดแล้วเหรอ?” เยี่ยฉินมีท่าทางสงบ วางแก้วลงบนโต๊ะเงียบๆ จับมือน้อยๆ ที่อบอุ่นของเธอเบาๆ


            “ข้างนอกไม่หนาวเหรอ?”


            อี้เป่ยซีพยักหน้า ดึงๆ แขนเสื้อของลั่วจื่อหานเป็นสัญญาณให้เขาออกไป เขายกมุมปากขึ้น จากไปแล้วปิดประตู


            “เยี่ยฉิน ลองดูเถอะ ลั่วจื่อหานบอกว่า ว่ามีลั่วจื่อจี้อยู่เธอจะต้องไม่เป็นไรแน่ เขาเก่งเรื่องนี้ที่สุดแล้ว”


            “พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”


            อี้เป่ยซีเม้มปาก หยุดครู่หนึ่งจึงพยักหน้า ประคองเยี่ยฉินแล้วเดินออกไป


            อากาศกำลังดี ลมอ่อนโชยมาทำให้รู้สึกสบายมาก ทั้งสองคนประคองกันและกัน


            “เธอก็เลยคิดจะเก็บเด็กไว้?”


            อี้เป่ยซีมุ่ยปาก “พวกเรากำลังคุยเรื่องของเธออยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาเรื่องฉันอีกแล้วล่ะ”


            เยี่ยฉินหัวเราะ “เรื่องฉันไม่มีอะไรน่าคุยหรอก เป่ยซี มันทำได้จริงเหรอ?”


            อี้เป่ยซีพยักหน้าหงึกหงัก “จริงสิๆ อีกอย่าง ลั่วจื่อจี้ยังบอกว่า เพราะกรณีของเธอค่อนข้างพิเศษ เข้ากับโครงการที่เขาจะทำตอนนี้พอดี ฉะนั้นเธอไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายกับกำลังคนเลย”


            “เยี่ยฉิน ลองดูสักครั้งเถอะ ต่อให้…”


            “อาซ้อ” ลั่วจื่อจี้จัดแต่งทรงผม เดินเข้ามาหาอี้เป่ยซีอย่างรวดเร็ว “ทำไมไม่ให้พยาบาลเฝ้าล่ะ พี่ชายผมล่ะ?”


            อี้เป่ยซีมองเขาอย่างหัวเสีย ‘เมื่อกี้เธอกำลังจะตอบตกลงแล้วเชียว จู่ๆ นายจะโผล่มาทำไม’ “อ๋อ ฉันมาเดินเล่นกับเยี่ยฉิน”


            ลั่วจื่อจี้มองเยี่ยฉิน “ให้ผมดูแลเขาเถอะ อาซ้อไปตรวจครรภ์กับพี่ชายผมดีกว่าไหม?”


            “ไม่ต้องหรอก นายว่างหรือไง?”


        “อืม ตอนนี้ก็มีแค่เรื่องของเยี่ยฉินเรื่องเดียว ผมก็ไม่ได้ยุ่งอะไร แค่เขาพยักหน้าก็เริ่มได้เลย ยังมีอะไรอีกนะ ก็มู่ลี่ไป๋น่ะสิ ทำให้เขาลำบากจริงๆ เลย”


            เยี่ยฉินพูดขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว “เขาเป็นอะไรไป”  อี้เป่ยซีรู้สึกว่ามือที่ผอมบางเห็นกระดูกบีบแขนตัวเองแน่นเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะทำหน้านิ่ว


            ลั่วจื่อจี้ไม่ได้มองเธอ “หา ก็แค่เรื่องเยอะนิดหน่อย หากเขาอยากอยู่ข้างๆ ก็ต้องเข้าใจนิสัยของฉัน ไม่อย่างนั้นจะร่วมมือกับฉันได้ยังไง”


            “หา เขาไม่ถนัดทางนี้ไม่ใช่เหรอ?”


            “อืม ที่จริงก็ใช้ได้น่ะ ถ้าเป็นผู้ช่วยก็โอเคอยู่ แค่สไตล์ของพวกเราไม่เหมือนกัน”


            มือของเยี่ยฉินยิ่งบีบแน่น


            “เยี่ยฉิน” อี้เป่ยซีสะกิดเธอด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย “เจ็บ”


            “ขอโทษ ขอโทษ” เยี่ยฉินรีบชักมือกลับ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเห็นสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน เข้าไปใกล้มือของลั่วจือจี้ที่วางอยู่บนตัวของอี้เป่ยซี ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนตัวเองอย่างแนบเนียน แล้วถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว แยกทั้งสองคนออกจากกัน


            “ทำไมออกมาซะล่ะ”


            “เยี่ยฉินบอกว่าอยากออกมาเดินเล่น ฉันก็เลยออกมาเป็นเพื่อนเขา” ลั่วจื่อหานจูงมือของเธอ ถอยหลบไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวของมู่ลี่ไป๋


            ลั่วจื่อจี้หัวเราะ “ฉันก็เป็นหมาหัวเน่าสินะ ไปละๆ จะได้ไม่เศร้า”


            ‘ใช่ๆ นายควรจะไปตั้งนานแล้ว’ อี้เป่ยซีพยักหน้าอยู่ในใจ ลั่วจื่อหานก็พาอี้เป่ยซีจากไปเงียบๆ


            “พวกเราจะไปไหน?” อี้เป่ยซีดึงเสื้อของลั่วจื่อหานพูดเสียงเบา


            “ตรวจครรภ์”


            อี้เป่ยซีขมวดคิ้ว “ฉัน ฉันคิดว่าวันนี้พวกเราเพิ่งลงจากเครื่อง รู้สึกไม่ค่อยสบาย ถ้ายังไงพวกเราไปพักผ่อนกันก่อนดีไหม?”


            “เมื่อกี้ทำไม่คิดไปพักผ่อน”


            “หา ฉันเหนื่อยมาก…”


            เยี่ยฉินมองดูแผ่นหลังของทั้งสองคนที่เดินแอบอิงกันจากไป เปี่ยมไปด้วยความอิจฉา


            “เยี่ยฉิน”


            “คนเป็นหมอก็มีจิตใจเหมือนพ่อแม่ ขอบคุณพวกคุณค่ะ” เยี่ยฉินถอยหลังไปช้าๆ “ต้องฝากพวกคุณแล้ว”


            “อืม” ข้อนิ้วของมู่ลี่ไป๋ขาวเล็กน้อยเพราะออกแรง เขาข่มอารมณ์ที่ปะทุอยู่ในใจ เผยรอยยิ้มที่ห่างเหินเป็นอย่างยิ่ง


            สองวันต่อมา…


            เดิมทีอี้เป่ยซีอยากไปเยี่ยมเยี่ยฉินตั้งแต่เช้า ผลก็คือเมื่อคืนวุ่นวายจนดึก อีกทั้งยังถูกลั่วจื่อหานรั้งไว้ จนกระทั่งสิบโมงกว่าจึงรีบไปอาบน้ำ


            “กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปเถอะ” ลั่วจื่อหานพันอี้เป่ยซีด้วยเสื้อผ้าอีกชั้น แล้วจูงมือของเธอ


            อี้เป่ยซีดึงๆ เสื้อบนตัว “ฉันอยากไปเยี่ยมเขาเร็วหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”


            “เธอต้องให้ช่องว่างพวกเขาหน่อยสิ ลั่วจื่อจี้บอกแล้วว่าสิบโมงกว่าถึงจะตื่น จะรีบทำไม?”


            อี้เป่ยซีครุ่นคิด ซุกอยู่บนตัวลั่วจื่อหาน “นายนี่รอบคอบจริงๆ เลย จูบนายทีนึง”


            “ตอนนี้มาคิดถึงฉันเหรอ?”


            อี้เป่ยซีกอดเขาอย่างเอาอกเอาใจ “เปล่าๆ คิดถึงนายตลอดเวลาแหละ”


            ในห้องคนไข้ มู่ลี่ไป๋มองคนที่อยู่บนเตียงตลอดเวลา ขยี้ตาที่ระคายเคืองเล็กน้อยของตัวเอง บนใบหน้ามีรอยยิ้มพึงพอใจ


            “เยี่ยฉินดีจังเลย คุณไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”


            มือของเยี่ยฉินขยับ ขณะที่ลืมตาขึ้นก็ได้ยินเสียงดังตึง


            “มู่ลี่ไป๋ มู่ลี่ไป๋” เสียงของเธออ่อนแรงเล็กน้อย คนที่อยู่บนพื้นเหมือนจะได้ยิน ยิ้ม แล้วหลับตาสนิท


            เยี่ยฉินรู้สึกว่าดวงตาของตัวเองเต็มไปด้วยน้ำตา เธอเรียกชื่อของเขา “มู่ลี่ไป๋ คุณตื่นสิ มีใครอยู่หรือเปล่า มู่ลี่ไป๋…”


            ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก อี้เป่ยซีได้ยินเสียงแผ่วเบาแล้วรีบพุ่งเข้าไป


            “เป็นอะไรไป มู่ลี่ไป๋เป็นอะไรไป?”


            ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว ประคองคนที่อยู่บนพื้นขึ้นมา “วุ่นวายจริงๆ”


            ลั่วจื่อจี้ก็เดินหาวเข้ามา “หา เกิดอะไรขึ้น มู่ลี่ไป๋เป็นอะไรไป?”


            “จะพูดมากทำไม รีบพาคนออกไปเร็ว” ลั่วจื่อหานมองเขา ลั่วจื่อจี้เข้าใจในทันที พาคนออกไป อี้เป่ยซีนั่งลงข้างเยี่ยฉิน


            “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มู่ลี่ไป๋ไม่เป็นอะไรหรอก เธอวางใจเถอะ วางใจเถอะ มู่ลี่ไป๋ไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อยเกินไปหน่อย เธอไม่ต้องเป็นห่วง”


            เยี่ยฉินพยักหน้าอย่างอ่อนแรง แล้วหลับตาลงช้าๆ


            อี้เป่ยซีก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ช่วยเธอทำความสะอาดแล้วเดินออกไป


            “เขาเป็นอะไรไป?” อี้เป่ยซีดึงๆ เสื้อของลั่วจื่อหาน ถามด้วยความเป็นกังวล


            “ไม่มีอะไร แค่เหนื่อยเกินไป”


        ลั่วจื่อจี้พูดขัด “ไม่ได้พักผ่อนมาสามวันแล้ว เป็นใครก็ทนไม่ไหวหรอก อาซ้อไม่ต้องเป็นห่วง แต่ว่าเรื่องนี้ก็ถือว่าจบแล้ว ผมกลับไปได้แล้วสิ”


————


ตอนที่ 174

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 174 คืนดี (1)


            ใบหน้าของลั่วจื่อหานเยือกเย็นเล็กน้อย บอกไม่ได้ว่าดีใจหรือว่าโมโห “อย่าเพิ่งกลับ”


            เดิมทีลั่วจื่อจี้ต้องการจะเรียกร้องความสงสารจากพี่สะใภ้ของตัวเอง เพิ่งจะยกมือขึ้นมา ก็ต้องค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ “ไม่จริงมั้ง!”


            “ถ้านายอยากไปฉันจะช่วยจัดการให้นายเดี๋ยวนี้เลย”


            “พี่” สีหน้าของลั่วจื่อหานสับสนเล็กน้อย เขางอนิ้วชี้แล้วจิ้มที่หน้าผากของตัวเอง “คือว่า ฉันกลับไปน่าจะดีกว่า เดี๋ยวพี่ก็ไม่สะดวกใช่ไหม” พูดพลางสายตาเหลือบมองอี้เป่ยซีเป็นครั้งคราว


            อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา แสดงอาการสงสัย วินาทีต่อมาก็มีร่างบดบังการปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน ลั่วจื่อจี้ส่ายหัว


            ขวางแม้แต่น้องชายแท้ๆ ?


            “งั้นนายก็ลงไปก่อน ถ่วงพวกเขาไว้สักสองสามวัน” เขาโบกมืออย่างหงุดหงิดราวกับว่าในที่สุดก็หลุดออกจากปัญหาได้แล้ว


            ลั่วจื่อจี้เพิ่งผ่านการผ่าตัดมาเมื่อวาน ร่างกายก็อิดโรยไม่น้อย ไม่มีอารมณ์แสดงอาการต่อต้านพฤติกรรมของพี่ชายตัวเอง เดินหาวลงไปชั้นล่างแล้ว


            “มีอะไรเหรอ?”


            ลั่วจือหานจับเอวของเธอ มือออกแรงเล็กน้อย “ไม่มีอะไร”


            “แต่เมื่อเมื่อกี้ที่นายพูดกับลั่วจื่อจี้ ฉันได้ยินหมดแล้ว นายยังอยากจะปิดฉันอีกเหรอ?”


            “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พ่อฉันอยากเจอเธอ”


            อี้เป่ยซีได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็สูดหายใจเฮือก ในสมองเต็มไปด้วยคำว่าพ่อเขาอยากเจอเธอ


            ใช่แล้ว ใช่แล้ว ลั่วจื่อหานก็ไม่ได้เกิดมาจากก้อนหินสักหน่อย เขาจะไม่มีพ่อแม่ได้ยังไง เขาได้เจอกับผู้ใหญ่ของบ้านเธอแล้ว ทั้งสองคนก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเธอไม่ไปต่างหากที่ดูไม่ค่อยสมควร


            แต่ว่า…อี้เป่ยซีดึงปลายแขนเสื้อของลั่วจื่อหาน บิดไปมา พวกเขาจะต้องรู้เรื่องของเธอตอนที่อยู่ประเทศ U แล้วสินะ พวกเขาจะมองเธออย่างไร เธองี่เง่ากับเรื่องนี้มาก ถ้าหากวางตัวไม่ดี พ่อแม่ของเขาจะรังเกียจเธอหรือเปล่า…


            “ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ไม่เป็นไรหรอกเป่ยซี”


            อี้เป่ยซีเหนื่อยใจ ที่จริงเธอไม่อยากไป แต่ว่าไม่ว่าจะมองด้านความรักหรือเหตุผลก็ต้องไปสักครั้ง อีกอย่างเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าลั่วจื่อหานเติบโตมาในครอบครัวแบบไหน


            “ฉันไม่รู้” เธอขมวดคิ้ว ทำได้เพียงให้คำตอบคลุมเครือ


            ถ้าหากเป็นเพียงการเจอหน้ากันธรรมดา ลั่วจื่อหานก็คงไม่วุ่นวายใจแบบนี้ และก็คงไม่ถามความเห็นของเธออย่างระมัดระวังแบบนี้แล้วล่ะมั้ง


            แล้วเขาล่ะ เขาอยากให้เธอไปหรือเปล่า?


            ลั่วจื่อหานราวกับรับรู้ความกังวลของเธอ พูดขึ้นอย่างเอาใจใส่ “ฉันโตมากับปู่ตั้งแต่เด็ก เธอก็เจอเขาแล้ว”


            “แต่ว่ามันไม่เหมือนกันนี่นา ปู่กับพ่อแม่ มันไม่เหมือนกันนี่นา”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะเบาๆ “ประโยคนี้พูดกับฉันก็พอนะ ถ้าปู่ได้ยินล่ะก็จะต้องไม่พอใจแน่”


            “อืม ยังดีที่ตอนนี้เขาไม่อยู่นี่”


            จู่ๆ ความคิดก็แวบเข้ามาในสมอง มุมปากของลั่วจื่อหานยกยิ้ม “เป่ยซี เธอฉลาดมาก”


            เรื่องง่ายๆ แบบนี้ทำไมเขาถึงมัวแต่ติดอยู่ที่เดิมกันนะ เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่ยังมีวิธีอื่นที่สามารถเผชิญหน้ากันได้โดยไม่มีศึกสงคราม


            คำชมกะทันหันของเขาทำให้อี้เป่ยซีทำตัวไม่ถูก เออออตามสองสามคำแล้วทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องคนไข้ เมื่อมาอีกครั้งในช่วงบ่าย เยี่ยฉินก็ตื่นแล้ว เธอมองไปข้างนอกด้วยความร้อนรนเล็กน้อย


            อี้เป่ยซีรีบนั่งลงข้างเธอ “เป็นอะไรไป?”


            เธอเลียริมฝีปากที่ยังคงซีดขาว น้ำเสียงก็อ่อนแรงเล็กน้อย “มู่ลี่ไป๋ เขาสบายดีไหม?”


            ตอนแรกอี้เป่ยซีอยากบอกว่าสบายดี แต่ว่าเมื่อเห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแล้วก็ต้องการจะเติมเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟสักหน่อย แสร้งทำเป็นเคร่งขรึม “ลั่วจื่อจี้ยังดูเขาอยู่ อาการไม่ค่อยดี”


            เยี่ยฉินไม่ค่อยเชื่อคำพูดของอี้เป่ยซี มองลั่วจื่อหานอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทางที่เขายังคงเพิกเฉยเธอ อดไม่ได้ที่จะร้อนใจ


            “เขาเป็นอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเหรอ ฉันไปเยี่ยมเขาได้หรือเปล่า?”


            อี้เป่ยซีตบๆ ไหล่ของเธอด้วยความห่างเหินมาก “คนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เธอจะกังวลไปทำไม ถึงยังไงก็เกี่ยวอะไรกับเธอ ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย ดูแลร่างกายของตัวเองยังจะถูกต้องกว่า”


            เยี่ยฉินกัดริมฝีปาก “เป่ยซี เขาเป็นอะไรกันแน่ เธอบอกฉันได้ไหม ได้ไหม?”


            หลังจากผ่านโรคร้ายแรงมากแล้ว เยี่ยฉินเข้าใจว่าที่แท้ชีวิตนั้นบอบบางและยากจะคาดเดาแค่ไหน ทุกคนราวกับเป็นตัวพนันของพระเจ้า ต้องพึ่งพาโชคชะตาในการเอาชนะในแต่ละวันหรือในแต่ละวินาที ทุกคนต่างแขวนอยู่บนเส้นด้าย ราวกับว่าจะร่วงลงไปเมื่อไรก็ได้และจะมองกันไม่เห็นอีกเลย


            เธอกลัวมาก เธอไม่รู้ว่าถ้าหากเธอเห็นมู่ลี่ไป๋หายไปต่อหน้าต่อตา เธอจะทำเรื่องแบบไหนบ้างและจะเสียใจมากแค่ไหน


            “เป่ยซี” เธอเสียงสะอื้น อี้เป่ยซีกลัวจริงๆ ว่าน้ำตาเม็ดโตจะร่วงหล่นจากดวงตาของเธอในวินาทีต่อมา


            “อัยยา เธออย่าร้องเลย เขาไม่เป็นไร เมื่อกี้ฉันโกหกเธอ เธออย่าร้องนะ จริงๆ”


            เยี่ยฉินสะอึกสะอื้น “จริงเหรอ?”


            “อืม จริงๆ เขาพักผ่อนน้อยเพราะว่าเรื่องของเธอ เดี๋ยวก็ตื่น…” อี้เป่ยซีสังเกตเห็นรองเท้าหนังอยู่ที่ด้านหลัง กระโดดไปข้างหลังของลั่วจื่อหานทันที


            หลบสายตาที่ขุ่นเคืองเล็กน้อยของมู่ลี่ไป๋


            เธอสำนึกผิดแล้ว เธอก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเยี่ยฉินจะร้องไห้ง่ายแบบนี้


            “นายปกป้องเธอไว้เถอะ” มู่ลี่ไป๋ยังคงบ่นเล็กน้อยขณะที่นั่งลงด้านหน้าอี้เป่ยซี


            “นายก็ปกป้องอยู่ไม่ใช่เหรอ” ลั่วจื่อหานพาเธอมาด้านข้าง ยื่นมือจิ้มๆ ปลายจมูกของเธอ ดวงตาที่ล้ำลึกยังคงมีความเอ็นดูเหมือนเก่า แล้วจูงมือของเธอเดินออกไปจากห้องคนไข้


            “คุณไม่เป็นไรนะ” เพราะว่าเยี่ยฉินเพิ่งร้องไห้ บนใบหน้าจึงยังมีคราบน้ำตาติดอยู่ มู่ลี่ไป๋เอื้อมมือช่วยเธอเช็ดมัน เธอมองเขาอย่างว่าง่ายราวกับว่าได้เห็นดอกไม้ผลิบาน


            “หน้าผมมีอะไรติดอยู่เหรอ?” มู่ลี่ไป๋รินน้ำ ต้องการจะประคองเธอขึ้นมา แล้วป้อนเธอดื่มจนหมดแก้วอย่างระมัดระวัง


            “อี้เป่ยซีนี่หน้าด้านจริงๆ” เขาวางแก้วกลับที่เดิมพร้อมบ่น


            เยี่ยฉินกัดริมฝีปากด้วยความเขินอายเล็กน้อย “เขาก็แค่อยากจะ…” เธอต้องการจะทำอะไรเยี่ยฉินเข้าใจอยู่แล้ว เธอก้มหน้า ขนตายาวซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเอง ด่าทอความขี้ขลาดของตัวเองอยู่ในใจ


            ช่างเป็นคนที่ไม่เอาไหนซะเลย ทำไมถึงยังได้กลัวไปซะทุกเรื่องแบบนี้ ทำไมถึงไม่บอกเขาไปอย่างกล้าหาญเลยล่ะ เธอเพียงต้องการจะรู้ว่าเธอชอบเขาหรือเปล่า


            ทำไมถึงไม่บอกเขาไปอย่างอาจหาญว่า มู่ลี่ไป๋ เมื่อก่อนฉันชอบคุณมากๆ แต่ว่าตอนนี้ฉันต้องการเริ่มชีวิตใหม่แล้วจริงๆ ฉันตัดสินใจว่าฉันไม่อยากชอบคุณแล้ว


            “หืม? เขาอยากทำอะไรเหรอ?”


            เยี่ยฉินหันหน้าไปอีกทาง คนที่อยู่ข้างๆ ไม่ยอมลดละง่ายๆ “อี้เป่ยซีนี่ว่างเกินไปจริงๆ คิดจะหาคาวมบันเทิงจากคนอื่น”


            “คุณ ไม่เป็นไรนะ” มู่ลี่ไป๋ต้องการพูดต่ออีกสองสามคำแต่กลับถูกความห่วงใยฉับพลันของเยี่ยฉินทำเอาทำตัวไม่ถูก สำลักน้ำลายทันที เขาไออยู่ข้างเตียงไม่หยุด ดูเหมือนเสียงหัวเราะแผ่วเบาของผู้หญิงปะปนอยู่ท่ามกลางเสียงไอของเขา


        ราวกับเสียงลมตีระฆังอยู่ที่ชายหาด


————


ตอนที่ 175

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 175 คืนดี (2)


             “ฮา กล้าหัวเราะผมเหรอ ไว้คุณหายแล้วจะเอาคืนให้เข็ดเลย” น้ำเสียงที่คุ้นเคยโดยพลันทำให้ทั้งสองคนแข็งทื่ออยู่กับที่ ต่างคนต่างมีความคิดเล็กๆ ของตัวเอง


            มู่ลี่ไป๋ชักมือที่ยื่นออกไปกลับมา


            “คุณพักเถอะให้เต็มที่ ผมจะไปซื้อของกินให้คุณ”


            “ไม่ต้อง” เยี่ยฉินตอบเร็วมาก กลัวว่าเขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ หน้าของเธอแดงเนื่องจากการเสียมารยาทของตัวเอง “ฉัน ฉันยังไม่หิว”


            มู่ลี่ไป๋มองขาของตัวเองรู้สึกโหวงเหวง แต่ก็ไม่ได้เดินขึ้นบันไดต่อ ก้มหน้า “งั้น ผมกลับก่อนนะ คุณพักผ่อนเถอะ”


            มือซีดขาวคู่หนึ่งพยายามวางบนมือของเขา สัมผัสนั้นมีความอ่อนแออยู่บ้าง ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรวู่วามและไม่กล้าหายแรง เขาได้แต่ควบคุมเอาไว้ ตอบว่า ‘อืม’ จากลำคออย่างแผ่วเบา


            “คุณ…” ขนตายาวของเธอสั่นไหวเล็กน้อย “อยู่ต่ออีกหน่อยได้ไหม”


            “ได้”


            ฉับพลันนั้นเอง มู่ลี่ไป๋วางมือเธอกลับไปที่ผ้าห่ม “ผมไม่ไปไหน คุณนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”


            เยี่ยฉินพยักหน้า ค่อยๆ หลับตาลง ลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งเป็นครั้งคราว เพื่อดูว่าคนเบื้องหน้ายังอยู่หรือเปล่า ดูว่าเธอฝันไปหรือเปล่า


            นี่อาจเป็นประโยชน์และสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยี่ยฉินในฐานะผู้ป่วยล่ะมั้ง


            พอเธอหายดีแล้ว มู่ลี่ไป๋ก็จะหายไปแล้ว สิทธิพิเศษของตัวเองก็จะหายไปด้วย


            ถ้างั้นก็ปล่อยให้เธอเอาแต่ใจอยู่ในช่วงเวลานี้สักพัก ไม่ต้องคิดถึงผลที่จะตามมาสักพัก ให้เธอได้อยู่ข้างเขาสักพัก


            และหนึ่งเดือนก็ผ่านไปท่ามกลางความหวานชื่นที่เธอหยิบยืมมา…


            ตอนนี้อี้เป่ยซีตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว แต่ว่าหน้าท้องยังคงราบเรียบไม่ต่างอะไรกับปกติ เธอคิดว่าไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปแล้ว เป็นการดีกว่าที่จะรีบบอกผู้ใหญ่ให้ชัดเจน


            บอกกับพ่อแม่ของลั่วจื่อหาน…


            “กินยาแล้วยัง?” ลั่วจื่อหานส่งเสื้อผ้าให้คนใช้ อุ้มอี้เป่ยซีตัวน้อยขึ้นมาจากโซฟานั่งบนตักของตัวเอง


            เบาเกินไปแล้ว ไม่รู้สึกเลยว่ามันคือน้ำหนักของคนสองคน


            “จื่อหาน เมื่อไรพวกเราจะไป…ไปหา พ่อแม่ของนาย”


            “เธออยากไปเหรอ?”


            “ฉันก็แค่รู้สึกว่าแบบนี้…” อี้เป่ยซีรู้ว่าหากตัวเองพูดไปว่าแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ลั่วจื่อหานจะต้องมีท่าทีอวดดีพร้อมบอกว่าเธอไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมแน่นอน เธอรีบเปลี่ยนหัวข้อ “จริงสิ ลูกสะใภ้ขี้เหร่ก็ยังต้องเจอกับพ่อแม่สามีเลย นับประสาอะไรกับฉันที่สวยยังกับนางฟ้า”


            “ครับๆๆ คุณนายลั่ว”


            อี้เป่ยซีตะลึงจากการเรียกของเขา จ้องเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “นายนี่รู้จักแซวฉันนะ”


            “วันศุกร์นี้ไหม”


            “หืม? วันศุกร์…ที่…ที่จริง ฉันก็ไม่ได้ อยากเจอพวกเขาขนาดนั้น ไม่ ไม่ต้องรีบขนาดนี้หรอก ฉัน ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย”


            มือของลั่วจื่อหานกำแน่น ผู้หญิงตัวน้อยของตัวเองใส่ใจกับเรื่องของเขามากขนาดนี้ ในใจก็รู้สึกพึงพอใจมาก “ไม่ต้องหรอก พวกเขาจะมองคนที่ฉันชอบยังไงก็ไม่มีประโยชน์”


            “แต่ว่ามันก็ไม่ได้…” อี้เป่ยซียังไม่ทันพูดจบ ริมฝีปากก็ถูกประกบแล้ว จนกระทั่งทั้งสองคนหายใจหอบเล็กน้อย ลั่วจื่อหานจึงปล่อยเธอ บีบๆ ปลายจมูกที่ละเอียดอ่อนของเธอ


            “คุณปู่ชอบเธอ พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรหรอก”


            ใบหน้าที่บึ้งตึงของอี้เป่ยซีค่อยๆ จางหายไป “นายนี่ฉลาดจริงๆ เลย อา จริงสิ สวรรค์ ลั่วจื่อหาน ทำไมฉันถึงได้ชอบนายขนาดนี้ นายนี่เยี่ยมไปเลย”


            เขาลูบหัวของเธอ การกระทำนั้นอ่อนโยนราวกับช็อกโกแลตอันอ่อนนุ่ม


            เช้าตรู่ของวันศุกร์อี้เป่ยซีก็ลากแม่ของตัวเองไปเลือกของขวัญที่ห้างด้วยกันแล้ว ลั่วจื่อหานต้องรีบออกไปกลางคันเนื่องด้วยธุระที่บริษัท กำชับอี้เป่ยซีอย่างไม่ค่อยวางใจ และจากไปด้วยความเป็นกังวล


            “ทำไมจู่ๆ ก็ไปซะแล้ว” หลังจากที่ได้คลุกคลีกันหลายเดือน คุณแม่อี้พบกว่าเด็กลั่วจื่อหานคนนี้นอกจากจะทำให้คนรู้สึกเย็นชาอยู่บ้างแล้ว ในฐานะลูกเขยของเธอก็นับว่าใช้ได้ ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยอีกทั้งยังนึกถึงลูกสาวของเธอในทุกๆ เรื่อง จะให้แม่ยายคนนี้ไม่ชอบได้อย่างไร


            “มีธุระนิดหน่อย พวกเราดูกันเองก็ได้ค่ะ” อี้เป่ยซีลากแม่ของตัวเองไปยังร้านผ้าพันคอไหม “แม่ว่าผืนนี้ใช้ได้ไหมคะ?”


            “อัยยาคุณหนูใหญ่ของแม่ ของพวกนี้เชยจะตาย ลูกส่งให้คนอื่นลงเหรอ?”


            อี้เป่ยซีมองซ้ายมองขวา แล้วพยักหน้าอย่างเขินอาย “งั้นพวกเราไปดูกันต่อเถอะค่ะ”


            ทั้งสองคนช้อปปิ้งกันตลอดทั้งเช้า จึงซื้อผ้าพันคอที่น่าพึงพอใจมาผืนหนึ่งรวมทั้งของบำรุงจำนวนหนึ่ง อี้เป่ยซีรู้สึกว่าวันนี้เธอได้เผาผลาญพลังงานของทั้งปีไปหมดแล้ว


            “ในที่สุดก็จบสักที…” อี้เป่ยซีวางของลงบนเก้าอี้ในร้านอาหาร เงยหน้ามองนอกหน้าต่าง เงาสีน้ำเงินผ่านวูบไป


            เขานั่นเอง!


            ไม่ จะเป็นเขาไม่ได้ เขา เขาไม่อยู่แล้วนี่นา คงเป็นภาพลวงตาของตัวเองล่ะมั้ง


            เธอหัวเราะ มือที่ดื่มชายังคงสั่นเล็กน้อย เธอมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง เงาสีน้ำเงินนั้นผ่านวูบไปอีกครั้งราวกับวิญญาณ


            ถ้วยตกลงบนที่วางแก้วส่งเสียงคมชัด อี้เป่ยซีรีบดึงทิชชู่ออกมาเช็ดสองสามแผ่น


            “เป็นอะไรไป? ทำไมดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย”


            อี้เป่ยซีรู้ว่าหากตัวเองพูดออกมาจะทำให้คุณแม่เป็นห่วงเธอ ส่ายหน้า “เมื่อกี้นึกถึงหนังผีเรื่องนึง ฉากเหมือนกับที่นี่มากเลย หนูก็เลยอิน”


            “…”


            “แม่อยากฟังไหมคะ?”


            “อี้เป่ยซี ลูกอยากบังคับให้แม่ตีลูกเหรอ”


            “อย่าๆๆ ไม่อยากฟังหนูก็ไม่เล่าแล้ว ปากยังขยับได้ก็อย่ารบกวนมือเลยค่ะ”


            เงานั้นผ่านวูบไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ราวกับว่าตั้งใจให้อี้เป่ยซีเห็นจึงจงใจหยุดอยู่ครู่หนึ่ง…อี้เป่ยซีกำหมัด สูดหายใจลึก “หนูไปห้องน้ำนะคะ”


            เธอวิ่งเหยาะออกไปแต่ก็ไม่เห็นเงานั้น กัดริมฝีปากด้วยความหดหู่เล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวอย่างไม่เต็มใจ


            จู่ๆ มือที่ใหญ่โตคู่หนึ่งคว้าตัวอี้เป่ยซีไว้ ลากเธอไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างลับ


            “นาย…” เขามองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ ขาทั้งสองข้างอดไม่ได้ที่จะสั่น…


            เขาถอดหมวกออก รอยยิ้มเย็นชามีความเกลียดชังเจือปน “ว่าไง เห็นว่าเป็นฉัน ดีใจมากล่ะสิ”


            อี้เป่ยซีประคองกำแพงไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองลื่นไหลลงไป มองเขาด้วยคามกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “ลู่เยี่ยจิ่ง ทำไมนาย…”


            เมื่อลู่เยี่ยจิ่งได้ยินคำถามของเธอ ความโมโหในใจลุกพรึ่บและระเบิดออกมาทันใด เขาบีบคางของอี้เป่ยซี น้ำเสียงโหดร้าย “อี้เป่ยซี เธอทำให้พี่ชายของฉันจากโลกใบนี้ไปตลอดกาล ทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่อย่างอิสระแบบนี้ เธอควรจะสวดอ้อนวอนต่อหน้าหลุมศพของเขาเขาทุกวัน ขอให้เขายกโทษให้กับความผิดของตัวเอง เธอไม่คู่ควรกับชีวิตที่มีความสุขแบบนี้ ”


            อี้เป่ยซีตัวสั่นไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงอ่อนแอเล็กน้อย “ฉันรู้ว่าฉันมีส่วนรับผิดชอบต่อการตายของลู่เยี่ยหวา แต่ว่าลู่เยี่ยจิ่งนายเคยคิดหรือเปล่า ว่าเยี่ยหวาเขาอยากเห็นพวกเรายึดติดกับความตายของเขา กลายเป็นศัตรูกัน แล้วใช้ชีวิตอยู่อย่างผิดปกติงั้นเหรอ”


        “เยี่ยจิ่ง ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อเยี่ยหวา ทำผิดต่อบ้านลู่ ชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน ฉันจะชดเชยให้พวกนายเอง แต่ฉันจะไม่ทำกับตัวเองเหมือนนักโทษที่แบกไม้กางเขนหรอกนะ”


————


ตอนที่ 176

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 176 คืนดี (3)


             สายตาของลู่เยี่ยจิ่งยิ่งดุร้าย เขาบีบข้อมือของอี้เป่ยซีอย่างแรง “ฉะนั้นพี่ชายของฉันก็เลยจากไปง่ายๆ แบบนั้น ถูกเธอกำจัดไปโดยไม่เหลือร่องรอยแม้แต่นิดเดียว”


            “ใครเป็นคนสอนเธอเรื่องเหตุผลที่งดงามพวกนี้เหรอ ลั่วจื่อหานงั้นเหรอ? ช่างเป็นกาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์จริงๆ”


            “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าจะให้พวกเธอลงนรกหรือเปล่า แต่ว่า อี้เป่ยซีเธอฟังให้ดี ถ้ามีฉันอยู่ สักวันหนึ่งฉันจะทำให้เธอรู้ว่าอะไรเรียกว่านรก”


            “ลู่เยี่ยจิ่ง นายไม่มีสิทธิ์ นายปล่อยฉันนะ…นาย” ลู่เยี่ยจิ่งสะบัดมืออย่างแรง อี้เป่ยซีก็ล้มไปกองกับพื้น ความเจ็บปวดในช่องท้องส่วนล่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้น เธอกุมท้องของตัวเอง สีหน้าซีดขาว


            “เป่ยซี!” ลั่วจื่อหานพุ่งพรวดเข้ามาหาอี้เป่ยซีโดยไม่มองลู่เยี่ยจิ่งเลย อุ้มคนที่อยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วรุดไปที่รถของตัวเอง เลิกลั่กจนราวกับว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีตัวตน


            ลู่เยี่ยจิ่งมองรอยเลือดบนพื้นด้วยความตกตะลึง ลมที่พัดมาจากหน้าต่างทำให้หนาวสั่น


            อี้เป่ยซีท้อง เมื่อครู่เขาลงมือฆ่าลูกของเธอ


            ไม่ เพราะว่าพวกเขาแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง จะโทษเขาไม่ได้ อี้เป่ยซีกับเขาไม่คู่ควรที่จะได้รับความสุขหรือมีลูกของตัวเองอยู่แล้ว


            เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาจากหน้าผากของอี้เป่ยซี เธอกัดแขนเสื้อของลั่วจื่อหานอย่างสิ้นหวัง เสียงโอดโอยยังคงดังออกมาจากปากที่ขาวซีดเนื่องจากความเจ็บปวด ลั่วจื่อหานได้ยินเสียงที่ขาดๆ หายๆ แล้วก็รู้สึกปวดใจ เมื่อเขานึกถึงเรื่องวันนี้ ลั่วจื่อหานก็ไม่สามารถปิดบังความมืดมนบนใบหน้าได้


            เขาไม่สามารถปล่อยใครก็ตามที่ทำร้ายอี้เป่ยซี ไม่ว่าใครก็ปล่อยไปไม่ได้


            ลั่วจื่อหานก้าวยาวๆ ไปถึงแผนกนรีเวช เมื่อคนในแผนกเห็นเลือดบนตัวของอี้เป่ยซี ก็รีบเตรียมการผ่าตัดทันที


            “ญาติรอข้างนอกนะคะ” พยาบาลหยุดลั่วจื่อหานอย่างเขินอาย เขาเห็นอี้เป่ยซีถูกผลักเข้าไปแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย


            ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เขาก็จะไม่ให้อี้เป่ยซีไปเจอผู้ใหญ่อะไรนั่น มันไม่ใช่เรื่องของพวกเขาตั้งแต่แรก แต่เป็นเขาเองที่อวดฉลาดจึงทำร้ายเธอ…


            ลู่เยี่ยจิ่ง ลั่วจื่อหานอย่างเขาไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่


            คุณแม่อี้ก็รีบมาถึง เธอขมวดคิ้วมองลั่วจื่อหาน “เกิดอะไรขึ้น”


            “คุณน้า เพราะผมไม่ได้ปกป้องเป่ยซีให้ดี” เธอมองหน้าลั่วจื่อหานอีกครั้ง เขาดูแก่ลงไปหลายปีภายใต้แสงไฟสีขาวที่ส่องสว่าง ดวงตาแดงก่ำไม่รู้ว่าเพราะเสียใจหรือว่าโมโห คำพูดที่คุณแม่อี้ต้องการพูดก็ถูกสะกัดกั้น เธอโบกมือแล้วนั่งลงข้างๆ เขา


            “ไม่มีอะไรหรอก เป่ยซีจะต้องไม่เป็นไร ลูกของเขาก็จะต้องสบายดี”


            ลั่วจื่อหานพยักหน้า สายตาจับจ้องอยู่ที่ป้ายไฟ จนกระทั่งไปดับลง ลั่วจื่อหานจึงก้าวยาวๆ ไปหาคุณหมอ


            “เป็นไงบ้างครับ”


            คุณหมอถอนหายใจ “เฮ้อ คุณแม่ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าเด็ก นี่เป็นพ่อแม่ครั้งแรกสินะครับ คราวหน้ายังมีโอกาส เพียงแค่ร่างกายของคุณแม่ค่อนข้างอ่อนแอ ช่วงนี้ก็ดูแลมากหน่อยนะครับ”


            ลั่วจื่อหานนั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียงของอี้เป่ยซี ไม่นาน คุณพ่อของเขารวมทั้งคุณปู่ก็รีบมาถึงแล้ว


            “ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้” ลั่วหมิงชี่กวาดตามองลูกชายของตัวเองด้วยสายตาขึงขัง “แกดูสิว่าตอนนี้แกกลายเป็นอะไรไปแล้ว”


            “พ่อครับ พวกเราออกไปคุยกันเถอะ เป่ยซีต้องการพักผ่อน” ลั่วหมิงชี่พยักหน้า เดินออกไปจากห้องคนไข้ คุณแม่ลั่วมองดูคนบนเตียงที่ผอมบางซีดเซียว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ


            ยังเล็กอยู่เลย หลานชายตัวน้อย หลานสาวตัวน้อยของเธอ…


            อี้เป่ยซีขมวดคิ้ว คุณแม่ลั่วรีบก้าวไปข้างหน้าช่วยห่มผ้าห่มให้เธอ เมื่อเห็นใบหน้าของเธอในระยะใกล้ เธอเป็นเด็กสาวที่สะอาดสะอ้านและสดใสมาก ดูตัวน้อยๆ ชวนให้คนชอบ เธออดไม่ได้ที่จะคิดว่า…สิ่งที่ลั่วจื่อเซี่ยพูดนั้นเป็นความจริงงั้นเหรอ?


            “พอเถอะ แกจะทำหน้าบึ้งทำไม หลานของฉันก็เสียใจมากพออยู่แล้ว แกยังจะโทษเขาอีก?”


            “พ่อ พ่อคิดว่าในใจเขาตอนนี้ยังเห็นผมเป็นพ่ออยู่อีกเหรอ?”


            “ในใจหลานชายของฉันมีแค่หลานสะใภ้คนเดียวมันผิดเหรอ ในใจฉันยังไม่มีลูกชายอย่างแกเลย”


            หางตาลั่วหมิงชี่กระตุก ไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองกลายเป็นคนแก่ที่ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร และมักจะตั้งใจพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ


            “พ่อครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”


            “พ่อไม่มีความเห็นอะไรกับอี้เป่ยซี แต่ว่าเรื่องนี้ แกทำให้พ่อผิดหวังมาก”


            “ผมรู้แล้วครับพ่อ”


            “กลับไปเถอะ พอตื่นแล้วแกก็บอกพ่อ พ่อจะให้แม่แกต้มซุปไก่ให้เขากิน”


            ลั่วจื่อหานพยักหน้าหงึกหงัก


            “จื่อจี้บอกพ่อหมดแล้ว พวกแกก็โตกันแล้ว พ่อก็ดูแลไม่ไหวแล้ว อยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ แต่ว่าลั่วจื่อหานแกฟังพ่อให้ดี ถ้าแกจะทำเรื่องอะไรที่ทำร้ายบ้านลั่วของพ่อ พ่อจะไม่ยกโทษให้แกแน่”


            “ครับ”


            คุณปู่พยักหน้า มองลูกชายของตัวเองด้วยความยินดีมาก “เอาล่ะ จื่อหานแกเข้าไปเถอะ ปู่มีเรื่องต้องคุยกับพ่อแก”


            ลั่วจื่อหานเดินเข้าไป ทิ้งสองพ่อลูกสองคนไว้ที่ทางเดิน


            “พ่อ”


            “เจ้าเด็กบ้า ทำไมไม่บอกเร็วกว่านี้ ปล่อยให้หลานชายกับหลานสะใภ้ของฉันกังวลอยู่ตั้งหลายวัน”


            ลั่วหมิงชี่ยักไหล่ คุณนึกว่าเขาจะใจอ่อนง่ายๆ แบบนี้เหรอ ถ้าลั่วจื่อหานไม่ได้มีผลลัพธ์ที่เพียงพอ เขาก็จะไม่เห็นด้วยอย่างง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อี้เป่ยซีก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องมากมายกับตระกูลลู่


            “พ่อรู้ว่าแกคิดแผนอะไรอยู่ วันนี้พ่อจะบอกแกไว้เลย พ่อจะรับแค่อี้เป่ยซีเป็นหลานสะใภ้แค่คนเดียวเท่านั้น แกอย่าเล่นอะไรตุกติกอีก”


            “พ่อไม่ไว้ใจผมขนาดนี้เลยเหรอ?”


            “ไว้ใจแก แกเคยทำให้ฉันไว้ใจตอนไหนบ้าง ยังมีเมียของแกคนนั้น…ไม่พูดแล้ว”


            อี้เป่ยซีถูกความเจ็บปลุกให้ตื่น เมื่อเธอลืมตาก็เห็นลั่วจื่อหานที่ยังคงเฝ้าอยู่ข้างเตียง ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดสนิทราวกับว่าสามารถหยดหมึกออกมาได้


            “ตื่นแล้วเหรอ”


            เธอกัดริมฝีปาก “นี่ฉัน…จื่อหาน…นายบอกฉันสิ ว่าใช่หรือเปล่า”


            ลั่วจื่อหานกอดเธอแผ่วเบา “ไม่เป็นไร เป่ยซี พวกเรายังมีเวลาอีกนานมากๆ นานมากพอ อาจเป็นได้ว่าเขากับพวกเรามีวาสนาต่อกันไม่มากพอล่ะมั้ง บางทีไว้เธอโตกว่านี้ เมื่อเวลามันสุกงอมแล้ว เขาอาจจะกลับมาอีกก็ได้”


            “ขอโทษนะ ลั่วจื่อหานขอโทษ…ฉันมันไม่ดีเอง ฉันไม่ควร…” อี้เป่ยซีสะอื้น หยดน้ำตานับไม่ถ้วนร่วงอยู่บนเสื้อของลั่วจื่อหานจนมันเปียกชื้น


            เพราะว่าเธอไม่ดีเอง เพราะอะไรถึงยังนึกถึงลู่เยี่ยหวา อีกทั้งยังคิดว่าเขาจะปรากฏตัวอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ว่าเยี่ยหวาได้จากไปแล้ว


            เพราะว่าเธอยั่วโมโหลู่เยี่ยจิ่ง เขาจึงลงมือกับเธอ…


            พูดไปพูดมาก็เพราะว่าเธอไม่ปกป้องตัวเองให้ดี ไม่ปกป้องลูกของตัวเองให้ดี


            “เป่ยซี มันไม่ใช่ความผิดของเธอ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย”


            “ฮือๆ ลั่วจื่อหาน…”


            “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว…หิวหรือเปล่า แม่ฉันต้มซุปไก่มาให้เธอน่ะ ดื่มหน่อยไหม?”


            อี้เป่ยซีกำเสื้อของลั่วจื่อหานแน่น ไม่รู้สึกอยากอาหาร แต่ว่าก็ไม่ต้องการให้เขาเป็นห่วง จึงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง


            เมื่อเห็นเงาของลั่วจื่อหานที่กำลังกระวีกระวาด น้ำตาของอี้เป่ยซีก็ร่วงลงมาอย่างไม่เชื่อฟังอีกครั้ง


        ขอโทษนะ ที่ชอบสร้างความวุ่นวายให้นาย ทำให้นายเป็นห่วง


————


ตอนที่ 177

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 177 คืนดี (4)


             คุณแม่อี้รีบกลับไปที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่ ลั่วจื่อหานออกไปรับโทรศัพท์พอดี เธอก็เห็นอี้เป่ยซีนั่งอยู่บนเตียง แววตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย สีดำสดใสดูเหมือนกำลังจะจางหายไปจากดวงตาของเธอ


            “เป่ยซี” เธอข่มน้ำเสียงไว้ ระคายเคืองตาเล็กน้อย อี้เป่ยซีหันมา มองคุณแม่อี้อย่างเหม่อลอย


            “แม่คะ หนูไม่เป็นไร แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”


            “แม่รู้” เธอวางของในมือลงบนโต๊ะ หันด้านข้างแล้วแอบเหล่สายตา “หิวหรือเปล่า แม่ทำโจ๊กซี่โครงหมูของโปรดเธอมาให้”


            “อืม ได้ค่ะ” อี้เป่ยซีต้องการจะเอื้อมมือ คุณแม่ตีๆ หลังมือที่บอบบางของเธอ


            “พอได้แล้ว แม่ดูแลเธอไม่ดีหรือไง นั่งให้ดีเดี๋ยวแม่จะป้อนเรา”


            อี้เป่ยซีพยักหน้า ดื่มโจ๊กกลิ่นหอมฉุยทีละคำๆ ลั่วจื่อหานผลักประตูเข้ามาก็เห็นอี้เป่ยซีที่มีท่าทางห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาใดๆ ย่างก้าวที่จะเดินไปข้างหน้าก็หยุดชะงักแล้ว…


            สิบวันผ่านไป อี้เป่ยซีก็ออกจากโรงพยาบาลท่ามกลางการถูกรุมล้อม คุณแม่อี้ดึงมือของอี้เป่ยซี ต้องการจะพาเธอกลับไป เธอหันไปมองลั่วจื่อหาน เสื้อกันลมสีดำถูกลมพัดปลิว อี้เป่ยซีรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อยและรู้สึกอยากพุ่งเข้าไปกอดเขาอย่างแปลกประหลาด


            ทุกคนต่างถามเธอว่าทุกข์ใจหรือเปล่า เสียใจหรือเปล่า มีเรื่องอะไรหรือเปล่า แต่เธอรู้ดีว่าลั่วจื่อหานก็เศร้าใจไปไม่น้อยกว่าเธอเลย


            เธอปล่อยมือของแม่ วิ่งเหยาะเข้าไปในอ้อมแขนของลั่วจื่อหาน เสียงเหนือศีรษะแหบแห้ง “เพิ่งจะหายดีอย่าวิ่งซนสิ”


            เขาดึงเสื้อกันลม เพื่อห่อหุ้มร่างน้อยๆ


            “ลั่วจื่อหาน”


            “หืม?”


            “ถ้านายโมโหล่ะก็จะมาลงที่ฉันก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทำอะไรเขาได้ไหม ที่จริงเขาก็ไม่รู้…คิดดูอีกที ที่จริงมันก็เป็นความผิดของฉัน นายอย่าทำให้ตัวเองลำบากได้หรือเปล่า และอย่าไปทำอะไรที่มันไร้ความหมาย”


            อี้เป่ยซีหยุดไปครู่หนึ่ง “ฉันแค่อยากอยู่กับนายอย่างมีความสุข ไม่อยากเห็นนายเหนื่อยเกินไป…”


            ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดอะไร ดวงตาที่ล้ำลึกยังคงมีอารมณ์อันแปลกประหลาดวูบผ่าน


            “จื่อหาน…”


            “ได้” ลั่วจื่อหานวางคางไว้บนหัวของเธอ “เธออย่าคิดเหลวไหลเลย ช่วงนี้พักผ่อนให้มากๆ”


            อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างแรง สูดกลิ่นบนตัวเขาลึกๆ มันทำให้จิตใจสงบเป็นอย่างมาก จู่ๆ เธอขมวดคิ้ว “นายสูบบุหรี่เหรอ?”


            “ได้กลิ่นด้วยเหรอ?”


            “ไม่เป็นไร ฉันไม่รังเกียจ กลิ่นบนตัวนายหอมทั้งนั้นแหละ”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะ จูงมือของอี้เป่ยซี คุณแม่อี้มองพวกเขาทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม เดินเข้าประตูไปคนเดียวก็เห็นสามีของเธอรออยู่ที่หน้าประตู


            ดูเหมือนว่าทุกอย่างในตอนนี้เรียบร้อยดี


            สงบนิ่งและราบรื่น ยื่นมือออกมาก็สัมผัสได้ถึงจิ่นหยวนที่อบอุ่นอ่อนโยน


            ราวกับว่ามันแผ่ซ่านออกมาจากอีกฝ่าย


            ทำให้มีความสุขจนอดไม่ได้ที่จะยิ้ม


            อี้เป่ยซีกลับบ้านมาวันที่สอง ก็มีคนมาเยี่ยมเธอ เธอซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย และไม่สนใจว่าจะมีมารยาทหรือไม่ พร้อมหรี่ตามองดูทั้งสองคนที่เดินเข้ามา


            แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของทั้งสองคนนั้นทำให้รู้สึกอึดอัดแปลกๆ เซี่ยเช่อราวกับรับรู้ได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของอี้เป่ยซี ยังคงสำรวจมันต่อหน้าเธอด้วยความโอ้อวดเล็กน้อย และกวาดตามองสองมือที่ว่างเปล่าของเธอ


            “ยังโอเคนะ” หลานฉือเซวียนไม่ใส่ใจเรื่องไร้สาระเล็กๆ ระหว่างทั้งสองคน ถามแสดงความเสียใจอย่างจริงจัง


            “ยังโอเค ยังโอเค ก่อนที่พวกนายจะมาน่ะ”


            “เรามาเยี่ยมเธอด้วยความหวังดี เธอไม่ซาบซึ้งเหรอไง?”


            อี้เป่ยซีดึงผ้าห่มขึ้นมาพันรอบตัวเอง “เยี่ยมเสร็จแล้วยัง? พวกนายสองคนกลับไปได้แล้ว”


            “เธออย่าเหวี่ยงสิ ใครจะรู้ว่าประธานใหญ่ลั่วของพวกเราถึงละเลยความรู้สึกของเธอแบบนี้ ฉันนึกว่าเขาให้แหวนเธอตั้งนานแล้ว ขอโทษจริงๆ นะที่ไปกระตุ้นเธอเข้า”


            “ใครจะเกลียดการแต่งงานเหมือนนายล่ะ นายพูดจาเหลวไหลให้มันน้อยหน่อย”


            คิ้วที่สวยงามของเซี่ยเช่อเลิกขึ้นเล็กน้อย “ฉันบอกเธอแล้วยังว่าฉันแต่งงานแล้ว?”


            อี้เป่ยซีลุกขึ้นพรวด มองหลานฉือเซวียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตื่นเต้นจนพูดไม่ออกเล็กน้อย เธอยื่นมือออกมา จากนั้นก็พยายามดึงกลับไป ในแววตาเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง


            “หลานฉือเซวียน นายทำให้ฉันผิดหวังเกินไปแล้ว”


            ปลายนิ้วของหลานฉือเซวียนสัมผัสแหวนบนมือโดยไม่รู้ตัว ลูบคลำเบาๆ อยู่สักพักหนึ่ง “ไม่ค่อยเข้ากับหนังรักที่เธอคิดเท่าไร”


            “อะไรเรียกว่าไม่ค่อย มันต่างกันหมื่นแปดพันลี้เลยโอเคไหม ฉันนึกว่าคนเลวอย่างเซี่ยเช่อจะถูกสวรรค์เก็บไป คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาที่ได้นายไป…”


            “ลั่วจื่อหานรู้ไหมว่าวันๆ เธอคิดแค่เรื่องพวกนี้?”


            “ฉันผิดไปแล้ว” อี้เป่ยซีเอนกายลงอย่างอ่อนแออีกครั้งทันที แม้ว่าปากจะพูดแบบนี้แต่ว่าในใจก็ยังยินกับทั้งสองคนด้วยความจริงใจ


            ในที่สุดเซี่ยเช่อก็ได้ค้นพบกับความสงบ ส่วนหลานฉือเซวียนก็สามารถเดินออกมาจากเงามืดของคนคนนั้นได้แล้วสินะ


            ดูเหมือนว่าทุกอย่างได้กำเนิดใหม่ หากไม่ใช่เพราะอุณหภูมิที่ทำให้เธอสั่น อี้เป่ยซียังนึกสงสัยเลยว่าตอนนี้มันคือฤดูใบไม้ผลิหรือเปล่า


        ทุกอย่างล้วนสวยงามและมีชีวิตชีวาจนน่าตกใจ


————


ตอนที่ 178

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 178 คืนดี (5)


             ในบาร์ เสียงโลหะหนักกระทบแก้วหูโดยตรง มันรุนแรงจนศีรษะแทบจะระเบิด ตัวโน้ตที่ทรงพลังยังคงแพร่กระจายอยู่ภายใต้ชั้นผิวหนังที่บอบบางอย่างไม่ลดละ เหล้าที่ไหลลงกระเพาะอาหารอย่างต่อเนื่องนั้นระคายเคืองจนพุ่งไปที่จมูก และดวงตาก็เปียกชื้นโดยไม่รู้ตัวแล้ว


            “ลู่เยี่ยจิ่ง ฉันหาคุณอยู่ตั้งนาน” ลู่เซิงคว้าขวดเหล้าที่อยู่ในมือของเขาขว้างไปที่พื้น ก้มตัวลงและจ้องมองเขา “คุณเป็นอะไรไป? พ่อแม่ตามหาคุณนานแล้ว”


            “ไม่มีอะไร” ลู่เยี่ยจิ่งเอนตัวอยู่บนโซฟา ยกแขนขึ้นปิดบังดวงตาของตัวเอง แสงไฟที่อยู่เหนือบาร์เปลี่ยนสีสลับกัน


            ถ้าไม่มีอะไรทำไมมาเมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ ลู่เซิงเงยหน้า มือออกแรงโดยไม่รู้ตัวแล้ว


            แม้เขาจะไม่พูดว่าระยะหลังนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ว่าเธอก็รู้ดี เธอเคยนึกถึงสาเหตุความเศร้าโศกของลู่เยี่ยจิ่งแต่กลับปฏิเสธมันเรื่อยไปเรื่อยไป…


            สุดท้ายมันเป็นเพราะเหตุผลนี้จริงเหรอ?


            ลู่เยี่ยจิ่ง หรือว่าคุณชอบอี้เป่ยซีแล้วจริงๆ?


            คุณเกลียดเธอขนาดนี้ เธอพาพ่ออันเป็นที่รักของคุณไป ทำไมคุณถึงถูกเธอทำให้สับสนได้ ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เธอทำลายชีวิตของคุณอีกเด็ดขาด


            ลู่เซิงดึงไอชั่วร้ายในตัวกลับมา “เยี่ยจิ่ง พวกเรากลับกันเถอะ พ่อแม่เป็นห่วงคุณแล้ว”


            “เป็นห่วงผม? พวกเขามีแต่เป็นห่วงลูกชายของตัวเอง แต่ไม่ใช่ผมลู่เยี่ยจิ่งคนนี้”


            “คุณไม่ใช่ลูกชายของพวกเขาหรือไง? เยี่ยจิ่ง คุณเมาแล้ว ฉันประคองคุณกลับไปดีไหม” เธอเพิ่งจะยื่นมือออกไปก็ถูกลู่เยี่ยจิ่งคว้าไว้อย่างแรง เงยหน้าขึ้นก็สบสายตาที่ดุร้ายคู่นั้น ร่างกายที่อ่อนแอของลู่เซิงอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว


            “เยี่ยจิ่งคุณทำฉันเจ็บนะ” ลู่เซิงขมวดคิ้วบิดข้อมือของตัวเอง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกจากพันธนาการของเขาได้ “เยี่ยจิ่ง”


            “ลู่เซิง อย่ามาเล่นลูกไม้อะไรอีก ผมจับตามองคุณอยู่ตลอดเวลา” เขาปล่อยมือ มองเธอจากเบื้องบนราวกับจักรพรรดิที่มองผู้หญิงอัมพาตอ่อนแอบนพื้น คลื่นในกระเพาะอาหารทำให้เขาขมวดคิ้วและแสดงอาการหมดความอดทนเล็กน้อย


            “ลู่เยี่ยจิ่ง ฉันทำผิดอะไรคุณถึงทำแบบนี้กับฉัน?” น้ำตาของลู่เซิงไหลพราก เธอกัดริมฝีปาก มองลู่เยี่ยจิ่งอย่างมีเสน่ห์และดื้อรั้น


            เสียงหัวเราะเย็นชาหลุดออกมาจากริมฝีปากบอบบางและเย็ยเยียบ “ทำอะไรเหรอ? ลู่เซิงคุณนี่ร้ายไม่เบา ถ้าหากไม่ใช่พ่อของคุณ ผมเกรงว่าจนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้ความจริง”


            ขนตาของลู่เซิงสั่นไหวรวดเร็ว “คุณไปฟังข่าวลือมาจากใครกันแน่ เยี่ยจิ่ง หลายปีมานี้ฉันเป็นยังไง คุณก็น่าจะรู้ดี ทำไมคุณถึงยอมเชื่อคนอื่น แต่ไม่ยอมเชื่อฉัน?”


            “เพราะผมเชื่อใจคุณมากไป ลู่เซิง” เขาดูเหมือนกำลังกัดฟันกราม เส้นเอ็นที่หน้าผากก็เต้นตุบๆ ในน้ำเสียงยิ่งมีความข่มขู่กระหายเลือด “คุณควรอธิษฐานว่าตัวเองไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้จะดีที่สุด แล้วก็ให้พ่อตัวดีของคุณปกป้องคุณให้ดี ไม่งั้นบ้านลู่ของผมจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแน่นอน” ลู่เยี่ยจิ่งลุกขึ้น มองเธอด้วยความรังเกียจ จัดแจงสูทของตัวเองแล้วก้าวยาวๆ ออกไป


            ลมยามค่ำคืนลมอยู่บนตัวของลู่เยี่ยจิ่ง หัวที่ร้อนผ่าวสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวประคองกำแพง อดไม่ไหวอาเจียนออกมา ของเหลวเยือกเย็นบางอย่างไหลตามแก้มแล้วร่วงลงสู่พื้น


            ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ…


            ลู่เยี่ยจิ่งพิงตัวและศีรษะอยู่บนผนัง มองไปยังแสงจันทร์ที่เหมือนกับสายน้ำ เขานึกถึงเมื่อสามวันก่อนอีกครั้ง ผู้ชายที่เกรี้ยวกราดคนนั้น…


            “ทำไม จะมาลงโทษฉันเหรอ?” ลู่เยี่ยจิ่งปิดหนังสือ เก็บเข้าด้านในสุดของลิ้นชักชั้นกลาง “โมโหอะ…”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะเย็นชา โยนกระเป๋าเอกสารในมือลงตรงหน้าเขา “บ้านพวกนายนอกจากลู่เยี่ยหวาแล้วก็ไม่มีใครเหลือจริงๆ”


            “นายหมายความว่าไง”


            “หมายความว่ายังไงนายดูก็รู้แล้ว ลู่เยี่ยจิ่ง” ลั่วจื่อหานก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน “นายเป็นเหมือนพี่ชายนายจะดีที่สุด มีความสามารถหน่อย ไม่งั้นนายจะเล่นเกมส์ช่วงหลังไม่สนุกแล้ว”


            ใบหน้าของลู่เยี่ยจิ่งยังคงนิ่งเฉย เมื่อมองไปที่หน้าซองเอกสาร ฝ่ามือก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นเหงื่อบางๆ ทันที เขามองลั่วจื่อหานอย่างเหลือเชื่อ มองเห็นความมั่นใจและสีหน้าดูหมิ่นของเขา สิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดสั่นคลอนในพริบตา


            เขาคิดผิดมาตลอดหลายปีนี้งั้นเหรอ?


            ไม่ เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเพียงแผนของลั่วจื่อหานก็เท่านั้น


            “ก็แค่กระดาษไม่กี่แผ่น นายจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง”


            “หึ แค่คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำนายก็เชื่อหมดใจแล้ว กระดาษไม่กี่แผ่นพวกนี้ก็พอสำหรับนายแล้วไม่ใช่เหรอ?”


            “ลั่วจื่อหาน!”


            “พ่อแม่ของนายก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไปถามพวกเขาก็ได้?”


            “แล้วก่อนหน้านี้ทำไมนายไม่พูด ทำไมไม่บอกอี้เป่ยซี?”


            เมื่อลั่วจื่อหานได้ยินคำว่าอี้เป่ยซี ความอ่อนโยนผ่านวูบในดวงตา “ต่อให้ฉันบอกเขา เขาก็คงคิดแค่ว่ามันเป็นวิธีที่ฉันปลอบเขา”


            ลู่เยี่ยจิ่งละสายตาตัวเอง หยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมา ราวกับว่ามีของที่หนักเป็นตันกดทับเขาทำให้หายใจไม่ออก เขาบีบมุมเอกสารแน่น ข้อนิ้วกลายเป็นสีขาวเล็กน้อย


            “นายจะไปตรวจสอบเรื่องทั้งหมดเองก็ได้”


            “นายรู้ตั้งแต่เมื่อไร?”


            ลั่วจื่อหานเม้มปาก ตั้งแต่เมื่อไรเหรอ ที่จริงเขารู้ตั้งนานแล้ว ในตอนแรกรู้สึกว่าเรืองนี้มีเงื่อนงำเล็กน้อย จึงส่งคนไปตรวจสอบแล้ว


            แต่เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง จึงไม่ได้บอกคนอื่น


            “ก็ตามที่พูด”


            จู่ๆ ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ “ลั่วจื่อหาน นายนี่ความพยายามสูงจริงๆ ถ้าเป่ยซีรู้เรื่องนี้ล่ะก็จะเป็นยังไง? จะคิดกับนายยังไง? นายปล่อยให้เขาทุกข์ทรมานขนาดนั้นเพื่อให้ได้เข้าใกล้เขา ตกลงว่านายชอบเขาจริงเหรอเปล่า?”


            “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย” ลั่วจื่อหานหันหลังออกไปจากห้องทำงานของเขาโดยไม่หันกลับมามอง


            วันนั้นที่เพิ่งได้เจอกับอี้เป่ยซี เขาก็รู้ความจริงแล้ว ตอนนั้นคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา การทำผิดต่อลู่เซิงก็ไม่มีประโยชน์อะไร จึงปล่อยมันไว้อย่างนั้นแล้ว


            หลังจากนั้น…


            ดวงตาเขาเป็นประกาย ถ้าหากในใจของเธอไม่ได้มีความรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา บางทีเธอกับอี้เป่ยเฉินก็อาจจะเดินไปด้วยกันแล้วสินะ…


            บนใบหน้าของลั่วจื่อหานมีรอยยิ้มขมขื่น


            คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาก็ยังเลือกที่จะทำร้ายเธอเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการรักษาเธอไว้ในปีที่โหดร้ายของตัวเอง


            ถ้าหากเป่ยซีรู้ล่ะก็ บางทีก็จะไม่สนใจเขาจริงๆ ก็ได้


            เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น…


            วินาทีที่ลิฟท์เปิด ลั่วจื่อหานก็เก็บความกังวลใจของตัวเอง เสียงเรียกเข้าสบายๆ ดังอยู่ในกระเป๋า


            “ฮัลโหล”


            “ศิษย์พี่ อาจารย์…เหมือนจะป่วยหนัก ตอนนี้เขาคิดถึงพี่มาก…พี่อยากมาเยี่ยมหน่อยไหม”


            ลั่วจื่อหานเงียบไปครู่หนึ่ง


            “ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”


            ลั่วจื่อหานในวัยหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ เขาชอบงานพวกศิลปะจิตรกรรมมาตั้งแต่เด็ก คุณปู่ให้ความสำคัญกับความสนใจของเขามาโดยตลอด จึงไหว้วานให้คนแนะนำจนได้มาเรียนวาดภาพกับอาจารย์คนนี้ที่นี่…


        เวลาผ่านไปไวจริงๆ เพียงพริบตาเดียวก็สิบกว่าปีแล้วมั้ง


————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม