Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 165-171

 ตอนที่ 165

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 165 ด้านของพ่อแม่ (11)


             ช่วงเวลาค่ำๆ อี้เฉิงจึงขับรถออกจากมาจากบริษัท เห็นลูกสาวของตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าผู้ชายคนหนึ่ง เอื้อมมือช่วยเขาจัดเนกไท บนใบหน้าของทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาถอนหายใจด้วยความซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง


            เพื่อนยาก ตอนนี้นายเห็นแล้วสินะ ลูกสาวของนายได้เจอกับคนที่ตัวเองชอบแล้ว พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้ว นายอยู่บนสวรรค์ก็คงจะซาบซึ้งเหมือนกับฉันสินะ


            เขาสังเกตเห็นว่าสายตาของชายหนุ่มมองมาที่ตัวเอง ในใจสั่นสะท้านเล็กน้อย ‘คนคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ’ เขาเก็บอาการที่เกินความจำเป็น แสดงท่าทางเหมือนคุณพ่อผู้เข้มงวด เดินเข้าไปหาอี้เป่ยซี


            “เป่ยซี”


            “พ่อคะ พ่อกลับมาแล้ว” อี้เป่ยซีกอดอี้เฉิง “พ่อคะ เป่ยซีคิดถึงพ่อจังเลย”


            “พ่อก็คิดถึงเป่ยซีเหมือนกัน ถ้าไม่ได้มีธุระจริงๆ พ่อก็ตามแม่ไปหาลูกทางโน้นแล้ว ลูกไม่โทษพ่อใช่ไหม”


            อี้เป่ยซีส่ายหน้า “จะโทษได้ยังไงคะ” เธอปล่อยอี้เฉิง ถอยหลังสองสามก้าวไปหาลั่วจื่อหาน ความเขินอายแบบเด็กสาวปรากฏอยู่บนใบหน้า “พ่อคะ เอ่อ นี่ก็คือคนที่หนูเล่าให้พ่อฟังบ่อยๆ ลั่วจื่อหาน”


        “ลั่วจื่อหาน” เขาเอ่ยทวนชื่อของเขาแผ่วเบา ดวงตาหรี่เล็กลงด้วยความเคยชิน มองสำรวจชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มีคนพูดอยู่เสมอว่าทิศตะวันออกมีตระกูลหานทิศตะวันตกมีตระกูลลู่ นี่ก็คือคนที่รับช่วงเวยหลานตั้งแต่ยังเด็ก และเป็นลั่วจื่อหานคนที่ทำให้มันกลายเป็นยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ประธานลั่วนับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมากนะ”


        “คุณลุงชมเกินไปแล้ว นั่นเป็นผลจากการรวมกลุ่มของครอบครัวมากกว่า ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับคนรุ่นหลัง เพียงแค่คนอื่นในครอบครัวค่อนข้างถ่อมตัว ก็เลยเอาชื่อเสียงปลอมๆ พวกนี้มาให้ผม”


            “พ่อ พวกพ่อคุยเรื่องนี้กันทำไมคะ หนูไม่เห็นเข้าใจเลย” อี้เฉิงลูบผมลูกสาวตัวเองด้วยความเมตตา ในใจก็มีความกังวลเล็กน้อย เขาดูออกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าดีกับลูกสาวของเขามาก ลูกสาวของตัวเองก็ชอบเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเมื่อนึกถึงลั่วจื่อหานที่มีลูกเล่นแพรวพราวและล้ำลึกเป็นพิเศษแบบนี้ สิ่งที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้มันคือเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่


            อี้เฉิงยิ้มน้อยๆ ‘จะเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก อีกหน่อยก็รู้แล้ว’


            จนกระทั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว อี้เฉิงจึงพบว่าเด็กสาวที่รับปากภรรยาของตัวเองว่าจะเจอลูกสาวของพวกเขาตอนนี้ไม่อยู่แล้ว ในใจก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย เด็กสาวคนนั้นช่างเข้าใจโลกและคำนึงถึงคนอื่นอยู่เสมอ


            “พ่อเป็นอะไรไปคะ?” อี้เป่ยซีสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของอี้เฉิง รีบเอ่ยถาม


            “ไม่มีอะไร กินข้าวเถอะ” ที่โต๊ะกินข้าว ทั้งสี่คนเคยชินกับการไม่พูดอะไร ลั่วจื่อหานเอาปลาที่แกะก้างเรียบร้อยแล้วใส่ถ้วยของอี้เป่ยซีเป็นครั้งคราว ทำตัวเป็นธรรมชาติเหมือนตอนกินข้าว สามีภรรยาที่อยู่ตรงข้ามยิ้มและพยักหน้า


            เมื่อถึงเวลากลางคืน คุณแม่อี้พาอี้เป่ยซีออกไปเดินเล่น ในบ้านก็เหลือเพียงลั่วจื่อหานกับอี้เฉิง อี้เฉิงครุ่นคิดดูแล้วก็พาเขาเข้าไปในห้องหนังสือ


            “ฉันคิดว่าเธอน่าจะเข้าใจความคิดของคนเป็นพ่ออย่างฉัน”


            เข้าใจสิ เขาลั่วจื่อหานเข้าใจอยู่แล้ว สุดท้ายแล้วเขาก็กำลังจะได้เป็นพ่อคน เขาเข้าใจความกังวลรวมถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกตัวเองอยู่แล้ว ถ้าหากเขากับอี้เป่ยซีมีลูกสาวจริงๆ ตอนนี้พ่อเลือดร้อนอย่างเขาจะทำมากกว่าที่อี้เฉิงทำอีกมาก จะดูแลมากกว่านี้ และจะใส่ใจมากกว่านี้


            “ผมเข้าใจครับ” เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง มองอี้เฉิงด้วยสีหน้าจริงจัง ในดวงตาก็เปี่ยมด้วยความจริงใจ “ผมอยากเดินไปด้วยกันกับเป่ยซีจริงๆ และหวังว่าคุณจะยอมรับพวกเรา”


            อี้เฉิงขยี้ตา “เรื่องความกังวลของพวกเราภรรยาฉันก็น่าจะบอกเธอแล้ว เป่ยซีเป็นคนสบายๆ ครอบครัวของเธอ หรือเธอเอง จะให้สิ่งแวดล้อมแบบนั้นกับเขาได้ตลอดจริงๆ เหรอ”


            “คุณลุงครับ ลุงควรจะเชื่อว่าผมทำได้”


            “ฉันน่ะเชื่อในความสามารถของเธอ แต่ว่าฉันแค่สงสัย สงสัยใจของเธอ เป่ยซีน่ะมองออกง่ายมาก ชีวิตของเขาร้องไห้ก็คือร้องไห้หัวเราะก็คือหัวเราะ เขาจะไม่ซ่อนความชอบของตัวเอง เธอเป็นคนทุ่มเทกับความรู้สึกมากเกินไป แล้วก็เป็นคนทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินไป แต่ว่าเธอไม่เหมือนกัน เป็นคนไม่แน่นอนมีลูกเล่นเยอะ ฉันไม่รู้ว่าที่ตัวเองเห็นในตอนนี้เป็นของจริงหรือเปล่า”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะ เจือปนรสชาติความเยือกเย็น อี้เฉิงนึกว่าตัวเองคิดไปเอง เขาจะมีรสชาติที่เยือกเย็นอันหนักอึ้งแบบนี้ได้อย่างไร


            “คุณลุง คุณก็น่าจะรู้เรื่องที่ผมตามหาคนนึงมาสิบกว่าปีใช่ไหมครับ”


            อี้เฉิงพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ


            “คุณลุงครับ ผมไม่อยากให้ลุงมีอคติอะไรกับผม ผมบอกคุณลุงได้แค่ ผม ลั่วจื่อหานชอบแค่คนคนเดียวตั้งแต่ตัวเองอายุสิบหก ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก ยังสูงไม่ถึงจักรยานเลยด้วยซ้ำ ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าเธอก็คือสีสันเดียวในชีวิตของผม ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองจะเห็นเธอโตขึ้น โตขึ้นจนเป็นภรรยาของตัวเอง แต่ว่าแค่ไม่กี่วันเธอก็หายไปแล้ว ผมใช้ความสัมพันธ์ทั้งหมดเพื่อตามหาเธอ ทำยังไงก็หาเธอไม่เจอแม้แต่เงา หนึ่งปีผ่านไปก็ได้ผลอะไร ผมรอเจ้าหญิงตัวน้อยตรงปากทางที่เราพบกันตลอด ผมรออยู่สามวันก็ไม่เคยเห็นเธอโผล่หน้ามาเลยสักครั้ง”


            “หลังจากนั้นทุกๆ ปี สิ่งที่ลั่วจื่อหานต้องทำก็คือการรอคอยและการตามหา จนในที่สุดสิบสองปีให้หลัง ผมถึงได้เจอกับคนที่ตัวเองตามหามานานอีกครั้งนึง ระหว่างนั้นผมก็เคยคิดว่าผมยังชอบเธออยู่จริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ความรู้สึกยึดติดกับการค้นหา ความรู้สึกหลงใหล แต่ว่าพอเป่ยซีไม่ได้อยู่ข้างกายผมแล้ว ผมรู้ว่ามันคือความชอบจริงๆ มันเป็นความรู้สึกแบบที่ถ้าเสียมันไปแล้วก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ขาดเธอไม่ได้”


            เมื่ออี้เฉิงได้ยินคำพูดของลั่วจื่อหานแล้ว ความสงสัยส่วนใหญ่ในใจก็หายไป ทั้งสองคนคุยเรื่องอี้เป่ยซีต่ออีกสักพักหนึ่ง


            ในเวลานี้อี้เป่ยซีกำลังคุยเรื่อยเปื่อยกับคุณแม่อยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้าน แล้วก็พูดถึงเพื่อนตัวน้อยของคุณแม่อี้


            “แม่คะ เพื่อนตัวน้อยคนนั้นของแม่เป็นนางฟ้ามาจากไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้แม่ชอบขนาดนั้น”


            “ลูกได้เห็นแล้วก็จะรู้ เธอมีบุคลิกอย่างนึงที่ดึงดูดลูกอย่างน่าประหลาด ทำให้ลูกรู้สึกชอบ ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เป็นเด็กที่รู้เรื่องราวจนทำให้รู้สึกน่าเอ็นดู” คุณแม่อี้มองออกไปข้างนอก กำลังคิดว่าเยี่ยฉินยังมองเธออยู่ข้างนอกนั่นหรือเปล่า จึงได้จากไปอย่างไม่เต็มใจแบบนี้


            อี้เป่ยซีเห็นความเศร้าโศกในดวงตาของคุณแม่ เอ่ยถาม “เป็นอะไรไปคะ? เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า?”


            “เธอป่วยหนักมากๆ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับครอบครัวของตัวเอง ตัวเองก็เลยหนีมาที่นี่คนเดียว และเพื่อไม่ให้แม่เสียใจก็เลยจากไปอย่างเงียบๆ ที่จริงน่ะ แม่ไม่คิดจะเอาเธอมาแทนที่ลูกอะไรหรอกนะ แม่แค่ชอบหนูคนนั้นจริงๆ และเห็นเธอเป็นลูกสาวอีกคนของตัวเอง”


            อี้เป่ยซีเงียบไปครู่หนึ่ง กอดแม่ของตัวเอง “แม่คะ ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างมันจะดีขึ้น”


        คุณแม่อี้พยักหน้า มองดูดาวที่สว่างในท้องฟ้า เธอรู้ว่ามันจะไม่ดีขึ้น เรื่องนี้มันจะไม่ดีขึ้นแล้ว


————


ตอนที่ 166

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 166 โชคชะตาฟ้าลิขิต (1)


             หลังจากทั้งสองคนกลับมาจากเดินเล่น ก็เห็นผู้ชายทั้งคู่ออกมาจากห้องหนังสือพอดี อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความเข้าใจโดยไม่ต้องพูดจาระหว่างสามีภรรยาคู่นี้ที่กะเวลาได้อย่างแม่นยำ


            “พ่อคะ”


            อี้เฉิงพยักหน้าให้กับลูกสาวของตัวเอง ประหนึ่งกำลังชื่นชมแววตาของเธอ อี้เป่ยซีเผยยิ้มภูมิใจออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้ว


            “นี่ก็ดึกแล้ว รีบไปพักผ่อนกันเถอะ” พูดจบอี้เฉิงก็พาภรรยาของตัวเองเดินเข้าไปในห้องนอนต่อหน้าพวกเขาราวกับกำลังโอ้อวดอย่างไรอย่างนั้น อี้เป่ยซียักไหล่ มองลั่วจื่อหานอย่างจนปัญญา ลั่วจื่อหานลูบๆ จมูกเดินไปยังทิศตะวันออกเพื่อกลับห้องของตัวเอง ส่วนอี้เป่ยซีเดินกลับห้องของตัวเองไปยังทิศตะวันตก


            ปิดประตูอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน แม้จะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว อี้เป่ยซีก็ยังอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ส่งข้อความให้ลั่วจื่อหาน


            “เป็นไงบ้าง?”


            “คุณพ่อรู้สึกดีกับฉันนะ”


            “แหม กลับคำเร็วจังเลย? พ่อฉันมัดใจนายได้แล้วเหรอ?”


            “เพราะว่าฉันกล่อมเขาสำเร็จต่างหาก”


            อี้เป่ยซีหัวเราะ พิมพ์บนแป้นพิมพ์ต่อ “อืม ประสบความสำเร็จมาก ให้รางวัลนายด้วยการนอนห้องเดี่ยว นายขอบคุณเจ้าของบ้านแล้วเหรอยังล่ะ”


            “……”


            “เอาล่ะ ไม่คุยแล้ว ฉันจะนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์”


            จู่ๆ ข้างกายขาดไปหนึ่งคน อี้เป่ยซีรู้สึกไม่ค่อยชิน พลิกตัวไปมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ เธอได้แต่นอนมองเพดาน ตามปกติแล้วลั่วจื่อหานน่าจะปรากฏตัวที่ห้องของเธอถึงจะถูก เขาจะเชื่อฟังและนอนหลับอย่างสงบสุขในห้องแขกตามลำพังตลอดทั้งคืนเชียวเหรอ?


            เธอคว้าโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียง พิมพ์ไปหนึ่งประโยคอย่างรวดเร็ว


            “นอนแล้วยัง”


            ทางนั้นก็ตอบกลับทันที


            “ยัง กำลังคิดถึงเธอ”


            อี้เป่ยซีเห็นประโยคหลัง ในขณะนั้นเองจิตใจก็รู้สึกไม่สงบเล็กน้อย เธอขยี้ตาที่อ่อนล้า ถอนหายใจ


            “ทนหน่อยนะ คุณอาลั่ว”


            “ทนไม่ไหวแล้ว หลานสาว”


            อี้เป่ยซีตัดสินใจว่าจะไม่สนใจอีก พลิกตัวไปมาอีกสองสามรอบบนเตียง แล้วลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย กอดหมอนขอตัวเองย่องไปที่ห้องแขก ยังไม่ทันจะยกมือขึ้นเคาะประตู เธอก็ถูกดึงเข้าไปแล้ว โลกทั้งใบหมุนคว้าง เธอถูกลั่วจื่อหานกดไว้ที่ประตู จูบอันร้อนแรงกระหน่ำอยู่บนตัวของเธอโดยไม่ปล่อยโอกาสให้พูดอะไร อี้เป่ยซีจูบตอบเขา รู้สึกได้ถึงความร้อนใจของเขา


            จนกระทั่งรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของลั่วจื่อหาน อี้เป่ยซีรีบผลักเขาออกไป “นายหยุดก่อกวนได้แล้ว”


            ลั่วจื่อหานสงบลมหายใจของตัวเองครู่หนึ่ง เดิมทีต้องการให้อี้เป่ยซีเข้ามานอนหลับอย่างสบายใจ ตอนนี้สงสัยยิ่งนอนไม่หลับแล้ว


            “เธอไปพักผ่อนก่อน ฉันจะไปอาบน้ำ” อี้เป่ยซีพยักหน้า กอดหมอนค่อยๆ เดินไปที่เตียงของเขา ในใจก็มีความวิตกและตื่นเต้นกลัวว่าจะถูกจับได้ เธอฟังเสียงน้ำซู่ เพียงครู่เดียวก็เข้าสู่ความฝันแล้ว ลั่วจื่อหานเห็นคนที่นอนหลับใหล ปิดไฟที่หัวเตียงและนอนหลับสนิทตลอดคืน


            เมื่ออี้เป่ยซีลืมตาขึ้น เธอก็นอนอยู่ในห้องของตัวเองแล้ว อดไม่ได้ที่จะเชยชมความเอาใส่ใจของลั่วจื่อหาน


            “เป่ยซี พาเขาไปแล้วยัง?” ตอนที่อี้เฉิงกำลังจะออกไป เขาผูกเนกไทพร้อมเอ่ยถาม


            อี้เป่ยซีส่ายหน้า “กะว่าจะไปวันนี้”


            “ก็ดี ก็ดี ให้พวกเขาได้เจอ งั้นพ่อไปทำงานก่อนนะ”


            “ค่ะ แล้วเจอกันค่ะพ่อ”


            ลั่วจื่อหานจูงมือของอี้เป่ยซี “ไปไหนเหรอ?”


            “พานายไปเจอพ่อกับแม่” อี้เป่ยซีหันไปซบอกของเขา ลั่วจื่อหานรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอจากเธอ มืออันใหญ่โตตบหลังของเธอเบาๆ


            ที่สุสานชานเมืองตะวันออก


            อี้เป่ยซีวางดอกไม้ที่ลั่วจื่อหานเลือกมาอย่างดี ยิ้มมองสามีภรรยาวัยหนุ่มสาวในรูปถ่ายสีขาวดำ


            “พ่อคะ แม่คะ นี่คือลั่วจื่อหาน พ่อกับแม่น่าจะรู้แล้วมั้งคะว่าเขาเป็นใคร หนูก็จะไม่พูดมากแล้ว” อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหานอย่างมีความสุข “พ่อคะแม่คะ เขาดีกับหนูมาก พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง หนูก็ชอบเขามากเหมือนกัน”


            มือของลั่วจือหานที่จูงอี้เป่ยซีบีบแรงเล็กน้อย อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ด้านหลัง ยิ้มอีกครั้ง “พ่อคะแม่คะ พ่อกับแม่เห็นแล้วใช่ไหม ว่าเขาดีกับหนูมาก ถ้าวันไหนเขาร้ายกับหนู พ่อกับแม่ห้ามเกรงใจเด็ดขาดนะคะ ไม่ต้องไว้หน้าหนู พาเขาไปได้เลย”


            ลั่วจื่อหานยิ้ม ดึงอี้เป่ยซีเข้ามากอด “พ่อครับแม่ครับ พวกท่านวางใจเถอะ ชาตินี้ผมจะมีแค่อี้เป่ยซีคนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องรบกวนให้พวกท่านมาเอาผมไปหรอกครับ ยังมีอีกข่าวดีที่อยากจะบอกพ่อกับแม่ เป่ยซีท้องแล้ว อีกไม่นานพวกท่านก็จะเป็นคุณตาคุณยายแล้ว”


            อี้เป่ยซีศอกเขา “คุยกันแล้วใช่ไหมเหรอว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับพวกเขา?”


            “พ่อกับแม่ต้องอยากรู้อยู่แล้ว”


        เธอเงียบไปด้วยความเหลือเชื่อ ลั่วจื่อหานพูดอะไรบางอย่างต่อหน้าหลุมฝังศพ แล้วสละพื้นที่ให้อี้เป่ยซี ตัวเองหลบมองเธออยู่ด้านข้าง


            “พ่อคะแม่คะ พ่อแม่เห็นแล้วสินะ อยากจะบอกว่าลูกสาวตามีแววใช่หรือเปล่า ที่หาบ้านที่ดีได้” เธอลูบรูปถ่ายขาวดำหัวเราะแผ่วเบา “พ่อแม่คะ ตอนนี้หนูมีความสุขมาก พวกท่านเห็นแล้วใช่ไหม”


            พวกท่านเห็นแล้วใช่ไหม โลกนี้ไม่เคยทิ้งหนูตามลำพัง มันให้ชีวิตหนู ให้ครอบครัวหนู ให้ความรักหนู มันได้ให้ทุกอย่างที่ดีที่สุดแก่หนู


            เพราะว่าพวกท่านอยู่บนสวรรค์คอยปกป้องลูกสาวของพวกท่านอยู่เสมอ คอยอธิฐานให้เธอ ชีวิตของเธอจึงได้สมบูรณ์แบบนี้ล่ะมั้ง


            ขอบคุณพวกท่านที่พาหนูมาสู่โลกใบนี้และได้พบกับคนดีแบบนี้…


            พ่อคะ แม่คะ พวกท่านเห็นแล้วสินะ…


            ลูกสาวของพวกท่านมีความสุขมากจริงๆ


            ฉะนั้นวางใจเถอะค่ะ หนูจะพาเขากลับมาหาพ่อกับแม่ แล้วก็หลานตัวน้อยของพวกท่าน


            อี้เป่ยซีอยู่ต่ออีกนานแค่ไหนไม่รู้จึงลุกขึ้นมาจากพื้น ลั่วจื่อหานรีบไปประคองเธอ ทั้งสองคนอยู่ในรถ กำลังปรึกษากันว่าจะออกไปเดินเล่นดีหรือเปล่า


            โทรศัพท์มือถือของลั่วจื่อหานดังขึ้นระหว่างการปรึกษาหารือของทั้งสองคน พวกเขามองดูมือถือที่ไม่รู้เวล่ำเวลาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย หลังจากเห็นว่าใครโทรมาแล้ว ลั่วจื่อหานก็วางสายทันที หารือกับอี้เป่ยซีต่อ โทรศัพท์มือถือส่งเสียงอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าโดนไวรัสอยู่ข้างๆ


            “ใครน่ะ ดื้อด้านจังเลย ไม่ใช่มาจีบนายหรอกนะ”


            ลั่วจื่อหานพยักหน้า “ใช่แล้ว เธอต้องระวังหน่อยนะ ถ้าดูแลฉันไม่ดีฉันก็จะไปกับคนอื่นแล้ว”


            “นายไปเถอะ เมื่อกี้พ่อแม่ฉันรับปากฉันแล้ว ถ้านายเปลี่ยนใจล่ะก็จะพานายไปเดินเล่น นายอย่ากลัวก็แล้วกันนะ”


            ลั่วจื่อหานปิดเครื่องทันที แล้ววางมือถือข้างๆ “พอเธอพูดแบบนี้ฉันก็ชักไม่กล้าซะแล้ว”


            “นายก็ลองดูสิ เมื่อกี้พวกเราคุยกันถึงไหนแล้ว” ยังไม่ทันคุยต่อ โทรศัพท์มือถือของอี้เป่ยซีก็ดังขึ้น


            “นี่พวกเรามีเรื่องกับมือถือซะแล้ว” เธอก้มหน้ามองสายเรียกเข้า มู่ลี่ไป๋ เขาจะหมั้นกับคุณหนูบ้านหวังแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงคิดโทรหาเธอ


            ลั่วจื่อหานมองเธอ อี้เป่ยซีเอ่ยปากอย่างจนใจ “มู่ลี่ไป๋น่ะ ฉันไม่รู้ว่าเขาหาฉันมีเรื่องอะไร”


            “รับเถอะ”


        อี้เป่ยซีพยักหน้าแล้วรับสาย ได้ยินเสียงที่ร้อนรนเป็นอย่างยิ่งของมู่ลี่ไป๋


————


ตอนที่ 167

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 167 โชคชะตาฟ้าลิขิต (2)


             “เป่ยซี เธอรู้ไหมว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหน?” เขาพูดเร็วมากอี้เป่ยซีต้องเรียบเรียงในสมองครู่หนึ่งจึงจะเข้าใจว่าเขาพูดอะไร ทางนั้นก็รบเร้าอีกครั้ง


            “อี้เป่ยซี เยี่ยฉินอยู่ที่ไหน เธอรู้ไหม?”


            “พอนายพูดแบบนี้ฉันก็ไม่แน่ใจแล้ว ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าจะกลับบ้านพ่อแม่ นายไป…”


อี้เป่ยซียังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคนที่ปลายสายตัดบททันที “ไม่อยู่ พ่อแม่ของเขาก็ตามหาเขาอยู่เหมือนกัน เยี่ยฉินเขา…ช่างเถอะถ้าเธอได้ข่าวของเขาต้องโทรหาฉันเข้าใจไหม?”


            “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”


            “เอามือถือให้จื่อหานเถอะ” เขาพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง อี้เป่ยซีส่งโทรศัพท์มือถือให้ลั่วจื่อหาน มองลั่วจื่อหานด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น


            ลั่วจื่อหานรับโทรศัพท์มือถือมา สีหน้าเย็นชาลงเล็กน้อย “นายแน่ใจเหรอ?” อี้เป่ยซีเงี่ยหูแต่ก็ไม่ได้ยินว่ามู่ลี่ไป๋พูดอะไรจึงยอมแพ้


            “ฉันช่วยนายได้ แต่ว่านายอย่าเสียใจทีหลังนะ”


            เขาเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วถอนหายใจ ถือโทรศัพท์ของอี้เป่ยซีพิมพ์หมายเลขหนึ่งอย่างรวดเร็ว “นายรีบไปสืบเดี๋ยวนี้ว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหน ด่วนนะ ทางประเทศ U ตรงนี้…นายใช้เถอะ บอกคุณปู่เลย อืม อะไรก็ช่าง นายดูเอาเองว่าจะทำยังไงก็พอแล้ว แค่นี้นะ”


            อี้เป่ยซีกระพริบตามองลั่วจื่อหาน รอคอยที่จะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากของเขา ลั่วจื่อหานขยี้ผมที่เพิ่งหวีเรียบร้อยของเธอ “ไปเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน”


            “ตกลงว่ามีอะไรกันแน่ มีเรื่องอะไร?”


            ลั่วจื่อหานเหลือบมองเธอ “ไม่มีอะไร อาจเป็นเพราะมู่ลี่ไป๋คิดได้แล้ว หรือไม่ก็เยี่ยฉินทำอะไรบางอย่าง ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ”


            “ว่าไงนะ นายเก่งขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เข้าใจ”


            “ฉันเก่ง ก็เก่งแค่เรื่องของเธอแหละ ส่วนเรื่องอื่น ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป”


            เปลือกตาของอี้เป่ยซีกระตุก พิงกระจกรถแล้วพยักหน้า ห่อเหี่ยวเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด


            “เลิกแสดงได้แล้ว เป่ยซี เธอไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้หรอก บำรุงลูกให้สบายใจดีหรือเปล่า”


            เธอพยักหน้า แม้ว่าจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ในใจก็ยังรู้สึกอบอุ่น เขาไม่อยากบอกเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะตื่นตระหนก ในเมื่อไม่ยอมให้เธอรู้ งั้นเธอก็อย่าเปลืองพลังงานไปถามเลย


            เพิ่งจะถึงบ้าน ลั่วจื่อหานกำชับให้อี้เป่ยซีไปงีบกลางวัน ตัวเองก็ไปรับโทรศัพท์ในสวน


            “เธออยู่ที่ไหน?”


            “ตอนนี้อยู่ที่สนามบินหลินที่ประเทศ U จะให้พวกเราส่งเธอกลับมาไหมครับ?”


            “ไม่ต้อง เดี๋ยวนายไปรายงานมู่ลี่ไป๋ก็พอแล้ว ไม่ต้องบอกอะไรฉันแล้ว”


            “ครับ”


            ลั่วจื่อหานมองหลอดในมือตัวเอง “มีอะไรอีกไหม?”


            “คุณหนูเยี่ย เหมือนจะอยู่ที่บ้านคุณนายหลายวัน เมื่อกี้ผมลังเลว่าจะพูดดีไหม”


            “อืม ฉันรู้แล้ว งั้นก็ตามนี้แหละ พวกนายจับตาดูให้ดี ห้ามให้ใครเล่นตุกติกอะไร”


            “ครับ”


            ลั่วจื่อหานวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นยืน สองมือล้วงกระเป๋ามองไปยังร่มเงาสีเขียวเบื้องหน้า ทันใดนั้นความดุร้ายก็ผ่านวูบในดวงตา จากนั้นก็หันหลังจากไปด้วยความสง่างามมาก


            เยี่ยฉินลงมาจากเครื่องบินด้วยเนื้อตัวสั่นเทา คอยมองข้างหลังตัวเองเหมือนกับหัวขโมยตัวน้อย ไม่รู้ว่าคุณแม่อี้จะเล่าเรื่องของตัวเองให้อี้เป่ยซีฟังหรือเปล่า แล้วก็ไม่รู้ว่าอี้เป่ยซีจะบอกมู่ลี่ไป๋ถึงสถานการณ์ของตัวเองหรือเปล่า


            ต่อให้เขารู้แล้วยังไงเหรอ หัวเราะเยาะเธอด้วยความเริงร่า หัวเราะสมน้ำหน้าเธอ หัวเราะแล้วพูดว่าเกี่ยวอะไรกับเขา เธอเยี่ยฉินเป็นคนแปลกหน้าสำหรับมู่ลี่ไป๋นานแล้ว จะรู้หรือไม่รู้มันต่างกันยังไง ทำไมต้องหนีจนสะบักสะบอมแบบนี้ด้วย


            เยี่ยฉินหัวเราะ น่าเสียจริงๆ ที่ไม่สามารถเห็นสีหน้าประหลาดใจของอี้เป่ยซีตอนที่เห็นเธอได้แล้ว


            เยี่ยเฉินเดินผ่านไปอีกหลายย่านถนน ที่จริงเธอไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่เลยสักคน แค่ได้ยินเพื่อนนักศึกษาบอกว่าที่นี่สงบแค่ไหน ชีวิตเชื่องช้าแค่ไหน ราวกับว่ากาลเวลาไม่เคยผ่านมาในเมืองนี้เลย เธอจึงเลือกที่จะมาที่นี่ สำหรับเธอแล้วสิ่งที่ทรมานและฟุ่มเฟือยที่สุดก็คือเวลาล่ะมั้ง


            เธอไม่ต้องการรู้สึกถึงมันได้อีก เพียงแค่ต้องการอยู่ท่ามกลางความสงบและว่างเปล่า รอคอยจุบจบของเธออย่างเงียบๆ


            ไม่มีใครรู้จักเธอ ฉะนั้นจะไม่มีใครเสียใจเพื่อเธอ เธอก็ไม่ต้องเสียใจกับความเสียใจของคนอื่น เธออยากแค่นึกถึงตัวเองก็พอแล้ว อยากยืนอยู่ในวินาทีนี้ก็พอแล้ว


            เยี่ยฉินเดินเร็วขึ้นจนมาถึงย่านเล็กๆ ที่มองไว้ก่อนหน้านี้ จ่ายค่าเช่าแล้วเยี่ยฉินก็ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความอ่อนล้า หลับตาลง


            ครั้งนี้ เธอสามารถนอนหลับได้อย่างยาวนาน…


            วินาทีที่มู่ลี่ไป๋รู้ข่าวก็รีบไปที่นั่นแทบจะในทันที เมืองนี้ว่างเปล่ามาก เขารู้สึกถึงรสชาติที่คนใกล้ตายเท่านั้นถึงจะมีได้ เขากำที่อยู่ในมือแน่น เดินผ่านย่านถนนอย่างรวดเร็ว ย่านที่เยี่ยฉินพักอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมาก เขาถามที่อยู่เจาะจงของเยี่ยฉินกับเจ้าของห้องอย่างคล่องแคล่ว เมื่อถูกถามว่าเขาเป็นอะไรกับเยี่ยฉิน มู่ลี่ไป๋ก็เงียบอยู่นาน


            เขาเป็นใคร เขาจะเป็นอะไรกับเธอได้ แฟนเก่า? มู่ลี่ไป๋หัวเราะ


            “ผมเป็นเพื่อนสนิทของเขา”


            เจ้าของห้องเป็นคุณยายรูปร่างอ้วนท้วนแต่ใจดีมาก เธอหรี่ตา “ฉันนึกว่าเธอเป็นแฟนของฉินซะอีก”


            มู่ลี่ไป๋ยิ้มแหย มันคือความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน มู่ลี่ไป๋เคาะประตูอยู่นานแต่กลับไม่ได้การตอบรับเลย


            เธอเดาว่าเขาจะมาก็เลยไม่ยอมเปิดประตูงั้นเหรอ? มู่ลี่ไป๋กำแผ่นกระดาษแน่นต้องการจะหันหลังจากไป เพิ่งเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุด กดกริ่งประตูครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก มู่ลี่ไป๋สงสัยว่ากริ่งประตูนี้จะเสียในวินาทีต่อมาหรือเปล่า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังตึง ราวกับว่ามีของหนักๆ ร่วงอยู่บนพื้น เขาถีบประตูเปิดด้วยความตื่นตระหนก เยี่ยฉินที่ใบหน้าซีดขาวล้มหมดสติอยู่ที่หน้าประตู


            ในวินาทีนั้นมู่ลี่ไป๋สติหลุดไปแล้ว เขาอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้นด้วยความสั่นเทาแล้วรีบบึ่งไปที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าเฝ้าอยู่หน้าเตียงนานแค่ไหน เยี่ยฉินจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อย มือของเธอขยับ ความคิดแวบแรกของมู่ลี่ไป๋ไม่ใช่ ‘เธอตื่นแล้วดีจังเลย’ แต่กลับเป็น ‘เธอกำลังจะตื่นแล้ว ต้องรีบจากไป ไปยังที่ที่เธอมองไม่เห็น’


            มู่ลี่ไป๋ทำแบนนั้นจริงๆ เขาลุกขึ้น ขณะที่เยี่ยฉินลืมตาก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเองแล้ว แต่เป็นที่โรงพยาบาล รอบกายว่างเปล่า รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างบอกไม่ถูก


            คนใจดีคนไหนกันนะที่พาเธอมา เจ้าของห้องผู้ใจดีคนนั้นเหรอ? เยี่ยฉินหัวเราะ หลังจากที่สวรรค์มอบความโชคร้ายกับเธอแบบนี้แล้ว ยังจะซื้อเธอด้วยบุญคุณเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อีกเหรอ แต่ว่าเธอรู้สึกสบายมากเลยทำยังไงดีล่ะ


            เธอกำลังจะลุกขึ้นนั่ง นางพยาบาลที่หน้าประตูวิ่งเข้ามาประคองเธอ “คุณคะ คุณไม่เป็นไรแล้วนะ”


            “ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันออกจากโรงพยาบาลได้แล้วยัง?”


            นางพยาบาลมีสีหน้าลำบากใจ “คุณคะ คุณไม่รู้ว่าร่างกายของคุณเป็นอะไรเหรอคะ?”


            เยี่ยฉินหัวเราะ แต่ว่านางพยาบาลมองเห็นความปวดร้าวของใบหน้าของเยี่ยฉินภายใต้ความตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหัวใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทง


        เธอพูด “ฉันก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ ก็เลยอยากออกจากโรงพยาบาล”


————


ตอนที่ 168

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 168 โชคชะตาฟ้าลิขิต (3)


             เยี่ยฉินออกจากโรงพยาบาลแล้ว


            ตอนที่มู่ลี่ไป๋เห็นข้อความในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เขากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งในโรงพยาบาล หัวของเขาพิงอยู่บนกระเบื้องเซรามิคที่เย็นเยียบด้านหลัง ความเย็นยะเยือกนั้นทะลุผ่านเส้นผมถึงชั้นหนังศีรษะที่นุ่มและบาง  มันกำลังทิ่มแทงกระดูกสีขาวโพลนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ภายนอกกระดูกหนาวสะท้าน แต่ภายในกระดูกกำลังแผดเผาอย่างบ้าคลั่ง โลกถูกแบ่งออกเป็นสองด้าน


            เขาคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเมื่อเยี่ยฉินตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่จะทำก็คือออกจากโรงพยาบาล มือที่สั่นเทาของเขาหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า จุดไฟอยู่สองสามครั้งจึงจุดติด ควันบุหรี่ฟุ้งกระจาย วิสัยทัศน์ของมู่ลี่ไป๋พร่ามัวฉับพลัน


            “คุณครับ ที่นี่พวกเราห้ามสูบบุหรี่นะครับ” เสียงที่อ่อนโยนดึงมู่ลี่ไป๋ออกมาจากโลกส่วนตัว เขามองคนที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตามีประกายแห่งความหวัง


            “ขอโทษครับ” มู่ลี่ไป๋ดับบุหรี่ในมือ ยืนขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ “คุณ คือ…”


            ชายหนุ่มในชุดขาวพยักหน้า แล้วหาวด้วยความเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย “ผมดูอาการแล้ว ขืนยื้อต่อไปผมก็จะไม่ช่วยคุณแล้ว”


            “ขอบคุณนะ จื่อจี้”


            ลั่วจื่อจี้โบกไม้โบกมือ “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายขู่ผม ผมก็ไม่ออกมาหรอก” เขามองแหวนบนมือ มันส่องแสงเย็นเยียบภายใต้แสงไฟสีขาวของโรงพยาบาล มีอะไรบางอย่างผ่านวูบในแววตา แต่แล้วก็ถูกเขาซ่อนเร้นในทันที “คุณมีเวลาแค่สามวัน จากนั้นผมยังมีธุระเรื่องอื่น”


            เมื่อลั่วจื่อจี้พูดจบก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองแล้ว มู่ลี่ไป๋ก็ไม่ลังเล ขับรถไปยังที่พักของเยี่ยฉินอย่างรวดเร็ว เยี่ยฉินยังไม่กลับมา เขาหลบอยู่ด้านข้างจนถึงเวลาพลบค่ำ จึงเห็นเยี่ยฉินที่มีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า และยังถือช่อดอกไม้สีขาวในมือ มันขาวบริสุทธิ์ราวกับไร้ชีวิตเหมือนกับผู้หญิงรูปร่างผอมบางตรงหน้าเขา


            มู่ลี่ไป๋พูดไม่ออกว่าตัวเองกำลังคิดอะไร เขาหลบไปด้านข้างตามจิตใต้สำนึก จนกระทั่งเธอเดินเข้าไปในทางเดินยาวแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก เดินออกมาจากเงามืด


จะต้องพูดอย่างไรเยี่ยฉินจึงจะยอมรับการรักษา


            ไม่รู้ ใครๆ ก็ไม่รู้ แม้แต่พ่อแม่ของเธอก็ไม่รู้ มู่ลี่ไป๋จุดบุรี่มวนหนึ่งด้วยความหงุดหงิด เงยหน้ามองดูแสงไฟสลัวนั้น บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าตกสู่พื้น จนกระทั่งเมื่อเขาคลำหาในกระเป๋าอีกรอบ ซองบุรี่ก็ว่างเปล่าแล้ว เขาจึงพบว่ารอบตัวมีแต่ก้นบุหรี่เต็มพื้นไปหมด


            เขาก้มหน้ามองดูประกายไฟริบหรี่ที่ยังคงเหลืออยู่ ลมพัดมาทำให้พวกมันสั่นไหวแล้วมอดลงในวินาทีต่อมา มู่ลี่ไป๋หัวเราะอย่างขมขื่น เงยหน้าขึ้นก็เห็นเยี่ยฉินที่กำลังถือถุงขยะ คำทั้งหมดที่ต้องการจะเอ่ยติดอยู่ในลำคอ


            เยี่ยฉินราวกับเห็นคนแปลกหน้าทั่วไป ส่งยิ้มเป็นมิตรให้เขา เธอเดินผ่านเขา ทิ้งขยะ หันหลัง แล้วเดินกลับ ราวกับว่าได้ลบเขาไปจากชีวิตของตัวเองอย่างชัดเจน ทุกกระทำเหมือนสายลมที่คมกริบ เธอเดินกลับเข้าไปในอะพาร์ตเม้นต์อีกครั้ง ย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้าราวกับมีอะไรมารั้งไว้ให้ติดอยู่ที่เดิม ทำอย่างไรก็ก้าวไม่ออก


            เธอรู้ดีว่ามันคืออดีต ไม่ว่าเธอจะเป็นหรือตาย ไม่ว่าเธอเลือกที่จะอยู่หรือตายก็ไม่สามารถลืมหรือละทิ้งอดีตได้ เยี่ยฉินรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย ในเมื่อตอนนี้เธอก็เน่าเปื่อยอยู่แล้ว ถูกคนทำให้แตกหักอีกครั้งจะเป็นอะไรไป


            เธอหันหลัง ยิ้มให้มู่ลี่ไป๋ด้วยความเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง ทำเหมือนว่าตัวเองเป็นเจ้าบ้านที่ใจดีมาก “เข้ามานั่งไหม?”


            ใบหน้าของเยี่ยฉินซูบตอบเนื่องจากอาการป่วย ดวงตาทั้งคู่กลวงลึกอย่างเห็นได้ชัด มู่ลี่ไป๋มองดวงตาที่ชัดเจนของเธอ เหมือนกับว่าได้เห็นท่าทางที่มีความสุขของเธอตอนที่ฟังเพลงในรถท่ามกลางสายฝนในตอนนั้นอีกครั้ง การเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นไปตามความคิดของเขา เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับถูกอะไรดึงเข้าไปในห้องของเธอแล้ว


            ห้องของเธอไม่นับว่าใหญ่ แต่ว่ากำลังดีสำหรับการอยู่คนเดียว ภายในห้องสะอาดเรียบร้อยมาก แสงไฟสลัวนั้นดูอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง มู่ลี่ไป๋ขมวดคิ้ว ทุกอย่างที่อยู่ด้านหน้าถูกจัดแจงเป็นอย่างดี แม้แต่บนโต๊ะยังมีแจกันสองใบวางอยู่ มีดอกลิลลี่ที่กำลังบานอย่างสวยงามปักอยู่ มันส่งกลิ่นหอมที่มีชีวิตชีวา แต่ว่าทุกอย่างมันเงียบสงบเกินไปแล้ว เงียบสงบราวกับห้องจัดงานศพกลางดึกที่มีกลิ่นไม้และกลิ่นดอกไม้สด เหมือนดอกไม้สดที่ตายแล้ว


            “ดื่มชาไหม แต่ว่าฉันไม่มีชาหลงจิ่งที่คุณชอบ มีแต่ชาผู่เอ๋อ ทดแทนกันได้ไหม?” เยี่ยฉินหันไปถามเขา มู่ลี่ไป๋พยักหน้างงๆ มองดูผู้หญิงตัวน้อยที่เดินอยู่ตรงหน้าตัวเอง แสงไฟที่อยู่ตรงหน้าควรจะอบอุ่นกว่านี้หน่อย แจกันที่อยู่บนโต๊ะควรจะเปลี่ยนเป็นพอร์ซเลนสีฟ้าขาวที่เธอชอบ หรือไม่ก็ดวงไฟคริสตัสที่ส่องแสงบริสุทธิ์ได้ โดยมีเธอที่กำลังง่วนอยู่ภายใต้แสงไฟอบอุ่นกับสามีของเธอ


            มู่ลี่ไป๋รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างค่อยๆ เอ่อล้นในดวงตาของเขา การมองเห็นก็เริ่มเลือนลาง แม้ว่ามีเรื่องมากมายเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน แต่ว่ามู่ลี่ไป๋รู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าเขายังคงชอบคนที่อยู่ตรงหน้า เขาหวังมาตลอดว่าผู้หญิงที่ตัวเองรักจะมีความสุขชั่วชีวิต แม้แต่ตอนที่เธอเกลียดชังเขามากที่สุด หรือตอนที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเพราะดื่มเหล้าจัด เขาก็เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องมีความสุขต่อไป แม้ว่าคนที่ทำให้เธอมีความสุขจะไม่ใช่เขาก็ตาม


            แต่ใครจะรู้ว่าโชคชะตามักชอบเล่นตลกกับเรา ชอบเล่นตลกกับทุกคนที่จริงใจ กับทุกคนที่มีความหวัง มู่ลี่ไป๋มองน้ำชาสีเขียวอ่อนที่อยู่หน้าตัวเอง ได้ยินเสียงดังติ๊ง ระลอกคลื่นตื้นๆ ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ เขาเช็ดน้ำตาของตัวเองด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น เห็นเยี่ยฉินกำลังเก็บของโดยหันหลังให้เขา


            เขามองน้ำชาที่ยังมีไอร้อน บางทีอาจเป็นเพราะน้ำตาเปรี้ยวๆ หยดนั้น ชาผู่เอ๋อวันนี้จึงกลืนยากเป็นพิเศษ กลิ่นสดชื่นของชาก็บิดเบี้ยวเพราะกลิ่นของดอกลิลลี่ที่อบอวลอยู่ในอากาศ มันกระตุ้นให้ไม่สามารถควบคุมต่อมน้ำตาได้


            “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เยี่ยฉินก็ยกชาขึ้นมาแก้วหนึ่ง จิบคำเล็กๆ แล้วถอนหายใจอย่างพึงพอใจ ท่าทางที่สงบของเธอทำให้มู่ลี่ไป๋ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย


            เธอไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองงั้นเหรอ ถ้ารู้แล้วทำไมถึงยังสงบและยิ้มได้อย่างเป็นปกติแบบนี้ ริมฝีปากของมู่ลี่ไป๋ขยับ แต่เยี่ยฉินกลับมองใบชาในถ้วยแล้วพูดต่อ “พ่อแม่ฉันไปหาคุณงั้นเหรอ? หรือว่าคุณก็รู้อะไร ก็เลยคิดจะ…” เธอไม่กล้าพูดประโยคสุดท้าย มือที่ถือถ้วยกลับเริ่มออกแรง


            ก็เลยคิดจะมาหัวเราะเยาะฉัน อยากให้ฉันรู้ว่าเมื่อไม่มีคุณแล้วชีวิตของฉันเน่าเฟะถึงเพียงไหน จากนั้นก็โอ้อวดกับฉันเรื่องช่องว่างระหว่างพวกเรา บอกกับฉันว่าการที่มีสุขภาพดีมันดีแค่ไหน ว่าชีวิตของคุณมันดีแค่ไหน?


            ทั้งสองคนต่างก้มหน้า ต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นหมอกควันในดวงตาของตัวเอง ชาที่ถืออยู่ในมือนั้นเย็นชืดแล้ว นาฬิกาด้านนอกส่งเสียงเริ่มต้นวันใหม่ดังชัดเจน มู่ลี่ไป๋ราวกับถูกน้ำร้อนลวก วางแก้วลงบนโต๊ะด้วยความร้อนรน ต้องการจะลุกขึ้นยืน


        “อีกแก้วไหม?”


————


ตอนที่ 169

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 169 โชคชะตาฟ้าลิขิต (4)


             มู่ลี่ไป๋นั่งลงบนโซฟาอีกรอบ พยักหน้า ทั้งสองนั่งกันอยู่อย่างนี้จนรุ่งสาง เมื่อแสงแรกของวันส่องกระทบใบหน้าของเยี่ยฉิน สีหน้าที่ซีดเซียวก็แจ่มชัดขึ้นมาบ้าง มือของมู่ลี่ไป๋สั่น แก้วร่วงลงแตกกระจายเสียงดัง


            “ขอโทษ” เขาก้มตัวลงเงอะงะต้องการจะเก็บกวาด มือซูบเซียวคู่หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา มือของทั้งคู่สัมผัสกัน มู่ลี่ไป๋รู้สึกว่าปลายนิ้วของเยี่ยฉินราวกับว่ามีหัวใจเต้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งสองคนหยุดชะงักพร้อมกัน


            เยี่ยฉินปฏิกิริยาตอบสนองเร็วกว่า เธอเก็บของทุกอย่างอย่างระมัดระวัง มู่ลี่ไป๋มองดูคราบน้ำชาสีเขียวที่อยู่บนพื้น รู้สึกกังวังใจเล็กน้อย


            “ทำไมถึงยอมแพ้ ไม่แคร์แบบนี้จริงๆ เหรอ?” มู่ลี่ไป๋เจอเสียงของตัวเองแล้ว เอ่ยถาม มือของเยี่ยฉินที่กำลังทำความสะอาดคราบชาหยุดกึก เธอเอาผมที่ปรกหน้าเกี่ยวหู


            “ก็แค่ไม่อยากผิดหวัง ในเมื่อมันอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจด้วย แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรที่อยากทำ แค่รอให้วันนั้นมาถึงอย่างธรรมชาติ อีกอย่างฉันก็ไม่อยากทำเคมีบำบัดอะไรนั่นด้วย เบื้องบนก็อยากให้ฉันจากไปอย่างสวยงามด้วยล่ะมั้ง”


            ตอนนี้ไม่มีอะไรที่อยากได้งั้นเหรอ? แววตาของมู่ลี่ไป๋มืดมนเล็กน้อย “คุณก็คิดจะทิ้งพ่อแม่คุณแบบนี้เหรอ?”


            ความรู้สึกที่เยี่ยฉินเก็บงำเอาไว้เกือบจะหลุดออกมา เธอสูดจมูก “สภาพร่างกายของฉันเป็นยังไง ฉันรู้ดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องให้พวกเรามาคอยคิดด้วยว่าวันนี้หัวเราะแล้วพรุ่งนี้จะร้องไห้ เงินออมทั้งหมดของพวกเราก็ดี หรือพลังก็ดีมันเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปได้ ต่อให้ฉันไม่อยู่ข้างกายพวกเขาก็แค่เสียใจไม่กี่ปี จากนั้นก็จะใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนได้”


            “ไม่ได้หรอก”


            “ไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้!” เยี่ยฉินตื่นเต้นจนข้าวของในมือหล่นอยู่ที่พื้น หน้าอกก็กระเพื่อมเพราะหายใจถี่เร็ว จ้องมองมู่ลี่ไป๋ด้วยดวงตาแดงก่ำ ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยๆ สงบสติลง แล้วทำความสะอาดของบนพื้น “อย่าบอกพ่อแม่ฉันว่าฉันอยู่ที่นี่ คุณแค่บอกว่าเจอศพฉันแล้ว ให้พวกเขายอมแพ้ซะ”


            มู่ลี่ไป๋ดึงเยี่ยฉินพรวดขึ้นมาจากพื้น กดลงบนโต๊ะ “คิดว่าตัวเองคับข้องใจมาก ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นมากสินะ?”


            “เยี่ยฉิน คุณน่ะมันแค่คนปอดแหกยังไม่ยอมรับอีก เอาข้ออ้างสวยหรูมากมายมาหลอกตัวเอง ทำให้หัวใจของตัวเองสงบแล้วมีความหมายอะไร? พวกเขาต้องการอะไรไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคุณ!”


            “พ่ายแพ้? ยังไม่ทันเริ่มพยายามก็คิดถึงความพ่ายแพ้แล้วเหรอ? เยี่ยฉิน คุณทำให้ผมตาสว่างจริงๆ”     “คุณนึกว่าตัวเองโล่งอกแล้ว ที่ช่วยเลือกให้คนอื่น คุณเคยถามความรู้สึกของคนอื่นบ้างไหม คุณเคยคิดบ้างไหมเพราะคุณไม่กล้าลอง หลังจากวันที่คุณตายไปแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ของคุณคิดไม่ใช่แค่ลูกของฉันน่าสงสารจังเลย แต่คิดว่าเป็นเพราะเขาเอง ลูกสาวของเขาถึงได้ยอมแพ้ เพราะพวกเขาเองที่ทำร้ายลูกจนตาย”


            “คุณคิดว่าคุณได้เก็บวัตถุมากมายไว้สำหรับพวกเขา แต่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ทุกวันในความล้มเหลวที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เลยและความรู้สึกผิดกับความตายของลูกสาว เยี่ยฉิน ที่ผ่านมาคุณก็แค่นึกถึงแต่ตัวเอง คุณนึกถึงความรู้สึกของตัวเอง ส่วนคนอื่นก็เป็นแค่วัตถุที่วางไว้อยู่ตรงนั้น คุณรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ แต่เคยคิดบ้างไหมว่าคนอื่นก็ไม่น้อยไปกว่าคุณ?”


            มู่ลี่ไป๋พูดยืดยาวในลมหายใจเดียว น้ำเสียงค่อยๆ ต่ำลงและมีเสียงสะอื้น เยี่ยฉินดวงมู่ลี่ไป๋ด้วยความเหม่อลอยเล็กน้อย เขาเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าที่งดงามของเยี่ยฉิน พูดอย่างประนีประนอม “เยี่ยฉินไปโรงพยาบาลเถอะ ผมรับปากคุณว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณอากับคุณน้าฟัง คุณจะยอมแพ้ต่อตัวเองแบบนี้ไม่ได้ ต่อให้คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่ คุณก็ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป”


            เยี่ยฉินผลักมู่ลี่ไป๋ออกไป “ไม่จำเป็น คุณชายมู่ คุณกลับไปเถอะ”


            “เยี่ยฉิน”


            มู่ลี่ไป๋เห็นหยดน้ำตาที่เยือกเย็นบนใบหน้าของเธอ “ใช่ ฉันมันเห็นแก่ตัว นั่นก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณชายมู่เลย เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมาก้าวก่าย”


            “ผมเปล่า ผมก็แค่อยาก…” ‘ผมก็แค่อยากให้คุณสบายดี อยากให้คุณมีร่างกายแข็งแรง แค่คิดว่า เด็กสาวที่งดงามเช่นคุณ ควรจะมีชีวิตที่สวยงาม ผมไม่เคยคิดที่จะควบคุมคุณ ผมไม่เคยคิดไปล้ำเส้น ผมแค่อยากเห็นคุณ เห็นรอยยิ้มของคุณ เห็นคุณมีความสุข’


        “มู่ลี่ไป๋ คุณรู้จักวันที่สิ้นหวังไหม?” เยี่ยฉินเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองด้วยรอยยิ้มโดดเดี่ยว ราวกับมีความเศร้าโศกหลังผ่านมรสุมชีวิต “นี่คือเรื่องสุดท้ายที่ฉันอยากทำ คือการจบชีวิตตอนที่ฉันต้องการจะจบชีวิตของตัวเอง”


            “เยี่ยฉิน” มู่ลี่ไป๋สวมกอดผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า “ผมไม่อนุญาต”


            “คุณมีสิทธิ์อะไรบอกว่าไม่อนุญาต” น้ำตาร้อนๆ ร่วงอยู่บนหลังมือของมู่ลี่ไป๋ ราวกับว่าต้องการจะแผดเผาเขา เขายังคงกอดเธอแน่น


            “เยี่ยฉิน เรื่องของพวกเรายังไม่จบ คุณจะหนีไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ แม้ตะเป็นความตายคุณก็หนีไปไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นที่คุณจากไป เรื่องทั้งหมดของคุณก็ไม่ใช่เรื่องของคุณอีกต่อไปแล้ว” ลมหายใจอุ่นๆ ของมู่ลี่ไป๋ห้อมล้อมใบหูของเยี่ยฉิน เธออดไม่ได้ที่จะสั่นไหว


            “มีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเรามาสะสางเรื่องในอดีตกัน”


            “มู่ลี่ไป๋ คุณเป็นแขกที่แย่จริงๆ” เยี่ยฉินหัวเราะ จู่ๆ ก็หมดสติไปและล้มลงบนตัวของมู่ลี่ไป๋ช้าๆ ในขณะที่สติกำลังเลื่อนลอยนั้น เธอราวกับว่าได้ยินใครตะโกนเรียกชื่อเธอปานหัวใจกำลังแตกสลาย ราวกับว่าเธอเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับเขา


            จะเป็นไปได้ยังไง เธอได้กำจัดความรักใคร่ชอบพอที่ทุกคนมีต่อเธอไปหมดแล้ว จะมีคนตะโกนเรียกชื่อเธอแบบนี้ได้อย่างไรกัน


            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าช่วงนี้ตาข้างขวาของตัวเองกระตุกบ่อยมาก ตัวเองก็งงงวยไร้เรี่ยวแรง ทำเอาลั่วจื่อหานที่อยู่ข้างกายตกใจยังกะอะไรดี ปกติก็ตัวติดเธอตลอดเวลาอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่ห่างแม้แต่คืบเดียว ต่อให้ไม่มีอะไรก็ทำให้พ่อแม่ของตัวเองสงสัยว่ามีอะไรแล้ว


            “เป่ยซี นี่ลูก…?” เมื่อเห็นลูกเขยรักลูกสาวของตัวเอง คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องดีใจอยู่แล้ว แต่ว่าท่าทางที่ระมัดระวังมากแบบนี้ มันยากที่จะไม่ทำให้มีความคิดเป็นอื่น


            “เปล่าค่ะ เปล่าค่ะ” อี้เป่ยซีย่นจมูก เล่นหมากรุกกับพ่อของตัวเองต่อ ในใจแอบคิดว่าจะต้องบอกให้ลั่วจื่อหานระวังตัวสักหน่อย ครั้งนี้พ่อของเธอก็ดูออกแล้วว่ามันมีอะไรบางอย่าง


            “พ่อรู้ว่าลูกชอบพ่อหนุ่มลั่วจื่อหานนั่น แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องดูแลงานของตัวเอง ต่อให้เขาติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นเรื่องงาน ลูกก็ต้องใจกว้างหน่อย เข้าใจไหม?”


            “หา?”


            “ลูกก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อย่ามัวแต่เอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย พ่อดูออกว่าในใจของลั่วจื่อหานมีแค่ลูกคนเดียว”


            อี้เป่ยซีหัวร่องอหาย เข้าใจว่าพ่อของตัวเองเข้าใจผิดว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน จึงได้ง้อเธออย่างไม่หยุดหย่อนแบบนี้ “พ่อ นี่พ่อพูดเรื่องอะไรกันคะ”


            จนกระทั่งลั่วจื่อหานกลับมาตอนกลางคืน อี้เป่ยซีเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขากอดเธอด้วยความอ่อนโยนมาก ถามอย่างจริงจัง “เธอจะใจกว้างเหรอ?”


        อี้เป่ยซีครุ่นคิด เอามือของเขามาวางไว้ที่ท้องของตัวเอง ส่งสายตา ‘นายก็ลองดูสิ’ ให้เขา ลั่วจื่อหานหัวเราะแล้วกอดเธอแน่นกว่าเดิม


————


ตอนที่ 170

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 170 โชคชะตาฟ้าลิขิต (5)


             อี้เป่ยซีซุกอยู่ในอกของเขาอย่างสบายใจ มือวางอยู่บนมือของลั่วจื่อหาน รู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่เขามอบให้เธอ “อืม จริงสิ วันนี้มู่ลี่ไป๋โทรมาที่บ้าน เหมือนบอกว่าจะขอบคุณนายอะไรนี่แหละ”


            ลั่วจื่อหานตอบว่า อืม ไม่ได้พูดอะไรต่อ


            “พวกนายสองคนทำอะไรลับหลังฉัน?”


            ลั่วจื่อหานวางมือลงบนท้องของอี้เป่ยซี น้ำเสียงมีความขี้เล่น “ฉันจะกล้าทำอะไรได้”


            เมื่อได้ยินคำพูดของเขา อี้เป่ยซีกลับขึงขังทันที เธอลุกขึ้นมาจากเตียง “ฉันรู้สึกมาตลอดว่าช่วงนี้นายแปลกๆ ตอนแรกฉันนึกว่าพอท้องแล้วก็มีผลกระทบในด้านจิตใจ…นาย เจอเรื่องอะไรกวนใจหรือเปล่า?”


            ลั่วจื่อหานก็ลุกขึ้นนั่งด้วย หยิกๆ แก้มของเธอด้วยความผ่อนคลายมาก เพราะว่าตั้งท้อง ระยะหลังนี้อี้เป่ยซีจึงเจริญอาหารเป็นพิเศษ แก้มที่มีเนื้ออยู่แล้วยิ่งอ้วนกลมกว่าเดิม ในเวลานี้ทำให้เขาไม่อยากจะปล่อยมือ เขากอดเธอไว้ในอ้อมแขนตัวเอง วางคางไว้บนศีรษะของอี้เป่ยซีเบาๆ


            ช่วงนี้มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ? บางทีในสายตาของเธออาจจะใช่ แต่ว่าในสายตาของลั่วจื่อหาน นอกจากเรื่องของอี้เป่ยซีแล้วอย่างอื่นก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องอะไร แม้ว่าระยะหลังนี้จะเจอเรื่องที่ชวนให้ไม่มีความสุขเท่าไรนัก แต่เขาก็ซ่อนเร้นความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้แล้ว หรือว่ายังทิ้งร่องรอยอะไรต่อหน้าเธองั้นเหรอ? หรือว่าเพราะเธอแบกรับชีวิตน้อยๆ เอาไว้ ฉะนั้นจึงอ่อนไหวมากขึ้น


            นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย


            “ช่วงนี้ฉันรู้สึกแปลกๆ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหม?” อี้เป่ยซีมองดูมือของลั่วจื่อหาน ฝ่ามือนั้นกว้างใหญ่ ทุกลายเส้นที่อยู่ด้านบนนั้นชัดเจนมาก เธออดไม่ไหวที่จะเอื้อมมือจิ้มไปตามเส้นพวกนั้น แต่ในใจยังคงรู้สึกสับสนเล็กน้อยราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป


            มันเกี่ยวกับเธอหรือเปล่า? เหมือนกับที่คุณแม่พูดว่าผู้ใหญ่ที่บ้านของลั่วจื่อหานจะไม่ยอมรับเธอ มือของเธอหยุดนิ่ง คบกับลั่วจื่อหานไม่ทันไร เมื่อไรกันนะที่ตัดสินใจว่าจะเดินหน้าโดยไม่ลังเลแบบนี้และจะอยู่ด้วยกันโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น? เมื่อก่อนก็เตือนสติตัวเองอยู่เสมอไม่ใช่เหรอว่าต้องระวัง ต้องระวัง ทำไมถึงหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ซะแล้ว


            เธอกวาดสายตาไปที่ท้องของตัวเอง “มัน เกี่ยวกับฉันหรือเปล่า”


            ลั่วจื่อหานนวดๆ หัวของเธอ “เป่ยซี เลิกคิดมากได้แล้ว”


            “แต่ว่า”


            เขาถอนหายใจ พูดแทรกอี้เป่ยซี “เป่ยซี เธอสบายดีก็พอแล้ว ถ้าเรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ต่อไปฉันจะดูแลพวกเธอสองแม่ลูกให้ดีได้ยังไง คิดซะว่าเป็นบททดสอบของฉันสักครั้งก็แล้วกัน? ไม่เชื่อว่าฉันจะแก้ปัญหาได้อย่างสวยงามเหรอ?”


            อี้เป่ยซีส่ายหน้า พบว่าตัวเองกังวลเกินความจำเป็นแล้ว เธอมีอะไรให้น่าคิดกัน เรื่องของเธอกับลั่วจื่อหานเกี่ยวอะไรกับคนอื่น เธอแค่เชื่อใจเขาก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?


            เธอปลอบประโลมตัวเองแต่ยังคงไม่สบายใจอยู่บ้าง พิงอยู่ในอ้อมอกของลั่วจื่อหาน ผ่านไปสักพักใหญ่จึงผล็อยหลับไป


            จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีตื่นนอนตั้งแต่เช้าแล้ว และเนื่องจากลั่วจื่อหานมีประชุมกับหุ้นส่วนก็ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเหมือนกัน อี้เป่ยซีลงมาชั้นล่างอย่างเบื่อหน่าย พบว่าคุณน้ากำลังเก็บของอะไรบางอย่างอยู่ในห้องรับแขกที่ชั้นหนึ่ง


            “มีอะไรเหรอคะ?” คุณน้าคนนั้นราวกับถูกทำให้ตกใจครั้งใหญ่ กล่องที่เพิ่งเก็บอย่างดีกระจัดกระจายเสียแล้ว อี้เป่ยซีมองดูท่าทีลับๆ ล่อๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ


            “คุณน้าฉิน น้ากำลังทำอะไรคะ?”


            คุณน้าท่านนั้นถูมืออย่างเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย เมื่อคืนคุณหนูเยี่ยที่อยู่ที่นี่ไหว้วานให้เธอช่วยส่งกระเป๋าไปให้ ไม่รู้ว่าทำไมยังกำชับตลอดเวลาว่าห้ามให้คุณนายกับคุณหนูรู้ เธอรู้ว่าไม่อยากให้คุณนายรู้เพราะกลัวว่าคุณนายจะเสียใจ แต่กลับไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับคุณหนู เยี่ยฉินเป็นมิตรกับพวกเธอมาก และเธอก็ยินดีเป็นอย่างมากที่จะช่วย ในเมื่อเยี่ยฉินพูดแบบนี้แล้ว เธอก็กันคุณหนูไว้หน่อยก็คงจะพอ ใครจะรู้ว่าวันนี้คุณหนูตื่นเช้า เธอเหมือนกับเป็นหัวขโมย ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไร


            “ฉันกำลังช่วยคุณหนูก่อนหน้านี้เก็บของ”


            “ฉันจำได้ว่าตอนที่กลับมา ข้าวของของเขาก็ถูกจัดเรียบร้อยแล้ว” อี้เป่ยซีมองดูคุณน้าที่ข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “เพราะเขาขอให้คุณน้าช่วยส่งกลับไป คุณน้ากลัวว่าแม่จะเห็นก็เลยแอบมาเก็บของตรงนี้?”


            คุณน้าฉินพยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง “ใช่ค่ะ คุณหนูอย่าบอกคุณนายนะคะ คุณนายชอบคุณหนูเยี่ยคนนี้มากจริงๆ”


            เดิมทีอี้เป่ยซีไม่ได้คิดอะไร เธอช่วยจัดของเข้าไปในกระเป๋า เอ่ยถามตามอำเภอใจ “ผู้หญิงที่คุณแม่ชอบคนนั้นแซ่เยี่ยเหรอ?”


            คุณน้าพยักหน้า ยังคงจัดของอย่างคล่องแคล่ว


            “เยี่ยอะไร?”


            “เยี่ยฉิน”


            มือของอี้เป่ยซีสั่นครู่หนึ่ง ทำไมถึงมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ได้ เสื้อผ้าในมือของอี้เป่ยสั่น วินาทีต่อมาสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวอย่างไร้ที่เปรียบ เสียงของเธอก็สั่นเครือเช่นกัน “ใช่ ใช่ที่มาจากประเทศ C หรือเปล่า? ผอมๆ สูงๆ คุณหนูเยี่ยที่มีดวงตาใสสะอาดมากๆ?”


            คุณน้าฉินไม่ได้คิดมาก รับเสื้อผ้ามากจากมือของอี้เป่ยซี “ใช่ค่ะ มาจากประเทศ C ดวงตาลึกซึ้งมากๆ แต่ว่าเทียบกับคุณหนูของพวกเราแล้ว ยังต่างกันมาก”


            “น้า น้ามีรูปของเขาหรือเปล่า?” คุณน้าฉินแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ คุณหนูของตัวเองถึงได้สนใจเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมากขนาดนี้ บางทีอาจจะอยากรู้ว่าทำไมแม่ของตัวเองถึงชอบเขามากล่ะมั้ง คุณน้าฉินไม่ได้คิดอะไรมาก หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาแล้วค้นหารูปรูปหนึ่ง เห็นว่าสีหน้าของคุณหนูของตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ โทรศัพท์เลื่อนหลุดจากมือของเธอและร่วงลงบนตักของเธออย่างจัง แต่เธอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย


            “คุณหนูคะ คุณหนู”


            อี้เป่ยซีเก็บโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากพื้นอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ส่งให้คุณน้าฉิน “อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ น้า น้าเก็บของเถอะ ฉัน ฉันขอกลับไปก่อน” พูดจบก็เดินจากไปด้วยความว่องไว


            อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาที่ห้องของตัวเองได้อย่างไร แม้แต่เสียงที่ลั่วจื่อหานกลับมาก็ไม่ได้ยิน


            “เป่ยซี?”


            เธอดึงสติกลับมา พูดไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร


            คุณแม่บอกเธอว่าอะไรนะ บอกว่า ว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว? เป็นไปไม่ได้ เยี่ยฉินเป็นเด็กดีขนาดนั้น ทำไมถึงจะต้องจากไปทั้งแบบนี้ ทำไมถึงไม่ยุติธรรมแบบนี้ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นเธอแน่นอน


            เธอส่ายหัวช้าๆ สองสามที ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางที่เหม่อลอยของเธอ ขมวดคิ้ว เดินเข้าไปหาเธอ เมื่ออี้เป่ยซีได้กลิ่นที่หอมคุ้นเคยจึงค่อยๆ สงบสติลง


            “เป็นอะไรไป?”


            “จื่อหาน” เธอรู้สึกว่าลิ้นของตัวเองแข็งไปแล้ว เกือบจะลืมวิธีพูดไปแล้ว “นายรู้ไหมที่แม่ ที่แม่พูดหลายวันก่อน…” ลั่วจื่อหานได้ยินประโยคหลังของเธอไม่ค่อยถนัด แต่กลับรู้สึกว่าหลังมือของตัวเองเปียกชื้น


            “เป่ยซี”


        “ฉันไม่เข้าใจ เพราะอะไร เยี่ยฉินเป็นคนดีแบบนั้น…เขาดีแบบนั้น…”


————


ตอนที่ 171

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 171 โชคชะตาฟ้าลิขิต (6)


             ลั่วจื่อหานกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ปล่อยให้น้ำตาของเธอร่วงอยู่บนเสื้อของตัวเอง


            “ฉัน ฉันอยากไปเยี่ยมเขา”


            “ได้”


            “เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม” ดวงตาของอี้เป่ยซีแดงก่ำ ดวงตาที่มองลั่วจื่อหานเต็มไปด้วยความต้องการที่พึ่งพิงและรอคอย เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนคำพูดก่อนหน้านี้ลงไป พยักหน้า


            “จะไม่เป็นไร”


            ขณะที่เยี่ยฉินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองถูกมู่ลี่ไป๋ส่งมาที่โรงพยาบาลแล้ว ไฟที่อยู่ด้านบนค่อนข้างเยือกเย็นจนทำให้รู้สึกระคายเคืองตา เธอค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับแสง หันไปก็เห็นคนที่นอนฟุบอยู่ข้างเตียง


            มู่ลี่ไป๋ราวกับว่าฝันไม่ดีนัก คิ้วขมวดกัน เยี่ยฉินอดไม่ไหวที่จะยื่นมืออกไป แต่หยุดชะงักวินาทีก่อนที่จะสัมผัสตัวเขา


            ดึงมือของตัวเองกลับมาด้วยความนุ่มนวลที่สุด


            เยี่ยฉินเอ๋ย ตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่?


            เธอมองไปที่มู่ลี่ไป๋


            แล้วตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่?


            เมื่อก่อนบอกว่าจะไม่มีวันมาเจอเธออีกแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่กลัวว่าเธอจะเข้าใจผิดหรอกเหรอ ตอนนี้ทำไมถึงมาอยู่ข้างกายเธอได้ ทำไมถึงอยากให้เธอรับการรักษา


            เยี่ยฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดหม่นเล็กน้อย ไม่สามารถบอกเวลาตอนนี้ได้อย่างชัดเจน เธอหันไปมองคนที่อยู่ข้างเตียงอีกครั้ง ตอนนี้ผ่านไปแปดปีแล้ว ใบหน้าของมู่ลี่ไป๋โดยรวมไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เย็นชามากขึ้น


            พวกเขาทั้งสองคนเลือกที่จะแยกทางกันตั้งแต่เมื่อไรกันแน่นะ? เมื่อก่อนเยี่ยฉินมักจะนึกอยู่เสมอแต่ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงกะทันหันแบบนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าพฤติกรรมทั้งหมดเป็นเพียงแค่การแสดง เธอไม่รู้ว่ามู่ลี่ไป๋ได้อะไรจากตัวเธอด้วยความเพียรพยายามอย่างนี้


            เธอหรี่ตาลง ซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเองที่กำลังจะท่วมท้นขึ้นมาอีกครั้ง มือของมู่ลี่ไป๋ขยับ เยี่ยฉินรีบหลับตาลง


            มู่ลี่ไป๋มองคนที่อยู่บนเตียง สีหน้าของเยี่ยฉินขาวซีดเนื่องจากอาการป่วย เธอซูบตอบลงมาก การหายใจก็แผ่วเบาราวกับว่ามันจะหายไปโดยสิ้นเชิงในวินาทีต่อมา ให้ความรู้สึกเหมือนใกล้จะโปร่งใส


            เขายื่นมือออกไปหยิบผมที่ติดมุมปากของเยี่ยฉินออก ริมฝีปากของเธอก็ไร้สีเลือดและแห้งผาก เมื่อลูบผ่านผิวหนังก็ให้สัมผัสหยาบกร้านเล็กน้อย แต่มันยังทำให้หัวใจของมู่ลี่ไป๋สั่นไหว


            ตอนนี้มีอะไรที่รั้งคุณได้บ้าง? ทำไมถึงไม่อยากลอง มันเป็นการดีกว่าที่จะจากไปมากกว่าที่จะเจอผมอีกครั้งจริงๆ เหรอ?


            เยี่ยฉิน เพียงแค่ เพียงแค่คุณยอมที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ผม ผมทำอะไรก็ได้ จะให้ผมไม่โผล่มาให้คุณเห็นหน้าอีกก็ได้ แต่ว่าทำไมต้องเด็ดขาดกับตัวเองแบบนี้ ผมต้องทำยังไงถึงจะทำให้คุณอยู่ต่อได้


            ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยมีวิธีที่จะรั้งเธอไว้ได้เลย


            น้ำตาหยดหนึ่งร่วงแหมะอยู่บนใบหน้าของเยี่ยฉิน ขนตาของเธออดไม่ได้ที่จะสั่นไหว ดวงตาของมู่ลี่ไป๋มีความลนลานทำตัวไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ เขากลั้นหายใจ ลืมการเคลื่อนไหวของตัวเอง เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ด้านล่างไม่ตื่น จึงถอนหายใจเบาๆ


            เยี่ยฉิน คุณต้องการอะไรกันแน่ จะให้ผมทำยังไงกันแน่?


            มู่ลี่ไป๋หลับตา ภาพในอดีตประดังเข้ามาในสมองของเขาชั่วขณะหนึ่ง วันเวลาที่ฟังเพลงอยู่บนรถ รอยยิ้มของเยี่ยฉิน เวลาที่เขาสารภาพรัก ท่าทางน่ารักของเยี่ยฉินที่ทำตัวไม่ถูก เมื่อนึกถึงความทรงจำแสนหวานในอดีต มุมปากของมู่ลี่ไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม รอยยิ้มค่อยๆ แข็งทื่ออยู่บนใบหน้า คิ้วก็ขมวดกันแน่นกว่าเดิม


            “แม่ ผมไปไม่ได้นะครับ”


            “แม่คุยกับมหา’ลัยของลูกแล้ว พวกเขาก็อนุมัติแล้ว มหา’ลัยที่ประเทศ U ก็ส่ง offer มาแล้ว มู่ลี่ไป๋ ลูกจะทำให้ความพยายามทั้งหมดของแม่หลายปีนี้สูญเปล่าเพื่อประโยชน์ของตัวเองไม่ได้หรอกนะ”


            “นั่นเป็นความคิดของแม่ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำตั้งแต่แรก แม่ก็แค่อยากใช้ผมไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทั้งๆ ที่แม่เองก็ไปสอนต่อได้ นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดได้ แต่ว่าทำไมต้องทำลายทุกอย่างของผมด้วย” ดวงตาของมู่ลี่ไป๋แดงก่ำเนื่องด้วยความตื่นเต้น แม่ของเขาตัวสั่น เสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้น ทั้งสองคนต่างยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น


            คุณแม่มองมือของตัวเองด้วยความตื่นตกใจเล็กน้อย ยังคงมองลูกชายของตัวเองด้วยความหนักแน่น “แม่จะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นทำลายอนาคตของลูกอย่างเด็ดขาด”


            “ที่แม่ทำต่างหากคือการทำลายชีวิตของผมจริงๆ”


            เธอยิ้มอย่างเย็นชา เดินออกไปจากห้องทีละก้าว ปิดประตูแล้วล็อค การกระทำนั้นง่ายดายราวกับว่าได้ซ้อมอยู่ในหัวนับครั้งไม่ถ้วน


            “แม่ แม่จะทำไม่ได้นะ”


            “ลูกคิดดูให้ดี แม่ต้องไปคุยกับแฟนสาวตัวน้อยของลูกคนนั้น”


            เธอสาวเท้าจากไป ไม่สนใจเสียงร้องตีโพยตีพายที่อยู่ด้านหลังตัวเอง เมื่อลงบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว เธอมองขึ้นไปที่ราวบันไดบนชั้นสอง ดวงตาที่ขุ่นมัวอยู่แล้วมีความผิดหวังอันหนักอึ้ง


            มู่ลี่ไป๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ตอนนี้ตัวเองเป็นแบบนี้แล้ว คุณแม่ก็คงจะพอใจมากแล้วสินะ ทำทุกสิ่งที่เธอต้องการให้เขาทำแล้ว ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่เธอต้องการมากที่สุดแล้ว…


            “เยี่ยฉิน…คุณอยู่ที่ไหน ทำไมเสียงดังจังเลย” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือที่หลอกมาจากคุณน้าในบ้าน รีบกดหมายเลขที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว


            “คุณชายผู้สูงส่ง? หาฉันมีอะไรคะ รู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อเหรอ อยากได้อะไรจากตัวฉันอีก?”


            “คุณอยู่ที่ไหน?”


            “ฉันจะอยู่ที่ไหนได้ล่ะ คนยากจนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถอย่างพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนได้ ก็ต้องอยู่ในสถานที่สวยหรู แอบซ่อนความพ่ายแพ้ของตัวเอง เพื่อไปหลอกล่อเจ้าชายผู้สูงส่งแบบคุณยังไงล่ะ”


            เขาได้ยินเสียงหัวเราะไม่เกรงใจของเยี่ยฉิน เขาก็พอจะจินตนาการได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน เมื่อได้ยินเสียงผู้ชายที่พูดคุยกับเธออยู่ข้างๆ มู่ลี่ไป๋แทบอดไม่ไหวที่จะปรากฏตัวต่อหน้าเธอในตอนนี้ แล้วผลักไสคนที่อยู่รอบข้างเธอทั้งหมดไปซะ


            “กลับบ้าน” เขาข่มความโกรธไว้ในใจ พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบที่สุด


            “อ๋อ กลับบ้าน พวกคุณอยากกลับบ้านกับฉันไหม?”


            การยั่วยุที่อาจหาญและโจ๋งครึ่ม ทำให้ข้อนิ้วของมู่ลี่ไป๋ซีดขาวเล็กน้อย “เยี่ยฉิน อย่าให้ผมพูดเป็นรอบที่สอง ตอนนี้รีบออกไปจากที่นั่นเดี๋ยวนี้ กลับบ้านไปซะ”


            “ฮ่าๆๆ ทำไมล่ะ แค่อนุญาตให้คุณเล่นสนุกกับคนอื่นได้ ฉันมีโอกาสก็เล่นสนุกบ้างไม่ได้เหรอ? มู่ลี่ไป๋ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร ฉันเยี่ยฉินทำไมต้องสนใจคุณขนาดนั้นด้วย”


            “ฉันเหนื่อยกับคุณมานานแล้ว คุณก็เป็นเพียงเจ้าชายหน้าโง่ที่คิดว่าตัวเองเก่งนักเก่งหนา คุณไม่รู้อะไรสักอย่าง คุณไม่รู้ว่าคนคนนึงก็เสียใจเป็น คุณไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติต่อความรู้สึกด้วยความจริงใจ ตอนนี้ฉันจะบอกคุณให้นะ ระหว่างพวกเราสองคนมันจบแล้ว”


            ยังไม่ทันรอให้มู่ลี่ไป๋พูด ทางนั้นก็วางสายไปแล้ว มู่ลี่ไป๋ขว้างโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงอย่างแรง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตัวเองลงทุนไปมากขนาดนั้น ไม่ลังเลที่จะต่อสู้กับครอบครัวของตัวเองเพื่อเธอ เพราะอะไรเธอถึงตัดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแบบนี้ เพราะอะไร


        แม้คนที่บอกลาก็ควรจะเป็นเขา


————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม