Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 158-164
ตอนที่ 158
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 158 ด้านของพ่อแม่ (4)
เยี่ยฉินคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโชคร้ายขนาดนี้ และเยี่ยฉินก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะถูกปล้นตอนกลางวันแสกๆ ด้วย ครั้งนี้จบแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เศษเหรียญให้เธอได้หยอดโทรศัพท์สาธารณะ เธอทำได้เพียงไปหาคำปลอบโยนจากคุณอาตำรวจเท่านั้น
เธอมองรอบทิศ ไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ จึงได้แต่เดินพลางถามว่าสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน
เธอรายงานสถานการณ์ทั้งหมดของตัวเองให้ตำรวจฟัง ตำรวจทำการบันทึกประจำวัน บอกเธอให้รอการติดต่อ ตอนนั้นเยี่ยฉินนึกอยากจะร้องไห้ ตอนนี้เธออยู่ต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง ไม่มีเพื่อนสักคน แม้แต่ข้าวก็ไม่มีจะกิน คุณอาตำรวจจะให้เธอไปรอการติดต่อที่ไหนเหรอ จะปูที่นอนให้เธอที่สถานีตำรวจได้หรือเปล่า
สุดท้ายก็เป็นตำรวจหญิงผมบรอนด์คนหนึ่งที่ให้เศษเหรียญเธอ ให้เธอโทรไปขอความช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนของเธอ โชคไม่ดีที่เยี่ยฉินเพิ่งออกจากสถานีตำรวจไม่ทันไร ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา ทุกคนต่างรีบร้อนหลบฝน เยี่ยฉินถูกเบียดอยู่ด้านในสุดของชายคาแห่งหนึ่ง แผ่นหลังติดอยู่กับกำแพงเย็นเฉียบ เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกคนจำนวนมหาศาลเบียดตายในวินาทีต่อมา
ไม่รู้ว่าถูกทรมานอยู่ในสายฝนนานแค่ไหน ฝนข้างนอกจึงหยุดตก เยี่ยฉินมองดูฝูงคนที่จากไปตามลำพัง ความรู้สึกหวาดกลัวน้อยๆ รวมทั้งความอ้างว้างที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวก่อตัวขึ้นในใจของเธอทันใด เธอย่อตัวลงตามกำแพงช้าๆ กอดเข่าตัวเองร้องไห้
ทำไมถึงต้องเป็นเธอ ทำไมถึงต้องเป็นเธอเยี่ยฉิน
ทำไมความรักถึงไม่ดูแลเธอ ทำไมชีวิตถึงไม่ดูแลเธอ แม้แต่ออกจากบ้านก็มีคนแย่งของของเธอ
เรื่องต่อไปคืออะไร ให้เธอออกจาชายคาแห่งนี้แล้วถูกรถชนตายงั้นเหรอ?
เพราะอะไรถึงต้องเป็นเธอล่ะ เธอเยี่ยฉินไม่เคยก่อเรื่องไม่ดีเลย ทำไมถึงต้องรับกรรมด้วยนะ
“คนที่นั่งอยู่ที่พื้นใช่ยัยหนูของคุณหรือเปล่า ดูท่าทางน่าสงสารมากเลย”
อี้เฉิงพิจารณาภรรยาของตัวเอง เดิมทีต้องการจะพาเธอกลับบ้านทันที ใครจะรู้ว่าเธอกลับมีอารมณ์ลากเขาไปซื้อของด้วยกัน ระหว่างนั้นฝนก็เทลงมาจึงติดอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าสักพักหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านก็เจอกับคนที่ถูกชะตากับเธอ
หรือว่าชะตาจะต้องกันจริงๆ ล่ะมั้ง จึงได้เจอเธออีกครั้ง
คุณแม่อี้มองไปยังนอกหน้าต่าง “เอ๊ะ เธอนี่แหละ ยัยหนูดูท่าทางเศร้ามากเลย ฉันจะลงไปดูหน่อย”
อี้เฉิงพยักหน้า หลังจากได้รับคำอนุญาตแล้ว คุณแม่อี้ก็รีบเดินเข้าไปหาเยี่ยฉิน ย่อตัวลงช้าๆ “เยี่ยฉิน”
เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อของตัวเอง เยี่ยฉินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งคู่ที่แดงก่ำสะท้อนอยู่ในดวงตาของคุณแม่อี้ เธอเห็นท่าทางของเยี่ยฉินที่เหี่ยวเฉาแล้วในใจรู้สึกเจ็บปวด
“เป็นอะไรไป?”
“เมื่อกี้ตอนที่ลงจากเครื่อง ไม่ทันระวัง ก็เลยถูกขโมยของ” พูดพลางก็ยังยิ้ม คุณแม่อี้ตบๆ หัวของเธอ
“อย่ายิ้มสิ ยิ้มแล้วขี้เหร่กว่าตอนร้องไห้อีก”
เยี่ยฉินเกาหัวอย่างเขินอาย “ฉันควบคุมไม่ได้ ขอโทษทีค่ะ”
“แล้วเธอจะเอายังไงต่อ”
“คงโทรหาเพื่อน แล้วรอให้เขามารับฉันมั้งคะ”
คุณแม่อี้มองเธอด้วยความประหลาดใจ “กว่าเพื่อนเธอจะมาก็อย่างน้อยแปดเก้าชั่วโมงล่ะมั้ง เธอตัวคนเดียวจะไปรอเขาที่ไหน”
“ฉันหาสักที่นึงก็พอแล้ว”
“เธอไม่มีพาสพอร์ต แล้วก็ไปกับเพื่อนเธอไม่ได้ แล้วต่อไปจะทำยังไง?”
อี้เฉิงลงมาจากรถแล้ว เมื่อเห็นสภาพของเยี่ยฉินในใจก็พอจะเดาได้ว่าเธอเจอกับอะไรมาบ้าง จึงค่อยๆ เอ่ยปาก “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าสินะ”
เยี่ยฉินมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าก็รู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย อายุประมาณห้าสิบกว่า แต่ว่าดูแลตัวเองได้ดีมาก รอยยิ้มที่ใจดีเป็นอย่างยิ่งบนใบหน้านั้นไม่มีริ้วรอยเลยแม้แต่น้อย แต่มันไม่ใช่ความอ่อนโยนหรือไม่เป็นอันตรายประเภทนั้น แต่กลับมันมีความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้คนต้องยอมสยบ
นี่คือลักษณะของชนชั้นยอดสินะ เยี่ยฉินคิดในใจ คุณแม่อี้เห็นสีหน้าที่เพื่อนตัวน้อยของตัวเองมองสามีของตนก็โมโหเล็กน้อย “ฉันก็บอกคุณแล้วว่าหน้าคุณดุเกินไป คุณดูสิทำยัยหนูเขาตกใจหมดแล้ว ถ้ายัยหนูเขาไม่กลับไปกับฉันมันเป็นความผิดของคุณนะ”
อี้เฉิงยักไหล่จนปัญญา มองไปยังเยี่ยฉิน “ยัยหนู เธอเห็นแล้วสินะ ถ้าหนูไม่ฟังยัยประหลาดคนนี้ล่ะก็ ชีวิตแต่งงานของคุณอาก็จะมีปัญหาแน่”
เยี่ยฉินหัวเราะทั้งน้ำตา รู้สึกขอบคุณคนแปลกหน้าต่างถิ่นสองคนนี้มาก เดิมทียังต้องการจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่ท้องของเธอกลับร้องอย่างไม่รู้จักเวลา เยี่ยฉินอยากจะดำดินไปเสียเหลือเกิน
สองสามีภรรยาหัวเราะด้วยความผ่อนคลาย เยี่ยฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก ขึ้นรถไปกับคุณแม่อี้แล้ว
ทั้งสองคนพาเธอออกไปกินข้าวด้วยกัน คุณแม่อี้ก็ลากเยี่ยฉินกลับไปที่บ้านของตัวเอง ไว้วานให้อี้เฉิงช่วยหากระเป๋าเดินทางของเยี่ยฉิน เยี่ยฉินเห็นท่าทางของสองสามีภรรยาคู่นี้แล้ว ในใจคิดว่านี่คือการแต่งงานกับความสุขสินะ
แม้ว่าพวกเราต่างแก่แล้ว แต่ว่าในสายตาของอีกฝ่าย คุณก็ยังเป็นเด็กน้อยที่เขาเอ็นดูที่สุด สามารถทำตัวเหมือนเด็กได้ต่อหน้าเขา
คุณรู้ เขาก็รู้ว่าคุณสามารถมอบทุกอย่างให้อีกฝ่ายได้อย่างไร้เดียงสาและไร้พิษภัย
ช่างมีความสุขจริงๆ เลย ช่างน่าอิจฉา เยี่ยฉินยิ้ม ดวงตามีละอองน้ำโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“เยี่ยฉิน เธอเป็นอะไรไป? ทำไมจู่ๆ ก็ร้องไห้ล่ะ?”
เธอส่ายหัว “เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่าคุณน้ากับคุณอามีความสุขกันมาก รู้สึกประทับใจมาก”
คุณแม่อี้ดึงมือของเธอด้วยความเหลือเชื่อ “วางใจเถอะ หนูก็จะได้เจอคนที่ใช่ในชีวิตหนู”
เธอจะเจอเหรอ?
หัวใจที่แตกสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง จะได้เจอเนื้อคู่อย่างแม่นยำได้อย่างไรกัน แม้ว่าจะหาเจอ เธอเยี่ยฉินยังมีสิทธิ์อะไรที่จะเดินหน้าต่อไป ยังมีความกล้าที่จะเดินไปอีกเหรอ
เยี่ยฉินหัวเราะ แต่ก็ยังพยักหน้า
เยี่ยฉินรู้สึกมาตลอดว่าผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเล่อค่าเป็นอย่างมาก แต่ว่าเมื่อเธอมาถึงบ้านอี้แล้วก็รู้สึกเหนือความคาดหมายของตัวเองเล็กน้อย จู่ๆ เธอก็รู้สึกหวาดกลัว
“ไม่เป็นไรหรอก บ้านฉันเป็นธรรมชาติมาก เธอไม่ต้องระวังอะไร ตอนนี้ในบ้านมีแค่น้ากับคุณอาสองคน แล้วก็พี่เลี้ยงสองสามคน ไม่มีคนอื่นแล้ว”
เยี่ยฉินพยักหน้า เดินตามเธอเข้าไปในสถานที่ที่คล้ายกับปราสาทวัง เธอสังเกตเห็นการออกแบบที่ประณีตในทุกๆ ที่ มันเหมือนว่าใครบางคนกำลังสร้างกรอบความฝันของคนคนหนึ่งขึ้นมาใหม่
คุณแม่อี้สั่งให้คนใช้ทำความสะอาดห้องที่ชั้นหนึ่งแล้วปล่อยให้เยี่ยฉินเข้าไปพักอาศัย อุ่นนมแก้วหนึ่งและเอาไปให้เธอด้วยตัวเอง พูดคุยกันสักพักแล้วให้เธอได้พักผ่อน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของกระเป๋าเดินทาง รอจนกระทั่งเธอจากไปแล้ว เยี่ยฉินเอนลงบนเตียง ค่อยๆ หลับตาลง
เธอเหมือนกับว่าฝัน ในฝันมีกลิ่นหอมของใบหญ้าและนม อีกทั้งยังมีแสงอาทิตย์อันอบอุ่นราวกับอ้อมอกของคุณแม่
“เป็นอะไรไป?” ในความสะลึมสะลือนั้น ราวกับว่าเธอได้ยินเสียงของคุณแม่อี้อีกครั้ง เธอขยับเขยื้อนตัวเล็กน้อยแล้วเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น?” คุณแม่อี้พบว่าเยี่ยฉินตัวร้อน หลังจากปลุกอย่างไรก็ปลุกไม่ตื่นนั้น จึงรีบโทรเรียกหมอประจำครอบครัวทันที เขามองคุณแม่อี้ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหนักอึ้ง
————
ตอนที่ 159
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 159 ด้านของพ่อแม่ (5)
“เรื่องนี้ผมคงทำได้แค่ประมาณการ ยังยืนยันไม่ได้ ผมคิดว่าพาคุณหนูท่านนี้ไปตรวจที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะครับ แต่ว่าคุณนาย สถานการณ์สุ่มเสี่ยงมากและอาการก็ไม่สู้ดีด้วย”
ทันใดนั้นคุณแม่อี้ก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมเด็กสาวคนนี้จึงมักจะมีลมหายใจที่ชวนให้คนสงสาร ทำไมถึงมักจะให้ความรู้สึกเหมือนคนป่วย ที่แท้เธอเพราะว่าป่วยหนักงั้นเหรอ? แล้วพ่อแม่ของเธอรู้หรือเปล่า?
แน่นอนว่าไม่รู้อยู่แล้ว ถ้าหากรู้ล่ะก็ ใครจะปล่อยให้ลูกของตัวเองจากบ้านมาไกลแบบนี้ และนี่ก็คือเหตุผลที่ใบหน้าของเด็กคนนี้เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดเวลาเอ่ยถึงพ่อแม่
คงจะรู้สึกว่าตัวเองเพิ่มภาระให้กับที่บ้านสินะ คุณแม่อี้ซ่อนเร้นริมฝีปากและอยากจะร้องไห้โฮออกมาทันใด ร้องไห้ให้กับความรู้เดียงสาของเธอ ร้องไห้ให้กับเด็กน่าสงสารคนนี้ที่ต้องทนทุกข์กับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ริมฝีปากของคุณแม่อี้ขยับเขยื้อน อี้เฉิงรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร “คุณไปสั่งยาก่อนเถอะ” คุณหมอพยักหน้า ตามอี้เฉิงออกไปจากห้องด้วยกัน
“ทำไมถึงไม่พาเธอไปโรงพยาบาล?”
“คุณเคยคิดหรือเปล่าว่าเด็กคนนี้ไม่อยากให้คนอื่นรู้อาการป่วยของเธอ คุณพาเธอไปโรงพยาบาล พอเธอตื่นขึ้นมาจะคิดยังไง จะคิดหรือเปล่าว่าที่คุณดีกับเธอก็เพราะสงสารเธอ?”
“แต่ว่าจะยื้อไปแบบนี้เหรอ?”
อี้เฉิงขมวดคิ้ว เขามองดูลักษณะของเด็กสาวคนนี้แล้วน่าจะป่วยหนักมาก ราวกับเป็นโรคที่หมดทางรักษาอย่างไรอย่างนั้น “ผมจะติดต่อกับคนที่เมืองจีน ดูว่าจะหาพ่อแม่ของเธอเจอหรือเปล่า ให้พวกเขามาจัดการเรื่องนี้เถอะ ถึงคุณจะชอบเด็กคนนี้ ถึงยังไงคุณก็เป็นคนนอกสู้พ่อแม่ของเธอไม่ได้หรอก”
คุณแม่อี้พยักหน้า เช็ดน้ำตาที่ขอบตาของตัวเอง “เด็กคนนี้น่าสงสารมาก”
พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ทุกอย่างสงบเรียบร้อย มีเพียงหลิงจื่อเซี่ยที่หาเรื่องสนุกให้อี้เป่ยซีเป็นครั้งคราว แต่สุดท้ายเธอก็ได้แก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดไปทีละเรื่อง หลังจากอี้เป่ยซีย้ายมาคณะวรรณกรรมแล้วก็เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ทุกคนต่างเห็นความโดดเด่นในตัวเธอและเปลี่ยนไปทีละน้อยกับทัศนคติของเธอ
อี้เป่ยซียินดีกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก แต่ว่าลั่วจื่อหานกลับไม่ชอบเลยสักนิด
หลังจากที่ได้รู้จักกับอี้เป่ยซี หลายคนต่างรู้สึกว่าอี้เป่ยซีนั้นไม่เหมือนกับที่ตัวเองคิด แม้ว่าจะดูสูงส่งแต่ว่าไม่มีอารณ์โมโหร้ายเลยแม้แต่น้อย กลับมีความมิตรและความไร้เดียงสาของเด็กสาว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่กระตุ้นความสนใจของเด็กหนุ่มบางคน เมื่อลั่วจื่อหานได้ยินข่าวที่รายงานโดยสายของเขาก็ไม่พอใจมาก
หลังเลิกเรียนอี้เป่ยซีเห็นท่านประธานลั่วสีหน้าตึงเครียด ก็รู้ว่าท่านประธานโมโหเพราะเรื่องเมื่อเช้านี้ รีบโอบไหล่ของเขาอย่างเอาอกเอาใจ “อย่าโมโหไปเลย เมื่อเช้าฉันก็ไม่ได้ตั้งใจนี่นา”
“เธอยังรู้จักขอโทษฉันเรื่องเมื่อเช้าด้วยเหรอ”
“เพราะว่าฉันลืมเอาหนังสือไปจริงๆ ก็เลยดูเล่มเดียวกันกับเขา ตอนแรกฉันก็อยากดูหนังสือของเพื่อนผู้หญิง แต่ว่าคาบนั้นคนเต็มเกินไปแล้ว มีแค่ข้างเขาที่ว่าง” อี้เป่ยซียังคงกระพริบตาถี่ ร่างกายราวกับกำลังบอกว่า ‘ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นายจะต้องเชื่อฉันนะ’
ลั่วจื่อหานแอบจำเอาไว้ในใจแล้ว “เธอใช้หนังสือเล่มเดียวกันกับคนอื่นเหรอ?”
อะไรนะ? เธอขอโทษผิดเรื่องเหรอ งั้นเขาโมโหเรื่องอะไรล่ะ
“ทำไมถึงรับจดหมายรักของพวกเขา?” สีหน้าของประธานลั่วบอกว่า ‘ฉันกำลังโมโหมาก เธอให้คำตอบที่ทำให้ฉันพอใจจะดีที่สุด’ อี้เป่ยซีรีบยอมแพ้
“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันยอมแพ้แล้วฉันยอมรับผิด ใช่ว่าฉันอยากจะรับสักหน่อย ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเอกสารที่อาจารย์แจกจะมีของที่คนอื่นเขียนอยู่ข้างใน พอฉันเจอก็รีบคืนให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอไง ถ้าฉันจะรับจดหมายรักก็กล้ารับแต่ของนายเท่านั้นแหละ จะรับของคนอื่นได้ยังไง”
“กล้า?”
“ไม่ๆๆ เต็มใจรับ เต็มใจ เต็มใจรับของประธานใหญ่ลั่วเท่านั้น ต่อไปฉันจะไปชายตาแลของคนอื่นเลย”
“แต่เธอก็ยังอ่านแล้ว”
ไม่ต้องการเล่นเกมส์ใบ้คำพวกนี้แล้ว อี้เป่ยซีไม่มีทางเลือก ดึงเนกไทของลั่วจื่อหานแล้วจูบที่ริมฝีปากของเขาโดยตรง แม้ว่าประธานลั่วจะเพลิดเพลินมาก แต่ว่าในใจกลับค่อยๆ มีแผนน้อยๆ ของตัวเอง
งั้นฉันจะทำให้กระต่ายน้อยอย่างพวกนายรู้ถึงความลำบากแล้วถอยกลับไป ให้รู้ซะบ้างว่าอะไรในโลกนี้ที่พวกนายคิดได้ อะไรที่พวกนายไม่แม้แต่จะจินตนาการได้
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นอี้เป่ยซีจึงลูบคลำเอวที่ปวดเมื่อยของตัวเองพร้อมเห็นดอกไม้ช่อใหญ่ในห้องเรียน ด้วยหลักการที่ว่าจะไม่มองหากไม่ใช่ของของลั่วจื่อหาน อี้เป่ยซีจึงไม่ใส่ใจกับหนุ่มน้อยที่ส่งดอกไม้มา เดินกลับไปยังที่นั่งทันที
“คุณคืออี้เป่ยซีหรือเปล่า?”
“เอากลับไปเถอะ ฉันไม่เอา”
“แต่คุณลั่วบอกว่าถ้าคุณไม่รับเขาจะไล่ผมออก แถมยังจะทำให้ผมหางานในเมือง A ไม่ได้อีก” อี้เป่ยซีได้ยินคำพูดที่เอาแต่ใจเช่นนี้แล้วช่างเหมือนคำพูดของลั่วจื่อหานเสียจริง พยักหน้า รับดอกกุหลาบช่อใหญ่เอาไว้ แล้ววางไว้บนเก้าอี้ นักศึกษาสาวที่อยู่ข้างๆ ต่างอิจฉาตาร้อน เด็กผู้ชายบางคนก็รู้สึกใจเสียมากเช่นกัน
ปกติแล้วไม่ว่าจะส่งอะไรให้อี้เป่ยซี ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เธอก็ไม่รับ แต่เธอก็ไม่รังเกียจที่จะรับดอกกุหลาบช่อใหญ่แบบนี้ มันหมายความว่าอะไรก็ชัดเจนมากแล้วไม่ใช่เหรอ นางฟ้ามีเจ้าของหัวใจแล้ว
อี้เป่ยซีหยิบการ์ดในดอกไม้ขึ้นมา เมื่อเห็นตัวอักษรที่งามสะดุดตาก็อดไม่ได้ที่จะกุมปากยิ้ม ทุกคนเห็นอี้เป่ยซีเหมือนกับเด็กสาวที่กำลังมีความรัก บางคนก็หัวใจแตกสลาย บางคนก็อิจฉาและเกลียดชัง
ขณะที่กำลังเรียน อี้เป่ยซีทำอย่างไรก็ไม่สามารถเอาสมาธิทั้งหมดไว้ที่ห้องเรียนได้ ต้องมองดอกไม้ที่อยู่ข้างตัวเองเป็นครั้งคราว กลัวว่ามันจะบอบช้ำ กลัวว่ามันจะเหี่ยวเพราะว่าแห้งเกินไป บางทีก็เงยหน้ามองดูเวลา พลางคิดว่าทำไมถึงยังไม่เลิกเรียนสักที เธอทนจนถึงเวลาเลิกเรียนอย่างยากลำบาก เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็อุ้มดอกไม้เตรียมตัวกลับ ลั่วจื่อหานโทรมาได้เวลาพอดี
“ชอบหรือเปล่า?”
“ทำให้นายสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”
“สิ้นเปลืองเพื่อผู้หญิงของตัวเองก็คุ้มค่า ทำให้เด็กๆ พวกนั้นได้เห็นว่าอี้เป่ยซีมีเจ้าของแล้ว”
“เอาล่ะ เจ้าของผู้ยิ่งใหญ่ของอี้เป่ยซี วันนี้ท่านมีความสุขแล้วสินะ”
ลั่วจื่อหานพ่น ‘หึ’ ออกมา “ก็ไม่เลว”
“ที่แท้นายก็ยังเป็นเด็กน้อย”
“อืม มีเป็นเด็กกว่านี้อีก ฉันอยู่ด้านล่างตึกพวกเธอน่ะ”
อี้เป่ยซีรีบเดินออกไปจากอาคารเรียน เพราะว่าช่อดอกไม้ใหญ่เกินไปจึงบดบังวิสัยทัศน์ของเธอ จนกระทั่งใกล้จะถึงตัวลั่วจื่อหานแล้วอี้เป่ยซีจึงมองเห็นเขาอย่างชัดเจน เขาแต่งตัวสบายๆ เหมือนเด็กหนุ่ม และอุ้มตุ๊กตาที่น่ารักมากๆ คู่หนึ่งในมือ ตัวหนึ่งเหมือนเขา อีกตัวหนึ่งเหมือนเธอ
“ชอบหรือเปล่า” สองมือของอี้เป่ยซีหอบของพะรุงพะรังจึงไม่สามารถสวมกอดเขาได้ ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ลั่วจื่อหานวางดอกไม้ไว้ที่เบาะหลังรถ ยัดตุ๊กตาสองตัวใส่อ้อมอกของอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีกลับเร่งให้เขารีบออกรถ ลั่วจื่อหานไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก
“ฉันกลัวว่าดอกไม้ที่นายให้จะเหี่ยว พวกเรารีบกลับบ้านเถอะ” มองดูดวงตาที่สุกใสของอี้เป่ยซี คำอธิบายก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ลั่วจื่อหานจึงพยักหน้า ออกไปจากบริเวณมหาวิทยาลัยท่ามกลางสายตาอิจฉาของคนกลุ่มหนึ่ง
มันเป็นเช่นนี้มาตลอด มีทั้งคนอิจฉาและคนริษยา
————
ตอนที่ 160
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 160 ด้านของพ่อแม่ (6)
ตอนนี้เยี่ยฉินรบกวนบ้านอี้มาครึ่งเดือนแล้ว และไม่รู้ว่าทำไมถึงยังหากระเป๋าเดินทางของเธอไม่เจอ ในขณะที่เธอกำลังจะยอมแพ้นั้น ข้าวของทั้งหมดของเธอก็ราวกับตกลงมาจากฟ้า เธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะขอบคุณคนแปลกหน้าที่ตัวเองพบที่ต่างถิ่นได้อย่างไร
“ต้องขอบคุณพวกคุณจริงๆ ค่ะ” เยี่ยฉินกอดคุณแม่อี้ด้วยความซาบซึ้ง ขอบคุณที่ดูแลเธออย่างสุดความสามารถและช่วยเหลือเธออย่างสุดความพยายามแบบนี้
รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณแม่อี้ดูฝืนเล็กน้อย รู้สึกเจ็บปวดในใจ เด็กสาวที่รู้เดียงสาขนาดนี้ หรือว่าตอนนี้จะทำได้เพียงอยู่ไปวันๆ เพื่อรอความตายมาพรากเธอจากไปอย่างนั้นเหรอ แม้แต่สักวิธีก็ไม่มีเชียวหรือ กว่าจะได้เจอเด็กสาวที่ชอบแบบนี้มันไม่ง่ายเลย พูดกันตามตรง เธอทนไม่ได้จริงๆ
อี้เฉิงเห็นอาการของภรรยาตัวเอง ก็รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอะไรอยู่อีกแล้วแน่ๆ เดินเข้ามาโอบเอวของเธอ มองไปยังเยี่ยฉิน ในแววตามีความรักที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก “เตรียมตัวจะไปแล้วเหรอ?”
เยี่ยฉินอึ้งไปครู่หนึ่ง พยักหน้า หัวใจของเธอก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์เหมือนกัน แต่ว่าคนครอบครัวนี้ดีมากจริงๆ ดีจนเธอไม่อยากจากไปไหน ดีจนเธอไม่อยากให้พวกเขารู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของตัวเองในตอนนี้
เธอยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ต่อไปยังมีโอกาส ถ้าหากเป็นไปได้ พอกลับประเทศแล้ว คุณทั้งสองคนจะไปบ้านฉันก็ได้…ไปนั่งที่บ้านฉัน”
คุณแม่อี้รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้บาดตาเป็นอย่างมาก บาดจนน้ำตาของเธอแทบร่วง บาดจนเธอรู้สึกปวดใจ อี้เฉิงก็ยิ้มเหมือนกัน “ได้สิ แน่นอน”
“ถ้ายังไงอยู่ต่ออีกสักสองสามวันเถอะ ไปเที่ยวที่ที่น้าบอกเธอไปก่อนหน้านี้ คงไม่เสียเวลาเธอเท่าไรหรอกนะ” คุณแม่อี้พูด น้ำเสียงมีความคาดหวัง เยี่ยฉินลังเลครู่หนึ่ง แล้วตอบตกลงอย่างเชื่อฟัง
เธอรู้สึกโล่งอก ลากเยี่ยฉินเดินดูรอบๆ
อี้เฉิงกลับห้องหนังสือตามลำพัง เริ่มจัดการเรื่องที่อยู่ในมือ โทรศัพท์มือถือดังและส่องสว่างขึ้นภายในห้องหนังสือโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
“ฮัลโหล”
“พ่อคะ หนูเอง หนูอี้เป่ยซี”
เขาได้ยินเสียงลูกสาวของตัวเอง ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้ว “ฟังออกแล้วล่ะ ว่ายังไง?”
“คือว่า พ่อคะ แม่ได้เล่าเรื่องของหนูให้พ่อฟังหรือเปล่า”
“ลูกไปทำอะไรให้แม่ของลูกโมโหเหรอ?”
“ไม่ ไม่เชิงค่ะ ก็แค่ แม่ได้บอกพ่อหรือเปล่า…” จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงผู้ชายหัวเราะเบาๆ จากปลายสาย จากนั้นลูกสาวของตัวเองก็เอามือปิดลำโพงแล้วต่อว่าเขาสองสามคำเหมือนเด็กๆ ได้ยินไม่ชัดว่าพูดอะไร แต่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนทำให้รู้สึกมีความสุขอย่างไม่มีเหตุผล
น่าจะเป็นลั่วจื่อหานสินะ เขาแสร้งทำเป็นขึงขัง “ทำไมเหรอ ไม่ใช่ว่าลูกมีแฟนแล้วหรอกนะ?”
อี้เป่ยซีตื่นตกใจไปชั่วขณะ เธอจ้องลั่วจื่อหาน กลัวว่าพ่อของตัวเองจะเกลียดเขา ในหัวหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว คิดหาคำพูด
“ผู้ชายข้างๆ ลูกคือใคร?”
เธอกัดริมฝีปาก มองผู้ชายที่ยิ้มอยู่ข้างๆ ตัวเอง “หา พ่อ พ่อหูฝาดไปหรือเปล่า” เสียงของเธอต่ำลงทุกที “ข้างๆ หนูมีผู้ชายที่ไหนกัน”
คนผู้เป็นพ่อเลิกคิ้ว กลัวว่าเขาจะเกลียดพ่อหนุ่มนั่นสินะ “ไม่มีก็ดีแล้ว เป่ยซี ลูกยังเด็ก เรื่องพวกนี้ไว้รอลูกโตอีกหน่อยค่อยว่ากัน ไว้ต่อไปมีคนที่ชอบแล้ว พ่อจะช่วยลูกดึงกลับมายังได้เลย แต่ว่าตอนนี้ลูกรู้เหรอว่าความรักคืออะไร?”
คำชี้แนะที่จริงใจนั้นทำให้อี้เป่ยซีเงียบไปเล็กน้อย เธอคว้ามือของลั่วจื่อหานที่เล่นกับผมของเธอ กุมข้อนิ้วของเขา อุณหภูมิอันอบุอ่นค่อยๆ แล่นเข้าสู่หัวใจของเธอ ราวกับว่ามีความแน่นอนที่หาที่เปรียบไม่ได้
“หนู…”
“ลูกแน่ใจหรือเปล่าว่าคนที่ชอบในตอนนี้ แล้วจะชอบตลอดไป?”
อี้เป่ยซีครุ่นคิด นอกจากลั่วจื่อหานแล้วตัวเองยังจะชอบใครได้อีก เธอลุกขึ้นจากอ้อมอกของลั่วจื่อหาน จ้องมองใบหน้าของเขา รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระ นอกจากเขาแล้วจะชอบใครได้อีก แล้วจะมีใครที่ชอบเธอได้มากกว่าเขา เธอมั่นใจเป็นอย่างมาก
“ชอบค่ะคุณพ่อ หนูจะชอบเขาตลอดไปและตลอดไป”
อี้เฉิงหัวเราะ ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินภรรยาของตัวเองเล่าถึงเรื่องของอี้เป่ยซีกับลั่วจื่อหาน เขาก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังแอบตั้งตาคอยถึงฉากที่พวกเขามารวมกันในที่สุด ลั่วจื่อหานเหมาะสมกับเธอมากจริงๆ และชอบเธอมากด้วย ดีกว่าลูกชายของตัวเองเสียอีก…
“งั้นลูกโทรมาหาพ่อมีอะไร?”
อี้เป่ยซีจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองโทรมาเพราะอะไร “เอ่อ คือว่า เขาอยากจะไปไหว้พ่อ แค่ไม่รู้ว่าพ่อมีเวลาหรือเปล่า”
“เรื่องที่เกี่ยวกับลูกสาวของตัวเองจะไม่มีเวลาได้ยังไง พวกลูกบอกเวลามาเถอะ พ่อว่างตลอด”
“อืม ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะพ่อ”
“คุณอาอี้…” อี้เป่ยซีได้ยินเสียงของผู้หญิงเลือนลาง ในใจรู้สึกว่าคุ้นๆ แต่ว่านึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน แต่ว่าพอฟังเสียงที่ไพเราะแล้วก็จินตนาการได้ว่าหญิงสาวที่อยู่ทางนั้น…
ไม่จริงมั้ง พ่อของเธอจะกินหญ้าอ่อนแบบนี้เหรอ!
เธอลังเลครู่หนึ่ง “พ่อคะ ตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน แม่ แม่หนูอยู่กับพ่อหรือเปล่า?”
อี้เฉิงเข้าใจในทันทีว่าอี้เป่ยซีกำลังคิดอะไร “ลูกคิดอะไรเหลวไหลน่ะ ระวังไว้นะพ่อคิดว่าคนข้างๆ ลูกทำให้ลูกกลายเป็นแบบนี้”
อี้เป่ยซีรีบหัวเราะขอโทษ “มิกล้า มิกล้า เพราะว่าพ่อของหนูเก่งขนาดนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วพ่อว่าใช่หรือเปล่า หนูแค่รู้สึกว่าแม่ไม่ได้รีบไล่เขาออกไป ก็เลยแปลกใจนิดหน่อยแค่นั้น”
“เขาเป็นยัยหนูที่แม่ของลูกกับพ่อชอบมาก ถ้าพวกลูกมานี่เร็วหน่อย อาจจะได้เจอเขา”
“ไม่ล่ะค่ะ งั้นหนูก็ต้องแย่งความรักกับยัยหนูของพ่อน่ะสิ ไม่ไปหรอก หนูจะรออีกหน่อย”
“ได้ๆๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้นะ แม่ของลูกเรียกให้พ่อลงไปแล้ว”
“ค่ะ บายๆ ค่ะพ่อ”
อี้เป่ยซีวางโทรศัพท์มือถือลงรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย ลั่วจื่อหานกอดเธอ “กลัวว่าคนที่บ้านจะเกลียดฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ใช่สิ คุณพ่ออี้คุณแม่อี้เห็นฉันโตมา พวกเขาดีกับฉันมากจริงๆ ทำกับฉันเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ แน่นอนฉันก็หวังว่าพวกเขาจะชอบคนที่ฉันชอบเหมือนกัน”
“แล้วถ้าพวกเขาไม่ชอบล่ะ”
“ไม่ชอบก็ช่างมันเถอะ ถ้าชอบจะดีที่สุด ถ้าไม่ชอบก็พานายไปให้พวกเขาเจอหน้าก็พอแล้ว จะทำยังไงได้ล่ะ” อี้เป่ยซีดึงมือของลั่วจื่อหานมาอยู่ในมือแล้วเล่นกับมัน “แต่ว่า นายเก่งขนาดนี้ พวกผู้ใหญ่คงไม่รังเกียจนายหรอกมั้ง”
“ไม่รู้สิ เธอพูดแบบนี้ ฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ” พูดจบจู่ๆ ลั่วจื่อหานก็หัวเราะ “เป่ยซี”
“หืม”
“เธอคิดว่า พวกเราที่เป็นแบบนี้เหมือนกำลังเตรียมตัวแต่งงานหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีนึกถึงน้ำเสียงของพ่อตัวเองเมื่อครู่ เขาพูดนู่นนี่นั่นไปเรื่อย แต่ในน้ำเสียงกลับมีความคิดเหมือนอยากให้ลูกสาวออกเรือน
“โลกสวยนะ นายไปเจอพ่อแม่ฉันก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
————
ตอนที่ 161
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 161 ด้านของพ่อแม่ (7)
อี้เป่ยซีรู้สึกว่าชีวิตของเธอในช่วงนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นเกินไปแล้ว ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนที่มีเรื่องน้อยใหญ่เกิดขึ้นทุกวัน ความราบรื่นแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง มันเหมือนความสงบก่อนพายุฝน หลังจากเธอเล่าความคิดของตัวเองให้ลั่วจื่อหานฟังจบแล้ว เขาก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย อี้เป่ยซีเข้าสู่ความฝันด้วยความเหนื่อยล้าแล้ว
ลั่วจื่อหานมองดูเธอที่หลับใหล เดินไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศหนาวลงเล็กน้อย ทำให้ลั่วจื่อหานที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอจามไปทีหนึ่ง เขม่าบุหรี่ร่วงลงพื้น เมื่อลมพัดมันก็กระจัดกระจายไป
เขานวดคลึงหน้าผาก ดับบุหรี่ที่สูบไปแล้วครึ่งหนึ่ง เดินย่องกลับขึ้นเตียง กอดอี้เป่ยซีที่กำลังนอนหลับ และผล็อยหลับไป
อี้เป่ยซีเดินไปยังห้องเรียนตามลำพัง แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ เธอเห็นเงาที่คุ้นเคยเบื้องหน้า ความหงุดหงิดวูบผ่านเข้ามา
ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้กันนะ เธอควรจะไปที่ห้องคำปรึกษาหรือเปล่า เธอป่วยเพราะความหวาดระแวงหรือเปล่านะ
“เป่ยซี” มู่ลี่ไป๋โผล่มาตรงหน้าของอีเป่ยซีอย่างกะทันหันจากมุมหนึ่ง หนังสือในมืออี้เป่ยซีตกพื้นกระจัดกระจาย กระดาษบันทึกแผ่นเล็กถูกลมพัดปลิวไปทั่วทุกทิศ เธอกับมู่ลี่ไป๋ช่วยกันเก็บของของเธอมือเป็นพัลวัน
“เป็นอะไรไป?”
มู่ลี่ไป๋ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็เปลี่ยนหัวข้อ “เปล่า แค่เห็นเธอแล้วมาทักทาย”
อี้เป่ยซีเห็นท่าทางเขาเหมือนอยากพูดอะไรแต่ลังเล เข้าใจในทันทีว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ในเมื่อเขาไม่อยากพูด เธอก็จะไม่ถาม “อ๋อ งั้นฉันไปเรียนแล้วนะ”
เธอเดินไปไม่กี่ก้าวก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ หันกลับไป “จริงสิ ฉันนึกเรื่องที่สำคัญมากขึ้นมาได้เรื่องนึง ยังไม่เคยบอกนาย พอฉันย้ายคณะแล้ว เยี่ยฉินก็เป็นที่ปรึกษาของฉัน”
มู่ลี่ไป๋ตอบว่า ‘อืม’ โดยไร้อารมณ์ใดๆ ราวกับว่าเรื่องไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ไม่ดึงดูดความสนใจของเขาแม้แต่นิดเดียว
“ตอนนี้เธอลาออกแล้ว”
เขาเงยหน้าขึ้นทันที ก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึงด้านหน้าของอี้เป่ยซีแล้ว “แล้วทำไมเขาถึงลาออกเธอรู้ไหม? แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
ฉันว่าแล้วเชียวถ้าไม่มีอะไรก็คงไม่กลับมาหาฉัน อี้เป่ยซีเผยยิ้มแห่งความสำเร็จ รอยยิ้มนั้นทำให้มู่ลี่ไป๋ไม่สามารถหลบซ่อนได้ เขาเลียริมฝีปากที่แห้งเล็กน้อย “ไม่มีอะไร เธอไปเรียนเถอะ”
อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างว่าง่าย หันหลังแล้วเดินไปยังห้องเรียนอย่างรวดเร็ว มู่ลี่ไป๋มองดูแผ่นหลังของอี้เป่ยซี ในใจรู้สึกห่อเหี่ยว
ตอนนี้ก็มองออกแล้ว ทำไมถึงไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ให้จบล่ะ เขารู้ว่าตอนนี้คนอื่นก็ดูออกแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเขามาหาเธอ
ยังทำใจไม่ได้งั้นเหรอ? ใช่แล้ว ทั้งๆ ที่มันผ่านไปแล้ว ทำไมจะต้องลงแรงตามหาเธอด้วย ต่อให้หาเจอแล้วยังไงเหรอ เพื่อมองดูเธอพลอดรักกับคนอื่น เพื่อมองดูเธอมองตัวเองด้วยสายตาเย็นชางั้นเหรอ?
มู่ลี่ไป๋ นายนี่มันต่ำต้อยจริงๆ ผืนป่าอันกว้างใหญ่แต่นายไม่ต้องการ นายไม่ต้องการอะไรเลย แค่อยากอยู่ใต้ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง ใต้ต้นไม้ที่ไม่ควรค่าแก่การชื่นชอบใดๆ นายจะทำอะไรได้ มองดูใบไม้เหี่ยวๆ งั้นเหรอ?
ก็แค่ดู ก็แค่อยากดูเท่านั้นจริงๆ
เขายอมรับว่ามู่ลี่ไป๋อย่างเขาก็ต่ำต้อยแบบนี้ เขาชอบเธอ แม้ว่าเธอจะทำเรื่องมากมายขนาดนั้นก็ยังชอบเธอ ต่อให้เธอไม่ชอบเขาก็ยังชอบเธอ ต่อให้ได้มองเธอจากที่ไกลๆ แบบนี้ เขาก็ยังชอบเธอ
เท้าของมู่ลี่ไป๋ที่ต้องการก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงักอีกครั้ง เขายิ้มเยาะเย้ยตัวเอง หันหลังให้อี้เป่ยซีแล้วออกจากมหาวิทยาลัยไป
ช่างมันเถอะ ต่อให้เธอเห็นก็คงจะระอาใจมากสินะ
นายกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน กลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก
“ฮัลโหล แม่ ผมจะกลับไปคืนนี้ ครับ ผมรู้แล้ว ผมจะทำครับ” เขามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วอยู่นาน ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง
อี้เป่ยซีหันกลับไปมอง ตอนนี้มองไม่เห็นเงาของมู่ลี่ไป๋แล้ว ทำไมถึงไม่มั่นคงแบบนี้ เขาพูดแค่คำเดียวเธอก็จะบอกเรื่องที่เธอรู้ทั้งหมดให้เขาฟังแล้ว เธอส่ายหัว แบบนี้สมน้ำหน้าแล้วที่นายไม่มีแฟน
การเรียนในหนึ่งวันก็ผ่านไปอย่างปลอดภัยและมั่นคงมากอีกครั้ง ท่าทีของเพื่อนร่วมชั้นที่มีต่อเธอนั้นก็เหมือนกับเวลาอื่น อี้เป่ยซีรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ห่อเหี่ยวมากกดอยู่บนหน้าอกของเธอ เธอถอนหายใจยืดยาว แล้วจึงสะพายกระเป๋าออกจากมหาวิทยาลัยไป
เดินเข้าประตูอะพาร์ตเม้นต์ ก็เห็นลั่วจื่อหานจมอยู่ในความคิดที่หน้าคอมพิวเตอร์ คิ้วผูกกันเป็นปมราวกับว่าทำอย่างไรก็แก้มันไม่ออก
“เป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร” ลั่วจื่อหานยื่นมือไปหาเธอ อี้เป่ยซีนั่งลงบนตักของเขาเงียบๆ เธอโอบรอบคอของลั่วจื่อหาน
“ดูเหมือนนายมีเรื่องในใจนะ”
อี้เป่ยซีพิงศีรษะอยู่บนหน้าอกของเขา เมื่อได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นจึงรู้สึกสงบลงมาบ้าง ลั่วจื่อหานนวดคลึงหัวของเธอ สายตามองออกไปข้างนอกตลอดเวลา
ผ่านไปเนิ่นนาน เขายกมือของอี้เป่ยซีขึ้นมา ลูบไล้แหวนบนนิ้วนาง แววตามีความสับสนเล็กน้อย แต่กลับส่องประกายด้วยความตั้งใจแน่วแน่
“เป็นอะไรไป?”
“เปล่า สงสัยจะไปเจอผู้ใหญ่แล้วก็เลยตื่นเต้นนิดหน่อย”
“พอนายพูดแบบนี้ ฉันก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ทำไงดี?”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ “ฉันเป็นคนไปเจอไม่ใช่เธอสักหน่อย เธอจะตื่นเต้นทำไม”
อี้เป่ยซีลังเลครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปาก “ฉันไม่ต้องไปเจอพ่อแม่ของนายจริงเหรอ?”
“อืม ไม่จำเป็น ความคิดเห็นของพวกเขาไม่จำเป็นต้องเอามาคิด อีกอย่าง เธอก็เจอคุณปู่ของฉันแล้วไม่ใช่เหรอ แค่นี้ก็พอแล้ว”
“อ่อ” เธอพยักหน้า ซุกตัวในอกของลั่วจื่อหานต่อ “ปีนี้อุณหภูมิลดลงเร็วมาก ข้างนอกหนาวมากเลย”
“อืม” ลั่วจื่อขมวดคิ้ว ตอบเธอ
“วันนี้ฉันเจอมู่ลี่ไป๋ที่มหา’ลัยด้วย”
“เขาไปที่มหา’ลัยพวกเธอทำไม?”
อี้เป่ยซีขยับตัวในอ้อมอกของเขาเล็กน้อย เพื่อหาตำแหน่งที่สบายกว่าเดิม “น่าจะเป็นเพราะเรื่องของเยี่ยฉินล่ะมั้ง เยี่ยฉินลาออกแล้ว เขาคงหาเธอไม่เจอแล้วล่ะมั้ง ก็เลยมาถามหาที่มหา’ลัยพวกเรา”
“แบบนี้หรอกเหรอ”
“นายไม่เป็นห่วงเลยสักนิดเหรอ?”
“เรื่องของพวกเขาสองคน ฉันเป็นห่วงแล้วมีประโยชน์อะไร” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “เธอได้บอกเขาหรือเปล่าว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหน?”
อี้เป่ยซีส่ายหน้า “เขาเหวี่ยงน่ะ ฉันอยากจะบอกเขาว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหนด้วยความยินดีอยู่แล้วเชียว เห็นได้ชัดว่าฉันกับเยี่ยฉินไร้ค่าแค่ไหน อีกอย่างฉันรู้สึกว่าเขายังทำใจไม่ได้ แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมเดินหน้าต่อ”
“เป่ยซี”
“หืม?”
“ตอนที่อยู่กับฉัน ห้ามพูดถึงผู้ชายคนอื่น ฉันไม่ชอบหรอกนะ”
“เอ่อ ใครก็พูดไม่ได้เหรอ?”
“อืม…ก็ไม่ใช่ว่าใครก็พูดไม่ได้” เขาดึงเธอออกมาจากอ้อมอก มองตาของเธอโดยตรง ยิ้มด้วยความชั่วร้าย “ถ้าเป็นลูกของพวกเราพูดได้”
“ฉันไม่อยาก…”
————
ตอนที่ 162
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 162 ด้านของพ่อแม่ (8)
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป อี้เป่ยซีก็ไม่เห็นมู่ลี่ไป๋อีกและไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีก เมื่อได้เห็นเขาอีกครั้งก็อยู่บนข่าวซุบซิบในหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว พูดประมาณว่าเรื่องมงคลของบ้านม่อใกล้เข้ามาแล้ว กำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกันกับบ้านหวัง ประกอบกับรูปถ่ายสีสันสดใสใบหนึ่ง หญิงสาวที่อยู่ถัดจากมู่ลี่ไป๋ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคู่รักที่ดูดีจริงๆ แต่ในใจของอี้เป่ยซีกลับไม่มีความสุข แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นไปได้ว่าเมื่อพวกเขาสองคนเดินมาถึงจุดนั้นแล้ว ใครก็เดินหน้าต่อไม่ได้ ทำได้เพียงย้อนกลับไป เอาความกล้าหาญในอดีตมาเป็นความทรงจำ แล้วเดินไปในทางที่ตัวเองควรเดิน ห้อมล้อมตัวเองด้วยชีวิตที่ควรจะเป็น
แต่ว่านะ เยี่ยฉินกับมู่ลี่ไป๋จะไม่เสียใจสักนิดเชียวเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ทำให้ทั้งสองคนยอมแพ้ทั้งแบบนี้
ยังไม่ทันจะคิดเรื่องนี้ให้กระจ่าง อี้เป่ยซีก็ได้รับสายของลั่วจื่อหาน
“ฮัลโหล ว่ายังไง?”
“ฉันปล่อยให้พี่จางผ่านไปแล้ว คืนนี้มีธุระนิดหน่อยไม่กลับนะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วจื่อหานไม่กลับมานอน เมื่อก่อนเวลาที่งานยุ่งมากๆ เขาก็จะต้องกลับบ้าน ในขณะที่เธอกำลังนอนหลับก็จะแอบไปทำงานในห้องหนังสือ อี้เป่ยซีรู้สึกแปลกใจ จึงถามต่อ
“เป็นอะไรไป?”
“กำลังดื่มเหล้ากับมู่ลี่ไป๋ เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
“อย่าดื่มเยอะล่ะ ระวังสุขภาพด้วย”
“โอเค”
“งั้นฉันไม่รบกวนพวกนายแล้ว ไว้เจอกัน”
“แล้วเจอกัน”
ลั่วจื่อหานเก็บโทรศัพท์มือถือ มองดูผู้ชายตรงหน้าที่รินเหล้าให้ตัวเองไม่หยุด ใบหน้าไร้ซึ้งอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะอุณหภูมิกับลมหายใจในร่างกาย เขาคงจะสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วมันคืออะไร
มู่ลี่ไป๋มองเขา เผยยิ้มซีดเซียว แววตายังคงว่างเปล่า “นายมาแล้วเหรอ ดื่มสิ”
ลั่วจื่อหานจับมือของเขาที่กำลังรินเหล้า “ไม่ต้องถึงขนาดนี้มั้ง”
“เมื่อก่อนฉันก็พูดกับนายตลอดว่าไม่ต้องถึงขนาดนี้ ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าคนที่พูดน่ะไม่เจ็บหรอก มันต้องถึงขนาดไหนมีแต่คนที่เจ็บเท่านั้นที่รู้”
“ไม่ใช่ว่าถึงขนาดไหนหรอก แค่มันยังไม่พอ ดื่มไปทีละขวดๆ แบบนี้มันก็เมาได้ แล้วก็ลืมเรื่องที่ยืดเยื้อที่อึดอัดพวกนั้นได้ ฉันก็จะได้กลับไปเป็นมู่ลี่ไป๋คนเดิม ยังไม่พอ ฉันยังดื่มไม่พอ ทำไมยิ่งดื่มยิ่งคิดถึงเขา ทำไมยิ่งดื่มยิ่งชัดเจน ทำไมถึงยิ่งทุกข์ใจขึ้นทุกที”
ลั่วจื่อหานจุดบุหรี่ ไม่ได้ตอบคำถามของเขา
“ฉันชอบเขามาตั้งนาน เขาก็ชอบฉัน ตอนนี้สังคมก็เปิดกว้างขนาดนี้แล้ว ทำไมสุดท้ายแล้วยังแม่งเดินไปด้วยกันไม่ได้ ฉันติดค้างอะไรเยี่ยฉินกันแน่!”
“ติดค้างอะไร ฉันคืนให้เขาก็พอแล้ว แค่อย่าจากไปไหน อย่าจากฉันไปไกล ฉันจะไม่ไปก้าวก่ายเขา แค่ให้ฉันได้มอง แค่ได้มองเขาก็ไม่เต็มใจงั้นเหรอ? ฉันถูกรังเกียจจนกลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร”
“มีแค่เขาที่รังเกียจฉัน นายดูคนข้างกายสิ มีคนไหนบ้างที่ไม่พยายามจนสุดความสามารถเพื่อจะได้มาอยู่เคียงข้างฉัน นายว่าผู้หญิงคนนั้นมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรเหยียบย่ำฉันแบบนี้!”
ลั่วจื่อหานเปิดขวดเหล้า รินให้ตัวเองจนเต็ม ยกดื่มรวดเดียวหมด
“ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า บอกได้เลยว่าพี่น้องก็เหมือนแขนขา ผู้หญิงน่ะเหมือนเสื้อผ้า ฉันไม่ต้องการเสื้อผ้าอย่างเขาหรอก เขาจะทำให้เขาเห็น ทำให้เขาทนไม่ได้ เขานั่นแหละที่ปีนขึ้นมาไม่ได้ตั้งแต่แรก” พูดพลางก็โยนขวดเปล่าในมือลงไปที่พื้น แล้วเปิดอีกขวดให้ตัวเอง ไม่ลืมที่จะรินใส่แก้ว เงยหน้าขึ้นเทเข้าปาก เหล้ากับน้ำตาผสมเข้าด้วยกัน ไหลลงอาบแก้ม
“ลั่วจื่อหาน ฉันขออวยพรให้นายกับอี้เป่ยซีมีความสุขนะ ฉันดูพวกนายสองคนตลอดเวลา พวกนายมันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยจริงๆ ขอให้พวกนายอยู่ร่วมกันเป็นร้อยปี อยู่กันจนแก่เฒ่า ฉันขอดื่มให้” เหล้าทั้งขวดไหลลงสู่ท้อง ดวงตาของลั่วจื่อหานเป็นประกาย และดื่มไปมากเช่นกัน
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพร”
“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ พวกนายได้อยู่ด้วยกันก็ดีแล้ว ตอนนี้ฉัน…ไม่อยากไปคิดอะไรมากอีกแล้ว ได้เห็นนายมีในสิ่งที่ฉันไม่มี ก็นับว่าเป็นการชดเชยแล้วล่ะมั้ง”
“อืม”
“ฉันนึกว่านายจะกระตุ้นให้ฉันไปไล่ตามซะอีก ที่แท้ก็มีแค่คำว่าอืม”
ลั่วจื่อหานเงยหน้ามองเขา “ถ้ามันมีประโยชน์ล่ะก็ พวกนายก็ไม่เดินมาถึงทุกวันนี้หรอก”
“ฉันชอบเขา ชอบเขามากๆ จริงๆ”
“มู่ลี่ไป๋ชอบเยี่ยฉิน ชอบมากๆ เขาก็รู้แหละ ก็เลยเดินจากไปอย่างเด็ดขาด ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วก็จากไปอย่างธรรมชาติ”
“อาจจะ” ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก ลั่วจื่อหานดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาตลอดเวลา ในใจก็มีความกังวลของตัวเองเหมือนกัน จนกระทั่งตีสามของตอนเช้า มู่ลี่ไป๋ก็เมาจนไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ลั่วจื่อหานโทรศัพท์ให้คนสนิทของตัวเองพาเขากลับบ้าน ส่วนตัวเองก็นั่งรถจากมา
เมื่อกลับถึงอะพาร์ตเม้นต์ เดิมทีลั่วจื่อหานต้องการจะพักผ่อนในห้องรับแขกทั้งคืน ขณะที่เดินผ่านห้องนอน ก็ยังเปิดประตูห้องนอนโดยไม่รู้ตัวแล้ว เห็นคนที่ตัวเองรักนอนอย่างสงบอยู่ตรงนั้น ความว่างเปล่าทั้งหมดก็ถูกเธอเติมจนเต็ม รู้สึกว่าเรื่องที่เจอในช่วงนี้ก็ไม่หนักหนาเท่าไร ราวกับได้รับพลังงานมหาศาลกับความกล้าหาญที่ทำให้ไม่เกรงกลัวอะไรเลย
เขาเดินย่องไปยังข้างเตียง ค่อยๆ นอนลงแล้วกอดเธอไว้
ระหว่างที่อี้เป่ยซีครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นก็ได้กลิ่นเหล้าแสบจมูก เธอรวบรวมพลังจึงจะลืมตาขึ้นมาได้ “ลั่วจื่อหาน” ในน้ำเสียงยังมีความสะลึมสะลือ
ลั่วจื่อหานขานรับแต่ไม่ได้ลืมตา จู่ๆ อี้เป่ยซีก็รู้สึกเย็นๆ ที่หลังคอซึ่งปลุกให้เธอตื่นทันใด เธอรีบลุกขึ้นต้องการจะเปิดไฟที่หัวเตียง แต่ถูกมือที่ทรงพลังคู่หนึ่งห้ามไว้
“อย่าเปิดไฟ”
“ลั่วจื่อหาน นายเป็นอะไรไป นายร้องไห้ทำไม” อี้เป่ยซีเคยเห็นลั่วจื่อหานมาหลายด้าน ทั้งกล้าหาญ เศร้าโศก รุนแรง และเย็นชา แต่ว่ารู้จักกันมานานก็ไม่เคยเห็นด้านที่เขาอ่อนแอขนาดนี้ เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของลั่วจื่อหานด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย หัวใจของเธอก็เจ็บปวดจนสั่น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ทำให้ลูกผู้ชายดุจเทพคนนี้ต้องหลั่งน้ำตา
“ไม่มีอะไร” ลั่วจื่อหานกอดเธอแน่น “นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆ”
เธอราวกับเข้าใจเหตุผลที่ลั่วจื่อหานหลั่งน้ำตาแล้ว ดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะแดงก่ำ มีบางอย่างเปียกชื้นร่วงลงมาจากดวงตาทีละน้อยๆ เธอกอดลั่วจื่อหานแน่น “แน่นอนว่าไม่ใช่ความฝัน ฉันอยู่นี่ นายกังวลอะไร”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ
“ฉันช่วยนายทำความสะอาดเถอะ ฉันจะให้พี่จางเตรียมชาแก้สร่างก่อน แล้วเอามาให้นาย?”
“ได้” อี้เป่ยซีพบว่ามือที่อยู่บนเอวตัวเองยิ่งบีบแน่น
“ปล่อยมือก่อนเถอะ แบบนี้ฉันจะไปเอาชาให้นายได้ยังไง”
“ได้” แขนของลั่วจื่อหานยิ่งออกแรงกว่าเดิม อี้เป่ยซีจนปัญญา พยายามห่มผ้าให้เขา
“พรุ่งนี้คนที่ปวดหัวคือนายนะ ฉันล่ะขี้คร้านจะสนใจ”
“ได้” ลั่วจื่อหานพูดพลางเหมือนกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง ซุกไซ้อยู่ที่คอของอี้เป่ยซี
————
ตอนที่ 163
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 163 ด้านของพ่อแม่ (9)
ลั่วจื่อหานใช่ว่าไม่เคยลิ้มรสของอาการปวดหัวเมาค้าง แต่ว่าไม่เคยได้ลิ้มรสอาการปวดหัวอย่างมีความสุขแบบนี้เลย เขามองดูอี้เป่ยซีที่อยู่ตรงหน้าเขาถามนู่นถามนี่และวิ่งให้วุ่น รอยยิ้มที่มุมปากก็หุบไว้ไม่อยู่แล้ว
“นายไม่สบายไม่ใช่เหรอ ยิ้มอะไร?” อี้เป่ยซียกโจ๊กที่คุณแม่จางอุ่นไว้ นั่งลงข้างเขาด้วยสีหน้าสงสัย “ยังปวดหัวอยู่ไหม?”
แขนยาวๆ ของลั่วจื่อหานโอบเอวของอี้เป่ยซี “ปวด ไม่สบายมากเลย”
“เมื่อวานก็บอกนายแล้ว…” อี้เป่ยซียังไม่ทันพูดจบ คำพูดที่เหลือก็ถูกลั่วจื่อหานกลืนกินแล้ว อี้เป่ยซีจึงรับรู้ภายหลับว่าตานี่แกล้งป่วย
หลังจากเขาปล่อยเธอ อี้เป่ยซีมองเห็นคลื่นอารมณ์ในดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้น แล้วนึกถึงคำที่เขาพูดเมื่อวาน ความโมโหก็หายไปฉับพลัน “ลั่วจื่อหาน”
“หืม?”
อี้เป่ยซีซบอยู่ในหน้าอกของเขาอย่างว่าง่าย “ฉันก็แค่อยากเรียกนาย”
“งั้นเธอก็เรียกอีกสิ ฉันก็อยากได้ยินเธอเรียกชื่อของฉัน”
“นายเบื่อหรือเปล่า”
“ไม่เบื่อเลย ได้ฟังเสียงของเธอจะเบื่อได้ยังไง แต่ว่า…” เขาพลิกตัวกดอี้เป่ยซีไว้ด้านล่าง “ฉันชอบเสียงเธอที่เรียกชื่อฉันหลังจากนี้มากกว่า”
หลังจากแสดงความรักต่อกันแล้ว ลั่วจื่อหานก็มอบความอ่อนโยนให้อี้เป่ยซีอีกสักพักหนึ่ง จึงค่อยๆ เตรียมตัวไปทำงาน อี้เป่ยซีมองดูเวลาบนข้อมือ แผนในตอนเช้าของเธอถูกทำพังแล้ว เธอดึงผ้าห่ม ต้องการนอนต่ออีกหน่อยด้วยความสะลึมสะลือ
เมื่อเวลาใกล้บ่ายโมง อี้เป่ยซีจึงตื่นด้วยความหิว กินข้าวที่คุณแม่จางเตรียมไปเล็กน้อย และไปจัดการธุระของตัวเองแล้ว เธอเพิ่งจะแตะคอมพิวเตอร์ อดไม่ไหวที่จะหาวครั้งแล้วครั้งเล่า มองคำที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยดวงตาที่พร่ามัว อ่านอะไรไม่เข้าใจสักอย่าง ศีรษะของเธอเหมือนกับลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกข้าว สัปหงกอยู่บนแป้นพิมพ์ของตัวเองไม่หยุด
เธออ้าปากหาวกว้างๆ รู้ว่าวันนี้ไม่สามารถทำงานของตัวเองให้เสร็จได้จึงต่อว่าตัวเองด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เดินเข้าห้องนอนไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ล้มตัวลงบนเตียงแล้วเข้าสู่ความฝัน
เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลั่วจื่อหานก็นั่งมองเธออยู่ข้างเตียง
“ลูกหมูขี้เกียจ”
“ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“ห้าโมงครึ่งแล้ว”
อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่งบนเตียง “สายป่านนี้แล้ว ไม่ได้ ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องดูอะไรสักหน่อย”
“นอนทั้งวัน?”
เธอพยักหน้า ถอนหายใจ “ในวันที่อากาศเริ่มหนาว หนอนขี้เกียจก็มาแล้ว จะหลบยังไงก็หลบไม่พ้น”
“ไปเถอะ เดี๋ยวลงไปกินข้าวกัน”
อี้เป่ยซีหอมแก้มของเขา เดินลากรองเท้าเข้าห้องหนังสือไป ฝืนอ่านไปไม่กี่คำก็เริ่มสัปหงกอย่างไร้ชีวิตชีวาอีกครั้ง ระหว่างนั้นเองก็เกือบจะฟาดกับมุมโต๊ะ เธอถอนหายใจ นอนลงบนโต๊ะสักพักแล้วก็พึมพำในที่สุด “ช่วงนี้การค้นคว้าวรรณกรรมก็น่าเบื่อเกินไปแล้ว น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
“เป่ยซี เป่ยซี” ลั่วจื่อหานผลักๆ คนที่ฟุบนอนอยู่บนโต๊ะ ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว อี้เป่ยซีขยี้ตา สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
“ไม่สบายหรือเปล่า? ไปตรวจที่โรงพยาบาลหน่อยไหม?”
เมื่ออี้เป่ยซีได้ยินคำว่าโรงพยาบาลก็รีบส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร ฉันก็แค่นอนไม่พอ พรุ่งนี้ก็น่าจะหายแล้ว”
ลั่วจื่อหานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พยักหน้าแล้วลากอี้เป่ยซีลงไปกินข้าวข้างล่าง ยังเดินไม่ถึงโต๊ะกินข้าว อี้เป่ยซีได้กลิ่นอาหารก็รีบสะบัดมือของลั่วจื่อหาน วิ่งเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ
“ไม่เป็นไรนะ” ลั่วจื่อหานยืนอยู่ข้างหลังเธอช่วยเธอลูบหลัง ยื่นน้ำอุ่นให้แก้วหนึ่ง อี้เป่ยซีใช้น้ำอุ่นบ้วนปาก รสเปรี้ยวยังคงค้างอยู่ข้างใน
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
“เป่ยซี หรือว่าเธอจะ…” ลั่วจื่อหานไม่กล้าพูดคำสุดท้ายออกมา แอบหวังอยู่ในใจว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นถูกต้อง มือยิ่งเคลื่อนไหวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เขากุมมือของอี้เป่ยซี “พวกเราไปตรวจที่โรงพยาบาลกัน”
อี้เป่ยซีส่ายหัว “ไม่ไปๆ ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาล”
ลั่วจื่อหานลากบังคับเธอไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง แล้วยัดเธอเข้าไปในรถ “เป่ยซี แค่ไปตรวจไม่ต้องกินยา ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องกลัวนะ ยังมีฉันอยู่”
อี้เป่ยซีมองดูใบหน้าด้านข้างของลั่วจื่อหาน เข้าใจการคาดเดาของเขา มือกุมท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ‘มันจะมีชีวิตน้อยๆ อยู่ในนี้จริงเหรอ? แต่ถ้า…ไม่มีล่ะก็ ลั่วจื่อหานก็คงจะผิดหวังมากสินะ’
หลังจากพวกเขาสองคนดูผลการตรวจร่างกายแล้ว พูดได้ว่าอารมณ์ของอี้เป่ยซีนั้นสับสนเป็นอย่างยิ่ง ท้องตอนนี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ เธอยังต้องเรียน ยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้ทำ แต่ว่าเด็กคนนี้ เธอมองดูหน้าท้องที่แบนราบของตัวเอง เธอก็ทิ้งไม่ลงเหมือนกัน
ปกติแล้วเวลาที่เธอมีอะไรกับลั่วจื่อหาน ก็ป้องกันอย่างดี ทำไมถึงยังมีอุบัติเหตุแบบนี้ได้
ลั่วจื่อหานกุมผลรายงานแล้วหันมาทันใด มองไปที่อี้เป่ยซี “เป่ยซี นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า?”
“อืม นายกำลังฝันอยู่ นี่คือเรื่องปลอม”
ลั่วจื่อหานอุ้มอี้เป่ยซี พูดด้วยความตื่นเต้นที่ยากจะซ่อนเร้น “ถึงจะปลอมฉันก็ดีใจมาก ฉันจะเป็นพ่อแล้ว เป่ยซีฉันจะเป็นพ่อแล้ว พวกเราจะมีลูกเป็นของตัวเองแล้ว”
“ใช่ๆๆ คุณอาจะเป็นคุณพ่อแล้ว ยินดีด้วย ยินดีด้วย” ใบหน้าของอี้เป่ยซีก็มีรอยยิ้มแห่งความสุขเหมือนกัน
“ใช่แล้วๆ ต้องขอบคุณหลานสาวแล้ว เป่ยซี ขอบคุณมาก”
“หืม?”
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตของคนเราจะสมบูรณ์ได้ขนาดนี้ จะงดงามได้ขนาดนี้” เขายื่นมือวางลงบนท้องน้อยของอี้เป่ยซี “พวกเธอคือทั้งหมดของฉัน”
ดวงตาของอี้เป่ยซีขยับเขยื้อน กอดลั่วจื่อหาน “พวกนายก็เหมือนกัน”
ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมาอย่างอ่อนโยน อี้เป่ยซีขยับตัวเล็กน้อยอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ไม่ได้พิการสักหน่อย นายอุ้มฉันทำไม”
“ฉันกลัวว่าเธอจะทำให้เจ้าหญิงน้อยของฉันกระทบกระเทือน”
“นายเริ่มลำเอียงตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ?”
“เธอคือเจ้าหญิงน้อยของคุณอา ในท้องเธอคือเจ้าหญิงน้อยๆ ของคุณอา โอเคไหม?”
“เธอปล่อยฉันลง คนตั้งเยอะมองอยู่น่ะ”
ลั่วจื่อหานมองแววตาอิจฉารอบกายแต่ไม่สนใจ “ชินแล้ว”
อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เขาอุ้มตัวเองเข้าไปในรถ ลั่วจื่อหานขับรถอย่างระมัดระวังมากตลอดทาง รถขับผ่านด้านข้างพวกเขาไปทีละคัน บางคันก็บีบแตรอยู่ข้างหลังพวกเขา ลั่วจื่อหานไม่สะทกสะท้าน มือกำพวงมาลัยแน่น เหงื่อชั้นบางๆ ซึมออกมาจากฝ่ามือ เหมือนกับคนขับรถมือใหม่ที่เพิ่งออกถนนเป็นครั้งแรก ระแวดระวังเป็นอย่างมาก
สุดท้ายอี้เป่ยซีก็กินโจ๊กไปเล็กน้อยภายใต้การบีบบังคับของเขา แล้วถูกอุ้มขึ้นไปชั้นบน อี้เป่ยซีที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้วพอเอนตัวลงบนเตียงก็ผล็อยหลับไป ลั่วจื่อหานที่อยู่ข้างเธอกลับนอนไม่หลับ เขาเปิดไฟสลัวมองดูคนที่นอนอยู่ข้างๆ ตัวเอง ทำอย่างไรก็หุบยิ้มไว้ไม่อยู่
เป่ยซีของเขามีลูกของเขาแล้ว เขาจะได้เป็นพ่อแล้ว จะได้เป็นพ่อของลูกเป่ยซีแล้ว เขายิ้ม มองอยู่เนิ่นนานจึงปิดไฟ
————
ตอนที่ 164
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 164 ด้านของพ่อแม่ (10)
ลั่วจื่อหานมองท้องของอี้เป่ยซี ไม่มีความกังวลอีกต่อไป คิดจะรีบพาอี้เป่ยซีไปที่ประเทศ U เพื่อหารือกันเรื่องแต่งงาน
“หา ไปพรุ่งนี้เลยเหรอ” ปากกาที่หมุนอยู่ในมือของอี้เป่ยซีร่วงจากปลายนิ้วเป็นครั้งคราว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความวิตก
“เป็นอะไรไป?”
เธอรวบรวมความกล้ามองลั่วจื่อหาน “ฉัน คือว่า กลัวแม่ฉันจะว่า”
ทีนี้ถึงตาลั่วจื่อหานอึ้งบ้าง เขากุมสองมือของอี้เป่ยซี “ไม่เป็นไร เป่ยซีไม่ต้องเป็นห่วง อย่าเพิ่งบอกพวกเขาก่อน หืม?”
เธอพยักหน้า เมื่อความง่วงเข้าจู่โจมก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของลั่วจื่อหานแล้วหลับไป ลั่วจื่อหานเรียกชื่อของเธอแผ่วเบาพอเห็นว่าเธอไม่ตอบสนอง ก็ยิ้มแล้ววางเธอลงบนเตียง ไปโทรศัพท์ที่ระเบียงเพื่อจัดการเรื่องวันพรุ่งนี้
ที่ประเทศ U เยี่ยฉินอยู่ที่บ้านอี้นานแล้ว ตัวเองต้องไปจากที่นี่แล้ว คุณแม่อี้คว้ามือของเธอ มองสำรวจเธอราวกับว่ากำลังมองลูกสาวของตัวเอง มีความอาลัยอาวรณ์อยู่ในดวงตา เมื่อเยี่ยฉินนึกถึงตัวเองในวันพรุ่งนี้แล้ว ในใจก็เหมือนกับถูกมีดทิ่มแทง
“คุณน้าคะ ฉันรบกวนพวกน้านานเกินไปแล้วจริงๆ ฉันจะไปกับเพื่อนไม่กี่วันแล้วจะรีบกลับมา” คุณแม่อี้กระพริบตา ไม่เชื่อคำพูดของเธอ
“คุณน้า ฉันก็ไม่อยากจากน้าไปไหน” เยี่ยฉินกอดคุณแม่อี้ รู้ได้ถึงความอบอุ่นที่เธอส่งผ่านให้ตัวเอง “คุณน้ารู้เรื่องของฉันแล้วสินะคะ ก็เลยยิ่งไม่อยากให้ฉันไปไหน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยฉิน คุณแม่อี้รู้ว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว เธอพูดเสียงสะอื้น “เด็กที่น่าสงสารของน้า ทำไมต้องเป็นเธอด้วย”
“เมื่อก่อนฉันก็คิดแบบนี้ ทำไมต้องเป็นฉัน แต่ว่าพอคิดๆ ดูแล้ว ทำไมถึงไม่ใช่ฉันล่ะ มีเรื่องมากมายที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ที่พวกเราทำได้ก็คือยอมรับมัน คุณน้าคะ ปล่อยให้ฉันไปดีไหมคะ คุณน้าก็คิดเสียว่าฉันไปเที่ยวกับพวกเพื่อนๆ จริงๆ ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย พวกเราเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว เป็นคนผ่านทางที่ชอบพอกัน คิดแบบนี้พอจะรับได้ขึ้นมาบ้างหรือเปล่า”
“มันไม่ได้จริงเหรอ…บางทีอาจยังมีหวังในการรักษา”
เยี่ยฉินส่ายหัว “คุณน้าคะ ฉันได้นำความวุ่นวายมาให้ครอบครัวของฉันมามากพอแล้ว พ่อแม่ของฉันก็แก่แล้ว ตอนนี้พวกเขารับไม่ได้มากมายขนาดนี้แล้ว ฉันคิดว่า ที่ฉันทำได้ก็มีแค่นี้”
“เธอเป็นเด็กดีคนนึง แต่ว่าเธอไม่เข้าใจหัวใจของคนเป็นพ่อแม่ แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กับชะตากรรมของตัวเอง แต่ก็ไม่ยอมที่จะเห็นลูกสาวของตัวเอง…จากไป ทั้งแบบนี้หรอก พวกเขาจะไม่เอาอะไรก็ได้ จะทนความยากลำบากอะไรก็ได้ เธอทำแบบนี้ไม่เป็นการเอาความหวังของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิงหรอกเหรอ?”
“คุณน้าคะ ฉันรู้และฉันก็เข้าใจ แต่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนกัน ฉันก็แค่ไม่ให้ความหวังพวกเขา มันดีกว่าการที่ให้พวกเขามีความหวังแล้วเอามันไปในตอนท้าย คุณน้า ขอโทษนะคะ ฉันไม่อยากทำให้คนอื่นเหนื่อย ฉันต้องไปแล้วจริงๆ”
คุณแม่อี้มองเยี่ยฉินน้ำตานองหน้า “พ้นพรุ่งนี้ไปแล้วค่อยไปดีหรือเปล่า ลูกสาวน้าจะกลับมาพอดี บางทีเขาก็อาจจะชอบเธอมาก บางทีพวกเธออาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากก็ได้ เป็นการเพิ่มประสบการณ์อย่างนึง ไม่คุ้มค่าหรอกเหรอ?”
เยี่ยฉินครุ่นคิด ถอนหายใจ “ก็ได้ค่ะ งั้นก็รบกวนคุณน้าแล้ว”
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน”
ช่วงค่ำของวันรุ่งขึ้น เที่ยวบินที่อี้เป่ยซีกับลั่วจื่อหานนั่งได้มาถึงที่หมายแล้ว อี้เฉิงจัดแจงให้คนที่มารับพวกเขารออยู่ที่ทางออกของสนามบินนานแล้ว
“คุณอาอู๋ แม่หนูส่งคุณอามารอตั้งแต่เช้าเลยใช่ไหมคะ”
คุณอาอู๋เปิดประตูรถที่เบาะหลัง “ก็ไม่เช้ามากครับ คุณนายรู้จักกับเด็กคนนึง ช่วงนี้อยู่กับเธอตลอดเลย”
“เฮ้อ งั้นตำแหน่งในบ้านของฉันก็มีความเสี่ยงแล้วสิ” อี้เป่ยซีลากลั่วจื่อหานเข้าไปในรถ คุณอาอู๋มองลั่วจื่อหานไม่ได้พูดอะไร แต่กลับสั่นด้วยความกลัวจากออร่าบนตัวเขาโดยไม่รู้ตัวแล้ว
ดูเหมือนว่าแฟนของคุณหนูรองจะเก่งมากเลย และดูเหมือนรักคุณหนูรองมากด้วย แบบนี้คุณนายกับคุณชายก็คงจะสบายใจแล้วสินะ
เยี่ยฉินรอลูกสาวที่คุณแม่อี้พูดถึงอยู่ในสวนด้วยความอึดอัดเล็กน้อย ทุกครั้งที่เธอได้ยินคุณแม่อี้พูดถึงลูกสาวคนนี้ ความสุขบนใบหน้านั้นมักจะทำให้เธอตกตะลึงอยู่บ้าง ก็เหมือนกับได้เห็นแม่ของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เธอรู้สึกอิจฉาเด็กสาวคนนี้มากที่มีครอบครัวที่มีความสุขแบบนี้
ครอบครัวแบบนี้จะมีลูกสาวแบบไหนกัน จะต้องสูงส่งมากสินะ
เยี่ยฉินนั่งอยู่ด้านข้าง ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ความคิดหมื่นพันวนเวียนอยู่ในหัวของตัวเอง เขาจะไม่ชอบเธอหรือเปล่า จะดูถูกเธอหรือเปล่า และจะคิดว่าเธอเป็นตัววุ่นวายหรือเปล่า
เธอรีบส่ายหัว ไหนๆ ก็มาถึงวันนี้แล้ว ถ้าไม่ชอบเธอ เธอก็จากไปได้ทันที
เสียงที่สดใสเป็นอย่างยิ่งดังขึ้นภายในสวนและยังมีเสียงเตือนจากผู้ชายด้วยความเอ็นดู เธอเบิกตากว้าง รีบดึงคนที่อยู่ข้างๆ ทันที “คุณหนูของพวกเธอชื่อว่าอี้เป่ยซีเหรอ”
คนนั้นพยักหน้าด้วยความงุนงงเล็กน้อย ทำไมพอรับรู้ชื่อของคุณหนูแล้ว คุณหนูท่านนี้ก็หวาดกลัวและร้อนรนขนาดนั้น แม้แต่สีเลือดบนใบหน้าก็หายไปชั่วขณะด้วย เยี่ยฉินเดินสะดุดอ้อมพวกอี้เป่ยซีแล้ววิ่งกลับไปที่ห้อง
“แม่คะ หนูกลับมาแล้ว พ่อล่ะคะ?” อี้เป่ยซีพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของคุณแม่อี้ทันที ลั่วจื่อหานอยากจะบอกว่าอย่าพูดอะไรเชียวนะ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ขยับนิ้ว ยิ้มมองเธอ
“คุณป้า” ลั่วจื่อหานทักทายคุณแม่อี้อย่างสบายๆ และสุภาพอยู่ด้านข้าง แม้ว่าภายในใจของคุณแม่อี้ยังเสียใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วนี่คือคนที่ลูกสาวของตัวเองชอบ และเขาก็ชอบลูกสาวของเธอมากด้วย ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก เธอยิ้มน้อยๆ ให้กับลั่วจื่อหาน สุภาพจนดูเหินห่าง
อี้เป่ยซีมองไปที่ลั่วจื่อหาน ยิ้มให้เขา ลั่วจื่อหานจับรอยยิ้มของเธอได้อย่างแม่นยำ พยักหน้าเล็กน้อย บอกให้เธอสบายใจ
“มาแล้ว ให้ซ้ออู๋ทำความสะอาดห้องรับแขกที่ชั้นสองเถอะ พวกเขาคงเหนื่อยกันแล้ว นั่งแป๊บนึงก่อน”
อี้เป่ยซีพยักหน้า มองไปรอบทิศ “แม่คะ ยัยหนูคนนั้นที่คุกคามตำแหน่งของหนูล่ะ ทำไมถึงไม่เห็นเขา”
“แม่จะให้คนไปเรียกเขา เสี่ยวลิ่ว เธอไปดูสิว่าคุณหนูเยี่ยอยู่ไหน ให้เขามาที่ห้องโถงใหญ่นี่”
เสี่ยวลิ่วออกไปเดินรอบนึงแต่ไม่เห็นเงาของเยี่ยฉิน ถามคนที่อยู่ด้านข้างก็บอกว่ากลับไปที่ห้องแล้ว เธอบอกคุณแม่อี้ตามความจริง
“เห็นว่ากลับห้องไปแล้วค่ะ”
“งั้นพวกเราไปหาเขาด้วยกัน” อี้เป่ยซีลุกขึ้นยืน ควงแขนแม่ของตัวเอง คุณแม่อี้ยิ้มพร้อมจิ้มๆ หัวของเธอ เมื่อเดินถึงหน้าประตู เคาะประตูอย่างไรก็ไม่มีคนตอบ อี้เป่ยซีเปิดประตูออกด้วยความสงสัย ห้องถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่คุ้นเคยลอยอยู่ในอากาศ
“ทำไมถึงไม่มีใครล่ะ” คุณแม่อี้มองกระเป๋าเดินทางที่อยู่ข้างๆ เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ส่ายหน้า
“น่าจะไปแล้ว อาจจะกลับมาเมื่อไรก็ได้”
“หา?”
————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น