Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 151-157

 ตอนที่ 151

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 151 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (8)


             เปิดเทอมได้ไม่เท่าไร ที่นั่งยังไม่ทันร้อน มหาวิทยาลัยก็เริ่มเตรียมกิจกรรมฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อี้เป่ยซีไม่ใช่คนที่ชอบออกกำลังกาย อีกทั้งส่วนใหญ่ก็เป็นกิจกรรมกลุ่ม เธอไม่มีความสนใจในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก บางเวลาที่เดินผ่านลานกิจกรรมแล้วเห็นพวกเขาฝึกซ้อมกัน ในใจก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย


            เธอหวังเหลือเกินว่าเรื่องทุกอย่างจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง เธอจะได้ระวังกว่านี้ รอบคอบกว่านี้ ใจกว้างกว่านี้ จริงจังกว่านี้ บางทีเธอก็อาจจะมีเพื่อนดีๆ มากมายก็ได้นะ


            เธอเดินต่อไปข้างหน้า หันเดินไปทางห้องสมุด


            อี้เป่ยซีกำลังดื่มด่ำกับเรื่องราวในหนังสือโดยไม่รู้ว่าข้างกายมีอีกคนเพิ่มขึ้นมา คนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วเข้าไปใกล้ ใกล้ขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งทั้งสองคนตัวติดกัน อี้เป่ยซีจึงพิงตัวไปด้านข้าง พิงอยู่บนไหล่ของเขา ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดอะไร มองดูเธอต่อไป


            เมื่ออี้เป่ยซีอ่านหนังสือจบ คนในห้องสมุดก็ออกไปจนเกือบหมดแล้ว เธอลุกขึ้นยืนเอาหนังสือไปเก็บที่ชั้นวาง ดึงมือของลั่วจื่อหานออกไป


            “ก็ไม่เลวนะ”


            “หา?” อี้เป่ยซีงุนงงกับคำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของลั่วจื่อหาน


            จู่ๆ เขาก็เอื้อมมือดึงเธอเข้ามากอด “ต่อไปเธอก็พลิกหน้าหนังสือให้ฉันแบบนี้ดีหรือเปล่า”


            “นายไม่ใช่เด็กแล้วนะ อายุเท่าไรแล้ว”


            “เพราะว่าหลานสาวเด็กเกินไปแล้ว คุณอาก็เลยทำได้แค่เล่นเกมส์เด็กๆ แบบนี้ ไม่ได้เป็นเด็กสักหน่อย” เขาแนบชิดข้างหูของเธอ “แต่ไม่รู้ว่าหลานสาวจะรับได้หรือเปล่า”


            อี้เป่ยซีขยับตัวในอ้อมแขนของเขา ลั่วจื่อหานเปลี่ยนท่าทางที่กอดเมื่อครู่โดยใช้มือข้างหนึ่งโอบเธอไว้ แววตาเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองเดินออกจากมหาวิทยาลัยและมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้า


            ทั้งสองคนเลือกของขวัญให้อี้เป่ยเฉินนานมาก ลั่วจื่อหานก็ลากอี้เป่ยซีไปเลือกของแบบพกพาได้สองสามอย่าง คิดที่จะให้พ่อตาแม่ยายของเขา


            “นายนี่หน้าไม่อายจริงๆ พ่อตาแม่ยายอะไรกัน”


            “หรือว่าไม่ใช่?”


            อี้เป่ยซีมองเขางอนๆ เดินกระแทกเท้าไปข้างหน้าสองเท้าก้าว ลั่วจื่อหานเลือกอยู่ครู่หนึ่งจึงเจอของที่ถูกใจ เขาดึงมือของอี้เป่ยซี จู่ๆ ก็รู้สึกซาบซึ้ง


            “เป็นอะไรไป?”


            “ฉันกำลังคิดว่าถ้าฉันมีลูกสาวที่น่ารักแบบนี้ ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะทำอะไร ฉันก็จะไม่มีความสุขที่เขาเอาลูกสาวของฉันไปแน่นอน”


            “งั้นพวกเราก็มีลูกชายสิ แล้วเอาลูกสาวของบ้านอื่นมา”


            ลั่วจื่อหานจูบปากของเธอ แววตาเปี่ยมด้วยรอยยิ้มสดใส “อืม มีลูกชาย”


            “นาย นายตั้งใจ”


            “เธอพูดเองไม่ใช่เหรอ?” ลั่วจื่อหานมองอี้เป่ยซีด้วยสีหน้าไร้เดียงสา อีกทั้งยังแบมือเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไรเลย อี้เป่ยซีหยิกไหล่ของเขา เมื่อหยิกไม่ลงก็เดินแก้มตุ้บป่องไปข้างหน้าแล้ว


            ลั่วจื่อหานเดินตามไป “ลูกสาวก็ดีนะ ลูกสาวเหมือนเธอไง น่ารักมาก”


            “ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว”


            “โอเค ไม่พูดแล้ว”


            วันงานกีฬา ตอนแรกอี้เป่ยซีคิดจะไปอ่านหนังสือต่อ หรือไม่ก็กลับไปทำความสะอาดอพาร์ทเมนต์ที่ปรับปรุงใหม่ ระหว่างทางที่ไปกินอาหารเช้า ก็เจอเยี่ยฉินที่มีท่าทางตื่นตระหนก อีกทั้งสีหน้าก็ซีดขาวเล็กน้อย


            “เยี่ยฉิน เธอเป็นอะไรไป?” อี้เป่ยซีวิ่งเหยาะเข้าไปหา เธอส่ายหน้าทำหน้าเป็นปกติ น้ำเสียงก็ไร้เรี่ยวแรงมาก


            “แค่ไม่สบายนิดหน่อย ไม่มีอะไร งานกีฬาวันนี้เธอจะไปเข้าร่วมไหม?”


            “เธอไปไหม?”


            เยี่ยฉินพยักหน้า “เดี๋ยวฉันต้องไปวิ่งผลัดด้วย”


            “แต่ว่าสภาพของเธอตอนนี้…”


            “ไม่เป็นอะไร จริงๆ นะ ฉันพักสักหน่อยก็หายแล้ว ทุกครั้งที่มีงานกีฬาก็มักจะมีอุบัตุเหตุเล็กๆ น้อยๆ ถ้าฉันไม่ไปก็ไม่ค่อยวางใจ”


            อี้เป่ยซีครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ฉันไปกับเธอเถอะ พอดีว่าวันนี้ก็ไม่มีอะไร ไปเป็นเพื่อนเธอได้ ตอนบ่ายจะได้ไปเชียร์เธอได้ไง”


            “โอเค”


            “ถ้ายังไงพวกเราไปนั่งพักตรงนั้นก่อนเถอะ”


            เยี่ยฉินไม่ขยับ ยิ้ม “อาการไม่ได้แย่ขนาดนั้น ฉันยังอยากกลับไปเอาเอกสารนิดหน่อย เธอไปกินข้าวเช้าก่อนเถอะ พวกเราค่อยไปเจอกันที่สนาม”


            อี้เป่ยซียังไม่ค่อยวางใจนัก ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่เยี่ยฉินตบๆ หลังมือของเธอ อี้เป่ยซีจึงพยักหน้า เดินไปยังโรงอาหารและหันมามองเป็นระยะๆ เธอกินข้าวเช้าอย่างเร่งรีบ แล้วพุ่งไปยังสนามแข่ง


            โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ในคณะวรรณกรรมรู้จักเธอ แต่เธอกลับรู้จักเพียงไม่กี่คน เธอมองดูแต่ละทีมในสนาม ต้องการจะมองหาว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหน ในที่สุดก็เห็นเธอที่มุมหนึ่งของโพเดียม


            อากาศปลายเดือนกันยายนเย็นลงแล้ว เยี่ยฉินสวมชุดออกกำลังกายบางเบากำลังก้มคุยอะไรบางอย่างกับอาจารย์ที่อยู่ข้างๆ เรือนร่างที่ผอมบางนั้นชวนให้อี้เป่ยซีคิดว่าเยี่ยฉินจะถูกลมพัดปลิวในวินาทีต่อมาหรือเปล่า ราวกับเยี่ยฉินรู้สึกได้ เธอก็มองมาทางอี้เป่ยซี ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร แต่วินาทีต่อมารอยยิ้มกลับแข็งทื่ออยู่บนใบหน้า


            เธอมองไปข้างหลังด้วยความสงสัย ‘ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่นา’ เยี่ยฉินโบกมืออยู่บนเวที เพื่อบอกเธอว่าไม่มีอะไร


            เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นก็ราวกับว่าไม่มีคนในสนามแล้ว อี้เป่ยซีตามหลังเยี่ยฉินตลอดเวลา หิ้วกระเป๋าของเธอ เอาน้ำให้ เดินไปดูทุกการแข่งขันในสนาม เยี่ยฉินพูดเล่นกับพวกเขาอย่างสนิทสนมและคุ้นเคย มุ่งเน้นไปที่สิ่งต่างๆ ที่ควรให้ความสนใจในการแข่งขัน สายตาที่ทุกคนมองเธอล้วนมีแต่ความชื่นชอบ


            “เยี่ยฉิน เธอไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ?” อี้เป่ยซีมองคนที่อยู่ตรงหน้า รีบเดินเข้าไปประคองเธอท่ามกลางลมที่พัดแรง


            “ไม่เป็นไรจริงๆ เป่ยซี ฉันดื่มน้ำร้อนนิดหน่อยก็หายแล้ว” อี้เป่ยซีเม้มปากยื่นน้ำให้เธอ แล้วหลบไปด้านข้างเพื่อรับสาย


            “เป่ยซี เธอไม่กลับมาเหรอ?”


            อี้เป่ยซีหันไปมองเยี่ยฉินที่ยืนเกาะราวอยู่ “ไม่กลับ เยี่ยฉินไม่สบายนิดหน่อย ฉันจะกลับไปค่ำหน่อย”


            “เธออยู่กับเยี่ยฉินเหรอ?”


            “ใช่ ทำไมเหรอ?”


            “เปล่า ฉันนึกว่า…”


            “นายนึกว่าอะไร”


            “อากาศเย็นแล้ว เธอใส่เสื้อเยอะๆ หน่อย อย่าทนหนาวล่ะ”


            “ฉันรู้แล้ว แค่นี้ก่อนนะ บายๆ”


            อี้เป่ยซีเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วเดินไปหาเยี่ยฉิน ผู้ชายคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มอบอุ่นเดินเข้ามาหาพวกเธอสองคน มีเสื้อโค้ทของผู้หญิงพาดอยู่บนแขน


            “เมื่อเช้าก็บอกคุณแล้วว่าอากาศเย็นลง ทำไมยังใส่เสื้อน้อยชิ้นแบบนั้นล่ะ” พูดพลางต้องการสวมเสื้อให้เยี่ยฉินด้วยความเป็นห่วง มือของเยี่ยฉินขยับต้องการจะหยุดเขา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรปล่อยตัวไปตามการกระทำของเขา


            “ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ?” เขายื่นมือช่วยจัดผมให้เยี่ยฉิน


            “ไม่เป็นอะไร วันนี้ที่บริษัทคุณยุ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีเวลามาได้”


            “งานที่บริษัทไม่สำคัญเท่าคุณหรอก ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ ตอนเที่ยงผมจะมารับคุณ”


            “โอเค” เยี่ยฉินมองต่ำแล้วพยักหน้า จนกระทั่งเขาจากไปแล้ว อี้เป่ยซีจึงเข้ามาอีกรอบ ในใจมีความรู้สึกที่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูก


            “ดูเหมือนเขาก็ดีกับเธอนะ”


        เยี่ยฉินยิ้มขมขื่น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าโลกหมุนคว้าง หมดสติไปท่ามกลางเสียงอุทานของอี้เป่ยซี


————


ตอนที่ 152

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 152 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (9)


         หลังจากที่ผู้ชายอ่อนโยนคนนั้นได้ยินเสียงตะโกนอันแหลมสูงของอี้เป่ยซีแล้ว รีบหันมาทันที เห็นเยี่ยฉินที่กึ่งล้มอยู่บนตัวเธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ลังเลอยู่นั้นก็มีคนหนึ่งพุ่งตัวเข้าไปจากด้านข้างเขา อุ้มเธอขึ้นมา


            “มู่ลี่ไป๋ มู่ลี่ไป๋ นายดูสิว่าเขาเป็นยังไงบ้าง หน้าซีดตั้งแต่เช้าแล้ว” อี้เป่ยซีวิ่งเหยาะตามเขาไปอย่างเป็นห่วง


            “หนวกหูชะมัด ไม่ใช่ต้องพาเขาไปโรงพยาบาลหรอกเหรอ?”


            “คุณครับ ขอโทษนะครับ นี่คุณอุ้มอยู่คือแฟนของผม” ผู้ชายคนนั้นจู่ๆ ก็ขวางทางมู่ลี่ไป๋เอาไว้ อี้เป่ยซีมองค้อนเขา ในใจวิเคราะห์เขาในทางที่ไม่ดีทันที


            คนก็เป็นลมไปแล้วยังจะต้องจุกจิกกับเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ พาคนส่งโรงพยาบาลเพื่อดูอาการน่าจะสำคัญกว่ามั้ง


            มู่ลี่ไป๋ไม่ได้พูดอะไร เดินหลบไปอีกทางเขาก็ขวางไว้อีก อี้เป่ยซีคว้าแขนเสื้อของเขาทันที ลากเขาไปอีกทาง “คุณนี่เป็นบ้าหรือเปล่า ตอนนี้มันใช่เวลามาเถียงเรื่องพวกนี้เหรอ?”


            “นี่เป็นเรื่องของพวกเรา คุณหนูใหญ่อี้ไม่จำเป็นต้องมาก้าวก่าย” ทั้งแววตาและน้ำเสียงที่เขาใช้กับอี้เป่ยซีล้วนมีความดูถูก


            เหมือนกับที่คนอื่นเขาพูดจริงๆ ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก ชอบบงการทำตัวเป็นใหญ่ เยี่ยฉินไปคลุกคลีกับคนพวกนี้ได้ยังไงกัน ไม่น่าล่ะช่วงนี้คุณลุงถึงกำชับเขา ให้ระวังคนข้างกายของเยี่ยฉิน


            อี้เป่ยซีเห็นความไม่พอใจในดวงตาของเขาก็รีบถอยออกไปทันที คิ้วขมวดกัน พอเหลือบไปเห็นพวกมู่ลี่ไป๋ที่กำลังจะลับสายตาไปตรงหัวมุมก็รีบตามไป ไม่สนใจผู้ชายที่ชวนหัวเสียตรงหน้า


        มู่ลี่ไป๋ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ชัดเจนอยู่ด้านหลัง หน้านิ่วคิ้วขมวด เอาคนใส่เข้าไปในรถแล้วออกรถไปทันที ทิ้งให้อี้เป่ยซีกระโดดโลดเต้นด้วยความโมโหอยู่ในกระจกมองหลัง


            “เอาล่ะ อย่าไปกวนพวกเขาเลย” ลั่วจื่อหานคว้ามือของอี้เป่ยซี พลางรับกระเป๋าสะพายหลังของเธอมา


            “ฉันก็แค่เป็นห่วงนิดหน่อย”


            “เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปเยี่ยมพวกเขา” ลั่วจื่อหานลูบๆ หน้าผากของเธอ “มือเย็นจังเลย กลับไปใส่เสื้อผ้าเพิ่มหน่อย”


            อี้เป่ยซีตามเขาไปอย่างเชื่อฟัง หันไปก็เจอผู้ชายที่ไม่รู้จักกาละเทศะคนนั้น


            เมื่อผู้ชายคนนั้นเห็นพวกเขาก็อึ้งไปเช่นกัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน เดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยความเคารพเป็นอย่างมาก “ประธานลั่ว คุณหนูอี้” น้ำเสียงไม่มีความนอบน้อมหรือเอาอกเอาใจเลย แต่กลับเป็นความคุ้นเคยที่อธิบายไม่ได้


            ขนคิ้วของลั่วจื่อหานขยับ พยักหน้าตอบ ดึงอี้เป่ยซีต้องการจะกลับไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะขวางทางไว้อีกครั้ง ลั่วจื่อหานกอดอี้เป่ยซีไว้ในอ้อมแขนตัวเอง มองไปยังผู้ชายคนนั้นด้วยแววตาไม่เป็นมิตร ราวกับกำลังบอกว่านายมีเรื่องอะไรกันแน่


            หลังจากเขาสัมผัสถึงแววตาข่มขู่ของลั่วจื่อหานแล้ว อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายก่อนเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ประธานลั่ว กระผมหานโฉว ไม่ทราบประธานลั่ว…” เขากวาดตามองอี้เป่ยซี “กับคุณหนูอี้จะเป็นเกียรติทานข้าวด้วยกันกับผมสักมื้อไหมครับ”


            “ไม่จำเป็น” ลั่วจื่อหานพูดเพียงสามคำ มองเขาเป็นนัยว่าให้เขาถอยไป แต่หานโฉวยังคงเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคนอย่างไม่กลัวตาย


            “หรือว่าประธานลั่วไม่สนใจโครงการของเจียงตงเหรอครับ” เขาเข้าประเด็น หวังว่าจะเสร็จทุกอย่างในประโยคเดียว ด้วยวิธีนี้เขาก็จะสามารถควบคุมทิศทางของการเจรจาได้ และจะไม่ถูกลั่วจื่อหานจูงจมูกเดิน เขาดูมีความสุขมากราวกับว่าได้เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ ถ้าเจรจาเรื่องเจียงตงได้สำเร็จล่ะก็ ปีนี้เขาก็จะได้เลื่อนตำแหน่งร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว


            ก่อนหน้านี้ไม่ยักรู้ว่าเยี่ยฉินรู้จักบุคคลที่ร้ายกายขนาดนี้ ลั่วจื่อหานเอ๋ย การได้ร่วมงานกับเขา นับว่าเป็นชัยชนะที่มั่นคงจริงๆ


            “ไม่สนใจ”


            เขามองผู้ชายตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ เห็นว่าดวงตาที่ดำขลับของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย ในใจกลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “หรือว่าประธานลั่วอยากเห็นคนอื่นเอาผลประโยชน์ไปทั้งหมดแบบนี้เหรอ?”


            อี้เป่ยศีได้ยินคำพูดของเขาแล้วรู้สึกไม่เข้าหูเล็กน้อย ซบๆ อยู่บนหน้าอกของลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหานก็เข้าใจความหมายในอิริยาบทของเธอ ก้มหน้าเล่นกับผมของเธอ “หึ ระดับแค่นี้คิดจะร่วมงานกับพวกเรา? พวกคุณคอยดูให้ดีเถอะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจียงตงบ้าง” ไม่สนใจหานโฉวที่ยืนอึ้งอยู่อีก ลั่วจื่อหานจูงมือของอี้เป่ยซีไปอีกทางเพื่อกลับไปยังอะพาร์ตเม้นต์


            “เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นน่าเกลียดชะมัดเลย”


            “ทำไมเหรอ?”


            “พูดเรื่องไร้สาระ ทำอะไรก็ไม่รู้จักกาละเทศะ พวกนักธรุกิจที่คิดจะประสบความสำเร็จเร็วๆ ด้วยวิธีง่ายๆ รู้สึกน่ารังเกียจนิดหน่อย”


            “ใช่” ลั่วจื่อหานพยักหน้าเห็นด้วย เปิดประตูอะพาร์ตเม้นต์ ห้องไม่ได้รับการปรับปรุงมากมาย เพียงแค่การจัดแจงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อเป็นการสะท้อนสิ่งเหล่านี้จึงปรับปรุงไปเพียงบางส่วน เพื่อเพิ่มความละเอียดอ่อนและมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น


            “ห้องของเธอยังอยู่ข้างบน” อี้เป่ยซีพยักหน้า เธอเดินขึ้นไปข้างบน กลิ่นหอมหวานลอยออกมาจากภายในภาชนะสีเงินบนโต๊ะ ทั้งห้องราวกับว่าอยู่ในสวนดอกไม้ ใต้ฝ่าเท้าก็ปกคลุมด้วยกลีบกุหลาบ ม่านถูกดึงจนแน่นตึง มันดูอบอุ่นและโรแมนติกเป็นพิเศษภายใต้แสงสลัว เธอหยุดอยู่หน้าประตูไม่กล้าเข้าไป กลัวว่าจะทำลายความรู้สึกสวยงามนี้


            “ทำไมไม่เข้าไปล่ะ?”


            “สวยเกินไปแล้ว”


            ลั่วจื่อหานจูบแก้มเธอเบาๆ แววตาลึกซึ้งราวกับว่าต้องการจะดูดคนที่อยู่ตรงหน้าเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น “ไม่สวยเท่าเธอหรอก”


            อี้เป่ยซีใจสั่น เขย่งเท้าจูบริมฝีปากของเขา มุมปากลั่วจื่อหานยกยิ้ม เอื้อมมือโอบเอวของเธอ เดินเข้ามาแล้วยึดเธอติดประตูเพื่อตัดเส้นทางการหลบหนี ปลายลิ้นกวาดทุกตารางนิ้วในปากของเธอ อุณหภูมิภายในห้องก็ค่อยๆ ร่อนเร่าขึ้น


        อี้เป่ยซีร่วงลงบนเตียงที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ เพลิดเพลินไปกับความสวยงามทุกตารางนิ้วที่คนบนตัวมอบให้เธอ ทันใดนั้นลั่วจื่อหานก็ผละออกจากร่างของเธอ เธอพ่น ‘หึ’ ออกมาสองคำอย่างอดไม่ได้ แววตาของเขายิ่งลึกซึ้งขึ้น


            “เป่ยซี” เขาจูบหูของเธอ “แต่งงานกับฉัน”


            “หา” สติของอี้เป่ยซียังไม่กลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ ปากอ้าออกเล็กน้อย ลั่วจื่อหานดูดความหวานในนั้นอย่างร้อนแรงอีกครั้ง “อือ นาย…ช้าหน่อย…”


            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าราวกับว่าร่างกายของตัวเองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้ง ลั่วจื่อหานช่วยเธอช่วยทำความสะอาดร่างกายอย่างระมัดระวัง กอดเธอไว้ในอ้อมแขน อี้เป่ยซีมองดูแหวนที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันบนมือ ในใจรู้สึกสับสน


            “ไม่ชอบเหรอ?”


            “ปะ เปล่า ก็แค่ ฉันลืมเตรียมให้นาย ให้นายสวมแหวนให้ฉันแบบนี้ มันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร” อี้เป่ยซีซบอยู่บนหน้าอกที่อบอุ่นของเขา หัวใจหวั่นไหว กัดเม็ดสีชมพูเล็กๆ สองอัน


            “ชิ เธอเป็นหมารึไง?”


            อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม มีไอน้ำปรากฏอยู่ในดวงตา งดงามเป็นอย่างมาก “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ฉันเป็นหมา” พูดพลางกัดหน้าอกของลั่วจื่อหานซ้ำแล้วซ้ำเล่า


            “เป่ยซี” น้ำเสียงของลั่วจื่อหานมีความข่มไว้เล็กน้อย พลิกตัวกดเธอไว้ใต้ร่างอีกครั้ง “ถ้าร้องไห้อีกคราวนี้จะไม่ปล่อยเธอละนะ”


        “อือ…”


————


ตอนที่ 153

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 153 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (10)


             ไม่ว่าอี้เป่ยซีจะร้องขอความเมตตาอย่างไร ลั่วจื่อหานก็ไม่ได้ปล่อยเธอไปง่ายๆ จนกระทั่งเสร็จกิจแล้ว อี้เป่ยซีก็เหนื่อยจนแม้แต่ตาก็ลืมไม่ขึ้น


            ลั่วจื่อหานกอดเธออีกครั้ง คุยกันเรื่องงานเขียนสักพัก อี้เป่ยซีก็ผล็อยหลับไปภายใต้เสียงอันไพเราะของเขาแล้ว ลั่วจื่อหานมองดูใบหน้าหลับใหลของเธอ จูบหน้าผากของเธอแล้วลุกลงจากเตียงไป


            หลังจากจัดเก็บห้องสักครู่และจัดการเรื่องงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้ว เขาก็กะเวลาเพื่อลงไปชั้นล่างและเริ่มทำกับข้าว


            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าตัวเองถูกความหิวปลุกให้ตื่น อีกทั้งยังฝันด้วยความงุนงง ฝันว่ามีน่องไก่ชิ้นใหญ่วางไว้ตรงหน้าตัวเองแต่กลับถูกลั่วจื่อหานแย่งไปแล้ว ไม่ว่าเธอจะอ้อนวอนอย่างไรเขาก็ไม่ให้เธอ


            เรื่องมันเลวร้ายจนปลุกให้อี้เป่ยซีตื่นจากความโมโห เธอลืมตา บนตัวยังมีความเหนื่อยล้าที่อธิบายไม่ถูก มองไปรอบทิศ กลิ่นหอมที่ลอยมาจากชั้นล่างนั้นปลุกความหิวโหยที่แอบแฝงไว้ เธอพันตัวด้วยผ้าปูเตียง เปิดตู้เสื้อผ้าออกด้วยความรู้สึกโชคดี ครึ่งหนึ่งเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิง อีกครึ่งหนึ่งเป็นเสื้อผ้าของผู้ชาย ดวงตาเธอร้อนผ่าวเล็กน้อย เธอเลือกสวมใส่เสื้อคอเต่า ขนาดและสไตล์เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ


            “ตื่นแล้วเหรอ” ลั่วจื่อหานยกกับข้าวจานสุดท้ายออกมาจากห้องครัว มองอี้เป่ยซีที่ลงมาชั้นล่าง เธอนั่งลงด้วยรู้สึกที่ยังโมโหเล็กน้อย หยิบตะเกียบแล้วกินทันที อาหารร้อนลวกในปากของเธอโดยตรง อี้เป่ยซีรีบบ้วนมันออกมา


            “ทำไมถึงเหมือนเด็กๆ เลย” ลั่วจื่อหานวางน้ำแก้วหนึ่งข้างๆ เธอ “ไม่เป็นไรนะ”


            อี้เป่ยซีส่ายหัว คิดอยู่ในใจว่าต้องโทษนายนั่นแหละ


            “อืม เพราะอาหารฉันไม่ดีเอง” ลั่วจื่อหานไม่ได้นั่งตรงข้ามเธออีก แต่ลากเก้าอี้ข้างๆ แล้วนั่งลงข้างเธอโดยตรง ตักอาหารใส่ถ้วยของเธอ “เป็นการชดเชยเธอ”


            อี้เป่ยซีดื่มน้ำไปอึกใหญ่ หรี่ตา อารมณ์ดีขึ้นในทันใด เริ่มกินอย่างมีความสุข


            “ลั่วจื่อหานนายทำกับข้าวอร่อยจริงๆ”


            “ตอนนี้น่าจะแก้คำพูดแล้วหรือเปล่า”


            เธออึ้งไปครู่หนึ่ง มือถูอยู่ที่แหวนบนนิ้ว “คุณอาลั่ว ทำกับข้าวที่คุณอาทำอร่อยจริงๆ ค่ะ”


            “หลานสาวตัวน้อย ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ นะ”


            อี้เป่ยซีมองค้อน แล้วต่อสู้กับอาหารที่อยู่ด้านหน้าต่อ หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จแล้ว ก็เข้าครัวและเริ่มเก็บข้าวของด้วยกัน อี้เป่ยซีเช็ดถ้วยอยู่ด้านข้าง “ลั่วจื่อหาน ฉันอยากไปเยี่ยมเยี่ยฉิน”


            “ได้สิ เดี๋ยวจะพาเธอไป”


            “จริงเหรอ ดีจังเลย”


            ลั่วจื่อหานยื่นจานใบสุดท้ายให้เธอ ถอนหายใจ “ฉันเคยโกหกเธอเมื่อไรกัน?”


            อี้เป่ยซีโอบเอวของลั่วจื่อหานโดยไม่สนใจมือของตัวเองที่เปียกน้ำ “เปล่า เปล่า เอ๊ะ ช่วงนี้คุณอาลั่วสมบูรณ์จังเลยนะ”


            “ก็เพราะว่าหลานสาวเลี้ยงดี” คำพูดที่มีนัยยะแอบแฝงทำให้อี้เป่ยซีหน้าแดง มือของเธอแข็งทื่อไปครู่หนึ่งแล้วลดลงช้าๆ เช็ดน้ำบนเสื้อของเขาเป็นการแก้แค้น แล้วก็วิ่งออกไปเหมือนเด็กซนที่เล่นพิเรนทร์ หลังจากลั่วจื่อหานเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ล้างมือ


            เขานั่งอยู่ข้างอี้เป่ยซี กอดเธอไว้ในอ้อมแขน “หลานสาวซนอีกแล้ว”


            อี้เป่ยซียิ้มให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ “คุณอาลั่วรักฉันที่สุดเลย”


            ลั่วจื่อหานโน้มตัวลงพูดข้างหูของเธอ “เธอเพิ่งรู้เหรอว่าคุณอาลั่วรักเธอ”


            “ลั่วจื่อหาน ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่รู้ว่านาย…หน้าไม่อายแบบนี้”


            “รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อ แล้วพวกเราค่อยออกไป?”


            อี้เป่ยซีซุกอยู่ในอ้อมอกของเขาพร้อมพยักหน้า แต่ไม่มีความต้องการจะลุกขึ้นเลย ลั่วจื่อหานยิ้ม “หรือว่าหลานสาวยังอยากทำอะไรอีกรอบ?”


            เธอเด้งตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขาทันใด “เปล่า เปล่า นายไปเถอะ รีบไปเถอะ ฉัน ฉันรอนายตรงนี้แหละ”


            ลำคอของลั่วจื่อหานขยับเขยื้อนและบ่นพึมพำ อี้เป่ยซีนั่งดูโทรทัศน์อย่างขาดความสนใจ จนกระทั่งลั่วจื่อหานลงมาจากชั้นบน เขาเปลี่ยนการแต่งตัวเหมือนตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบสีขาว ในความเป็นผู้ใหญ่นี้ยังแฝงด้วยความอ่อนเยาว์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา มีกลิ่นหอมของแสงแดดและกลิ่นสดชื่นจากใบหญ้า


            “ว้าว”


            “ชอบไหม?”


            “อืม คิดไม่ถึงว่าคุณอาจะหนุ่มขนาดนี้” ลั่วจื่อหานหัวเราะ พอใจกับปฏิริยาของเธอมาก ลากมือของเธอแล้วเดินไปยังลานจอดรถ ระหว่างทาง อี้เป่ยซีมองเขา อาลัยอาวรณ์ที่จะจากไป


            “เป่ยซี”


            เธอหันไปมองเขาด้วยความสดใส ดวงดาวเล็กส่องประกายในดวงตาของเธอ “หา มีอะไร เรียกฉันทำไม?”


            เขาขยับริมฝีปาก แล้วเปลี่ยนหัวข้อ “ไม่มีอะไร”


            เมื่อมาถึงห้องคนไข้ อี้เป่ยซีมองเห็นภายในห้องวีไอพีที่ว่างเปล่าจากช่องประตู มีเพียงมู่ลี่ไป๋นั่งอยู่ข้างเตียงเพียงลำพัง กำลังเช็ดใบหน้าให้กับหญิงสาวที่อยู่บนเตียง แม้จะมองไม่เป็นสีหน้าของเธอ แต่ว่าจากการกระทำที่อ่อนโยนนั้นก็มองออกว่าเขาทะนุถนอมเธอมากแค่ไหน


            มู่ลี่ไป๋กระทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ กลัวจะปลุกให้เธอตื่น แต่ก็อยากเห็นดวงตาที่สดใสของเธอ แต่ก็กลัวจะเห็นแววตาที่เย็นชาของเธอ


            เยี่ยฉิน พวกเราผิดพลาที่ตรงไหนกันแน่ ถึงทำให้คุณกับผมขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิง


            เมื่อเขาสังเกตเห็นว่ามือของเยี่ยฉินขยับ ตัวก็แข็งทื่อ แต่เมื่อไม่มีสัญญาณว่าเธอจะตื่นจึงกระทำการเคลื่อนไหวของตัวเองต่อไป เม้มปากแน่น ราวกับว่ากำลังข่มอะไรบางอย่างไว้


            อี้เป่ยซีถอนกลับมาอยู่ข้างๆ ลั่วจื่อหานอีกครั้ง มองเขาด้วยแววตาเจ็บปวดเล็กน้อย ลั่วจื่อหานไม่พูดจา กอดเธอไว้ในอ้อมแขน ปลอบโยนเธอเงียบๆ


            จนกระทั่งนางพยาบาลมาเรียกให้มู่ลี่ไป๋ไปทำการผ่าตัดแล้ว เขาจึงค่อยๆ จากไปอย่างเสียมิได้ คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา


            เมื่อครู่เธอกำลังฝันงั้นเหรอ ความรู้สึกในฝันนั้นช่างดีเหลือเกิน นานแค่ไหนแล้วนะที่ฝันเห็นเขาแล้วไม่ร้องไห้


            มู่ลี่ไป๋ ความอ่อนโยนครั้งสุดท้ายเป็นการบอกฉันว่าพวกเราจะต้องจบกันและฉันจะต้องเลิกคิดถึงคุณงั้นเหรอ มันเป็นการบอกเธอว่า เธอเป็นเพียงคนไข้ธรรมดาคนหนึ่งของมู่ลี่ไป๋ก็เท่านั้น


            เยี่ยฉินยังไม่ทันจะเสียใจอะไรมากอีก อี้เป่ยซีก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา “เยี่ยฉิน เธอไม่เป็นไรนะ”


            ใบหน้าของเธอยังคงไร้สีเลือดใดๆ “ฉันไม่เป็นไร ทำให้เธอเป็นห่วงแล้วเป่ยซี”


            “ครั้งนี้เธอควรจะขอบคุณมู่ลี่ไป๋เขา เขาเป็นคนพาเธอมา”


            “มันคือจรรยาบรรณของหมอ ฉันจะต้องขอบคุณพวกเขาอยู่แล้ว”


            อี้เป่ยซีครุ่นคิด “เยี่ยเฉิน เธอรู้ว่าเป็นมู่ไป๋เหรอ?”


            เยี่ยฉินยิ้มเจื่อน พยักหน้า อี้เป่ยซีพูดต่อ “ตอนที่มู่ไป๋เข้าชมรม ฉันบังคับให้สือนั่วประเมินเขานิดหน่อย จะได้ทำให้มันถูกต้องและมีเหตุผล ส่วนมู่ลี่ไป๋ก็ยินดียอมรับ ฉันจำได้ว่ามีผู้หญิงที่ชมรมถามว่าทำไมเขาต้องร้องเพลงนึงให้พวกเราตอนที่เข้าร่วมชมรมด้วย”


            ‘เธอยังคงได้ยินเพลงของฉันสินะ ตอนนี้เธอจะอยู่ที่ไหนกัน เธอไม่เคยคิดถึงสถานะของฉันสินะ ถ้าเธอไม่เข้าใจความเจ็บปวดของฉัน ก็อย่าจากไปไหน อย่าจากไปไหนเลย’


        “เยี่ยฉิน ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอหรือเปล่า แต่ว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวจริงๆ มันทำให้ทุกคนประทับใจมาก”


————


ตอนที่ 154

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 154 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (11)


             เยี่ยฉินหัวเราะแห้งๆ สองสามที เขาต่างหากที่ไม่เคยให้สถานะอะไรกับเธอเลย เธอได้มอบทุกอย่างให้แก่เขาแล้วไม่ใช่เหรอ เธอได้ทำสุดกำลังของเธอแล้วแต่ว่าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะพาเธอไป เพราะเธอไม่มีความสามารถอะไรที่คู่ควรจะไปกับเขา


            “เป่ยซี ช่วยรินน้ำให้ฉันสักแก้วได้ไหม”


            อี้เป่ยซีพยักหน้า เธออยู่กับเยี่ยฉินสักพักก็ขอตัวแล้ว เมื่อเธอออกมาก็เห็นลั่วจื่อหานนั่งอยู่บนเก้าอี้ตามลำพัง กำแพงสีขาวที่ด้านหลังกลายเป็นพื้นหลังที่ทำให้เขาดูเด่นขึ้น เขากำลังดูโทรศัพท์มือถืออย่างจริงจัง นิ้วที่เรียวยาวปัดหน้าจอ คิ้วขมวดกันเป็นครั้งคราวไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อี้เป่ยซีเดินไปข้างหน้า สองมือกอดแขนของเขาไว้


            ลั่วจื่อหานละสายตาออกจากโทรศัพท์มือถือ จิ้มๆ ศีรษะของเธอ “เป็นอะไรไป?”


            “รู้สึกว่าเกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวก็จะพลาดนายไปแล้ว”


            “อืม ใช่ งั้นเธอก็ต้องรักษาไว้ให้ดีนะ”


            “นายก็เหมือนกันนะ ลั่วจื่อหาน นายแต่งกับฉันดีไหม ไม่ก็ฉันแต่งกับนายก็ได้”


            มือของลั่วจื่อหานออกแรงจิ้มไปที่หน้าผากของเธอ อี้เป่ยซีขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด มองเขาอย่างน้อยใจ “ทำอะไรน่ะเจ็บนะ”


            “งั้นฉันจะเป่าให้เธอ”


            “อืม ต้องเป่านะ”


            สองวันต่อมา วันเกิดของอี้เป่ยเฉินไม่ได้ถูกจัดอย่างใหญ่โต เพียงแค่จองห้องส่วนตัวในโรงแรมไว้ และเชิญคนในสาขาไม่กี่คนมาพบปะกัน อี้เป่ยซีก็รู้สึกสบายใจ หลังจากเลิกเรียนแล้วก็นั่งรถของลั่วจื่อหานมาถึงโรงแรมที่พวกเขาบอก


            จนกระทั่งเมื่อเธอมาถึง คนที่ควรมาก็มาครบหมดแล้ว อี้เป่ยซีดึงตัวลั่วจื่อหาน คนหนึ่งสง่าผ่าเผย อีกคนท่าทางเหมือนหัวขโมย เดินห่อตัวไม่กล้ามองอี้เป่ยเฉิน


            เมื่อแขกเหรื่อเห็นว่าลั่วจื่อหานปรากฏตัวในงานปาร์ตี้ที่ค่อนข้างส่วนตัว ก็ต่างคาดเดากันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคนนั้น ตอกย้ำการคาดคะเนของตัวเอง


            ลือกันว่าคุณหนูของบ้านอี้คบหาดูใจกับลั่วจื่อหาน ดูท่าทางของสองคนนี้แล้วสงสัยว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ ใครจะรู้ว่าประธานลั่วลั่วจื่อหานที่ไม่มีความสนใจในผู้หญิง สุดท้ายก็ยังโดนเด็กสาวคนนั้นจากบ้านอี้รวบตัวไป ในใจอดไม่ได้ที่จะเสียดายจริงๆ


            และก็มีคนคิดว่าที่แท้ก็ชอบผู้หญิงประเภทนี้นี่เอง รู้งี้ทำตัวแบบนี้ตั้งแต่แรก เผื่อจะได้อะไรจากตัวประธานลั่วบ้าง


            อี้เป่ยซีกวาดตามองผู้คนที่อยู่ในห้อง อี้เป่ยเฉินเห็นว่าลั่วจื่อหานมาแล้ว แม้จะเป็นไปตามความคาดหมาย แต่ว่าในใจยังรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังออกไปต้อนรับ บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มที่สง่างามดังเช่นปกติ


            “ประธานลั่ว”


            “ประธานอี้”


            ความคุ้นเคยระหว่างคนทั้งสองทำให้คนที่นั่งอยู่งุนงงเล็กน้อย พวกเขาล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถในความคิดของคนเมือง A


            อี้เป่ยซีกระชากแขนเสื้อของลั่วจื่อหานฉับพลัน การแข่งขันในความมืดระหว่างทั้งสองคนจึงสิ้นสุดลง ลั่วจื่อหานส่งยิ้มวางใจให้กับอี้เป่ยซี นั่งลงข้างๆ อี้เป่ยซีอย่างว่าง่าย


            ตรงกลางมีเพื่อนของอี้เป่ยเฉินนั่งอยู่มากมาย ระหว่างที่กำลังสังสรรค์กันอยู่นั้น อี้เป่ยซีก็ดื่มไวน์ไปหลายแก้ว พิงอยู่บนตัวคุณแม่อี้ด้วยความมึนเมาเล็กน้อย มองดูลั่วจื่อหานกับอี้เป่ยเฉินที่คุยโต้ตอบกันไปมา ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะโง่ๆ ออกมาสองสามที


            สองคนนี้คือผู้ชายที่ฉันชอบมากที่สุด เธอดูสิ ว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีแค่ไหน


            “เป่ยซี” คุณแม่อี้เรียกชื่อเธอข้างหูแผ่วเบา อี้เป่ยซีขานรับด้วยความมึนงงเล็กน้อย “ดื่มชาสักหน่อยเถอะ”


            “อืมๆ ดื่มชา ดื่มชา” เธอจิบชาที่คุณแม่อี้ส่งมาอย่างเชื่อฟัง และยังเลียริมฝีปากราวกับว่าอยากดื่มต่อ การกระทำเล็กๆ พวกนี้ไม่รอดพ้นสายตาของลั่วจื่อหาน เขาเพียงรู้สึกเหมือนมีเสียงระเบิดดังปัง ดื่มเหล้าในแก้วรวดเดียวหมด แม้จะเติมน้ำแข็งลงไปแล้ว ลั่วจื่อหานก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถผ่อนคลายความเร่าร้อนในร่างกายของตัวเองได้


            อี้เป่ยซีไม่รู้เรื่องเลย ฟุบลงบนโต๊ะอย่างว่าง่าย หลังจากดื่มไปหลายรอบ ผู้คนก็ทยอยกลับแล้ว ลั่วจื่อหานกล่าวขอตัวแล้วก็เดินออกไป อี้เป่ยเฉินตามหลังเขาไป เมื่อเห็นทั้งสองคนออกไป อี้เป่ยซีลุกขึ้นตัวโซเซต้องการจะออกไปด้วย


            “เป่ยซี” คุณแม่อี้ดึงเธออย่างเป็นห่วง อี้เป่ยซีตบๆ หลังมือของแม่ตัวเอง “หนูแค่ไปห้องน้ำค่ะ ไม่มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ”


            เธอเดินตุปั๊ดตุเป๋ สติยังคงไม่ครบถ้วน ประคองกำแพงเดินไปยังห้องน้ำ แต่มือกลับถูกคนคว้าเอาไว้ เธอหรี่ตา ต้องการมองให้ชัดเจนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือใคร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถโฟกัสได้


            “เธอเป็นใครน่ะ?”


            “เป่ยซี ฉันเอง” เสียงนั้นคุ้นเคยจนราวกับว่ามีน้ำเย็นสาดใส่อี้เป่ยซี เธอสะบัดหัวและสายตาก็เริ่มชัดเจนขึ้น เธอจึงเห็นคนนั้นที่พูดและคว้ามือของเธออย่างชัดเจน


            “ฉินรั่วเข่อ เธอหาฉันมีอะไร”


            อี้เป่ยซีมั่นใจเป็นอย่างมาก เธอไม่มีความรู้สึกอื่นใดกับอี้เป่ยเฉินแล้ว แต่ว่าเธอก็ต้องยอมรับว่าตอนที่เธอเห็นอี้เป่ยเฉินกับฉินรั่วเข่อทำเรื่องแบบนั้นอยู่ในห้องของตัวเอง เธอรู้สึกทั้งขยะแขยงและเสียใจ จากนั้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีกับเธออีก รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นหลังนั้น ทำให้ยิ่งไม่ชอบสองพี่น้องมากขึ้นไปอีก


            จู่ๆ ดวงตาของฉินรั่วเข่อแดงก่ำ น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่น อีกทั้งยังร่วงอยู่บนแขนของอี้เป่ยซีสองสามเม็ด เธอสะบัดมือออกอย่างหมดความอดทน “คุยกันดีๆ ไม่ได้หรือไง ตอนนี้มาร้องไห้อะไรอีก?”


            “เป่ยซี เธอสงสารฉันหน่อยได้ไหม ยกอี้เป่ยเฉินให้ฉันได้หรือเปล่า ตอนนี้ฉันจากเขาไปไม่ได้แล้วจริงๆ”


            อี้เป่ยซีนวดคลึงหู ทำเป็นว่าไม่ใส่ใจ “ถ้าเธอชอบพี่ชายฉันก็มาแย่งเองสิ ตอนนี้ฉันไม่มีความหมายอะไรกับเขาแล้ว แต่ถ้าชอบใครสักคนจะลองดูสักตั้งก็ได้ แต่ว่าอย่าใช้วิธีอะไรที่มันสกปรก พี่ฉันเกลียดอะไรแบบนั้นที่สุดเลย”


            “แต่ว่า แต่ว่า ฉันเทียบกับเธอไม่ได้ แล้วก็เทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่บ้านอื่นไม่ได้ด้วย เธอเป็นคนที่มีพลัง หน้าตาก็สวย แถมยังมากความสามารถ แต่ฉันกลับเทียบไม่ติดเลย”


            “นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เธอชอบพี่ชายฉัน”


            “เป่ยซี” ฉินรั่วเข่อคว้าแขนของอี้เป่ยซี “เธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม ฉัน ฉัน ตอนนี้ มีเลือดเนื้อของเป่ยเฉินแล้ว ฉันกลัว ฉันกลัว ถ้าเขาไม่ชอบฉันล่ะก็…แต่ว่าเด็กเขาบริสุทธิ์นะ”


            จู่ๆ อี้เป่ยซีก็รู้สึกมือเท้าเย็น เธอมองฉินรั่วเข่อด้วยสายตาเย็นชา ‘ไม่สนใจเรื่องพวกนี้จริงเหรอ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบ ก็จะเต็มใจมีลูกให้เขางั้นเหรอ?’


            “นี่เป็นเรื่องระหว่างเธอกับพี่ชาย ฉันเข้าไปยุ่งไม่ได้ ขอโทษที”


            “เป่ยซี เป่ยซี เธอจะต้องช่วยฉันนะ เป่ยซี” เพราะว่าฉินรั่วเข่อตื่นเต้นมากเกินไปจึงผลักอี้เป่ยซีเข้ากับกำแพงเสียงดังปัง อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะย่อตัวลง


            “เป่ยซี เธอ เธอไม่เป็นไรนะ” น้ำตายังคงร่วงไม่หยุด เธอร้องไห้จนอี้เป่ยซีรำคาญ ตะคอกเธอไปคำหนึ่ง เธอจึงปิดปากสะอึกสะอื้น ย่อตัวลงข้างเธอ


            “เป่ยซี ขอร้องล่ะ”


            “ฉันเคยบอกเธอแล้ว…” ไม่รู้ว่าเธอได้ยินเสียงอะไร ก็หายตัวเข้าไปในห้องน้ำแล้วในพริบตา อี้เป่ยซีลูบแผลบนหน้าผากของตัวเองอย่างหงุดหงิด


        บ้าจริง รู้งี้ก็ไม่ออกมาแล้ว


————


ตอนที่ 155

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 155 ด้านของพ่อแม่ (1)


           “เป่ยซี” ไม่รู้ว่าลั่วจื่อหานพุ่งมาหาเธอตั้งแต่เมื่อไร ขมวดคิ้วถามเธอ “เป็นอะไรไป?”


            อี้เป่ยซีส่ายหัว “ลั่วจื่อหานทำไมนายถึงแอบเข้าห้องน้ำผู้หญิง”


            ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมา “เธอเป็นอะไรไป?”


            เมื่อถึงหน้าประตู อี้เป่ยซีเห็นอี้เป่ยเฉินที่ร้อนรนพอๆ กัน นึกถึงคำพูดที่ฉินรั่วเข่อพูดกับเธอแล้วก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับพี่ชายของตัวเอง แต่ก็เปลี่ยนใจ


            ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา เธออย่าเข้าไปเกี่ยวข้องจะดีกว่า เธอก็ไม่ชอบฉินรั่วเข่อด้วย


            ไม่สน ไม่สน


            “เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินมองเธออย่างเป็นกังวล อี้เป่ยซีหาว


            “พี่ไม่ต้องเป็นห่วงน่า เมื่อกี้ฉันก็แค่เดินเซ ไม่ระวังชนกับกำแพงเข้า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”


            “ไม่มีอะไรก็ดี”


            “ซุ่มซ่ามชะมัด” อี้เป่ยซีถูกเสียงไม่พอใจที่ดังอยู่เหนือศีรษะดึงดูดความสนใจ มองค้อนลั่วจื่อหานด้วยความโมโหเล็กน้อย


            ซุ่มซ่ามอะไรกัน เธอเรียกว่าอารมณ์วัยรุ่นต่างหาก


            “คุณลั่ว ได้โปรดระวังคำพูดของคุณหน่อยได้หรือเปล่า พูดจาให้มันดีๆ ได้ไหม” อี้เป่ยซีเบะปาก แต่ก็ยังปล่อยให้เขาอุ้มอย่างว่าง่าย


            “ฉันจะพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาล ไปก่อนล่ะ”


            “ไม่ ไม่ไปโรงพยาบาล”


            อี้เป่ยเฉินมองดูใบหน้าน้อยๆ ที่ยับย่นเข้าด้วยกัน หลุดขำ “โอเค แบบนี้ก็ดี”


            เพิ่งจะพูดจบ ลั่วจื่อหานก็อุ้มอี้เป่ยซีแล้วก้าวยาวๆ ออกไปจากโรงแรม เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร อารมณ์เกี่ยงงอนของอี้เป่ยซีก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เธอซบๆ หน้าอกของลั่วจื่อหาน “ลั่วจื่อหาน พวกเราไม่โรงพยาบาลได้ไหม?”


            “ไปตรวจสักหน่อย เธอกลัวอะไร”


            “ฉันก็แค่ ไม่ชอบโรงพยาบาล นายดูสิตอนกลางคืนสวยแบบนี้ ถ้าอยู่โรงพยาบาลก็สูญเปล่าสิ น่าเสียดายแย่เลย วิวสวยผู้หญิงสวย นายจะต้องรักษามันไว้ให้ดีนะ”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะ ก้มหน้าลงจูบริมฝีปากของเธอ จนกระทั่งอี้เป่ยซีหายใจลำบากจึงปล่อยเธอ “ไปโรงพยาบาลก่อนค่อยมาต่อ” พูดถึงตรงนี้ก็สตาร์ทรถแล้ว


            “นายๆๆ ไร้ศีลธรรม ทำไมฉันถึงชอบคนอย่างนายนะ ไม่เข้าใจความรู้สึกฉันเลยสักนิด”


            ลั่วจื่อหานไม่ได้ตอบอะไร รถสปอร์ตสีดำแล่นไปอย่างรวดเร็วในยามค่ำคืน หลังจากตรวจร่างกายแล้วพบว่าไม่เป็นอะไร ลั่วจือหานจึงวางใจ แต่อี้เป่ยซีกลับไม่พอใจเล็กน้อย


            เธอจิ้มแขนของลั่วจื่อหานที่โผล่ออกมาด้านนอก “ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร ยังจะพาฉันมาที่โรงพยาบาลอีก”


            “แบบนี้ฉันจะได้สบายใจ”


            “แต่ว่าฉันไม่สบายใจ แบบง้อยังไงก็ไม่หาย” พูดจบก็ปล่อยแขนของเขาแล้วออกจากโรงพยาบาล ลั่วจื่อหานถอนหายใจ เดินตามไป


            เขาคว้ามือของอี้เป่ยซี ถูกสะบัดออก แล้วคว้าไว้อีก แล้วถูกสะบัดอีก เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง อี้เป่ยซี


มองเขาอย่างหมดความอดทนเล็กน้อย “สนุกมากไหม?”


            ลั่วจื่อหานพยักหน้า กอดเธอไว้ “เป่ยซี ไม่เป็นไร ที่จริงโรงพยาบาลไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิด มีคนจากไปก็มีคนเข้ามา มันก็เป็นแค่จุดเปลี่ยนถ่าย ใช่ว่ามาโรงพยาบาลแล้วจะต้องจากไป แล้วก็ใช่เพราะว่ามาโรงพยาบาลแล้วจะต้องเจ็บป่วย”


            อี้เป่ยซีสูดจมูกฟึดฟัด “ฉันรู้แล้วน่า แต่ว่าฉันก็แค่…ฮัดเช้ย…”


            เขารีบถอดเสื้อผ้าเพื่อห่มให้อี้เป่ยซี กุมมือน้อยๆ ของเธอในมือที่ใหญ่โตของเขา “ยังหนาวอยู่ไหม?”


            “ไม่หนาวแล้ว” เพียงชั่วครู่อี้เป่ยซีก็ตัดสินใจว่าจะเดินกลับบ้านด้วยกัน ลั่วจื่อหานเพียงแค่พยักหน้าอย่างเอ็นดู จูงมือน้อยๆ ของเธอเดินอยู่ในสายลมที่โชยอ่อน เงาของทั้งสองคนเกาะติดกันเหนียวแน่นภายใต้แสงไฟของถนน


            เมื่อมาถึงอะพาร์ตเม้นต์ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว อี้เป่ยซีอาบน้ำเสร็จแล้วล้มลงบนเตียง ต้องการจะนอน เธอหลับตา ในสมองว่างเปล่า ในขณะที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรานั้น ก็มีอะไรบางอย่างอุ่นๆ หยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเธอตลอดเวลา เธอกัดมันตามจิตใต้สำนึก สิ่งนั้นก็กัดเธอตอบ


            “อือ…ลั่ว…” จนกระทั่งจิตสำนึกที่ล่องลอยอย่างอิสระค่อยๆ คืนกลับมา ทั้งสองคนก็เผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้าแล้ว


            ลั่วจื่อหานไม่ได้เร่งการเคลื่อนไหว แต่ชื่นชมรูปร่างของอี้เป่ยซีภายใต้แสงไฟ ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเต็มไปด้วยละอองน้ำ เพราะว่าเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น ดวงตาจึงดูพร่าเลือนอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากแดงอ้าออกเล็กน้อยเหมือนเป็นคำเชื้อเชิญเงียบๆ


            ลำคอของลั่วจื่อหานขยับ “เป่ยซี เธอสวยมากเลย”


            “อืม…ลั่วจื่อหาน” อี้เป่ยซีรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือเขา ในใจก็สั่นสะท้านตามไปด้วย


            “หืม?”


            ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วก็ยังแสร้งถาม


            “อยากได้ไหม?” มือข้างนั้นของเขาแทบจะทำให้อี้เป่ยซีเสียสติไปแล้ว เธอตัวสั่นและพยักหน้า “ช่วยฉันหน่อย”


            “หึหึ นายนี่ร้ายจริงๆ” เสียงของเด็กสาวชัดเจนเป็นพิเศษภายในห้องที่เงียบสงัด ไฟในดวงตาของลั่วจื่อหานยิ่งลุกโชนและเร่งการเคลื่อนไหวของตัวเอง “อืม ช่วยฉัน ช่วยฉัน”


            เขายิ้มชั่วร้าย คลุ้มคลั่งตลอดคืน


            อี้เป่ยซีพลาดคาบเรียนที่สองในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกเกียจคร้านและไม่อยากไปคาบเรียนแรกของช่วงบ่าย เตะคนข้างๆ ด้วยความโมโหเล็กน้อย ลั่วจื่อหานคว้าข้อเท้าของเธอด้วยความแม่นยำ จากนั้นอี้เป่ยซีก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่อ่อนนุ่มและเปียกชื้นไต่อยู่บนหลังเท้าของตัวเอง


            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน”


            ลั่วจื่อหานช่วยห่มผ้าให้เธอด้วยความพึงพอใจ จูบดวงตาของเธอ “นอนต่ออีกหน่อยเถอะ ฉันจะไปทำอาหารเช้าให้เธอกิน”


            อี้เป่ยซีห่อตัวอยู่ในผ้าห่มพร้อมพยักหน้า หลับตาลงอีกครั้ง


            วันชาติจีน อี้เป่ยซีพาลั่วจื่อหานไปเจอคุณแม่อี้ด้วยความเคอะเขิน แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยพอใจผลลัพธ์ของทุกวันนี้ แต่ว่าเมื่อเห็นท่าทางที่ลั่วจื่อหานปฏิบัติต่ออี้เป่ยซีแล้ว ก็เห็นด้วยความความรักของพวกเขาทั้งสองคนอยู่บ้าง คุณแม่อี้เรียกลั่วจื่อหานไปคุยในห้องหนังสืออยู่นานสองนาน อี้เป่ยซีที่รออยู่ชั้นล่างกุมมือกันด้วยความตื่นเต้นตลอดเวลา


            “เสี่ยวซี เธอไม่ต้องเป็นห่วง” อี้เป่ยซีชงชาผู่เอ๋อ ส่งให้อี้เป่ยซีหนึ่งแก้ว เธอดื่มไปคำหนึ่ง ยังคงมองชั้นบนด้วยความกังวลเล็กน้อย


            “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคนที่มาเจอผู้ใหญ่เป็นฉันเลย”


            “เธอ ไปเจอผู้ใหญ่บ้านลั่วจื่อหานแล้วเหรอ?”


            อี้เป่ยซีสูดหายใจลึก “ยังเลย พี่ พี่ว่าทำไงดีล่ะ” อี้เป่ยซีหน้าบูดบึ้ง ราวกับว่าเกิดเรื่องใหญ่ราวกับฟ้าจะถล่มลงมา


            อี้เป่ยเฉินตบๆ ไหล่ของเธอเป็นการปลอบใจ “ไม่มีอะไรหรอก เป่ยซีของพวกเราน่ารักขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็ชอบทั้งนั้นแหละ เธอไม่ต้องเป็นห่วง”


            “เพราะว่าพวกพี่ชอบฉันก็เลยรู้สึกว่าฉันน่ารักล่ะมั้ง”


            “เพราะว่าเสี่ยวซีน่ารักถึงได้ชอบต่างหาก เธออย่าเพิ่งคิดอะไรไร้สาระเลย…” เขายังไม่ทันพูดจบ อี้เป่ยซีก็วิ่งขึ้นชั้นบนไป อี้เป่ยเฉินมองดูร่างสีขาวนั้น แววตามืดมนลงอย่างช่วยไม่ได้


            “แม่คะ” อี้เป่ยซียิ้มให้คุณแม่อี้ จูงมือของลั่วจื่อหาน


            “ทำไม ลูกยังไม่ได้แต่งกับเขาสักหน่อย ก็เริ่มปกป้องเขาไม่ต้องการแม่คนนี้แล้วเหรอ”


            อี้เป่ยซีหน้าแดง “แม่คะ แม่พูดอะไรน่ะ”


        แต่ลั่วจื่อหานโอบอี้เป่ยซีอย่างใจเย็นมาก พูดอยู่ข้างหูเธอ “ไม่ต้องเป็นห่วง”


————


ตอนที่ 156

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 156 ด้านของพ่อแม่ (2)


             ว่ากันว่าความเจ็บป่วยนั้นมารวดเร็วปานภูผาถล่ม แต่กว่าจะหายไปนั้นเชื่องช้าราวกับหนอนที่คืบคลาน วันหยุดช่วงวันชาติสิ้นสุดลงแล้ว อี้เป่ยซีก็ยังไม่เห็นเยี่ยฉินกลับมาที่มหาวิทยาลัยอีก ‘คงไม่ได้มีเรื่องกับมู่ลี่ไป๋หรอกนะ’


            อี้เป่ยซีหาเบอร์ติดต่อของเยี่ยฉินแล้วโทรไป แต่คนที่รับสายกลับเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง อี้เป่ยซี


มองดูหมายเลข ‘ก็ถูกนี่นา ใช่เบอร์นี้แหละ’


            ทางนั้นถามว่าใครโทรมาอย่างหมดความอดทน


            “ฮัลโหล สวัสดีค่ะคุณอา หนูอยากคุยกับเยี่ยฉิน”


            “เธอรอแป๊บนะ”


            จากนั้นอี้เป่ยซีก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันงึมงำ เยี่ยฉินก็เหมือนกับเด็กบ้านอื่นๆ บ่นเสียงเล็กเสียงน้อยกับพ่อของตัวเองราวกับเด็กน้อย


            “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”


            อี้เป่ยซีฟังออกว่าน้ำเสียงของเธอยังคงอ่อนแอเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง “เยี่ยฉิน เธอเป็นอะไรไป ดีขึ้นแล้วยัง”


            “เป่ยซีเหรอ”


            “ใช่แล้วๆ ฉันเอง ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ทำไมเสียงยังแย่แบบนี้ล่ะ”


            เยี่ยฉินหัวเราะเสียงต่ำ “อืม ไม่มีอะไร ก็แค่ช่วงนี้เป็นหวัดนิดหน่อย ฉันแค่รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะกับงานที่มหา’ลัยเท่าไร ก็เลยลาออก ตอนนี้อยู่ที่บ้านพ่อแม่ เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”


            “เธอ กลับบ้านพ่อแม่เหรอ?”


            “ใช่แล้ว เดี๋ยวคิดจะไปเมืองนอก พอดีว่าอาจารย์ที่เคยสอนฉันมีตำแหน่งดีๆ อยากแนะนำให้ฉัน”


            “เธออยากจะหลบหน้ามู่ลี่ไป๋เหรอ?”


            เด็กสาวที่อยู่ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่ พ่นลมหัวเราะแต่กลับไม่มีน้ำเสียงใดๆ “จะเป็นไปได้ไง ฉันจะไม่เปลี่ยนชีวิตของฉันเพราะเขาหรอก แบบนั้นมันโง่เกินไปแล้ว ฉัน ทางนี้ยังมีธุระนิดหน่อย ไว้ค่อยคุยกันนะ วางหูละ บายๆ”


            เยี่ยฉินวางสาย ล้มตัวนั่งบนโซฟาเงียบๆ ร่างกายของเธอซูบผอม เธอเอามือปิดหน้าร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ‘มู่ลี่ไป๋ คราวนี้คุณวางใจเถอะ จะไม่มีคนมารบกวนชีวิตของคุณหรือขวางหูขวางตาคุณอีก ฉันจะไปแล้ว จะไม่มีวันไม่มีวันกลับมาที่นี่อีก คุณจะไม่ได้เจอฉันอีกตลอดไปและตลอดไป’


            “เสี่ยวนาน เป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้อีกแล้วล่ะ” เยี่ยฉินกอดแม่ของตัวเอง หายใจฟึดฟัด


            “เปล่าค่ะ เมื่อกี้พ่อหั่นพริกไม่ได้ล้างมือ แล้วมาโดนตัวหนู”


            “ตาแก่บ้านั่น เดี๋ยวแม่จะช่วยสั่งสอนพ่อให้ลูกเอง”


            “อืม ต้องสั่งสอนพ่อให้สาสมเลยนะคะ”


            คุณแม่เยี่ยมองลูกสาวของตัวเองด้วยความรัก “เสี่ยวนาน วางใจเถอะ ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันก็ต้องมีเวลาที่วิเคราะห์ผิดพลาดบ้าง เครื่องพวกนั้นอาจวิเคราะห์ผิดก็ได้ ตอนนี้ลูกก็อย่ากังวลนักเลย”


            “นั่นสิๆ หนูไม่กังวลหรอก”


            “เฮ้อ ยัยเด็กบ๊องของแม่เอ๊ย…”


            เยี่ยฉินพิงอยู่บนไหล่ของคุณแม่เยี่ย น้ำตาก็ไหลออกมาเงียบๆ เธอคุยเล่นกับแม่ของตัวเองครู่หนึ่งจากนั้นก็กลับห้อง ฉีกผลการวินิจฉัยทั้งหมดลงถังขยะ แล้วดึงซองจดหมายฉบับหนึ่งออกมา


            มันคือตั๋วเครื่องบินของคืนนี้ตอนสี่ทุ่ม เยี่ยฉินพิงอยู่ที่ประตู น้ำตาไหลอาบแก้ม ‘ขอโทษนะคะแม่ ให้อภัยที่ลูกสาวไม่กตัญญูด้วย แต่ว่าลูกสาวไม่อยากทำให้แม่กับพ่อต้องเหนื่อยแล้วจริงๆ พ่อกับแม่ทำเพื่อลูกสาวคนนี้มามากพอแล้ว’


            เมื่ออี้เป่ยซีกลับถึงมหาวิทยาลัยก็รู้สึกสับสน มีลางสังหรณ์ลางๆ ว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร และไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แค่รู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่นเล็กน้อย


            พอกลับถึงบ้านก็เห็นฉินรั่วเข่อที่ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรอยู่กับคุณแม่อี้


            “แม่คะ หนูกลับมาแล้ว”


            “เป่ยซี ลูกขึ้นไปข้างบนก่อน”


            อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างว่าง่าย สังเกตเห็นว่าสายตาที่คุณแม่อี้มองฉินรั่วเข่อนั้นมีความเย็นชาที่เฉียบคม เธอยังไม่เคยเห็นแม่ของตัวเองแสดงอาการเช่นนี้กับใครเลย


            “ฉะนั้น คุณหนูฉินก็เลยคิดจะใช้วิธีนี้ไต่เต้า?”


            “เปล่านะคะ ฉันก็แค่อยากให้คุณยอมรับเด็กคนนี้ คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีความสามารถอะไร ฉันก็เลยหวังว่าลูกของฉันจะได้รับความดูแลจากอี้เป่ยเฉินและเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย ฉันก็แค่อยากบอกคุณเรื่องนี้”


            คุณแม่อี้หัวเราะเย็นชา “งั้นก็เป็นเรื่องของอี้เป่ยเฉินแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”


            ฉินรั่วเข่อคิดไม่ถึงว่าคุณแม่อี้จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ริมฝีปากของเธอสั่นเทา ขาก็สั่นตามเล็กน้อย เธอหลับตาลงด้วยความขมขื่น “ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่กลัว กลัวว่าเขาจะไม่เห็นด้วย”


            “ถ้าเธอกลัวจริงๆ ก็คงไม่ก้าวก่ายเรื่องของเป่ยเฉินกับเป่ยซีตั้งแต่แรกหรอก เธอนึกว่าฉันไม่รู้เรื่องที่เธอทำเหรอ ตอนนี้รู้ว่าเป่ยซีช่วยเธอไม่ได้ก็เลยคิดมาหาฉันงั้นเหรอ หึ คนอย่างเธอจะเอาอะไรมาพิสูจน์ฉันว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเป่ยเฉินจริงๆ”


            ฉินรั่วเข่อถอยหลังไปสองสามก้าว น้ำตาไหลลงอาบแก้ม “นี่เป็นเลือดเนื้อของอี้เป่ยเฉินจริงๆ ฉันไม่มีคนอื่นจริงๆ ไม่มีจริงๆ คุณป้าต้องเชื่อฉันนะคะ”


            “ฉันบอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องของเธอกับอี้เป่ยเฉิน ไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิดเดียว ถ้าเธอจะไม่เอาแล้วมาโยนให้ฉันก็ต้องให้เขาเลี้ยงเองอยู่ดี มันคือการตัดสินใจของอี้เป่ยเฉิน ถ้าเธออยากจริงๆ เธอก็ไปคุยเรื่องนี้กับเขาเอง ไม่ใช่ลงแรงในสิ่งที่ไม่ควรลงแรง” คุณแม่รู้สึกรังเกียจเล็กน้อย ฉินรั่วเข่อมองเธออีกรอบ กำหมัดแน่น แม้เล็บจิกเข้าไปในเนื้อแล้วเธอก็ยังไม่รู้สึก


            เธอพูดประโยคสุดท้ายว่า ‘รบกวนแล้ว’ แล้วจากจิ่นหยวนไปอย่างอมทุมข์


            ลูกแม่ ลูกว่าแม่ต้องทำยังไงถึงจะรักษาลูกเอาไว้ได้ ตอนนี้พี่ชายของลูกก็จากไปแล้ว แม่จะไม่ยอมให้ลูกจากไปทั้งแบบนี้อีก แม่จะต้องทำยังไง ทำยังไง…


            คุณแม่อี้โทรศัพท์ ไม่รู้ว่าพูดอะไร แล้วก็ขึ้นไปหาอี้เป่ยซีที่ชั้นบน อี้เป่ยซีกำลังยืนอยู่ข้างเตียง มองดูเงาที่ค่อยๆ ไกลออกไป รู้สึกว้าวุ่นในใจ


            “เป่ยซี กำลังดูอะไรน่ะ?”


            เธอกลับหลังหัน “หา เปล่าค่ะ ก็แค่มา ดึงผ้าม่าน ดึงผ้าม่าน” อี้เป่ยซีดึงๆ ผ้าม่าน คุณแม่อี้ก็ไม่ได้เปิดโปงเธอ ดึงมือของเธอมานั่งลงบนเตียง


            “เป่ยซี คืนนี้แม่ก็จะไปแล้ว”


            “หา เร็วจังเลย?”


            “ช่วงนี้พ่อของลูกสุภาพไม่ค่อยดี ให้แม่กลับไปดูแล”


            “พ่อไม่เป็นไรนะคะ?”


            คุณแม่อี้ถอนหายใจ “เขาจะเป็นอะไรได้ แกล้งทำทั้งนั้น สงสัยไม่อยากให้แม่อยู่กับพวกเธอสองคนไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนเขาล่ะมั้ง ลั่วจื่อหานเขาเป็นคนดีนะ” เธอยื่นมือเอาผมของอี้เป่ยซีเกี่ยวหู “เป่ยซี ลูกควรมองต่อไปข้างหน้า คิดถึงเรื่องอนาคตได้แล้วนะ”


            “เรื่องอนาคตยังบอกไม่ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะชอบเด็กสาวสวยๆ คนอื่นก็ได้”


            “เหลวไหล จะมีเด็กสาวคนไหนที่สวยกว่าเป่ยซีของพวกเราล่ะ ถ้าเขารังแกลูกจริงๆ ล่ะก็ จะให้พี่ชายของลูกหักขาเขาซะ แม่จะคอยดูว่าจะยังมีสาวที่ไหนชอบเขาอีก”


            “แม่…”


            “เป่ยซี แม่ไปแล้วลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่ามัวเอาแต่ใจ เป็นคนรักกันเล็กๆ น้อยๆ ก็ยอมให้กันเข้าใจหรือเปล่า”


            อี้เป่ยซีบ่นเสียงพึมพำ “ประโยคนี้ควรจะไปบอกลั่วจื่อหาน”


            “ลั่วจื่อหานไม่ยอมลูกเหรอ?”


        เธอแลบลิ้น บอกว่าใช่


————


ตอนที่ 157

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนที่ 157 ด้านของพ่อแม่ (3)


             รอจนกระทั่งอี้เป่ยเฉินกลับมาแล้ว ทั้งสามคนก็กินข้าวที่คุณแม่อี้ทำเป็นมื้อสุดท้ายอย่างอิ่มหนำสำราญ จากนั้นก็ร่ำลากันสักพัก แล้วนั่งรถไปส่งคุณแม่อี้ที่สนามบินด้วยกัน


            “แม่คะ” อี้เป่ยซีมองแม่ของตัวเอง ดวงตายังคงแดงเล็กน้อย คุณแม่อี้กอดลูกสาวตัวเองแน่น “หนูจะคิดถึงแม่ค่ะ”


            “ถ้าลูกคิดถึงแม่ก็กลับบ้าน อย่าเป็นเหมือนเป่ยเฉิน พอมีเรื่องแล้วก็ทิ้งบ้าน”


            อี้เป่ยเฉินที่ถูกกล่าวถึงพูดครับๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในดวงตาก็มีความอาลัยอาวรณ์หนักอึ้ง


            “เอาล่ะ พวกลูกสองคนต้องรักกันนะ อย่าทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อย เป่ยเฉินลูกเป็นพี่ชาย มีอะไรก็ยอมน้องสาว แม่จะพูดกับลูกอีกรอบ ลูกต้องจำไว้ให้ดีเข้าใจหรือเปล่า?” เธอมองไปยังอี้เป่ยเฉิน ในดวงตาราวกับว่ามีความหมายที่ต่างออกไป อี้เป่ยซีก้มหน้าต่ำ ไม่ได้คิดอะไร สีหน้าของอี้เป่ยเฉินจมอยู่ในความคิด


            คุณแม่อี้ตบไหล่ของลูกๆ ตัวเองเบาๆ รับกระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วขึ้นเครื่องไป เมื่ออี้เป่ยซีมองไม่เห็นเงาของแม่แล้วจึงดึงๆ แขนเสื้อของอี้เป่ยเฉิน “พี่ พวกเรากลับกันเถอะ”


            อี้เป่ยซีตอบว่าอืม แววตาที่มองอี้เป่ยซีนั้นครุ่นคิด


            “แม่ยายกลับไปแล้วเหรอ?” เพิ่งจะกลับถึงบ้าน อี้เป่ยซีก็ได้รับสายของลั่วจื่อหาน


            เธอวางของในมือลง “ใช่ กลับไปแล้ว คราวนี้ไม่มีใครช่วยฉันแล้ว นายอย่ารังแกฉันล่ะ”


            “ฉันเคยรังแกเธอตอนไหน?”


        จู่ๆ ฉากที่เหนือคำบรรยายเหล่านั้นวูบผ่านในหัวของอี้เป่ยซี เธอหน้าแดง “นาย นายนั่นแหละรังแกฉัน”


        ลั่วจื่อหานได้ยินน้ำเสียงของเธอแล้ว หัวเราะเสียงดัง “เป่ยซีหมายความว่า ฉัน รังแกเธอ?”


        รู้ว่าลั่วจื่อหานคิดทะลึ่ง อี้เป่ยซีแทบจะฝังหน้าเข้าไปในหมอน “ลั่วจื่อหาน นายรังแกฉันอีกแล้ว”


            “ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ตรงหน้าฉันนี่นา ฉันต้องการจริงๆ”


            “ชิ นายมันหน้าไม่อาย”


            “เป่ยซี”


            “หืม?”


            “ฉันเคยพูดหรือเปล่า ว่าฉันชอบเธอชอบเธอมากๆ”


            อี้เป่ยซีหัวเราะ “นายพูดแบบนี้ทุกวัน อัยยา ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว อย่าทำอะไรที่พวกข้าวใหม่ปลามันเขาทำกันเลย”


            “อืม คุณนายลั่วพูดได้ถูกต้องที่สุด”


            เธออึ้งไปครู่หนึ่ง “อืม คุณชายอี้ก็พูดถูก”


            หลังจากคุณแม่อี้ขึ้นเครื่องแล้วก็เจอกับเด็กสาวที่หน้าตาสะสวยมากคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมเธอมีความรู้สึกชอบเด็กสาวคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า เด็กสาวก็สังเกตเห็นสายตาของเธอและยิ้มให้


            เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโรยของเธอ คุณแม่อี้หยุดเดินทันใด ในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


            เด็กคนนี้เป็นอะไรไป เธอเดินต่อไปข้างหน้า หาที่นั่งของตัวเองแล้วนั่งลง มองไปยังนอกหน้าต่าง ที่สนามบินมีเพียงไม่กี่คน มันดูเหงาหงอยอย่างเห็นได้ชัด เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงลูกชายและลูกสาวของตัวเอง นึกถึงเด็กสาวคนนั้นที่เพิ่งเจอเมื่อครู่


            เธอน่าจะอายุไล่เลี่ยกับพวกเป่ยซีล่ะมั้ง และดูเหมือนเป็นเด็กดีคนหนึ่ง


            คุณแม่อี้หยิบนิตยสารออกมาจากกระเป๋า อ่านด้วยความสนอกสนใจ จนเมื่ออ่านจบแล้ว จึงพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือเด็กสาวคนนั้น กำลังถือหนังสือเล่มใหญ่ บางทีก็ขมวดคิ้วบางทีก็ผ่านคลาย อ่านด้วยความจริงจังมาก


            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าใจตรงกันหรือเปล่า ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ ก็เห็นสายตาของคุณแม่อี้ที่กำลังมองเธอด้วยความเอ็นดูพอดี ดวงตาของเยี่ยฉินขยับเขยื้อน วางหนังสือลงแล้วยิ้มให้เธอ


            “คุณน้า ตอนนี้ดึกแล้ว ทำไมคุณน้ายังไม่นอนล่ะคะ”


            “ยังไม่ง่วงเลย”


            “คุณน้ามาหาลูกที่เมือง B เหรอคะ?”


            คุณน้าพยักหน้า “ใช่แล้ว แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครอยากกลับบ้านกับน้าเลย อยากอยู่เมืองนอกกันทั้งนั้น น้าก็เลยได้แต่กลับไปมือเปล่า แล้วเธอไปหาพ่อกับแม่ที่ประเทศ U เหรอ?”


            เมื่อพูดถึงพ่อแม่ของตัวเอง เยี่ยฉินก็ขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน เผยรอยยิ้มจนใจออกมา “เปล่าค่ะ ฉันแค่อยากไปเที่ยว”


            คุณแม่อี้เห็นความเศร้าโศกในแววตาของเธอเมื่อเอ่ยถึงพ่อแม่ของตัวเอง ในใจก็เจ็บปวดด้วย น่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับแม่หนูคนนี้สินะ ความรู้สึกของคนเป็นแม่ท่วมท้นขึ้นมาอีกครั้ง


            “คนเดียว?”


            เธอพยักหน้า


            “ก็ดีนะ ไม่เหมือนลูกของน้า ลากให้เขาออกมาข้างนอกก็ไม่ยอม นับประสาอะไรกับไปเที่ยวข้างนอกคนเดียว ต่อให้ปล่อยเขาออกไปเดี๋ยวก็ทิ้งนั่นลืมนี่ น้าล่ะปวดหัวแทบตาย”


            เยี่ยฉินหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมคำอธิบายแบบนี้ทำให้เธอนึกถึงเพื่อนซุ่มซ่ามข้างกายของตัวเองคนหนึ่ง “ฉันก็มีเพื่อนคนนึง เขาก็ชอบอยู่คนเดียว ออกไปข้างนอกก็ลืมนั่นลืมนี่”


            “งั้นต้องแนะนำเขาให้รู้จักกับลูกสาวของน้า ให้เขาได้เห็นตัวเองซะบ้าง”


            “อืม คุณน้าพูดถูกค่ะ”


            คุณแม่อี้คุยกับเยี่ยฉินอยู่นาน คุณแม่อี้รู้ว่าเยี่ยฉินเรียนหนังสือที่ประเทศ U กลับประเทศมาฝึกสอนอยู่หลายเดือน ตอนนี้อยากกลับไปเที่ยวที่ประเทศ U เธอยังรู้ว่าเยี่ยฉินเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน พ่อแม่รักเธอมาก เธอมองดูเยี่ยฉิน เหมือนกับแม่ที่มองดูลูกสาว ยิ่งมองก็ยิ่งสวย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ ไม่อยากแม้แต่จะละสายตาไปจากเธอ


            “คุณน้าคะ ที่หน้าฉันมีอะไรเหรอคะ?” เยี่ยฉินลูบคลำใบหน้าของตัวเอง เห็นว่ามือของตัวเองสะอาดมาก “ไม่มีอะไรนี่คะ”


            “หนูนี่น่ารักจริงๆ”


            “คุณน้าก็น่ารักมากค่ะ ตอนนี้ดึกมากแล้วจริงๆ คุณน้าพักผ่อนเถอะค่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็น่าจะถึงแล้ว”


            “ยังไม่รู้เลยว่าหนูจะไปไหน”


            เยี่ยฉินครุ่นคิด “ฉันลงรถที่ปานซื่อ แล้วกะว่าจะไปเที่ยวหนิ่วเจิ้นที่อยู่ข้างๆ”


            คุณแม่ตื่นเต้นฉับพลัน “บ้านของน้าก็อยู่ตรงนั้น ถ้าหนูไม่รังเกียจล่ะก็ หนูจะพักที่บ้านน้าสองสามคืนก็ได้ แล้วค่อยไปเจอเพื่อนของหนู”


            แม้เยี่ยฉินจะรู้สึกว่าคุณน้าที่อยู่ตรงหน้าใจดีมาก อีกทั้งยังคุยกับเธอถูกคอ แต่ว่าจะถือวิสาสะรบกวนคนอื่นแบบนี้เห็นทีจะไม่เหมาะสักเท่าไร จึงปฏิเสธคำเชิญของคุณแม่อี้ไปอย่างสุภาพแล้ว คุณแม่อี้ผิดหวังเล็กน้อย เยี่ยฉินสัญญาว่าคราวหน้าหากมีเวลาจะไปอย่างแน่นอน


            เมื่อฟ้าสว่าง เครื่องบินลงจอดตรงเวลา คุณแม่อี้กล่าวลากับเยี่ยฉินอย่างเสียมิได้ แล้วเข้าไปนั่งในรถ


            “คุณรู้จักเด็กคนนั้นเหรอ? ดูนิสัยดีนะ”


            คุณแม่อี้พยักหน้า “นั่นสิ อายุห่างจากเป่ยเฉินไม่เท่าไร เป็นเด็กดีเลยล่ะ”


            “คุณคงไม่ได้กะตือรือร้นจนคนเขากลัวแล้วหนีไปหรอกนะ”


            “ดูคุณพูดสิ จะเป็นไปได้ยังไง”


            “ไม่แน่ยัยหนูอาจคิดในใจว่าวันนี้ดันเจอคุณน้าแปลกๆ คนนึง”


            คุณแม่อี้มองค้อนเขาโกรธๆ “คุณน่ะอิจฉาที่ฉันกลับไปหาลูกๆ ได้แต่คุณกลับไปไม่ได้ ฉันได้เจอเด็กน้อยที่ฉันชอบแต่คุณไม่ได้เจอก็เลยพูดอะไรพวกนี้ยั่วโมโหฉันสินะ”


            คนที่ขับรถหัวเราะ ส่ายหน้า “เปล่านะ ผมมีคุณแล้ว ไม่มีอะไรแบบนี้ซะหน่อย แล้วก็ไม่มีอะไรน่าโมโหด้วย”


        คุณแม่อี้เผยยิ้มมีความสุข


————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม