Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 144-150
ตอนที่ 144
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 144 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (1)
อี้เป่ยซีคิดไม่ถึงว่าร่างกายที่ต่อต้านความเย็นของตัวเอง จะป่วยอย่างลึกลับเพียงแค่จากการตากฝนในวันฤดูร้อน เมื่อวานก็ยังดีๆ อยู่เลย วันนี้ทันทีที่ลุกจากเตียงก็รู้สึกว่าตัวเองลอยได้ซะแล้ว
“ฮัลโหล”
“เป่ยซี?”
อี้เป่ยซีนวดคลึงจมูกที่ติดขัด “อืม ฉันเอง มีอะไรเหรอ?”
“ป่วยเหรอ?”
“อืม ฉันกินยาแล้ว ตอนนี้อยากนอนสักหน่อย ไม่คุยกับนายแล้ว บาย” หลังจากวางสาย มือก็ร่วงลงบนผ้าห่มอย่างแรง เธอพ่นลมออกทางจมูกอย่างอึดอัด ห่อตัวตัวเองไว้ในผ้าห่ม ทั้งคอแห้งทั้งเจ็บคอ จมูกก็หายใจไม่โล่งเลย อีกทั้งยังรู้สึกหนาวเล็กน้อยด้วย
ลั่วจื่อหาน คราวหน้าอย่าพาฉันตากฝนอีกนะ เป็นหวัดนี่มันทรมานเกินไปแล้ว
เปลือกตาปิดลงด้วยความหนักอึ้ง แต่ว่านอนไม่หลับ ไม่รู้ว่านอนอยู่นานแค่ไหน ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น อี้เป่ยซีรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเข้าสู่อ้อมกอดที่แข็งแรงของใครบางคน เธอซุกตัวแล้วก็ผล็อยหลับไปด้วยความซึมกะทืออีกครั้ง
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสาม อี้เป่ยซีจึงลืมตาขึ้น รู้สึกว่าดวงตามีอาการระคายเคือง ตอนที่กำลังจะยื่นมือออกไปก็รู้สึกว่ามีเข็มที่หลังมือ
“ตื่นแล้วเหรอ? มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า?” ลั่วจื่อหานช่วยเธอห่มผ้าห่ม ถามอย่างห่วงใย
“ฉันไม่ชอบโรงพยาบาล” เธอพูดเสียงเบา จมูกก็ย่นตามไปด้วย
ลั่วจื่อหานยื่นมือจิ้มแก้มของเธอเบาๆ “ได้ คราวหน้าไม่มาแล้ว”
“ฉันต้องให้น้ำเกลืออีกนานแค่ไหน ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองหายแล้ว” เธอมองขวดที่ห้อยอยู่ที่มุมขวาบนของเธอ ของเหลวในขวดใบใหญ่นั้นลดลงไปมากแล้ว เธอจ้องเขม็งฟองน้ำขนาดใหญ่ที่ปุดออกมาก “ลั่วจื่อหาน เหลือแค่นิดหน่อยแล้ว พวกเราไม่เจาะเข็มแล้วได้ไหม”
“เป่ยซี ไม่ดื้อนะ”
“หึ” เธอเบะปาก ไม่ได้พูดอะไรกับลั่วจื่อหานอีก ลั่วจื่อหานหยิบเอกสารด้านข้างขึ้นมาอ่านต่อ
‘ใกล้จะจบแล้ว ใกล้จะจบแล้ว’…อี้เป่ยซีท่องอยู่ในใจตลอดเวลา เห็นพี่สาวพยาบาลที่เข้ามาในห้องผู้ป่วยของเธอ ดวงตาก็เป็นประกายทันที “พี่สาวคะ พี่สาว ฉันเอาเข็มออกได้แล้วยัง?”
“ค่ะ ใกล้แล้วยังเหลือขวดเล็กอีกขวด”
“……”
ใครจะบอกเธอได้บ้าง ว่าอี้เป่ยซีอย่างเธอทำไมต้องโง่ถึงขนาดออกไปตากฝนกับลั่วจื่อหานด้วยนะ
“รบกวนพี่พยาบาลแล้ว”
สายตาของพยาบาลไม่ได้มองที่อี้เป่ยซี แต่เหมือนใจลอยอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เปลี่ยนยาดวงตาทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่ามองไปที่ไหน การเคลื่อนไหวก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า อี้เป่ยซีมองไปตามสายตาของเธอ ก็พบว่าความห่วงใยที่ควรจะมีให้เธอนั้นตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหน
“คุณอาคะ อาคิดว่าถ้าพี่สาวคนนี้มาเป็นอาสะใภ้ฉันจะเป็นยังไง?” อี้เป่ยซีหันไปหาลั่วจื่อหาน ทำสีหน้าไร้เดียงสา เมื่อพยาบาลที่อยู่ข้างๆ ได้ยินประโยคนี้แล้ว ก็ตื่นเต้นจนมือสั่น บนใบหน้ามีรอยยิ้มดีใจที่ได้เป็นที่ยอมรับ
เธอก็บอกแล้วว่าตัวเองหน้าตาสละสวยหุ่นก็ดี เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่ชอบ ต่อให้พวกเขาบอกว่าเป็นท่านประธานที่ต้องละเว้นแล้วยังไงเหรอ ตอนนี้ก็มองเธออย่างไม่ละสายตาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
ลั่วจื่อหานมองอี้เป่ยซี เห็นแววตาขี้เล่นของเธอ ถอนหายใจ “หลานสาวลืมไปแล้วเหรอ? อาอยากอยู่กับหลานแค่คนเดียวนะ หรืออยากให้คุณอาพิสูจน์ให้เธอเห็นต่อหน้าคนอื่นล่ะ?”
“คุณอา พ่อหนูต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ!” เธอมองพยาบาลที่อยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าน้อยๆ ที่ตึงเครียดเพื่อขอความช่วยเหลือ พยาบาลที่แสดงอาการยั่วยวนนั้น หลังจากเห็นสายตาเตือนของลั่วจื่อหานแล้ว ก็รีบเก็บของทันที ยิ้มแล้วจากไป
“พี่สาว พี่ต้องช่วยฉันนะ” อี้เป่ยซียังคงตะโกนตามหลังเธอ ราวกับว่าอี้เป่ยซีในขณะนี้คือเด็กสาวผู้บริสุทธิ์ที่ถูกอาของตัวเองกักขังไว้จริงๆ เธอตัวสั่น ผลักรถไปข้างหน้าต่อ
อี้เป่ยซีเห็นเธอปิดประตู ส่ายหน้า “ไม่สนุกเลย ทำไมไม่ยั่วต่อไปล่ะ ฉันจะได้เรียนรู้สักครึ่งนึงก็ยังดี”
“หลานสาวนอนอยู่ตรงนี้ก็เป็นความยั่วยวนแล้ว ยังต้องเรียนอะไรอีก?” เขาเลิกคิ้ว เข้าใกล้อี้เป่ยซี
“ฉันป่วยอยู่นะ” มือข้างหนึ่งของอี้เป่ยซีผลักอยู่บนหน้าอกของเขา เอ่ยปากอย่างเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย ลั่วจื่อหานจูบปากของเธออย่างระมัดระวัง
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ป่วย”
“แต่…อืม…”
ลิ้นของลั่วจื่อหานกวาดอยู่บนเพดานปากของเธอเป็นครั้งคราว อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวอยู่ใต้ร่างของเขา อาจเป็นเพราะมีไข้ ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าร่างที่อยู่ภายใต้เขานั้นร้อน ร้อนจนอุณหภูมิร่างกายของเขาเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นกะทันหันขัดจังหวะทั้งสองคน อี้เป่ยซีผลักเขาออกด้วยความตกใจ ค้อนมองเขา ลั่วจื่อหานช่วยเธอจัดเสื้อผ้าอย่างไม่รีบเร่ง แล้วเดินไปเปิดประตู
สายตาของเยี่ยฉินหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของอี้เป่ยซีครู่หนึ่ง วางผลไม้ในมือที่โต๊ะชาด้านข้าง “เป่ยซี เธอไม่เป็นไรนะ”
“เปล่านี่ แค่เมื่อวานใครบางคนใจดีพาฉันไปตากฝน ก็เลยเป็นหวัดนิดหน่อย ไม่มีอะไรร้ายแรง”
“อืม” เยี่ยฉินนั่งลงข้างเธอ ในขณะนั้นเองไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร ลั่วจื่อหานอ้างว่าตัวเองจะออกไปจัดการธุระ ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากห้องคนไข้แล้ว
อี้เป่ยซีชื่นชมที่เขารู้จักกาลเทศะ ยิ้มมองเยี่ยฉิน “เยี่ยฉิน มีอะไรเหรอ?”
เธอขยับปาก ราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรที่ยิ่งใหญ่ รวบรวมความกล้า เปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความหดหู่เล็กน้อย “เธอคือหลิงซีเหรอ?”
“เธอรู้ได้ยังไง?”
“คือว่า เรื่องที่เล่าหลังจากนั้น มันเหมือนกับเรื่องของเธอมาก ฉันก็เลยคิดว่าจะเป็นเธอหรือเปล่า?”
อี่เป่ยซีรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง พยักหน้า “อืม ฉันเอง”
“ใช่เธอจริงๆ ด้วย” เธอตื่นเต้นเล็กน้อย “จู่ๆ ก็เหมือนกับได้เจอกับไอดอลของตัวเอง”
“ก็ไม่หรอก ฉันรู้สึกว่างานของฉันไม่ได้ดึงดูดคนมากขนาดนั้นมั้ง ฝีมือก็ยังต้องปรับปรุง”
“ก็เพราะว่ามันยังมีข้อบกพร่อง บางจุดถึงทำให้คนประทับใจได้ เป่ยซี เธอเก่งมากเลย”
เธอยิ้มอย่างถ่อมตัว “เธอก็เลยมาหาฉันเพราะเรื่องนี้เหรอ?”
เยี่ยฉินพยักหน้า แล้วก็ส่ายหัว “เป่ยซี เธอกับลั่วจื่อหานเป็นอะไรกัน?”
“ก็เป็นอย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ”
“แล้วมู่ลี่ไป๋ล่ะ เธอวางเขาไว้ที่ตรงไหน เป่ยซี เธอกับเขาก็เป็น…” เยี่ยฉินยังไม่ทันพูดจบ ประตูก็ถูกผลักออก มู่ลี่ไป๋ในชุดขาวดูไร้ความอดทน เขาก้าวเท้ายาวๆ มาหาเยี่ยฉิน มองลงมา
“เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับคุณหนูเยี่ยนะ”
มือของเยี่ยฉินที่กำชายเสื้อนั้นซีดขาวเนื่องจากออกแรง อี้เป่ยซีเงียบ ดวงตาใหญ่โตมองไปมาระหว่างคนสองคน
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูเยี่ยจะสนใจเรื่องของคนอื่นขนาดนี้ ทำไมล่ะ รู้สึกว่าคุณจะใช้ประโยชน์จากคนที่ต่ำต้อยกว่าได้ ก็เลยอยากกลับมางั้นเหรอ?”
“คุณหนูเยี่ยไม่พูดก็แสดงว่ายอมรับใช่ไหม คุณหนูเยี่ยนี่มีความมั่นใจในตัวเองจังเลยนะ ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะหวั่นไหวกับผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลยได้อีกล่ะ ตอนนั้นก็แค่หน้ามืดตามัวเท่านั้น แยกไม่ออกว่าอะไรคือโคลนตมอะไรคือทองคำ ตอนนี้คุณหนูเยี่ยก็อย่ามาใส่ใจผมอีกเลย”
“หรือว่า…” เขาเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าว “คุณหนูเยี่ย ต้องการมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับผม ถ้าอย่างนั้นผมก็พอจะสนใจอยู่บ้าง” พูดจบก็ยิ้มเย้ยหยันเธอ
————
ตอนที่ 145
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 145 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (2)
คำพูดนี้มันเกินไปแล้ว อี้เป่ยซีกำลังจะอ้าปาก เยี่ยฉินกลับคว้ามือของเธอไว้ ส่ายหน้า เธอลุกขึ้นยืน แผ่นหลังตั้งตรง “เห็นท่าทางของคุณที่ก้าวร้าวแบบนี้ ฉันถึงได้รู้ว่าการตัดสินใจของฉันในตอนนั้นถูกต้องแค่ไหน เป่ยซี ไว้วันหลังฉันจะมาเยี่ยมเธอใหม่”
เธอหยิบกระเป๋าของตัวเอง เดินอ้อมมู่ลี่ไป๋ออกไปจากห้องคนไข้ มู่ลี่ไป๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าซับซ้อนทำให้มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อี้เป่ยซีรู้สึกว่าหากตัวเองเอ่ยปากในเวลานี้คงไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ยอมอยู่ภายใต้ความกดดันของมู่ลี่ไป๋ เธอกลอกตาแล้วร้องโอ๊ย
“เธอเป็นอะไรไป?” ใบหน้าของมู่ลี่ไป๋ยังคงแข็งทื่อ แววตาที่มองอี้เป่ยซีราวกับกำลังพูดว่า ‘ทางที่ดีเธออย่ามาแกล้งกันนะ ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยเธอเลย’
เธอกลืนน้ำลาย ขมวดคิ้วด้วยความน้อยใจ “เข็มหลุดแล้ว เรียกพี่พยาบาลคนสวยมาให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า”
“ยุ่งจริง” เขานวดคลึงขยับของตัวเองอย่างแรง มองดูมือของอี้เป่ยซี บนหลังมือปูดเล็กน้อย ตะโกนเรียกพยาบาลให้เข้ามาแทงเข็มให้เธออีกรอบ อี้เป่ยซีมองดูมือขวาที่บวมเป่งของตัวเองด้วยท่าทางน่าสงสาร คราวหน้าถ้าใครจะดึงมือฉันตอนที่เจาะน้ำเกลืออีกนะ ฉันจะกัดเขาซะ
“คุณ คุณหมอมู่ เสร็จแล้วค่ะ” นางพยาบาลตกใจกับความกดดันของเขาอย่างเห็นได้ชัด เสียงก็สั่นเล็กน้อย เขาพยักหน้าอย่างไม่พอใจแล้วลุกขึ้นออกจากห้องคนไข้ไป ในห้องเหลือเพียงอี้เป่ยซีเพียงลำพัง เงียบสงบเป็นอย่างมาก เงียบจนชวนให้อดไม่ได้ที่จะคิดไปเรื่อยเปื่อย
มู่ลี่ไป๋กับเยี่ยฉินตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่นะ ลึกลับมาก ลึกลับมากเลย
“คิดอะไรอยู่ จริงจังเชียว?”
“ลั่วจื่อหาน นายไม่รู้อะไร เมื่อกี้มู่ลี่ไป๋น่ากลัวมากเลย”
“เขารังแกเธอเหรอฒ”
อี้เป่ยซีต้องการจะบอกว่าเปล่า แต่ก็กลืนคำที่ต้องการพูดกลับลงไปทันที “อืม เขารังแกฉัน ฉันอยู่คนเดียวกลัวมากเลย”
ลั่วจื่อหานยื่นมือตบๆ ศีรษะของเธอ “โอเค ฉันรู้แล้ว”
“นายบอกว่าจะช่วยฉันแก้แค้นไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้น ก็ตัดเงินเดือนเขาซะ”
“อืม ตัดเงินเดือนเขา”
“ไม่มีความจริงใจเลย น้ำเสียงแบบนี้ใครจะไปเชื่อว่านายจะทำได้ล่ะ”
เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ มองดูของเหลวของในขวด แล้วกลับไปนั่งที่เดิม
อี้เป่ยซีมองดูเพดานต่อ มองไปมองมาก็มองต่อไปไม่ไหวแล้ว “ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน มู่ลี่ไป๋กับเยี่ยแนเป็นอะไรกันแน่? ระหว่างพวกเขาเกิดอะไรขึ้น?”
ลั่วจื่อหานใช้เอกสารเคาะๆ หัวของเธอ “ที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย”
“แต่ว่าฉันอยากรู้นี่ มู่…” หลังจากเธอเห็นคนที่เดินเข้ามาแล้วก็รีบถอนคำพูดของตัวเอง มู่ลี่ไป๋มองค้อนเธอ
“มือขวาบวมแล้ว นายประคบร้อนให้เธอสักหน่อยเถอะ”
“ฉันถามได้ไหมว่าเพราะอะไร?”
มู่ลี่ไป๋วางของลงบนโต๊ะชา “เรื่องแบบนี้นายควรจะถามเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
“ไม่เกี่ยวอะไร กับนาย?”
“ฉันยังมีคนไข้ ไปก่อนล่ะ” พูดจบก็ออกไปจากห้องคนไข้ราวกับหลบหนี อี้เป่ยซีมองดูสภาพสะบักสะบอมของเขา ความสงสัยในแววตายิ่งล้ำลึกกว่าเดิม
เธอใช้มือขวาของตัวเองคว้าตัวลั่วจื่อหาน ระคนรอยยิ้มประจบประแจง “พี่ชายจื่อหาน พี่ดีที่สุดเลย บอกฉันเถอะนะ”
ลั่วจื่อหานหยิกๆ แก้มของเธอ “เด็กดี เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ไม่ต้องรู้หรอก” เขากุมมือที่บอบบาง เริ่มประคบร้อนจุดที่บวมเป่งบนมือของเธอ อี้เป่ยซีเงียบ
“เธออยากฟังนิทานไหม?”
“ไม่อยาก”
“กาลครั้งหนึ่ง มีเจ้าชายน้อยคนหนึ่ง…”
“เด็กน้อยเกินไป ฉันไม่ฟัง”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ “อืม เธอไม่ฟังเองนะ งั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันแล้ว อย่ามางอนเพราะว่าฉันไม่บอกเธอก็แล้วกัน”
“ไม่ๆๆ นายเล่าเถอะ ฉันฟัง ฉันฟัง”
เรื่องนั้นราวกับเกิดขึ้นเมื่อแปดปีที่แล้ว คนที่ผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมาต่างคิดว่าความเจ็บปวดเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ใครจะรู้ว่าเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปแปดปีแล้ว ในโลกนี้มักจะมีคำพูดที่ว่าเวลาจะทำให้คนเราลืมทุกอย่าง บางทีเรื่องที่สามารถลืมได้คือเรื่องที่จำได้ไม่ลึกซึ้งมากต่างหาก ส่วนเรื่องที่ไม่อาจลืมนั้นไม่สามารถจางหายไปตามกาลเวลา มันมีแต่จะยิ่งล้ำลึกยิ่งขึ้น ลึกจนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
ในตอนนั้น มู่ลี่ไป๋ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ระดับปริญญาตรีปีสอง เขาที่อยู่ในครอบครัวแพทย์ประสบความสำเร็จทางการแพทย์ทั่วไป ปีสองปีนั้น พ่อแม่ของเขาได้เตรียมส่งเขาไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครคิดว่าเรื่องที่ราบรื่นแบบนี้จะเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น เรื่องที่เหนือความคาดหมายทั้งหมดของเขาเกิดจากผู้หญิงที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง
มู่ลี่ไป๋ยังจำตอนที่เขาเจอเยี่ยฉินครั้งแรกได้ วันนั้นฝนตก เขาเดินเข้าไปในตลาดภาพวาด กำลังเลือกแผ่นดิสก์ที่เขาโปรดปรานอย่างสบายอารมณ์ มือของเขาหยุดอยู่ที่อัลบั้มดนตรีจีนพร้อมกันกับอีกมือหนึ่งพอดี บุคคลนั้นเป็นนักร้องที่มู่ลี่ไป๋ชื่นชอบมาก สไตล์มีความหลากหลายและเสียงก็เพราะมากด้วย ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยไปด้วยความเสียดายเล็กน้อย ผู้หญิงคนนั้นก็คว้าแผ่นอัลบั้ลข้างๆ นั้นเพื่อไปชำระเงินแล้ว
มูลี่ไป๋ดึงสติกลับมา รีบตามออกไปที่เค้าน์เตอร์จ่ายเงิน ท่ากลางฝนห่าใหญ่นั้น กลับมองไม่เห็นเงาที่สวยงามนั้นเลย เขากุมแผ่นดิสก์ในมือแน่นด้วยความผิดหวัง
“คุณไม่มีร่มเหรอ? ฉันไปส่งคุณกลางทางได้นะ”
มันคือผู้หญิงคนนั้น เธอส่งยิ้มพร้อมถือร่มสีน้ำเงินของตัวเอง ส่งสัญญาณให้เขาเดินเข้ามา มู่ลี่ไป๋เข้าไปใต้ร่มของเธอโดยที่ไม่คิดแล้ว
“คุณจะไปไหน?” เสียงของเธอไพเราะมากราวกับนกขมิ้น เหมือนฝนที่ค่อยๆ ตกอยู่ในใจของเขาในตอนนี้
“คุณล่ะ?”
“ไปป้ายรถข้างหน้า ตอนนี้ควรจะกลับบ้านได้แล้ว”
“อืม ป้ายรถข้างหน้านี้แหละ ถ้าคุณไม่รังเกียจล่ะก็ ผมไปส่งคุณได้”
ตอนแรกเธอประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มกว้าง “ก็ได้ค่ะ งั้นต้องรบกวนคุณแล้ว” เขาพูดเสียงต่ำว่าไม่รบกวนเลย
เธอเตี้ยกว่ามู่ลี่ไป๋มาก ร่มกดอยู่บนศีรษะของเขาเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ไม่รำคาญเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกมีความสุข บนรถ เขายื่นกล่องทิชชู่ให้เธอด้วยความระมัดระวัง
“คุณก็ชอบเพลงของเขาเหรอ” เธอมองดูอัลบั้มที่มู่ลี่ไป๋ซื้อ ดวงตาเป็นประกาย
มูลี่ไป๋พยักหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็แกะถุงออก เล่นเพลงในเครื่องเล่นซีดีในรถทันที เธอยิ้มรับทุกการกระทำของเขา ทั้งสองคนนั่งอยู่ในรถ ฟังจนจบอัลบั้มทั้งสิบเพลง ฝนด้านนอกยังคงตกอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งเมื่อเพลงสุดท้ายจบลง ทั้งสองคนจึงรู้สึกถึงเวลาที่เดินอยู่อีกครั้ง เธอมองเวลาบนข้อมืออย่างร้อนรน “ดึกป่านนี้แล้ว” เธอบ่นพึมพำ มองดูฝนด้านนอกที่ไม่มีท่าทีว่าจะซาเลย แต่ในใจของมู่ลี่ไป๋กลับไม่อยากให้มันหยุดตลอดไป
“บ้านคุณอยู่ไหน ผมส่งคุณกลับบ้านเถอะ” มู่ลี่ไป๋สตาร์ทรถ เม้มปากตั้งใจไม่มองเธอ เธอครุ่นคิดและบอกจุดหมายปลายทาง
“งั้นก็รบกวนคุณแล้ว”
————
ตอนที่ 146
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 146 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (3)
“ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?” มู่ลี่ไป๋ลังเลอยู่นานจึงคิดอยากถามชื่อของเธอ เธอยิ้ม
“ที่แท้รุ่นพี่ลืมฉันเร็วจังเลย”
“หืม?”
เธอยังคงพูดต่อ “ฉันเรียนมัธยมที่เดียวกับรุ่นพี่ค่ะ ตอนที่รุ่นพี่รับสมัครสอบจำลองด้วยตัวเอง ฉันยังนั่งอยู่ข้างๆ รุ่นพี่เลย”
มู่ลี่ไป๋จึงนึกขึ้นมาได้ ตอนที่ตัวเองอยู่มัธยมราวกับว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมากมายจริงๆ ตอนนั้นเขายังนึกว่าเป็นการหยอกเล่น เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ คิดซะว่าเป็นการให้ตัวเองได้พักร้อนกับสาวๆ ข้างกายของตัวเอง
เขาหวนระลึกอย่างละเอียดอีกครั้ง คนที่อยู่ข้างกายเขาเป็นเด็กผู้หญิงงั้นเหรอ? ทำไมเขาถึงจำได้ว่าเป็นเด็กผู้ชายล่ะ ราวกับว่าเป็นเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนเด็กผู้ชายงั้นเหรอ?
“รุ่นพี่นึกไม่ออก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันชื่อเยี่ยฉิน”
“คุณก็คือเยี่ยฉินเหรอ?”
“รุ่นพี่เคยได้ยินชื่อฉันเหรอ?”
เยี่ยฉิน เขาจะไม่เคยได้ยินได้อย่างไรล่ะ เด็กผู้หญิงที่ถูกเพื่อนร่วมหอเรียกว่าเด็กสาวที่เป็นดาวแห่งคณะวรรณกรรม มีคุณธรรมและความสามารถ ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวคนนี้นี่เอง ราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเข้ากับเธอได้ดีทีเดียว
ท่าทีธรรมชาติ บุคลิกสง่างาม รวมถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์
“อืม ใช่แล้ว นักศึกษาแพทย์ผู้ชายหลายคนชอบคุณมากเลย”
“หา จริงเหรอ?” ดวงตาเธอยิ้มโก่ง ราวกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า “คณะวรรณกรรมของพวกเราก็มีผู้หญิงหลายคนชอบรุ่นพี่มู่ค่ะ ถ้าพวกเขารู้ว่ารุ่นพี่มาส่งฉันกลับบ้าน พวกเขาต้องอิจฉาฉันตายแน่ๆ เอ่อ จอดตรงนี้ก็ได้ ขอบคุณนะคะรุ่นพี่”
มู่ลี่ไป๋คิดไม่ถึงว่าระยะทางจะสั้นขนาดนี้ จอดรถข้างทางอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“แล้วเจอกันค่ะรุ่นพี่”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่ลี่ไป๋ก็เริ่มให้ความสนใจกับข่าวคราวของเยี่ยฉินภายในหอพัก อย่างเช่นได้รับรางวัลอะไรมา ไปที่ไหนกับเพื่อนๆ นักศึกษามาบ้าง ทำอะไรมาบ้าง โดยมักจะมีเพื่อนร่วมหอคนหนึ่งที่สามารถเล่าได้ทุกอย่าง มู่ลี่ไป๋รู้สึกโมโหเล็กน้อย รู้สึกว่าการสะกดรอยของเขาแบบนี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อยากให้เขาหยุด เพราะว่าเขาเองก็อยากรู้มากว่าวันนี้เธอทำอะไร อารมณ์เป็นอย่างไร ได้เจอใคร และเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
ความอยากรู้อยากเห็นที่เขาแอบซ่อนเอาไว้แทบจะทำให้เขาเป็นบ้าอยู่แล้ว มู่ลี่ไป๋กอดเอกสารการแพทย์เล่มหนาเตอะ อ่านอย่างไรก็ไม่เข้าสมอง เขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้อยากรู้เรื่องของผู้หญิงที่เพิ่งเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียวมากขนาดนี้
เขาส่ายหัว ในเวลานี้เพื่อนร่วมหอถืออะไรบางอย่างเล็กๆ เข้ามาด้วยความตื่นเต้นมาก คนที่เหลือเข้ามาห้อมล้อมอย่างสมบูรณ์
“พวกนายดูสิว่านี่คืออะไร”
“อะไร อะไรเหรอ”
“นั่นสิ อะไรน่ะ”
เขาหัวเราะอย่างลึกลับ ระคนความเจ้าเล่ห์ดีใจอย่างคนโรคจิต แล้วแกะกล่องออกราวกับมันเป็นของล้ำค่าระดับโลก มันคือเครื่องบินบังคับไร้คนขับที่งานปรานีตมาก
“ชิ เจ้านี่นี่เอง”
“นายสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“เป็นคนแก่อยากย้อนวัยหรือไง?”
มือของมู่ลี่ไป๋ที่ถือหนังสือออกแรงเล็กน้อย คนอื่นไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ว่ามู่ลี่ไป๋เข้าใจดีว่าเขาเอาเครื่องบินบังคับมาทำอะไร
“โง่จริง ไม่น่าล่ะทำไมคนในหอของพวกเราถึงยังเป็นโสดอยู่ได้ เครื่องบินบังคับเครื่องนี้แน่นอนว่าไม่ได้เอามาไว้เล่น ฉันเอามาทำอะไรพวกนายก็น่าจะรู้ดี”
ในสมองของมู่ลี่ไป๋ว่างเปล่า เขารู้สึกว่ามีคนเอาหนังสือของเขากระแทกลงบนโต๊ะเสียงดังปัง ดึงคอเสื้อของเพื่อนนักศึกษาคนนั้นขึ้นมาอย่างแรงเป็นเชิงเตือนเขา อีกทั้งยังเอาสิ่งของไร้สาระนั้นขว้างทิ้งจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาเอาเงินตบหน้าของผู้ชายคนนั้นอย่างแรง กระแทกประตูปิดแล้วจากไป จนกระทั่งเมื่อเขาได้สติอีกครั้ง ตัวเองก็มาอยู่ที่หน้าห้องสมุดแล้ว
เขานั่งขมวดคิ้วอยู่บนเก้าอี้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโมโหขนาดนั้น และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจะต้องรอในที่ที่เธอผ่านทุกวัน
“รุ่นพี่” เมื่อเห็นมู่ลี่ไป๋นั่งสีหน้าบึ้งตึงอยู่บนม้านั่ง เยี่ยฉินจึงเดินช้าลงแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหา มู่ลี่ไป๋เห้นเธอแล้วก็ลุกขึ้นต้องการจะจากไป แต่ขากลับแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
“วันนี้รุ่นพี่อารมณ์ไม่ดีหรือคะ?”
“มีเรื่องนิดหน่อย”
“ฉันมีซีดีแผ่นใหม่ รุ่นพี่สนใจจะฟังด้วยกันหรือเปล่า?”
เดิมทีเขาอยากจะบอกว่าไม่สนใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเห็นแววตาที่ตั้งตารอของเธอ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากก็เปลี่ยนไปแล้ว “ได้สิ”
หลังจากที่มีครั้งแรกแล้ว ทั้งสองคนก็ฟังเพลงด้วยกันบ่อยๆ แบ่งปันความคิดเห็นของกันและกัน แม้จะมีบางจุดที่ไม่เหมือนกันก็จะยอมรับอีกฝ่าย มู่ลี่ไป๋เริ่มตั้งตารอที่จะเจอหน้าเธอทุกวัน และพวกเราก็สามารถเจอหน้าได้ทุกวันอยู่แล้ว
มีครั้งหนึ่ง มู่ลี่ไป๋ไปที่ร้านภาพถ่ายด้วยกันกับเยี่ยฉิน แล้วก็นั่งฟังเพลงอย่างตั้งใจด้วยกันอยู่ในรถของเขา เยี่ยฉินเลี้ยงข้าวมู่ลี่ไป๋เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ระหว่างทางกลับบ้าน เธอลังเลอยู่นานก่อนเอ่ยว่า “รุ่นพี่ พวกเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไปไหม”
มู่ลี่ไป๋ปฏิเสธเธอโดยไม่คิดเลยแม้แต่น้อย “ไม่ได้”
ดวงตาของเยี่ยฉินเปี่ยมด้วยความผิดหวัง ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มงดงามไว้ “อืม เพราะฉันรบกวนรุ่นพี่มากไปแล้ว”
มู่ลี่ไป๋หันมามองเธอ จอดรถข้างทาง จู่ๆ ตาของเยี่ยฉินก็แดง
เพราะว่าไม่ชอบเธอก็เลยจะปล่อยเธอลงกลางทางงั้นเหรอ ถูกไล่ลงจากรถสู้ลงไปเองเสียดีกว่า เยี่ยฉินสูดหายใจลึก ปลดเข็มขัดนิรภัย ขณะที่กำลังจะหันไปบอกลานั้น ก็มีอะไรบางอย่างอุ่นๆ ประกบริมฝีปากของเธอ รสชาติหอมหวานไหลจากปากไปสู่ทุกส่วนของร่างกาย
เธอต้องการจะผลักคนตรงหน้าออกไปด้วยความตกใจ แต่ร่างกายกลับถูกเขาล็อคไว้ระหว่างตัวเขากับกระจกรถ จนกระทั่งสองคนหายใจติดขัด มู่ลี่ไป๋จึงปล่อยเธอ
“คบกับผมนะ”
เธอพยักหน้าอย่างแรงด้วยสีหน้ามีความสุข มู่ลี่ไป๋กัดริมฝีปากของเธอด้วยความดีใจอีกครั้ง
ความรักของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด แต่เวลาที่อยู่ด้วยกันกลับเป็นธรรมชาติมาก พวกเขาก็เหมือนกับคู่รักส่วนใหญ่ในรั้วมหาวิทยาลัย จูงมือกัน ไปเรียน ไปอ่านหนังสือ ไปทำในสิ่งที่ทั้งสองคนชอบทำ ไปออกเดท ไปจูบ ไปตะโกนเรียกคุณน้าที่หอให้เปิดประตู
มู่ลี่ไป๋กำลังอ่านหนังสือแจ้งการศึกษาต่อต่างประเทศ และแอบตัดสินใจเงียบๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาจารย์คนนั้นที่เป็นห่วงเขารีบไปบอกแม่ของเขาหรือเปล่า เสียงคำรามจึงดังมาจากปลายสาย ทำให้มู่ลี่ไป๋รู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
“เพราะเด็กผู้หญิงที่ลูกคบอยู่ตอนนี้ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ครับ”
“งั้นเป็นเพราะอะไร ลูกบอกสิ เพราะอะไรถึงได้ยอมแพ้”
“แม่ ผมไม่ได้ยอมแพ้ เพียงแต่ผมไม่อยากเดินตามทางที่พ่อกับแม่วางไว้ให้ ตอนนี้ผมรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร รู้ว่าตัวเองต้องเดินทางไหน อีกอย่าง ผมคิดว่าทรัพยากรที่นี่ไม่ได้ด้อยกว่าที่มหา’ลัยอื่นเลย ผมไม่มีความจำเป็นต้องไปไกลขนาดนั้นเพื่อชื่อหรอกครับ แม่ไม่เข้าใจเหรอ?”
“ลูกรู้หรือเปล่าวว่าพ่อกับแม่ลงทุนลงแรงไปมากแค่ไหนเพื่อลูก…”
“แม่” เขารีบตัดบทเธอ “ผมยังมีเรียน ไปก่อนนะ”
————
ตอนที่ 147
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 147 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (4)
“จากนั้นล่ะ จากนั้นล่ะ” อี้เป่ยซีกระพริบตาถี่ รอฟังตอนต่อไป
“จากนั้น จากนั้นเยี่ยฉินก็เลิกกับมู่ลี่ไป๋แล้ว มู่ลี่ไป๋เชื่อฟังยายที่บ้านและเดินทางไปเมืองนอก เหมือนได้ยินว่าเยี่ยฉินเองก็ไปเมืองนอก จากนั้นก็เป็นอย่างที่เธอเห็นนี่แหละ”
ลั่วจื่อหานเล่าเรื่องในตอนท้ายจบพอเป็นพิธี อี้เป่ยซีมองเขาตาโต ราวกับว่าต้องการหาส่วนที่เขาไม่ได้เล่าจากน้ำเสียงและท่าทางของเขา
‘มันง่ายแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ เล่าเรื่องอย่างกับเล่าเรื่องสรุปอย่างนั้นแหละ’ เธอเอียงศีรษะมองลั่วจื่อหานต่อไป มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม
“เป่ยซี”
“หืม?”
“เลิกก็คือเลิกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรมันก็เป็นแค่ข้ออ้าง เหตุผลประเภทไม่กล้า หรือว่าทำเพื่ออีกฝ่าย ก็คือไม่ได้รักกันมากพอ”
“แต่เพียงแค่รู้สาเหตุก็จะทำให้พวกเขากลับมาเริ่มใหม่ได้นี่นา ฉันรู้สึกว่า พวกเขายังมีใจให้กันอยู่นะ”
ลั่วจื่อหานกดๆ ขมับ “นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำแล้ว เรื่องผิดใจเป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ใช่ว่าเธอบอกว่าจะช่วยพวกเขาก็จะช่วยได้ เรื่องของมู่ลี่ไป๋เขาจัดการเองได้”
“นาย ไม่ชอบเยี่ยฉินเหรอ?”
“ฉันก็แค่…” เขามองออกไปข้างนอก “เขาไม่คู่ควรกับความดีของมู่ลี่ไป๋”
อี้เป่ยซีคว้ามือของลั่วจื่อหาน ซบอยู่ในอกของเขา
แล้วฉันล่ะ ทำไมฉันมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับนายและไม่คู่ควรกับนายด้วย ตามหาฉันหลายปีขนาดนั้น อยู่กับฉันนานขนาดนั้น ทำเรื่องมากมายเพื่อฉันขนาดนั้น
ลั่วจื่อหาน ฉันควรจะทำยังไงถึงจะดีกับนาย และทำให้นายรู้สึกพอใจได้นะ?
“ใกล้จะเปิดเทอมแล้วใช่ไหม” ลั่วจื่อหานถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อี้เป่ยซีพยักหน้า แล้วถอนหายใจ
“ใช่สิ จะเปิดเทอมแล้ว น่าเบื่อจะตาย”
“เป่ยซี เธอยังอยากเรียนคณะนี้ต่อไหม? ที่จริงมันไม่ค่อยเหมาะกับเธอเท่าไร”
ลั่วจื่อหานนึกถึงตอนที่ติวให้อี้เป่ยซี ทุกอย่างที่เป็นเหตุเป็นผลต่างยุ่งเหยิงและซับซ้อนในสายตาของเธอ การนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ไม่ได้สำคัญต่อกระบวนความคิดของเขามากนัก แต่เขาใช้จินตนาการจากประสบการณ์ในการวิเคราะห์ประเด็นความรู้ เขานวดคลึงศีรษะที่รู้สึกปวดเล็กน้อย แม้จะเข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบาย แต่ว่านิสัยการคิดของเธอมัน…
มันก็พูดยาก ถ้าเธอเรียนเองก็คงจะทรมานมากสินะ
“เรื่องนี้น่ะ ที่จริงแล้ว ฉันก็หาไม่เจอเหมือนกันว่าชอบเรียนอะไร” เธอโบกไม้โบกมือ
เธอคิดว่าเรื่องบางอย่างแค่ตั้งใจเรียนก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ ใครจะรู้ว่าจะมีเรื่องที่ทำเท่าไรก็ไม่เสร็จแบบนี้ แค่รู้สึกว่าของที่สับสนวุ่นวายพวกนั้นจะวางไว้ตรงนี้ก็ได้หรือจะวางไว้ตรงนั้นก็น่าจะโอเคนี่นา ใครจะไปรู้ว่าจะมีเงื่อนไขจำกัดและอันตรภาคมาตรฐานที่มากมายแบบนี้
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจริงๆ
ไม่เรียนแล้ว ไม่เรียนแล้ว ไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบยังจะดีกว่า
“ฉันจะช่วยจัดการให้เธอ”
“หา? จัดการอะไร?”
“สอบย้ายคณะไง จะอะไรอีกล่ะ”
เธอหัวเราะ “อืม ก็ดีนะ”
อี้เป่ยซีมองดูขวดใบเล็กสีน้ำตาลที่อยู่เหนือศีรษะ หยดลงมาทีละน้อย ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมา อี้เป่ยซีซบอยู่บนอกของเขาอย่างเชื่อฟัง
ทำไมถึงยิ่งมีความรู้สึกไม่อยากจากนายไปไหนมากขึ้นเรื่อยๆ
“กินอะไรก่อนแล้วค่อยส่งเธอกลับบ้านดีไหม?”
“ฉันอยากกินกับข้าวฝีมือนาย”
“ได้ งั้นไปที่บ้านฉันก่อน”
รถขับมาถึงสถานที่ที่คุ้นเคย หลังจากลั่วจื่อหานเข้าห้องครัวไปแล้ว อี้เป่ยซีก็ค่อยๆ ย่องขึ้นไปชั้นบน ห้องที่เธอเคยอยู่ก่อนหน้านี้ตอนนี้เป็นห้องของเขา มันสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบและเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของผู้ชาย เธอนั่งลงบนเตียง มองไปรอบทิศก็รู้สึกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม จากนั้นก็เดินไปยังห้องวาดภาพแผ่วเบา ลั่วจื่อหานราวกับว่ากำลังเตรียมแข่งอะไรบางอย่าง บริเวณหน้าต่างถูกล้อมรอบด้วยกระดานวาดภาพ
เธอเดินเข้าไป สเก็ตช์ที่สวยงามนั้นล้วนเป็นบุคคลคนหนึ่ง ภาพขณะนอนหลับ ขณะยิ้มไร้เดียงสา ขณะที่กินข้าว และขณะที่โมโห มันคือการสะท้อนท่าทางของเธอทั้งหมด
มือของเธอสัมผัสเบาๆ “รูปนี้ไม่เหมือน ฉันยิ้มกว้างแบบนั้นที่ไหนกัน”
อี้เป่ยซีครุ่นคิดแล้ว รู้สึกว่าควรจะทำให้มันเท่าเทียมกันสักหน่อย แม้ฝีมือการร่างภาพของตัวเองจะไม่ได้เรื่อง แต่ว่าวาดได้คร่าวๆ ก็พอแล้ว เธอหากระดาษขาวแผ่นหนึ่งจากด้านข้าง หยิบอุปกรณ์วาดภาพบนชั้นแล้วขีดๆ เขียนๆ อยู่คนเดียว แสงอาทิตย์ที่ด้านหลังเธอเปลี่ยนองศาแล้ว
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเห็นว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก ก็เดินเข้าไปที่ห้องวาดภาพโดยตรง พบว่าอี้เป่ยซีกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งที่เขานั่งประจำจริงๆ กำลังแก้ไขอะไรบางอย่างอยู่หน้ากระดานภาพวาด บางทีคิ้วเธอก็ขมวดกัน บางทีก็ผ่อนคลาย บางทีก็บ่นสองสามคำ ในระหว่างที่กำลังติดพันอยู่นั้น แม้เขาเดินเข้าอี้เป่ยซีก็ยังไม่สังเกตเห็น
“เฮ้อ ทำไงดี วาดลั่วจื่อหานซะขี้เหร่ทุกครั้งเลย” เธอกำลังจะหยิบยางลบขึ้นมาลบ แต่มือกลับถูกบางอย่างกอดเอาไว้แน่น เธอตกเข้าสู่อ้อมกอดของเขาแล้ว
“ไม่ต้องแล้ว มันสวยมากเป่ยซี ฉันก็หล่อมากด้วย”
“นายรังเกียจที่ฝีมือฉันแย่มากใช่ไหม?”
“เปล่า ฉันแค่ไม่ชอบที่เธอขาดอะไรไปบางอย่าง” พูดจบ ลั่วจื่อหานก็จับมือขวาของอี้เป่ยซี พูดขึ้นข้างหูของเธอ “วาดตามมือของฉัน”
สองมือที่กำอยู่ด้วยกันเริ่มร่างภาพที่พวกเขามีร่วมกันในใจบนกระดาษสีขาวดำ เพียงแค่ตวัดไปมาไม่กี่ครั้ง ภาพวาดตรงหน้าก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ลั่วจื่อหานที่บ้าคลั่งจูงมือขออี้เป่ยซี ผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาวพริ้วไหวอยู่ในสายลม ด้านหลังของพวกเขาคือแสงอาทิตย์สีทอง
“ฉันยังไม่เคยพูดว่าจะแต่งงานกับนาย”
“ฉันแค่คิดว่าพูดแบบนี้ดีกว่า ไม่มีความคิดอื่น”
“ไม่มีเหรอ?”
“ถ้าจะให้พูดก็มีอย่างอื่นนิดหน่อย” ลั่วจื่อหานดึงร่างของอี้เป่ยซีเข้ามา จูบบนริมฝีปากของเธอ เสียงที่ทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหูเธอ “เจ้าหานน้อยคิดถึงเธอมาก”
แก้มของอี้เป่ยซีแดงก่ำทันที ผลักลั่วจื่อหานออกไปแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง ทำทีเป็นนั่งอย่างสงบที่โต๊ะอาหารแล้วก้มหัวกินข้าว ลั่วจื่อหานนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ คีบกับข้าวลงในถ้วยของเธอเป็นครั้งคราว
“พี่!” เสียงแหลมที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้ทั้งสองคนขมวดคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสองมองไปยังแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หลิงจื่อเซี่ยก้าวเท้ายาวๆ มาหาอี้เป่ยซี
“ปากก็พูดว่าไม่สนใจพี่ชายฉัน แล้วตอนนี้เธอกำลังทำอะไร?”
“หลิงจื่อเซี่ย พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่ามาที่นี่อีก”
“แต่ว่าพี่คะ พี่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว แม่ก็กลับไปแล้ว ฉันอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นคนเดียว ฉันก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ”
“มีลุงสวี่อยู่เป็นเพื่อนเธอ”
หลิงจื่อเซี่ยแอบหยิกตัวเอง “พี่คะ ลุงสวี่ก็เป็นแค่คุณลุง จื่อเซี่ยก็คิดถึงพี่เหมือนกันนะ แล้วยังทำไมพี่จื่อหานถึงมาอยู่กับเขา อี้เป่ยซีเป็นคนยังไง พี่จื่อหานไม่รู้เหรอ? เขาเคยทำอะไรไว้…”
“พอได้แล้ว” ลั่วจื่อหานขัดจังหวะเธอด้วยความโมโห แม้แต่อี้เป่ยซีที่อยู่ข้างๆ ก็หดตัวเนื่องด้วยความโกรธของเขา “จะให้พี่ส่งเธอกลับไปไหม?”
“คืนนี้ฉันจะอยู่ที่นี่”
“ที่นี่มีแค่ห้องเดียว ไม่มีที่ให้เธออยู่”
“งั้นพี่ก็ให้เขากลับสิ” หลิงจื่อเซี่ยชี้ไปที่อี้เป่ยซี นิ้วมือสั่นเทาด้วยความโกรธ
อี้เป่ยซีมองไปที่ลั่วจื่อหาน เห็นเขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เธออยากนอนห้องเดียวกับลั่วจื่อหานเหรอ?”
“ถ้าเธอกลับฉันก็กลับ”
เธอพยักหน้า “รอให้ฉันกินเสร็จก็กลับแล้ว” หลิงจื่อเซี่ยคิดไม่ถึงว่าเธอจะตอบเร็วแบบนี้จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อี้เป่ยซียังคงกินอย่างเชื่องช้า
————
ตอนที่ 148
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 148 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (5)
อี้เป่ยซีกินไปเพียงไม่กี่คำ ก็รู้สึกว่ากินไม่ลงแล้ว ดึงลั่วจื่อหานออกไปทันที ทิ้งให้หลิงจื่อเซี่ยยังคงยืนงงอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
มันง่ายขนาดนั้นเลย เธอสามารถไล่อี้เป่ยซีออกไปจากห้องของพี่จื่อหานได้ง่ายมาก เธอมองดูห้องที่ว่างเปล่า ในใจรู้สึกไม่ดีมาก นี่คือสิ่งที่เธอต้องการจะทำ แต่มักจะรู้สึกว่ามันมีปัญหาตรงไหนสักแห่ง
เธอมองดูเก้าอี้ที่ว่างเปล่า ขาอ่อนเล็กน้อย กดโทรออกไปหาหมายเลขหนึ่งด้วยความสั่นเทา
อารมณ์ของอี้เป่ยซีก็พูดไม่ได้ว่าดีมาก นั่งอยู่บนรถไม่พูดไม่จา และไม่ต้องการสนใจคนข้างๆ จึงมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่า หน้าต่างลดถูกเปิดในทันใด สายลมปะทะใบหน้าของอี้เป่ยซี
“นายตั้งใจ!”
“อย่าโมโหเลย แค่ระบายลม”
“นายมันน่ารังเกียจที่สุด”
“เมื่อก่อนไม่สนใจคำพูดของจื่อเซี่ยไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ประโยคเดียวถึงกระตุ้นเธอได้ขนาดนั้นล่ะ?”
อี้เป่ยซีหันหน้าไปอีกทาง “เปล่าซะหน่อย มีอะไรน่าโมโหเหรอ ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ฉันกลับอยากให้เธอใจแคบซะอีก”
“งั้นนายก็จะใช้ชีวิตอย่างลำบากมาก คุณอาลั่ว”
“หายโกรธแล้วเหรอ?”
“เปลี่ยนล็อคประตูเถอะ”
ลั่วจื่อหานคิดอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบในทันที อี้เป่ยซีนึกว่าเขากำลังลังเล จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง “เป่ยซี ฉันนึกว่าเธอจะกลับไป”
ฉันนึกว่าเธอจะกลับไป ฉะนั้นล็อคประตูจึงยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน
ฉันนึกว่าเธอจะกลับไป ฉะนั้นของทุกอย่างจึงยังไม่เปลี่ยนแปลง
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เคยคิดที่จะกลับไปเลยสักครั้ง ฉันเคยหวังไร้สาระว่าสักวันหนึ่งเมื่อกลับถึงบ้าน จะเจอเงาที่คุ้นเคย ฉันนึกว่าการเก็บรักษาสิ่งที่เธอชอบก็จะสามารถรักษาเธอได้
“ทำไมนายถึงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนไอ้ขวัญรอไอ้เรียมอยู่อย่างโดดเดี่ยวยังไงยังงั้นเลย” อี้เป่ยซีหวั่นไหว เข้าใกล้เขาแล้วยิ้ม ลั่วจื่อหานรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมของเด็กสาวที่อบอวลอยู่ข้างกาย อารมณ์ก็เบิกบานอย่างอดไม่ได้ ราวกับพายุลูกเล็กนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้วจริงๆ
เมื่อลั่วจื่อหานส่งอี้เป่ยซีกลับถึงบ้าน คุณแม่อี้กับอี้เป่ยเฉินก็กินอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว อี้เป่ยซีลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ลั่วจื่อหานเข้าไปด้วยกันกับเธอ
“นายรีบกลับไปเถอะ อย่างลืมเปลี่ยนล็อคล่ะ”
“อืม”
“แล้วก็” อี้เป่ยซีเข้าไปใกล้แล้วหอมแก้มเขา “อย่าลืมให้กุญแจฉันล่ะ”
ลั่วจื่อหานกอดเธอ “โอเค”
วันเปิดภาคเรียนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อี้เป่ยซีรู้สึกว่าพลังของตัวเองน้อยลงทุกวันๆ ปิดภาคฤดูร้อนนี้เธอไม่ได้ทำอะไรเลย การที่มันผ่านไปแล้วช่างชวนให้น่าเสียดายที่ไม่ได้รักษามันไว้ให้ดี
เมื่อถึงวันที่เปิดเรียนจริงๆ ตอนแรกอี้เป่ยซีนึกว่าวันแรกนั้น เพียงแค่อ้อยอิ่งเรื่อยเปื่อยก็จะผ่านไปเหมือนทุกที ใครจะรู้ว่าทันทีที่เข้าประตูมหาวิทยาลัยก็ได้รับแจ้งเรื่องการสอบย้ายคณะแล้ว
ต่อให้เธอแข็งแกร่งดังเหล็กกล้า ก็ไม่สามารถปรับตัวตามได้เร็วขนาดนั้นหรอก ถ้าสอบได้ไม่ดี ก็ไม่เท่ากับว่าทำให้ลั่วจื่อหานขายหน้าหรอกหรือ
เชอะ แล้วก็หน้าของตัวเองด้วย
ยังดีที่ภาคเรียนก่อนเธอทำผลการสอบได้ไม่เลว เธอสามารถเข้าสอบย้ายคณะได้ตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย วิชาภาษาอังกฤษก็นับว่าแข็งแรง ตอนที่สอบจึงไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายนัก แต่ที่ทำให้เธอประหลาดใจที่สุดก็คือ ทำไมต้องสัมภาษณ์ในช่วงบ่ายด้วย
แม้ในใจจะไม่ค่อยยินดีนัก อี้เป่ยซีก็ยังลากสังขารอันอ่อนล้าไปยังอาคารสำนักงานแล้ว การสอบครั้งนี้ลั่วจื่อหานทำเพื่อเธอเป็นพิเศษ ขณะที่เข้าสนามสอบ อี้เป่ยซียังรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
มีอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจกับพฤติกรรมนี้ บางคนก็ข่มเอาไว้ บางคนก็ถามคำถามที่เฉียบคมเป็นอย่างมาก อี้เป่ยซีตอบคำถามทีละข้อ ใบหน้ามีรอยยิ้มที่นอบน้อมตลอดเวลา
ทำไมเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากเรียนปีหนึ่งซ้ำ ก็ไม่ยอมทำเรื่องแบบนี้หรอกนะ
อาการของเธอคงดูฝืนใจที่จะสบตากรรมการ เมื่ออี้เป่ยซีเห็นพวกเขาพยักหน้าแล้วจึงออกไปอย่างโล่งอก ทันทีที่ออกไปก็รอแทบไม่ไหวโทรหาลั่วจื่อหาน
“เป็นไงบ้าง”
“ก็โอเค แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าทำแบบนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไร”
“คุณสมบัติเธอไม่ตรงกับกฏการย้ายคณะเหรอ?”
“เอ่อ ตรงทุกอย่าง”
“แล้วมันไม่ดีตรงไหน คืนนี้ว่างไหม?”
อี้เป่ยซีมองนาฬิกา “ไม่ได้ วันนี้ต้องกินข้าวกับคุณแม่อี้ เขาบอกว่าจะอยู่ประเทศ C อีกไม่กี่วันก็จะกลับแล้ว”
“อ๋อ”
“เขาน่าจะอยากอยู่ถึงวันเกิดพี่ชาย”
“เมื่อไร?”
“ยี่สิบเจ็ดกันยา”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “โอเค ฉันรู้แล้ว”
เมื่อวางสาย อี้เป่ยซีก็คิดอยากกลับไปนอน เพิ่องออกจากรั้วมหาวิทยาลัยก็เห็นรถของลั่วจื่อหานจอดอยู่หน้าประตู เธอวิ่งกระโดดเข้าไป เปิดประตูรถ
“ทำไมนาย…”
“ยินดีด้วยนะ” อี้เป่ยซีรับกล่องที่ลั่วจื่อหานยื่นมาให้ ดวงตาเป็นประกาย
“ว้าว ให้ฉันเหรอ?”
“เปิดดูสิ”
อี้เป่ยซีพยักหน้าหงึกหงัก เปิดกล่องด้วยความระมัดระวังมาก มันคือนาฬิกาข้อมือสั่งทำอันละเอียดอ่อน เธอมองไปที่นาฬิกาของลั่วจื่อหานโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะสังเกตเห็นสายตาของอี้เป่ยซี ลั่วจื่อหานจึงตั้งใจขยับข้อมือ และเป็นไปตามคาดจริงๆ
มันคือนาฬิกาของคู่รัก
“ช่วยฉันใส่ไหม?”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า ใส่นาฬิกาที่ข้อมือซ้ายของเธอด้วยความพิถีพิถัน สายรัดข้อมือสีฟ้าเข้ากับผิวที่อ่อนโยนของเธอ ยิ่งเผยความบอบบางอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้อ…” เขาส่ายหัว
“เป็นอะไรไป?”
“ผอมเกินไปแล้ว”
“ทำไม นายปวดใจหรือไง?”
“อืม” ลั่วจื่อหานนวดคลึงศีรษะของเธอ อี้เป่ยซีดึงข้อมือของลั่วจื่อหานมาอยู่ตรงหน้าของเธอ แล้วเปรียบเทียบกับของตัวเอง
“ก็โอเคแหละ ตรงข้ามกับนายพอดี” เธอยิ้มเหมือนเด็ก ลั่วจื่อหานเชิดคางของเธอขึ้น
“ไม่เจอกันสองสามวัน พูดจาเก่งขึ้นทุกทีแล้ว”
เธอเงยคางขึ้นอย่างว่าง่าย “ใช่แล้ว นายยังไม่พอใจเหรอ” พูดพลางเล่นหูเล่นตากับเขา ลั่วจื่อหานหลับตา หลังจากจูบปากของเธออย่างดุเดือดแล้วก็จูบที่หูของเธอ “พอใจมาก”
“เอาล่ะ เอาล่ะ” อี้เป่ยซีตบๆ ไหล่ของเขา “ไม่ต้องรักฉันมากเกินไป ขับรถเถอะ”
“โอเค”
รถมาจอดที่หน้าประตูจิ่นหยวน อี้เป่ยซีกระโดดโลดเต้นเข้าบ้านไป ทุกการกระทำเผยให้เห็นความสุขของเธอ
ลั่วจื่อหานมองดูเงาของเธอที่ค่อยๆ ไกลออกไป มุมปากก็ยกยิ้มโดยไม่รู้ตัวแล้ว
หรือว่าช่วงเวลาที่ดีก็คือแบบนี้สินะ
ข้างกายเขามีเธอ ข้างกายเธอมีเขา ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในทุกๆ วัน
เขามองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ต้องการจะขับรถจากไป แต่กลับมีผู้หญิงในชุดแดงคนหนึ่งยืนอยู่หน้ารถของเขา พร้อมความกล้าที่เข้ามาขวางรถ เขาไม่ได้ลงจากรถ ลดมือลง มองคนที่อยู่เบื้องหน้า ผู้หญิงคนนั้นก็รวบรวมความกล้าเดินมาข้างหน้าต่าง เคาะกระจกรถด้วยความใจร้อน
ลั่วจื่อหานค่อยๆ ลดกระจกลง ได้ยินเสียงหายใจหอบที่คุ้นเคย คิ้วผูกกันแน่น “คุณมีอะไรอีก”
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน คุณคบกับอี้เป่ยซีจริงๆ เหรอ?”
“ไม่เกี่ยวกับคุณมั้ง ไม่อะไรก็รีบพูด”
เธอเบะปากบ่นพึมพำสองสามคำ “ก็แค่อยากบอกคุณว่าดูแลอี้เป่ยซีให้ดี อย่าให้เขาไปกวนพี่สาวฉัน ตอนนี้พี่สาวฉันไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว เขาทนการรบกวนไม่ไหว” พูดจบก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว…
————
ตอนที่ 149
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 149 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (6)
เช้าวันต่อมาอี้เป่ยซีก็ไปรายงานตัวที่คณะวรรณกรรม เธอยังไม่ทันเดินเข้าไปในสำนักงานของคณะก็ได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบกัน
“ได้ข่าวว่าเปิดสอบให้เฉพาะเลย”
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าเป็นใครถึงได้เดินเข้าทางลัดแบบนี้”
“คงไม่ได้เป็นคนแบบหลิงจื่อเซี่ยนั่นหรอกนะ วันๆ หยิ่งยังกะอะไรดี ไม่รู้ว่าใครไปติดค้างเธอ”
“ไม่แน่ว่าอาจมีความสามารถมาก ก็เลยเป็นข้อยกเว้นล่ะมั้ง” มีเสียงที่คุ้นเคยค่อยๆ ดังขึ้น “ในเมื่อเป็นวิชาของฉัน พวกเธอก็ไม่ต้องห่วงหรอก”
ไม่รู้ว่าใครถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เยี่ยฉิน เธอนี่อารมณ์ดีจังเลยนะ”
“เปล่าหรอก” เยี่ยฉินเปิดประตูสำนักงานออก ก็เห็นอี้เป่ยซีที่หน้าประตูทันที เธอยิ้มให้กับเยี่ยฉิน
“สวัสดีค่ะอาจารย์ที่ปรึกษา ฉันมารายงานตัว”
“เธอ เธอเองเหรอ”
อี้เป่ยซีพยักหน้า “นอกจากฉันแล้ว ยังจะมีใครที่มีความสัมพันธ์และมีสิทธิพิเศษแบบนี้ล่ะคะ” นักศึกษาเหล่านั้นมองหน้ากัน ทุกคนต่างกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำธุระของตัวเองไป และยังมีเสียงคุยถึงเรื่องที่เรียน อี้เป่ยซีส่ายหัว
“อาจารย์คะ เท่านี้แหละค่ะ ฉันกลับไปเรียนได้แล้วยัง?”
“ได้ ฉันจะพาเธอไป”
“ค่ะ” เธอหอบหนังสือ เดินออกจากสำนักงานพร้อมกับเยี่ยฉิน
เยี่ยฉินที่อยู่ข้างๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยปากอย่างไร สุดท้ายก็กัดฟันพูด “เป่ยซี เธอ…”
เธอมองเยี่ยฉิน ดวงตามีความสดใสที่ส่องผ่านทุกอย่าง จู่ๆ เยี่ยฉินรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เธอส่ายหัว
“เยี่ยฉิน เธอ กับมู่ลี่ไป๋ มีเรื่องกันใช่หรือเปล่า ทำไม สุดท้ายแล้วเธอ ถึงยอมแพ้ล่ะ” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง “ลั่วจื่อหานบอกว่า ที่ยอมแพ้ เพราะว่ารักกันไม่พอ อีกอย่าง ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับมู่ลี่ไป๋ ลั่วจื่อหานก็เลยไม่ชอบเธอเป็นพิเศษ”
เยี่ยฉินหัวเราะขมขื่น รู้สึกว่าแก้มของตัวเองอ่อนล้าเล็กน้อย “ใช่แล้ว คงเป็นเพราะฉันรักเขาไม่พอจริงๆ”
“แล้วจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
“เป่ยซี ถ้าเธอมีความสุขล่ะก็ จะต้องมีความแน่วแน่ เพราะว่าความรักที่ไม่มีอุปสรรคแบบพวกเธอน่ะ มีไม่มากหรอก ฉันขออวยพรให้เธอกับลั่วจื่อหานมีความสุขนะ”
อี้เป่ยซีหยุดอยู่ด้านข้าง ส่ายหัว “ไม่ใช่นะ ตอนนี้คิดดูแล้ว ตัวฉันเมื่อก่อนอาจเป็นเหมือนที่ลั่วจื่อหานพูดว่าเปลี่ยนไม่มากพอ ระหว่างพวกเราก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เธอคิดหรอกนะ ทุกคนต่างมีอีกด้านที่คนอื่นมองไม่เห็น ถ้าไม่มีคนหัวเราะเยาะ ก็มีคนที่อยู่ด้วยกันได้ พวกเขาก็เหมือนเรือใบที่แล่นผ่านไป”
“เธอคิดจะยอมแพ้จริงเหรอ?”
เยี่ยฉินเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ไม่สนใจดวงตากลมโตของอี้เป่ยซี “ถ้าเธอยังไม่ไปอีกจะสายเอานะ”
“อืม” เธอก้มหน้าเดินอยู่ข้างๆ เยี่ยฉิน ไม่ได้พูดอะไรอีก บางทีลั่วจื่อหานพูดถูก เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา และไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเลิกกัน ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้หรอก
แต่ว่า เธออยากช่วยพวกเขามากจริงๆ นะ
ไม่อยากเห็นคนที่ตัวเองชอบต้องเสียใจ และไม่อยากให้คนที่อยู่ข้างกายต้องพลาดความสุขที่ได้มาไม่ง่ายเพียงเพราะเหตุผลที่ไร้สาระพวกนั้น
การที่ได้เจอคนที่ตัวเองชอบ มันยากมากนะ
“จริงสิ เป่ยซี ฉันมีแฟนแล้ว ก็คือคนนั้นที่เธอเห็นคราวก่อน เป็นลูกศิษย์ของพ่อฉัน”
“หา” เธอไปเห็นแฟนของเยี่ยฉินตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมเธอถึงไม่รู้
เยี่ยฉินเห็นอาการงุนงงของอี้เป่ยซี เคาะๆ หัวของตัวเอง “ความจำฉันนี่แย่จัง คราวก่อนเธอเมา น่าจะจำอะไรไม่ได้เลยมั้ง”
เมาเหรอ ครั้งนั้นที่เจอกับมู่ลี่ไป๋น่ะเหรอ? เหมือนกับว่าพวกเขาไปดื่มด้วยกัน เหมือนกับว่าเธอร้องเพลง ได้เห็นเยี่ยฉินหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ว่าเหมือนกับเกิดเรื่องอะไรบางอย่าง
เกิดอะไรบางอย่าง…อี้เป่ยซีได้ยินเสียงแตรที่ดังอยู่ข้างถนน จู่ๆ ชิ้นส่วนภาพที่แตกหักก็ผ่านวูบเข้ามาในสมอง
เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว ทำไมเธอยังจำได้อยู่อีก อี้เป่ยซีกุมหัว รู้สึกเหนื่อยหน่ายมาก เธอเคยมีปัญหากับความทรงจำครั้งนึง อาการป่วยจะคงอยู่แบบนี้ตลอดไปเหรอ?
“เป่ยซี เธอเป็นอะไรไป ทำไมหน้าแดงแบบนี้”
อี้เป่ยซีได้ยินเยี่ยฉินแล้ว หน้ายิ่งแดงกว่าเดิม ราวกับว่ามันกำลังเผาไหม้ เธออ้ำๆ อึ้งๆ “เปล่า…ก็แค่…คือว่า ตื่นเต้นนิดหน่อย ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
เมื่อมาถึงอาคารเรียน อี้เป่ยซีก็วิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็วและนั่งที่แถวสุดท้ายของห้องเรียน เธอเปิดกระเป๋าก็พบว่ามีสมุดบันทึกใหม่เอี่ยมสองสามเล่มอยู่ด้านใน ชั้นนอกสุดของกระเป๋าใบเล็ก มีปากกาหมึกซึมสีเงินนอนอยู่ มีตัวอักษร ‘หาน’ ที่เขียนอย่างสวยงามอยู่บนฝาปากกา ทันทีที่เห็นก็ดูออกว่าเป็นลายเส้นของใคร หัวใจของอี้เป่ยซีรู้สึกหวานขึ้นฉับพลัน
‘ช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ’ เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ฟังอาจารย์บรรยายอย่างตั้งใจ
เมื่อเยี่ยฉินกลับถึงห้องทำงานก็ไม่มีสมาธิเลย เธอเปิดๆ ปิดๆ เอกสารที่อยู่ในมือ สักพักปากกาก็ตกพื้น สักพักก็หาข้อมูลที่ตัวเองต้องการไม่เจอ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เธอมองตัวอักษรสีขาวดำบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้นความสนใจทั้งหมดก็หายไป
อ่านหนังสือก็เบื่อ ทำงานก็เบื่อ เดินทางก็เบื่อ กินอะไรก็เบื่อ ทุกอย่างน่าเบื่อไปหมด เธอมองเห็นสีขาวดำที่เด้งขึ้นมาหน้าจอ มันแพร่กระจายไปในชีวิตของเธอ ความสว่างไสวทั้งหมดได้ถูกกลืนกิน และเธอเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ความรู้สึก
เธออยากจะฟุบลงบนโต๊ะแล้วปล่อยโฮ แต่ว่าเธอไม่ได้ทำ เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ตอนนี้เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ควรทำตัวเหมือนเด็กๆ อีกที่ปล่อยให้ชีวิตถูกรบกวนด้วยอารมณ์ และปล่อยให้ความรักนำพาพฤติกรรม เธอยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นิ้วมือพิมพ์คำอัตโนมัติ สีหน้าไร้ความรู้สึก
เธอราวกับว่าอยู่ที่นี่ แต่ก็ราวกับว่าไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอดูเหมือนศพที่ไร้อารมณ์ใดๆ นั่งอยู่ที่นั่งของตัวเอง ควรในสิ่งที่เธอควรทำ
ไม่รู้ว่าใครทำแก้วของเธอคว่ำ เสียงแตกกระจายที่ดังสนั่นทำเอาเยี่ยฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงครึ่งหนึ่งนั้นร่วงลงมาอย่างแรง เธอเห็นตัวอักษรสีดำเริ่มแทรกซึมอยู่บนกระดาษสีขาว กลายเป็นรอยเปื้อนสีดำและพร่ามัวทีละน้อยๆ เธอลูบคลำใบหน้าของตัวเอง
เยี่ยฉิน มันผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังปล่อยวางไม่ได้ หรือว่าเธอยังไม่รู้เหรอว่าเธอไม่เคยอยู่ในแผนชีวิตของเขาเลย เขาไม่เคยคิดที่จะให้เธอมีส่วนร่วมเลย
เธอเป็นเพียงฉากหลังในชีวิตของเขา เหมือนร้านค้าทั้งหมดที่เขาเดินเข้าไป อาจจะหยุดชมว่าสวย แต่กลับไม่พาเธอไปและไม่อยู่ต่อ
เยี่ยฉิน ทำไมเธอยังมองออกไม่ออกอีกเหรอ
เธอปีนขึ้นมาบนโต๊ะแล้วร้องไห้อย่างอดไว้ไม่ไหว และไหล่ก็สั่นเทิ้ม
จะพูดได้อย่างไรว่าเธอรักไม่มากพอ จะมีใครรู้ว่าเธอเจออะไรมาบ้างก่อนที่จะปล่อยมือ ถ้าหากอยู่ด้วยกันได้ ใครจะยอมปล่อยมือล่ะ
คนอื่นไม่เข้าใจแต่มู่ลี่ไป๋คุณก็ไม่รู้เหรอ ถ้าหากคุณรู้ทำไมตอนนี้คุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ทำไมถึงเย็นชากับฉันเพียงนี้ ทำไมถึงไม่ยอมมาหาฉัน
เพราว่าคุณไม่ยอมให้ฉันเดินเข้าไปในชีวิตของคุณจริงๆ เหรอ?
ถ้าอย่างนั้นที่เคยพูดเมื่อก่อนเป็นเพียงคำหลอกลวงฉันงั้นเหรอ?
————
ตอนที่ 150
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 150 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (7)
เยี่ยฉินนึกถึงคำพูดที่แม่ของมู่ลี่ไป๋บอกเธออีกครั้ง ที่แท้เขาก็เพียงแค่อยากลองทุกอย่างก่อนไปก็เท่านั้น กับใครก็ได้ เพียงแค่เธอปรากฏตัวขึ้นพอดี
มันเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นทั่วไปก็เท่านั้น คุณหนูเยี่ยก็น่าจะเข้าใจนะ ลูกชายของฉันอยากเป็นศัลยแพทย์ที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ ดังนั้นเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองต้องการ อะไรคือสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ
คุณหนูเยี่ยเป็นคนสวย แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นใครที่เก็บของสวยๆ แต่ไร้ประโยชน์ไว้ข้างกายหรอกนะ ชื่นชมจนพอใจแล้วก็ทิ้ง ท้ายที่สุดแล้วมันเปลืองพื้นที่มากเกินไป
มู่ลี่ไป๋เป็นคนขอร้องให้ฉันมาพูด อย่างแรกเลยพวกเราก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ฉันเข้าใจความคิดของคุณหนูเยี่ยดี ฉันไม่มีอะไรต้องกังวลที่มาบอกคุณ คุณก็จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดด้วย แต่ว่าเขาน่ะไม่ได้เลย มู่ลี่ไป๋เขาเป็นเด็กดี เขาไม่อยากทำร้ายคุณ และเขาก็รู้สึกขอบคุณที่คุณอยู่ข้างเขาตลอดเวลามานี้
แต่ถ้าคุณหนูเยี่ยรู้สึกคับข้องใจ คุณต้องการอะไรขอแค่บอกมา พวกเราจะชดเชยคุณอย่างสุดความสามารถแน่นอน
ให้มู่ลี่ไป๋มาเจอฉัน
เยี่ยฉินจำได้ว่าเธอพูดประโยคนั้นตลอดเวลา “ให้มู่ลี่ไป๋มาเจอฉัน” เธอมองไม่เห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งของหญิงวัยกลางคนคนนั้น ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะดูถูกข้างหู เธอต้องการเจอมู่ลี่ไป๋ ตอนนี้เดี๋ยวนี้ เธอต้องการถามเขา ว่าเขาคบกับเธอเพราะเหตุผลพวกนั้นจริงเหรอ เขาไม่เคยคิดที่จะให้เธอแม้แต่เศษเสี้ยวพื้นที่ในแผนชีวิตของเขาเลยจริงเหรอ
เมื่อเธอได้สติกลับมา คนรักของตัวเองก็จากไปแล้ว ตอนนี้เธอตามไปไม่ทันแล้ว ตอนที่เธอติดต่อเขา ก็ได้ยินเพียงคำพูดของที่เย็นชาของเขา
ยังจะไปให้ตัวเองขายหน้าอีกเหรอ ครั้งสองครั้งเป็นแบบไหน สิบกว่าครั้งก็เป็นเหมือนเดิม เธอทำได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น เยี่ยฉินคิดอยู่ตลอด เป็นเพราะว่าเธอทำไม่ดีจริงๆ หรือเปล่า เธอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะยืนอยู่ข้างเขาจริงเหรอ
หลังจากนั้นก็ได้ยินเพื่อนสนิทของเขาบอกว่า มู่ลี่ไป๋ตัดขาดจากครอบครัวเพื่อตามหาเธอ เขาอยู่ข้างนอกเพียงลำพังราวกับคนบ้าจนแทบจะพลิกแผ่นดินเมือง A อยู่แล้ว แต่สุดท้ายเขาก็จากไปโดยไม่รู้สาเหตุ
บางทีนี่ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่คุณชายใหญ่อยากสัมผัสก็ได้ เยี่ยฉินคิดในใจ เจ้าสิ่งนั้นที่เต้นตุบๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดอีกครั้ง ทำได้เพียงบอกลาเท่านั้นนี่นา มู่ลี่ไป๋ ฉันไม่ได้ทำผิดต่อคุณ คุณก็ไม่ได้ทำผิดต่อฉันสินะ
หรือบางทีฉันอาจจะไม่เข้าตาคุณจริงๆ ล่ะมั้ง ไม่คู่ควรที่คุณจะชอบ
จู่ๆ เยี่ยฉินก็อยากหัวเราะ ประเภทที่แบบกลั้นไม่ไหว ไหล่ของเธอสั่นไหวรุนแรงเป็นจังหวะเนื่องจากการหัวเราะ เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างตบๆ ไหล่ของเธอด้วยความเป็นห่วงมาก “เยี่ยฉิน เธอเป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร แค่นึกถึงเรื่องที่ตลกมาก”
เป็นเรื่องที่ตลกมาก ทั้งๆ ที่เธอคนที่เสียใจ แต่เธอยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ รู้สึกว่าตัวเองต่างหากที่ทำให้เขาเสียใจ
ทั้งๆ ที่เขามู่ลี่ไป๋เล่นกับความรู้สึกของเขาอยู่เบื้องบน แต่ว่าทำไม ตัวเองกลับเกลียดไม่ลงกันนะ เกลียดเขาไม่ลงเลย
“เยี่ยฉิน เธอร้องไห้เหรอ”
“อืม หัวเราะจนร้องไห้น่ะ เธออย่าสนใจฉันเลย ให้ฉันหัวเราะต่ออีกหน่อย” เยี่ยฉินเท้าสะเอวหัวเราะอีกสักพักจนกระทั่งร่างกายไร้เรี่ยวแรง เธอจึงขยี้ตาแดงก่ำ ขอลาหยุดกับผู้อำนวยการแล้วจากไป
ได้เวลาที่ตัวเองจะออกไปผ่อนคลายเปลี่ยนอารมณ์สักหน่อยแล้ว
“เสี่ยวเยา ออกมากับพี่สาวเถอะ พี่จะพาเธอไปดื่มเหล้าดอกไม้”
“ได้เลยพี่ฉิน”
เดิมทีบ่ายนี้อี้เป่ยซีต้องการจะไปหาเยี่ยฉินเพื่อขอโทษเรื่องเมื่อเช้า เธอคิดอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดของลั่วจื่อหานนั้นรุนแรงและเหมือนฟังความข้างเดียวเกินไป เขารู้จักกับมู่ลี่ไป๋ที่ประเทศ U ไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ได้ยินความจริงจากมู่ลี่ไป๋เพียงฝ่ายเดียวสิ แต่ว่าความจริงอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้
เมื่อได้รู้ข่าวว่าเยี่ยฉินลางาน อี้เป่ยซีก็ผิดหวังเล็กน้อย
“ฮัลโหล”
“เป่ยซี ฉันอยู่ใต้ตึกเรียนของเธอน่ะ” อี้เป่ยซีมองลงมาจากกระจกตรงทางเดิน แต่เนื่องจากแผนผังของตึก จึงมองไม่เห็นรถของลั่วจื่อหาน
“ทำไมนายจู่ๆ มาที่มหา’ลัยฉันล่ะ?”
“มากินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนเธอ”
อี้เป่ยซีรีบเดิน “ไม่ต้องลำบากแบบนี้หรอก ช่วงนี้นายยุ่งมากไม่ใช่เหรอ?”
“คนที่ยุ่งคือเธอต่างหาก พวกเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว”
เธอไม่ทันระวัง มือไปชนกับบันไดเข้า อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึก
“เป็นอะไรไป”
“มือไปชน ไม่มีอะไร”
“ซุ่มซ่ามจริง”
“ติดเชื้อซุ่มซ่ามมาจากนายนั่นแหละ” อี้เป่ยซีเดินมานอกอาคาร บิดเอวสองสามรอบ ก็เห็นว่าวันนี้ลั่วจื่อหานแต่งตัวตามสบาย ยืนพิงอยู่ที่รถคุยโทรศัพท์กับเธอ ทันใดนั้นมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของอี้เป่ยซี
ความงามในที่สูงเปรียบเสมือนหยกในขณะที่ชายหนุ่มรูปงามไม่สามารถเทียบได้กับโลกใบนี้ น่าจะหมายถึงฉากตรงหน้านี้ล่ะมั้ง เธอเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ราวกับว่าเดินเข้าไปในภาพวาด ยื่นมือโอบเอวของลั่วจื่อหาน
“เป็นอะไรไป?”
“ดูว่านายกินจนอ้วนแล้วหรือเปล่า”
“……”
ระหว่างที่กินข้าว อี้เป่ยซีต้องการจะถามเรื่องอะพาร์ตเม้นต์ที่อยู่ด้านข้างมหาวิทยาลัย เมื่อเห็นว่าลั่วจื่อหานไม่ค่อยพอใจ ก็รีบข้ามหัวข้อนี้ไปทันที
นายไม่ยอมให้ฉันหา งั้นฉันให้คนอื่นช่วยฉันหาก็ได้
“วันชาติมีแผนอะไรหรือเปล่า”
“วันชาติเหรอ” อี้เป่ยซีครุ่นคิด ส่ายหัว “ทำไมล่ะ อยากนัดฉันออกไปหรือไง งั้นนายก็ต้องรีบหน่อยนะ มีคนจะนัดฉันเยอะเลย”
“นั่นสิ ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่อี้จะไว้หน้าผู้น้อยคนนี้ได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้” เธอหัวเราะ “คราวนี้คุณหนูใหญ่อี้จะชวนเจ้าออกไป ได้หรือไม่ท่านผู้น้อย”
“ไม่ทราบว่าคุณหนูคิดจะพาผู้น้อยไปไหน?”
เธอครุ่นคิด “สวนสนุกในฝัน ไม่รู้ว่าท่านผู้น้อยจะพอใจหรือไม่”
“สวนสนุกในฝัน เกี่ยวพันกันทุกคืน ดีมาก ดีมาก”
“เชอะ นายนี่หน้าไม่อายจริงๆ”
ลั่วจื่อหานเลือกปลามาใส่ไว้ในจานของเธอแล้วหัวเราะ ทันใดนั้นอี้เป่ยซีก็นึกถึงคืนที่ตัวเองเมา ไม่กล้ามองลั่วจื่อหานเล็กน้อย
ทำก็ทำไปแล้ว เธอจะมาเขินอะไรเอาป่านนี้ อีกอย่าง ก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ลั่วจื่อหานก็ดูเหมือนว่าจะจำเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว
เขาจะต้องแยกระหว่างความฝันกับความจริงไม่ออกแน่ๆ ใช่ เป็นเพราะเหตุผลนี้แหละ
“เป็นอะไรไป” ลั่วจื่อหานยื่นมือออกมานวดๆ ติ่งหูของเธอ มันแดงก่ำเพราะความอาย ทำให้ดูแล้วน่ารักเป็นพิเศษ ทำให้อดไม่ได้ที่จะกัดสักคำ
อี้เป่ยซีรีบปัดมือของเขาออก “อย่ามาจับหูฉัน”
“แล้วแบบนี้ล่ะ” พูดจบลั่วจื่อหานก็ลุกขึ้นมา คว้ามือของเธอที่ปิดหูไว้ อมติ่งหูที่ละเอียดอ่อนไว้ในปาก อี้เป่ยซีรู้สึกสั่นสะท้าน ตอนนี้เธอเข้าสู่อ้อมแขนของเขาแล้ว ไม่สามารถผลักเขาออกไปได้
ริมฝีปากของเขาราวกับว่ายังไม่พอใจกับการสัมผัสติ่งหู มันค่อยๆ เลื่อนลงมาจนหยุดอยู่บนริมฝีปากแดงๆ ของเธอพอดี จูบอย่างแผ่วเบา อี้เป่ยซีกอดคอของเขาพร้อมจูบตอบ
————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น