Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 137-143
บทที่ 137
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 137 เรื่องกวนใจรอบสอง (6)
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อี้เป่ยเฉินก็ไม่ได้จงใจหลบหน้าอี้เป่ยซีอีก ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ค่อยๆ ดีขึ้น แผนของเธอก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เพลงบทนั้นก็เสร็จสมบูณ์อย่างเร่งรีบ
เชียนฉิน: หลิงซี เพลงนี้เพราะมากจริงๆ ผู้หญิงที่ร้องคือใครเหรอ เสียงช่างจับใจฉันเหลือเกิน
หลิงซี: เพื่อนสนิทของฉันคนนึง แต่ว่าเขาไม่สนใจเรื่องร้องเพลงเลย อย่าคิดจะดึงเขาเข้ามาล่ะ
เชียนฉิน: จริงเหรอ ไม่มีความเป็นไปได้เลยเหรอ เฮ้อ งั้นช่างมันเถอะ
หลิงซี: เพลงนี้ รอสักสิบวันค่อยเผยแพร่เถอะ
เชียนฉิน: ว่าไงนะ? ฉันรอไม่ไหวอยากจะแผยแพร่มันไปตอนนี้เลย เธอไม่รู้ จะต้องมีคนชอบเยอะมากแน่ๆ อวดคนรักกันแบบนี้จะต้องมีคนชอบเยอะแน่ๆ
หลิงซี: จะอวดทั้งทีก็ต้องอวดในเวลาที่เหมาะสมนะ
เชียนฉิน: นั่นสิ ฉันลืมไปแล้วว่ามีเทศกาลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ เพราะฉันเป็นโสดมานาน หลิงซี เธอมีความรักแล้วเหรอ?
หลิงซี: [ปิดหน้า] [เขินอาย]
เชียนฉิน: คนในวงการ?
อี้เป่ยซีกัดนิ้ว เขาแค่ร้องเพลงเดียวโดยไม่ระบุชื่อเท่านั้น แน่นอนว่าไม่นับว่าเป็นคนในวงการ
หลิงซี: ไม่เชิง คือว่าฉันยังมีธุระ ไม่คุยกับคุณแล้ว
เชียนฉิน: โอเค
อี้เป่ยซียิ้มพลางนำเข้าไฟล์ไว้ในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เอนลงบนเตียงอย่างมีความสุข เธอใส่หูฟัง ฟังเสียงที่เพราะอ่อนหวานของนักร้องหญิง อดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า
เสียงนี้ไพเราะมาก ลั่วจื่อหานจะต้องดีใจแน่ๆ เลย
คิดพลางก็ส่งข้อความให้ลั่วจื่อหานแล้ว
[อีกสิบวันจะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว]
ในห้องทำงานที่สงบนิ่ง เสียงโทรศัพท์มือถือชัดเจนดังขึ้นขัดจังหวะการรายงานของผู้จัดการ ทุกคนต่างหันไปยังที่มาของเสียง เห็นว่าประธานใหญ่ของบริษัทตัวเองกำลังดูโทรศัพท์มือถือ บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มจางๆ
ทุกคนต่างนึกว่าตัวเองตาลาย ขยี้ตาเพื่อมองอีกรอบ รอยยิ้มนั้นหายไปแล้ว จึงถอนหายใจโล่งอก ‘ใช่สิ ท่านประธานของตัวเองจะยิ้มได้อย่างไรกัน’
ผู้จัดการกระแอมไอ รายงานต่อ
[มีแผนอะไรบ้าง?] เขาจิ้มอยู่บนหน้าจออย่างรวดเร็ว คนทางนั้นก็ตอบกลับด้วยความรวดเร็วมากเช่นกัน
[เฮ้อ ฉันนึกว่านายจะมีแผนอะไรโรแมนติกซะอีก แฟนอย่างนายนี่ไม่ได้เรื่องเลย]
[แล้วแบบไหนถึงจะได้เรื่องล่ะ]
อี้เป่ยซีนอนคิดอยู่บนเตียงอยู่นาน ‘นั่นสิ แบบไหนนะถึงจะได้เรื่อง เชอะ นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องคิดงั้นเหรอ เธอก็ไม่ใช่แฟนหนุ่มของลั่วจื่อหานสักหน่อย’
[งั้นก็ต้องดูของคุณลั่วแล้ว]
[มอบทั้งตัวและใจให้ล่ะเป็นไง ได้เรื่องไหม?]
[โบราณ ไม่มีความเซอร์ไพร้เอาซะเลย]
ลั่วจื่อหานนิ่งไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วส่ายหัว
ทุกคนในห้องทำงานมองหน้ากัน ครั้งนี้ ท่านประธานยิ้มแล้วจริงๆ เหรอ?
จริงหรือเปล่าเนี่ย ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน พระเจ้า คนที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรกันนะ
ผู้จัดการกลืนน้ำลาย “ท่าน ท่านประธาน”
ลั่วจื่อหานเงยหน้าขึ้น แววตายังคงเหมือนปกติ มีความเยือกเย็นเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยปากอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ผมรายงานจบแล้ว”
“อืม เลิกประชุม”
พูดจบลั่วจื่อหานก็เดินออกไปคนเดียวแล้ว ปล่อยให้คนอื่นที่อยู่ในห้องทำงานงุนงง
“พวกเธอว่า ท่านประธานคงไม่ได้ มีความรักใช่ไหม”
“นั่นสิๆ ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มท่านประธานแบบเมื่อกี้เลย มันเป็นรอยยิ้มของคนหนุ่มสามที่กำลังมีความรัก ฉันก็ว่าทำไมหมู่นี้ถึงได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวความรักในออฟฟิศท่านประธาน”
“แค่ก เวลาทำงาน ใครอนุญาตให้พวกเราวิจารณ์ท่านประธานกัน” ผู้จัดการจับตามอง ควบคุมสถานการณ์ด้วยความขึงขังมาก เลขาตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นด้วยความเหยียมอาย “ผู้จัดการไม่อยากรู้เหรอคะ?”
ก็ได้ เขายอมรับว่าเขาก็อยากรู้เหมือนกัน
แต่ว่าอยากรู้ก็แค่อยากรู้ แต่ถ้างานล่าช้า ท่านประธานก็ลงโทษพวกเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
ขณะที่เขากำลังจะอ้าปาก จู่ๆ ผู้ช่วยของท่านประธานผลักประตูเข้ามา คนที่นั่งอยู่ข้างในมองเขาอย่างอึดอัด เขายิ้ม “วันนี้ท่านประธานอารมณ์ดี ให้ทุกคนหยุดครึ่งวัน หลายวันนี้ ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว”
“ว้าว ดีจังเลย” ผู้คนที่เดิมทีถกกันเรื่องการแต่งงานของท่านประธานอย่างออกรส ต่างออกไปจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งในห้องทำงานของท่านประธาน ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางของอี้เป่ยซีที่นอนอยู่บนเตียง รู้สึกอบอุ่นใจ
“วันๆ อยู่แต่บ้านไม่เบื่อเหรอ?”
“ฉันไม่อยากไปร่วมกิจกรรมทางสังคมอะไรนั่นกับคุณแม่นี่นา น่าเบื่อจะตาย ก็เลยอยู่บ้านตลอด ตอนนี้นายยุ่งหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นนายพาฉันออกไปเดินเล่นได้ไหม?”
ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนลำบากใจมากแต่ไม่กล้าพูดออกมา อี้เป่ยซีรีบกำจัดความคิดของตัวเองออกไป “ไม่เป็นไรๆ ฉันอยู่บ้านคนเดียวก็ดีเหมือนกัน จะได้จัดของก่อนหน้านี้พอดี”
“เธออยากจะไปไหน?”
ได้ยินคำถามของเขา เธอหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนนี่นา แต่ว่าแค่อยากออกไปเดินเล่นกับนาย ได้หรือเปล่า ท่านประธานลั่ว?”
“เป็นเกียรติของผมครับคุณหนูอี้”
“งั้นนายมารับฉันนะ”
“ได้”
หลังจากหยุดวีดีโอคอลแล้ว อี้เป่ยซีก็เริ่มรื้นค้นตู้เสื้อผ้าของตัวเอง เธอดึงเดรสชุดหนึ่งออกมา
ไม่ได้ ลั่วจื่อหานเคยเห็นแล้ว ตัวนี้มันธรรมดาเกินไป ตัวนี้เป็นทางการเกินไป ตัวนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ตัวนี้เชยไปหน่อย ตัวนี้ก็โป๊ไปนิดนึง ตัวนี้บางไป ตัวนี้หนาไป
อี้เป่ยซีโยนเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้ออกมา ก็ยังไม่เห็นตัวที่ตัวเองพอใจ ปกติแล้วมักจะรู้สึกว่าเสื้อผ้าของตัวเองเยอะเกินไปจนใส่ไม่หมด แต่ทำไมพอถึงเวลาต้องใช้จริงๆ กลับรู้สึกว่าเสื้อผ้าของตัวเองน้อยเหลือเกิน
ทำอย่างไรดี ใส่ตัวไหนดี ไม่อย่างนั้นก็ยกเลิกนัดครั้งนี้ซะ แต่ว่าเขากำลังจะมาแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่ลั่วจื่อหานจะมีเวลาออกไปเดินเล่นกันเธอ
งั้นก็เลือกสักตัวหนึ่งเถอะ อี้เป่ยซีหลับตาคว้าเสื้อบนเตียง ก็ได้เดรสตัวหนึ่งที่ไม่ได้มีความโดดเด่นใดๆ สวมลงบนตัวอย่างยอมรับชะตากรรม มัดหางม้าสูง เธอมองดูตัวเองในกระจก แม้ว่ายังมีความเป็นสาวอยู่มาก แต่มักจะรู้สึกว่าเทียบกับลั่วจื่อหานไม่ได้
ลั่วจื่อหานหล่อมาก อี้เป่ยซีครุ่นคิด ตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเริ่มแต่งหน้าบางๆ แล้ว
เธอเกาะราวคอยอยู่ตลอด เมื่อเห็นเงาที่คุ่นเคยก็พุ่งลงไปทันที แกล้งทำเป็นเปิดประตูด้วยท่าทางที่สง่างาม
วันนี้ลั่วจื่อหานสวมสูทสีดำ ธรรมดาแต่สง่างามทุกกระเบียดนิ้ว จนทำให้ไม่อาจละสายตาได้
“วันนี้นายหล่อมาก” ดวงตาเธอโก่งยิ้ม ไม่หวงคำชมของตัวเองเลยสักนิด ลั่วจื่อหานก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ จูงมือของอี้เป่ยซี
“วันนี้เธอก็สวยมากเหมือนกัน”
ทั้งสองคนไม่ได้ขับรถ แค่ไปเดินเล่นแถวบ้านของอี้เป่ยซี ทั้งสองคนจูงมือกันแน่นไม่ปล่อย
ต้องการเดินด้วยกันแบบนี้ตลอดไป ให้พวกเรายังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ คิดถึงเพียงช่วงเวลานี้ตลอดไป และจะไม่มีวันปล่อยมือของกันและกัน ไม่มีอะไรที่หยุดยั้งพวกเราได้ มีเพียงความเงียบสงบและความสงบสุข มีเพียงเธอกับฉัน
——
บทที่ 138
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 138 เรื่องกวนใจรอบสอง (7)
สิบวันหลังจากนั้น อาจเป็นเพราะการตั้งตาคอยที่ยาวนาน ตอนกลางคืนอี้เป่ยซีหลับสนิทมาก ตอนเช้าก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ลงไปชั้นล่างเห็นคุณแม่อี้ที่ง่วนอยู่ในครัว
เธอกลอกตาไปมา “แม่คะ หนูช่วยแม่เถอะ”
“ได้สิ”
“คือว่า วันนี้ทำเพิ่มอีกที่ได้ไหมคะ” เธอยิ้มเขินอาย เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ สีชมพูระเรื่อระคนความขวยเขิน
คุณแม่อี้เข้าใจความหมายของเธออย่างรวดเร็ว จิ้มๆ หน้าผากของเธอ ทั้งสองคนเริ่มง่วนด้วยกัน อี้เป่ยซีแอบหยิบกล่องอาหารขึ้นมา เธอเองก็ไม่ค่อยได้กินอะไรตอนที่อยู่โต๊ะอาหาร
“หนูกินอิ่มแล้ว พี่ แม่ ตอนเที่ยงหนูไม่กลับมานะคะ” ไม่ทันพวกเขาตอบ อีเป่ยซีสะพายกระเป๋าแล้ววิ่งออกไป เข้าไปในรถที่เรียกไว้แล้วออกไปจากจิ่นหยวนอย่างรวดเร็ว
“เป่ยซีเป็นแบบนี้ก็ดีนะ อย่างน้อยก็เดินออกมาจากอิทธิพลของเด็กคนนั้นได้แล้วจริงๆ”
อี้เป่ยเฉินพยักหน้าพร้อมส่งเสียงอู่อี้ กินไปไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง “ผมจะไปทำงานแล้ว”
“เอ๋”
นั่งอยู่ในรถประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าก็มาถึงด้านล่างของตึกเวยหลาน เธอต้องการเข้าไปด้วยความรีบร้อน
“คุณหนู คุณมาหาใครคะ?” หญิงสาวที่แผนกต้อนรับห้ามเธอไว้อย่างว่องไว
อี้เป่ยซีพูดอย่างเอาอกเอาใจ “พี่สาว เพื่อนฉันทำงานในนี้ เขาลืมของไว้ที่บ้านฉัน ต้องใช้ตอนประชุม มันด่วนมาก พี่ปล่อยฉันเข้าไปก่อนได้หรือเปล่า”
“เพื่อนของคุณคือใคร?”
“…” ถ้าเอ่ยชื่อของลั่วจื่อหานจะต้องไม่ให้เธอเข้าไปแน่ๆ แต่ว่านอกจากลั่วจื่อหานแล้วเธอก็ไม่รู้จักใครเลยนี่นา งั้นเธอคิดชื่อขึ้นมาเองแล้วกัน คนในบริษัทเยอะขนาดนั้น เธอคงไม่รู้จักทุกคนหรอกมั้ง
“เขาชื่อหลิวจ้วงจ้วง”
“ขอโทษนะคะคุณหนู บริษัทของเราไม่มีคนชื่อนี้”
อี้เป่ยซีกระพริบตา “ไม่จริงมั้ง พี่สาวจำผิดหรือเปล่า เขาบอกฉันว่าทำงานที่บริษัทพวกพี่นี่นา อ๋อ เขาเพิ่งมาไม่นาน พี่ไม่รู้จักเขามันเรื่องปกติอยู่แล้ว พี่คะ เอางี้ พี่ปล่อยให้ฉันเข้าไปก่อนเถอะ”
“ขอโทษนะคะ ไม่ใช่พนักงานเข้าไปไม่ได้”
“ผ่อนผันหน่อยไม่ได้เหรอ” หญิงสาวไม่ได้สนใจอี้เป่ยซีอีก ก้มหน้าอ่านหนังสือ อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก ค่อยๆ ขยับเข้าไปข้างใน
“คุณหนู ถ้าคุณยังเดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว ฉันจะเรียก รปภ.”
อี้เป่ยซียิ้มแหยๆ จะต้องใช้ความรู้สึกสัมผัสหัวใจเท่านั้นแล้ว เธอแสดงอาการน่าสงสาร เกาะอยู่ที่แผนกต้อนรับเพื่อร้องทุกข์
รถคันหนึ่งมาจอดที่หน้าประตูของเวยหลาน ผู้ชาวยสวมสูทสีขาวบริสุทธิ์ ย่างก้าวมีความสง่างามที่ปฏิเสธไม่ได้
“นั่นเหมือนกับคุณหนูอี้เลย” คนข้างกายเขากระซิบเสียงต่ำ ลั่วจื่อหานมองไปยังทิศทางที่ว่า มันคืออี้เป่ยซีจริงๆ วันนี้เธอใส่กระโปรงสั้นสีขาว อวดเห็นขาที่เรียวตรงให้เห็นอย่างเต็มที่ กระโปรงพริ้วไปมาในสายลม ซ่อนเร้นทิวทัศน์ที่อยู่ภายใต้กระโปรงเพียงวับๆ แวมๆ
แววตาของลั่วจื่อหานมืดมนลงเล็กน้อย เดินไปยังแผนกต้อนรับด้วยสีหน้าบึ้งตึง อี้เป่ยซียังคงร้องเรียนอย่างน่าสงสาร วินาทีต่อมาก็ถูกหิ้วตัวไป
“หืม ลั่วจื่อหาน”
เขากวาดตามองอี้เป่ยซีด้วยความดุดัน ถอดเสื้อนอกออก ชายของเสื้อสูทปกคลุมเลยชายกระโปรงของเธอไปมาก แล้วพาเธอเข้าไปในลิฟท์พิเศษอย่างเงียบๆ
หญิงสาวแผนกต้อนรับที่ยังไม่ทันหายจากความประหลาดใจที่ได้เจอกับท่านประธาน กำลังตกตะลึงกับพฤติกรรมที่สนิทชิดเชื้อของทั้งสองคน เธอเอ่ยปากอย่างเหลือเชื่อ “ผู้ ผู้ช่วยคะ เขา มาหา มาหาท่านประธานเหรอ?”
“อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถาม ต่อไปถ้าเขามาอีก ปล่อยให้เขาเข้าไปก็พอแล้ว เข้าใจไหม?”
“ค่ะๆๆ รับทราบแล้ว” เธอรีบพยักหน้า
อี้เป่ยซีรู้สึกว่ามือบนตัวเธอออกแรงมาก เธอรู้สึกว่าคนข้างกายตัวเองมีความกดดันต่ำและก็รู้สึกอึดอัดมาก เธอขยับตัวต้องการจะหลุดออกจากอ้อมแขนของลั่วจื่อหานแต่ถูกเขากอดแน่นทันที ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้
“แน่นเกินไปแล้ว” แม้จะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโมโหขนาดนี้ อี้เป่ยซีบ่นเสียงเบา ลั่วจื่อหานราวกับว่าไม่ได้ยิน พาเธอไปยังห้องทำงานของท่านประธาน ปิดประตูอย่างแรง
“ลั่วจื่อหานนาย…” เธอยังไม่ทันพูดจบประโยค ริมฝีปากก็ถูกประกบอย่างแรง ระคนความโกรธที่อธิบายไม่ได้ วินาทีต่อมาอี้เป่ยซีก็ค้นพบว่าตัวเองนั่งอ้าขาอยู่ขนตักของลั่วจื่อหาน มือที่หยาบเล็กน้อยลูบไล้อยู่ที่ต้นขาของเธอทำให้เธอสั่นไหวครู่หนึ่ง
“ลั่ว…” เสียงถูกเขากลืนกินหลายต่อหลายครั้ง อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเขา ในสมองว่างเปล่า จากนั้นก็หมุนคว้างสักพัก เธอถูกวางลงบนโซฟา มือที่ซุกซนยื่นเข้าไปใต้ชายกระโปรงของเธอ ลุกล้ำตามอำเภอใจ
เธอหมดหนทาง กัดริมฝีปากของเขาโดยสัญชาตญาณ จนกระทั่งกลิ่นเลือดแผ่กระจายระหว่างริมฝีปากและฟันของคนสองคน ลั่วจื่อหานจึงหยุดการกระทำของตัวเอง มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ในดวงตา มือทั้งสองของเขาวางอยู่ข้างลำตัวของอี้เป่ยซี หายใจหอบเล็กน้อย
“ลั่วจื่อหาน” เธอกัดริมฝีปากด้วยความน้อยใจ “นายเคยรับปากไว้”
“ขอโทษนะเป่ยซี” เขาก้มหน้าจูบตาของเธอ จัดเสื้อผ้าของเธอด้วยความจริงจัง แล้วกอดเธออีกครั้ง ลมหายใจยังคงหนักหน่วง “ขอโทษ”
อี้เป่ยซีต้องการจะดิ้นหลุดจากกอดของเขา เมื่อได้ยินว่า ‘อย่าขยับ’ ดังอยู่เหนือศีรษะอย่างมืดมน ก็หยุดนิ่ง
‘นี่เขาเป็นอะไรไป เหมือนกับถูกวางยาเลย’ เธอรู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ใต้ขาของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บผ่านทะลุเสื้อผ้า
ทั้งสองคนนิ่งเงียบ และอึดอัดพอกัน
ผ่านไปสักพัก อี้เป่ยซีจึงเอ่ยปากอย่างลังเล “ลั่วจื่อหาน”
“หืม” น้ำเสียงยังคงมีความอดกลั้น อี้เป่ยซีตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเขยื้อน เธอถามเสียงเบา “คือว่า อีกนานไหม ฉันอึดอัดนิดหน่อย”
เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกนานเท่าไร เขากลัวว่าเมื่อเห็นอี้เป่ยซีอยู่ตรงหน้าแล้วก็จะบุกเข้าไปอย่างอดใจไม่ไหว แต่เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของตัวเองก็รู้สึกว่าอึดอัดมาก แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยไป
ลั่วจื่อหานถอนหายใจ ลมหายใจร้อนๆ รดอยู่บนคอของอี้เป่ยซี หน้าของเธอแดงอย่างช่วยไม่ได้
อี้เป่ยซียื่นมือโอบเอวของลั่วจื่อหาน ซบหัวอยู่บนหน้าอกของเขา เอื้อมมืออย่างระมัดนะวัง พอสัมผัสกับหานน้อยเบาๆ ก็ได้ยินเสียงครางที่ยั่วยวนของเขา
เธอรวบรวมความกล้า น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ฉัน ฉันช่วยนายไหม?”
ลั่วจื่อหานหรี่ตาไม่ได้พูดอะไร
“คือว่า นายไม่เต็มใจเหรอ”
ยังคงไม่พูดอะไร
เธอรวบรวมความกล้า มือที่สั่นไหวทำอย่างไรก็ปลดเข็มขัดของเขาไม่ออก มือที่บอบบางสัมผัสเขาเป็นครั้งคราว ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าตัวเองอดกลั้นจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว เขาอุ้มเธอขึ้นมาทันที เข้าไปยังห้องรับรองของห้องทำงาน
“อยากช่วยฉันเหรอ หืม?” เขาเปลื้องเสื้อผ้าของอี้เป่ยซีทีละชิ้น เรือนร่างที่ขาวดุจหยกปรากฏสู่สายตาของเขา ไฟชั่วร้ายในใจยิ่งรุนแรงกว่าเดิม
“ฉัน คือว่า…” ยังไม่ทันรอให้อี้เป่ยซีตอบ ลั่วจื่อหานก็ประกบปากของเธอแผ่วเบา ดึงเอาเหตุและผลไปจากอี้เป่ยซีทีละน้อยๆ
“ได้ เธอช่วยฉัน”
————
บทที่ 139
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 139 เรื่องกวนใจรอบสอง (8)
อี้เป่ยซีเสียใจที่ช่วยลั่วจื่อหาน อีกทั้งยังสาบานว่าต่อไปจะไม่ช่วยเขาอีกแล้ว เธอมองดูมือที่สั่นเทาของตัวเอง ราวกับว่ามันจะหลุดออกจากข้อมือของตัวเองในวินาทีต่อมา ตอนนี้ไม่รู้สึกถึงมือทั้งสองข้างแล้ว เธอเหลือบมองผู้ชายที่นอนด้วยสีหน้าพึงพอใจอยู่ข้างๆ อย่างโกรธเกรี้ยว กัดไปที่หัวไหล่ของเขาทันที ปากก็เมื่อยด้วย
“หืม นายทำอะไรเนี่ย ไหล่แข็งจังเลย” ลั่วจื่อหานกอดเธอ
“พักสักหน่อยเถอะ ลำบากเธอแล้ว”
“ยังจะพูดอีก”
“ได้ๆๆ ไม่พูด ไม่พูด” เขาจูบหน้าผากของอี้เป่ยซีด้วยความเอ็นดู “เธอพักผ่อนก่อนเถอะ ไว้ฉันทำธุระนิดหน่อยเสร็จแล้วจะพาเธอไป”
เธอกระพริบตา “ไปไหน?”
“ไปให้เธอดูว่าอะไรคือแฟนที่ได้เรื่อง”
“งั้นอย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ”
ลั่วจื่อหานนวดคลึงศีรษะของเธออยู่ข้างเตียง “ได้ เดี๋ยวฉันจะเอาเสื้อตัวใหม่มาให้เธอ”
“อืม โอเค” อี้เป่ยซีหน้าแดง มือกุมเสื้อเชิ้ตบนตัวแน่น
“ต่อไปอย่าใส่สั้นแบบนี้อีกนะ”
เธออ้าปาก ยังไม่ทันจะตอบ ลั่วจื่อหานก็จูบและดูดปลายลิ้นของเธออย่างรุนแรง “เข้าใจหรือเปล่า”
“รู้แล้วๆ คุณอาลั่วบ้าอำนาจจังเลย”
“ไม่ใช่บ้าอำนาจ” เขาช่วยเธอห่มผ้า “เธอใส่ให้ฉันดูได้คนเดียวเท่านั้น”
อี้เป่ยซีหน้าแดง หันหลังให้เขา “หน้าไม่อาย ฉันจะนอนแล้ว นายอย่ากวนฉัน”
เขาหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นออกไปจากห้องพักผ่อน นั่งที่โต๊ะเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว อี้เป่ยซีอยู่คนเดียวรู้สึกเบื่อ จึงเปิดอินเทอร์เน็ต
สือนั่ว: ทำไมเธอร้องเพลงแล้วล่ะ?
หลิงซี: ฉันเปล่านะ
สือนั่ว: ไม่มีทาง นั่นเสียงเธอแน่ๆ ฉันฟังไม่ผิดหรอก
หลิงซี: เกิดอะไรขึ้น นายพูดให้ชัดหน่อยได้ไหม
สือนั่ว: เธอดูเองสิ
จากนั้นก็ส่งลิ้งค์ให้อี้เป่ยซีทันที เธอกดเข้าไป ได้ยินดนตรีก่อนเข้าเพลงที่คุ้นเคย ดวงตาก็เบิกกว้างเล็กน้อย
หลิงซี: นี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ได้บอกว่าจะส่งออก ฉันจ้างเฟิงอู่ให้ร้องเพลงนี้นะ
สือนั่ว: งั้นทำไมถึงเป็นเสียงของเธอ?
หลิงซี: ฉัน ฉันหาคนมาช่วย แล้วก็บันทึกเสียงไว้ ตั้งใจจะส่งให้ลั่วจื่อหาน…ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้นี่นา
สือนั่ว: เธอนี่โง่จริง เธอจบแล้ว ทั้งหาเฟิงอู่ทั้งปล่อยเพลงนี้ เธอรอโดนด่าได้เลย
หลิงซี: แต่ว่าฉันไม่รู้จริงๆ นี่นา ทำไงดี ทำไงดีล่ะ
สือนั่ว: ตอนนี้เธอเพิ่งจะร้อนใจเหรอ ทำไปแล้ว ทำไมไม่มาให้ฉันช่วยดันไปหาคนนอก ตอนนี้เป็นไงล่ะ
หลิงซี: งั้นนายช่วยฉันดึงมันกลับมาได้ไหม ลั่วจื่อหานกำลังจัดการข้อมูลอยู่ข้างนอก บางทีเขาอาจจะยังไม่ได้ยิน
หลานฉือเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่ง มองดูเซี่ยเช่อที่ยิ้มชั่วร้ายอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ตำหนิเขาไปเล็กน้อย “นายส่งไปให้ลั่วจื่อหานแล้วเหรอ?”
“ใช่แล้วๆ”
เขาถอนหายใจ “เยี่ยมเลย คนเขาจะเตรียมทำเซอร์ไพร้ให้แฟน ดันถูกนายทำพังซะแบบนี้”
เซี่ยเช่อก็อึ้งไปเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถึงฉันไม่ส่งเขาก็รู้”
ในห้องทำงานท่านประธาน ลั่วจื่อหานกำลังฟังเสียงที่อ่อนหวานของหญิงสาว แต่ละถ้อยคำร้องถึงโลกใบเล็กที่เธอมีอยู่ในตอนนี้ ใบหน้าก็มีรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัวแล้ว เขาโทรศัพท์แล้วคุยสองสามคำ ฟังเพลงต่อพร้อมจัดเอกสารไปพลาง
หลิงซี: ขอบคุณนายนะ
สือนั่ว: ขอบคุณอะไรฉัน?
หลิงซี: ลิ้งค์มันใช้ไม่ได้แล้ว
สือนั่ว: เธออย่าเพิ่งดีใจเร็วไป เซี่ยเช่อส่งไปให้เขาแล้ว
หลิงซี: อะไรนะ?
อี้เป่ยซีแทบทนไม่ไหวอยากจะขว้างโทรศัพท์มือถือไปที่กำแพง เธอเตรียมเซอร์ไพร้นานขนาดนี้ มันหายไปทั้งแบบนี้ ไม่มีแล้ว ระยะหลังนี้ การบันทึกเสียงมันมีปัญหาตรงไหนกันแน่เสียงของเธอถึงหลุดออกไป เชียนฉิน เธอจะรู้อะไรหรือเปล่า?
อี้เป่ยซีรีบเปิดโปรแกรมแชทกับเธอทันที แต่ว่าไม่ว่าเธอพูดอะไรก็ไม่มีใครสนใจเธอ จนกระทั่งเธอส่งข้อความไปอีกครั้ง การแจ้งเตือนแสดงให้เห็นว่าเธอกับอีกฝ่ายไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ อี้เป่ยซีขมวดคิ้ว ไม่สามารถหาเหตุผลได้ ใครกันแน่ที่เป็นศัตรูกับเธอ เธอไม่ได้ยุ่งกับใครเลยนี่นา
หลิงซี: ฉันติดต่อเชียนฉินไม่ได้แล้ว
สือนั่ว: คนนี้เหรอที่เธอไปหา?
หลิงซี: ใช่แล้ว เขานี่แหละ ทำไมเหรอ?
สือนั่ว: เขาออกจากวงการไปแล้ว เธอรู้หรือเปล่า
หลิงซี: ไม่รู้ เขาไม่เคยบอกฉันเลย
สือนั่ว: เธอระวังด้วย เรื่องนี้มันไม่ธรรมดา เธอคิดว่าจะคุยกับเฟิงอู่เรื่องนี้ยังไงเถอะ
อี้เป่ยซีถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า เธอจะบอกเรื่องนี้กับพระเจ้าอย่างไร มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เปลี่ยนเป็นใครที่เจอเรื่องนี้ก็ต้องไม่พอใจอยู่แล้วล่ะ เธอยังไม่ทันไปหาเฟิงอู่ ผู้จัดการของเฟิงอู่ก็มาหาเธอแล้ว ด่าอี้เป่ยซีอย่างเจ็บปวดก่อน จากนั้นก็บอกว่าบ้านเฟิงของพวกเขาไม่ได้หายาก อี้เป่ยซีขอโทษเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง จึงทำให้อีกฝ่ายสงบลงมาได้
ผู้จัดการคนนั้นพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “งั้นก็คิดซะว่าเฟิงอู่ของพวกเราร้องคัฟเวอร์ไปละกัน แต่ว่าหลิงซี เธอก็ควรจะออกจากวงการได้แล้ว” พูดจบก็ลบความเป็นเพื่อน อี้เป่ยซีพิงศีรษะที่กำแพง รู้สึกเสียใจ
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเดินมาที่หน้าต่างพร้อมรอยยิ้ม วางเสื้อผ้าลงข้างเธอ “รอนานเลยสิ เปลี่ยนเสื้อก่อนแล้วพวกเราไปกินข้าวเที่ยงกัน”
อี้เป่ยซีพยักหน้า เปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว เดินออกไปพร้อมกับลั่วจื่อหานอย่างขาดความสนใจ
“เป็นอะไรไป?”
เธอเงยหน้า มองลั่วจื่อหาน “นายฟังแล้วยัง?”
“เธออยากให้ฉันฟังแล้ว หรือยังไม่ได้ฟังล่ะ”
“ฉันไม่รู้ ฉันคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะถูกฉันทำพังขนาดนี้ ตอนแรกฉันอยากเซอร์ไพร้นายคนเดียว ตอนแรกฉันคิดว่าฉันจะร้องเพลงนี้ให้นายคนเดียว แต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ ขอโทษนะ ฉันเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่องเลย”
ลั่วจื่อหานกอดเธออย่างปวดใจ “ไม่เป็นไรเป่ยซี”
อี้เป่ยซีซบอยู่ในอกของเขา พยักหน้าส่งเสียงอู้อี้ ปล่อยให้ลั่วจื่อหานจูงมือของเธอออกไปจากตึก แม้จะพาเธอไปสวนสนุกที่เพิ่งสร้างใหม่ แต่เห็นได้ชัดว่าอี้เป่ยซีไม่มีความสนใจและไร้ชีวิตชีวา
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานประกบริมฝีปากของเธอแผ่วเบา “เธอร้องเพลงนี้ให้ฉันฟังอีกทีได้หรือเปล่า”
อี้เป่ยซีผงกหัว สูดหายใจลึก เริ่มสร้างอารมณ์
“เวลาที่อยู่กับเธอก็เหมือนช่องว่าง ฉันยอมแพ้ก่อนที่ฉันจะจูบ…”
เขาเคาะจังหวะอยู่ข้างๆ แผ่วเบา ยิ้มฟังเสียงของเธอ ขณะที่โน้ตตัวสุดท้ายสิ้นสุดลง ก็โน้มตัวไปข้างหน้าจูบริมฝีปากของเธอ จนะกระทั่งทั้งสองคนหายใจติดขัดแล้ว เขาจึงยอมปล่อยเธอไป
“นี่ก็เป็นของฉันคนเดียวแล้ว เป่ยซี ไม่มีใครได้ยินแล้ว”
ดวงตาของเธอสั่นไหว พยักหน้าหงึกหงัด “อืม”
เมื่อเห็นท่าทางของเธอที่ผ่อนคลายอีกครั้ง ลั่วจื่อหานจึงขับรถไปยังเป้าหมายของตัวเอง ไม่รู้ว่ารถขับมานานแค่ไหน เมื่อทั้งสองคนลงมาจากรถแล้ว ดวงดาวบนท้องฟ้าก็สุกใส ทันทีที่ลงรถก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ราวกับว่ากำลังอ้อยอิ่งอยู่ในทะเลแห่งภาพวาด
อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะเขย่งเท้า แอบหอมแก้มของเขา
————
บทที่ 140
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 140 เรื่องกวนใจรอบสอง (9)
“ที่นี่สวยจังเลย” อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะเงยหน้า ดวงดาวเป็นประกาย และมีกลิ่นหอมที่ใต้เท้า
ลั่วจื่อหานจูงมือของเธอ “ที่นี่เป็นจุดที่ใกล้ทางช้างเผือกที่สุดของทั้งเมือง C ตำนานบอกว่ามีคู่รักได้เสียงของหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าคุยกันตอนกลางคืนด้วย”
“หา จริงเหรอ ฉันก็อยากได้ยิน”
“โอเค พวกเราไปกินข้าวก่อน”
อาหารในร้านอาหารก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ไม่มีรสชาติของเครื่องปรุงรส ราวกับว่ามันคือรสชาติดั้งเดิมในตัวอาหารเอง ฝีมือการทำอาหารเป็นเพียงองค์ประกอบที่เสริมให้เด่นขึ้นเท่านั้น อาหารต่างหากที่เป็นตัวละครหลัก แต่ละคำที่กลืนลงไปล้วนสดใหม่และเป็นธรรมชาติ ราวกับคุณได้ที่บ้านเกิดของเขาจริงๆ เขาใช้ตัวเองเพื่อเล่าเรื่องราวของตัวเองให้กับคุณ
“อร่อยมากๆ เลย” อี้เป่ยซีลูบท้องตัวเองอย่างพึงพอใจ มองไปรอบๆ การตกแต่งของโรงแรมนั้นสมบูรณ์แต่ไม่ขาดรายละเอียด แสงไฟกระพริบเหมือนทางช้างเผือกที่ไหลผ่านที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและเวมทนตร์
“นั่นมันอะไรน่ะ” เธอมองดูทางช้างเผือกสีทองค่อยๆ ปรากฏสีเงินบางๆ ทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง ลอยกลิ้งไปมา ราวกับว่ามันจะร่วงลงมาเมื่อไรก็ได้ และในวินาทีต่อมาสีเงินเล็กๆ นั้นก็ร่วงลงมาจริงๆ มันร่วงลงมาอยู่ในมือของอี้เป่ยซีพอดี
มันคือสร้อยคอสีเงินเส้นหนึ่ง ประดับด้วยดวงดาวระยิบระยับเป็นที่สุด และเพราะว่าดาวดวงนี้ตกลงมา ทางช้างเผือกสีทองบนท้องฟ้าจึงดูธรรมดาอย่างช่วยไม่ได้
“นี่คือ”
ลั่วจื่อหานเดินเข้ามาหาเธอ สวมสร้อยคอให้เธอ จูบหลังคอของเธอแผ่วเบา จากนั้นก็จูงมือของเธอกลับไปยังที่ๆ พวกเขามาก่อนหน้านี้
อี้เป่ยซีรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกห่วงสีขาวบางๆ พันรอบตัวไว้ ทั้งลึกลับและเหมือนฝัน เธออดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาแต่จับต้องอะไรไม่ได้เลย ทันใดนั้นเองก็มีแสงสีเงินพุ่งพรวดขึ้นไปยังท้องฟ้า ราวกับเพียงแค่ออกคำสั่ง ทะเลแห่งดอกไม้ก็บานสะพรั่งบนนภา สีทั้งหมดรวมตัวเป็นรูปร่าง ตัวอักษรทรงกลมแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของทั้งสองคน
อี้เป่ยซี ฉันชอบเธอ
ลั่วจื่อหาน ฉันก็ชอบนาย
จู่ๆ ลั่วจื่อหานก็ร้องเพลงข้างหูเธอ
เธออดไม่ได้ที่จะกอดเขาแน่น เมื่อฟังเพลงที่เขาร้องข้างหูตัวเองจนจบแล้ว เธอจึงปล่อยเขา จูบริมฝีปากเขาทั้งน้ำตา
ลั่วจื่อหานก็กอดเธอแน่น ค่อยๆ ดูดดื่มความหวานในปากของเธอ จนกระทั่งทั้งสองคนหายใจลำบากเล็กน้อย อี้เป่ยซีจึงซบอยู่บนหน้าอกของเขา ฟังเขาพูดเสียงเบา “เป่ยซี ฉันชอบเธอ”
“ฉันก็เหมือนกันลั่วจื่อหาน ฉันชอบนายมากๆ”
ลั่วจื่อหานกุมใบหน้าของเธอ จูบด้วยความเร่าร้อน มือล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอลูบไล้อยู่บนผิวที่เรียบรื่น อี้เป่ยซีอดไม่ได้ร้องครางเล็กน้อย เขายิ่งออกแรงมากกว่าเดิม แทบรอไม่ไหวที่จะเอาเธอเข้ามาในร่างกายของตัวเอง
อี้เป่ยซีรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทีละน้อยของเขา ทั้งภายในใจและร่างกายของเธอก็รู้สึกรุ่มร้อน ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังจะกลับเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง เส้นประสาททั้งหมดต่างโห่ร้องอยู่ในช่วงเวลานี้
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานหายใจรดข้างลำคอของเธอ เธอกัดคอของลั่วจื่อหานแผ่วเบา กระแสไฟฟ้าแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว เขายิ่งออกแรงมากกว่าเดิม
“ลั่วจื่อหาน นายรัดฉันอยู่น่ะ”
เขาผ่อนคลาย อี้เป่ยซีพุ่งไปที่ร่างของเขา ทำให้ลั่วจื่อหานตุปัดตุเป๋ ร่างกายที่ประคองได้อย่างยากลำบากถูกอี้เป่ยซีทำให้ล้มลงไปกับพื้นแล้ว
เธอทับอยู่บนตัวเขา จูบเขาอย่างรุนแรง มือยังคงสัมผัสหานน้อยอย่างไม่ชำนิชำนาญ
“เป่ยซี”
“อืม ลั่วจื่อหาน” เธอยิ้มพร้อมมองเขา บนตัวเธอมีความเปล่งปลั่งที่ทำให้คนละสายตาไม่ได้ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน “พวกเรากลับห้องกันดีไหม”
ลั่วจื่อหานตอบว่าอือเบาๆ จัดเสื้อผ้าของอี้เป่ยซีสบายๆ อุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมกอดของตัวเอง เมื่อถึงห้องวีไอพีชั้นบนสุดแล้ว เพิ่งจะเข้าห้องไปก็ผลักเธอไปที่หลังประตูอย่างห้ามใจไว้ไม่ไหว
“เมื่อกี้ยังสบายๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ?” อี้เป่ยซียิ้มเป่ยให้กับคอของเขา ลั่วจื่อหานก็หัวเราะแล้วจูบริมฝีปากของเธอ วินาทีต่อมาอี้เป่ยซีรู้สึกว่าโลกทั้งใบหมุนคว้าง ตอนนี้เธอถูกโยนไปบนเตียงแล้ว จากนั้นลั่วจื่อหานก็ทับอยู่บนตัว
เขาจูบแก้ม ลำคอและไหปลาร้าของเธออย่างอ่อนโยน ยื่นสองมือเข้าไปในชายกระโปรงของเธอ ทุกการเคลื่อนไหวต่างทำให้อี้เป่ยซีสั่นสะท้านจากขั้วหัวใจ
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน เบา เบาหน่อย” ดวงตาของอี้เป่ยซีมีน้ำตาเป็นประกายเนื่องด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ลำคอของลั่วจื่อหานขยับเขยื้อน พยักหน้า ขณะที่เคลื่อนกายเข้าไปข้างในนั้น อี้เป่ยซียังคงส่งเสียงอู้อี้ร้องด้วยความเจ็บปวด
ลั่วจื่อหานรอจนคนที่อยู่ด้านล่างค่อยๆ ปรับตัวได้แล้ว ความอ่อนโยนก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นพายุในทันใด ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังกลืนกินกันอยู่นั้น อี้เป่ยซีเกาะไหล่ของเขาไว้แน่น เสียงที่อ่อนโยนและชัดเจนดังดุเดือดออกมาจากลำคอโดยไม่รู้ตัว บ้าคลั่งทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นอี้เป่ยซีลืมตาก็เห็นลั่วจื่อหานนอนเท้าศีรษะอยู่ข้างเธอ รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองทันที ทั้งอายทั้งโกรธ
“มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า” เสียงที่ทุ้มต่ำดังอยู่เหนือศีรษะ อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะเบะปาก
‘ตรงไหนก็ไม่สบายทั้งนั้นแหละ’ เธอนึกว่าความบ้าคลั่งที่ลั่วจื่อหานกระทำต่อเธอเมื่อวาน ก็กัดฟันกันเสียงดังกรอด
ทำไมเธอถึงเหนื่อยขนาดนี้ แต่ลั่วจื่อหานไม่เป็นอะไรเลย
“พวกเราไปกินข้าวเช้ากัน”
“ไม่อยากลุก”
“อืม ก็ได้” ลั่วจื่อหานมุดเข้าไปในผ้าห่มเหมือนกับเธอ จูบริมฝีปากของเธอที่แดงเล็กน้อย “งั้นเรามาทำเรื่องที่มีความหมายกันอีกดีกว่า”
“นาย อืม…”
เมื่ออี้เป่ยซีตื่นขึ้นมารอบที่สองก็เที่ยงพอดี ลั่วจื่อหานยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง ครั้งนี้เธอฉลาดพอที่จะคว้าเสื้อผ้าข้างกาย แต่กลับเจ็บปวดไปทั้งตัว และมือก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
ลั่วจื่อหานรับเสื้อผ้าในมือของเธอมา อาสาช่วยเธอสวมเสื้อ ทั้งสองคนยังคงนัวเนียกันเนิ่นนานจึงจะแต่งตัวอย่างเรียบร้อย
อี้เป่ยซีอยู่ในห้องน้ำมองดูร่องรอยบนคอของตัวเอง เปิดกระดุมออกเม็ดหนึ่งและเห็นว่ากระดูกไหปลาร้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยฟกช้ำ ‘ลั่วจื่อหานจะต้องเป็นหมาบ้าแน่ๆ ทำไมทั้งกัดคนและทั้งหมกมุ่นแบบนี้’ เธอดึงๆ เสื้อ มองดูร่องรอยที่ปกคลุมร่างกายตัวเอง
ออกจากบ้านก็ไม่สนใจลั่วจื่อหาน เธอต้องการจะเปิดประตูออกไป
“เป่ยซี” ปากของเขาแนบชิดกับหูของอี้เป่ยซี “ฉันอุ้มเธอดีไหม”
อี้เป่ยซีต้องการจะเอ่ยปากปฏิเสธ สุดท้ายครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า ลั่วจื่อหานอุ้มเธอไปยังห้องร้านอาหาร ปล่อยให้เขาป้อนข้าว และปล่อยให้เขายัดตัวเองเข้าไปในรถ
“คิดจะไปไหน?”
“กลับบ้าน” เสียงของอี้เป่ยซียังคงหมดแรงเล็กน้อย ลั่วจื่อหานพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร และส่งเธอกลับบ้านอี้
ก่อนจะจากไป เขาคว้าข้อมือของอี้เป่ยซีเอาไว้ “เป่ยซี แต่งงานกับฉันเถอะ”
“พวกเรา ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”
“ไม่เร็ว” เขาส่ายหน้า “ต่อไปเวลาที่ฉันกลับมาบ้านฉันก็อยากเห็นเธอ ฉันอยากกอดเธอตอนเข้านอน ฉันอยากตื่นเช้าแล้วเห็นเธอเป็นคนแรก เป่ยซี แต่กับฉันเถอะ หืม?”
“ฉัน คือว่า ไม่ใช่อายุยี่สิบ…”
“พวกเราหมั้นกันก่อน”
“คือว่าฉันเหมือนกับได้ยินคุณแม่อี้เรียกฉันแล้ว ฉันกลับก่อนนะ บายๆ” เธอผละออกจากอ้อมอกของเขา ถอยหลังแล้ววิ่ง ลั่วจื่อหานมองดูแผ่นหลังของเธอ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
————
บทที่ 141
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 141 เรื่องกวนใจรอบสอง (10)
อี้เป่ยซีกลับถึงบ้าน ข้างในไม่มีใครเลย ดื่มไปหนึ่งแก้วก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง อี้เป่ยซีล้มตัวลงบนเตียง ความง่วงค่อยๆ เข้าจู่โจมเธอ พลิกตัวกอดผ้าห่มแล้วผล็อยหลับไปด้วยความซึมกะทือแล้ว
หลังจากลั่วจื่อหานออกไปจากจิ่นหยวนแล้วก็ขับรถกลับไปที่บริษัทเพื่อเริ่มจัดการเรื่องงานทันที เมื่อมองดูวางแผนที่เต็มไปด้วยตัวอักษรสีดำแล้วก็หงุดหงิดใจ นวดคลึงคิ้วอย่างแรง
ทำไมมักจะมีสังหรณ์ใจไม่ดีเลย เป่ยซี…
เขาเพิ่งจะแตะโทรศัพท์มือถือ มันก็เริ่มสั่น ลั่วจื่อหานมองดูชื่อของสายเรียกเข้า กดปุ่มรับสายอย่างเกียจคร้าน “มีอะไรก็รีบพูด”
“เอ๊ะ ทัศนคติแย่จังเลย งั้นฉันก็ไม่บอกนายเรื่องของเป่ยซีแล้ว”
“เซี่ยเช่อ นายรีบบอกเขาเถอะ” ราวกับว่าหลานฉือเซวียนอยู่ข้างๆ เขา กระตุ้นอย่างอดไม่ได้ ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว
“มีเรื่องอะไร”
เซี่ยเช่อพูดอย่างเชื่องช้า “อา นายรู้สินะว่าเป่ยซีก็คือหลิงซี วันนี้ถูกคนกล่าวหาว่าละเมิดสิขสิทธิ์ เหมือนกับว่ามีหลายคนไม่พอใจมาก น่าจะมีคนทำอะไรอยู่เบื้องหลัง ก็แค่รู้สึกว่านายควรจะทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า”
“พูดให้ชัดหน่อย”
“ยังไม่ชัดอีกเหรอ ฉันพูดชัดมากแล้วนะ งั้นนายก็ไปหาในเน็ตเองก็แล้วกัน แค่นี้แหละฉันจะวางแล้ว อ่อ จริงสิอีกเรื่อง เพลงที่นายอยากจะเพลิดเพลินคนเดียวก็ถูกปล่อยออกมาเหมือนกัน”
ลั่วจื่อหานกำโทรศัพท์มือถือแน่น “โอเค ฉันรู้แล้ว”
เขาเอาเอกสารวางไว้อีกทาง เปิดหน้าเว็บขึ้นมา เมื่อเห็นลิสต์แล้วในใจก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แม้เธอจะไม่มีชื่อเสียงมากในวงการ แต่ว่าเมื่อเหตุการณ์แบบนี้แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกดันขึ้นมาอยู่บนลิสต์ได้ จะเป็นไปได้ก็เพียงข้อถกเถียงขนาดเล็กเท่านั้น มันจะกลายเป็นข้อโต้แย้งขนาดใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร
เขาสงสัยแต่ก็ยังกดเข้าไปแล้ว
‘เรื่องราวดุเดือดของหลิงซีที่ไม่มีใครรู้’
เขาหัวเราะเย็นชา กวาดตามองเรื่องเหลวไหลยาวเหยียด
เล่าว่าอี้เป่ยซีเป็นเด็กสาวที่มาจากครอบครัวยากจนที่มีความทะเยอทะยาน อยากยกระดับตัวเอง โดยเล่าว่ามีคนเขียนทุกอย่างให้เธอ อีกทั้งยังบอกอีกว่าผลงานชิ้นนี้ลอกเลียนแบบมาจากสิ่งนั้นสิ่งนี้
เรื่องไร้สาระทั้งนั้น
เขาเลื่อนเม้าส์ เห็นการรังแกของชาวเน็ตชุดใหญ่ก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเสียงดัง
พวกแกจะมากล่าวหาคนที่เขาปกป้องสุดชีวิตแบบนี้ไม่ได้นะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักเธอเลย ก็มาบอกว่าตัวเองเข้าใจเป็นอย่างดีและมองเห็นความจริงแล้ว น่าตลก น่าตลก
เขาเห็นว่าเพลงนั้นที่อี้เป่ยซีเพิ่งเขียนได้กลายเป็นจานระบายสีไปแล้ว ในใจสั่นเทิ้ม ‘อี้เป่ยซีเอ๋ย เธอเห็นอะไรพวกนี้หรือยังนะ’
อี้เป่ยซีถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือ เธอลูบหัวที่ยุ่งเหยิง “ฮัลโหล”
“หลิงซีแกมันคนเลว รังแกเทพบุตรของฉันยังไม่พอ ยังก๊อปผลงานใหญ่ๆ อีกตั้งเยอะ คนอย่างเธอมีสิทธิ์อะไรอยู่บนโลกใบนี้”
“หา?”
“แกล้งโง่อะไรล่ะ เธอมันน่าสมเพศ เธอนึกว่าการที่ให้คนอื่นเขียนคำสละสวยให้เธอไม่กี่คำแล้วเต่าทองจะมาติดเบ็ดงั้นเหรอ เธอฝันไปเถอะ ฉันจะบอกให้นะ คนเลว…” อี้เป่ยซีไม่รอเธอพูดจบก็วางหูไปแล้ว จากนั้นโทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงอย่างบ้าคลั่ง สายแล้วสายเล่า
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงบอกว่าเธอคัดลอกผลงานล่ะ แล้วพวกเขามีเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอได้อย่างไร
นี่มันเรื่องอะไรกัน ตอนแรกคิดจะโทรไปถามพี่ชาย แต่เมื่อเห็นโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องตลอดเวลา ก็เดินไปหน้าคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมแชทขึ้นมา ทั้งหมดล้วนมีแต่คนที่ไม่รู้จักส่งข้อความมาด่าทอเธอ ตัวเลขสีแดงสดราวกับว่าจะระเบิดออกมา
มือที่จับเม้าส์ของเธอสั่น เห็นข้อความส่งมาจากรูปโปรไฟล์ที่คุ้นเคย
“ยกเลิกการร่วมงาน”
ทำไมจะต้องยกเลิกด้วย เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนี่นา เธอลงแรงไปมากให้กับหนังสือเล่มนี้ ทำไมถึงบอกยกเลิกก็ยกเลิกล่ะ
ไม่ได้ อี้เป่ยซีอย่างเธอไม่เห็นด้วย แม้จะถูกต่อต้านเธอก็ต้องการเหตุผล เมื่อได้รับเนื้อหาจากอีกฝ่ายแล้ว อี้เป่ยซีหลับตาด้วยความหนักอึ้งเล็กน้อย
เมื่อก่อนก็มีคนถูกคัดลอก ตอนนั้นก็วุ่นวายมากพอแล้ว ตอนนี้มาเจอกับตัวเองก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นคราวนั้นเป็นเหมือนแค่การเปิดฉากเท่านั้น
แต่ว่าเธอไม่เคยคัดลอกนี่นา เธอเบะปากด้วยความน้อยใจเล็กน้อย มองดูหลักฐานนานาชนิดที่พวกเขางัดออกมาอย่างเหม่อลอย มองดูคนที่เคยชื่นชมเธอกลับกลายเป็นคนที่รุนแรงที่สุด ถือขวานคอยฟาดฟันเธอ
ช่างเถอะ แต่ยังมีความรู้สึกเสียใจอยู่เลย รู้สึกเหมือนถูกแทงข้างหลังอย่างไรอย่างนั้น
เธออ่านอีกสองสามรอบแล้วกดปุ่มรีเฟรช ทันใดนั้นก็เห็นความเห็นของมู่ไป๋
“ผมเชื่อใจเขา หลิงซีเป็นเด็กสาวที่สง่างามและมีชีวิตชีวามาก” อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตัน แต่เมื่อเห็นความคิดเห็นด้านล่าง หัวใจก็เย็นชา
“สงสารเทพบุตรจังเลย ตัวเองต้องมาเจอเรื่องที่ไม่มีความสุขเพราะช่วยเพื่อนในวงการล้างมนทิน เทพบุตรฉันรักคุณ แต่หลิงซีเขาไม่คู่ควร”
“เทพบุตรอย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องแบบนี้เลย เรื่องของหลิงซีทั้งนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”
อี้เป่ยซีหัวเราะเยาะ แต่กลับทำอะไรไม่ถูก พื้นที่แสดงคววามคิดเห็นของเธออยู่ในมือของศัตรูแล้ว ทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก ทั้งที่อยู่ในวงการและไม่ได้อยู่ในวงการ ทุกคนต่างพุ่งเป้าหอกแห่งคุณธรรมไปที่เธอ
อีกทั้งยังทำให้เธอดังใหญ่แล้ว ต้องขอบคุณพวกเขาจริงๆ
เธอครุ่นคิดแล้วแก้ไขย่อหน้า สิ่งที่ควรพูดล้วนอยู่ในหลักฐานของพวกเขาแล้ว ‘พวกเธอคอยดูเถอะ จริงสิอีกอย่าง ถ้าจานระบายสีพวกนั้นเป็นที่ระบายจริงๆ ล่ะก็ ฉันจะรวบรวมวรรณกรรมทุกคำเป็นคำเดียวกันก็ได้ อยากดูไหมล่ะ’ เธอยิ้มยิงฟัน
เธอปิดคอมพิวเตอร์ทันที โทรศัพท์มือถือยังคงส่งเสียงเธอจึงปิดมันด้วยความรำคาญแล้ว ตอนนี้โลกสะอาดแล้วสินะ
เสียงตึงตังดังมาจากข้างนอก อี้เป่ยซีหันไป เห็นอี้เป่ยเฉินเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
“เสี่ยวซี”
“พี่ เป็นอะไรไป ทำไมพี่ถึงรีบร้อนขนาดนั้น”
เธอทำลมหายใจให้เป็นปกติ “เธอไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไร มีแต่เรื่องไร้สาระ อ่อจริงสิ พี่ให้ฉันยืมมือถือหน่อยได้ไหม ตอนนี้ฉันไม่สะดวกเปิดมือถือ”
“อืม ได้” เขายื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้เธอทันทีโดยปราศจากความลังเล อี้เป่ยซีกดหมายเลขหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วกดโทรออก
“สวัสดีค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียก…” ซ้ำอยู่แบบนี้หลายรอบ จากนั้นคนฝั่งนั้นจึงได้รับหมายเลขที่อี้เป่ยซีโทรไป
“ลั่วจื่อหาน” เมื่อได้ยินชื่อของเขา ดวงตาของอี้เป่ยเฉินหดตัวลงทันที ค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องของเธอ
“เป่ยซี เธอไม่เป็นไรนะ”
“ฉันไม่เป็นไร ลั่วจื่อหาน นายก็เห็นหมดแล้วใช่ไหม นายอย่าโมโหเลยนะ เรื่องพวกนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“อืม โอเค”
“นายไม่ต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้โอเคไหม? ให้ฉันจัดการเอง”
ทางนั้นไม่ได้ตอบเธออยู่นาน อี้เป่ยซีกำชายเสื้อ รอคอยคำตอบ
“ได้ ถ้าเธอต้องการอะไรอย่าลืมมาหาฉัน”
“อืม ฉันรู้แล้ว นายดีจัง”
ลั่วจื่อหานเก็บโทรศัพท์ มองออกไปนอกหน้าต่าง เรื่องนี้เขาจะไม่ยุ่ง แต่ว่าเขาจะไม่ยอมให้เป่ยซีต่อสู้กับคนนั้นตามลำพังแน่นอน
————
บทที่ 142
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 142 เรื่องกวนใจรอบสอง (11)
อี้เป่ยซีขังตัวเองอยู่ในห้องยาวนาน เริ่มรวบรวมหลักฐานของตัวเอง คุณแม่อี้กับอี้เป่ยเฉินต่างกลับมาดูเธอเป็นครั้งคราว กลัวว่าเรื่องพวกนี้จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธอ
เมื่อเรื่องนี้สะสมมาถึงวันที่สาม อี้เป่ยซีจึงค่อยๆ ปล่อยของที่ตัวเองรวบรวมได้ออกไป
โดยเริ่มจากเรื่องการคัดลอดบทความก่อน เธอพบที่มาของบทความทั้งหมดของเธอ รวมถึงสถานที่เรียนรู้และชี้แจงให้เห็นทีละอย่าง บางครั้งคุณไม่เคยเห็นว่าเธอใช้มัน ถ้าเช่นนั้นสิ่งนี้ก็เป็นของเธอสิ หรือไม่ก็อาจเคยมีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็ได้นะ
เธอก็ได้หาเวลาที่ตีพิมพ์บทความของตัวเอง รวมถึงเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาตีพิมพ์บทความ
นี่มันน่าสนใจมากๆ ฉันได้คัดลอกผลงานจากอนาคต ฉันก็ชื่นชมความสามารถของตัวเองมากเหลือเกิน
เธอยังถ่ายภาพหน้าจอจากบทสนทนากับคนจำนวนหนึ่ง
แบบนี้พอจะทำให้พวกคุณเข้าใจได้บ้างหรือยังว่าใครพูดจาเหลวไหลกันแน่…
จากนั้นก็ปิดคอมพิวเตอร์โดยไม่พูดจาสักคำ ล้มตัวลงบนเตียงแล้วเข้าสู่ความฝัน
เรื่องแบบนี้มันเหนื่อยเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่รู้เลยว่าตัวเองเขียนอะไรมากมายขนาดนั้น เธอส่ายหัว กอดหมอนของตัวเองแล้วผล็อยหลับไป
เธอบังคับตัวเองว่าอย่าไปใส่ใจอีก ให้แก้ไขสิ่งที่ตัวเองเขียนก่อนหน้านี้อย่างสบายใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะส่งให้กับบรรณาธิการทั้งหมด ครั้งเดียวก็น่าจะผ่านล่ะมั้ง เธอคิด แต่ทำอย่างก็ยิ้มไม่ออก เอาเถอะต้องพูดว่าเรื่องนี้มันทำให้ลำบากใจจริงๆ
เธอลบมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ทิ้งชิ้นงานไปแล้วก็หยิบมันขึ้นมาใหม่อีก ถูกคนปฏิเสธอย่างต่อเนื่องแบบนี้ ถ้าบอกว่าไม่เสียใจ เธอเองก็ยังไม่เชื่อ แต่ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ อีกอย่างยังกัดเพลงใหม่ของเธอไม่ปล่อยด้วย มันมีปัญหาตรงไหนกันนะ
หรือว่าจะเป็นฝีมือคนของเฟิงอู่? เธอคงไม่มีอำนาจขนาดนี้ งั้นจะเป็นใครได้ล่ะ คนที่ไม่ต้องการเห็นเธอราบรื่นที่สุด
เธออยู่ในวงการนี้ ทำตัวโดดเด่นน้อยที่สุดจนไม่รู้จะน้อยอย่างไรแล้ว นับประสาอะไรที่จะไปผิดใจกับคนอื่นล่ะ มันคือความเกลียดชังในชีวิตจริงต่างหาก
ไม่ ไม่จริงมั้ง แต่ว่าคนพวกนั้นที่เกลียดเธอไม่น่าจะรู้ว่าเธอยังมีโลกเสมือนอยู่ในวงการนี้นี่นา
เธอส่ายหน้า ช่างเถอะ คิดว่าก็จะสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้ ต่อไปเธอก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน
ขณะที่อี้เป่ยซีเปิดดูหน้าเว็บอีกครั้ง ก็พบว่าเรื่องการคัดลอกของหลิงซีไม่ได้เป็นประเด็นร้อนอีกต่อไปแล้ว แต่มีเรื่องวุ่นวายใหม่เข้ามาแทนที่
พวกคุณเอาจินตนาการมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน อี้เป่ยซีรู้สึกว่ามีบาดแผลจากความหดหู่อยู่ที่หน้าอกของตัวเอง คิดๆ ดูแล้วก็ช่างมันเถอะ มันเป็นเพียงข้อกล่าวหวเลื่อนลอยเท่านั้น พวกเขาก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้ เธอจะเก็บเอามาใส่ใจทำไม
ในขณะที่เธอนึกว่าจะสงบได้แล้ว จู่ๆ ก็มีเพื่อนสนิทในวงการที่โผล่มาป้ายยาให้กับทุกคน
ใช่สิ เธอเขียนเก่ง แค่มีพรสวรรค์นิดหน่อยแล้วยังไงเหรอ ก็ยังเป็นคนที่นิสัยห่วยๆ คนหนึ่ง
คนที่เรียกตัวเองว่า หนึ่งสิบสามได้ตัดบันทึกการสนทนาของหลิงซีกับคนอื่นๆ ออกมา แล้วใส่เรื่องราวของอี้เป่ยซีลงไป
คนนี้รู้เรื่องของเธอได้อย่างไร มือของอี้เป่ยซีสั่นเล็กน้อย เม้าส์ไหลลื่นลงใต้โต๊ะทันทีตามมือของเธอ นี่เป็นฝีมือใครกันแน่!
เธออ่านาข้อกล่าวหาบนเว็บ ดวงตาแดงก่ำอย่างช่วยไม่ได้
ใช่ มันเป็นความผิดของเธอเอง เป็นความผิดของเธอทั้งหมดโอเคไหม พวกเธอไม่ต้องพูดอีกแล้ว
เพราะเธออี้เป่ยซีทำให้ลู่เยี่ยหวาตาย เธอทำให้เขาตาย พวกเธอพอใจกันแล้วสินะ
อย่าพูดอีกเลย อย่าพูดอีกเลย
“อย่าพูดอีกเลย” อี้เป่ยซีคำรามออกมา ทิ้งทุกอย่างบนโต๊ะลงกับพื้น
“เป็นเพราะฉัน ฉะนั้นทั้งชีวิตนี้ของฉันต้องเป็นเหมือนเขาเท่านั้น มีแค่ขาวดำใช่ไหม เหมือนกับนักบวช ทำอะไรก็ไม่ได้ ห้ามหัวเราะ ห้ามมีความสุข ห้ามดีใจ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความผิดทุกวัน ต้องถูกทุกคนด่าทอ”
“พวกเธอจะเอายังไงกันแน่ จะเอายังไงกันแน่นะ” อี้เป่ยซีร่วงลงมาจากเกาอี้ ราวกับได้สูญเสียวิญญาณไป มองดูข้าวของที่ระเกะระกะบนพื้น แม้จะมีคนเดินมาข้างหลังเธอก็ยังไม่รู้ตัว
“เป่ยซี” อี้เป่ยซีได้ยินเสียง พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเขาทันที สะอื้นไม่หยุด
“ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน นี่ฉันมัน…”
“ไม่ใช่เป่ยซี พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงๆ เธอจะต้องมีความสุข เพราะว่านี่คือความปรารถนาทั้งหมดของลู่เยี่ยหวา เธออย่าปล่อยให้พวกเขามีผลกระทบสิเป่ยซี”
“แต่ว่า ลั่วจื่อหาน ฉันทรมานจริงๆ นะ เวลาที่ฉันนึกถึงเขากับฉัน”
แขนของลั่วจื่อหานกอดแน่น “เป่ยซีร้องเถอะ ร้องออกมา ทรมานก็ร้องออกมา ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่นี่”
ได้ยินดังนี้ อี้เป่ยซีก็ปล่อยโฮอย่างควบคุมไม่ได้ ลั่วจื่อหานก็กอดเธอกึ่งคุกเข่าอยู่แบบนี้ จนกระทั่งคนในอ้อมแขนร้องไห้จนไม่มีเสียงแล้ว ก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
เขาอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น วางลงบนเตียง ใช้ผ้าขนหนูเปียกเช็ดใบหน้าของเธออย่างระมัดระวัง
“เป่ยซี ตอนนี้เธอเดินออกมาได้แล้ว อย่าถูกดึงกลับเข้าไปอีกสิ โอเคไหม?” เขาจูบหน้าผากของเธอ ห่มผ้าให้เธออย่างดี ลุกขึ้นจากไป
ผู้คนยังคงถกเถียงกันเรื่องนี้ อี้เป่ยซีไม่มีกะใจไปที่จะไปคิดถึงเรื่องนี้อีก ร่างกายเธอไม่มีพลังเลย การเดินก็ยังล่องลอย บางทีเธอนั่งอยู่บนโซฟาคนเดียว เหม่อมองนอกหน้าต่างเพียงลำพัง คุณแม่อี้คอยอยู่ข้างๆ เธอไม่ห่าง กลัวว่าอี้เป่ยซีจะเกิดเรื่องอะไรอีก
ฝนเริ่มตกแล้ว เวลาเพิ่งจะบ่ายสองด้านนอกก็มืดแล้ว ลั่วจื่อหานฝ่าฝนมายังจิ่นหยวน เปิดพรวดประตูบ้านของอี้เป่ยซี
“คุณป้าครับ เป่ยซีอยู่ไหม?” คุณแม่อี้ชี้ไปยังห้องรับแขก เขามองตาม ก็เห็นอี้เป่ยซีถือแอ๊บเปิ้ลและเหม่อมองมัน เขาค่อยๆ เดินเข้าไปทีละก้าวสองก้าว
“เป่ยซี”
แอ๊บเปิ้ลของเธอร่วงหลุดจากมือทันใด ลั่วจื่อหานรับไว้อย่างรวดเร็วแล้ววางลงบนโต๊ะน้ำชา นั่งลงข้างเธอ
“เป่ยซี คิดอะไรอยู่?”
“ฉันก็ไม่รู้ แค่รู้สึกว่าเบื่อมาก” มือของคุณแม่อี้ขยับ ขึ้นชั้นบนไปเงียบๆ ปล่อยให้พวกเขาอยู่กับตามลำพัง
“หรือรู้สึกว่าถ้าขังตัวเองแล้วจะดีขึ้นงั้นเหรอ?”
“ฉันเปล่า ฉันแค่ไม่อยากคิด” อี้เป่ยซียังคงนั่งเหม่อ ไม่มีสีสันใดๆ ในแววตา คำพูดเมื่อครู่ก็เหมือนกับว่าไม่ได้ออกมาจากปากของเธอ
“ฉันพาเธอออกไปเดินเล่นไหม?”
“ไม่!” เธอหันขวับไปหาลั่วจื่อหาน “ไม่ออกไป ไม่ออกไป ฉันไม่อยากออกไป ลั่วจื่อหานนายอย่าลากฉัน ลั่วจื่อหาน”
ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมาโดยไม่ปล่อยให้อธิบายใดๆ อี้เป่ยซีดิ้นรนในอ้อมแขนของเขาตลอดเวลา ทั้งสองคนตากฝนหนัก เขาแข็งใจยัดเธอเข้าไปในรถทันที
“ฉันพาเธอออกไปนั่งรถเล่น”
“ฉันไม่อยากออกไป ไม่อยากจริงๆ ฉันอยากอยู่บ้านน่ะลั่วจื่อหาน นายปล่อยให้ฉันกลับไปได้หรือเปล่า” เธอคว้าแขนเสื้อของเขาพร้อมร้องขอ ลั่วจื่อหานว้าวุ่นใจแต่ก็ยังสตาร์ทรถ รถหายไปในม่านฝนอย่างรวดเร็ว
————
บทที่ 143
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 143 เรื่องกวนใจรอบสอง (12)
รถขับจากชานเมืองเข้าสู่ตัวเมืองช้าๆ อี้เป่ยซีเบิกตากว้าง มองดูรถที่ผ่านไปมาตรงหน้า กุมเสื้อของตัวเองไว้แน่น ราวกับจะหายใจไม่ออกในวินาทีต่อมา ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางเธอแบบนี้แล้วปวดใจเล็กน้อย เหยียบคันเร่งพุ่งทะยานออกไป ร่างกายของอี้เป่ยซีเกิดอาการเกร็ง
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน มัน อัน ตราย”
“หืม?”
“อันตราย นาย เร็ว”
“เป่ยซี เธอพูดกับฉันให้มันดีๆ”
อี้เป่ยซีกลืนน้ำลาย คำพูดที่เปล่งออกมาติดๆ ขัดๆ เธอขมวดคิ้ว รอบเล่ารอบเล่า ก็ยังคงไม่สามารถพูดได้อย่างไหลลื่น
“รังแก นาย ฉัน”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ “อืม ฉันรังแกเธอ” เขาเปิดเพลง เสียงดนตรีที่สบายและอบอุ่นดังขึ้นภายในรถที่คับแคบ มันทำให้เส้นประสาทรู้สึกผ่อนคลาย มือของอี้เป่ยซีคลายลงเล็กน้อย แต่สายตายังคงจ้องอยู่เบื้องหน้า
ลั่วจื่อหานเร่งความเร็วขึ้นอีก อี้เป่ยซีคว้าเข็มขัดนิรภัย ตะโกนด้วยความตกใจ “นาย เร็ว ฉัน”
“เร็วอีกเหรอ?” พูดจบ ลั่วจื่อหานก็เหยียบคันเร่งอย่างแรง อี้เป่ยซีสงสัยว่าความเร็วแบบนี้ รถคันนี้จะระเบิดหรือเปล่า
“ฉันหยุด นาย หยุด กลัว”
“อืม” เขายังคงไม่ลดความเร็ว จู่ๆ อี้เป่ยซีหลับตา หดตัวร้องไห้สะอื้นอยู่บนเก้าอี้
ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเธอก็จอดรถข้างทาง อี้เป่ยซีอาศัยจังหวะนี้เปิดประตูรถแล้วพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางสายฝนเพียงลำพัง
“เป่ยซี!” เสียงรถที่เบรกเอี๊ยดกะทันหันทำให้ทุกอย่างเงียบสงบ สายฝนก็ตกลงมาเงียบๆ กว่าเมื่อครู่ รถผ่านไปด้านข้างอย่างเงียบๆ อี้เป่ยซีคุกเข่าอยู่ด้านหน้ารถ กอดตัวเองแน่น
อีกแค่นิดเดียว นิดเดียว อี้เป่ยซีกำเสื้อร้องไห้ ลั่วจื่อหานรีบพุ่งไปด้านหลังของเธอ กอดเธอด้วยตัวสั่นเทิ้ม “เป่ยซี ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว” เธอกำแขนเสื้อของเขา สั่นไปทั้งตัว
“ลั่วจื่อหาน”
“อืม ฉันอยู่นี่”
“พวกเรากลับไปดีไหม”
“ได้ พวกเรากลับบ้านกัน”
ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น ก้าวเดินมั่นคง ฝีเท้าส่งเสียงในแต่ละย่างก้าว เขาพาอี้เป่ยซีเข้าไปในรถ เพิ่มอุณหภูมิภายใน ใช้ผ้าขนหนูเช็ดเธออย่างระมัดระวัง อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร ปล่อยตัวไปตามการกระทำของเขา ริมฝีปากซีดขาวเล็กน้อย
เขาพาเธอกลับบ้านอีกครั้ง เมื่อคุณแม่อี้เห็นสภาพสะบักสะบอมของอี้เป่ยซีแล้ว คิ้วก็ขมวดกันแน่น แววตาที่มองลั่วจื่อหานแย่ลงเล็กน้อย
ลั่วจื่อหานยักไหล่อย่างจนใจ “คุณป้าครับ ผมจะส่งเป่ยซีขึ้นไป”
อี้เป่ยซีส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก นายกลับไปก่อนเถอะ อย่าลืมดื่มน้ำขิง อย่าเป็นหวัดซะล่ะ” เธอกุมมือใหญ่โตของลั่วจื่อหาน “ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”
“โอเค คุณป้า ลาก่อนครับ”
คุณแม่อี้พยักหน้าให้เขา แม้จะอนุญาตกับพฤติกรรมของเขาแต่ก็ลากอี้เป่ยซีมาอยู่ข้างตัวเองทันที “โธ่ เป่ยซีเอ๊ย นี่เขาพาลูกไปทำอะไรมากันแน่?”
“นั่งรถสายมรณะ” เธอหัวเราะ “แม่คะ หนูอยากไปอาบน้ำก่อน แม่ช่วยอุ่มน้ำขิงให้ลูกสาวสุดที่รักของแม่ได้ไหมคะ?” พูดพลางกระพริบตา คุณแม่อี้มองดูเธอ เมื่อมั่นใจว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แล้วจึงพยักหน้า เข้าห้องครัวไป
อี้เป่ยซีกำหมัด ขึ้นชั้นบนเข้าห้องน้ำไป เธอห้อมล้อมตัวเองด้วยน้ำอุ่ม นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
มีเพียงเวลาที่กำลังจะสูญเสียมันไปเท่านั้น จึงจะรู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน
ฉะนั้น ก่อนที่ลู่เยี่ยหวาจะจากไปเขาไม่ได้คิดถึงตัวเองแต่คิดถึงเธองั้นเหรอ? เธอมีความดีอะไรมีความสามารถอะไรกันที่คุ้มค่าแก่ความไว้วางใจจากคนที่สง่างามเช่นนี้ อี้เป่ยซีหัวเราะ ‘ลู่เยี่ยหวา ฉันจะติดตามนายและใช้ชีวิตอย่างสวยงาม ในที่สุดฉันก็เข้าใจความปรารถนาสุดท้ายในสายตาของนายแล้ว’
เป่ยซี จงใช้ชีวิตต่อไปให้ดี
เธอส่ายหัว ‘ลู่เยี่ยหวา หวังว่าชาติหน้า นายจะไม่ต้องมาเจอฉันอีก ฉันนี่มันตัวซวยของนายจริงๆ’ ทุกนาทีที่คุณแม่อี้อยู่ชั้นล่างคือความทรมาน กลัวว่าลูกสาวของตัวเองจะทำอะไรโง่ๆ อยู่ชั้นบน เธอยกนาฬิกาขึ้นมาดูแทบจะทุกวินาที สุดท้ายก็ขึ้นชั้นบนไปอย่างหมดความอดทน เคาะประตูแต่ไม่มีคนตอบ เธอก็เคาะประตูห้องน้ำอีกครั้งด้วยความร้อนรน
“เป่ยซี เป่ยซี ลูกอยู่ข้างในหรือเปล่า?”
อี้เป่ยซีเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองอาบน้ำนานเกินไปแล้ว ตอบคนที่อยู่หน้าประตู “อยู่ค่ะแม่ หนูจะออกไปแล้ว”
“อ้อ โอเค งั้นลูก เร็วหน่อย ไม่สิ ช้าหน่อย เฮ้อ แล้วแต่ลูกจะเอายังไงเถอะ”
อี้เป่ยซีคว้าเสื้อผ้าแล้วหัวเราะ แต่งตัวปล่อยผมแล้วเดินลงไปข้างล่าง เธอโอบเอวคุณแม่อี้ “แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หนูดีขึ้นเยอะแล้ว”
“ใครจะรู้ว่าลูกแสดงออกแบบนี้ ในใจจะคิดยังไง เป่ยซี ถ้าลูกยังมีอะไรที่คิดไม่ตกจริงๆ จะต้องบอกแม่นะรู้ไหม แม้ว่าแม่จะช่วยอะไรลูกไม่ได้ ลูกพูดออกมาก็จะสบายใจขึ้นมาบ้าง รู้หรือเปล่า?”
“ค่า โอเคๆๆหนูรู้แล้ว แม่วางใจเถอะ ถ้าหนูมีอะไรจะบอกคุณแม่คนแรกเลย แบบนี้โอเคไหมคะ”
คุณแม่อี้จิ้มๆ หน้าผากของอี้เป่ยซี “ลูกน่ำ ทุกครั้งก็รับปากเร็วแบบนี้ ถึงจะไม่พูดกับแม่ พูดกับลั่วจื่อหานก็ได้นะ”
“อืมๆๆ ต่อไปลั่วจื่อหานก็จะเป็นถังขยะทางอารมณ์ของหนู ทิ้งของที่แย่ๆ ให้เขา ของดีๆ ก็พูดกับแม่ แม่ว่าดีไหมคะ”
“พอได้แล้ว ดื่มแกงเถอะ”
“รับทราบ” อี้เป่ยซีดื่มน้ำขิงถ้วยใหญ่รวดเดียวหมด เพราะฝนตกไม่สะดวกที่จะออกไปข้างนอก อี้เป่ยซีจึงอยู่ดูซีรี่ย์โทรทัศน์เป็นเพื่อนคุณแม่อี้ ทั้งสองคนพูดคุยเอะอะกันอยู่หน้าจอโทรทัศน์ สุดท้ายก็ไม่เข้าใจว่าซีรี่ย์เรื่องนี้พูดเกี่ยวกับอะไร
“ฮูหยินอี้ได้เวลาทำกับข้าวแล้วหรือเปล่า”
“คุณหนูอี้ ฉันปรนนิบัติเธอมานานขนาดนี้ วันนี้ไม่ใช่เวลาที่ลูกควรตอบแทนหรือ”
“เอ๋ ฮูหยินอี้ไม่รังเกียจฝีมือทำกับข้าวแย่ๆ ของอีกาน้อยตัวนี้เหรอ?”
คุณแม่อี้ดื่มน้ำ ราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรที่ยิ่งใหญ่ “แม่จัดการเอง”
“หนูจะเป็นผู้ช่วย”
อี้เป่ยซีล้างผักอยู่ข้างๆ คุณแม่อี้มองผักบนเขียงที่ถูกหั่นแล้วอย่างครุ่นคิด “เรียกแม่บ้านก่อนหน้านี้กลับมาเถอะ พอแม่ไปแล้ว ก็ไม่สะดวกดูแลพวกลูกแล้ว ลูกก็ทำกับข้าวไม่เป็น เป่ยเฉินเด็กคนนั้นก็เอาแต่ทำโอที”
“เมื่อก่อนมีแม่บ้านด้วยเหรอคะ? หนูนึกว่าพี่ชอบอยู่คนเดียวซะอีก ก็เลยไม่ได้จ้างใคร”
มือของคุณแม่อี้หยุดอยู่บนผักสีเขียว จากนั้นก็หั่นต่อด้วยความชำนาญ ผักที่หั่นแล้วราวกับผ่านการวัดขนาดมาอย่างดี ทั้งแม่นยำและสม่ำเสมอ เธอเอาผักที่หั่นเสร็จแล้ววางไว้อีกทาง ตั้งไฟ เติมน้ำมัน ใส่วัตถุดิบ ทุกขั้นตอนนั้นเรียบง่ายและถูกจัดระเบียบอย่างดี
“เป่ยซี บางทีแม่ก็คิดว่า ถ้าแม่ไม่ได้เอาลูกกลับมาที่บ้านอี้มันจะเป็นยังไง ลูกจะเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทำเรื่องธรรมดาเรียบง่ายที่ตัวเองชอบ หรือจะมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองแล้วลงแรงไปกับมันอย่างมีความสุข แต่ไม่ใช่เป็นแบบนี้ ที่มีหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนรับมือไม่ทัน”
“แม่คะ หนูต้องขอบคุณที่แม่พาหนูกลับมาบ้าน ไม่อย่างนั้นหนูก็คงไม่สามารถจะมีความสุขไปกับความรักของทั้งสามบ้านได้หรอก หนูมีความสุขมากจริงๆ แม้จะมีสิ่งรบกวนเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ แต่ว่ารวมๆ แล้วก็เยี่ยมมากนะคะ หนูชอบชีวิตแบบนี้มาก แม่ก็อย่าไปคิดเรื่อง ‘ถ้าหาก’ นั่นอีกเลย”
“ได้ แม่จะเชื่อเรา ไม่คิดๆ”
————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น