Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 130-136

บทที่ 130 วิกฤตโรงแรม (4)


            อี้เป่ยซีอึ้งไปหลายวินาที จนกระทั่งลั่วจื่อหานวางเธอลงบนเตียงแล้วก็พลิกตัวกระโดดลงจากเตียง มองเขาเตือนๆ “นาย นายอย่ามามั่วนะ ฉันรับปากจะคืนดีกับนายไม่ได้รับปากว่าจะ…” นึกถึงฉากในตอนนั้น หน้าของอี้เป่ยซีก็แดงอีกครั้ง


            แต่ว่ามือของลั่วจื่อหานหนักเกินไปแล้ว ตอนนี้คิดดูแล้วก็เจ็บมาก เธอพิงอยู่ในมุมกำแพงเงียบๆ อีกครั้ง ลั่วจื่อหานหยุดอยู่ที่เดิม คำที่พูดออกมาทำให้อี้เป่ยซีทนไม่ไหวจนอยากโผเข้าไปกัดเขา


            “ฉันทำให้เธอเจ็บหรือเปล่า”


            ‘บ้าจริง นายต่างหากที่เจ็บ ทั้งบ้านนายมีนายคนเดียวที่เจ็บ’ เห็นเปลวไฟเล็กๆ ในดวงตาของเธอ ลั่วจื่อหานยื่นมือกอดเธอ “ฉันจะไม่ทำอะไรจนกว่าเธอจะพูด”


            แม้จะไม่พอใจกับคำพูดของลั่วจื่อหาน แต่เมื่อได้ยินคำรับประกันแบบนี้ อี้เป่ยซีก็ยังซบเขาด้วยความอุ่นใจ ความง่วงนอนที่ถูกขับไล่ออกไปก่อนหน้านี้หนักอึ้งขึ้น ปล่อยให้ลั่วจื่อหานนอนข้างเธออย่างเงียบๆ แต่หลับไม่สบายทั้งคืน รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างถูไถไปมาบนร่างกายตลอดเวลา


            จนกระทั่งอี้เป่ยซีลืมตาขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เห็นก็คือใบหน้าเปื้อนยิ้มของลั่วจื่อหาน ใช้แขนพยุงร่างกายของตัวเองอยู่เหนือเธอ ขนตาของอี้เป่ยซีสั่นไหว ลั่วจื่อหานจูบตาของเธออย่างอารมณ์ดีมาก จากนั้นก็จูบจมูกของเธอ ค่อยๆ ประกบริมฝีปากของเธอ ล้ำลึกเข้าไปทีละน้อย…มือเคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายของเธออย่างไม่เชื่อฟัง ขณะที่กำลังจะเข้าไปใกล้อีกนิด มือน้อยๆ ก็รีบหยุดมือของเขา


            “ฉัน ฉัน…” อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร แม้ว่าเธอจะไม่ขัดขืนการสัมผัสของเขา และรู้สึกสบายกับการสัมผัสที่แนบชิดของเขามาก แต่ว่า “อย่านะ ฉันกลัวเจ็บ”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะ ถอดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายบนตัวของเธอด้วยความอดทนและระมัดระวัง “ไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง วางใจเถอะ”


            “ลั่วจื่อหาน”


            “เป่ยซี เธอยังโกรธอยู่เหรอ?”


            “เปล่า” อี้เป่ยซีคว้ามือของเขา รู้สึกได้ถึงความอดทนของเขา “ฉันก็แค่ ตอนนี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ถึงฉันจะรับปากคบกับนายแล้ว พวกเราข้ามขั้นอะไรไปหรือเปล่า” ลูกกระเดือกของลั่วจื่อหานขยับ เห็นความวิงวอนในสายตาของคนที่อยู่ด้านล่าง พยักหน้าอย่างจนปัญญาและพ่ายแพ้


            “โอเค” อี้เป่ยซีกลิ้งออกจากข้างกายของเขาอย่างรวดเร็ว มองเขาอย่างไม่วางใจเล็กน้อย


            “ลำบากใจมากเหรอ?” อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความในใจของตัวเองอย่างไร มันซับซ้อนมาก ซับซ้อนจนทำให้ทั้งสองคนแทบอยากร้องไห้


            ลั่วจื่อหานหันหลังให้เธอ “ยังได้อยู่”


            อี้เป่ยซีเข้าใกล้เขาอย่างระมัดระวัง ราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ ค่อยๆ ยื่นมือของตัวเองออกไป ขณะที่สัมผัสก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ


            มันเกินไปหน่อยมั้ง เธอดึงความประหลาดใจของตัวเองกลับมา พูดด้วยเสียงเบามากๆ “คือว่า นายสอนฉันสิ ฉันช่วยนายได้นะ” ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เธอรู้สึกถึงอุณหภูมิที่ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ไม่ขยับเขยื้อน เธอรู้สึกว่าของที่อยู่ในมือเหมือนกับบวมเป่งไม่น้อย ตกใจจนรีบหดมือกลับแต่ถูกลั่วจื่อหานดึงมือไว้พอดี สองคนสบสายตากัน อี้เป่ยซีทนไม่ไหวจนอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี


            เขาไม่ได้ให้เธอช่วยสักหน่อย เธอใจดีขนาดนี้ ถ้าไม่รู้ว่ายังนึกว่าเธอคิดจะเอาเปรียบเขา


            “อยากช่วยฉันจริงเหรอ?” อี้เป่ยซีพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า ดวงตาที่สดใสมีละอองน้ำ ลั่วจื่อหานอดไม่ไหวจูบตาของเธออีกครั้ง ในที่สุดก็เลียเหมือนกับอยากให้มันดำเนินต่อไป “นอนลง หนีบขาให้แน่น”


            อี้เป่ยซีจึงเข้าใจว่าอะไรคือหาเหาใส่หัว เธอรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวของผู้ชายบนตัวของเธอ ใบหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องบ้าคลั่งนี้จึงหยุดลง


            ลั่วจื่อหานท่าทางพออกพอใจมาก อุ้มอี้เป่ยซีขึ้นมา เธอคว้าหน้าอกของลั่วจื่อหานแน่น ถามเสียงเบา “เป็นอะไรไป?”


            “อาบน้ำ” อี้เป่ยซีรู้สึกแปลกมาก ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรทำไมถึงได้เหนื่อยแบบนี้ และเห็นได้ชัดว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ทำอะไรบ้าง แต่ก็ยังกระปรี้กระเปร่าแบบนี้ ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ


            “คิดอะไรอยู่เหรอ” อี้เป่ยซีปล่อยให้เขาอุ้มเข้าห้องน้ำไป ขณะที่เขากำลังจะถอดเสื้อบนตัวเธอนั้น ก็รีบรีบคว้าชายเสื้อของตัวเองทันที


            “คือว่า ฉันจัดการเองดีกว่า”


            “ก็ไม่ได้ช่วยเธออาบน้ำครั้งแรกสักหน่อย มีอะไรน่าอายเหรอ?”


            อี้เป่ยซีครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ก้มหน้า “อันธพาล”


            มุมปากของลั่วจื่อหานยกยิ้ม นวดคลึงศีรษะของเธอ “งั้นเธอก็จัดการเองเถอะ” พูดจบก็จากไปแล้วช่วยเธอปิดประตู อี้เป่ยซีหน้าแดง อาบน้ำด้วยความเลื่อนลอยเล็กน้อย


            ‘แย่แล้ว ไม่ได้เอาเสื้อมา ลั่วจื่อหานอุ้มเธอเข้ามาก็ไม่รู้จักเอาเสื้อผ้ามาด้วยหรือไง?’ เธอเดินออกไปพร้อมห่อตัวด้วยชุดคลุมอาบน้ำ ลั่วจื่อหานชำเลืองมองเธอ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยตรง


            “ทำไมนายถึงไม่ใส่อะไรเลย!” อี้เป่ยซีรีบละสายตา น้ำเสียงมีการตำหนิ ลั่วจื่อหานหัวเราะ เดินเข้าใกล้เธอ


            “ฉันใส่อะไร?”


            “แต่นายก็ออกมาโดยไม่ใส่อะไรเลยไม่ได้นะ อย่างน้อยก็พันผ้าขนหนูหรืออะไรก็ได้นี่”


            “โชคไม่ดี มันถูกบางคนเอาไปแล้ว เธอเขินตลอดแบบนี้ ต่อไปจะทำยังไง”


            อี้เป่ยซีเบ้ปาก “ใครจะไปต่อกับพวกชอบโชว์อย่างนาย ฉันจะไปเอาเสื้อมาให้นาย”


            ลั่วจื่อหานดึงเธอไว้ ส่ายหน้า เปิดตู้เสื้อผ้าออกอย่างชำนาญ รื้อๆ ค้นๆ หยิบสองสามตัวออกมาแล้วสวมใส่ตรงหน้าอี้เป่ยซีโดยไม่เคอะเขินเลย


            “นาย…ไหนนายบอกว่าไม่มีอะไรใส่ไง?”


            “อ๋อ ฉันลืมไป”


            หางตาเธอกระตุก “เหตุผลดีนี่”


            ลั่วจื่อหานจัดเสื้อผ้าอย่างดี กวักมือเรียกเธอ


            “จะทำอะไรน่ะ” จูบสดชื่นประกบลงบนริมฝีปากของอี้เป่ยซี เธอก็อ้าปากเล็กน้อยเพื่อจูบตอบโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดจะรับจูบ มันก็ทำรู้สึกดีเหมือนกันแฮะ


            จู่ๆ ริมฝีปากก็รู้สึกเจ็บ อี้เป่ยซีผลักเขาทันที “นายเป็นหมาหรือไง?” เธอตรวจดู ยังดีที่เลือดไม่ออก


            “ไปกันเถอะ ออกไปกินข้าว” เขาโอบไหล่ของเธอด้วยความคุ้นเคย อี้เป่ยซีเดินไปสองก้าวก็หยุดชะงัก ผลักลั่วจื่อหานที่มีสีหน้างงงวยถอยกลับไป


            “เป็นอะไรไป?”


            “ฉันจะไปดูว่าพวกหลานฉือเซวียนอยู่ข้างนอกหรือเปล่า” ท่าทางระมัดระวัง เหมือนกับขโมยลูกอมแล้วกลับคุณแม่จับได้


            เขาอดไม่ได้พูดขึ้น “เมื่อวานตอนที่เธอบอกให้ฉันหยุด พวกเขาก็น่าจะรู้แล้วว่าฉันเข้ามา”


            อี้เป่ยซีส่ายหน้าอย่างขึงขัง “ไม่ พวกเขาน่าจะคิดไม่ถึงว่านายจะหน้าด้านขนาดนี้”


            “นี่คือชมฉันใช่ไหม?”


            “นายมีความสุขก็ดีแล้ว” ลั่วจื่อหานกุมมือของเธอ เปิดประตูออก


            “พวกเขาน่าจะไม่ตื่นเช้าขนาดนี้” เพิ่งจะลากอี้เป่ยซีเข้าห้องรับแขก ก็เห็นหนึ่งในคนที่บอกว่าไม่น่าจะตื่นเช้าขนาดนี้ยืนอยู่ที่หัวบันไดชั้นสองพอดี มองดูพวกเขาสองคนด้วยความงุนงงเล็กน้อย อี้เป่ยซีอดไม่ไหวที่จะหยิกเขา


            ‘ไหนบอกว่าพวกเขาไม่น่าตื่นเช้าขนาดนี้ไง นี่มันอะไรกัน ต่อไปถ้าฟังนายอีกฉันก็เป็นลูกหมาแล้ว’


            ลั่วจื่อหานไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เซี่ยเช่อนิ่งไป “ไม่มีแรงรบแล้วเหรอ? ถึงได้ตื่นเช้าขนาดนี้?”


        อี้เป่ยซีทนไม่ไหวคว้าแก้วบนโต๊ะขว้างไปที่หัวของเขา จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่เอื่อยเฉื่อยของลั่วจื่อหาน “พูดไปพูดมา คนข้างหลังนายก็เหมือนกัน”


————


บทที่ 131

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 131 วิกฤตโรงแรม (5)


             อี้เป่ยซีเงยหน้ามองตามสายตาของเขาไป หลานฉือเซวียนไม่รู้ว่ายืนอยู่ข้างหลังเซี่ยเช่อตั้งแต่เมื่อไร อาจจะเป็นเพราะพักผ่อนไม่เต็มที่ ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก และเปี่ยมไปด้วยความใจร้อน เซี่ยเช่อหันหลังทันที เดินเข้าไปอย่างเอาใจ “บอกให้นายนอนเยอะๆ ไม่ใช่เหรอ?”


            หลานฉือเซวียนไม่สนใจเขา เดินลงไปข้างล่าง “นายยังไม่ทำข้าวเช้าเหรอ?”


            “อ๊ะ ไปเดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้” เซี่ยเช่อก้มตัวเดินผ่านเขาไป เดินเข้าห้องครัวไปอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มง่วนกับการทำอาหาร อี้เป่ยซีเห็นท่าทางของทั้งสองคน อยากหัวเราะแต่หัวเราะไม่ออก ไหล่สั่นไหวเล็กน้อย


            หลานฉือเซวียนรินน้ำแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา ราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาทั้งสองคน ในขณะที่ก้นสัมผัสกับโซฟานั้น คิ้วก็ขมวดกันแน่น ลั่วจื่อหานโอบไหล่ของอี้เป่ยซี เดินไปข้างหน้า


            “พวกนายจะไปไหน?”


            “กลัวพวกนายสองคนจะทำเขาเสียคน”


            “ไปเจอผู้ใหญ่”


            อี้เป่ยซีกับหลานฉือเซวียนต่างมองเขาตาไม่กระพริบ


            ‘เจอ เจอผู้ใหญ่ เร็วแบบนี้เลยเหรอ ทั้งสองคนเพิ่งจะตกลงคบกันเองไม่ใช่เหรอ’ เธอบิดชายเสื้อของตัวเอง มองหลานฉือเซวียนด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ เห็นเพียงเขาเก็บอาการประหลาดใจ ทำท่าทีราวกับว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตน


            “มันเร็วไปหรือเปล่า นาย คือว่า ลั่วจื่อหาน พวกเรา…” เธอพูดจาตะกุกตะกัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความลังเลและหวาดกลัว ขนตายาวๆ กระพือไหว


            ลั่วจื่อหานรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย มือข้างหนึ่งวางบนดวงตาของเธอ “แค่ไปหาปู่ของฉัน คนที่เธอเจอเมื่อวาน”


            “อ๋อๆๆ” ความกังใจของเธอผ่อนคลายลง โน้มตัวพิงลั่วจื่อหานเบาๆ “อืม”


            บ้านคุณปู่ของลั่วจื่อหานอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเซี่ยเช่อนัก นั่งรถครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว อี้เป่ยซีมองดูสวนที่ถูกล้อมรอบด้วยรั้ว มองดูลั่วจื่อหาน และมองทัศนียภาพตรงหน้า ขยี้ตาของตัวเองด้วยความเหลือเชื่อเล็กน้อย


            ‘ไหนว่าเป็นตระกูลสูงส่งของประเทศ U ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มีกลิ่นอายถึงประเพณีเก่าแก่และติดดินแบบนี้’ เพิ่งลงจากรถก็ได้ยินเสียงเห่า อี้เป่ยซีหดตัวอยู่ด้านหลังของลั่วจื่อหาน


            “ทำไม นายเลี้ยงหมาด้วยเหรอ”


            “มันเป็นหมาที่คุณย่าฉันเลี้ยงเมื่อก่อน”


            “คุณย่าก็อยู่ด้วยเหรอ”


            “ไม่อยู่แล้ว” ลั่วจื่อหานนึกถึงหญิงแก่ใจดี ความมืดมนก็ปรากฏอยู่ในสายตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วินาทีถัดมามือน้อยๆ ก็กุมฝ่ามือที่ใหญ่โตและแข็งแรงของเขา เสียงอ่อนโยนนั้นไพเราะเป็นพิเศษในบรรยากาศที่เงียบสงบ


            “ขอโทษนะ”


            เขาเผชิญกับสายตาที่บริสุทธิ์เหมือนกวางตัวน้อย อดไม่ไหวที่จะยื่นมือไปลูบหัวของเธอ “ไม่เป็นไร พวกเราไปกันเถอะ”


            “เข้าไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ?”


            “ไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง”


            เพียงประโยคสั้นๆ ราวกับว่าได้ฉีดยากล่อมประสาทให้กับอี้เป่ยซี เธอพยักหน้า ตามหลังเขาไปอย่างอุ่นใจ เพิ่งเข้ารั้วมา ก็มีสุนัขตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาหาพวกเขา เห่าอี้เป่ยซีอย่างบ้าคลั่ง ระคนความตื่นเต้นที่ไม่รู้จัก


            ลั่วจื่อหานกอดเด็กสาวแน่น พาเธอหลบมาด้านข้าง “ต้าถู่ กลับไป” มันหยุดเห่า แกว่งหางไปมาอย่างน่าสงสาร จ้องมองพวกเขาสองคนตลอดเวลาไม่ยอมจากไปไหน


            “กลับไป” น้ำเสียงของลั่วจื่อหานดุดันเล็กน้อย สุนัขร้องครางสองสามที


            “แกจะดุมันทำไม” เสียงของชายแก่ดังมากจากในบ้าน จากนั้นร่างผอมบางก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน สวมเสื้อคลุมยาวสีขาว ท่อนล่างใส่กางเกงสีดำหลวมๆ ที่พัดตามแรงลมตลอดเวลา เขายิ้มพร้อมกวักมือเรียกต้าถู่ สุนัขตัวนั้นวิ่งไปหาชายแก่อย่างว่องไว


            “สมหน้าหน้ายัยหนูเขาไม่ชอบแก” เขาส่ายหน้า “ต้าถู่ไปเล่นตรงนั้นไป ยัยหนูเขากลัวแก เดี๋ยวค่อยกลับมานะ” ต้าถู่เห่าสองสามครั้งอย่างปวดใจ ขณะที่เดินผ่านอี้เป่ยซีก็ชำเลืองมองเธอราวกับว่ากำลังบ่นและร้องเรียนความคับข้องใจของตัวเองอย่างเงียบๆ อี้เป่ยซียิ่งหดตัวเข้าไปในอ้อมอกของลั่วจื่อหาน มันจึงวิ่งออกไปอย่างไม่เต็มใจแล้ว


            เมื่ออี้เป่ยซีเห็นว่าภยันตรายหายไปแล้ว ก็กระโดดออกมาจากอ้อมกอดของลั่วจื่อหาน หน้าแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อย “รบกวนคุณปู่แล้ว ขอโทษนะคะ”


            ชายแก่โบกมือ “เพราะเจ้าเด็กบ้านนี่ไม่บอกว่าเธอกลัวหมา”


            “ปู่ครับ เมื่อวานผมก็บอกปู่แล้ว”


            “ฉันบอกว่าแกไม่ได้พูดก็คือไม่ได้พูด ไม่รู้หรือไงว่าคนแก่ความจำไม่ดี แกก็เตือนหลายๆ รอบหน่อยไม่ได้หรือไง หรือว่าแกไม่ใส่ใจ”


            อี้เป่ยซีเห็นท่าทางสิ้นท่าของลั่วจื่อหาน แอบยิ้ม รู้สึกว่าคำพูดของคุณปู่ลั่วมีบางอย่างที่แปลกๆ


            เดี๋ยวนะ เมื่อวาน เมื่อวานลั่วจื่อหานก็คิดจะพาเธอกลับมาแล้วงั้นเหรอ? เขาคิดไว้ตั้งนานแล้ว ตัวเองยังกระโดดเข้าไปติดกับด้วยความงี่เง่า เมื่อวานเขาไม่คิดที่จะจากไปตั้งแต่แรกแล้ว คนบ้า หลอกเธอแบบนี้ รู้สึกสะใจมากสินะ


            เธอค้อนเขา ลั่วจื่อหานยิ้มพร้อมยื่นมือดึงเธอเข้ามากอดอีกครั้ง “ฉันเตรียมการไว้ต่างหากน่ะ”


            “มันจะมากไปแล้ว คนเลว นายรังแกฉัน”


            “ก็ได้ๆๆ อยากจะลงโทษฉันยังไงเหรอ หืม?” ลมหายใจอบอุ่นของเขากระทบอยู่บนแก้มของเธอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ อี้เป่ยซีจ้องเขา ไม่ได้พูดอะไร


            คุณปู่ลั่วเห็นการปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองคน รอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นในดวงตา เขากระแอมไอ อี้เป่ยซีจึงละสายตาของตัวเอง ยิ้มหวานให้เขา ลั่วจื่อหานอดไม่ไหวบีบไหล่ของเธอ


            ‘ไม่เห็นยิ้มแบบนี้กับฉันเลย’


            ‘ถ้าไม่ใช่เพราะนายร้ายเกินไปและลูกไม้เยอะเกินไปล่ะก็นะ’ อี้เป่ยซีก็แอบบีบเขากลับ


            “เอาเถอะ เสี่ยวเป่ยซียังไม่ได้กินข้าวเช้าสินะ พวกเรากินกันก่อนเถอะ” อี้เป่ยซีรีบวิ่งแจ้นไปหาคุณปู่ลั่ว ทิ้งลั่วจื่อหานอยู่เบื้องหลัง เวลาอยู่ที่โต๊ะอาหารก็จงใจนั่งลงข้างคุณปู่


            “ว้าว คุณปู่ทำอาหารอร่อยจังเลยค่ะ” อี้เป่ยซีดวงตาเป็นประกาย ชายแก่หัวเราะ มองเธอใกล้ๆ ด้วยความเอ็นดู


            “อร่อยก็กินเยอะๆ หน่อย เธอดูเธอสิผอมเกินไปแล้ว”


            “อืมๆๆ งั้นหนูไม่เกรงใจแล้วนะคะ”


            “เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะเกรงใจอะไร”


            อี้เป่ยซีได้ยินคำพูดของเขาแล้ว กลืนข้าวลงด้วยความแข็งกระด้างเล็กน้อย แอบมองลั่วจื่อหานที่กำลังหรี่ตามองดูทุกกิริยาอย่างใกล้ชิด เธอได้แต่ตอบรับ กินข้าวต่อ ปิดบังความรู้สึกของตัวเองไว้


            เป็นครอบครัวเดียวกันได้เหรอ?


            เธอไม่รู้ และเธอก็ไม่รู้ว่ามีอะไรรอเธออยู่เบื้องหน้า ตอนนี้เธออยากอยู่ด้วยกันกับลั่วจื่อหาน มันอาจจะไม่อนาคตและเพลิดเพลินกับปัจจุบันขณะตลอดไป


            แต่ว่าแล้วเขาล่ะ เขาจะเหมือนกับเธอหรือเปล่า จะเตรียมบอกเลิกและบอกลาได้ทุกเมื่อหรือเปล่า


            จู่ๆ ก็มีขาเกี่ยวขาของเธอ ทำให้อี้เป่ยซีออกมาจากความคิดของตัวเอง เธอหน้าแดง มองลั่วจื่อหานเชิงตำหนิ


            บ้าจริง นั่งไกลนายขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักทำตัวดีๆ ปู่นายยังอยู่นี่นะ ทำตามกฏหน่อยได้ไหม


            เห็นได้ชัดว่าลั่วจื่อหานเข้าใจคำเตือนในแววตาของเธอ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งชัดเจนขึ้น แต่ยังไม่ได้ดึงขาของตัวเองกลับมา อี้เป่ยซีเตะออกไปแต่กลับเตะโดนอากาศ


        “เป็นอะไรไป?” คุณปู่ลั่วมองอี้เป่ยซีอย่างเป็นห่วง เธอส่ายหน้า เหลือบมองลั่วจื่อหาน ชายแก่รู้ทันทีว่าหลานตัวดีของตัวเองทำอะไรลับๆ ล่อๆ อีกแล้ว


————


บทที่ 132

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 132 เรื่องกวนใจรอบสอง (1)


               ลั่วจื่อหานพาอี้เป่ยซีเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวสองสามที่ในเขตชานเมือง อยู่ที่นี่มาครึ่งการปิดภาคเรียนแล้ว รวมทั้งคุณแม่อี้ยังทิ้งระเบิดใส่เธอทุกวัน อี้เป่ยซีจึงอยากจะกลับแล้ว แต่เนื่องด้วยลั่วจื่อหานอยากอยู่ด้วยกันกับคุณปู่ของเขา จึงไม่กล้าเอ่ยปาก มีครั้งหนึ่งขณะที่ทั้งสองคนที่เดินเล่นอยู่ในป่า อี้เป่ยซีจึงกล่าวเจื่อนๆ


            “คือว่า ใกล้ถึงวันเกิดของคุณแม่อี้แล้ว ฉัน ก่อนหน้านี้เขายังโทรมาหาฉันบ่อยๆ…”


            ลั่วจื่อหานเข้าใจความหมายในคำพูดของอี้เป่ยซี แม้จะอาลัยอาวรณ์เวลาที่ใช้ร่วมกันที่นี่มาก ดึงเธอเข้ามากอด “ฉันจะกลับไปกับเธอ ก็ควรเจอผู้ใหญ่แล้วเหมือนกัน”


            “พูดอะไรน่ะ” อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ดิ้นรนออกมาจากอ้อมกอดของเขา “ฉัน ฉันยังไม่ได้รับปากว่าจะเป็นแฟนนายสักหน่อย ฉันก็แค่ยกโทษให้นายแค่นั้น นายอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอกนะ”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะ เข้าใกล้เธออีก “ไม่ยอมเป็นแฟนฉันเหรอ?”


            “ก็ ก็ใช่สิ นายยัง ไม่ได้จีบฉันเลย ฉันอยู่กับนายแบบนี้ก็ตามใจมากแล้ว เอ่อ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว พวกเราจะไปกันเมื่อไร?”


            เขาดึงเธอเข้ามากอด อี้เป่ยซีไม่ได้คาดหวังกิริยาของเขา ดวงตาเบิกกว้างไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร จากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของลั่วจื่อหาน “ก็ได้ ฉันจะจีบเธอ จะจีบเธอจนกว่าเธอจะหันมาจับมือของฉัน”


            “หึ งั้นต้องดูการกระทำนาย ฉันไม่ใช่คนที่จีบง่ายๆ หรอกนะ”


            “อืม งั้นตอนนี้เธอก็หนีสิ”


            “นายกอดฉันแบบนี้จะหนียังไง?”


            ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดอะไรเนิ่นนาน จนกระทั่งอี้เป่ยซีขยับตัวในอ้อมแขนของเขา เขาจึงพูดขึ้นช้าๆ “ไม่ปล่อยได้หรือเปล่า”


            ลั่วจื่อหานในสายตาของอี้เป่ยซีเป็นคนที่เย่อหยิ่งเสมอ แข็งแกร่งยากที่จะเอาชนะ ราวกับว่าไม่มีอะไรที่แตะต้องเขาได้ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เจ็บปวดของเขาแบบนี้แล้ว อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกระคายเคืองตา เธอก็กอดลั่วจื่อหานแน่นเช่นกัน “ขอโทษนะ”


            “ไม่ต้องขอโทษหรอก เป่ยซี เธอที่เป็นแบบนี้ดีมากแล้ว ดีมากจริงๆ ฉันมีความสุขมาก และชอบมากด้วย” เขาจ้องมองใบหน้าของอี้เป่ยซี จูบริมฝีปากของเธอด้วยความลึกซึ้ง


            เช้าวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว ส่งของให้ลั่วจื่อหานแล้วไปนั่งที่เบาะข้างคนขับด้วยความผ่อนคลายเป็นอย่างมาก พอลั่วจื่อหานจัดของเข้าที่แล้ว ก็พูดกับเซี่ยเช่อสองสามคำ เซี่ยเช่อส่งเขาจากไปด้วยรอยยิ้ม เป็นห่วงที่พวกเขาต้องไปกะทันหัน อี้เป่ยซีเกาะหน้าต่าง มองพวกเขา


            “เป็นอะไรไป?” ลั่วจื่อหานยืนตรงหน้าเธอ จิ้มๆ หน้าของเธอ


            “นายดูท่าทางคางคกขึ้นวอของเซี่ยเช่อสิ รู้งี้ฉันอยู่ต่ออีกหน่อยดีกว่า อยู่ขวางหูขางตาพวกเขาสองคน พลาดซะแล้ว” อี้เป่ยซีส่ายหัวแล้วนั่งตัวตรง ลั่วจื่อหานเดินอ้อมหน้ารถไปยังที่นั่งคนขับ สตาร์ทรถ หายไปในภูเขาอย่างรวดเร็ว


            อี้เป่ยซีมองดูทิวทัศน์ที่เคลื่อนตัวไปข้างหลังตลอดเวลา ในใจรู้สึกอาลัยอาวรณ์


            “ไม่อยากจากไปเหรอ?”


            “ที่นี่เยี่ยมมากจริงๆ นายเลือกสถานที่เก่งมาก”


            เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ เปิดเครื่องเสียงรถยนต์ เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้นภายในรถ อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหานอย่างเหลือเชื่อ “นาย บันทึกเสียงใหม่เหรอ?”


            “อืม ต่อไปเธอก็ฟังเพลงนี้เถอะ”


            เธอยิ้มสดใส “อืม มู่ลี่ไป๋นี่รั้งนายไว้จริงๆ นายร้องคนเดียวเพราะว่าร้องคู่ซะอีก”


            ได้รับคำชมของเธอ ลั่วจื่อหานยิ้มโดยไม่รู้ตัวแล้ว “เป่ยซี เขียนเพลงให้ฉันได้หรือเปล่า”


            เธอผงกหัวหงึกๆ ในแววตามีรอยยิ้มสดใสดุจคริสตัลและโลกทั้งใบของเขา


            “งั้นนายร้องให้ฉันฟังได้คนเดียวเท่านั้น”


            “ได้”


            เมื่อกลับมาถึงเขตเมือง B ลั่วจื่อหานจึงให้ผู้ช่วยจองตั๋วเครื่องบินกลับเมือง A ในอีกสองวัน จากนั้นก็ส่งอี้เป่ยซีไปที่บ้านของฉู่ซ่ง


            ขณะนี้รถได้มาถึงใต้ตึกของเขตเล็กๆ แล้ว


            “ฉันส่งเธอขึ้นไปเถอะ” ลั่วจื่อหานรับสัมภาระมาจากมือของอี้เป่ยซี เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา


            “ไม่อยากให้ฉันไปเหรอ?”


            “ใช่” เขาพยักหน้า ดึงอี้เป่ยซีเดินเข้าไปในตึก ไปถึงตำแหน่งของบ้านฉู่ซ่งด้วยความชำนาญทาง กดกริ่งประตู ไม่นานฉู่ซ่งก็เดินออกมา


            “ฉู่เซี่ย เธอไม่เป็นไรแล้วนะ” ฉู่ซ่งดึงอี้เป่ยซีมา หมุนรอบตัวเธอสองสามที แล้วจ้องหน้าเธอสักพัก จึงสบายใจลงมาบ้าง “ดูท่าทางจะไม่เป็นไรแล้ว”


            “ขอโทษนะ ทำให้นายเป็นห่วงแล้ว พ่อกับแม่เขา…”


            ฉู่ซ่งเหลือบมองลั่วจื่อหาน รับกระเป๋าของอี้เป่ยซีมา “พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ เธอดูแลแขกให้ดี ฉันจะเอากระเป๋าเธอไปเก็บ” เขาจงใจเน้นหนักคำว่า ‘แขก’ มาก อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหาน คนที่อยู่ข้างหลังยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าไม่ได้สนใจมาก


            “ฉู่ซ่งเขาแคร์ฉันมาก นายอย่าเอามาใส่ใจเลยนะ”


            ลั่วจื่อหานส่ายหน้า “ฉันโชคดีมากแล้วเป่ยซี โชคดีที่เธอยกโทษให้ฉัน ตอนนั้นขอโทษนะ”


            “อืม ที่จริงมันก็ไม่…มันผ่านไปแล้ว ก็ไม่มีใครสูญเสียอะไรไม่ใช่เหรอ นายก็อย่าเอามาใส่ใจให้มากเลย” ลั่วจื่อหานเดินเข้าไปกอดอี้เป่ยซี พยักหน้า เธอยิ้มพร้อมเข้าใกล้อ้อมอกเขา ราวกับเด็กสาวตัวน้อยผู้มีความสุข


            ลั่วจื่อหาน ฉันเคยพูดหรือเปล่าว่าที่จริงฉันก็โชคดีมากที่ได้เจอกับนาย นายคือคนที่คุ้มค่าแก่ความรักและการรักษาไว้จริงๆ ขอโทษนะที่ก่อนหน้านี้ทำเรื่องโง่ๆ มากมาย ต่อไปพวกเราจะเดินไปด้วยกันได้หรือเปล่า?


            เดินอยู่ใต้แสงอาทิตย์ด้วยกัน ดูนายวาดรูปอยู่ข้างๆ ฟังนายร้องเพลง ได้มองดูนายแบบนี้ตลอดไปฉันก็จะพอใจมาก ลั่วจื่อหาน ขอบคุณนายนะที่แม้ฉันจะทำผิดมากมาย แต่นายก็ยังเต็มใจชอบฉันด้วยใจจริง


            ฉันก็ชอบนายมากนะ


            ขอบคุณที่นายเดินมาสุดทาง ขอบคุณที่ทำให้ฉันเพียงแค่หันมาก็กอดนายได้ ลั่วจื่อหาน ขอบคุณที่นายชอบฉัน


            “แค่ก” เสียงไอดึงเอาอี้เป่ยซีออกมาจากความคิดของตัวเอง ผลักๆ ลั่วจื่อหาน เขาปล่อยเด็กสาวในอ้อมอกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก สีหน้าของฉู่ซ่งดุเล็กน้อย “พอได้แล้ว พี่ยุ่งมากไม่ใช่เหรอ ไปทำงานของพี่ได้แล้ว พี่สาวของผมผมดูแลเองได้”


            ลั่วจื่อหานไม่ได้ถือสาเขา พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะออกไปก็พูดกับฉู่ซ่งหนึ่งประโยค “วันนี้เขาอยากกินปลาเปรี้ยวหวาน” พูดจบก็จากไปอย่างสง่างาม ฉู่ซ่งโมโหจนอยากกระทืบเท้า


            ‘คนอะไร เขาอยากกินอะไรฉันถามเองได้ ใครให้นายปากมากกัน’


            ‘ทำไมถึงไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดเลย แล้วก็คนนี้อีก ยกโทษให้เขาทั้งอย่างนี้เลยเหรอ?’


            “เธออยากกินอะไร?” ได้ยินคำพูดที่แข็งกระด้างของฉู่ซ่ง อี้เป่ยซีรู้ว่าฉู่ซ่งยังโกรธเรื่องของตัวเอง “ฉันอยากกินปลา…” เธอเห็นดวงตาที่ลุกเป็นไฟของฉู่ซ่ง รีบเปลี่ยนคำพูด “อยากกินซี่โครง ตุ๋นซี่โครง เปรี้ยวหวานอะไรนั่นเกลียดจะตายไป ไม่เหมาะกับรสนิยมอ่อนๆ ของฉันเลยสักนิด”


            ฉู่ซ่งจึงหรี่ตายิ้มด้วยความอ่อนโยน “ได้เลย เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอกิน”


        “ดีๆๆ นายไม่รู้อะไรฉันคิดถึงอาหารที่นายทำมาก นอนไม่หลับทั้งคืน…” อี้เป่ยซีพูดเอาอกเอาใจอยู่ข้างๆ เขา


————


บทที่ 133

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 133 เรื่องกวนใจรอบสอง (2)


             อี้เป่ยซีใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ภายใต้สายตาตำหนิติเตียนของฉู่ซ่ง เมื่อกลับถึงห้องก็รู้สึกน้อยใจมาก


            อะไรกัน ทำไมถึงทำเหมือนเธอเป็นคนผิด เธอเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก เขาไม่ควรจะปลอบใจเธอทุกที่ทุกเวลาหรอกเหรอ ทำไมเรื่องกลับกลายเป็นเธอต้องปลอบใจเขาอย่างอดทนอดกลั้นด้วย


            เป็นความผิดของลั่วจื่อหานทั้งนั้น!


            เธอหาเหตุผล โทรหาลั่วจื่อหานทันที


            “ว่าไง?”


            ได้ยินเสียงของเขา ความรู้สึกที่ต้องการระบายอารมณ์ก่อนหน้านี้หายไปทันตา เธออ้ำๆ อึ้งๆ “ปะ เปล่า ก็แค่โทรหานายไม่ได้เหรอ?”


            “เป่ยซี ฉันอยู่ข้างล่าง”


            “หืม?”


            “ฉันอยู่ข้างล่าง ใต้ห้องที่พวกเธออยู่พอดี”


            อี้เป่ยซีลุกขึ้นพรวด “เชอะ ใครอยากไปหานาย”


            “ฉันคิดถึงเธอแล้ว เป่ยซี” เขาจงใจลากยาวคำว่า ‘ซี’ ระคนความรักที่แผ่กว้าง ห่อหุ้มหัวใจของอี้เป่ยซีด้วยความรู้สึกอบอุ่น เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะ


            “แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ เพิ่งจะแยกกันเอง ต่อไปฉันต้องออกไปข้างนอกคนเดียว นายจะทำยังไง?”


            “ฉันจะตามเธอไป”


            “งั้นนายก็จะตัวติดเป็นตังเมสิ ฉันจะเบื่อเอานะ”


            อีกฝ่ายเงียบอยู่เนิ่นนาน เสียงลมหายใจก็ได้ยินไม่ชัดเจน อี้เป่ยซีพูด ‘ฮัลโหล’ กับโทรศัพท์ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากเขา “ลั่วจื่อหาน ถ้านายยังไม่พูดอีกฉันจะโกรธแล้วนะ”


            คำตอบที่เธอได้คือเสียงเคาะกระจก เธอตระหนักได้ในทันที รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง เปิดผ้าม่าน ยื่นมือต้องการจะปลดล็อคแต่ก็หยุดชะงัก มองลั่วจื่อหานด้วยรอยยิ้มซุกซน เธอชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือ ลั่วจื่อหานจึงปล่อยมือข้างหนึ่งด้วยความพยายามอย่างมาก “เป่ยซี”


            “นายเห็นไหมว่ามีคนที่นอกหน้าต่างฉัน?” ทำน้ำเสียงเป็นกังวล ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ซ่อนเร้นไว้ไม่อยู่ ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางที่ร่าเริงของเธอ ก็จัดท่าทางราวกับว่าตัวเองไม่เหนื่อยเลย มองเธออย่างเอ็นดู “จะไม่ให้ฉันเข้าไปเหรอ?”


            “นายเก่งขนาดนี้ ฉันไม่ต้องช่วยก็เข้ามาได้มั้ง”


            “อืม ฉันเก่งขนาดนี้ ฉันเข้าไปทางประตูดีกว่า”


            “ไม่ได้ นายต้องตกลงเงื่อนไขก่อนฉันก่อน ฉันถึงจะปล่อยนายเข้ามา”


            “อืม”


            เธอเห็นท่าทางที่ลำบากเล็กน้อยของลั่วจื่อหาน ถอนหายใจ รีบเปิดหน้าต่างออกทันที เขาทรุดตัวลงกับพื้นจากหน้าต่างอย่างง่ายดาย เหวี่ยงอี้เป่ยซีไปที่เตียงโดยตรง


            ลั่วจื่อหานกัดคางของเธอเบาๆ “ไม่ให้ฉันเข้ามาเหรอ หืม?”


            “นายรับปากเงื่อนไขของฉันแล้วนะ” อี้เป่ยซีใช้มือดันหน้าอดของลั่วจื่อหาน ดวงตาเป็นประกาย “นายลุกขึ้น หนัก”


            เมื่อได้ยินดังนี้ ลั่วจื่อหานพลิกตัวกอดเธอ “เติมเต็มเงื่อนไขของเธอแล้วยัง?”


            “แบบนี้ไม่นับ”


            “งั้นเธอก็หมายความว่า ให้ฉันทับเธอต่อได้เหรอ?” มือของเขาค่อยๆ ลูบไหปลาร้าของอี้เป่ยซี ก้มหน้าลงจูบหลังคอของเธอ แม้แต่ยื่นปลายลิ้นออกมาเลียแผ่วเบา ทำเอาอี้เป่ยซีสั่นเทิ้มอยู่ในอ้อมแขนของเขา


            ขณะที่ปลุกเร้ากันอยู่นั้นอดไม่ไหวร้องครางออกมาเล็กน้อย จู่ๆ การเคลื่อนไหวของลั่วจื่อหานร้อนแรงขึ้นมาหลายองศา อี้เป่ยซีรีบคว้ามือที่ซุกซนของเขาไว้ “จื่อหาน” ละอองน้ำบางๆ ในดวงตาของเธอยิ่งเพิ่มเสน่ห์คลุมเครือ เสียงที่ชัดเจนเอ่ยชื่อของเขาอย่างอ่อนแรง ระคนเสียงกระซิบขอความเห็นอกเห็นใจ ลำคอของเขาขยับ


            “เด็กดี นอนเถอะ” พูดพลางก็พลิกตัวเข้าห้องน้ำไป อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่ง มองไปยังห้องน้ำตาไม่กระพริบ


            ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ เขาอึดอัดใจมากจริงๆ เหรอ?


            ไม่เกี่ยวกับเธออี้เป่ยซี เพราะเขาลูบไล้ไม่เป็นที่เอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว!


            ไม่เป็นไร ดึกแล้วต้องนอนแล้ว เธอคลุมโปงด้วยผ้าห่มที่อยู่ข้างๆ นอนซะ นอนซะ เธอง่วงมากแล้ว นอนซะ


            อี้เป่ยซีหลับตา แต่ว่าไม่มีความง่วงเลยสักนิด จนกระทั่งลั่วจื่อหานออกมาจากห้องน้ำแล้วนอนอยู่ข้างเธอ อี้เป่ยซีก็ได้แต่หลับตาต่อ แกล้งทำเป็นหลับ


        ทันใดนั้นก็มีมือดึงผ้าห่มของเธอ เห็นว่าเธอไม่ขยับก็ดึงๆ อีก อี้เป่ยซีคว้าผ้าห่มไว้ เม้มปาก เสียงเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง “ไม่ร้อนเหรอ?”


            ไม่พูดยังดีซะกว่า พอพูดแล้วก็รู้สึกว่าในผ้าห่มทั้งร้อนทั้งอุดอู้ อี้เป่ยซีไม่ได้สนใจ แกล้งหลับต่อ แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สงบ เธอแม้กระทั่งรู้สึกว่ามีเหงื่อซึมอยู่บนหน้าผากของเธอ จากนั้นก็ถูกลั่วจื่อหานเลีย


            “ลั่วจื่อหานนายพอได้แล้ว” เธอโยนผ้าห่มบนตัวไปอีกทาง ลูบคลำหน้าผากตัวเองด้วยความรังเกียจ “ไม่สกปรกเหรอ?”


            “ยังโอเคนะ” เขายิ้มพลางดึงเธอเข้ามากอด อี้เป่ยซีก็ไม่ได้ขัดขืน รู้สึกถึงอุณหภูมิบนตัวของเขาเงียบๆ “เป่ยซี บางทีฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง”


            “ตอนนี้เหมือนกับกำลังฝันเลย ถ้าหากเป็นฝัน เธอก็ห้ามปลุกฉันเด็ดขาดโอเคไหม”


            อี้เป่ยซีคว้ามือของเขาที่โอบเอวเธอ กัดไปคำหนึ่ง “เจ็บไหม?”


            “เธอกัดอีกทีสิ”


            เธอลูบรอยฟันของตัวเอง “ไร้สาระ”


            “ลั่วจื่อหาน”


        “หืม?”


            “ฉันแค่เรียกนาย”


            “ฉันชอบฟังเธอเรียกฉัน”


            “ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน…” อี้เป่ยซีเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด ลั่วจื่อหานก็ตอบว่า ‘อืม’ ไม่หยุด ไม่รู้ว่าเมื่อไรละอองน้ำจางๆ ก่อตัวขึ้นในดวงตาของทั้งสองคน


            อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไปจังเลย เธออยู่ข้างกายฉัน ฉันอยู่ข้างกายเธอ ฉันได้ยินเสียงลมหายใจของเธอ เธอได้ยินเสียงหัวใจของฉัน พวกเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพียงแค่กอดกันแน่นๆ ราวกับว่าโลกใบนี้มีเพียงพวกเราสองคน พวกเราเรียกชื่อของกันและกัน ราวกับว่ามันออกมาจากกระดูกของพวกเรา


            ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน


            ฉันชอบนายมาก และชอบเรียกชื่อของนายพอๆ กับที่ชอบนาย


            จนกระทั่งอี้เป่ยซีลืมตาขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ข้างกายก็ไม่มีเงาของลั่วจื่อหานแล้ว ในใจของเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่างเปล่า


            ‘จะพึ่งพาเขาตลอดแบบนี้ไม่ได้ อี้เป่ยซี เธอนี่มันช่างไร้อนาคตจริงๆ แม้ว่าลั่วจื่อหานจะไม่ได้ดีไปกว่าเธอสักเท่าไร’ เธอขยี้ตาตัวเอง โทรศัพท์มือถือข้างๆ สั่นไหวอย่างร่าเริง เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงสะลืมสะลือ


            “คิดว่าเวลานี้เธอน่าจะตื่นแล้ว”


            “ตอนนี้สายแล้วเหรอ?” เธอลุกจากเตียงขึ้นนั่ง มองดูโทรศัพท์มือถือ เก้าโมงครึ่ง เวลาก็ไม่แย่เท่าไรนะ


            “เปิดประตูเถอะ ฉันเอาอาหารเช้ามาให้เธอกับฉู่ซ่ง”


            “อืม” เธอไม่แม้แต่จะดูการแต่งตัว เดินเหยียบรองเท้าแตะไปเปิดประตูอย่างเชื่อฟัง ลั่วจื่อหานกำลังหิ้วถุงใบใหญ่ เมื่อเห็นลักษณะของอี้เป่ยซี ก็ขมวดคิ้ว แล้วติดกระดุมทุกเม็ดบนชุดนอนของเธอ


            อี้เป่ยซีไม่ใส่ใจกับการกระทำนี้ เธอลากลั่วจื่อหานอย่างอดใจรอไม่ไหว “อาหารเช้าอะไร หอมจัง หอมจังเลย นายทำเองเหรอ?”


            เขาพยักหน้า ลูบผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของเธอ “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”


            “อืม” อี้เป่ยซีเพิ่งจะเข้าประตูไป ฉู่ซ่งก็ออกมาพร้อมกับตาที่เปิดเพียงครึ่งเดียว ราวกับว่ายังหลับอยู่ หากไม่รู้นึกว่าเขากำลังละเมอ เมื่อเห็นลั่วจื่อหาน เขาเบิกตากว้างทันที


            “ฉู่เซี่ย เมื่อวานพวกเธอสองคน…”


            เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ เริ่มจัดถ้วยและตะเกียบ “กินข้าวเช้าเถอะ”


        “พวกพี่สองคน โอ๊ย…” ลั่วจื่อหานเอาตะเกียบเคาะเล็บของเขาที่ยื่นออกไปหาอาหาร เขากลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำด้วยอาการน้อยใจ


————


บทที่ 134

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 134 เรื่องกวนใจรอบสอง (3)


             เช้าวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีไปสนามบินด้วยกันกับลั่วจื่อหาน ก่อนจะไป ฉู่ซ่งยื้อยุดกระเป๋าเดินทางของเธอตลอดเวลา บ่นอย่างเอาเป็นเอาตายว่าเธอมีแฟนแล้วละทิ้งครอบครัวและน้องชาย ในขณะที่ไม่มีทางเลือกนั้นเธอกระซิบปลอบใจอยู่เนิ่นนาน ฉู่ซ่งจึงยอมปล่อยมือและมองลั่วจื่อหานอย่างท้าทาย เขาก็ไม่ได้พูดอะไร โอบอี้เป่ยซีออกจากบ้านไป


            “ชิ เธอนี่สุดยอดจริงๆ” เขามองประตูที่ปิดลง กลับไปเล่นเกมส์ต่อ


            ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดกับอี้เป่ยซีตลอดทางจนถึงสนามบิน


            อี้เป่ยซีมักจะถูกบีบอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เธอเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายและน้อยใจเล็กน้อย มองดูลั่วจื่อหานที่ไม่เข้าใจเธออีกทั้งยังโกรธด้วย จึงไม่ได้พูดอะไร


            รถมาถึงสนามบินอย่างรวดเร็ว ลั่วจื่อหานหยิบกระเป๋าเดินทางโดยที่ยังคงไม่พูดอะไร เดินไปข้างหน้า อี้เป่ยซีจ้ำอ้าวตามไป


            เขาหยุดเดินกะทันหัน อี้เป่ยซีตอบสนองไม่ทันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ต้องการจะชนเขาล้มลงกับพื้น โชคไม่ดีที่เท้าก็แพลงแล้ว


            ลั่วจื่อหานย่อตัวลงทันที คิ้วที่ขมวดกันแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ไม่พอใจของเขาอย่างชัดเจน “ทำไมเธอถึงซุ่มซ่ามแบบนี้”


            อี้เป่ยซีปัดมือของเขาออก ต้องการจะลุกขึ้นมาเอง เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็พบว่าเท้าแพลงครั้งนี้เหมือนกับหนักหนาพอสมควร เธอสูดหายใจลึก ฝืนเดินไปยังสนามบิน นั่งลงที่นั่งที่ใกล้ที่สุด


            ลั่วจื่อหานนั่งลงใกล้ๆ เธอ


            “เป่ยซี” เขากดๆ คิ้ว “ขอโทษ”


            “ทำไมจู่ๆ นายก็โมโหล่ะ ตอนแรกก็ยังดีๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ นายกับฉู่ซ่งก็ดีๆ กันอยู่ ทำไมตอนนี้ถึงเอาฉันไปอยู่ระหว่างพวกนายสองคนล่ะ ฉันก็อึดอัดใจนะโอเคไหม แถมนายยังมาโกรธฉันอีก ลั่วจื่อหาน ฉันทำผิดอะไรงั้นเหรอ?” ดวงตาเธอแดงก่ำ รู้สึกว่าความเจ็บปวดในข้อเท้าแพร่กระจายไปยังเส้นประสาท


            “ใช่ เพราะฉันผิดเอง”


            “ใช่ว่าพูดแค่ประโยคเดียวแล้วจะทำให้ฉันหายโกรธได้นะ” อี้เป่ยซีมุ่ยปาก เมื่อเห็นความสำนึกผิดในสายตาของลั่วจื่อหานแล้วก็ใจอ่อนลงไปชั่วขณะ ‘ความสัมพันธ์ระหว่างลั่วจื่อหานกับฉู่ซ่งจืดจางลง เธอจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหรอ ตอนนี้เขาเองก็ลำบากใจมากพออยู่แล้ว เธอยังจะพูดแบบนี้อีก’


            ‘อี้เป่ยซีพอมีคนเอ็นดูเธอ เธอก็ยิ่งได้ใจและหยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อยๆ’


            ขณะที่เธอยังตำหนิตัวเอง ข้อเท้าของเธอก็ถูกห่อด้วยฝ่ามืออันอ่อนโยน เธออดไม่ได้ที่จะกระซิบ


            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน นาย พวกเขากำลังมองอยู่นะ” อี้เป่ยซีเห็นนักท่องเที่ยงที่มองพวกเขาจากรอบทิศ แสดงอาการคลุมเครือและอิจฉา ต้องยอมรับอี้เป่ยซีก็รู้สึกหวานฉ่ำในหัวใจ


            “เจ็บหรือเปล่า?”


เธอส่ายหน้า ขณะที่ลั่วจื่อหานออกแรงนั้น คิ้วที่ขมวดกันแน่นทะลุผ่านคำโกหกของเธอ เธออดไม่ไหวยื่นมืออกมา “นาย เบาๆ หน่อย”


            “มันบวมนิดหน่อย ข้างๆ มีร้านยาร้านนึง เธอรอฉันที่นี่แป๊บนะ” ลั่วจื่อหานลูบหัวของเธอ สีหน้าอ่อนโยน อี้เป่ยซีเห็นเขาที่ท่าทางจริงจังแบบนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย ผ่านไปสักพักจึงพยักหน้า เขาหัวเราะ และจากไป


            ที่นั่งข้างๆ ว่างเปล่าแล้ว อี้เป่ยซีรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองก็ว่างเปล่าเช่นกัน เธอเปิดโทรศัพท์มือถือซึ่งมีแต่ข้อความในกลุ่ม และไม่มีกะใจจะไปอ่าน จู่ๆ ประโยคหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เปิดสมุดบันทึกและจดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยิ้มบ๊องๆ ให้กับประโยคนั้น แม้ลั่วจื่อหานกลับมาแล้วก็ยังไม่รู้ตัว


            “ขำอะไร?” เขาเปิดถุงยา ทายาให้อี่เป่ยซีอย่างระมัดระวัง


            “ลั่วจื่อหานทำไมนายถึงหล่อแบบนี้” อี้เป่ยซีโน้มตัวเล็กน้อย ดมกลิ่นหอมสดชื่นที่เป็นเอกลักษณ์บนตัวของเขา มันคือกลิ่นที่อยู่กับเธอตลอดระยะเวลาแห่งความทุกข์


            “เพิ่งรู้เหรอ?”


            “อืม รู้สึกว่านายที่เป็นแบบนี้ เหมาะกับคุณหนูอย่างฉันไม่เบา ถึงจะต่างกับที่ฉันจินตนาการไปหน่อย”


            มือของลั่วจื่อหานออกแรง


            “เจ็บ”


            “เธอชอบแบบไหนเหรอ”


            เธอเงยหน้าขึ้น “ฉันชอบคนที่หล่อจนน่าหลงใหล เหมือนกับว่าเห็นเขาแล้วลืมไปว่าตัวเองอยู่บนโลกใบนี้ ก็เป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่เห็นภาพวาดของนายล่ะมั้ง”


            “ในความคิดของเธอ คนวาดก็ยังเทียบรูปไม่ติดงั้นเหรอ?” ลั่วจื่อหานลุกขึ้นยืน รับทิชชู่เปียกที่อี้เป่ยซีส่งมาให้เพื่อเช็ดมือที่เลอะยาของตัวเอง อี้เป่ยซีหรี่ตา


            “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่งั้นฉันคงหานายนานแล้ว จะมารู้จักนายตอนนี้ได้ยังไง”


            “ได้ยินเซี่ยเช่อบอกว่าใครบางคนหาฉันไม่เจอก็เลยยอมแพ้”


            “เอ๊ะ เซี่ยเช่อพูดถึงใครเหรอ ฉันรู้จักหรือเปล่า?” พูดพลางกระพริบตาถี่ด้วยความจริงจังมาก ลั่วจื่อหานดึงเธอเข้ามากอด จูบตาของเธออย่างไม่เกรงใจ วาดผ่านจมูกเล็กๆ และหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ แต่ไม่ได้เข้าไปอย่างล้ำลึก


            “ในที่สาธารณะ ประธานลั่วไม่ระวังภาพลักษณ์ท่านประธานของตัวเองบ้างเหรอ?” ลมหายใจของอี้เป่ยซีรดอยู่บนใบหน้าของเขานับครั้งไม่ถ้วน กระตุ้นให้หัวใจของเขาก็จั๊กจี๋ไปด้วย อดไม่ไหวที่จะล็อคหัวของเธอ เพิ่มจูบนี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้น


            เขาเห็นประกายเจ้าเล่ห์ในแววตาของอี้เป่ยซี ความทุกข์ใจก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง กอดเธอไว้แบบนี้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร อี้เป่ยซีก็งีบหลับในอ้อมแขนของเขา


            เสียงของเครื่องจักรปลุกคนที่หลับใหลให้ลืมตาตื่น อี้เป่ยซีพบว่าตัวเองถูกลั่วจื่อหานอุ้มเข้ามาบนเครื่องบินแล้ว เธอขยี้ๆ ตา “ทำไมไม่ปลุกฉัน”


            “เห็นเธอหลับสบาย ฝันถึงอะไรหรือเปล่า ยิ้มดีใจขนาดนั้น”


            สองมือของอี้เป่ยซีกอดแขนของลั่วจื่อหาน “ฉันหิวแล้ว”


            “อืม”


            สี่ชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินลงจอดที่สนามบินเมือง A ลั่วจื่อหานอุ้มอี้เป่ยซีมาที่เบาะหลังรถ ผ่านไปสักพักจึงพูดขึ้น “จะไปไหน?”


            “อืม กลับบ้านอี้ คุณแม่อี้ยังรอฉันอยู่นะ”


            ลั่วจื่อหานกำหมัดแน่นแล้วผ่อนคลาย พูดว่า ‘ได้’ เบาๆ แล้วให้คนชับรถส่งพวกเขาสองคนไปยังจิ่นหยวน ลั่วจื่อหานต้องการจะอุ้มอี้เป่ยซีออกมา แต่ถูกห้ามไว้อย่างอ่อนโยน


            “เอ่อ คุณแม่อี้เหมือนจะเข้าใจอะไรนายผิด เขาไม่ค่อยชอบให้ฉันกับนายติดต่อกัน นาย ทนไปก่อนได้หรือเปล่า”


            เขายืนอยู่กับที่


            “ฉันจะคุยกับคุณแม่อี้เอง แค่ครั้งนี้ แค่ครั้งนี้ ลั่วจื่อหานนายรับปากฉันได้ไหม?” เธอกระพริบตา ลั่วจื่อหานโน้มตัวลงมาหันแก้มให้เธอ เธอจุ๊บมันอย่างมีความสุข


            “อย่าลืมทายาล่ะ”


            “จำไว้ว่าต้องนอนแต่หัวค่ำ”


            “ช่วงนี้เมือง A อากาศเปลี่ยน ตอนกลางคืนอย่าเตะผ้าห่มอีกล่ะ”


            “ช่วงนี้พยายามอย่าไปไหนนะ”


            ลั่วจื่อหานจัดอีกชุดใหญ่ ฟังจนรังไหลออกมาจากหูของอี้เป่ยซีแล้ว เธอโอบคอของลั่วจื่อหาน “เอาเถอะๆ ฉันก็แค่กลับบ้าน ไม่ได้ไปไกลสักหน่อย”


            “ฉันยอมให้เธอไปไกลๆ ดีกว่า”


            “หุหุ เอาล่ะ งั้นฉันไปก่อนนะ ตอนกลางคืนโทรหานายได้ไหม?”


            “เมื่อไรก็ได้”


            ดวงตาเธอโก่งยิ้ม หันหลังเข้าไปอะพาร์ตเม้นต์ ลั่วจื่อหานมองดูเงาของเธอที่หายไปจากสายตาของตัวเอง จึงขับรถจากไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว


        “คุณแม่อี้ หนูกลับมาแล้วค่ะ” อี้เป่ยซัผลักประตูเปิดด้วยความตื่นเต้น เห็นเพียงอี้เป่ยเฉินที่หน้าตาเศร้าซึม สูบบุหรี่อยู่ในห้องรับแขก ก้นบุหรี่ข้างกายกองสุมกันเป็นภูเขาลูกเล็ก


————


บทที่ 135

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 135 เรื่องกวนใจรอบสอง (4)


             อี้เป่ยเฉินมองเห็นผู้ที่มาเยี่ยมเยียนท่ามกลางควันบุหรี่ ดับบุหรี่ในมือทันที พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งจนตัวเองก็คาดไม่ถึง “กลับมาแล้วเหรอ?”


            เธอพยักหน้า กัดริมฝีปากต้องการถือกระเป๋าเดินผ่านเขาไป มาถึงตีนบันได อี้เป่ยเฉินยังคงเดินมาข้างเธอ ดึงกระเป๋าที่ไม่นับว่าหนักมากมาอยู่ในมือ บนตัวอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่


            ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งมาถึงห้องของเธอ


        อี้เป่ยเฉินมองเงาของเธอที่คุกเข่าเก็บของอยู่บนพื้นด้วยความลึกซึ้ง ถอยออกไปด้วยความอ้างว้างเล็กน้อย ได้ยินเสียงปิดประตูดึงขึ้นด้านหลัง อี้เป่ยซีทรุดนั่งลงบนพื้น กำเสื้อผ้าในมือไว้แน่น ความอึดอัดใจที่อธิบายไม่ได้เพิ่มพูนขึ้น


            พี่ชายเสียใจมากขนาดนี้เพราะเธอหรือเปล่า? พวกเขาสองคนมีปัญหาตรงไหนกันแน่


            พี่ชายชอบเธอมาตลอดสินะ


            อี้เป่ยซีราวกับว่าได้พบกับเรื่องตลอดมากมายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง หัวเราะจนปวดเมื่อยโหนกแก้มทั้งสองข้าง หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาจากขอบตา


            เขาไม่พูด เธอไม่พูด เผชิญหน้ากันทั้งอย่างนี้ ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังรอฉัน เธอก็ไม่รู้ว่าฉันกำลังคาดหวังเธออยู่ เธอคิดว่าหากคอยดูกันและกันก็จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ ก็จะไม่เกิดเรื่องหักมุมหรือความผิดพลาดอะไรขึ้นอีก แต่ว่าเธอลืมไปว่าไม่มีอะไรจะอยู่คงเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง กว่าเธอจะได้เห็นการกระทำของเขา เธอก็ตามไม่ทันแล้ว


            ฉะนั้นนะ พี่เป่ยเฉิน การเผชิญหน้าของพวกเราก็ไม่สามารถสัมผัสถึงอีกฝ่ายได้ ฉะนั้นนะ พี่เป่ยเฉิน ต่อให้พวกเราอยู่ศาลาริมน้ำก็สัมผัสแสงจันทร์ไม่ได้อยู่ดี


            เธอออกแรงปากน้ำตาบนใบหน้า เอาเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนทุกอย่างลงบนเตียง พุ่งไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว โน้มตัวลงอาเจียน น้ำตาร่วงแปะอยู่บนหลังมือ รู้สึกเจ็บปวด


            ในช่วงเย็น คุณแม่อี้จึงกลับมาจากบ้านเพื่อน หลังจากอี้เป่ยซีได้ยินเสียงดังของรถแล้ว ก็ได้ยินเสียงเธอดุอี้เป่ยเฉิน


            “ลูกสูบบุหรี่ในบ้านอีกแล้วเหรอ?”


            “แค่สูบนิดหน่อย”


            “ลูกทำท่าซังกะตายแบบนี้ให้ใครดู ลูกชายของแม่เป็นคนที่ไร้กำลังอ่อนแอปลงไม่ตกแบบนี้เหรอ คิดจะเอาความน่าสมเพศของตัวเองเพื่อเรียกร้องความสงสารเหรอ?” ท่าทางของคุณแม่อี้เย็นขา เขาไม่ได้ตอบโต้ มือค่อยๆ กำหมัดแน่น


            “ลูกไม่พูดอะไรเองต่างหาก ลูกเป็นคนตกลงที่จะกลับประเทศเอง สุดท้ายก็เป็นความละเลยของลูกเอง เป่ยซีชอบคนอื่นแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงไม่โทษตัวเองแต่ไปหาเหตุผลอื่นล่ะ?”


            อี้เป่ยซีดึงเนกไทบนตัวอย่างหงุดหงิด พูดว่าจะไปอาบน้ำแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปอย่างหมดแรง อี้เป่ยซีรออยู่ในห้องเนิ่นนาน จึงค่อยๆ ย่องลงมาชั้นล่าง ก็เห็นคุณแม่อี้นั่งขมวดคิ้วอยู่บนโซฟา


            “คุณแม่” เสียงเรียกที่สดใสของอี้เป่ยซีดึงเธอออกมาจากภวังค์ คุณอี้เงยหน้าขึ้นมองอี้เป่ยซีสักพักใหญ่ สุดท้ายก็หัวเราะเบาๆ อย่างจนใจ โบกไม้โบกมือให้เธอ


            เธอเม้มปาก นั่งลงข้างคุณแม่อี้


            “เป่ยซี แม่รู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับลูก แต่ว่าแม่ก็ยังอยากจะบอกว่า ลั่วจื่อหานเขา…”


            “แม่คะ” อี้เป่ยซีขัดจังหวะเธอ สองมือกุมมือของสาวใหญ่ที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี “เขาดีกับหนูมาก หนูก็ไม่รู้ว่าพวกเราสองคนจะมีอนาคตร่วมกันเปล่าหรือต่อไปจะทำยังไง แต่ว่าตอนนี้หนูรู้อยู่อย่างนึง ว่าหนูชอบเขา ประเภทที่ชอบมากๆ หนูอยากอยู่กับเขาตลอดไป อยู่เคียงข้างเขาตลอดไปโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้”


            “แม่คะ หนูก็เคยคิดว่าต่อไปจะปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ว่าแม่คะ หนูเชื่อเขา ฉันเชื่อในความชอบที่เขามีต่อหนู และหนูก็เชื่อว่าเขาจะไม่ปล่อยให้หนูได้รับความคับข้องใจอะไร”


            “อีกอย่าง แม่คะ พวกเรายังไม่ทันจะเริ่มลองก็ยอมแพ้เร็วแบบนี้ เท่ากับว่าขี้ขลาดไปหน่อยหรือเปล่า การได้เจอลั่วจื่อหานที่ชอบอี้เป่ยซี มันยากมาก หนูไม่อยากยอมแพ้ง่ายแบบนี้ แม่คะ แม่จะสนับสนุนหนูใช่ไหมคะ”


            คุณแม่อี้กอดเธอไว้ในอ้อนแขนของตัวเอง ราวกับว่ากำลังปลอบใจเด็กตัวน้อย ตบๆ หลังของเธอ “แม่ก็แค่เป็นห่วง เฮ้อ ในเมื่อลูกตัดสินใจแล้ว แม่ยังจะพูดอะไรได้อีกเหรอ”


            “แม่คะ ลั่วจื่อหานเขาดีมากจริงๆ นะคะ เขาก็ดีกับหนูมากด้วย แม่เคยเห็นเขาแม่ก็รู้แล้ว”


            “แม่มีลูกสาวแค่คนเดียว ถ้าเขากล้าทำผิดต่อลูกล่ะก็ แม่ไม่ปล่อยเขาแน่นอน”


            “ค่ะๆๆ ถ้าเขาทำไม่ดีกับหนู แม่จะจัดการกับเขายังไงก็ได้”


            “ลูกน่ะ กลับมาตั้งนานแล้ว น่าจะหิวแล้วสิ อยากกินอะไรแม่จะทำให้กิน”


            “อยากกินซี่โครงค่ะ ซี่โครง”


            “ได้ๆๆ” คุณแม่อี้ตบๆ มือของเธอ เก็บของครู่หนึ่งแล้วเข้าไปในห้องครัว อี้เป่ยซีจึงถอนหายใจโล่งอก เพื่อนนักศึกษาลั่วจื่อหาน ‘นายต้องขอบคุณฉันอย่างดีที่ช่วยนายจัดการกับความสัมพันธ์ทางบ้าน’ เธอกอดบนโซฟายิ้มน้อยๆ


            ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่น เธอกำลังคิดถึงเรื่องของตัวเอง เด้งขึ้นมาจากโซฟาทันที มองดูสายเรียกเข้า จึงถอนหายใจ กดรับสาย


            “ทำไมถึงโทรมาหาฉันป่านนี้ล่ะ”


            “ไม่สะดวก?”


            อี้เป่ยซีมองไปยังห้องครัว “นายรอแป๊บนะ ฉันกลับห้องก่อน”


            “อืม”


            เธอเดินย่องกลับเข้าไปห้อง ปิดประตูแผ่วเบา “กินข้าวแล้วยัง?”


            “ยังเลย” อี้เป่ยซีได้ยินเสียงวางปากกาลงบนโต๊ะ ขมวดคิ้ว


        “นายยังอยู่ที่ทำงาน? ป่านนี้แล้วยังทำงานอยู่อีก ข้าวก็ไม่กิน?”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะเบาๆ สองที “อืม”


            “นายยังจะหัวเราะอีก นายโตป่านนี้แล้วทำไมถึงไม่ดูแลร่างกายของตัวเอง แก่แล้วนายจะเสียใจทีหลัง”


            “อืม”


            “เฮ้อ ลั่วจื่อหานปีนี้นายอายุเท่าไรแล้ว”


            “ยี่สิบแปด”


            ดวงตาของอี้เป่ยซียิ้มโก่ง “หืม งั้นฉันเรียกนายว่าคุณอาได้หรือเปล่านะ”


            “คุณอากับหลานสาวตัวน้อย?”


            “ชิ หน้าไม่อาย”


            “ถ้ายังมีหน้าก็ไม่มีหลานสาวแล้ว เอามาทำอะไร” เขาหยุดครู่หนึ่ง “สะดวกวีดีโอคอลไหม?”


            อี้เป่ยซียังไม่ทันตอบ ก็เห็นคำขอวีดีโอของลั่วจื่อหานแล้ว เดิมทีเธอคิดว่าอีกประเดี๋ยวค่อยกด แต่ว่าพอมือสั่นก็ไม่ระวังกดรับสายแล้ว ท่าทางของลั่วจื่อหานที่ใส่เสื้อสูทรองเท้าหนังปรากฏอยู่บนหน้าจอ เธอจัดวางตำแหน่งให้ดี ก็เห็นลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว


            “เป็นอะไรไป เห็นฉันแล้วไม่ดีใจเหรอ”


            “ไม่มีใครจัดห้องให้เธอเหรอ?”


            “หา นายรังเกียจฉันเหรอ แบบนี้ไม่ดีหรือไง นายไม่รู้สึกว่ามันให้ความรู้สึกอบอุ่นหรือไง?”


            เขาส่ายหัว “ตอนนี้ทำอะไรอยู่”


            “รอกินข้าวน่ะ อ้อ จริงสิ วันนี้นายต้องขอบคุณฉันนะ ฉันช่วยนายคุยกับแม่ฉันแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีอคติกับนายแล้ว”


            “อืม รอฉันกลับไปจะช่วยเธอจัดการเรื่องความสัมพันธ์แม่สามีกับลูกสะใภ้”


            “เชอะ แม่สามีลูกสะใภ้อะไรกัน ฉันยังไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับนายเลยนะ?”


            “งั้นเธออยากแต่งกับใคร?”


            “ไม่รู้สิ เรื่องของอนาคตไว้ค่อยว่ากันเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนที่ดีกว่า เด็กกว่าแล้วก็ดีกับฉันมากกว่านายมากๆ โผล่มาก็ได้นะ คุณลั่ว นายต้องระวังตัวสักหน่อยนะ”


            “ยังมีคนแบบนี้อีกเหรอ?”


            “เฮ้อ ขอฉันจินตนาการแป๊บ”


        “สุดท้ายในจินตนาการก็ยังเป็นฉัน?”


————


บทที่ 136

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 136 เรื่องกวนใจรอบสอง (5)


             “เพื่อนนักศึกษาลั่วจื่อหาน นายนี่คุยไม่เป็นเอาซะเลย ซื่อจัง”


            “ฉันเป็นคนซื่อตรง ไม่เหมือนใครบางคน ขนาดตัวเองก็ยังหลอก”


            “ฉันนี่คือการปกป้องตัวเองโอเคไหม ความชัดเจนกับความปลอดภัย แน่นอนว่าฉันเลือกความปลอดภัยก่อน”


            ลั่วจื่อหานมองดูเธอ ถอนหายใจ “เป่ยซี”


            “หืม?”


            “ฉันอยากกอดเธอจังเลย”


            เธอยิ้มเหมือนกับดอกไม้อยู่นอกจอ ส่ายหัว “ตอนนี้ติดหนึบกับฉันแล้วเหรอ?”


            ได้ยินเสียงเคาะประตู อี้เป่ยซีได้ยินเสียงของลั่วจื่อหานไม่ชัด “ฉันจะไปกินข้าวแล้ว นายก็รีบกลับไปกินข้าวเถอะ”


            “ได้”


            “งั้นเจอกัน”


            “เจอกัน”


            บอกว่าเจอกันแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครกดปุ่มสีแดงเพื่อวางสาย


            “เธอวางเถอะ”


            อี้เป่ยซีมองเขาอีกสักพัก จึงพยักหน้า กดปุ่มวางสายโดยไม่เต็มใจ เธอโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียง ถอนหายใจ


            ไม่เจอกันแป๊บเดียวก็คิดถึงขนาดนี้ มันผิดปกติหรือเปล่านะ?


            ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน ทำไมนายถึงดีขนาดนี้ ทำให้ฉันติดนายหนึบขนาดนี้ คิดถึงนายขนาดนี้


            จะไม่มีลั่วจื่อหานคนที่สองแล้วจริงๆ ลั่วจื่อหานที่เป็นของอี้เป่ยซีคนที่สอง เธอส่ายหัว เก็บของ แล้วลงไปกินข้าว


            เมื่อกลับถึงห้องก็อาศัยช่วงที่อารมณ์ดียังไม่หายไปไหน เธอเปิดข้อมูลข้อมูลที่เป็นระเบียบของตัวเอง รวมทั้งไฟล์ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ เลือกเพลงที่เหมาะสมในไฟล์ ใส่หูฟัง ยิ้มเป็นครั้งคราวพร้อมกับปากกาที่พริ้วไหว


            ลั่วจื่อหาน ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าการที่เขียนเพลงให้ใครสักคนมันจะรู้สึกน่าพึงพอใจแบบนี้


            ก่อนหน้านี้ก็เป็นภาพวาดของนาย ตอนนี้ก็เป็นนาย


            ทำยังไงดี ฉันเหมือนกับว่ายิ่งชอบนายขึ้นทุกวันแล้ว


            ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน


            จนกระทั่งเมื่อเธอขัดเกลาครั้งสุดท้ายเสร็จก็เป็นเวลาตีสามของตอนเช้าแล้ว เธอหาว ไม่ใส่ใจที่จะล้างหน้า ก้มศีรษะลงนอน ในฝันต่างเปี่ยมไปด้วยรสชาติสดชื่นและหอมหวาน


            อี้เป่ยซีไม่ได้คิดถึงมัน และไม่คิดว่าจะเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมเพื่อทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ ในที่สุดเธอก็เกิดความคิดบ้าๆ ขึ้นมาในหัวของเธอฉับพลัน และพูดคุยกับเพื่อนของเธอเป็นเวลานาน


            เธอต้องการให้ทุกคนได้เจอกับความสุขแช่นนี้ แต่ว่าความสุขของลั่วจื่อหาน เธอควรจะเป็นคนที่ทำให้มันสมบูรณ์แบบ


            ดวงตาของอี้เป่ยซีสดใส จินตนาการถึงอาการประหลาดใจตอนที่ลั่วจื่อหานได้รับของขวัญชิ้นนี้


            เช้าวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีพลาดอาหารเช้า และเกือบพลาดเวลาอาหารเที่ยง


            “เมื่อวานเล่นเกมส์อีกแล้วเหรอ ถึงได้ตื่นสายขนาดนี้?” คุณแม่อี้จัดเรียงถ้วยและตะเกียบอย่างดี เห็นรอยคล้ำใต้ตาของอี้เป่ยซี ยื่นมือนวดๆ “ยังเหมือนเด็กอยู่เลย”


            “ไหนบอกว่าในสายตาของคุณแม่ ลูกๆ ยังเป็นเด็กเสมอไม่ใช่เหรอคะ” อี้เป่ยซีกัดเนื้อปลาไปหนึ่งคำ “พี่ไม่กลับมากินข้าวเที่ยงเหรอ?”


            “รออีกสักพักเถอะ เขาบอกว่ายังมีงานที่บริษัท ลูกกินก่อนเถอะ”


            อี้เป่ยซีพยักหน้า ในใจกลับรู้สึกแย่ เขากลับมาช้า เพราะตั้งใจคลาดกับเวลาที่เธอกินข้าว เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกระมัดระวังและอึดอัดล่ะมั้ง


            ตอนนี้เธอไม่สนใจแล้ว พี่เป่ยเฉินก็ไม่สามารถพัวพันกับเรื่องนี้ได้ตลอดเวลาหรอกนะ


            เธอควรจะทำอะไรสักอย่าง ไม่สามารถปล่อยให้เขาทำเรื่องมากมายได้เงียบๆ อีกแล้ว


            อี้เป่ยซีพยักหน้า ตัดสินใจ


            เป็นไปตามคาดเมื่ออี้เป่ยซีกลับห้องได้ไม่นาน อี้เป่ยซีจึงกลับถึงบ้าน กินข้าวเที่ยงอย่างเร่งรีบ แล้วจากไปราวกับว่าถูกอะไรไล่ เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ก็ได้ยินว่าเขาทำงานล่วงเวลา


            เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง กลับห้องไปพักผ่อน นั่งลงที่โต๊ะหนังสือของตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเสียงรถดังมาจากข้างนอก เธอจึงรีบพุ่งลงไปเพื่อชงชาน้ำผึ้ง เมื่ออี้เป่ยเฉินเปิดไฟก็ประหลาดใจเล็กน้อย


            อี้เป่ยซียิ้มกว้าง “พี่ กลับมาแล้วเหรอ”


            “อืม” เขามองเธอต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็เพียงแค่ขยับปากแต่ไม่ได้พูดอะไร รับน้ำมาจากเธอ ดื่มรวดเดียวหมด


            “พี่ ช่วงนี้ที่ทำงานยุ่งมาเหรอ? เห็นพี่ผอมลงไปตั้งเยอะ”


            เขาอ้าปาก แม้น้ำผึ้งที่ไหลผ่านจะชุ่มคอ แต่ในลำคอก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกฉีดขาด “พอได้”


            ได้ยินเสียงของอี้เป่ยเฉิน อี้เป่ยซีไม่สามารถยิ้มได้อีกต่อไปแล้ว ดวงตาค่อยๆ แดงก่ำ มีบางอย่างไหลอาบแก้มโดยที่ตัวเองไม่สามรถควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว


            อี้เป่ยเฉินรีบวางแก้วน้ำลง เอื้อมมือออกไปแต่ว่ากลับวางลงครึ่งทางด้วยความลังเลและอ่อนแรง


            ตอนนี้เธอคงไม่ต้องการให้เขาปลอบใจแล้วล่ะมั้ง


            จู่ๆ มือน้อยอันอบอุ่นคว้ามือของเขาที่ลอยค้างไว้ เมื่อจ้องมองดวงตาที่เอิบอิ่มคู่นั้น หัวใจก็ยังสั่น


            ที่แท้เขายังปล่อยว่างไม่ได้จริงๆ และไม่มีทางปล่อยวางได้ล่ะมั้ง


        “เสี่ยวซี”


            “พี่”


            ลำคอของเขาขยับ “ดึกแล้ว รีบกลับพักผ่อนเถอะ”


            “พี่” เธอไม่กล้าเงยหน้า ก้มหน้ามองมือที่เห็นข้อต่อได้อย่างชัดเจนของอี้เป่ยเฉิน มันถูกมือของเธอกุมไว้ ทำอย่างไรก็ไม่อยากปล่อยมัน


        “เสี่ยวซี พี่รู้แล้ว” มืออีกข้างมือของเขากุมอยู่บนมือของเธอ “ที่จริงเธอ ไม่จำเป็นต้อง พี่…”


            “พี่ ฉันขอโทษ”


            “เสี่ยวซี เธอไม่ได้ทำผิดต่อพี่ เพราะพี่เองที่ทำเรื่องบางอย่าง เธอ กับ ลั่วจื่อหาน” พอเขาพูดชื่อนั้น หัวใจก็ราวกับถูกมีดบาด “ไม่มีอะไร”


            อี้เป่ยซีดึงมือออก กอดอี้เป่ยเฉินแน่น “พี่ ฉันขอโทษ” รู้สึกได้ถึงร่างกายที่ซูบผอมของเขา น้ำตาของอี้เป่ยซีก็ร่วงลงบนตัวของเขาจนเปียกอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่


            เขายื่นมือกอดเด็กสาวในอ้อมแขนไว้แน่น แม้ทั้งสองคนจะใกล้ชิดกันเพียงนี้ อี้เป่ยเฉินก็ยังรู้สึกว่าบางอย่างในร่างกายตัวเองถูกฉีกขาด ทิ้งให้เขาจมอยู่ในกองเลือดเพียงลำพัง


            เขาคิดมาตลอดว่านี่คือเนื้อคู่ของตัวเอง คืออีฟของเขา เขานึกว่าจะได้อยู่ในสวนเอเดนด้วยกันกับเธอ และมีความสุขชั่วนิรันดร์


            ต่อมาเขาจึงพบว่าตัวเองเป็นเพียงงูพิษตัวนั้นที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและจินตนาการว่าตัวเองคือพระเจ้า เขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับอี้เป่ยซี หรือแม้แต่กลับไปทำให้เธอลำบาก


            เสี่ยวซี เธอได้เลือกสิ่งที่ดีมากแล้วจริงๆ


            ลั่วจื่อหานจะชอบเธอ รักเธอตลอดไป ไม่น้อยไปกว่าพี่ชายเลย


            เขาในฐานะที่เป็นพี่ชายดีใจมากที่น้องสาวของตัวเองได้พบกับแฟนที่ยอดเยี่ยมแบบนั้น แต่ว่าเขาในฐานะคนที่ชอบเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจกับความรักที่ไม่สมหวังของตัวเอง


            พี่มีความสุขมากที่ได้เห็นคนที่อยู่ข้างกายเธอทำให้เธอมีความสุขได้ แต่ว่าทำไมถึงไม่ใช่พี่


            อี้เป่ยเฉินครุ่นคิดแล้วก็อดไม่ไหวที่จะออกแรงมากขึ้น อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิบนตัวเขา ส่งเสียงสะอื้นเล็กน้อย


            ให้โอกาสพี่สักครั้งได้หรือเปล่า ให้พวกเรากอดกันจนตราบกาลนาน


            “เสี่ยวซี พอแล้วหยุดร้องได้แล้ว” อี้เป่ยซียกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ “แบบนี้ไม่สวยนะ”


            อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก น้ำตายังคงไหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร


        “กลับไปนอนเถอะ” เธอพยักหน้า เดินไปยังห้องนอนทีละก้าวๆ คลุมศีรษะด้วยผ้านวมแล้วสะอื้นไห้อีกครั้ง อี้เป่ยเฉินหยุดอยู่หน้าห้องของเธอเนิ่นนาน


————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม