Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 123-129

 บทที่ 123 กลับมาอีกครั้ง (7)


             อี้เป่ยซีรีบส่ายหัว เอ่ยปากด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น เพราะฉัน เพราะฉันไม่เหมาะสมกับนาย จริงๆ นะ ลั่วจื่อหาน ฉัน นายไม่คุ้มค่าหรอก”


            เขากอดเธอแน่นในอ้อมแขน “เป่ยซี นี่ไม่ใช่เหตุผล หรือเพราะฉันบุกเร็วเกินไป ถ้าเธอปรับตัวไม่ได้ พวกเราค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”


            “ลั่วจื่อหาน ฉันพูดอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น เพราะพวกเราไม่เหมาะสมกันจริงๆ ขอโทษ”


            ลั่วจื่อหานยิ่งออกแรงกว่าเดิม “เป่ยซี เธอลองเบิกตาให้กว้างมองดูดีๆ ได้ไหม พวกเราไม่เหมาะสมกันตรงไหน”


            อี้เป่ยซีออกแรงผลักเขา “เพราะว่าฉันไม่อยากหลอกลวง อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าฉันเบิกตากว้างแล้ว นายทำเพื่อฉันมากมายเกินไปแล้ว ลั่วจื่อหาน ฉันขอโทษ ฉันคืนไม่ไหว”


            “ความรักมันเป็นเรื่องของใครติดค้างใคร ใครต้องชดใช้งั้นเหรอ?” ลั่วจื่อหานเอาผมที่ปรกใบหน้าของเธอเกี่ยวหูด้วยความสั่นเทาเล็กน้อย “เป่ยซี ระยะห่างระหว่างพวกเราสองคน จะให้ฉันเป็นคนเดินเข้าไปก็ได้ เดินต่อไปเรื่อยๆ เข้าใกล้เรื่อยๆ แต่ว่าเธอหันกลับมาหน่อยได้ไหม เธอแค่ต้องหันมาเท่านั้น แม้แต่เรื่องแค่นี้ก็ไม่อยากทำเหรอ?”


            เธอก้มหน้า ระงับหัวใจที่เต้นระรัว รู้สึกว่าดวงตาก็เปียกชื้นเช่นกัน “ขอโทษ ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่มีทางเลือก”


            “ฉันเข้าใจแล้ว” ลั่วจื่อหานลดมือลงอย่างอ่อนแรง คว้าด้านหลังศีรษะของเธอฉับพลัน กัดไปที่ริมฝีปากของเธออย่างแรง อี้เป่ยซีไม่ได้ขัดขืนและไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ปล่อยให้เขาจูบ น้ำตาที่ไหลลงมาเงียบๆ รวมเข้าด้วยกันกับน้ำตาของลั่วจื่อหาน ขมขื่นจนชวนให้ปวดใจ


            อี้เป่ยซีไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่แท้การจูบเป็นเรื่องที่ทรมานแบบนี้ ที่แท้การปฏิเสธเป็นเรื่องที่ยากลำบากเช่นนี้


            เธอรู้ดีว่าเธอชอบเขา แต่ก็เพราะว่าความชอบเธอจึงกลัว กลัวว่าเธอจะเจ็บ กลัวว่าเขาจะเจ็บเพราะเธอ กลัวว่าเขาทุ่มเทมากเกินไป กลัวว่าเธอก็ทำให้เขามีความสุขไม่ได้


            ในใจของเธอนั้น ลั่วจื่อหานสง่างามมากๆ คุ้มค่าแก่การถูกรัก แต่ว่าไม่ใช่คนที่เธอจะสามารถรักได้


            เขาสามารถอยู่กับคนธรรมดาที่รักเขาหมดหัวใจได้ และก็สามารถอยู่ด้วยกันกับคนที่เป็นเทพเหมือนกับเขา แต่ว่าจะอยู่กับคนที่มีแต่จะนำความวุ่นวายมาให้เขาอย่างเธอไม่ได้


            ลั่วจื่อหาน นายเข้าใจหรือเปล่า ลั่วจื่อหาน ฉันชอบนายมากจริงๆ


            ลั่วจื่อหานปล่อยเธอแล้วรีบขึ้นไปบนรถ “ไปเถอะ ฉันจะส่งเธอกลับไป” อี้เป่ยซีพยักหน้า ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง รถเคลื่อนที่ไปอย่างช้ามากๆ ราวกับว่าอยากเปลี่ยนเส้นทางอันแสนสั้นนี้เป็นการเดินทางชั่วชีวิต


            เธอกล่าวขอบคุณ วิ่งหนีกลับเข้าห้อง มองดูชุดสีฟ้าที่แขวนอยู่หัวเตียง น้ำตาก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัวแล้ว


            อี้เป่ยซี เธอนี่มันไร้อนาคตจริงๆ เธอเป็นคนปฏิเสธเขาเอง เธอจะมาร้องไห้อะไร


            จากนั้นอี้เป่ยซีก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อบทความสั้นๆ ของตัวเอง แก้แล้วแก้อีก บางคราวก็หาฉู่ซ่งไม่ก็คนอื่นๆ เพื่อถามรายชื่อผู้ติดต่อ รูปโปรไฟล์ของบรรดาผู้ติดต่อบางคนกลับกลายเป็นสีดำตลอดเวลา


            หลิงซี: ฉันทำเสร็จแล้ว อาจารย์ช่วยดูหน่อยได้ไหมคะ?


            ฉินติง: เร็วจังเลย งั้นก็รบกวนส่งมาหน่อยนะ


            อี้เป่ยซีกดปุ่มส่ง เส้นประสาทที่ตื่นเต้นผ่อนคลายลงมาบ้าง มองไปรอบทิศอย่างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร รู้สึกว่าไม่ว่าทำอะไรก็ไม่มีความหมาย


            ฉินติง: หลิงซี ผู้ชายที่หน้าร้านกาแฟวันก่อน ใช่แฟนเธอหรือเปล่า?


            อาจเพราะรู้สึกว่าถามแบบนี้มันจู่โจมเกินไป ฉินติงรีบส่งอีกข้อความ


            ฉินติง: ไม่ใช่ว่าฉันอยากยุ่งเรื่องของเธอ แฟนของเธอใช่คนที่ร้องเพลงคู่กับมู่ไป๋หรือเปล่า? เสียงเพราะมากเลย


            อี้เป่ยซียิ้มขมขื่น พิมพ์ข้อความบนหน้าจออย่างเชื่องช้า


            หลิงซี: ไม่ใช่ค่ะ เป็นแค่เพื่อนธรรมดา อาจารย์ฉินติง หูอาจารย์ดีมากเลยค่ะ แค่นี้ก็ฟังออกแล้ว


            ฉินติง: พวกเธอสองคนดูเหมือนคนรักมากเลยนะ ลองพยายามดูสิ แล้วก็ รู้สึกว่าสิ่งที่เธอเขียนช่วงนี้ก็เกี่ยวข้องกับเขาสินะ


            หลิงซี: ปัญหาส่วนตัวค่ะ อาจารย์คะฉันยังมีธุระ ขอออฟไลน์ก่อน ถ้ามีปัญหาเรียกฉันได้ทุกเมื่อ


            อี้เป่ยซีถอยออกจากวีแชททันที จากนั้นก็ปิดเครื่อง เดินไปรอบห้องอย่างไร้จุดหมายสองสามรอบ เอาชุดที่อยู่บนหัวเตียงลงมาด้วยความหงุดหงิด ถืออยู่ไว้ในมือแล้วอดไม่ไหวที่จะกอดมันไว้ในอ้อมแขน


            ถอดเสื้อบนตัวออก แล้วใส่กลับเข้าไปใหม่อย่างจริงจัง แล้วถอดอีก แล้วใส่อีก…ทำซ้ำอยู่หลายครั้ง อี้เป่ยซีจึงตัดสินใจ พับเสื้อ เก็บใส่ในกระเป๋า นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ในเครื่องเล่นเพลงมีเพียงเพลงเดียว กดปุ่มเล่นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว


            ได้ยินเสียงของลั่วจื่อหานก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮออกมา ดังพร้อมไปกับบทเพลงเศร้า


            “ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งพรวดเข้ามาด้วยความร้อนรน เห็นอี้เป่ยซีที่ดวงตาทั้งคู่แกงด่ำและน้ำตานอง หยุดยืนอยู่ที่เดิม “เธอ เธอเป็นอะไรไป? ทำไมเหมือนคนอกหักเลย”


            “ฉันไม่มีความรักสักหน่อยจะอกหักได้ยังไง” อี้เป่ยซีใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา สูดจมูกฟึดฟัด “มีอะไร?”


            ฉู่ซ่งจึงนึกขึ้นมาได้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของเธอก็เริ่มรู้สึกลำบากใจ “คือว่า ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ฉันก็แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”


            เขาเดินเข้ามาหาเธอ “แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา จะต้องมีสักคนที่เหมาะกับเธอแน่ อย่าเสียใจไปเลย”


            “ฉันรู้ ฉันก็แค่อยากร้องไห้ อยากขับสารพิษ ไม่ได้เสียใจสักหน่อย นายอย่าเป็นห่วงไปเลย”


            “คือว่า” ฉู่ซ่งกัดฟัน “คืนนี้มีปาร์ตี้ ถ้ายังไงฉันพาเธอไปเถอะ คิดซะว่าเป็นปาร์ตี้คนโสดก็แล้วกัน ออกไปข้างนอกเยอะๆ จะได้เห็นในสิ่งที่เธอต้องการ”


            “ไม่ไป”


            “แหม พี่สาวจ๋า ถ้าเธอจะขับพิษอีกเดี๋ยวก็โดนพิษหรอก” ฉู่ซ่งตบๆ ไหล่ของเธอ “คิดซะว่าไปเที่ยวดีหรือเปล่า”


            “ฉันไม่ชอบปาร์ตี้”


            “ก็แค่ปาร์ตี้ธรรมดา ไม่มีใครรู้จักใครหรอก ถ้าเธอไม่ชอบก็ออกไปเลยก็ได้ จะไม่ฝืนใจเธอ”


            อี้เป่ยซีดวงตาเป็นประกาย “ทำไมจะต้องให้ฉันไปด้วย?”


            “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันก็จะบอกเธอตามตรงละกัน ฉัน เอ่อ ชอบผู้หญิงคนนึง หวังว่าเธอจะช่วยแนะนำได้ อัยยา เธอหยุดร้องไห้ได้แล้ว ฉันไม่ได้มีเจตนาจะอวดเธอ”


            ฉู่ซ่งพูดจากล่อมอยู่เนิ่นนาน อี้เป่ยซีจึงผงกศีรษะที่เย่อหยิ่งของเธอ ล้างหน้า แล้วเอนตัวนอนเหม่ออยู่บนเตียงอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งฉู่ซ่งมาเรียกเธอ จึงแตะสวิทช์เปิดปิดเครื่องของเธอ


            “เธอไม่เปลี่ยนเสื้อ แต่งหน้าหน่อยเหรอ ถึงยังไงเธอก็เป็นตัวแทนเป็นหน้าตาของฉันนะ”


            “หน้านายหล่ออยู่แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องไปเสริมแต่งหรอก แบบนี้แหละ ไม่งั้นฉันไม่ไป”


            “ได้ๆๆ ตามใจเธอ ตามใจเธอ” ฉู่ซ่งส่ายหน้า มองดูอี้เป่ยซีแต่งตัวด้วยความเหนื่อยหน่าย ‘เฮ้อ ถ้าหากลั่วจื่อหานเห็นว่าเธอใส่กางเกงขาสั้นออกนอกบ้านล่ะก็ ตัวเอง…’


            “ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ยเซี่ย ข้างนอกหนาวนะ เธอไม่เปลี่ยนเสื้อหนาๆ หน่อยเหรอ?”


            “ไม่ล่ะ ไปเถอะๆ จะพูดมากไปทำไม ไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายที่พูดมากเหมือนนายเลย”


        “ฉัน” ฉู่ซ่งชี้เธอ แล้วชี้ตัวเอง “เธอ ช่างเถอะ ฉันนี่แหละชาวนาผู้เลี้ยงงู”


————


บทที่ 124 กลับมาอีกครั้ง (8)


             เมื่อมาถึงสถานที่จัดงาน มันก็เป็นเหมือนที่ฉู่ซ่งบอก ปาร์ตี้นี้ต่างจากงานอื่นเล็กน้อย ผู้ที่มาร่วมงานยังคงแต่งตัวอย่างระมัดระวังแต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เหมือนกับงานสังคมกลางคืนธรรมดาๆ ของมหาวิทยาลัย บางคนแต่งตัวตามสบายมาก บางคนกลับแต่งตัวอย่างมีสีสัน


            แน่นอนว่ามีบางคนมองมาที่พวกเขา หญิงสาวสวมรองเท้าส้นสูงคนหนึ่งเดินมาทางพวกเขาด้วยท่าทีสบายๆ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายคือ ฉู่ซ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


            “สวัสดี เนซี่ ไม่ทราบว่าชื่อของเธอคือ” บนตัวของหญิงสาวมีกลิ่นน้ำหอมฉุนแสบจมูก อี้เป่ยซีหลบไปด้านข้าง หญิงสาวที่ชื่อเนซี่แยกทั้งสองคนออกจากกันทันที อี้เป่ยซีเนื่องจากเสียสมดุลย์จึงโซเซสองสามก้าว จากนั้นแขนที่ทรงพลังและคุ้นเคยรับเธอไว้


            “หาน?” หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังลั่วจื่อหานเผยสีหน้าสงสัย มองดูไหล่ของลั่วจื่อหาน น้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย


            ลั่วจื่อหานปล่อยอี้เป่ยซี ยิ้มขอโทษแล้วเดินไปหาหญิงสาว มองแขนเสื้อตัวเอง ขมวดคิ้ว “รู้แล้ว อย่าโกรธสิ”


            หญิงสาวชำเลืองมองอี้เป่ยซี รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง “สวัสดีจ้ะ” เธอเผยรอยยิ้มสดใส “ขอต้อนรับเธอเข้าสู่ปาร์ตี้ของฉัน ไม่สิ ปาร์ตี้ที่หานช่วยฉันต่างหาก” พูดพลางก็ดึงแขนของลั่วจื่อหาน อิงแอบแนบชิด รอยยิ้มแห่งความสุขเหลือคณาปรากฏบนใบหน้า


            อี้เป่ยซีสังเกตเห็นความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อระหว่างทั้งสองคน สังเกตเห็นลั่วจื่อหานที่แสดงอาการรังเกียจเมื่อสัมผัสตัวเธอ สังเกตคำพูดของหญิงสาวคนนั้น สังเกตเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของเธอ เธอกระตุกยิ้มมุมปาก “เมื่อกี้ขอโทษด้วย”


            “ไม่เป็นไร หาน คุณอยากไปเปลี่ยนเสื้อหรือเปล่า?”


            “ได้” ลั่วจื่อหานหยิกแก้มของเธอ เดินจากไปโดยไม่มองอี้เป่ยซีเลย อี้เป่ยซียิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้า หันกลับมาก็มองไม่เห็นเงาของฉู่ซ่งแล้ว


            “อืม เธอใช่อี้เป่ยซีหรือเปล่า?”


            “ไม่ใช่ ฉันชื่อฉู่เซี่ย พี่สาวของฉู่ซ่ง”


            เธอครุ่นคิด พยักหน้า “ยังไงก็ต้อนรับเธอนะ คือว่า หานไม่ชอบให้คนอื่นแตะต้องตัวเขา เธออย่าถือสาเลยนะ”


            “ไม่หรอก ฉันขอไปหาน้องชายฉันก่อน แล้วเจอกัน”


            “ได้ แล้วเจอกัน” หญิงสาวยิ้มให้เธอ หลังจากเธอหันหลับไปแล้วกลับเผยสีหน้าชั่วร้าย หลิงจื่อเซี่ยเดินออกมาจากด้านข้างช้าๆ


            “ฉันบอกเธอแล้ว แต่ว่าเธอน่ะ ยังไงก็ไม่ฟัง”


            “หึ หลิงจื่อเซี่ย เธออย่านึกว่าฉันจะถูกยั่วโมโหง่ายๆ แบบนั้น ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ถ้าฉันรู้ว่าเธอกล้าแตะต้องของของฉันล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไร้เมตตาล่ะ” พูดจบก็จากไปทันที แสดงอาการเหมือนอยากไปให้พ้น


            หลิงจื่อเซี่ยกระทืบเท้าด้วยความโมโห ‘ทำไมกัน ทำไมจะหานักแสดง ลั่วจื่อหานก็ยังไม่เลือกเธอ เขาไม่ชอบเธอขนาดนั้นเลยเหรอ’


            “แหม คุณหนูจื่อเซี่ย” ลู่เซิงเดินเข้าไปหาหลิงจื่อเซี่ยด้วยบุคลิกสง่างาม “มาถึงขั้นนี้แล้ว เธอยังลังเลอีกเหรอ?”


            “ฉันไม่ทำเรื่องต่ำๆ พวกนี้หรอก”


            ลู่เซิงหัวเราะเยาะเย้ย “งั้นฉันจะตั้งตารอทางเลือกอันสูงส่งของคุณ ตั้งตารอมากเลย” พูดจบก็จาก


หลิงจื่อเซี่ยไปยังสวนด้านหลัง แต่ถูกคนขวางไว้กะทันหัน


            “เยี่ยจิ่ง ฉันรู้ว่าคุณจะมา”


            “ไม่วางใจก็เลยตามผมมาเหรอ?” ลู่เยี่ยจิ่งจูบคอของเธอ ลู่เซิงอดไม่ไหวหัวเราะออกมา


            “ฉันไม่ใช่อี้เป่ยซีสักหน่อย ถึงไม่เชื่อใจในตัวเองแบบนี้ ฉันก็แค่อยากช่วยคุณบ้าง”


            สองแขนของลู่เยี่ยจิ่งรัดแน่น ทำเอาลู่เซิงหายใจไม่ออก


            “เยี่ยจิ่ง คุณ คุณปล่อยนะ ปล่อยนะ”


            ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะแผ่วเบาข้างหูของเธอ มือยังคงไม่ผ่อนแรง “ก่อนหน้านี้ผมพูดอะไร คุณอย่าลืมซะล่ะ เซิง”


            “ฉันรู้ แต่ว่า คุณแสดงอาการโลเลมาตลอด ฉันก็แค่อยากช่วยคุณ”


            ลู่เยี่ยจิ่งปล่อยเธอทันที ลู่เซิงหายใจหอบไม่หยุด มองเขาอย่างไม่พอใจ เขาหมุนตัวหันหน้าไปยังห้องที่สว่างไสว


            “พูดมา คุณไปทำอะไรไว้ คุณก็รู้ต่อให้คุณไม่พูด ผมก็จะสืบเจอได้ทันที”


            ลู่เซิงไม่มั่นใจมาก เล่าแผนการของตัวเองด้วยท่าทางหยิ่งยโสเล็กน้อย คนตรงหน้าสีหน้ามืดมนฉับพลัน


            “คุณกลับไปซะ เรื่องน่าขายหน้าแบบนี้ คุณก็จะทำเหรอ?”


            “คุณจะไปไหน”


            “จะไปหยุดมันเดี๋ยวนี้” ลู่เซิงมองแผ่นหลังของเขาที่จากไปอย่างเร่งรีบ พบว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ


            อี้เป่ยซีอารมณ์เสียมาก อารมณ์เสียเหมือนกับไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เธอเดินหารอบหนึ่งก็ไม่เจอฉู่ซ่ง นั่งลงบนโซฟา เห็นเหล้าผลไม้สีสันสดใส กลืนน้ำลาย


            ‘มีคนบอกว่าเหล้าบรรเทาความทุกข์ได้ ตัวเองทุกข์ใจแบบนี้ ก็ควรจะดื่มเหล้า ดื่มไม่เยอะ แค่แก้วเดียว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร’ คิดพลางก็ยื่นมือไปหยิบของเหลวสีฟ้าใส ดื่มรวดเดียวหมด


            ‘อื้ม อร่อยจริงๆ’ เธอเลียปาก ขณะที่กำลังจะหยิบแก้วต่อไป ก็เหลือบเห็นเงาที่หน้าประตู เธอชักมือกลับทันที ก้าวเดินเบาๆ ต้องการจะจากไป ออกไปจากสายตาของผู้ชายคนนั้นเงียบๆ ขณะที่กำลังโล่งอกอยู่นั้น เสียงของคนนั้นก็ดังมาจากด้านหลัง


“คิดจะไปไหน”


            ราวกับฟ้าผ่า อี้เป่ยซีรู้สึกว่าสมองงุนงงเล็กน้อย เธอมองลู่เยี่ยจิ่ง เบะปากอย่างไม่พอใจมาก “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี วันหลังค่อยคุยกัน” กลับหลังหันเดินไปข้างหน้า โซเซเล็กน้อย เธอเกาะราวด้วยความทรมาน ‘ดื่มไปแค่แก้วเดียว ทำไมถึงรู้สึกเวียนหัวนะ’


            ลู่เยี่ยจิ่งเข้าไปใกล้เธอด้วยสีหน้าตึงเครียด อี้เป่ยซีก็ไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน ผลักเขาออกไปแล้ววิ่งขึ้นชั้นบนอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจอะไร เห็นประตูที่เปิดแย้มไว้ครึ่งหนึ่งก็พุ่งเข้าไปข้างในแล้วล็อคประตูทันที


            ‘เมื่อกี้ดื่มเหล้าอะไรไปกันแน่นะ เวียนหัวจังเลย เวียนหัวจังเลย’ อี้เป่ยซีเดินประคองผนังไปที่เตียง ล้มตัวลงนอนอย่างทรมาน


            ลู่เยี่ยจิ่งคงไม่ได้ใส่อะไรลงไปในเหล้าหรอกนะ น่ารังเกียจ ไร้ยางอาย ต่ำช้า


            เสียงน้ำในห้องน้ำหยุดแล้ว ลั่วจื่อหานออกมาจากห้องน้ำก็เห็นขาเรียวยาวอยู่บนเตียง มันพันเกี่ยวด้วยกันอย่างทรมาน


            “ออกไปให้พ้น” น้ำเสียงเย็นยะเยือก ทำเอาอี้เป่ยซีตกใจจนกระโดดขึ้นมาจากเตียง เธอเห็นลั่วจื่อหานที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า แม้ผ้าขนหนูสีขาวจะพันรอบส่วนที่สำคัญ แต่ว่ามันหละหลวมเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเพียงออกแรงเล็กน้อยก็สามารถหลุดร่วงได้


            เธออดไม่ได้กลืนน้ำลาย ‘แม่เจ้า ทำไมหุ่นของลั่วจื่อหานถึงได้ดีเพียงนี้ นี่ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมหรอกหรือ’


            เธอกุมขมับลุกขึ้นมาจากเตียง จากไป เมื่ออยู่หน้าประตูก็ส่ายหัวรุนแรง “ไม่ได้ ไม่ได้ ลู่เยี่ยจิ่ง ลู่เยี่ยจิ่งอยู่ข้างนอก ฉันออกไปไม่ได้”


            ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว ใช้โทรศัพท์พื้นฐานโทรออกไป ไม่ช้า เสียงทะเลาะกันเลือนลางดังออกมาจากข้างนอก ลั่วจื่อหานที่นั่งอยู่บนโซฟาเอ่ยปากอีกครั้ง ยิ่งไร้ความเกรงใจกว่าคราวที่แล้ว “ตอนนี้ก็ออกไปได้แล้ว”


            “อ่อ งั้นก็ขอบคุณนายนะ” อี้เป่ยซีก้มหน้า ไม่อยากจากไปทั้งแบบนี้ ขณะที่นึกข้ออ้างออกแล้วเงยหน้าก็เห็นลั่วจื่อนั่งอยู่บนโซฟา ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ ราวกับว่ากำลังอดกลั้นต่ออะไรบางอย่าง


            “นายเป็นอะไรไป?” เธอเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว


            กลิ่นหอมของเด็กสาวที่อยู่ปลายจมูกชัดเจนยิ่งขึ้น ลั่วจื่อหานนึกสภาพของตัวเองออก เขาไล่เธอออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง


     อี้เป่ยซียิ่งเป็นห่วง เดินไปหาเขาอย่างร้อนรนโดยไม่สนใจอาการเวียนหัวของตัวเอง ไม่ทันระวังสะดุดขาโต๊ะล้มลงไปบนตัวของลั่วจื่อหานโดยตรง เธอเบิกตากว้าง เข้าใจถึงสาเหตุที่ลั่วจื่อหานเป็นแบบนี้แล้ว


————


บทที่ 125 กลับมาอีกครั้ง (8)


มู่ลี่ไป๋ถอนหายใจ “เดิมทีก็มีขวากหนามในใจอยู่แล้ว นายจะรีบร้อนไปทำไม?”


        ลั่วจื่อหานเม้มปาก ไม่ได้ตอบ


        “นายไปพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่ได้ร้ายแรงมาก ฉันเรียกพยาบาลมาดูแลเขาก็พอแล้ว”


        เขารับยามาจากมือของมู่ลี่ไป๋ “ไม่ต้องหรอก ฉันกลัวว่าเขาตื่นมาแล้วจะไม่เจอฉัน”


“เขาเจอนายแล้วจะไม่กลัวเหรอ?”


            มือของลั่วจื่อหานกำแน่น เดินเข้าห้องผู้ป่วยไปโดยไม่พูดไม่จา นั่งอยู่ข้างเตียงและเฝ้ามองอี้เป่ยซีที่อยู่บนเตียงตลอดเวลา


เป่ยซี เธอจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม


            ตอนนี้พระอาทิตย์โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าแล้ว อี้เป่ยซีขยับนิ้ว


            ‘เจ็บๆๆ เจ็บจังเลย’ เพียงอี้เป่ยซีขยับเล็กน้อยก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับร่างกายไม่ใช่ของเธอเอง อดไม่ได้ที่จะหายใจเฮือก


            ‘เมื่อวาน’ อี้เป่ยซียังไม่อยากลืมตา นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ รู้สึกปวดหัว ‘เพราะอะไรกัน เธอบอกว่าจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรอีกแล้วไม่ใช่เหรอ เพราะอะไรถึงยังเกิดเรื่องแบบนี้ ลั่วจื่อหาน ตอนนี้ฉันสับสนมากจริงๆ สับสนมาก’


            เธอลืมตาขึ้นช้าๆ ห้องคนไข้ที่เป็นระเบียบว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด พยุงตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ‘ลั่วจื่อหาน เขาเป็นคนพาเธอมาสินะ ไม่ได้ ต้องออกไป ต้องรีบออกไป’


            ‘โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี ออกไปก่อนเถอะ’ อี้เป่ยซีทนความเจ็บปวด เดินออกจากห้องคนไข้ทีละก้าวๆ ลำตัวตั้งตรง ฝืนทำทีว่าสบายดีเหมือนปกติ แต่สีหน้าซีดขาว


            “พี่ พี่เป่ย…”


            “เธอนี่สุดยอดเลยนะ”


            “ไม่ใช่นะ พี่ฟังฉันก่อน มันไม่ใช่แบบนั้นจริงๆ ฉันแค่อยาก…” อี้เป่ยซีมองเห็นเงาในห้องคนไข้เลือนลาง เงาของผู้ชายคนนั้นบดบังวิสัยทัศน์ของเธอทั้งหมด เสียงของหญิงสาวที่ดิ้นรนและเสียงน้ำดังชัดเจนเป็นอย่างมาก เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว


            “ใครน่ะ?”


            อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องหนี เธอกัดฟันวิ่งลงไปชั้นล่าง ไม่ระวังขาก็ล้มพับลงบนพื้นโดยตรง สายตาค่อยๆ พร่ามัว


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานทิ้งของทั้งหมดในมือลงพื้น วิ่งพุ่งเข้าไป ก้มตัวลง


            “ลั่วจื่อหาน อย่า พี่ชาย ข้างหลัง” ทันใดนั้นลั่วจื่อหานก็เข้าใจความหมายของเธอ อุ้มเธอขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เดินอ้อมกลับไปยังห้องคนไข้ของอี้เป่ยซี


            ขณะที่เขายกมือขึ้น กำลังจะเรียกคนอยู่นั้น อี้เป่ยซีห้ามเขา “ฉันไม่เป็นไร นายออกไปเถอะ ฉันอยากพักผ่อนสักหน่อย”


            “เป่ยซี เรื่องเมื่อวาน ขอโทษนะ”


            “ตอนนี้ฉันไม่อยากคุย นายออกไปก่อนได้หรือเปล่า นายออกไปก่อน”


            “ได้ เธอพักผ่อนเยอะๆ ถ้าหากมีตรงไหนไม่สบาย เรียกฉัน หรือเรียกหมอก็ได้”


            อี้เป่ยซีหลับตา ไม่ได้พูดอะไร ลั่วจื่อหานเดินจากไปอย่างหมดกำลังใจเล็กน้อย ขณะที่กำลังเปิดประตูนั้น เสียงที่อ่อนล้าดังมาจากด้านหลังของเขา “เมื่อไรฉันถึงจะออกไปได้”


            ลั่วจื่อหานกำลูกบิดประตูแน่น “ฉันไม่มีเจตนากักขังหรือว่าบังคับเธอ ถ้าหากเธออยาก…”


            “ฉันรู้แล้ว” ลั่วจื่อหานยืนอยู่ที่ประตูเนิ่นนาน จึงปิดประตู


            อี้เป่ยซีขอโทรศัพท์มือถือจากพยาบาล รีบโทรไปหาเซี่ยเช่อทันที ไม่ได้รอนาน เซี่ยเช่อก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว พาอี้เป่ยซีออกไปด้วยความโมโหเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ว่าเซี่ยเช่อพาอี้เป่ยซีไปที่ไหน


            ลั่วจื่อหานนั่งอยู่ในรถคนเดียว มองดูถนนด้วยความเลื่อนลอย ‘ต่อไปจะเผชิญหน้ากับเธออย่างไร เธอจะไม่ยอมเจอหน้าเขาอีกแล้วหรือเปล่า’


            เป่ยซี เธอบอกฉันได้ไหมว่าควรทำยังไง


            ฉันพูดมาตลอดว่าให้เธอเชื่อใจฉัน ถึงสุดท้ายก็ยังทำร้ายเธอแบบนี้ จะต้องทำยังไง เธอถึงจะมีความสุข เธอถึงจะปลอดภัย เธอถึงจะยอมรับความรู้สึกของฉัน และยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้จริงๆ


            อาจเพราะได้ยินเสียงสายลม จู่ๆ อี้เป่ยเฉินปรากฏตัวที่หน้ารถของลั่วจื่อหาน เขาถอนหายใจ ดับบุหรี่ในมือ เดินออกไป หมัดหนักๆ ของอี้เป่ยเฉินกระแทกไปยังหน้าของเขาอย่างไม่ออมแรง


            “นายพูดว่าอะไร นายบอกว่าจะไม่ทำร้ายเขา ตอนนี้ล่ะ นี่คือการไม่ทำร้ายเขาของนายเหรอ นี่คือความเชื่อใจของนายเหรอ ลั่วจื่อหาน นายมันจะมากเกินไปแล้ว”


            ลั่วจื่อหานไม่ได้โต้ตอบ ฟังอี้เป่ยเฉินด่อทออยู่เงียบๆ


        อี้เป่ยเฉินราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง มือยิ่งออกแรง การเคลื่อนไหวก็ยิ่งรวดเร็ว จนกระทั่งตัวเองหมดแรงแล้ว บนตัวของลั่วจื่อหานก็มีบาดแผลน้อยใหญ่เต็มไปหมด เขาหายใจหอบ “ลั่วจื่อหาน ตอนนี้เป่ยซีอยู่ที่ไหน?”


        ลั่วจื่อหานหัวเราะอย่างขมขื่น “ตอนนี้เขาจะอยากให้ฉันรู้ได้ยังไง ตัวเองก็กองอยู่ที่พื้น ฉันก็อยากรู้มากเหมือนกัน ว่าตอนนี้เป่ยซีอยู่ที่ไหน โอเคหรือเปล่า?”


      บทที่ 126 กลับมาอีกครั้ง (8)


อี้เป่ยซีนั่งอยู่บนรถของเซี่ยเช่อ ไม่รู้ว่าเขาขับมานานแค่ไหน เธอนั่งอยู่บนรถของเขาเฉยๆ เห็นพระทิตย์ตกหลายครั้งและเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหลายครา ราวกับว่าเซี่ยเช่อไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พาเธอไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ


            “เป่ยซี ไม่เป็นไร เธอกินก่อนเถอะ ไม่ต้องเสียใจขนาดนั้น”


            “ฉันไม่ได้เสียใจนะ ฉันแค่ไม่อยากกินอะไร เซี่ยเช่อ ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนเหรอ ฉันไม่อยากเจอพวกเขาแล้วก็ไม่อยากเจอคนอื่นด้วย นายพาฉันไปที่แบบนี้ได้ไหม”


            เซี่ยเช่อกอดอี้เป่ยซี ร่างกายที่ผอมบางทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจกับผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขน “เป่ยซี ฉันคิดไม่ถึงเลย ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ”


            ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มซีดเซียว “ไม่โทษเขาหรอกนะ เขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้”


            “ตอนนี้เธอยังจะพูดแทนลั่วจื่อหานอีก ฉันนึกถึงคำโบราณคำนั้นจริงๆ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”


            “อาจจะเป็นเพราะลู่เยี่ยจิ่ง เขาวางยาน่ะ”


            เซี่ยเช่ออึ้งอยู่ตรงนั้นทันที หลังจากรู้สึกตัวแล้ว กระแทกกำปั้นแรงๆ บนพวงมาลัย “ไอ้คนเลวคนนั้น เห็นปกติเขาท่าทางหยิ่งยโสยังกะอะไรดี คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีต่ำๆ แบบนี้ นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ เป่ยซีเธอวางใจเถอะ ฉันจะไม่ปล่อยเขาแน่นอน”


            “มันก็ไม่เกี่ยวกับเขา” อี้เป่ยซีก้มหน้า กอดตัวเองแน่น “มันเป็นเพราะฉันนี่นา ทำเรื่องผิดมากมายแบบนั้น นี่คือสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ”


            “เป่ยซี ทำไมเธอยังไม่ยอมเดินออกมา ลู่เยี่ยหวาเอง เขาไม่อยากให้การตายของตัวเองทำลายคนที่เขารักที่สุดแน่นอน ทำไมเธอถึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพื่อเขาไม่ได้ล่ะ”


            น้ำตาที่อี้เป่ยซีข่มเอาไว้นั้นไหลอาบแก้มราวกับว่าหาทางระบายเจอแล้ว “เขาจะอยากให้ฉันมีความสุขได้ยังไง ฉันทำผิดตั้งมากมาย ฉันทำให้เขาตาย ทำไมเขาถึงอยากให้ฉันมีความสุข”


            “ทั้งๆ ที่เขาควรจะโทษฉัน เกลียดฉัน เขาควรจะสาปแช่งให้ฉันไม่ตายดีต่างหาก ทำไม ทำไมก่อนจะตาย เขายังคิดถึงฉัน ทั้งๆ ฉันทำไม่ดีกับเขาขนาดนั้น ฉันเป็นคนที่แย่ที่สุดในโลกจริงๆ”


        “ฉันทำให้บ้านลู่สูญเสียลูกชายที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของพวกเขา ทำให้ลู่เยี่ยจิ่งสูญเสียพี่ชาย ฉันทำลายชีวิตครอบครัวพวกเขา ลู่เยี่ยจิ่งทำถูกแล้ว พูดก็ถูกด้วย ฉันเป็นคนประเภทที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกใบนี้”


            อี้เป่ยซีสะอื้น ยกหลังมือปาดน้ำตา “ตอนนี้ฉันทำให้ชีวิตของลั่วจื่อหานยุ่งเหยิงอีก ฉันผิดไปหมดทุกอย่าง ทำไม่ดีเลยสักอย่าง ทำไม ทำไมพวกเขายังอยู่ข้างหลังฉัน ยังต้องคิดถึงฉัน เซี่ยเช่อ ทำไมเหรอ”


            “น่าจะปล่อยให้ฉันเหนื่อยตายไปเลยก็ดี หรือตายจากอารมณ์ซึมเศร้าแบบนี้ก็ดี ฉันไม่สมควรได้รับการปฏิบัติที่อ่อนโยนจากพวกเขาเลย”


            “แล้วก็พี่เป่ยเฉิน เขาก็เป็นคนดีขนาดนั้น ฉันนี่มัน เซี่ยเช่อ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวซวย ทุกคนที่ชอบฉัน ที่อยู่ข้างกายฉันจะต้องจบลงไม่ดี”


            เซี่ยเช่อหยิบทิชชู่ออกมาซับน้ำตาให้เธอ ซับอย่างไรก็ซับไม่หมด สุดท้ายจึงทิ้งมันไป ดึงเธอเข้ามากอด ปล่อยให้น้ำตาของเธอไหลอยู่บนเสื้อของตัวเอง


            “เป่ยซี เธอดีกว่าที่เธอพูดมาก จริงๆ นะ เธอรู้ไหม ก่อนที่จะเจอกับเธอ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลู่เยี่ยหวายังยิ้มได้ ฉันนึกภาพที่คนอย่างลู่เยี่ยหวามีความสุขได้ยากมาก แต่เธอทำได้ ไม่กี่ปีที่เขารู้จักกับเธอ คือช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต”


        “เธอได้แต่งแต้มชีวิตของเขาจริงๆ ทำให้เขาได้สัมผัสชีวิตที่มีความสุขเหมือนคนทั่วไป เขาจะเกลียดเธอ จะโทษเธอได้ยังไง ถ้าเขารู้ว่าการจากไปของเขาจะทำให้เธอเป็นแบบนี้ล่ะก็ ตอนนั้นเป็นไปได้ว่าเขาจะท้าทายความตายกับยมทูตเพื่อเอาชีวิตของตัวเองกลับมาแน่นอน”


            “เป่ยซี เธอรู้ไหม ลั่วจื่อหานเขาเจอเธอตั้งนานมากๆ แล้ว ฉันได้ยินเขาพูดถึงในตอนหลังว่า ตั้งแต่ตอนนั้น เขาได้เรียนรู้ที่จะสัมผัสกับความงดงามของโลก ถึงได้มีผลลัพธ์อย่างทุกวันนี้”


            “เธอทำเพื่อพวกเขามากมาย ยังมีพี่ชายของเธอ ถ้าหากไม่ใช่เพราะความรับผิดชอบที่มีต่อเธอ เขาก็คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เหรอ?”


        อี้เป่ยซียังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เซี่ยเช่อปล่อยมือทันที เหยียบคันเร่งอย่างแรง รถออกตัวราวกับโบยบิน “ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ฉันจะพาเธอไปที่คนน้อยๆ เธอคิดด้วยตัวเองให้ดีๆ อีกที ดีไหม”


            อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก มองไปข้างหน้า ดวงตาที่สดใสขยับเขยื้อน พยักหน้าอย่างว่าง่าย


            เซี่ยเช่อจึงโล่งอก ไหล่ก็ผ่อนคลายลงมาด้วย พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันผิดปกติ “เธอรู้สึกว่าตัวเองละทิ้งใครคนนึงมานานมากแล้วบ้างไหม”


            อี้เป่ยซีส่ายหัว “เปล่านี่ ช่วงนี้เกิดเรื่องเยอะไปหน่อย ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้เข้าใกล้ใครเลย”


            เซี่ยเช่อจมดิ่งอยู่ในความคิด ผ่านไปสักพักจึงรวบรวมความกล้า พูดขึ้น “เป่ยซี เธอรับได้ไหมถ้าที่นั่นมีหลานฉือเซวียนด้วย”


            อี้เป่ยซีกระพริบตา ระคนความความรู้สึกสับสนงงงวย เซี่ยเช่อจึงพูดต่อ “ฉันกับหลานฉือเซวียนน่ะ เธอวางใจเถอะ ครั้งนี้ฉันเอาจริง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบคนนึงได้ขนาดนี้ อยากเจอหน้าเขาทุกวัน อยาก**ทุกวัน คุยกับเขาทุกวัน แม้ว่าอยู่ด้วยกันก็ไม่รู้สึกรำคาญ ครั้งนี้ฉันอยากอยู่กับใครสักคนอย่างจริงจังมากจริงๆ”


            ได้ยินคำพูดของเซี่ยเช่อ อี้เป่ยซีก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ทำไมเธอจะไม่อยากอยู่ด้วยกันกับลั่วจื่อหานแบบนี้ล่ะ แต่ว่าทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถเดินออกมาจากปมนั้นในใจได้เลย อี้เป่ยซีกระแอมไอ “ฉันรู้แล้ว  ยินดีกับพวกนายด้วยนะเซี่ยเช่อ หวังว่าพวกนายจะมีความสุขได้ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหากเป็นหลานฉือเซวียน ฉันไม่รังเกียจเลยสักนิด ขอเพียงพวกนายอย่าพลอดรักต่อหน้าฉันตลอดเวลา ฉันก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”


            “เรื่องนี้วางใจเถอะ ฉันคุยกับเขาเรียบร้อยแล้ว จะไม่ทำแบบนั้นกับเธอแน่นอน เธอพักรักษาใจที่นั่นสักสองสามวันก็ได้”


            เซี่ยเช่อหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “งั้นเธอจะลั่วจื่อหานจะเอาไงต่อ”


            อี้เป่ยซีหลับตา พิงหน้าต่างรถ คำพูดลอยออกมาจากปากของเธอแผ่วเบา “ขับรถนายไปเถอะ อย่ายุ่งให้มากเรื่อง”


            เซี่ยเช่อยักไหล่ มองข้างหน้าต่อไป อี้เป่ยซีปลอบประโลมตัวเองในใจไม่หยุดหย่อน


            ไม่เป็นไรนะเป่ยซี คิดเสียว่านี่เป็นการทำเพื่อลั่วจื่อหานก็พอ จากนี้ต่อไป พวกเธอสองคนก็ไม่ติดค้างต่อกันแล้ว


            อี้เป่ยซีเอ๋ยอี้เป่ยซี ในที่สุดเรื่องทั้งหมดก็สิ้นสุดแล้ว เธอก็จะเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว


            ลั่วจื่อหาน อี้เป่ยเฉิน ลู่เยี่ยหวา ลู่เยี่ยจิ่ง ขอบคุณที่พวกนายปรากฏตัว ขอโทษนะ ที่ทำร้ายพวกนายมากมายขนาดนั้น


            “ฮัลโหล” เซี่ยเช่อกดรับสาย ดวงตามองอี้เป่ยซีเป็นครั้งคราว สุดท้ายก็พูดว่า ‘ไม่รู้’ อย่างไม่เกรงใจเพื่อสิ้นสุดการโทร


            “ใครน่ะ? ลั่วจื่อหาน?”


            เซี่ยเช่อหรี่ตา มีประกายที่ต่างออกไป “เปล่า พี่ชายที่แสนดีของเธอน่ะ อี้เป่ยเฉิน”


        อี้เป่ยซีสูดหายใจ


————


บทที่ 127 วิกฤตโรงแรม (1)


            ตั้งแต่อี้เป่ยซีไปปลีกวิเวกอยู่ที่บ้านของเซี่ยเช่อแล้วก็ไม่ออกมาจากห้องอีก ขลุกอยู่บนเตียงทั้งวัน ตัวก็ร้อนตลอดเวลา ไม่ว่าหลานฉือเซวียนกับเซี่ยเช่อจะพูดกับเธออย่างไร อี้เป่ยซีก็ยังคงหัวเราะอย่างสนุกสนานและนอนบนเตียงต่อ จนกระทั่งถึงวันที่สี่ หลานฉือเซวียนทนไม่ไหวลากอี้เป่ยซีออกไปจากห้อง


            “ฉันง่วงมากเลย อยากกลับไปนอน” อีเป่ยซียึดประตูรถไว้ ทำอย่างไรก็ไม่เข้าไป เซี่ยเช่อเหลือบมองท่าทางที่เป็นกังวลของหลานฉือเซวียนแล้ว ผลักอี้เป่ยซีเข้าไปทันที จากนั้นจึงมองเธออย่างขอโทษ


            “ครั้งนี้จะพาเธอไปที่ใหม่”


            อี้เป่ยซีส่ายหัวสุดชีวิต “ไม่ไป ไม่ไป ที่ใหม่ยังไงก็ไม่ไป ฉันสบายดีมาก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ไม่อยากเปลี่ยนใหม่”


            “คือว่า” เซี่ยเช่อครุ่นคิด กัดฟันตัดสินใจใช้วิธีที่ตัวเองใช้ได้ผลมาตลอด “จื่อจวีหานซื่อ เธอจะไปไหม”


            “ไม่ไป ไม่ไป ฉันอยากกลับไปนอน”


            “จื่อจวีหานซื่อตัวเป็นๆ เธอจะไปหรือว่าไม่ไป?”


            อี้เป่ยซีส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง จนกระทั่งสมองเริ่มตอบสนอง เบิกตาที่งดงาม พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ถ้านายโกหกฉันอีก เราแตกหักกัน”


            หลานฉือเซวียนขมวดคิ้วมองเซี่ยเช่อ เห็นเขาหัวเราะเขินอาย พยักหน้า อี้เป่ยซีจึงนั่งในรถอย่างสงบเสงี่ยม หลานฉือเซวียนคว้าไหล่ของเซี่ยเช่อ พูดเสียงต่ำ “นายหมายความว่าอะไร?”


            เซี่ยเช่อจูบหูของเขา “เขาไม่รู้สักหน่อยว่าเป็นใคร ฉันหาเพื่อนสักคนก็ได้แล้ว วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”


        หลานฉือเซวียนปล่อยเขา บนใบหน้ายังมีความกังวลเลือนลาง แต่ก็ยังพาอี้เป่ยซีไปยังภูเขาหลังอะพาร์ตเม้นต์แล้ว อี้เป่ยซีนั่งอยู่หลังรถ ไม่มีความสนใจใดๆ ต่อทิวทัศน์รอบกาย เมื่อมาถึงภูเขาแล้ว ก็ยังหาวไม่หยุด หลานฉือเซวียนเกือบจะลากเธอไปบนภูเขา


            “เธอไม่รู้สึกว่าตรงนี้คุ้นๆ เหรอ?” หลานฉือเซวียนหันหน้ามองรั้วที่พิงศาลาจิตรกรรม อี้เป่ยซีหรี่ตาพูดขึ้น เธออ้าปากหาวกว้างๆ พร้อมขยี้ตา “อืมรู้แล้ว อยู่ในรูปของจื่อจวีหานซื่อ”


            “เป่ยซี ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ เหรอ?” หลานฉือเซวียนเข้าใกล้เธอด้วยสีหน้าจริงจัง หลายวันนี้ไม่ว่าจะพูดอะไร อี้เป่ยซีล้วนมีท่าทางเหนื่อยหน่าย ดนตรีหรือภาพวาดจีนเหมือนกับว่าได้กลายเป็นคำนามที่ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับเธอแล้ว


            เธอเบือนหน้า “ไม่มีน่าสนใจนี่นา ทำไมต้องสนใจด้วย”


            “เป่ยซี เธอคิดเรื่องนี้ซับซ้อนเกินไปแล้ว ทำไมเธอต้องจมปลักกับการปฏิเสธตัวเองอยู่เสมอ ฉัน หรือเซี่ยเช่อพูดแค่นิดเดียว เธอ…”


            อี้เป่ยซีโบกๆ มือ “คิดว่าฉันตลกมากใช่ไหม?”


            “เปล่า ก็แค่รู้สึกว่า แค่คิดมาตลอดว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงใจกว้างคนนึง คิดไม่ถึงว่าความคิดจะแคบแบบนี้ ขังตัวเองอยู่ในกะลาตลอดเวลา” หลานฉือเซวียนถอนหายใจยาว จากนั้นก็นั่งลง “เธอคิดดีแล้วไม่ใช่เหรอ แต่ว่ายังไม่ปลง ก็เลยเริ่มทำอะไรไม่ชัดเจนอีกแล้ว เธอกับลั่วจื่อหานเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ? ฉันดูออกว่าเธอชอบเขามาก และเขาก็รักเธอมากด้วย”


            เธอเงยหน้ามองดูคานของศาลา “ใช่สิ ดูแล้วปัญหาง่ายนิดเดียว แต่เพราะปมนั้นที่ทำยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ ทำยังไงก็เดินออกมาไม่ได้”


            หลานฉือเซวียนเงียบไปสักพัก จึงค่อยๆ กุมมือของเธอด้วยความเย็นชาเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานอี้เป่ยซีจึงยิ้มเอ่ย “เซี่ยเช่อหลอกฉันอีกแล้ว ที่นี่มีจื่อจวีหานซื่อที่ไหนกัน เมื่อก่อนมีล่ะมั้ง ฉันอยากย้อนไปตอนนั้นจริงๆ ดูว่าเขาวาดรูปยังไง”


            “ถ้าเธออยากดูจริงๆ ที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


            “เอ๊ะ?” อี้เป่ยซีมองดูหลานฉือเซวียนที่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเล สงสัยเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะอย่างผ่อนคลาย “ไม่ต้องหรอก ถ้าหากได้เจอจริงๆ ต่อไปเซี่ยเช่อจะหลอกฉันออกมายังไงล่ะ หลายวันนี้ลำบากพวกนายแล้ว”


            “ต่อไปเธอจะทำยังไง?”


            “กลับไปสิ ฉันโดดเรียนไม่ได้ตลอดหรอกนะ สิ่งที่สำคัญของนักเรียนก็คือการเรียนหนังสือ นี่ก็คือสิ่งที่ฉันคิดไว้”


            หลานฉือเซวียนยังต้องการพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นชายแก่ที่มีผมหงอกในเสื้อคลุมสีขาวคนหนึ่งเดินมาหาพวกเขา มีชายหนุ่มตามมาด้านหลัง สวมหน้ากากและแว่นกันแดด บนตัวยังมีเป้สะพายหลังขนาดใหญ่


            อี้เป่ยซีชำเลืองมองพวกเขา แล้วนั่งตัวตรง “นายว่าใช่จื่อจวีหานซื่อหรือเปล่า คุณปู่คนนั้นดูแล้วผอมบางแต่ท่าทางภูมิฐานจริงๆ ส่วนผู้ชายที่อยู่ข้างๆ คนนั้น…” เปลือกตาของอี้เป่ยซีกระตุก หลานฉือเซวียนมองเธอเพื่อรอประโยคต่อไป “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรน่าพูดหรอก ฉันคงจะนอนเยอะไปหน่อย” นอนเยอะจนเกิดภาพหลอน เธอก้มหน้ากับตัวเอง หลานฉือเซวียนลุกขึ้นต้อนรับ


            “พวกเธอคงจะเป็นเพื่อนที่เซี่ยเช่อพูดถึงสินะ พวกเราช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ” เสียงหัวเราะของชายแก่สดใสและมีพลัง ทำให้ติดเชื้อได้อย่างง่ายดายมาก อี้เป่ยซีที่นั่งอยู่ในศาลาก็อดไม่ไหวที่จะหัวเราะแล้ว ใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย เธอเดินเข้าไปหาชายแก่


            “คุณก็คือจื่อจวีหานซื่อสินะคะ สวัสดีค่ะ ฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคุณ ชอบภาพวาดแล้วก็บุคลิกในภาพของคุณมาก”


            “อ๋อ บุคลิก?” คนแก่ลูบคลำหนวดของตัวเอง พินิจพิเคราะห์เด็กสาวที่มีหน้าตาซีดขาวเล็กน้อยตรงหน้า


            อี้เป่ยซีพยักหน้าด้วยความมั่นใจมาก “ใช่ค่ะ คุณวาดรูปคนในรูปทิวทัศน์ได้เยี่ยมมาก”


            หลานฉือเซวียนมองอี้เป่ยซี ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการพูดอะไรกันแน่ คิดไม่ถึงว่าคนแก่จะอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ดูแล้วเธอคงจะชอบมากจริงๆ”


            เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ กระแอมไอเบาๆ ด้วยเสียงหยาบกระด้าง อี้เป่ยซีจึงละสายตาของตัวเองจากเขา แอบถอนหายใจอย่างหดหู่


            “จื่อจวีหานซื่อ” สังเกตเห็นอาการของเธอโดยธรรมชาติ ลูบเคราด้วยท่าทางอารมณ์ดีมาก “ยัยหนู ดูแล้วเธอร่างกายไม่แข็งแรงเลยนะ เจ้าเซี่ยเช่อนั่นดูแลเธอไม่ดีเหรอ?”


            อี้เป่ยซีดวงตาเป็นประกายพร้อมส่ายหัว “เปล่านะคะ แค่รู้สึกว่าผอมแล้วดูดีกว่า” พูดจบก็ทำหน้าเศร้าเล็กน้อย หลานฉือเซวียนครุ่นคิดดูแล้วไม่สามารถละเลยคนที่มาช่วยได้ จึงคุยสัพเพเหระกับชายแก่ อี้เป่ยซีเหมือนกับหลุบตาลง ฟังพวกเขาพูดคุยกันเงียบๆ ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ อยู่ไกลจากพวกเขามาก แต่มองตามชายแก่ตลอดเวลา


            คุยไปคุยมาจู่ๆ ชายแก่ก็ตื่นเต้น ลากหลานฉือเซวียนออกไปด้านข้างอย่างลึกลับแล้ว อี้เป่ยซีมองพวกเขาจากไปด้วยรอยยิ้มเย่อหยิ่ง พิงรั้วสีแดง หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว น่าจะเป็นเพราะสายลมที่พัดปรอยผมบนใบหน้า ในใจก็รู้สึกระคายเคืองด้วย


        อี้เป่ยซีลืมตาขึ้นเป็นเส้นเล็กบางที่สุด เห็นคนที่ใส่ชุดดำสวมหน้ากากสีดำและแว่นตาดำนั่งอยู่บนม้านั่งหินตรงข้ามเธอ กระดานวาดภาพวางอยู่บนตักของเขา กำลังร่างภาพด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง สายตาที่มองเธอนั้นชวนให้เจ็บปวด


————


บทที่ 128 วิกฤตโรงแรม (2)


            เธอแสร้งว่าตัวเองยังไม่ตื่น ยังคงรักษาท่าทางก่อนหน้านี้ไว้ แต่กลับอดไม่ไหวมองเขาผ่านช่องตาแคบๆ นั้นเป็นครั้งคราว ในตอนแรกเขายังวาดด้วยความกระวนกระวายใจอยู่บ้าง จากนั้นก็ผ่อนคลายลง คนหนึ่งแสร้งหลับ อีกคนแสดงอยู่เป็นเพื่อน ไร้ความกลมกลืนกัน


            หลานฉือเซวียนกับชายแก่ยืนอยู่ที่ไม่ไกลนักนอกศาลา สังเกตความเคลื่อนไหวด้านใน คิ้วขมวดกันไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ผ่อนคลาย จนกระทั่งชายแก่ตัดสินใจตบหลังเขากะทันหัน


            มือของชายแก่แรงดีจริงๆ


            “เด็กๆ อย่างพวกเธอก็โตกันแล้ว ทำไมถึงยังทำอะไรไม่ชัดเจนเหมือนเด็กน้อยเลย” ชายแก่อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มบางๆ อยู่ตลอดเวลา


            “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้มีเรื่องมากมายขนาดนี้” เซี่ยเช่อส่ายหน้า เผยอาการไร้เดียงสา


            “ฉันหมายถึงเธอกับเซี่ยเช่อเด็กนั่น ใครพูดถึงพวกเขาสองคนล่ะ แต่ว่า ยัยเด็กคนนั้นยังเหมือนกับตอนเด็กๆ เลย บ๊องๆ แต่ดื้อ” ชายแก่ส่ายหน้า ทำทีเหมือนจะเดินไป


            “คุณจะเข้าไปทำไม ปล่อยพวกเขาไปแบบนี้เถอะ จะรบกวนทำไม?”


            “ก็บอกแล้วว่าคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอไม่รู้อะไร ป่านนี้แล้ว เสี่ยวเป่ยซีจะต้องนั่งจนเมื่อยไปทั้งตัวแล้วแน่ๆ เธอดูเจ้ากระต่ายน้อยนั่นสิ ไม่มีเซ้นส์เลยสักนิด วาดเสร็จแล้วก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น”


            สมน้ำหน้าแล้วที่จีบผู้หญิงไม่ติด ชายแก่ถอนหายใจ สีหน้าไม่ได้ดั่งใจปรากฏให้เห็นชัดเจน เดินไปด้านหลังเขาด้วยย่างก้าวที่แข็งแรง กระแอมไอเบาๆ


            เสียงของชายแก่ต่ำเล็กน้อย แต่ก็ยังลอยเข้าหูของอี้เป่ยซีอย่างแม่นยำ ทำให้เธอลืมตาก็ไม่ได้ ไม่ลืมตาก็ไม่ได้ ลำบากใจจนแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ


            “ยัยหนูคนนี้เก่งจริงๆ ถูกเธอมองตั้งนานแล้วก็ยังไม่ตื่น”


            เขาเก็บอุปกรณ์วาดภาพเงียบๆ ก้มหน้าก้มตา ราวกับเป็นลูกศิษย์ผู้อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไรอย่างนั้น ชายแก่ส่งเสียงจุ๊ๆ มองเขาที่กำลังจะสะพายกระเป๋า จู่ๆ ก็วางกลับไป ถอดเสื้อแจ็คเก็ตบางๆ บนตัวออก ค่อยๆ เดินเข้าไปหาอี้เป่ยซี


            อี้เป่ยซีก็รู้สึกได้ว่าเขาเข้ามาใกล้ ยังคงหลับตา แต่กลับมีเหงื่อชั้นบางๆ ซึมอยู่ในมือ อดไม่ไหวที่จะกำมือแน่น เขายิ่งใกล้เข้ามา กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้รู้สึกทั้งปลอดภัยทั้งอันตราย ตอนนี้อี้เป่ยซีทนไม่ไหว ขยับขนตาเล็กน้อย ขณะนั้นเองเขาก็ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม


            ตอนนี้เธอรังเกียจเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?


            ได้ยินเสียงฝีเท้าหายไป อี้เป่ยซีใช้ทักษะการหรี่ตาอีกครั้ง จึงพบว่าเขาถือเสื้อแจ็คเก็ตตัวบางอยู่ในมือ ยืนอยู่ในระยะปลอดภัยของตัวเอง ไม่ก้าวไปข้างหน้าและไม่ถอยหลัง ท่าทางเงอะงะเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง


            “เอาล่ะ ก็ประมาณนี้แหละ อยากเจอหน้าเธอสักครั้ง ตอนนี้ก็เห็นแล้วยังจะเอาไงอีก?” ชายแก่รรบเร้าอย่างหมดความอดทนอยู่ด้านหลัง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เบาบางมากๆ ราวกับว่ากำลังเยาะเย้ยระคนความเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็สะพายกระเป๋าแล้วจากไปด้วยความมั่นใจ


            ‘ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ อยากคลุมเสื้อให้ฉันไม่ใช่เหรอ ไม่เคยเห็นผู้ชายโลเลแบบนี้มาก่อนเลย’


            ‘ลั่วจื่อหาน นายนี่เหมือนนกกระจอกเทศจริงๆ’


            ‘ฉันโกรธมากเลยนะ นายไม่รู้จักปลอบใจหรือไง? ตอนนี้เป็นไง อยากดูแลเอาใจใส่แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ เหมือนผู้หญิง นายมันน่าดูถูกจริงๆ’


            ‘อย่าคิดว่าจะมีใครทำให้ฉันยกโทษนายได้ ตอนนี้ประตูมันปิดลงแล้ว’


            อี้เป่ยซีคิดอย่างไม่พอใจ หลานฉือเซวียนนั่งอยู่ข้างๆ เธออย่างนึกขำ


            “ค้างอยู่ท่านี้ตั้งนาน ไม่เหนื่อยหรือไง?”


            “ผู้ชายอย่างพวกนายไม่มีดีสักคน” อี้เป่ยซีลืมตา ชำเลืองมองหลานฉือเซวียนด้วยความเหยียดหยามมาก


            “แกล้งหลับเป็นไงบ้าง?”


            “รู้ว่าฉันแกล้งหลับนายยังจะปลุกฉันอีก ตาไม่มีแววเลยจริงๆ”


            หลานฉือเซวียนมองอี้เป่ยซีที่ราวกับว่ากินระเบิดเข้าไป ยกมือยอมแพ้ “ก็ได้ ฉันไม่พูดแล้ว จะให้ฉันไปเรียกเขากลับมาให้เธอระบายความโกรธหน่อยไหม?”


            “ไม่ต้อง นายจับเขาโยนลงทะเลให้ปลากินก็พอแล้ว จะได้ไม่เปลืองสายตา”


            “ครับผม รับทราบครับกัปตัน” หลานฉือเซวียนเงียบไปสักพัก “เธอ ไม่โกรธเขาแล้วเหรอ?”


            เดิมทีอี้เป่ยซีที่พยายามข่มความโกรธของตัวเองไว้ตลอดเวลา พอได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่โกรธอะไร ก็บอกให้นายโยนเขาให้ปลาในทะเลกินไม่ใช่เหรอ นี่เรียกว่าไม่โกรธเหรอ?” หลานฉือเซวียนได้แต่หัวเราะพร้อมมองเธอ อี้เป่ยซีเผชิญกับรอยยิ้มของเขาเป็นเวลานานรู้สึกขนลุกในใจ หดๆ คอ


            “แค่ก กลับเถอะๆ ที่ตรงนี้มันน่าโมโหเกินไปแล้ว” เธอลุกขึ้นทันทีโดยไม่รีรอ เห็นว่ามีภาพสเก็ตช์วางอยู่บนโต๊ะหิน ดวงตาอดไม่ได้ที่จะโค้งงอ รีบเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมา


            “ฝีมือไม่เลวเลย” ส่ายหน้าแต่กลับเก็บมันไว้อย่างดีมาก “นายไม่ไป จะอยู่นี่เลี้ยงยุงหรือไง?”


            หลานซือเซวียนยักไหล่เดินตามไป แก้มของอี้เป่ยซีบวมปูด ราวกับลูกโป่งที่อัดแก๊สจนเต็มและพร้อมที่จะระเบิดตลอดเวลา เสียงที่ดังมากนั้นกลับไม่มีอันตรายใดๆ


            เมื่อกลับถึงบ้าน อี้เป่ยซีเข้าห้องไปอย่างว่องไวท่ามกลางสายตาของทั้งสองคน จนกระทั่งเซี่ยเช่อไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง จึงเห็นเธอพอออกพอใจกับภาพสเก็ตช์นั้นตามลำพัง แววตาสดใสชัดเจน


            “ปลงได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?” เซี่ยเช่อปิดประตูอย่างงงงวย ก่อนหน้านี้ยังเป็นผู้หญิงดุดันที่เกลียดชังจนแทบทนไม่ไหวไม่ใช่เหรอ ทำไมเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็เปลี่ยนไปร้อยแปดสิบองศาแบบนี้


            “เอ๊ะ” หลานฉือเซวียนมีท่าทีประหลาดใจมาก “ฉันนึกว่านายเป็นคนบอกเขาซะอีก”


            “ฉันจะบอกเขาได้ยังไง! ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมาเธอจะปรี๊ดแตกหรือเปล่า”


            “งั้น ลุงนายไปอยู่กับเขาได้ยังไง?”


            “โถ่เอ๊ย” เซี่ยเช่อทนไม่ไหวทุบกำแพง “ฉันลืมไป นั่นคือปู่ของเขา”


            คราวนี้ถึงตาหลานฉือเซวียนทุบกำแพงบ้าง “ปู่เขาไม่ได้อยู่ที่ประเทศ U เหรอ?”


            “คุณย่าของเขาอยู่ที่ประเทศ C นี่นา ครั้งนี้ช่างเถอะ คุณลุงก็รู้แล้ว คุณลุงมีท่าทียังไงกับเป่ยซีบ้าง?” เซี่ยเช่อต้องยอมรับว่าเขาระมัดระวังในการพูดประโยคนี้มาก หัวใจของเขาตุ้มๆ ต่อมๆ ชายแก่คนนั้นดูเป็นคนใจดี แต่เมื่อคิดๆ เรื่องที่เขาทำแล้วก็รู้สึกกลัว


            หลานฉือเซวียนก็แสดงท่าทีเคร่งขรึม หวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างละเอียด “อืม น่าจะโอเคนะ แต่ไม่ค่อยพอใจลั่วจื่อหานเท่าไร”


            เซี่ยเช่อกระพริบตาจึงถอนหายใจโล่งอก ดีแล้ว รุ่นคุณปู่ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่ไม่รู้ว่ารุ่นคุณพ่อจะเป็นอย่างไรบ้าง ในสายตาของเขา คนบ้านลั่วเป็นพวกมากเรื่องยากที่จะจัดการ โดยเฉพาะลั่วจื่อหาน


            “พวกเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้แล้ว” หลานฉือเซวียนมองดูประตูที่ปิดสนิทข้ามไหล่เซี่ยเช่อ ราวกับว่าทันทีที่เปิดออกก็จะมองเห็นทางสว่าง


            “ใช่แล้ว” เซี่ยเช่อพยักหน้า “ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของพวกเราสองคนแล้ว” เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เข้าใกล้หน้าอกของหลานฉือเซวียน


            “พวกเรา? มีเรื่องอะไรเหรอ?” เซี่ยเช่อได้ยินแบบนี้ก็ขมวดคิ้วไม่พอใจ เผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ชั่วร้าย ระคนความพินิจพิเคราะห์เล็กน้อย หลานฉือเซวียนกุมขมับ ‘ทำไมรอบตัวเขาถึงมีแต่เด็กน้อยกันนะ’


        “ไปคุยที่ห้อง”


————


บทที่ 129 วิกฤตโรงแรม (3)


             เข็มสั้นและเข็มยาวมาบรรจบกันก่อนเลขสิบเอ็ด อี้เป่ยซีบริหารไหล่ของเธอ เห็นเวลาบนนาฬิกาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ชื่นชมตัวเองอย่างจริงจังทันใดกับการจมอยู่ในโลกส่วนตัวจนลืมทุกอย่างแบบนี้


            ชงชาเสร็จแล้วก็เดินถือออกไปที่ระเบียง สายลมยามราตรีเย็นสบายมาก น่ารื่นรมย์จนชวนให้ยิ้ม เธอเกาะอยู่ที่ราว ทันใดนั้นก็นึกถึงชายหญิงในซีรี่ย์เรื่องหนึ่ง ค่ำคืนนั้นก็คงน่าพอใจแบบนี้เหมือนกัน ดวงจันทร์กลมโตและอ่อนโยน นางเอกที่จมอยู่ในความคิดพิงอยู่ที่ระเบียงของตัวเอง และเห็นคนที่ตัวเองชอบยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์อย่างเหนือความคาดหมาย


            ช่างเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกิน อี้เป่ยซีจิบชา ป่ากลายเป็นส่วนใหญ่ของภาพที่มืดมนในเวลากลางคืน ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ในนั้น


            สิ่งที่รั้งพวกเขาไว้คือครอบครัวและเวลา แล้วสิ่งที่รั้งเธอไว้ล่ะ


            ลั่วจื่อหานไง! เธอหาเหตุผลให้ตัวเองทั้งโกรธทั้งมีความสุข มือตบอยู่บนราว


            มันเทียบกันไม่ได้ ทำไมพระเอกถึงร้องเพลงรักอยู่ข้างล่างโดยที่ไม่กลัวอะไรเลย แต่กลับไม่มีแม้เงาของลั่วจื่อหาน


            สมน้ำหน้าแล้วที่นายเป็นโสด


            ดื่มชาอีกคำอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะไอสำลัก


            “ลั่วจื่อหาน นาย เฮ้อ ยอมแพ้ทั้งๆ แบบนี้เหรอ? ไม่มีความพยายามเอาซะเลย” เธอพิงอยู่ที่ราว เงยหน้าขึ้นทองดูดวงดาวเต็มท้องฟ้า มันกระพริบใส่เธออย่างสนุกสนาน


            วันนี้เหมือนกับว่าอารมณ์ไม่เลวนะ เธอรู้สึกได้ว่าผมถูกลมพัดและสัมผัสกับใบหน้าแผ่วเบา ชายกระโปรงก็พริ้วไหวเล็กน้อย เต้นรำอยู่บนน่อง เธอหลับตาลงช้าๆ สูดหายใจลึกเพื่อรับรู้ถึงความเงียบสงบยามราตรี


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ความง่วงค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมอง อี้เป่ยซีกลับหลังหันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สบสายตากับคนที่อยู่ข้างล่างพอดี ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ใกล้กันมาก แต่ว่าอี้เป่ยซีมั่นใจมากว่าตัวเองเห็นความคิดถึงอันบ้าคลั่งภายใต้ดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้น


            ทั้งสองคนสบตากันอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครพูดอะไร และไม่มีใครอยากจากไปไหน โครงร่างที่คุ้นเคยอยู่แล้วยิ่งสลักชัดเจนอยู่ในดวงตาของทั้งสองฝ่าย พื้นหลังสะอาดและแจ่มชัด


            อี้เป่ยซียิ้มพร้อมวางศอกลงบนราว เท้าคางมองผู้ชายคนนั้นอย่างสนอกสนใจ หยิบโทรศัพท์มือถือบนตัวขึ้นมาโทรหาเขา ลั่วจื่อหานแปลกใจในตอนแรก รับสายด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อย เขาราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง


            “ฮ่าๆ” อี้เป่ยซีดูเหมือนอารมณ์ดีมาก ดวงตาโก่งงอเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าในตอนนี้ “ประธานลั่วนี่น่าสนใจจริงๆ”


            ลั่วจื่อหานเม้มปาก ฟังเสียงของเธอ


            “ดึกแล้วไม่ไปอยู่กับคุณหนูหวังคนนั้นกับน้องสาวของนายเหรอ?”


            “เป่ยซี”


            “ฉันนึกว่าคุณลั่วจะพูดไม่เป็นแล้วซะอีก อยากพูดอะไร ฉันฟังอยู่”


            เสียงหายใจเบาๆ ของเธอดังมาจากโทรศัพท์ สายลมพัดผ่าน ทันใดนั้นลั่วจื่อหานรู้สึกว่าอี้เป่ยซีกำลังนั่งหายใจอยู่ข้างเขาจริงๆ ด้วยท่าทางเกี่ยงงอน ขมวดคิ้วรอคำอธิบายจากเขาเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ว่าเขากลับไม่ได้พูดอะไรเลย ได้แต่ฟังเสียงลมหายใจของเธอ


            “ทำไมถึงไม่พูดอีกแล้วล่ะ?”


            “ถ้า เธอไม่อยากเจอฉัน ฉันจะไปก็ได้ รับรองว่าจะไม่โผล่มาอีก” เสียงที่ไม่ได้พูดออกไปนั้น ลั่วจื่อหานเองก็ไม่รู้ จู่ๆ ความโมโหของอี้เป่ยซีก็แล่นขึ้นสมองอีกครั้ง เธอพูดอย่างเย็นชา


            “มาเพียงเพื่ออวดความรักครั้งใหม่ใช่ไหม ประธานลั่วนี่สุดยอดจริงๆ ข้าน้อยอี้ขอชื่นชม”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะขมขื่น รู้สึกไม่ค่อยอยากวางสาย เอามือใส่ในกระเป๋า หันหลังไปอย่างอ้างว้างเล็กน้อย ได้ยินผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังตะโกนอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์


            “ลั่วจื่อหานถ้านายกล้าไปล่ะก็ ต่อไปก็อย่าคิดจะเจอหน้าฉันอีก” เธอเบิกตากว้าง ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย สองมือจับราวแน่น หน้าอกก็กระเพื่อมด้วยความโกรธ เธอกดโทรออกอีกรอบ


            “ฉันโกรธไม่ได้หรือไง ถ้านายทนเรื่องขี้น้อยใจข้อนี้ไม่ได้ล่ะก็ต่อไปจะทำยังไง? ฉันไม่ได้ให้นายไปคืนดีกับคุณหนูหวังสักหน่อย นายเก่งเหลือเกินนะ แค่สะบัดหน้าก็ไปแล้ว ขอร้องล่ะ ตกลงว่าใครทำผิดกันแน่ ทำไมทำเหมือนกับว่าฉันบังคับนายยังงั้นแหละ”


            “ถ้านายยังกล้าเดินไปอีกก้าวล่ะก็ ฉันจะหลบหน้านายตลอดไปจริงๆ นะ”


            “หา นายเป็นคนผู้ชายที่ระวังตัวจริงๆ ฉันจะ…” อี้เป่ยซีพูดพล่ามอีกชุดใหญ่ มือของลั่วจื่อหานกำโทรศัพท์มือถือแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในสมองทบทวนคำว่า ‘ต่อไปจะทำยังไง’ ที่เธอพูดเมื่อครู่อยู่ตลอดเวลา


            ‘เขากับเธอยังมีอนาคตงั้นเหรอ?’ เมื่อคิดถึงตรงนี้หมอกควันที่มีอยู่ตลอดเวลาก็จางหายไป แววตาเปี่ยมด้วยความรัก


            “ทำไมนายถึงไม่พูดอะไร?” อี้เป่ยซีพูดจนคอแห้งเล็กน้อยแล้ว แต่ว่าคนอีกฟากไม่พูดอะไรเลยสักคำ เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


            “ทนสักหน่อยต่อไปจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข”


            อี้เป่ยซีคิดไม่ถึงว่าเขาจะตอกกลับด้วยคำพูดของเธอเอง ไม่รู้ว่าต้องพูดต่ออย่างไรไปชั่วขณะ ใบหน้าแดงก่ำ “หน้าไม่อาย ใครจะไปต่อกับนาย นายอยากไปหาใครก็ไปหาสิ”


            “เมื่อกี้มีคนบอกว่าถ้าฉันไปแล้วก็จะไม่เจอฉันอีกไม่ใช่เหรอ?”


            “นาย…” เธอเงยหน้ามองแสงจันทร์ ยิ้ม “ใช่แล้ว ฉันพูดเอง แล้วไงเหรอ”


            ลั่วจื่อหานก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะยอมรับตรงๆ แบบนี้ มองเธอที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าเงียบๆ โพล่งออกมา “เป่ยซี ฉันอยากกอดเธอจังเลย”


            ครั้งนี้ถึงตาอี้เป่ยซีมีความสุขบ้าง เธอหัวเราะนิดหน่อยแล้วก็เก็บอาการ “แค่ก ไม่ได้ เมื่อกี้ใครจะมาล่ะ?” พูดจบคนคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก โทรศัพท์มือถือยังอยู่ข้างหู ในสายตามีเพียงอีกฝ่าย


            ‘ลั่วจื่อหานนายรู้หรือเปล่า ฉันก็อยากกอดนายเหมือนกัน’


            “ดึกมากแล้ว นายกลับไปเถอะ ฉันต้องพักผ่อนแล้ว”


            ผ่านไปเนิ่นนานทางนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง ลั่วจื่อหานตอบว่าโอเคแผ่วเบา อี้เป่ยซียิ้มอย่างลึกลับแล้ววางสาย มองดูลั่วจื่อหานเหมือนกับอยากให้เขาอยู่ต่อ เมื่อเห็นว่าเขาก็ไม่มีความต้องการที่จากไป ทั้งสองคนก็สบตากันอีกพักใหญ่ และเห็นว่าลั่วจื่อหานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้ง


            “อาลัยอาวรณ์ฉันเหรอ?”


            “ฉันรอเธอเข้าไป”


            “ฉันยังอยากดูนายจากไปนี่นา” อี้เป่ยซีหัวเราะ “น่าเสียดายจริงๆ ฉันไม่มีกุญแจ นายขึ้นมาไม่ได้ งั้นฉันก็จะใจกว้างหันหลังให้นายก็แล้วกัน” เธอหันหลังเข้าไปในห้อง แต่กลับมีเสียงสวบๆ ดังขึ้นมาจากอีกฝ่าย    “ฮัลโหล ลั่วจื่อหาน ฮัลโหล” เธอมองหน้าจอ เห็นภาพว่ากำลังเชื่อมต่อ แต่ว่ากลับไม่ได้ยินเสียงคนตอบรับ


            “ลั่วจื่อหาน ถ้านายไม่พูดอีกฉันจะโมโหแล้วนะ”


            “โมโหง่ายจริงๆ เลย” อี้เป่ยซีกระพริบตา ทำไมถึงรู้สึกว่ามีสองเสียงล่ะ ไม่ทันรอให้เธอตอบสนอง เธอก็เข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นที่ระคนกลิ่นหอมสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์ของคืนแห่งฤดูร้อนแล้ว


            เธอดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดของลั่วจื่อหาน “ฉันยังโกรธอยู่นะ อย่าทำอะไรส่งเดช”


            ‘ใครให้นายปีนขึ้นมานะ สูงขนาดนี้เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุหรอก โตป่านนี้แล้วทำอะไรไม่รู้จักแยกแยะหรือไง’ อี้เป่ยซียิ่งคิดยิ่งโมโห


            “ลั่ว…หา นายจะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันลงนะ” ลั่วจื่อหานช้อนอุ้มเธอขึ้นมา เมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักของเธอ ขมวดคิ้ว


            “กินข้าวไม่อิ่มเหรอ?”


            “ฉันชอบผอมๆ ไม่ได้หรือไง นายจะทำอะไร?”


        เขาหัวเราะเสียงต่ำ “จะนอน”


————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม