Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 116-122
บทที่ 116 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (8)
อี้เป่ยซีพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ไม่มีความรู้สึกง่วงเลย เธอเปิดเครื่องปรับอากาศ ปรับอุณหภูมิต่ำสุด นั่งอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มพันรอบตัวเอง หันหน้าไปทางหน้าต่าง
‘แสงแรกของวันใหม่ที่นายเคยพูดถึงก่อนหน้านี้มันมีจริงเหรอ? หรือว่านายเป็นเพียงแค่ เครื่องจับเวลาโบราณที่ส่งเสียงยามค่ำคืน ลั่วจื่อหานเอ๊ย ลั่วจื่อหาน ตกลงว่ามันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้กันแน่’
ลั่วจื่อหานกลับมาที่ออฟฟิศก็เริ่มทำงานไม่หยุด นวดคลึงขมับ ราวกับว่ามีบางอย่างรบกวนจิตใจ เขายกหูโทรศัพท์ “เรื่องที่คุยก่อนหน้านี้ เลื่อนการเตรียมการออกไปก่อนเถอะ”
“ครับประธานลั่ว”
เขาพิงเก้าอี้ หมุนเอียงเก้าอี้เล็กน้อย มองไปยังหน้าต่าง
‘เป่ยซี อี้เป่ยซี ฉู่เซี่ย เซี่ยเซี่ย’ เขายิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็ขลุกอยู่กับเอกสารบนโต๊ะต่อ
โทรศัพท์ข้างๆ ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ลั่วจื่อหานกดๆ คิ้ว “ฮัลโหล แม่”
“วันนี้วันเกิดน้องสาวลูก ลูกไม่คิดจะกลับบ้านหรือไง”
“แม่ งานที่บริษัทยังจัดการไม่เสร็จเลย เดี๋ยวผมก็จะกลับแล้ว”
“จื่อหาน ลูกลืมไปเหรอ จื่อเซี่ยน่ะเป็น…”
“แม่ ผมรู้แล้ว”
“ลูกสนิทกับอี้เป่ยซีมากเหรอ?”
ลั่วจื่อหานปิดฝาปากกา “จื่อเซี่ยบอกเหรอ”
“ลูกกำลังทำอะไรแม่ของลูกคนนี้ก็ถามไม่ได้งั้นเหรอ? อี้เป่ยซีเคยเป็นคู่หมั้นของลู่เยี่ยหวาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่กับลูกได้ล่ะ ลูกกำลังทำอะไรอยู่ อยากช่วยบ้านลู่แก้แค้นเหรอไง?”
“เรื่องของผม แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ลูกก็ยี่สิบแปดแล้ว ไม่ให้แม่ห่วงได้ยังไง?”
เขาถอนหายใจ “ยี่สิบแปดก็จะไม่เกี่ยวอะไรกับจื่อเซี่ย แม่ครับ ไว้ผมจะพาเขาไปเจอแม่”
“ถ้าหากเป็นอี้เป่ยซีล่ะก็ ลูกตัดใจซะเถอะ ผู้หญิงประเภทนี้ พวกเราบ้านลั่วรับไม่ได้ ลูกรีบกลับบ้านมาเดี๋ยวนี้”
“ครับๆๆ รู้แล้ว สองทุ่มผมก็กลับไปแล้ว เดี๋ยวยังมีประชุมอีก” พูดจบวางสายทันที ความสัมพันธ์ของแม่สามีดูเหมือนจะขัดแย้งกันซะแล้ว
อี้เป่ยซีไม่ได้โทรหาลั่วจื่อหานติดต่อกันหลายวัน และพยายามไม่ให้ตัวเองไปคิดเรื่องพวกนี้ ว่างๆ ก็ออกไปเดินเล่น ดูโน่นนี่นั่นกับคุณแม่อี้ วันเวลาไร้สาระที่คุยเล่นหยอกล้อกันก็ไหลผ่านไปราวกับสายน้ำ
เธอนอนอยู่บนเตียง จู่ๆ รู้สึกเหมือนว่าช่วงนี้ละเลยอะไรบางอย่างไป แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ‘ละทิ้งอะไรไปกันแน่นะ’ จนกระทั่งเมื่อฉู่ซ่งโทรมาหา ตำหนิติเตียนเธอด้วยเสียงสะอื้น ราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กที่น่าสงสารที่สุด และเธอก็เป็นพ่อแม่ที่ใจร้ายใจดำที่สุด
“ฉันบอกกับนายแล้วว่าออกไปไม่ได้ ออกไปไม่ได้ อัยยา นายหยุดแกล้งร้องไห้ได้แล้ว”
“ฉันอยู่ข้างล่างบ้านเธอ”
“นาย นายมาทำอะไร ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ…ฮัลโหล ฉู่ซ่ง นาย…” เธอมองโทรศัพท์มือถืออย่างเหลือเชื่อ “นี่มันอะไรกัน ทำไมพวกนายถึงก่อเรื่องให้ฉันอยู่เรื่อยเลยนะ” เธอโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียง รีบวิ่งลงไป ฉู่ซ่งนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกแล้ว ยิ้มให้เธอ รับน้ำที่คุณแม่อี้ส่งมาให้
“คุณแม่อี้” เธอไม่อยากจะเชื่อภาพของความสามัคคีกลมเกลียวกันตรงหน้า “ฉู่ซ่ง”
“เป่ยซี พวกเธอคุยกันก่อน แม่จะไปเก็บของ ฉู่ซ่ง จะอยู่กินข้าวด้วยกันไหม?”
“ขอบคุณครับคุณน้า คุณน้าใจดีจังเลย”
“เฮ้อ โอเคๆๆ” พูดพลางก็หัวเราะแล้วออกจากห้องรับแขกไป อี้เป่ยซีเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้างงงวย
“นายไปทำอะไรไว้? สาริกาลิ้นทอง?”
เขาส่ายหน้า “ใช้สมองต่างหาก ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนกับอี้เป่ยเฉินสักหน่อย คิดว่าทุกคนคือศัตรู คุณน้าอี้ยังค่อยมีเหตุผลหน่อย”
“นายพอใจแล้วสิ กินเสร็จก็รีบกลับไปได้แล้ว อย่ามาก่อเรื่องอีก”
“ฉู่เซี่ย เธอไม่รู้เหรอ ที่จริงพวกเขาชอบฉันมากนะ”
เธอมองค้อนฉู่ซ่ง “นายเอาความมั่นใจมาจากไหน”
“ก็มั่นใจแบบนี้แหละ ความมั่นใจมันมาจากไอคิวของฉัน เธอไม่มีเจ้าสิ่งนี้” เขาดื่มน้ำ วางแก้วลงบนโต๊ะ “ต้นไม้เหล็กก็ออกดอกได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างฉันนี่แหละที่จะช่วยต้นไม้เหล็กของเธอได้”
“หมายความว่ายังไง?”
“ฉันกับอี้เป่ยเฉินทำโครงการร่วมกัน เขาทำดีกับเธอ เธอมองไม่ออกเหรอ? ครั้งนี้เขาก็เป็นคนแอบชวนฉันมา”
“หืม?”
ฉู่ซ่งส่ายหน้า “เดิมทีฉันไม่อยากบอกเธอหรอก เพราะแบบนี้เธอจะได้ไม่ต้องลำบากใจกับระยะห่างของคนสองคน แต่ฉันรู้สึกว่าไม่พูดไม่ได้ พวกเขาทำอะไรไว้ เธอก็ควรจะรู้ แบบนี้จะได้ยุติธรรมถูกไหม?”
อี้เป่ยซีหยุดมองหน้าของเขา ในสมองสับสน “จริงเหรอ?”
“ใช่สิ ยังมีอีกนะ” เขาลังเลอย่างเห็นได้ชัด “แม่ป่วยน่ะ เธอมีเวลากลับไปหรือเปล่า?”
“เขา เรียกให้ฉันกลับไป?”
ฉู่ซ่งกระแอมไอ “ใช่ ใช่สิ เขาให้เธอกลับไป ที่จริง แม่กับพ่อคิดถึงเธอมากนะ”
ดวงตาของอี้เป่ยซีเป็นประกาย กุมมือของเขาด้วยความตื้นตัน “จริง จริงเหรอ?”
“อือ จริงสิ เธอ กลับไปได้ไหม?”
“ได้สิ ได้สิได้อยู่แล้ว ฉันจะจากไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้เอาอะไรไปด้วย ไม่มีใครรู้หรอก ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
ฉู่ซ่งหัวเราะแห้งๆ “แบบนี้จะดีเหรอ?”
“อืม ก็บอกว่าฉันออกไปเที่ยว ไม่เป็นไรหรอก”
เขาพยักหน้า แอบกัดฟัน ลั่วจื่อหานเข้าใจเธอดีจริงๆ แต่ว่า ถ้าหากเธอไม่ได้เห็นภาพการพบหน้ากันอีกครั้งแบบที่เธอตั้งตาคอย แน่นอนว่าจะต้องผิดหวังมากสินะ
‘คิดถึงเธอไหม? พวกเขาจะคิดถึงเธอหรือเปล่า ต่อให้คิดถึงเธอมากแล้วอยากเจอเธอหรือเปล่า’ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ
‘ช่างเถอะ วันนี้กลับไปถามก็แล้วกัน แม้ว่าไม่อยากเจอ ก็เสแสร้งสักนิดก็ได้’
‘รู้งี้ไม่รับปากลั่วจื่อหานหรอก’ เขาถอนหายใจ
“นายไม่ดีใจที่ฉันกลับไปเหรอ?”
“เปล่า จะเป็นไปได้ยังไง ฉันแค่กำลังคิดว่า กลับบ้านทางไหนจะเร็วกว่ากัน”
“ตอนนี้ฉันอยากเก็บของจนแทบทนไม่ไหวแล้ว” ดีใจจนเหมือนกับจะกระโดดโลดเต้น
อี้เป่ยเฉินเข้ามาเห็นอี้เป่ยซียิ้มสดใส อารมณ์ก็ดีขึ้นมามาก เดินเข้าไปหา “คุยอะไรกันดีใจขนาดนี้”
“พี่คะ ขอบคุณมาก” อี้เป่ยซีเดินเข้าไปกอดเขา สูดหายใจลึก “ขอบคุณพี่มากจริงๆ”
เขาเป็นเหมือนทุกครั้ง ลูบหัวของเธออย่างเอ็นดู “เด็กโง่”
“โดนพี่หลอกซะแล้ว”
ฉู่ซ่งเห็นท่าทางของสองคนที่คลอเคลียกัน มุมปากก็ยกยิ้ม ได้ยินเสียงของอี้เป่ยซี เขารู้ว่าตอนนี้เธอรู้ทางเลือกของตัวเองอย่างชัดเจน ชัดเจนกว่าในจินตนาการของตัวเองเสียอีก
‘ลั่วจื่อหานก็ควรขอบคุณเขา’ ฉู่ซ่งคิดในใจ เห็นทั้งสองคนกอดกันเนิ่นนาน ไอเบาๆ “ประธานอี้”
อี้เป่ยซีปล่อยมือแล้วเดินไปอีกทาง รินน้ำชาให้อี้เป่ยเฉินแก้วหนึ่ง ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาด้วยกัน ไม่ทันรู้ตัวก็พูดคุยกันเป็นชั่วโมงแล้ว อี้เป่ยซีพิงพนัก ฟังฉู่ซ่งกับอี้เป่ยเฉินแซวเรื่องเธอตอนเด็กๆ อย่างอารมณ์ดีเป็นที่สุด
“จะมากเกินไปแล้ว หยุดพูดได้แล้ว”
“ยังมีที่ฉันไม่ได้เล่าอีกนะ”
“สมองเท่าเมล็ดถั่วอย่างนายจะจำได้แค่ไหนเชียว ฉันยังไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย”
“แกล้งล่ะสิ”
————
บทที่ 117 กลับมาอีกครั้ง (1)
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ อี้เป่ยซีตัดสินใจไปสัมผัสประสบการณ์ชีวิตด้วยกันกับเซี่ยเช่อ กลับไปที่เมือง B เงียบๆ รถวิ่งอยู่บนทางด่วนโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง อี้เป่ยซีมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร
“เซี่ยเช่อ นายว่าพวกเขาจะจำฉันได้ไหม?”
“เธอก็ไม่ได้ศัลยกรรมนี่”
“แต่ว่าก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว? พวกเขาจะลืมฉันแล้วหรือเปล่า อีกอย่าง ฉันก็โตป่านนี้แล้ว ก็ต้องไม่เหมือนตอนเล็กๆ อยู่แล้ว”
เซี่ยเช่อโยนกระดาษทิชชู่ไปด้านหลัง “เช็ดเหงื่อในมือเธอหน่อยเถอะ”
“นายรู้ด้วยเหรอ?” อี้เป่ยซีคว้ากระดาษทิชชู่ “ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เปลี่ยนไปแค่ไหน ตอนเด็กๆ พ่อหล่อมากเลย แม่ก็สวยมากด้วย เฮ้อ เมื่อไรจะถึงกันแน่นะ”
“ใกล้แล้วๆ ลงทางด่วนก็จะถึงแล้ว”
อี้เป่ยซีพยักหน้า เสียงหัวใจเต้นกลายเป็นเสียงคำราม เธอดื่มน้ำ ใส่หูฟัง พิงพักผ่อนอยู่ข้างหน้าต่าง
ใกล้จะได้เจอจริงๆ แล้ว เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
“พวกเราถึงเขตเมืองแล้วยัง?” อี้เป่ยซีมองดูถนนที่คึกคัก กระพริบตาแรงๆ ทั้งรู้สึกหนักอึ้งทั้งผ่อนคลาย “ทำไมถึงเร็วจังเลย พวก พวกเราค่อยไปบ้านฉู่ซ่งพรุ่งนี้เถอะ ฉันรู้สึกว่าวันนี้มันกะทันหันไปหน่อย”
“ไม่ได้กลับบ้านนานเลยตื่นเต้นเหรอ?”
“เปล่า ฉันก็แค่รู้สึกว่า ไม่เจอหน้ากันนาน ส่วนฉันก็จืดชืดแบบนี้ ไม่ดีหรอก ไม่ดีหรอก”
เซี่ยเช่อหันมา “ปกติไม่เห็นเธอใส่ใจแบบนี้ วางใจเถอะ ฉู่ซ่งบอกกับพวกเขาแล้ว ถึงเธอจะขี้เหร่ขนาดนี้ พวกเขาก็ไม่ถือสาหรอก”
อี้เป่ยซีไม่มีกะใจล้อเล่นกับเขา ได้แต่มองค้อน ในใจยังคงรู้สึกอึดอัด เซี่ยเช่อกลับเอ่ย “ตอนนี้ฉันชักจะเข้าใจความรู้สึกของอี้เป่ยเฉินแล้ว เธออย่าลืมซะล่ะ”
เธออึ้งไป พยักหน้า กำลังนึกถึงเวลาที่ได้เจอหน้ากันอีกครั้ง เซี่ยเช่อจอดรถอยู่ในย่านที่พักอาศัยธรรมดาแห่งหนึ่ง “ถึงแล้ว”
“ถึงเร็วจังเลย?”
“นี่ เธอดูสิฉู่ซ่งอยู่ข้างหน้าด้วย”
อี้เป่ยซีกอดกระเป๋าของตัวเอง สูดหายใจลึก เดินลงจากรถ ฉู่ซ่งรีบเดินเข้ามาหาเธอ รับกระเป๋าเดินทางมา “แค่นี้เองเหรอ?” คิ้วผูกกันแน่นมาก “เธอไม่คิดจะ…”
“ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีรีบตัดบทเขา “ทำกับข้าวแล้วยัง ฉันหิวมากเลย”
“ทำแล้ว กลับบ้านกัน ฉู่เซี่ย”
ฉู่ซ่งยื่นมือออกมา อี้เป่ยซีจ้องมือคู่นั้นครู่หนึ่ง ส่งกระเป๋าให้เขา ยิ้มทะลึ่งตึงตัง หันหลังเดินไปหาเซี่ยเช่อ “ขอบคุณน้า”
“ไว้ฉันจะมารับเธอกลับ ช่วงนี้ไม่ต้องหาฉันนะ ฉันก็มีธุระนิดหน่อย”
“อ๊ะ รู้แล้วๆ ว่านายยุ่ง”
เซี่ยเช่อดีดหน้าผากของเธอ ขับรถจากไป อี้เป่ยซีจึงเดินเคียงข้างฉู่ซ่งเข้าไปในย่านที่พักอาศัยแล้ว
“เอ่อ…แม่ ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า?”
เหมือนกับว่าฉู่ซ่งเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ “อ๋อ แม่เหรอ เขา เขารู้ว่าเธอจะมาก็เลยหายป่วยแล้ว จริงๆ นะ ตอนนี้รอเธออยู่ในบ้านกับพ่อน่ะ”
“อ่อ อย่างนั้นหรอกเหรอ” ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเกรงใจ ยืนอยู่ข้างหลังของฉู่ซ่ง เดินเข้าไปในบ้านด้วยความลังเลและเขินอายเล็กน้อย การตกแต่งบ้านธรรมดามาก รูปถ่ายขนาดใหญ่ที่อยู่ในห้องรับแขกดูเหมือนจะเกะกะเล็กน้อยแต่สะอาดตา เหมือนกับเพิ่งทำความสะอาดไปหยกๆ แม้แต่ให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง
“เซี่ยเซี่ย” เสียงของผู้หญิงมีความตื้นตัน มองใบหน้าของเธอด้วยดวงตาที่พร่ามัวระคนความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า ต้องการจะเข้าใกล้แต่กลับเข้าใกล้เธอไม่ได้
อี้เป่ยซีมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า กาลเวลาไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ เลย สีหน้าร่วงโรยอย่างเห็นได้ชัด บนหน้าผากและหางตาล้วนมีรอยเหี่ยวย่น ใบหน้ายังคงเป็นรูปไข่สวยงามแต่เค้าโครงกลับหย่อนยานเล็กน้อย หลังจากนั้นชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมาข้างเธอ ทั้งสองคนแก่ลงกว่าในความทรงจำเยอะมากๆ
ทั้งสามคนยืนเหม่อและรักษาระยะห่าง ไม่มีใครเดินไปข้างหน้า ทุกคนต่างรู้ว่าแม้จะเดินเข้าไปใกล้ก็จะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดไร้คำพูด
“พ่อแม่ กินข้าวก่อนเถอะ ฉู่เซี่ยนั่งรถมาตั้งนานคงหิวแล้ว” การเอ่ยปากของฉู่ซ่งทำให้เกิดช่องว่างเล็กๆ ในความชะงักงันนั้น พวกเขาจึงต่างรู้สึกตัว คุณแม่ฉู่รีบเรียกให้ทั้งสามคนไปกินข้าว
อี้เป่ยซียิ้มด้วยความสงบเสงี่ยม ทุกอิริยาบทนั้นเปี่ยมด้วยความเป็นกุลสตรี หลังกินข้าวเสร็จฉู่ซ่งพาเธอไปที่ห้องของเธอ การตกแต่งเป็นไปตามแบบที่เธอชอบ เพียงแต่มันกระจัดกระจายและไม่มีการออกแบบที่มีระเบียบ
ควานหาในกระเป๋า โยนเสื้อผ้าที่ซักสะอาดแล้วไปที่เตียง อี้เป่ยซีหมดแรงอย่างสมบูรณ์ เธอทิ้งตัวลงบนที่นอน พื้นเตียงที่มีความแข็งกดแผ่นหลังของเธอ
ไม่เห็นเหมือนกับที่เธอคิดไว้เลยสักนิด เธอจ้องมองเพดาน สิ่งที่เธอคิดอะไรงั้นเหรอ ก็คือพวกเขาเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น กอดเธอพร้อมร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวด พูดว่าพอจากกันแล้วก็คิดถึงอีกฝ่ายมากมายเหลือเกิน?
เธอคิดถึงมากหรือเปล่า? คิดถึงจนหลั่งน้ำตาหรือเปล่า?
หรืออาจจะเป็นแบบที่พวกเขามักพูดกันบ่อยๆ ว่าเธอเพียงแค่หมกมุ่นกับความรู้สึกคิดถึงพวกเขาที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ฉะนั้นจึงเสียใจเพราะว่าเธอเสียใจ คิดถึงก็เพราะว่าเธอคิดถึง
จนกระทั่งเมื่อได้เจอหน้ากันจริงๆ หากจะร้องไห้ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเหตุผลอื่นใดแต่เป็นเพราะเธอเข้าใจในจุดนี้แล้วจริงๆ เธอในตอนนี้รู้สึกอยากร้องไห้ซะเหลือเกิน แต่กลับรู้สึกเหมือนน้ำตาของตัวเองนั้นแห้งเหือด เธอรู้ดีว่าจะร้องอย่างไรก็ร้องไม่ออก
“ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งเคาะประตู ไม่ได้ยินเสียงตอบจากคนข้างในก็เคาะประตูอย่างร้อนรน “ฉู่เซี่ยเธออยู่ข้างในหรือเปล่า?”
“ฉันอยู่ มีอะไร?” เธอยกแขนบังดวงตา น้ำเสียงง่วงนอนมาก
“เธอหลับแล้วเหรอ? ฉันเข้าไปคุยกับเธอได้ไหม?”
“อย่าเลย พรุ่งนี้เถอะ นั่งรถมาตั้งนานหลับไม่สนิทเลย นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก” เสียงของเธอยิ่งเบาลงกว่าเดิมเพราะมีชั้นไม้กั้นกลาง ฉู่ซ่งตั้งใจฟังอย่างมาก จำเป็นต้องจัดระเบียบคำที่เขาได้ยินอย่างแผ่วเบาอีกครั้งจึงจะรู้ว่าเธอพูดอะไร
“ก็ได้ เธอพักผ่อนเยอะๆ”
อี้เป่ยซีชักมือออก มองไปยังห้องน้ำด้านข้าง คว้าเสื้อผ้าของตัวเอง พยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไป
เมื่อฉู่ซ่งกลับมาถึงห้องรับแขก สามีภรรยาบ้านฉู่สังเกตอาการเขาอยู่ตลอดเวลา มองเขากรอกน้ำตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก
“ต้องเย็นชาขนาดนี้ด้วยเหรอ?”
“ฉู่ซ่ง” คุณแม่ฉู่พูดอย่างจริงใจ “มันผ่านมานานเกินไปแล้ว นานเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ของพวกตั้งแต่แรก ต่อให้ยังรักก็ถูกเรื่องราวพวกนั้นทำลายไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตอนนี้เขาคืออี้เป่ยซี ประโยคนี้แม้จะไม่อยากจะยอมรับแต่มันก็ถูกตราบนหน้าอกของแม่กับแม่ของเธอแล้ว ไม่ใช่ว่าวันนี้เจอกัน อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วันแล้วจะเปลี่ยนแปลงได้”
“เขาไม่ใช่อี้เป่ยซี เขาก็คือฉู่เซี่ย ลูกสาวของพ่อกับแม่ พี่สาวของผมฉู่เซี่ย เหมือนเมื่อก่อน มันยากตรงไหน?”
“พวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว มันจะเหมือนเมื่อก่อนได้ยังไง”
ฉู่ซ่งต้องการพูดอะไรบางอย่าง ได้แต่บีบแก้วแน่นด้วยความโมโหและไร้เรี่ยวแรง ข้อมือเปลี่ยนเป็นสีขาวจางๆ ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจ ระคนด้วยรสชาติและสีแห่งความมืดมน
————
บทที่ 118 กลับมาอีกครั้ง (2)
อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนเร็วเกินไป อี้เป่ยซีตื่นเช้าเป็นพิเศษ ลืมตาดูพระอาทิตย์ขึ้น คอแห้งจนแทบทนไม่ได้ ค้นหาเครื่องดื่มในกระเป๋าแต่กลับไม่เหลือเลยสักขวด เพราะทนไม่ไหวจึงตัดสินใจไปหาน้ำดื่มในห้องรับแขก
เธอลุกขึ้นยืน รู้สึกเวียนหัว ยืนอยู่สักพักเมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงเปิดประตู เจอคุณแม่ฉู่ที่กำลังทำอาหารเช้าให้คนในบ้านพอดี
“ตื่นเช้าจังเลย?” เสียงของคุณแม่ฉู่ก็เจือปนความสะลึมสะลือเช่นกัน
“เปล่าค่ะ แค่กระหายน้ำ” ทันทีที่เธอเอ่ยปากก็พบว่าเสียงของตัวเองผิดปกติ เหมือนมันแยกออกจากกัน ไอสองสามทีแต่ก็ยังไม่หาย ทำอย่างไรก็รู้สึกอึดอัด
“มา ดื่มน้ำร้อนก่อน”
อี้เป่ยซีนวดคอพยักหน้า ดื่มน้ำแก้วหนึ่งช้าๆ ทดลองเสียงอีกรอบ แต่ก็ยังไม่มีประโยชน์ คุณแม่ฉู่เอาน้ำผึ้งให้อี้เป่ยซี ชุ่มคอมาก
“ตอนนี้ดีขึ้นบ้างไหม?” อี้เป่ยซีเงยหน้าด้วยความน่าสงสาร กระพริบตาถี่ คุณแม่ฉู่ยิ้มเอื้อมมือบีบหน้าของเธอ
“ยังบ๊องอยู่นิดหน่อย แต่ดีกว่าเมื่อก่อนมาก”
“อ๊า ทำยังไงดี เสียงเซ็กซี่ของฉันหายไปแล้ว” เธอนั่งอยู่บนโต๊ะ เบะปาก
“แบบนี้ยิ่งเซ็กซี่กว่า ดื่มน้ำผึ้งอีกไหม?”
อี้เป่ยซีส่ายหน้า “ช่างเถอะ ปล่อยแบบนี้แหละ จะทำข้าวเช้าเหรอคะ?”
คุณแม่ฉู่หยิบวัตถุดิบทั้งหมอออกมา ตอบว่าอือเบาๆ ทั้งสองคนหันหลังให้กัน เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง อี้เป่ยซีกรอกตาไปมาตลอดเวลา มองดูเวลาบนผนัง “เช้าจังเลย”
“ใช่แล้ว คุณพ่อทำงานเช้า”
“ตอนนี้เขา ทำอะไรเหรอคะ” อี้เป่ยซียังไม่สามารถพูดสองคำนั้นออกมาได้ ได้แต่ใช้คำว่า ‘เขา’ มาแทนที่ คุณแม่ฉู่ก็รู้สึกได้ ในใจเศร้าโศกแต่ยังทำทีเหมือนไม่ใส่ใจ
“ตอนนี้เป็นผู้อำนวยการเชิงปฏิบัติการในโรงงานเอกชนเล็กๆ อาศัยอายุการทำงานเลื่อนตำแหน่งน่ะ”
“อือ แบบนั้นก็ดีนะคะ”
คุณแม่ฉู่หันไปเห็นเงาของเธอที่กำลังปีนขึ้นไปบนโต๊ะ “อืม ก็ดีนะ แบบนี้ชีวิตสงบแล้วก็มั่นคงหน่อย”
อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไร ผ่านไปเนิ่นนานจึงรวบรวมความกล้า “แล้วคุณล่ะ ตอนนี้คุณเป็นแม่บ้านเหรอ?”
“ฉู่ซ่งอยากให้ฉันทำแบบนั้น แต่ว่าฉันอยู่นิ่งไม่ได้ ตอนนี้มีร้านอาหารเล็กๆ เป็นของตัวเอง ยังพอมีรายได้บ้าง”
“ตอนนี้ฉู่ซ่งเก่งแล้วคุณก็ไม่ต้องยุ่งแบบนี้แล้วล่ะ ก่อนหน้านี้พวกเราสองคนยังคุยกันอยู่เลย…” อี้เป่ยซีหยุดกะทันหัน แอบด่าความปากไวของตัวเอง คว้าแก้วดื่มน้ำไปเล็กน้อย
“เสียงเธอเป็นปกติแล้ว ยังเพราะเหมือนเดิมเลย”
“เอ๊ะ จริงด้วย แปลกจังเลย” เธอทดสอบเสียงนิดหน่อย ในที่สุดเส้นเสียงก็ค้นพบเส้นทางที่ถูกต้องและราบเรียบดังเช่นปกติ
อีเป่ยซีหันหลัง เห็นเธอกำลังง่วนอยู่หน้าโต๊ะด้วยลำตัวที่งุ้มงอ แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก
เธอจำได้ว่าเมื่อสมัยเธอเป็นเด็กชอบยืนอยู่ข้างแม่เวลาที่เธอทำกับข้าว ในตอนนั้นเธอยังสูงไม่ถึงต้นขาของแม่ด้วยซ้ำ และมักจะลากดึงเธอและดูเธอทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ คุณแม่ในตอนนั้นสวมเสื้อผ้าสีสว่าง ยังเป็นสาว ผิวพรรณละเอียดอ่อน ลำตัวก็ยังตั้งตรง
เธอยังยื่นมือออกมาลูบผมของตัวเองเป็นครั้งคราว จากนั้นผมสีดำสนิทก็จะเปื้อนน้ำล้างผักหรือไม่ก็จะมีผักใบเขียวเล็กๆ ติดมาด้วย คนทั้งบ้านต่างมองเธอแล้วพากันหัวเราะ
มันผ่านมาตั้งนานแล้ว สิบกว่าปีแล้วสินะ
ว่ากันว่าเมื่อแก่แล้วก็มักจะรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต เธอที่เป็นแบบนี้ก็คือแก่แล้วใช่ไหม?
“พวกคุณ สบายดีหรือเปล่า?”
เธอหยุดหั่นผัก หลังจากนั้นก็หั่นต่ออย่างชำนาญ “ไม่ได้สบายดีหรือไม่ดีหรอก ก็งั้นๆ แหละ”
“อ่อ” อี้เป่ยซีก้มหน้า แคะเล็บ
“เป่ยซี เมื่อก่อนลูกก็คงโทษพวกเราสินะ”
“ก็ไม่เชิงหรอก” เธอแคะเล็บต่อไป “หนูไม่รู้ว่าควรโทษใคร เรื่องนี้ก็บอกไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด อีกอย่าง หลายปีมานี้หนูสบายดีมาก”
“นั่นสิ ถ่วงลูกไว้ตั้งหลายปี ยังดีที่แค่ไม่กี่ปี”
อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าเธอควรปลอบประโลมเธออย่างไร ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าและบ้านอี้คือผู้เคราะห์ร้าย เพราะว่าเธอเสียใจ เพราะว่าเธออยู่ไม่ติดที่ เพราะว่าเธอแปลกแยกไม่ได้โดยสิ้นเชิง และเพราะว่าเธอ แม้แต่บ้านเกิดก็ยังกลับไม่ได้
เห็นแบบนี้แล้ว เธอที่ถูกมองว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายมาตลอดนั้นคือฆาตกรที่แท้จริงต่างหาก จู่ๆ ก็อยากหัวเราะ
“ฉู่เซี่ย ทำไมเธอตื่นเช้าจังเลย” ฉู่ซ่งใส่กางเกงตัวเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่าเดินเข้ามา คงตื่นเพราะความกระหายน้ำเช่นกัน คว้าน้ำแก้วหนึ่งแล้วกรอกเข้าปากอย่างรวดเร็ว สายตาของอี้เป่ยซีหยุดอยู่ที่ท่อนบนของเขา รีบเบือนหน้าไปทางอื่นทันที
“เธอดื่มช้าๆ หน่อยสิ” คุณแม่ฉู่เตือนสติด้วยความเหนื่อยหน่ายมาก ยังคงผัดกับข้าวอยู่
“ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งเดินอ้อมไปด้านหน้าเธอ อี้เป่ยซีทำตัวไม่ถูก ลุกขึ้นยืน
“ฉันจะกลับไปล้างหน้าล้างตา”
คุณแม่ฉู่ชำเลืองมองอาการของทั้งสองคน ตอบรับอย่างอารมณ์ดี อี้เป่ยซีรีบหนีไปทันที หลังจากปิดประตูแล้วจึงรู้สึกปลอดภัยพร้อมบอกตัวเองว่ารู้สึกเหนื่อยได้แล้ว ล้มตัวลงบนเตียง
‘เตียงหลังนี้แข็งมากจริงๆ’ เธอขมวดคิ้ว
“พวกแม่คุยอะไรกัน?” ฉู่ซ่งมีสีหน้าสงสัย มองไปยังทิศทางของห้องอี้เป่ยซี แล้วหันกลับมาหาแม่ของตัวเอง
คุณแม่ฉู่เข้าใจอย่างชัดเจน “ลูกก็ไม่รู้จักระวังเอาซะเลย เดินแก้ผ้าออกมาแบบนี้”
“ทำไมล่ะ ผมก็ใส่กางเกงอยู่นี่นา” เขาเข้าใจในทันที “ไม่หรอกมั้ง ใช่ว่าไม่เคยเห็น”
“ตอนนี้โตแล้ว แน่นอนว่าอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” คุณแม่ฉู่เคาะหัวของเขา “ไปใส่เสื้อให้ดี ระหว่างทางก็ปลุกพ่อลูกด้วย”
“แม่ เมื่อกี้พวกแม่คุยอะไรกัน?”
“ตอนนี้พวกเราคุยอะไรกันได้ไม่เท่าไร เขายังชอบกินเค้กอยู่ไหม เดี๋ยวแม่จะซื้อกลับมาฝาก”
ฉู่ซ่งส่ายหน้า ดูผิดหวังเล็กน้อย “ไม่ชอบแล้ว แม่เอามันฝรั่งทอดกลับมาฝากเขาก็ได้ เขาชอบกิน”
“มันฝรั่งทอด?”
“ใช่แล้ว เพราะว่ารักษาหุ่นจนไม่กล้าแตะต้อง ก็เลยรู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษ ซื้อมาสักหน่อยเถอะ” พูดจบฉู่ซ่งกลับหลังหันไปที่ห้องของพ่อแม่ตัวเอง แล้วกลับห้องของตัวเองเพื่ออาบน้ำ
เมื่อถึงเวลาทานอาหารเช้าก็ยังคงไม่เห็นเงาของอี้เป่ยซี ฉู่ซ่งอาสาเดินไปที่หน้าห้อง เคาะประตูอย่างใจเย็นมากแต่ไม่มีปฏิกิริยาจากคนในห้อง เขาบิดลูกบิดประตู พบว่ามันไม่ได้ล็อค ย่องเข้าไป
ใบหน้าของอี้เป่ยซีติดอยู่บนหมอนสูง ผ้าห่มถูกเธอทับไว้ อีกทั้งยังขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว
“ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ย…” อี้เป่ยซีไม่ได้นอนหลับลึก ลืมตาด้วยความสะลืมสะลือ
“ว่าไง?” ขนตาบนและล่างติดกันเล็กน้อย เธอยกมือขยี้
ฉู่ซ่งเห็นท่าทางของเธอก็อึ้งไปชั่วขณะ ดวงตาที่สดใสมีละอองน้ำ ท่าทางไร้เดียงสา ริมฝีปากสีชมพู…เขารีบละสายตาทันที “กินข้าวได้แล้ว”
“อ่อ โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
————
บทที่ 119 กลับมาอีกครั้ง (3)
“ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งตบไหล่ของอี้เป่ยซี เธอตกใจจนหดตัวไปด้านข้าง “เธอกำลังคิดอะไรอยู่ เหม่อลอยเชียว?”
“จู่ๆ โดนตบแบบนี้ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้น”
“อยากออกไปเดินเล่นหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีพิงอยู่ที่ราว มองดูแสงอาทิตย์ที่สดใสนอกหน้าต่าง ช่างเหมาะแก่การออกไปเดินเล่นจริงๆ เธอยิ้มน้อย ๆ สีหน้าซีดขาว “ไม่ค่อยมีอารมณ์ ไม่อยากไป”
ฉู่ซ่งยืนข้างเธอ เอียงศีรษะ “อารมณ์ ไม่ดีเหรอ?”
“ไม่รู้สิ สงสัยยังเหนื่อยจากการนั่งรถ”
“หรือว่ารู้สึกปรับตัวไม่ได้ ไม่เหมือนที่เธอคิดไว้?” ฉู่ซ่งถามอย่างระมัดระวัง ขนตาสั่นไหวเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น
อี้เป่ยซีเม้มปาก เหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์อยู่ เป็นเวลานาน จึงเอ่ยปากอย่างผ่อนคลาย “ก็ไม่นะ แบบนี้ก็ดี ปกติมาก”
ใช่ มันปกติ ความคิดของเธอต่างหากที่ไม่ปกติ อุปสรรคได้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เลือกทางเดินแล้ว สิ่งที่ตัวเองคิดล้วนห่างไกลจากความเป็นจริง ไม่มีทางเป็นไปได้ การเปรียบเทียบจิตนาการกับความเป็นจริงนั้นช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี เพราะว่าความทุกข์ทรมานที่ต่างกันแบบนี้ ยิ่งเป็นความโง่เขลาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เรื่องปกติกับที่เธอคิด…”
“ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีตัดบทเขา “นายคิดว่าฉันหยิ่งยโสมาตลอดใช่หรือเปล่า เคยชินกับการที่ทุกอย่างไปเป็นตามใจฉันนึกใช่ไหม?”
เขาไม่ได้พูดอะไร มองไปข้างนอก
“สวรรค์ทำให้ผู้คนผิดหวังมามากแล้ว ฉันก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ต้องระวังตัวแบบนี้หรอก แต่ยังไงก็ขอบคุณนาย ที่หาวิธีให้ฉันกลับมาแบบนี้”
“ฉู่เซี่ย”
อี้เป่ยซีกอดเขา “ฉันยังไม่เคยพูดเลยว่าโชคดีจริงๆ ที่มีน้องชายอย่างนาย”
ฉู่ซ่งก็เผยยิ้มเช่นกัน เก็บความกังวลของตัวเองเอาไว้ “ถึงเธอไม่พูดฉันก็รู้สึกได้”
“หลงตัวเอง อยากเล่นเกมส์หน่อยไหม”
“เอาสิ มา”
อี้เป่ยซีตามฉู่ซ่งมาถึงที่ห้อง จัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเขาอย่างเป็นระเบียบ ฉู่ซ่งควานหาแล้วเอาเครื่องใส่การ์ดเกมส์สมัยก่อนออกมา ดวงตาอี้เป่ยซีเป็นประกายทันที
“นายยังเก็บไว้?”
“ใช่สิ เก็บไว้อย่างดีเลยนะ สองเครื่องนี้มีค่าเท่าชีวิตเลย เธออย่ากดมั่วอีกล่ะ”
“รู้แล้วน่า ครั้งนี้จะทำให้นายได้เห็นสักหน่อยว่าอะไรคือฝีมือขั้นสูง”
พูดจบทั้งสองคนก็นั่งลงบนพื้น คว้าจอยสติ๊กแล้วต่อสู้กันอย่างดุเดือด ตัวละครที่ถูกโจมตีต่างวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงอยู่ในฉากที่ขรุขระ คนหนึ่งอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง เข้าขากันได้เป็นอย่างดีท่ามกลางห่ากระสุนปืน
หาสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะ กระโดดหนีกระสุนปืน ใช้วิชาตัวเบาเดินไปตามกำแพงและหลังคา…
“ไม่เล่นแล้ว เมื่อยมือชะมัด” อี้เป่ยซีโยนจอยสติ๊กไปอีกทาง ล้มตัวนอนบนพื้นทันที มองดูเพดาน “ภาพก็ห่วย แถมยังเสียสายตา ทำเอาฉันเล่นดีๆ ไม่ได้เลย”
“เพราะเธอโง่ต่างหาก ก็บอกเธอแล้วว่าให้โจมตีจากทางซ้าย เสียเวลาไปตั้งเยอะ”
“เพราะว่านายฝีมือแย่ก็เลยมาโทษฉัน วันหลังไม่เล่นเกมส์ประเภททีมกับนายแล้ว พวกเราสู้กันตัวต่อตัวดีกว่า”
ฉู่ซ่งเอื้อมมือดึงเธอขึ้นมา “มาสิ มาสิ”
“ไม่เอา ฉันหิวแล้ว อยากกินข้าว”
“สั่งข้างนอกเถอะ”
อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่งทันควัน “สั่งข้างนอก?”
เขาพยักหน้าเฉยเมย “ใช่สิ ไม่งั้นจะให้ฉันทำเหรอ?”
“ใช่สิ ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้อยู่แล้ว เธอคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนพี่ใหญ่จื่อหานเหรอที่วันๆ อยากทำกับข้าวให้เธอกิน ขี้เกียจน่ะ”
จู่ๆ ชื่อของลั่วจื่อหานก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงปุ่มสวิทช์ดังติ๊งต่องจริงๆ ทันใดนั้นก็เหมือนกับว่าได้เจอเขา เหมือนได้กอดเขา อยากฟังเพลงของเขา อยากกินข้าวที่เขาทำ
ไม่ได้เจอเขาและไม่ได้ติดต่อเขานานแล้วสินะ รู้สึกเหมือนมันนานมาก นานมากๆ แล้ว
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่? พี่ใหญ่จื่อหาน?” ฉู่ซ่งเขยิบมาด้านหน้าเธอ แต่ถูกผลักอย่างไร้เมตตา
“สั่งข้างนอกก็สั่งข้างนอกสิ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน รำคาญ”
“งั้นเธอเห็นใครถึงจะไม่รำคาญล่ะ”
รอยยิ้มของฉู่ซ่งไม่มีความยินดีหรือยินร้าย อี้เป่ยซีคว้าจอยสติ๊กที่อยู่ข้างๆ โยนใส่เขาเหมือนที่เคยทำ “เห็นใครก็รำคาญทั้งนั้น”
“โอเค ข้าน้อยจะไปสั่งอาหารให้ท่านแล้ว” ฉู่ซ่งวิ่งออกไปอย่างเชื่อฟัง ยกหูโทรศัพท์ด้วยอารมณ์ดีสุดขีด
อี้เป่ยซีลุกขึ้นยืน เดินไปข้างคอมพิวเตอร์ เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ฟังเพลงของมู่ลี่ไป๋ที่ตอนนี้ได้อัพโหลดลงอินเทอร์เน็ตแล้ว อดไม่ไหวเปิดดูความคิดเห็น
“ไพเราะจนแทบคุกเข่า เสียงของพี่ชายที่ร้องกับเทพบุตรเพราะจริงๆ เลย”
“โอ๊ยๆๆ พี่ชายคนนี้ถูกฉันเซ็นต์สัญญาแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีประโยชน์”
“ฉันชอบคุณ นี่คือเหตุผลที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เป็นสิ่งที่คุณต้องการ แต่ไม่ใช่เป็นหุ่นเชิดที่คุณเลี้ยงไว้”
เธอถอนหายใจ อ่านบรรทัดต่อไป
“พี่ชายคนนี้คือใครกันนะ เสียงเพราะมาก โคตรชอบเลย”
ใบหน้าของอี้เป่ยซีมีรอยยิ้มพึงพอใจ มีความรู้สึกภูมิใจและดีใจแทนเขา อดไม่ไหวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ขณะที่เปิดรายชื่อผู้ติดต่อก็วางลง
จะพูดเรื่องนี้ในสถานะอะไร รอจนคิดทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้งแล้วค่อยพูดทีเดียวเลยดีกว่า
เธอหลับตา ดื่มด่ำอยู่ในโลกแห่งอารมณ์อันสวยงามที่สร้างขึ้นด้วยเสียงของคนคนนั้น ทุกคำล้วนทรงพลังและคมชัด อัดแน่นอยู่ในหัวใจ ร้องไห้ไม่ออก แต่เจ็บจนเหนือคำบรรยาย
ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าพวกเขาร้องได้ดีมากจริงๆ เธอวางเม้าส์ไปอีกทาง เท้าคางมองเนื้อเพลงที่กำลังเลื่อนไหล ตัวอักษรสีขาวดำ คนที่สามารถมอบชีวิตให้เธอได้จะต้องใช้บทเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศ ยิ่งต้องใช้เสียงเพื่อแสดงความรู้สึก
มันน่าพอใจมากจริงๆ ขอบคุณจริงๆ ที่ผลงานที่ไร้ความสมบูรณ์แบบได้ถูกนักแต่งเพลงและนักร้องแต่งเติมจนกลายเป็นความสมบูณ์เช่นนี้
“ฉู่เซี่ย เธอกำลังฟังอะไรอยู่ ร้องไห้ด้วยเหรอ?” ฉู่ซ่งคว้าหูฟังข้างหนึ่งมาทันที เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็อึ้ง จนกระทั่งเพลงจบแล้ว เขาจึงดึงสติกลับมา “นี่ นี่มัน…”
อี้เป่ยซีพยักหน้า แววตาเหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ใช่แล้ว เหมือนที่นายคิดนั่นแหละ’
“ไม่ ไม่จริงมั้ง แต่ว่าทำไมล่ะ มันแปลกเกินไปแล้ว พี่ใหญ่จื่อหานไม่ชอบอะไรพวกนี้ ฉัน ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย” เขาขมวดคิ้ว “ตามตรรกะแล้วก็ไม่ควร ทำนองพอได้ เนื้อเพลงก็โอเคอยู่ แต่ว่า…”
“มีอะไรไม่ควรล่ะ มู่ลี่ไป๋ไปหาเขา เขาก็ช่วยเหลือ มันเป็นเรื่องปกติมากเลยไม่ใช่เหรอ” อี้เป่ยซีคว้าหูฟังกลับมาจากมือเขา แล้วใส่หูตัวเองอีกครั้ง ลดเสียงลง
“เปล่า” เขาถอดหูฟังที่เธอเพิ่งใส่เข้าไปในหูออกอีกครั้ง “พี่ใหญ่จื่อหานไม่ใช่คนที่คุยด้วยง่ายๆ แบบนี้ หรือว่ามันเกี่ยวกับเธอ เธอเขียนเนื้อเพลงเหรอ?”
“แค่ก” อี้เป่ยซีกดหยุดเพลง แสดงอาการรอคำชื่นชม ฉู่ซ่งหันไปหันมา ขมวดคิ้ว แล้วส่งเสียงจุ๊ๆ
“มีจุดเด่นอยู่ แต่ว่าเพลงตลาดไปหน่อย เธอก็ชอบเขียนเรื่องรักๆ พวกนี้ด้วยเหรอ?”
“ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันอารมณ์ไม่ดี” อี้เป่ยซีหันกลับมา เปิดวีดีโอ พิงพนักเก้าอี้ไม่อยากคุยกับเขาต่ออีก ฉู่ซ่งส่ายหน้าเหมือนคนแก่
————
บทที่ 120 กลับมาอีกครั้ง (4)
อี้เป่ยซีดูซีรี่ย์สองตอนติดกัน ขณะที่ถอนตัวออกมาก็ได้กลิ่นอาหารจางๆ ความหิวพุ่งพล่านขึ้นมาทันใด จนเธอเกือบล้มลงไปกับพื้น เธอคว้าเก้าอี้ไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก
“ไหนนายบอกว่าไม่ทำอาหารไง หอมจังเลย”
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานกำลังถกแขนเสื้อขึ้น ยกกับข้าวออกมาพอดี “ออกมาได้เวลาพอดีเลย”
เธอขยี้ตาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แล้วขยี้ตาอีก จนกระทั่งลั่วจื่อหานลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน ลมหายใจของเขาโอบล้อมตัวเธอ
“ฉัน นาย นายมาอยู่นี่ได้ยังไง?” อี้เป่ยซีมองไปรอบทิศ “ฉู่ซ่งล่ะ?”
“ฉันอยู่นี่” ฉู่ซ่งออกมาจากห้อง อี้เป่ยซีดึงตัวเขาไปอีกทาง
“นายบอกว่าสั่งข้างนอกไง?”
เขาหัวเราะ “ใช่แล้ว สั่งเชฟมาจากข้างนอกให้เธอไง ทั้งดีต่อสุขภาพทั้งอร่อย ดีใจหรือเปล่า ประหลาดใจไหม”
“ดีใจ ดีใจตายเลย ประหลาดใจจะแย่แล้ว” อี้เป่ยซีกัดฟัน จ้องเขาอย่างไม่พอใจ เธอเองยังไม่ได้คิดเลยว่าจะเผชิญหน้ากับลั่วจื่อหานอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากที่คุณแม่อี้เล่าเรื่องพวกนั้นให้เธอฟัง เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเป็นเหมือนคนในเรื่องนั้นหรือเปล่า และยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีก ถึงอย่างไรลั่วจื่อหานก็ไม่น่าจะ…
ลั่วจื่อหานกอดเธอพร้อมกับยิ้ม “เอาล่ะ ครั้งหน้าถ้ามาจะบอกเธอก่อน โอเคไหม?”
อี้เป่ยซีออกมาจากอ้อมแขนของเขาอย่างสงบเสงี่ยม “กินข้าวก่อนเถอะ”
เขาหดมือกลับ แววตาผิดหวังเล็กน้อย พยักหน้า เดินไปข้างๆ เธอ ยังคงดูแลเธอกินข้าวเหมือนเดิม อี้เป่ยซีไม่ขยับเขยื้อน กับข้าวแต่ละชิ้นกองเป็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ในจาน ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ
เธอรีบกินข้าวเสร็จก็กลับห้องของตัวเองแล้ว ปิดประตู นอนลงบนเตียง ไม่รู้ว่าจะคิดอะไรและไม่รู้ว่าจะทำอะไร ลืมตาว่างที่เปล่า มองดูห้องที่ว่างเปล่า
“เป่ยซี เป่ยซี” เธอหลับตา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครมาเคาะประตู ใช้หมอนปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงของเขาอีก
“งั้นเธอพักผ่อนเถอะ” ลั่วจื่อหานเคาะอีกสองสามครั้งจึงหยุด ก้าวที่เดินจากไปเชื่องช้าเล็กน้อย ได้ยินว่านอกห้องไร้เสียงโดยสิ้นเชิงแล้ว อี้เป่ยซีจึงปล่อยมือที่กดหมอนไว้
‘ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน’ ราวกับว่าหลังจากตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตัวเองคิดจริงๆ แล้วนั้น ยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ‘ลั่วจื่อหาน ทำไมนายต้องปรากฏตัวด้วย ทำไมต้องมาเจอเธอ ทำไมถึงไม่ใช่คนธรรมดากว่านี้ เธอธรรมดากว่านี้และเขาก็เรียบง่ายกว่านี้’
ดวงตากระพริบถี่ มันพร่ามัวโดยไม่รู้ตัว แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป ได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูในความฝัน จากนั้นก็เข้าสู้อ้อมกอดอันอบอุ่น เธอซุกๆ ตัวอยู่ข้างในอย่างผ่อนคลาย รู้สึกทั้งสบายและปลอดภัย
จนกระทั่งนอนเต็มอิ่มแล้ว ลืมตาก็ค้นพบว่าข้างกายว่างเปล่า น่าจะเป็นความฝันล่ะมั้ง ฝันในตอนนี้ยิ่งเหมือนจริงมากขึ้นทุกที
เธออยากจะออกไป แต่พอคิดว่าลั่วจื่อหานอาจอยู่ข้างนอก มือที่วางอยู่บนลูกบิดประตูจึงไม่เคลื่อนไหว ผ่านไปสักพัก เธอส่งข้อความให้ฉู่ซ่ง เมื่อได้รับคำตอบว่าเขาจากไปแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก แต่ในใจกลับอึดอัดเล็กน้อย
จากไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ ไม่รู้จักอยู่ต่ออีกหน่อยหรือยังไง บางทีเธออาจจะเปิดประตูในวินาทีต่อมาก็ได้ เธอยังไม่ได้มองเขาให้เต็มตาเลยนะ
เมื่อเธอเปิดประตูก็ได้ยินเสียงปิดประตูใหญ่ จากนั้นก็เข้าไปหลบในห้องอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเดินออกมา มองไปรอบกาย
“ออกมาได้แล้ว เขาไปแล้ว”
“เปล่า ฉันก็แค่หิวน้ำ” พูดพลางรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง “ไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ” บ่นพึมพำ แต่มันลอยเข้าหูของฉู่ซ่งพอดี
เขายิ้ม “ฉันช่วยเธอเรียกเขากลับมาไหม?”
“นายว่างมากเหรอ? ไหนว่านายมีงานไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เห็นนายไปทำงาน”
“เจ้านายอกหัก ก็เลยหยุดตามเขา ต้องขอบคุณคนนั้นที่ทำให้เจ้านายอกหัก”
อี้เป่ยซีดื่มน้ำไปอึกใหญ่ ตบๆ แก้มไม่พูดจา กลืนลงไปอย่างแรง “ออกไปเดินเล่นกัน”
“ตอนบ่ายฝนจะตก อย่าออกไปเลย” ฉู่ซ่งก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ เธอแย่งมันมา
“ฝนตกก็ออกไป ไปๆๆ” ลากเขาต้องการจะออกไปข้างนอก ฉู่ซ่งแสดงอาการยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือก
“รับทราบแล้วท่านพี่ ให้ฉันเก็บของแป๊บนึงค่อยออกไปเถอะ”
อี้เป่ยซีพยักหน้า กลับห้องคว้ากระเป๋าของตัวเองยืนรอเขาอยู่หน้าประตู ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันออกไปจากเขตชุมชน เดินทอดน่องอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย
“ฉู่เซี่ย เธอเป็นอะไรไป ก่อนหน้านี้เห็นเธอกับลั่วจื่อหานก็สนิทกันดีนี่”
“ตอนนี้พวกเราไม่สนิทกันหรือไง” อี้เป่ยซีเตะก้อนหินที่อยู่ข้างเท้าไปยังข้างแปลงดอกไม้ แล้วเตะหินอีกก้อนไปด้านข้าง
“เรื่องมันเป็นยังไง เธอรู้ดีที่สุด ฉันไม่พูดมากหรอก”
เธอไม่ได้กะทิศทางและแรงดีพอ เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนหิน มุมที่แหลมคมทำให้แทบจะร้องไห้ “รู้สิ ถ้าฉันไม่รู้ไม่แน่ว่ามันอาจจะง่ายกว่านี้”
“เธอกำลังหนีอะไรอีก?”
เธอถอนหายใจ ใช้เท้าอีกข้างเตะหิน “หนีความเจ็บปวด”
ฉู่ซ่งมองเธอด้วยความไม่เข้าใจ อี้เป่ยซีหันกลับมา เปี่ยมด้วยความอ้างว้าง “ฉู่ซ่ง นายรู้สถานะของลั่วจื่อหานสินะ นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไงใช่ไหม นายคิดว่าพวกเราสองคนเหมาะสมเหรอ?”
คำถามนี้ทำให้ฉู่ซ่งนิ่งไป ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกแปลกใจมาก แม้จะเป็นคุณหนูของบ้านอี้แล้ว เขาก็ยังประหลาดใจ ประหลาดใจที่ลั่วจื่อหานชอบอี้เป่ยซี
ฉู่เซี่ยเป็นคนดีมากๆ บวกกับภูมิหลังที่โดดเด่น เธออาจเป็นเด็กสาวที่สง่างามมากในโลกใบนี้ อาจจะถูกเรียกว่านางฟ้า อาจจะถูกคนมากมายตามจีบ แต่ว่าลั่วจื่อหานเป็นคนทะเยอะทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง นี่คือภาพลักษณ์แรกที่มีต่อเขา เขาลึกลับเกินไป อีกทั้งยังเผยความสูงเด่นไปทุกที่ ทำให้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา อดไม่ได้ที่จะติดตามเขา แต่เขาก็รู้ว่าคนที่มีรอยยิ้มดุจเทพอย่างเขา ไม่มีวันจะก้มหน้ามองดูมดตัวน้อยอย่างเธอหรอก
เมื่อเทียบสองคนแล้ว คำว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินนั้นนับว่าไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย
เขามีความคิดเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ตั้งตรงของชายคนนั้นโน้มตัวลงมา เห็นเสือยิ้มยากคนนั้นหยอกล้อเหมือนกับคนทั่วไป ก็เหมือนกับถูกดึงลงมาจากสรวงสวรรค์ เดินลงมาจากสวรรค์เพียงเพื่อมนุษย์ที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง
ทั้งสองคนไม่เคยมีคำว่าคู่รักที่สมบูณ์แบบ อย่าว่าแต่เรื่องเหมาะสมกันเลย
ความเงียบงันที่ยาวนานคือการบอกความในใจของเขาแก่อี้เป่ยซี ยักไหล่อย่างไม่แยแส “ใช่ไหมล่ะ นายก็เห็นแล้ว พวกเราไม่เหมาะสมกัน ฉะนั้นนะ”
“ฉู่เซี่ย ยังไม่ทันเริ่มก็ตัดสินใจเร็วแบบนี้แล้วเหรอ? เธอชอบท้าทายในสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบตลอดเลยไม่ใช่เหรอไง?”
เธอส่ายหน้า “เรื่องพวกนั้น ฉันรู้ว่าถึงฉันแพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเรื่องนี้ ฉันไม่สามารถจริงๆ ฉันเคยทำพลาดไปแล้วครั้งนึง”
“ฉู่เซี่ย” เขาหัวเราะเย็นชา “พูดไปพูดมาสุดท้ายเธอก็แค่เป็นห่วงตัวเอง มองเห็นแต่ตัวเอง เธอเคยคิดถึงพี่ใหญ่จื่อหานหรือเปล่า เธอเห็นไหมว่าเขาทำอะไรให้เธอบ้าง เขาเปลี่ยนเป็นแบบนี้ก็เพราะเธอ ตอนนี้เขาอดกลั้นทุกอย่างไว้ในใจแล้ว”
อี้เป่ยซีแคะเล็บ “ฉันรู้ เขารอให้ฉันบอกว่าเริ่ม ให้ฉันบอกว่าเริ่มก่อน”
————
บทที่ 121 กลับมาอีกครั้ง (5)
ใบหน้าของฉู่ซ่งแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรดี จะปลอบโยนให้เธอปลง ให้ทำความเข้าใจ อย่าไปทำร้ายความรู้สึก อย่าไปหนีความรู้สึกจริงใจจากคนคนหนึ่ง หรือว่าจะยืนในมุมของเธอ บอกเธอว่าเรื่องความรักมันน่าจะง่ายกว่านี้ น่าจะเป็นอะไรที่เธอไขว่คว้าได้?
เขามีจุดยืนของตัวเอง แต่เขาก็มีศีลธรรมของเขาเช่นกัน การทุ่มเทของเขาไม่ใช่เพื่อเป็นเหตุผลในการร้องขอให้เธอยอมรับ ใช่ว่าลั่วจื่อหานพยายามแล้วจะได้ผล
ฉู่ซ่งเดินมาข้างเธอ “ฉันรู้แล้ว”
สายตาของอี้เป่ยซีว่างเปล่า ฉากทิวทัศน์ต่างๆ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับมองเห็นอะไรไม่ชัดเจนเลย เธอเดินไปด้านข้างเงียบๆ ย่อตัวลง “ฉันก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”
“ฉันรู้แต่แรกแล้ว” ฉู่ซ่งก็ย่อตัวลงข้างเธอ มองดูรถราที่ผ่านไปมาและผู้คนที่เดินผ่านไปมาตรงหน้า
เสื้อผ้าของแต่ละคนแตกต่างกัน ย่างก้าวต่างกัน การแสดงออกทางสีหน้าต่างกัน แต่ล้วนมีความเฉยชาอย่างเห็นได้ชัด ปกคลุมตัวเองด้วยรอยยิ้มเคร่งขรึม ไม่มีใครรู้จิตใจของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าจะกลัวเส้นทางที่เต็มไปด้วยกระแสอันไม่มีที่สิ้นสุดหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะชอบความเรียบง่ายในทุกๆ วันหรือเปล่า
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เสียงคำรามแผดดังอยู่ด้านหลังกลุ่มเมฆหนา ฉู่ซ่งมองกลุ่มเมฆครึ้มด้วยความกังวลเล็กน้อย “ฝนจะตกแล้ว”
“อ่อ งั้นพวกเรากลับกันเถอะ” อี้เป่ยซีหันหลังด้วยความแน่วแน่ ทิ้งฉู่ซ่งไว้เบื้องหลัง
ฉู่ซ่งอ้าปาก วิ่งเหยาะๆ ไปหาเธอ “ผิดทางแล้ว”
“อ่อ ฉันก็ว่าทำไมทางมันไม่ค่อยเหมือน งั้นต้องไปทางไหน? ทางนี้ หรือว่าทางนี้?”
“ถ้าฉันไม่รู้ว่าเธอโง่เรื่องเส้นทาง ก็ต้องสงสัยว่าเธอเสียใจจนสมองเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ”
เธอหัวเราะหึๆ เดินตามหลังฉู่ซ่ง ราวกับว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอหันหน้าไปเล็กน้อย แววตาหดหู่อย่างเห็นได้ชัด กัดฟันหันหน้ากลับและเดินตามไป
รถสีดำลดหน้าต่างลงช้าๆ กลุ่มควันลอยหนีออกมาจากข้างในสู่อากาศ ลั่วจื่อหานมองทิศทางที่ทั้งสองจากไป ขมวดคิ้ว
เป่ยซีเอ๋ย เพราะไม่เชื่อใจฉัน หรือว่าไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
ตอนนี้เดินมาไกลขนาดนี้แล้ว เธอไม่ยอมแม้แต่จะหันกลับมาเลยเหรอ?
เมื่อกลับถึงบ้าน คุณแม่ฉู่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว กำลังเก็บของอยู่ในห้องรับแขก พออี้เป่ยซีกลับมา ก็เดินเข้าไปหาเธอด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
“เป่ยซี กลับมาแล้วเหรอ”
ฉู่ซ่งเอ่ยปากอย่างหัวเสีย “ฉู่เซี่ยต่างหาก แม่”
“ไม่เป็นไร ฉันก็คือฉัน จะเรียกยังไงก็ได้” อี้เป่ยซีเดินหาคุณแม่ฉู่ “มีอะไรเหรอคะ?”
“วันนี้ฉันเห็นเสื้อตัวนึงที่ร้าน ฉันคิดว่ามันเพราะกับเธอเป็นพิเศษ เธอลองดูไหม?”
อี้เป่ยซียิ้มมีความสุขมาก เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “สีฟ้าหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่สีฟ้าฉันไม่เอา”
“รู้แล้วว่าเธอชอบสีฟ้า ใช่ สีฟ้าบริสุทธิ์ ดูสิว่าชอบหรือเปล่า”
เธอรับเสื้อมา รู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และมีบางอย่างกำลังตื่นขึ้นอีกครั้ง เธอแม้กระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างปะทุออกมา เดินกลับไปที่ห้องอย่างสบายอารมณ์
ฉู่ซ่งเห็นฉากนี้แล้วก็ถอนหายใจ “แม่อยากซื้อเหรอ?”
คุณแม่ฉู่ไม่ได้พูดอะไร มองไปที่ประตูด้วยความเมตตา รออี้เป่ยซีปรากฏตัว
“รู้อยู่แล้วว่าแม่คิดไม่ถึงเรื่องพวกนี้” เขาส่ายหน้าถอนหายใจ นั่งลงบนโซฟาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา คอยสังเกตความเงียบข้างกายเป็นระยะ
อี้เป่ยซีสวมชุด มันพอดีตัวอย่างคาดไม่ถึง ราวกับว่าถูกตัดมาเพื่อเธอ รอยเย็บของกระโปรงนุ่มนวลและเรียบเนียน ยิ่งเสริมบุคลิกให้ดูดีมากยิ่งขึ้น เธอดูตัวเองในกระจก สีฟ้าอ่อนเข้ากันได้ดีกับรูปหน้าที่สวยงาม ราวกับภาพวาดที่มีชีวิต มันมีชีวิตชีวาเหมือนภาพวาดแบบปัญญาชนดั้งเดิม และชัดเจนเหมือนภาพสเก็ตช์
เธอยื่นมือ**ลวดลายบนไหล่ของเธอ ก้มหน้ามองดู ยิ้มกว้างให้กับตัวเองในกระจก
เปิดประตูออก ก้มหน้าเขินอาย เดินไปหาคุณแม่ฉู่ “แม่คะ เป็นไงบ้าง?”
“สวยจ้ะ สวย ลูกสาวแม่สวยมาก”
อี้เป่ยซีเดินไปหาคุณแม่อย่างรวดเร็ว กอดเธอ “ขอบคุณค่ะแม่ หนูชอบมาก”
“จ้ะ ลูกชอบก็ดีแล้ว ลูกชอบก็ดีแล้ว”
“ค่ะ ชอบมาก ชอบมาก ชอบที่สุดเลย”
ไม่ว่าจะกินข้าวหรือว่านั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา อี้เป่ยซีระมัดระวังชุดบนตัวมาก กลัวว่าตัวเองจะทำเปื้อนหรือกดทับ จนกระทั่งก่อนอาบน้ำ ก็ยังแขวนมันอยู่ที่หัวเตียงแล้วจึงรีบไปอาบน้ำ
เธอเช็ดผม นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงมองดูเสื้อตัวนั้น แล้วลุกขึ้นยื่นมือไปสัมผัสมันเชื่องช้า เสื้อก็เหมือนกับว่ามีความรู้สึกและความอบอุ่นเช่นกัน มือของอี้เป่ยซีหยุดอยู่บนลวดลายบนไหล่ ลูบไล้ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า…
“เธอชอบมันแค่ไหนกันนะ ถึงได้ระวังขนาดนี้” ฉู่ซ่งทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ขว้างแอปเปิ้ลบนโต๊ะออกไป อี้เป่ยซีรับไว้ได้ยังคงมองดูชุดบนตัวด้วยความระมัดระวังมาก
“นายอิจฉาล่ะสิ” กัดแอปเปิ้ลไปหนึ่งคำ “ไว้ฉันจะซื้อให้นาย ถ้าอดกินองุ่นก็อยากไปโทษว่าองุ่นเปรี้ยวสิ”
“เธอ ฉันไม่เห็นด้วยกับความงามของเธอหรอกนะ”
“หุบปาก ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว”
“แล้วเธอจะคุยกับใคร กับชุดนี้เหรอ”
อี้เป่ยซีพยักหน้าด้วยความจริงจัง ราวกับว่าได้ผ่านการพิจารณามาแล้วอย่างรอบคอบ “แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ดีกว่านาย”
“ฉันว่านะฉู่เซี่ย…” ฉู่ซ่งจิ้มๆ หัวของเธอ “ช่างเถอะ ฉันไม่ได้มีความรู้เหมือนเธอซะหน่อย เด็กน้อยสอนไม่จำ จนป่านนี้แล้วเธอยังเพ้อฝันอยู่ได้”
“ใช่สิ ใช่สิ มีความเห็นก็หุบปากไปซะ”
สองมือชูขึ้นเหนือศีรษะ “ฉันยอมแพ้ ฉันจะมีความเห็นอะไรได้ ผู้อาวุโสมีความสุขก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจผู้น้อยหรอก”
“อืม คำพูดเช่นนี้ประทับใจข้ายิ่งนัก”
“ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีเรื่องต้องรายงาน ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้กระหม่อมลาสักสองสามวันได้หรือไม่ ที่บริษัทมีงานนิดหน่อย กระหม่อมต้องกลับไปดู”
อี้เป่ยซีหยุดกินแอปเปิ้ล “นายจะกลับเมือง A?”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แค่แวะที่บริษัทก็พอ วันนี้อยากไปไหนล่ะ ฉันยังพาเธอออกไปเดินเล่นได้ สองสามวันหลังจากนี้ ฉันน่าจะยุ่งมาก”
“ไม่เคยเห็นแรงงานเด็กที่บอกว่าตัวเองยุ่ง”
“ช่วยไม่ได้ มีความสามารถมากแค่ไหนความรับผิดชอบก็มากแค่นั้น ฉันใกล้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่นับว่าเป็นแรงงานเด็กแล้ว พูดจาระวังหน่อย ถ้าเจ้านายโกรธจะทำยังไง ฉันยังมีบ้านต้องเลี้ยงดูนะ”
อี้เป่ยซีมองไปนอกหน้าต่าง “พวกเรา ไปที่ที่เคยอยู่เมื่อก่อนกันเถอะ”
“เธอแน่ใจเหรอว่าจะไปที่นั่น?”
“ก็นายยุ่งขนาดนี้ เจ้านายของนายคงไม่ว่างถึงขนาดไม่มีอะไรทำหรอกมั้ง ฉันจะเป็นห่วงอะไร?”
ฉู่ซ่งยกนิ้ว “ก็ได้ ก็ได้ เธอพูดแบบนี้ ไม่ว่าเจ้านายแบบไหนก็ไม่กล้าอู้แล้วล่ะ ไปเถอะ พวกเรานั่งรถไปกัน”
“ก็ได้ รอฉันไปเปลี่ยนเสื้อแป๊บนึง”
“ทำไมล่ะ เธอแน่ใจว่าจะไม่มีคนโผล่มาไม่ใช่เหรอ? กลัวว่าเขาจะเห็นหรือไง?”
อี้เป่ยซีจ้องเขาเขม็ง “ฉู่ซ่ง นายนี่นับวันยิ่งปากคอเราะร้าย ไม่น่าฟังเลย ไม่ชอบ”
“โอเคๆๆ ฉันผิดเอง ขอโทษ เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ”
เธอเดินปึงปังออกไปจากห้องรับแขก กลับถึงห้องแล้วเปลี่ยนเสื้ออย่างว่องไว
————
บทที่ 122 กลับมาอีกครั้ง (6)
อี้เป่ยซีไม่เห็นฉู่ซ่งเป็นเวลาติดต่อกันสามสี่วัน คุณแม่ฉู่บอกว่าฉู่ซ่งออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว กลางคืนก็กลับมาตอนเกือบรุ่งสาง บอกว่าเกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อยที่บริษัท อีกไม่กี่วันก็เรียบร้อยแล้ว บอกเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วง ฉะนั้นการไปเที่ยวที่อี้เป่ยซีคาดหวังไว้ในตอนแรกจึงกลายเป็นการเปลี่ยนสถานที่เล่นคอมพิวเตอร์
นั่งเล่นคอมพิวเตอร์บนเก้าอี้ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์บนพื้น นอนเล่นคอมพิวเตอร์บนเตียง เล่นตลอดเวลาจนคอมพิวเตอร์และตัวเธอรู้สึกร้อน อี้เป่ยซีจึงคิดว่าตัวเองจะต้องหยุดชีวิตที่ไร้ความหมายและทำร้ายสุขภาพอย่างยิ่งยวดเช่นนี้
รวบรวมความกล้าเปิดกล่องข้อความที่ไม่ได้ใช้เท่าไรนัก เห็นจำนวนข้อความสีแดงที่ยังไม่ได้อ่านแล้วก็รู้สึกปวดหัวและหงุดหงิด
‘ช่างเถอะ เธอติดค้างหนี้สินก็ต้องชดใช้’ เธอหลับตา สุ่มเปิดขึ้นมาข้อความหนึ่ง
‘ช่วงนี้ก็ทำงานนี้ก่อนเถอะ’ เธออ่านข้อกำหนดของงาน พลางฟังเสียงฮัมเพลงของหญิงสาวที่คมชัด ภาพวาดคลุมเครือปรากฏขึ้นมาในหัว เธอหยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียนสองสามคำ เปิดอินเทอร์เน็ตค้นหาสิ่งของที่มีความเกี่ยวข้อง รูปภาพ ตำราโบราณ รวมถึงดนตรี จนกระทั่งเมื่อคุณแม่ฉู่ตะโกนเรียกเธอให้ไปกินข้าวในตอนกลางคืน เนื้อหาส่วนใหญ่ก็เสร็จแล้ว
กินข้าวเสร็จ ก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง ใส่หูฟังเริ่มแก้งานจนถึงเช้าจึงเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด แล้วกดปุ่มส่ง
อี้เป่ยซีบิดชีเกียจ เลื่อนเม้าส์สองสามที ฉับพลันนั้นก็เบิกตากว้าง
“ไม่ ไม่จริงมั้ง” เธอกัดเล็บด้วยความตื่นเต้น “ดีใจจังเลย สวรรค์ สวรรค์”
ไม่สนใจว่าคนทางนั้นจะหลับอยู่หรือเปล่า รีบตอบอีเมล์กลับไปทันที คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่นาทีก็ได้รับอีเมล์ตอบกลับมา
“แมวราตรีหลิงซี ถ้างั้นพวกเราเจอหน้าแล้วคุยกันหน่อยไหม? ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ฉันไปที่อาจารย์ก็ได้ค่ะ พอดีว่าตอนนี้ฉันกำลังพักร้อน ว่างมากเลย”
“ใช้วีแชทเถอะ ไอดีของฉันคือxxx”
อี้เป่ยซีคว้าโทรศัพท์มือถือข้างตัวแล้วพิมพ์เข้าไปด้วยความสั่นเทาเล็กน้อย มองหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่สักพักจึงกดปุ่มค้นหา อีกฝ่ายรับคำขออย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
“อย่าเรียกว่าอาจารย์เลย เธอทำแบบนี้กดดันฉันมากนะ เรียกฉันว่าฉินติงก็ได้”
“อาจารย์ฉิน”
“เอาเถอะ แล้วแต่ละกัน ดึกมากแล้วงั้นฉันไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้แล้ว ตอนนี้ฉันอยู่เมือง B ถนนฉางชิง เขต XX พวกเรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟแถวนี้ก็ได้”
อี้เป่ยซีส่งอิโมจิประหลาดใจจำนวนมากกลับไป
“ใกล้มากเลย”
“บังเอิญจัง ช่วงนี้เธอมีเวลาไหม? มะรืน?”
“ได้ค่ะ ได้”
“งั้นค่อยนัดเวลาอีกทีเถอะ ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ราตรีสวัสดิ์”
อี้เป่ยซีบอกว่าราตรีสวัสดิ์ด้วยรอยยิ้มมีความสุข กอดโทรศัพท์มือถือนอนลงบนเตียง
อา ความสุขมาอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว เวลาผ่านไปเร็วกว่านี้หน่อย เร็วกว่านี้หน่อยเถอะ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่พร่ำบ่นถึงมันอยู่ตลอดเวลา ฉู่ซ่งยังคงออกแต่เช้ากลับดึกและทำงานล่วงเวลา อี้เป่ยซีก็นอนจนตะวันสายโด่งจึงจะตื่น ภายในบ้านว่างเปล่าราวกับว่าไม่มีคนอยู่
ยังคงตื่นนอนเกือบเที่ยง เธอเลือกเสื้อผ้าที่ดูเป็นทางการตัวหนึ่ง แต่งหน้าบางๆ กำลังจะออกไป
มองดูลูกบิดประตูที่เงียบงัน ออกแรงดันแล้วดันอีก
พระเจ้า ทำไมแม่ยังเลอะเลือนเหมือนเดิมเลย ใครให้เธอล็อคประตูจากข้างนอกล่ะ ใครล็อคกันนะ
เธอสงบสติ โทรหาคุณแม่ฉู่
“ฮัลโหล แม่…”
“ฉู่เซี่ย แม่ยุ่งนิดหน่อย เดี๋ยวแม่จะโทรกลับ”
“เปล่านะ แม่ ฮัลโหล ฮัลโหล…” อี้เป่ยซีมองหน้าจอที่ดับลง ถอนหายใจ ‘รู้งี้เธอก็ตื่นเร็วกว่านี้แล้ว ทำไงดี เดิมทีก็ใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้ว ตอนนี้ยังเกิดเรื่องแบบนี้อีก จบแล้ว จบแล้ว’
เธอรีบโทรศัพท์ไปหาฉู่ซ่ง “ฮัลโหล ฉู่ซ่ง ฉันถูกแม่ล็อคไว้ข้างใน นายรีบมาช่วยฉัน เร็วเข้าๆ”
“อืม” ได้ยินคำตอบแล้วอี้เป่ยซีรีบวางสาย ส่งข้อความขอโทษในวีแชททันที ชี้แจงถึงเหตุผล
เหตุผลนี้ ไม่ว่าใครพูดแล้วก็คงรู้สึกเหลือเชื่อมากล่ะมั้ง เธอยังคงส่งไปตามความเป็นจริง คนคนนั้นส่งอาการปลอบโยนกลับมา
“ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องรีบ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะไปให้เร็วที่สุด”
ไม่นาน เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากด้านนอก อี้เป่ยซีรีบลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นคนที่มาอย่างชัดเจนแล้ว กลับไม่ใช่ใบหน้าที่ตัวเองคุ้นเคย แต่กลับเป็นอีกใบหน้าที่คุ้นเคยจนไม่สามารถคุ้นเคยไปได้มากกว่านี้
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน ทำไมถึงเป็นนาย?”
“ไหนว่ารีบมากไม่ใช่เหรอ ฉันไปส่งเธอ?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า ตามหลังเขาไป ลั่วจื่อหานเดินนำหน้า เปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับ อี้เป่ยซีกอดกระเป๋าเข้าไปนั่งพร้อมกล่าวว่าขอบคุณ แล้วคนคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ลั่วจื่อหานก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ขับรถอย่างตั้งใจโดยไม่ได้มองมาที่เธอเลย บรรยากาศแปลกประหลาดเล็กน้อย
มาถึงร้านกาแฟ อี้เป่ยซีรีบวิ่งเข้าไป ชายกระโปรงพริ้วไหว มาถึงที่นั่งที่นัดหมายภายใต้การนำทางของบริกร
“คุณคือ?” อี้เป่ยซีถามอย่างเป็นมิตร
“ผมนี่แหละฉินติง” ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน ลักษณะเหมือนวัยกลางคน ตรงกระหม่อมล้านเล็กน้อย ท่าทางใจดีมาก
“หา ฉันนึกว่า…ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่รู้ว่าหลิงซีจะเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆ แบบนี้”
ทั้งสองคนก็พูดคุยกัน ปกติแล้วอี้เป่ยซีไม่ใช่คนที่ชอบพูดคุยกับคนอื่น แต่ฉินติงกลับเป็นคนช่างพูดมาก แสดงความคิดเห็นถึงเนื้อเพลงของอี้เป่ยซีรวมถึงบทความจำนวนหนึ่ง อี้เป่ยซีก็ติดโรคพูดมากไปด้วยแล้ว
จนกระทั่งเข็มสั้นหมุนครบสองรอบ พวกเขาจึงบรรลุข้อตกลง
“ก็คือเธอยังต้องแก้อีกหน่อย แก้ตามที่ฉันบอกได้หรือเปล่า?”
“ฉันขอดูก่อนเถอะค่ะ อาจจะมีบางส่วนที่ฉันยังทำไม่ได้”
“งั้นก็ไม่เป็นไร วันนี้ดีใจมากที่ได้คุยกับเธอ หวังว่าจะร่วมงานกันอย่างราบรื่น”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
ฉินติงมองเวลา “ตอนนี้ก็สายแล้ว งั้นพวกเราค่อยคุยกันคราวหน้า?”
“ได้ค่ะ ลาก่อนค่ะอาจารย์ฉิน” ทั้งสองคนหัวร่อต่อกระซิกกันออกจากร้านกาแฟ สุดท้ายเขายังปล่อยมุขตลกอีก อี้เป่ยซีอดไม่ไหวหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
อี้เป่ยซีออกมาเห็นรถที่จอดที่อยู่นั่นก่อนหน้านี้ ยังคงจอดอยู่ตรงนั้น หลังจากบอกลากับฉินติงแล้ว วิ่งเหยาะๆ เข้าไป บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
“ทำไมนาย”
ลั่วจื่อหานลดกระจกรถลง มองดูแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้น แล้วมองรอยยิ้มของอี้เป่ยซี จู่ๆ ก็รู้สึกบาดตามาก เขาบอกให้ขึ้นรถอย่างเฉยเมย เสียงที่เย็นชาทำให้ความรู้สึกยินดีทั้งหมดหายไป
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากเดินเล่นอีกหน่อย นายกลับไปก่อนเถอะ”
“เป่ยซี บางทีฉันก็รู้สึกสับสนมากจริงๆ เธออยากให้ฉันทำยังไงกันแน่”
“ฉันไม่ได้อยากให้นายทำยังไง ลั่วจื่อหานนายดีมากจริงๆ ดีมากเกินไปแล้ว นายที่ดีอย่างนี้จะอยู่ข้างกายฉันได้ยังไง ฉันเองยังไม่เชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง”
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานปิดประตูรถเดินเข้ามาหาเธอ อี้เป่ยซีถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขาตามไป เธอก็ถอยหลังไปอีกก้าว ลั่วจื่อหานดึงตัวเธอมา “เพราะฉันทำดีไม่มากพอเลยทำให้เธอไม่เชื่อใจเหรอ?”
————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น