Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 109-115
บทที่ 109 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (1)
อี้เป่ยซีล้างหน้าล้างตา ยังคงเอื่อยเฉื่อยอย่างเห็นได้ชัด เดินหาวลงมาชั้นล่าง เห็นท่าทางสองคนที่สบตากัน รู้สึก เอ่อ เข้ากันดี
“พวก พวกนาย เซี่ยเช่อ…” เธอแสดงอาการประมาณว่า ‘ฉันรู้หมดทุกอย่าง’ ออกมาแล้วพยักหน้า “แบบนี้ก็ไม่เลวนะ” อาศัยจังหวะก่อนที่ใบหน้าของลั่วจื่อหานจะบูดเบี้ยววิ่งกลับไปยังโซฟาทันที ไม่ปล่อยโอกาสให้พวกเขาได้อธิบายเลย
“ฉัน…” ทันใดนั้นเองเซี่ยเช่อไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร มุขนี้เล่นซะชวนประหลาดใจทีเดียว
ลั่วจื่อหานกวาดตามองไปข้างหนอก เริ่มทำงานในมือ “ไม่เป็นไร วันนี้เขาอารมณ์ดี”
“อือๆ ไม่เลวๆ ดีมากๆ” หัวเราะเจื่อนสองสามที ออกมาจากห้องครัวโดยไม่รู้ตัวแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก เงยหน้าขึ้นสบตาของอี้เป่ยซีที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
‘ใช่ ท่าทางอารมณ์ดีมาก’ เซี่ยเช่อนั่งลงข้างๆ และไม่ได้ไปสนใจ หรี่ตา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าผ่อนคลายลงมาบ้าง
ทั้งสามคนกินอาหารเช้าอย่างมีความสุขมาก
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่น อี้เป่ยซีมองดูสายเรียกเข้าใต้โต๊ะ กวาดตามองคนรอบข้างด้วยความละอาย ย่องออกไปข้างนอก
“ฮัลโหล”
“เป่ยซี ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?” ถามด้วยความขึงขังระคนความโมโห
คนรอบตัวเธอล้วนเป็นคนของพี่ชาย เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าเธออยู่ที่บ้านของลั่วจื่อหาน แต่ว่าเขาควรใช้น้ำเสียงตั้งคำถามแบบนี้จริงๆ เหรอ
เธอไม่เคยถามเขาเรื่องฉินรั่วเข่อแบบนี้ ไม่เคยเลย
“พี่…” เธอเหลือบมองข้างหลัง แล้วเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “ตอนนี้ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว แยกแยะเรื่องของตัวเองได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“แยกแยะได้ แยกแยะได้ก็คือการไปกับผู้ชายที่ไม่รู้จัก แยกแยะได้ก็คือการไปค้างคืนที่บ้านเขา?” เสียงที่ข่มไว้สุดความสามารถราวกับว่าจะคำรามออกมาในวินาทีถัดไป จู่ๆ อี้เป่ยซีรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย
“พี่ มันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิด ลั่วจื่อหานเป็นเพื่อนของฉัน”
“เธอมีเพื่อนเยอะแล้ว”
อี้เป่ยซีกำมือถือแน่นเม้มปากไม่ได้พูดอะไร ผู้ชายทางนั้นจึงสงบสติลง “เสี่ยวซี อารมณ์ไม่ดีก็กลับบ้าน พี่จะอยู่ข้างเธอเสมอ”
“อือ ฉันรู้แล้ว ขอบคุณพี่นะ” ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง เตะถนนเป็นครั้งคราว ฝุ่นละอองเล็กๆ ปลิวขึ้นมาเบาๆ
“พี่จะไปรับเธอ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันยังมีเรียน เดี๋ยวก็ไปมหา’ลัยแล้ว”
“เสี่ยวซี หรือว่าเธอไม่อยากกลับมา?”
อี้เป่ยซีกระตุกยิ้ม “พี่ ที่บ้านยังมีที่ให้ฉันอยู่อีกเหรอ” ความเงียบโจมตีทั้งสองคน เธอสูดหายใจลึก
“ฉันไปกินข้าวก่อนนะ” วางสายทันทีโดยไม่รอคำตอบ หันกลับไปก็เห็นเงาของลั่วจื่อหาน
“รู้อยู่แล้วว่านายต้องออกมา” ลั่วจื่อหานยืนอยู่หน้าประตู ได้ยินคำพูดของเธอก็ยิ้ม
“อืม เข้ามาเถอะ”
เข้ามาเถอะ เหมือนว่ามีสถานที่ให้เธอได้พึ่งพาและพักพิงได้แล้ว เหมือนว่าไม่ต้องมีความรู้สึกระหกระเหินอีก ไม่ต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือกังวลอีกแล้ว
เธอก้มหน้าเดินตามไป ลั่วจื่อหานจูงเธอเดินเข้าไปในบ้านอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว บ้านที่เดิมทีมีกลิ่นไอของเขานั้นเหมือนมีอย่างอื่นปะปนอยู่ด้วย ทั้งอบอุ่นและน่าพึงพอใจ
“จุดเทียนหอมน่ะ เธอชอบนี่”
อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างแรง “อืม ชอบมาก ชอบมาก”
อี้เป่ยซีใช้ชีวิตโดยมีลั่วจื่อหานเทียวรับเทียวส่งหลายวัน ความสัมพันธ์ทั้งสองสองคนต่างถูกเก็บเงียบ แต่ก็มีผลดีที่ยากจะอธิบาย ตอนนี้เป็นเดือนสอบ แม้ว่าตอนนี้อี้เป่ยซีจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการตั้งใจเรียนแล้ว แต่ว่าเกิดเรื่องมากมายแบบนั้น โดดเรียนเยอะขนาดนี้ จึงรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก
“ฉู่ซ่ง นายไม่ต้องทบทวนหรือไง?” อี้เป่ยซีมองฉู่ซ่งที่นั่งเล่นโทรศัพท์ในห้องอ่านหนังสือ คว้ามันมา น้ำเสียงเคร่งขรึม
ฉู่ซ่งพิงเก้าอี้ ท่าทางภูมิใจมาก “โจทย์พวกนั้นหลับตาก็ทำได้ มีสุภาษิตนึงกล่าวไว้ว่า ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่จำเป็นต้องท่องหนังสือแทบเป็นแทบตายเหมือนเธอเพื่อคะแนนต่ำๆ หรอก”
“ฉันก็ไม่อยากหรอกนะ” เธอวางคางบนหนังสือ ได้กลิ่นของปากกาเน้นข้อความ “แต่ว่าฉันไม่เข้าใจนี่นา”
“เฮ้อ…” ฉู่ซ่งลูบหัวของเธอปลอบโยน “เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ขนาดผมยังร่วงไปเยอะเลย เธอน่ะไม่มีสมองตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะพยายามอีกแค่ไหนในสาขาวิชาของพวกเธอก็เปล่าประโยชน์”
อี้เป่ยซีค้อนเขา ไม่ได้พูดอะไร มองตรงไปข้างหน้าด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“เธอเคยคิดจะเปลี่ยนไปเป็นวิชาที่เธอชอบที่เธอถนัดจริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่เสียเวลาเปล่าเหมือนตอนนี้”
“เสียเวลาเปล่าอะไร ฉันกำลังตั้งใจเรียนมากนะ”
ฉู่ซ่งดึงผมของเธอ ทำให้อี้เป่ยซีต้องลุกขึ้นมาจากโต๊ะ มองเขา “ฉู่เซี่ยเอ๊ย ตอนนี้เธอน่ะ ไม่สิ ฉันว่า จะพูดยังไงดี…เฮ้อ ถ้าฉันพูดไม่ดีเธอก็อย่าโกรธละกัน ถึงยังไงฉันก็อยากพูดความจริงซะหน่อย”
“พูดเลย พูดเลย ฉันจะดูสถานการณ์อีกทีว่าจะโกรธหรือเปล่า”
“ตอนนี้เธอกับอี้เป่ยเฉิน…เอ่อ ฉันไม่เข้าใจ แต่ว่าเธอก็น่าจะรู้ว่าเหตุผลของการเรียนเศรษฐศาสตร์ของเธอมันไม่ใช่อยู่แล้ว ทำไมถึงยังฝืนอยู่อีกล่ะ หรือว่าเธอยังคิดถึง…”
“เปล่า” อี้เป่ยซีพลิกหนังสือ โน้ตในหนังสือเป็นระเบียบเรียบร้อย “เขาเป็นพี่ชายของฉัน ฉันก็ต้องช่วยสิ” หมุนปากกาในมืออย่างใจลอย
“งั้นฉันก็ช่วยไม่ได้แล้ว” ฉู่ซ่งดึงหนังสือในมือเธอมา พลิกดูนิดหน่อย ส่ายหน้า “ฉันช่วยเธอไม่ได้หรอก อ่านของพวกนี้เหมือนอ่านหนังสือแห่งสรวงสวรรค์เลย”
“ทำไมตอนที่นายเขียนโค้ดไม่เห็นพูดแบบนี้”
“มันไม่เหมือนกัน เพราะฉันชอบนี่นา รู้สึกเหมือนว่าทุกตัวอักษรกำลังเต้นรำ สวยงามมาก ส่วนของเธอน่ะ ช่างเถอะๆ ไม่โจมตีเธอละ”
อี้เป่ยซีดึงหนังสือกลับมา ถอนหายใจ ใช้ปากกาวงๆ ขีดๆ ต่อ แม้จะอ่านเนื้อหาจบแล้ว โจทย์ท้ายบทยังมีหลายจุดที่ยังไม่เข้าใจ รู้สึกหงุดหงิด รู้สึกอยากฉีกหนังสือทิ้ง
ฉู่ซ่งเงยหน้าขึ้นมาจากเกมส์ก็เห็นท่าทางที่แทบคลั่งของอี้เป่ยซี รีบหยิบลูกอมกำหนึ่งออกจากกระเป๋าวางไว้ตรงหน้าเธอ แต่ถูกเธอปัดไปอีกทาง
“ฉู่เซี่ย คือว่า เธอไม่เคยคิดจะใช้ทรัพยากรรอบข้างให้เป็นประโยชน์เหรอ เธอดูหลานฉือเซวียน เธอดูลั่วจื่อหานสิ พวกเขาน่าจะแก้โจทย์พวกนี้ได้สบายเลยนี่นา”
“ตอนนี้หลานฉือเซวียนงานยุ่งมาก ลั่วจื่อหาน…” ทำไมไม่ไปหาลั่วจื่อหาน บางทีเธอเองก็ไม่เข้าใจ เป็นเพราะว่าไม่อยากให้เขาดูถูกเธอ? หรือเพราะไม่อยากรบกวนเขา? “เรื่องเรียนน่ะพึ่งตัวเองดีกว่า”
“อ่อ งั้นแล้วแต่เธอนะ พี่ใหญ่จื่อหานโทรมาหาฉันบอกให้เธอกลับไป ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว”
อี้เป่ยซีมองไปนอกหน้าต่าง พยักหน้า เก็บข้าวของอย่างไร้ชีวิตชีวา เดินลากเท้าออกไปจากห้องอ่านหนังสือ
————
บทที่ 110 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (2)
หลังจากอี้เป่ยซีกึ่งปีนขึ้นรถแล้วลั่วจื่อหานก็กำลังคุยโทรศัพท์ ออกจากมหาวิทยาลัยก็กำลังคุยโทรศัพท์ ใกล้จะถึงหน้าประตูบ้านก็ยังคุยโทรศัพท์ เธอขดตัวอย่างเบื่อหน่าย ทันใดนั้นก็ได้ยินคำศัพท์ที่คุ้นเคยมาก
‘นี่เป็นเนื้อหาที่เธอเพิ่งอ่านไม่ใช่เหรอ? เขา…’ แอบชำเลืองมอง แสร้งทำเป็นไม่สนใจทำเป็นหลับตาพักผ่อน แต่กลับเงี่ยหูฟังไปตามเสียงของลั่วจื่อหาน
จากทฤษฎีสู่การประยุกต์ การเปลี่ยนแปลงในระหว่างนี้ การเชื่อมต่อทางเคมี มันเหมือนกับการเคี้ยวอาหารอย่างไรอย่างนั้น รสชาติทั้งหมดผุดขึ้นมาชัดเจน เธออดไม่ได้ที่จะร้องอุทาน ทำไมเธอถึงคิดไม่ถึงจุดนี้
“หืม เป่ยซี” ทันใดนั้นลั่วจื่อหานหยุด อี้เป่ยซีเบิกตาโต
“เปล่า ฉันก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย นายพูดต่อ พูดต่อเลย”
เขาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “พูดจบแล้ว ไม่มีอะไรน่าพูดแล้ว แค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ”
“หา ไม่ใช่นะ เมื่อกี้เพิ่งพูดถึง…” เธอหุบปากทันที “เอ่อ เสียงนายเพราะมาก พูดต่อเถอะ”
“ฉันรู้”
“หา?” ไม่เคยเห็นการยอมรับคำชมที่ตรงไปตรงมาแบบนี้เลย อี้เป่ยซีไม่ได้สนใจอะไรและไม่สามารถหาหัวข้ออะไรที่จะคุยต่อไปได้ เสียบหูฟังและฟังเพลงก่อนหน้านี้วนไปเรื่อยๆ แต่ในสมองกลับกำลังคิดถึงเรื่องอื่น
ถ้าให้ลั่วจื่อหานติวให้เธอ จะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนทำให้เขาเสียเวลาหรือเปล่านะ รู้สึกว่าลั่วจื่อหานยุ่งมากเลย
“เธอฟังอะไรอยู่เหรอ?”
“หืม เพลงที่เพราะมากๆ นายอยากฟังด้วยไหม”
“ฟังได้ไหม?” ลั่วจื่อหานเผยรอยยิ้มคลุมเครือ
อี้เป่ยซีพยักหน้าหน้า เปิดลำโพง เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ช่วงแรกคือเสียงของมู่ลี่ไป๋ เสี่ยงที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ดึงผู้คนเข้าไปในฉากรัก เหมือนเป็นการร่างแบบคร่าวๆ จากนั้นเสียงที่เยือกเย็นและทุ้มต่ำค่อยๆ ทำให้ฉากรักชัดเจนยิ่งขึ้น ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมา มีความผ่อนคลาย
“เพราะมากเลยใช่ไหมล่ะ”
ลั่วจื่อหานเห็นดวงตาที่เป็นประกายของเธอพยักหน้า “เพราะมาก” เสียงนั้นเยือกเย็นเหมือนกัน อี้เป่ยซีรู้สึกประหลาดใจ หันมองอย่างเหลือเชื่อ
“นายๆๆ…ลั่ว…”
ลั่วจื่อหานฮัมเพลงเบาๆ หลังจากร้องจบแล้ว ประตูก็มาจอดที่หน้าอะพาร์ตเม้นต์ มองเธอด้วยความลึกซึ้ง “เป่ยซี เพราะมาก”
อี้เป่ยซีพูดไม่ออก กระพริบตา
“เขียนได้ดีมาก ฉันชอบมาก” จู่ๆ ลั่วจื่อหานก็กอดอี้เป่ยซีที่ยังงุนงงอยู่ “อย่าคิดแบบนั้นอีกโอเคไหม”
“ฉัน ฉันเปล่า ก็แค่ เขียนจบก็จบแล้ว”
“อืม มันจบแล้ว”
ลั่วจื่อหานเข้าอะพาร์ตเม้นต์ไปและทำกับข้าวในห้องครัวเหมือนปกติ อี้เป่ยซีกอดหนังสือเรียน มองเงาที่อยู่ในห้องครัว เสียงของลั่วจื่อหานยังคงอยู่ในหัว เสียงฮัมเพลงนั้นชวนให้หลั่งน้ำตา
“แต่ว่าการพบและการจาก ก็คือเกมส์ที่นายกำกับจุดเริ่มต้นและจุดจบด้วยตัวเอง”
ไม่รู้ว่าทำไม อี้เป่ยซีรู้สึกเจ็บปวดใจ
บนโต๊ะอาหาร ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร หลังจากอี้เป่ยซีกินเสร็จแล้วก็ขึ้นชั้นบนไปเหมือนกับหลบหนี พอมาถึงห้องก็วางเรียงรายหนังสือที่ต้องการจะอ่าน แต่อ่านไม่เข้าใจเลยสักคำ
‘ลั่วจื่อหาน นาย ทำไมถึงได้มีแววตาเศร้าแบบนี้’ เธอคิดจนด่ำดิ่ง แม้แต่ถูกลั่วจื่อหานทำให้เครียดก็ยังไม่รู้ตัว
“คิดแบบนี้ไม่ถูก” เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำเอาอี้เป่ยซีตกใจจนเกือบร่วงลงพื้น เธอเกาะยึดหนังสือตรงหน้าตัวเอง
“นายเข้ามาได้ยังไง”
“ดูว่าเธอยังคิดไม่ตกหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีไม่ได้มองเขา กำปากกาแน่นจนสั่น “คิดไม่ตกอะไร ตอนนี้ในใจฉันมีแต่เรื่องเรียน”
ลั่วจื่อหานถอนหายใจ นิ้วที่เรียวยาวกดจิ้มร่างคำตอบของอี้เป่ยซี “ไม่ถูกตั้งแต่ตรงนี้แล้ว”
“เอ๊ะ โจทย์ตัวอย่างในหนังสือเป็นแบบนี้นี่นา”
“ใช่ แต่ว่าเธอไม่ได้อ่านโจทย์ให้ละเอียด ประเด็นของมันไม่เหมือนกันซะทีเดียว เธอดูสิ…”
ลั่วจื่อหานนั่งลงข้างอี้เป่ยซีและเริ่มอธิบายโจทย์ เธอก็ไม่เกรงใจเอาโจทย์ที่สะสมไว้ก่อนหน้านี้มาถามเขาทั้งหมด ลั่วจื่อหานอธิบายอย่างใจเย็น รวมทั้งทำการเปรียบเทียบอย่างมีชีวิตชีวา อี้เป่ยซีจึงค้นพบความสนุกที่แท้จริงของวิชานี้
หลังจากจบแล้ว อีเป่ยซีบิดขี้เกียจด้วยความพึงพอใจมาก “ที่แท้ก็สนุกแบบนี้นี่เอง ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“เธอเรียนน่าเบื่อเกินไปแล้ว อีกอย่าง ยังต้องพัฒนาทักษะอีกเยอะเลย”
“อืม เยอะเลยแหละ” เธอเกาหัว “พระเจ้า ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”
ลั่วจื่อหานหยักหน้า “ใช่แล้ว ดึกมากแล้ว ข้างนอกเหมือนจะฝนตกด้วย”
เธอจึงสังเกตเห็นเม็ดฝนนอกห้อง “เอ่อ นายจะกลับไปยังไง”
“กลับไป?”
เธอรีบส่ายหน้า “ไม่ๆๆ ไม่กลับ ไม่กลับ”
ลั่วจื่อหานดื่มน้ำคำหนึ่ง “ในห้องวาดรูปมีเตียงอยู่ เธอไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน”
“ห้องวาดรูป?” เขาตอบว่าอือแล้วลุกขึ้น ค้นหาเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากตู้เสื้อผ้าด้วยความคุ้นเคย
“ดึกแล้วอากาศหนาว ห่มผ้าให้ดี” พูดจบก็ออกจากห้องนอนไป อี้เป่ยซีมองเหม่อเขาปิดประตู
ทำไมเธอไม่รู้ว่าห้องวาดรูปมีเตียงด้วย ทั้งๆ ที่เธอสำรวจห้องวาดรูปมาแล้วรอบนึงนี่นา
‘ช่างเถอะๆ ลั่วจื่อหานก็ไม่เหมือนคนที่จะเอาเปรียบเธอ ไม่ต้องไปสนใจดีกว่า’ พยักหน้าเก็บหนังสือที่อยู่บนโต๊ะใส่กระเป๋า เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
ปิดไฟขึ้นเตียงแต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เดิมทีห้องนอนเต็มไปด้วยกลิ่นของตัวเอง แต่ว่าวันนี้กลับมีกลิ่นสดชื่นจางๆ ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจ้าของกลิ่น ทั้งใบหน้าและเสียงของเขา
ในห้องวาดรูป มันมี…ไม่มีหรอก เขาน่าจะไปนอนที่โซฟามากกว่า
แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือบ้านของเขา มานอนบ้านคนอื่นแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร เช่นนั้นเธอไปดูสักหน่อยดีกว่า งั้นก็ ไปดูสักหน่อย
เธอลุกขึ้น ครุ่นคิดแล้วหยิบผ้าห่มผืนบางออกมาจากตู้ ออกไปจากห้องแผ่วเบา ไฟของห้องวาดรูปยังคงสว่างอยู่ เธอผลักประตูเปิดเบาๆ ได้ยินเสียงหัวเราะ
เสียงหัวเราะถูกปลดปล่อยเต็มที่ ไม่มีการระงับไว้เลยสักนิด
เรื่องอะไรกันที่ทำให้เขามีความสุขขนาดนี้
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเก็บข้าวขาวบนโต๊ะ มุมปากยังคงยกยิ้มอย่างมีความสุขมาก “นอนไม่หลับเหรอ?”
เธอส่ายหน้า “คือว่า ฉันเห็นว่านายไม่ได้เอาอะไรมา ก็เลยเอาผ้าห่มนี่มาให้นาย”
ลั่วจื่อหานลุกขึ้นรับ “ขอบคุณนะ”
“เมื่อกี้นายขำอะไรเหรอ?”
“อ๋อ เมื่อกี้ได้ยินคนเล่านิทาน เรื่องของฮีโร่มีปมคนนึงที่มีความรู้สึกนึกคิด ก็เลยอดหัวเราะไม่ไหว”
‘การมีปมมีอะไรน่าขำเหรอ’ เธอคิดในใจ
“อืม งั้นราตรีสวัสดิ์”
“เธอเห็นของพวกนั้นแล้วยัง?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า “ลั่วจื่อหาน นายเก่งมาก ฉัน มีบางเรื่องที่ฉันอยากจะเข้าใจ”
เขายื่นมือดึงเธอมาอยู่ข้างกาย “อืม ฉันเชื่อเธอ”
“นาย” เธอต้องการจะออกจากอ้อมอกของลั่วจื่อหาน แขนที่อยู่บนตัวยิ่งออกแรง
————
บทที่ 111 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (3)
“คือว่า…”
“ช่วงนี้ฉันไม่ยุ่งอะไร ไม่เข้าใจก็ถามฉันได้”
อี้เป่ยซีลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ “เมื่อกี้ นายคุยโทรศัพท์กับฉู่ซ่งเหรอ?”
“เจ้าเด็กโง่”
เธอหัวเราะหึหึอย่างเขินอาย โอบเอวลั่วจื่อหานด้วยอาการออดอ้อน “อืม นายดีจังเลย”
จากนั้นอี้เป่ยซีก็เริ่มเส้นทางการทบทวนบทเรียนของตัวเองที่ทั้งผ่อนคลายและชัดเจน ภายใต้คำอธิบายของลั่วจื่อหาน ทฤษฎีที่คลุมเครือนั้นง่ายขึ้นมาก ขณะที่ทำแบบฝึกหัดก็รู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่นขึ้นเป็นกอง เหมือนคนไม่เอาถ่านที่จู่ๆ ตรัสรู้ได้อย่างไรอย่างนั้น
ในการเข้าสอบแต่ละครั้งไร้ซึ่งความตื่นเต้นหรือกังวลเหมือนเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง มีเพียงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น
ยังเหลือสอบวิชาสุดท้าย อี้เป่ยซีกำลังอ่านหนังสือ รู้สึกเศร้าเล็กน้อย ถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว
ปิดเทอมแล้ว เธอจะกลับหรือว่าไม่กลับไปดีนะ
“เป็นอะไรไป?” ลั่วจื่อหานที่นั่งอยู่ข้างๆ โน้มตัวไปข้างหน้า มองหนังสือบนโต๊ะของเธอ “ไม่เข้าใจตรงไหน?”
“เปล่า ก็แค่ เฮ้อ ใกล้จะปิดเทอมแล้ว”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า จากนั้นก็อ่านนิตยสารในมือ พลิกสองสามหน้า “ถ้างั้นไปเที่ยวดีไหม?” วางนิตยสารในมือลงบนโต๊ะ “ที่จริงที่พวกนี้ก็ไม่เลวเลย”
อี้เป่ยซีดวงตาเป็นประกาย ใช่แล้ว ไปเที่ยว “จริงด้วย สถานที่พวกนี้สวยมากเลย”
“อืม อย่างที่พวกนี้ก็เหมาะดี” เขามองดูใบหน้าด้านข้างของอี้เป่ยซีแล้วยิ้ม พลิกกลับไปหน้าที่อ่านก่อนหน้านี้ “ที่จริงเมือง A ก็ได้นะ”
เธอส่ายหัว หัวเราะเจื่อนๆ “ไม่ได้หรอกนะ ไปเที่ยวเมืองนอกดีกว่า อือเหมือนที่นี่จะไม่เลว…”
จนกระทั่งอี้เป่ยซีสอบเสร็จ เพิ่งจะออกจากห้องเรียนก็ถูกเจี้ยลากตัวไปแล้ว
“นี่ พี่เจี้ย พี่จะพาฉันไปไหน” อี้เป่ยซีคว้าเสื้อของตัวเอง พยายามแกะมือของเขาออกแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมาถึงลานจอดรถ เจี้ยจึงปล่อยเธอ สงบสติอารมณ์ของตัวเอง
“เธอไม่ได้กลับไปนานแค่ไหนแล้ว”
อี้เป่ยซีนวดคลึงแขนของตัวเอง ไม่มองเขา “ไม่นานนี่ อัยยา ก็ฉันยุ่งเรื่องเรียนนี่นา?”
“พี่จะพาเธอกลับไป” กำลังจะยื่นมือ อี้เป่ยซีรีบหลบ
“ฉัน ฉันยังไม่ได้เริ่มเก็บของเลย”
“หอพักเธอยังมีของของเธอเหรอ?”
ถูๆ เท้าอยู่บนพื้น เธอมองไปทางอื่น ราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่าง “พี่เจี้ย ตอนนี้พี่อารมณ์เสีย ฉันไม่อยากนั่งรถพี่ มันอันตราย”
“เป่ยซี” เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เป่ยเฉินคิดถึงเธอมาก”
“ฉัน เปล่านะ ปิดเทอมฤดูร้อนนี้ฉันมีธุระแล้ว”
“ไปเที่ยว? ไปกับลั่วจื่อหาน?”
เธอก้มหน้า “รู้แล้วยังจะถามฉันอีก”
“เป่ยซี เธอไม่รู้ว่าลั่วจื่อหานเป็นคนยังไง ทำไมถึงไปสนิทกับเขาขนาดนั้น พี่ชายเธอก็หวังดีกับเธอ อย่ารอให้ตัวเองทนทุกข์แล้วต้องมาเสียใจทีหลังที่ไม่ฟังคนอื่น”
“อืมๆๆ ฉันรู้แล้ว” เธอเหลือบมองข้างหลัง “พี่เจี้ยฉันยังมีธุระ ไปก่อนนะคราวหน้าจะไปหาพี่” พูดจบก็วิ่งหนีทันที เปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับแล้วเข้าไปนั่งอย่างร้อนรน เร่งให้ลั่วจื่อหานไปเร็วๆ
“วันนี้นายช้าจังเลยนะ” ถอนหายใจ หยิบน้ำออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง “คิดไม่ถึงว่าพี่เจี้ยจะมา”
“ระหว่างทางมีเรื่องนิดหน่อยก็เลยมาสาย ตอนนี้ไปส่งเธอที่สนามบิน?”
อีเป่ยซีกลืนน้ำที่เพิ่งดื่มไปเมื่อครู่อย่างแรง “ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ ฉันยังไม่ได้เอาของเลย”
“อยู่ท้ายรถ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ปกตินายไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา”
ลั่วจื่อหานชำเลืองมองเธอ มองไปข้างหน้าต่อด้วยความจริงจัง “ไม่มีอะไร”
‘ไม่มีอะไรได้ยังไง’ อี้เป่ยซีพิงหน้าต่างรถหลับตา และไม่ได้คิดอะไรอีก “ฉันเพิ่งสอบเสร็จก็เลยเหนื่อยนิดหน่อย”
“กลับไปจะทำของอร่อยให้เธอกิน”
“ก็ดีนะ”
หลังอาหารมื้อค่ำ อี้เป่ยซีคิดจะไปเก็บข้าวของตัวเอง เตรียมพร้อมที่จะไปเที่ยว ปิดกระเป๋าเดินทางอย่างพออกพอใจ รู้สึกผ่อนคลายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เตรียมของเสร็จแล้วเหรอ?” ลั่วจื่อหานผลักประตูเข้ามาก็เห็นอี้เป่ยซีที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าพอใจ เอ่ยถาม
อี้เป่ยซีตอบรับ “แค่คิดว่าตัวเองจะไปเที่ยวก็ดีใจแล้ว”
“ของใช้ในห้องน้ำเอาไปแล้วยัง?”
“อ๊ะ เหมือนจะไม่ได้เอาไป” ลุกขึ้นจากเตียงทันที ถือกระเป๋าใบเล็กออกมาด้วยความว่องไว “ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว”
“ชุดนอนเอาไปแล้วยัง?”
“ถ้านายไม่พูดฉันก็ลืมไปแล้ว”
“ที่โน่นอากาศต่างกันเยอะ มีเสื้อแขนยาวบ้างไหม?”
“ไม่มีอ่ะ”
เห็นอี้เป่ยซีงุ่นง่านกับการเก็บข้าวของมากมายอีกครั้ง กระเป๋าใบน้อยใหญ่สี่ห้าใบกองอยู่ด้วยกัน
“แบบนี้เธอจะขนหมดได้ยังไง?”
เธอมองดูกระเป๋าเดินทางที่กองกัน พยักหน้า “นั่นสิ ทำยังไงดีล่ะ”
ลั่วจื่อหานส่ายหน้า “ฉันจัดการเองเถอะ”
“ลั่วจื่อหาน นายเก่งจริงๆ เลย” อี้เป่ยซีมองเงาของลั่วจื่อหานที่ก้มตัวกุลีกุจอ อดไม่ไหวที่จะชื่นชม “นายหิวน้ำไหม ฉันช่วยรินน้ำให้นายไหม?”
“อืม”
จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ลั่วจื่อหานเผยยิ้ม ภายในตึกหลังนี้ดูเหมือนจะมีคำว่าบ้านเข้ามาเติมเต็มแล้ว
อี้เป่ยซีคิดว่าไม่ควรแค่รินน้ำธรรมดา หาๆๆ ในตู้กับข้าว เจอชาที่ตัวเองซื้อมาก่อนหน้านี้ หลังจากชงเสร็จแล้ว โทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะสั่นจนเคลื่อนที่ อี้เป่ยซีไม่ได้สนใจ โทรศัพท์มือถือยังคงสั่นอยู่ตลอดเวลา รอบแล้วรอบเล่า เธอยืนอยู่หน้าโต๊ะ ไม่ขยับเขยื้อน
ในที่สุดหน้าจอมือถือก็ดับลง ผ่านไปสักพักก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าไม่รับก็คงไม่ยอมแพ้ เธอถอนหายใจ กดรับสายแล้ว
“พี่”
“เป่ยซี เป่ยเฉินทำอะไรให้เธอโกรธใช่ไหม”
“คุณแม่อี้”
“เมื่อกี้แม่ช่วยเธอสั่งสอนเขาแล้ว เธอวางใจเถอะ เขาจะไม่รังแกเธออีกแล้ว ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน หรือจะให้แม่บอกตาเจี้ยให้ไปรับเธอ”
“คุณแม่อี้กลับประเทศมาแล้วเหรอ?”
“ใช่สิ ก็เพราะว่าพวกเธอสองคนไม่อยากไปหาแม่ เป่ยซีกลับบ้านเถอะ ไม่เจอเธอมาเกือบปีแล้ว แม่คิดถึงเธอมากเลย”
อี้เป่ยซีเม้มปาก ไม่ได้ตอบ
“เป่ยซี แม้แต่แม่ก็ไม่อยากเจอเหรอ? เธอกับเป่ยเฉิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เกิดอะไรขึ้นเหรอ? จะบอกว่าพี่เป่ยเฉินมีแฟนแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในห้องของเธอ เธอในฐานะน้องสาวของเขา ดูเหมือนว่าจะโกรธเพราะสาเหตุนี้ไม่ได้ ใช่แล้ว การที่ตัวเองโกรธถึงขนาดนี้เป็นเพราะยังคิดถึงเรื่องพวกนั้นอยู่หรือเปล่า? ไหนตกลงกันแล้วว่าจะอวยพรให้พี่ชายไม่ใช่เหรอ?
“เปล่าค่ะ หนูกำลังเก็บของ กลับไปพรุ่งนี้เช้าได้หรือเปล่า?”
“ได้ๆๆ พรุ่งนี้แม่จะทำกับข้าวจานโปรดของเธอให้กิน”
“อืม เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” อี้เป่ยซีวางหู เงยหน้าขึ้นเห็นลั่วจื่อหานอยู่ที่บันได
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับไป” เธอก้มหน้า และเริ่มคนชา
ลั่วจื่อหานเดินมาหาเธอ กุมมือของเธอไว้ “ที่จริงเธอกลับไป ฉันก็วางใจขึ้นมาบ้าง เธอเข้าใจทุกอย่างแล้วจริงๆ เป่ยซี”
————
บทที่ 112 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (4)
เช้าวันต่อมา ลั่วจื่อหานมาส่งอี้เป่ยซีที่จิ่นหยวน
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานดึงกระเป๋าของเธอ ไม่ยอมปล่อยมือ
อี้เป่ยซีหันกลับไป ยิ้มผ่อนคลาย “ไม่เป็นไรน่า นายกำลังกังวลเรื่องอะไร?”
จู่ๆ เขายื่นมือดึงเธอเข้ามากอด ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กอดไว้อยู่แบบนี้ ราวกับว่าหากปล่อยมือแล้วก็จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก
“ฉันก็แค่กลับบ้าน ไม่ได้ไปตายสักหน่อย นายจะตื่นเต้นไปทำไม” อี้เป่ยซีตบๆ ไหล่ของเขา “ตอนนี้เพิ่งเห็นว่านายยังมีด้านเด็กน้อยแบบนี้เหมือนกัน”
“ใช่ งั้นเธอจะปลอบฉันยังไง”
“หา?” เธออดขำไม่ไหว “นายเป็นแบบนี้ฉันปลอบไม่ไหวหรอกนะ”
ได้ยินแล้วลั่วจื่อหานจึงปล่อยมือ แสดงอาการประมาณว่าถ้าเธอปลอบไม่ดีฉันก็จะไม่ปล่อยเธอไปไหน อี้เป่ยซีเขย่งปลายเท้า จูบริมฝีปากเขาเบาๆ
“แบบนี้ได้ไหม? สบายใจขึ้นบ้างหรือเปล่า?”
ลั่วจื่อหานดึงสติกลับมาจากความงุนงง ส่ายหน้า ทำเป็นแสดงสีหน้าไม่พอใจมาก
“เอาล่ะ” อี้เป่ยซีลากกระเป๋าเดินทางที่อยู่ด้านข้าง “งั้นฉันกลับก่อนนะ”
“เป่ยซี”
“หืม” เขาโน้มตัวประกบริมฝีปากของเธอ ค่อยๆ ยื่นปลายลิ้นออกมา มุมปากของอี้เป่ยซียกยิ้ม จูบตอบด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย ราวกับว่าระบบการยับยั้งชั่งใจของลั่วจื่อหานขัดข้อง คว้าศีรษะของเธอและดื่มด่ำกับของเหลวในปากของเธอ จนกระทั่งทั้งสองคนหายใจติดขัด เขาจึงผ่อนคลายด้วยความไม่เต็มใจนัก และกัดริมฝีปากที่บวมแดงแผ่วเบา
“นายเป็นหมาหรือไง?” ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
เขาโน้มตัว “เธอจะกัดกลับก็ได้นะ”
“ไม่ ไม่ต้องล่ะ ลาก่อน” ลากกระเป๋าวิ่งเหยาะๆ ลั่วจื่อหานตอบกลับว่าลาก่อนอย่างมีความสุข รอจนกระทั่งเธอมาถึงหน้าประตูจึงขับรถจากไป
อี้เป่ยซีควานหาในกระเป๋าตัวเอง ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่าคราวก่อนทิ้งกุญแจไว้ที่บ้าน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะต้องกดกริ่งเหมือนเป็นคนนอก
มือกดกริ่งสีขาว มองดูประตูที่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้ รู้สึกห่างเหินและไม่คุ้นเคย ‘เป็นเพราะว่าไม่ค่อยกลับบ้านงั้นเหรอ แต่ว่าก็แค่ไม่กี่เดือนเองนะ’
“ใครคะ มาแต่เช้าเลย” เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ความรู้สึกเหินห่างหายไปจากร่าง อี้เป่ยซีอ้าแขนกอดร่างนั้นไว้แน่น
“อือ คุณแม่อี้หนูคิดถึงแม่จังเลย”
เธอตบๆ ไหล่ของอี้เป่ยซีเชิงตำหนิ “คิดถึงแม่ก็ไม่รู้จักโทรมาหาแม่บ่อยๆ ถ้าพี่เธอไม่บอกแม่ก็ไม่รู้ เธออยู่ที่นี่…”
“หนูอยู่ที่นี่สบายดีค่ะ ใช่ว่าแม่ไม่รู้จักพี่ชาย เรื่องเล็กๆ เขาก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ คุณแม่อี้ ให้หนูเข้าบ้านก่อนเถอะ” อี้เป่ยซีลากกระเป๋า รู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแต่ก็รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป
เธอกำกระเป๋าตัวเองแน่น ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน
“ไม่กลับบ้านแค่ไม่กี่วัน ลืมแล้วเหรอว่าห้องของตัวเองอยู่ที่ไหน?” คุณแม่อี้ยกมือขึ้นเคาะหน้าผากของเธอ “วางไว้ก่อน เดี๋ยวจะให้เป่ยเฉินมายกขึ้นไปให้เธอ”
“พี่อยู่บ้านเหรอคะ” ได้ยินคำพูดของอี้เป่ยซี เธอรู้สึกทะแม่งๆ แต่เมื่อคิดดูอีกแล้วก็ไม่ได้ถามอะไร เป็นการแสดงความสนิทสนมของคนในครอบครัวตามปกติ เธอน่าจะคิดมากไป คุณแม่อี้มองดวงตาที่สดใสของ
อี้เป่ยซี ยังคงมีลักษณะที่ไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกเหมือนเมื่อก่อน พยักหน้าอย่างวางใจ
‘เธอน่าจะคิดมากไป พวกเขาสองคนน่าจะไม่มีเรื่องอะไรหรอกมั้ง’
“ทำไมล่ะ ไม่อยากให้พี่ชายเธออยู่กับพวกเราเหรอ?”
“จะเป็นไปได้ยังไง คุณแม่อี้กลับมาแล้ว พี่จะต้องทิ้งธุระทั้งหมดเพื่อมาอยู่กับแม่แน่ๆ แค่คิดไม่ถึงว่าสายป่านนี้แล้วพี่ยังไม่ตื่นอีก”
คุณแม่อี้เผยรอยยิ้มโอบอ้อม “แม่ให้เขาจัดห้องให้เธอแล้ว เป็นการลงโทษ”
“อ่อ” อี้เป่ยซีหัวเราะ รู้สึกซีดขาวหมดแรง จากนั้นอี้เป่ยเฉินค่อยๆ ลงมาจากชั้นบน เดินมาหาเธอหิ้วกระเป๋าแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน ไม่พูดไม่จา
“เด็กคนนี้นี่ ทำไมไม่พูดอะไรสักคำ”
อี้เป่ยซีเม้มปาก “ไม่รู้สิคะ ถูกคุณแม่อี้ทำโทษเป็นใครก็อารมณ์เสียทั้งนั้น งั้นหนูขึ้นไปดูหน่อยนะ?”
เธอพึงพอใจกับความเป็นห่วงของอี้เป่ยซีมาก พยักหน้า ตบๆ หลังมือของเธอ “อืม ไปเถอะ”
อี้เป่ยซีจงใจเดินเข้าห้องของตัวเองช้าๆ การตกแต่งยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอากาศยังคงมีกลิ่นเทียนหอมสดชื่น ม่านหน้าต่างสีอ่อนยังคงพริ้วไหวเบาๆ เธอมองดูอี้เป่ยเฉินที่จัดกระเป๋าของเธออย่างตั้งใจ พูดอะไรไม่ออก
“คิดจะยืนอยู่ตรงนั้นตลอดเลยหรือไง?”
“เปล่า เดี๋ยวก็ลงไปกินข้าวแล้ว”
“ถ้าแม่ไม่กลับมา เธอกะว่าจะไม่กลับบ้านอีกแล้วใช่ไหม”
อี้เป่ยซีเดินไปข้างหน้า “จะเป็นไปได้ยังไง พี่ชายกับแม่ของฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไม่กลับบ้านได้ยังไงล่ะ” เธอมองดูเสื้อผ้าในมือของอี้เป่ยเฉิน “ฉันทำเองเถอะ”
อี้เป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร หลีกทางมองเธอเก็บข้าวของ “เธอกับลั่วจื่อหานไปถึงขั้นไหนแล้ว?”
“ถึงขั้นไหนอะไร พวกเราเป็นแค่เพื่อน”
“เพื่อนที่นอนเตียงเดียวกันงั้นเหรอ”
เธอหยุดชะงัก “พี่ ฉันไม่อยากทะเลาะอะไรกับพี่ ฉันบอกไปแล้ว ว่าฉันสิบแปดแล้ว ฉันจัดการเรื่องของตัวเองได้ พี่ไม่ต้องห่วงฉันตลอดเวลาหรอก”
“งั้นเหรอ ถ้าฉันไม่ห่วงเธอ ก็ขึ้นเตียงกับลั่วจื่อหานไปนานแล้วใช่ไหม”
“พี่ พี่พูดเหลวไหลอะไร” อี้เป่ยซีปิดกระเป๋าเดินทางอย่างแรง “พวกเราไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น ลั่วจื่อหานไม่ได้เป็นแบบที่พี่คิด เขาเป็นคนดีจริงๆ”
“พวกเธอมีอะไรกันแล้ว?”
อี้เป่ยซีระงับความต้องการที่จะระเบิดออกมา ยัดเสื้อผ้าเข้าตู้เสื้อผ้าอย่างแรง “ฉันกับลั่วจื่อหานไม่เหมือนพี่กับฉินรั่วเข่อ”
“อ๋อ เธอหึงเหรอ?”
เธอหัวเราะ “พี่คะ วันนี้วันหยุดควรจะพาคุณแม่อี้ออกไปเดินเล่นไม่ใช่เหรอ?” เธอหันหลัง “อารมณ์จะได้ดีขึ้น”
อี้เป่ยเฉินก็หัวเราะและเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ยกคางเธอขึ้นบังคับให้มองหน้าตัวเอง กัดริมฝีปากของเธออย่างแรง คว้ามือของเธอที่ดิ้นรนสุดชีวิต กลับหลังหันกดเธอลงบนเตียง
“อือ พี่เป่ย…ปล่อย…” มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือที่เรียวบางของเธอล็อคไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างยื่นเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ มือที่หยาบกระด้างลูบคลำอยู่บนผิวที่ละเอียดอ่อน อี้เป่ยซีตัวสั่น ร่างที่หนักอึ้งของเขาทับอยู่บนตัว ไม่มีช่องว่างให้ขัดขืน
เธอหยุดดิ้นรน หลับตา น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด อี้เป่ยเฉินจึงค่อยๆ ปล่อยเธอ กอดเธอแน่นในอ้อมแขน “เสี่ยวซี พี่…”
“พี่ ทำไมพวกเราถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไม”
อี้เป่ยเฉินเช็ดน้ำตาของอี้เป่ยซีอย่างตื่นตระหนก “เสี่ยวซี พวกเราอยู่ด้วยกันเถอะ”
เธอหัวเราะอย่างเยือกเย็นจนชวนให้ใจสลาย “พวกเราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง พี่ พวกเราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
————
บทที่ 113 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (5)
อี้เป่ยซีอาศัยช่วงที่อี้เป่ยเฉินกำลังอึ้งลุกขึ้นนั่ง สงบลมหายใจของตัวเอง ก้าวเท้ายาวๆ ไปห้องน้ำ ปิดประตูอย่างแรง จากนั้นเสียงน้ำซู่ก็ดังขึ้น
อี้เป่ยเฉินมองดูอ้อมแขนที่ว่างเปล่า รู้สึกทรมานเหมือนมีบางอย่างสูบออกไปจนแห้งเหือด บางจุดในร่างกายก็รู้สึกเจ็บจางๆ เขาพยุงตัวลุกขึ้น มองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ค่อยๆ ค่อยๆ เดินออกไป
“เอ๊ะ ทำไมเป่ยซีไม่ลงมาด้วยล่ะ?” คุณแม่อี้มองไปด้านหลังอี้เป่ยเฉิน เอ่ยถาม
“อาบน้ำ” ตอบสั้นๆ ราวกับกลัวดอกพิกุลทองจะร่วง นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้ชีวิตชีวา ยกแก้วน้ำขึ้น
“นั่นมันของเมื่อวาน”
เขาดื่มไปอึกหนึ่ง น้ำเสียงเมินเฉย “ไม่เป็นไร”
“เฮ้อ ลูก…”
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ของเขาด้วยอารมณ์ที่ชัดเจน “เดี๋ยวฉินรั่วเข่อจะกลับมา”
“เขา” คุณแม่อี้วางกระแทกอาหารเช้าลงบนโต๊ะ “ลูกยังสร้างความวุ่นวายไม่พอเหรอ?”
“ผมมีวิธีของผม แม่ไม่ต้องยุ่ง”
เธอดึงแก้วในมือของอี้เป่ยเฉินออกมา แทนที่ด้วยชาร้อนแก้วหนึ่ง “ลูกเป็นลูกของแม่ เป่ยซีก็เป็นลูกสาวที่แม่อุปการะมาหลายปี พวกลูกเป็นยังไงแม่จะไม่รู้เหรอ เป่ยเฉิน ถ้าลูกอยากจะอยู่กับเป่ยซี…”
“ผมไปจัดการงานที่บริษัทก่อน แม่กับเสี่ยวซีกินก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะมารับออกไปข้างนอก”
“ลูกนี่นะ” คุณแม่อี้ส่ายหน้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “ไปเถอะๆ”
ผ่านไปสักพัก อี้เป่ยซีจึงลงมาจากชั้นบนด้วยความอืดอาด มองรอบทิศ เมื่อเห็นว่าไร้เงาของอี้เป่ยเฉิน ก็รู้สึกโล่งอกโดยไม่รู้ตัว บิดขี้เกียจอย่างผ่อนคลายเดินไปหาคุณแม่อี้ กอดเธอจากด้านหลัง
“ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือคุณแม่นานแล้ว”
คุณแม่อี้ตบหลังมือเธอเบาๆ “งั้นเธอต้องกินเยอะๆ ช่วงนี้เห็นเธอผอมลงมาก กอดแล้วเจอแต่กระดูก”
“คุณแม่รังเกียจหนูแต่เช้าเลยเหรอ น่าเสียใจจังเลย” เธอปล่อยมือ สูดจมูกฟึดฟัด “ทำไมหนูถึงน่าสงสารแบบนี้นะ”
“เอาล่ะๆ เอาใหญ่แต่เช้า กินข้าวก่อนเถอะ กินแล้วค่อยกวน”
กินข้าวก่อนเถอะ อี้เป่ยซีคิดถึงท่าทางของลั่วจื่อหานขึ้นมาทันใด หมอนั่นชวนให้เธอกินข้าวทุกครั้ง ‘เอาล่ะกินข้าวๆ’ อี้เป่ยซีนั่งลงที่โต๊ะจึงนึกขึ้นมาได้ “เอ่อ คุณแม่อี้ พี่ล่ะคะ?”
“เขาไปที่บริษัทแล้ว จะให้แม่บอกให้เขากลับมาตอนนี้หรือเปล่า?”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง พี่เขางานยุ่ง อย่ากวนเขาเลย”
คุณแม่อี้ยกถ้วยซุปให้อี้เป่ยซี “แม่นึกว่าตอนนี้พวกเธอตัวติดกันซะอีก เมื่อก่อนเธอตามหลังพี่เป่ยเฉินตลอดเลยไม่ใช่เหรอ?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า “ใช่แล้วๆ ตอนนี้ก็ยังตามหลังพี่เขา ทำยังไงก็ตามไม่ทัน ทรมานมากเลยนะคะ”
“พอได้แล้ว กินเถอะ”
อี้เป่ยซีชิมกับข้าวไปคำหนึ่ง คิ้วขมวดกันเล็กน้อย แล้วก็กินเงียบๆ
เมื่อก่อนคิดมาตลอดว่ากับข้าวที่คุณแม่อี้ทำคือกับข้าวที่อร่อยที่สุดในโลกใบนี้ ทุกครั้งที่มาก็คิดถึงรสชาติในอดีตอยู่เสมอ จนเมื่อได้กินจริงๆ แล้ว จึงพบว่าเหมือนจะต่างจากรสเลิศที่ตัวเองจินตนาการไว้มาก หากเทียบกับอาหารที่ลั่วจื่อหานทำแล้วก็ต่างกันมากเช่นกัน
ทำไมถึงคิดถึงลั่วจื่อหานอยู่เสมอ เธอกัดเนื้อคำหนึ่งอย่างแรง ‘ตอนนี้เขากินข้าวเช้าแล้วยัง? หรือว่าไม่ทันได้กินก็ไปที่บริษัทแล้ว?’
‘อัยยา จู่ๆ คิดถึงลั่วจื่อหานแบบนี้ไม่วางใจเลยจริงๆ ทั้งที่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว’
ทันใดนั้นก็อยากกินฝีมือของลั่วจื่อหาน อยากเจอเขาจังเลย
ความรู้สึกแบบนี้ช่างน่าผิดหวังจัง
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
เธอส่ายหน้า พูดจาตะกุกตะกัก “กำลังคิดว่าทำไมคุณแม่อี้ทำกับข้าวอร่อยจังเลย ทำไมหนูถึงทำไม่เป็นสักที”
“ถ้าอยากหัดคราวนี้แม่จะสอนเธอ”
ภาพที่ลั่วจื่อหานจับมือเธอทำกับข้าวในตอนนั้นผุดขึ้นมาในสมองของอี้เป่ยซีฉับพลัน หน้าแดงโดยไม่รู้ตัว ‘หัดทำกับข้าวให้ลั่วจื่อหานกินงั้นเหรอ? เขาจะต้องไม่ชอบแน่ๆ เลย’
‘เชอะ มีแต่ลั่วจื่อหานหรืออย่างไรกัน เธอจะทำให้ฉู่ซ่ง หลานฉือเซวียน หรือเซี่ยเช่อกินก็ได้นี่นา แต่ว่านะ พวกเขาก็ทำกับข้าวเป็นทั้งนั้น ทำไมเธอถึงไม่ได้เรื่องแบบนี้’
“เฮ้อ หนูไม่มียีนส์ทำกับข้าวหรอก”
“งั้นก็ดี ให้เป่ยเฉินทำให้เธอกินสิ”
มือของอี้เป่ยซีหยุดชะงัก จู่ๆ ก็หมดความอยากอาหาร หัวเราะเจื่อนๆ กินไปอีกไม่กี่คำ วางตะเกียบลง “เอาล่ะ หนูอิ่มแล้ว”
“กินน้อยจังเลย?”
“เยอะแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้คิดถึงแต่เรื่องสอบ ไม่ค่อยหิว ที่หนูกินตอนนี้ถือว่าเยอะที่สุดในช่วงนี้แล้ว”
คุณแม่อี้เก็บโต๊ะ “เรียนหนักมากเลยเหรอ?”
“ทั่วๆ ไปค่ะ หนูรู้สึกว่าเทอมนี้ก็ไม่เลวเท่าไร” เธอแสดงอาการโอ้อวด เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามเป่ยเฉินได้ ถึงเขาจะยุ่งก็มีเวลาติวให้เธอ”
เธอรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่เขา…เอ่อ หนูเรียนเองได้ มีเพื่อนคอยช่วยหนู”
“เป่ยซีเอ๊ย” เธอหยุดชะงัก “เธอสนิทกับลั่วจื่อหานมากเหรอ?”
อี้เป่ยซีชักขาของตัวเองกลับมา พูดจาติดขัดเล็กน้อย “หนู เขา เป็นแค่ เพื่อน พี่ เขาทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่”
“ไม่เป็นไร เป่ยซีตอนนี้เธอสิบแปดแล้ว จะคบหากับใครก็เป็นอิสระของเธอ บางทีเป่ยเฉินก็ระแวงไปหน่อย แต่ว่าเป่ยซี เธอรู้ภูมิหลังของลั่วจื่อหานดีแล้วเหรอ เขา…”
“หนูไม่ได้เป็นเพื่อนกับภูมิหลังของเขา” อี้เป่ยซีพึมพำ เห็นปฏิกิริยาของคุณแม่อี้ก็รู้ว่าเธอได้ยินแล้ว อีกทั้งยังเป็นคำตอบที่ทำให้เธอไม่พอใจมาก ยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “เอ่อ หนูเข้าใจที่คุณแม่อี้พูดแล้ว จะทำตามที่สอนค่ะ”
“พูดจาเก่งนะ”
“ทำก็เก่งด้วยค่ะ หนูยังช่วยคุณแม่อี้เก็บของได้ด้วยนะ” พูดพลางช่วยเธอเก็บถ้วยตะเกียบไปไว้ในห้องครัวและช่วยล้าง จากนั้นก็อยู่พูดคุยที่ชั้นล่างครู่หนึ่ง จู่ๆ คุณแม่อี้บอกว่าจะออกไปเดินเล่น อี้เป่ยซีครุ่นคิด พยักหน้าและขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
เลือกเสื้อและกางเกงที่ใส่สบาย หยุดอยู่หน้าประตูสักพัก แล้วเปิดโทรศัพท์มือถือ
“ฮัลโหล ว่าไง?” น้ำเสียงอ่อนโยน
“ปะ เปล่า”
“ไม่มีอะไรทำไมพูดตะกุกตะกักล่ะ” ไม่รู้ว่าลั่วจื่อหานอยู่ที่ไหน เงียบสงบมาก ‘น่าจะอยู่ที่ออฟฟิศของตัวเองล่ะมั้ง ยังไม่รู้เลยว่าออฟฟิศของเขาเป็นอย่างไร? เหมือนกับของพี่ชายหรือเปล่า?’
“ออฟฟิศนายเป็นยังไงเหรอ” หลุดประโยคนี้ออกมาโดยไม่รู้ อี้เป่ยซีอดไม่ไหวกัดลิ้นของตัวเอง ‘แค่คิดก็พอแล้ว จะถามทำไมกัน’
ทางนั้นก็คงคิดไม่ถึงว่าจะมีคนถามคำถามนี้ หลังจากผ่านไปหลายวินาทีจึงหัวเราะ “อือ เธอจะมาเยี่ยมก็ได้นะ”
“เปล่า ฉันเปล่า เมื่อสายมันซ้อนกัน”
“อ๋อ สายซ้อน มีอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไรก็โทรหานายไม่ได้เหรอ” อี้เป่ยซีมุ่ยปาก นั่งลงบนเตียง
“เปล่า ก็แค่ ช่างเถอะ เป่ยซี เธอจะโทรหาฉันเมื่อไรก็ได้ ฉันดีใจมาก”
เธอยิ้มกว้าง “ไม่รบกวนนายเหรอ?”
“ไม่รบกวน”
อี้เป่ยซีจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยากถามอะไร “แล้ว เมื่อเช้านาย กินข้าวแล้วยัง?”
“เพิ่งคิดจะถามเรื่องข้าวเช้าฉันป่านนี้เหรอ?”
“ใช่สิ ถ้านายยังไม่กิน ไม่มีอะไรไม่มีอะไรที่อยากกิน ฉันจะ…”
“ส่งข้าวมาให้ฉัน?”
“ฝันไปเถอะ ฉันจะช่วยนายสั่งข้าวจากข้างนอก”
————
บทที่ 114 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (6)
ทั้งสองคนคุยกันสักพัก อี้เป่ยซีได้ยินเสียงเคาะประตูของคุณแม่อี้จึงต้องการวางสาย
“ไม่คุยกับนายแล้ว ฉันจะออกไปข้างนอกกับคุณแม่อี้”
“อี้เป่ยเฉินด้วยเหรอ?”
ทันใดนั้นอี้เป่ยซียิ้ม หรี่ตา “หึงเหรอ?”
“รู้ว่าฉันหึง แสดงว่ายังมีสติอยู่”
“ฉันเปล่า เอาล่ะฉันจะวางสายแล้ว ไว้ค่อยคุยกัน”
“เป่ยซี”
เธอสะพายกระเป๋าของตัวเอง เอียงศีรษะ “หืม?”
“จู่ๆ ก็คิดถึงเธอจังเลย”
เธอมีความสุขโดยไม่รู้ตัว “ไม่เจอกันนานแค่ไหนเอง”
“นานมาก นานมากๆ แล้ว”
คุณแม่อี้เคาะประตูอยู่ข้างนอกอีกหลายครั้ง อี้เป่ยซีบอกลาพอเป็นพิธีแล้ววางสายไป เปิดประตูโผเข้ากอดคุณแม่อี้
“คุณแม่อี้ยังใจร้อนเหมือนเดิมเลย”
“คุยโทรศัพท์?”
“เปล่าค่ะเปล่า” เธอลูบจมูกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “หนูก็แค่รู้สึกว่า ออกไปกับคุณแม่คนสวยขนาดนี้ก็ต้องแต่งตัวให้ดีหน่อย ก็เลยใช้เวลานานไปนิด เป็นไงบ้าง ดูสดใสมากไหมคะ สวยมากไหม” อี้เป่ยซีหมุนตัวสองสามรอบ แล้วหมุนรอบคุณแม่อี้อีกสองสามรอบ
“สวยหรือเปล่า สวยหรือเปล่า”
คุณแม่อี้ยื่นมือหยิกแก้มของเธอ “สวยๆๆ เธอสวยที่สุดเลย ไปกันเถอะ”
อี้เป่ยซีหัวเราะควงแขนของเธอลงไปข้างล่าง เดินไม่กี่ก้าวก็เห็นรถที่คุ้นเคยปรากฏสู่สายตา จอดข้างพวกเธอ อี้เป่ยซีตามคุณแม่อี้ขึ้นไปนั่งเบาะหลัง พูดคุยหยอกล้อกับเธอ เสียงหัวเราะที่ดังเป็นครั้งคราวค่อยๆ บรรเทาบรรยากาศที่อึดอัด
มาถึงศูนย์การค้า คุณแม่อี้ก็ซื้อๆๆ เต็มที่ ลากอี้เป่ยซีลองชุดในร้านเสื้อผ้าทุกร้าน ซื้อเสื้อผ้าหลายสไตล์ ในขณะที่อี้เป่ยซีเดินแทบไม่ไหวแล้วนั้น คุณแม่อี้ก็ดึงดันต้องการจะลากเธอไปซื้อชุดชั้นในอีกสองสามตัว
“คุณแม่อี้ หนูไม่จำเป็นต้องซื้อจริงๆ จริงๆ นะคะ”
“เป่ยซี ทิ้งของเก่าไปได้แล้ว เด็กเกินไปแล้ว คราวนี้แม่จะซื้อชุดที่เหมาะกับวัยสาวของเธอให้” ได้ยินคำพูดของเธอ อี้เป่ยซีรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก เหลือบมองอี้เป่ยเฉินด้วยความลำบากใจ เขากระแอมไอด้วยความอึดอัดบอกว่ามีธุระต้องขอตัวก่อน ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป้าหมายของคุณแม่อี้คืออะไร เธอถอนหายใจเดินตามคุณแม่อี้ไปด้วยความจำใจ
“ไม่โอเค ตัวนี้ไม่โอเคค่ะแม่” อี้เป่ยซีรีบแขวนเสื้อกลับไปที่เดิม สายตาเหลือบมองรอบกาย ใบหน้าวัยสาวแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย น่ารักมาก
“ตัวนี้ก็ไม่เอา อ๊ะ ไม่เอาๆ” เธอส่ายหน้า ยืนกรานยัดเสื้อกลับไปไว้ที่เดิม คุณแม่อี้ไม่พอใจมาก เคาะหน้าผากของเธอ
“ถ้าเธอเขินก็ไปรอตรงนั้น แม่จะเลือกให้เธอเอง”
อี้เป่ยซีรู้ว่าตัวเองจะพูดมากไม่ได้ เดินลากเท้าไปอีกทาง เห็นท่าทางที่จริงจังของเธอ แอบย่องออกจากร้านไป ถอนหายใจอย่างแรง
“อี้เป่ยเฉินกำลังเลือกชุดชั้นในให้เธอเหรอ” เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันทำเอาอี้เป่ยซีสะดุ้งโหยง เห็นท่าทางของลั่วจื่อหาน อี้เป่ยซีรีบเข้าไปหา
“นายไม่ได้อยู่ที่บริษัทเหรอ?”
“ซื้อเสื้อ หรือว่าชุดชั้นใน?” ลั่วจื่อหานหรี่ตา อี้เป่ยซีรู้สึกอุณหภูมิรอบข้างสูงขึ้นเล็กน้อย อดไม่ไหวถูๆ แขน ตบๆ ไหล่ของเขา
“แม่ฉันคิดว่าเสื้อผ้าของฉันเด็กเกินไป ยืนยันว่าจะมาฉันก็เลยไม่มีทางเลือก ฉันก็ผิดหวังมากนะโอเคไหม” เธอลำเชืองไปที่ป้ายร้าน “ดูยังไงฉันก็ไม่ใช่คนที่จะใส่เสื้อประเภทนี้เลย” เศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด
ลั่วจื่อหานหัวเราะ กอดเธอเบาๆ ปลอบอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร เสื้อของเธอเมื่อก่อนมันก็…”
“นาย…” อี้เป่ยซีทั้งเขินทั้งโมโห ผลักเขาทันที “ไม่มีอะไรจะพูดกับนายแล้ว นายว่างนักหรือไง ยังมีเวลามาช้อปปิ้ง”
“อี้เป่ยเฉินมีเวลา ฉันก็มีบ้างไม่ได้เหรอ?”
“เฮ้อ ทำไมนายถึงยิ่งพูดยิ่งใส่อารมณ์แบบนี้ล่ะ เอ๊ะ นายจะเข้าไปทำไม?”
มุมปากยกขึ้น ยิ้มชั่วร้าย “ก็ต้องไปซื้อของอยู่แล้ว ยังจะทำอะไรได้ล่ะ”
“นาย นายจะซื้อให้ใคร”
เขาพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง บอกตัวเลขจำนวนมาก “ซื้อให้คนในฝัน ได้หรือเปล่า”
“ลั่วจื่อหาน นายมันหน้าไม่อาย”
“จะรังเกียจลองให้หน่อยไหม คิดซะว่าเป็นนางแบบ?”
อี้เป่ยซีกลับหลังหันด้วยความโมโห มองค้อนเขาแล้วกลับไปหาคุณแม่อี้ทันที นึกว่าลั่วจื่อหานแค่หยอกเธอเล่นเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเดินป๋อเข้าไปจริงๆ พนักงานขายรีบเดินตามไป
เขายิ้มพร้อมก้มหน้าไม่รู้ว่าพูดอะไร พนักงานขายพยักหน้าเขินอายเล็กน้อยเดินจากไปแล้ว ลั่วจื่อหานเห็นอี้เป่ยซีที่จงใจก้มหน้า ยิ้มมุมปากเดินเข้ามาหาพวกเธอ
“คุณน้าอี้ เป่ยซี” ทักทายผู้หญิงทั้งสองคนอย่างสุภาพบุรุษ อี้เป่ยซีทนไม่ไหวอยากจะผลักเขาไปให้ไกลๆ ทำไมถึงไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าลั่วจื่อหานเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ วันนี้ได้เห็นจริงๆ แล้ว
“ประธานลั่วมาซื้อของให้น้องสาวเหรอ?”
เขาส่ายหน้า “ผมไม่เหมือนกับประธานอี้ จื่อเซี่ยไม่ยอมให้ผมช่วยเขาทำเรื่องแบบนี้หรอกครับ”
“แฟน?”
“เอ่อ กำลังพยายามอยู่” ไม่ได้มองอาการของอี้เป่ยซี จะต้องทั้งอายทั้งโมโหแน่ๆ ยิ้มพลางรับเสื้อผ้าในมือของคุณแม่อี้มา “ตัวนี้ก็ไม่เลว เขาผิวขาว เหมาะสมมาก”
คุณแม่อี้ไม่ได้แสดงอาการ เหลือบมองอี้เป่ยซีที่กำลังก้มหน้า กระแอมไอเบาๆ “ไม่ยักรู้ว่าคุณสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย”
เขาพยักหน้า “เขาก็แค่เขินนิดหน่อย เป่ยซี เธอคิดว่าตัวนี้เป็นไง”
อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขา ขณะที่คุณแม่อี้กำลังจะมองมาเธอรีบละสายตา “ฉัน ฉันไม่รู้ แล้วแต่พวกคุณเถอะ ฉันขอออกไปก่อน”
“เมื่อก่อนตอนที่เธอออกมาซื้อของกับพี่ชายก็ไม่เห็นหน้าบึ้งแบบนี้ ไม่ชอบแม่แล้วเหรอ?” คุณแม่อี้ดึงแขนของอี้เป่ยซีไปอีกทาง “ดูอีกหน่อยสิ”
ลั่วจื่อหานหรี่ตาเล็กน้อย ยิ้มเยือกเย็น “ประธานอี้ก็อยู่ด้วยเหรอ”
“ไม่อยู่ เขาไม่อยู่” อี้เป่ยซีรีบตอบ ไม่สนใจสีหน้าของคุณแม่อี้ ดึงมือออก กล่าวขอโทษแล้วพรวดออกไป
“ดูท่าทางประธานลั่วแล้ว จีบผู้หญิงครั้งแรกเหรอ?”
เขาแขวนเสื้อกลับอย่างดี “แค่ครั้งเดียว”
“ไม่ว่าแค่ครั้งเดียว หรือว่าครั้งแรก ฝืนหรือแย่ง ก็ไม่มีความหมาย”
เขาเยื้องย่างสองสามก้าว “ก็แค่เอากลับมาไม่ได้ซับซ้อนอะไร ผมยังมีธุระ แล้วเจอกันครับ” พูดจบก็เดินออกไปจากร้านชุดชั้นใน มองรอบทิศ ไม่เห็นเงาของอี้เป่ยซี เขาถอนหายใจ ส่งข้อความจากโทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขึ้นไปร้านชานมที่ชั้นเจ็ดอย่างสบายอารมณ์
ลั่วจื่อหานมองดูโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งคราว เนื่องจากออร่าของเขาที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ รอบกายจึงไม่มีใครเลยสักคน รู้สึกแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด
จนกระทั่งอี้เป่ยซีอ้อยอิ่งขึ้นบันไดมา ก็เห็นลั่วจื่อหานพิงอยู่บนเก้าอี้อย่างแปลกแยก หลับตา คิ้วขมวดกันเล็กน้อย เธอถือชานมแก้วหนึ่ง นั่งลงตรงข้ามลั่วจื่อหาน มองดูเขาอย่างตั้งใจ
————
บทที่ 115 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (7)
ผู้คนข้างๆ หมุนเวียนไปหลายรอบแล้ว ชานมในแก้วก็หมดแล้ว ยังคงไม่เห็นลั่วจื่อหานลืมตา อี้เป่ยซีเขยิบเก้าอี้ไปข้างหน้า เอียงศีรษะมองดูเขา อดไม่ไหวยื่นมืออกมา จิ้มๆ แก้มของเขา จิ้มแล้วจิ้มอีก ยิ้มอย่างมีความสุข จู่ๆ มือก็ถูกคว้าไว้
“นาย นายตื่นแล้วเหรอ” เธอต้องการดึงมือกลับ ลั่วจื่อหานกลับยิ้มแล้วเอามือของเธอมาจรดริมฝีปาก จูบปลายนิ้วของเธอเบาๆ รู้สึกอ่อนปวกเปียก อี้เป่ยซีออกแรงดึงกลับ “นาย”
“หายโกรธแล้วเหรอ?”
เธอผลักแก้วไปอีกทาง “โกรธมาก ตอนนี้ยิ่งโกรธกว่าเดิมอีก เมื่อกี้นาย นาย ฉัน” เธอออกแรงคว้าปลายนิ้วของตัวเอง พูดไม่ออกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร โกรธงั้นเหรอ แต่ว่าก็รู้สึกจั๊กจี้อยู่ในใจ
“หิวหรือเปล่า ช้อปมาตั้งนาน” ลั่วจื่อหานเอื้อมมือลูบๆ ผมของเธอ เปลี่ยนหัวข้ออย่างมีพิรุธ อี้เป่ยซีปัดมือของเขา
“วันนี้ขอโทษไม่จริงใจเลย ฉันไม่รับหรอก”
“แล้วถ้าซื้อเสื้อพวกนั้นเพิ่มล่ะ?”
“นาย” อี้เป่ยซีเหยียบเท้าของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะทันที “นายนี่หน้าไม่อายจริงๆ ทำไมเมื่อก่อนไม่ยักรู้”
เขาขยี้ตา พยักหน้า “ก็นิดหน่อย”
“ช่วงนี้นายเหนื่อยมากเหรอ? เมื่อกี้หลับลึกขนาดนั้น ไม่เหมือนนายเลยนะ”
“คิดว่าเธออยู่ตรงหน้าอย่างปลอดภัยแล้ว ก็เลยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาจริงๆ”
เธอรีบก้มหน้า ซ่อนเร้นรอยยิ้มของตัวเอง หยิบหลอดขึ้นมาดูดจึงพบว่าตอนนี้มันหมดแล้ว ไอด้วยความเคอะเขิน “เอ่อ สั่งอีกแก้วได้ไหม?”
ลั่วจื่อหานก็ไม่ได้เปิดโปงเธอ “ถ้าชอบวันหลังค่อยดื่มเถอะ เดี๋ยวก็กินข้าวไม่ลงพอดี”
“อ๋อ ก็ ก็ได้” มุมปากยังคงยกยิ้ม
“มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาเลิกคิ้ว
“มีความสุข มีความสุขอะไร?” เธอดูเวลาบนโทรศัพท์มือถือ “ฉันต้องกลับไปแล้ว พวกคุณแม่อี้น่าจะยังอยู่ข้างล่าง”
เขากวาดตามองข้างนอกด้วยความเฉยเมย “น่าจะขึ้นมาแล้ว ไปกินด้วยกันไหม?”
“หา?” อี้เป่ยซีเงยหน้า เห็นลั่วจื่อหานลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว เธอหันไปก็เห็นแม่ลูกเดินมาด้วยกัน คว้ามือของลั่วจื่อหาน “นายจะทำอะไรน่ะ?”
ตบๆ มือของเธอ “ไม่ต้องห่วง พวกเขาเห็นหมดแล้ว”
“……”
“เป่ยซี” คุณแม่อี้ก็เห็นทั้งสองคนที่ยื้อยุดกันอยู่ด้วย อี้เป่ยซีรีบดึงมือกลับ
เธอหัวเราะหึหึ ลุกขึ้นพรวด สะดุดขาโต๊ะพุ่งตัวไปหาลั่วจื่อหาน เขาหันหลังเพียงเล็กน้อยก็รับเธอไว้ได้ “ซุ่มซ่ามอีกแล้ว” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเอ็นดู
อี้เป่ยซีหน้าแดง รีบผละออกจากเขาวิ่งไปหาคุณแม่อี้ วินาทีที่เห็นสายตาแหลมคมของเธอหัวใจก็เต้นตึกตัก ‘คราวนี้จบเห่แน่’
คุณแม่อี้และอี้เป่ยเฉินระวังลั่วจื่อหานอย่างเห็นได้ชัด คราวก่อนตัวเองยังบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับลั่วจื่อหาน ครั้งนี้เหรอ สงสัยจะออกไปนอกบ้านไม่ได้แล้ว
เธอกัดริมฝีปาก ดึงเสื้อของคุณแม่อี้เบาๆ “แม่คะ หนูหิวแล้ว”
“กินชานมไปแค่แก้วเดียวก็ต้องหิวอยู่แล้ว ไม่รู้จักไปกินข้าวที่ร้านอาหาร” แม้จะมีท่าที่ตำหนิอี้เป่ยซี แต่กลับพุ่งเป้าไปที่ลั่วจื่อหาน “ประธานลั่ว ไปด้วยกันไหม?”
“ไม่ค่ะ เขายังมีธุระ เมื่อกี้ที่ลุกขึ้นเพราะว่ากลับจะไปแล้ว ไม่ไปกับพวกเรา ไม่ไปค่ะ”
“เป่ยซี” คุณแม่อี้เสียงสูง “อย่าเสียมารยาทแบบนี้สิ”
ลั่วจือหานส่ายหน้า “ไม่สะดวกจริงๆ ครับ คุณน้าอี้ ข้างๆ มีร้านอาหารร้านนึงน่าจะถูกปากคุณน้า ผมคงทำหน้าที่เจ้าบ้านไม่ได้แล้ว”
“ตอนนี้ประธานลั่วตั้งใจกับงานของตัวเองก็ดีแล้ว พวกเราไม่รบกวนคุณหรอก”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า ก้าวเดิน หยุดอยู่ข้างอี้เป่ยซีครู่หนึ่ง ก้าวยาวๆ จากไปด้วยรอยยิ้ม
“แหะๆ แม่คะ พวกเรา…”
คุณแม่อี้จิ้มๆ หน้าผากของเธอ ระคนความเหนื่อยหน่าย “เธอน่ะ พวกเรากลับไปกินที่บ้านกัน”
เธอพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ค่ะ แม่ทำกับข้าวอร่อยกว่าข้างนอกเยอะเลย กลับบ้าน กลับบ้าน”
อาจเป็นเพราะช้อปปิ้งนานจึงรู้สึกเหนื่อย ทั้งสามคนที่อยู่บนรถไม่พูดไม่จา จนกระทั่งรถจอด อี้เป่ยซีจึงค้นพบว่าไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไร
“เหนื่อยเหรอ?” คุณแม่อี้ตบหน้าของเธอเบาๆ
เธอกอดเอวของคุณแม่ “ค่ะ นิดหน่อย”
“เป่ยซี”
“คุณแม่อี้ ตอนนี้หนูเหนื่อยแล้ว ต้องกินของทดแทนถึงจะมีแรงคิด ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“เอาล่ะๆ ลงรถไปแล้วจะทำของโปรดเธอให้กิน ดีหรือเปล่า”
เธอพยักหน้าอย่างแรง ถอนหายใจอยู่ในใจ อาหารจานโปรดของตัวเอง เธอก็คิดไม่ออกว่าตัวเองชอบกินอะไรที่สุด ในสายตาคนอื่นของมีของที่ชอบ มันก็แค่ความเคยชินเท่านั้น
อี้เป่ยซีนั่งพิงเก้าอี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วลงจากรถไปกับคุณแม่อี้ นั่งเหม่อลอยหน้าโทรทัศน์ จนกระทั่งเสียงตะโกนเรียกให้เธอกินข้าวจึงดึงสติกลับมา อี้เป่ยเฉินก็ลากเก้าอี้นั่งลงข้างเธอ มองดูมือของเธอ ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
กินข้าวกันไม่พูดจา ทั้งสามคนนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ อี้เป่ยเฉินคีบกับข้าวลงในถ้วยของอี้เป่ยซีเป็นครั้งคราว เธอก้มหน้าไม่ได้พูดอะไร แต่ว่ารู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก
‘ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยรู้สึกว่าความเป็นห่วงแบบนี้มันมากเกินไป’
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย อี้เป่ยซีบ่นว่าเหนื่อยๆๆ แล้วขึ้นไปนอนข้างบน คุณแม่อี้ไม่พอใจต่อการแสดงออกของอี้เป่ยซีเล็กน้อย สีหน้าเย็นชา และเดินตามขึ้นไป
“เป่ยซี เป่ยซี” เธอเคาะประตู เมื่อไม่มีคนตอบรับจึงเดินเข้าไป ถอนหายใจ จัดดึงผ้าห่มของอี้เป่ยซีให้ดี นั่งลงข้างเธอ “แม่รู้ว่าเธอยังไม่หลับ”
มือที่อี้เป่ยซีวางไว้ข้างศีรษะกระดิกเล็กน้อย ยังคงอยู่ท่าเดิม
“เป่ยซี เธอรู้ไหมว่าลั่วจื่อหานเป็นใคร?” เธอลูบหลังของอี้เป่ยซี “เธอยังจำที่แม่เล่าให้เธอฟังเมื่อก่อนได้ไหม เรื่องชนชั้นสูง ล. จากประเทศ U ที่เทียบเท่าพวกตระกูลลู่น่ะ”
อี้เป่ยซีเม้มปาก คุณแม่อี้พูดต่อ “ลึกลับ แปลกประหลาด ไม่ใช่พวกที่เธอจะเข้าไปยั่วยุได้”
“คุณแม่อี้ หนูรู้ว่าแม่รักหนู” อี้เป่ยซีพลิกตัวหันมาหาเธอ “หนูแยกแยะได้”
“เป่ยซี เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า แม่เห็นเธอโตมาด้วยกันกับเป่ยเฉิน เธอ เมื่อก่อนเธอก็…”
เธอคว้ามือของคุณแม่อี้ “คุณแม่อี้”
“เอาล่ะๆ เธอตัดสินใจเองได้ก็ดีแล้ว เพียงแต่” เธอลังเลครู่หนึ่ง “เป่ยซี เธอมั่นใจแล้วเหรอว่าลั่วจื่อหานจริงใจกับเธอ? แม่รู้จักเธอดี เธอเป็นพวกเก็บอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ ถ้าจะทุ่มเทเธอก็ต้องระวังให้มาก แต่ว่าลั่วจื่อหาน…”
“หนู หนูไม่รู้ ตอนนี้หนูไม่รู้ความรู้สึกของตัวเอง และหนูก็ไม่รู้ว่าลั่วจื่อหานคิดยังไง หนูเพียงแค่ แค่รู้สึกว่า อยากอยู่ใกล้เขามาก อยากมากๆ ก็เท่านั้น หนูไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกว่าชอบหรือเปล่า”
คุณแม่อี้ลูบผมของเธอด้วยความเมตตา “เป่ยซี ถ้ายังไม่ถลำลึก ก็รีบออกมาเถอะ ช่วงนี้คิดให้ดีๆ ล่ะ หืม?”
เธอพยักหน้า “งั้นหนูนอนแล้วนะคะ”
————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น