Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ 102-108

 บทที่ 102 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (1)


             อี้เป่ยซียังคงพาถังเสวี่ยมาที่ของรถลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหานมองที่นั่งว่างๆ ด้านข้าง แล้วสังเกตความเคลื่อนไหวความอี้เป่ยซีกับถังเสวี่ยจากกระจกมองหลัง ถังเสวี่ยดูเหมือนคนที่อกหักจริงๆ เอนตัวพิงอยู่ข้าง


อี้เป่ยซี ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา กัดริมฝีปากแน่น ราวกับว่ากำลังอดกลั้นต่ออะไรบางอย่างอยู่ เสียงที่อ่อนโยนของอี้เป่ยซีปลอบโยนเธอ ทำให้ลั่วจื่อหานรู้สึกระคายเคืองหู


            จนกระทั่งรถมาจอดที่ชั้นล่างหอพัก


            “เป่ยซี” อี้เป่ยซีกำลังจะลงรถ ถูกลั่วจื่อหานเรียกไว้


            “มีอะไร?”


            ตอนนั้นถังเสวี่ยยืนอยู่นอกรถแล้ว ยังคงกุมมืออี้เป่ยซี ได้ยินเสียงของลั่วจื่อหานก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอเรียกชื่อของอี้เป่ยซีด้วยความเขินอาย เจือปนความอ่อนแอ ความอาลัยอาวรณ์ และความหวังที่จะพึ่งพิง


อี้เป่ยซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ออกจากรถไปแล้ว


            จะอยู่ต่อเพื่อให้ลั่วจื่อหานเกี้ยวพาราสีเธอไม่ได้หรอกนะ อี้เป่ยซีกุมมือของถังเสวี่ย “ฉันจะโทรหานายดึกๆ หน่อย ขอบคุณนะ ลาก่อน” ลากถังเสวี่ยเข้าตึกหอพักไปโดยไม่หันกลับมามอง


            “ยัยเด็กคนนี้” ลั่วจื่อหานสตาร์ทรถ ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ‘จะทำอะไรถังเสวี่ยบุ่มบ่ามไม่ได้แล้ว จะปล่อยเธอไปอีกสองสามวัน ทีแรกอยากจะถามสักหน่อยว่าเพลงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง’


            “ท่านประธาน ยังจะประชุมต่อไหมครับ?” เสียงในบลูทูธดังขึ้น ลั่วจื่อหานกลับสู่สภาพเย็นชาดังปกติ “ผมจะถึงอีกครึ่งชั่วโมง”


            รถก็หายเข้าไปในบริเวณมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนกลับไปเป็นปกติแล้ว


            หลังจากถังเสวี่ยกลับหอพักแล้วก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป กอดอี้เป่ยซีและเริ่มร้องไห้โฮ แม้แต่อี้เป่ยซียังสงสัยว่าเธอร้องไห้จนน้ำหมดตัวแล้วหรือเปล่า เธอตบๆ หลังของถังเสวี่ย เรียกเธอสองสามครั้ง จึงพบว่าตอนนี้เธอผล็อยหลับไปแล้ว


            ดึงผ้าห่มคลุมตัวของถังเสวี่ยแผ่วเบา อี้เป่ยซีถอนหายใจยาว


            ‘เป็นเพราะเธอ ลู่เยี่ยจิ่งจึงมาหาเรื่องถังเสวี่ยสินะ’


            ‘ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ลู่เยี่ยจิ่ง…ช่างเถอะ แม้ตัวเองก็ไม่ปล่อยตัวเอง มีสิทธิ์อะไรขอร้องให้เขาปล่อยล่ะ ถ้าเธอเป็นเขา ก็คงจะทำรุนแรงกว่านี้ล่ะมั้ง’


            เธอเท้าศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว เสียงแห่งฤดูร้อนดังมาจากกิ่งก้านของต้นไม้ข้างถนน เธอยิ้ม


            เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า อี้เป่ยซีขังเซี่ยเช่ออยู่ในออฟฟิศ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ปล่อยเขาออกไป


            “ฉันเลิกงานแล้ว จะออกไปทำธุระส่วนตัว”


            “นายเคยบอกว่าจื่อจวีหานซื่อจะมา ทำไมตั้งนานแล้วถึงไม่มีข่าวเลย”


            “งั้นก็ต้องถามเธอแล้ว” เซี่ยเช่อเหลือบมองเธอ คว้าไหล่ที่บอบบาง เพียงหมุนตัวทั้งสองก็สลับตำแหน่งกันแล้ว “เด็กดี เธอต้องพิจารณาถึงชีวิตรักของฉันบ้างนะ อย่าลืมล็อคประตูล่ะ”


            “นี่” อี้เป่ยซีต้องการยื่นมือดึงชายเสื้อของเขาไว้ ราวกับเซี่ยเช่อคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ปัดมือของเธอออกทันที


            “ถ้าเธอไม่มีอะไรทำแล้วทำออฟฟิศฉันรกอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะทำโทษให้เธอเช็ดกระดานดำหนึ่งเทอม”


            อี้เป่ยซีโกรธจนกัดฟันกรอด จงใจเดินกระแทกเท้าไปนั่งที่โซฟาของเขา ถอนหายใจ


            ‘อ๊า ทำไมกันนะ นึกว่าจะได้เจอเทพบุตรจริงๆ แล้วซะอีก’


            ‘ช่างเถอะๆ อาจจะเป็นตาแก่พิลึกเนื้อตัวมอมแมมก็ได้ หึๆๆ งั้นก็น่าตั้งตาคอยเหมือนกัน’


            “เป่ยซี” อี้เป่ยซีรีบวิ่งไปหาเธอ กอดเธอไว้


            “เยี่ยฉินจ๋า เยี่ยฉิน เซี่ยเช่อแกล้งฉันอีกแล้ว จื่อจวีหานซื่อไม่มาแล้ว ไม่มาแล้ว”


เยี่ยฉินลูบๆ หัวของเธออย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรน่า เธอก็รู้นี่ว่าเขาไม่ชอบปรากฏตัวในที่สาธารณะ”


            “เธอกำลังจะบอกว่าฉันโง่มากที่เชื่อเซี่ยเช่อเหรอ เยี่ยฉิน ทำไมเธอถึงทำกับฉันแบบนี้ ฉันเสียใจจริงๆ”


            เธอส่ายหน้า “เอาล่ะ เป่ยซี วันนี้ที่ฉันมาหาเธอเพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”


            “เรื่องเหรอ? เรื่องอะไร?” อี้เป่ยซีกระพริบตาใส่เธอ เยี่ยฉินอดไม่ไหวหยิกแก้มอี้เป่ยซี


            “ที่นี่…”


            อี้เป่ยซีเห็นสายตาที่ลังเลเล็กน้อยของเธอ พยักหน้า “ก็ได้ พวกเราหาที่คุยกัน ไม่เป็นไร” อี้เป่ยซีทำโต๊ะของเซี่ยเช่อให้รกอีกครั้งด้วยความโมโห แล้วเดินไปร้านกาแฟกับเยี่ยฉินอย่างมีความสุข


            อี้เป่ยซีกัดหลอด กระพริบตาใส่เยี่ยฉิน ส่งสัญญาณให้เธอพูดได้แล้ว


            “เป่ยซี เธอคบกับมู่ลี่ไป๋เหรอ?”


            สำลักน้ำ กลิ่นฉุนตรงเข้าไปในโพรงจมูก อี้เป่ยซีอดไม่ไหวไอแล้วไออีก น้ำตาก็รื้นด้วย จากนั้นสักพักจึงหยุด “ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ”


            “เพราะฉันปากมากเอง” เยี่ยฉินก้มหน้า นัยตาเปี่ยมด้วยความหม่นหมอง “ขอโทษนะ เป่ยซี ฉันไม่ได้ใส่ใจจิตใจของเธอ”


            “หา” อี้เป่ยซีโบกมือพัลวัน “ฉันไม่ได้ไม่พอใจ ฉันก็แค่ไม่เข้าใจ พี่เยี่ยฉินรู้จักมู่ลี่ไป๋เหรอ?”


            “น่าจะถือว่ารู้จักแหละ” เยี่ยฉินหยิบช้อนขึ้นมาคนกาแฟในถ้วย “ช่างเถอะ พวกเราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า”


            อี้เป่ยซีส่ายหน้า “คุยเรื่องอื่นเธอก็คุยไม่รู้เรื่อง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


            คนกาแฟอยู่เป็นเวลานาน เยี่ยฉินจึงเอ่ยอย่างขมขื่น ”เป่ยซี มู่ลี่ไป๋เป็นคนที่ดีมากๆ ฉันหวังว่าเธอจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง” ‘อย่าทำร้ายเขาเหมือนฉัน’


            “หา?”


            “ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์และไม่มีเหตุผลที่จะพูดแบบนี้กับเธอ เพียงแต่ คิดซะว่า คิดซะว่าเป็นห่วงเธอในฐานะเพื่อนของเธอก็แล้วกัน”


            อี้เป่ยซีมุ่ยปาก “นี่คือความเป็นห่วงมู่ลี่ไป๋ชัดๆ”


            “เป่ย…” เยี่ยฉินยังไม่ทันพูดจบ อี้เป่ยซีก็ถูกคนดึงขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที


            “นาย…” เมื่อเห็นว่าเป็นใคร อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างคนสองคน หุบปากทันใด


            มู่ลี่ไป๋หัวเราะเย็นชา “ในเมื่อคุณหนูเยี่ยรู้ว่าตัวเองไม่มีสถานะและตำแหน่งอะไร แล้วทำไมต้องพูดกับซีซีเยอะขนาดนั้นด้วย”


            อี้เป่ยซีที่ถูกดึงขึ้นมาขนลุกชันทั้งตัว นายก็เรียกว่า ‘ซีซี’ งั้นเหรอ?


            มือของเยี่ยฉินที่อยู่ใต้โต๊ะยิ่งกำแน่น เธออึดอัดใจเล็กน้อย “ฉันก็แค่…”


            “ก็แค่อะไร? ใช้วิธีอื่นดึงดูดความสนใจงั้นเหรอ? ซีซีขี้หึง คุณหนูเยี่ยก็อย่าโผล่มาให้ผมเห็นบ่อยๆ ยิ่งห้ามพูดอะไรที่เกี่ยวกับผม อย่าคิดเองเออเองว่าเข้าใจและหวังดีกับผม ซีซี พวกเรากลับ” พูดจบก็ลากอี้เป่ยซี


ออกจาร้านกาแฟทันที เงาของเยี่ยฉินดูเศร้าสร้อยและเปล่าเปลี่ยวยิ่งยวด


            มู่ลี่ไป๋มองดูเธออยู่สักพัก จุดบุหรี่ และดูดด้วยความรู้สึกหดหู่ อี้เป่ยซีรีบบีบจมูก หนีห่างไปไกล


            “นายกับเยี่ยฉิน เอ่อ ผิดใจเรื่องอะไรกันหรือเปล่า?”


            “ไม่มี ฉันไม่รู้จักเขา”


            อี้เป่ยซีมองค้อนมู่ลี่ไป๋ “นายคิดว่าฉันโง่เหรอ?”


            “เธอคิดว่าตัวเองฉลาดมากเหรอ?”


            “มู่ลี่ไป๋ ถ้าไม่ใช่เห็นแก่ที่นายเป็นเทพบุตรของฉัน ฉันลงมือกับนายไปนานแล้ว ปากเสียแบบนี้ กินดินปืนมาหรือไง?”


            มู่ลี่ไป๋ดับบุหรี่ในมือ สองมือล้วงกระเป๋า เดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจสิ่งใด อี้เป่ยซีรีบตามไป


            “นี่ นายพูดสิ ฉันคุยกับคนอื่นไม่เป็นหรอก บางทีถ้านายพูดออกมาก็หมดปัญหาแล้ว”


            “คนที่ชอบขีดเขียนอย่างเธอ ก็ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นมากด้วยเหรอไง?”


            เธอส่ายหน้าทันที “ฉันเห็นนายอยู่ที่มหา’ลัยพวกเราตั้งนาน ก็แค่อยากช่วยนาย”


            มู่ลี่ไป๋หยุดเดิน เม้มปาก “ไม่มีความเห็น เธอไปถามเขาเองเถอะ”


        อี้เป่ยซีเกาหัว ‘ถ้าเธออยากพูดก็คงบอกเธอนานแล้ว อ๊า พวกนายนี่แปลกจริงๆ’


————


บทที่ 103 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (2)


             เวลาของพวกเราถูกเติมเต็มด้วยบุคคลหนึ่งและด้วยเรื่องราวหนึ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลายเป็นอดีต ในขณะเดียวกันมันก็ยื่นมืออันอบอุ่นของมันออกมาแสดงให้เห็นว่านั่นคือเส้นทางของคุณที่จะต้องเดินสู่อนาคต มันช่วยเลือกปัจจุบันเพื่อที่ประวัติศาสตร์จะได้สอดคล้องกับอนาคต


            อี้เป่ยซีเขียนประโยคนี้จบ กัดปลายปากกา เขียนชื่อของเยี่ยฉินลงบนกระดาษเปล่าข้างๆ โดยใม่รู้ตัว


            ‘ฮึ่ม ช่างเถอะๆ ทุกคนต่างมีเรื่องที่ตัวเองไม่อยากพูด อยากรู้มันก็อยากรู้ แต่ว่าอย่ากระตุ้นแผลเป็นจะดีกว่า’ เธอพิงหลัง ยกขาของตัวเองขึ้นแกว่งไปมาสองสามครั้ง


            ลั่วจื่อหาน เขา…


            คิดถึงเขา จู่ๆ อี้เป่ยซีก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย วางเท้าลงบนพื้น เอามือเท้าศีรษะ


            คนบางคน เธอไม่มีทางดูออกว่าเขามีเรื่องราวอะไร


            ‘จริงสิ’ อี้เป่ยซีตบโต๊ะ ‘เขายังไม่ได้บอกเธอเรื่องของฟางหมิ่นเลย ตอนนี้จะต้องไปหาเขา ไปคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง’


            ‘จะว่าไปก็ไม่ได้เจอหน้าเขาหลายวันแล้ว’ อี้เป่ยซีควานหาโทรศัพท์ถือมือของตัวเองในกระเป๋าเรียน


            ‘เชอะ ที่เธอหาเขาเพราะมีเรื่องสำคัญน่ะโอเคหรือเปล่า ไม่มีความรู้สึกอื่นใดต่อเขาเลย ไม่มีเลยสักนิด’


            “ฮัลโหล” อี้เป่ยซีเพิ่งจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา เธอลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังกดรับสาย


            “เสี่ยวซี” ได้ยินเสียงของอี้เป่ยเฉิน เธอเม้มปาก เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมองของเธอ แม้ไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจแบบนั้นแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกดีใจเหมือนเมื่อก่อนอีก สิ่งที่มีมากขึ้นก็คือความรู้สึกเฉยเมยที่ได้พานพบอะไรบางอย่าง


            “อืม พี่เป่ยเฉิน”


            “เสี่ยวซี คืนนี้กลับบ้านไหม?”


            อี้เป่ยซีครุ่นคิด “ไม่ล่ะ ฉันยังมีธุระนิดหน่อย ไว้คราวหน้าเถอะ คราวหน้าฉันค่อยกลับไป”


            ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ความเงียบ อี้เป่ยซีมองมือของตัวเองตลอดเวลา ผ่านไปสักพักใหญ่จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พี่เป่ยเฉิน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันก็ไปทำธุระของฉันก่อนนะ ดึกๆ ค่อยคุยกันเถอะ”


            “ได้”


            ได้ยินเสียงวางสาย โทรศัพท์มือถือค่อยๆ เลื่อนลงมาจากข้างหู เขามองหน้าจอที่ดำสนิท สองมือกำแน่น ขว้างมือถือลงพื้นอย่างแรง


            ทันใดนั้นเสียงไอรุนแรงดังขึ้นในห้องว่างเปล่า จากนั้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ


“เป่ยเฉิน คุณอยากไปโรงพยาบาลก่อนหรือเปล่า คุณดูไม่ดีเลย”


            อี้เป่ยเฉินปัดมือของเธอออก “ไปให้พ้น”


             ฉินรั่วเข่ออึ้งไปครู่หนึ่ง ก้มหน้าพยายามซ่อนเร้นอาการเจ็บปวดของตัวเอง “เพราะ เป่ยซีไม่ยอมกลับมาใช่ไหม?”


            “คุณอยากให้ผมโยนคุณออกไปหรือเปล่า?” อี้เป่ยเฉินลุกขึ้น เสียงเก้าอี้ที่ถูกับพื้นแสบหูจนทำให้แทบอยากกรีดร้อง ฉินรั่วเข่อหวาดกลัวจนถอยหลังไปสองสามก้าว หลีกทางให้เขา อี้เป่ยเฉินก้าวขึ้นไปชั้นบนโดยไม่มองเธอเลย


            เธอมองดูเงาของอี้เป่ยเฉินจากไป สองมือค่อยๆ กำแน่น


            ‘อี้เป่ยซี เธอทนให้เขาทรมานแบบนี้ได้อย่างไร เธอทนปฏิเสธเขาได้อย่างไร หรือว่าคนที่สง่างามเช่นนี้เธอก็ยังทำร้ายเขาลงงั้นหรอ?’


            ‘อี้เป่ยซี ฉันไม่มีวัน ไม่มีวันปล่อยให้เธออยู่ข้างกายเขาและทำให้เขาเจ็บปวดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว อี้เป่ยเฉิน ฉันจะต้องพาคุณจากไปแน่นอน’


            ราวกับว่ารู้สึกอะไรได้บางอย่าง อี้เป่นเฉินหันมาทันใด กล่าวอย่างเยือกเย็น “ผมรับปากคุณ ไม่ได้เชื่อใจคุณ คุณทำตัวให้ดีก็แล้วกัน”


            “อืม ฉันรู้ คุณวางใจเถอะ ฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี”


            พ่นลมออกทางจมูกอย่างเย็นชาแล้วเดินต่อไป ฉินรั่วเข่อเก็บซากโทรศัพท์มือถือของอี้เป่ยเฉินที่กระจัดกระจายขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่าง


            ‘น่าจะมีส่วนไหนที่ซ่อมได้มั้งนะ ไม่เป็นไร เสียแล้วก็ซ่อมใหม่สิ ต่อไปมันก็ยังใช้ได้ไม่ต่างจากเมื่อก่อน’


            วางสาย อี้เป่ยซีรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมากรอกน้ำใส่ตัวเองไม่หยุด จนกระทั่งดื่มไม่ลงแล้ว จนกระทั่งรู้สึกว่าลำคอเต็มไปด้วยน้ำ เธอจึงหยุด


            ‘เรื่องก็เกิดขึ้นอาทิตย์ที่แล้ว พี่เป่ยเฉินเรียกเธอกลับไปเพื่ออะไร?’


            ‘กลับไป กลับไป หึ กลับไปตอนนี้แล้วจะมีที่ของเธองั้นเหรอ กลับไปดูสภาพที่เขาอยู่กับฉินรั่วเข่อสองพี่น้องเหมือนครอบครัวงั้นเหรอ?’


            “น่ารำคาญจะตายอี้เป่ยซี ทำไมเธอวันๆ ถึงได้คิดมากแบบนี้ ไม่ได้ๆ หอพักน่าเบื่อเกินไปแล้ว ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีกว่า” ล็อคประตู เริ่มเดินอย่างไร้จุดหมายในมหาวิทยาลัย อากาศยามค่ำคืนยังคงร้อนอบอ้าว ลมที่พัดมาก็ทำให้ไม่สบายตัวเท่าไรนัก เพียงครู่เดียวก็มีเหงื่อเหนียวๆ ซึมออกมาจากร่างกาย


            เดินผ่านผู้คน เดินผ่านถนนใต้แสงไฟ อี้เป่ยซีไม่รู้สึกถึงความผ่อนคลายจากการเดินเล่นเลย มีแต่จะยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งรู้สึกอยากอัดคน


            แบบนี้ไม่สบายใจเท่ากับการเล่นเกมส์สองสามด่านเลย เธอมองตึกเรียนที่เปิดไฟสว่างข้างๆ สูดหายใจลึกแล้วก็ถอนหายใจอย่างแรง


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเดินมาหาเธอ มีรอยยิ้มอบอุ่น


            “ลั่วจื่อหาน นายหาฉันเจอได้ยังไง?”


            ในดวงตาของเขามีประกายบางอย่าง เอ่ยปากอย่างสบายใจ “เป็นอะไรไป? อารมณ์ไม่ดีเหรอ”


            อี้เป่ยซีพิงอยู่บนต้นไม้ข้างๆ พยักหน้าแล้วถอนหายใจ มองดูท้องฟ้าที่ถูกยอดไม้บดบังเป็นส่วนมาก “ลั่วจื่อหาน นายดูดาวบนฟ้าสิ เหมือนไม่รับรู้อะไรเลย วันๆ ยิ้มอย่างมีความสุข แต่ว่าทั้งๆ ที่พวกมันมองเห็นทุกอย่าง เห็นตั้งเยอะขนาดนั้น มันไม่เสียใจบ้างเหรอ?”


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานโอบไหล่ของเธอ อี้เป่ยซีมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ฉันเห็นดาวสองดวงตรงหน้า กำลังเป็นทุกข์ กำลังอารมณ์เสีย”


            “ดวงดาวอะไรกัน” อี้เป่ยซีรีบหลบสายตาเขา “แค่ก นายหาฉันมีอะไรเหรอ”


            ลั่วจื่อหานลูบๆ หัวของเธอ “ไม่ได้เจอเธอนานแล้ว”


            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าคำพูดนี้อบอุ่นมาก ร้อนมาก เหมือนกับน้ำในทะเลสาบที่กำลังเดือด ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เธอไอเบาๆ บ่นพึมพำ “ทำไมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพูดเก่งขนาดนี้”


            “หืม?”


            “ฉันบอกว่า รู้เรื่องของฟางหมิ่นแล้วยัง?”


            ลั่วจื่อหานกอดเธอไว้ในอ้อมแขน อีกคนสัมผัสใกล้ชิดเช่นนี้ แต่กลับไม่รู้สึกร้อนเหมือนที่คิดไว้ อี้เป่ยซียังสามารถรู้สึกได้ถึงความเย็นสบายที่มาจากร่างกายของเขา เย็นสบายเหมือนมิ้นท์ สบายมากจนไม่อยากจากไปไหน


“ยังมีปัญหานิดหน่อย ไว้จัดการเรียบร้อยแล้วจะบอกเธอดีหรือเปล่า?”


            อี้เป่ยซีพยักหน้า แนบชิดหน้าอกของเขา จังหวะหัวใจที่มั่นคงดูเหมือนว่าจะเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ความอบอุ่นที่เริ่มแผ่ซ่านมาจากที่ไหนสักแห่งบนหน้าอกกลายเป็นอุณหภูมิที่ทำให้รู้สึกอุ่นสบาย


            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานคลายกอดเธอ “ฉันคิดถึงเธอจัง” อี้เป่ยซียังไม่ทันตอบสนอง ริมฝีปากก็ถูกเขาประกบแล้ว จูบอย่างที่แนบแน่นทำให้เธอไร้ทางปัดป้อง มือข้างหนึ่งของลั่วจื่อหานโอบกอดเธอ ร่างของทั้งสองคนแนบสนิทด้วยกัน


        “อือ…ลั่ว….” เสียงขาดๆ หายๆ ถูกลมแห่งฤดูร้อนพัดหายไป ดูเหมือนว่ามีกลิ่นสดชื่นของมิ้นท์ในอากาศ ความร้อนที่ล่องลอยอยู่นั้นเข้ากันได้ดีกับกลิ่นมิ้นท์ที่เงียบสงบ ราวกับว่าเป็นรสชาติความรู้สึกแห่งฤดูร้อน


————


บทที่ 104 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (3)


               เมื่อกลับมาที่หอพัก ใบหน้าของอี้เป่ยซียังคงแดงอยู่เล็กน้อย เธอยืนอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ สองมือจับแก้มของตัวเอง ความสุขที่อธิบายไม่ได้เอ่อล้นภายในหัวใจ


            เมื่อครู่เธอแสดงอาการโจ่งแจ้งเกินไปหรือเปล่า ลั่วจื่อหานเห็นว่าเธอหน้าแดงหรือเปล่า? เมื่อครู่ก่อนที่จะจูบเธอได้กินอะไรมาหรือเปล่า? ตอนนั้นลั่วจื่อหานกำลังคิดอะไรอยู่? อ๊า จู่ๆ ก็รู้สึกละอายใจ คราวหน้า…


            ‘คราวหน้าเหรอ’ อี้เป่ยซีดวงตาเป็นประกาย เธอก้มหน้า มองดูมือของตัวเอง ‘ยังจะมีคราวหน้าอีกเหรอ?’


            เธอควรจะทำอย่างไรดี


            อี้เป่ยซีเปิดฝักบัวและยืนอยู่เงียบๆ เนิ่นนานจึงมีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก


            “เป่ยซี”


            “อืม มีอะไรเหรอ?”


            “คือว่า คืนนี้ฟางหมิ่นจะกลับมา เธอจะ…” น้ำเสียงที่ประหม่าและลังเลเล็กน้อยยังคงเจือปนความเป็นห่วงเหมือนปกติ อี้เป่ยซีได้ยินเสียงของถังเสวี่ย ปิดผักบัว


            “ไม่ต้องหรอก ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิด” เธอเปิดประตู เหลือบมองถังเสวี่ย เริ่มง่วนอยู่กับการเก็บของ ถังเสวี่ยตามติดเธอตลอด อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเล


            “ยังมีอะไรอีกไหม?”


            ถังเสวี่ยสูดหายใจลึก “เป่ยซี ตอนนี้เธอกับลั่วจื่อหานเป็นอะไรกันเหรอ”


            “ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ ก็แค่…เพื่อนธรรมดามั้ง” แม้แต่ตัวเองก็ไม่เชื่อที่พูด อี้เป่ยซีส่ายหน้า ไม่ได้มองถังเสวี่ย รีบเก็บของเร็วขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วเวลาจะหมุนเร็วขึ้นและจะกำจัดปัญหานี้รวมถึงความยุ่งเหยิงทั้งหมดที่จะตามมาได้


            “งั้นเธอก็ยังชอบลู่เยี่ยหวาสินะ”


            ชื่อที่กล่าวขึ้นมากะทันหันทำให้อี้เป่ยซีตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เสียงแผดร้องดังก้องอยู่ข้างหู ดวงตาแดงก่ำ ผ่านไปสักพัก เธอค่อยๆ หันมามองตาของถังเสวี่ยโดยตรง ถังเสวี่ยก็เบิกตาโตมองเธอเช่นกัน ระคนความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ “ถังเสวี่ย เธออยากจะพูดอะไร?”


            “เปล่านะ เปล่า” เธอรีบก้มศีรษะ “ฉันก็แค่ ก็แค่คิดว่าเขาเป็นคนที่สำคัญมากในใจของเธอใช่หรือเปล่า จนถึงตอนนี้เธอก็เลยยังไม่ลืมเขา เขามีอิทธิพลไปทุกที่ ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็แค่เป็นห่วงเธอ ฉันก็ไม่อยากให้เธอจมปลักกับอดีต จริงๆ นะ เป่ยซี เป่ยซี…”


            อี้เป่ยซีทำหูทวนลมกับคำพูดของเธอ จนกระทั่งเมื่อเธอเรียกชื่อเธออย่างตื่นตระหนก อี้เป่ยซีจึงเงยหน้าขึ้น “ถังเสวี่ย ลู่เยี่ยหวาเป็นคนดีมากๆ ใครก็เทียบเขาไม่ได้”


            “งั้นเธอกับลั่วจื่อหาน”


            เธอยิ้มขมขื่น ภาพวาดที่มีสีสันถูกฉีกขาดและร่วงหล่น ทิวทัศน์นอกหน้าต่างกระจกเริ่มเตือนสติเธออีกครั้งว่านี่คือกลางดึกของฤดูหนาว “ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดาจริงๆ ฉันจะเล่นเกมส์แล้ว ยังมีอะไรอีกไหม?”


            ถังเสวี่ยส่ายหน้า ยิ้มด้วยความอบอุ่นเช่นเดิม อี้เป่ยซีจิบน้ำอย่างรวดเร็ว เปิดเกมส์ บังคับไม่ให้ตัวเองคิดอะไรอีก ตั้งใจเริ่มทำการต่อสู้กับเพื่อนร่วมทีม


            บนหน้าจอแอลอีดีไม่ใช่ฉากเสมือนจริงอะไร อี้เป่ยซีใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มีเพื่อนร่วมทีมของเธอ อาณาเขตของเธอ ดินแดนของเธอ ไม่มีใครที่จากไปอย่างกะทันหัน ในเวลายากลำบาก ขอเพียงมีคริสตัล ขอเพียงมีเหรียญ ทุกคนก็สามารถฟื้นคืนชีพได้ ฟื้นได้ทุกคน


            จะไม่มีความตายและจะไม่มีการจากลาเพราะความตาย จึงไม่มีเรื่องที่น่ารำคาญเหล่านี้


            คิดเช่นนี้แล้ว อี้เป่ยซีปรี่ไปที่ร้านค้าทันที พริบตาเดียวก็ซื้อน้ำอมฤตจำนวนมาก ให้ทุกคนใช้จนหมดตัว ทั้งศัตรู ทั้งเพื่อนร่วมทีม


            “แม่งเอ๊ย เธอเป็นบ้าอะไร เกือบจะฆ่าได้อยู่แล้ว เธอให้เลือดฝ่ายตรงข้ามทำไม”


            อี้เป่ยซีไม่สนใจ แจกจ่ายเลือดต่อไป


            “พวกเราไม่เข้าใจโลกของทรราชเลย”


            “ให้ตายสิ รอบนี้จะยืดเยื้อจนถึงเมื่อไร”


            หลังจากยาครอบจักรวาลถูกใช้จนหมดแล้ว อี้เป่ยซีจึงถอนหายใจโล่งอก พิมพ์ตัวหนังสือหนึ่งบรรทัดบนหน้าจอ


            ‘เอาล่ะ พวกเธอตามสบายเลย’


            ทั้งสองฝ่ายดึงสติออกจากความงุนงงทันทีและเริ่มต่อสู้อย่างไม่ลดละ อี้เป่ยซีหัวเราะอย่างคนโรคจิตนิดๆ


             โปรแกรมแชทกระพริบสองสามครั้ง เธอขมวดคิ้วแต่ก็ยังเปิดดู


            คนแปลกหน้า: อารมณ์ไม่ดี?


            หลิงซี: มาเผือกอะไรด้วย พวกเรารู้จักกันเหรอ?


            คนแปลกหน้า: แย่งไอเท็มของฉันเยอะขนาดนั้น ยังจะบอกว่าพวกเราไม่รู้จักอีก แล้วต้องทำยังไงถึงจะเรียกว่ารู้จัก? จูบเหรอ?


            หลิงซี: ไสหัวไปให้พ้น ลูกพี่อารมณ์ไม่ดี


            คนแปลกหน้า: ดูออกแล้วล่ะ วันนี้เหมือนเป็นบ้าเลย


            หลิงซี: นายอยากหาเรื่องหรือไง อยากนัดสู้เหรอ?


            คนแปลกหน้า: ฉันนึกว่าเมื่อกี้พวกเราสู้กันแล้วซะอีก


            หลิงซี: เหลวไหล ลูกพี่ยังไม่ได้ลงมือ นับกับผีสิ


            คนแปลกหน้า: คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดคำหยาบเยอะแบบนี้ เด็กผู้หญิงพูดคำหยาบไม่ดีนะ


            เด็กผู้หญิง มือของอี้เป่ยซีที่กำลังพิมพ์หยุดชะงัก ทั้งๆ ที่ตัวเองเลือกตัวละครชาย ทำไมถึงรู้ว่าเป็นผู้หญิงล่ะ


            คนแปลกหน้า: เป่ยซี ฉันยังอยู่ข้างๆ มหา’ลัยเธอ


            ลั่วจื่อหาน!


            เพียงครู่เดียว เสียงโทรศัพท์มือถือของอี้เป่ยซีก็ดังขึ้น เธอรับสายโดยไม่ได้มองเลย “ลั่วจื่อหาน”


            “ฉันเอง เป็นอะไรไป เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ”


            “ไม่มีอะไร ฉันจะออฟไลน์แล้ว บาย”


            “เป่ย…” อี้เป่ยซีกดวางสายแล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกขำและรู้สึกเหนื่อยล้า


            ‘อี้เป่ยซีเธอช่างโชคดีเหลือเกิน ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ฉันทิ้งเธอไปนานแล้ว ตอนนี้เขายังเล่นกับเธอเหมือนเด็กๆ อย่างกะตือรือร้นขนาดนั้น และยังหัวเราะกับเธอเหมือนคนโง่’


            เธอครุ่นคิด กดปุ่มออกจากระบบ ปิดคอมพิวเตอร์อย่างแรง มันคือโลกเสมือนจริงๆ เธอยื่นมือออกไป อาจเป็นแค่ตอนนี้เท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง ยื่นฝ่ามือคว้าตัวเอง ยิ้มขมขื่น


            นี่ต่างหากคือเรื่องจริง ความจริงที่ไม่สามารถจับต้องได้


            จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกเสียงดังปัง ฟางหมิ่นสะพายกระเป๋า เหลือบมองถังเสวี่ยแล้วมองอี้เป่ยซีเยือกเย็น “เธอสืบเรื่องฉันอยู่เหรอ?”


            ถังเสวี่ยก็เผยอาการประหลาดใจเช่นกัน เดินไปหาอี้เป่ยซีด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย ดึงๆ แขนเสื้อของเธอ “จริงเหรอ?”


            อี้เป่ยซีลืมตา พยักหน้า


            “มีอะไรน่าสืบ เรื่องพวกนั้นไม่ว่าใครก็บอกเธอได้สบายอยู่แล้ว ทำไมจะต้องรบกวนให้คุณหนูอี้ลงมือด้วย ใช่ไหมคุณหนูใหญ่ถัง” การประชดประชัดและกระอิดกระเอื้อนนั้นหนักหน่วง อี้เป่ยซีมองสำรวจฟางหมิ่น ไม่เจอกันตั้งนาน ผมของเธอยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนทุกครั้ง ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งนั้นซีดขาว ยกเว้นรอยคล้ำใต้ดวงตาขนาดใหญ่และดวงตาที่แดงก่ำ


            เธอเป็นอะไรไป ตอนที่ไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอก็แค่สงสัยเท่านั้น การสืบก็เป็นเพียงแค่การยืนยันอะไรบางอย่าง เธอเองก็เต็มใจเชื่อว่าเธอไม่ใช่คนทำ


        “ฮ่า…” เธอหัวเราะเย็นชา แววตาที่คมดุจมีดจ้องมองอี้เป่ยซี เธอรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทั่วท้องฉับพลัน “ไม่ต้องสืบแล้ว ที่คุณหนูใหญ่ถังพูดคือเรื่องจริง ทุกอย่างเป็นฝีมือฉันเอง ฉันทนเธอมามากพอแล้ว ทนกับท่าทางของเธอที่เหมือนกับว่าใครก็เทียบไม่ติด เกลียดที่คนอย่างเธอไม่มีความสามารถอะไรแต่กลับมีคนคอยช่วยเหลือ แถมยังทำตัวเหมือนไม่ต้องพึ่งพาใคร อี้เป่ยซี เธอเล่นละครเก่งจริงๆ น่าขยะแขยง”


————


บทที่ 105 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (4)


             อี้เป่ยซีอ้าปาก ต้องการพูดอะไรบางอย่าง เห็นดวงตาที่แดงก่ำของฟางหมิ่น ในหัวก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ


            เรื่องที่ถูกฝังไว้ในส่วนลึกนั้น ตัวเองไม่เคยต้องการจะพูดถึงมัน เรื่องที่อยู่ในใจก็ถูกคนที่สงสัยในตัวเองเปิดโปงจนหมดสิ้น เป็นใครก็คงสุดจะทน


            “ฟางหมิ่น ขอโทษนะ”


            “หืม?” ทั้งสองคนตกตะลึง ไม่มีใครตอบสนองการขอโทษอย่างกะทันหันของอี้เป่ยซี


            “ขอโทษ” เธอเอ่ยอีกครั้ง ฟางหมิ่นตอบสนองก่อน เธอก้มหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มเจือปนความภาคภูมิใจและดูถูกเหยียดหยาม ทันใดนั้นถังเสวี่ยรู้สึกว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว ฟางหมิ่นเมื่อสามปีที่แล้วก็เย่อหยิ่งอย่างเหลืออดเช่นนี้ หยิ่งยโสแต่น่าประทับใจ


            ราวกับว่าเธอได้เจอเรื่องที่น่าขันสุดขีด อดไม่ได้จนหัวเราะงอหาย ผ่านไปสักพักจึงปาดน้ำตาที่หางตาออก “อัยยา อี้เป่ยซี ความเห็นอกเห็นใจของเธอมันล้นออกมาจริงๆ” เธอหยุดครู่หนึ่ง “ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนเธอ ใช้ชีวิตอยู่กับอดีต พวกเราไม่มีอดีตให้ดื่มด่ำ ที่จริงเธอจะรู้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ทุกอย่างฉันเป็นคนทำเอง ถึงเธอจะสืบต่อไปก็มีแต่ฉันที่เป็นคนทำ ต่อไปฉันจะไปจากเธอให้ไกล ไปจากพวกเธอให้ไกลๆ”


            ฟางหมิ่นเดินเข้ามาหาอี้เป่ยซี เหลือบมองถังเสวี่ยขณะที่เดินผ่านเธอ จากนั้นก็มองอี้เป่ยซี โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ “แต่ว่า เรื่องน่าปวดหัวของเธอยังไม่หายไปไหน บอกตามตรงฉันยังต้องขอบคุณเธอด้วยซ้ำ ในที่สุดชีวิตแบบนี้ก็จบซะที” เธอหยิบของเล็กๆ น้อยๆ ใส่กระเป๋า ไม่มีบุคลิกเหมือนตอนที่เข้ามาโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่าปล่อยวางได้แล้วจริงๆ


            อี้เป่ยซีย่นคิ้ว มองเธอ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ถังเสวี่ยค่อยๆ เข้าใกล้อี้เป่ยซีด้วยความตื่นตระหนก


            “เป่ยซี”


            “อืม ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับฟางหมิ่น” เธอโพล่งออกมา ตัวเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน อาจจะเป็นเพราะท่าทางยโสโอหังของเธอในตอนนี้ หรืออาจเป็นเพราะอย่างอื่น แต่ว่าอี้เป่ยซีไม่มีกะใจไปทำความเข้าใจ เธอรู้สึกว่าจิตใจสับสนมาก ปมที่พันกันนั้นยุ่งเหยิงมากๆ จนกลายเป็นเงื่อนตายขนาดใหญ่ที่บดบังวิสัยทัศน์ของเธอพอดี


            “ฟางหมิ่น เธอได้ยินแล้วนะ เป่ยซีเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับเธอ” คำพูดที่ชวนซาบซึ้งใจ ในเวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกใดออกมาจากปากถังเสวี่ย ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับแฝงด้วยคำเตือน


            ฟางหมิ่นทิ้งของบนโต๊ะทั้งหมดลงในถังขยะ แล้วเอาเครื่องประดับบนตัวบางส่วนวางลงบนโต๊ะอย่างแรง จมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ผ่านไปสักพัก เธอจึงเงยหน้าขึ้นมา “อืม ฉันทำเอง” ตอบอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เริ่มเก็บของอีกครั้ง ไม่พูดอะไรอีก


            ถังเสวี่ยบีบมือตัวเองแน่น ควบคุมอารมณ์โกรธที่อยู่ภายใน แทบทนไม่ไหวอยากตบหน้าทั้งสองคนสักฉาด แต่ว่าทำไม่ได้ เธอสงบลมหายใจของตัวเอง จ้องมองไปมาระหว่างคนทั้งสอง


            ‘ทำไมอี้เป่ยซีถึงเชื่อฟางหมิ่นขนาดนั้น ก้าวต่อไปเธอควรจะทำอย่างไร?’


            เธอมองฟางหมิ่น ฟางหมิ่นสังเกตเห็นสายตาของเธอ มองเธอกลับด้วยความขี้เล่นเล็กน้อย เก็บของตัวเองต่อราวกับว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นก็ถอนหายใจยาว เหวี่ยงสะพายกระเป๋า เปิดประตูหอพัก


            “ฟางหมิ่น มันเป็นใคร?” จู่ๆ เสียงของอี้เป่ยซีดังขึ้นจากด้านหลัง ฟางหมิ่นเปิดประตูค้าง สีหน้าลำบากใจ


            “เธอก็รู้ตั้งนานแล้วว่าเป็นใคร จะถามฉันทำไม ตอนนี้ฉันจะจากไปแล้ว จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้ามีอะไรรอให้ฉันจากไปก่อนค่อยแก้ก็ไม่สาย คิดซะว่าเป็นของขวัญสำหรับคำขอโทษของเธอก็แล้วกัน” พูดจบก็เปิดประตูจากไปอย่างสง่าผ่าเผย เกรงว่าตัวเองจะตัดขาดได้ไม่ชัดเจนพอ ปิดประตูทันที ก้าวเดินออกไปจากหอพักอย่างผ่อนคลาย


            ฟางหมิ่นเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว แสงไฟจ้าของรถคันหนึ่งส่องสว่างบนตัวของเธอ เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังก้องอยู่ข้างหู ราวกับว่าคาดการณ์ไว้แล้ว ฟางหมิ่นเพียงแค่บังแสง ไม่มีอาการอื่นใด


            เสียงรถเบรกกะทันหันนั้นแสบแก้วหูจนทำให้คนรอบข้างต่างอดไม่ไหวที่จะขมวดคิ้ว ฟางหมิ่นเลิกคิ้ว เดินต่อไปข้างหน้า คนที่ลงมาจากรถลากเธอเข้าไปข้างใน ทั้งสองคนแนบชิดติดกันภายในรถที่คับแคบ


            “ฉันยังมีงานอะไรที่ทำไม่เสร็จ?”


            คนที่อยู่ด้านล่างไม่ได้พูดอะไร ฟางหมิ่นกลับอดไม่ได้จนหัวเราะออกมา “ทำไมล่ะ ตอนนี้อยากเล่นไพ่ความรักงั้นเหรอ กลัวว่าถังเสวี่ยจะทนไม่ได้?”


            ยังคงไม่พูดอะไร แต่เธอก็ไม่ได้โมโห เริ่มพูดขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งใด “พวกคุณบ้านถังต่างมองคนอื่นเหมือนคนโง่หรือไงกันนะ ตอนแรกก็ฉัน ตอนนี้ก็อี้เป่ยซี มันน่าเบื่อเกินไปแล้วถังเฉิง ถ้าฉันเป็นคุณคงไม่โง่แบบนี้”


            “ฟางหมิ่น ขอโทษนะ ถังเสวี่ยเป็นน้องสาวคนเดียวของผม ผมจะให้เขามีอันตรายไม่ได้ แม้ว่าจะซุ่มซ่ามแค่ไหน เขาก็ทำแรงเกินไป”


            ไม่รู้ทำไมฟางหมิ่นรู้สึกอารมณ์ดีมาก ความโศกเศร้าที่อดกลั้นไว้ก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เธอหัวเราะเอ่ย “ถังเฉิง น้องสาวคุณเก่งมากเลยนะ ดูคุณสิถูกเขาเล่นงานจนเป็นแบบนี้ ยังจะทุ่มเทปกป้องเขาขนาดนี้อีก เก่งมาก เก่งมาก”


            “ฟางหมิ่น คุณ รู้เรื่องหมดแล้ว?” เสียงสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้ ฟางหมิ่นพยักหน้า


            “ฉะนั้น ตอนนี้พวกเราน่าจะไม่เกี่ยวข้องกันแล้วสินะ ปล่อยฉันได้แล้วยังคุณชายใหญ่ถัง”


            เสียงถอนหายใจหลุดออกมาจากลำคอของถังเฉิงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า กดบรรยากาศภายในรถให้ต่ำลง รู้สึกหนักอึ้งและเหนียวตัว “คุณจะไปไหน ผมจะไปส่ง”


            “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ที่ดีๆ ก็คือที่ที่ไม่มีคุณสองพี่น้อง ที่ที่ไม่มีคุณอยู่คือที่หมายของฉัน”


            “ฟางหมิ่น คุณจะ…”


            “อะไร?”


            “ไม่มีอะไร”


            ฟางหมิ่นพยักหน้า “ปล่อยนะ ไม่งั้นฉันจะร้อง”


            ทันใดนั้นถังเฉิงก็เหมือนกับเด็กน้อย กอดล็อคตัวเธอแน่น “คุณก็ร้องสิ”


            “หึ ถังเฉิง คุณคงยังไม่ลืมนะว่ามีแต่คนของลั่วจื่อหานเต็มไปหมด แค่ฉันร้องคำเดียว ยังไงก็หนีไปได้ แต่ว่าคุณแน่ใจเหรอว่าอยากยั่วโมโหเขา?”


            “คุณ…”


            “ใช่แล้ว ถ้าไม่ยืมแรงข้างนอก ฉันจะหลุดพ้นจากกรงทองนี้ได้ยังไง ฉันไม่มีปัญญาปลดล็อคได้ซะหน่อย ปล่อยเถอะ คุณชายใหญ่ถัง”


            “ไม่ปล่อย ฟางหมิ่นผมชอบคุณ”


            “หืม”


            “ฟางหมิ่น ผมอยากอยู่กับคุณตลอดไป”


            “ฟางหมิ่นพวกเรามาเริ่มต้นใหม่ เหมือนคู่รักคู่อื่นดีไหม?”


            “ฟางหมิ่น หรือว่าคุณไม่เคยชอบผมเลย?”


            ฟางหมิ่นตอบถังเฉิงเพียง ‘อืม’ คำเดียว สุดท้ายก็สูดหายใจลึก “ถังเฉิง คุณน่าจะเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ฉันอยู่ข้างกายคุณ คุณเริ่มต้นด้วยความละอาย แล้วคุณลงจะเอยอย่างมีความสุขได้ยังไงล่ะ อ่อ จริงสิ ฝากไปบอกประโยคนี้กับน้องสาวของคุณด้วย แต่ไม่รู้ว่ายังจะมีโอกาสหรือเปล่า ปล่อยนะถังเฉิง”


            “ห้าปี ฟางหมิ่น ห้าปีแล้ว ต่อให้เป็นก้อนหินก้อนนึง ก็ต้องสะทกสะท้านบ้างสิ”


        “ใช่ แต่ว่าคุณน่ะ ทิ้งขว้างหินก้อนนี้เสมอเลย” มือของถังเฉิงผ่อนคลายลงมาบ้าง ฟางหมิ่นดิ้นหลุดทันทีแล้วออกจากรถ “คุณเหมาะกับหยกมากกว่า ก้อนหินอย่างพวกเราจะไม่รบกวนคุณอีกแล้ว” จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ถังเฉิงจ้องมองประตูรถที่เปิดค้างไว้เนิ่นนาน…


————


บทที่ 106 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (5)


              “เป่ย เป่ยซี” ถังเสวี่ยลองเรียกชื่อของเธอ อี้เป่ยซีเงยหน้า ดวงตาเปล่งประกายสดใส สวยงามมาก “เธอจะ ปล่อยไป ทั้งแบบนี้เหรอ?”


            “ถังเสวี่ย ฉันจะย้ายออก”


            “หืม?”


            อี้เป่ยซีถอนหายใจ “ฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออกว่าฟางหมิ่นกำลังปกป้องใคร”


            “เธอ…”


            เธอพยักหน้า “ถังเสวี่ย ฉันพูดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ ฉะนั้นขอโทษนะ ต่อไปฉันอาจจะไปทำเรื่องอะไรไว้ และอาจจะมีเรื่องที่ฉันไม่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นยังไง เธอน่าจะรู้จักนิสัยของฉัน ตอนนี้ที่ฉันพูดกับเธอแบบนี้ได้เพราะฉันอดทนจนถึงที่สุดแล้ว”


            ถังเสวี่ยทิ้งท่าทางอ่อนโยนดังเช่นปกติ มองตาอี้เป่ยซีเยือกเย็น “เธอจะทำอะไรได้ นอกจากอี้เป่ยเฉินกับลั่วจื่อหานแล้ว เธอยังมีอะไร?”


            “ใช่สิ แค่ฉันมีสองคนนี้ ตอนนี้เธอก็ลุกไม่ขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันจะไปหาคนอื่นมาอีกทำไม” เธอถอนหายใจ ทันใดนั้นกลิ่นบุหรี่ก็ลอยมาแตะปลายจมูก เธอสะบัดหัว “เรื่องของฟางหมิ่น ฉันรู้ไม่มากหรอก จะรู้ก็แค่นิดเดียว ถังเสวี่ย หวังว่าเธอจะไม่เสียใจเข้าสักวัน” อี้เป่ยซีต้องการจะหยิบเสื้อผ้าบนเตียงขึ้นมา ครุ่นคิดแล้วก็วางลงอีกครั้ง


            “ที่จริงฉันกับฉินแยว่เข่อเข้ากันได้ดีเลยว่าไหม” หัวเราะ กลัวว่าจะแปดเปื้อนอะไรเข้าเหมือนกับฟางหมิ่น เปิดประตูจากไป


            ‘แก้ปัญหาได้แล้วไม่ใช่เหรอ ในที่สุดก็ใสสะอาดแล้วไม่ใช่เหรอ’ เธออ้าแขนกว้าง ‘แต่ว่าทำไมในสมองถึงยังวุ่นวายล่ะ’


            ‘ติดอยู่กับอดีต อดีตเหรอ แต่ว่าปัจจุบันของเธอก็มาจากการตัดสินใจในอดีตเสมอ อยู่กับปัจจุบันหรือติดอยู่กับอดีตมันต่างกันตรงไหน’


            ไม่มีอะไรแตกต่าง เธอที่เป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรแย่


            ‘ไม่มีอะไรแย่จริงๆ ไม่มีอะไรแย่จริงๆ’


            ‘ไม่มีอะไรแย่ จริงๆ เหรอ?’


            เธอนวดคลึงแขนของตัวเอง นั่งลงบนเก้าอี้มองดูไฟถนน ‘เหมือนว่ามันจะแย่นะ’


            ดูเหมือนว่าทุกการกระทำล้วนมีพันธนาการ ดูเหมือนว่าทุกฉากล้วนไม่สามารถแยกออกจากอดีตได้ ดูเหมือนว่าไม่ควรและไม่สามารถรักใครได้เลย ดูเหมือนว่าลู่เยี่ยหวายังคงยืนอยู่ตรงนั้น พูดว่า


            ‘เป่ยซี เธอต้องสบายดีนะ’


            อี้เป่ยซีที่ทำร้ายลู่เยี่ยหวาจนตาย มีสิทธิ์อะไรอยู่อย่างสบายดีล่ะ อี้เป่ยซีนี่คือบทลงโทษและคำขอร้องจากฉันสู่เธอ เรื่องทั้งหมดมันเรียกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เข้าใจไหม


            หรืออาจจะไม่โกรธมากแล้ว หรืออาจจะไม่เกลียดชังมากแล้ว ใช่สิ นี่คือกรรมของตัวเองทั้งนั้นนี่นา ไม่มีอะไรเลย บางทีที่แบบนี้เธอก็ยังจะสบายใจได้บ้าง บางทีถ้าหากไม่มีลู่เยี่ยจิ่งคอยเกลียดชังเธอ ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอจะตำหนิตัวเองได้อย่างไร


            ลั่วจื่อหาน จู่ๆ ก็คิดถึงนายจังเลย นายยังอยู่ข้างมหาวิทยาลัยไหม อยากให้นายกอดฉันแล้วพูดว่าไม่เป็นไร เป่ยซี ไม่เป็นไร


            ทันใดนั้นอี้เป่ยซีลืมตาขึ้นและออกวิ่ง ได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านหูของตัวเอง จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยเธอก็เหนื่อยหอบจนพูดอะไรไม่ออก ได้กลิ่นเลือดอยู่ในลำคอ อีกทั้งยังปนเปกับลมและทราย ทิ่มแทงอยู่ในลำคอ


            เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นรถสีดำคันนั้น แสงไฟสีเหลืองสลัวยิ่งทำให้ตัวรถอบอุ่นยิ่งขึ้นเหมือนกับบ้าน บ้านที่จะพาไปที่ไหนก็ได้ บ้านที่จะซ่อนตัวเมื่อไรก็ได้ บ้านที่ไม่จากไปไหน


            เธอกลืนน้ำลาย อดกลั้นต่ออาการคลื่นไส้ วิ่งเข้าไปเหมือนกับคนบ้า ขณะที่กำลังจะเคาะกระจกรถ ลั่วจื่อหานถือแก้วน้ำเปิดประตูรถออกมาพอดี


            “เป่ยซี ฉันอยู่นี่”


            อี้เป่ยซีกอดเขาทันใด เอาหน้าซุกอยู่บนหน้าอกของเขา หายใจหอบ “นายรู้อยู่แล้ว นายรู้มาตลอด”


            “ไม่เป็นไรเป่ยซี ไม่เป็นไร” ลั่วจื่อหานยิ้มตบหลังเธอเบาๆ ผ่านไปสักพัก จึงดึงมือของเธอออก ยื่นน้ำมาให้เธอ “ดื่มน้ำก่อนเถอะ วิ่งมาตั้งนานแล้ว”


            อี้เป่ยซีดื่มน้ำหมดครึ่งขวดในรวดเดียว เพราะว่ารีบร้อนเกินไปจึงสำลัก ลั่วจื่อหานช่วยเธออย่างเอาใจใส่ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา


            “ตลกมากนักหรือไง”


            “อืม” ลั่วจื่อหานยื่นมือ เช็ดคราบน้ำที่มุมปากของเธอ “ตลกดีออก กระต่ายน้อย”


            “นายต่างหากกระต่ายน้อย”


            “อืม”


            “ทั้งบ้านนายมีนายคนเดียวที่เป็นกระต่าย”


            ลั่วจื่อหานลูบหัวของเธอ “โอเค พวกเรากลับกันเถอะ” อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วเข้าไปนั่งบนรถของเขา


            อี้เป่ยซีมองดูทิวทัศน์รอบข้าง จากคุ้นเคยกลายเป็นไม่คุ้นเคย ราวกับว่ามันคือทางกลับบ้านจริงๆ ในใจรู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก


            กลับบ้าน กลับบ้าน


            เมื่ออี้เป่ยซีดึงสติกลับมาอีกครั้ง รถก็จอดที่หน้าประตูแล้ว บ้าน บ้านของลั่วจื่อหาน


            เธอมองลั่วจื่อหาน เบิกตาโต ราวกับว่ากำลังถามอะไรบางอย่าง


            เกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่กลับบ้านเหรอ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้


            “ไม่ใช่กลับบ้านเหรอ?”


            “ใช่กลับบ้าน กลับบ้านฉัน นายพาฉันมาที่บ้านนายทำไม?”


            ลั่วจื่อหานหัวเราะเบาๆ “อ๋อ เธอบอกว่าเธอไม่มีบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันก็คิดอยู่ ว่าเลี้ยงกระต่ายสักตัวก็ดีเหมือนกัน”


            “งั้นฉันกลับบ้านตัวเองได้หรือเปล่า”


            “เป่ยซี นั่นมันก็บ้านฉัน ลงรถเถอะ” ลั่วจื่อหานลงรถเดินไปไกลแล้ว อี้เป่ยซีจึงอ้อยอิ่งตามไป เธอก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือ ดึกแล้ว จากนั้นก็เปิดแผนที่


            ‘สมองเธอเป็นอะไรไปนะ นั่งอยู่ในรถตั้งนานไม่รู้สึกตัวว่านี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านของตัวเองเหรอ? อี้เป่ยซี เธอนี่จริงๆ เล้ย คนอื่นเขาเอาเธอไปขายไม่แน่ว่ายังอาจจะช่วยนับเงินด้วย’


            ‘เจ้าโง่ เจ้าโง่’


            เธอเดินก้มหน้าเข้าไปในห้องรับแขก ‘นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกของเธอที่มาบ้านของลั่วจื่อหานขณะที่ยังมีสติ ไม่สิมาที่ห้องต่างหาก’ เธอมองรอบทิศ ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรต่อ


            ‘แล้วเอาไงต่อ ยืนโง่ๆ อยู่ตรงนี้เหรอ? ไม่ได้ กลับเหรอ? จะไปไหนล่ะ ที่นี่ไกลจากมหาวิทยาลัยตั้งเยอะ ช่างเถอะ ออกไปเรียกรถสักคันก็แล้วกัน หาโรงแรมพักสักที่ก็ได้ ตามเขามาได้ยังไงเนี่ย ในสมองมีแต่ขี้เลื่อยหรือยังไงกัน’


            “เป่ยซี ป่านนี้แล้ว เธอหารถไม่ได้หรอก” ลั่วจื่อหานราวกับว่ามองทะลุความคิดของเธอ ยื่นชาส้มโอที่ชงเสร็จแล้วให้เธอ “ทนไปก่อนเถอะ ก่อนหน้านี้ลืมบอกเธอไป เอ่อ อะพาร์ตเม้นต์ที่เธออยู่ตอนนี้กำลังซ่อม ฉันก็เลยถือวิสาสะขนของเธอมานี่แล้ว”


            “หา?” ในขณะนี้สมองอี้เป่ยซีหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว “มันไม่เป็นอะไรจะซ่อมทำไม?”


            “รู้สึกว่าแบบมันหดหู่ไปหน่อย ก็เลยอยากจะเปลี่ยน”


            “นายจงใจ”


            ลั่วจื่อหานยักไหล่ “เธอไม่ว่าอะไรนะ”


            “ฉัน ฉันจะว่าอะไรได้ ยังไงก็เป็นของนาย นายจะเล่นกับมันยังไงก็ได้” อี้เป่ยซีเบือนหน้าหนี ไม่รู้เป็นเพราะว่าเขินอายอึดอัดหรือเป็นเพราะโมโห


            เขากระแอมไอเบาๆ “ปกติแล้วฉันก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่เท่าไร เธอไม่ต้องคิดมาก”


            “ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย”


            “เหรอ” หางเสียงสูง คิ้วซ้ายเลิกขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ


        “ฉันรู้สึกว่าประโยคนั้นที่นายบอกว่า ‘ไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่เท่าไร’ มันชวนให้ตอบว่า เหรอ…มาก” อี้เป่ยซีเลียนเสียงของลั่วจื่อหาน ทันใดนั้นทั้งสองคนก็หัวเราะแล้ว


————


บทที่ 107 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (6)


             เหมือนกับที่ลั่วจื่อหานพูด หลังจากที่เขาอธิบายเค้าโครงของห้องให้เธอฟังแล้ว กำชับนิดหน่อยแล้วก็ตัดสินใจขับรถจากไป แม้จะรู้สึกหิวและเกรงใจอยู่บ้าง อี้เป่ยซีก็ยังพยักหน้าแน่วแน่ ส่งเขาขึ้นรถ


            “อาลัยอาวรณ์ฉันขนาดนี้เลยเหรอ?” ลั่วจื่อหานหัวเราะพลางกอดเธอ สูดหายใจลึก “อยากให้ฉันอยู่ต่อเหรอ?”


            “เชอะ” เธอยิ้มเอ่ย “อย่าฝันไปหน่อยเลย”


            “เป่ยซี เธอเป็นแบบนี้ดีจังเลย ดีมากๆ เลย”


            “ฉันเป็นแบบไหนก็ดีทั้งนั้น ดึกมากแล้ว นายรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”


            ลั่วจื่อหานจึงปล่อยมือตัวเอง มองลึกเข้าไปในดวงตาของอี้เป่ยซี ไม่ได้พูดอะไรลูบผมของเธอ นั่งที่เบาะคนขับ ออกไปอย่างสบายใจ อี้เป่ยซีถอนหายใจ เดินกลับเข้าไป ทันทีที่เข้ามาก็รู้สึกถึงกลิ่นไอของลั่วจื่อหานที่หนักหน่วงโอบล้อมตัวเธอ


            ราวกับว่าเขาอยู่ข้างเธอตลอดเวลาและกอดเธอไว้ รู้สึกสบาย รู้สึกปลอดภัย ความรู้สึกอ่อนล้าในตอนแรกมลายหายไปทันตา ไม่มีความรู้สึกง่วงเลยสักนิด


            เดินอยู่ในห้องรับแขกสักพัก ก็กอดหมอนนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟาครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจ ขึ้นไปนอนพักผ่อนบนเตียงสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน


            ห้องหนังสือของลั่วจื่อหาน…เธอหยุดชะงักเมื่อเดินผ่าน มองดูประตูสีขาวที่ปิดสนิท


            เขาก็ไม่ได้ห้ามเธอเข้าไป ใช่หรือเปล่า…


            แบบนี้มันไม่ค่อยดีมั้ง ถึงอย่างไรก็ยังเป็นบ้านของคนอื่น


            แม้ว่าจะโน้มน้าวตัวเองแบบนี้ อี้เป่ยซีก็ยังวางมืออยู่บนลูกบิดประตู บิดแผ่วเบา


            เอ๊ะ ประตูบานนี้เปิดเองแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย ในเมื่อฟ้าเป็นใจ งั้นก็เข้าไปดูสักหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรลั่วจื่อหานก็บอกว่าเขาไม่ค่อยอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไม่น่าจะมีของที่สำคัญถึงขั้นคอขาดบาดตายมั้ง


            เธอกัดริมฝีปาก ต้องยอมรับว่าเธออยากรู้อยากเห็นทุกเรื่องของลั่วจื่อหานมาก


            เธอเหมือนถูกปอกเปลือกออกทีละชั้น เขารู้หมดทุกอย่างทั้งข้างนอกและข้างใน แต่ว่าเธอกลับไม่เข้าใจและไม่รู้จักเขาเลย


            นิ้วที่เรียวยาวกดปุ่มล็อค อี้เป่ยซีสูดหายใจลึก การตกแต่งของห้องหนังสือไม่แตกต่างจากด้านนอกเลย มีสีขาวดำเป็นหลัก มีเพียงตู้ด้านข้างที่เป็นขาวขุ่น


            เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เดินไปข้างหน้า ตุ๊กตาเซรามิกตัวจิ๋วตัวหนึ่งมีลักษณะเหมือนกับของขวัญวันเกิดที่ให้เธอก่อนหน้านี้ ยิ้มด้วยดวงตากลมโต


            อี้เป่ยซีก็ยิ้มออกมาไม่รู้ตัวเช่นกัน มองดูคอลเลคชั่นที่กระจัดกระจายอยู่ในตู้ มันล้วนเป็นงานฝีมือขนาดเล็ก ตุ๊กตาที่กำลังยิ้มอย่างสวยงามดูเหมือนคนในกระจกที่เธอมองเห็นทุกวัน หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างประหลาด เอียงศีรษะมองดูหนังสือบนชั้นวางหนังสือ สันหนังสือที่เผยออกมาด้านนอกนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเนื้อหาของการจัดการเศรษฐศาสตร์


            ‘ช่างน่าเบื่อจริงๆ’ เธอไล่มือไปตามหนังสือแต่ละเล่ม รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่โค้งเว้า สายตาหยุดอยู่ที่มุมบนสุดของชั้นวางหนังสือ เขย่งเท้าหยิบลงมา


            หนังสือค่อนข้างเก่า ดูลักษณะแล้วผ่านการเปิดอ่านมามากแต่ยังรักษาไว้อย่างดี เมื่อเปิดดูกลับเป็นภาพวาดทิวทัศน์ที่เงียบสงบรูปหนึ่ง


            ‘ลั่วจื่อหานหัดวาดรูปด้วยเหรอ? ทำไมถึงมีหนังสือวิชาการแบบนี้’ เธอพลิกผ่านสองสามทีก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตราประทับร่วงลงมาจากหนังสือ


            ‘นี่มัน…’ อี้เป่ยซีตรวจดูอย่างละเอียด ตราประทับของจื่อจวีหานซื่อ


            ‘คราวก่อนก็เจอลั่วจื่อหานที่งานแสดงภาพวาด เขาจะต้องชอบจื่อจวีหานซื่อด้วยแน่ๆ’ วางของกลับไปที่เดิมด้วยความระมัดระวัง ห้องหนังสือราวกับว่าไม่มีอะไรน่าดูแล้ว


            โทรศัพท์มือถือดังขึ้นฉับพลัน อี้เป่ยซีที่เดิมทีรู้สึกละอายใจอยู่แล้ว หลังจากเห็นสายเรียกเข้าก็ตกใจจนโทรศัพท์มือถือแทบร่วงลงพื้น เธอคว้าหมับทันที “ว่าไง?”


            “ลืมบอกเธอไป ภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ส่งให้เธอคราวก่อน ยังอยู่ในห้องวาดรูปของฉัน เธอจะไปดูก็ได้”


            “อ๋อๆๆ งั้นฉันก็ต้องไปดูสักหน่อย มี…เรื่องแค่นี้เหรอ”


            คนที่ปลายสายหัวเราะ “อืม อย่าลืมปิดประตูห้องหนังสือให้ดีล่ะ ชั้นล่างสุดของชั้นวางหนังสือยังมีอีกหลายเล่ม”


            อี้เป่ยซีรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย เธอแอบดูโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแต่กลับถูกเจ้าของจับได้แบบนี้ เธออยากวางสายทันทีเสียจริง สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าแล้วตอบไป “ฉันรู้แล้ว ราตรีสวัสดิ์” เก็บโทรศัพท์มือถือทันที และไม่สนใจปฏิกิริยาของฝ่ายชายอีก วิ่งออกไปจากห้องหนังสือราวกับกำลังหลบหนี


            ‘เขารู้อยู่แล้วเหรอว่าเธอจะเข้ามา? เธอแสดงออกว่าสนใจเรื่องของเขาอยู่เสมองั้นเหรอ?’ กุมหน้าผาก แต่ก็ยังเดินไปที่ห้องวาดรูป


            ห้องวาดรูปของลั่วจื่อหานสะอาดมาก ทุกอย่างที่มองเห็นได้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเข้าประตูมา ด้านซ้ายมือเป็นเหมือนสถานที่ไว้เล่นปะติมากรรมเครื่องปั้นดินเผา ด้านขวามือคือเครื่องมือไม้ ภาพวาดนั้นอยู่ตรงกลางห้องตรงข้ามหน้าต่าง หันหน้าให้ประตู


            ราวกับว่าได้เห็นแสงของวันใหม่ที่เปี่ยมด้วยความหวังอีกครั้ง เหมือนว่าทุกลายเส้นพู่ของกันสีส้มเหลืองล้วนเป็นพลังแห่งความหวัง อี้เป่ยซีเดินเข้าไปใกล้ ดูภาพวาดนั้นอย่างละเอียด ลักษณะของลั่วจื่อหานที่กำลังวาดรูปผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว ท่าทางที่มองผืนผ้าใบอย่างจริงจัง แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนใบหน้าของเขารวมถึงขนเส้นบางๆ นิ้วเรียวยาวและขาวซีดที่จับพู่กันนั้นฉวัดเฉวียนไปมาอยู่บนผืนผ้าใบ กำลังบอกคนคนหนึ่งว่าทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นใหม่ ปัจจุบันคือวันใหม่ ปัจจุบันคือความหวัง


            ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ อี้เป่ยซีก็รู้สึกจุก ลั่วจื่อหานทำให้เธอมากมายขนาดนี้ เธอนั่งอยู่บนม้านั่ง เท้าศีรษะและมองไปรอบๆ กล่องไม้ใบหนึ่งดึงดูดสายตาเธอ เดินเข้าไปหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น


            มันเป็นกล่องหุ่นดินน้ำมัน หุ่นดินน้ำมันทั้งกล่องมีหน้าตาคล้ายเธอมาก มันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงนั้น อี้เป่ยซีหยิบตัวหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนมือ


            เธอหยิบหุ่นดินน้ำมันทุกตัวออกมาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ถ้ามองผ่านๆ ทุกตัวก็เหมือนกันหมด ถ้ามองอย่างละเอียดก็จะสามารถบอกความแตกต่างได้ ตัวนั้นดวงตาเอียงเล็กน้อย ตัวนั้นสีไม่สม่ำเสมอ ส่วนโครงร่างตัวนั้นก็หยาบไป


            ที่แท้ลั่วจื่อหานเป็นคนทำของขวัญวันเกินชิ้นนั้นด้วยตัวเอง


            ประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกซาบซึ้งมาก เขาใส่ใจเธอมากจริงๆ ใส่ใจมากๆ


            ‘อี้เป่ยซี เธอควรจะตอบแทนอย่างไร หลังจากที่เธอเข้าใจเจตนาของเขาแล้วคิดจะทำอย่างไร ควรจะทำอย่างไรและสามารถทำอะไรได้บ้าง’


            “ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่พูดกับตัวเองหลายรอบแล้วว่าทำไม่ได้ ทำไมถึงยังคิดว่าพรุ่งนี้ไม่ใช่จุดจบ ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ นึกว่าจะจากไปได้โดยไร้ความเจ็บปวด แต่ก็ดึงคนข้างกายมาติดกับด้วยกันแล้ว อี้เป่ยซี ตอนนี้เธอเห็นแล้วสินะ มีความสุขแล้วสินะ”


            ทันใดนั้นเธออยากจะปัดทุกอย่างบนโต๊ะทิ้งไปให้หมด ต้องการจะฉีกภาพวาดที่สวยงามนั้นทิ้งซะ เธอควรจะแบกรับบ่วงไว้ ต้องแบกรับบ่วงไว้ จะดึงคนอื่นมาทุกข์ทรมานกับเธอไม่ได้ และจะให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายใจไม่ได้เช่นกัน


            “ลั่วจื่อหาน” อี้เป่ยซีวางมืออยู่บนหัวของตุ๊กตาตัวหนึ่ง สัมผัสด้วยความอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ในดวงตาก็พยายามเผยความอ่อนโยนด้วย “ฉันควรจะทำยังไงดี นายบอกฉันได้ไหม ฉันจะต้องทำยังไง จะต้องทำยังไงบ้าง?”


————


บทที่ 108 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (7)


             เช้าของวันต่อมา อี้เป่ยซีต้องการจะนอนต่ออีกหน่อย แต่เสียงกดกริ่งชั้นล่างดังจนเธอไม่สามารถนอนต่อไปได้ ร้อนรนมากราวกับแทบจะพังประตูเข้ามา เธอโยนผ้าห่มไปอีกทางด้วยความหัวเสียเล็กน้อย เดินกระแทกพื้นลงไปอย่างแรง


            ‘ลั่วจื่อหานคนบ้า ตัวเองไม่มีกุญแจหรือไง กดๆๆ ตั้งแต่เช้า หนวกหูจะตายอยู่แล้ว’ บ่นอยู่ในใจ ทันทีที่เปิดประตูก็กลับเห็นอีกคน


            “อี้เป่ยซี”


            “เซี่ยเช่อ”


            ทั้งสองคนอุทานพร้อมกัน เซี่ยเช่อดึงสติออกมาจากความประหลาดใจได้ก่อน ผลักเธอเข้าไปในบ้านด้วยความรังเกียจ ขมวดคิ้วสำรวจมองเธอ “เธอรีบไปล้างหน้าล้างตาซะเถอะ สภาพแบบนี้น่าเกลียดจะตาย”


            อีเป่ยซีดื่มน้ำไปแก้วหนึ่ง ตอนนี้พอจะตื่นตัวขึ้นมาบ้าง ดึงหมอนมาแล้วนั่งลงบนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ “ไม่ ฉันจะก่อกวนนาย นายต้องการอะไรตั้งแต่เช้า”


            ‘เช้าเหรอ กรุณาดูด้วยว่าเวลานี้มันเช้าที่ไหนกัน’ เซี่ยเช่อบ่นอยู่ในใจ จู่ๆ ก็เขยิบเข้าใกล้อี้เป่ยซีด้วยความรู้สึกคลุมเครือ “เธอกับลั่วจื่อหาน…เขายังอยู่ข้างบนเหรอ? ไม่น่ามั้ง ฉันจำได้ว่าร่างกายของเขาไม่อ่อนแอขนาดนั้นมั้ง” พูดพลางแสดงท่าทีครุ่นคิดจริงจัง อี้เป่ยซีขว้างหมอนที่อยู่ในอ้อมอกของตัวเองออกไป


            “นายคิดเหลวไหลอะไร ลั่วจื่อหานไม่ได้อยู่ที่นี่”


            “ตอนนี้เธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องพวกนี้ฉันไม่เข้าไปก้าวก่ายเธอหรอก ไม่ต้องเขินหรอกน่า”


            “ลั่วจื่อหานไม่อยู่ที่นี่จริงๆ ถ้านายยังพูดเหลวไหลอีกฉันจะลงมือแล้วนะ”


            เซี่ยเช่อส่ายหัว แสดงอาการเหมือนเด็กคนนี้พูดไม่รู้เรื่อง “เธอก็เลยยึดบ้านคนอื่นแบบนี้เหรอ?”


            “เขาบอกว่าเขาไม่ค่อยอยู่ที่นี่ ห้องของฉันกำลังซ่อม เขาก็แค่แสดงน้ำใจของเจ้าของห้อง นายอย่าคิดเยอะ”


            “เจ้าของห้องใจดีขนาดนี้ ทำไมฉันไม่เคยเจอ”


            อี้เป่ยซีมองค้อนเขาอย่างเหลืออด “นายไปหาเขาที่บ้านเขาเถอะ ฉันจะกลับไปนอนต่อแล้ว”


            “เธอไม่ไปเรียนเหรอ?”


            “เหนื่อย หงุดหงิด มะรืนค่อยไป”


            “แล้วเธอไม่กลับบ้านเหรอ?”


            อี้เป่ยซีทำทีเป็นเกียจคร้านเต็มทน เธอมองเซี่ยเช่อ “นายหมายความว่าอะไร”


            “พี่ชายของเธอ อี้เป่ยเฉิน เขาถามฉันว่าช่วงนี้เธอเป็นไงบ้าง พวกเธอสองคน…”


            “เปล่านี่ เด็กพอโตแล้วก็ไม่อยากกลับบ้าน เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ คราวหน้าพี่เป่ย…คราวหน้าพี่ชายฉันหานายอีก นายก็บอกไปแบบนี้”


            เซี่ยเช่อก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอี้เป่ยซี กำลังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ประตูก็ถูกเปิดออก ลั่วจื่อหานหิ้วผักสดและผลไม้เข้ามา รอยยิ้มในตอนแรกค่อยๆ หายไปจากใบหน้า เหลือบมองเซี่ยเข่ออย่างเย็นชา เห็นอี้เป่ยซีกำลังนั่งแกว่งขาน้อยๆ ถอนหายใจแล้วเดินไปหาเธอ


            “เป่ยซี ตื่นแล้วกินอะไรกันไหม?”


            อี้เป่ยซีก็ไม่อยากคุยเรื่องนี้ พยักหน้าและจากไปแล้ว ไม่ได้สังเกตเห็นรัศมีของลั่วจื่อหานที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันมามองเซี่ยเช่อ


            “ฉัน…ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ใช่ว่านายไม่รู้ว่าฉันเป็นยังไง” เซี่ยเช่อยักไหล่ ทำท่าทางเหมือนจนปัญญา คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าศิษย์พี่มาดนิ่งของตัวเองจะเป็นคนขี้หึงไร้เหตุผล แม้แต่เขาก็ยังหึง


            “ฉันรู้ ไม่งั้นนายคงถูกโยนออกไปนานแล้ว”


            “นายจะทำกับข้าวเหรอ?”


            ลั่วจื่อหานไม่สนใจเขา เริ่มง่วนกับการจัดข้าวของ “มีแค่สองที่”


            “พวกนายสองคนแบ่งให้ฉันนิดหน่อยก็พอแล้ว ฉันกินไม่เยอะ”


            “ไม่มี”


            ‘ศิษย์พี่ขี้งกขนาดนี้ เป่ยซีไม่มีทางชอบนายหรอกนะ’


            ลั่วจื่อหานชูมีดหั่นผักให้เห็น เหลียวมองเขา เซี่ยเช่อรีบแก้ตัว “ฉัน ฉันก็แค่ล้อเล่นน่า”


            “มีอะไร?”


            “นายกับเป่ยซีอยู่ด้วยกันแล้วเหรอ”


            ลั่วจื่อหานเปิดก๊อกน้ำ “ตอนนี้ยัง”


            “พวกนายสองคนคงไม่…”


            “เขายังเด็ก”


            “อ่อๆ” เซี่ยเช่อเกาๆ หัว “คราวก่อนเรื่องที่บอกว่าจะไปมหา’ลัยของเป่ยซี นายได้จัดการอะไรเป็นพิเศษไหม?”


            ลั่วจื่อหานส่ายหน้า “ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ไว้ค่อยว่ากัน วันนี้นายคงไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้หรอกนะ”


            เซี่ยเช่อยิ้ม “ใช่สิ อี้เป่ยเฉินบอกใบ้อะไรฉันตลอดเลย ฉันก็แค่อยากมาถามนายว่าอี้เป่ยซีเป็นไงบ้าง คิดไม่ถึงว่าพวกนายพัฒนามาถังขั้นนี้แล้ว”


            ได้ยินชื่นของอี้เป่ยเฉิน คิ้วที่สวยงามของลั่วจื่อหานขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เข้ามาช่วยล้างผัก”


            “ไหนว่าไม่มีส่วนแบ่งของฉันไง ทำไมให้ฉันล้างผักอีก”


            “งั้นนายก็กลับไป”


            “ไม่ๆๆ” เซี่ยเช่อยิ้มขอโทษ “ฉันล้าง ฉันล้าง”


            ลั่วจื่อหานหยุดนิ่งมองดูหลังที่โค้งงอของเซี่ยเช่อ ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงถอนหายใจเอ่ย “ลั่วจื่อจี้บอกฉันหมดแล้ว”


            “เขาไม่รู้ว่าวันๆ นายมัวแต่ยุ่งเรื่องของเป่ยซีหรอกเหรอ? ยังเอาเรื่องขี้ประติ๋วพวกนี้มากวนนายอีก”


            “นายควรจะฟังความคิดของหลานฉือเซวียนบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ห้ามไม่ให้พวกเขาเจอหน้ากันหัวชนฝา”


            เซี่ยเช่อหัวเราะ หยิบผักออกมาสะบัด “ก็เรียนรู้มาจากนายไม่ใช่เหรอ”


            “เป่ยซีไม่เหมือนกัน ช่วงเวลานั้น อีเป่ยเฉินโผล่มา นอกจากทำร้ายเขาแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันถึงทำแบบนี้”


            “แต่ว่าในสายตาฉัน การที่ลั่วจื่อจี้ปรากฏตัวก็เท่ากับกำลังทำร้ายเขา ฉันกำลังพยายามปกป้องคนที่ฉันชอบไม่ใช่เหรอไง ไม่มีปัญหาอะไรเลย นายเองก็น่าจะเข้าใจ”


            ลั่วจื่อหานหยุดกึก “นายเอาจริงเหรอ”


            “ใช่สิ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเอาจริง” เซี่ยเช่อยังคงยิ้มด้วยความผ่อนคลายมาก “ถ้านายยังกังวลใจแบบนี้ งั้นก็บอกลั่วจื่อจี้ให้ยอมแพ้เถอะ ใช่ว่าอยากเอากลับมาก็เอากลับมาได้ เอ่อ หรือว่านายช่วยฉันหน่อยเป็นไง”


            “ฉันเหรอ? นายไม่ชอบให้คนอื่นยุ่งเรื่องของนายไม่ใช่เหรอ?”


            เซี่ยเช่อจนใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายสุดที่รักของนายทำให้ลำบากล่ะก็ จนป่านนี้แล้วฉันยังไม่มีความคืบหน้าหรือเบาะแสเลย นายไม่รู้สึกว่าควรทำอะไรสักอย่างแทนเขาเพื่อชดเชยคู่รักอย่างพวกเราหรอกเหรอ?”


            “ฉันช่วยนายไม่ได้หรอก”


            “รู้แล้ว รู้แล้ว ตอนแรกยังอยากจะเรียนรู้จากนายซะหน่อย ดูแล้วถ้าจะปฏิวัติก็ยังต้องพึ่งตัวเอง”


ลั่วจื่อหานลังเลครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากช้าๆ “นายก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย”


            “อยู่แล้ว อยู่แล้ว” เขาดูเหมือนอารมณ์ดีมาก “ยังมีอะไรต้องล้างอีกไหม”


            “ไม่มีแล้ว”


            เซี่ยเช่อพยักหน้า กำลังจะออกจากห้องครัว เมื่อเดินผ่านประตูก็หยุดเดิน “ถ้านายคบกับอี้เป่ยซีจริงๆ ก็เท่ากับว่าเป็นการช่วยฉันเรื่องนึง”


            ลั่วจื่อหานไม่เข้าใจ ตอบว่าอือเสียงสูง ระคนความยั่วยวนยากจะบรรยาย


            “บางทีฉันก็รู้สึกแปลกใจมากเหมือนกัน อี้เป่ยซีหลงใหลในเสียงเพลงขนาดนั้น ทำไมนายไม่รีบใช้ข้อนี้มัดใจเธอล่ะ”


            “หึหึ ไว้ว่ากันเถอะ ตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก่อน เรื่องพวกนี้ค่อยว่ากันเถอะ”


        “ฉันพนันกับหลานฉือเซวียน ฉันพนันว่านายจะไม่ได้อยู่กับอี้เป่ยซี ศิษย์พี่ อย่าทำให้ศิษย์น้องอย่างฉันต้องผิดหวังนะ ฉันเชื่อใจนายขนาดนั้น ฝากอีกครึ่งชีวิตที่เหลือให้นายแล้ว”


————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม