Memorize เล่มที่ 18 ตอนที่ 4-10
ตอนที่ 4
โดย
ProjectZyphon
หลังจากที่มองตามหลังผู้เล่นที่จ้ำอ้าวพรวดๆ ออกไปอีกครั้งอย่างเร่งรีบ ผมก็หมุนตัวกลับไปช้าๆ
และไม่นานหลังจากนั้นผมก็สามารถหาสถานที่เปิดโล่งและสามารถนั่งได้จนเจอ เพราะที่นี่เป็นทุ่งหญ้าทอดยาวกว้างใหญ่ไพศาล การจะหาสถานที่ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างจึงทำได้ยากยิ่งนัก แต่ในตอนนี้เป็นสถานการณ์ของสงครามที่กำลังเข้มข้น ถึงผมจะไม่จำเป็นต้องแยกตัวออกมาตอนพัก แต่การได้มาหยุดอยู่ในที่ที่เหมาะสมก็เป็นความคิดที่ดูเข้าท่าอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“เฮ้อ อยู่ตรงนี้สักพักแล้วกัน”
ผมบิดขี้เกียจแบบสุดแรงเกิดหลังทิ้งก้นลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทอดตัวอยู่บนทุ่งหญ้าเวิ้งว้างแห่งนี้
ในช่วงระหว่างเดินทัพผมรู้สึกอึดอัดอยู่หลายครั้งหลายหนเพราะเหล่าผู้เล่นจำนวนมากที่เรียงแถวกันอยู่โดยรอบ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังใช้ดวงตาที่สามอ่านข้อมูลของผู้เล่นคนอื่นๆ จนตอนนี้มันเจ็บไปหมดแล้ว
“โอ้ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาอยู่ตรงนี้เองนะครับ คนละมวนเร็วครับ”
“…บอกว่าไม่สูบไงครับ”
ทำไมจู่ๆ ความคิดที่ว่า ทุกอย่างดีหมดเลย แต่ถ้าไม่มีนายมันจะดีกว่านี้ ผุดขึ้นมาได้นะ
ผมหันไปทางอื่นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง และแน่นอน ผมเห็นคิมด็อกพิลที่เข้ามาหาผมเมื่อกี้นี้กำลังยื่นมือมาให้ผมพร้อมรอยยิ้มแป้นแล้น
“ไม่มีครับ”
“ฮะ? จริงเหรอ”
“ไม่สิ แล้วทำไมคุณถึงเอาแต่เฝ้าถามคนที่ไม่สูบอยู่เรื่อยเลยล่ะครับ”
“ช่างเถอะน่า!”
คิมด็อกพิลหัวเราะคิกคัก ชัดเลยว่าเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ
“จริงสิ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้ยินข่าวนั้นหรือยัง ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ในที่สุดทางเหนือกับทางใต้ก็เริ่มทำเคลื่อนไหวกันแล้วนะ”
“ครับ ได้ยินมาจากการประชุมเมื่อวานนี้แล้วครับ”
“อ้า จริงด้วยสินะ เมื่อวานเราประชุมกันนี่ บ้าเอ๊ย การประชุมอะไรกันวะ เรียกประชุมทีใช้เวลาไปเป็นวัน กับอีแค่ฝั่งตะวันตกกับพวกเร่ร่อน แค่นี้เอง”
คิมด็อกพิลถ่มน้ำลายลงกับพื้นพร้อมบ่นออกมาราวกับว่าเขากักเก็บความไม่พอใจกับการประชุมที่จัดขึ้นเป็นเวลานานติดต่อกันหลายวันไว้ไม่ไหวแล้ว จากนั้นจึงมองมาทางผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะหาพวก แต่ผมก็ทำเพียงยักไหล่กลับไป ผมแค่คิดว่าเขาคงคิดแบบนักฆ่าพวกเร่ร่อนตามชื่อของเขา แล้วก็ได้แต่ฝืนยิ้มอยู่ในใจ
“จิ๊ๆ เอ๊ะ? แล้วเด็กนั่นมาทำอะไรที่นี่กัน”
ในตอนนั้นเอง คิมด็อกพิลที่กำลังจิ๊ปากเพราะขัดใจกับปฏิกิริยาของผมอยู่นั้น จู่ๆ ก็เบิกตาโพลงและหันศีรษะไปมองอีกทาง และเมื่อผมมองตามสายตาของเขาไป ผมก็ต้องพบกับบุคคลที่ไม่คาดคิด ในทุ่งหญ้าที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ผมเห็นนักดาบนัมดาอึนกำลังเดินผ่ากลางทุ่งหญ้าไป
นัมดาอึนหันมามองทางพวกเราราวกับรับรู้สายตาที่กำลังจ้องมองหล่อนอยู่ก่อนจะรีบเดินจนหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
ความเงียบปกคลุมอยู่สักพักก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำของคิมด็อกพิลดังขึ้นมา
“นิสัยยังเหมือนเดิมเลยสินะ”
“นิสัยหรือครับ”
“นายไม่รู้เหรอ นักดาบนัมดาอึนมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องรังเกียจผู้ชายน่ะสิ ไหนจะเบื้องหลังที่ดูชอบกลนั่นอีก”
เรื่องนิสัยผมพอจะรู้อยู่แล้วจึงถามเรื่องนี้ออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เรื่องที่หล่อนมีเบื้องลึกเบื้องหลังนี่ผมเองก็เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกจริงๆ
“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนเลยครับ”
“หืม อย่างนั้นเหรอ จริงสิ นายเพิ่งปีที่ศูนย์นี่นะ ฉันก็รู้แต่เรื่องของคนที่ฉันรู้จักเท่านั้นละนะแต่…”
คิมด็อกพิลเว้นวรรคไปสักพัก ก่อนจะเริ่มพูดต่อช้าๆ
“ตอนนี้ในฐานะผู้เล่น เธออาจจะสั่งสมชื่อเสียงในการเป็นนักดาบมา แต่มันก็ยังมีข่าวลือนะว่านัมดาอึนน่ะ พื้นเพเดิมแล้วเธอเป็นพวกเร่ร่อน”
นี่เป็นเรื่องราวที่ใหม่มากสำหรับผมที่ได้ทำกิจกรรมในรอบแรก ดังนั้นผมจึงตั้งใจฟังสิ่งที่คิมด็อกพิลกำลังจะพูดต่อไปให้มากยิ่งขึ้น
“ฉันเคยได้ยินเรื่องนิสัยเย็นชาและเกลียดผู้ชายเข้าไส้ของเธอมาเหมือนกัน แต่เหมือนเขาบอกกันว่าเมื่อก่อนเธอก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ เมื่อตอนที่เธอเข้ามายังฮอลล์เพลนเป็นครั้งแรก เธอเป็นคนนิสัยร่าเริงสดใส และยังเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์จนทำให้เธอได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในสถาบันผู้เล่นอีกด้วยนะ”
“แล้วทำไม…”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันเองก็สงสัย เผ่ารีเวิร์สของฉันเองก็ได้ส่งข้อเสนอไปให้เธอเช่นกัน แต่ว่าในวันสำเร็จการศึกษานั้น เธอกลับปฏิเสธทุกข้อเสนอแล้วก็ตามชายคนหนึ่งไป ทิ้งความเสียดายของทุกๆ คนเอาไว้เบื้องหลัง”
“ชายคนหนึ่งหรือครับ”
“อืม ชื่ออีคังซันน่ะ นายเคยได้ยินชื่อเขาบ้างหรือเปล่า”
คนทรยศ อีคังซัน
ผมรู้ได้ในทันทีว่าพวกเร่ร่อนที่คิมด็อกพิลเอ่ยชื่อออกมานั้นเป็นใคร เขาคือหนั่งในผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดและทำหน้าที่เป็นแกนนำอยู่ในกองพลสังหารนั่นเอง
“เป็นคนที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่พวกเร่ร่อนด้วยกันเองนั่นแหละ หลังจากที่ทรยศเหล่าผู้เล่นและเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นพวกเร่ร่อนแล้ว ฉันเองก็ได้สู้กับมันหลายครั้งและก็เอาชีวิตรอดมาได้ทุกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมนัมดาอึนยังมาอยู่ที่นี่…”
“หลังจากที่เธอหายไปโดยไม่มีใครคาดคิด…หนึ่งปีได้ไหมนะ ยังไงก็แล้วแต่ แต่จู่ๆ เธอก็มาปรากฏตัวที่บาร์บาร่าพร้อมกับคอของพวกเร่ร่อนจำนวนหนึ่ง โดยเธอได้ชี้แจงว่าเธอตามเขาไปโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมและบอกว่าอยากจะกลับมาทำกิจกรรมในฐานะผู้เล่นอีกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นผมว่ามันก็ดูจะไม่เป็นอะไรนะครับหากเธอจะเปลี่ยนความคิด ตอนนี้มีเผ่าที่ทำกิจกรรมแบบนั้นด้วย…”
ความเห็นของผมนั้นหากมองเผินๆ เหมือนจะถูก แต่คิมด็อกพิลกลับส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุด
“นั่นล่ะ มันดูเหมือนจะดีแต่ก็ยังมีบางอย่างที่ดูคลุมเครืออยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน และหากจะพูดถึงเผ่าช็อนดุนแล้ว นั่นก็เกือบจะพังเพราะการเดินทางไกลไปรบผ่านเทือกเขาเหล็กกล้าในครั้งนั้นด้วยเช่นกัน และนิสัยของเผ่านั้นเองก็…”
ในตอนนั้นเองจู่ๆ คิมด็อกพิลก็หยุดพูดไปเฉยๆ ก่อนจะทำหน้าตาบูดเบี้ยวและลุกยืนพรวดพราดขึ้นมา
“แย่ล่ะ ไม่มีเวลาให้ได้พักเลยสินะ”
แม้ในตอนแรกผมจะงุนงงว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เพราะมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเร่งรีบวิ่งมาทางเราจากสถานที่ที่เหล่าผู้เล่นกำลังรวมตัวกันอยู่ไกลออกไป หล่อนก็คือคนส่งข่าวที่เคยแจ้งการเรียกประชุมให้ผมทราบและได้เจอกันมาหลายครั้งตั้งแต่ที่ออกเดินทางนั่นเอง
“คงต้องแจ้งให้เธอทราบด้วยว่าราชินีแห่งดาบไปทางโน้นนะ”
พร้อมๆ กันกับเสียงบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายของคิมด็อกพิล ผมก็ลุกขึ้นช้าๆ
วันนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับการเดินทัพและการประชุมดังเช่นเคย เวลาเลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ และกลางคืนดึกสงัดก็ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเราแล้ว เราไม่สามารถเดินทัพกันในตอนกลางคืนได้จึงต้องนอนหลับพักผ่อนกัน เพราะแบบนั้นค่ายทหารสำหรับผู้เล่นจำนวนเกือบจะห้าพันคนจึงได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยรอบ
ผมมองไปรอบๆ ค่ายระหว่างที่กำลังทำหน้าที่ยืนเฝ้ายามในเวลากลางคืน
แสงสีเงินของดวงจันทร์ที่ส่องลงมาในยามวิกาลช่วยทำให้คนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามมองเห็นจุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ทุกครั้งที่ต้องออกรบผมมักจะใช้ถุงนอนอยู่เสมอ แต่เมื่อผมได้เห็นเต็นท์ที่ถูกกางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเรียงกันอยู่ ผมก็คิดว่านั่นเป็นภาพที่ดูงดงามไม่น้อยทีเดียว
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงสะเก็ดไฟดังมาจากที่ไหนสักที่ราวกับมีคนกำลังก่อกองไฟอยู่
“ถ้าง่วงก็ไปนอนเถอะค่ะ”
ในเวลาเดี๋ยวกันนั้น ผู้เล่นที่ยืนยามอยู่ข้างๆ กันก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงน่ารักน่าเอ็นดู เมื่อผมหันไปมองก็ได้เห็นผู้เล่นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหน้าตาน่ารักอวบอิ่มที่อยู่บนใบหน้ากลมๆ ของหล่อน
ผมคิดว่าน้ำเสียงของหล่อนฟังดูเป็นเอกลักษณ์ดีก่อนจะตอบหล่อนออกไป
“ผมยังไม่ค่อยง่วงเท่าไรหรอกครับ”
“แหม แต่ฉันเห็นว่าตาของคุณมันดูง่วงเต็มทนแล้วนะคะ”
“…”
“คะ ความจริงแล้วเป็นเพราะฉันไม่ค่อยสบายใจก็เลยพูดออกไปแบบนั้นน่ะค่ะ”
เมื่อไม่คำตอบอะไรกลับไป หล่อนจึงเป็นฝ่ายตอบแบบอ้ำอึ้งแทน ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปเลยแท้ๆ แต่หล่อนดูเหมือนจะรู้สึกจุกด้วยตัวหล่อนเอง
“มีอะไรไม่สบายใจหรือครับ”
“คือ…คุณคือแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ฉันเข้าใจว่าลอร์ดของเผ่าอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ยืนยามกัน…ก็เลยรู้สึกตกใจนิดหน่อยน่ะค่ะ”
โกหกทั้งเพ
แม้ว่าหล่อนจะพูดแบบนั้น แต่ถ้าจะยืนเฝ้ายามกับผมก็ต้องยืนด้วยกัน นั่นจึงฟังดูคล้ายหล่อนจะไม่พอใจเสียมากกว่า ผมหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะตอบกลับไป
“นั่นน่ะเป็นข้อมูลที่ผิดนะครับ ยกตัวอย่างก็เช่น แคลนลอร์ดโครยอเอง จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เคยมีสักครั้งที่คิดจะโดดการยืนยามนะครับ”
“ถะ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แต่แคลนลอร์ดท่านอื่นๆ ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นกันหมดนี่คะ”
“นั่นขึ้นอยู่กับผู้เล่นคนอื่นๆ น่ะครับ แต่ผมไม่มีความคิดที่จะทำแบบนั้นหรอกครับ เพราะฉะนั้นเรามาตั้งใจกับการเฝ้ายามในตอนนี้กันจะดีกว่านะครับ”
“…ค่ะ”
หล่อนชื่อโนยูมีใช่หรือเปล่านะ หล่อนตอบผมอย่างบึ้งตึงและถอนหายใจออกมาจนพื้นดินเกือบจะแยกออกเป็นเสี่ยง
และหลังจากที่ผมหลับตาลงแล้ว ผมก็จมดิ่งลงไปในห้วงความคิดเกี่ยวกับการประชุมที่จัดขึ้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายวันในช่วงที่ผ่านมานี้
การเดินทางข้ามดินแดนรกร้างอันลึกลับก็ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของพื้นที่นี้เข้าไปทุกทีแล้ว และในช่วงที่เรากำลังมาที่นี่ แม้ว่าจะมีการประชุมกันไปหลายรอบก็ตาม แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เรายังไม่สามารถลดช่องว่างของความเห็นต่างลงได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งนั้นก็คือ…
กร็อบ
หืม?
ตอนนั้นเอง
“มะ เมอร์เซนต์นารี่ลอร์ด”
ตอนที่ 5
โดย
ProjectZyphon
ตอนนั้นเอง
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“…”
ผมคิดว่าหล่อนคงจะเงียบลงไปแล้วแต่หล่อนกลับพูดขึ้นอีกครั้ง
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่! มะ มีใครอยู่ข้างหลังก็ไม่รู้ค่ะ!”
“ครับ…?”
แต่สิ่งที่หล่อนพูดออกมานั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมตกใจได้ ผมดึงพลังเวทของตนขึ้นมาก่อนจะหันกลับไปด้านหลัง ผมรับรู้ว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่เงียบๆ ไม่ผิดแน่
ความจริงแล้วผมกำลังให้ความสนใจอยู่กับสิ่งอื่น จนทำให้ผมไม่สามารถใช้งานพลังเวทของผมได้ แต่ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่การที่สัมผัสที่หกของผมไม่สามารถรับรู้การมาของเขาได้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจะต้องมีพลังสูงมากแน่ๆ
ผมหันกลับไปในทันที และตัวตนของผู้มีความสามารถคนนั้นก็ค่อยๆ เข้ามาสู่สายตาของผมทีละนิด
ผมยาวสลวย ใบหน้าเรียวรูปไข่ ริมฝีปากอวบอิ่ม เอวคอดสวย ขาเรียวยาวและผมยังรู้สึกได้อีกว่าดวงตานิ่งเฉยและเย็นชานั้นกำลังจับจ้องมาทางผมโดยตรงอีกด้วย
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินเสียงของหล่อน
แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป ริมฝีปากของนักดาบสาวก็ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ
“มาคุยกันหน่อยสิคะ”
ถึงแม้น้ำเสียงของนัมดาอึนจะฟังดูเรียบเฉยและเย็นชาแต่ก็เป็นน้ำเสียงที่ไพเราะมากๆ เลยเช่นกัน
* * *
“ครั้งนี้ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับญัตติครั้งนี้เท่าไหร่นะคะ”
ความเงียบปกคลุมไปทั้งห้องประชุมชั่วคราวหลังจากซอนยูล นักมายากลไพ่ทาโร่ต์พูดจบลง หล่อนมองไปรอบๆ ด้วยแววตาที่เป็นประกายลึกลับก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโอบอ้อมอารี
“เหล่าผู้ที่มีพลังวิเศษถูกพามารวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ หนึ่ง บางที่เพื่อเตรียมพร้อมตั้งรับตัวแปรที่เราเองก็ไม่อาจรู้ได้ นี่มันดูเหมือน…กลุ่มคนที่รอจังหวะภายในห้านาทีเลยไม่ใช่เหรอคะ”
กลุ่มที่รอจังหวะภายในห้านาที ไม่ว่าจะมองอย่างไรที่หล่อนพูดก็ไม่ได้ถือว่าผิด แต่ถ้าหากปัญหามันจะอยู่ที่น้ำเสียงที่หล่อนใช้นั้นฟังดูเหมือนแฝงการเย้ยหยันไว้อย่างน่าประหลาด มันก็คงจะเป็นปัญหานั่นแหละ
“หืม ผู้เล่นซอนยูล ผมคิดว่าคุณจะรู้เมื่อคุณไปถึง แต่กรณีนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประการด้วยกันครับ”
“มีกับไม่มี”
เมื่อซอนยูลพยักหน้าราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว แคลนลอร์ดโครยอก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้จะสบายใจนัก
“ใช่ครับ ในกรณีหลังมันอาจจะไม่เป็นปัญหา แต่ในกรณีก่อนหน้านั้น ผมว่าเราควรเตรียมตัวให้พร้อมเข้าไว้นะครับ บาร์บาร่าเป็นสถานที่ที่ไม่ได้ต่างจากห้องรับแขกของทวีปทางเหนือเลย และพวกเรามีพลังทางวัตถุที่เหนือกว่ามาก แต่ถึงอย่างนั้นที่พวกนั้นยังไม่ออกไปก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกนั้นจะมีหนทางหรืออะไรบางอย่างอยู่ก็ได้นะครับ ดังนั้นการเตรียมพร้อมให้รอบคอบกับสถานการณ์ที่เราคาดการณ์ไม่ได้…”
“แคลนลอร์ดโครยอ? ฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อนะคะ และฉันก็คิดว่าการเตรียมพร้อมเป็นสิ่งที่ดีแต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ฉันต้องการจะพูดถึงหรอกค่ะ”
แม้ว่าแคลนลอร์ดโครยอจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ซอนยูลก็ไม่ยอมละทิ้งความตั้งใจเดิมของตนเอง ในระหว่างที่ผมกำลังตั้งใจฟังทั้งสองอยู่นั้น ผมก็เกิดสงสัยเรื่องข้อมูลผู้เล่นของหล่อนขึ้นมา
“มันก็ดีที่จะทำนะคะ แต่ทำไมจึงต้องเลือกกำลังคนที่ต่างก็มีหน้าที่จัดแถวกองทัพแต่ละทัพในตอนนี้ล่ะค่ะ เท่าที่ฉันพอจะรู้ จำได้ว่ามีการพูดถึงเรื่องการจัดทัพมาตั้งแต่ก่อนออกเดินทางกันมากมายเลย…ไม่ใช่อย่างนั้นหรือคะ”
“อืม…”
“นี่ก็หลายวันแล้วที่ออกจากเมืองมา และตอนนี้เราก็เกือบจะผ่านครึ่งทางกันแล้ว ฉันขอยกตัวเองเป็นตัวอย่างแล้วกัน ฉันกำลังจะคุ้นเคยกับการบัญชาของทัพที่ฉันสังกัดอยู่แล้วแต่จู่ๆ ก็มาบอกให้ฉันมารวมกับอีกกลุ่มเสียอย่างนั้น ถึงจะยอมให้ร้อยครั้ง แต่ฉันคิดว่าแม้จะเป็นครั้งที่สองก็ตามแต่ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นในหมู่ผู้เล่นบางคนที่ทำตามคำบัญชาการในตอนนี้อยู่ก็ได้นะคะ อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการจะนำแนวทางนี้ไปบังคับใช้จริง ไม่ใช่ว่าคุณควรจะนำไปใช้เท่าที่มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดทัพในตอนนี้หรอกหรือคะ”
ราวกับว่าได้พูดในสิ่งที่ต้องการไปทั้งหมดแล้ว ซอนยูลจึงหยุดพูดไปสักพักก่อนจะค่อยๆ ยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนอย่างที่สุด
“ถึงแม้มันจะมากเกินไปหน่อยที่ฉันพูดแบบนี้แต่…แค่ทุกท่านที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะตั้งเป็นกลุ่มขึ้นมาได้นะคะ โฮะๆ”
“น่ารังเกียจจริงๆ ยัยหมูตัวเมียอับโชค”
ในตอนนั้นเอง ผมก็ต้องหันไปมองทางด้านข้างที่ได้ยินเสียงที่ฟังดูอ่อนเยาว์พูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ
ตอนนี้น่าจะอายุสักสิบเจ็บสิบแปดได้ล่ะมั้ง และผมก็ได้เห็นแคลนลอร์ดรีเวิร์สนั่งกอดอกอยู่ข้างๆ ผมนี่เอง ดูจากที่หล่อนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่แบบนี้แล้ว ผมคิดว่าหล่อนดูจะไม่ค่อยชอบใจนักมายากลไพ่ทาโร่ต์เท่าไหร่นักและนั่น การที่หล่อนนั่งสั่นขาถี่ๆ แบบนั้นช่างเป็นท่าทางที่ดูไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
ผมมองไปที่ซอนยูลอีกครั้ง หล่อนคือผู้นำคนปัจจุบันของกองพันที่สาม, กองกำลังของคลาสนักเวท ซึ่งได้รับการประเมินให้เป็นกองกำลังที่สำคัญที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดของทั้งกองทัพในตอนนี้
คำพูดของซอนยูลนั้นมีความหมายว่า ‘อย่าเลือกคนที่ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงาน แต่ให้พุ่งเป้าไปเลือกคนที่เล่นอยู่โดยรอบเสียจะดีกว่า’
ดังนั้นผมจึงพอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดปฏิกิริยาของแคลนลอร์ดรีเวิร์สถึงได้ออกมารุนแรงขนาดนี้ แม้หล่อนจะเป็นลอร์ดของเผ่าที่มีขนาดใหญ่โต แต่หล่อนก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การบัญชาการของใคร เช่นเดียวกันกับผม
หรือเธอจะคิดว่าการได้นำทัพนั้นทำให้เธอมีอำนาจมหาศาลหรือเปล่านะ
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะสู้อย่างไรในสงครามต่างหากล่ะ ผมขำเบาๆ ในใจก่อนจะเปิดใช้งานดวงตาที่สาม
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1. ชื่อ (Name) : ซอนยูล (ปีที่ 6)
2. คลาส (Class) : นักมายากลไพ่ทาโร่ต์ (Secret, Tarot Card Magician, Master)
3. ถิ่นกำเนิด (Nation) : บาร์บาร่า
4. ชนเผ่า (Clan) : หอคอยแห่งเวทมนตร์ (Magic’s Tower, Clan Rank : A Plus)
5. นามแท้ · สัญชาติ : แม่มดเจ้าเสน่ห์ผู้เฉยชา · เกาหลีใต้
6. เพศ (Sex) : หญิง (28)
7. ส่วนสูง · น้ำหนัก : 170.8 ซม. · 54.6 กก.
8. อุปนิสัย : สุภาพสตรี · ลามก (Lady · Obscene)
[พละกำลัง 42] [ความทนทาน48] [ความคล่องแคล่ว 72(+2)] [ความแข็งแกร่ง 56] [พลังเวท 98(+4)] [โชค 86]
(คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์)
[เปรียบเทียบทักษะ]
1. คิมยูฮยอน : คะแนนรวมทั้งหมด 537 พอยต์
(คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์)
[พละกำลัง 70] [ความทนทาน 81] [ความคล่องแคล่ว 91(+3)] [ความแข็งแกร่ง 97] [พลังเวท 97(+2)] [โชค 95(+1)]
2. ซอนยูล : คะแนนรวมทั้งหมด 402 พอยต์
(คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์)
[พละกำลัง 42] [ความทนทาน48] [ความคล่องแคล่ว 72(+2)] [ความแข็งแกร่ง 56] [พลังเวท 98(+4)] [โชค 86]
…?
เมื่อผมได้เห็นข้อมูลผู้เล่นของซอนยูลผมก็เกิดสงสัยขึ้นมา แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นแบบนั้น แต่ชื่อจริงและแนวโน้มคือจุดที่เด่นที่สุดอย่างแท้จริง
มองจากภายนอกไม่รู้เลยนะนี่ เพราะแบบนี้ไงฉันถึงได้ชอบดวงตาที่สาม
และในตอนนั้นเอง ขณะที่ผมกำลังนึกชื่นชมประโยชน์ของดวงตาที่สามของตนเอง เสียงของแคลนลอร์ดโครยอก็ได้ปลุกผมออกจากภวังค์
“เฮ้อ คำพูดนั้น ความจริงก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่เหมือนกันนะครับ”
ถึงแม้น้ำเสียงที่แสดงออกอาจจะดูรุนแรงไปบ้าง แต่ก็อย่างที่แคลนลอร์ดโครยอพูด สิ่งที่ซอนยูลพูดออกมาก็ใช่ว่าจะผิดไปเสียทีเดียว พวกที่ดูจะฉลาดพูดในฐานะพยานหลักฐาน มาในเวลานี้กลับพากันปิดปากเงียบ
“ผมคิดว่าเราจำเป็นจะต้องไตร่ตรองเกี่ยวกับส่วนนั้นกันอีกสักหน่อยนะครับ เราควรคิดให้ดีๆ ให้มันส่งผลกระทบน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้น่ะครับ ถ้าอย่างนั้นการประชุมวันนี้ก็เอาไว้เท่านี้แล้วกันนะครับ”
หลังประกาศปิดประชุมแล้ว บรรดาผู้เล่นก็ทยอยลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่ดูพออกพอใจ แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
“อ้า เดี๋ยวก่อนคุณราชินีแห่งดาบ ช่วยอยู่ต่ออีกสักหน่อยได้หรือเปล่าครับ ผมมีบางเรื่องที่ต้องคุยกับคุณน่ะครับ”
เมื่อผมเห็นนัมดาอึนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้เพราะถูกแคลนลอร์ดโครยอเรียกตัวไว้แล้ว ผมก็เดินออกจากที่ประชุมไป
* * *
ในตอนนั้นได้ยินว่าอะไรบ้างนะ
ผมคิดแบบนั้น เป็นความจริงที่ว่าระหว่างราชินีแห่งดาบกับผมไม่มีตรงไหนที่พอจะเป็นจุดเชื่อมกันได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม การที่คนที่ได้ชื่อว่าเกลียดผู้ชายอย่างหล่อนจะเรียกผมนั้น ก็เป็นไปได้ว่าหล่อนคงจะมีธุระจริงๆ
“เรากำลังจะไปไหนกันครับ”
ผมออกมาจากค่ายตามนัมดาอึนมาสักพักหนึ่งแล้ว จนตอนนี้มองไม่เห็นตัวค่ายแล้ว มีเพียงความเงียบที่แสนเปล่าเปลี่ยวในทุ่งหญ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดนี้เท่านั้นที่รายล้อมรอบตัวเราอยู่
ในตอนนั้นเอง นัมดาอึนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็กลับหยุดอย่างกะทันหัน หล่อนมองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมามองผมช้าๆ
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ฉันทราบว่าคุณเป็นสวอร์ด สเปเชียลลิส(Sword Specialist) คลาสลับสายดาบใช่ไหมคะ”
แม้จะเป็นคำถามที่ค่อนข้างกะทันหัน แต่ผมก็พยักหน้าตอบไปเพราะข้อมูลที่หล่อนพูดออกมาได้อย่างถูกต้อง
“หากคุณหมายถึงผู้ชำนาญดาบล่ะก็ นั่นถูกต้องแล้วครับ”
“คุณยังอยู่ปีที่ศูนย์อยู่สินะคะ”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น…คนที่จับมือสังหารผู้โหดเหี้ยม แพคซอยอนเป็นเชลยแบบตัวต่อตัวได้ในครั้งนี้ก็คือคุณใช่ไหมคะ”
ผมไม่ได้ตอบหล่อนไปในทันที ผมปิดปากเงียบสักพักหนึ่งและเอาแต่จ้องมองนัมดาอึนเงียบๆ เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาแบบนั้นของผม หล่อนจึงพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง
“ฉันเคยได้ยินเรื่องที่คุณเอาชีวิตรอดจากมิวล์มาได้ค่ะ ได้ยินเพราะพูดกันปากต่อปากน่ะค่ะ”
ตอนที่ 6
โดย
ProjectZyphon
คำว่าปากต่อปาก ช่างเป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งได้อย่างที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ผมไม่ต้องการถูกหล่อนสอบสวนอีกต่อไปและยังไม่อยากใช้เวลาร่วมกับหญิงสาวที่เป็นโรคเกลียดผู้ชายอย่างหล่อนด้วย ผมจึงตัดสินใจเป็นคนเริ่มเดินหมากก่อนบ้าง
“แคลนลอร์ดโครยอได้พูดอะไรบางอย่างกับคุณในการประชุมครั้งก่อนโน้นหรือเปล่าครับ”
ไม่มีปฏิกิริยาอะไรจากหล่อนกลับมาเป็นเวลาหนึ่ง แต่นั่นก็เพียงพักเดียวเท่านั้น ผมว่าสิ่งที่ผมคาดเอาไว้คงจะถูกต้อง เห็นได้จากที่หล่อนพยักหน้าลงเบาๆ
“แคลนลอร์ดโครยอขอให้ฉันทำอะไรบางอย่างค่ะ เพราะเขาค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องตัวแปรที่อาจจะเกิดขึ้นได้เอามากๆ เลยค่ะ ดังนั้นเลยคิดว่าจำเป็นจะต้องมีผู้ที่มีความสามารถในการจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วทันท่วงทีน่ะค่ะ”
“หืม”
“แต่ผู้มีความสามารถส่วนใหญ่ที่เรารู้จัก ตอนนี้ก็ต่างรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกันไปเสียหมดแล้ว และการตอบรับของพวกเขาต่อความคิดนี้ของแคลนลอร์ดโครยอก็ยังไม่ค่อยดีด้วยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น…อ้า เพราะแบบนั้นก็เลยมาหาผมสินะครับ”
“ค่ะ เพราะถึงแม้แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะยังไม่ได้เป็นผู้บัญชาการในตอนนี้ แต่คุณก็มีแนวโน้มมากพอที่จะเป็นผู้มีทักษะคนนั้นค่ะ”
‘จงเลือกคนที่จะไม่ส่งผลกระทบกับการจัดทัพในตอนนี้’ เพราะคำพูดนี้ที่หมายความให้ลองเปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีความสามารถคนอื่นๆ ที่หลบซ่อนอยู่ แต่หากเรานั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีทางเสียหรอกที่พวกเขาจะเดินเข้ามาหาเอง นอกเสียจากเราจะออกไปหาพวกเขาเองโดยตรง
ถึงแม้ไอ้คำว่าแนวโน้มนั่นจะติดใจผมอยู่สักหน่อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้แล้วว่านัมดาอึนมาหาผมทำไม ผมคือแคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ และภายในเผ่าของเรารวมถึงผมเองด้วยนั้น มีผู้เล่นที่อยู่ในคลาสลับและคลาสหายากอยู่เป็นจำนวนมาก
“ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลยล่ะครับ”
ชริ้ง
หล่อนดึงดาบออกมาเป็นการตอบกลับ
“ถ้าอย่างนั้น หากว่าคุณไม่ถือ ฉันขอดวลดาบกับคุณสักครั้งจะได้ไหมคะ”
“…แน่นอนครับ”
การเคลื่อนไหวของนัมดาอึนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผมเริ่มรับรู้การเคลื่อนไหวของพลังเวทที่ปะทุขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่ผมจะได้ทันเตรียมตัวเสียด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นนัมดาอึนก็เล็งดาบของหล่อนมาที่ผมเป็นเส้นตรง ถึงแม้จะดูบางเฉียบและงดงามแต่เมื่อมองเพียงแวบแรกมันก็ไม่ได้ดูเป็นดาบที่พิเศษอะไรมากมายนัก
แต่เมื่อได้ยินเสียงของดาบ ผมว่าผมคงต้องคิดใหม่เสียแล้ว แสงลึกลับปรากฏขึ้นบนตัวดาบในชั่วพริบตา ก่อนจะแผ่ไปยังนัมดาอึนและเปล่งแสงประกายอ่อนๆ ออกมาจากทั่วทั้งกายหล่อน
มันเป็นพลังอย่างหนึ่ง แม้จะพูดยากแต่ก็เป็นพลังที่มีทั้งเกียรติและความสง่างามองอาจเช่นเดียวกันกับ ‘นางฟ้าแห่งการต่อสู้ วาลคีรี’ ซึ่งปรากฏตัวอยู่ที่เจดีย์แห่งวัลฮัลลาเลยทีเดียว
ใช่แล้ว นี่ล่ะ ราชินีแห่งคทดาบ ผมรู้สึกได้ว่าหล่อนได้มาอยู่ต่อหน้าผมตรงนี้แล้ว
ไม่รู้ว่าจะเพราะเธอต้องการเห็นทักษะของผมหรือจะสู้เพื่อเอาชีวิต หรืออาจจะ…เพื่ออำนาจอย่างนั้นเหรอ
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นไปที่ข้างหูของตัวเอง
โฟ่ว!
ทันใดนั้นต่างหูของผมก็พลันปล่อยแสงสดใสออกมาก่อนจะก่อตัวเป็นรูปร่างที่สวยงามของเกียรติยศแห่งวิคตอเรียขึ้นมา ผมได้เห็นภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก ภาพของประกายในแววตาของนัมดาอึนที่นิ่งเฉยเสมอมา
และในตอนนั้นเอง
[ทักษะแฝง, ความเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ(Rank : Extra) สำเร็จ]
[ทักษะที่แฝงอยู่ในเกียรติยศแห่งวิคตอเรีย, เกียรติยศแห่งองค์ราชันถูกนำมาใช้เรียบร้อยแล้ว ค่าความสามารถทางพลังเวทของผู้เล่นคิมซูฮยอน 96, ค่าความโชคดี 90 อยู่ระหว่างการคำนวณ ผลออกมาที่ S Rank]
พลังลึกลับที่กดทับผมเอาไว้สลายหายไปทันทีที่ผมยกเกียรติยศแห่งวิคตอเรียขึ้นมาถือไว้ และรู้สึกได้ว่าพลังของราชินีที่แผ่มากดทับพลังการป้องกันทั้งหมดเอาไว้นั้นหยุดไปชั่วครู่หนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเพราะเกียรติยศแห่งองค์ราชันได้สกัดกั้นไว้ได้นั่นเอง
นั่นคงเป็นหนึ่งในคำตอบล่ะนะ
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ตั้งแต่ที่หล่อนเริ่มข่มผม ไม่ว่าจะด้วยเวทมนตร์หรืออำนาจแต่ในตอนนี้ผมสามารถบอกได้เลยว่าผมจะเริ่มโจมตีก่อนแล้ว เพราะการอยู่เฉยๆ แล้วคอยตั้งรับอย่างเดียวนี่มันไม่ใช่นิสัยของผมเลยจริงๆ ดังนั้นตามมารยาทผมก็คงต้องคืนกลับไปให้เท่ากับที่ได้มา ไม่สิ คงต้องทบทั้งต้นทั้งดอกให้เสียแล้วสิ
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะเริ่มล่ะนะครับ”
หลังจากพูดพอเป็นพิธีแล้ว ผมก็พุ่งดาบออกไปอย่างแรงโดยเล็งเป้าหมายไปที่บริเวณตรงกลางหน้าอกของหล่อน
ชริ้ง!
ราวกับหล่อนได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว นัมดาอึนยืนเอียงอยู่ในมุมที่สามารถกันการโจมตีจากผมได้ทันท่วงที ผมโจมตีหล่อนด้วยดาบ หล่อนก็กันไว้ด้วยใบมีดดาบเช่นกัน และก่อนที่ผมจะรู้ตัว ทั้งดาบของผมและนัมดาอึนต่างก็ถูกเคลือบไปด้วยพลังเวทสีน้ำเงินเสียแล้ว
ผมส่งพลังทั้งหมดไปตามทิศทางที่ผมลงดาบไป
เคร้ง!
“อ๊ะ?”
“ฟู่ว”
ผมเกือบจะหลุดหัวเราะให้กับเสียงอุทานที่ไม่คาดคิดไม่สมกับเป็นราชินีแห่งดาบของหล่อน แต่สุดท้ายผมก็อดทนไม่หัวเราะออกไปได้ แต่เสียงลมที่ออกมาเพียงเบาๆ นั้นกลับทำให้สีหน้าของนัมดาอึนเปลี่ยนไปในพริบตา
ชริ้ง!
ราชินีแห่งดาบหมุนดาบของผมลงก่อนจะก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว และกลับเข้ามาหาผมด้วยความเร็วแสง พร้อมทั้งเล็งเป้ามาที่จุดๆ หนึ่ง การโจมตีดั่งฝนดาวตกพุ่งเข้ามาที่อกผม แต่ผมก็ขยับตามวิถีของวัตถุที่เข้ามาก่อนจะใช้ดาบของตัวเองฟันออกไปอีกครั้งอย่างแรง
เคร้ง!
เสียงดังสนั่นไปทั่วทุกทิศจนผมชักกังวลว่าดาบจะหักหรือเปล่า หญ้าในทุ่งแยกออกเพราะแรงปะทะที่ออกมาจากดาบทั้งสองที่มีพลังเวทอยู่เต็มเปี่ยมเข้าปะทะกันอย่างแรง
โชคยังดีที่ดาบของหล่อนยังอยู่ในสภาพดีแต่การที่หล่อนขมวดคิ้วและปลายดาบที่สั่นไหวแปลกๆ นั้น ทำให้ดูเหมือนว่าหล่อนจะได้รับการกระทบกระเทือนที่ข้อมือ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความจริงสองข้อถูกเปิดเผยออกมา ข้อแรกนั้นก็คือผมมีกำลังมากกว่าราชินีแห่งดาบและนอกจากนั้นพลังเวทของผมก็ยังเหนือกว่าอีกด้วย หรือถ้าไม่ใช่สองอย่างนี้ก็สามารถคิดได้ว่าเป็นเพราะประโยชน์ของอุปกรณ์ก็ได้เช่นกัน
หล่อนเว้นระยะห่างอย่างรวดเร็วและเริ่มขยับหน้าอกขึ้นลงเพื่อปรับลมหายใจ และถึงแม้ว่าใบหน้าของหล่อนจะดูตระหนกอย่างเห็นได้ชัด แต่สายตาของหล่อนกลับยังนิ่งสงบอยู่ แม้ผมจะไม่รู้ว่าหล่อนเคยประสบพบเจอกับเรื่องที่ยากลำบากมามากมายเพียงใด แต่ท่าทางของหล่อนที่ไม่มีแววของการดูถูกดูแคลนฝั่งตรงข้ามก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ คุณเอาแต่โจมตีฉันด้วยด้านหน้าของดาบมาตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้วนี่คะ”
“หากผมโจมตีด้วยคมมีดล่ะก็ มันอาจจะเป็นเรื่องได้นะครับ”
เป็นจริงตามที่นักดาบพูดและนั่นเป็นความตั้งใจของผมเอง ผมควบคุมใจตัวเองไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าหากผมตัดดาบหล่อนหลังจากที่ผมฟันลงไปด้วยคมดาบของผมแล้ว ผมจะได้ยินเสียงอะไรกลับมา
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่ว่าต้องการจะฆ่ากันให้ตายไปข้าง แต่เพราะต้องการจะเห็นทักษะของอีกฝ่ายต่างหาก ขณะที่ผมกำลังคิดว่าพอแค่นี้จะดีกว่าและกำลังจะเก็บดาบ แต่ราชินีแห่งดาบกลับกลับเข้าประจำที่อีกครั้ง
“…”
แม้จะกังวลใจอยู่บ้างแต่ผมก็ตัดสินใจตอบรับหล่อนกลับไป โดยทั่วไปแล้วผู้เล่นที่มีจิตวิญญาณในการต่อสู้สูงจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ หรอก ผมต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมเพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนจะไม่มาก่อความรำคาญให้ผมอีกในภายหลัง
ดังนั้นผมจึงเฝ้าสังเกตท่าทีของราชินีแห่งดาบอย่างละเอียดรอบคอบด้วยความตั้งใจที่จะเอาชนะหล่อนให้ได้ในรอบเดียว
แทงอีกแล้วเหรอ
นักดาบสาวยังคงใช้การแทงต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้แล้ว แต่นั่นก็มีข้อดีอยู่อย่างแน่นอน เพราะการสกัดกั้นมีความคลุมเครือและยังสามารถเพิ่มความเร็วได้อีกด้วย แต่กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงและเป็นไปอย่างเรียบง่าย ถ้าหากไม่สามารถเร่งความเร็วให้เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามได้ล่ะก็ จะส่งผลเสียอย่างมหาศาลต่อการแทงได้
ผมตั้งใจจะจบมันให้เร็วที่สุด จึงไม่มีความจำเป็นที่ผมจะมามัวรีรออะไรอีกต่อไป ผมก้าวขาข้างหนึ่งออกมาด้านหน้า ขยับตัวก่อนจะเอียงร่างกายส่วนบนและหัวเข่าไปด้านข้าง และจากนั้นพร้อมกันกับที่ผมเตะเท้าที่อยู่ด้านหลัง ผมก็ทะยานออกไปด้านหน้าเกือบจะในทันที
พลั่ก!
ในเวลาเดียวกันนั้น ราชินีแห่งดาบก็แสดงการแทงของหล่อนออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรกและจู่โจมเข้ามาทางด้านหน้า
ผมเห็นหล่อนยืดแขนออกมาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวก่อนที่ดาบของเราจะแตะกันเท่านั้น ดาบของผมอยู่ด้านบน ซึ่งนั่นหมายความว่าผมเล็งดาบมาที่คอของหล่อนได้ก่อนที่หล่อนจะทันได้ทำอะไรเสียอีก
ในตอนนั้นเองผมจึงได้เห็นแววว่าจะชนะได้แน่นอน
หากมันเป็นการต่อสู้จริงๆ ถึงแม้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่การใช้เทคนิคที่ยอดเยี่ยมนั้นสามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้มากกว่าการมีชีวิตรอดเสียอีก
แต่ก่อนที่ผมจะไปถึงคอหล่อน ผมก็ค่อยๆ เอียงตัวไปทางซ้าย และเพราะการที่ผมเอียงตัวไปจนสุดนี้เอง ทำให้มือซ้ายของผมกระแทกเข้ากับพื้น ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พลังเวทก็ถูกยิงลงไปที่พื้นก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาราวกับถูกดึงกลับมาอีกครั้ง
ผลก็คือดาบของหล่อนผ่านแก้มผมไปได้อย่างน่าหวาดเสียว
เพราะไม่รู้ว่าผมจะเอียงตัวได้มากกว่านี้จากตำแหน่งที่ผมอยู่ ดวงตาของนัมดาอึนจึงเบิกโตยิ่งขึ้นกว่าเดิม แทนที่ผมจะไถลเข้าไป พลังเวทที่อยู่ในมือข้างซ้ายกลับทำให้ผมหมุนไปรอบๆ อย่างแรงราวกับดีดนิ้ว ทันใดนั้นตัวผมก็หมุนกลับไปอีกทางในทันที
ผมมองเห็นท้องฟ้าเบื้องบน จากนั้นจึงวาดดาบออกไปทางด้านขวาเล็กน้อยเป็นเส้นตรง ตามหลังแขนขวาของราชินีแห่งดาบที่กำลังขยับไป
และแล้วผมก็ฟันไปที่แขนขวาของนัมดาอึนอย่างไม่คิดลังเลใจเลยแม้แต่นิดเดียว
โชะ!
“อั้ก!”
ตอนที่ 7
โดย
ProjectZyphon
ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ผมได้คาดไว้
เสียงร้องแหลมสูงดังให้ผมได้ยินและผมก็ได้เห็นดาบที่นักดาบสาวถืออยู่ลอยคว้างขึ้นไปกลางอากาศหลังจากนั้น
ในค่ำคืนอันมืดมิด มีเพียงความเงียบงันที่ยังคงวนเวียนอยู่โดยรอบดินแดนรกร้างไร้ซึ่งร่องรอยของมนุษย์เช่นนี้
ทำไมภาพของนัมดาอึนที่ทรุดตัวลงนั่งกับผืนหญ้าพร้อมทั้งจับข้อมือของตนเอาไว้แน่นจึงได้เป็นภาพที่ดูน่าเห็นใจแบบนี้กันนะ
ในตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงดาบที่ตกอยู่กำลังคายไอความมืดออกมาจากที่ไหนสักที่ในทุ่งนี้ นัมดาอึนกะพริบตาสามสี่ทีเพื่อเป็นการตั้งสติจากเสียงของไอความมืดนั้น ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออีกอึกหนึ่ง
“เป็นชั้นเชิงที่ดีนะครับ ขอบคุณสำหรับการต่อสู้ครับ”
ผมจ้องมองหล่อนนิ่งๆ สักพักก่อนจะส่งคำชื่นชมไปให้นัมดาอึน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะสามารถทำให้หล่อนที่กำลังตกอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ เพราะผมรู้สึกถูกใจท่าทางของหล่อนที่ทำเต็มที่สุดความสามารถรวมถึงผลการประดาบในครั้งนี้ด้วย
“อ้า…นี่มัน…ไม่ใช่…ค่ะ…ดะ ดี…”
นัมดาอึนดูยังจับต้นชนปลายไม่ถูกพูดอะไรไม่ออก นั่นคงเพราะสภาพจิตใจของหล่อนที่กำลังสับสนเป็นอย่างมากในตอนนี้
แต่นั่นก็เป็นเพียงครู่เดียว นัมดาอึนขยับปากอ้ำอึ้งอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายแล้วหล่อนก็ก้มหน้าลงแล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“ฉะ…ฉันแพ้สินะคะ แพ้ราบคาบ ข่าวลือดูจะเป็นจริงนะคะ”
“ไม่รู้สิครับ เพราะจริงๆ แล้วการต่อสู้กับการท้าดวลก็ใช้วิธีต่างกันนะครับ”
“ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ฉันก็ไม่มีข้อแก้ตัวอยู่ดีค่ะ คุณไม่ต้องปลอบฉันก็ได้นะคะ”
หืม? เธอก็ดูสดชื่นดีนี่
ขณะที่มองดูนัมดาอึนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก ผมก็เกิดรู้สึกชื่นชมหล่อนขึ้นมา นัมดาอึนอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่งเลยหากว่าหล่อนเป็นผู้ชาย ไม่สิ ถ้าหากหล่อนไม่ได้เกลียดผู้ชายต่างหาก
ดาบของนัมดาอึนที่หล่อนทำหล่นเพราะการโจมตีของผมยังคงคายไอสีดำออกมาอยู่บนผืนหญ้า
หล่อนเดินโซเซเข้าไปใกล้ดาบเพื่อจะก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา และในตอนนั้นเอง
วี้ดดด!
ก่อนหน้านี้มันเพียงแค่ปล่อยไอความมืดออกมาเท่านั้นแต่พอมือของนัมดาอึนแตะลงไป มันก็ร้องออกมาเสียงดังจนไม่สามารถเทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ได้เลย
“ซะ ซอลอา ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”
นัมดาอึนพูดกับดาบของหล่อนด้วยความตื่นตระหนก
ชื่อซอลอางั้นเหรอ หรือว่ามีชีวิตจิตใจ…
ผมได้เห็นท่าทีพูดอะไรไม่ออกของนัมดาอึน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหนือความคาดหมายของหล่อน สีหน้าว้าวุ่นถูกเผยออกมาบนใบหน้าของหล่อนราวกับว่าหล่อนไม่เคยเห็นดาบที่ชื่อ ‘ซอลอา’ ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน
อ้า
ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะกลับไปก่อนเพราะเสร็จธุระแล้วนั้น จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว
หรือว่า…
ผมเองก็ยังไม่มั่นใจนักแต่เมื่อมานึกถึงตอนที่ได้เกียรติยศแห่งวิคตอเรียมาครั้งแรกดูแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ไปเสียเลย
ผมคิดว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปแบบนี้แต่สุดท้ายแล้วผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหานัมดาอึน ถึงแม้ผมจะกังวลใจว่าถ้าหากสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกต้อง ผมจะทำอย่างไรต่อไปก็ตามที
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในที่สุดฝั่งตะวันออกก็สามารถเดินทางพ้นดินแดนรกร้างอันลึกลับมาได้แล้ว แม้ว่าถ้ามองดูภายในจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่หากมองเป็นทีละขบวนไปล่ะก็ ความก้าวหน้าเรียกได้ว่าแทบจะไร้ปัญหาทีเดียว
และพื้นที่ที่เรากำลังจะเข้าไปเป็นอันดับถัดมาต่อจากดินแดนรกร้างอันลึกลับก็คือพื้นที่ที่เรียกกันว่า ‘ป่าแห่งดวงดาว’ นั่นเอง
ป่าแห่งดวงดาวเป็นสถานที่ที่มีความหมายกับเหล่าผู้เล่น ด้วยเป็นป่าที่ดำรงอยู่ ณ ทวีปทางเหนือมามากกว่าสี่ปี นั่นก็เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่ดังเช่นเทือกเขาเหล็กกล้าในปัจจุบัน ก่อนหน้าที่บาร์บาร่าจะถูกโจมตี
กล่าวคือ ป่าแห่งดวงดาวเป็นสถานที่ที่จำเป็นต้องผ่านหากต้องการเดินทางเข้าไปในบาร์บาร่า และยังเป็นสถานที่ที่อุทิศตนเองอย่างใหญ่หลวงในการโจมตีด้วยเช่นกัน
แต่แน่ล่ะว่าขนาดกับความยากง่ายในการเดินทางนั้นเทียบไม่ได้กับเทือกเขาเหล็กกล้าเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม มีเพียงเหล่าผู้เล่นที่เคยร่วมสงครามครั้งนั้นเท่านั้นที่จะหวนนึกถึงความทรงจำเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ เพราะสำหรับผมที่ไม่เคยมาสำรวจอะไรที่นี่เลย มันก็เป็นเพียงสถานที่ที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ
บาร์บาร่าเป็นเมืองอันดับแรกสุดจากทุกเมืองของทวีปทางเหนือในเรื่องความมั่นคง ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงมีชื่อเสียงว่ายิ่งไปไกลเท่าไร การเดินทางจะยิ่งราบรื่นขึ้นไปเรื่อยๆ ง่ายกว่าการเดินทางผ่านดินแดนรกร้างอันลึกลับออกมาอย่างปลอดภัยเสียอีก
ดังนั้นพวกทางตะวันออกจะสามารถเดินทางผ่านพื้นที่ใหม่ได้อย่างราบรื่น และในเวลาเดียวกันก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งอย่างเกิดขึ้นกับผมอีกด้วย
เดิมทีแล้วผมถูกจัดให้อยู่ในทัพแรกที่มีซอจินอูแห่งแม่น้ำทั้งสิบเป็นผู้บัญชาการตั้งแต่ที่ออกจากพรินซิก้าแล้ว แต่หลังจากที่ผมได้ท้าดวลกับนัมดาอึน ผมก็ได้รับเกียรติ(?)โดยถูกเลือกให้เข้ามาอยู่ใน ‘กลุ่ม’ พิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับตัวแปร ซึ่งหล่อนได้แนะนำผมอย่างกระตือรือร้นเลยทีเดียว
ถึงแม้ผมจะยังมีปัญหาเล็กๆ และยังไม่ได้ไขข้อข้องใจกับนัมดาอึนอยู่อีกอย่างหนึ่ง แต่ผมก็ตอบรับคำขอของหล่อนออกไปอย่างยินดี เพราะการดำเนินการต่างๆ ของกลุ่มมีอิสระมากกว่าตอนอยู่ในทัพและการทำงานกับคนจำนวนน้อยที่พร้อมจะเกื้อหนุนทักษะของกันและกันย่อมสบายใจกว่าการรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาหลายๆ คนด้วย
และก็เป็นอย่างที่ผมได้คาดเอาไว้ เมื่อคำร้องขอของนัมดาอึนไม่ได้จบลงแค่ผมตกลงเข้าร่วม แต่เพราะเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มีผู้เล่นกว่าร้อยละเจ็ดสิบที่อยู่ในคลาสลับและคลาสหายาก หล่อนจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผู้มีความสามารถจะหลบซ่อนอยู่ในเผ่า
จนถึงตอนนี้ผมก็ได้เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับราชินีแห่งดาบนัมดาอึนไปมากเลยทีเดียว ในตอนแรกผมคิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงผิดปกติที่มาพร้อมโรคเกลียดผู้ชาย แต่จริงๆ แล้วหล่อนสุภาพมาก ทั้งยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความอ่อนน้อม รวมถึงท่าทีที่หล่อนเผชิญหน้ากับผมหลังจากนั้นก็ด้วย
จริงอยู่ที่หากมองดีๆ จะยังรู้สึกได้ถึงช่องว่าง แต่หากคิดถึงเรื่องที่หล่อนไม่คุยกับผู้เล่นชายส่วนใหญ่ ผมคิดว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ตอบรับคำขอของนัมดาอึนและคิดทบทวนอย่างหนักแล้ว ผมก็ได้แนะนำสมาชิกเผ่าอีกสามคนให้กับหล่อนด้วย
คนแรกแน่นอนว่าเป็นโกยอนจูอย่างไม่ต้องสงสัย
โกยอนจูถูกจัดให้อยู่ในทัพที่ห้า ซึ่งเป็นทัพที่รวมเหล่านักฆ่าเอาไว้ แต่ผู้บัญชาการทัพที่ห้าได้อนุญาตให้หล่อนมาอย่างยินดี ตรงข้ามกับคำสั่งที่บอกให้เลือกคนอย่างระมัดระวังเสียอย่างนั้น
ไม่สิ ไม่ได้ถึงกับยินดี เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วสำหรับโกยอนจูที่จะเป็นผู้นำของทัพที่ห้า ไม่ว่าจะดูจากความสามารถหรือชื่อเสียงของหล่อนก็ตามที แต่การจัดทัพทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยไปหมดแล้วตอนที่เรามาถึงฝั่งตะวันออก และหล่อนเองก็ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการอยู่แล้วจึงปล่อยผ่านตำแหน่งนี้ไปดั่งน้ำไหลในที่สุด
นอกจากนั้นเหตุผลที่ผู้บัญาชาการทัพที่ห้าตีสองหน้ามาต้อนรับผมก็คงจะเพราะเขารู้สึกละอายที่ทิ้งราชินีแห่งเงามืดเอาไว้เบื้องหลังก็ได้ล่ะมั้ง
และแน่นอนว่าผมได้ถามความเห็นของโกยอนจูจากเจ้าตัวเองแล้ว ทันทีที่หล่อนได้ยินว่าผมจะเข้าร่วม หล่อนก็เก็บกระเป๋าและวิ่งมาหาผมเดี๋ยวนั้นเลย
และสมาชิกสองคนสุดท้ายที่ผมแนะนำไปคือวิเวียนและจองฮายอน
หลังจากที่วิเวียนได้รับออร์โดแห่งข้อบังคับ เธอก็สามารถเรียกกองทัพกลลวงได้ และมันคงจะเป็นการบ่นหากผมจะพูดว่าความสามารถแบบนี้จะเป็นประโยชน์มากแค่ไหนหากนำไปใช้ในสงคราม
ผมค่อนข้างคิดมากกับการแนะนำจองฮายอนแต่ก็ตัดสินใจที่ลองพูดดูก่อน เพราะผมคิดว่าให้หล่อนเป็นผู้ตัดสินใจเองน่าจะดีกว่าเพราะผมเองก็ไม่ได้จะบังคับอะไรหล่อน
ถ้าจะให้ผมบอกผลลัพธ์ก่อนล่ะก็ ผมได้ยินมาว่าทั้งวิเวียนและจองฮายอนต่างก็ตอบรับข้อเสนอของนัมดาอึนแล้ว
วิเวียนที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุสูงมากนั้น ดูเหมือนหล่อนจะคิดว่ากลุ่มนี้เป็นสิ่งที่พิเศษ ส่วนจองฮายอน แม้ในตอนแรกหล่อนจะบอกว่าขอคิดดูก่อน แต่พอได้ยินว่าผมก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยหล่อนก็เริ่มเก็บกระเป๋าทันทีเลยเหมือนกัน
ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ของผม ทำให้นัมดาอึนสามารถจับกลุ่มคนสี่คนรวมทั้งผมด้วยได้ในเวลาอันสั้น
ไม่ทันได้ตั้งตัว ในที่สุดทัพของฝั่งตะวันออกก็เดินทางผ่านป่าแห่งดวงดาวออกมาแล้ว และคาดว่าหากเรายังเดินทางกันด้วยความเร็วเช่นนี้ เราจะไปถึงพื้นที่ต่อไปกันได้ในอีกวันหรือสองวัน
ความจริงชื่อเรียกของพื้นที่ถัดไปนั้นยังคงคลุมเครือ นั่นก็เพราะสถานที่นั้นอยู่ใกล้กับบาร์บาร่ามากเหลือเกิน
“อะแฮ่ม!”
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกระแอมไออย่างเต็มแรงจากวิเวียนดังมา หล่อนไออย่างนั้นซ้ำอยู่สามสี่ครั้งก่อนจะเชิดคอตั้งตรงแล้วหันไปมองรอบๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโส และผมคิดว่าผมพอจะรู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่
โดยส่วนตัวแล้วที่ผมพาวิเวียนและจองฮายอนมาด้วยก็เพราะผมคิดว่าพวกหล่อนอาจมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งพอมาคิดถึงคำพูดและการกระทำของซอนยูลในการประชุมครั้งก่อนแล้ว หล่อนคงไม่ยอมปล่อยทั้งสองคนไปง่ายๆ แน่ แต่ไม่ว่าหล่อนจะจำสิ่งที่ตนเองเคยพูดเอาไว้ได้หรือไม่ นักมายากลไพ่ทาโร่ต์ก็ได้อนุมัติให้ทั้งสองเปลี่ยนกลุ่มมาเรียบร้อยแล้ว
เพราะเหตุนี้จึงทำให้สมาชิกกลุ่มรวมแล้วมีทั้งหมดห้าคนด้วยกัน คือผม, โกยอนจู, วิเวียน, จองฮายอนและราชินีแห่งดาบ แต่ว่านี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะนอกจากนัมดาอึนแล้วก็ยังมีคนอื่นที่ทำหน้าที่อื่นด้วย ซึ่งการประชุมจะมีขึ้นอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เราจะออกจากป่าแห่งดวงดาว เพราะฉะนั้นถ้าหาผมรอต่อไปอีกหน่อย ผมก็คงจะได้รู้อะไรกับเขาบ้าง
“ซูฮยอน คิดอะไรอยู่หรือคะ”
ในตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงจองฮายอนที่ถามมาจากด้านข้างพร้อมทั้งเดินตีคู่มาเท่าๆ กับผม ผมหันไปมองหล่อนก่อนจะตอบออกไปนิ่งๆ
“อ้า คิดอะไรเกี่ยวกับนักมายากลไพ่ทาโร่ต์นิดหน่อยน่ะครับ”
“อืม เธอก็ดูมีเสน่ห์ในแบบที่ซูฮยอนชอบเลยด้วยนี่คะ หน้าอกทั้งใหญ่แล้วก็ใหญ่เนี่ย”
“…”
“ฮ่าๆ ล้อเล่นนะคะ ล้อเล่น อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ”
ตอนที่ 8
โดย
ProjectZyphon
จองฮายอนเพียงหยอกเล่นแต่กลับหัวเราะเสียหนักหน่วงเมื่อเห็นท่าทางของผม ผมถอนหายใจออกไปเสียงดังก่อนจะพูดขึ้นนิ่งๆ
“…ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่ไม่คิดว่าเธอจะอนุญาตให้ออกมาง่ายๆ ก็เท่านั้นครับ เพราะผมได้เห็นฉากแย่ๆ ในการประชุมครั้งที่แล้วมาก่อน เธอดูค่อนข้างจะถือศักดิ์ถือสิทธิตัวเองอยู่มากเหมือนกันนะครับ”
“ตายแล้ว จริงหรือคะ ฉันไม่เห็นรู้สึกเลยค่ะ”
“หรือครับ ตอนอยู่ในทัพเธอเป็นยังไงครับ”
เป็นคำตอบที่ค่อนข้างน่าตกใจสำหรับผม ผมจึงถามออกไปอีกครั้งด้วยความสงสัย จองฮายอนทำท่านึกอย่างละเอียดก่อนจะค่อยๆ ตอบออกมาทีละคำ
“อืม ก็เหมือนพี่สาวแท้ๆ เลยน่ะค่ะ พอรู้ว่าฉันอยู่คลาสลับก็คอยแนะนำโน่นนี่ให้แล้วก็ดูแลดีมากๆ เลยค่ะ บางครั้งก็พูดอะไรไร้สาระและดูไพ่ให้ด้วยนะคะ จริงไหมวิเวียน”
หลังจากพูดจบจองฮายอนก็หันไปหาวิเวียนให้เออออไปด้วยกัน
แต่วิเวียนกลับทำหน้าฝืนใจราวกับตะขิดตะขวงใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบออกมาเสียงเบา
“หืม? มะ ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยรู้หรอก”
จองฮายอนมองไปที่วิเวียนและเอียงศีรษะนึกอะไรอยู่สักพักก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาเหมือนจู่ๆ ก็คิดอะไรออก
“อ้อ คุณวิเวียนเองก็ดูดวงด้วยกันตอนนั้นนี่คะ แต่เหมือนคำทำนายจะออกมาไม่ค่อยดีน่ะค่ะ”
“โอ้โฮ ดูดวงกัน ผมเองก็สนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกันนะครับ จองฮายอนได้ไพ่แบบไหนล่ะครับ”
“โธ่ ความลับค่ะ และการดูดวงน่ะก็เพียงเพื่อความสนุกนะคะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังสงสัยครับ แต่ถ้าเป็นความลับผมก็คงทำอะไรไม่ได้สินะครับ แล้ววิเวียนล่ะ เธอได้ไพ่แบบไหน แล้วผลการทำนายเป็นยังไงบ้าง”
ขณะที่ฟังบทสนทนาของผมและจองฮายอน วิเวียนก็กลับมองผมด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ก่อนจะแสดงความโกรธของหล่อนออกมาผ่านทางคำพูด
แต่ผมก็ได้เอาหนังสือสัญญาที่ซุกไว้ในเสื้อออกมา ก่อนจะส่ายมันไปมาโดยไม่พูดอะไร วิเวียนจึงทำได้แค่ตอบอ้อมแอ้มออกมาในที่สุด
“นาย คิมซูฮยอน เลวจริงๆ เลย ทำไมถึงต้องเป็นฉันคนเดียวด้วยนะ…”
“งั้นเหรอ รู้แล้วก็รีบๆ ตอบเร็วสิ”
“คือ…”
ความเย่อหยิ่งเมื่อสักครู่นี้หายไปหมดแล้ว วิเวียนยังอ้อยอิ่งไม่ยอมตอบออกมาแถมยังทำหน้าตาบึ้งตึง แต่เมื่อผมเร่งเข้าหล่อนก็ยอมตอบออกมา
“ก็มีแค่ว่า…เป็นไปได้ที่ฉันจะได้ในสิ่งที่ฉันกำลังต้องการอยู่ตอนนี้นั่นแหละ…”
“อื้ม สิ่งที่เธอต้องการเหรอ อะไรล่ะ”
“นะ นั่นมัน…เอ่อ ก็ ก้น…”
วี้ดดด!
ในตอนนั้นเอง ขณะที่วิเวียนกำลังตอบออกมาด้วยความลังเล จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณแหลมสูงดังมาจากทางทัพหน้า
“หยุดทัพสักครู่ครับ!”
และเสียงตะโกนที่ดังตามมาก็ทำให้เราต้องหยุดเดินและหยุดบทสนทนาที่คุยกันอยู่อย่างช่วยไม่ได้
“หืม? เรื่องอะไรกันนะคะ หรือว่าจะเป็นสัตว์ประหลาด…”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมว่าเราควรรอดูกันดีกว่าครับ”
จองฮายอนชะเง้อคอมองไปข้างหน้า แต่ผมก็แตะที่ไหล่หล่อนเพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คงจะมองไม่เห็นอยู่ดี
“เฮ้อ รอดแล้ว”
หลังจากนั้นผมก็เหมือนจะได้ยินเสียงเล็กๆ ดังออกมา แต่ผมตัดสินใจจะปล่อยหล่อนไปก่อนและหันมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน
ยี่สิบนาทีผ่านไปทั้งอย่างนั้น ข่าวที่ผมพอจะได้ยินจากลูกแก้วคริสตัลก็คือที่ทัพประตูฝั่งตะวันออกซึ่งออกเดินเป็นทัพแรกสุดได้มีการพบเหล่าผู้เล่นที่ดูเหมือนจะมาจากบาร์บาร่าโดยบังเอิญ
เหนือ, ใต้, ออก, ตก
ในบรรดาสี่ทัพจากสี่ประตูนี้ ทัพที่รุกคืบหน้าไปได้เร็วที่สุดคือทัพจากฝั่งตะวันออกที่มีแคลนลอร์ดฮันเป็นผู้บัญชาการสูงสุด
ทัพทางฝั่งตะวันออกเจอเข้ากับเหล่าผู้เล่นที่หนีออกมาจากบาร์บาร่าโดยบังเอิญขณะที่กำลังเดินผ่านป่าแห่งดวงดาว กองทัพจึงต้องหยุดขบวนกันกะทันหัน และได้แจ้งผ่านลูกแก้วคริสตัลสื่อสารที่เตรียมไว้เพื่อให้การติดต่อระหว่างทัพเป็นไปอย่างราบรื่นว่าจะรอการชี้แนะเกี่ยวกับทิศทางในการดำเนินการต่อไป อย่างเช่น การจัดการและการเดินทัพของเหล่าผู้เล่น
ซึ่งทัพทางประตูตะวันตกที่ได้รับการติดต่อนั้น ก็ได้ตอบกลับมาว่า ‘ทางเราหวังว่าท่านจะนำเหล่าผู้เล่นมาที่ฝั่งนี้ ทัพเราจะหยุดอยู่ที่นี่กันสักพัก และเราจะไม่ลดการป้องกันโดยรอบลงจนกว่าจะได้รับการติดต่อมาอีกครั้ง’
และในขณะเดียวกันกับที่เหล่าผู้เล่นในสังกัดทัพฝั่งประตูตะวันออกกำลังออกมานำทางนั้นเอง เหล่าผู้เล่นที่หลบหนีออกมาจากบาร์บาร่าก็มาถึงพอดี
หนึ่ง, สอง, สาม, สี่, ห้า, หก, เจ็ด มีเจ็ดคนอย่างนั้นเหรอ
ทันทีที่ลองนับจำนวนดูทีละคนๆ ผมก็เกิดความสงสัยขึ้นมาแวบหนึ่ง จำนวนคนอาจจะไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนัก แต่ยิ่งมองยิ่งนับไปเท่าไร ความขัดแย้งแปลกๆ ที่ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็นนั้นก็ยังคงไม่หายไป
ไปพาอันซลมาดีไหมนะ
ในขณะที่ผมกำลังผิดหวังที่โชคไม่เข้าข้างอยู่นั้น ก็พอดีกับที่แคลนลอร์ดโครยอเริ่มถามคำถามขึ้นมา
“ผมได้ยินมาว่าพวกคุณคือผู้เล่นที่หลบหนีออกมาจากบาร์บาร่า เท่าที่เห็นพวกคุณก็ดูเหนื่อยกันมามากแต่ผมต้องขออภัยพวกคุณด้วยนะครับ ผมมีคำถามไม่กี่ข้ออยากจะถามพวกคุณหน่อย เพราะมันสำคัญกับพวกเราในตอนนี้มากจริงๆ ครับ”
“ฮ่าๆ ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไรเลย ถึงแม้ว่าจะยากลำบากแต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับเหล่าผู้เล่นที่เป็นพวกเดียวกันในตอนนี้นะครับ ผมได้ยินเรื่องราวคร่าวๆ มาจากท่านที่อยู่ตรงหน้าผมนี่แล้ว ผมจะตอบคำถามของพวกคุณอย่างจริงใจและเต็มใจครับ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางกลุ่มผู้เล่นทั้งเจ็ดเป็นผู้ตอบคำถามของแคลนลอร์ดโครยอ การแต่งตัวดูซอมซ่อและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสีหน้าของความโล่งใจปรากฏให้เห็นอยู่เหมือนกัน
แต่ผมก็ยังแอบมองเขาอย่างละเอียด ผมสังเกตเห็นว่าทั้งเสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดจนหลุดลุ่ยและสกปรกมอมแมมนั้น อาจจะถูกทำขึ้นมาโดยเจตนา
“ขอบคุณที่เข้าใจพวกเรานะครับ ถ้าอย่างนั้น ก่อนอื่นหากผมจะขอทราบข้อมูลผู้เล่นของพวกคุณจะได้ไหมครับ และถ้าหากพวกคุณสังกัดอยู่เผ่าไหน เรื่องนั้นผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับ”
“ผมชื่อแพคกอนอุง ผู้เล่นปีที่สี่ครับ ตอนนี้ผมเป็นผู้เล่นอิสระไม่สังกัดเผ่าใดเลยครับ เพราะเผ่าเดิมที่เคยอยู่กระจัดกระจายกันออกไปหลังจากการเดินทางผ่านเทือกเข้าเหล็กกล้ากันหมดแล้วครับ”
หลังจากที่ชายหนุ่มพูดชื่อของตนออกมา แคลนลอร์ดโครยอก็มองไปยังเหล่าผู้เล่นที่รวมตัวกันอยู่รอบๆ คงเพราะต้องการจะมองหาเผื่อว่ามีผู้เล่นคนใดที่รู้จักกับแพคกอนอุงอยู่บ้าง
แต่เหล่าผู้เล่นที่มารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็เป็นเหล่าผู้เล่นที่มีฐานะในระดับหนึ่งหรือไม่ก็เหล่าผู้เล่นที่กำลังสร้างชื่อเสียงอยู่ ซึ่งในทางตรงกันข้าม แพคกอนอุงก็ดูจะเป็นเพียงแค่ผู้เล่นธรรมดาๆ ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่าโอกาสที่จะเปลี่ยนตัวกันได้นั้นมีอยู่น้อยมาก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบพิเศษ
หลังจากได้รับการยืนยันคำตอบโดยการส่ายหน้าของเหล่าผู้เล่นแล้ว แคลนลอร์ดโครยอก็เริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะบอกสถานการณ์ในบาร์บาร่าตอนนี้ให้ผมทราบหน่อยได้ไหมครับ ยกตัวอย่างเช่น การต่อสู้ตอนนี้เป็นไปในรูปแบบใด…”
“สถานการณ์นะครับ พูดตามตรงว่าผมออกมาจากเมืองตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างน่ะครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“ครับ? หมายความว่ายังไงกันครับ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือครับ”
“ตามที่ผมพูดเลยครับ พวกเราออกมาจากเมืองกันประมาณหนึ่งอาทิตย์ได้แล้ว และในตอนนั้นยังเป็นตอนที่เมืองยังไม่ถูกโจมตีเลยครับ”
นั่นก็หมายความว่าเขาออกจากเมืองมาก่อนที่จะเกิดการบุกรุก
แต่เสื้อผ้าดันอยู่ในสภาพอย่างนั้นน่ะนะ
บาร์บาร่าเป็นเมืองที่มีความมั่นคงมากที่สุดในทวีปทางเหนือ ยิ่งไปกว่านั้นหากพวกเขาออกมากันตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้ก็ต้องผ่านพื้นที่ละแวกเมืองกันไปแล้ว แล้วไหนยังจะเสื้อผ้าที่ถูกทำลายย่อยยับมาประมาณหนึ่งก็ดูผิดปกติ ไม่สิ เพราะต่อให้เขาไม่มีสภาพแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแต่ความระแวงของผมก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่ดี
“ก่อนอื่นเลย ผมขอเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่พวกเราจะเดินทางออกมาเสียก่อน…”
ในขณะที่กำลังฟังแพคกอนอุงพูดต่อไป ผมก็เปิดดวงตาที่สามขึ้นมา
หา?
และในขณะที่ผมกำลังอ่านข้อมูลผู้เล่นของเขาอยู่นั่นเอง ผมก็รู้สึกว่ามีแรงมหาศาลเข้ามาในดวงตาของผม
“จะเริ่มจากไหนดีล่ะ…อันดับแรก การตัดสัญญาณวาร์ปเกตเป็นการทำตามอำเภอใจของเผ่าสิงโตทองครับ และดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนความคิดเรื่องภาคตะวันออกและภาคใต้ด้วยครับ และเหล่าผู้เล่นต่างก็ตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหลในการหลบหนีออกไปครับ ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นเพราะพวกเขาพยายามจะใช้กำลังคนในการป้องกันโดยบังคับน่ะครับ”
“อืม…แต่เท่าที่ผมรู้มานั้นไม่ใช่เพียงแค่วาร์ปเกต แต่การติดต่อสื่อสารอื่นๆ ก็ใช้งานไม่ได้เลยนี่ครับ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมันล่ะครับ”
“อ้า เรื่องนั้น…ผมรู้ว่าที่เมืองอื่นโดนบุกรุกเมื่อก่อนนี้ก็มีสถานการณ์คล้ายแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันนะครับ แต่ถึงแม้ว่าบาร์บาร่าจะไม่โดนบุกรุก…ความจริงแล้วผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันนะครับ แต่ทุกครั้งที่ผมพยายามจะสื่อสาร กระแสเวทมนตร์ก็มักจะไม่เสถียรเอามากๆ เลยครับ”
แพคกอนอุงส่ายหน้าไปมาราวกับว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับส่วนนั้น เรื่องราวของเขายังคงถูกเล่าต่อไปเรื่อยๆ
เขาบอกว่าเผ่าสิงโตทองดูจะทุ่มเทกับการพยายามป้องกันเมืองในทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการล่อลวงหรือเกลี้ยกล่อมเหล่าผู้เล่น แต่ทวีปทางเหนือที่เชื่อว่าเป็นป้อมปราการสุดท้าย ตอนนี้ก็ได้หันหลังให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยิ่งเวลาผ่านเลยไป จำนวนคนที่เดินผ่านประตูหน้าออกมาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แพคกอนอุงพยายามที่จะอดทนให้ถึงที่สุด แต่สุดท้ายแล้วเขาบอกว่าเขาได้ตัดสินใจหนีออกจากเมืองทันทีที่เขาได้ยินว่าพวกผู้บุกรุกกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
“ผมยอมรับว่ามันเป็นการกระทำที่ขี้ขลาดครับ แต่คิดว่าเมืองไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนมันเคยเป็นเมืองที่มีประชากรมากกว่าหมื่นคน แต่ในตอนที่ผมออกมานั้น กลับกลายเป็นเมืองที่มีคนเหลืออยู่ไม่ถึงพันคนไปเสียแล้วครับ”
“อืม ขอบคุณมากครับ ถ้างั้นคุณก็ไม่ทราบสินะครับว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง”
“ครับ”
แพคกอนอุงพูดเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเสียดายและแคลนลอร์ดโครยอที่เฝ้ามองเขาอยู่ตลอดก็พยักหน้ารับนิ่งๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรสถานการณ์ของบาร์บาร่าก็ไม่ได้ต่างจากที่ที่ทางตะวันออกกับทางใต้เป็นผู้นำอยู่มากนัก ผมไม่นับว่านี่มันแปลกไปจากที่ผมคาดการณ์ไว้มากขนาดนั้น
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นเราต้องตัดสินใจกันเรื่องท่าทีของพวกเขา…แต่อย่างไรเสีย ก่อนอื่นผมว่าพวกคุณควรกลับเข้าไปในเมืองจะดีกว่านะครับ ที่นี่มันอันตรายครับ”
“เอ่อ ผมอยากจะขอร้องคุณเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างหนึ่งน่ะครับ”
“ขอร้องหรือครับ”
“หากตอนนี้พวกคุณกำลังเดินทางไปบาร์บาร่า บางทีถ้าพวกเราจะขอ…”
ตอนที่ 9
โดย
ProjectZyphon
ในตอนนั้น แพคกอนอุงก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง เพราะผมขยับออกมายืนอยู่ข้างหน้านั่นเอง และในชั่วพริบตาเดียวระหว่างที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่นั้นเอง ผมก็ค่อยๆ เดินไปหาแคลนลอร์ดโครยอช้าๆ
“หืม? แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่? คุณมีอะไรอยากจะพูดหรือครับ”
“ครับ แคลนลอร์ดโครยอ ไม่ทราบว่าคุณจำตอนที่เราจัดการกับพวกสายลับได้อยู่หรือเปล่าครับ”
“อ้า เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วล่ะครับ ต้องขอขอบคุณความสามารถของราชินีแห่งเงามืดเป็นพิเศษเลยที่ทำให้เราสามารถถอนรากถอนโคนสายลับทั้งหมดที่ไม่ได้ออกมาจากปากของแพคซอยอนได้ ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะครับ”
“ผมมีความคิดหนึ่งที่คาดว่าคุณน่าจะคาดไม่ถึงอยู่น่ะครับ ไม่ทราบว่าจะเป็นอะไรไหมหากผมจะขอถามคำถามพวกเขาสักหน่อย”
ผมไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือเขาอีกต่อไป ในเมื่อผมคือผู้เล่นที่สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดในการเตรียมพร้อมในสงครามครั้งนี้ และยังเป็นแคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ที่ก้าวสูงขึ้นมาอีกขั้นแล้วในตอนนี้ เป็นการกระทำที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีคำว่าอวดดีดังมาให้ผมได้ยินแล้ว แต่ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะที่ต้องพูดออกมาบ้าง
แคลนลอร์ดโครยอดูสงสัยอยู่บ้าง แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเป็นการอนุญาตให้ผมรีบๆ ถามให้เสร็จเสียที
ผมเริ่มถามในทันที และดังเช่นที่ผมเป็นมาเสมอ หากจะเริ่มต้องเริ่มให้ตรงประเด็น
“ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนนะครับ ว่าผมสงสัยคุณ”
“ครับ?”
“จากที่นี่ไปจนถึงบาร์บาร่า ถ้าอย่างเร็วใช้เวลาประมาณห้าวัน แต่ถ้าช้าก็ประมาณเจ็ดวัน คำพูดของคุณไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด…แต่ก็อย่างที่ผมพูดครับ ผมไม่สามารถกำจัดความคิดเรื่องไทม์มิ่งที่ถูกต้องออกไปได้เลยน่ะครับ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่”
“คุณบอกว่าคุณออกจากเมืองมาตั้งแต่ก่อนที่มันจะถูกบุกรุก แต่นั่นล่ะครับสิ่งที่คุณไม่รู้ เมืองอาจจะถูกบุกรุกไปตั้งแต่ก่อนอาทิตย์ที่แล้วมานานมากแล้วก็ได้ ไม่สิ บางทีอาจจะล่มสลายไปแล้วก็ได้เหมือนกัน ทีนี้คุณเข้าใจที่ผมพูดหรือยังล่ะครับ”
ทันทีที่ผมพูดจบ ก็เกิดเสียงของความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นในหมู่ผู้เล่นรอบๆ ตัวผม ส่วนใหญ่จะเป็นไปในแนวว่าทำไมจู่ๆ จึงมาถามอะไรไร้สาระเพราะพวกเขาตกใจกับการพูดเสนออย่างกะทันหันของผม แต่ผมก็คาดไว้แล้วว่าจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ออกมา และเพราะผมมีความมั่นใจและความลับเป็นอาวุธ ผมจึงกล้าที่จะพูดออกมา เพราะผมอยากทำให้มันจบในตู้มเดียวแบบไม่ต้องมาอ้อยอิ่งอะไรกันอีก
“ตายจริง แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่?”
ตอนนั้นเองก็มีเสียงสุภาพเรียบร้อยแบบกุลสตรีเรียกชื่อผมมาจากด้านข้าง เจ้าของเสียงนั้นก็คือซอนยูลนั่นเอง หล่อนยกแขนกอดอกก่อนจะพูดต่ออย่างนุ่มนวล
“ที่คุณพูดไปเมื่อสักครู่นี้ นี่คุณกำลังสงสัยว่าพวกเขาเป็นพวกเร่ร่อนอย่างนั้นหรือคะ”
“ใช่ครับ ตอนนี้สายลับทุกคนถูกจับหมดแล้ว ผมจึงคิดว่าพวกเขาคงไม่สามารถติดต่อกับสายลับได้จึงสงสัยสถานการณ์ในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะใช้ผู้เล่นที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ไม่สิ ต้องเป็นพวกเร่ร่อนปลอมตัวเป็นผู้เล่นแล้วมาหลอกเอาข้อมูลจากเราอย่างไรล่ะครับ”
“หืม นั่นเป็นการคาดเดาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ นะคะ ไม่มีหลักฐานมีแค่ความมั่นใจ…แบบนี้ไม่เรียกว่าดันทุรังหรือคะ”
ซอนยูลเผยรอยยิ้มบางเบาก่อนจะพูดแดกดันผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ทันใดนั้นเองแพคกอนอุงที่ที่ทำหน้าปั้นไม่ถูกอยู่ก็เปลี่ยนกลับมายิ้มได้อีกครั้งเพราะคิดว่ามีคนเข้าข้างตนก่อนจะตอบออกมา
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ก็คงมีความสงสัยกันบ้างล่ะครับ ในส่วนนั้น ผมขอชี้แจง…”
“ไม่ต้อง ความจริงแล้ว แม้ฉันจะคิดว่ามันดันทุรังแต่ฉันคิดเช่นเดียวกับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ เพราะแบบนั้นล่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเอง นักมายากลไพ่ทาโร่ต์ที่ปฏิเสธความคิดของผมในทีแรก ก็ปรับสีหน้าและเปลี่ยนท่าทีของหล่อนอย่างรวดเร็ว
“คะ ครับ? นี่หมายความว่า…”
“พวกเราไม่ได้โง่นะคะ ถึงแม้มันจะฟังดูสมเหตุสมผลในตอนแรก แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว ยังมีจุดที่ยังคลุมเครืออยู่อีกเยอะเลยเหมือนกันค่ะ ยกตัวอย่างก็เช่น ลูกแก้วสื่อสาร ภายในเมืองมันอาจจะใช้ไม่ได้ แต่ถ้าออกจากเมืองมาแล้วก็สามารถใช้ลูกแก้วได้นะคะ เมื่อกี้พวกเราเองก็ยังใช้สื่อสารกันอยู่เลยค่ะ ไม่ทราบว่าได้ลองใช้ดูหรือยังคะ”
อ้อ นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจะพูดอยู่เหมือนกัน
ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน ที่เมื่อกี้เอาแต่พยายามจะพูดขยายความให้ละเอียดทั้งที่รู้ว่ามันดูออกจะดื้อดึงดันทุรังไปมากก็ตามที
“เอ่อ ไม่สิครับ พอดีพวกผมไม่มีลูกแก้วคริสตัลน่ะครับ”
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเรามาค้นตัวกันแบบง่ายๆ กันหน่อยเถอะค่ะ เพราะฉันคิดว่าถ้าเป็นสายลับล่ะก็จะต้องเอาลูกแก้วที่จะใช้ติดต่อสื่อสารกันอย่างลับๆ มาด้วยอยู่แล้ว ไม่ใช่หรือคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่?”
เพราะคนที่คิดว่าเป็นพวกเดียวกันกับตัวเองจู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีและหันมาโจมตีเขา ทำให้สีหน้าที่เรียบเสมอต้นเสมอปลายของแพคกอนอุงหายไป ก่อนจะแทนที่ด้วยสีหน้าที่แสดงความตื่นตระหนก
หืม ต้องยกนิ้วให้แล้วมั้งเนี่ย
ผมมองไปที่ซอนยูลที่กำลังเลิกคิ้วมาทางผมพร้อมนึกยกย่องหล่อนในใจ แน่นอนว่าความคิดที่ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่คาดเดาอะไรไม่ได้นั้นยังคงอยู่
“นี่ทำกันเกินไปแล้วนะคะ!”
ในตอนนั้นเองหญิงคนหนึ่งที่ฟังเงียบๆ อยู่ด้านหลังก็หวีดร้องออกมาอย่างโกรธเคือง
“รู้กันบ้างไหมคะว่าพวกเราออกจากเมืองกันมาด้วยความรู้สึกแบบไหน ทั้งตื่นเต้นและกังวลตลอดทางที่มาถึงที่นี่ อยากเจอคนที่เป็นพวกเดียวกันมาก แต่พวกคุณกลับมองว่าเราเป็นพวกเร่ร่อน…”
สีหน้าของหญิงสาวแสดงถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง แต่กับผมที่มั่นใจในดวงตาที่สามของตนเองนั้น มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากว่าเธอคนนี้ต้องการหนีออกไปจากวิกฤตนี้โดยการอุทธรณ์ขอความเห็นใจ
“ทำ…ทำแบบนี้…ได้อย่างไรกันคะ ทั้งที่ฉันรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ทำแบบนี้ได้อย่างไร…ฮึก”
ทำแบบนี้ได้อย่างไรน่ะเหรอ
ฉันเห็นข้อมูลผู้เล่นของพวกเธอหมดแล้ว ก็เลยรู้น่ะสิ
“อะแฮ่ม ผมเข้าใจที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่พูดดีนะครับ แต่ผมคิดว่าการต้อนพวกเขาจนจนมุมเช่นนี้เพียงเพราะความคิดของคุณเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน เรื่องระยะเวลาก็อาจจะถูกก็ได้ และพวกเขาก็อาจจะไม่ได้นึกถึงลูกแก้วสื่อสารก็ได้อีกเช่นกัน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็อาจจะเป็นผู้เล่นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ ก็ได้นะครับ”
ถึงแม้ผมจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่คำพูดของแคลนลอร์ดโครยอก็ดูจะเป็นคำพูดที่เหมาะสมที่สุดแล้วในสถานการณ์แบบนี้
เมื่อแคลนลอร์ดโครยอพูดปกป้องตนขึ้นมา สีหน้าของแพคกอนอุงก็ดูมีประกายขึ้น จากนั้นเขาก็พูดต่อ
“โอ้! เดี๋ยวก่อนนะครับ! ที่นี่มีคนอยู่มากมายเลย ผมคิดว่าในนี้ก็น่าจะมีใครที่รู้จักหนึ่งในพวกเราเจ็ดคนอยู่นะครับ อ้า ไม่สิ! ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย ในบรรดาพวกคุณที่ผมได้เจอเป็นครั้งแรกนั้นมีคนที่ผมคุ้นหน้าอยู่ด้วยครับ! ถ้าผมได้ไปหาเขา ผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้นะครับ”
“อืม พอมาคิดดูแล้วก็มีวิธีนั้นอยู่ด้วยนะครับ แต่เพื่อเป็นการเผื่อไว้ก่อน เราคงต้องขอตรวจค้นตัวและริบลูกแก้ว…”
หรือนี่จะเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายกันนะ แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดแล้วก็ได้ แต่ก็ยังมีช่องว่างใหญ่อยู่ช่องหนึ่ง เพราะเหล่าสายลับทั้งในฝั่งตะวันออก, ฝั่งใต้ และฝั่งเหนือต่างถูกกวาดล้างอย่างลับๆ ไปหมดแล้ว แต่สายลับของทางภาคกลางยังคงมีเหลืออยู่
กล่าวคือ มีความเป็นไปได้สูงมากที่แพคกอนอุงกับพวกที่อยู่ข้างหลังเขานั้นจะเป็นพวกเร่ร่อนที่สวมหน้ากากเป็นผู้เล่นอยู่
ผมส่ายหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดออกมาเรียบๆ
“ไม่ครับ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกนะ เพราะมีหลักฐานอยู่แล้วล่ะครับ”
“ครับ? หลักฐานหรือครับ”
ผมได้ยินที่แคลนลอร์ดโครยอถามมาด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่รอช้าที่จะเรียกชื่อชื่อหนึ่งออกมา
“ผู้เล่นโกยอนจู”
“ค่ะแคลนลอร์ด เรียกฉันเหรอคะ”
ทันทีหลังจากที่ผมเรียก โกยอนจูก็ตอบรับและก้าวออกมาข้างหน้าเหมือนเป็นการบอกว่าหล่อนรอให้ผมเรียกตั้งแต่ที่ผมก้าวออกมาแล้ว
“อ้า”
ตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของแคลนลอร์ดโครยอ ผมส่งโกยอนจูไปทำงานนอกสถานที่อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นหล่อนคงจะรู้ดีว่าผมตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป
“ผมไม่คิดว่าพวกเขาทั้งเจ็ดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้จะสามารถต้านทานความสามารถของคุณได้หรอกนะครับ”
“อืมมม~”
ผมหันมาหาโกยอนจูก่อนจะชี้ไปที่พวกเขาที่กำลังยืนทำหน้าเป็นกังวลอยู่อย่างนั้น หล่อนครางในลำคออย่างสบายๆ ก่อนจะพูดต่อ
“หึๆ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”
โกยอนจูตอบออกมาด้วยเสียงเนือยๆ อันเป็นเอกลักษณ์ก่อนที่ดวงตาของหล่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเทา
ตอนที่ 10
โดย
ProjectZyphon
แสงตะวันพลันดับลง และโดยที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว แสงอัสดงสีเข้มก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทุ่งกว้าง แต่จากการที่ผมได้เห็นแสงมืดครึ้มอยู่ทุกทุกแห่งเช่นนี้ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าเวลาเย็นย่ำคงจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้แล้ว
เมื่อหันไปมองรอบๆ ผมก็ได้เห็นว่าเต็นท์ถูกกางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยหมดแล้วเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งแคมป์ เดิมทีแล้วเราควรจะต้องเดินทัพกันให้ไกลที่สุดเท่าที่เวลาจะเป็นใจ แต่หลังจากออกจากป่าแห่งดวงดาวมาแล้ว เราก็ไม่ได้เดินทัพอย่างรวดเร็วอีกเพราะนี่ก็จวนจะถึงบาร์บาร่าอยู่แล้ว
ระยะทางที่เหลืออยู่ไม่ว่าจะเดินทางช้าอย่างไร อย่างเต็มที่ก็ประมาณสองวัน ดังนั้นเราจึงต้องเก็บแรงเอาไว้สำหรับสำรองใช้ในสงคราม
ผมมองดูเหล่าผู้เล่นที่ออกจากเต็นท์มาพูดคุยกันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเบนสายตาหันไปทางอื่น และที่ที่ผมหันไปมองก็คือลานตรงกลางแคมป์ที่มีคนเจ็ดคนถูกแขวนไว้อยู่กับเสาไม้ รอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทุกที่ ทุกอย่างนิ่งไม่ไหวติง พวกเขาตายแล้ว
ทั้งเจ็ดคนที่ถูกแขวนอยู่นั้นก็คือพวกเร่ร่อนที่ปลอมตัวเป็นผู้เล่นมาหาเราเมื่อสี่วันก่อนนั่นเอง ผมสามารถจับพวกเขาได้อย่างง่ายดายโดยการใช้ดวงตาแห่งการล่อลวงอันเป็นเอกลักษณ์ของโกยอนจู พวกเขาถูกจับเป็นเชลยในทันที และถูกบังคับให้บอกข้อมูลทั้งหมดที่รู้กลับมา
เป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาเป็นตัวไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงพอจะช่วยได้อยู่สองอย่างล่ะมั้ง
อย่างแรกคือบาร์บาร่าล่มสลายไปแล้ว ส่วนอีกอย่างหนึ่งนั้น…
วี้ดดด
ทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงของดาบ ผมจึงหันหลังไปมอง และได้เห็นราชินีแห่งดาบนัมดาอึนที่กำลังยืนอยู่อย่างเรียบร้อย
“คุณได้สร้างผลงานชั้นยอดอีกแล้วนะคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
น้ำเสียงทั้งเย็นชาและนิ่งเรียบ จนหากฟังแค่เสียงก็อาจทำให้ผมเข้าใจผิดว่าหล่อนเกลียดผมได้ แต่เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าหล่อนไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น จึงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“ผมก็แค่ระแวงเท่านั้นเองครับ ไม่ได้มากมายถึงขนาดจะถูกเรียกว่าผลงานได้หรอกนะครับ”
“คุณนี่ถ่อมตัวจังนะคะ”
วี้ดดด
ผมเอียงศีรษะด้วยความสงสัย ผมเคยช่วยแนะนำสมาชิกเผ่าให้ แต่ตั้งแต่ตอนนั้นมาหากเราบังเอิญเจอกันก็จะทำเพียงพยักหน้าให้อีกฝ่ายและเลี่ยงกันไปเป็นประจำ ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันก็แปลกอยู่เหมือนกันที่จู่ๆ หล่อนก็เข้ามาคุยกับผม
ทำไมจู่ๆ เธอจึงเป็นแบบนี้ล่ะ น่าอึดอัดจริงๆ
ขณะที่กำลังพยายามจะตอบกลับไปนั้นเอง นัมดาอึนก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เย็นนี้มีประชุมนะคะ แน่นอนว่าแค่ระหว่างสมาชิกในกลุ่มค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
ธุระที่ชัดเจนและคำตอบง่ายๆ แล้วก็ตามมาด้วยความเงียบที่น่าอึดอัดอีกตามเคย ยิ่งมีบรรยากาศแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิดอย่างไรก็ไม่รู้ ทำไมกันนะ
ผมตัดสินใจว่าจะตอบออกไปอย่างจริงใจอีกเล็กน้อยเพื่อสลัดตัวเองให้หลุดจากความรู้สึกผิดที่ไม่รู้ที่มานี้
วี้ดดด
“ผมจะไปเข้าร่วมประชุมด้วยแน่นอนครับ”
“…”
นัมดาอึนพยักหน้าให้กับคำตอบที่ชัดเจนของผม จากนั้นทั้งผมและหล่อนต่างก็มองและแลกเปลี่ยนสายตากัน
ผ่านไปประมาณสิบวินาทีที่เราต่างก็จ้องตากันอย่างไร้ความหมาย ผมเห็นปากหล่อนขยับถามผมอุบอิบว่าผมมีธุระอะไรต้องไปทำต่อหรือไม่ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำแล้วยื่นสองมือของหล่อนออกมาอย่างเขินอายพร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงเล็กๆ
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ช่วย…”
“…ครับ?”
“ขอร้อง…ล่ะค่ะ ได้โปรด…”
“…เป็นแบบนั้นอีกแล้วหรือครับ”
นัมดาอึนเอาแต่มองพื้นและพยักหน้ากลับมาราวกับว่าการพูดแบบนั้นกับผมมันน่าอายมาก ในมือบางทั้งสองข้างของหล่อนกำลังกำดาบที่ส่งเสียงก้องบาดหูมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้ไว้
ยังแก้ไม่หายอีกอย่างนั้นเหรอ
ผมถอนหายใจออกมาเงียบๆ ก่อนจะรับดาบมาอย่างระมัดระวัง
วี้ด วี้ด
จู่ๆ ดาบก็ส่งเสียงประหลาดออกมา
ผมตกใจจนปล่อยมันหลุดจากมือ
ฮือออ
คราวนี้กลับได้ยินเสียงร้องอย่างโศกเศร้าแทน
ฮือออ ฮือออ
ให้ตายเถอะ ดาบร้องไห้
ในตอนนั้นมีความคิดเป็นห้าหมื่นอย่างวิ่งวุ่นกันอยู่ในหัวผม แต่ก่อนอื่นผมก็ก้มลงหยิบดาบที่ผมทำหล่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การทำดาบของผู้อื่นตกถือว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาท แต่ในบางที(?)ก็เป็นการกระทำที่แสดงความเสียใจออกมาได้เช่นกัน
ผมถือเจ้าดาบซอลอาของนัมดาอึนไว้ในมือซ้าย ก่อนจะปลอบเบาๆ ด้วยมือขวา ค่อยๆ ลูบอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนแบบเดียวกับที่เคยลูบผมอันซลเมื่อก่อนนี้
ฮึก…ฮึก
ผมลูบอยู่อย่างนั้นเป็นสิบครั้งน่าจะได้ เจ้าดาบที่ร้องคร่ำครวญมาตั้งแต่เมื่อสักครู่ตอนนี้ก็ค่อยๆ สงบลงมาบ้างแล้ว ผมจึงทำเต็มที่ในการลูบปลอบมันให้นุ่มนวลยิ่งกว่าเดิม
“…”
“…”
อื้อออ!
ทำไมจู่ๆ ผมถึงได้รู้สึกไปเองว่าซอลอากำลังยิ้มอยู่นะ
อย่าบอกนะว่ารู้สึกถึงมือผมได้น่ะ
ผมเองก็รู้ดีว่ามันเป็นไปได้น้อยมากแต่ก็อดจะตกใจกับการแสดงออกตรงๆ ของซอลอาไม่ได้ เพราะถ้าหากเมื่อกี้มันร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า แต่ในตอนนี้มันก็กลับสั่นด้ามหงึกๆ อย่างกับไม่เคยทำแบบก่อนหน้านี้มาก่อน
แล้วฉันควรจะทำยังไงดีล่ะนี่…
ไม่นับเรื่องจุกจิกอื่นๆ ซอลอาเป็นดาบที่มีเจ้าของเพียงคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นนี่มันก็เป็นสถานการณ์ที่ผมก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ออกมา ผมจึงตัดสินใจลำบาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ยังลูบมันต่อไป และเงยหน้าขึ้นมาอย่างเหม่อลอยก่อนจะมองไปที่นัมดาอึน แต่หล่อนก็ยังเอาแต่ก้มมองพื้น ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจสถานการณ์แบบนี้เหมือนกันสินะ
ไม่สิ มองฉันเหมือนจะสั่งให้ฉันทำอะไรก็ได้…
ผมถอนหายใจอยู่ข้างใน
และราวกับว่ามันจะรู้ใจผม
อื้อออ~
ซอลอาเอาแต่ส่งเสียงออกมาอย่างชัดเจน
ตามที่นัมดาอึนได้พูดไว้ การประชุมระหว่างสมาชิกกลุ่มถูกจัดขึ้นในตอนเย็น ผมเข้าประชุมพร้อมกับหล่อนทั้งที่ยังกอดเจ้าตัวปัญหาที่ยังหาทางแก้ไม่ได้ไว้แนบอก
การประชุมของเหล่าผู้เล่นกลุ่มพิเศษเริ่มต้นขึ้น แต่เนื้อหากลับไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษ นัมดาอึนผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของกลุ่ม ทำเพียงแค่ทักทายสั้นๆ และเป็นเพียงแค่การให้สมาชิกกลุ่มได้มาเจอหน้ากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเท่านั้นเอง
ถึงแม้จะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ก็เป็นกลุ่มเล็กที่รวมเหล่าผู้เล่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูงเอาไว้ ไม่สิ ผมควรจะเรียกว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากกว่าหรือเปล่านะ
นัมดาอึนก็ดูจะรู้ดีถึงเรื่องนี้ หล่อนจึงไม่มีท่าทางวางอำนาจเลยตลอดทั้งการประชุม และสิ่งเดียวที่หล่อนพูดก็มีเพียงแค่ ‘ระหว่างสงครามนี้ ฉันขอฝากตัวด้วยนะคะ’ เท่านั้น
และหลังจากที่หล่อนแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา ยิ่งเวลาผ่านไปการประชุมก็ยิ่งเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
การสนทนานั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงคราม ในตอนแรกเราพูดถึงบาร์บาร่ากันเยอะมาก แต่ตอนนี้หัวข้อเปลี่ยนเป็นเรื่องของพวกเร่ร่อนแทนแล้ว
“เฮ้อ พี่คะ ฉันไม่ชอบพวกเร่ร่อนที่ถูกแขวนอยู่ข้างนอกตอนนี้เลย าไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงน่ะค่ะ”
เมื่อผมหันไปมอง ก็พบเข้ากับคังเยบิน ‘พยาบาล’ ที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น หล่อนกำลังเผยความไม่พอใจออกมาอยู่ด้านข้างของโกยอนจู
“หากเราได้ข้อมูลที่เราต้องการจะรู้มาแล้ว ก็ควรจะจัดการเสียให้เรียบร้อยสิคะ ไม่ใช่ไปแขวนไว้ตรงกลางแบบนั้น เห็นมันทีไรก็รู้สึกแย่ค่ะ”
“แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ”
ในตอนนั้นเองน้ำเสียงเศร้าสร้อยก็ดังแทรกคำคังเยบินขึ้นมา และเสียงนั้นก็ไม่ได้มาจากโกยอนจูที่อยู่ด้านข้าง ตัวเอกในคำตอบนี้ก็คือ ‘หมอศาสตร์มืด’ คังแทอุคนั่นเอง
คังเยบินเบิกตาโตสักพัก ก่อนจะทำสีหน้าน่าหมั่นไส้ราวกับกำลังตรวจสอบอีกฝ่าย
“หา? อ้อ ใช่ค่ะ ตามรสนิยมของคุณแล้ว ก็คงต้องเป็นแบบนั้น~ สินะคะ”
“พูดแรงเกินไปนะ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่รสนิยมหรอก มันอยู่ที่บรรยากาศต่างหากล่ะ”
“บรรยากาศหรือคะ นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกันคะเนี่ย”
“…เหอะ ไม่แน่ใจหรอกนะว่าจะทำให้เธอเข้าใจได้ ดังนั้นพอแค่นี้ดีกว่า เพราะต่อให้พูดจนปากเปียกปากแฉะยังไง เธอก็ไม่น่าจะเข้าใจหรอก…”
“อะไรนะคะ”
ผมว่าในสายตาของคังแทอุคมีความสังเวชใจแฝงอยู่ และในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาและหันหน้าไปทางอื่น
บรรยากาศเหรอ
แต่ผมเหมือนจะพอเดาได้ว่าคำพูดของคังแทอุคนั้นแฝงความหมายอะไรเอาไว้
กล่าวคือ เป็นความต่างของบรรยากาศตามที่เขาพูด เมฆของสงครามแผ่ปกคลุมมาตั้งแต่ที่เมืองแล้ว อย่างไรก็ตามความคาดหวังเรื่องชัยชนะของเหล่าผู้เล่นดูจะสูงเกินจำเป็นไปมากเหลือเกิน นั่นอาจเป็นเพราะ ‘โฆษณา’ ขายฝันของอีฮโยอึลมีผลกระทบมากเกินไปก็เป็นได้
หากมองจากมุมนี้ก็จะเห็นได้ว่า การสกัดกั้นการลักลอบเข้ามาของพวกเร่ร่อนเสียแต่เนิ่นๆ ส่งผลดีต่อเหล่าผู้เล่นในฝั่งตะวันออก เพราะไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด แต่มันก็เป็นการเตือนให้เรารู้ตัวเรื่องฝ่ายตรงข้ามไปในตัว
ความตึงเครียดที่มีมากเกินไปย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ในสงครามที่ความเป็นตายมีเท่ากันนั้น การรู้ข้อมูลของศัตรูอย่างละเอียดก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ผมจมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบๆ แล้วชำเลืองมองไปทางคังแทอุคที่เพียงนั่งอยู่เฉยๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น