Memorize เล่มที่ 18 ตอนที่ 25-28

 ตอนที่ 25

โดย

ProjectZyphon

มีข่าวใหม่ที่เข้ามายังฝั่งตะวันออกพร้อมๆ กับการเปิดใช้งานปราการขัดขวางเวทคุ้มกัน ซึ่งข่าวนั้นก็คือการต่อต้านของฮาโลที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้าเริ่มหนักข้อขึ้นอีกครั้ง และยังบอกอีกว่าจำนวนกำลังคนที่รักษากำแพงเมืองเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน และพวกเขายังรวบรวมกำลังทหารได้ก่อนที่ประตูใหญ่จะล่มอย่างหวุดหวิด


ความหมายของมันค่อนข้างชัดเจนทีเดียว บาร์บาร่าส่งกองกำลังเสริมไปให้กับฮาโล และปราการเวทที่เปล่งแสงสีฟ้าออกมาอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งเสริมให้ข่าวนี้ดูจริงขึ้นไปอีก


นั่นคือ…


“สุดท้ายแล้วดูเหมือนเขาจะตัดสินใจหนีไปอยู่ดี”


“ป่านนี้เขาคงได้ยินข่าวเรื่องเมืองนั้นแล้วล่ะครับ พวกเขาก็คงจะคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขาแล้วน่ะครับ”


โจซองโฮตอบกลับคำพูดของแคลนลอร์ดโครยออย่างเย็นชา แคลนลอร์ดโครยอพยักหน้าให้เขาก่อนจะหันกลับมามองโจซองโฮ


“เผ่าที่รับหน้าที่ในการโจมตีฮาโลนี่ชื่อเผ่าหมาป่าสีครามหรือเปล่า ไม่มีข่าวคราวอะไรจากฝั่งของพวกเขามาบ้างเลยหรือ”


“มีครับ ที่ฝั่งตะวันออกต้องการให้โจมตีบาร์บาร่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ”


“หึๆ ดูจะกังวลกันจังเลยนะ”


“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะพวกเขาเองก็บอกว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ แต่ผู้บาดเจ็บและล้มตายจากทั้งสองฝั่งรวมกันแล้วก็ยังไม่ถึงพันคนเลยครับ หากกำลังคนของบาร์บาร่าทั้งหมดกำลังย้ายไปยังฮาโลจริง หมาป่าสีครามคงต้องเผชิญกับความยากลำบากกันแน่ๆ ครับ”


สิ่งที่โจซองโฮพูดออกมาล้วนเป็นหลักการโดยทั่วไป แม้จะไม่รู้ว่าปราการเวทถูกใช้งานหรือเปล่า แต่ก็พอจะมองเห็นเค้าลางของการเปิดใช้งานขึ้นมาบ้างแล้ว


แต่ทำไมถึงยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการโจมตีบาร์บาร่าแบบนี้อยู่ล่ะ


แปลกแฮะ ง่ายอย่างนั้นเชียวหรือ


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตอบอะไรมาบ้างสิ”


แต่แคลนลอร์ดโครยอดูจะคิดต่างออกไป เขาลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะคิดว่าพวกศัตรูยังคงส่งกำลังเสริมไปอยู่


หลังจากนั้นแคลนลอร์ดโครยอก็กวาดตามองทุกคนในห้องควบคุมการบัญชาการที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


 “เวลาจะถูกยื้อต่อไปจนกว่าปราการเวทจะถูกเปิดใช้อย่างเต็มรูปแบบครับ เพราะฉะนั้นยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร กองทัพแนวร่วมของฝั่งเราที่เข้าโจมตีฮาโลก็จะยิ่งมีภาระเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นนะครับ ดังนั้นจงรายงานสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ให้แต่ละทัพทราบ และให้เหล่าผู้บัญชาการทัพเข้าบริหารด้วยนะครับ เราจะโจมตีในคราวเดียวด้วยกำลังทั้งหมดที่เรามีครับ”


“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปรายงานให้แต่ละทัพทราบเดี๋ยวนี้ครับ”


“ดี การประชุมจบลงเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนรีบเข้าประจำที่ ส่วนผมจะออกนำไปก่อน”


ในที่สุดแคลนลอร์ดโครยอก็เดินออกไปอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่จะออกไปจากห้องควบคุมการบัญชาการเขาก็หยุดเดินที่หน้าผม และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย ผมก็ได้รอยยิ้มนุ่มนวลตอบกลับมา


“ร่างกายของคุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


“อ้า ครับ ร่างกายผมไม่ได้ผิดปกติตรงไหนเลยครับ เพราะพี่…ไม่สิ แคลนลอร์ดแฮมิลกับราชินีแห่งดาบส่งยาชั้นดีมาให้น่ะครับ”


“ครับ? ราชินีแห่งดาบเหรอครับ”


แคลนลอร์ดโครยอหันไปมองพร้อมเบิกตาโพลงเหมือนรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ผมพูดออกไปมากเหลือเกิน เพราะความเงียบเป็นทุนเดิมของห้องประชุม ดูเหมือนจะทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ได้ยินเสียงของผม และเมื่อหันไปมองตามทิศที่เขามองไปนั้นผมก็เห็นพี่ที่นั่งคอตั้งตรงและราชินีแห่งดาบที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่


พี่เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ทำไมราชินีแห่งดาบถึงได้นั่งไม่ติดแบบนั้น


“โฮะๆ ตอนนี้ได้เจอผู้ชายดีๆ สักทีนะ”


“ครับ?”


“โอ้! ไม่มีอะไรหรอกครับ เอาเป็นว่าผมได้ยินแล้วว่าคุณดีขึ้น ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ก็ฝากด้วยนะครับ โฮะๆ”


“…?”


หลังจากนั้นแคลนลอร์ดโครยอก็ปิดการประชุมและเดินออกจากห้องควบคุมการบัญชาการไป ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะที่ผมไม่รู้ความหมาย ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมทั้งห้องแต่ก็เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเริ่มลุกขึ้นทีละคนสองคนและที่นั่งก็ทยอยว่างลงไป…เดี๋ยวสิ แล้วทำไมจู่ๆ ผมถึงรู้สึกแบบนี้กัน


อย่างไรก็ตาม ทุกๆ คนเริ่มออกจากห้องควบคุมการบัญชาการไปโดยที่มีรอยยิ้มแปลกๆ อยู่บนหน้าเหมือนกันหมดเลยด้วย


ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้กันเนี่ย


ทั้งที่เมื่อกี้ทั้งห้องประชุมมีบรรยากาศเย็นยะเยือกอยู่แท้ๆ แต่จู่ๆ ก็มาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ ความรู้สึกมันดูอุ่นๆ แล้วก็เป็นสีชมพูด้วยหรือเปล่านะ


และในตอนนั้นเอง ผมก็เห็นซอนยูลทำมือส่งสัญลักษณ์ตัววีมาให้ผม ใบหน้าของหล่อนดูราวกับว่าหล่อนได้รับรู้อะไรบางอย่างเสียอย่างนั้น ซอนยูลหัวเราะคิกคักออกมาก่อนจะเดินผ่านผมไป



ตามมาด้วยราชินีแห่งดาบที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย หล่อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ซึ่งแม้ผมจะกำลังสงสัยอย่างไร แต่ก็ตัดสินใจจะพูดกับหล่อนก่อนเป็นมารยาท


“ผมได้รับยาที่คุณส่งมาให้อย่างดีเลยนะครับ”


“ค่ะ แล้วร่างกายของคุณ…”


“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ”


“อย่างนั้นสินะคะ…”


ราชินีแห่งดาบ นัมดาอึนทำท่าลังเลเหมือนหล่อนยังอยากจะพูดอะไรเพิ่มอีก แต่สุดท้ายจู่ๆ หล่อนก็ก้มหัวลงก่อนจะรีบวิ่งหนีไปโดยที่กอดตัวเองเอาไว้แบบนั้น


ฉันแค่อยากจะขอบคุณเท่านั้นเองนะ


ผมมองตามไปที่ทางออกที่นัมดาอึนเพิ่งจะวิ่งหนีออกไปพร้อมกับบ่นงึมงำก่อนจะลุกขึ้นยืนบ้าง แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่แตะลงมาที่ไหล่


“ซูฮยอน นายนี่มันไม่มีเซ้นส์เลยจริงๆ”


เสียงพี่ผมเอง ผมหันกลับไปหาเขาโดยไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ตอนนี้น่ะใครกันแน่ที่ไม่มีเซ้นส์


ผมได้แต่ยิ้มเยาะอยู่ในใจ


แม้ว่าจะมีเหตุเล็กๆ เกิดขึ้นในห้องประชุม แต่ผมก็สามารถดึงสติกลับมาได้ทันทีที่ผมเข้าสู่กระบวนการบริหารปรับปรุงอย่างจริงจัง


แม้จะยังมีบางอย่างคล้ายเสี้ยนหนามที่ติดใจผมอยู่ แต่สิ่งนั้นในตอนนี้ ไม่รู้สิ…ถ้าให้พูดตามตรง สาเหตุคงจะมาจาก ‘ฝั่งตะวันออกแพ้ราบคาบในการต่อสู้ครั้งแรก’ ซึ่งต่างจากอนาคตที่ผมเคยรู้มา


และข้อสรุปที่ได้ตัดสินใจหลังจากกังวลกันนับครั้งไม่ถ้วนก็คือการไหลตามน้ำไปก่อน อนาคตที่ผมรู้กับในตอนนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกัน ในจำนวนนั้นไม่ใช่ส่วนน้อยเลยที่ส่งผลโดยตรงกับสงครามในครั้งนี้ ดังนั้นผมจึงคิดว่าอนาคตมันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้


และแม้จะตัดเรื่องนั้นออกไปแต่มันก็เป็นความจริงที่เราไม่ได้เห็นว่าพวกศัตรูกำลังเคลื่อนกำลังไปยังฮาโล


ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เคยคิดว่าทิศทางโดยรวมจะเปลี่ยนไปเลยนะ…ก่อนอื่น ลองเชื่อตัวเองดูก่อนก็แล้วกัน


เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าผู้บัญชาการในแต่ละทัพที่ปรับปรุงกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบจัดการความคิดของตัวเองโดยเร็ว


[ออกเดินทาง]


น้ำเสียงสั้นๆ แต่สุขุมดังขึ้นแหวกผ่านกลางอากาศ และตามมาด้วยฝั่งตะวันออกที่เริ่มเดินทัพออกมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


ทุกอย่างเงียบสงบ ทุกคนเดินฝ่าหมอกหนากันอย่างเงียบเชียบราวกับนัดกันไว้ เงียบเกินกว่าจะเป็นการต่อสู้ แม้ว่าเมืองจะถูกปกคลุมด้วยหมอกที่หนาเสียจนมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น แต่หากมีพลังเวทแล้วล่ะก็ มันก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด


[ทัพที่สอง, สาม, สี่ เตรียมตัว]


ไม่นาน กองทัพก็สามารถเข้าไปภายในระยะที่จะดำเนินการทำสงครามปิดล้อมได้ ผมรู้สึกได้ถึงความรอบคอบระแวดระวังที่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งจากบรรยากาศรอบตัว เพราะตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปหากจะมีคนตายสักคนก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติอะไร


ทัพฝั่งประตูตะวันตกเคลื่อนที่บุกไปข้างหน้าโดยคอยระวังการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวไปด้วยเพราะถือครั้งก่อนเป็นบทเรียน และเมื่อมองเห็นปราการเวทที่ส่องสว่างมากกว่าเมื่อสักครู่ กองทัพก็หยุดลงทันที ทันใดนั้นเอง


ฉึก! ฉึก!


ราวกับว่ามันกำลังรอคอยทัพฝั่งประตูตะวันตกอยู่ ทันทีที่ทัพเข้าไปอยู่ภายในระยะการยิง ลูกศรมากมายก็ผ่ากลางอากาศมาอย่างรวดเร็ว แต่เหล่านักบวชจากทัพที่สี่ที่เตรียมตัวรับมืออยู่แล้วก็รีบร่ายมนตร์อย่างรวดเร็วทำให้เหล่าลูกธนูที่ถูกยิงมาเต็มแรงกระเด็นกระดอนออกไป


แม้จะถูกโจมตีก่อนแต่เหล่านักธนูจากทัพที่สองไม่มีทางที่จะอยู่เฉยแน่ ทันทีที่ป้องกันการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็รีบยิงตอบโต้กลับไปในทันที


แต่ลูกธนูที่ถูกยิงออกไปจากทัพฝั่งประตูตะวันตกก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก เพราะพวกศัตรูเองก็รับมือการยิงด้วยวิธีการเดียวกัน แต่ไม่เป็นไร เพราะการแลกลูกธนูกันในครั้งนี้เป็นเพียงการหยั่งเชิงก่อนจะเกิดการต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบขึ้นเท่านั้น


เหมือนว่าผมจะคิดถูก เพราะไม่นานเกินรอเสียงท่องมนตร์คาถาของคนนับร้อยก็ดังฝ่าความเงียบขึ้นมาจากทุกทิศทุกทาง


สถานการณ์ต่อมาก็กลายเป็นความโกลาหลวุ่นวายในชั่วพริบตา


ทัพที่สองกำลังจดจ่ออยู่กับการสกัดและป้องกันพลังของเหล่าศัตรู ขณะเดียวกันทัพที่สี่เองก็รักษาเวทป้องกันเอาไว้อย่างสุดชีวิตเพื่อป้องกันการโจมตีที่ถาโถมเข้ามา ในระหว่างนั้นเหล่านักเวทในทัพที่สามก็กำลังให้ความสำคัญกับพลังเวทเพื่อการโจมตีในคราวเดียวอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด


…มีบางอย่างแปลกๆ อยู่นะ


เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ถึงแม้ผมจะเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ที่แนวหลังอย่างปลอดภัย แต่ผมก็สามารถรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างฉับไว ซึ่งก็คือเสียงของหินที่กำลังร่วงลงมาจากกำแพงเมืองนั่นเอง


กำแพงเมืองดูหลวมๆ ไม่ว่าจะด้วยการยิงพลังเวทอย่างต่อเนื่องในการต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้หรือด้วยเจ้ามังกรไฟเมื่อครั้งที่แล้ว แต่ปกติก็ต้องมีการซ่อมแซมหรืออย่างน้อยก็ต้องสร้างแนวป้องกันเอาไว้บ้าง


แต่จู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาที่ใบหน้ากะทันหันโดยที่ไม่สงสัยอะไรอีก เหล่านักเวทเริ่มรายมนตร์เสร็จกันทีละคนสองคน และลูกไฟเองก็ถูกสร้างขึ้นมากลางอากาศที่มีทัพที่สามอยู่ด้วย ลูกไฟเหล่านั้นล้วนปล่อยเปลวเพลิงสีแดงฉานออกมาพร้อมๆ กันในคราวเดียว


ลูกไฟปล่อยความร้อนออกมาเต็มที่ราวกับลาวาที่กำลังเดือดพล่าน สะเก็ดไฟที่ปลิวว่อนไปตามสายลมตกลงสู่พื้นก่อนจะเกิดเป็นเปลวไฟลุกขึ้นมาช้าๆ ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้หากซอนยูลร่ายเวทขยายเสียงขึ้นมาเท่านั้น คลื่นแห่งเปลวไฟใหญ่ยักษ์พวกนี้ก็จะถาโถมเข้าใส่กำแพงเมืองอย่างหนักในทันที


ในตอนนั้นเอง


วิ้งงง!


เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมทั้งมีลำแสงสีน้ำเงินสว่างจ้าออกมาจากปราการเวทสีเข้ม


“ปราการป้องการเผยออกมาให้เห็นแล้วครับ!”


[พลังเวทภายในถูกแช่แข็งแล้ว! เราต้องโจมตีกันเดี๋ยวนี้ก่อนที่ปราการจะเปิดอย่างเต็มรูปแบบ!]


และทันใดนั้น


แสงไฟระยิบระยับแสบตาก็เข้ามาในครรลองสายตา ผมเองก็หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว และลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกที่ทำให้ผมต้องเบิกตาโพลง เมื่อเห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นปรากฏอยู่ตรงหน้า


ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกันหยุดการทำงาน ปราการป้องกันสีเข้มที่กำลังขยายตัวออกราวกับจะโอบล้อมทั้งเมืองเอาไว้จนถึงตอนนี้หยุดการขยายตัวลงในระหว่างการทำงานเหมือนรั้วที่ล้อมรอบ


และแทนที่กันนั้นก็มีดวงไฟนับสิบ…ไม่สิ ต้องบอกว่านับร้อย พุ่งออกมาจากระหว่างช่องว่างรูโหว่ของกำแพงเมืองจนเต็มไปทั้งฟ้า จากนั้นดวงไฟที่ส่องสว่างไปทั่วทุกหนทุกแห่งเหล่านั้นก็เพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ


ตอนที่ 26

โดย

ProjectZyphon

เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นหลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนไป แต่นี่ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเมื่อผมเริ่มรู้สึกว่าดวงไฟเหล่านั้นเริ่มสว่างไสวมากขึ้นๆ ทุกที ม่านเวทที่หยุดการขยายตัวไปแล้วกลับมีสัญญาณว่ามันเริ่มจะขยายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง


และแล้วความวุ่นวายโกลาหลก็บังเกิดขึ้นโดยไม่มีช่องว่างให้ฝั่งเราได้โต้กลับไปเลยแม้แต่นิด


ปัง!


ขณะนั้นเองก็พลันเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องจนแก้วหูสะเทือน เสียงแรงกระแทกดังลั่นยังคงก้องอยู่ในหูสักพัก ก่อนที่ผมจะได้เห็นกำแพงเมืองของบาร์บาร่าที่เคยตั้งตระหง่านอย่างแข็งแรงมั่นคงพังครืนลงมา


“ละ หลีกไป!”


ผมได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนอย่างรีบร้อนแต่กำแพงก็พังถล่มลงมาในคราวเดียวแล้วจมลงไปกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของระเบิดที่ปะทุโชติช่วงขึ้นมา


ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือปราการสีเข้มที่โอบล้อมเมืองไว้และคลื่นยักษ์จากแสงไฟของแรงระเบิดกวาดเข้ามาที่ทัพของฝั่งตะวันออกอย่างไร้ความปรานี


เปรี๊ยะ! เพล้ง!


หลังจากผ่านไปสักพัก ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นสีขาวพร้อมๆ กับเสียงแตกร้าวของแนวป้องกัน


การมองเห็นที่ดับวูบไปสักพักเริ่มกลับมามองเห็นอีกครั้งอย่างพร่ามัว และรู้สึกถึงไอเย็นของพื้นดินที่หลัง ผมไม่ได้หมดสติไปแต่ดูเหมือนจะล้มลงไปไม่รู้ตัวเพราะแรงกระเทือนที่หนักหน่วงเสียมากกว่า แม้ความรู้สึกจะบอกให้ผมเอนตัวนอนลงไป แต่ผมก็ยันพื้นไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะพยายามขยับตัวลุกขึ้นยืน


ตอนแรกผมคิดอะไรไม่ออกแต่เมื่อหายใจเข้าลึกๆ ให้ข้างในสงบลงได้แล้วภาพเหตุการณ์โดยรอบก็เริ่มเข้ามาสู่สายตา ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงของเหล่าผู้เล่นร้องโอดโอยเหมือนพวกเขาเองก็ล้มลงเหมือนกัน


ร่องรอยของกลุ่มแสงเหล่านั้นที่เคยมีอยู่ตรงโน้นตรงนี้หายไปหมดแล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่รู้สึกแปลกอยู่ เพราะผมยังรู้สึกถึงความผิดปกติเล็กๆ ที่วนเวียนอยู่ในร่างกายด้วยเหตุผลบางอย่าง พอลองแตะตัวดูก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่ผมได้คำตอบอย่างหนึ่ง


ผมหลุบตาลงมองแวบนึงเพื่อตรวจสอบ ทันใดนั้นผมก็พบเข้ากับพลังเวทสีเหลืองติดอยู่กับส่วนหนึ่งในร่างกาย ผมรู้สึกถึงกระแสพลังเวทที่ไม่เสถียรเอามากๆ บนพลังเวทที่เปล่งแสงเหมือนเวลาพลังหมดนั้น


นี่มัน…


วิ้งงง!


ตอนนั้นเอง คลื่นเสียงของพลังเวทขนาดใหญ่ที่ผมได้ยินเมื่อก่อนหน้านี้ก็ดังก้องขึ้นมาในหูผม ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นผมก็เห็นปราการเวทขนาดใหญ่โอบล้อมเมืองเอาไว้อย่างแนบแน่น ที่ตรงนั้นเองก็มีกระแสเวทสีเหลืองอยู่ด้วยเช่นกัน อาจเป็นเพราะผลจากพลังเวทที่ไม่เสถียรเมื่อสักครู่ทำให้ของแนวป้องกันดูจะซีดลงไปเรื่อยๆ


แต่เมื่อผมมองลงไปยังปราการเวทที่ถูกวาดเอาไว้บนพื้น ผมก็ได้รู้ว่าผมดูจะเข้าใจผิดไปโขเลยทีเดียว ปราการขัดขวางเวทคุ้มกันไม่ได้มีสถานะเป็นพลังเวทอีกต่อไปแล้ว มันค่อยๆ จางไปเหมือนเมื่อตอนที่ผมมายังบาร์บาร่าครั้งแรก นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ที่ใช้รักษาปราการเวทที่เปิดใช้งานแล้วถูกทำลายโดยเจตนา


ทำไมถึงได้อยากปิดปราการเวทที่เปิดใช้งานแล้วลงอีกครั้งเสียล่ะ


ไม่ว่าวัตถุประสงค์นั้นคืออะไรก็ตาม แต่จู่ๆ ความคิดที่ว่าพวกเขาอาจมีอะไรปกปิดไว้อีกนั้นก็แวบผ่านเข้ามาในหัว


ถึงจุดหนึ่ง ปราการเวทที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นกึ่งโปร่งแสงก็ค่อยๆ สลายหายไปราวกับละลายไปกับอากาศ และในที่สุดภาพภายในนั้นก็ปรากฏออกมาให้เห็น กำแพงเมืองฝั่งประตูตะวันตกพังลงอย่างสมบูรณ์แล้วและที่พื้นดินที่มองเห็นอย่างชัดเจนนั้นก็มีซากก้อนอิฐกองทับถมกันเป็นภูเขาอยู่ด้วย


แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่กำแพงที่พังทลายนั้น เพราะพวกศัตรูรีบเดินหมากต่อในทันทีโดยไม่เว้นช่วงให้ฝั่งตะวันออกได้หายใจหายคอกันบ้างเลย


จู่ๆ ผมก็รู้สึกไปเองว่าหมอกที่เคยปกคลุมอยู่โดยรอบบริเวณนั้นถูกดูดเข้าไปในชั่วพริบตา ไม่ ผมไม่ได้รู้สึกไปเอง


ซู่ววว!


หลังจากนั้นไม่นานนัก กระแสน้ำรุนแรงก็พวยพุ่งขึ้นในแนวตั้งจากจุดกึ่งกลางภายในเมืองที่เห็นอยู่ตรงหน้า ด้วยความสูงที่น่าจะมากถึงสิบเมตรทำให้ผมรู้สึกเหมือนสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้คือน้ำตก


และเพียงพริบตาเดียวเจ้าน้ำตกนั้นก็กลายสภาพเป็นคลื่นลูกใหญ่


ครืนนน!


ใช้เวลาเพียงพริบตาเท่านั้นคลื่นยักษ์ก็สาดซัดทุกสิ่งโดยรอบอย่างแรงรวมทั้งกองอิฐที่กลายสภาพเป็นที่กำบังไปโดยปริยายด้วย จากนั้นคลื่นที่หยุดค้างอยู่ที่จุดๆ หนึ่งก็โถมลงมายังจุดที่มีเหล่าผู้เล่นฝั่งตะวันออกยืนรวมกันอยู่อย่างแรง


ตู้ม!


นี่ใช่เสียงน้ำกระทบกับพื้นดินหรือเปล่านะ แต่ไม่ทันได้สงสัยหรือคิดอะไรต่อผมก็พลันรู้สึกว่าร่างกายของผมเอียงไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว คลื่นน้ำซัดสาดเข้าใส่ทัพของฝั่งตะวันออกต่อจากคลื่นแสงทันทีอย่างไม่ปรานีปราศรัยใดๆ ทั้งสิ้น


คงเพราะผมถูกชนไปทั้งร่าง จึงมีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้นมาในแก้วหูอยู่ครู่หนึ่ง ถึงผมจะตั้งใจลืมตาเอาไว้แต่สิ่งที่ผมมองเห็นมีเพียงท้องฟ้าเท่านั้นเอง ผมเพิ่งจะนึกได้ว่าผมถูกพัดไปด้านหลังจากแรงสาดของคลื่นยักษ์นั้น


หลังจากคลื่นยักษ์นั้นผ่านไปแล้ว ผมก็ถึงกับพ่นออกซิเจนในปอดออกมา


“ฟู่ว”


หยาดน้ำหยดลงที่หน้าผมอีกครั้งพร้อมกับเสียงพ่นออกมาด้วย ผมที่เปียกน้ำทำให้ผมหงุดหงิดจนต้องสะบัดหัวไปมาอย่างแรง แล้วจู่ๆ กลิ่นคาวของน้ำก็เสียดแทงตลบอบอวลอยู่ในจมูก


ฝั่งตะวันออกที่ถูกคลื่นแสงซัดจนโกลาหลวุ่นวาย  ออกจะน่าอายไปเสียหน่อยที่จะพูดว่าพวกเขาได้สร้างปราการขึ้นมาแล้ว


ผมมองเห็นเหล่าผู้เล่นที่นอนแผ่กระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทางบนพื้นดินที่แฉะจนเป็นโคลนตม แม้ในจำนวนนั้นจะมีผู้เล่นบางคนที่ตั้งสติได้แล้วลุกขึ้นมาแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นจริงๆ หลายคนดูเหมือนจะยังตั้งสติจากคลื่นน้ำที่ซัดตามมาไม่ได้เท่าใดนัก


นานแล้วนะที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายรับอยู่อย่างเดียวแบบนี้


แต่ไม่รู้ว่าเป็นผลจากการรับรู้ด้วยใจหรือเปล่า เพราะความคิดของผมกลับเย็นเยียบและสงบนิ่งมากกว่าจะคิดกระวนกระวาย ผลจากคลื่นทำให้ระยะห่างจากกำแพงเมืองเพิ่มขึ้นมาช่วงหนึ่ง ถึงแม้จะโดนจู่โจมอย่างผิดกติกามาถึงสองครั้ง แต่อย่างไรการวิเคราะห์สถานการณ์ก็ต้องมาก่อนความกระวนกระวายอยู่แล้ว


ก่อนอื่น ร่างกายผมยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้เช่นกัน ผมรู้ดีว่าคลื่นแสงนั้นคืออะไร มันคือ ‘ระเบิดเวทมนตร์’ ระเบิดหลายร้อยที่จะระเบิดออกมาพร้อมกันในคราวเดียวจนทำให้เกิดเป็นคลื่นภาพลวงตาขึ้นมานั่นเอง


แต่คลื่นน้ำที่ตามมาทีหลังนั้นไม่ได้ให้ผลอะไรเป็นพิเศษนอกจากเป็นการโจมตีทางตรงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สิ เพราะพลังเวทที่ไม่ค่อยเสถียรเมื่อสักครู่ ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเริ่มเสถียรขึ้นช้าๆ แล้ว


ทันทีที่ผมเปิดใช้งานดวงตาที่  เพื่อตอบในสิ่งที่ผมอยากจะรู้ ผมก็สามารถระบุชื่อคลื่นที่ซัดใส่เราเมื่อก่อนหน้านี้ได้ในทันใด


[ธาตุเวทมนตร์ (Elemental Magic) : คลื่นยักษ์แห่งความบริสุทธิ์ (The Tsunami Of Purification)]


คลื่นยักษ์แห่งความบริสุทธิ์?


ผมผุดลุกขึ้นทันทีหลังจากมีความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในหัวเหมือนลำแสง ชิ้นส่วนซับซ้อนมากมายในหัวเริ่มปะติดปะต่อเข้าหากันอย่างช้าๆ และเมื่อมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วผมก็ได้รับการยืนยันว่าสิ่งที่ผมคาดการณ์เอาไว้นั้นดูจะถูกต้องทีเดียว ร่องรอยของระเบิดเวทมนตร์ที่ติดอยู่ตามตัวตอนนี้กลับหายไปอย่างหมดจด


“ฮ่าๆ”


จู่ๆ ผมก็ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างหมดหวัง แต่ในขณะเดียวกันนั้นผมก็รู้สึกประทับใจกับอีกฝ่ายที่คิดกลยุทธ์นี้ขึ้นมาได้


ระเบิดเวทมนตร์ ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือเป็นอุปกรณ์ทางเวทมนตร์ชนิดหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อกระแสพลังเวท ลักษณะพิเศษของมันก็คือทำให้เสถียรภาพของกระแสพลังเวทอ่อนแรงลงจนเวทมนตร์ดั้งเดิมที่ได้รับผลพลอยจากกระแสพลังเวท เช่น การติดต่อสื่อสารระยะไกล ถูกควบคุมตามไปด้วย


แต่ถ้าหากพวกเขายิงหลายร้อยนัดพร้อมกันในคราวเดียวล่ะก็ เรื่องราวก็ต่างไปอีกแบบ พลังของสนามรบจะทรงพลังขึ้นขนาดที่สามารถเข้ารบกวนแทรกแซงกระแสพลังเวทที่เหล่าผู้เล่นเป็นผู้ชักจูงโดยตรงซ้ำๆ


ซึ่งหากมองจากมุมนี้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นผลตอบแทนของความเกี่ยวข้องและจังหวะเวลาที่พวกศัตรูได้มองเห็นมาล่วงหน้าในครั้งนี้


แต่ก็ชัดเจนว่าหากยิงระเบิดเวทมนตร์ในระดับนี้ ก็สามารถกลายเป็นดาบสองคมได้เหมือนกัน แต่เหล่าศัตรูก็ป้องกันกรณีที่จะเล็งมาที่พวกตัวเองด้วยการใช้ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือปราการเวทนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ผลของระเบิดเวทมนตร์จะแสดงออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ช่างเป็นจังหวะเวลาที่เป๊ะจนน่าขนลุก เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าหากเป็นผม ผมจะทำได้แบบนี้หรือเปล่า


และคลื่นยักษ์แห่งความบริสุทธิ์ที่ซัดตามมาก็อาจจะมีจุดประสงค์แฝงอยู่สองประการด้วยกัน ประการแรกคือเพื่อทำให้ค่ายของฝั่งตะวันออกกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง และประการที่สองก็เพื่อจะชำระล้างผลโดยรอบบริเวณที่พวกเขาเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น


เหล่าผู้เล่นของฝั่งตะวันออกโดนระเบิดเวทมนตร์ก่อนที่จะทันได้ปล่อยพลังเวทออกไปเพราะอย่างนั้นภายในทัพจึงถูกทำลายจนยับเยิน และถึงแม้จะถูกซัดกระหน่ำด้วยคลื่นยักษ์แห่งความบริสุทธิ์แต่คลื่นนั้นก็ลบไปได้เพียงผลของสนามเท่านั้น แม้จะมีความแตกต่างไปบ้างตามลักษณะเฉพาะ แต่พลังเวทที่ถูกรบกวนนั้นจะไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้ในทันที ต้องใช้เวลาสักพักในการฟื้นฟู


กล่าวคือ ในตอนนี้กระบวนทัพของทางตะวันออกกระจัดกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย การใช้พลังเวทของเหล่านักเวทและนักบวชเองก็ได้รับการควบคุมไปด้วย พูดให้สั้นก็คือตอนนี้คือช่วงที่อ่อนกำลังที่สุดตั้งแต่เข้าร่วมการต่อสู้มา


และช่วงเวลาที่เหล่าศัตรูเพ่งเล็งเอาไว้ก็คงจะเป็นตอนนี้ ส่วนเหตุผลที่พวกเขารีบกระหน่ำโดยไม่เว้นช่องว่างให้พักแม้แต่นิดก็เพื่อที่จะสร้าง ‘เวลา’ ในตอนนี้นั่นเอง


“ว้ากกก!”


ราวกับจะตอบในสิ่งที่ผมสงสัย เสียงร้องตะโกนดังลั่นเริ่มดังมาจากแถวหน้า น้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ เพราะเหล่าผู้เล่นมากมายเหลือคณานับที่วิ่งหนีออกมาพร้อมกัน


แต่เสียงดังน่ากลัวที่ดังก้องที่ราบกว้างใหญ่ตามหลังด้วยเสียงโห่ร้องของศัตรูมา และภาพหยดน้ำที่เปียกปอนอยู่บนพื้นเริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็วอีกครั้งนั้นทำให้ผมรู้ว่ามันยังไม่จบลงเพียงเท่านี้


เมื่อหันไปมองผมก็เห็นสัตว์ประหลาดที่มีความสูงถึงสิบเมตรอยู่แถวกำแพงเมือง สภาพของมันคือลักษณะเป็นคนร่างยักษ์ถือไม้ตะบองอันมหึมาอยู่ในมือ


[ราชัน (รุ่นก่อน) แห่งยักษ์ทั้งปวง : คูชาน ธอร์ (ปัจจุบันได้รับการฝึกให้เชื่องแล้ว)]


ตอนที่ 27

โดย

ProjectZyphon

ครึ่งเทพเหรอ


ราชันแห่งยักษ์ทั้งปวงหรืออีกชื่อหนึ่งก็คือไจแอ้นท์ลอร์ด ตอนนี้ผมชักจะหัวเราะไม่ออกเสียแล้วสิ


หลังจากนั้นเหล่าศัตรูที่เป็นผู้นำของเจ้ายักษ์ก็แห่กันเข้ามา น้ำที่เจิ่งนองอยู่เริ่มเข้ามาเกาะกันเป็นรูปเป็นร่างทีละนิดๆ


ผู้นำของพวกศัตรูเลือกที่จะรวมอำนาจไว้ในที่เดียวและบุกเบิกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเองมากกว่าที่จะเชื่อมต่อวาร์ปเกตและปราการเวทอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วหันมาเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว ดังนั้นเขาจึงทุ่มความสามารถและกลยุทธ์ที่ปิดซ่อนไว้ทั้งหมด เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของเขาในการต่อสู้ครั้งนี้


ในอีกทางหนึ่งนั้น แม้ว่าเหล่าผู้เล่นของทัพฝั่งประตูตะวันตกจะค่อยๆ พากันลุกขึ้นมาอย่างสะบักสะบอม แต่ก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย


ผมมองไปด้านหน้าสักพักและได้สบตากับเจ้ายักษ์ตนนั้น ผมยังคงจ้องมองมันต่อไปและพยายามติดต่อฮวาจองไปด้วยในขณะเดียวกัน ทันใดนั้นเองเศษเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มั่นคงภายในร่างกายก็พลันมอดไหม้ลงไป เมื่อรู้สึกถึงพลังชีวิตที่ท่วมท้นอยู่ในร่างกายแล้ว ผมก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปกำดาบที่เหน็บเอาไว้ที่เอวพร้อมกับส่งพลังเวทออกไปสุดแรงเกิดเท่าที่ผมจะสามารถส่งมันออกไปได้


ย้ากกก!


[‘นกฟักออกมาจากไข่ ไข่ก็คือโลก และผู้ที่ฟักออกมาจากไข่ก็จะต้องทำลายโลกทั้งใบนั้นเพื่อจะออกมาให้ได้’ ผนึกของดาบเวทคาลิโก อาบรักซัส(Calico Abraxas) ถูกปลดปล่อยแล้ว เริ่มการเปลี่ยนแปลง]


เมื่อรู้สึกถึงความมืดที่มือข้างขวา ผมก็ค่อย ๆ ก้าวออกมาด้านหน้า


ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!


เจ้ายักษ์ลดระยะทางลงมาครึ่งหนึ่งแล้ว


บางทีเหล่าผู้เล่นที่ไปอยู่ที่เมืองอื่นอาจจะกลับมายังบาร์บาร่าทั้งหมดแล้ว ถ้าหากเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขากำลังได้เปรียบในเรื่องจำนวนคนอยู่ในตอนนี้


แต่ทางเราก็ไม่ได้เสียเปรียบมากนัก เหล่าผู้เล่นทัพประตูตะวันตกตั้งสติได้แล้วและใช้เวลาในการรอคอยกำลังเสริมจากทัพอื่นมาช่วยอยู่ ดังนั้นสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ก็คือเวลา


ผมหยุดฝีเท้าที่กำลังเดินออกไปข้างหน้าลงอย่างกะทันหัน


ถึงแม้คูชาน ธอร์จะแตกต่างจากราชันแห่งยักษ์ทั้งปวงตนอื่นๆ ที่ผมรู้จัก แต่ผมมั่นใจว่าผมกำลังเผชิญหน้ากับคนครึ่งเทพอยู่อย่างแน่นอน


แม้จะลังเลว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่าขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่ผมก็คิดได้ว่าอย่างไรเสียผมก็ต้องทำมันอยู่ดี


ผมเดินหน้าออกไปในทันที


เหล่าศัตรูวิ่งฝ่าทุ่งหญ้าที่เปียกชื้นมา ท่าทางที่วิ่งกรูเข้ามาพร้อมกันของพวกเขานั้นดูราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ไหลบ่ามาในคราวเดียว


ฝ่ายศัตรูมีกันประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคน และเพราะพวกเขาพุ่งทะยานผ่านที่ราบมาในเวลาเดียวกัน ทำให้ผมเหมือนจะรู้สึกสั่นสะเทือนในทุกครั้งที่เท้าของพวกเขากระทบพื้น


ที่แถวหน้าของเหล่าศัตรูคือ ‘คูชาน ธอร์ (Kushan Thor)’ ราชันแห่งยักษ์ทั้งปวง กำลังวิ่งมาอย่างเนิบนาบโดยที่กำไม้ตะบองยักษ์ไว้ด้วยในมือขวา ด้วยความสูงที่มากถึงสิบเมตร ทำให้ระยะทางถูกลดลงทีละหลายช่วงคนในทุกครั้งที่มันก้าวย่าง ดังนั้นระยะห่างระหว่างยักษ์กับเหล่าศัตรูเองก็ห่างกันหลายช่วงตัวด้วยเช่นกัน พวกเขาคงตั้งใจจะทำให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลกับเหล่าผู้เล่นฝั่งตะวันออกก่อนที่จะตั้งสติกันได้ เลยจัดทัพให้ยักษ์วิ่งนำมาก่อน


เพราะระยะทางลดลงเรื่อยๆ ในระหว่างที่สบตากัน ทำให้ระยะห่างของผมกับคูชาน ธอร์เหลืออยู่เพียงนิด พริบตาเดียวเท่านั้นมันก็มาอยู่ใกล้ๆ แล้ว


และดูเหมือนเจ้ายักษ์จะสังเกตเห็นผมแล้ว เพราะมันส่งเสียงกรีดร้องน่ากลัวออกมาและเงื้อตะบองของทันขึ้นสูง


ย้ากกก!


ผมฉวยคาลิโก อาบรักซัสที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องมากำเอาไว้แน่นจนแทบจะหัก แล้วฟาดมันลงไปที่พื้นดินตรงหน้ายักษ์อย่างสุดแรง


หลังจากนั้นทั้งผมและเจ้ายักษ์ก็เข้าไปอยู่ในระยะการโจมตีของกันและกัน


ตุ้บ!


ไม่นานการเคลื่อนไหวของยักษ์ก็หยุดชะงักลง เท้าขวาที่กำลังก้าวมานั้นจมลึกลงไปในพื้นดินที่เฉอะแฉะจนเป็นโคลน และหลังจากนั้นก็มีลมแรงพัดโหมเข้ามาจนผมปลิวไปตามแรงลม ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นพร้อมแรงกดที่หัว ผมก็เห็นตะบองยักษ์ที่ปักลงบนพื้นเหมือนกับจะแยกธรณีออกเป็นสองส่วน


มาแล้ว


ไม่มีเวลาให้ผมคิดแล้ว ผมรีบชูดาบขึ้นสุดกำลังเป็นการโต้กลับตะบองยักษ์ที่ตกลงมา จากนั้นภาพเลือนรางสีดำที่ให้ความรู้สึกอ่อนไหวก็วาดขึ้นเป็นเส้นบางๆ ก่อนที่ตะบองยักษ์จะทันได้ตกลงมาใส่หัว


พรึ่บ


คาลิโก อาบรักซัสและตะบองของยักษ์ชนกันอย่างแรงพร้อมกับแสงคล้ายระเบิดที่ปะทุออกมา


ปัง!


เสียงระเบิดดังสนั่นจนเจ็บหู และในขณะเดียวกันนั้นการมองเห็นก็พลันกลายเป็นสีขาว ถึงแม้สายตาจะฟื้นฟูสภาพอย่างรวดเร็ว แต่ผมก็ส่งเสียงครางในลำคอออกมาด้วยอารมณ์คุกรุ่นโดยไม่รู้ตัว ความเงียบสงบโปรยปรายลงมาทั่วทั้งที่ราบ


และในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าสนั่นธรณีที่ดังมาตั้งแต่เมื่อสักครู่และเสียงตะโกนหวีดร้องเหมือนกับจะฆ่ากันให้ตายก็เงียบลงไปด้วยเช่นกัน


หลังจากความชาที่ข้อมือค่อยๆ หายไป ผมก็ได้เห็นผลของมันในท้ายที่สุด


ดาบและตะบองยักษ์ยังคงอยู่ในสภาพที่ชนกันค้างอยู่อย่างนั้น แต่ด้านบนสุดของตะบองซึ่งเป็นส่วนที่แตะสัมผัสกันนั้นกลับถูกเจาะจนเป็นรูโหว่ และรูที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้นก็ถูกตัดเป็นครึ่งหนึ่งโดยมีคาลิโก อาบรักซัสเสียบอยู่ตรงกลาง


ฮื่อออ…


จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอดังขึ้นมาจากด้านหน้า ทันใดนั้นเองตะบองยักษ์ก็ร่วงตกลงมาในแนวดิ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง และเมื่อผมมองตรงไปเบื้องหน้าก็เห็นเจ้ายักษ์ค่อยๆ ก้าวถอยไปข้างหลังพร้อมทั้งอ้าปากกว้าง


ตุ้บ!


หลังจากนั้นมันก็คุกเข่าซ้ายลงและส่งเสียงร้องออกมาครั้งหนึ่ง


กำลังกาย, พลังเวท และคาลิโก อาบรักซัส ผมรวมพลังของทั้งสามสิ่งนี้เสริมด้วยแรงโจมตีที่ส่งมายังผมเข้าด้วยกันแล้วส่งทั้งหมดนี้กลับคืนไปให้อีกฝ่าย จริงอยู่ที่ทั้งหมดก็ไม่ได้กลับคืนไป ไม่สิ ความจริงแล้วมันไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ แต่เพราะผลกระทบที่จะส่งมาถึงผมถูกทำให้ลดกำลังลงไปมากแล้ว ผมจึงพอจะทนได้อยู่


อย่างไรก็ตาม เจ้ายักษ์ดูจะเสียสมาธิไปช่วงหนึ่งราวกับว่ามันไม่สามารถเอาชนะแรงกระเทือนที่ผมตีกลับไปหามันได้


โอกาสนี้ล่ะ!


เมื่อผมเห็นว่าเจ้ายักษ์ทำตาเลิ่กลั่กไปมาผมก็รีบวิ่งเข้าใส่มันทันทีโดยไม่รอช้า แต่ดูเหมือนมันจะไม่ยอมให้ผมเข้าโจมตีมันได้อย่างราบรื่น มันรีบยกตะบองขึ้นเหยียดตรงแล้ววาดออกเป็นวงกว้าง


แต่ในตอนนี้ที่ผมใส่ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์อยู่ ผมคงจะเป็นผู้เล่นที่น่าเศร้าน่าดูหากต้องกลายเป็นที่สองในเรื่องความคล่องแคล่วและพลังในการพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ ผมกระทืบเท้าอย่างแรงก่อนจะบินขึ้นสูงด้วยพลังทั้งหมดที่ผมมี รู้สึกถึงสายลมที่คมราวใบมีดเฉียดผ่านใต้เท้าทั้งสอง


พอมาคิดๆ ดูแล้ว ดวงตาที่สามของผมเรียกคูชาน ธอร์ว่าเป็นราชันรุ่นก่อนแห่งยักษ์ทั้งปวง เกี่ยวกับตรงนี้แม้ผมจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ผมแน่ใจว่าเจ้ายักษ์ตรงหน้านี้ไม่มีทางที่จะเป็น ‘คนครึ่งเทพ (Demi-God)’ อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะผมไม่มองไม่เห็นร่องรอยของ ‘พลังเหนือมนุษย์’ และ ‘การต่อต้านเวทมนตร์ที่สมบูรณ์’ ซึ่งเป็นพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของคนครึ่งเทพเลย


ถ้าหากผมคิดถูกล่ะก็ เจ้าคูชาน ธอร์ก็เป็นเพียงแค่สัตว์ประหลาดที่มีกำลังวังชามากๆ ตนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ถือว่ามันอยู่ต่ำกว่ามาร์โวลโล เดอ ไอล์ไลท์มากเลยทีเดียว


พร้อมกันกับที่ผมคิดว่ามันกำลังจะจบลงในตอนนี้แล้ว ร่างกายของผมที่พุ่งขึ้นบนอากาศก็ผ่านส่วนหน้าท้องมาพอดี ในตอนนั้นเองร่างกายสีทองของยักษ์ก็เริ่มเปล่งแสงสว่างออกมาและมีสภาพเหมือนเวลาที่พลังงานหมดแล้วจึงกลายสภาพเป็นเกลียวเชือกที่ดูมั่นคงสี่เส้น ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ผมอย่างแรง เส้นสายแห่งพลังเวทนั้นปล่อยสายฟ้าเส้นใหญ่ออกมา แต่น่าเศร้าที่มันไม่สามารถเจาะผ่านพลังต่อต้านเวทมนตร์ของผมได้


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


คูชาน ธอร์มองพลังเวทที่ละลายลงไปด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับมันกำลังรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดไป และเมื่อมันเลื่อนสายตามามองผม ผมก็ลากคาลิโก อาบรักซัสลงเป็นเส้นตรงโดยที่ยังลอยอยู่บนอากาศอยู่เช่นนั้น


ฉึบ!


ทันใดนั้นผมก็รับรู้สัมผัสจากมือที่ตัดลงไปบนหนังหนาๆ ผมไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นและยิงพลังเวทที่ปะทุขึ้นออกไปผ่านดาบที่ยังคงติดอยู่ภายในตัวมัน


ปัง! ปัง!


โฮกกก!


พร้อมกันกับที่เกิดแผลพุพองตะปุ่มตะป่ำบนท้องกว้างใหญ่ ผมก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานของเจ้ายักษ์ใหญ่ มันกวัดแกว่งตะบองไปมาสามสี่ครั้งขณะที่ซวนเซอย่างหนัก ความมุ่งมั่นตั้งใจที่ผมรู้สึกได้ในการโจมตีครั้งแรกเป็นการโจมตีที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองมาก่อนและยากนักที่จะได้เห็น


ผมเปลี่ยนทิศทางออกนอกวงโคจรไปยังมุมมืดโดยใช้การเคลื่อนย้ายร่างในพริบตา และเมื่อผมกำลังเตะขึ้นไปบนอากาศเพื่อโจมตีมันอีกครั้ง


ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว! ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!


ตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเสียดอากาศดังมาให้ผมได้ยินและทันทีที่ผมหันขวับไปมองก็ได้เห็นว่ามีลูกธนูนับสิบกำลังพุ่งตรงมาที่ผม เพราะความตั้งใจที่จะโจมตีให้ได้อย่างแม่นยำผมจึงขยับไปด้านข้าง และนั่นทำให้พวกศัตรูสังเกตเห็นผมเข้านั่นเอง


“อึก!”


ผมตีลังกาหมุนตัวกลางอากาศไปยังท้องฟ้าที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็วและหลบลูกธนูที่ถูกระดมยิงมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ผมก็ต้องยอมแพ้ที่จะไม่โจมตีกลับไปและกลับลงสู่พื้นดินในที่สุด และทันทีที่ผมลงมาผมก็รีบเว้นระยะห่างอย่างรวดเร็ว เพราะเหล่าศัตรูที่หยุดระดมยิงลูกธนูไปสักครู่นั้น ทำให้ผมรู้ว่าพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวกันอีกครั้งแล้ว


แทบจะไม่มีเวลาแล้ว เมื่อผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างใจเย็นผมก็ได้เห็นว่าที่ตัวของเจ้ายักษ์มีเยื่อสีฟ้าเข้มกำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง เยื่อสีฟ้าห่อหุ้มบาดแผลของมันโดยค่อยๆ ซึมผ่านเข้าไปเหมือนน้ำและเปล่งแสงสว่างออกมาด้วย หลังจากนั้นบาดแผลของมันก็ค่อยสมานเข้าหากันช้าๆ ก่อนที่มันจะมองกลับมาทางผมด้วยสายตาโหดร้ายอำมหิต


แม้ว่าจะมีครู่หนึ่งที่ผมคิดจะใช้งานฮวาจองแต่สุดท้ายผมก็สะบัดความคิดนั้นออกไป เพราะหากผมไม่สามารถควบคุมมันได้หรือเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ กันเหมือนครั้งที่แล้วขึ้นอีกล่ะก็ แค่คิดถึงสิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นก็น่าขนหัวลุกแล้ว ก็จริงอยู่ที่ผมจะใช้เขาหากมันเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แต่คูชาน ธอร์ยังอยู่ในระดับที่ผมสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องยืมแรงของฮวาจอง


แต่คงจะน่าเสียดายที่จะปล่อยให้โอกาสในการจบเรื่องนี้หลุดลอยไป ในตอนนี้ผมเองก็มีปัญหามากมายพอแล้ว แต่ผมก็ยังตัดสินใจที่จะทำมันแม้ว่ามันจะเป็นการทำเกินตัวไปหน่อยก็ตาม ทันทีที่ตัดสินใจได้ดังนั้นผมก็วิ่งเข้าจู่โจมทันที


ครืน!


เสียงฟ้าคะนองหยุดฝีเท้าของผมที่กำลังจะเตะลงบนพื้นเอาไว้


นี่มัน…?


แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้


เปรี้ยง! เปรี้ยง!


สายฟ้ากว่าสิบสายจากท้องฟ้าฟาดลงมาที่หน้าอกของยักษ์


ตอนที่ 28

โดย

ProjectZyphon

มันเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จุดที่ฟ้าผ่าลงไปเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมได้ฝากบาดแผลเอาไว้และผลของมันก็ทำให้หน้าอกที่กำลังสมานเข้าด้วยกันกลับไปฉีกกว้างดังเดิม


ไม่ใช่เพียงแค่นั้น น้ำที่ช่วยรักษาแผลเมื่อสักครู่กลายสภาพเป็นตัวเร่งให้เกิดไฟฟ้าช็อตได้ง่ายขึ้นทันทีที่สายฟ้าผ่าลงมาโดน แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ผมก็พอจะรู้ว่ามันคงจะมีบาดแผลไปทั่วทั้งตัวแล้ว ของเหลวสีน้ำตาลเข้มไหลลงมาตามรอยปริที่แยกออก และพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดก็ผสมปนเปไปกับเศษตะกอนที่ไม่สามารถระบุที่มาได้


ผมคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะผมรีบกระโจนตัวออกไปโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ทันได้คิดหาที่มาของสายฟ้านั้น นั่นทำให้โอกาสที่ทำให้ผมต้องทำเกินตัวเมื่อสักครู่นี้กลายมาเป็นโอกาสที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน


แม้จะตกอยู่ในความโกลาหลแต่คูชาน ธอร์ก็สังเกตเห็นผมที่กำลังวิ่งเข้าไปหา ในที่สุดมันก็จัดการควงตะบองของมันในทันที แม้ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เลือดยิ่งไหลพลั่กๆ ออกมาและทำให้มันโอนเอนไปด้านหน้าก็ตาม แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นแต่จากที่ผมเห็นว่าจนเฮือกสุดท้ายมันก็ยังไม่ปล่อยอาวุธ ผมก็คิดว่าเพชรอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นเพชรจริงๆ


เงามืดเริ่มเข้าปกคลุมได้ทั้งพื้นดิน ถึงมันจะพยายามจะต่อสู้ดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตดูจากที่มันทำร้ายร่างกายด้วยตะบองนั้น แต่ในตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่อสูรกายที่มีแต่แผลเหวอะหวะเต็มตัวเท่านั้นเอง


ผมตั้งใจขยับตัวเข้าไปหาวงสวิงของไม้ตะบองที่ร่วงลงมา หลังจากเข้าไปยังจุดที่มาดหมายเอาไว้แล้ว ผมก็กำดาบไว้แน่นด้วยสองมือแล้วปล่อยพลังเวทออกไปเต็มแรง คาลิโก อาบรักซัสส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังขึ้นกว่าเก่าเพื่อตอบรับกับพลังเวทของผม และผมก็ฟาดดาบเข้าไปที่ไม้ตะบองที่กำลังตกลงมาอย่างเต็มแรงราวกับนักเบสบอลที่กำลังหวดลูกโฮมรัน


ปัง!


ผมรู้สึกถึงแรงหนักหน่วงที่มีพร้อมๆ กับเสียงกระเทือนดังสนั่นที่ดังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน แต่ผมก็ปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามที่แรงของผมเหนี่ยวนำไปก่อนจะหมุนตัวหันกลับมาแล้วฟาดดาบลงไปอีกครั้ง


ฉับ


ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งถูกตัดออกไป บางส่วนกระจัดกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนั้นก็คือไม้ตะบองยักษ์ที่ถูกตัดออกไปอย่างสมบูรณ์แบบและกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ในตอนนี้คูชาน ธอร์ตกอยู่ในสภาพปวกเปียกไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้ว


ผมมองปราดขึ้นไปบนฟ้า คงเพราะตะบองที่หลุดมือไปทำให้ร่างของเจ้ายักษ์ที่กำลังล้มลงมาจากด้านหน้าช้าๆ ตอนนี้กลับค่อยๆ เอียงไปทางด้านขวาแทน เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามระหว่างช่องว่างนั้น


ผมรีบคำนวณระยะห่างอย่างรวดเร็ว ระยะทางที่ผมจะสามารถย้ายที่ด้วยการใช้การเคลื่อนย้ายร่างในพริบตานั้นไม่ได้ไกลไปกว่าที่คิดเลย ดังนั้นผมคิดว่าน่าจะเหลือระยะห่างอยู่สักสองเมตร และในระหว่างที่กำลังรอให้มันเข้ามาใกล้กว่านี้ ผมก็เริ่มใช้ทักษะไปพร้อมๆ กับการกระแทกพลังลงไปบนพื้น


ทันใดนั้นทิวทัศน์รอบๆ ก็เปลี่ยนไปในพริบตาและเมื่อผมมองลงไปยังเสียงที่กำลังสั่นสะเทือนพื้นพิภพอยู่นั้น ผมก็ได้เห็นว่าเจ้ายักษ์กำลังจมลงไปในพื้นดิน ตอนนี้มันจะกำลังคิดอะไรอยู่นะ


มันจบแล้ว


หลังจากที่ผมลงมาสู่พื้นดินแล้วผมก็ปักดาบเสียบลึกเข้าไปที่ด้านหลังหัวของมัน ด้วยแรงที่กดตามแนวที่ผมลงสู่พื้นดินทำให้ดาบปักลึกเข้าไปอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นผมไม่รอช้าที่จะระเบิดพลังเวท เสียงระเบิดดังสนั่นอุบัติขึ้นมาพร้อมกับที่ผมรู้สึกถึงอาการชักกระตุกจากร่างของเจ้ายักษ์ที่ผมเพิ่งจะพิชิตได้


และเมื่อแสงสีทองเรืองรองที่เคยโอบล้อมร่างกายของยักษ์จางหายไป ผมก็รีบถอยไปด้านหลังสุดแรงเกิดทันที แม้จะเป็นเพียงไม่กี่นาทีของการต่อสู้ซึ่งสั้นกว่าที่ผมคาดเอาไว้ แต่ตอนนี้ก็ได้เวลาเหล่าศัตรูจะค่อยๆ กรูกันเข้ามาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยักษ์ล้มลงไปแล้วดังนั้นผมจะตกเป็นเป้าสายตาของพวกศัตรูได้อย่างชัดเจนมากขึ้นไปด้วย


ผมยังคงถอยไปด้านหลังเรื่อยๆ คิดถึงทิศทางที่จะไปอยู่สักพักก่อนจะตกลงสู่พื้นท่ามกลางกลุ่มคนหลังจากการหมุนกลับลำเพียงเบาๆ เท่านั้น


“ซูฮยอน”


ทันใดนั้น


“ซูฮยอน!”


ผมได้ยินเสียงของพี่พร้อมกับรับรู้ถึงสัมผัสที่จับอยู่ที่ไหล่ทั้งสองข้าง


พูดตามตรงว่ามันก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรขนาดนั้น เพราะผมรู้ว่าพี่กำลังมาที่นี่ตั้งแต่ที่เห็นสายฟ้าฟาดมาที่อกของเจ้ายักษ์เมื่อสักครู่นี้แล้ว


และเมื่อผมค่อยๆ หันไปมอง ผมก็เห็นพี่ในสภาพเปียกโชกอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ แม้ผมเปียกโชกจะลงมาปรกใบหน้า แต่ผมก็ยังมองเห็นดวงตาอันเหนื่อยล้าของพี่ผ่านที่ว่างเล็กๆ นั้น


พี่ค่อยๆ ขยับปากขึ้นเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับผม


“ซูฮยอน นี่นาย…?”


แต่ในตอนนั้นเองผมก็เริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกหนักอึ้งรอบๆ ตัว พี่ปิดปากฉับในทันทีก่อนจะหันมองไปรอบบริเวณด้วยสายตาเฉียบคม


ความรู้สึกหนักอึ้งที่ผมรู้สึกได้ก็คือ ‘น้ำ’ นั่นเอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกส่งผ่านเข้ามาตามผิวหนังและทันทีที่ผมก้มลงไปมองก็พบกับภาพที่คาดไม่ถึง น้ำที่เกาะอยู่ตามตัวผมหลั่งไหลออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันถูกดูดซับด้วยความเร็วที่ยากจะคาดเดาและไม่ใช่เพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้น แต่น้ำบนตัวพี่หรือที่เจิ่งนองไปทั้งทั้งทุ่งหญ้าเองก็เช่นเดียวกัน


น้ำพวกนั้นไม่ได้ไหลไปไหนไกลเลย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันไหลไปกองรวมกัน ‘ณ ที่ตรงนี้’ และน้ำที่ไหลมารวมกันนั้นก็กำลังมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ จากน้ำที่ยังไหลมาเพิ่มอีกจากทุกสารทิศ


ครืนนน!


ไม่นานหลังจากนั้น ของเหลวสีฟ้านับสิบ…ไม่สิ บางทีอาจจะนับร้อยก็เกิดขึ้นมาก่อนจะซัดกระหน่ำเข้ามายังทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า ภาพของคลื่นยักษ์ที่เคลื่อนไหวคดเคี้ยวไปมาดูช่างหรูหราและงดงามจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุดภาพหนึ่งเลยก็ว่าได้


ลา ลา ลา


ลา ลา ลา


ลา ลา ลา


“นี่มัน…ไม่ได้การล่ะ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้เรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า”


หลังจากได้ยินเสียงท่วงทำนองที่เรียกกันว่า ‘กองทหารแห่งความบริสุทธิ์(The Legion Of Purification)’ พี่ก็รีบจับแขนผมแล้วลากไปทันที


ซึ่งแน่นอนว่าผมเห็นด้วยกับพี่อย่างเต็มที่เลย แต่พวกภูติที่ปรากฏตัวขึ้นก็ล้อมหน้าล้อมหลังพวกเราเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นเสียงโห่ร้องของพวกศัตรูที่วิ่งกรูกันเข้ามาจากด้านหน้าก็ค่อยๆ เข้าใกล้เข้ามาทุกทีๆ แล้ว


ผมกัดริมฝีปากตัวเองอย่างกล้ำกลืน


อย่าเพิ่งเลย…


ในตอนนั้นเอง


เมื่อผมกำลังคิดว่าผมต้องทำอะไรกับมันสักอย่าง


ซ่าาา…


ผมรู้สึกถึงสภาพอากาศเลวร้ายที่ดูราวจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปช้าๆ คืบคลานมาจากที่ไกลแสนไกลและตามมาด้วยเสียงคร่ำครวญที่แสนคุ้นเคยดังเบาๆ มาให้ได้ยิน


เป็นความชั่วร้ายมืดมัวที่ผมรู้สึกว่ามันช่างต่างจากท่วงทำนองอันไพเราะของเหล่าภูติโดยสิ้นเชิง


ใช่แล้ว เสียงนี้จะต้องเป็น…


เสียงจากหลุมลึกลงไปใต้ดิน


ผมได้ยินเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของเหล่ามารจากขุมนรกไม่ต่างจากเสียงหวนไห้ที่แสนมืดมิด


แดดแรงกล้าเจ้าของอุณหภูมิโหดร้ายค่อยๆ ย่างกรายเข้ามายังบริเวณโดยรอบเหมือนน้ำที่กำลังขึ้น แม้ว่าผมจะมองเห็นมันได้ไม่ชัดนัก แต่ก็รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มลื่นแต่ในขณะเดียวกันก็พาให้อึดอัดใจ


“คิมซูฮยอนนน!”


ในตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อผมและเห็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ห้อมล้อมผมกับพี่เอาไว้ถูกทำลายลง ราวกับปาฏิหาริย์แห่งโมเสสได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง คลื่นลูกนั้นแหวกออกไปด้านข้างเป็นสองฝั่ง


“ซูฮยอน!”


จากนั้นทั้งผมและพี่ก็เริ่มออกวิ่งไปตรงช่องว่างที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่รีรอ ขณะที่กำลังวิ่งไปอย่างรวดเร็วผมก็ยังคงมองไปรอบๆ


เหล่าภูติน้ำอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมหลังจากการเรียกสิ้นสุดลง เหล่าภูติที่ไหลผ่านน้ำเริ่มก่อตัวกันเป็นรูปร่างของหญิงสาวถือตรีศูลความสูงประมาณเมตรครึ่งเห็นจะได้


ปลายหูของหล่อนชี้ออกมาจากผมสีฟ้าครามยาวสลวย ลำตัวช่วงบนมีลักษณะเป็นเทพธิดาแต่ช่วงล่างมีหางเหมือนปลา และจากแสงลึกลับที่ส่องผ่านทั่วทั้งสรรพางค์กายของหล่อนทำให้รูปร่างทีปรากฏออกมานั้นดูคล้ายกับนางเงือก


อยู่แบบนั้นสักพักหนึ่ง เหล่าภูติที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นหนึ่งเดียวก็หันกลับมาและมองไปยังทิศทางหนึ่ง ดูเหมือนพวกเขากำลังโกรธเพราะในแววตาของพวกเขานั้นมีประกายความขุ่นเคืองอยู่น้อยๆ


ทันใดนั้นเอง


ในขณะที่กำลังวิ่งอย่างไร้สติ สิ่งที่ทำให้เหล่าภูติต้องขุ่นเคืองใจก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นทีละนิด สิ่งเหล่านั้นที่มีจำนวนนับร้อยค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ในมือถือง้าวสีสันน่ากลัวเป็นมันวาวเอาไว้ด้วย


ผมจะ…เรียกพวกมันว่าอย่างไรดี


ทั้งร่างกายและแขนเป็นมนุษย์แต่ใบหน้าและลำตัวครึ่งล่างเป็นแพะ ลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ เขาสีเข้มทั้งสองงอกยาวอยู่บนหัวและใส่เสื้อเกราะสีแดงเข้มทั่วทั้งตัว ภาพที่มันเดินเข้ามาพร้อมแววตาสีแดงฉานทำให้ผมนึกถึง ‘จอมมาร’ ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


“ฉันช่วยเอง!”


เสียงกังวานอันเป็นเอกลักษณ์ดังก้องขึ้นมาระหว่างพวกมันที่กำลังเดินแถวใกล้เข้ามา วิเวียนมาช่วยผมและพี่ได้ทันเวลาพอดี


“ออกมาได้แล้ว! เซเทอร์!”


ตอนนั้นเอง จู่ๆ หมอกหนาสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นมาโดยรอบ เผยให้เห็นร่างของครึ่งเทพครึ่งสัตว์ที่สูงใหญ่ถึงหกเมตรอย่างไม่คาดคิด ขนาดของมันใหญ่กว่าจอมมารอื่นๆ กว่าสามเท่าตัว ผมจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นจอมทัพของกองทัพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านี้


“กวาดมันให้หมด!”


วิเวียนออกคำสั่งอย่างโหดเหี้ยม เหล่ามารครึ่งแพะต่างส่งเสียงร้องระงมอย่างเดือดพล่าน และทันทีหลังจากนั้นแสงสีแดงฉานก็พวยพุ่งออกมาจากดวงตาของพวกมันราวน้ำเชี่ยวกราก ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อีกฝั่งอย่างพร้อมเพรียงเหมือนสัตว์ร้ายที่หมายเอาชีวิต


ลา ลา ลา ลา ลา ลา


แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าภูติน้ำก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาร้องเพลงประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกันขณะเดียวกันนั้นก็ยกตรีศูลมันเป็นวาวชูขึ้นมาด้วย


จากนั้นการต่อสู้ระหว่างเหล่าภูติน้ำและจอมมารก็อุบัติขึ้น เริ่มด้วยการผสมปนเปกันของน้ำและความมืดมิด


และในระหว่างที่เหล่าภูติน้ำกำลังเผชิญหน้ากับเหล่าจอมมารนั้นเอง ผมและพี่ก็สามารถหนีออกจากวงล้อมได้ในที่สุด ทันทีที่เราไปถึงที่ที่วิเวียนอยู่ เราก็ได้เห็นภาพที่เปียกซกไปหมดของหล่อน


“โชคดีนะที่ไม่สายไป ว่าไหม”


วิเวียนส่งยิ้มสดใสมาทางผมพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้ราวกับจะตรวจสอบว่าผมปลอดภัยดี แม้มันจะเป็นท่าทางที่ไม่เหมาะกับสนามรบ แต่ในสายตาผมท่าทางแบบนี้กลับดูงดงามอย่างไม่มีสาเหตุ


“จอมมารพวกนี้…นี่เธอเรียกกองทัพมาเหรอ”


“อื้ม กองพลที่เก้าน่ะ เซเทอร์แห่งการสำเร็จโทษ พวกมันจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรแน่นนอน เพราะพวกมันจะคุ้มคลั่งขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหญิงสาว”


คำพูดของหล่อนทำให้ผมต้องหันกลับไปมองยังที่ที่ผมและพี่อยู่เมื่อสักครู่นี้ ซึ่งในตอนนี้มันได้ตกอยู่ในความโกลาหลไปเสียแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม