Memorize เล่มที่ 18 ตอนที่ 18-24

 ตอนที่ 18

โดย

ProjectZyphon

“วาร์ปเกต”


จู่ๆ ผู้บริหารระดับสูงด้านการทูตของเผ่าโครยอ โจซองโฮที่นั่งฟังเงียบๆ เพียงอย่างเดียวมาตลอดก็พูดขึ้นมาราวกับว่าเขาเพิ่งจะคิดออก


“ถ้าหากเป็นปราการเวทโบราณที่ใช้สำหรับการช่วยเหลือภายในบาร์บาร่าล่ะก็ จะไม่มีวาร์ปเกตอยู่ด้วยหรือครับ”


ในตอนนั้นเอง เหล่าผู้เล่นที่เปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้มีความรู้แตกฉานเกี่ยวกับเวทมนตร์ต่างก็ส่งเสียงชื่นชมเล็กๆ ออกมา


คำพูดของโจซองโฮฟังดูสมเหตุสมผล สมมติว่าถ้ามีการแสดงปราการป้องกันพลังเวทออกมาโดยที่เปิดใช้งานวาร์ปเกตไปด้วยและความยาวคลื่นของทั้งสองเข้ากันได้พอดี ก็มีความเป็นไปได้ที่สมรรถนะของมันจะยังถูกรักษาเอาไว้ กล่าวคือ พวกเขาจะยังใช้วาร์ปเกตได้อย่างปลอดภัยในขณะที่ปราการกำลังขัดขวางการโจมตีจากภายนอกไปพร้อมกัน


“ถึงจะบอกว่าทิ้งคนไว้ในเมืองอื่นแค่บ้างส่วน และถึงจะไม่มารวมกำลังกันที่บาร์บาร่าในตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกนั้นน่าจะมีกำลังพลถึงหนึ่งหมื่นใช่ไหมคะ พวกเขาไม่สามารถใช้วาร์ปเกตพร้อมกันทีเดียวได้ ดังนั้นพวกเขาก็คงจะมีวิธีการแก้ปัญหาสินะคะ”


“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพวกศัตรูยังไม่รู้เรื่องแผนการโลกใหม่ของพวกเราน่ะสิคะ!”


จริงอยู่ที่สิ่งที่โจซองโฮพูดจะเป็นเพียงแค่การสมมติ แต่ทั้งจองฮายอนและซอนยูลเองก็ดูจะคิดว่าข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน ดูจากการที่พวกหล่อนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้ว


ความวุ่นวายทำให้ห้องควบคุมที่เคยเงียบเชียบได้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ความมั่นใจที่หายไปดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้งด้วยความคิดที่ว่าพวกศัตรูคงคิดจะหนีไปก่อนจะเกิดการต่อสู้ขึ้น


แคลนลอร์ดโครยอถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน


“ฝั่งเหนือและฝั่งใต้ไม่ทราบว่าคืบหน้าไปอย่างไรบ้างแล้วครับ”


“เรากำลังเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายจะยึดเมืองเก่าเราคืนไปพร้อมกันครับ เราจะเริ่มแผนทันทีที่ไปถึง ดังนั้นคิดว่าน่าจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบได้อีกครั้งภายในสี่วัน ไม่สิ สามวันครับ”


“สี่วันหรือไม่ก็สามวัน…”


แคลนลอร์ดโครยอหยุดเดินอยู่ที่กลางห้องพร้อมกับมองกวาดไปทั่วทั้งห้อง ก่อนจะพูดขึ้นมาเรียบๆ


“ผมอยากรู้ปฏิกิริยาของพวกเขาตอนที่วาร์ปเกตถูกตัด”


เช้ามืดของที่ราบบาร์บาร่านั้นช่างเงียบเชียบและหนาวเหน็บ ไม่ได้ยินแม้เพียงเสียงลมหายใจ เสียงเดียวที่ผมได้ยินมีเพียงแค่เสียงฝีเท้าของผู้คนนับพันที่กำลังเดินทัพข้ามผ่านผืนหญ้าไปข้างหน้าเท่านั้น


ตอนนี้บาร์บาร่าเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว และในขณะที่ต่างฝ่ายต่างบอกว่าจะพักกันก่อนในคืนนี้ แต่กลับรู้สึกถึงสัญญาณการเคลื่อนไหวของผู้คนมากมายออกมาจากภายในกำแพงได้


เช้าวันนี้เป็นวันแรกของการปะทะกันระหว่างฝั่งตะวันออก, ฝั่งตะวันตก รวมทั้งพวกเร่ร่อนด้วย และด้วยความที่ฝั่งตะวันออกไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แคลนลอร์ดโครรยอจึงบอกให้เราหยุดแล้วสู้กันสักตั้ง


แต่ด้วยความที่สงครามส่วนใหญ่ในฮอลล์เพลนขึ้นอยู่กับเวทมนตร์ ดังนั้นการต่อสู้ในวันนี้จึงถือเป็นการชี้ชะตาการแพ้ชนะในภายหลัง


[หยุด]


แคลนลอร์ดโครยอพูดเรียบๆ ออกมาเพียงคำเดียวเท่านั้น แต่คงเป็นเพราะความเงียบของบรรยากาศโดยรอบและเวทขยายเสียงที่ที่ถูกเปิดไว้จึงทำให้ฝีเท้าของเหล่าผู้เล่นหยุดลงโดยพร้อมเพรียงกัน


[ประจำที่]


ทัพที่หนึ่ง สอง สาม และสี่ต่างเริ่มเคลื่อนไหวกันอย่างชุลมุน


ทัพที่หนึ่ง เหล่าผู้เล่นสายใกล้เคียงคอยป้องกันลูกธนูอยู่ที่แถวหน้าสุด


ทัพที่สอง เหล่านักธนู เตรียมพร้อมลูกธนูสำหรับการโจมตี


ทัพที่สาม เหล่านักเวท เตรียมเวทโจมตีสำหรับกระหน่ำยิง


ทัพที่สี่ เหล่านักบวช เตรียมบทสวดศักดิ์สิทธิ์ขนานใหญ่


ทัพที่ห้า เหล่านักฆ่า เตรียมพร้อมรอเวลา


ฐานที่มั่นซึ่งอยู่ห่างจากบาร์บาร่าประมาณสี่ร้อยห้าสิบเมตรถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา และการเตรียมพร้อมของแต่ละทัพก็เริ่มขึ้นตามแต่ผู้บัญชาการของทัพจะสั่ง


ในบรรดาทัพทั้งหมด ทัพที่สามและสี่ซึ่งเป็นทัพของเหล่านักเวทและนักบวชคือทัพที่โดดเด่นที่สุด


กำลังคนของทัพฝั่งประตูตะวันตกมีประมาณห้าพันคน และแม้ว่าบทสวดแต่ละบทจะมีเนื้อแตกต่างกันไปแต่เสียงของผู้เล่นนับพันที่ท่องบทสวดขึ้นมาพร้อมๆ กันนั้นก็ทำให้ฟังดูขลังและยิ่งใหญ่เอาการเลยทีเดียว


ไม่นานนักกระแสพลังเวทอันทรงพลังก็ได้ตัดผ่านระหว่างกำแพงเมืองกับที่ราบ


วิ้ง! วิ้งงง!


ที่ราบแห่งนี้ไม่มืดมิดอีกต่อไปแล้ว เพราะดวงไฟสีสันสดใสที่ถูกพันไว้ที่ไม้แต่ละอันและมือของทุกทุกคนนั้นช่วยส่องให้บริเวณโดยรอบสว่างไสวขึ้นมา


ใช้เวลาไม่นานมนตร์คาถาที่จะใช้ในการโจมตีรอบแรกก็เสร็จสมบูรณ์ อาจเพราะมีเหล่าผู้เล่นมากมายที่คุ้นเคยกับการร่ายเวทด้วยความรวดเร็วอยู่แล้ว


ผมมองเห็นซอนยูลซึ่งสังกัดอยู่ในทัพที่สองและน่าจะร่ายคาถาเสร็จก่อนคนอื่นๆ กำลังชูแขนสูงขึ้นไปบนฟ้า ในมือของหล่อนถือไพ่ที่กำลังลุกไหม้ใบหนึ่งเอาไว้ด้วย


ตอนนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น


ซอนยูลปล่อยไพ่ที่หล่อนถืออยู่ลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนท่องมนตร์ไปด้วย


“ขยาย!”


ทันใดนั้นเองไพ่ที่หมุนคว้างราวกับกำลังปลิวอยู่กลางอากาศก็ดูเหมือนจะสร้างเป็นภาพสามมิติขึ้นมาก่อนจะเกิดเป็นแสงสีเขียวอ่อนแผ่ขยายออกมากลางอากาศตามมุมต่างๆ ของไพ่


“ยิง!”


และเมื่อได้ยินคำว่ายิง


“…!”


พร้อมๆ กันกับเสียงตะโกนลั่นดังสนั่น เหล่าผู้เล่นก็พร้อมใจกันระเบิดพลังเวทที่ต่างร่ายแฝงไว้ในอาวุธของตัวเองออกไป แก้วหูสั่นสะเทือนทันทีที่พลังเวทนับร้อยถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าพร้อมๆ กัน เสียงสะท้อนที่ดังตามมานั้นเสียดแทงไปถึงกระดูกดำเลยทีเดียว


จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าริมฝีปากผมกำลังสั่นเบาๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเลือดลมมันสูบฉีดแปลกๆ


พลังเวททั้งหลายที่วาดจนเกิดเป็นเส้นโค้งขึ้นต่างพุ่งมารวมกันอยู่ที่ม่านที่ซอนยูลได้สร้างเอาไว้


และในตอนนั้นเอง


“เร่งความเร็ว!”


ซอนยูลตะโกนขึ้นอีกครั้ง


พรวดดด!


ทันใดนั้นกลุ่มพลังเวทที่วาดเป็นเส้นโค้งอย่างเชื่องช้าก่อนจะถึงม่านก็เปลี่ยนวงโคจรทันทีที่ผ่านม่านออกไป พลังเวทที่เคยอยู่ในม่านเมื่อสักครู่กำลังพุ่งไปยังกำแพงเมืองอย่างรวดเร็วราวกับเหยียบคันเร่ง


ช่างเป็นมุมที่สมบูรณ์แบบจริงๆ


พลังเวทนับร้อยกำลังพุ่งเป็นเส้นตรงเข้าไปยังใต้กำแพงเมืองอย่างแรง หยาดฝนแห่งพลังเวทตกลงสู่กำแพงเมืองราวกับฝนห่าใหญ่


ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่มีทางอยู่นิ่งเฉย กระแสพลังเวทที่ผมรู้สึกมาตั้งแต่เมื่อสักครู่ตอนนี้หยุดลงอย่างกะทันหัน ผมจ้องมองขึ้นไปยังกำแพงเมืองด้วยพลังการมองเห็นที่เพิ่มให้มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อดูว่าพวกเขาจะรับมือกับพลังเวทนับพันที่ตกลงมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างไร


ปัง! ปัง! ปังงง!


และในตอนนั้นเอง พวกเขาก็เริ่มตอบโต้เรากลับ พลังเวทมากมายนับร้อยถูกยิงออกมาจากกำแพงเมืองฝั่งประตูตะวันตกที่ผมกำลังมองอยู่พร้อมกับการระเบิดอย่างยิ่งใหญ่


เป้าหมายของพลังเวทนั้นไม่ใช่พวกเราแต่กลับตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าแทน


เริ่มจะยอมรับกำลังอาวุธของเราแล้วอย่างนั้นหรือ


ฝั่งนั้นเองก็ต้องมีนักบวชอยู่ด้วยแน่นอน พวกเขาไม่ได้เล็งมาที่เราแต่เป็นพลังเวทของเราที่ถูกยิงออกไปต่างหาก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นักบวชที่พวกเขามีไม่มั่นใจว่าจะสามารถขัดขวางพลังเวทของเราได้จึงใช้พลังเวทในการลดกำลังของมันลงนั่นเอง


พลังเวทของทั้งสองฝั่งปะทะกันในทันที พลังทั้งสองระเบิดใส่กันบนท้องฟ้าอันว่างเปล่า ในที่สุดการต่อสู้ประชันฝีมือก็ได้เปิดฉากขึ้นอย่างจริงจังเสียที


แว้บ!


เป็นอีกครั้งที่ประกายไฟอันงดงามสอดประสานกับเสียงระเบิดดังสนั่น ดวงไฟที่เกิดจากผลที่ตามมาของการระเบิดพุ่งขึ้นไปในอากาศราวกับดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และสะเก็ดไฟมากมายที่ไร้เป้าหมายเหล่านั้นก็พุ่งขึ้นและโปรยลงมาราวกับน้ำพุเช่นกัน


ผลของการต่อสู้ในครั้งแรกสามารถรู้ได้โดยทันที


ฟิ้ววว…..


ควันไฟรูปทรงคล้ายเห็ดขนาดใหญ่ถูกวาดขึ้นกลางอากาศ และเมื่อควันไฟนั้นแผ่ออกไปทั่วทั้งบริเวณจนทุกสิ่งดูฝ้าฟาง กลุ่มของพลังเวทที่มีขนาดลดลงจากเมื่อสักครู่อย่างเห็นได้ชัดก็ปรากฏเข้าสู่สายตา


หลังจากนั้นพลังเวทที่ยังคงมีพลังหลงเหลืออยู่ก็ปักลงไปที่กำแพงเมืองทั้งแบบนั้น


ตู้ม! ตู้มมม!


ครืน! ครืนนน!


เปรี้ยง! เปรี้ยง!


ในตอนนั้นเอง สายฟ้านับสิบก็ปรากฏขึ้นกะทันหันและผ่าลงมาโดยไร้สิ่งกีดขวางตามมาด้วยเสียงถูกตีกระหน่ำของเวทป้องกันที่แผ่อยู่ทั่วบนกำแพงเมือง


นั่นมัน…สายฟ้า?


ดูเหมือนจะต้องรอให้แนวการยิงถูกเก็บไปเสียก่อนจึงจะสามารถใช้งานเมฆซึ่งเป็นเวทเฉพาะตัวของพี่ได้ พวกเขาเองก็คงไม่คิดว่ามันจะเข้ามาล่าช้าแบบนี้เช่นกัน และสายฟ้าที่ตามเข้าไปยังช่วยเพิ่มพลังให้กับพลังเวทที่เข้าไปก่อนหน้านี้ด้วย


หลังจากเวลาผ่านไปสักพักควันหนาทึบก็จางหายไป ถ้าให้พูดตามที่ผมมองเห็นเลยก็คือดูเหมือนว่าแนวป้องกันที่พวกเขาตั้งไว้จะสามารถขัดขวางพลังเวทที่ถูกยิงออกไปรอบแรกได้ทั้งหมด


แต่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของพี่ไม่ใช่แนวป้องกันนั้น ข้อดีของพี่ก็คือแม้ว่าเขาจะมีค่าความสามารถที่รุนแรงล้นเหลือแต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาก็สามารถควบคุมและปรับพลังเวทของเขาให้เหมาะสมได้เช่นกัน


ควันไฟสีดำแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกทิศพร้อมๆ กับเสียงรอยร้าวที่เกิดขึ้นที่จุดหนึ่งของกำแพงเมือง ซึ่งมันดูจะทนอยู่แบบนั้นไปได้สักพัก แต่แล้วส่วนหนึ่งของกำแพงก็เริ่มพังลงมาจากด้านขวาพร้อมกับเสียงดังสนั่น


เพล้ง!


ในเวลาเดียวกันนั้น พี่ก็พยายามมองหาจุดที่อยู่นอกเหนือการคุ้มครองจากแนวป้องกันก่อนจะเล็งสายฟ้าตรงไปยังจุดนั้น


“…”


สงครามปิดล้อมเริ่มขึ้นแล้ว


ตอนที่ 19

โดย

ProjectZyphon

ในที่สุดวันแรกของการแลกอาวุธกันก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความสามารถที่เหนือกว่าของเหล่าผู้เล่นทางฝั่งตะวันออก


ที่ราบของบาร์บาร่าที่เคยเป็นที่ภูมิใจเรื่องความกว้างใหญ่และความสวยงามอันแสนอบอุ่น บัดนี้กลับมีสภาพที่ต่างออกไปจากเดิมเหลือเกิน ที่ราบกว้างใหญ่ที่เคยเป็นระเบียบตอนนี้ถูกทำลายไปเสียสิ้น และเปลวไฟขนาดใหญ่พุ่งผ่านเขม่าควันสีดำที่กระจายอยู่โดยรอบออกมา ควันที่เกิดจากเปลวเพลิงฟุ้งหายไปในท้องฟ้าที่ถูกย้อมจนเป็นสีแดง


จากนั้นภายใต้ที่ราบที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงยามอัสดงไม่ต่างจากสีเลือด ก็เกิดเสียงรั้งสายธนูอย่างพร้อมเพรียงกันจากทัพที่สองดังขึ้นมาให้ได้ยิน เหล่านักธนูปล่อยลูกธนูที่เหนี่ยวเอาไว้ออกมาพร้อมกัน แม้ผู้บัญชาการทัพจะยังไม่ได้ให้สัญญาณใดๆ ตอนนี้เข้าสู่วันที่สามของสงครามแล้ว สถานการณ์ของเหล่าผู้เล่นราบรื่นขึ้นอย่างมากหากเปรียบเทียบกับวันแรก


ลูกธนูกว่าพันลูกถูกยิงขึ้นไปพร้อมกันจนอัดแน่นอยู่เต็มบนฟ้าตรงหน้าผมนี้ ลูกธนูมากมายที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าเหล่านั้นวาดออกเป็นเส้นโค้ง รวมทั้งวงโคจรที่ภาพจำแห่งพลังเวทได้ทิ้งเอาไว้ได้หายเข้าไปในกำแพงเมืองเรียบร้อยแล้ว


ในทางเทคนิคนั้นหากเราสนใจเพียงแง่ของ ‘การทำลาย’ ก็จะเห็นได้ว่าลูกธนูมีอานุภาพในการทำลายล้างน้อยกว่าพลังเวท แต่หากจะมีข้อดีที่พอจะทำให้มองข้ามข้อเสียของมันไปได้ก็เห็นจะเป็นการยิงที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว


การยิงอย่างรวดเร็วเป็นครั้งที่สองช่วยสกัดพวกศัตรูที่กำแพงเมืองเอาไว้ได้ และในระหว่างที่บรรดานักธนูกำลังพยายามเบี่ยงเบนความสนใจอย่างเต็มที่ ทางด้านเหล่าผู้เล่นในทัพที่สามก็กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมตัวอย่างลับๆ เพื่อเข้าโจมตีอีกฝ่ายในครั้งเดียว


“ยิง!”


คำสั่งการที่ตอนนี้กลายเป็นว่ารู้สึกคุ้นเคยกับมันไปแล้วดังแหวกอากาศขึ้นมา และในขณะเดียวกันนั้น ไพ่ที่ถูกโยนขึ้นไปบนอากาศก็กำลังเปล่งแสงเรืองรองอย่างสวยงาม จากนั้นไพ่จึงได้สร้างม่านสีเขียวอ่อนรูปทรงสี่เหลี่ยมพุ่งไปยังด้านหน้าของกำแพงเมือง


เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น แต่หากจะให้เลือกผู้เล่นสองคนที่ทำให้เหล่าศัตรูหวั่นเกรงได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นพี่ชายผมผู้เป็นดั่งมันสมองและนักมายากลไพ่ทาโร่ต์ซอนยูล


สายฟ้าฟาดผ่าเปรี้ยงลงไปยังทุกพื้นที่ที่ว่างเปล่าตามการควบคุมพลังเวทที่เป็นไปอย่างแม่นยำ และความสามารถในการมอบผลที่พิเศษให้กับพลังเวทนับร้อยในคราวเดียวช่างเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและงี่เง่าเสียจนหากผมคิดว่ามันเป็นศัตรูของผมล่ะก็ ผมอาจจะจะด่าออกมาแล้วก็ได้


“เร่งความเร็ว!”


มันคือผลแบบพิเศษที่สามารถเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นได้ ทันใดนั้นวงโคจรของพลังเวทนับร้อยที่พุ่งทะยานผ่านม่านเวทออกไปก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน ความเร็วที่ผมเห็นยิ่งเร็วมากขึ้นไปอีกระดับมุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ด้วยความเร็วดั่งน้ำหลาก


จากนั้นเพียงแค่พริบตาเดียว กลุ่มพลังเวทนับร้อยก็พุ่งเข้าชนประตูใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามที่ประตูใหญ่กลับมีแผ่นป้องกันขนาดใหญ่โตห่อหุ้มเอาไว้โดยรอบหลายชั้นราวกับว่าพวกเขารู้ทันความตั้งใจของเราที่จะโจมตีไปตรงนั้น


ระยะห่างจากประตูใหญ่มีเพียงแค่สองร้อยเมตรเท่านั้น แต่เนื่องจากเป็นการปะทะที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ประกายไฟที่เกิดจากการปะทะนั้นระเบิดพวยพุ่งขึ้นมาไม่ต่างจากน้ำในลานน้ำพุก่อนจะกระจายเป็นละอองแล้วโปรยปรายลงมาจากฟ้า


ฝั่งหนึ่งพยายามจะบุกฝ่าเข้าไป อีกฝั่งก็พยายามจะขัดขวาง สถานการณ์การประชันกำลังครั้งยิ่งใหญ่นี้กำลังจะได้รู้ผลในเร็วๆ นี้แล้วว่าใครคือผู้ที่อยู่เหนือกว่า


ปัง! ปัง!


พลังเวทที่ทะลุผ่านม่านเวทเข้าไปพุ่งเข้าชนประตูใหญ่ของบาร์บาร่าอย่างแรงทันที เสียงเหล็กประตูดังสนั่นไปทุกทิศทุกทาง


หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ควันไฟที่เกิดจากการปะทะค่อยๆ จางหายไป รูปร่างของประตูปรากฏให้เห็น ถึงแม้ว่าจะทลายได้ไม่หมดในครั้งเดียว แต่ก็ถือว่าผลของมันค่อนข้างชัดเจนทีเดียว


รูเว้าโค้งสลักอยู่ทุกพื้นที่บนม่านเวทดังเช่นรอยยับบนกระดาษ ถึงแม้จะยังไม่สามารถทะลุได้ในคราวเดียว แต่หากเราโจมตีเข้าไปอีกครั้งหนึ่งด้วยพลังขนาดเท่ากับก่อนหน้านี้ เราอาจจะทะลุผ่านม่านเวทเข้าไปได้


เกิดเสียงตะโกนโห่ร้องเล็กๆ ออกมาจากเหล่าผู้เล่นที่กำลังมองดูประตูใหญ่อยู่ ราวกับว่าพวกเขาเหล่านั้นก็คิดเหมือนกันกับผม


ในตอนนั้นเอง


ปัง!


มีระเบิดเกิดขึ้นมากะทันหัน ผมหันมองขึ้นไปทางกำแพงเมืองโดยอัตโนมัติเพราะเสียงระเบิดดังสนั่นราวกับมีใครฟาดอะไรขึ้นไปบนอากาศ ไม่สิ ความจริงผมแทบจะไม่ต้องมองดูเลยด้วยซ้ำ เพราะมันคือเสียงระเบิดของคาถาขนาดใหญ่ซึ่งยิงกันไปมาจนเบื่อกันไปข้างที่ระเบิดขึ้นมา


แต่ว่า…เสียงมันดูจะดังกว่าปกตินะ?


แต่มันยังไม่จบเพียงแค่นั้น


ชิ้ง! ชิ้งงง!


ฝั่งตะวันออกที่เป็นที่หนึ่งมาตลอดในการต่อสู้ทั้งสี่วัน ตอนนี้ได้เข้ามาอยู่ในระยะกระสุนเพื่อที่จะรักษาความเป็นอันดับหนึ่งเอาไว้ให้มั่น แต่ว่านอกจากพลังเวทที่เป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ยังมีลูกธนูและหอกจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากกำแพงเมืองราวกับฝนตกกระหน่ำ


ตอนนี้ฝั่งตะวันออกมุ่งโจมตีหมดทั้งสี่ทิศ เพราะแบบนั้นพวกศัตรูจึงได้แบ่งกำลังทหารไปตามแต่ละมุมของกำแพงเมืองและให้ความสำคัญกับการป้องกันการโจมตี จากช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมพอจะกะประมาณขนาดการโจมตีได้คร่าวๆ บ้างแล้ว แต่การโจมตีที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ค่อนข้างผิดไปจากที่คาดไว้มากจริงๆ


แต่ผมก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ ว่านี่เป็นการดิ้นรนอย่างหนึ่งนั่นเอง


ประตูใหญ่ถือว่ามีความหมายที่สำคัญมากๆ ในสงครามปิดล้อม แต่เพราะวิธีการป้องกันที่สำคัญเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่นั้นสลายหายไปเพราะการโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็ไม่แปลกถ้าทำให้พวกเขาเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมาเพื่อที่จะรักษามันเอาไว้ให้ถึงที่สุด การโจมตีขนาดใหญ่กว่าที่คิดที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีการรวมกำลังพลจากกำแพงเมืองฝั่งอื่นๆ เอาไว้ด้วย


“ป้องกัน!”


“รีเฟลคท์ชิลด์!”


เหล่านักบวชประจำทัพที่สี่โต้กลับอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่สิ ไม่ได้มีเพียงแค่นักบวชเท่านั้น ผู้เล่นคนอื่นๆ เองก็รู้สึกว่าการโจมตีครั้งนี้ผิดปกติเช่นกัน รวมทั้งเหล่านักเวทประจำทัพที่สามที่เพิ่งจะร่ายเวทเสร็จสิ้นก็เข้าร่วมในการร่ายเวทป้องกันด้วย ก่อนจะเกิดเป็นม่านกึ่งโปร่งแสงขึ้นมาหลายทบห่อหุ้มรอบกระบวนทัพของฝั่งตะวันออกเอาไว้ในเวลาเดียวกันนั้นเอง


จากนั้นไม่นานพายุลูกธนูและหอกที่ทะลุแหวกสายลมมาก็พุ่งตกลงไปยังทัพของฝั่งตะวันออกอย่างรุนแรงและรวดเร็ว


หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าชนโล่ป้องกันที่ห่อหุ้มพวกเราเอาไว้อยู่อย่างมั่นคงเข้าอย่างจัง


ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บบบ!


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


“อึก!”


“อ๊ากกก!”


คงเพราะเป็นการยิงพลังเวทอย่างกะทันหัน ทำให้สามารถเห็นพลังเวทได้ทุกชนิดที่ด้านนอกของโล่ป้องกัน ลูกไฟที่มาจากการระเบิดลุกไหม้ลามไปทั่วทั้งโล่และหอกแห่งน้ำแข็งอันแหลมคมก็เสียบเข้ามาที่มุมหนึ่งของโล่เช่นกัน พายุนั้นพุ่งชนโล่ป้องกันอย่างแรงราวกับพายุฝนห่าใหญ่ จากนั้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานก็ดังขึ้นมาจากทุกหนทุกแห่ง


การระดมยิงที่พวกศัตรูเลือกใช้ในการโต้กลับตามความพออกพอใจของตนนั้นเป็นไปอย่างดุร้าย และแม้ว่าพวกเขาจะแบ่งความสนใจไปที่แต่ละทัพมากพอๆ กับที่สนใจเราแต่นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะระดมพลมามากเพียงใด แต่กำลังอาวุธที่ถูกระดมยิงออกไปก็เป็นภาระอันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เหล่าผู้เล่นที่ถูกแบ่งออกเป็นสี่ทัพจะทนไหว


ยิ่งเวลาผ่านไปสิ่งที่ดูคล้ายจะเป็นพายุก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นเพียงลมอ่อนๆ แต่โล่ป้องกันที่เคยมั่นคงแข็งแรง กลับกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ


ราวกับว่าเหล่าผู้เล่นเองก็รู้สึกได้เช่นกัน ผู้เล่นที่มีคลาสอื่นซึ่งยืนอยู่ที่แถวหน้าสุดต่างยกโล่กำบังขึ้นมาทีละคนสองคน เหล่านักบวชเองก็หันมาร่ายมนตร์คาถาขนาดเล็กให้กับโล่กำบังของเหล่าผู้เล่นแทนที่จะไปเสียเวลากับโล่ป้องกันขนาดใหญ่ เพราะมีนักเวทที่คุ้นชินกับการร่ายเวทด้วยความรวดเร็วอยู่มาก ทำให้เราสามารถประหยัดเวลาในการเพิ่มโล่ป้องกันไปได้บ้าง


ในเวลาเดียวกันนั้นเองเสียงที่ถูกขยายของแคลนลอร์ดโครยอก็ดังก้องขึ้นมา


[ทุกคน ถอยมาข้างหลัง!]


มีคำสั่งให้ถอยทัพออกมาเพื่อที่จะลดความเสียหายแม้ว่าจะเสียดายประตูใหญ่ที่ทลายลงได้แล้ว แต่ดูเหมือนเขาตัดสินใจจะเล็งหาโอกาสอื่นมากกว่าที่จะต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แบบนี้


เหล่าผู้เล่นของฝั่งตะวันออกเริ่มถอยหลังกลับโดยยังคงรักษากระบวนทัพเอาไว้ตามเดิม


และในตอนนั้นเอง


ครืนนน…


จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงกระแสพลังเวทขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ใหญ่มากจนไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับกระแสพลังเวทที่เราใช้ในการโจมตีและตั้งรับกันได้เลย


แสงยามอัสดงที่เคยย้อมที่ราบแห่งนี้จู่ๆ กลับมืดลงมาทันใด คอผมร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลความรู้สึกร้อนรุ่มจู่โจมไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย


นี่มัน…?


สัญญาณในหัวดังเตือนว่าภัยกำลังจะมา ผมยกมือขึ้นไปที่หูโดยทันทีก่อนจะกำเกียรติยศแห่งวิคตอเรียที่ถูกเปลี่ยนสภาพเอาไว้


และทันใดนั้น


กร๊าซซซ!


เสียงคำรามดังสนั่นที่มาพร้อมกับความร้อนดังเปลวเพลิงเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งที่ราบไม่ต่างอะไรกับลมพายุหมุน เสียงคำรามนั้นดังจนผืนดินที่ผมเหยียบและอากาศที่ลอยละล่องอยู่บนผืนฟ้าต้องสั่นสะเทือนแปรปรวนกันไปหมด


เมื่อผมกำลังนึกสงสัยกับเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูที่ดังขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด พลันผมก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจกลัวจากเหล่าผู้เล่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ


“อะ อ๊ากกก! มะ มังกร!”


มังกรหรือ?


มังกรไม่มีทางที่จะออกมาในตอนนี้ แม้ผมจะยังมีความรู้สึกไม่ยอมรับอยู่ในหัวเพราะรู้ความจริงข้อนั้นดี แต่ก็ยังแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าตามสัญชาตญาณ พลันผมก็ได้เห็นพระอาทิตย์สองดวงฉายแสงอยู่บนท้องฟ้าทางทิศตะวันตกของกำแพงเมือง


ไม่สิ สิ่งนั้นไม่ใช่ดวงอาทิตย์ เป็นเพราะแสงสว่างจ้าที่ส่องมาทำให้เกิดเป็นภาพลวงตาขึ้นมาพักหนึ่ง แต่หลังจากที่ผมกะพริบตาไปสักสองสามครั้ง ผมก็ได้เห็นว่ามันคือ ‘มังกร’ จริงๆ


หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ลูกไฟที่ประกอบกันเป็นรูปร่างของมังกร หัวมังกรที่มีสองเขางอกออกมาจากปลายสุดของลำคอยาว สองปีกแห่งเปลวไฟที่งอกออกมาจากหลังและส่วนลำตัวขนาดมโหฬาร ไปจนถึงหางที่วาดเป็นตัวเอสรูปร่างเดียวกับงูขนาดมหึมา ทั้งหมดนั้นคือรูปร่างของมังกรที่กำลังพ่นไฟออกมาอย่างต่อเนื่อง


พรึ่บ! พรึ่บ!


เจ้ามังกรค่อยๆ บินหมุนวนอยู่บนท้องฟ้าไปอย่างช้าๆ ช้ามากเหลือเกิน หลังจากที่บินวนอยู่อย่างนั้นประมาณสามสี่รอบ มันก็กางปีกที่ลุกไหม้ของมันออกไปด้านข้าง และเมื่อผมรีบหันไปมองตามมัน ผมก็ได้เห็นว่ามันไม่ได้มุ่งไปด้านหน้าแต่กลับไปทางทิศตะวันตกแทน


เจ้ามังกรเริ่มขยับปีกกว้างพร้อมแผดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง ระยะห่างระหว่างขบวนทัพฝั่งตะวันออกและมังกรเริ่มลดลงทุกครั้งที่สองปีกนั้นขยับขึ้นลง แค่นี้ก็ชัดเจนเกินพอ


เจ้ามังกรแห่งเปลวเพลิงตัวนี้ คิดจะพุ่งทะยานเข้ามายังทัพฝั่งประตูตะวันตกทั้งตัวแล้วกวาดทั้งทัพเสียให้ราบเป็นหน้ากลอง


คิดจะผ่าเข้ามากลางวงอย่างนั้นหรือ? หรือจะกันไม่ให้เราถอยหลังกัน?


เหล่านักเวทและบรรดานักบวชต่างมุ่งความสนใจไปที่การรักษาสภาพของเวทป้องกันไว้จนทำให้การถอยทัพช้าลงตามไปด้วย แต่หากจะให้ล้มเลิกการป้องกันแล้วตั้งหน้าตั้งตาถอยทัพก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักได้อีกเหมือนกัน ความคิดผยองที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่งในสงครามเอาไว้ บัดนี้กลับกลายเป็นการต้อนทัพฝั่งประตูตะวันตกให้จนมุม


กร๊าซซซ!


ตอนที่ 20

โดย

ProjectZyphon

ผมอยากใช้เวลาทำความเข้าใจสถานการณ์นี้อีกสักหน่อย แต่เจ้ามังกรไฟดูจะไม่เหลือเวลาให้ผมทำเช่นนั้น หนำซ้ำยังกระพือปีกให้เร็วขึ้นอีกราวกับจะไม่เหลือเวลาให้เราได้รับมือใดๆ เลย ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับลงมาจนอยู่ระนาบเดียวกันกับที่ราบแล้วโฉบเข้ามาที่ด้านข้างของกระบวนทัพ


โฟ่ววว!


สะเก็ดไฟจากตัวของมันทำให้เกิดไฟลุกลามเป็นทางขนาดใหญ่ เปลวไฟที่เริ่มลามไปเรื่อยๆ กินพื้นที่ใหญ่ขึ้นเพียงแค่พริบตาเดียว ผมเองก็ซ่อมดาบที่พังคามือตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้วกำไว้แน่นเบื้องหน้าเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้เข้ามา


ในการต่อสู้ที่ผลัดกันรุกและรับไปมาตลอดสามวันมานี้ ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่ของตนเอง หน้าที่ของผมคือการเฝ้ามองสถานการณ์จากข้างหลังไม่ใช่การยกโล่กำบังขึ้นมา อย่างไรก็ตามจากการที่ผมถูกรวมเข้าไปอยู่ในกลุ่มสำหรับเตรียมรับมือกับตัวแปรที่อาจเกิดขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะได้เวลาจ่ายค่าข้าวเขาแล้วแหละ ถ้าพูดถึงการตัดเวทล่ะก็ ผมนี่แหละผู้เชี่ยวชาญ


“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!”


ผมได้ยินเสียงของนักดาบที่เรียกผมอยู่ แต่ก็ยังคงจากมา


ผมวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่แรงทั้งหมดของผมจะเร็วได้เพื่อไปให้ถึงฝั่งตะวันตก มันกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ทันทีที่ผมได้เห็นกองเพลิงที่ลุกไหม้ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมก็รู้สึกว่ามีพลังน่าสยดสยองบางอย่างกดดันไปทั่วทั้งตัว


นี่มันอาจจะอันตรายไปหน่อยนะ…


ผมไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากต้องเปลี่ยนใจจากที่คิดจะใช้พลังเวทเพียงอย่างเดียวในตอนแรก แม้ใจผมจะสั่นเพราะดูท่าไฟจะปะทุมากกว่าที่คิดไว้ แต่ก็รีบตั้งสติในทันที


ปลุกพลังที่แฝงอยู่ในใจขึ้นมาให้ผมต้านกับไฟที่กำลังลุกไหม้เข้ามาทุกที ผมเลือกที่จะติดตั้งเกียรติยศแห่งวิคตอเรียและตั้งให้มันพุ่งเป้าไปยังกลางลำตัวของเจ้ามังกร ทั้งผมและมังกรต่างฝ่ายต่างลดระยะลงเข้าหากัน นั่นทำให้ระยะห่างของพวกเราลดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งผมเข้าไปใกล้มันมากเท่าไรความร้อนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นสูงมากเท่านั้น


และเมื่อเกียรติยศแห่งวิคตอเรียกำลังจะไปถึงเปลวไฟที่เจ้ามังกรได้สร้างขึ้นนั้นเอง


พรึ่บ! พรึ่บ!


[อย่าไปแตะต้องมัน]


ทันใดนั้น บางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ในใจผมก็…


[นั่นเป็นเพลิงมังกรชั้นต่ำ]


เปลวไฟนั้นเริ่มปะทุขึ้นมาราวกับกำลังร้องคำราม


* * *


ห้องอัญเชิญ ฮอลล์เพลน


แท่นพิธีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกวางตั้งไว้อย่างโดดเด่นที่ตรงกลางห้องภายใต้หลังคาทรงโค้งสีเทา


บนแท่นพิธีสีขี้เถ้าตรงกลางนั้นมีทูตสวรรค์ผู้เลอโฉมคนหนึ่งนั่งอยู่โดยไม่ไหวติง หล่อนผู้นั้นคือเซราฟนั่นเอง การเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวที่มีคือปีกสีขาวที่สะบัดไปมาบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น หล่อนหลับตาอย่างแผ่วเบาและมีสีหน้าหน้าที่ตกอยู่ในความวิตกกังวลราวกับถูกฝังอยู่ในความเงียบงัน


“โอ้ เหตุใดจึง…”


ในตอนนั้นเองดวงตาที่เคยหลับอยู่นิ่งๆ ก็เปิดโพลงขึ้นในทันใด เผยให้เห็นนัยน์ตาสีหยกที่เคยหลบซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาบาง ดวงตาคู่นั้นของเซราฟที่เบิกโพลงเพราะตระหนกกับความเป็นจริงบางอย่างที่หล่อนได้รับรู้ทำให้มีประกายสั่นไหวเล็กน้อย


“ทำไมต้องตอนนี้ เหตุใดฮวาจองจึงรู้สึกตัว…”


หล่อนดูสับสนเป็นอย่างมาก เซราฟไม่สามารถพูดได้จนจบประโยคจนตรงกลางประโยคออกจะคลุมเครือไปพอสมควร ปีกบางกระพือแรงขึ้นโดยที่หล่อนเองก็ไม่รู้ตัว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความกังวลที่กักเก็บเอาไว้ไม่มิด


“ไม่ได้นะ นี่มันยังไม่ใช่เวลาที่จะ…”


แต่แล้วหล่อนก็รู้ตัวว่าหล่อนไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น บนใบหน้าของทูตสวรรค์มีเพียงความเศร้าสลดปรากฏอยู่


“ซูฮยอน…”


ชื่อของใครบางคนดังออกมาจากปากสวยได้รูป แม้หล่อนจะรู้ดีว่าเขาคงไม่ได้ยิน เขาไม่มีทางที่จะได้ยิน แต่น้ำเสียงของหล่อนก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง


เซราฟหลับตาลงอีกครั้ง ยกมือทั้งสองขึ้นจับกันไว้แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ


“ช่วยเลือกทางที่ดีด้วยเถอะนะ…”


* * *


เมื่อผมกำลังตกอยู่ในอันตราย


ในตอนนั้นเอง เพียงแค่ก่อนที่เกียรติยศแห่งวิคตอเรียจะไปถึงตัวมังกรเท่านั้น ทุกๆ อย่างก็พลันหยุดนิ่งลง


ตึกตัก ตึกตัก


วันนี้หัวใจผมกลับเต้นดังกว่าที่เคย


ผมมั่นใจ เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นั่นมัน…


ก่อนจะเกิดการปะทะ ผมรู้สึกได้ว่าพลังที่แฝงอยู่ในใจมันปะทุขึ้นมาอย่างท่วมท้น แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลับอยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของผมโดยสิ้นเชิง


โลกที่เวลาหยุดหมุน เสียงที่ไม่คุ้นเคยแต่กลับรู้สึกเคยคุ้น และหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้


ผมหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวเพราะสถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากะทันหัน ค่อยๆ หายใจเข้าไปช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หายใจเข้าอีกครั้งเพื่อข่มให้ใจที่กำลังตื่นเต้นได้สงบลงบ้าง หลังจากปรับอารมณ์ให้เข้าที่อยู่สักพักผมถึงลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง และในทันทีนั้นผมก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว


“อ้า…”


ไม่ใช่ว่าโลกหยุดหมุน มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดของผมเท่านั้น เวลายังคงดำเนินต่อไปจนถึงตอนนี้ตั้งแต่ที่ผมได้ยินเสียงนั้นในหัว แต่มีอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่หยุดลง นั่นก็คือเจ้ามังกรไฟที่บินเข้ามาและทำให้เกิดไฟลุกไหม้ตัวนั้นนั่นเอง


[อย่าบื้อนักสิ เฮอะ เจ้าโง่]


ติ๊ง!


มีเสียงดังขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไปก็มีหน้าต่างข้อความอันหนึ่งเด้งขึ้นมากลางอากาศเสียก่อน


[การรู้สึกตัวของฮวาจองขั้นที่ 1, ประกาศอาณาเขต (Area Declared) – ‘การแต่งตั้งยศโบราณ’ เริ่มแล้ว]


ฮวาจอง? รู้สึกตัว?


พอผมอ่านข้อความนั้นจบก็ได้แต่สงสัย ถึงจะเรียกว่าการรู้สึกตัวของฮวาจองก็เถอะ แต่ก็เป็นการรู้สึกตัวอย่างกะทันหันที่ไม่มีเค้ามีลางอะไรให้เห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ผมทำเพียงเลียริมฝีปากเงียบๆ ให้กับสถานการณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปนี้


[ทำไมถึงเอาแต่ยืนบื้ออยู่แบบนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าคุยกับเจ้าเสียหน่อย อืม ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สามได้แล้วล่ะมั้ง?]


นี่คือ…เสียงของฮวาจองอย่างนั้นเหรอ


[ครั้งที่แล้วก็แบบนี้ ครั้งนี้ก็ยังจะช้าอีก เจ้าโง่เอ๊ย]


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่สิ ทำไมจู่ๆ ก็ออกมาแบบนี้


มันน่ามหัศจรรย์อยู่ที่ฮวาจองกำลังพูด แต่ผมเลือกที่จะผลักความสงสัยนั้นออกไปก่อน ตอนนี้เรารู้เพียงแค่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นแต่สิ่งที่เราจะต้องรู้ให้ได้ก็คือ ‘ทำไม’ มันถึงเกิดขึ้น


แต่เหมือนว่าฮวาจองจะไม่คิดเช่นนั้น เพราะคำตอบที่ตอบกลับผมมานั้นไกลห่างจากความคาดหวังของผมไปมาก


[ไว้ข้าค่อยอธิบายทีหลังแล้วกัน ตอนนี้แทบจะไม่มีเวลาแล้ว]


แทบจะไม่มีเวลาอย่างนั้นเหรอ


[ถึงมันจะเป็นการประกาศตามใจข้าเองแต่ว่า…จะอย่างไรก็เถอะ ตอนนี้พื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมดอยู่ในระหว่าง ‘ประกาศอาณาเขต’ ซึ่งด้วยระดับของเจ้าในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะรักษามันไว้ได้เป็นเวลานาน]


…แล้วผมต้องทำอย่างไร?


คำพูดของฮวาจองทำให้ผมเปลี่ยนความคิดทันที ผมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้และผมก็ไม่ต้องการเอาแต่พูดบ่นว่าไม่มีเวลาด้วย จู่ๆ ผมก็รับรู้ถึงกำลังของฮวาจองไหลเวียนอยู่ในตัวผมราวกับว่าเขากำลังชอบใจปฏิกิริยาที่รวดเร็วของผม


[อืม! ทำตามที่เจ้าต้องการเลยก็ได้]


ตามที่ผมต้องการ?


[ใช่ ข้าบอกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วนี่ว่าพื้นที่ถูกประกาศไปแล้ว! เจ้าบื้อ!]


แม้คำว่าโง่หรือบื้อที่เขาพูดมาตั้งแต่เมื่อครู่มันจะกวนอารมณ์ผมอยู่ไม่น้อย แต่ผมก็ยังเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างใจเย็น และแล้วผมก็ได้เห็นดวงไฟที่ก่อกันเป็นรูปร่างของมังกรยังคงปล่อยสะเก็ดไฟให้ร่วงหล่นลงมา


ตามที่ต้องการ


เมื่อไม่กี่อึดใจที่แล้ว ในมือขวาของผมยังกำเกียรติยศแห่งวิคตอเรียและส่งพลังเวทที่น่าหวาดกลัวออกมา พลางคิดที่จะเข้าไปตัดเวทของมันในคราวเดียว แต่ในตอนนี้ผมกลับปล่อยมันลงข้างลำตัวช้าๆ แล้วแบมือซ้ายที่ว่างเปล่าออกมา จากนั้นยื่นมือนั้นออกไปตรงหน้าของเจ้ามังกรไฟแทน ผมไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ อีกต่อไปแล้ว


หากบอกให้มันหายไปทั้งแบบนี้ มันจะหายไปหรือเปล่า


[หาย]


แล้วถ้าบอกให้มันสลายตัวล่ะ?


[สลาย]


ถามคำก็ตอบคำ แต่ผมก็พอจะเข้าใจ แม้จะยังเป็นเพียงการคาดเดาแต่กองพระเพลิงที่อยู่บนผืนดินบริเวณนี้ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของผม


แบบนี้นี่เอง ถึงได้เรียกว่า ‘ประกาศอาณาเขต’ สินะ


[ใช่ ถึงแม้มันจะไม่สามารถมองว่าเป็นพื้นที่ที่กว้างพอจะเรียกว่า ‘อาณาเขต’ ก็เถอะนะ แต่ว่าจะโทษใครได้ล่ะ เอาล่ะ ไม่มีเวลาแล้ว รีบจบมันเถอะ เพราะร่างกายเจ้ามันจะรู้สึกกดดันจนรับไม่ไหวเอาได้]


ตอนที่ 21

โดย

ProjectZyphon

ผมรู้สึกถึงความกดดันที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย คำพูดนั้นของเขาทำให้ผมตั้งสติได้ กระแสพลังเวทที่ถูกใช้งานจนถึงจุดขีดสุดเริ่มสูญเสียพลังของมันทีละนิดๆ เพราะการระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมๆ กันนั้นความรู้สึกที่คุ้นเคยที่ผมเคยได้สัมผัสเมื่อสมรรถภาพทางกายของผมตกต่ำลงเริ่มคืบคลานเข้ามายึดทุกอณูในร่างกาย


ดับสลาย? ฟื้นคืน? เปลี่ยนทิศ?


เขาบอกให้ผมทำตามที่ต้องการ แต่ถึงแบบนั้นขอบเขตของทางเลือกก็มีมากจนผมคิดไม่ตกว่าควรจะออกคำสั่งอย่างไรดี


ผ่านไปประมาณสิบวินาที ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเลือกมาได้หนึ่งอย่าง


มือซ้ายของผมแตะอยู่ที่เจ้ามังกรไฟ ก่อนจะดึงมันขึ้นไปบนอากาศด้วยความปรารถนาข้อหนึ่ง เพราะอย่างนั้นผมจึงได้เห็นภาพของมันเลื่อนขึ้นไปบนฟ้าช้าๆ เมื่อได้เห็นมันขยับไปตามที่ผมตั้งใจไว้กับตา มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรคของผมอีก ผมรีบยืดแขนออกไปทางด้านซ้ายทันทีที่รู้สึกว่าแรงกดดันในตัวเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ


“ไปซะ”


เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น แต่กลับได้ผลถนัดตา


กร๊าซซซ!


ผมเพียงแค่พูดคำเดียวและโบกมือแค่ครั้งเดียว เจ้ามังกรไฟที่เคยพุ่งเข้าใส่เหล่าผู้เล่นฝั่งตะวันออกก็เปิดปากคำรามออกมาดังลั่นตอบรับคำพูดผม พร้อมทั้งรีบเปลี่ยนทิศทางไปยังกำแพงเมืองของบาร์บาร่าแทนในทันที แต่ก่อนที่ผมจะได้เห็นจุดจบของเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกว่ามีบางอย่าง ‘วูบ’ ขึ้นมารอบตัวผม


ความรู้สึกแบบนี้มัน…


ผมควรเรียกมันว่าการหลุดพ้นดีไหม หรือจะเรียกการปลดปล่อยดี? ไม่สิ นั่นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญเสียหน่อย


หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าความร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิงที่ไหลเวียนไปทั่วภายในตัวผมนั้นค่อยๆ สลายหายไปแล้วแทนที่ด้วยความมืดมิดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในหัวทีละเล็กละน้อย ผมรีบหันไปมองทางกำแพงเมืองท่ามกลางความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นและได้เห็นเจ้ามังกรพุ่งเข้าชนกำแพงเมืองอย่างแรงตามคำสั่งของผมเอง


[ราตรีสวัสดิ์ ไว้เรา…เจอกันใหม่นะ]


ผมปล่อยสายใยแห่งสติให้ดับวูบลงพร้อมๆ กับเสียงที่แสดงถึงความเสียดายของฮวาจอง


แสงไฟอบอุ่นโอบล้อมอยู่รอบกาย แล้วผมก็รู้สึกว่าสติของผมเริ่มฟื้นคืนมาอีกครั้ง


“พี่! พี่!”


“ฟื้นแล้ว! ฟื้นแล้วค่ะ!”


หนวกหูจริง


เมื่อหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน ผมก็สบเข้ากับใบหน้าและดวงตาที่คุ้นเคย ทันทีที่ผมทอดถอนลมหายใจเย็นยะเยือกภายในอกแล้วเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นหลังคาเต็นท์สีงาช้างด้านบน ดูเหมือนผมจะถูกเคลื่อนย้ายมายังที่พักชั่วคราวของตัวเองทันทีที่ผมหมดสติลงไป


“นี่ผม…สลบไปนานแค่ไหน”


ผมรู้สึกถึงมือของใครสักคนแตะเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้างของผมเมื่อผมพยายามจะยกร่างกายส่วนบนของผมขึ้น เมื่อหันไปมองจึงได้เห็นว่าเป็นจองฮายอนที่กำลังผุดลุกขึ้นตามผมนั่นเอง


“คุณไม่ได้สลบไปนานเท่าไรหรอกนะคะ ต้องขอบคุณคุณเสียด้วยซ้ำที่ทำให้เราถอยทัพกลับมาได้โดยไม่ได้รับความเสียหายมากนัก จากนี้คุณก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะค่ะ”


จากนั้นหล่อนก็ค่อยๆ ดันผมให้เอนหลังกลับลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะยกมือของหล่อนออกไปและเรียกชื่อของใครบางคนในหัว


ฮวาจอง


[…]


แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา เขาโผล่มาพูดตามใจอยากแล้วนี่ก็หายไปตามอำเภอใจอีกแล้ว ผมยังเรียกต่อไปสักพักเผื่อว่าเขาจะตอบ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรตอบกลับมาเลยนอกจากเสียงสะท้อนเท่านั้น


ผมถอนหายใจอีกครั้งแล้วเริ่มหันมาตรวจสอบสภาพร่างกายตัวเองบ้าง ผมค่อนข้างกังวลว่ามันจะยุ่งวุ่นวายแต่โชคดีที่ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ผมไม่มีอาการวิงเวียนแต่อย่างใด กระแสพลังเวทก็ยังคงไหลเวียนอยู่โดยไม่มีตรงไหนเสียหาย แม้ว่ายังรู้สึกเจ็บแปลบๆ ตามข้อต่ออยู่แต่คงจะฟื้นคืนกลับมาได้ในเร็ววัน


“แคลนลอร์ด ตอนนี้ร่างกายรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ”


“ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่มีตรงไหนที่รู้สึกแปลกเลยครับ”


“ดีจังเลยค่ะ ท่านพี่กับราชินีแห่งดาบเองก็ให้สมุนไพรมาด้วยนะคะ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นอีลิกเซอร์ก็ตาม…”


“พี่กับราชินีแห่งดาบหรือครับ”


จองฮายอนพยักหน้าตอบกลับมาก่อนจะพูดต่อไป


“ท่านทั้งสองอยู่ที่นี่ตลอดจนถึงเมื่อครู่ค่ะ เพราะว่ามีประชุมน่ะค่ะ”


พี่น่ะทำอย่างนั้นแน่อยู่แล้ว แต่ราชินีแห่งดาบเนี่ยสิ แม้ผมจะยังสงสัยอยู่แต่ตอนนี้ผมเห็นว่าในเต็นท์มีเหล่าผู้เล่นมารวมตัวกันอยู่จนแน่น ทุกคนล้วนเป็นสมาชิกของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ทั้งหมด พวกเขาต่างมีสีหน้าเป็นกังวลแบบเดียวกัน ดูเหมือนพวกเขาจะมารวมตัวกันเพราะได้ยินข่าวว่าผมสลบไป


แม้ผมจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นใบหน้าของบางคนที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่ก็อดรู้สึกขัดเขินไม่ได้เพราะทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมเลยตัดสินใจกระแอมไอครั้งสองครั้งแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว


“อะแฮ่ม เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้น…”


สุดท้ายผมส่งมังกรกลับคืนไปที่เมืองอีกครั้ง ผมเกิดสงสัยว่าผลของมันเป็นอย่างไรแต่พอคิดจะถามออกไปก็กลับกลายเป็นว่าเกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นมา และผมก็สามารถรู้ต้นตอของความรู้สึกขัดแย้งนั้นได้ในทันที เพราะท่ามกลางบรรดาสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ที่อยู่ที่นี่มีอยู่คนหนึ่งที่หายไป


“คุณชินซังยงล่ะ?”


“อ้า…”


ผมถามออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรแต่ผมก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นแววตาแปลกๆ ของเหล่าสมาชิกทุกคน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมันสักเท่าไร และทันทีที่เห็นเช่นนั้นก็มีความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในหัว


“หรือว่า…เขาตายในการต่อสู้ครั้งนี้เหรอครับ”


“มะ ไม่ใช่นะครับพี่ เขายังไม่ตายครับ”


อันฮยอนเป็นคนตอบคำถาม อย่างไรก็ตาม เมื่อมาลองคิดดู คำตอบตะกุกตะกักของเขายิ่งพาให้ผมสงสัย


“แล้ว?”


“เรื่องนั้น…”


อันฮยอนยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยใบหน้ากระวนกระวายใจก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง


“ตอนนี้สถานการณ์ของพี่ซังยงไม่ค่อยจะสู้ดีนักน่ะครับ”


“ไม่สู้ดียังไง”


“เอ๋…นี่พี่ยังไม่ได้ยินข่าวลือเหรอครับ”


“ข่าวลือ?”


มีข่าวลือเกี่ยวกับชินซังยงแพร่สะพัดไปด้วยงั้นเหรอ ผมเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกและผมว่าผมจำเป็นต้องรู้รายละเอียดเสียหน่อยแล้ว ผมเห็นอันฮยอนเปิดปากจะพูดขึ้นอีกครั้ง และในตอนนั้นเอง


“ฮยอน นายน่ะ อย่าพูดอะไรไร้สาระนะ อยู่เงียบๆ ไป”


ทันทีที่จองฮายอนตวัดสายตาแหลมคมไปมอง อันฮยอนก็รีบปิดปากฉับลงในทันที จากนั้นหล่อนก็เก็บสายตานั้นไปเรียบร้อยแล้วหันมามองผมด้วยสายตาเป็นมิตรราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“เขาเพียงแค่…ยังปรับตัวกับสงครามไม่ได้เท่านั้นเองค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็กำลังพยายามอยู่ค่ะ อย่าห่วงไปเลยนะคะแคลนลอร์ด ก่อนอื่นก็พักเสีย…”


“ผู้เล่นจองฮายอน”


“ค…คะ?”


ผมพูดตัดบทจองฮายอนก่อนจะลุกขึ้น ผู้เล่นคนอื่นๆ เองก็ลุกตามผมทันที แต่เมื่อผมมองไปที่พวกเขา พวกเขาก็นั่งลงอีกครั้งหนึ่ง


ความเงียบยังคงอยู่ไปสักพักจนกระทั่งผมพูดขึ้นมา


“ตอนนี้ผู้เล่นชินซังยงอยู่ที่ไหนครับ”


ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้มีอะไรจะถามจริงจังหรอก ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงต่อสู้ เราจึงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดไม่ให้ไปไหน ดังนั้นเขาจะต้องอยู่ที่ไหนสักที่ในบริเวณค่ายที่ถูกสร้างอยู่รอบๆ บาร์บาร่าอย่างแน่นอน


สมาชิกทุกคนต่างมองผมด้วยใบหน้าอึดอัดใจ และเมื่อผมพยายามจะมองตาพวกเขาทีละคนๆ พวกเขาก็พากันหลบตากันเสียหมด ผมได้แต่ถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะเริ่มเดินออกไป


“ให้ทุกคนเห็นผมในสภาพแบบนี้ ในฐานะแคลนลอร์ดแล้วน่าอายจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น…ผมก็ขอขอบใจทุกคนจริงๆ ที่อุตส่าห์มารวมกันที่นี่ทั้งที่กำลังอยู่ในช่วงโกลาหลแบบนี้”


“ซู ซูฮยอน”


“ตอนนี้ร่างกายผมปกติดีแล้วครับ ไว้ผมจะไปหาพี่กับราชินีแห่งดาบเองทีหลัง ส่วนตอนนี้พวกคุณกลับไปทำหน้าที่ตามเดิมของตัวเองกันจะดีกว่านะครับ”


“ถะ ถ้าอย่างนั้น ถ้าคุณจะไปก็ไปด้วย…”


จองฮายอนพยายามเรียกผมไว้ด้วยเสียงเล็กๆ ของหล่อน แต่ผมก็ส่ายหน้ากลับไปก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ทิ้งเหล่าสมาชิกที่ยังคงมีท่าทีลังเลเอาไว้เบื้องหลัง


ผมไม่มีความคิดจะโทษเหล่าสมาชิกหรอก ไม่สิ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เป็นความผิดของผมเองที่ตัดสินใจเปลี่ยนการคัดเลือกผู้เหมาะสมในตอนสุดท้าย เพราะถึงอย่างไรชินซังยงก็คือผู้เล่นในความดูแลของผมเอง ผมคิดว่าในท้ายที่สุดแล้วหากผมทำอะไรลงไประหว่างนั้น…ผมไม่แน่ใจว่ามันจะกลายเป็นการปล่อยปละละเลยให้เขาคิดว่าผมเชื่อหรือเปล่า


เอาเถอะ ก่อนอื่นผมไปหาเขาก่อนจะดีกว่า ไปเจอแล้วลองฟังเขาดูก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็รีบเดินไปยังที่ที่ทัพที่สามตั้งอยู่อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะพยายามหลบหน้าผมเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่ในครั้งนี้ผมตั้งใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องพบกับเขาให้ได้จึงรีบมุ่งหน้าไปยังเต็นท์ของเขาทันที


แม้จะมีเต็นท์มากกว่าสองพันสามร้อยหลังในทัพที่สาม แต่ผมก็หาเต็นท์ของชินซังยงเจอจนได้จากการถามเอากับเหล่าผู้เล่นที่อยู่โดยรอบ และเมื่อผมเข้าไปในเต็นท์ที่เหล่าผู้เล่นบอกไว้ ก็ได้เห็นเขานอนนิ่งเป็นศพอยู่ที่มุมนึ่ง นับเป็นความโชคดีในความโชคร้ายที่เขาอยู่ที่เต็นท์วันนี้


เมื่อรู้สึกว่ามีใครเข้ามา ชินซังยงที่นอนนิ่งไม่ไหวติงก็หันหน้ามาทางผมอย่างยากลำบาก


“คุณชินซังยง”


“หือ…?”


ทันทีที่ผมเรียกชื่อเขาออกไปเพราะคิดว่าเขายังตื่นอยู่ ตาของชินซังยงก็ลืมขึ้นมาด้วยความตกใจ


“…คะ แคลนลอร์ด?”


“ไม่ต้องลุกก็ได้ครับ ไม่เป็นไร”


หลังจากที่รู้ว่าผมเข้ามาชินซังยงก็รีบร้อนลุกขึ้นมา แต่เมื่อดูจากแขนที่ลื่นไถลของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมีแรงเท่าไร


ผมรีบเข้าไปประคองเขาเอาไว้ เมื่อเข้าไปใกล้เขาจู่ๆ ผมก็กลับได้กลิ่นเปรี้ยวๆ ตีขึ้นจมูกเลยพอจะเดาได้ว่าเขาน่าจะอาเจียนออกมาเมื่อไม่นานมานี้


คงลำบากแย่เลยสินะ


ใบหน้าของชินซังยงดูแย่มากเมื่อมองจากระยะใกล้ ดวงตาที่เคยมีประกายซื่อใส ตอนนี้กลับมีสภาพเสื่อมโทรมจนกลายเป็นลึกโบ๋ ดวงตาที่เคยมีความนุ่มนวลและอบอุ่นอยู่ ในตอนนี้ความมีชีวิตชีวาเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงใบหน้าซูบซีดและดวงตาว่างเปล่าหมดอาลัยตายอยากเท่านั้นที่กำลังจ้องมองผมอยู่


ผมกับชินซังยงมองหน้ากันเช่นนั้นอยู่พักใหญ่


“ผู้เล่นชินซังยง ตอนนี้ไหวไหมครับ”


“…”


“ผมได้ยินมาว่าคุณลำบากมากน่ะครับ”


“…อึก”


ตอนที่ 22

โดย

ProjectZyphon

หลังจากได้ยินที่ผมพูด ชินซังยงก็ก้มหน้าลงราวกับว่าคำพูดของผมไปเสียดแทงอะไรสักอย่างที่อยู่ในใจเขาเข้า คงเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ผมเห็นใบหน้าที่ดูอิดโรยของเขา แต่แล้วน้ำตาหลายหยดก็ไหลลงมาบนริมฝีปากที่เม้มแน่นของเขา เขาสะอึกสะอื้นอยู่แบบนั้นสักพักโดยไม่คิดเช็ดมันออก


ผมยังคงเงียบเมื่อมองไปที่ชินซังยงที่ดูช่างมืดมนจนผมไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย ผ่านไปสามนาทีซึ่งเหมือนสามชั่วโมงมากกว่า อาการสั่นระริกที่ไหล่เขาจึงได้เริ่มเบาลง


หลังจากนั้นเสียงแหบแห้งก็ดังขึ้นมาจากใบน้าที่ก้มงุดๆ อยู่


“ผมไม่รู้ว่าคุณจะจำได้หรือเปล่า…แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณเคยพูดกับผมเอาไว้น่ะครับ”


“อะไรหรือครับ”


“เมื่อรู้สึกว่ามาถึงขีดจำกัดของตนเองแล้วก็ต้องทำมันให้สำเร็จด้วยการข้ามกำแพงนั้นไปด้วยแรงกำลังของตัวเอง แม้ว่าระหว่างที่ข้ามไปจะเหน็ดเหนื่อยยากลำบากเพียงใด…แต่เมื่อเราข้ามมาด้วยตัวเราเองแล้ว กำแพงนั้นจะกลายเป็นสิ่งค้ำยันที่คงทนแข็งแรงอยู่ใต้เท้าเรานั่นเอง”


ผมจำได้ นั่นเป็นคำพูดที่ผมได้พูดกับพวกเขาเมื่อจองฮายอนและชินซังยงเข้ามาเป็นสมาชิกวันแรกตั้งแต่ยังอยู่ที่มิวล์ ผมพยักหน้ากลับไปเงียบๆ


“เมื่อก่อน ก่อนจะได้พบกับแคลนลอร์ด ผมเคยเป็นคนที่เห็นแก่ชีวิตตัวเองเป็นสำคัญ เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ผมจะออกไปจากเมือง ผมใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ แต่หลังจากที่ได้พบกับแคลนลอร์ดและได้ใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ สมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ผมก็เริ่มมีความคิดว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างครับ ไม่สิ ผมว่าผมน่าจะเปลี่ยนครับ”


จากเปลี่ยนกลายเป็นน่าจะเปลี่ยน ผมลอบกลืนน้ำลายให้กับคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งซึ่งผมไม่อาจรู้ได้


“นั่นเป็นจุดประสงค์ที่ทำให้ผมเข้าร่วมในสงครามนี้ครับ แสดงท่าทีกล้าหาญให้แคลนลอร์ดเห็น แต่ในเวลานี้ผมรู้ซึ้งแล้วครับว่ามันไม่ใช่ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว แต่ทว่าคือความบ้าบิ่นต่างหาก”


“…”


“ผมอยากจะพิสูจน์ให้คุณเห็น…ว่าผมทำได้ ผมเปลี่ยนได้แต่…ฮ่าๆ คนที่มันไม่เอาถ่าน ทำอย่างไรมันก็ไม่ได้หรอกครับ”


“ผู้เล่นชินซังยง”


ชินซังยงส่ายหน้าช้าๆ ตอบรับคำเรียกของผม สุดท้ายแม้ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมา แต่ก็ฟังดูเหมือนจะเป็นการหัวเราะเยาะตัวเองเสียมากกว่า


“ผมได้ยินว่าคุณหมดสติไป ขออภัยจริงๆ นะครับที่ไปไม่ได้ ผมอยากจะวิ่งไปหาแล้วถามข่าวคราวของคุณได้อย่างใจนึกแต่ว่า…”


ชินซังยงหยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าที่ก้มมาตลอดขึ้นมาให้ผมเห็นเสียที รอยยิ้มเศร้าสร้อยวาดอยู่บนริมฝีปาก เขาพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบมาสักพัก


“ผมไม่อยากให้แคลนลอร์ดต้องมาเห็นผมในสภาพเช่นนี้เลยครับ”


เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็รีบตอบออกไปในทันที


ดวงจันทร์สีนวลลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า เมฆดำสนิทราวกับมีหมึกสีดำอยู่ข้างในนั้นและกลดของดวงจันทร์ที่วาดขึ้นเป็นทรงกลมทำนายได้ว่าพรุ่งนี้คงมีฝนเป็นแน่ ผมแหงนมองดูฟ้านิ่งๆ ก่อนจะเข้าไปในเต็นท์แต่


จู่ๆ ลมหนาวเย็นของยามราตรีก็โอบล้อมรอบตัวผมเอาไว้


บรรยากาศเงียบสงบเข้าปกคลุมค่ายของฝั่งตะวันออก แต่อากาศขุ่นมัวกลับโปรยปรายลงมาจากที่ใดสักแห่ง บางทีอาจเป็นผลที่เกิดจากการต่อสู้เมื่อวานนี้ก็เป็นได้


ตั้งแต่ที่การต่อสู้ได้อุบัติขึ้น เมื่อวานเป็นวันที่ฝั่งตะวันออกได้รับความเสียหายมากที่สุด จำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้วคือยี่สิบสองศพ อาจเป็นเพราะพวกเขาทนพิษบาดแผลที่เหล่าศัตรูกระหน่ำระเบิดลงมาที่แถวหน้าไม่ไหว จริงอยู่ที่ฝ่ายตรงข้ามเองก็มีความเสียหายมากมายเช่นกัน แต่ในตอนนี้เรายังไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดนัก


โดยส่วนตัวแล้วนั้น ผมว่ามันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่บรรยากาศขุ่นมัวเช่นนี้จะโปรยปรายลงมาเพราะการตายของทั้งยี่สิบสองคน สุดท้ายแล้วกำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญ ความจริงที่ว่าเราเกือบจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินในครั้งนี้ช่างน่าตกใจพอๆ กับการที่เราเป็นผู้อยู่เหนือกว่าในการต่อสู้มาตลอดจนถึงตอนนี้


ถึงจะบอกว่าผมเองก็สร้างความเสียหายให้กับพวกศัตรูด้วยการส่งมังกรไฟกลับคืนไปเช่นกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าขวัญกำลังใจก็ไม่ได้คืนกลับมาเท่าใดนัก


พรุ่งนี้สิคือปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความได้เปรียบหรือจะสลับกัน แต่ผมไม่คิดว่าเราจะโจมตีแบบนั้นได้อีกครั้งหรอกนะ…


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


ทันใดนั้น ขณะที่ผมตัดสินใจว่าจะหยุดคิดเพียงเท่านี้แล้วแยกย้ายไปนอน ผมก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนเรียกผมเข้า


“ยังไม่นอนสินะคะ โล่งอกไปที”


“แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์?”


หญิงสาวที่เรียกผมก็คือนักมายากลไพ่ทาโร่ต์ ซอนยูลนั่นเอง หล่อนยักไหล่ขึ้นครั้งหนึ่งตามด้วยพยักหน้าอีกครั้งสองครั้ง


“เรียกแบบนั้นไม่ลำบากแย่หรือคะ เรียกแค่ซอนยูลเฉยๆ จะขอบคุณมากเลยค่ะ”


“นี่ก็ดึกมากแล้ว เรื่องอะไรทำให้คุณมาถึงที่นี่ได้ล่ะครับ”


“ตายจริง”


ซอนยูลยกยิ้มมุมปากขึ้นมาทันทีที่ผมถามถึงธุระของหล่อน ก่อนจะตอบออกมาอย่างรวดเร็วราวกับรับรู้ความคาดหวังของผม


“ใช่แล้วล่ะค่ะ ฉันมีธุระกับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ เป็นธุระทางการแล้วก็ธุระส่วนตัวรวมแล้วก็สามข้อ ก็เลยมาที่นี่นี่แหละค่ะ ข้อแรกเป็นเรื่องคำร้องขอย้ายผู้เล่นที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้ขอเอาไว้ ข้อสองเป็นเรื่องที่ฉันต้องขอโทษคุณเป็นการส่วนตัว และข้อที่สามคือข่าวที่ฉันต้องแจ้งให้คุณทราบค่ะ”


“หากเป็นเรื่องคำร้องเรื่องย้ายคน…ตอนนี้คุณอยู่ระหว่างพักหรือเปล่าครับ”


“ค่ะ จริงๆ แล้วต้องเป็นคนอื่นที่มาแจ้งข่าวกับคุณ แต่เพราะฉันเองก็มีธุระกับคุณอยู่แล้วด้วยก็เลยเป็นคนมาแจ้งพร้อมกันเสียเลยน่ะค่ะ”


ผมจ้องมองซอนยูลที่พูดลื่นเหมือนน้ำไหลด้วยความรู้สึกใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน


“แล้วฉันก็ไม่ใช่คนที่จะนอนโดยที่ยังมีงานที่ต้องทำค้างอยู่เสียด้วย รบกวนหน่อยนะคะ”


ผมเกาหัวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเมื่อซอนยูลเลิกคิ้วขึ้นแบบนั้น พูดตามตรงหล่อนไม่ได้รบกวนเลย กลับกันผมยินดีด้วยซ้ำ เพราะผมเองก็นิสัยเหมือนกันกับหล่อนน่ะสิ


“ฟู่วว คำร้องเรื่องย้ายคนออก…ก็เป็นแบบนั้นล่ะครับ ข้าขอให้แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ช่วยเข้าใจด้วยนะครับ”


“หากเป็นเรื่องของผู้เล่นชินซังยงล่ะก็ ฉันรู้ค่ะ เพราะฉันเองก็ให้ความสนใจกับเขามาตลอดอยู่แล้วนี่คะ อย่างไรก็ตาม…เอาเถอะ จะอนุมัติให้ค่ะ แต่ฉันอยากให้คุณทราบเอาไว้อย่างหนึ่งนะคะแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


“อะไรหรือครับ…”


“หากคุณได้ยินข่าวลือที่อยู่รอบตัวชินซังยง ฉันก็อยากบอกคุณว่าข่าวลือนั้นไม่เป็นความจริงเลยนะคะ ฉันรับประกันได้ค่ะ”


ข่าวลือแปลกๆ รอบตัวของชินซังยงก็คือเรื่องที่เขามักจะแยกตัวออกมาในระหว่างเดินทัพอยู่เป็นประจำ เป็นสถานการณ์ที่ข่าวลือน่าขายหน้าแพร่สะพัดไปทั่วว่าเขาไม่เข้าร่วมทัพในการต่อสู้ ไม่ใช่สิ ‘ไม่สามารถ’ ต่างหาก


“อย่างไรเสีย คุณชินซังยงเข้าร่วมในทุกการต่อสู้ที่เกิดขึ้น เขาต่อสู้อย่างเต็มกำลังเท่าที่เขาจะสามารถทำได้แล้วจริงๆ ค่ะ”


แต่ผมก็พยักหน้าตอบกลับไปเพราะผมเองก็รู้อยู่แล้วว่าข่าวลือเหล่านั้นเป็นความจริง หลังจากเห็นผมตอบรับ ซอนยูลก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก


“ถ้าอย่างนั้นเรื่องคำร้องขอย้ายก็เรียบร้อยไปแล้ว…ตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ฉันต้องขอโทษคุณเป็นการส่วนตัวแล้วนะคะ”


“ไม่ทราบว่าคุณทำอะไรผิดกับผมไว้หรือครับ”


“ค่ะ คุณยังจำที่ฉันดูดวงให้ได้หรือเปล่าคะ”


“จำได้สิครับ”


“หลังจากที่คุณกลับไป ฉันเปิดไพ่เหล่านั้นดูตามอำเภอใจน่ะค่ะ ถึงจะตีความคำทำนายไม่ได้แต่ก็…ขอโทษด้วยนะคะ”


แล้วจะให้ฉันพูดอะไรได้อีก


ผมไม่เข้าใจที่หล่อนอุตส่าห์มาหาผมเพียงเพื่อจะขอโทษที่เปิดไพ่ของผมดู แต่ผมคิดว่าคงเพราะมันเป็นงานของหล่อน และผมเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอยู่แล้วเพราะถึงอย่างไรหล่อนก็ไม่สามารถทำนายไพ่ออกมาได้อยู่ดี


“ผมแค่ดูเพื่อความสนุกเท่านั้นเองครับ คุณไม่ต้องขอโทษหรอก”


“หึๆ ขอบคุณนะคะที่คิดเช่นนั้น”


ดูเหมือนหล่อนจะถูกใจคำตอบของผมจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลดระยะห่างกับผมลงเรื่อยๆ หล่อนก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าวแล้วจู่ๆ ก็ส่งมือมาให้ผม ในมือนั้นมีไพ่ทรงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งอยู่ด้วย


“นี่ของขวัญค่ะ ฉันให้”


“นี่มัน…ไพ่เวทมนตร์ที่แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ใช้ส่วนตัวไม่ใช่หรือครับ”


“ไพ่ใบนี้เป็นไพ่ใบสุดท้ายจากทั้งสิบห้าใบที่ท่านได้เปิดเมื่อคราวก่อนค่ะ จนถึงใบที่สิบสองเป็นไพ่ที่ฉันใช้ในเวลาปกติค่ะ แต่ใบที่สิบสามถึงสิบห้าไม่ใช่หรอกค่ะ คิดเสียว่าเป็นอุปกรณ์เสริมในการดูดวงของฉันเหมือนกับนาฬิกาที่เคยให้ดูในตอนนั้นก็ได้นะคะ”


“ถึงอย่างนั้น…”


“สิ่งที่สำคัญก็คือ มันอาจจะเป็นไพ่ที่ไร้ประโยชน์สำหรับฉันแต่สำหรับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่แล้ว มันเป็นสิ่งจำเป็นเลยนะคะ”


ถึงจะเป็นคำพูดที่ดูกำกวมแต่ผมก็กลืนคำปฏิเสธกลับลงคอไปอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสักพักจึงยื่นมือออกไปหาไพ่นั้นช้าๆ


ผมไม่รู้สึกถึงพลังเวทแต่อย่างใดและแม้จะมองดวงตาที่สามก็แล้ว แต่ก็ไม่มีข้อมูลพิเศษอะไรออกมาให้เห็น ถึงจะไม่รู้ว่าไพ่นี่จะช่วยผมได้อย่างไรแต่ผมว่ารับมาก่อนก็ไม่เสียหายอะไร


ผมมองเห็นด้านหลังของไพ่ใบที่ผมรับมา ผมสะบัดไพ่เล็กน้อยโดยที่ยังกำมันอยู่ในมือ ซอนยูลยักไหล่อีกครั้งราวกับจะบอกให้ผมทำตามใจได้เลย ถึงจะลังเลไปบ้างว่าผมควรจะดูดีหรือไม่ แต่ไหนๆ ก็รับมาแล้ว ผมว่าแค่ดูรูปวาดบนนั้นคงไม่เป็นอะไร เพราะผมเองก็ไม่ได้ไพ่อื่นที่เชื่อมกันและความเป็นไปได้ที่ผมจะตีความไพ่ได้ก็ต่ำมากด้วย


คิดดังนั้นผมก็รีบพลิกมันไปอีกด้านทันที


รูปคนสองคนชายหญิงถูกวาดอยู่บนไพ่ โดยในรูปเน้นไปที่รูปผู้หญิง ดูจากปีกที่มีอยู่แล้วคงจะสื่อความหมายถึงทูตสวรรค์ ซึ่งมองเพียงเผินๆ ใบหน้าของหล่อนอาจดูไร้ความรู้สึกแต่พอมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่ามีน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาและในอ้อมแขนของทูตสวรรค์เจ้าน้ำตานั้นก็กำลังโอบกอดชายอยู่คนหนึ่ง


หนึ่งจุดที่พิเศษของไพ่ใบนี้ก็คือ ปีกของทูตสวรรค์ถูกระบายเป็นสีดำ


“จริงสิ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ พอมาลองนึกดูแล้ว คุณบอกว่ามีข่าวจะบอกฉันไม่ใช่เหรอคะ”


นี่ผมจดจ่อกับมันมากไปหรือเปล่า เพราะเมื่อผมได้ยินเสียงที่ฟังดูราวกับอยู่ในความฝันของซอนยูล ผมก็มองไปที่ทูตสวรรค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงยหน้าขึ้น แต่เมื่อสายตาผมสบเข้ากับใบหน้าของหล่อน คำพูดของผมก็ดูเหมือนจะเลือนหายไปเสียอย่างนั้น


เอ๊ะ…?


“ฉันยังไม่ได้บอกเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ นะคะ…ฮะๆ เป็นข่าวดีน่ะค่ะ ในที่สุดก็ได้ข่าวจากฝั่งเหนือและฝั่งใต้แล้วค่ะ”


ไม่รู้ทำไม แต่เมื่อผมมองตาของทูตสวรรค์ จู่ๆ ผมก็นึกถึงบางคนที่คุ้นเคย คนคนนั้น…


เซราฟ?


ตอนที่ 23

โดย

ProjectZyphon

เมืองเล็กในภาคเหนือของทวีปทางเหนือ มิวล์


“มารวมกันอย่างกับฝูงเป็ดน้ำเลยนะ”


คิมกับซูที่ยืนอยู่บนกำแพงและกำลังมองไปรอบๆ กล่าวความเห็นออกมาสั้นๆ หลังจากเห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่อย่างกับคลื่นยักษ์กำลังหลั่งไหลเข้ามา


“ใช่ไหมล่ะ”


และเมื่อเขาหันไปมองเพื่อขอความเห็น ชายคนหนึ่งที่อยู่ในเสื้อเกราะหนังก็ตอบมาจากด้านขวา


“ฝูงเป็ดน้ำ เปรียบได้ตลกดีนะครับ”


“ใช่ไหมล่ะ ว่าแต่ทำไมทำหน้าเคร่งเครียดแบบนั้นล่ะ ถ้าตลกก็ต้องหัวเราะหน่อยซี่”


“ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ ถ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลา…หากทำอะไรพลาดไปล่ะก็ คงจะโดนฝูงเป็ดกินเอาได้นะครับ”


คิมกับซูขำออกมาด้วยเสียงต่ำๆ เพราะคำตอบของชายที่ดูนิ่งเงียบแต่กลับแฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้


แม้จะเอาไปเปรียบกับเป็ดน้ำ แต่ความจริงแล้วคำพูดของชายหนุ่มก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะใช้ในการอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้ สถานการณ์ที่เป็นรองแบบนี้ ไม่สิ ไม่ได้ถึงกับเป็นรอง เพราะเมื่อเทียบกับคนสองร้อยกว่าคนที่เหลืออยู่ในเมืองแล้ว จำนวนของ ‘เป็ดน้ำ’ ที่กำลังวิ่งมานี้มีตั้งเป็นพันเลยด้วยซ้ำ


“หึๆ นั่นสินะ แล้วสถานการณ์การลี้ภัยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


“การเคลื่อนย้ายเข้าไปยังบาร์บาร่าเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้วครับ อ้อ พวกเขาบอกว่าเรามาถึงตอนจบกันแล้วครับ หากเราลงไปตอนนี้ เราจะสามารถตีเมืองได้แน่ครับ”


“ก็คงจะอย่างนั้น ฉันต้องลงไปเสียแล้วสิ อย่างที่นายบอกนั่นแหละ จะให้ถูกกินไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก”


“เป็นทางเลือกที่หลักแหลมจริงๆ ครับ ประตูใหญ่ถูกปิดอย่างแน่นหนา ดังนั้นเราจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้วาร์ปเกตได้ เว้นเสียแต่เราจะมัวชักช้าครับ”


“รู้แล้ว รู้แล้ว ฉันกำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ปัดโธ่ รบเร้าหรือเสียจริง…”


ทันทีที่คิมกับซูโบกมือไปมา ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดชักชวนให้เขาลงไปอีก คงเพราะความกระดากอายที่มี


หลังจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งเริ่มจากตัวเขาก็เริ่มลงไปจากกำแพงเมืองช้าๆ พวกเขาก้าวย่างอย่างสบายๆ แม้ว่าจะมีเสียงตะโกนโห่ร้องจากอีกฝั่งของกำแพงดังมาไม่ขาดสายเลยก็ตาม


“ฉันล่ะชอบใจจริงๆ ที่ได้ทำให้พวกนั้นกลายเป็นหมาต้อนไก่แบบนี้ เอ้อ! พอมานึกดูแล้ว อีนังนั่นมันทำอะไรนะ”


“ครับ? อีนังนั่นหรือครับ”


“นายก็รู้นี่ อีนั่นมันร้ายกว่าที่เห็นอีกนะ”


“อ้า~ ผู้หญิงผมสีน้ำตาลคนนั้นน่ะเหรอครับ”


ราวกับคำพูดของผู้ชายที่เรียกผู้หญิงว่า ‘อีนังนั่น’ มันน่าขำหนักหนา คิมกับซูถึงกับหัวเราะเบาๆ ออกมาอีกครั้ง


“คิกๆ ใช่ แล้วนายพาเธอไปอย่างดีหรือเปล่า”


“อ้า ครับ ผมพาเธอไปยังบาร์บาร่าอย่างปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลไปนะครับ”


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ระวังอย่าให้ไปสะดุดตาอีคังซันเข้าก็แล้วกัน นังนั่นนะ เป็นแบบที่มันชอบเลย หากมันได้เห็นล่ะก็ มันจะต้องแย่งไปแน่”


“ผมจะระวังให้มากที่สุดแต่ว่า..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม้แต่ผมเองก็ไม่มีอำนาจจะช่วยอะไรนะครับ และถ้าให้พูดกันตามตรง ตอนนี้…”


ตู้ม!


ในตอนนั้นเอง ขณะที่คิมกับซูและพวกเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งกำลังลงมาจากกำแพงเมือง ประตูใหญ่ที่เคยปิดอย่างแน่นหนามั่นคงก็พลันเขยื้อนอย่างแรงพร้อมเสียงดังสนั่นลั่นฟ้าดิน กึกก้องเสียจนชายหนุ่มที่กำลังพูดอยู่ต้องยกมือขึ้นปิดหูในทันที พร้อมใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดจากเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น


“บะ บ้าน่า! เกือบจะล้มลงไปอยู่แล้วนี่!”


“ระ เร็วขนาดนี้เชียวหรือ กะ ก็ในเมื่อมันยังมีระยะห่างเหลืออยู่…”


ใช้เวทมนตร์หรือ ชายหนุ่มหันไปมองรอบประตูใหญ่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม


เปรี้ยงงง!


จากนั้นในครั้งนี้เกิดเป็นเสียงแสบหูราวกับจะฉีกอากาศออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ต่อมาเสียงโลหะที่สั่นสะเทือนกำแพงเมืองอย่างแรงก็ดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้ง


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


“อึก! บ้าจริง! อะ อะไรกัน กะจะให้มันพังลงไปเลยหรือไง ประตูใหญ่นั่นซ่อมแซมแล้วใช่ไหม”


“ชะ ใช่แล้วครับ ด้วยคำสั่งของท่านฮยอน การซ่อมแซมจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน…แต่ก่อนอื่น เราออกไปจากที่นี่กันก่อน…!”


แต่ในครั้งนี้ใบหน้าของชายหนุ่มกลับกลายเป็นซีดขาวราวกับเขาเป็นนักโทษที่ได้รับโทษประหารเพราะเสียงสั่นไหวของแกนโลกที่ดังขึ้นมา แต่เจ้าเสียงดังกึกก้องที่ได้ยินมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นั้นก็เอาแต่ดังขึ้นมาในทุกครั้งที่เขาพูด ราวกับไม่ยอมรับคำพูดที่พูดออกมาโดยไม่คิดอย่างไรอย่างนั้น


ทันทีที่พวกเร่ร่อนที่เคยงุนงงอยู่ครู่หนึ่งพอจะตั้งสติได้ ผืนธรณีก็หยุดสั่นสะเทือนไปเช่นกัน


แต่มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


ไม่นานหลังจากนั้นตรงกลางของประตูใหญ่ก็เริ่มผิดรูปผิดร่างไปทีละนิด แม้จะซ่อมแซมให้แข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ประตูใหญ่ที่ก่อขึ้นจากเหล็กหนากลับบิดเบี้ยวราวกับแผ่นกระดาษ


“ปะ ประตูกำลังเบี้ยวอย่างนั้นเหรอ”


ใครสักคนพึมพำออกมาด้วยความตระหนกตกใจราวกับไม่เชื่อสิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า และในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนั้น ประตูใหญ่ก็ยังคงส่งเสียงดังเสียดแทงออกมาในขณะที่บิดเบี้ยวไปมาเช่นนั้นดั่งผ้าที่ถูกบิดจนสุดแรง ประตูใหญ่กำลังจะกลายสภาพเป็นเพียงเศษเหล็ก


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะๆๆ!


ทันใดนั้นเอง พร้อมๆ กับเสียงของเหล็กที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ มาตั้งแต่แรก ที่ประตูก็เกิดเป็นรูใหญ่ขึ้นมา และจู่ๆ แขนสีแดงอมม่วงใหญ่ยักษ์ก็โผล่พรวดขึ้นมาระหว่างรูนั้น


ฟิ้ว ฟิ้ว


สายลมสีม่วงแดงพัดกรรโชกผ่านรูที่ถูกเจาะไว้ออกมา ลมสีม่วงอมแดงที่มีกลุ่มพลังเวทแฝงอยู่พัดเข้ายึดพื้นที่โดยรอบประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว


และทันใดนั้น


“อะ อ๊ากกก!”


“สัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาด! หนีเร็ว!”


พวกเร่ร่อนทุกคนต่างกรีดร้องกันจนสุดเสียงและเริ่มวิ่งหนีตายกันอลหม่าน


บาร์บาร่า เมืองใหญ่ศูนย์กลางแห่งทวีปทางเหนือ


ที่วาร์ปเกตของบาร์บาร่าแออัดไปด้วยผู้คน แสงไฟที่ส่องสว่างมาตลอดตั้งแต่เมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ สลายหายไปแล้วแต่เหล่าผู้เล่นที่ออกมาผ่านวาร์ปเกตก็ยังคงเหลืออยู่กว่านับร้อยคน หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังมองดูภาพนั้นอยู่ พลันหันไปคุยกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหล่อน


“เห็นแล้วใช่ไหมล่ะคะ พวกเขาคือเหล่าคนเร่ร่อนที่เข้ามาจากมิวล์ทั้งนั้นค่ะ”


“อะแฮ่ม! เห็นแล้วครับ”


“หืม? มีอะไรที่คุณอยากพูดอีกหรือเปล่าคะ”


“อืม ไม่รู้สิครับ มันค่อนข้างพูดยากอยู่นะครับ”


ไซม่อนดูมีสีหน้าลำบากใจอย่างสุดซึ้งขณะกำลังมองดูพวกเร่ร่อนที่หลั่งไหลเข้ามามาจากวาร์ปเกตของบาร์บาร่า


“ฮ่าๆๆ ได้ยินว่าเธอพอจะจับลางบอกเหตุได้ในทวีปเรา มันคงจะลำบากไม่น้อยหากเราจะกลับไปทั้งแบบนี้ จริงไหมครับ ยูรินะ”


“ฉันว่าตอนนี้มันยากกว่าอีกนะคะ ไซม่อน ไครมส์”


หญิงสาวที่ถูกเรียกว่ายูรินะตามอารมณ์ขันของไซม่อนตอบกลับด้วยเสียงดังฟังชัด ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเกาหลังหัวแกรกๆ ด้วยใบหน้ากระดากอายก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา


“อ้า~ น่าอายจริงๆ เลยนะครับ”


“…”


“แม้ว่ามิวล์จะเป็นแบบนั้น…แต่เบธ, โดโรธี ไปจนถึงฮาโลนั้นไม่น่าจะพยายามบุกรุกและชิงเมืองคืนในเวลาเดียวกัน…ผมว่าคนที่มาที่นี่ดูจะน้อยกว่า แต่พวกเขาก็คงจะเล่นตุกติกแบบนั้นกันอยู่แล้วล่ะนะครับ ฮ่าๆ! ผมไม่ได้ยินอะไรจากพวกเร่ร่อนเลยสักนิดเดียวน่ะครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายถึงได้…”


“ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ไว้ค่อยโทษพวกเขาทีหลังเถอะค่ะ ตอนนี้ฉันคิดว่าเราควรเปิดใช้งานปราการป้องกันพลังเวทและช่วยเหลือฮาโลก่อนนะคะ”


ที่ยูรินะพูดนั้นหมายถึงให้ย้ายไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดในทวีปทางตะวันตกแล้วค่อยวางแผนหลบหนีกันที่นั่น และเหตุผลของหล่อนก็พอจะฟังขึ้นอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าเมืองอื่นๆ จะล่มสลายไปหมดแล้ว แต่บาร์บาร่าที่ยังพอมีคนเหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ยังคงต่อสู้กับการช่วงชิงเมืองกับของทวีปทางเหนืออย่างหนัก


อย่างไรก็ตามไซม่อนกลับส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าเป็นการบอกว่าไม่เห็นด้วยกับความคิดของหล่อน


“โธ่ พูดอะไรเช่นนั้นครับ ถ้าทำอย่างนั้นเราจะตายกันจริงๆ นะครับ”


“คุณหมายความว่าอย่างไรคะ ทำไมถึงบอกว่าการย้ายไปฮาโลจะฆ่าเราล่ะคะ”


“ก็อย่างที่ยูรินะพูดไงครับ ว่าระหว่างที่คนเรือนหมื่นที่อยู่ที่นี่กำลังเดินทาง สัตว์ประหลาดก็ยังคงอยู่ที่นอกกำแพงโน้น~แน่ะครับ เราจะรักษาระเบียบและเคลื่อนย้ายกันไปทีละคน ทีละคน ดังนั้นผมขอให้คุณเดินกินลมชมวิวอย่างมีความสุขจะดีกว่านะครับ”


“เราเปิดปราการป้องกันพลังเวท…”


“ยูรินะ คุณคิดว่ามันจะทนสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้สักเท่าไรกันครับ”


เมื่อไซม่อนพูดตัดบทหล่อนขึ้นมาเช่นนั้น ยูรินะก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับคำตอบของเขา แต่ไซม่อนที่ยังคงมีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้กลับหรี่ตาลงก่อนจะจ้องมองหล่อนด้วยสายตาเฉียบคม


“ไซม่อน แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปล่ะคะ จะนั่งเงียบๆ แล้วรอให้มันมาขย้ำหลอดลมหรือคะ”


“ฮ่าๆ อย่าโกรธสิครับ ทุกๆ คนต่างก็ตื่นเต้นกับการโฆษณาชวนเชื่อของทวีปทางเหนือกันทั้งนั้น แล้วทำไมถึงมีแต่ยูรินะที่โกรธอยู่แบบนั้นล่ะครับ”


“เฮอะ สถานการณ์ตอนนี้มันสนุกนักหรือไงคะ”


“แหม…ไม่ใช่สนุกหรอกครับ แต่มันเป็นสถานการณ์ที่ผมคาดไว้แล้วต่างหากล่ะ”


เมื่อไซม่อนประกาศออกมากะทันหันแบบนั้น ยูรินะก็ได้แต่ปิดปากเงียบพร้อมสีหน้างุนงง


“อ้า แน่นอนว่าทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคาดไว้เสียทั้งหมดหรอกนะครับ อย่างเรื่องที่เจ้าดราก้อนเบลซวกกลับมาหาเรานั่นก็เป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ ครับ เฮ้อ นึกว่ามันจะเป็นโอกาสทองของเราเสียอีกนะครับ”


“ไซ…”


ยูรินะเผยอปากขึ้นเล็กน้อยราวกับหล่อนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายหล่อนก็ปิดปากลงอีกครั้งหนึ่ง สายตาของไซม่อนยังคงยิ้ม สีหน้าก็ยังดูสบายๆ คล้ายกับเด็กหนุ่มใสซื่อที่ออกมาดื่มแถวบ้านก็ไม่ปาน


แต่ยูรินะที่เคย ‘เชื่อฟัง’ ไซม่อนมาเป็นเวลานานก็สามารถรู้สึกได้เองโดยสัญชาตญาณ มันก็ดีหากจะมองว่าเป็นนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของไซม่อน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่เคยมีความตื่นตระหนกออกมาให้เห็นเลย


ตอนที่ 24

โดย

ProjectZyphon

แม้ตอนที่เผชิญหน้ากับ ‘แจ็คกี้’ ผู้ที่เกือบจะพิชิตทวีปตะวันตกได้สำเร็จนั้น เขาจะเอาชนะวิกฤติมากมายนับไม่ถ้วนมาได้ แต่เขาก็ไม่เคยมีสีหน้าที่เคร่งเครียดเลยสักครั้ง เขามักจะข้ามผ่านวิกฤติต่างๆ ด้วยวิธีการที่ไม่มีใครคาดถึง ไซม่อนเป็นผู้ชายแบบนั้น


อย่างไรก็ตาม ตามที่ไซม่อนได้บอกว่าเขาได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ดังนั้นเขาคงสามารถทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ยูรินะตัดสินใจว่าจะฟังเรื่องราวทั้งหมดก่อนด้วยความที่หล่อนนั้นรู้ดีว่าเขาไม่เคยพูดอะไรไร้สาระ


“ดีล่ะครับ ตอนนี้ผมว่ามันเริ่มจริงขึ้นมาบ้างแล้ว ฮ่าๆ การย้ายไปฮาโลตามที่ยูรินะพูดจริง ๆ มันก็ง่ายนิดเดียวเองครับ เพราะผมได้วาดภาพการขับไล่แต่ละครั้งออกมาแล้วอย่างไรล่ะครับ เพราะหากต้องการจะอยู่จริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการจับมือที่คุณไม่ควรทำอย่างแน่นอนเลยสักนิดนะครับ”


“…”


“ผมเคยคิดว่าไม่ว่าอย่างไรผมก็คงได้พบเจอมันบ้างนิดหน่อย แต่ที่ไหนได้ ดันกลายเป็นว่าผมได้เจอกับมันจังๆ เสียอย่างนั้น สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย ดังนั้นเรามายอมรับสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเผชิญหน้ากับมันกันเถอะครับ หากยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อและยังอยากกลับไปยังทวีปตะวันตกอีกครั้ง คุณก็ต้องหายใจให้ได้ด้วยตัวเองนะครับ”


“หมายความว่ามีวิธีแล้วเหรอคะ”


ดูเหมือนที่เขาบอกว่าคาดเอาไว้แล้วนั้นจะเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อยูรินะถามขึ้นไซม่อนก็พยักหน้ารับในทันที


“ครับก่อนอื่นเราต้องใช้งานปราการป้องกันพลังเวทกันก่อนนะครับ เพราะมันคงน่าเสียดายที่เราอุตส่าห์ร่างมันขึ้นมาแล้วไม่ใช้มันให้เต็มความสามารถน่ะครับ”


“…แล้วยังไงต่อคะ”


“อืมมม เพราะสถานการณ์ก็คือสถานการณ์ ดังนั้นเรื่องเงื่อนไขนี่เราต้องปล่อยไปตามดวงครับ มันก็ดีมากแล้วถ้าหากพวกทวีปทางเหนือจะถอดรหัสปราการออกมาให้เรา…และผมก็อยากให้ฮาโลอดทนให้ได้…แต่ถึงเราจะฝากทุกอย่างไว้กับดวง แต่เราก็ทำให้ความเป็นไปได้มันสูงขึ้นได้ใช่ไหมล่ะครับ ตอนนี้ผมได้ส่งอาสาสมัครไปยังฮาโลแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นพวกที่ไร้ประโยชน์ที่สุดอยู่แล้วด้วยครับ”


ใบหน้าของยูรินะยังฉายแววสงสัยกับสิ่งที่ไซม่อนพูด ทั้งที่เขาก็พูดให้หล่อนฟังว่าเขาคิดอย่างไรทีละประเด็นไป แต่หล่อนก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับเขาสักเท่าไหร่นัก แม้คำพูดของเขาจะทำให้หล่อนถึงกับคิ้วกระตุกแต่ดูเหมือนเขาจะยังพูดไม่จบ


“อ้า แล้วมีอะไรที่ยังจำเป็นอีกนะ ใช่แล้ว ยูรินะ ผมจะใช้ระเบิดเวทมนตร์ครับ ช่วยเตรียมปริมาณที่เอามาไว้ด้วยนะครับ”


“คะ? ระเบิดเวทมนตร์? ทั้งหมดเลยเหรอคะ”


“ครับ! ถึงมันจะน่าเสียดาย แต่เพราะลองมาคำนวณดู ผมว่าเราคงจะไม่รอดชีวิตกลับไปหากเราไม่ใช้มันทั้งหมดนะครับ…เอาล่ะ มาดูกัน อ้า อากาศดีซะด้วย และสุดท้ายนี้ช่วยเรียกนักแปรธาตุมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ หลังจากนั้นเราก็พร้อมแล้วล่ะครับ”


ไซม่อนหันหน้ามามองแวบหนึ่งก่อนจะเริ่มกระดิกนิ้วชี้ แต่หลังจากที่เขาได้เห็นสีหน้าของยูรินะก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา


“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ”


“…ที่คุณพูดมาตั้งแต่เมื่อกี้ ฉันไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ”


“ไม่เข้าใจก็แค่ทำตามที่สั่งครับ เพราะสิ่งสำคัญคือจังหวะและการโจมตีแบบสายฟ้าแลบไงครับ ฮ่าๆๆ!”


หลังจากพูดจบ ไซม่อนก็มองขึ้นไปบนท้องห้าที่มีเมฆปกคลุมหนาแน่น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมทั้งกางแขนทั้งสองออกกว้าง


“ดูสิครับ ขนาดอากาศยังเป็นใจให้เราเลยนะครับ”


* * *


บนท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดดำสนิทย้อมที่ราบมืดไปด้วยเงาดำเลือนรางนั้น และท่ามกลางหมอกหนาที่ลอยฟุ้ง ผมกำลังยืนรอผู้เล่นคนหนึ่งอยู่ ซึ่งผู้เล่นคนนั้นก็คือชินซังยงนั่นเอง


ผมบอกให้เขาเก็บสัมภาระทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วมาเจอกันที่เต็นท์ของผมในตอนเช้า แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นแม้แต่ปลายจมูกเขาเลย ก็จริงที่ช่วงเช้ายังไม่ได้ผ่านไป แต่การที่จนพระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาแล้วแต่ผมยังไม่เห็นเขาเลยทั้งที่ปกติเขาเป็นคนรักษาสัญญามาก มันก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้เหมือนกัน


ทำไมยังไม่มาอีกนะ


จู่ๆ ผมก็คิดว่าเมื่อตอนเช้ามืดนี้ผมพูดแรงไปหรือเปล่า สิ่งที่ผมพูดกับเขาก็คือเรื่องที่ผมพยายามจะพูดเกี่ยวกับการคัดเลือกคนที่เหมาะสม จริงอยู่ที่ผมไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่นดูแคลนชินซังยงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่ผมพูดเรื่องนั้นก็เพราะผมเป็นห่วงเขาต่างหาก แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดไปไกล


จะยังไงก็ต้องพูดอีกครั้งหลังจากเขามาถึงแล้วให้ได้


อย่างไรก็ตาม ผมนอนลงบนเตียงพับได้ที่เตรียมไว้ในเต็นท์เพราะความง่วงที่จู่โจมเข้ามา


การรู้สึกตัวอย่างกะทันหันของฮวาจอง, ข่าวจากภาคใต้และภาคเหนือ, ชินซังยง, ไพ่


ความคิดมากมายตีกันวุ่นอยู่ในหัว ผมจมอยู่กับความคิดเหล่านั้นก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ผมถือไพ่ใบหนึ่งไว้ในมือ และเมื่อผมยกมันขึ้นมาในระดับสายตา ภาพของทูตสวรรค์ที่กำลังร้องไห้แต่กลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึกก็เข้าสู่สายตา


เซราฟ…


ทำไมทูตสวรรค์ในไพ่นั้นถึงทำให้ผมนึกถึงแต่เซราฟกันนะ


กริ๊งงง!


ทันใดนั้นเอง ขณะที่ผมกำลังตกลงไปในห้วงความคิดเกี่ยวกับเซราฟ ผมก็ได้ยินเสียงสัญญาณในค่ายดังขึ้นอย่างกะทันหัน ผมหยุดคิดทุกอย่างทันทีแล้วรีบวิ่งออกไปด้านนอกเต็นท์อย่างรวดเร็ว


ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่ตื่นตัวกับเสียงสัญญาณนี้ ผมเห็นผู้เล่นคนหรือสองคนออกมาจากเต็นท์ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ทุกคนดูงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์นี้เลยสักคน ผมรีบวิ่งไปยังจุดหน้าสุดของค่ายทันที


ถึงผมจะวิ่งด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็ไม่สามารถไปถึงแถวหน้าได้ในทันทีเพราะหมอกหนาที่โรยตัวลงมาบดบังการมองเห็นอยู่ในขณะนี้ ผมมองเห็นเมืองได้ไม่ชัดเท่าไหร่นัก ผมจึงใช้พลังเวทเพิ่มความสามารถในการมองเห็น หลังจากนั้นภาพทิวทัศน์ที่เคยพร่ามัวก็ค่อยๆ ชัดขึ้นทีละนิด


กำแพงเมืองถูกปกคลุมไปด้วยเขม่าควันสีดำ ซึ่งเป็นผลงานจากการที่ผมส่งเจ้ามังกรไฟกลับคืนไปแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ แต่เป็นพื้นรอบๆ บาร์บาร่าต่างหากที่กำลังส่งสัญญาณว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกันที่ถูกวาดเอาไว้รอบเมืองตอนนี้กำลังปล่อยแสงสีฟ้าสดใสออกมา


นี่เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งว่ามีการใช้งานปราการเวท


* * *


แม้ว่าเมื่อวานทัพที่สามจะมีบรรยากาศอึมครึมแต่เมื่อผ่านมาวันหนึ่งความมีชีวิตชีวาก็ค่อยๆ คืนกลับมาทีละนิด สาเหตุก็มาจากข่าวดีสดๆ ร้อนๆ จากทางเหนือและใต้ที่เพิ่งจะมีการประกาศออกมาเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมานี้เอง


ทางเหนือและทางใต้เข้าโจมตีเมืองทั้งหมดสี่เมืองในเวลาเดียวกัน และตอนนี้ก็ประสบความสำเร็จในการยึดเมืองเล็กทั้งสามเมืองคืนมาได้แล้ว แม้ว่าฮาโล(เมืองทั่วไปทางตะวันตก)จะกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้กับการต่อต้านที่แข็งแกร่งของพวกศัตรู แต่ก็ยังคงเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าในการต่อสู้อยู่ การล่มสลายเองก็เป็นเรื่องของเวลาเช่นกัน


ดังนั้นความสนใจหลักของเหล่าผู้เล่นที่อยู่โดยรอบในตอนนี้ก็คือ ฝั่งตะวันออกจะทำอย่างไรต่อไป ผู้เล่นบางคนก็บอกให้รอกำลังเสริมจากทางใต้และทางเหนือก่อน แต่ก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่อยากจะให้เราเข้ายึดบาร์บาร่ากลับคืนมาโดยเร็ว


“…”


แต่มีชายคนหนึ่งที่ไม่สนใจเรื่องดังกล่าวเลยสักนิด รวมทั้งไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลยเช่นกัน ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าเขาไม่สนใจ น่าจะบอกว่าเขาสนใจอย่างอื่นมากกว่า ใบหน้าว่างเปล่า มือที่เคลื่อนไหวจัดสัมภาระอย่างเชื่องช้า เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบอกว่าเขาอาจกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่


ชายหนุ่มคนนั้นคือชินซังยงนั่นเอง และความจริงแล้วตอนนี้เขากำลังคิดทบทวนถึงบทสนทนาที่เขาได้คุยกับคิมซูฮยอนเมื่อไม่นานมานี้อยู่


‘ยังมีอีกหลายวิธีที่จะเอาชนะข้อจำกัดของตนเองได้ ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนิสัยหรอกนะครับ’


‘ผมคิดมานานแล้วครับ ผมคิดว่าผู้เล่นชินซังยง…เหมาะกับหน้าที่ผู้เล่นที่ไม่ใช่หน่วยสู้รบมากกว่าผู้เล่นหน่วยสู้รบนะครับ’


‘คลาสหายาก? ผมไม่เสียดายเลยสักนิดนะครับ เพราะความจริงแล้วคุณก็ได้แสดงพรสวรรค์ของคุณออกมาอย่างเพียงพอแล้วในด้านนั้นนะครับ’


‘ผู้เล่นอีมันซองเอง ผมก็พามาด้วยวัตถุประสงค์นั้นเช่นกัน คุณไม่จำเป็นต้องอายหรอกครับ’


“นิสัย”


ชินซังยงที่พูดคำคำเดียวออกมานั้นได้แต่ยิ้มกับตัวเอง เขาจะมารู้นิสัยของตนได้อย่างไรกัน หรือว่าเขาจะเห็นจากข้อมูลกันล่ะ มีความคิดมากมายวิ่งผ่านเข้ามาในหัวของเขา แต่ชายหนุ่มก็ส่ายหัวไปมาราวกับคิดว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้นไปได้แน่


“หึๆ เฮ้อ พูดไม่ออกเลย”


“หืม? พูดอะไรไม่ออกเหรอ”


ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงใหญ่ๆ ดังมาจากด้านหลัง ชินซังยงหันกลับไปมองด้วยความตกใจ และพบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นหน้ากันดี เขาคนนั้นคือผู้เล่นที่อยู่ในเต็นท์เดียวกันนั่นเอง


“มะ เมื่อไหร่…”


“ก็ตั้งแต่ที่พึมพำแปลกๆ กับตัวเองเมื่อกี้…ว่าแต่คุณชินซังยง นั่นทำอะไรอยู่เหรอ”


“นะ นี่…”


“นี่?”


ท้ายเสียงของชินซังยงขาดหายไปราวกับว่าเขานึกคำพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เมื่อชายหนุ่มสังเกตเห็นบรรดาสัมภาระชองชินซังยงเข้า เขาก็ทำสีหน้าคลื่นไส้ออกมา


“จะถอนตัวเหรอ”


“…คะ ครับ”


“แล้วจะไปไหนล่ะ”


“ขะ เขาบอกให้ไปอยู่ในกลุ่มเตรียมรับมือตัวแปรก็เลย…”


ความจริงแล้วเพราะว่าการตอนสู้ที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้มีแต่เพียงการสู้กันด้วยกำลังอาวุธจากระยะไกลเท่านั้น นั่นทำให้กลุ่มเตรียมรับมือตัวแปรที่ว่ายังไม่ได้แสดงผลงานใดๆ ออกมาเลย ไม่สิ ไม่ได้แสดงผลงานเลยสักคนเว้นเสียแต่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เพียงคนเดียวเท่านั้น


ตั้งแต่การเปิดโปงสายลับของพวกเร่ร่อนเมื่อคราวก่อน จนถึงการหยุดมังกรไฟ จนถึงตอนนี้คิมซูฮยอนคือผู้เล่นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่มีผลงานโดดเด่นปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มเข้าใจเหตุผลที่ชินซังยงต้องเก็บสัมภาระขึ้นมาทันที


“โอ้โฮ คุณชินซังยงนี่ดีจัง มีแคลนลอร์ดที่มีความสามารถคอยใส่ใจแบบนี้ด้วย”


“…ครับ”


“น่าอิจฉา ผมล่ะอิจฉาเสียจริง เอาเถอะ ยินดีด้วยนะเดี๋ยวผมออกไปก่อนแล้วกันคุณจะได้จัดของต่อ ถ้าอย่างนั้นขอให้ไปได้ดีที่นั่นนะ”


“…”


“เพราะผมจะรอฟังข่าวดีอยู่ทางนี้ เฮ้อ ให้ตายสิ”


ชายหนุ่มพูดออกมาอีกครั้งก่อนเดินออกจากเต็นท์ไปด้วยฝีเท้าหนักๆ ของเขา ชินซังยงเหม่อมองไปยังทางที่เขาออกไปก่อนจะเริ่มจัดของอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นมือของเขาก็ยังคงเคลื่อนไหวช้าอยู่เและยิ่งช้าลงไปอีกเรื่อยๆ


และเมื่อมือของเขาหยุดลง ชินซังยงก็ก้มหน้าลง


“เฮ้อ…”


ก่อนลมหายใจยาวจะออกมาจากริมฝีปากบางของชินซังยง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม