Memorize เล่มที่ 18 ตอนที่ 11-17

 ตอนที่ 11

โดย

ProjectZyphon

ในรอบแรกนั้น ผมกับคังแทอุคก็คุ้นเคยกันดีในระดับหนึ่ง จริงอยู่ที่ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายนัก แต่ก็เคยมีความหลังว่าเคยทำกิจกรรมในฐานะ ‘นักล่าพวกเร่ร่อน’ ด้วยกันมา ภาพลักษณ์ที่มีความโหดร้าย ป่าเถื่อน เช่น การทดลองโดยใช้ร่างกายมนุษย์หรือการผสมเทียมของพวกเร่ร่อนที่ถูกจับกุมในเวลานั้นยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผม


วี้ดดด


“ก็ได้ ก็ได้”


ผมคงจมอยู่กับความคิดของตัวเองมากเกินไปจนหยุดลูบมันไปโดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มขยับมือไปลูบมันอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงเล็กๆ ดังมาจากข้างใต้


“…”


ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงนัมดาอึนที่นั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่งกำลังส่งสายตาขอโทษขอโพยมาให้


และในตอนนั้นเอง


“คิมซูฮยอน คิมซูฮยอน”


“หืม?”


น้ำเสียงทีเล่นทีจริงแต่ดังกังวานกำลังเรียกผม แม้จะไม่ได้หันไปมองแต่ผมก็รู้ว่าหล่อนเป็นใคร วิเวียนนั่นเอง


“พอมาคิดดูแล้ว ฉันสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง เหมือนช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นชินซังยงเลยนะ”


“ชินซังยงเหรอ ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลย ทำไม”


“อ้า ก็ฉันได้ยินมาว่าเราจะไปถึงบาร์บาร่ากันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืน เพราะอย่างนั้นเลยคิดจะไปหาเขาเสียหน่อยในฐานะอาจารย์น่ะ”


“ก็ไปสิ”


“แต่ทุกครั้งที่ไปไม่เคยเจอเขาเลย ฉันคิดว่าบางทีเขาอาจจะตั้งใจหลบหน้า…”


วิเวียนละท้ายประโยคโดยการเบาเสียงลง อาการแบบนั้นของหล่อนทำให้ผมเกิดสงสัยขึ้นมา


เธอบอกว่าหลบหน้างั้นเหรอ


“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันไปหาแทนไหมล่ะ”


“เอ๋? ถึงจะไม่เป็นไรก็เถอะแต่…ถ้าไม่ได้เจอล่ะจะทำยังไง และเวลาก็ยังไม่เป็นใจอีกต่างหาก”


วิเวียนดูตกใจกับข้อเสนอของผม การประชุมใกล้จะจบลงแล้ว ผู้เล่นหนึ่งหรือสองคนก็ออกไปบ้างแล้วเช่นกัน


“ถ้าเขาไม่อยู่ก็…ไม่รู้สิ แต่ช่างเถอะ ใช่ว่าฉันจะไปหาตอนกลางคืนไม่ได้เสียหน่อย ไว้ฉันจะลองไปดูนะ”


“เฮ้อ อืม ขอบใจนะ แต่ยังไงฉันมั่นใจว่าชินซังยงจะไม่หลบหน้านายหรอก”


หลังจากที่วิเวียนถอนหายใจออกมาผมก็ลุกขึ้นยืน ไม่สิ เมื่อผมตั้งใจจะลุกขึ้นยืนต่างหาก


“อ้อ! เดี๋ยวก่อนคิมซูฮยอน! ยังมีอีกอย่างหนึ่ง”


“…?”


“ความสงสัยส่วนตัวน่ะ นั่นนายทำบ้าอะไรอยู่”


“หืม? ฉันทำอะไร…”


วิเวียนมองต่ำลงมาแทนคำตอบ สายตาของหล่อนจับจ้องไปที่ซอลอาที่ถูกถืออยู่ในมือข้างซ้ายและมือของผมที่กำลังลูบเจ้าดาบนั้นอยู่ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องโดยอัตโนมัติ


“วันนี้อากาศดีเนอะ ฟ้าก็แจ่มใสดี เธอว่าไหม”


“หืม? อยู่ๆ พูดอะไรขึ้นมาน่ะ แล้วก็นะ นี่มันกลางคืนแล้ว”


หล่อนไม่หลงกลผมเลย ผมรีบเก็บดาบลงแล้วลุกขึ้นในทันที ผมเห็นหล่อนมองมันมาสักพักแล้ว เดี๋ยวหล่อนคงจะรู้เองนั่นล่ะ


“พอได้ฟังที่เธอพูดแล้ว ฉันก็เกิดเป็นห่วงชินซังยงขึ้นมา ฉันไปก่อนนะ เธอเองก็อย่ากังวลให้มันมากไปล่ะ”


“อะ อืม ขอบใจนะ แต่ว่า…คิมซูฮยอน? คิมซูฮยอน!”


แม้จะได้ยินเสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง แต่ผมก็ยังรีบจ้ำอ้าวออกจากเต็นท์ให้เร็วที่สุด


แม่งเอ๊ย น่าอายจริงๆ


ขณะที่สบถแรงๆ อยู่ในใจผมก็มุ่งหน้าไปที่ที่ทัพที่สามตั้งอยู่ เพราะถึงแม้ชินซังยงจะอยู่ในคลาสหายาก ‘นักเล่นแร่แปรธาตุคิเมร่า’ แต่ในตอนนี้เขาถูกจัดให้อยู่ในคลาสนักเวท


แต่แล้ว


ถ้าให้พูดถึงผลลัพธ์ล่ะก็ ผมไม่ได้พบกับชินซังยงหรอก แม้ว่าจะถามกับทหารเฝ้ายามจนหาเต็นท์ที่พักของเขาเจอแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่น แม้กระทั่งผู้เล่นที่อยู่เต็นท์เดียวกันก็ไม่รู้ว่าชินซังยงไปไหน สิ่งที่ผมได้ยินมีเพียงแค่ว่าเขาดูค่อนข้างวิตกกังวลมากในช่วงนี้และเขามักจะกลับมาที่เต็นท์คนเดียวตอนกลางดึกเพียงเท่านั้น


ผมคิดว่าผมน่าจะหาเขาเจอสักที่แต่ก็ตัดสินใจปล่อยไปก่อน เพราะอย่างไรเขาก็กลับมาที่เต็นท์แน่ๆ บางทีพรุ่งนี้ผมอาจจะได้เจอเขาก็ได้


ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมไม่มีความคิดที่จะกลับไปทั้งอย่างนี้ จึงตัดสินใจไปหาคิมฮันบยอลด้วยความรู้สึกของไก่(?)แทนที่จะเป็นไก่ฟ้า


แต่เมื่อผมถามหาเต็นท์ของคิมฮันบยอล ผมก็ดันได้เจอกับคนที่ไม่คาดคิด


“ตายแล้ว แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่?”


“เอ่อ คุณ…..”


“มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”


ที่หน้าเต็นท์ของคิมฮันบยอลกลับมีนักมายากลไพ่ทาโร่ต์และผู้บัญชาการทัพที่สาม ซอนยูลยืนอยู่


ที่เต็นท์ส่วนตัวของนักมายากลไพ่ทาโร่ต์และผู้บัญชาการทัพที่สาม ผมนั่งลงที่เก้าอี้ที่ถูกจัดไว้ตรงกลางตามคำเชิญของซอนยูล จึงได้มีโอกาสมองหน้าหล่อนตรงๆ


ภายในเต็นท์มืดสนิท แต่ไลท์สโตนที่ถูกวางอยู่โดยรอบก็กำลังเปล่งแสงสีนวลออกมา ภาพของซอนยูลที่เข้าสู่สายตาก็ดูไม่ชัดเจนนัก


หลังจากนั้นซอนยูลก็ค่อยๆ พูดออกมาช้าๆ


“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ มาที่นี่เพราะเป็นห่วงสมาชิกเผ่านี่เอง หึๆ คุณนี่จริงใจจังเลยนะคะ เพราะฉันเองก็คงทำแบบเดียวกันกับคุณนั่นแหละค่ะ”


“ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณที่นั่นนะครับ”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ไม่ต้องกังวลนะคะ ความจริงฉันว่าฉันชอบด้วยซ้ำค่ะ”


มีเส้นบางๆ วาดขึ้นที่มุมปากของซอนยูล ผมเองก็ทอดสายตามองหล่อนอยู่นิ่งๆ เช่นนั้น


การแต่งกายของซอนยูลมีความลึกลับเป็นเอกลักษณ์จนไม่ว่าใครเห็นก็ต้องคิดไปถึงนักมายากลสมัยใหม่ อย่างไรก็ตามการเปิดเผยเนื้อหนังมังสาก็ยังคงมีให้เห็น เพราะหล่อนเองก็ยังเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง


ชุดซับในสีดำเผยให้เห็นไหล่มนที่ดูยั่วยวนและกระดูกไหปลาร้าที่งดงามของหล่อน ไปจนถึงการใส่ถุงน่องข้างใต้นั้น


แรงดึงดูดทางเพศของหล่อนร้ายแรงมากจนเห็นแววความเป็นดาวยั่วของหล่อนออกมาได้เลย


“อืม…ส่วนเรื่องคุณชินซังยงน่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ”


“พอจะทราบหรือเปล่าครับว่าเขาอยู่ที่ไหน”


“แน่นอนค่ะ เขาเป็นคนในทัพของฉันนี่คะ และฉันเองก็ให้ความสนใจกับสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ทุกคนอยู่แล้วด้วย…เขาคิดว่าเราจะไปถึงบาร์บาร่ากันในเร็วๆ นี้ลยดูตื่นเต้นมากเป็นพิเศษน่ะค่ะ เขาเอาแต่เดินไปนั่นไปนี่คงเพราะเขาคิดอะไรเยอะไปหมด ฉันก็แค่ปล่อยไปแบบนั้นเพราะคิดว่ามันคงจะดีกว่านะคะ”


ผมตั้งใจจะไปเจอเขาตัวต่อตัวในวันพรุ่งนี้ แต่ถ้ามันเป็นตามที่หล่อนพูดก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นนิสัยของเขาที่ก็พอจะเข้าใจได้


นี่ฉันเองก็ไม่ได้รู้จักคนคนนี้จริงๆ สินะ


ในทีแรกผมคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้เล่นที่ชอบคุยโวโอ้อวดไปเรื่อยเปื่อย แต่ผมก็ได้มองเห็นเขาในมุมใหม่ๆ ในเรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายหรือความสามารถในการจัดการกับบรรยากาศรอบๆ ตัว ดูเหมือนว่าผมคงต้องมองเขาใหม่เสียแล้ว


“แต่อย่างไร ถ้าเขากลับมาฉันจะบอกเขาให้นะคะว่าแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาหา”


“ขอบคุณครับ”


ความเงียบปกคลุมอยู่สักครู่หลังจากที่ผมพูดจบ ไม่รู้ว่าทำไมแต่ความเงียบนี้ดูน่าอึดอัดแปลกๆ ผมจึงตัดสินใจพูดขึ้นมาก่อน


“ลอร์ดแห่งเผ่าหอคอยแห่งเวทมนตร์ คุณบอกว่ามีอะไรสงสัยเกี่ยวกับผมไม่ใช่เหรอครับ”


ใช่แล้วล่ะ ผมได้เจอซอนยูลในขณะที่หล่อนกำลังเดินตรวจตราเหล่าคนในทัพอยู่ใกล้ๆ กับเต็นท์ของคิมฮันบยอล และเพราะหล่อนถามผมว่า ‘ไหนๆ ก็มาแล้ว จะไม่ไปคุยกันสักหน่อยหรือคะ’ นั่นจึงทำให้ผมได้เข้ามาอยู่ในเต็นท์ส่วนตัวของหล่อนเช่นนี้อย่างไรล่ะ


“เรียกฉันแบบสบายๆ ก็ได้ค่ะ และใช่ค่ะ อย่างที่ฉันได้พูดไปเมื่อสักครู่นี้ ฉันรู้สึกสนใจสมาชิกของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ทุกๆ คนอย่างสุดซึ้งเลยค่ะ”


ซอนยูลเงียบไปสักพักคงเพราะหล่อนกำลังคิดถึงสิ่งที่จะพูดอยู่ จากนั้นจึงเริ่มพูดออกมาอย่างแผ่วเบา


“ถึงจะบอกว่ามีเรื่องสงสัย…แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกค่ะ”


“สงสัยอะไรเหรอครับ”


“ฉันเพียงแค่สงสัยในสิ่งที่คนทั่วไปสงสัยกันน่ะค่ะ สงสัยนู่นนี่ไปหมด จะเป็นคนแบบไหนกันนะ เรื่องที่ว่าเป็นน้องชายแท้ๆ ของแคลนลอร์ดแฮมิลนี่จริงหรือเปล่า คุณค้นพบซากโบราณสถานมากมายในเวลาอันสั้นได้อย่างไร ทักษะที่คุณใช้จนสามารถจับแพคซอยอนเป็นเชลยได้แม้ว่าจะเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์คืออะไร คุณคว้าตัวโกยอนจูที่เตร็ดเตร่พเนจรไปเรื่อยมาอยู่ด้วยได้อย่างไร เป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างในข่าวลือจริงๆ หรือเปล่า อะไรพวกนั้นน่ะค่ะ ลองมาคิดกลับกันดู แล้วเมอร์เซนต์นารี่ลอร์ดไม่มีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับฉันบ้างเลยหรือคะ”


อะไรนะ


ออกตัวมาอย่างดีแต่ก็รู้สึกเหมือนตกม้าตาย แต่สีหน้าของซอนยูลก็จริงจังเกินกว่าที่ผมคิดว่าหล่อนจะยั่วโมโหผม ผมจึงตอบออกไปพร้อมๆ กับความสงสัยที่เกิดขึ้นมา


“อืม ผมแค่รู้สึกว่าคำพูดที่ผมได้ยินมันแปลกๆ นิดหน่อยน่ะครับ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ผมเองก็มีข้อสงสัยเช่นกัน แต่เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งหมดเลยครับ”


“ตายจริง ความสงสัยมันก็เกิดขึ้นมาด้วยตัวของมันเองนั่นแหละค่ะ ฮ่าๆ ฉันขอฟังสิ่งที่คุณสงสัยเกี่ยวกับฉันก่อนจะได้ไหมคะ ถึงแม้จะเป็นเรื่องไม่ดีฉันก็เข้าใจค่ะ”


“ผมแค่…รู้สึกว่าผมไม่ค่อยเข้าใจคนเท่าไรน่ะครับ”


“ทำไมล่ะคะ ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นได้”


เมื่อผมบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ ซอนยูลก็จ้องผมเขม็ง ผมจมอยู่กับความคิดตัวเองสักพัก ก่อนจะค่อยๆ พูดตอบหล่อนออกไป


“ไม่ว่าจะเป็นตอนประชุม ตอนรับฟังเรื่องราวมาจากสมาชิกในเผ่า หรือแม้แต่ตอนที่คุยกับพวกเร่ร่อนเมื่อครั้งที่แล้ว”


“สมาชิกเผ่าของเมอร์เซนต์นารี่น่ะหรือคะ พวกเขาอะไรคะ คุณพอจะบอกฉันทั้งหมดเลยได้หรือเปล่า ฉันสงสัยค่ะ”


ช่างเป็นผู้หญิงขี้สงสัยจริงๆ ไม่สิ เพราะเป็นนักมายากลสินะ


ผมได้แต่ยิ้มแห้งในใจให้กับคำถามที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของหล่อน แต่เพราะอายุของผมก็มากพอที่จะแบ่งปันเบาะแสแล้วผมจึงตอบหล่อนไปให้มากที่สุดเท่าที่ผมรู้


“ผมได้ฟังมาว่าคุณดูแลพวกเขาดีมากครับ ทั้งคอยแนะนำนั่นนี่ให้ ดูไพ่ให้ หรือแม้แต่คุยอะไรเรื่อยเปื่อยก็ด้วย แล้วยังบอกว่าคุณเหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ อีกด้วย ยังไงผมก็รู้สึกขอบคุณกับทุกสิ่งที่คุณทำให้พวกเขาครับ”


“อ้า คุณกำลังพูดถึงฮายอนกับวิเวียนสินะคะ ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เพราะฉันก็รู้สึกถูกใจทั้งสองคนเลยอยากจะสนิทด้วยเท่านั้นเองค่ะ เพราะแบบนั้นก็เลยดูดวงให้…อ้า”


ตอนที่ 12

โดย

ProjectZyphon

ในตอนนั้นเอง ซอนยูลก็ทำสายตาราวกับว่าหล่อนพอจะเข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้ว และแล้ว หล่อนที่พยักหน้าขึ้นลงพร้อมพูดต่อก็เงยหน้าขึ้นกะทันหันเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก


ผ่านไปเช่นนั้นประมาณหนึ่งนาทีก่อนที่หล่อนจะค่อยๆ พูดออกมาช้าๆ


“อืม แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ลอร์ด”


“ครับ”


“การพูดกับคุณแบบนี้มันก็ค่อนข้างจะมากไปหน่อยแต่…แต่ฉันอยากจะถามคุณอย่างหนึ่งค่ะ คุณวิเวียนเป็นชาวเมืองใช่ไหมล่ะคะ คือว่า คุณมีสัญญาอะไรกับเธอหรือเปล่าคะ”


ผมไม่รู้ว่าจู่ๆ ทำไมหล่อนถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาแต่ผมก็ตัดสินใจตอบออกไปตามความจริง เพราะสีหน้าที่จริงจังมาตั้งแต่เมื่อสักครู่ของซอนยูลทำให้บทสนทนาดูมีน้ำหนักขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


“ใช่แล้วครับ”


“อืม โล่งอกไปทีค่ะ แต่เพื่อเป็นการเผื่อไว้ก่อน คุณควรดูสัญญาดีๆ นะคะ แล้วก็…”


ความเงียบกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดหากเทียบกับคำถามเมื่อสักครู่ที่ถามต่อแบบสบายๆ แต่เพราะฝั่งตรงข้ามคืออีกฝ่าย ผมจึงได้แต่ทนอยู่ข้างใน


โชคดีที่ความเงียบคงอยู่ไม่นานนัก เพราะซอนยูลที่ดูลังเลอยู่สักพักได้ตัดสินใจแล้วในที่สุด


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ฉันกังวลอยู่นิดหน่อยนะคะ แต่คิดว่าบอกคุณไว้คงจะดีกว่า ระวังคุณวิเวียนไว้ก็ดีนะคะ”


“ครับ? หมายความว่าอย่างไรครับ”


“ฉันได้ดูดวงให้คุณวิเวียนเมื่อครั้งที่แล้วค่ะ ผลคำทำนายมันออกมาไม่ค่อยดีเท่าไรน่ะค่ะ”


“คุณพอจะบอกคำทำนายผมหน่อยได้ไหมครับ”


มันอาจจะดูเป็นคำขอที่มากเกินไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นซอนยูลก็พยักหน้าตอบรับอย่างเต็มใจ


“ในเมื่อฉันเป็นคนเริ่ม ฉันก็ต้องพูดให้จบสิคะ แต่แลกกันนะคะ คุณต้องเก็บเป็นความลับห้ามบอกวิเวียนนะคะ”


“แน่นอนครับ”


และแล้วเรื่องราวของซอนยูลก็เริ่มขึ้นพร้อมกันกับคำตอบที่หนักแน่นจากผม


“การดูไพ่นั้น หลายคนอาจจะมองว่าเพื่อความสนุก แต่มันก็คลุมเครือมากพอสมควรเช่นกันค่ะ แต่ในบางครั้งมันก็แม่นยำจนน่าใจหาย”


“เรื่องความคลุมเครือนั่นผมว่ามันขึ้นอยู่การตีความนะครับ”


“ใช่ค่ะ ผลลัพธ์นั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความมันอย่างไร ในตอนแรกมันก็เป็นเรื่องสนุกค่ะ แต่เมื่อครั้งก่อนนั้นที่คุณวิเวียน…”


ซอนยูลหลับตาลงช้าๆ เพื่อนึกถึงคำทำนายดวงชะตาในตอนนั้น ก่อนจะพูดออกมาทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น


“มีสิ่งที่เธอต้องการอยู่อย่างหนึ่งค่ะ หากฉันจะขอเรียกมันว่าความปรารถนาจะเหมาะสมหรือเปล่านะ และความปรารถนานั้นก็เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ อย่างแรง แรงมากๆ เลยล่ะค่ะ”


“ถ้าเป็นความปรารถนาล่ะก็…”


“เรื่องนั้นฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ…แต่ความเป็นไปได้ที่ความปรารถนานั้นจะสัมฤทธิ์ผลมีสูงมากเลยนะคะ และเมื่อคุณวิเวียนได้ตามที่เธอปรารถนาแล้ว…”


พอมานึกดูแล้ว ตอนนั้นเพราะมีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นมา ผมจึงหยุดพูดเรื่องนั้นไปก่อนที่จะได้ฟังจากวิเวียนเสียอีก ดังนั้นผมจึงตั้งใจจดจ่อกับคำพูดของซอนยูลมากกว่าเดิม


“ความจริงแล้วตั้งแต่นี้ไปฉันก็ไม่รู้แล้วนะคะ แต่ว่าฉันจะบอกคุณตามที่ไพ่ได้ทำนายไว้ก็แล้วกันค่ะ”


“ครับ”


“ทั้งสองคน ต่างก็ไม่ใช่ตัวของตัวเอง”


“ครับ?”


ทั้งสองคำ ‘ครับ’ กับ ‘ครับ?’ นั้น ถึงจะเป็นคำเดียวกันแต่ความหมายต่างกันไปตามน้ำเสียงของผม ซอนยูลเองก็ดูจะรู้สึกได้ จึงลืมตาขึ้นมาก่อนจะเลียริมฝีปาก


“ฉันบอกคุณไปแล้วใช่ไหมล่ะคะว่าคำทำนายนั้นขึ้นอยู่กับการตีความ? สามารถตีความคร่าวๆ ว่าสูญเสียความเป็นตัวเองก็ได้เช่นกัน แน่นอนค่ะว่ามันสามารถตีความได้อย่างอิสระ แต่ฉันว่าความหมายของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”


มะ ไม่ใช่ตัวของตัวเองในตอนนี้เหรอ


จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่คลุมเครือแต่ก็ไม่แปลกใหม่กำลังเข้ามาหาผม พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนว่าผมจะพอจับความรู้สึกได้บ้างแล้ว


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


ในตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงของซอนยูลกำลังเรียกชื่อผมอยู่ตรงหน้า หล่อนเอาไพ่สำรับหนึ่งออกมาจากแขนก่อนจะค่อยๆ ยกมันขึ้นมา


“ไหน ๆ เราก็พูดเรื่องนี้กันแล้ว ให้ฉันดูดวงให้แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่บ้างดีไหมล่ะคะ”


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ


ตามมาด้วยการสับไพ่ระดับสูงอย่างชำนิชำนาญ


หลังจากที่สับไพ่อย่างง่ายๆ เสร็จแล้ว ซอนยูลก็เอียงศีรษะของหล่อนเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา


“คุณมีอะไรสงสัยหรือไม่?”


นี่เธอบอกให้ฉันดูดวงอย่างนั้นเหรอ


คำเสนออย่างมีไมตรีของซอนยูลทำให้ผมเกิดรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที แต่พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว ผมดันนึกเรื่องที่สงสัยไม่ออกนี่สิ


“ไม่รู้สิครับ ผมไม่มีอะไรสงสัยเลย…เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ”


“ตายจริง นี่คุณกำลังปฏิเสธฉันเหรอคะ”


“ไม่ได้ปฏิเสธครับแต่ว่า…คือผมไม่รู้จะถามอะไรจริงๆ ครับ ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณสำหรับน้ำใจของคุณนะครับ”


“อย่าทำแบบนี้สิคะ ลองดูสักครั้งเถอะค่ะ เพราะคุณอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็ได้นะคะ เพราะฉันไม่ค่อยคุยเรื่องอะไรพวกนี้กับพวกผู้ชายเท่าไร”


ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่านะ ที่รู้สึกว่าน้ำเสียงของซอนยูลฟังดูทิ่มแทงแปลกๆ


ไม่หรอก ผมว่าผมเข้าใจไม่ผิดแน่ เพราะสีหน้าหล่อนมีแววบึ้งตึงคงเพราะหล่อนไม่คิดว่าผมจะปฏิเสธนั่นแหละ จากการที่ท่าทางโอบอ้อมอารีของหล่อนเมื่อสักครู่ค่อยๆ หายไปนั้น ดูเหมือนว่ามันจะทำให้หล่อนเจ็บปวดพอควรเลยทีเดียว


“คุณเล่นพูดมาขนาดนี้แล้วนี่…หากผมปฏิเสธอีกก็คงเป็นการเสียมารยาทแย่เลยนะครับ เข้าใจแล้วครับ งั้นมาลองดูกันสักตั้งก็ได้”


“ได้เลยค่ะ คุณคิดดีแล้วล่ะค่ะ คิดเสียว่าเป็นเรื่องสนุกๆ ไปแล้วกันนะคะ เพราะมันใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ”


พอเห็นว่าท่าทางเมื่อก่อนหน้านี้กลับคืนมาแล้ว ผมก็รู้สึกว่าผมคิดถูกแล้วที่เปลี่ยนใจ


“ฟู่ววว นานแล้วเหมือนกันนะที่ฉันไม่ได้ดูดวงให้ผู้ชายเนี่ย…”


ซอนยูลบ่นพึมพำกับตัวเองพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะเริ่มสับไพ่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ


หล่อนสับไพ่พร้อมกับเสียงสับไพ่ที่ต้องมาคู่กันเสมอ เมื่อสักครู่หล่อนเป็นคนพูดเองแท้ๆ ว่าให้คิดว่าเป็นเรื่องสนุกๆ แต่กลับระมัดระวังกับการใช้มือสับไพ่มากทีเดียว


ขณะที่กำลังมองขั้นตอนการเตรียมตัวดูดวงของหล่อน ผมก็เกิดคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง


“แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ครับ แล้วทำไมคุณถึงไม่ดูดวงให้ผู้ชายล่ะครับ”


“อ๊ะ เรื่องนั้นน่ะหรือคะ”


หล่อนกำลังตั้งใจมากจนผมลังเลว่าควรถามหล่อนดีหรือไม่ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่หล่อนตอบกลับมาด้วยเสียงนิ่งๆ หล่อนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาก่อนจะพูดต่อ


“เมื่อก่อนฉันก็เคยดูให้โดยที่ไม่แยกเพศว่าชายหรือหญิงนะคะ แต่เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดีเกิดขึ้น จากนั้นฉันก็เลี่ยงที่จะดูให้ผู้ชายไปเลยน่ะค่ะ”


“เหตุไม่ค่อยดีหรือครับ”


“ค่ะ เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนยังเป็นชั้นผู้น้อยก่อนที่จะได้รับคลาสลับน่ะค่ะ มันเป็นช่วงที่ฉันใช้ชีวิตอย่างยากลำบากโดยการทำงานพิเศษรับดูดวงจากไพ่ที่ทำขึ้นมาเองง่ายๆ เพราะไม่มีเงินค่ะ ยังคงจำได้ดีเลยนะคะ ทันทีที่เขาเห็นฉัน เขาก็พูดขึ้นมาเลยว่า ‘เธอนี่ดูดวงดีเลยนะเนี่ย’ พูดแบบนี้….”


ฮะ? แค่นี้น่ะนะ?


ก็ดูดวง ก็ไม่ได้มีอะไรผิดนี่ แต่ผมกลับลบความรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับน้ำเสียงของหล่อนออกไปไม่ได้


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!


ในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกว่าเสียงสับไพ่ของซอนยูลมันฟังดูแรงขึ้นกว่าเดิม ดวงตาของหล่อนเบิกโตขึ้น ดูเหมือนการรื้อฟื้นความทรงจำในวันนั้นจะทำให้ในใจหล่อนเดือดเหมือนโดนต้มเลยเชียว


เวลาผ่านไปเล็กน้อย เสียงสับไพ่จึงกลับมาสู่สภาวะปกติเหมือนก่อนหน้านี้ และในขณะเดียวกันนั้น ซอนยูลก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง


“จู่ๆ เขาก็ถอดกางเกงออกค่ะ”


“…?”


ผมรู้สึกสงสัยเพราะอยู่ๆ หล่อนก็พูดแบบนั้นออกมา ผมได้ยินว่าดวงนะ แต่ใบหน้าหล่อนยังคงนิ่งเรียบอยู่เช่นนั้นแล้วหล่อนก็กำลังจดจ่ออยู่กับการสับไพ่ จึงไม่มีช่องว่างพอจะให้ผมพูดหยอกเล่นอะไรได้เลย


นี่เธอพูดจริงหรือเปล่า


ขณะที่กำลังเกิดความสับสนเล็กๆ ในหัวผมนั้นเอง เรื่องราวของซอนยูลก็ได้ดำเนินต่อไป


“พอมาคิดดูแล้ว เขาไม่ได้พูดถึงดวงหรอกค่ะ เขาพูดถึงอย่างอื่นค่ะ เขาหมายถึงขอดูหน้าอกฉันน่ะค่ะ”


“อะ ไอ้บ้านั่น แล้วคุณทำอย่างไรต่อล่ะครับ”


“จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ ผู้เล่นชั้นผู้น้อยจะไปมีอำนาจอะไรกัน ฉันก็แค่ทำตามที่เขาบอกให้ทำไปง่ายๆ นั่นล่ะค่ะ”


“…ครับ?”


หล่อนเล่าเรื่องแบบนี้ออกมาอย่างใจเย็นได้อย่างไรกัน ผมได้แต่มองหล่อนอย่างว่างเปล่า หล่อนหยุดมือนั้นลงเมื่อสับไพ่ทั้งหมดเสร็จแล้ว


“…”


“…”


ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก


ในขณะนั้นเอง ซอนยูลผู้วางไพ่ลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงก็ค่อยๆ พูดขึ้นมาอย่างใจเย็น


“ล้อเล่นน่ะค่ะ อย่าทำหน้าเคร่งเครียดแบบนั้นสิคะ”


“อะไรนะ…”


ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกมา ซอนยูลก็ใช้แขนของหล่อนที่วางอยู่บนไพ่วาดไพ่ออกมาเป็นครึ่งวงกลมอันใหญ่ ก่อนจะหยิบนาฬิกาทรายออกมาจากด้านข้างกองไพ่รูปพัดพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุม


“เฮ้อ เรามาเริ่มกันเลยดีไหมคะ คุณบอกว่าไม่มีอะไรจะถาม ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอดูให้คุณตามอำเภอใจเลยแล้วกันนะคะ”


“แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ครับ”


“อ้อ ไม่ต้องไปสนใจเจ้านาฬิกาทรายนี่หรอกค่ะ นี่น่ะ เป็นเพียงเครื่องมือที่ไว้ช่วยในการดูดวงเท่านั้นเองค่ะ”


เป็นผู้หญิงที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันจริงๆ


ตอนที่ 13

โดย

ProjectZyphon

อาจเป็นเพราะความตึงเครียดถูกทำให้คลายลงในรวดเดียว ผมจึงปล่อยลมหายใจออกมาผ่านทางริมฝีปากอย่างอ่อนเพลีย ผมจ้องมองซอนยูลอย่างพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้นะว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกเหมือนจะเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหล่อน


“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่ตอนนี้ไปฉันจะอธิบายวิธีการให้คุณฟังนะคะ มันง่ายมากเลยล่ะค่ะ”


“ครับๆ ตามที่คุณต้องการเลย”


จู่ๆ ไม่รู้ทำไมผมกลับคิดว่าซอนยูลที่กำลังพูดอย่างสบาย ๆ น่ารำคาญขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะแบบนั้นเสียงที่ผมตอบกลับไปจึงมีความกระด้างอยู่เต็มเปี่ยมซึ่งแม้แต่ผมเองยังรู้สึกได้


“คิก คุณเห็นไพ่ที่วางแผ่อยู่ตรงนี้ใช่ไหมคะ ให้คุณเลือกมาเพียงใบเดียวจากในนี้ได้เลยนะคะ”


“…แค่นั้นเหรอครับ”


“ค่ะ ส่วนใหญ่แล้วจะจบกันที่สิบสองใบ แต่ก็มีบางที่ที่เป็นแบบอื่นด้วยเหมือนกันค่ะ แต่ขอเพียงให้คุณช่วยรักษาสามสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดตั้งแต่นี้ต่อไปด้วยนะคะ หยิบหนึ่งใบต่อหนึ่งครั้ง และเมื่อฉันบอกให้คุณหยุด คุณก็ต้องหยุดดึงไพ่ออกมาทันทีนะคะ ส่วนสุดท้าย คือให้คุณวางไพ่ที่เลือกมาจากทางซ้ายก่อนโดยเรียงลำดับตามที่เลือกค่ะ”


“อ่า ครับ”


หลังจากได้ยินที่หล่อนพูด ผมก็รู้สึกเหงื่อตกขึ้นมานิดหน่อย แน่นอนว่าในตอนแรกหล่อนบอกกับผมว่าเพื่อความสนุก และกับผมเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีความหมายอะไรกับตัวเองอยู่แล้วด้วย แต่ดูเหมือนผมกำลังคาดหวังกับเรื่องเดิมที่รู้อยู่แล้วอย่างไม่รู้ตัวเลย


ดังนั้นผมจึงพยายามทำใจให้สบาย แล้วเลื่อนมือไปยังไพ่ที่อยู่ในสายตา แต่เมื่อผมกำลังจะหยิบไพ่ใบหนึ่งขึ้นมานั้นเอง จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในหัว


“ว่าแต่อันนี้มันเป็นดวงเกี่ยวกับเรื่องอะไรหรือครับ”


“ก็แค่ดูเป็นเรื่องกว้างๆ ทั่วๆ ไปก็ได้ค่ะ”


ซอนยูลตอบกลับมาอย่างชัดเจน


ผมสงสัยอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเลือกมาหนึ่งใบอย่างแผ่วเบาขณะที่เฝ้าสะกดจิตตัวเองด้วยคำว่า ‘สนุก’ อยู่ไม่หยุดไม่หย่อน


จากนั้นซอนยูลก็พยักหน้าขึ้นลง


“ฉันจะดูไพ่ทีเดียวหลังจากที่คุณเลือกหมดแล้วค่ะ หมุนไพ่กลับหัวแล้วเริ่มวางจากทางซ้ายก่อน เชิญเลือกต่อไปได้เลยค่ะ”


ผมพยักหน้าหลังจากได้ฟังคำยืนยันจากซอนยูล และเริ่มเลือกไพ่ออกมาทีละใบ


หนึ่งใบ, สองใบ, สามใบ, สี่ใบ, ห้าใบ, หกใบ


ผมดึงไพ่ออกมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อผมกำลังจะเลือกไพ่ใบที่สิบสามออกมาหลังจากใบที่สิบสองนั้นเอง ผมก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ มองมาจากข้างหน้าผม ผมจึงหยุดเลือกแล้วเงยหน้าขึ้นมองและผมก็ได้เห็นซอนยูลที่เอาแต่มองไพ่สลับกับนาฬิกาทรายมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว


ถ้าหากมีจุดหนึ่งที่ต่างจากเมื่อครู่นี้ก็คงเป็นสายตาของซอนยูลที่กำลังฉายแววตระหนกแปลกๆ


อยู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกและพอหันไปมอง ผมก็เห็นนาฬิกาทรายที่มีทรายลดลงลงกว่าเมื่อสักครู่มากทีเดียว หากเทียบกับในตอนแรกน่าจะลดลงประมาณสี่ในห้าได้หรือเปล่านะ


ผมเริ่มขยับมืออีกครั้ง และเมื่อไพ่ที่ถูกวางอย่างเป็นระเบียบมาถึงประมาณใบที่สิบห้าได้ ในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงห้ามจากซอนยูลดังขึ้นมา


“พะ พะ พอได้แล้วค่ะ!”


เสียงของซอนยูลสั่นอย่างเห็นได้ชัดขนาดที่ฟังแวบแรกก็รู้สึกได้ ผงแป้งที่เคยอยู่ในนาฬิกาทรายจนเต็ม ตอนนี้ลงมาอยู่ตรงส่วนล่างของนาฬิกาทั้งหมดแล้ว


ซอนยูลหายใจเข้าออกเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่หล่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นน้อยกว่าเมื่อครู่มาก


“สะ สิบห้าใบเลยนะคะเนี่ย ฉันก็เพิ่งเคยเห็นคนที่ดึงไพ่ออกมาได้เยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยค่ะ ถึงอย่างนั้น…ฉันก็สงสัยจริงๆ ค่ะ งั้นเริ่มเปิดสี่ใบแรกจากทางซ้ายก่อนเลยได้ไหมคะ”


หล่อนเคยพูดไว้ตั้งแต่ทีแรกว่าคนส่วนใหญ่เขาจบกันที่สิบสองใบหรือเปล่านะ? แต่เอาเถอะ ในเมื่อหล่อนก็พูดว่ามีบางทีที่ไม่เป็นอย่างนั้นนี่นา ผมจึงเปิดไพ่สี่ใบจากทางซ้ายขึ้นมา


จากนั้นบนโต๊ะก็มีไพ่ที่วาดเป็นรูปแอ่งเลือดขนาดใหญ่และข้างในนั้นก็มีผู้ชายที่กำลังคร่ำครวญหวนไห้อยู่, นาฬิกาที่หมุนกลับหัวกลับหาง, เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้สิ่งของสีดำ, และชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่เพียงลำพังในภาพทิวทัศน์โดยมีดาบเสียบอยู่ที่หน้าอก วางเรียงอยู่ตามลำดับ


สิ่งหนึ่งที่พิเศษออกมาก็คือที่ด้านล่างของไพ่ทั้งสี่ใบนั้น มีตัวหนังสือตัวเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวถูกเขียนเอาไว้ด้วย


ซอนยูลมองพิจารณาไพ่ทีละใบๆ ด้วยความตั้งใจ ก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมา


“อะ อืม ยากจังเลยค่ะ แต่ฉันจะพยายามตีความให้คุณฟังทีละใบช้าๆ นะคะ แอ่งเลือด หมายถึง คุณเกิดมาพร้อมกับดวงชะตาที่ยากลำบาก นาฬิกาที่หมุนกลับหัว หมายถึง แต่ในดวงชะตานั้นกลับมีอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้แทรกซึมอยู่ภายใน เปลวเพลิงลุกไหม้สว่างไสว ผลโดยรวมของไพ่ที่แล้วๆ มาจะต้องอยู่ที่ไพ่นี้นะคะแต่ว่า…ยุคโบราณ, โลก? ฉันไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่น่ะค่ะ และใบสุดท้ายชายคนสุดท้ายในโลกผู้ถูกดาบแทงที่อก ไพ่ใบแรกจะผ่านใบที่สองและสาม แล้วจึงจะเปลี่ยนเป็นใบที่สี่นะคะ”


“ไพ่ใบสุดท้ายหมายความว่าอย่างไรหรือครับ”


เพราะคำถามของผม ซอนยูลถึงกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ


“หากตีความให้สอดคล้องกับไพ่สามใบก่อนหน้า…สองปัจจัยหลักของคุณจะถูกรบกวนและผลของมันก็คือ ดวงชะตาของคุณจะพลิกผันกลับไปในทางตรงกันข้ามค่ะ ไพ่เปลวเพลิงลุกไหม้นี้หมายถึงยุคโบราณและโลก ซึ่งคุณกำลังได้รับความโปรดปรานจากโลกเป็นพิเศษค่ะ”


“ความโปรดปรานหรือครับ”


“ค่ะ แต่ก็ต้องระวังเอาไว้ด้วยนะคะ เพราะมันไม่ใช่ความรักความโปรดปรานแบบไม่มีเงื่อนไข คุณเห็นไพ่ชายหนุ่มที่ถูกดาบปักอกนี่ใช่ไหมคะ นี่มีความหมายว่าดาบสองคมอย่างไรล่ะคะ ดังนั้นหากคุณทำผิดพลาดล่ะก็…”


พอซอนยูลละคำพูดสุดท้ายเอาไว้ ผมก็รู้สึกหวิวๆ ในใจขึ้นมา ผมกะพริบตาปริบๆ อยู่พักหนึ่งแล้วจึงกระแอมในคอครั้งสองครั้ง


“อะแฮ่ม สนุกดีนะครับ ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็เปิดอีกสี่ใบใช่ไหมครับ”


“ค่ะ”


ผมพลิกไพ่อีกสี่ใบถัดมาอย่างรวดเร็วเพราะอยากจะผ่านสี่ใบก่อนหน้าไปให้เร็วที่สุด และในครั้งนี้ไพ่ดูจะซับซ้อนมากทีเดียว เพราะในไพ่แต่ละใบต่างก็มีรูปที่ดูซับซ้อนอยู่ใบละหลายรูป


ผมเลื่อนสายตาไปยังไพ่ใบแรก


ไพ่ใบแรกถูกแบ่งออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมสี่ส่วนเท่าๆ กัน มีหญิงสาวสวยถูกวาดเอาไว้ช่องละหนึ่งคน และมีรูปพื้นหลังที่แสดงบรรยากาศวาดไว้อยู่รอบๆ ตัวของหญิงสาว


เลือดและเหล็กกล้า ดาบที่ดูงดงามแต่เต็มไปด้วยบาดแผล และสุดท้าย…คืออะไรน่ะ? แสงสว่างหรือเปล่า?


ในบรรดานั้น หญิงสาวที่อยู่ตรงมุมขวาล่างดูโดดเด่นออกมามากที่สุด พื้นหลังแสดงบรรยากาศที่ดูขลังและน้ำตาเลือดที่กำลังไหลออกจากดวงตาของหล่อน ซึ่งแตกต่างไปจากหญิงสาวคนอื่นๆ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความรู้สึกที่สดใสแน่ ถึงแม้จะมีแสงสว่างอยู่ที่พื้นหลังก็ตาม แต่กลับเป็นรูปที่ให้ความรู้สึกเศร้าสลดต่างหาก


ส่วนไพ่ใบที่สองถัดมานั้นผมไม่สามารถอ่านมันได้เลย เพราะตัวรูปวาดเองก็เล็กมากจนยากที่ผมจะเข้าใจได้ และยังมีรูปวาดอีกมากมายนับไม่ถ้วนทั้งมนุษย์, สัตว์, ดาบและมังกรบิน เป็นต้น


ไพ่ใบที่สาม ถึงแม้จะมีรูปวาดน้อยกว่าแต่กลับดูซับซ้อนมากกว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เด็กทารกคนหนึ่งถูกวาดเอาไว้ตรงกลางไพ่ รอบตัวของหนูน้อยมีเปลวเพลิงที่มีประกายไฟแดงแจ๋พันหุ้มรอบหนูน้อยอยู่อย่างน่าหวาดเสียว ผมรู้สึกคุ้นเคยกับเปลวเพลิงทั้งสองอย่างไรก็ไม่รู้สิ แต่พอมองไปที่ประกายไฟสีแดงนั้นมันกลับทำให้ผมรู้สึกแย่ลงอย่างไรชอบกล


แต่ก็ยังถือว่าโชคดี(?) ล่ะนะ ที่ไพ่ใบที่สี่นี้ถ้าเทียบกับสามใบแรกดูจะง่ายกว่าพอสมควรเลยทีเดียว เพราะมันมีเพียงแค่ชายสวมมงกุฎเพียงคนเดียวเท่านั้นตรงข้ามกับไพ่ใบอื่นที่ซับซ้อนกว่านี้


ผมมองไปยังซอนยูลโดยอัตโนมัติเพราะเริ่มอยากรู้ความหมายของมันแล้ว


แต่พอเห็นหน้าซอนยูลแล้วผมก็ปิดปากที่กำลังจะเอ่ยถามความหมายลงทันที เพราะสีหน้าของหล่อนที่กำลังมองดูไพ่เหล่านี้ดูสุดยอดมากๆ เลย


ไม่เหมือนกับท่าทีสุขุมและสบายๆ ในเวลาปกติ ตอนนี้หล่อนอ้างปากค้างทั้งๆ ที่ตาก็เบิกโตจนจะเท่าไข่ห่านอยู่แล้ว มีความรู้สึกมากมายหลั่งไหลออกมาจากปากที่อ้ากว้างของหล่อนอย่างกับน้ำหลากทั้งตระหนก, เหลือเชื่อ, สบสน ไม่สิ ผมรู้สึกเหมือนแบบนั้นเองต่างหากล่ะ


เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ซอนยูลถึงจะเริ่มพูดอึกๆ อักๆ ออกมา


“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ”


“ครับ”


“ทะ ทำไม ความสัมพันธ์กับสาวๆ มันถึงได้ซับซ้อนอย่างนี้ล่ะคะเนี่ย ทะ ทะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ อันนี้คืออะไรเนี่ย”


“ครับ?”


ในตอนนั้นผมอยากจะถามหล่อนกลับไปว่า ‘ทำไมถามผมอย่างนั้นล่ะครับ’ แต่สุดท้ายผมก็กลืนมันลงไป เพราะซอนยูลยังคงพูดพึมพำพร่ำบ่นอยู่กับตัวเองด้วยใบหน้าสับสนงงงวย


“ไม่สิ ก็คุณเป็นราชาก็เลยมีตั้งสี่ราชินี…โอ๊ะ หรือสามคนนะ? มีอยู่คนหนึ่งที่เอาตัวเองออกไป แหม ช่างน่าสงสารจริงๆ”


“……”


“นักเวท, นักธนู, นักบวช, แม่มดและอีกเยอะแยะ ใช่ คุณเป็นคนเอื้อเฟื้อ ฉันก็พอจะเข้าใจได้ในจุดนี้ ก็เป็นมนุษย์นี่นะ แต่…ดาบ? แมว? แมงมุม? มังกร? ไม่สิ โชคหรือเปล่า? เฮ้อ…ไม่รู้แล้ว ไม่นะ แล้วดาบมันจะมารักมนุษย์ได้อย่างไรกันล่ะเนี่ย”


“…”


“ไพ่ใบที่สามหมายถึง…อันแรกคือเปลวเพลิงแห่งความบริสุทธิ์ อีกอันคือเปลวเพลิงแห่งการทำลาย ก็สมเหตุสมผลอยู่ที่ความบริสุทธิ์กับการทำลายจะเป็นสิ่งตรงข้ามกัน แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้แสดงให้เห็นการเกิดใหม่ของอีกชีวิตหนึ่งด้วยล่ะ…”


ผมที่ฟังอยู่นั้นรู้สึกได้เลยว่าสติของซอนยูลค่อยๆ พังลงช้าๆ อย่างน่าเจ็บปวด


จู่ๆ ผมก็เกิดสลดใจขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นโบกไปมา


“แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ พอเถอะครับ”


“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


“ถ้ามันยากก็พอก็ได้นะครับ ในเมื่อมันขึ้นอยู่กับการตีความอยู่แล้วนี่ครับ แล้วมันก็สนุกดีนะครับ”


“…”


ตอนที่ 14

โดย

ProjectZyphon

แม้ซอนยูลจะดูขัดแย้งอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายหล่อนก็พยักหน้าลงช้าๆ ถึงอย่างนั้นรอยสีแดงระเรื่อบนใบหน้าหล่อนก็ทำให้เห็นว่าหล่อนเองก็คงจะอายไม่น้อยเลยเหมือนกัน


“ฉะ ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ ไพ่ของฉันเป็นไพ่เวทมนตร์รูปแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันเลยออกมาแตกต่างกันไปตามสถานการณ์น่ะค่ะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มันออกมาแบบนี้…มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยค่ะ ถะ ถ้าอย่างนั้นอีกสี่ใบที่เหลือ ไม่สิ หรือเจ็ดใบ…”


“ก่อนอื่นใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ไพ่ที่เหลือหมายความว่าอย่างไรบ้างหรือครับ”


เมื่อผมโบกมืออีกครั้งซอนยูลก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับว่าหล่อนหลุดออกมาจากความคิดวุ่นวายของตัวเองได้แล้ว


“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นใบที่เหลือนะคะ…สี่ใบต่อไปจากนี้คือสิ่งที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ต้องการค่ะ หมายถึงจะมองว่าเป็นการทายอนาคตรูปแบบหนึ่งก็ได้นะคะ แล้วก็อีกสามใบที่เหลือก็คือ…ก่อนอื่นเลยเราสามารถมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนหรือการตีความเพิ่มเติมก็ได้ แต่ฉันว่าต้องเปิดก่อนจึงจะรู้ค่ะ”


“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะครับ”


“คะ?”


แม้จะรู้ดีว่ามันอาจจะเป็นการเสียมารยาทแต่ผมก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน หากมันเป็นเรื่องอื่นผมก็คิดจะฟังต่อแต่หากมันเกี่ยวกับอนาคต นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง


ถ้าให้พูดกันตามตรงผมเองก็สงสัยเหมือนกัน แต่เพราะตั้งแต่ที่ผมรู้ว่าอนาคตเปลี่ยนไปแล้วผมก็ได้สาบานเอาไว้ข้อหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากผมดูไพ่ต่อ มันอาจจะทำให้ใจผมสั่นอีกก็ได้


“ชุดแรกคือดวงชะตาของผม ชุดที่สองคือดวงความรัก แค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ ผมว่ามันคงจะดีกว่าที่จะไม่รู้อนาคต”


“…”


“ผมว่ามันคงจะดีกว่าหากผมจะเดินไปข้างหน้าด้วยความคิดแรกของผมเองไม่ใช่เพราะได้รับอิทธิพลจากเรื่องในอนาคตน่ะครับ”


“ใช่ค่ะ…ใช่แล้วค่ะ เพราะอนาคตคือสิ่งที่เราเป็นผู้ริเริ่มนี่คะ แน่นอนว่าอาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่เราต้องการไปบ้างก็ตาม ฉันเข้าใจค่ะ ถ้านี่คือสิ่งที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่หมายถึง ฉันจะหยุดเพียงเท่านี้ค่ะ”


แม้จะยังมีแววสับสนอยู่บ้างแต่โชคดีที่ซอนยูลเองก็เห็นด้วยกับผม


ผมพยักหน้าไปสามสี่ครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน


“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากครับแคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์”


“เฮ้อ…ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ ทั้งที่แสดงท่าทางมั่นใจแบบนั้นให้คุณเห็นเองแท้ๆ…น่าอายจริงๆ เลย”


“ผมเข้าใจความมั่นใจของคุณดีครับ แต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ ดังนั้นคุณไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ ผมขอตัวล่ะครับ”


ขณะที่ผมก้มหัวลงให้หล่อนนั้น ผมก็มองไปที่ไพ่อีกเจ็ดใบที่เหลือที่ยังไม่ถูกเปิดอยู่สักพักหนึ่ง



“ค่ะ”


แต่ในที่สุดผมก็สะบัดความอาลัยอาวรณ์ออกไปก่อนจะหันหลังเดินจากมา


วันต่อมา แม้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับผมมากมาย แต่เช้านี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเคย หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจตามกิจวัตรปกติแล้ว ผมก็ไปเข้าร่วมการเดินทัพครั้งสุดท้ายไปยังบาร์บาร่าของทางตะวันออก


เราเดินทัพผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่กันมาหมดแล้ว ไม่มีอีกแล้วทุ่งหญ้ารกร้าง ไม่มีอีกแล้วป่ารกชัฏ ถนนหนทางที่ถูกปูลาดอย่างดีและทุ่งหญ้าที่ถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บัดนี้กำลังทอดตัวกว้างใหญ่อยู่รอบตัวของเหล่าผู้เล่น


ผมเข้าประจำที่ในขบวนเดินทัพ ยกเว้นแค่ครั้งหนึ่งที่ผมเดินไปยังทัพที่สามระหว่างทาง


ตอนผมไปที่ทัพที่สามใตอนเช้า ผมก็ได้รู้แล้วว่าชินซังยงกลับมาแล้วแต่สีหน้าของเขากลับดูแย่เกินกว่าที่ผมจะเข้าไปพูดคุยด้วยได้ และแม้แต่ตัวขบวนทัพเองก็เดินห่างกันไกลมากเช่นกัน


ถึงอย่างนั้นผมก็หันหลังกลับ เพราะดูเหมือนว่าชินซังยงจะรู้ว่าผมมาหาเขา ความจริงแล้วผมได้สบตากับเขาครั้งหนึ่งด้วยซ้ำไป แต่เหมือนเขาจะคิดอะไรวุ่นๆ ในหัวอยู่ ดูจากการที่เขาก้มตัวลงอย่างสุภาพและพยายามหลบสายตาผมไป


ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจะรออีกสักหน่อยให้เขาจัดการกับความคิดของตัวเองเสียก่อน ดีกว่าบังคับให้เขาพูดมันออกมา ผมอยากจะลองเชื่อความตั้งใจจริงของชินซังยงก่อนจะเข้าร่วมทัพดูสักครั้ง


หลังจากที่ผมกลับมาประจำที่แล้ว การเดินทัพก็ได้ดำเนินต่อไป


เมื่อผมมองขึ้นไปบนฟ้า พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่ส่องลงมาก็เปลี่ยนทุ่งหญ้าให้กลายเป็นสีแดงเข้ม เราเดินข้ามผ่าแสงอาทิตย์ตัดทุ่งหญ้าออกไป


หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้เห็นถนนส่วนที่จะเชื่อมไปยังบริเวณใกล้ๆ บาร์บาร่าได้


ตามเวลาปกติแล้ว เวลานี้จะเป็นเวลาที่เหล่าผู้เล่นที่ออกไปล่าสัตว์หรือออกสำรวจจะต้องกลับเข้าเมืองขณะที่ยิ้มเล่นหรือร้องไห้ไปด้วยกัน


แต่ยามสนธยาที่ความมืดมิดกำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาทีละนิดๆ และทำให้ถนนแห่งนี้มีเพียงความเย็นยะเยือกไม่มีที่สิ้นสุด เมฆแห่งสงครามเท่านั้นที่แผ่ปกคลุมอยู่โดยรอบ


เวลายังคงหมุนไปเช่นนั้น จนในตอนที่แสงยามอัสดงกำลังย้อมสีโลกทั้งใบให้กลายเป็นสีแดงอยู่นั้นเอง


“อีกห้านาทีเราจะถึงบาร์บาร่าแล้ว! ทุกคนเตรียมตัวนะครับ!”


เงาของเมืองใหญ่ตระการตาเริ่มปรากฏให้เห็นบนที่ราบกว้างใหญ่สุดสายตาตรงหน้าผมนี้


* * *


กลางคืนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หมอกสีขาวปกคลุมอยู่รอบเต็นท์แล้วในตอนนี้


ภายในเต็นท์ที่หมอกสีขาวปกคลุมอยู่นั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้างามภายในหมอกหนานั้นดูอิดโรย แต่ดวงตาที่ลืมอยู่และฉายแววกังวลใจนั้นทำให้เห็นว่าหล่อนยังหลับไม่ลงและยังคงตื่นอยู่


“เฮ้อ”


จู่ๆ หล่อนก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา


หญิงสาวคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หล่อนคือนักมายากลไพ่ทาโร่ต์ ซอนยูลนั่นเอง หล่อนยังคงนั่งอยู่ที่เดิมที่คิมซูฮยอนเดินจากไปเมื่อคืนก่อนนี้


ซอนยูลค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงเพราะดวงตาของหล่อนเริ่มอ่อนล้าจากการไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่แล้วหล่อนก็กดสายตาลงไปมองบนโต๊ะอีกครั้ง


ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยตลอดทั้งเช้า บนโต๊ะยังคงมีไพ่วางอยู่ทั้งหมดสิบห้าใบ บ้างถูกเปิดแล้ว บ้างก็ยังคงปิดไว้ดังเดิม


“…”


นี่หล่อนทำเพียงแค่นั่งมองไพ่เงียบๆ มานานเท่าไรแล้วนะ


“ก็ได้ มาดูกัน”


เป็นเพราะคำพูดที่ออกมาจากใจที่เฝ้าคิดถึงเรื่องนี้มาตลอดทั้งคืนหรือเปล่านะ แต่เมื่อแววแห่งความสิ้นหวังวิ่งผ่านเข้ามาในดวงตาของซอนยูล หล่อนก็พูดคำนั้นออกมาในที่สุดราวกับเป็นการระบายสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาด้วย หล่อนมองไปยังไพ่ที่ไร้ความผิดเหล่านั้นก่อนจะส่งมือออกไปเปิดมันขึ้นช้าๆ


หลังจากนั้นมือสวยที่ไปถึงยังที่หมายก็เปิดไพ่ขึ้นมาอย่างไม่ลังเล หนึ่งใบ, สองใบ, สามใบ, สี่ใบ…


ด้วยเหตุนี้ไพ่ทั้งหมดสิบสองใบจึงถูกเปิดขึ้นมา


แต่แล้วมือที่กำลังจะพลิกเปิดไพ่ใบที่สิบสามก็เกิดหยุดขึ้นมาสักพัก มือที่จับอยู่ที่ปลายไพ่สั่นไหว ทำให้รู้ว่าหล่อนกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด และในที่สุดก็ดูเหมือนว่าการตัดสินใจเฮือกสุดท้ายของหล่อนจะยังไม่สมบูรณ์นัก เพราะสุดท้ายหล่อนก็เอามือออกมาจากไพ่


เมื่อเห็นไพ่ใบใหม่ที่เปิดขึ้นมา ซอนยูลก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ ไม่นานหลังจากนั้นสายตาของหล่อนก็วิ่งวุ่นกลับไปยังไพ่สี่ใบแรกสุดที่ถูกเปิดทิ้งไว้แล้ว


“…”


แต่ในคราวนี้คำทำนายกลับไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีแล้ว ซอนยูลขมวดคิ้วมุ่น


ในไพ่ใบแรก มีรูปของราชากำลังถือดาบที่ส่องประกายแวววาว


ไพ่ใบที่สอง เป็นรูปปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์


ไพ่ใบที่สาม คือราชินีผมทองผู้ประพฤติตัวเสื่อมเสีย


ไพ่ใบที่สี่ เป็นทางแยกของถนน


ซึ่งปัญหานั้นอยู่ที่ไพ่ใบที่สองและสาม


สำหรับปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์ในไพ่ใบที่สองนั้นมักจะหมายถึงอันตรายหรือวิกฤติที่จะเกิดขึ้นกับผู้เป็นเป้าหมายเดิม แต่ปีศาจในไพ่ที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นกลับมีสภาพที่น่าเวทนาเหลือเกิน ทั่วทั้งตัวมีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดไหลอาบอยู่ทั่วร่างและยังดูเหมือนว่าเขากำลังร้องขอชีวิตทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าราบอยู่กับพื้นอีกต่างหาก


ราชินีในไพ่ใบที่สามยิ่งดูไม่ได้ไปกันใหญ่ มันเป็นรูปวาดที่น่าอายเกินกว่าที่หล่อนจะพูดออกมาได้ และท่าทางของหล่อนดูแตกต่างจากเหล่าราชินีที่มีความสง่างามที่หล่อนเคยเห็นมาราวฟ้ากับเหว


และราชาที่ถูกวาดอยู่ในไพ่ใบที่หนึ่งก็กำลังจ้องมองไปที่พวกเขาพร้อมส่งรอยยิ้มเย็นยะเยือกไปให้ แล้วที่ดาบแวววาวที่เขาถืออยู่ในมือกำลังเล็งไปทางขวานี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?


“กำลังมีอันตรายที่ไม่รู้ว่าคืออะไร…เข้ามาหามนุษย์และปีศาจอย่างนั้นหรือ และผู้ประทุษร้ายก็คือพระราชา? อะไรกัน…”


หากพระราชาและปีศาจสลับตำแหน่งกัน หล่อนคงพอจะเข้าใจและข้ามไปได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นความหมายโดยทั่วไปของไพ่ต่างๆ ก็จะไม่เปลี่ยนไปมากนัก ภายในหัวของหล่อนก็ยังต้องตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะไพ่เหล่านี้กลับออกมาไกลจากสามัญสำนึกและความสมเหตุสมผลเข้าไปทุกทีแล้ว


ซอนยูลมองดูไพ่ทั้งสองต่อไปอีกสักพักก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง และดูหล่อนจะยอมแพ้ให้กับสิ่งที่หล่อนไม่อาจเข้าใจได้เสียที จากการส่ายศีรษะไปมาของหล่อนนั่นเอง


สุดท้ายแล้วดูจะมีเพียงไพ่ใบที่สี่เท่านั้นที่หล่อนพอจะเข้าใจความหมายของมัน ซอนยูลเลียริมฝีปากอย่างขมขื่น


“ทางแยก…”


ทางแยกในไพ่ใบที่สี่นั้นมีความหมายในเชิงอุปมาอุปไมยถึงสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างทางใดทางหนึ่ง


แต่มันก็เพียงเท่านี้ สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้ต่างกับการที่หล่อนไม่สามารถตีความไพ่ใบนี้ได้เลย หล่อนจะต้องตีความไพ่ทั้งสี่ใบแล้วเชื่อมโยงมันเข้าด้วยกัน จึงจะได้เป็นหนึ่งความหมาย แต่หล่อนกลับไม่สามารถทำความเข้าใจไพ่ได้เลยสักใบ เว้นก็แต่ใบนี้ใบเดียวเท่านั้น


เวลาผ่านไปสักพัก สายตาของซอนยูลยังคงจับจ้องไปที่ไพ่อีกสามใบที่ยังปิดอยู่ แม้หล่อนจะมีความกังวลให้เห็นขึ้นมาอีกครั้งแต่สุดท้ายแล้วหล่อนก็เริ่มเปิดไพ่ขึ้นมาทีละใบๆ อย่างช้าๆ


หล่อนข้ามไปยังไพ่ใบที่สิบสาม ในไพ่นั้นเป็นรูปชายคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าทั้งที่ถูกมัดอยู่


และต่อมาในใบที่สิบสี่ ก็เป็นไพ่ที่มีรูปทางแยกออกมาอีกครั้ง


“…”


ตอนนี้เป็นไพ่ใบสุดท้ายแล้วจริงๆ ซอนยูลวางมือที่สั่นเล็กน้อยลงบนริมสุดของไพ่ และแล้วหล่อนก็ค่อยๆ พลิกมันขึ้นอย่างช้าๆ ช้ามากจริงๆ


“…!”


เมื่อหล่อนได้เห็นภาพบางส่วนที่วาดอยู่บนไพ่ ดวงตาของซอนยูลที่เคยเรียวเล็กมาตลอด ก็กลายเป็นเบิกโตขึ้นมา


ตอนที่ 15

โดย

ProjectZyphon

ที่ราบของบาร์บาร่าช่วงคาบเกี่ยวระหว่างบ่ายกับเย็นกำลังมีแสงแห่งความมืดครึ้มแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืน


แน่นอนว่านั่นจะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะเหล่าผู้เล่นมีวิธีการที่เรียกว่าพลังเวทซึ่งมีประสิทธิภาพเกินกว่าความมืดจะมากีดกันการมองเห็นของพวกเขาได้


ทำไมถึงไม่เห็นใครเลยนะ


แต่ในตาเปล่าของผมที่ได้เพิ่มพลังการมองเห็นด้วยพลังเวทแล้วกลับมองไม่เห็นใครเลยสักคนเดียว ผมมองไปที่กำแพงเมืองของบาร์บาร่าอีกครั้งก่อนจะคิดด้วยความสงสัย


เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงบอกว่าอีกห้านาทีจะถึงบาร์บาร่านั้น เป็นการคำนวณระยะทางโดยใช้ลักษณะภูมิประเทศใกล้เคียงไม่ใช่คำนวณโดยระยะทางที่ห่างจากประตูใหญ่ของเมือง จากมุมมองนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าฝั่งตะวันออกได้ไปถึงบาร์บาร่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


พูดให้แน่ชัดเลยก็คือ ฝั่งตะวันออกได้หยุดเดินทัพแล้วโดยทิ้งระยะห่างจากเมืองประมาณสี่หรือห้าร้อยเมตรจากประตูเมืองแล้ว นั่นเป็นเพราะผมรู้สึกถึงเค้าลางที่ผิดปกติได้จากบริเวณโดยรอบบาร์บาร่านั่นเอง


เดิมทีแล้วแผนแรกของเราที่ได้วางเอาไว้คือหาพื้นที่ว่างแล้วตั้งฐานทัพแนวหน้าบริเวณใกล้กับประตูใหญ่ที่แต่ละทัพได้ถูกกำหนดไว้ทันทีที่เรามาถึง แต่เพราะความผิดปกติที่ยังไม่สามารถหาต้นตอได้ ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนมารอเวลาแทนอย่างช่วยไม่ได้


ผมยืนอยู่ห่างจากตรงกลางค่ายสักพักก่อนจะขยับตัวไปข้างหน้าช้าๆ


ที่ด้านหน้าทัพที่สองของเหล่านักธนูและทัพที่สามของเหล่านักเวทกำลังวิ่งวุ่นกันอยู่เลยทีเดียว และเมื่อเดินผ่านพวกเขาไปยังด้านหน้าสุด ผมก็ได้เห็นเหล่าผู้บัญชาการทัพต่างๆ เริ่มด้วยแคลนลอร์ดโครยอ มองจากสีหน้าที่ดูจริงจังเคร่งเครียดของพวกเขาแล้วก็พอจะรู้ได้ไม่ยากว่าคงจะกำลังคุยเรื่องความผิดปกตินี้กันอยู่


ความผิดปกตินั้นก็คือ…


“การตีความเวทมนตร์ไปถึงไหนแล้วครับ”


“แม้จะมีเหล่าผู้เล่นนักธนูที่มีความสามารถในการมองเห็นวิ่งไปมา…แต่คงจะตองใช้เวลาอีกสักพักเลยค่ะ”


มีกลุ่มของเวทมนตร์ขนาดมหึมาถูกวาดขึ้นรอบๆ เมือง และแม้จะยังมองไม่เห็นการสะท้อนกลับของพลังเวท แต่มันก็ต้องใช้เวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการตีความกลุ่มเวทนี้ เพราะขนาดของมันนั้นใหญ่มากจนสามารถคลุมเมืองทั้งเมืองได้


[มนตร์คาถาโบราณ : ปราการเวทป้องกันขนาดใหญ่]


แน่นอนว่าผมได้ใช้ดวงตาที่สามตรวจสอบมันเรียบร้อยแล้ว ผมเองก็ลังเลว่าควรจะบอกให้พวกเขารู้ด้วยดีหรือไม่ แต่ผมก็สะบัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะดวงตาที่สามก็เป็นหนึ่งในปราการสุดท้ายของผมแล้วเหมือนกัน มันเป็นความสามารถที่หากมีใครรู้เข้าคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน


“อะ เอ๊ะ? อะไรน่ะ”


“ทำไม นายเห็นอะไร”


“โอ๊ะ ฉันว่ามันกำลังขึ้นมาแล้วนะ”


ในตอนนั้นเอง เมื่อผมมองไปยังสนามรบโดยใช้ผู้ช่วยพิเศษของผมเองนั้น ผมก็กลับรู้สึกว่าเหล่าผู้เล่นรอบตัวผมดูยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง และเมื่อผมหันไปมองว่าเหตุใดพวกเขาจึงเป็นเช่นนั้น ผมก็ได้เห็นเหล่าผู้เล่นแหงนมองขึ้นไปบนกำแพงเมืองกันทีละคนสองคน


มีความคิดบางอย่างแล่นผ่านผมไป ผมหันไปมองที่กำแพงเมืองอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะเพิ่มพลังเวทด้วย พอผมหันไปมองบนกำแพงโดยเริ่มจากทางซ้ายไล่มา ผมก็มองเห็นกลุ่มคนอยู่ด้านบนกำแพง ในที่สุด นี่คือครั้งแรกที่พวกตะวันตกและพวกเร่ร่อนปรากฏตัวให้เราได้เห็นกัน


แม้จำนวนของเหล่าผู้เล่นที่ตามมาสมทบจะมีไม่มากเท่ากับฝั่งตะวันออก แต่มันก็ยังมากพอที่จะเติมกำแพงเมืองของบาร์บาร่าให้เต็มได้


“ไปบอกแต่ละทัพ ให้หยุดงานทุกอย่างแล้วเตรียมตัวให้พร้อม!”


การตอบสนองของแคลนลอร์ดโครยอต่อการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฝั่งตะวันตกและพวกเร่ร่อนเองก็รวดเร็วทันใจเช่นเดียวกัน เราต่างอยู่ในระยะที่สามารถสร้างความเสียหายต่อกันได้เพียงแค่ตัดสินใจ และมีความเป็นไปได้สูงว่าเหล่าผู้เล่นที่เข้าไปเพียงลำพังอาจตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยการยิงลูกศรหรือพลังเวทมาได้


เวลาผ่านไปน่าจะประมาณสิบนาทีได้


วิ้งงง!


จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังเวทมวลมหาศาลจากตรงหน้า


“จับกระแสพลังเวทได้ครับ!”


“ป้องกัน! เตรียมเวทป้องกัน! เพื่อให้ทัพที่สองสามารถยิงได้เลยหลังจากทัพที่สามกับสี่คุ้มกันแล้ว!”


ทันใดนั้น เสียงท่องมนตร์คาถาของเหล่าผู้เล่นในทัพที่สามกับสี่ก็ดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงท่องมนตร์ของเหล่าผู้เล่นนับพันที่ดังขึ้นมาพร้อมกันนั้น ฟังแล้วช่างสง่างามดังเช่นภาพที่แสนงดงามเสียจริงๆ


และในตอนนั้นเอง


หวืดดด ฟุ้บ!


[อ้าๆ ทดสอบการขยายเสียง ทดสอบการแปลภาษา เหล่าผู้เล่นทวีปทางเหนือ พวกท่านได้ยินข้าชัดเจนดีหรือไม่ครับ]


กระแสพลังเวทขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นมาเริ่มแผ่ลามออกไปเป็นวงกว้าง และในเวลาเดียวกันนั้น น้ำเสียงชัดเจนก็ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งที่ราบ


[อ้า ฉนได้ยินมาจากข้างๆ ว่าพวกคุณได้ยินผมอย่างชัดเจนเลยนะครับ ฮ่าๆ ผมคือผู้เล่นแห่งทวีปตะวันตก ไซม่อน ไครมส์นะครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับพวกคุณ ชาวทวีปทางเหนือครับ]


เสียงพูดจากกำแพงเมืองดังตัดเสียงท่องมนตร์ที่ดังขึ้นในเวลาเดียวกันลงไป


“โจซองโฮ แหล่งกำเนิดของเวทขยายเสียงอยู่ที่ไหน”


“ตรงกลางครับ แต่ท่านสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านรอยแยก…”


“เรื่องมองเห็นน่ะช่างมันก่อน นายรีบไปบอกผู้บัญชาการของแต่ละทัพให้ใจเย็นลงก่อนแล้วอย่าลดระดับการระวังภัยลงเด็ดขาด และทางเราเองก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับเวทขยายเสียงและเวทแปลภาษานี้ไว้ด้วยเช่นกัน”


“เข้าใจแล้วครับ”


ถึงแม้บทสนทนาอย่างเร่งด่วนนั้นจะมีแววตื่นตระหนกแฝงอยู่เล็กน้อย แต่มันก็ชัดเจนแล้วว่าแคลนลอร์ดโครยอเองก็ไม่ใช่ย่อยเลยจริงๆ ซึ่งตามมาตรฐานของผมแล้วผมว่ามันไม่ค่อยน่าพอใจเท่าใดนัก เพราะหากผมเป็นผู้บัญชาการสูงสุดล่ะก็ผมคงจะเลื่อนการพูดคุยอะไรนั่นออกไปก่อนแล้วระดมยิงลูกศรกับพลังเวทปลิวว่อนไปแล้ว ผมคงเอาชนะได้สมชื่อแคลนลอร์ดที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งทวีปทางเหนือที่ติดตัวผมอยู่


[อืม พวกคุณไม่ยักตอบอะไรผมเลยแฮะ…ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่ไม่มีใครจะสามารถตอบผมได้สักคนเลยหรือครับ ผมมีคำแนะนำมาให้พวกคุณอย่างเป็นทางการข้อหนึ่งด้วยนะครับ]


[พูดมาสิ]


หลังจากนั้น น้ำเสียงจริงจังของแคลนลอร์ดโครยอลอร์ดก็กล่าวตอบไซม่อนไป


[โอ้ ได้ยินแล้วครับ แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมขออนุญาตทราบชื่อท่านที่ผมกำลังพูดด้วยอยู่ตอนนี้ก่อนที่ผมจะบอกท่านได้หรือไม่ครับ]


[นายไม่ต้องรู้หรอก ฉันเพียงต้องการให้นายบอกข้อเสนอของนายมาก็เท่านั้น]


[คนเกาหลีนี่ใจร้อนกันจริงๆ เลยนะเนี่ย ไม่ยืดหยุ่นเอาเสียเลยนะ ยืดหยุ่นน่ะ หึๆ]


แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กๆ ก็ดังตามมา


แต่มันก็ไม่ได้รบกวนอารมณ์ผมมากนัก ผมว่ามันฟังดูชัดเจนและนุ่มนวลเกินกว่าที่จะบอกว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี


[ถ้าเช่นนั้นผมก็จะบอกข้อเสนอของผมให้ท่านทราบโดยเร็วตามที่ท่านต้องแล้วกันนะครับ อ้า จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลยครับ ก็แค่เหล่าคุณๆ จากทวีปทางเหนือเพิ่งจะมาถึงกันเมื่อสักครู่นี้เอง เหตุใดจึงไม่พักผ่อนเอาแรงกันเสียสักวันหนึ่งล่ะครับ]


[นี่นายกำลังพูดอะไร]


[เพราะผมคิดว่าพวกท่านช่างทำงานกันหนักมากจริงๆ อุตส่าห์เดินทางกันมาตั้งไกลเชียวนะครับ อย่างไรเสียวันนี้ก็มืดค่ำแล้ว…คุณว่าอย่างไรล่ะครับ]


[ไร้สาระสิ้นดี]


แคลนลอร์ดโครยอปฏิเสธข้อเสนอของไซม่อนอย่างง่ายดาย แต่เขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับคาดเดาการตอบสนองเช่นนี้เอาไว้อยู่แล้ว


[ฮ่าๆ ทำกันเกินไปแล้วนะครับ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ได้แสดงไมตรีให้ผมได้เห็นล่ะนะ บอกตามตรงว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรกับพวกผมเท่าไหร่นักหรอกครับ เพราะพวกเราเตรียมพร้อมทุกอย่างหมดแล้ว และผมก็ยึดเมืองได้แล้วโดย ไร้ การ,นอง เลือด …เฮ้อ ด้วยล่ะครับ]


การเข้ายึดโดยปราศจากการนองเลือด ความหมายของคำนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก และจู่ๆ มันก็กลับทำให้ผมคิดขึ้นมาว่าหรือไซม่อนจะเฝ้าคอยเวลานี้มาตลอดกัน เพราะผมคิดว่าการที่เขาเลือกที่จะพูดคำศัพท์เฉพาะที่ไม่คุ้นหูขึ้นมา น่าจะมีจุดประสงค์ให้มันมากระทบขวัญกำลังใจของพวกเราเป็นแน่


แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไซม่อนได้มองข้ามไป นั่นก็คือฝั่งตะวันออกรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วเมื่อไม่นานมานี้จากพวกเร่ร่อนที่พยายามจะปลอมตัวเป็นเหล่าผู้เล่นนั่นเอง


นี่ผู้เล่นฝั่งตะวันตกกับพวกเร่ร่อนไม่มีการคุยกันเลยอย่างนั้นเหรอ


จริงอยู่ที่จุดนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสงสัย เพราะมันยังพอเข้าใจได้หากว่าพวกเร่ร่อนกระทำการนั้นโดยพลการ


และแล้วเสียงของแคลนลอร์ดโครยอก็ดังขึ้นมาให้ผมได้ยิน


[เกิดอะไรขึ้นกับพวกที่ยอมแพ้]


[เอ๋? ครับ ครับ มีแน่ครับ ไม่ว่าจะเป็นท่านสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรีก็ตามแต่ พวกเขาทำให้เราไม่ต้องนั่งเบื่อระหว่างที่กำลังรอพวกท่านน่ะครับ]


[หืม อย่างนั้นหรือ]


[หืม…?]


หางเสียงที่สูงขึ้นของเขาทำให้ผมคิดว่าไซม่อนอาจจะเกิดความสงสัยกับท่าทีที่ดูนิ่งเฉยของทางฝั่งตะวันออก


แคลนลอร์ดโครยอพยักน้าขึ้นลงครั้งสองครั้งอย่างจงใจ ก่อนจะพูดออกมาเรียบๆ


[เอาล่ะ เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าฉันได้ฟังข้อเสนอของนายเป็นอย่างดีแล้วนะ]


[โอ้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคุณยอมรับฟังหรือครับ]


[มันก็ดีนะ ฉันก็ต้องรับฟังด้วยความขอบใจอยู่แล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราก็พักผ่อนกันก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเจอกันก็แล้วกันนะ]


ท้ายประโยคแคลนโครยอก็หันกลับมาก่อนจะพูดกับเหล่าผู้เล่นที่กำลังร่ายมนตร์กันอยู่


“ปิดเวทขยายเสียงกันเสียเดี๋ยวนี้”


“อ้า เข้าใจแล้วครับ แต่ท่านลอร์ดครับ ท่านคิดจะรับข้อเสนอของเจ้าคนที่ชื่อไซม่อนนั่นจริงๆ หรือครับ”


“ไม่มีทางเสียล่ะ ฉันได้ยินมาว่าพวกตะวันตกค่อนข้างจะบ้าบอกัน ก็เป็นบ้าจริงๆ นั่นล่ะ เริ่มตีความเวทกันใหม่ได้เลย แล้วก็ไปบอกทัพที่สอง,สาม และสี่ให้เตรียมตัวสำหรับการซุ่มโจมตีในคืนนี้ด้วย”


ดี นี่แหละถึงจะสมกับเป็นแคลนลอร์ดโครยอ


[อ้า สักครู่นะครับ มีนักพเนจรท่านหนึ่งต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับท่านน่ะครับ ก่อนอื่นผมจะขอหลีกทางให้เขาก่อนแล้วกันนะครับ]


ตอนที่ 16

โดย

ProjectZyphon

ในตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียงไซม่อนดังขึ้นมาดึงความสนใจของเราอีกครั้งราวกับว่าเขายังไม่ได้ปิดเวทขยายเสียง เสียงนั้นทำให้ผมต้องเพิ่มพลังเวทที่ตาแล้วจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะบางทีกลุ่มคนที่อยู่บนกำแพงเมืองอาจจะทำให้ผมพอรับรู้อะไรบางอย่างได้


[เราไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันเท่าไหร่นัก ดังนั้นผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งนะ เหล่าผู้เล่นทั้งหลาย]


แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้มองดูอย่างละเอียด ก็มีเสียงที่ทั้งต่ำและหยาบกระด้างดังขึ้นมาเสียก่อน มันไม่ใช่ลักษณะการแปลที่ไม่เข้ากันแบบเมื่อสักครู่ แต่กลับเป็นภาษาที่ฟังดูคุ้นเคย


เกิดความเงียบขึ้นมาอย่างนั้นสักพักก่อนจะมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นตามมา


[มีผู้เล่นที่เป็นแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่อยู่ที่นี่ตอนนี้หรือเปล่า]


ผมรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะเพราะไม่คาดคิดว่าจะมีใครถามหาผม เหล่าผู้เล่นรอบตัวผมก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันจึงได้พร้อมใจกันหันมามองทางผมเป็นตาเดียว พร้อมด้วยความวุ่นวายเล็กๆ


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ลอร์ดงั้นเหรอ ทำไมจู่ๆ หมอนั่นถึงได้…”


“ผมอยู่นี่ครับ”


ผมออกมายืนอยู่ที่แถวหน้าสุดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ผมยกมือขึ้นตอบพร้อมๆ กับที่ได้ยินเสียงพึมพำของแคลนลอร์ดโครยอมาจากที่ใกล้ๆ


“หืม สุดท้ายก็มาอยู่ตรงนี้จนได้สินะครับ ผมคิดว่าคำว่านักพเนจรนั้นคงจะหมายถึงพวกเร่ร่อนแน่ๆ ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ”


“ผมอยากตอบครับ”


“เข้าใจแล้วครับ ถึงอย่างนั้นก็อย่าพูดอะไรลึกเกินไปเลยนะครับ เจ้าพวกนี้มันตัวอันตราย”


ผมพยักหน้าให้คำแนะนำของแคลนลอร์ดโครยอ ก่อนเขาจะหันไปส่งสายตาให้กับนักเวทที่ยืนอยู่ข้างกาย และแล้วเราก็สามารถรับรู้ได้ว่าเวทขยายเสียงได้ถูกเปิดใช้งานอีกครั้งด้วยการร่ายมนตร์เพียงสั้นๆ


[นายคือแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่งั้นเหรอ]


ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นเราได้อย่างชัดเจนจากกำแพงเมืองเพราะทันทีที่ผมก้าวออกมาด้านหน้า เสียงทุ้มต่ำก็เริ่มพูดกับผมทันที


[แต่ว่า]


[นายจากมิวล์มาโดยทิ้งความวุ่นวายมหาศาลเอาไว้ ช่างน่าประทับใจเสียจริง]


[ดูนายจะเข้าใจความหมายของคำว่าวุ่นวายนั้นผิดไปนะ นักพเนจร]


[…คิก]


หากเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่มิวล์…เขาจะได้ยินข่าวลือนั่นไหม หรือได้ข้ามมาโดยใช้วาร์ปเกตหรือเปล่า


คำพูดของเขาทำให้ผมสงสัย แต่ผมก็ตัดสินใจปล่อยมันไปก่อน


[ดี งั้นฉันขอถามนายข้อหนึ่ง ตอนนั้นมีลูกน้องของฉันสะกดรอยตามนายไป ตอนนี้พวกเขาเป็นยังบ้างแล้ว]


[ตายแล้ว]


[มีใครเหลืออยู่บ้างไหม หมดเลยงั้นเหรอ]


แม้เสียงที่ถามกลับมาจะยังคงทุ้มต่ำและสบายๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยความโกรธ


ผมไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องนี้มากขนาดไหน แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาถูกจับมาเป็นเชลยและโดนสำเร็จโทษต่อหน้าสาธารณะ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ผมจะบอกรายละเอียดอะไรกับเขา


[ใช่ ตายหมดแล้ว]


[ยะ…]


เสียงของพวกเร่ร่อนหยุดอยู่ที่คำว่า ‘ยะ’ เขาน่าจะอยากพูดอะไรบางอย่างออกมา ดูจากการที่ท้ายคำพูดค่อนข้างคลุมเครือ แต่เพราะตอนนี้มีคนกว่าสามหมื่นคนที่ฟังอยู่ มีสายตาที่คอยจับจ้องอยู่มากเกินกว่าที่จะถามเรื่องส่วนตัว ไม่รู้ว่าทำไมแต่ผมคิดว่าเขาคงอยากจะถามถึงแพคซอยอน


[…อย่างนั้นเองสินะ เข้าใจแล้ว ขอบใจนะที่ตอบคำถามของฉัน แม้ว่าเราจะเป็นศัตรูกันก็ตาม]


[หมดธุระแล้วใช่ไหม]


[ใช่ จบแล้ว และเพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งที่นายบอกมา ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้นายบ้างก็แล้วกัน]


อะไรดีๆ งั้นเหรอ


ไม่ใช่เพียงแค่การมองเห็นแล้ว แต่ตอนนี้ผมได้เพิ่มพลังให้กับประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมด้วย และเมื่อผมกลับไปมองที่กำแพงเมืองอีกครั้ง ผมก็ได้เห็นท่อนไม้ยาววางขัดไว้ระหว่างกำแพง หากจะมีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาก็คงจะเป็นตรงปลายไม้ที่มีวัตถุทรงกลมทื่อๆ ติดเอาไว้ด้วย


“ระวังตัวเอาไว้ด้วยนะครับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ นักเวท! ปิดเวทขยายเสียง…”


เหมือนแคลนลอร์ดโครยอจะพูดอะไรต่อไปอีกแต่มันไม่เข้าหูผมแล้ว เพราะประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมตอนนี้มันไปกองรวมกันอยู่ที่แท่งไม้พวกนั้นหมดแล้ว เสาไม้ที่เคยตั้งตรงในคราวแรกค่อยๆ เอียงลงช้าๆ จนเป็นแนวระนาบแล้วจึงค่อยๆ เอียงไปทางด้านขวายิ่งขึ้นอีก จนสุดท้ายในตอนนี้มันก็เล็งเป้ามาที่ผมเรียบร้อยแล้ว


เสาไม้ถูกดึงกลับไปข้างหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ราวกับกำลังเตรียมพร้อมที่จะพุ่งออกมาข้างหน้าอย่างเต็มแรง


[แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ นี่คือของขวัญสำหรับความวุ่นวายในครั้งนั้น ฉันมั่นใจว่าพวกนายต้องชอบแน่ถ้าได้เห็นมัน ฮึ!]


และในตอนนั้นเองมันก็ถูกยิงออกมาเต็มแรง


สวบบบ!


เป็นเพราะผมเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดหรือเปล่านะ เสียงของแท่งไม้ที่ถูกยิงตรงมาทางผมจึงได้ฟังดูแสบแก้วหูขนาดนี้ แต่เนื่องจากผมได้เฝ้ามองการกระทำพวกนั้นมาก่อนอยู่แล้วผมจึงกำคาลิโก อาบรักซัสขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะจบลงอย่างไร แต่ผมจะไม่ยอมตกอยู่ในสภาวะนี้แน่


ระยะห่างในตอนแรกนั้นประมาณสี่ถึงห้าร้อยเมตร แต่ถึงอย่างนั้นเสาไม้ก็ลดระยะห่างลงมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ผมกะพริบตาแค่ทีเดียวมันก็เข้ามาอยู่ในระยะประชิดเสียแล้ว


ในตอนนั้นผมก็กะประมาณระยะคร่าวๆ ก่อนจะค่อยๆ คุกเข่าลง และเมื่อเสาไม้พุ่งเข้ามาในระยะ ผมได้วางแผนว่าจะฟันมันด้วยดาบ


ทันใดนั้น


วูบ!


จู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมา


หืม?


แสงสว่างนั้นปรากฏขึ้นมาแล้วก็หายไปในพริบตาเดียว


จากนั้นจึงได้เกิดความวุ่นวายเล็กๆ ตามมา


ถ้าหากว่าใช้ตาเปล่ามองผมอาจจะเห็นมันได้อย่างเลือนราง แต่ผมสามารถจับภาพมันได้อย่างชัดเจนเพราะได้กระตุ้นพลังการมองเห็นเรียบร้อยแล้ว ดวงไฟที่ส่องแสงสว่างจ้าพุ่งเข้าไปหาปลายของเสาไม้ราวกับลูกศร


ใช่แล้ว มันเหมือนแสงแฟลช


เสาไม้ที่กำลังลอยมาบนฟ้าด้วยความเร็วถูกระเบิดไปทั้งที่อยู่กลางอากาศแบบนั้น ของเหลวสีแดงเข้มกระจายอยู่ทั่วบนนั้นพร้อมกับเศษชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกระเบิดออกมา แต่สิ่งที่ติดอยู่ที่ปลายของเสาไม้กลับดูละม้ายคล้ายกับชิ้นส่วนของมนุษย์ และเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นส่วนศีรษะ


ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นหัวใครก็เถอะ


ผมเลิกคิดเรื่องศีรษะนั้นก่อนจะหันมาสนใจตัวเอกที่ยิงลูกศรนั้นแทน ถึงแม้ว่าจะพอเดาได้แต่ผมก็ยังหันไปมองเพื่อยืนยันอีกครั้ง ทันใดนั้น ไม่ไกลจากที่ผมอยู่ ผมมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคยแต่กลับให้ความรู้สึกที่ดูแปลกไป


ใบหน้าอ่อนโยนและรอยยิ้มเป็นมิตรที่หล่อนมักจะมีมันอยู่เสมอ มาตอนนี้มันได้หายไปหมดแล้ว อิมฮันนากำลังจ้องเขม็งไปยังกำแพงเมืองอย่างดุดันด้วยดวงตาที่เบิกโตขึ้น ในมือข้างซ้ายของหล่อนยังถือลอร่า ฟีลิสเอาไว้อีกด้วย


วูบ! โฟ่ว!


มันเป็นคันธนูที่ไม่มีทั้งสายธนูและลูกธนูแต่ในตอนนั้นเองก็มีลูกศรที่มีแสงสว่างสวยงามเกิดขึ้นมาใหม่อีกดอกหนึ่ง ดูเหมือนอิมฮันนาจะกำลังโกรธอย่างมาก หล่อนแสดงท่าทางราวกับจะแยกผืนธรณีออกเป็นสองที่ปลายสุดของลูกศรนั้น


“ผู้เล่นอิมฮันนา พอเถอะครั…”


ครืน ครืนนน


ผมกำลังจะสั่งให้หล่อนหยุดเพราะคิดว่าลูกเดียวก็คงจะเพียงพอแล้ว แต่ในตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังสนั่นราวกับก้อนเมฆพุ่งชนเข้าหากันสั่นไหวสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ


ผมรีบหันไปมองทางกำแพงเมืองทันที ครั้งนี้กลับตรงข้ามกัน เพราะที่กำแพงนั้นผมเห็นความเคลื่อนไหวที่ดูโกลาหลกันเสียเหลือเกิน


อะไรกันอีก…


และก่อนที่ผมจะทันได้ยืนยันคำสั่งเพื่อบอกให้หยุด


เปรี้ยง! เปรี้ยงงง!


ผมมองเห็นสายฟ้าเส้นใหญ่ฟาดเปรี้ยงลงมาจากท้องฟ้าอันมืดมิดเป็นรูปฟันปลา


* * *


เปรี้ยง! ตู้ม!


“แม่ง!(Shit!)”


เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นจนเกิดเป็นเสียงวิ้งๆ อยู่ในหู ไซม่อนยกมือทั้งสองขึ้นกุมหัวด้วยความตกใจ หลังจากแสงแปลบปลาบที่ตามมา เขาก็หันไปมองทางด้านข้างพร้อมทำจมูกฟุดฟิดเพราะกลิ่นควัน


“โอ้ว พระเจ้าช่วย (Oh my god)…”


แม้จะเป็นเวลาแค่ชั่วพริบตา แต่เขาก็สร้างเกราะป้องกันเอาไว้ได้ทันก่อนที่ฟ้าจะผ่าลงมา แต่เกราะนั้นก็ถูกผ่าออกในชั่วพริบตาเช่นกัน และสายฟ้าก็ได้ฟาดเข้าไปที่กำแพงเมืองอย่างแรง


ผลก็คือคนมากมายส่งเสียงครวญครางออกมาพร้อมกับควันโขมงสีดำที่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณนั้น


ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ จึงทำให้ขนาดและความหนาของกำแพงเมืองนั้นทั้งหนาและแข็งแกร่งเกินกว่าจะสามารถอธิบายได้ แต่ฟ้าที่ผ่าลงมาก็ทำให้เกิดเป็นรูลึกอยู่บนกำแพงเมืองและในตอนนี้ก็ยังคงมีควันสีดำลอยโขมงออกมาอยู่


ไซม่อนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความงุนงงและเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีการโจมตีอะไรเข้ามาเพิ่มอีก เขาก็ถอนหายใจออกมาทางปากด้วยความโล่งอก


“เฮ้อ”


“ขอโทษทีนะ ขอโทษที่ฉันทำอะไรไปตามอำเภอใจ ไซม่อน ไครมส์”


ในตอนนั้นเอง ฮยอนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดกับไซม่อน ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าซึ่งเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการเกิดฟ้าผ่า


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านนักพเนจร ผมเองก็ไม่คิดว่าพวกที่อยู่ด้านนอกกำแพงนั่นจะยอมรับข้อเสนอของผมเหมือนกันครับ”


“ขอบใจมากนะที่คิดแบบนั้น”


“ผมเคยได้ยินมาว่าหากจะได้รับการยอมรับในฐานะคลาสนักเวท การกักขังฉับพลันและเวทมนตร์ย้อนกลับถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น…เฮ้อ สงสัยจะจริงสินะ”


“…”


“อย่างไรก็แล้วแต่ ท่านนักพเนจร ไม่ใช่ว่าท่านมีอะไรจะพูดกับผมหรอกหรือครับ”


“จะพูด?”


เมื่อฮยอนถามกลับไปด้วยความสงสัย ไซม่อนก็พยักหน้ารับ


“ผมเพียงรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันชักจะแปลกๆ แล้วนะครับ”


“อะไรแปลกล่ะ ฉันอยากให้นายพูดให้มันชัดๆ กว่านี้หน่อยนะ”


“หลายอย่างเลยครับ จำนวนคนที่มาที่นี่ดูจะน้อยกว่าที่ผมคิดเอาไว้..แล้วไหนจะตอนที่ผมพูดว่าไร้, การ, นอง, เลือดพวกเขาก็ดูไม่ค่อยตระหนกตกใจกันเท่าไรด้วยนะครับ ผมเองก็พูดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปมากมาย แต่พวกเขาก็ดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของฝั่งเราอย่างดีเลยทีเดียวครับ”


“…”


“เดิมทีแล้วสถานการณ์ไม่ใช่อีกแบบหนึ่งหรือครับ ผมคิดว่าคุณส่งสายลับเข้าไปอยู่กับคนพวกนั้นเสียอีก อ้อ คุณภาพของสนามรบก็ไม่ใช่เหตุผลด้วยนะครับ เพราะตอนนี้มันถูกปลดปล่อยหมดแล้วน่ะครับ”


แม้ในบางบริบทจะแปลกไปบ้างเพราะเวทแปลภาษายังไม่ค่อยสมบูรณ์นักแต่ก็พอจะเข้าใจได้


แต่ฮยอนก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับออกไป เขาเพียงปิดปากเงียบไม่พูดไม่ตอบอะไรก็เท่านั้น


“คุณเพิ่งข้ามมาจากมิวล์ได้ไม่นานจึงอาจจะยังไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ และต่อจากนี้ไปช่วยกรุณาแก้ไขการทำอะไรตามใจตนเองหน่อยนะครับ”


“…เข้าใจแล้ว”


ฮยอนตอบรับก่อนจะก้าวหนักๆ หันหลังกลับไปอีกทาง


แต่เมื่อเขาหันหลังกลับและมองออกไปภายนอกกำแพงเมือง ก็ได้เห็นว่าฝั่งตะวันออกเริ่มมีการเคลื่อนไหวช้าๆ แม้บางส่วนจะยังคงอยู่ที่เดิมแต่กลับมีบางคนที่เคลื่อนย้ายไปยังทิศทางอื่นๆ


ขณะที่เขาค่อยๆ ก้าวเท้าไปยังภาพที่เห็นนั้นเอง ก็พลันมีเสียงเย็นชาดังมาจากด้านหลังของฮยอน


“ไม่ใช่แค่คุณ แต่ผมหมายถึงพวกเร่ร่อนทั้งหมดนะครับ หากยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง…เราจะกลับไปผ่านทางวาร์ปเกต แม้แผนทั้งหมดจะถูกล้มเลิกแล้วก็ตามนะครับ”


ในตอนนั้นเอง เท้าของฮยอนก็หยุดลงในทันที


ตอนที่ 17

โดย

ProjectZyphon

ยามราตรีย่างกรายเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว


ทันทีที่ฝั่งตะวันออกมาถึงยังบาร์บาร่า ก็ได้มีการปะทะกันกับฝั่งตะวันตกและพวกเร่ร่อนเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก


แม้ว่าความจริงแล้วมันจะเป็นการต่อสู้เล็กๆ ที่ค่อนข้างน่าอายเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นการปะทะก็ตาม แต่ในตอนจบของการสู้ครั้งแรกนี้ก็อาจจะพอทำนายได้ว่าฝั่งตะวันออกมีอำนาจที่เหนือกว่า เพราะ ‘สายฟ้า’ ของพี่ที่สร้างความเสียหายให้กับพวกเร่ร่อนตรงข้ามกับทางฝั่งตะวันออกที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลยแม้แต่น้อย


ฝั่งตะวันออกมีขวัญและกำลังใจสูงกว่า ถ้าหากได้มาเจอกันในที่ราบนี้ก็คงเป็นไปได้ที่เราจะสู้ได้ด้วยกำลังคนทั้งหมดที่มี แต่การตัดสินใจของฝั่งตะวันออกในตอนนี้คือการถอยหลังออกมาก่อน เพราะนอกจากฝั่งใต้และฝั่งเหนือจะต้องการเวลาจนกว่าจะชิงเมืองกลับมาแล้ว ก็ยังไม่ได้สร้างฐานทัพล่วงหน้าเพื่อการซุ่มโจมตีเลย


ซึ่งแน่นอนว่าปราการเวทมนตร์ที่ถูกสร้างไว้รายล้อมเมืองก็คือเหตุผลหนึ่ง


และในตอนนี้ฝั่งตะวันออกเองก็กำลังเตรียมตัวกันทีละขั้นทีละตอนสำหรับการจู่โจม


ทัพทั้งสี่ทัพเริ่มเคลื่อนย้ายไปยังประตูใหญ่ตามทิศทางที่ได้ถูกแบ่งไว้ เพราะแบบนั้นตอนนี้ทัพที่ผมสังกัดอยู่จึงกำลังย้ายฐานไปยังประตูทางฝั่งตะวันตก


ระหว่างนั้นเหล่าผู้บัญชาการก็ใช่ว่าจะนิ่งเฉย


“ไม่ว่าอย่างไร จุดอ่อนที่สุดของเราก็เห็นจะเป็นการที่ทัพของเราถูกแบ่งออกเป็นสี่ทัพนะครับ เพราะพอมองจากมุมมองของแต่ละทัพแล้ว หมายถึงว่าพลังในการโจมตีหรือป้องกันก็จะอ่อนกำลังลงเพราะการแบ่งเป็น


ทัพเล็กครับ โดยเฉพาะพลังการป้องกันที่น้อยลงจะยิ่งทำให้เสี่ยงอย่างมากเลยครับ ถ้าหากพวกมันแกล้งบ้าขึ้นมาแล้วพุ่งเป้าโจมตีไปยังทัพใดทัพหนึ่งแล้วล่ะก็…”


“เห็นได้ชัดว่าแต่ละทัพจะได้รับภาระ แต่อีกฝ่ายกลับได้เปรียบกว่าในแง่ที่สามารถยิงกระหน่ำได้เท่าที่ใจต้องการ”


“ดังนั้นคุณไม่คิดว่ามันจะดีกว่าเหรอครับถ้าหากให้แต่ละทัพมุ่งให้ความสำคัญกับเวทป้องกันเพียงอย่างเดียวและให้อยู่ให้ไกลจากระยะกระสุนเข้าไว้หากสถานการณ์ไม่ปกติ และพอเห็นว่าสงบแล้วก็ค่อยเข้ามาในระยะกันอีกครั้ง…”


ห้องควบคุมการบัญชาการที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างแรก บัดนี้กำลังปรึกษาหารือกันอย่างคึกคัก มีผู้เล่นบางคนที่เคยทำท่าถือดีอวดดีเมื่อก่อนนี้ แต่ในวันนี้ผมกลับไม่เห็นพวกเขาเหล่านั้นเลยสักคนเดียว


อาจจะเพราะการปะทะของเหล่านักเวทเมื่อตอนเช้ามืดจึงทำให้พวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียดกันมากเช่นนี้ ในอีกทางหนึ่งก็สามารถเห็นได้ว่าพลังของเหล่านักเวทเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถกำหนดทิศทางการแพ้ชนะในสงครามครั้งนี้ได้


ตอนนั้นเอง


การประชุมยังคงดำเนินต่อไป แต่ผู้ส่งสารคนหนึ่งได้ผลีผลามเข้ามาในห้องควบคุมการบัญชาการที่ไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงเลยแม้แต่น้อย


“มีสารมาครับ! ตอนนี้มีนักเวทคนหนึ่งสามารถถอนปราการเวทได้แล้วครับ!”


“หืม? ถอนปราการเวทใหญ่ขนาดนั้นได้รวดเร็วแบบนี้เลยอย่างนั้นหรือ เขาหรือเธอสังกัดอยู่ทัพไหน”


“ฝั่งประตูตะวันตกครับ! และตอนนี้ก็กำลังยืนรออยู่ที่หน้าห้องควบคุมการบัญชาการนี้เองครับ!”


“อย่างนั้นก็ทัพเราน่ะสิ…ก่อนอื่นไปพาเขาเข้ามาเถอะ”


เมื่อแคลนลอร์ดโครยอพูดขึ้นด้วยความปีติยินดี ผู้ส่งสารก็พลันวิ่งออกไปนอกห้องในทันที


หลังจากนั้นหญิงสาวคนหนึ่งได้เดินเข้ามาภายในห้อง เมื่อผมได้เห็นหน้าหล่อนแล้ว ผมก็ถึงกับอยู่ไม่สุขเลยทีเดียว


ท่าทางที่ดูงามสง่าและเฉลียวฉลาด นัยน์ตาและเส้นผมสีฟ้าอ่อน


หญิงสาวคนนั้นคือจองฮายอนนั่นเอง


จองฮายอนสบตากับผมอยู่สักพักก่อนจะยิ้มออกมาเบาๆ แล้วจึงหันไปโค้งคำนับให้กับทุกๆ คนภายในห้องก่อนจะพูดออกมา


“สวัสดีค่ะ จองฮายอน สมาชิกของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ”


“โอ้โฮ ถ้าเป็นสมาชิกเมอร์เซนต์นารี่จองฮายอนล่ะก็ ผมน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างเล็กน้อย ไม่ทราบว่าคลาสของคุณคือ…?”


“คลาสลับ จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงินค่ะ ฉันสามารถถอดรหัสปราการเวทได้เร็วกว่าที่คิดเพราะเป็นคลาสที่เกี่ยวกับเวทมนตร์โบราณน่ะค่ะ”


“อ้อ จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน หนึ่งในผู้ช่วยในการเตรียมรับมือตัวแปรสินะครับ นั่นแหละครับที่ผมได้ยินมา ท่าทางคุณดูจะชำนาญเรื่องเวทโบราณ…ตอนนี้ดูเหมือนจะสัมฤทธิ์ผลแล้วนะครับ ฮ่าๆ”


แม้จะไม่มีความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นมาพร้อมความวุ่นวายเหมือนเมื่อครู่ แต่ภายในห้องประชุมก็ยังร้อนอยู่ดี โดยเฉพาะเหล่าผู้เล่นชายที่ต่างแอบส่งสายตาร้อนแรงไปหาจองฮายอน ความงดงามของหล่อนยิ่งเปล่งประกายหลังจากที่ได้รับคลาสลับแล้วอย่างแน่นอน


จากนั้นแคลนลอร์ดโครยอก็เอ่ยขึ้น


“เอาเถอะ ผู้เล่นจองฮายอน ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะบอกได้หรือไม่ครับว่าปราการเวทนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่”


“ค่ะ ฉันจะบอกท่านเดี๋ยวนี้แล้ว ปราการเวทที่ล้อมรอบบาร์บาร่าอยู่ในตอนนี้มีชื่อว่าปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกันค่ะ”


“ปราการขัดขวางพลังเวทคุ่มกันหรือ?”


ถูกต้อง


ผมรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ผู้เล่นคนอื่นๆ กลับมีสีหน้างุนงงกันทุกคนราวกับว่าพวกเขาเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก


“ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกัน…ผมไม่เคยได้ยินชื่อปราการนี้มาก่อนเลย คุณพอจะทราบผลโดยละเอียดของปราการนี้บ้างหรือไม่ครับ”


ด้วยนิสัยพิถีพิถันรอบคอบของจองฮายอน หากหล่อนไม่รู้ก็คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้แน่นอน


“แน่นอนค่ะ ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อปราการนี้ถูกใช้งาน พลังเวทที่อยู่ภายนอกปราการจะไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรต่อสิ่งที่อยู่ภายในปราการได้เลยค่ะ กล่าวคือมันเป็นปราการขัดขวางพลังเวทขนาดใหญ่ประเภทหนึ่งนั่นเองค่ะ”


“ปราการขัดขวางพลังเวทขนาดใหญ่อย่างนั้นหรือ ไม่สิ นี่มันโกง…”


“ไม่ใช่การโกงหรอกค่ะ ถึงแม้ว่าจะดูแข็งแรงถ้ามองแบบไม่นับประโยชน์เรื่องนั้น แต่ในฮอลล์เพลนยุคโบราณก็ไม่เป็นปราการเวทที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายนะคะ ความจริงมันกำลังจะถูกปิดการใช้งานในเร็วๆ นี้แล้วด้วยค่ะ เพราะว่ามันมีผลเสียที่ร้ายแรงมากน่ะค่ะ”


“ถ้าเป็นผลเสียที่ร้ายแรง…”


จองฮายอนพูดขึ้นอีกครั้งเพื่อตอบคำถามของใครสักคน


“ค่ะ ถ้าหากปราการนี้ป้องกันพลังเวทจากภายนอก พลังเวทภายในก็จะแช่แข็งทุกอย่างค่ะ”


คำอธิบายของจองฮายอนไม่ได้ต่างไปจากความคาดหวัง(?)ของทุกคนนัก


ภายในห้องควบคุมมีผู้เล่นบางคนที่ไม่ได้มีความรู้ความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเวทมนตร์เท่าใดนัก เช่น อาชีอื่นๆ อยู่ด้วย และเพราะหล่อนคงใส่ใจพวกเขาเหล่านั้น ในการตีความของหล่อนจึงไม่มีความซับซ้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกนักเวทอยู่เลย เป็นคำอธิบายที่ทั้งง่ายและสั้นกระชับ ไม่มีคำศัพท์เฉพาะทางเลยแม้แต่นิด


ในขณะที่อธิบายนั้นหล่อนก็ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญและความเป็นจริงที่ชัดเจนแน่นอน ดังนั้นเมื่อการอธิบายจบลงจึงได้เห็นภาพที่ทุกคนในห้องควบคุมต่างพยักหน้าขึ้นลงด้วยความเข้าใจไปพร้อมๆ กัน


อย่างไรก็ตาม จากคำอธิบายของจองฮายอน สามารถแบ่งลักษณะพิเศษของปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกันออกได้เป็นสี่ประการด้วยกัน


ประการแรก พลังเวทจะถูกทำให้คงอยู่และปรากฏให้เห็นตามกระบวนการทำงานอย่างอิสระที่ถูกวาดไว้ในปราการเวท ไม่ได้ปรากฏตามกระแสภายในร่างกาย


ประการที่สอง พลังเวทที่ถูกสร้างขึ้นจากภายนอกในขณะที่ปราการยังคงอยู่ จะไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งที่อยู่ภายในปราการได้เลย


ประการที่สาม ในระหว่างที่ปราการยังคงอยู่ พลังเวทที่เกิดขึ้นภายในปราการจะถูกแช่แข็ง


ประการที่สี่ ขนาดหรือพื้นที่ของปราการเวทสามารถปรับแก้ได้ตามแต่ใจของผู้ที่ร่ายเวทสร้างมันขึ้นมา


เงื่อนไขเหล่านี้แน่นอนว่าจะต้องเป็นไปตามลักษณะพิเศษอันโดดเด่นของปราการเวทและไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากคุณสมบัติของพลังเวทนั้น เช่น ในกรณีที่ผมใช้พลังของฮวาจอง ผมมั่นใจว่ามันจะส่งผลไปถึงภายในได้แม้ว่าผมจะใช้งานมันจากภายนอกก็ตาม


ความเร่าร้อนที่เคยอบอวลอยู่เต็มห้องควบคุมการบัญชาการค่อยๆ จางหายไปโดยที่ไม่มีใครรู้สึก ทุกคนในห้องต่างกำลังจมอยู่กับความคิดของตนเอง


การอธิบายจบแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องมาคิดกันแล้วว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องสร้างปราการเวทนี้ขึ้นมา


“คุณจอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน ฉันมีคำถามข้อหนึ่งค่ะ”


ผมได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นมาในห้องควบคุมนี้ และเมื่อผมหันไปมอง ผมก็ได้เห็นนักมายากลไพ่ทาโร่ต์กำลังยกมือขึ้นถามหล่อน


“ที่คุณบอกว่าในขณะที่ปราการเวทยังคงอยู่ พลังเวทที่อยู่ภายในจะถูกแช่แข็ง ถ้าฉันจะขอให้คุณช่วยอธิบายตรงส่วนนี้เพิ่มเติมจะได้หรือไม่คะ”


“ฉันอาจจะไม่ได้รู้ละเอียดนัก แต่ฉันสามารถตอบคุณได้ในขอบเขตที่ฉันรู้ค่ะ คุณสงสัยตรงไหนคะ”


“ปราการเวทนี้จะป้องกันพลังเวทที่ถูกสร้างขึ้นภายนอก และจะทำให้พลังเวทที่เกิดขึ้นภายในถูกแช่แข็ง ฉันสงสัยเรื่องข้อแตกต่างที่ชัดเจนของสองอย่างนี้น่ะค่ะ”


“ว่ากันตามตรง ผมเองก็สงสัยเหมือนกันนะครับ ว่าทำไมพวกเขาถึงสร้างปราการเวทที่ไม่ใช่เพียงแค่พวกเราแต่พวกเขาเองก็ต้องถูกกำหนดด้วยเหมือนกันขึ้นมา”


ผู้เล่นหลายคนดูจะเห็นด้วยกับคำถามของซอนยูล


“เรื่องนั้น…อาจจะมองว่าเป็นข้อแตกต่างของการคงอยู่ก็ได้นะคะ เป็นไปได้ว่าภายในปราการเวทจะมีเฉพาะพลังเวทที่แสดงออกมาแล้วเท่านั้นที่จะถูกรักษาไว้น่ะค่ะ”


จองฮายอนตอบด้วยใบหน้ากังวลเล็กน้อย เพราะหล่อนไม่สามารถตอบคำถามนี้ออกมาได้ง่ายๆ ทันใดนั้นซอนยูลก็หรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว


“อย่าบอกนะ! นี่คุณกำลังจะบอกว่าพลังเวทที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนปราการป้องกันนั้นจะยังได้รับการรักษาให้คงอยู่ในระหว่างที่ยังมีปราการเวทอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือคะ เพราะแบบนั้นก็เลยใช้คำว่า ‘แช่แข็ง’ อย่างนั้นเหรอ…”


“ใช่แล้วค่ะ แต่จะมีขอบเขตอยู่เพียงแค่ในปราการเวทเท่านั้นและไม่สามารถหลุดออกจากคุณสมบัติของพลังเวทได้ค่ะ ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกันเป็นปราการเวทโบราณที่สามารถวิเคราะห์เองได้มากกว่าร้อยละแปดสิบค่ะ ดังนั้นจึงมีหลายส่วนที่แตกต่างจากปราการเวทสมัยใหม่ หรือก็คือการแสดงเวทที่ไม่เข้ากันกับเวทของปราการจะไม่ได้รับการปกป้องให้คงอยู่เอาไว้ค่ะ”


“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อยนะคะ ถึงฉันจะกังวลได้กับทุกเรื่องก็เถอะนะ…”


“ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องปราการเวทสมัยใหม่นะคะ แต่ปราการเวทโบราณไม่ใช่ปราการเวทธรรมดาทั่วไปหรอกค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น เช่นเดียวกันกับชื่ออย่างเป็นทางการของมัน ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกันนั้นเป็นปราการเวทที่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นผู้ช่วยค่ะ ปราการเวทที่ถูกสร้างขึ้นให้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมัน ถึงแม้จะเป็นปราการเวทโบราณเช่นกันก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้ากันได้ไม่ใช่หรือคะ”


จองฮายอนจบคำตอบของหล่อนด้วยคำถาม นั่นหมายถึงว่าหล่อนเองก็ไม่ได้มั่นใจกับสิ่งที่หล่อนได้พูดถึงเช่นกัน แต่ไม่มีใครในนี้ที่อยากจะต่อว่าอะไรหล่อน เพราะการที่หล่อนสามารถตีความให้เราฟังได้ถึงขนาดนี้นั้นมันก็เหลือเชื่อมากๆ แล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม