Memorize เล่มที่ 18 ตอนที่ 1-3

 [ เล่ม 18 ] ตอนที่ 1

โดย

ProjectZyphon

ในตอนนั้นเอง เมื่อผมเลื่อนสายตาขึ้นมาจากกายงามของอิมฮันนา ผมก็พบเข้ากับสายตาของหล่อนที่กำลังจ้องผมอยู่


“…”


โดนจับได้แล้วสิ ผมคิดแบบนั้นอยู่พักหนึ่ง และแม้ผมจะรู้สึกอายแต่ก็ต้องรีบคำนวณหาวิธีเผชิญหน้ากับหล่อนให้เร็วที่สุดเช่นกัน


“มะ ไม่ชอบเลยค่ะ”


“หะ หืม?”


อิมฮันนายกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอกและพูดด้วยใบหน้าเขินอาย หล่อนหลุบสายตาขัดเขินลงมองพื้น ริมฝีปากเม้มแน่น ใบหน้าแดงระเรื่อ


“ฉะ ฉันไม่ชอบที่คุณมองฉัน…แบบนั้นเลยค่ะ”


“ฮึ่ม อะแฮ่ม”


ผมกระแอมไอตอบกลับไปและแสร้งมองไปทางอื่นอย่างรวดเร็วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะพูดออกไป


“คุณ…ไปหาซื้อเสื้อคลุมมาสักตัวดีกว่านะ”


“…ค่ะ”


เมื่อผมบอกหล่อนด้วยเสียงทุ้มต่ำ ผมก็ได้รับคำตอบแผ่วเบาตอบกลับมา แต่อย่างไรก็ตามบรรยากาศรอบตัวผมกับอิมฮันนาก็ยังคงอิหลักอิเหลื่อและน่าอึดอัดอยู่ดี


“หืม?”


ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างทาวไปยังแคลนเฮ้าส์ของโครยอ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงขึ้นจมูกที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างๆ ผมรู้สึกถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาที่แก้มผมตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว และในท้ายที่สุดที่ผมสุดจะทนแล้ว ผมแอบชำเลืองไปทางด้านข้าง ทันทีนั้นผมก็มองเห็นโกยอนจูที่กำลังมองตามผมด้วยดวงตาโตของหล่อน ผมหันกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับมีชนักติดหลัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าผมได้สบตากับหล่อนเสียแล้ว


“หะ~หืมมม?”


แต่ทันใดนั้นเสียงนาสิกนั้นก็กลับขึ้นจมูกเสียยิ่งกว่าเดิม


“แปลกจัง แปลกเกินไป”


“…”


“ทำไมบรรยากาศระหว่างที่รักของฉันกับฮันนาถึงได้ดูอบอุ๊น~อบอุ่นน~แบบนี้กันน้า”


“ผู้เล่นโกยอนจู”


โกยอนจูพูดเหมือนให้ผมฟังหล่อนคนเดียวและยังคงจะพูดต่อไป ผมจึงทนอีกไม่ไหวต้องเรียกชื่อหล่อนออกไปในที่สุด


ในความเป็นจริงแล้วมันก็มักจะเป็นโกยอนจูเสมอที่มาช่วยเหลือผมในยามเข้าตาจน(?) เมื่อความอึดอัดเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถสบตากันได้ หล่อนก็โผล่พรวดออกมาจากไหนก็ไม่รู้และเข้ามาบอกว่าแคลนลอร์ดโครยอเรียกหาผม ให้ผมสามารถใช้เป็นข้ออ้างหลบหนีออกจากสถานการณ์นี้ได้


ซึ่งเป็นเรื่องแน่อยู่แล้วที่โกยอนจูที่อ่านสถานการณ์ได้รวดเร็วนั้นจะมองออกและข้ามไปได้อย่างลื่นไหล


หลังจากที่ยกย่องหล่อนไปครู่หนึ่งผมก็พูดขึ้นอย่างนิ่งๆ เพื่อเปลี่ยนเรื่องในระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าไปภายในอาคารส่วนกลางกัน


“ผมได้ยินมาสักพักแล้ว ว่าแคลนลอร์ดโครยอเรียกหาผม”


“ค่ะ! ใช่แล้วล่ะค่ะ!”


“โกยอนจู”


น้ำเสียงที่โกยอนจูตอบออกมานั้นแสดงพิรุธออกมาอย่างชัดเจนทำให้ผมต้องต้องเรียกหล่อนอีกครั้ง และทันทีที่ผมหันกลับไปก็เห็นว่าหล่อนกำลังหัวเราะร่าราวกับจะถามว่าหล่อนไปทำแบบนั้นเมื่อใดกัน


“จิ๊ เอาเถอะ แล้วพอจะรู้เหตุผลที่เขาเรียกหาผมหรือเปล่าครับ ผมไม่เข้าใจเลย เพราะดูจะเป็นการเรียกแบบเร่งด่วนเสียเหลือเกินนะครับ”


“อืม…ไม่รู้สิคะ ฉันได้ยินมาว่าเป็นการเรียกระดมพลผู้บัญชาการทั้งหมดของทัพฝั่งประตูตะวันตกนะคะ คิดว่าคงเป็นการเรียกเพื่อพูดคุยถึงเรื่องที่เขาต้องการจะขอน่ะค่ะ อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทัพในเร็วๆ นี้ก็ได้ค่ะ”


ผมพยักหน้ากลับไปช้าๆ ลืมเรื่องเบาสมองเมื่อครู่นี้ไปเสียสนิทและกลับจมลงสู่ห้วงความคิดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


แม้จะบอกว่าเข้ากันได้ดีแต่การจัดทัพเพิ่มเติมโดยรวมเอาเมอร์เซนต์นารี่เข้าไปด้วยก็น่าจะพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วนี่ และผมก็ได้รู้ข่าวว่าการเตรียมพร้อมครั้งสุดท้ายเองก็จบลงแล้วเมื่อไม่นานมานี้อีกด้วย ไม่ใช่เพียงใกล้จบแต่จบลงแล้วอย่างสมบูรณ์


ดังนั้นสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้มีเพียงแค่การเดินทัพออกจากเมืองในเร็ววันนี้ คำพูดของโกยอนจูจึงฟังดูคล้ายจะเป็นความจริง


“พอมาคิดดูแล้วเขาอาจจะอยากจัดการประชุมรวมกำลังพลก่อนที่เราจะออกรบกันก็ได้…”


“รวมพลก่อนรบหรือคะ”


“ครับ อ้าว มากันครบแล้วสินะ รอสักครู่นะครับ ผมจะเปิดประตูให้”


ผมไม่รู้ตัวว่าเรามาถึงกันตอนไหน แต่ตรงหน้าผมและโกยอนจูตอนนี้กลับปรากฏประตูของห้องประชุมอยู่ แม้ว่าตรงกลางของด้านบนสุดจะเขียนว่า ‘ห้องควบคุมการบัญชาการ’ เอาไว้ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น เพราะความจริงแล้วก็เป็นสถานที่ที่ไม่ได้ต่างอะไรกับห้องประชุมเลย เป็นเพียงคำที่เอาไว้ใช้กรองคนที่เข้าออกห้องนี้เท่านั้นเอง


และเมื่อเปิดประตูออกและก้าวเข้าไปภายใน สิ่งที่ผมเห็นเป็นอย่างแรกก็คือภายในห้องประชุมมีกันอยู่ทั้งหมดแปดคนนั่งกระจายกันอยู่ทั่วห้อง พวกเขาส่วนใหญ่ต่างหันมามองที่ประตูเพราะรับรู้ถึงการมาของผม


“โอ้ มาแล้ว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ! แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!”


“โอ๊ะ! คิมซูฮยอน!”


ในตอนนั้นเอง ผู้เล่นสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็ลุกขึ้นทักทายผมอย่างยินดี และเมื่อผมหันไปมองก็เห็น ซอจินอู แม่น้ำทั้งสิบ (เผ่าโครยอ) และคิมด็อกพิล นักฆ่าพวกเร่ร่อน (เผ่ารีเวิร์ส) โบกมือทักทายมาทางผม


“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”


ผมไม่รู้สึกอายที่จะแสดงท่าทีว่ารู้จักกับพวกเขาเพราะเราต่างสนิทกันมาตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นครูฝึกอยู่ที่สถาบันผู้เล่นแล้ว


“ว้าว นานจริงๆ นะเนี่ย ได้ยินว่ามาที่นี่เมื่อสามวันก่อนงั้นเหรอ”


“ครับ”


“แล้วทำไมกว่าจะได้เห็นหน้านายครั้งหนึ่งนี่มันยากเย็นนักล่ะ มีแค่ข่าวส่งมาว่าจัดทัพเรียบร้อยแล้วเท่านั้นเองนะ”


คิมด็อกพิลเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้ายิ้มแป้นไม่เหมาะกับคำเรียกขานของเขาเลยสักนิด


และในขณะนั้นเอง ในบรรดาผู้เล่นที่เหลืออยู่อีกหกคน ซึ่งได้แต่มองเราเงียบๆ นั้น มีสามคนที่ลุกขึ้นมาทีละคนๆ


ผมได้เจอกับซอจินอูและคิมด็อกพิลแล้วคนละครั้งในรอบที่สอง ส่วนผู้เล่นที่เหลืออีกหกคนนั้น แม้ผมจะได้เจอพวกเขาเป็นครั้งแรก แต่กลับไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่สิ คุ้นเคยต่างหาก พวกเขาล้วนเป็นคนที่อยู่ในความทรงจำผมทั้งนั้น


สำหรับผมแล้วมันคือการร้องขอ…แต่บอกว่าเป็นการเรียกรวมพลงั้นเหรอ


นั่นหมายความว่าอีกหกคนที่เหลือที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้นั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าบางคนในนี้เป็นผู้เล่นที่มีชื่อเสียงซึ่งผมเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้างในระหว่างวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันภายในทัพฝั่งประตูตะวันตกเมื่อก่อนหน้านี้


พอผมคิดได้เช่นนั้น ก็พลันปรากฏชายสองคนและอีกหนึ่งสุภาพสตรีเดินออกมาด้านหน้าด้วยท่าทีที่ไม่ธรรมดา หลังจากนั้นทั้งสามคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าโกยอนจูก็ก้มหัวให้อย่างสุภาพอ่อนน้อมก่อนจะพูดขึ้น


“คิดถึงท่านเหลือเกินครับ ราชินีแห่งเงามืด”


“ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ผู้เล่นโกยอนจู”


“ไม่ได้เจอกันนานมากนะคะ พี่ยอนจู”


แม้ว่าคำทักทายของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความยำเกรงและความยินดีที่แฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้นได้


ผมมองดูพวกเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดใช้งานดวงตาที่สาม


เป้าหมายแรกคือผู้เล่นชายที่เกือบจะเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึงตรงหน้าโกยอนจูนั่นเอง


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)


1. ชื่อ (Name) : อีชานฮี (ปีที่ 3)


2. คลาส (Class) : มือสังหารส่งวิญญาณ (Secret, Assassin of Requiem, Master)


3. ถิ่นกำเนิด (Nation) : บาร์บาร่า


4. ชนเผ่า (Clan) : ผู้ลอบสังหาร(Assassin, Clan Rank : A Zero)


5. นามแท้ · สัญชาติ : คำอธิษฐานเพื่อคนตาย · เกาหลีใต้


6. เพศ (Sex) : ชาย (25)


7. ส่วนสูง · น้ำหนัก : 176.3 ซม. · 63.7 กก.


8. อุปนิยาย : ความเป็นกลาง · ความพอดี (True · Neutral)


[พละกำลัง 88] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 96] [ความแข็งแกร่ง 84] [พลังเวท 94 (+2)] [โชค 80]


(คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์)


[เปรียบเทียบทักษะ]


1. โกยอนจู : 536/600


(คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์)


[พละกำลัง 89] [ความทนทาน 90] [ความคล่องแคล่ว 97] [ความแข็งแกร่ง 85] [พลังเวท 93] [โชค 82]


2. อีชานฮี : 254/600


(คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์)


[พละกำลัง 88] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 96(+1)] [ความแข็งแกร่ง 84] [พลังเวท 94] [โชค 80]


ใช้ได้เลยนะเนี่ย


ในฮอลล์เพลนนั้น คำว่าแข็งแกร่งจะหมายความถึงการหลอมรวมกันของคลาส, ค่าความสามารถ และทักษะ (ความมีเอกลักษณ์, ทักษะพิเศษ, ทักษะแฝง) ซึ่งหากมองจากมุมมองนี้จะเห็นได้ว่าค่าความสามารถและคลาสของอีชานฮีถือว่าผ่าน


และเมื่อผมกำลังจะอ่านข้อมูลผู้เล่นที่เหลืออีกสองคนนั้นเอง ผมก็ต้องหันดวงตาที่สามหนีเพราะคิมด็อกพิลที่เข้ามาใกล้จู่ๆ ก็ยื่นมือมาทางผม


“มีนี่ด้วยนะ สักมวนไหม”


“…”


ผมคิดอย่างลังเลใจว่าจะยกนิ้วกลางให้เขาดีไหม แต่แล้วผมก็เปลี่ยนใจ


“ผมไม่สูบครับ”


“ชิ งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ไฟท์ติ้ง!”


ขณะที่ผมมองดูคิมด็อกพิลที่กำลังเดินไปยังประตูอย่างไม่รีบร้อนโดยที่ทำท่ายกนิ้วโป้งไปด้วย เห็นแบบนั้นผมก็ลืมคำที่จะพูดไปเสียสนิท แล้วไอ้ไฟท์ติ้งคืออะไรกันล่ะนั่น?


“ฮ่าๆ ผมรู้สึกมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่สถาบันแล้วล่ะ ผู้เล่นคิมด็อกพิลดูจะถูกใจแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มากเลยนะครับ”


ตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียงของซอจินอูที่เข้ามาโดยที่ผมไม่รู้ตัวดังมาจากด้านหลัง ผมถอนหายใจแผ่วเบาออกมาก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจนัก


“อ้า ครับ ว่าแต่ไม่เห็นแคลนลอร์ดโครยอเลยนะครับ เห็นว่ามีธุระนี่ครับ”


“ท่านอยู่จนถึงเมื่อสักครู่นี้เองครับ พอดีเห็นว่าธุระด่วนท่านเลยต้องไปน่ะครับ ท่านบอกว่าจะรีบกลับมา อยู่รอสักครู่ดีไหมครับ แม้จะไม่ทั้งหมดแต่หลายๆ ท่านก็จะยังอยู่จนถึงจบการประชุม ผมเลยคิดจะใช้โอกาสนี้ในการทำความรู้จักกันน่ะครับ”


ตอนที่ 2

โดย

ProjectZyphon

เขาไม่อยู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบรรยากาศถึงได้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าที่ผมคิด


ผมยักไหล่ให้กับคำพูดของซอจินอู และหลังจากที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่แล้ว ผมก็เริ่มมองไปรอบตัวอย่างช้าๆ


ไหนๆ ผมก็ต้องรอแล้วนี่ ผมเลยว่าจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยการสำรวจข้อมูลของเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ไปพลางๆ ดังนั้นผมจึงหันไปทางผู้เล่นอีกสามคนที่ผมพูดด้วยเมื่อสักครู่นี้


ผู้เล่นที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างนั้นก็คืออีชานฮี ‘มือสังหารส่งวิญญาณ’ ที่ได้เจอกันเมื่อสักครู่แล้ว ชายคนต่อมาที่กำลังมองไปยังโกยอนจูด้วยสายตาร้อนแรงคือ ‘หมอ’ ซนชีฮยอก และหญิงสาวที่กำลังพูดโม้คุยโวไปเรื่อยเปื่อยนั้นก็คือ ‘พยาบาล’ คังเยบินนั่นเอง ผมสามารถเดาได้เลยว่าพวกเขาทั้งสี่คนคงสนิทกันมากพอสมควร ดูจากที่พวกเขากลับไปรวมตัวพูดคุยกันอีกครั้งร่วมกับโกยอนจู


อีชานฮี…อ้า เป็นศัตรูสินะ ผมเคยคิดว่าเขาจะตามโกยอนจูไปในภายหลัง ส่วนซนชีฮยอกและคังเยบิน ใช่พวกเขาที่มีชื่อเสียงผ่านการทำกิจกรรมกลุ่มกันสองคนอะไรนั่นหรือเปล่านะ ความทรงจำเกี่ยวกับพวกเขานั้นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก


ผมค่อยๆ รื้อฟื้นความจำหลังจากที่ได้ดูข้อมูลผู้เล่นของซนชีฮยอกและคังเยบินแล้ว พอมาลองคิดดูแล้ว ก็พบว่าพวกเขาทั้งสองคือคนที่ผมแทบจะไม่เคยพูดถึงเลยตั้งแต่เริ่มทำกิจกรรมอย่างจริงจังมา แม้จะจำได้ไม่ละเอียดนักแต่ผมคิดว่าพวกเขาตายไปแล้วเสียอีก


ยังไม่มีทีท่าว่าการพูดคุยเรื่อยเปื่อยของทั้งสี่คนจะจบลงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาคงมีเรื่องให้คุยกันเยอะจริงๆ ผมเลียริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น รอบนี้ผมตั้งใจจะดูข้อมูลของสุภาพสตรีลึกลับที่กำลังสัมผัสไพ่ทาโร่ต์และชายคนหนึ่งที่ดูมัวหมองและกำลังนั่งก้มหัวจนเหมือนตาย


และในตอนนั้นเอง


หืม?


จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามีสายตากำลังจับจ้องผมมาจากทางด้านซ้าย และเมื่อผมหันไปทางที่ผมรู้สึกว่ามีสายตานั้นอยู่ ผมก็ได้เห็นหญิงสาวผมยาวสลวยคนหนึ่ง และถึงแม้ว่าหล่อนจะได้ปะทะสายตากับผมแล้วหล่อนก็ไม่ได้หลบตาไปทางอื่น


ริมฝีปากอวบอิ่มปิดสนิทปรากฏเด่นชัดอยู่บนใบหน้าเรียวงามรูปไข่ จมูกสูงสวยแต่ปลายกลับมนลง เอวคอดสวยและเรียวขายาว เหล่านี้ล้วนให้ความรู้สึกว่าหล่อนเป็นหญิงสาวร่างผอมบางคนหนึ่ง


แต่หากจะมีบางจุดที่น่าเสียดายก็คงจะเป็นสายตาและบรรยากาศรอบตัวหล่อนเองนั่นล่ะ


แม้ว่าดวงตาของหญิงสาวจะนิ่งสงบจนทำให้นึกถึงเซราฟ แต่รูปทรงของตากลับเลิกขึ้นเล็กน้อย นั่นทำให้ผมไม่สามารถลบความคิดที่ว่าหล่อนกำลังโกรธอยู่เล็กๆ ออกไปได้เลย และเมื่อนำทุกอย่างมาประกอบรวมกันก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวหล่อนนั้นดูจองหองอวดดีและเย็นชาได้อย่างน่าประหลาด จนผมรู้สึกเหมือนกำลังมองดูลมพายุหิมะทางเหนืออยู่อย่างไรอย่างนั้น


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)


1. ชื่อ (Name) : นัมดาอึน (ปีที่ 4)


2. คลาส (Class) : ราชินีแห่งดาบ (Secret, Queen of Sword, Master)


3. ถิ่นกำเนิด (Nation) : บาร์บาร่า


4. ชนเผ่า (Clan) : ช็อนดุน (天屯, Clan Rank : B Plus)


5. นามแท้ · สัญชาติ : ราชินีแห่งคมดาบ, ผู้ชิงชังบุรุษเพศ · เกาหลีใต้


6. เพศ (Sex) : หญิง (24)


7. ส่วนสูง · น้ำหนัก : 168.5 ซม. · 48.5 กก.


8. อุปนิสัย : ความเป็นกลาง · รอยแผลเป็น (Cool · Scar)


[พละกำลัง 93] [ความทนทาน 78] [ความคล่องแคล่ว 95] [ความแข็งแกร่ง 91] [พลังเวท 94] [โชค 93]


คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์


[เปรียบเทียบทักษะ]


1. คิมซูฮยอน : 564/600


(คะแนนความสามารถคงเหลือ 6 พอยต์จากค่าความสามารถอิสระ)


[พละกำลัง 96(+2)] [ความทนทาน 92] [ความคล่องแคล่ว 98] [ความแข็งแกร่ง 92(+2)] [พลังเวท 96] [โชค 90(+2)]


2. นัมดาอึน : 543/600


(คะแนนความสามารถคงเหลือ 0 พอยต์)


[พละกำลัง 93] [ความทนทาน 78] [ความคล่องแคล่ว 95] [ความแข็งแกร่ง 91] [พลังเวท 94] [โชค 92]


ผมแทบจะอดใจพูดบ่นพึมพำตามประสาไม่ได้ แม้จะได้ยินชื่อเสียงของหล่อนมาอย่างหนาหูในรอบแรก แต่การได้มาเห็นค่าความสามารถของหล่อนที่สูงขนาดนี้แม้จะยังไม่ได้มีอุปกรณ์มาเสริมก็นับว่าหล่อนนั้นน่าจับตามองมากทีเดียว


แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาไปเสียทีเดียว


ค่าความทนทานมีอยู่เพียงตาตุ่มเท่านั้นเองนี่


รอยยิ้มขมขื่นเผยออกมาเองโดยอัตโนมัติด้วยความรู้สึกราวกับผมกำลังมองดูตัวเองดิ้นรนเพราะปัญหาทางด้านความแข็งแกร่งอย่างไรอย่างนั้น


อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องนั้นแล้วหล่อนก็ดูเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหาและมีความพิเศษในตัวหล่อนเองอยู่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบชื่อจริงของผม ‘เจ้าของดาบ’ กับชื่อจริงของหล่อน ‘ราชินีแห่งคมดาบ’ ก็นับว่ายังมีจุดที่ผมสงสัยอยู่และผมยังอยากรู้เรื่องอุปนิสัยตรงคำว่า ‘รอยแผลเป็น’ ที่ถูกบันทึกไว้อีกด้วย


นัมดาอึนยังจ้องผมอยู่อย่างนั้นไปสักพักก่อนจะละสายตาไปเอง ดูเหมือนหล่อนจะแปลความไปว่าที่ผมมองไปกลางอากาศนั้นก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงสายตานั่นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพราะผมต้องการจะอ่านข้อมูลผู้เล่นของหล่อนต่างหากล่ะ


แกร่ก


“นี่ สายไปนิดนะ”


ในตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงเรียกผมดังขึ้นพร้อมกับเสียงประตูที่ถูกเปิดออก และเมื่อมองไปยังประตูผมก็สามารถรับประกันได้เลยว่าแคลนลอร์ดโครยอได้มาถึงแล้ว


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่อยู่หรือเปล่า”


เมื่อเขาเอ่ยปากถาม ผมจึงปิดดวงตาที่สามลงก่อนจะลุกขึ้นยืน


ทันทีที่แคลนลอร์ดโครยอเข้ามา เขาก็ขอความเห็นใจจากเราก่อนจะประกาศยกเลิกการประชุมของผู้บัญชาการ ด้วยเหตุผลว่าแคลนลอร์ดจำนวนหนึ่งที่ควรมารวมตัวกันที่นี่มีธุระส่วนตัวกันกะทันหัน เขากำลังพูดถึงปัญหาในการประสานงานกันระหว่างทัพอื่น แต่ผมกลับคิดว่าเขากำลังพูดอ้อมค้อมไปเรื่อยอยู่มากกว่า


พูดกันตามตรงแล้ว หากว่าผมจะมีความขัดเคืองอะไรกับทางตะวันออก ก็คงจะเป็นเรื่องขั้นตอนการเตรียมรับมือสงครามล่ะมั้ง ผมรู้ตัวดีว่าผมใจร้อน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกว่าขั้นตอนกระบวนการในเตรียมตัวรับสงครามนั้นเฉื่อยชามากเกินไป แถมยังมีรูรั่วอยู่หลายจุดอีกต่างหาก การยกเลิกการประชุมผู้บัญชาการนี้ทำให้เห็นว่าเรายังไม่มีกฎระเบียบที่เป็นรูปธรรมและเห็นได้ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ


พอจะรู้แล้วว่าในการต่อสู้ครั้งแรก ทำไมฝั่งตะวันออกจึงได้แพ้ราบคาบขนาดนั้น


ความไม่พอใจข้อนี้ของผมแน่นอนเลยว่าเป็นความไม่พอใจที่มาจากการเปรียบเทียบ เพราะในรอบแรกฮันโซยองเตรียมพร้อมรับสงครามอย่างละเอียดถี่ถ้วน หล่อนเด็ดเดี่ยวในเวลาที่ต้องเด็ดเดี่ยว แต่เมื่อถึงเวลาที่สถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ต้องถูกจัดการ ‘ราชินีแห่งเลือดและเหล็ก’ ก็ทำให้เห็นว่าหล่อนสามารถจัดการขั้นตอนกระบวนการทุกอย่างได้อย่างเป็นระบบ


“ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


ผมมองไปยังแคลนลอร์ดโครยอที่เห็นได้ชัดว่าดวงตาลึกโบ๋จนเรียกได้ว่าน่าเกลียด ก่อนจะส่ายหน้ากลับไปเพื่อบอกเขาว่าไม่เป็นไร


อย่างไรก็ดี ช่วงที่ฮันโซยองบินขึ้นสู่จุดสูงสุดนั้น เป็นช่วงเดียวกับที่ความคิดเรื่องสงครามมีขึ้นมาและเป็นที่ชินชากันในหมู่ผู้เล่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง และผมคิดว่าการที่เหล่าผู้เล่นในตอนนี้ยังถือว่าขาดประสบการณ์พอๆ กับที่พวกเขาเริ่มคุ้นเคยกับการเดินทางไกลเพื่อไปรบก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้อีกเช่นกัน


“พอเอาเข้าจริงๆ เมื่อการสู้รบใกล้เข้ามาพวกเขากลับไม่มีสติสตังกันเอาเสียเลยนี่สิครับ การเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว แต่ทำไมยังมีปัญหาเกิดขึ้นมาอีก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”


ก็ต้องเตรียมให้มันพร้อมเสียตั้งแต่แรกสิ ผมต้องกลืนคำพูดที่เกือบจะออกมาจากคอหอยลงไป


“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าคุณมักจะยุ่งเสมอ”


“ฮ่าๆ ขอบคุณนะครับที่พูดแบบนั้น แต่หากจะต้องแก้ตัว เห็นจะเพราะอีฮโยอึลได้เสนอแนวทางเกี่ยวกับปัญหานั้นเราจึงกำลังอยู่ในระหว่างหารือกันอยู่น่ะครับ”


“แนวทางหรือครับ ไม่ใช่ว่าการเตรียมพร้อมทุกอย่างเกือบจะเรียบร้อยหมดแล้วหรอกหรือครับ”


“อ้า ก็เป็นตามนั้นครับ เพียงแต่เธอบอกว่าต้องระวังตัวแปรบางอย่างด้วยน่ะครับ เธอบอกว่าเราควรต้องคัดเลือกผู้เล่นจำนวนหนึ่งที่มีความสามารถเพื่อเตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ…และเพื่อที่จะทำเช่นนั้นได้ ผมจึงต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งกับการจัดทัพมันจึงออกมาเป็นแบบนั้นครับ เพราะหากเราเลือกผู้เล่นอย่างไม่รอบคอบแล้ว อาจทำให้เราเสียสมดุลที่ปรับไว้อย่างดีที่สุดแล้วได้นะครับ”


แคลนลอร์ดโครยอทำหน้าเหมือนคิดหนักก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ


“ผมกำลังหมายความว่าเรามีกันแค่สองคนเท่านั้น และผมเองก็รู้ดีว่าความจริงแล้วสงครามครั้งนี้ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบนัก ดังนั้นจึงพอจะเข้าใจว่าอีฮโยอึลต้องการจะพูดอะไร โดยส่วนแต่แล้ว ผมเองก็ไม่ได้ชอบเธอนักแต่ว่า…มันก็ไม่เคยมีผลเสียอะไรเกิดขึ้นกับผมเพราะการรับฟังอีฮโยอึล ดังนั้นจึงคิดว่าเราจำเป็นต้องเก็บมันไว้ในใจน่ะครับ”


ผมรู้สึกแปลกใจและจ้องไปที่แคลนลอร์ดโครยอ ความจริงแล้วเขามีสิทธิ์ที่จะชะตาขาดในสงครามครั้งนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งตามที่ผมพอจะหยั่งรู้ได้นั้น หลังจากที่ฝั่งตะวันออกแพ้ลุ่ยไปแล้ว พวกเขาก็ยังได้รับการโจมตีจากบรรดาศัตรูอยู่ และแคลนลอร์ดโครยอลอร์ดก็เข้าร่วมโดยทำหน้าที่อยู่กองป้องกันการโจมตีนั่นเอง


การประเมินโดยทั่วไปของแคลนลอร์ดโครยอถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าเขาจะมีความตรงไปตรงมาและเถรตรงเกินไปบ้าง แต่ในฐานะแคลนลอร์ดก็นับว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถและศักยภาพมากพอเช่นกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไร สิ่งที่เขาเปิดเผยสู่ภายนอกอาจจะดูคล้ายผม แต่ในความเป็นจริงแล้วนับว่าเราแตกต่างกันมากทีเดียว


“ตอนนี้ผมยังไม่สามารถตัดสินใจเรื่องการแก้ปัญหาได้ในตอนนี้ เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าจะขอใช้เวลาคิดให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะการต่อสู้กำลังใกล้เข้ามาแล้วในตอนนี้น่ะครับ”


“…ผมเข้าใจครับ แต่ได้ยินว่าคุณเรียกผมมานี่ครับ”


“อ้า มัวแต่คิดว้าวุ่นจนลืมประเด็นสำคัญไปเสียสนิทเชียวครับ ที่ผมยังให้แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่อยู่ก็เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้องน่ะครับ”


“ขอร้องงั้นหรือครับ”


แคลนลอร์ดโครยอพยักหน้าตอบกลับมา


“ครับ ไม่เชิงว่าเป็นการขอร้องเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับแพคซอยอนน่ะครับ ทางผมนั้นรู้สึกขอบคุณที่คุณได้ทำการส่งมอบเธอมาให้กับเรา เพราะแบบนี้ทำให้เผ่าทั้งหลายสามารถจัดการกับปัญหาสายลับภายในเผ่าของตนได้ครับ”


“ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ ผมโล่งใจเสียอีกที่ปัญหาถูกจัดการได้เสียทีน่ะครับ”


“ครับ ความจริงผมควรจะคืนเธอให้ แต่รู้มาว่าแพคซอยอนจะต้องโทษประหารตามการตัดสินพิจารณาคดีของอีสตันเทลลอว์ล่ะครับ”


“ใช่ครับ ทางนั้นไม่มีความคิดที่จะไว้ชีวิตเธอและคิดจะสำเร็จโทษเธอให้เสร็จสิ้นก่อนการสู้รบจะเกิดขึ้นถ้าหากเป็นไปได้ครับ”


ผมตอบไปตามที่ผมคิดไว้เสมอ เพียงเท่านั้น ผมก็ได้เห็นว่าความเหน็ดเหนื่อยแม้จะเพียงเล็กน้อยสลายหายไปจากสีหน้าของโครยอลอร์ดในทันที


โครยอลอร์ดพูดขึ้นอีกครั้ง


“นั่นนับว่าเป็นเรื่องดีเลยนะครับ ถ้าอย่างนั้น…คุณพอจะชื่นชอบอีเวนต์นี้บ้างหรือไม่ล่ะครับ”


เรื่องดีอย่างนั้นเหรอ


ผมเกิดความสงสัยเกี่ยวกับคำพูดที่ไม่คาดคิดของแคลนลอร์ดโครยอขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาที่กำลังอมยิ้มเล็กๆ อยู่ต่อหน้าผมในตอนนี้


ตอนที่ 3

โดย

ProjectZyphon

เวลาผ่านไป และในที่สุดกำหนดการเดินทัพก็ถูกปล่อยออกมาแล้ว แม้โดยส่วนตัวแล้วผมจะยังรู้สึกว่าการเตรียมพร้อมยังขาดตกบกพร่องอีกมาก แต่ด้วยการกระทำของเผ่าสิงโตทองคำ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมจึงจำเป็นต้องออกเดินทัพอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ


ทันทีที่ผมมาถึงสถานที่ปล่อยทัพผมก็ต้องตกใจ เพราะจำนวนคนที่ล้นหลามจากการรวมตัวกันของฝูงชนเหล่าผู้เล่นฝั่งตะวันออกทั้งหมดนั่นเอง และรอบแท่นพิธีที่ถูกติดตั้งไว้ตรงใจกลางจัตุรัสที่กำลังวุ่นวาย ปรากฏเหล่าผู้เล่นจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันคนที่เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้กำลังยืนเรียงแถวตามทัพที่ตนสังกัดกันด้วยตนเอง แต่อีกสถานที่หนึ่งกลับมีบรรยากาศที่คึกคักเร่าร้อนเพราะเต็มไปด้วยกลุ่มคนมหาศาลจนไม่เหลือที่ให้ยืน


“เฮฮฮ!”


ในตอนนั้นเองเสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ จุดรวมของเสียงตะโกนโห่ร้องนั้นก็คือแคลนลอร์ดโครยอและเหล่าผู้ติดตามของเขาที่เดินตามมาด้านหลังและกำลังฉุดกระชากลากถูผู้เล่นหญิงสาวมาด้วยคนหนึ่งนั่นเอง


หลังจากมาถึงใจกลางพิธีแล้วแคลนลอร์ดโครยอก็เดินขึ้นไปบนแท่นพิธีทันที ผมหันสายตาไปพินิจพิเคราะห์ทางแท่นพิธีอย่างรวดเร็ว ผมจึงทันเห็นเหล่าผู้ติดตามที่ลากแพคซอยอนมาจับให้หล่อนนั่งคุกเข่าลงตรงใจกลางพิธีนั้นเอง


หลังจากที่ใช้เวลาไปอึดใจหนึ่งในการเตรียมพร้อม งานกล่าวสุนทรพจน์ก่อนการเดินทัพก็ได้เริ่มต้นขึ้น


“ผู้เล่นฝั่งตะวันออกที่เคารพรักทุกท่าน พวกเราทุกคนต่างรอคอยเวลานี้กันมาเนิ่นนานเหลือเกิน”


และเมื่อแคลนลอร์ดโครยอลอร์ดเริ่มพูด เสียงอึกทึกวุ่นวายก็พลันเงียบลงไปในชั่วพริบตา


“ผมจะไม่ขอพูดให้ยืดยาว บัดนี้ถึงเวลาแล้วครับ”


“เฮฮฮ!”


เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้ง แคลนลอร์ดโครยอยังคงกล่าวสุนทรพจน์ต่อไปอย่างฉะฉานท่ามกลางความโกลาหลเหล่านั้นราวกับใช้เวทขยายเสียง


“สถานการณ์ในตอนนี้…”


ขณะที่ผมกำลังตั้งใจฟังสุนทรพจน์อยู่เงียบๆ นั้นเอง โกยอนจูที่ยืนอยู่ข้างผมทางด้านขวาก็ได้กระซิบกับผม


“ซูฮยอน ทำไมถึงปฏิเสธล่ะคะ”


“ครับ?”


“อีเวนต์น่ะสิคะ ทั้งที่คุณจะเป็นจุดเด่นแท้ๆ เลยนะคะ”


“ไม่ละครับ ถึงจะไม่เกี่ยวกับอีเวนต์อะไรพวกนั้น แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะตกเป็นประเด็นหรอกนะครับ”


ผมตอบไปแบบง่ายๆ ก่อนจะหันไปมองแพคซอยอนที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงกลางแท่นพิธี แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่เพียงมองแค่สภาพหล่อน ผมก็สามารถบอกได้แล้วว่าหล่อนกำลังเข้าใกล้คำว่าอ่วมเข้าไปทุกที


เสื้อผ้าถูกฉีกขาดหลายจุดและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าหล่อนคงจะถูกแตะต้องจากเหล่าผู้เล่นนับไม่ถ้วนระหว่างที่ถูกส่งมอบไปยังเผ่าต่างๆ เป็นแน่ เพราะถ้าหากสนใจแค่เพียงเพศสภาพของหล่อนแล้ว แพคซอยอนก็ถือว่าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่ง


“…เพราะแบบนั้นครับ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยจับตาดูตรงนี้กันให้ดีด้วยนะครับ พวกเร่ร่อนที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่นี่ตอนนี้ ทุกๆ ท่านคงจะรู้นะครับว่าเธอเป็นใคร เธอคือแพคซอยอนหนึ่งในตัวจริงที่ทำให้ทวีปทางเหนือต้องตกอยู่ในความวุ่นวายนั่นเองครับ”


“วู้ววว!”


“ฮ่าๆ เหตุผลที่แพคซอยอนมาอยู่ตรงนี้ ใช่ครับ อย่างที่ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว…นั่นก็เพราะผู้เล่นคิมซูฮยอน แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ผู้ที่ทำให้แผ่นดินใหญ่ลุกเป็นไฟอยู่ขณะนี้จับเธอมานั่นเองครับ ดังนั้นผมจึงปรารถนาจะใช้ที่ตรงนี้ในการถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งแก่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่สักครู่นะครับ”


ในตอนนั้นผมก็รู้สึกได้ว่าตัวผมตกเป็นเป้าสายตาจากผู้คนรอบข้าง พร้อมกับเสียงตะโกนโห่ร้องที่ดังต่อเนื่องราวดอกไม้ไฟ


“โว้ววว!”


“คิมซูฮยอน! คิมซูฮยอน! คิมซูฮยอน!”


จะทำยังไงดีล่ะทีนี้


อย่าเรียกชื่อผมกันนักสิ


“คิมซูฮยอน! คิมซูฮยอน! คิมซูฮยอน!”


พอเถอะ ขอร้องล่ะ


“โอ้ว! พวกเขาเรียกชื่อที่รักของฉันด้วยละ โบกมือให้พวกเขาหน่อยเถอะค่ะ”


“ไม่เอาหรอกครับ”


ผมปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใย เมื่อผมรู้สึกไม่สะดวกใจ เสียงของโกยอนจูก็กลับทำให้ผมรู้สึกเบิกบานขึ้นมาได้


เวลาผ่านไปเช่นนั้นสักพัก จนเมื่อเสียงโห่ร้องตะโกนเรียกชื่อผมค่อยๆ เงียบลงไปแล้ว ผมจึงสามารถกลับไปให้ความสนใจกับแท่นพิธีได้อีกครั้ง แคลนลอร์ดโครยอเดินเข้าไปหาแพคซอยอนและดึงดาบเงาวับเพราะต้องแสงแดดของเขาออกมาโดยที่ผมไม่รู้ตัว


“ฉันเชื่อว่าเราจะสามารถคว้าชัยชนะในสงครามครั้งนี้มาได้แน่นอนครับ ถ้าอย่างนั้นก่อนที่เราจะเริ่มเดินทัพกัน ผมมีบางอย่างอยากจะถามทุกท่านครับ แพคซอยอนเป็นพวกเร่ร่อน เราจะจัดการกับคนเร่ร่อนคนนี้อย่างไรดีครับ”


“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”


“ใช่แล้วครับ โดยปกติแล้วหลายเผ่าเลือกที่จะดัดนิสัยพวกเร่ร่อน หรืออาจจะมีบางเผ่าที่ยืนกรานว่าต้องเก็บพวกนี้ไว้ แต่ผมคิดต่างออกไปครับ พวกเร่ร่อนเป็นศัตรูของเหล่าผู้เล่น และเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดเสียให้สิ้นซากโดยไม่มีเงื่อนไขครับ หากจะให้ยกตัวอย่างใกล้ๆ ตัวล่ะก็ ทุกท่านคงจะทราบกันดีถึงแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเร่ร่อนรวมถึงผลลัพธ์ที่กลับมาด้วยเช่นกันนะครับ”


เป็นการเหน็บแนมเผ่าสิงโตทองนิดๆ เท่าเม็ดถั่วเขียว


แต่การกล่าวสุนทรพจน์ของแคลนลอร์ดโครยอในสถานการณ์เช่นนี้ นับว่ามีพลังในการโน้มน้าวสูงมาก เพราะเหล่าผู้เล่นยิ่งตะโกนเรียกร้องให้สังหารหล่อนกันหนักหน่วงยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก พร้อมๆ กับเสียงโห่ร้องเหล่านั้น ผมเห็นเขาค่อยๆ ยกดาบในมือขึ้นมาช้าๆ


“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่นี้ไป”


“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”


“ผมขอประกาศการช่วงชิงบาร์บาร่าแห่งเมืองทางตะวันออกกลับคืนมาอย่างเป็นทางการนับแต่นี้เป็นต้นไปครับ!”


“วู้ววว!”


และในเวลาเดียวกันกับที่ประกาศการช่วงชิงอย่างเป็นทางการออกมา เมื่อความบ้าระห่ำของเหล่าผู้เล่นพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ดาบที่แคลนลอร์ดโครยอถืออยู่ก็ฟันฉับลงไปทันที


ฉับ!


เป็นการโจมตีที่เฉียบขาดจริงๆ


ศีรษะของแพคซอยอนลอยคว้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่หนึ่งก่อนจะตกลงมากลิ้งหลุนๆ อยู่ที่พื้น เลือดเป็นสายเล็กๆ ของหล่อนที่พุ่งกระฉูดออกมาจากคอพุงกระจายขึ้นไปบนอากาศอย่างงดงาม


“เราจะเริ่มเดินทัพจากทัพฝั่งประตูตะวันออกก่อนครับ ทุกคนเข้าประจำที่!”


แพคซอยอนถูกสำเร็จโทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


หลังจากการสำเร็จโทษแพคซอยอนต่อหน้าธารกำนัลจบลง เขาก็ประกาศเดินทัพอย่างจริงจังไปยังบาร์บาร่าต่อเป็นการปิดท้าย


มีหลายเส้นทางที่สามารถใช้ในการเดินทางไปยังบาร์บาร่าได้ แต่วิธีที่ทำให้เดินทางได้เร็วที่สุดคือการเลือกใช้ทางที่เป็นเส้นตรง


ความจริงแล้วหากเราลองมองดูเส้นทางการอพยพของเมืองทางตะวันออกแล้ว จะพบว่าเกือบทุกเส้นทางจะเป็นเส้นตรง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณสามอาทิตย์กว่าที่เราจะไปถึงที่หมาย โดยอิงจากเวลาที่ใช้ในการอพยพ


และในตอนนี้ทางตะวันออกก็กำลังเดินทัพผ่าน ‘ดินแดนรกร้างอันลึกลับ’ กันอยู่


ดินแดนรกร้างอันลึกลับนั้นเป็นสถานที่แรกที่จะได้พบหลังจากที่ออกมาจากพรินซิก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่ารายงานการพบเจอซากโบราณสถานมาก่อนนั่นเอง ซากโบราณสถานที่ถูกขุดค้นพบที่นี่จนถึงตอนนี้จะมีถึงหกที่หรือเปล่านะ


ยิ่งเวลาผ่านไปความมีเสถียรภาพของเหล่าผู้เล่นก็บรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็วเนื่องจากการผลักดัน และความสนใจก็จะค่อยๆ จางหายตามไปด้วย…ทำไมน่ะหรือ ก็มันมีคำพูดอยู่ว่าใกล้แค่ปลายจมูกอยู่นี่นะ


ดินแดนรกร้างอันลึกลับแห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่และกินพื้นที่มหาศาล จะต้องใช้เวลาโดยเฉลี่ยแล้วประมาณสิบเอ็ดวันในการจะข้ามที่นี่ไปยังดินแดนถัดไป ข้อมูลนี้ทำให้เราพอจะคาดเดาขนาดของมันได้อย่างคร่าวๆ


อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นดินแดนใหญ่แต่สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ความกว้าง แต่ตามที่ผมพอจะจำได้นั้น เหมือนว่าที่นี่จะยังมีสถานที่ที่ยังไม่ได้ถูกขุดค้นพบเหลืออยู่อีกสองที่ด้วยกัน


‘ดินแดนแห่งสวรรคืที่สาบสูญและเจดีย์แห่งวัลฮัลลา’


ในคราแรกนั้นผมเคยคิดจะอยู่ที่นี่เสียด้วยซ้ำ สุดท้ายแม้ว่าตาชั่งจะเอียงไปทางเมืองแห่งเวทมนต์มาเจีย แต่ดินแดนแห่งสวรรค์ที่สาบสูญและเจดีย์แห่งวัลฮัลลาก็เป็นซากโบราณสถานที่ผมจะต้องยึดครองให้ได้


“แถว ตรง!”


ในตอนนั้นเอง เสียงก้องกังวานก็ดังมาจากกองหน้า ผมตื่นออกมาจากภวังค์ ก่อนจะรู้สึกถึงลมหายใจที่หนักหน่วงของตนเอง


“เรามากันถึงครึ่งทางแล้วนะครับ! เราจะพักกันที่นี่สักพักครับ!”


เสียงตะโกนดังขึ้นมาอีกครั้ง และไม่ทันขาดคำนั้นผมก็เห็นเหล่าผู้เล่นวางสัมภาระลงพร้อมๆ กันจนเกิดเสียงดังโครม


คงจะเหนื่อยกันมากเลยสินะ


การเดินทัพของทางฝั่งตะวันออกเป็นไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนเรียกได้ว่าเป็นทัพที่โหมเดินทางกันอย่างหนักเลยทีเดียว แม้ผู้เล่นที่เข้าร่วมจะมีจำนวนมาก แต่จากคำพูดของแคลนลอร์ดโครยอนั้น เป้าหมายแรกของเราคือการบุกผ่านดินแดนรกร้างอันลึกลับให้ได้ภายในเจ็ดวัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เหล่าผู้เล่นที่มีกำลังด้อยจะออกมาได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น


และเพราะยังเป็นช่วงเริ่มแรก ดังนั้นการหักโหมทำอะไรเกินกำลังก็ยังพอจะยอมรับได้ในระดับหนึ่ง


ผมคิดว่าจะไปเยี่ยมดูเด็กๆ ดีหรือไม่ แต่อีกใจก็คิดว่าไม่ดีกว่า ผมควรจะไปดูว่าพวกเขาปรับตัวได้ดีหรือไม่เพียงแค่ครั้งสองครั้งก็พอ เพราะถ้าผมไปหาบ่อยๆ เหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ในทัพที่พวกเขาสังกัดอยู่ อาจจะมองแปลกๆ เอาได้


ดังนั้นผมจึงเดินออกไปข้างนอกเพื่อหาที่นั่งบ้าง ในตอนนั้นเอง ผู้เล่นคนหนึ่งที่กำลังวิ่งวุ่นไปรอบๆ ก็เข้ามาพูดกับผม


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ตอนนี้เป็นเวลาพักอยู่ ผมว่าเราน่าจะทานอาหารด้วยกันหน่อยนะครับ”


“ไม่เป็นไรครับ ท้องไส้ข้างในไม่ค่อยดีนิดหน่อยน่ะครับ”


“รู้สึกไม่สบายเหรอครับ ถ้าหากอาการไม่ดี ผมจะไปที่ทัพที่สี่ แล้วจะกลับมานะครับ”


“ไม่จำเป็นต้องไปเรียกนักบวชมาหรอกครับ ผมขอออกไปหาที่ปลอดโปร่งแล้วก็อากาศถ่ายเทสะดวกดีกว่าครับ”


“เข้าใจแล้วครับ แต่ก็เผื่อไว้ก่อน คุณอย่าออกไปไกลนักนะครับ”


ผมพยักหน้ารับคำผู้เล่นคนนั้นไปสองครั้งเพื่อเป็นการบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วงผม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม