Memorize เล่มที่ 17 ตอนที่ 4-10

เล่มที่ 17 ตอนที่ 4

 

ผมพยักหน้าให้คำพูดที่สมเหตุสมผลของอีฮโยอึลเงียบๆ หลังจากส่งบันทึกนั้นต่อให้โกยอนจูแล้ว ผมก็พาแพคซอยอนไปนั่งที่เก้าอี้ เพราะค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง ทำให้ผมต้องลำบากในท่านั้นอยู่เล็กน้อย เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็ได้พบกับสายตามากมายที่ส่งมาทางผม ในสายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ 


 


แม้มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้น้อยลงเลย ผมยืดตัวขึ้นแล้วสบตากับพวกเขาโดยตรง ผมพูดขึ้นพร้อมก้าวเท้าออกไปอย่างมั่นใจ 


 


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมคิมซูฮยอน ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่โมนิก้าและเป็นผู้บริหารจัดการเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ซึ่งเป็นเผ่าทหารรับจ้างอิสระครับ” 


 


เมื่อผมจบคำทักทายอย่างง่ายๆ ลง ก็มีเสียงปรบมือเบาๆ ดังตามมา และในตอนนั้น ใบหน้าของพี่ก็ปรากฏเข้ามาในสายตา 


 


พี่มองผมด้วยใบหน้าที่แสนประทับใจอย่างสุดซึ้ง เหมือนสายตาของพ่อแม่ที่มองดูลูกชายคนโตของตนไม่มีผิด อย่างไรก็ตาม ผมก็อธิษฐานให้พี่เขาช่วยอยู่เงียบๆ ในครั้งนี้ด้วย แล้วจึงส่งหน้าที่ต่อให้อีฮโยอึล แต่หล่อนก็เข้ามาใกล้ผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวเสียแล้ว 


 


“ถึงแม้ว่าทุกท่านจะรู้เรื่องคร่าวๆ จากฉันมาบ้างแล้ว แต่ก็คงมีท่านที่อยากมายืนยันต่อหน้าด้วยตาตัวเองอยู่มากทีเดียว ความจริงแล้ว ท่านที่คิดเช่นนั้นมีเยอะเลยสินะคะ?” 


 


อีฮโยอึลยกหางเสียงขึ้น แล้วจู่ๆ ก็มาจับที่แขนผมและพูดต่อ 


 


“ท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้ เป็นผู้เล่นที่มีความผูกพันลึกซึ้งกับฉัน เป็นน้องชายแท้ๆ ของแคลนลอร์ดแฮมิลที่อยู่ทางโน้น และเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ แน่นอนว่าย่อมมีสิ่งที่สำคัญที่สุด ทุกท่านคงจะได้ยินข่าวลือกันมาหมดแล้วนะคะ เมื่อครั้งที่พวกเร่ร่อนโจมตีครั้งแรกนั้น ในวันนั้นแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เองก็อยู่ที่มิวล์ด้วย…” 


 


“ผมมีจุดที่สงสัยเกี่ยวกับส่วนนั้น ต้องการจะถามแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ” 


 


ในตอนนั้นใครบางคนก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เมื่อผมหันไปมองก็เห็นชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวทางซ้ายมือกำลังยกมือขึ้นถามอยู่ เมื่อลองมองดูก็เห็นว่ามีคำว่า ‘ซู’ สักเอาไว้อยู่ ผมกำลังจะพยักหน้าให้ แต่อีฮโยอึลก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วห้ามเอาไว้ 


 


“ไม่เห็นหรือว่าฉันกำลังพูดอยู่น่ะ” 


 


“ขะ ขอโทษครับ แต่เพราะผมสงสัยจริงๆ…” 


 


“ฉันบอกไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วแท้ๆ…จิ๊ แต่เอาเถอะ ตอนนี้ฉันยังไม่อนุญาตให้ถาม ยังไงก็จะมีเวลาให้ถามอยู่แล้ว ไว้ค่อยถามแล้วกัน” 


 


“ครับ! เข้าใจแล้วครับ” 


 


อีฮโยอึลพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกันนั้นหล่อนก็ได้จับเส้นผมของแพคซอยอนขึ้นมา เปิดเผยใบหน้าให้ทุกคนได้เห็น 


 


“ขอโทษนะคะ แต่ฉันขอพูดอีกรอบ หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนี้คือพวกเร่ร่อนชื่อแพคซอยอน เป็นบุคคลที่มีชื่อเสื่อมเสียมากมายนัก ฉันเชื่อว่าไม่มีท่านใดที่ไม่ทราบเรื่องนี้ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ จะไม่อธิบายอย่างง่ายๆ ให้ทุกท่านที่นี่ทราบสักหน่อยหรือคะว่าจับกุมหญิงเร่ร่อนคนนี้ได้อย่างไรกัน” 


 


“ครับ หลังออกจากมิวล์และอยู่ระหว่างทางกลับเมือง พวกเราโดนพวกเร่ร่อนสะกดรอยตามาครับ ผมกับพวกผู้เล่นที่อยู่ด้วยกันได้เปิดสงครามกับคนพวกนั้น ผมจับเชลยมาได้หลายคนพร้อมกับเอาชนะพวกมันได้ เรื่องก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ”  


 


ผมพูดง่ายๆ ตามที่อีฮโยอึลบอก แต่เนื้อเรื่องที่พูดไปนั้นไม่ได้ง่ายด้วยเลย ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่ดังอึกทึกในห้องประชุมที่เคยเงียบสงบ 


 


เพราะพวกเขาเองก็รู้ว่าเป็นปีแรกของผม ดังนั้นปฏิกิริยาแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ผมลองตั้งใจฟังบรรดาเสียงเซ็งแซ่ที่ดังก้องห้องประชุมดู 


 


“อะไรกัน ถ้างั้นแสดงว่าข่าวลือเป็นจริงงั้นเหรอ ไม่ใช่เรื่องโม้หรอกเหรอ” 


 


“ไม่รู้จะพูดอะไรเลย เพราะฉันเองก็คิดว่าเป็นเรื่องหลอกลวงเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ฉันได้เจอกับผู้เล่นคนหนึ่งที่หนีจากมิวล์มาได้…” 


 


“เป็นปีซวยจริง ในที่สุดก็โดนจับสินะ” 


 


“สมน้ำหน้า คราวฉิบหายของพวกเร่ร่อนจริงๆ” 


 


พวกผู้เล่นพยายามดูให้แน่ชัดว่านั่นคือแพคซอยอนจริงๆ แล้วยังมีผู้เล่นหลายคนที่แสดงสีหน้าโกรธแค้นออกมา แต่ถึงอย่างนั้น แพคซอยอนก็ยังคงสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมากกว่าผมไปขั้นหนึ่งอยู่ดี 


 


ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที อีฮโยอึลจึงยกมือขึ้นมา ทำให้ความโกลาหลนั้นสงบลง หล่อนปล่อยเส้นผมของแพคซอยอนลงแล้วพูดต่อ 


 


“ถ้าเช่นนั้น เนื่องจากหลายท่านต้องการมีส่วนเกี่ยวข้อง ฉันจึงจะขอเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบนะคะ ราชินีแห่งเงามืด?” 


 


“ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว” 


 


อีฮโยอึลขยิบตาให้กับคำตอบที่ดูสดชื่นของโกยอนจูแล้วจึงค่อยๆ ผงกหัวช้าๆ 


 


“ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นจะตอบคำถามที่เขียนไว้ในบันทึกใช่ไหมคะ ช่วงถามคำถามตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่เลยค่ะ” 


 


“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ขอเวลาสักครู่ค่ะ” 


 


โกยอนจูย้ายไปตรงหน้าแพคซอยอนตามคำขอของอีฮโยอึล ผมถอยหลังออกมาแล้วย้ายไปยืนอยู่ข้างอันซลที่ยืนทำหน้าไม่สบายใจอยู่ โกยอนจูเชยคางแพคซอยอนขึ้นมา พร้อมกับกวาดตามองโดยรอบ 


 


“จะเริ่มเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ” 


 


หล่อนถือบันทึกที่มีคำถามไว้ในมือซ้ายแล้วเริ่มอ่านคำถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า 


 


“ข้อหนึ่งผู้เล่นของทวีปทางตะวันตกและพวกเร่ร่อนที่เข้ารุกรานทวีปทางเหนือ มีจำนวนทั้งหมดเท่าไหร่” 


 


“ฉันไม่รู้รายละเอียดนัก…แต่รู้ว่ามีประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคนค่ะ” 


 


เสียงแหบแผ่วเบาที่มีพลังเพียงเล็บมือจนไม่สามารถหาเสียงได้ ดังขึ้นท่ามกลางห้องประชุม จนถึงตอนนั้น เสียงดังวุ่นวายภายในห้องประชุมก็พลันหายไปทันที อีฮโยอึลจึงได้ถามคำถามถัดไป 


 


“ข้อสอง ถ้าอย่างนั้นผู้เล่นที่บัญชาการผู้เล่นของทวีปทางตะวันตกคือใครกัน” 


 


“ชื่อไซม่อนค่ะ ข้อมูลโดยละเอียดนั้น ฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ได้ยินว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในเขตนอกกฎหมายของทวีปทางตะวันตกค่ะ” 


 


“ข้อสาม เหตุผลที่พวกเร่ร่อนเข้ารุกรานทวีปทางเหนือก็เพื่อล้างแค้นจากแผนการล้างเผ่าพันธุ์พวกเร่ร่อนใช่หรือไม่” 


 


“ไม่ใช่นะคะ จริงอยู่ที่มีความแค้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์สุดท้ายหรอกค่ะ” 


 


เป็นคำพูดที่คาดไม่ถึง เสียงวุ่นวายที่เกือบจะเงียบลงไปแล้วกลับเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่ายังไม่ทันที่แพคซอยอนจะตอบจนจบ ดวงตาของหล่อนก็กลับเป็นมันวาวไปด้วยสีขี้เถ้า 


 


“ถ้าอย่างนั้น จุดประสงค์หลักของพวกเร่ร่อนคืออะไรกันแน่” 


 


“มันคือ…” 


 


แพคซอยอนเว้นช่วงไปสักพัก แล้วจึงพูดต่อจนจบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง 


 


“การเปลี่ยนทวีปทางเหนือให้เป็นตะวันตกค่ะ” 


 


ทวีปทางตะวันตกเป็นพื้นที่ที่แตกต่างกับทวีปอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ถ้าหากทวีปทางตะวันออก ใต้และเหนือต่างกำลังเตรียมตัวอย่างเป็นจริงเป็นจังเพื่อที่จะได้รับซีโร่โค้ดตามเป้าหมายของแต่ละทวีป ก็จะเห็นได้ว่าทวีปตะวันตกนั้นเป็นทวีปที่มีสงครามกลางเมืองไม่เคยหยุดหย่อน เป็นที่ที่การฆ่าฟัน, ปล้นจี้, ข่มขืนกระทำชำเรา และการกระทำชั่วร้ายทั้งหมดทั้งปวงเกิดขึ้นเป็นประจำ 


 


เป็นทวีปที่แสดงให้เห็นตอนจบของฉากสุดท้ายจนเรียกได้ว่าเป็น ‘เขตนอกกฎหมาย’ นั่นเอง 


 


เพราะแบบนั้นคำพูดของแพคซอยอนที่ว่า ‘การเปลี่ยนทวีปทางเหนือให้เป็นตะวันตก’ นั้น จึงมีน้ำหนักไม่เบาทีเดียว 


 


ตามคาด เมื่อแพคซอยอนพูดจบ ภายในห้องประชุมก็เริ่มเกิดความวุ่นวาย เสียงโหวกเหวกหนวกหูเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาต่างมองหน้ากันไปมา ดูคล้ายกำลังสับสนงงงวยกันไม่เบาเลยทีเดียว 


 


“หยุด! ได้ฟังเรื่องทั้งหมดกันมาก่อนแล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังวุ่นวายแบบนี้อีก” 


 


และในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนแหลมบาดหูของอีฮโยอึลก็ดังขึ้น ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในห้องประชุม ภาพของหล่อนที่ผมเห็นนั้นดูต่างจากครั้งก่อนที่พบกันมากนัก ความจริงหล่อนบอกว่าทำหน้าที่ผู้พิทักษ์มาเจ็ดปีแล้ว นอกจากหล่อนจะได้รับประสบการณ์โดยการประทับตราในช่วงนั้น ถ้าหากหล่อนไม่เปิดเผยความสามารถในการครอบครองคงน่าเสียดายแย่ 


 


“ยังมีคำถามเหลืออยู่อีก สิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็ยังมีอีกมากมาย ไคลแม็กซ์ก็ยังไม่ออกมาเลยด้วยซ้ำ หากรีบตกใจกันเสียตั้งแต่ก่อนหน้านี้ คงลำบากกันแย่เลยนะคะ” 


 


“เฮ้อ หากนี่ไม่ใช่ไคลแม็กซ์ แล้วมันคืออะไรกันแน่ล่ะ อีฮโยอึล?” 


 


ขณะนั้น บุคคลสำคัญท่านหนึ่งที่นั่งเงียบอยู่ ณ ที่นั่งอันทรงเกียรติมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็ได้เอ่ยขึ้น อายุของท่านผู้นั้นดูราวสี่สิบกว่าๆ น่าจะได้ เป็นชายรูปงามที่มีดวงตาเป็นมิตรและเครื่องหน้าที่เด่นชัด อีฮโยอึลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยให้กับลักษณะการพูดที่แฝงไว้ด้วยความหยิ่งยโส แล้วตอบออกไป 


 


“ถ้ารอดูก็จะทราบเองค่ะ แคลนลอร์ดโครยอ” 


 


หล่อนมองไปยังโกยอนจูที่ยืนเหม่อลอยอยู่แล้วจึงพูดต่อ 


 


“ราชินีแห่งเงามืด ช่วยถามต่อทีได้ไหมคะ” 


 


โกยอนจูผงกหัวช้าๆ แล้วจึงเริ่มถามคำถามกับแพคซอยอนอีกครั้ง 


 


“การเปลี่ยนทวีปทางเหนือให้เป็นตะวันตก เธอช่วยพูดเรื่องนี้ให้ละเอียดกว่านี้หน่อยจะได้ไหม” 


 


คำถามใหม่ถูกถามขึ้น เพียงพริบตาเดียว ทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทุกคนที่นี่ต่างมุ่งสายตาไปที่ปากของแพคซอยอน และให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ขณะที่กำลังตกอยู่ในสายตาของทุกคน ริมฝีปากของหล่อนก็ขยับแยกออก 


 


“ค่ะ ก้าวแรกเพื่อการเปลี่ยนทวีปทางเหนือให้เป็นตะวันตก ก็คือการสังหารผู้พิทักษ์ของทวีปทางเหนือค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็สำเร็จไปแล้วด้วยการสังหารแม่ทูนหัวค่ะ” 


 


“อะไรนะ นี่เธอกำลังบอกว่าไอ้พวกเร่ร่อนมันสังหารแม่ทูนหัวอย่างนั้นเหรอ” 


 


เมื่อหล่อนพูดต่อ เสียงพูดคุยราวกับปะทัดก็ดังขึ้นตามมา แม้ว่าจะได้ฟังจากอีฮโยอึลมาบางส่วนแล้วก็ตาม  แต่การรับฟังมากับการได้มาฟังเองโดยตรงก็ยังมีความแตกต่างอยู่ โดยเฉพาะยิ่งเป็นคำที่พูดต่อหน้า ‘ดวงตาแห่งการล่อลวง’ ที่ช่วยสกัดกั้นความน่าจะเป็นที่หล่อนจะโกหกไว้อีกด้วย 


 


“ถ้าอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นฝีมือของโดยองรกหรอกเหรอ” 


 


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่…! อ๊ะ เดี๋ยวนะ” 


 


มีเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา แล้วก็เงียบ แล้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง และเงียบลง แล้วก็ดังขึ้นอีกหน 


 


ขณะที่สถานการณ์ที่น่าสนุกนี้กำลังเกิดขึ้นซ้ำไปมา อีฮโยอึลก็ได้ก้าวออกมาเบื้องหน้าหนึ่งก้าว แล้วเดินช้าๆ ไปตามทางตรงกลางราวกับจงใจจะแสดงความสบายใจออกมาให้เห็น 


 


“ใช่แล้วล่ะ คนร้ายน่ะ ไม่ใช่เผ่าสิงโตทองแล้วก็ไม่ใช่เราด้วย แต่เรากลับทะเลาะกันเอง ทั้งๆ ที่พวกเร่ร่อนที่เป็นผู้ร้ายตัวจริงกลับไม่ได้ถูกเปิดเผย” 


 


“คำพูดนั้น…” 


 


“พอดูแบบนี้แล้ว ก็อาจจะมีทั้งคนที่รู้และไม่รู้ ทุกคนคงจะสงสัยกันนะคะว่าทำไมจึงไม่เรียกแม่ทูนหัวว่าผู้พิทักษ์ และเพราะเหตุใดพวกเร่ร่อนจึงตั้งใจจะสังหารแม่ทูนหัว” 


 


แม้จะพอจับใจความได้จากการสนทนาที่เคยแลกเปลี่ยนกับอีฮโยอึลมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีส่วนที่ผมเองยังไม่รู้รายละเอียดอยู่อีกเหมือนกัน ผมตั้งใจฟังสิ่งที่หล่อนกำลังจะพูดเพราะคิดว่ามันคงมีค่าพอให้ฟังไว้ 


 


“แต่ฉันขอบอกก่อนว่า ฉันนี่ล่ะ ผู้พิทักษ์ที่แท้จริงแห่งทวีปทางเหนือ ฉันทำหน้าที่นี้มากว่าเจ็ดปีแล้ว ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วใช่ไหมคะ” 


 


“ถ้าอย่างนั้น คำพูดที่ออกมาจากปากของแพคซอยอนเมื่อสักครู่คืออะไรกันคะ ไม่ใช่ว่าเธอกำลังโกหกหรอกหรือ?” 


 


“แม่ทูนหัวนั้น…อืม ถึงฉันบอกมันก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ จริงๆ แล้วก็คือ แม่ทูนหัวเคยรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์มาก่อนค่ะ แต่สุดท้ายท่านก็ออกจากหน้าที่หลังจากผ่านไปเพียงปีเดียว และกำหนดให้ฉันเป็นผู้สืบทอดหน้าที่ต่อมา นี่คือความจริงค่ะ” 


 


เสียงกลั้นหายใจดังมาจากทุกหนทุกแห่ง หลังจากเดินรอบห้องประชุมหนึ่งรอบ อีฮโยอึลก็กลับมาอยู่ข้างผมอีกครั้ง หลังจากมองดูปฏิกิริยาของทุกคน หล่อนก็พูดต่อด้วยเสียงที่สูงกว่าเก่า 


 


“สรุปก็คือ เธอไม่ได้โกหกหรอกนะคะ แต่พวกเร่ร่อนอาจจะเข้าใจผิดในตอนแรก ไม่สิ ต้องพูดว่าตกหลุมพรางหรือเปล่านะ? อย่างไรก็ตาม แม้คิดจะฆ่าฉันในทีแรก แต่กลับมุ่งไปผิดที่ แม่ทูนหัวสละชีวิตเพื่อฉันแท้ๆ” 

 

 

 


เล่มที่ 17 ตอนที่ 5

 

คำว่าหลุมพรางออกมาแล้ว แม้ว่าจู่ๆ ผมจะเกิดความสงสัยตรงส่วนนี้ขึ้นมา ดูจากการรีบเปลี่ยนเรื่องแล้ว เหมือนว่าหล่อนจะไม่มีความคิดที่จะพูดคุยถึงรายละเอียดเป็นแน่  


 


ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะตกใจอีกแล้วล่ะ ผมได้ยินเสียงกลั้นลมหายใจดังมาจากหลายๆ ที่ ทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่คงตกใจไม่น้อย ทุกคนอึ้งกันอยู่สักพัก แล้วจึงรีบตั้งสติและเริ่มเผยสีหน้าที่ดูตึงเครียดออกมา นั่นถือได้ว่าพวกเขาไม่ได้มองว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเรื่องเกินจริงแต่อย่างใด 


 


“ยังมีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้” 


 


ในตอนนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของแคลนลอร์ดแห่งโครยอที่เคยได้ยินมาแล้วเมื่อสักครู่ เขาจ้องมองมาที่อีฮโยอึลด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความสง่างามดูภูมิฐาน พร้อมกับประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน หล่อนผงกหัวหนึ่งหรือสองครั้ง จากนั้นแคลนลอร์ดแห่งโครยอจึงได้กล่าวต่อ 


 


“แพคซอยอนได้กล่าวว่าจะทำให้ทวีปทางเหนือกลายเป็นทวีปทางตะวันตก แล้วก็ได้กล่าวว่าก้าวแรกคือการสังหารผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือใช่ไหม” 


 


“ใช่แล้วค่ะ” 


 


“มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกมันเข้าใจผิด แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จอยู่เช่นกัน บางทีหากชายหนุ่มผู้นั้น…อืม ขอโทษทีเถอะนะ หากว่าแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาไม่ทันเวลาล่ะก็ เธอเองก็อาจจะตายไปแล้วเหมือนกันนี่ ใช่ไหมล่ะ” 


 


เขาพูดถูก ถึงจะบอกว่าพวกเร่ร่อนไม่ได้แสดงผลงานก็เถอะ แต่ก่อนหน้านั้นอีฮโยอึลก็ได้ประสบกับวิกฤติแห่งความตาย หากไม่ได้ผมช่วยรักษา หล่อนคงจะตายไปแล้ว ความจริงแล้ว ในครั้งแรกนั้น ผมคาดว่าหล่อนจะตายไปแล้วเสียอีก 


 


“ค่ะ แต่ว่า ท่านมีอะไรที่ยังไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือคะ” 


 


“…ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อน ว่าฉันนั้นยอมรับบทบาทและความสามารถ รวมถึงคุณงามความดีที่เธอได้ทำมาจนถึงตอนนี้ เรื่องนั้นฉันไม่ขอปฏิเสธ” 


 


แม้จะเป็นคำพูดที่กะทันหัน แต่แคลนลอร์ดของโครยอก็ไม่ใช่ผู้ที่จะพูดอะไรเหลวไหล อีฮโยอึลไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาว่าหล่อนรู้อยู่แล้ว และแสร้งทำเป็นว่าจะฟังต่อไป 


 


“ฉันตั้งสมมติฐานว่าเธอได้ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นทวีปทางเหนือจึงสูญเสียผู้พิทักษ์ไป เฮ้อ เรื่องผู้สืบทอด นี่มันไม่ใช่เรื่องของฉันหรอกนะ แต่ที่ว่าทวีปทางเหนือเป็นเหมือนทวีปทางตะวันตกนั้น ช่างเป็นเรื่องที่เข้าใจยากเสียจริง” 


 


“…หืมมม” 


 


“แม้เผ่าสิงโตทองบอกว่าจะไม่เข้ามายุ่ง แต่ฉันก็ยังคิดว่ากำลังของทวีปทางเหนือยังคงเข้มแข็งที่สุดอยู่ดี ทวีปตะวันตกและพวกเร่ร่อนหมื่นห้าพันคนงั้นหรือ แม้ว่าจะเอาเพียงแค่ผู้เล่นหน่วยสู้รบของทวีปทางตะวันออกและใต้ทั้งหมดมารวมกันตอนนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราขาดคุณภาพ และหากเป็นกรณีนี้ เพียงแค่สังหารผู้พิทักษ์คนเดียว ก็จะทำให้ทวีปทางเหนือกลายเป็นเขตนอกกฎหมายอย่างนั้นหรือ” 


 


เมื่อลองมาคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนดูแล้วคำพูดของแคลนลอร์ดโครยอกำลังชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ ไม่เพียงแค่นั้น แต่ทุกคนที่รวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้สร้างกองกำลังของตนขึ้นที่ฮอลล์เพลนทั้งสิ้น ทุกคนเริ่มแสดงออกทางสีหน้าออกมาว่าเห็นด้วย เพราะคิดว่าคำพูดของเขานั้นถูกต้อง 


 


หลังจากนั้น ทุกสายตาต่างมุ่งความสนใจไปที่อีฮโยอึล หล่อนเผยรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 


 


“เป็นไปตามคำพูดของแคลนลอร์ดโครยอค่ะ ไม่ผิดเลย แต่ว่ายังมีจุดที่มองข้ามไปอยู่จุดหนึ่งนะคะ” 


 


“มีจุดที่มองข้ามอย่างนั้นหรือ” 


 


“แพคซอยอนบอกว่า การสังหารผู้พิทักษ์คือก้าวแรกนี่คะ นั่นไม่ได้หมายความว่าจะยังมีก้าวที่สอง, ก้าวที่สามอยู่อีกหรอกหรือคะ” 


 


“…” 


 


แคลนลอร์ดโครยอปิดปากเงียบหลังจากคำพูดนี้ เพราะพูดไม่ออก อีฮโยอึลมองไปที่โกยอนจูแล้วมองกลับไปยังบันทึก จากนั้นก็ได้หันไปพูดกับแพคซอยอน 


 


“ถ้าเช่นนั้น แผนการหลังจากสังหารแม่ทูนหัวแล้วคืออะไรล่ะ” 


 


“ค่ะ ก่อนอื่น หลังจากเข้ายึดครองบาบาร่า และทำทีเป็นคบค้าสมาคมด้วยแล้ว ก็ให้ใช้งานวาร์ปเกต แล้วจึงถอยหลังไปยังเมืองฝั่งตะวันตก และคิดจะออกจากทวีปทางเหนือค่ะ” 


 


“แล้ว?” 


 


“เมื่อเราบรรลุเป้าหมายตามที่หวังไว้ เราตัดสินใจกันไว้ว่าจะตั้งถิ่นฐานที่ทวีปทางตะวันตกและรอคอยอีกสักระยะค่ะ และในระหว่างที่กำลังรอคอยอยู่นั้น เรามีแผนจะให้สายลับและไส้ศึกที่ลอบเข้าไปอยู่ในเผ่าต่างๆ ยุยงให้ทุกเผ่าแตกกันเองให้ถึงที่สุดค่ะ ก่อนอื่น เราได้วางอำนาจและก่อปัญหาขึ้นในบาบาร่าที่ว่างเปล่า และทำให้ความแตกแยกที่เกิดขึ้นลุกลามไปยังฝั่งตะวันตกและฝั่งเหนือ…” 


 


แพคซอยอนพูดต่อไปเรื่อยๆ เพราะมีอะไรจะพูดมากมายเกี่ยวกับส่วนนี้ แต่เสียงดังวุ่นวายจากเหล่าผู้เล่นที่ฟังคำพูดของหล่อนอยู่ก็ไม่ได้ดังมาให้ผมได้ยินอีกต่อไปแล้ว แผนของพวกเร่ร่อนและความจริงที่ว่ามีสายลับและไส้ศึกอยู่ในเผ่า ทำให้ผมรู้สึกวุ่นวายใจ 


 


“พวก…ใต้ดินงั้นเหรอ” 


 


“อะ…อะไรกัน” 


 


ผมหันมองปฏิกิริยาของทุกคน พวกเขาทั้งหมดดูตกใจจนลืมคำที่ต้องการจะพูดเลยทีเดียว แม้จะมีบางคนที่ถามว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระใช่ไหม แต่น่าเสียดาย ที่คำพูดของแพคซอยอนนั้นเป็นความจริง 


 


หลังจากผู้เล่นแห่งทวีปทางตะวันตกออกไป การทะเลาะเบาะแว้งของฝั่งตะวันออกและใต้ที่เริ่มกลายเป็นปัญหาการถือครองสิทธิ์ในบาบาร่าก็จะยืดเยื้อและลุกลามต่อไปเรื่อยๆ ในภายหลัง แต่ไหนแต่ไรมาทวีปทางเหนือเป็นพื้นที่แรกที่ได้ต้อนรับช่วงใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง แม้จะไม่ได้เลวร้ายเท่าทวีปฝั่งตะวันตก แต่ก็ใกล้เคียงกัน 


 


“ตอนที่ฟังแพคซอยอนพูด ฉันก็คิดอะไรได้หลายอย่างค่ะ” 


 


หลังจากที่แพคซอยอนพูดจบ อีฮโยอึลก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง รวมถึงเหล่าผู้เล่นส่วนใหญ่ที่ได้ฟังคำของแพคซอยอนก็มีสีหน้าเคร่งเครียด 


 


สถานการณ์ก่อนกับหลังความจริงคลี่คลายนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พอเอาเข้าจริง เมื่อมีสถานการณ์แบบนี้เข้ามา เราจะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยวิธีที่สงบสุขได้จริงหรือ 


 


ในฐานะที่ผมนั้นผ่านรอบแรกมาแล้ว ผมสามารถตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่าไม่ได้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสายลับหรือไส้ศึกที่แพคซอยอนพูดถึงนั้นเป็นใคร 


 


“การมีความเชื่อมันในตนเองหรือคิดว่าตนเองดีที่สุดนั้นมันก็ดี แต่ไม่คิดว่ามันแปลกตามที่แคลนลอร์ดโครยอพูดบ้างเหรอ แท้จริงแล้ว ถ้าหากตัดสินใจล่ะก็ ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคนนั้น เราสามารถเอาชนะได้อยู่แล้ว คนน้อยก็ใช่ว่าจะแพ้นี่ แล้วถ้าพวกมันรู้เรื่องนั้นอยู่ก่อนแล้ว ทำไมถึงยังมาที่นี่กันอีกล่ะ” 


 


“เรื่องนั้น…” 


 


“สุดท้าย ใครสักคนก็จะนำการสอบสวนของเราในวันนี้ไปบอกกับพวกเร่ร่อนอยู่ดีนี่ ไส้ศึก หรือสายลับ อะไรก็แล้วแต่ เข้าใจแล้วใช่ไหม” 


 


“…!” 


 


ใครบางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่เมื่อเขาเห็นผม ก็หยุดพูดในทันที แม้จะกำลังคาดเดาว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร แต่ผมเองก็ยังไม่รู้จริง ๆ 


 


“อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ยังมีขั้นตอนตัดสินขั้นสุดท้ายเหลืออยู่อีกนะคะ” 


 


“ฮ่าๆ นี่ยังมีเหลืออยู่อีกอย่างนั้นเหรอครับ” 


 


“แน่นอนค่ะ แพคซอยอนเป็นพวกเร่ร่อนที่เห็นได้ว่าอยู่ในระดับผู้นำ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ดูเธอจะรู้คร่าวๆ ว่าสายลับหรือไส้ศึกเป็นใครนะคะ ไม่สิ แค่เพียงคนเดียวก็ได้ค่ะ เพราะเราจะสามารถเรียบเรียงเรื่องราวได้อย่างไรล่ะคะ” 


 


เมื่อแพคซอยอนพูดจบ ก็เห็นได้ว่ามีแสงสว่างปรากฏวูบขึ้นที่ใบหน้าของทุกคน 


 


“…” 


 


“…” 


 


ความเงียบปรากฏอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงลูกกระเดือกของแต่ละคนเท่านั้นที่ขยับอยู่ เสียงของแคลนลอร์ดโครยอก็ฟังดูเหนื่อยล้าต่างจากก่อนหน้านี้ ดังขึ้นในห้องประชุมอย่างแผ่วเบา 


 


“ก่อนอื่น เราต้องตรวจสอบคำพูดนั้นดูก่อน หากเป็นจริง…เราก็ต้องเตรียมคริสตัลแห่งความสัตย์จริงไว้” 


 


 


 


“อะไรนะ คิมซึงฮยอนคือพวกเร่ร่อนงั้นเหรอ ไอ้นี่ มันเป็นคนที่ได้รับคำเชื้อเชิญจากเผ่าสิงโตทองเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ” 


 


“ใช่แล้วค่ะ ฉันจำได้ว่าเคยอยู่ด้วยกันก่อนจะประกาศแยกตัวออกจากสถาบันอย่างเป็นทางการเมื่อก่อนนี้น่ะค่ะ” 


 


การเรียกรวมพลจบลงแล้ว สุดท้าย แพคซอยอนก็สารภาพเรื่องคำพูดของพวกเร่ร่อนที่ตนเองรู้ออกมา อีฮโยอึลประกาศยุติการประชุมอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครเดินออกจากห้องประชุม ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปยังโกยอนจูและแพคซอยอน และกำลังตรวจสอบรายชื่อที่หล่อนพูดออกมา 


 


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ” 


 


ในตอนนั้น ผมก็ได้ยินใครบางคนเรียกผมด้วยเสียงที่คุ้นเคย เมื่อหันไปก็เจอเข้ากับฮันโซยองที่เดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว หล่อนมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับริมฝีปากงดงามนั้น 


 


“ลำบากมามากเลยนะคะ” 


 


“ลำบากอะไรกัน ผมแทบไม่ทำอะไรเลยด้วยซ้ำนะครับ” 


 


“ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกค่ะ บางทีหากไม่ใช่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ล่ะก็…อาจจะเป็นไปตามที่พวกเร่ร่อนนั่นพูดก็ได้นะคะ” 


 


หลังจากได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น ฮันโซยองก็คงตกอยู่ในสภาพสับสนเช่นกัน ความจริงคงจะมีพวกเร่ร่อนที่หลบเลี่ยงสายตาของพวกผู้เล่นแฝงตัวทำงานอยู่ภายในเผ่า ผมเองก็ไม่รู้ความจริงข้อนี้เช่นกัน การจะคาดเดาว่าพวกมันจะทำอย่างไรต่อไปนั้น แม้แต่ฮันโซยองเองก็ยังคิดไม่ตกเลย 


 


ผมยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับพยักหน้า 


 


“นั่นสินะ หลังจากได้ฟังเมื่อครู่แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเร่ร่อนคงไม่สามารถแฝงตัวเข้าไปยังอิสตันเทลลอว์ได้สินะครับ” 


 


“ค่ะ แต่ก็เป็นความโชคดีในบรรดาความโชคร้ายนะคะ ฉันว่าเผ่าอื่นๆ ดูจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างจากเรา…” 


 


ฮันโซยองยกมือขึ้นกอดไว้ใต้อก ขับให้ความอิ่มเอิบเด่นชัดยิ่งขึ้น แล้วจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา พร้อมกับหลบสายตามองต่ำลง จากนั้นจึงพูดออกมาเบาๆ 


 


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ หากคุณมีเวลา ขอฉันคุยกับคุณ…” 


 


“ซูฮยอน” 


 


ตอนนั้นเอง เสียงของพี่ที่คราวนี้อยู่ด้านหลัง ก็แว่วเข้ามาให้ผมได้ยิน 

 

 

 


เล่มที่ 17 ตอนที่ 6

 

อันซลกำลังรู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมาก เป็นเรื่องดีที่หล่อนสามารถเอาชนะพี่สาวอย่างอียูจองและได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ติดตามถึงแม้ว่าการเรียกรวมพลจะจบลงไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเงอะๆ งะๆ เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง สิ่งเดียวที่หล่อนทำ คือการเข้ามาในห้องประชุมและทนกับสายตาของเหล่าผู้เล่นที่มองมา รวมทั้งมองแต่พื้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  


 


ถึงจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ค่อนข้างตึงเครียดได้อย่างชัดเจน แต่กลับไม่รู้เรื่องราวที่เป็นปัญหา ในใจตอนนี้มีเพียงความรู้สึกเสียใจที่ไม่รู้ว่านี่คือเรื่องอะไรกันแน่ เพราะแบบนั้น อันซลจึงรู้สึกหงุดหงิด หล่อนบุ้ยปากจนริมฝีปากล่างยื่นออกมา หล่อนตัดสินใจว่าจะแสดงความดื้อรั้น และหันมองไปมา จนกระทั่งเจอคิมซูฮยอนที่ยืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง 


 


ไม่สิ เธอตั้งใจมองหาเขาต่างหากล่ะ 


 


พลั่ก! 


 


“ไอ้ขอทานนี่!” 


 


“แคลนลอร์ด! ใจเย็นหน่อยสิคะ!” 


 


“จะให้ฉันใจเย็นงั้นเหรอ ไอ้ขอทานนั่นเป็นผู้บริหารระดับสูงเลยนะ!” 


 


“อันดับแรก เราต้องตรวจสอบกันก่อนค่ะ แล้วก็ไม่ได้มีแค่พวกเราด้วยนะคะ ก่อนอื่น….” 


 


เสียงกระแทกพื้นพร้อมด้วยน้ำเสียงทุ้มห้าวอย่างหนักดังมาจากทุกหนทุกแห่ง อันซลตกใจจนห่อไหล่เข้าหากัน เด็กขี้ขลาดตกอยู่ในความหวาดหวั่น อันซลมองไปยังต้นเสียงโดยอัตโนมัติและหน้าเจื่อนลงทันที นั่นเพราะมีคนอยู่มากมายกลางห้องประชุม แต่พวกเขากลับแสดงสีหน้าที่ดูดุร้ายออกมาเหมือนๆ กัน 


 


อึก! 


 


ความไม่สบายใจเริ่มเพิ่มมากขึ้นทุกที อันซลเอามือปิดปากที่กำลังสะอึกของตนเอง ขณะที่รีบร้อนมองหาคิมซูฮยอนไปด้วย ความกังวลที่เคยเกาะกุมจิตใจละลายหายไปราวกับหิมะ การได้จับปกเสื้อของคิมซูฮยอนไว้แล้วเล่าเรื่องไม่สบายใจทั้งหมดให้เขาฟังแม้เพียงนาทีเดียวคือความรู้สึกของหล่อนในเวลานี้ 


 


หลังจากนั้นไม่นาน อันซลก็เจอตัวคิมซูฮยอนกำลังพูดคุยหญิงสาวที่หล่อนไม่ชอบ หลังจากนั้นหล่อนก็ได้เห็นพี่ชายใหญ่กำลังเดินไปหาเขาด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่า ‘เธอกล้าดีมาจากไหน’ หล่อนเอียงศีรษะเล็กน้อยแต่ก็คิดจะตามไปสมทบด้วยคน จึงตั้งใจขยับเข้าไปใกล้ ในตอนนั้นเอง 


 


“เธอ” 


 


แม้จะไม่เหมือนว่าถูกบังคับ แต่กลับได้ยินเสียงแผ่วเบาจากที่ไหนสักที่ดังแว่วเข้ามา อันซลชะงักเท้าที่กำลังจะเดินไปในทันที และเมื่อหล่อนหันกลับไปช้าๆ ก็ได้พบกับอีฮโยอึลส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ 


 


“ฉัน ฉันเหรอคะ อึ๊ก!” 


 


“ใช่ เธอนั่นแหละ หรือว่าเธอคืออันซล สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ใช่ไหม” 


 


แม้จะมีคำว่า ‘หรือว่า’ ก็เถอะ แต่อันซลก็สามารถสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณ ว่าหญิงสาวตรงหน้าต้องรู้จักตนและมาตามหาตนแน่ ดูจากที่หล่อนรู้จักเผ่าและชื่อของตนอย่างถูกต้อง 


 


อันซลผงกหัวอย่างระมัดระวัง หล่อนได้ตัดสินใจแน่วแน่และเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้น อยู่ๆ อันซลนั้นก็รู้สึกว่าตนเองโตขึ้นอย่างมาก 


 


“เธอน่ะ ทำไมถึงได้กลัวขนาดนั้นล่ะ ฉันเอง ฉัน อีฮโยอึล เราเคยเจอกันแล้วเมื่อครั้งก่อนนี่?” 


 


“คะ…ค่ะ” 


 


แม้จะมีคำว่า ‘ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก~’ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่ในดวงตาของอีฮโยอึลกลับมีความปรารถนาแรงกล้าบางอย่างลุกโชนอย่างแรงกล้า อันซลกลืนน้ำลายลงคอและก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้น อีฮโยอึลก็ก้าวเข้าไปใกล้หล่อนอีกสองก้าวด้วยความรวดเร็ว อันซลถึงกับสับสน 


 


อีฮโยอึลที่เข้ามาจนประชิดจับไหล่บางของอันซลไว้ แล้วเผยรอยยิ้มหนักแน่นจริงจังออกมา 


 


“ถ้าอย่างนั้น…อยู่คุยกับพี่สักหน่อยได้ไหม” 


 


อะ…อึก 


 


คำพูดของอีฮโยอึลนั้น แสดงความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยให้อะไรก็ตามหลุดมือไปอย่างแน่นอน 


 


 


 


* * * 


 


 


 


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ แคลนลอร์ดแฮมิล คิมยูฮยอนครับ” 


 


“เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกสินะคะ แคลนลอร์ดอิสตันเทลลอว์ ฮันโซยองค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” 


 


แปล๊บ! 


 


ต่างคนต่างทักทายกันอย่างง่ายๆ พี่และฮันโซยองปัดมือผ่านกัน ไม่ใช่การสัมผัสมือ แต่เป็นเพียงการใช้ปลายนิ้วแตะผ่านกันเพียงแผ่วเบาแล้วชักมือกลับไปดังเดิม 


 


ผมมองทั้งสองคนที่จ้องมองกันด้วยสายตาเย็นชา ผมรู้สึกแปลก แม้จะพูดกันอย่างสุภาพ แต่สายตาของทั้งสองกลับลุกโชนอย่างเย็นชา ผมคิดว่าบางทีผมคงไม่ต้องแนะนำทั้งสองให้อีกฝ่ายแล้วด้วยซ้ำ 


 


ตอนรอบแรกก็ไม่เห็นเป็นถึงขั้นนี้นี่… 


 


ในฐานะที่ผมคิดจะเชื่อมสัมพันธ์ของฮันโซยองกับพี่ผ่านโอกาสในครั้งนี้ และตั้งใจจะทำให้เมอร์เซนต์นารี่, แฮมิล, อิสตันเทลลอว์ ทั้งสามเผ่ารวมตัวกันนั้น สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับฟ้าแลบในสภาพอากาศปลอดโปร่งเลยสักนิด ความจริงแล้วผมคิดว่าหากเป็นฮันโซยองล่ะก็ พี่คงจะยอมอ่อนข้อให้บ้าง 


 


เมื่อลองมาไตร่ตรองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ท่าทางของพี่ยังคงมีปัญหาอยู่ ไม่มีทางเลยที่หล่อนที่รับรู้อะไรได้เร็วจะดูไม่ออก แน่นอน หล่อนสบตากับพี่ด้วยสายตาเย็นชา เพราะแบบนี้บรรยากาศจึงกลายเป็นเช่นนี้ 


 


ผมจมอยู่กับความคิดไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินพี่กระแอมไออยู่ข้างๆ และรับรู้ได้ว่าพี่จับแขนข้างขวาของผมไว้แน่น 


 


“อะแฮม ซูฮยอน ตอนนี้พอจะมีเวลาไหม” 


 


“หืม? ยุ่งอยู่น่ะสิ…กำลังคุยกับอิสตันเทลลอว์ลอร์ดอยู่น่ะ…” 


 


“เจ้าเด็กนี่ หมู่นี้ไม่มีติดต่อหาพี่ชายแท้ๆ เลยนะ ไหนจะไม่ให้ฉันไปที่แคลนเฮาส์อีก พี่ชายแท้ๆ คนนี้เศร้าใจจริงๆ” 


 


“…” 


 


พี่พูดเน้นเสียงที่คำว่า ‘พี่ชายแท้ๆ’ ราวกับมีใครกำลังฟังอยู่ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป ผมก็รู้สึกถึงแรงจับเบาๆ ที่แขน 


 


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ ฉันต้องการพูดต่อจากเมื่อสักครู่ แค่เราสองคนเท่านั้นค่ะ” 


 


“อะไรกัน รีบหน่อยสิ” 


 


ทั้งสองคนกำลังคุยกับผมก็จริง แต่ความจริงแล้วคือกำลังส่งคำพูดของตนไปยังอีกฝ่ายผ่านผมต่างหาก เพราะฉะนั้น ถ้าให้พูดตามตรงก็คือ คำพูดของฮันโซยองคือ ‘หลีกไป’ แต่พี่กลับตอบว่า ‘ไม่’ นั่นแหละ 


 


ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก เงียบไม่ถึงสิบวินาทีแต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วหนึ่งนาทีเลย ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร บรรยากาศยิ่งอึมครึมมากขึ้นเท่านั้น ถ้าพูดถึงคาริสม่า ฮันโซยองเองก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร แต่พี่เองก็ใช่ย่อยเช่นกัน 


 


แม้ทั้งสองจะดูเมินเฉย แต่บรรยากาศในตอนนี้ไม่ได้ต่างกับสงครามเลยแม้แต่นิด รู้สึกราวกับก้อนน้ำแข็งสองก้อนปะทะกัน ผมได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ นี่ผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่กันแน่ 


 


สถานการณ์ที่น่าอึดอัดยังคงดำเนินต่อไปเช่นนั้น 


 


“จะว่าไปแล้ว ซูฮยอน นายเพิ่งหนีจากมิวล์มาได้เมื่อไม่นานมานี้เองนะ” 


 


ผู้ที่เปิดบทสนทนาเป็นคนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่นั่นเอง มุมปากของพี่ปรากฏรอยยิ้มบางเบาราวกับได้เปรียบอะไรสักอย่าง พี่ปรายตามองฮันโซยองเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ 


 


“เพราะมีบางคนในหน่วยกู้ภัยเมื่อคราวนั้นมาอยู่ที่นี่ด้วย นายอยากจะไปด้วยกันสักหน่อยไหมล่ะ พวกเขาบอกว่าอยากพบนายน่ะ อยากฟังเรื่องราวการจับแพคซอยอนมาเป็นเชลย” 


 


เฮ้อ เด็กจริงๆ 


 


ทันทีที่ได้ฟังพี่ ความคิดแรกในหัว ผมคิดว่ามันช่างน่าอายเสียจริง แน่นอน คำพูดนั้นไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ไม่จำเป็นจะต้องพูดเช่นนั้นในสถานการณ์ตอนนี้เลย พี่เพียงแต่พูดเรื่องการเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยขึ้นมาบังหน้าเพื่อแยกฮันโซยองออกเท่านั้น 


 


แม้อิสตันเทลลอว์จะเป็นเผ่าตัวแทน แต่หากมาตรองดูแล้ว เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเข้าร่วมกับหน่วยกู้ภัย เนื่องจากเป็นเผ่าทหารรับจ้างอิสระ ‘แน่นอน แล้วทำไมถึงไม่เข้าร่วมล่ะ’ ผมไม่ได้จะหมายความว่าแบบนี้ แต่ตามที่ผมได้รับฟังมานั้น มันสามารถกลายเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้ฮันโซยองหยุดชะงักได้ ถึงแม้มันจะไม่ยุติธรรมกับหล่อนก็ตาม 


 


ในคราแรก ฮันโซยองทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ทำไมไอ้ลูกหมานี่ถึงอยู่ด้วยทุกทีไป?’ นี่ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย แต่ก็เป็นดังที่ผมคิด ผมรู้สึกว่ามือที่เคยจับแขนผมไว้ค่อยๆ ตกลงอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าสิ่งใดกันที่กำลังกวนใจผมอยู่ หล่อนปรับสีหน้าแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ และมองไปที่พี่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา 


 


“นั่นสินะคะ ถ้าเช่นนั้น ไว้คุยกันที่หลังก็แล้วกันค่ะ ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีค่ะ” 


 


ฮันโซยองหันหลังเดินจากไปช้าๆ หลังจากพูดจบ จนกระทั่งเกือบจะหายลับไปจากสายตา ผมได้ยินเสียงพี่กระซิบเบาๆ อยู่ด้านข้าง 


 


“ซูฮยอน ระวังไว้ล่ะ เมื่อครู่พี่มองเห็นมาแต่ไกล พี่ว่ามันไม่สมควร” 


 


พี่บอกให้ผมระวังอะไรกันแน่ ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่นัก และในทันทีที่ผมหันไปมอง ผมก็เห็นว่าพี่มีแสงที่สง่างามแผ่ออกมา 


 


“ที่พี่ว่าไม่สมควรนี่คืออะไรล่ะ” 


 


“นายไม่เห็นเหรอ ตอนที่คุยกับนายอยู่ อยู่ดีๆ ก็มาคล้องแขน ซ้ำยังจงใจเผยหน้าอกหน้าใจให้นายเห็น แล้วจู่ๆ ทำไมถึงต้องหลบตาด้วย แค่ดูก็รู้ว่าเธอนั้นทั้งยั่วยวนและลูกไม้แพรวพราว เพราะตอนนี้นายกำลังมีชื่อเสียง เธอจึงตั้งใจจะล่อลวงแล้วใช้งานนายยังไงล่ะ” 


 


“พี่นี่พูดเพ้อเจ้ออะไรกัน” 


 


แม้จะเรียกเขาว่าพี่ แต่จากสถานการณ์ที่ผมได้ประสบมาเมื่อสักครู่ ผมไม่มีทางพูดสุภาพกับเขาได้แน่ 


 


“ผู้หญิงคนนั้นคือแคลนลอร์ดของเผ่าตัวแทนแห่งโมนิก้าไม่ใช่เหรอ ไม่ได้การล่ะ ซูฮยอน เดิมทีพี่เคยคิดว่าจะปล่อยไป แต่ไม่ว่ายังไง เห็นทีมาที่พรินซิก้าคงจะดีเสียกว่า พี่รู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ” 


 


อย่างไรก็ตาม พี่ชายผมก็ปากกล้ากล่าวโทษหล่อนอยู่ดีจริงๆ 


 


“หน้าอกของเธอมันใหญ่จนไร้ประโยชน์…เห็นไปถึงไหนต่อไหน” 


 


เมื่อผมมองไปยังพี่ที่ส่ายศีรษะไปมาพร้อมจิ๊ปาก ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ 

 

 

 


เล่มที่ 17 ตอนที่ 7

 

ถ้าอย่างนั้น ผมก็แค่บอกกับเหล่าสมาชิกเผ่าไปว่า ‘หน้าอกของฮันโซยองใหญ่เสียจนเราต้องออกจากโมนิก้า’ ก็คงได้อย่างนั้นสิ 


 


 


ผมหายใจยาวออกมาจนสุด และปัดมือของพี่ที่จับแขนผมไว้ออกอย่างแรง 


 


 


“ซู ซูฮยอน?” 


 


 


“ไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะ” 


 


 


“นี่นาย ทำไมจู่ๆ ถึงได้…” 


 


 


“ไม่ได้ล้อเล่น และไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นด้วย” 


 


 


พี่ทำเพียงกะพริบตาอย่างไร้ความหมาย บางทีคงกำลังอ่านความจริงที่แฝงอยู่ในสายตาของผม 


 


 


ผมจ้องมองพี่อย่างดุดัน แล้วจึงรีบร้อนเดินไปยังทิศทางเดียวกับที่ฮันโซยองจากไป 


 


 


คำสั่งเรียกรวมพลจบลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยประการฉะนี้ พวกเราออกจากพรินซิก้าแล้วกลับมายังแคลนเฮ้าส์ที่โมนิก้าอีกครั้ง แม้จะเป็นการเรียกรวมพลที่มีเสียงซุบซิบและปัญหามากมาย แต่อย่างไรก็ตามผมก็สามารถถ่ายทอดทุกสิ่งที่ผมได้ตั้งใจไว้ ไม่มีอะไรที่กลายเป็นปัญหา ตอนนี้เหลือเพียงแค่ให้พวกเขาจัดการเรื่องภายในให้เข้าที่เข้าทางด้วยตนเอง และรอนำแผนที่ได้วางเอาไว้ในทีแรกมาปฏิบัติจริงเท่านั้น 


 


 


ใช่แล้ว มีแค่สิ่งนั้นเท่านั้น แต่… 


 


 


อึก อึก! 


 


 


“หืม” 


 


 


ผมมองดูอีฮโยอึลที่กระดกเครื่องดื่มลงคออยู่ตรงหน้า แล้วถึงกับต้องก่ายหน้าผาก เดิมทีผมคิดจะทิ้งหล่อนไว้กับพี่ในวันเรียกรวมพล แต่หล่อนดันขอร้องผมว่ามีเรื่องที่จะต้องพูดโดยไม่ให้ใครรู้ เพียงแค่ผมยอมรับฟัง หล่อนก็จะไม่เซ้าซี้ขอเป็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ หรือแม้กระทั่งขอเงื่อนไขพิเศษ(?) สุดท้ายจนแล้วจนรอดก็ตามผมมาจนได้ 


 


 


และคำที่หล่อนพูดทันทีที่มาถึงก็ช่างน่าขันเสียจริง 


 


 


“เพราะแบบนั้น เลยบอกว่าอันซลมีความสามารถในฐานะผู้พิทักษ์ของทวีปฝั่งเหนืออย่างนั้นเหรอ” 


 


 


“อืม อืม ใช่แล้วล่ะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นแล้วยังไงต่อ?” 


 


 


ความจริงแล้วผมยังหงุดหงิดกับเรื่องของพี่อยู่ แล้วนี่ยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีก จะไม่ให้โมโหคงไม่ได้ แต่อีฮโยอึลกลับส่ายหัวแล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่าทุกอย่างจะโอเคเพียงแค่หล่อนโยนภาระเรื่องผู้พิทักษ์ไปเท่านั้น 


 


 


“ไม่รู้สิ เอาล่ะ เรื่องโดยละเอียดฉันก็ได้พูดไปหมดแล้ว นายจะบอกให้เธอฟังก็ได้นะ ไม่สิ แจ้งแก่ท่านว่าที่ผู้พิทักษ์น่ะ…โฮะๆ” 


 


 


แม้ผมจะคาดเดามาบ้างแล้ว แต่พอได้มาฟังโดยตรง ในใจผมก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา ในตอนแรกผมตั้งใจว่าจะค่อยๆ คิดหลังจากคุยกับเซราฟ แต่อีฮโยอึลกลับมาตัดหน้าไปเสียก่อน 


 


 


ผมกดขมับอย่างแรงกับความคิดว่าผมนั้นหนีเสือปะจระเข้ แล้วหันไปหาอันซลที่นั่งอย่างสุภาพเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ใบหน้าของหล่อนไม่ได้มีความนอบน้อมอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเป็นใบหน้าที่เศร้าสลดด้วยจมอยู่ในสำนึกรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม นั่นต้องเป็นเพราะการป้อยอด้วยคำพูดหวานหูของอีฮโยอึลไม่ผิดแน่ 


 


 


อันซลสบตากับผม หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนไม่เหมือนหล่อนคนเดิม 


 


 


“ท่านพี่ ฉันรู้ว่าท่านพี่สับสนเพราะได้ฟังเรื่องแบบนี้อย่างกะทันหัน แต่ช่วยฟังเรื่องของฉันทีนะคะ ขอร้องล่ะ นะคะ?” 


 


 


เมื่อได้ฟังที่หล่อนพูด ผมก็ตัดสินใจได้ทันที ถ้าสมมติผมหลอกลวงอันซลด้วยคำพูดที่ด้อยกว่าคำพูดของอีฮโยอึล แม้แต่จะต้องเปิดศึกกับเหล่าทูตสวรรค์ ผมก็จะไม่ยอมเสียหล่อนไป 


 


 


แต่ก่อนอื่น ผมจำเป็นจะต้องฟังอันซลและเคารพความคิดเห็นส่วนตัวของหล่อนเสียก่อน นั่นเป็นเส้นที่ผมได้ขีดเอาไว้นั่นเอง 


 


 


“ท่านพี่ ก่อนอื่น เราคุยกันแค่สองคนนะคะ แบบนั้นน่าจะดีกว่าน่ะค่ะ” 


 


 


ผมขยับตัวไปตามปลายนิ้วของอันซลที่จับชายเสื้อผมไว้แน่นแล้วลากผมออกไป ผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินตามที่หล่อนนำไปอย่างอ่อนโยน 


 


 


เราไม่ได้เดินไปไกลมากนัก อันซลเพียงแค่ออกมาจากห้องทำงานที่มีอีฮโยอึลและมาหยุดอยู่ตรงระเบียงทางเดิน หล่อนหันไปปิดประตูที่เปิดทิ้งไว้อย่างแน่นหนาแล้วจึงพูดด้วยใบหน้าที่แสดงความตั้งใจเด็ดเดี่ยว 


 


 


“ท่านพี่ ฉันขอบอกท่านพี่เอาไว้ก่อนนะคะ ว่าฉันอยากเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือค่ะ เธอบอกว่าฉันมีพรสวรรค์ค่ะ” 


 


 


“อันซล ผู้พิทักษ์ไม่ใช่หน้าที่ที่ง่ายดายแบบนั้นหรอกนะ ความจริง มันก็ถูกที่พี่ค่อนข้างจะสับสนเพราะได้ฟังอย่างกะทันหัน เพราะงั้นลองบอกพี่มาหน่อยสิว่าเธอได้ยินเกี่ยวกับมันมามากแค่ไหน และรู้เรื่องผู้พิทักษ์ดีสักแค่ไหน หืม?” 


 


 


“ท่านพี่! ชู่ว! ทุกคนจะได้ยินหมดนะคะ!” 


 


 


   อันซลเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากและมองไปทางห้องทำงานเพราะผมพูดเสียงดังเกินไป เพราะแม้จะปิดประตู แต่ก็ยังสามารถแอบฟังจากการใช้เวทยกระดับโสตประสาทได้ เพราะอย่างนั้นนั่นจึงเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ 


 


 


แต่ว่าในฐานะที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ยอมสูญเสียหล่อนไป ปฏิกิริยาเช่นนั้นของอันซลก็ค่อนข้างน่าแปลกใจอยู่เล็กน้อย 


 


 


อันซลถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างน่ารัก แล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ 


 


 


“รู้ค่ะ ฉันรู้ดี แต่ท่านพี่ ท่านพี่ช่วยปรับมุมมองให้ตรงกันกับฉันก่อนได้ไหมคะ ฉันเองก็มีความคิดดีๆ เหมือนกันนะคะ” 


 


 


“เธอจะพูดอะไรกันแน่ พี่คงทำตามโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้หรอกนะ และอีกอย่าง พี่เป็นแคลนลอร์ดของเธอ พี่ไม่สามารถอนุมัติโดยไม่มีเหตุผลที่สมควรได้หรอกนะ” 


 


 


“ทะ…ท่านพี่…” 


 


 


อันซลเผยสีหน้าราวกับว่าหล่อนประทับใจคำพูดของผม แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น หล่อนโบกมือปฏิเสธแล้วจึงพูดต่ออย่างแผ่วเบา 


 


 


“ฟู่ ช่วยไม่ได้สินะคะ เอาล่ะค่ะท่านพี่ ใจเย็นก่อนนะคะ แล้วลองฟังดูก่อน เพราะฉันจะบอกท่านพี่ทั้งหมดทุกสิ่ง ฉันได้ยินมาอย่างละเอียดเชียวค่ะ ได้ยินมาว่าผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือนั้นมีความสามารถพิเศษมากมายนะคะ” 


 


 


“…” 


 


 


“หากจะถามว่าเป็นความสามารถแบบไหนล่ะก็…..” 


 


 


หลังจากนั้นอันซลก็เริ่มเล่าเรื่องสิทธิพิเศษที่ได้ฟังมาจากอีฮโยอึลอย่างละเอียด 


 


 


หล่อนเล่าเกี่ยวกับทักษะเฉพาะ, ทักษะพิเศษและทักษะแฝง เมื่อดูทักษะการสืบค้นที่แบ่งได้หลากหลายสาขา เช่น ความสามารถในการวินิจฉัย หรือการสำรวจค้นคว้า เป็นต้น มองเผินๆ ก็ดูคุ้มค่าทีเดียว 


 


 


แต่หล่อนกำลังมองข้ามจุดที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ หากเป็นผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือแล้ว ก็จะไม่สามารถถูกผูกมัดอยู่ที่เดียวได้ นอกจากนั้นยังต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตนให้มิดชิดที่สุดในขณะที่คอยช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย ผมคิดว่าอันซลไม่น่าจะทำหน้าที่นั้นได้แน่ ถ้าหล่อนไม่งอนก็ถือว่าโชคดีไป 


 


 


ผ่านไปประมาณห้านาที การอธิบายทุกอย่างจึงจบลง 


 


 


“เป็นอย่างไรบ้างคะ สุดยอดไปเลยใช่ไหม” 


 


 


หล่อนถามพลางเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยใบหน้าที่ดูอิ่มอกอิ่มใจ แต่ผมส่ายหัวแล้วตอบกลับไป 


 


 


“พี่เข้าใจที่เธอพูด แต่มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นเธอจะต้องจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไปน่ะสิ แล้วอันฮยอนจะอนุญาตไหม” 


 


 


ผมถึงกับต้องยกอันฮยอนขึ้นมาอ้างเพื่อเปลี่ยนใจหล่อน แต่ใจหล่อนคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมถามอย่างหล่อนตอบอย่างด้วยใบหน้าเบิกบาน 


 


 


“ความจริง ฉันคิดว่าที่ผ่านมาฉันสร้างความเดือนร้อนให้ทุกคนมากเลยค่ะ และอีกอย่าง ทั้งพี่ชายและพี่สาว ยกเว้นฉันต่างก็เป็นคลาสพิเศษ…” 


 


 


“เพราะเธอเป็นแค่คลาสทั่วไป เลยอยากจะเป็นผู้พิทักษ์งั้นเหรอ” 


 


 


“นั่นก็ใช่ค่ะ แต่ว่าไม่ใช่เหตุผลหลัก ลองคิดดูสิคะ! ถ้าหากฉันเป็นผู้พิทักษ์ล่ะก็ ฉันก็จะสามารถช่วยพี่ได้อย่างเต็มที่เลยยังไงล่ะคะ ถ้าหากฉันใช้ทักษะการสำรวจ, ค้นคว้าแล้วรวบรวบซากโบราณวัตถุมาให้ท่านพี่ได้ในภายหน้าล่ะคะ ในวันข้างหน้าต่อไปจะเป็นยังไง” 


 


 


“เพราะแบบนั้น พี่ถึงได้บอกยังไงล่ะว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด เธอไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ คิดว่าเหล่าฑูตสวรรค์จะอนุญาตงั้นเหรอ” 


 


 


“หึๆ ทำไมล่ะคะ ก็นี่มันใจฉันนี่คะ” 


 


 


ในตอนนั้น ผมมองดูอันซลที่ยิ้มมุมปากและมองผมด้วยความมั่นใจ เมื่อเห็นแบบนั้นผมเองก็หมดคำจะพูด อันซลดูจะคิดว่าบทบาทหน้าที่ของผู้พิทักษ์ง่ายเหมือนเล่นเขี่ยไพ่ หล่อนยังพูดต่อโดยไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของผม 


 


 


“ตอนนี้การได้ตำแหน่งผู้พิทักษ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ ฉันคิดว่าฉันควรจะอยู่ข้างท่านพี่ พวกเขาทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอคะ” 


 


 


“ไม่สิ เพราะแบบนั้นมันไม่ง่ายเหมือนที่เธอพูด…” 


 


 


“หึๆ อย่ากังวลเลยค่ะ เพราะถ้าหากท่านพี่ปฏิเสธ ฉันก็จะล้มเลิกค่ะ ยังไงก็ตามทั้งท่านพี่แล้วก็ฉัน ไม่สิ ทั้งเมอร์เซนต์นารี่น่ะพิเศษสำหรับฉันมากเลยนะคะ” 


 


 


อันซลแทบจะไม่ฟังคำผมเลย หล่อนตกลงไปในอนาคตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบที่หล่อนวาดฝันขึ้นมาและกำลังแหวกว่ายอย่างตื่นเต้น มืดบอดทั้งตาทั้งหู จะเรียกว่าว่ายเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่ในความเพ้อฝันจะได้ไหมนะ 


 


 


… 


 


 


หลังจากที่เงียบไปสักพัก อันซลก็กำมือข้างขวาแน่นแล้วตะโกนใส่ผมเต็มเสียง 


 


 


“ท่านพี่คือพลัง!” 


 


 


แล้วจากนั้น หล่อนก็ทุบอกตัวเองด้วยมือซ้ายแล้วพูดต่อ 


 


 


“ฉันคือทักษะ!” 


 


 


ว่าแล้วก็กำมือข้างซ้ายแล้วส่ายไปมาราวกับว่ามันจะส่งพลังได้ เป็นการเสร็จสิ้นความเพ้อฝันฉากสุดท้าย 


 


 


“โชคแห่งฮอลล์เพลนโอบล้อมพวกเราอยู่แล้วค่ะ!” 


 


 


“ฟู่ววว!” 


 


 


ตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงใครสักคนพ่นของเหลวออกมาอย่างแรงดังมาจากในห้องทำงาน 


 


 


“นี่ เธอนี่เหลือเชื่อจริงๆ ผู้พิทักษ์แบบนั้นน่ะมีที่ไหนกัน” 


 


 


“ก็คุณบอกว่าจะเป็นแบบนั้นก็เป็นได้นี่คะ” 


 


 


“ฉันพูดแบบนั้นเมื่อไหร่กัน ฉันบอกว่าถึงจะช่วยเมอร์เซนต์นารี่ก็ได้ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายก็ต้องผ่านการหารือกับเหล่าฑูตสวรรค์นี่?” 


 


 


“อะไรกันคะ ฉันไม่เห็นรู้เลย แต่ว่าถ้าหากฉันไม่สามารถอยู่เคียงข้างท่านพี่ต่อไปได้ ฉันคงทำไม่ได้หรอกค่ะ ไม่สิ ฉันไม่ทำค่ะ!” 


 


 


เป็นอย่างที่ผมคิดไว้เลยว่าอีฮโยอึลกำลังแอบฟังอยู่ และทันทีที่ได้ยินแผนของอันซลก็พรวดพราดออกมาด้วยความโมโห 


 


 


และในตอนนี้ อันซลและอีฮโยอึลก็กำลังเปิดสงครามน้ำลายกันอย่างถึงพริกถึงขิง 


 


 


เหล่าฑูตสวรรค์ไม่ได้โง่ ผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือจะต้องทำงานด้วยสายตาที่เป็นกลางให้มากเท่ากับที่เป็นผู้ชี้นำทาง เพราะแบบนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางอนุญาตให้อันซลใช้อำนาจและความสามารถของผู้พิทักษ์ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนตามอำเภอใจแน่ ความจริงแล้ว ที่หล่อนบอกว่า หากผมปฏิเสธก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป นั่นก็เป็นเพียงคำพูดที่คิดอย่างตื้นๆ เท่านั้นเอง 


 


 


“ตายจริง เธอนี่…ทำเอาฉันขนหัวลุกไปหมด เป็นเด็กไม่ดีจริง ๆ สินะเนี่ย” 


 


 


“ฮึ แล้วใครกันคะที่เปลี่ยนคำพูด คุณไม่ใช่เหรอ คนไม่ดีตัวจริงน่ะ” 

 

 

 


เล่มที่ 17 ตอนที่ 8

 

 


 


 


อีฮโยอึลได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับคำพูดของอันซลที่เถียงหล่อนคำไม่ตกฟาก แต่ทันทีที่หล่อนไม่มีอะไรจะพูด หล่อนก็กลอกตาแล้วปล่อยไหล่ให้ลู่ตกลงมา เป็นการบอกว่าความจริงทุกอย่างกระจ่างแล้ว หล่อนดูหมดสนุกไปเสียแล้ว 


 


 


อันซลเองก็เหมือนกัน ความผิดหวังฉายชัดออกมาโดยที่หล่อนพองแก้มออกข้างหนึ่งเพราะรู้สึกไม่ยุติธรรม 


 


 


“แล้วที่จริง…” 


 


 


“พอได้แล้ว ทั้งคู่นั่นแหละ” 


 


 


ผมพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำเพราะลางสังหรณ์บอกว่ากำลังจะเกิดสงครามครั้งที่สองขึ้น เป็นเสียงที่แม้แต่ผมเองยังรู้สึกว่าหนักแน่น ผมอารมณ์เสียตั้งแต่วันเรียกรวมพลแล้ว แม้ว่าจะได้กลับมายังแคลนเฮาส์ที่ผมเรียกได้ว่าเป็นบ้านก็ตาม แต่ผมเองก็ไม่อาจต้านทานสิ่งที่สวนทางกับอารมณ์ของผมได้ 


 


 


เสียงลมหายใจติดขัดที่ได้ยินมาตลอดค่อยๆ หายไป อาจเพราะพวกหล่อนอ่านสีหน้าของผมออก 


 


 


มีสำนวนอยู่ว่าแม่ที่มีลูกเยอะไม่มีวันได้พักผ่อน ตอนนี้ผมเป็นดังสำนวนนี้เป๊ะเลย แน่นอนเราไม่สามารถนิยามได้ว่านี่เป็นปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง ทั้งอีฮโยอึลที่เอาอะไรไร้สาระไปใส่หัวเด็ก ทั้งอันซลที่ไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว และแม้แต่ผมที่เลื่อนไปเลื่อนมาอ้างว่ายุ่งทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอก 


 


 


ถ้ามาคิดดีๆ จะเห็นได้ว่าทั้งสามคนต่างก็มีความผิดทั้งหมด 


 


 


แน่นอนผมเข้าใจว่าอันซลทำลงไปเพราะความรู้สึกแบบไหน หล่อนยังคงยอมรับว่าหล่อนเป็นตัวภาระสำหรับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มาจนป่านนี้ และหล่อนคงจะทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นอกจากนั้นทั้งอันฮยอนและอียูจองที่เริ่มต้นมาจากจุดเดียวกัน ต่างก็ได้คลาสหายากและพัฒนาบ่มเพาะความสามารถของตน ดังนั้นหล่อนคงไม่สามารถลบความรู้สึกว่ามีเพียงตนเองเท่านั้นที่ยังจมปลักอยู่ 


 


 


แม้ผมจะเข้าใจจิตใจของอันซล แต่ผมมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมไม่สามารถข้ามไปได้ หากมีอะไรที่ผิดพลาดไป เมื่อลืมตาขึ้นมาผมจะไม่เสียหล่อนไปหรือ? 


 


 


หลังจากจัดการความรู้สึกภายในของตนมาสักพัก ผมเอ่ยออกมาเบาๆ 


 


 


“อันซล” 


 


 


“คะ…ค่ะ” 


 


 


อันซลตอบกลับมาด้วยเสียงเล็กๆ ทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้ว่าอันฮยอนหรืออียูจองจะโดนดุด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ที่มิวล์ แต่ผมกลับเลี้ยงหล่อนมาอย่างตามใจ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ จนมีคำที่อียูจองมักจะพูดเสมอก็คือ ‘พี่รักแต่อันซล’ 


 


 


อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากเสียพลังใจไปกับเรื่องไร้สาระอีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากจมอยู่กับความวุ่นวายแล้ว 


 


 


“ก่อนอื่นเข้าไปในห้องก่อนเถอะ แล้วไต่ตรองดูจนกว่าพี่จะเรียกเธออีกที” 


 


 


“ทะ…ท่านพี่” 


 


 


“เร็วสิ” 


 


 


“…” 


 


 


หล่อนเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร แต่ผมมองหล่อนกลับไปด้วยดวงตาแข็งกร้าว อันซลก้มหน้าลงด้วยความตกใจและพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง 


 


 


“ขอโทษค่า” 


 


 


ผมมองดูอันซลที่เดินเตาะแตะไปตามระเบียงหลังจากบ่นงึมงำเสียงเหมือนยุงบิน ผมก็หันขวับกลับมา จึงได้เห็นว่าอีฮโยอึลหลบตาผมด้วยสีหน้าเจื่อนๆ คงเพราะรู้ว่าเป็นความผิดของตน 


 


 


“ทีนี้ถึงตาของเธอแล้ว ตามมาสิ” 


 


 


ผมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องทำงาน ผมได้ยินเสียงอีฮโยอึลปิดประตูอยู่เบื้องหลัง 


 


 


ผมไม่ได้บอกให้หล่อนนั่งลงแต่กลับมุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงาน นั่งลงบนเก้าอี้แทน ผมหยิบบันทึกและปากกาขนนกออกมา ก่อนจะเริ่มเขียนสารส่งให้พี่ 


 


 


“คือว่า…ดูท่าแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะโกรธมาก…” 


 


 


“อีฮโยอึล” 


 


 


อีฮโยอึลพูดออกมาอย่างระมัดระวังแต่ผมก็พูดขัดหล่อนขึ้น แล้วกลับไปจรดปากกาขนนกต่อ เนื้อความของสารที่ผมจะส่งให้พี่ก็คือ ผมขอปฏิเสธการร่วมมือกันระหว่างสมาชิกเผ่าของหล่อนนั่นเอง 


 


 


บอกตามตรงว่าผมเคยคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะใช้จนกระทั่งถึงวันเรียกรวมพล แต่ไม่ว่าจะมีผู้พิทักษ์หรือไม่มีมันก็แค่นั้น สำรวจงั้นเหรอ? เท่าที่ผมรู้ตอนนี้ในทวีปทางเหนือก็มีเกินยี่สิบที่แล้ว เพราะคำเชิญเข้าร่วมนี่ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ดังนั้นการยอมแพ้แต่โดยดีจะทำให้เราได้ประโยชน์เป็นร้อยเท่า 


 


 


“อันซลเป็นสมาชิกของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่และฉันคือแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ แต่เธอไม่ขออนุญาตฉันสักคำแล้วเข้ามาตามอำเภอใจ จะให้ฉันพูดยังไงกับกรณีนี้ดีล่ะ” 


 


 


“ฉันเสียใจ ขอโทษด้วยสำหรับเรื่องนั้น ถ้าหากให้ฉันแก้ตัวล่ะก็…” 


 


 


“นั่นไม่ใช่คำที่ฉันอยากได้ยินนะ” 


 


 


ผมไม่ได้ใช้เวลามากนักในการเขียน เพราะผมเขียนเพียงธุระง่ายๆ ไม่ใช่การเขียนเรื่องราวตราตรึงใจแต่อย่างใด เมื่อพับสารได้สองสามทบ ผมก็เลื่อนมันไปอยู่ริมสุดของโต๊ะ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการให้มากที่สุด 


 


 


“ฉันพูดไปหมดแล้ว เรื่องจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีคนทำแน่นอน แต่ว่า…ยกตัวอย่างนะ ฉันไม่ชอบคำพูดแบบนี้ที่เธอพูดเลยจริงๆ อย่าแก้ตัว มันดูขี้ขลาด” 


 


 


“….” 


 


 


“อันซลจะฟังเธอด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน ไม่สิ เธอรู้หรือเปล่าว่าอันซลเป็นเด็กแบบไหนก่อนหน้านี้” 


 


 


“…ไม่รู้” 


 


 


“เธอคือผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือ ส่วนฉันคือแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ฉันต้องทำตามคำพูดของเธอ แบบนี้ใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นมันคงตลกน่าดูสินะ” 


 


 


ในตอนนั้น อีฮโยอึลที่เคยฟังผมเงียบๆ ก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองผม แม้ใบหน้าจะนิ่งเฉย แต่ดวงตากลับแข็งกร้าว สิ่งที่ผมพูดคงจะแทงใจหล่อนอย่างจัง 


 


 


แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น อีฮโยอึลค่อยๆ หลุบตาลงต่ำ แล้วจึงเข้ามาใกล้โต๊ะและหยิบบันทึกที่วางอยู่ขึ้นมาถือไว้ 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ ฉันคิดสั้นไปจริงๆ แม้จะมีปากเป็นสิบปาก ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด และถึงจะไม่พูดอะไรอีก แต่ว่าถ้าหากนายจะยกโทษให้ก็คงจะดีไม่น้อยนะ” 


 


 


“เมอร์เซนตร์นารี่เป็นเผ่าที่เติบโตมาถึงขนาดนี้ได้ด้วยตนเอง ฉันมองไม่เห็นว่าเธอเคยมีบุญคุณอะไรกับพวกเราบ้าง และไม่มีความจำเป็นจะต้องมองด้วย เข้าใจที่พูดหรือเปล่า” 


 


 


“อืม ฉันจะสลักมันไว้ในใจเลย ฉันเสียใจกับเรื่องนี้จริงๆ นะ และถ้าหากว่านายต้องการ ฉันจะไปขอโทษเด็กคนนั้นเป็นการส่วนตัวเอง” 


 


 


อีฮโยอึลเป็นคนพูดจริงทำจริง แม้เมื่อกี้จะใช้คำพูดเสียดแทงให้เสียความมั่นใจ แต่ยกเว้นครั้งหนึ่งเมื่อสักครู่ ตอนนี้หล่อนก็กำลังแสดงออกว่าหล่อนเสียใจอยู่จริงๆ 


 


 


ผมจ้องอีฮโยอึลอยู่สักพัก แล้วจึงพักเพยิดไปทางประตูเป็นสัญญาณให้หล่อนเลิกสร้างปัญหาแล้วรีบออกไปให้เร็วที่สุด 


 


 


“…กลับไปแฮมิล แล้วไปขอบคุณพี่ชายฉันซะ เพราะถ้าไม่ใช่เพื่อพี่ ฉันคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายดายแบบนี้หรอกนะ” 


 


 


“ได้สิ มันอาจจะน่าขันที่ฉันมาพูดเอาป่านนี้ แต่ว่าฉันรู้สึกขอบคุณนายเหลือเกินที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้และช่วยเหลือฉันเมื่อตอนวันเรียกรวมพลด้วย ถ้าอย่างนั้น ฉันจะติดต่อมาหาเร็วๆ นี้นะ ถึงตอนนั้นฉันจะติดต่อนายอย่างป็นทางการไม่ใช่ติดต่อแบบส่วนตัวแล้วแหละ” 


 


 


“ยังไม่รีบไปอีก ออกไปได้แล้ว” 


 


 


อีฮโยอึลค่อยๆ ก้มหน้าลงแล้วหมุนตัวเดินจากไปช้าๆ ภาพด้านหลังของหล่อนที่กำลังเดินไปยังประตู ดูตัวเล็กลงอย่างน่าประหลาด 


 


 


เมื่อประตูปิดลงและอีฮโยอึลลับสายตาไป ผมก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด 


 


 


แต่จู่ๆ ผมกลับคิดว่าบางอย่างดูซับซ้อนเกินไป 


 


 


 


 


 


เป็นเวลากว่าหลายวันแล้วหลังจากที่อีฮโยอึลจากไป ในช่วงระหว่างนั้นเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ ผมจะพูดอย่างไรดีล่ะ จะบอกว่าเงียบมากได้ไหมนะ 


 


 


ไม่มีอะไรต่างไปจากปกติเช่นเดียวกับเผ่าอื่นๆ และผู้เล่นทุกคนต่างทำงานของตน และจดจ่อกับการรับรู้ข่าวสารภายนอกเพียงอย่างเดียว 


 


 


ผมมองเหม่อลงมาจากดาดฟ้าอยู่แบบนั้น จมอยู่ในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง 


 


 


“ซูฮยอน คิดอะไรอยู่เหรอคะ” 


 


 


ในตอนนั้นเองเสียงใสจากด้านหลังก็ดังเข้ามาในหู และเมื่อผมหันกลับไป ผมก็เห็นจองฮายอนที่ส่งยิ้มสวยมาให้โดยที่ถือถ้วยชาไว้ในมือ หล่อนค่อยๆ ยกถ้วยชาที่มีควันลอยอยู่น้อยๆ ขึ้นมา ผมพยักหน้าพร้อมถอนหายใจยาวออกมา เพราะต้องการชาร้อนๆ สักแก้ว 


 


 


กลิ่นหอมหวานในน้ำสีเข้ม เป็นชามะนาวไม่ผิดแน่ ผมเดากลิ่นโดยใช้ปลายจมูกดมแล้วจึงค่อยๆ ถามออกไป 


 


 


“รู้ได้อย่างไรครับว่าผมอยู่ที่นี่” 


 


 


“ฉันอยากพบคุณก็เลยแวะไปที่ห้องทำงาน แต่คุณไม่อยู่ก็เลยขึ้นมาที่ดาดฟ้าเผื่อคุณจะมาที่นี่น่ะค่ะ” 


 


 


โกหก คนอย่างหล่อนน่ะเหรอจะไม่รู้  


 


 


แต่ผมไม่ได้คิดจะกล่าวโทษใครก็ตามที่มาที่นี่เพื่อเวลาน้ำชาหรอกนะ ผมยิ้มบางๆ กลับไปและตัดสินใจจะสานต่อบทสนทนากับหล่อน หล่อนมีนิสัยรักความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นบางทีหล่อนอาจจะขึ้นมาที่นี่อย่างน้อยก็เพื่อมารายงานก็เป็นได้ 


 


 


“ครับ จะมารายงานเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ 


 


 


“พวกเร่ร่อนน่ะค่ะ ฉันมอบทุกอย่างให้กับอิสตันเทลลอว์ไปพร้อมกับบันทึกตามคำชี้แนะของแคลนลอร์ดในการประชุมเมื่อวานน่ะค่ะ พวกเขาบอกว่าจะเปิดการพิจารณาคดีใหม่เร็วๆ นี้ และบอกว่าต้องการจะมาเยี่ยมเยี่ยนซูฮยอนในไม่ช้านี้ค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นสินะ เป็นรายงานที่ดีมาก ลำบากแย่เลยนะครับ” 


 


 


ผมตอบพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นด้วยเจตนาบางอย่าง 


 


 


“แล้วก็อิสตันเทลลอว์ลอร์ฝากมาบอกคุณด้วยค่ะ ว่าขอบคุณสำหรับไมตรีจิตของเมอร์เซนต์นารี่และหวังว่าคุณจะไม่ถือสาพวกเขาจนเกินไปค่ะ” 


 


 


ผมดื่มน้ำชาลงลำคอแล้วพยักหน้ากลับไป 


 


 


ผมเข้าใจในทันทีว่านั่นหมายความว่าอย่างไร ผมยังคงยิ้มอย่างขมขื่นออกมาเมื่อคิดถึงตอนที่ผมพยายามอย่างหนักเพื่อปรับความเข้าใจกับพี่ 


 


 


โชคดีนะที่ฮันโซยองเป็นระดับหัวหน้า 


 


 


ผมยิ้มอย่างขมขื่น และทำเพียงกลืนน้ำชาลงคอ 


 


 


ตอนนี้จองฮายอนค่อยๆ ลอบสังเกตผมราวกับว่าหล่อนไม่มีอะไรจะรายงานอีกแล้ว หลังจากเงียบกันไปสักพัก หล่อนก็ค่อยๆ พูดออกมา 


 


 


“ซูฮยอน ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงมันในสถานการณ์แบบนี้หรอกนะคะ แต่ว่าช่วงนี้ฉันรู้สึกเบื่อๆ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนคงวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวออกเดินทาง…” 


 


 


“ดูเหมือนสงสัยอะไรอยู่สินะครับ” 

 

 

 


เล่มที่ 17 ตอนที่ 9

 

จองฮายอนสะดุดไปสักพักกับการพูดจาตรงไปตรงมาของผม แล้วจึงพูดต่อในขณะที่ประคองถ้วยชาเอาไว้ในมือ 


 


 


“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ คุณไม่ค่อยพูดอะไรเลยในการประชุมเมื่อวานนี้ ทุกคนสงสัยเรื่องผลจากการเรียกรวมพลน่ะค่ะ แต่คุณกลับไม่พูดอะไรถึงมันเลย หรือว่าเป็นความลับอะไรหรือเปล่าคะ” 


 


 


“ครับ มันจะมากเกินไปสักนิดหากข้าพูดลงลึกถึงรายละเอียด เพราะนั่นเป็นเรื่องภายในน่ะครับ” 


 


 


“อย่างนั้นนี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็คงช่วยไม่ได้สินะคะ” 


 


 


“ยังไงคงต้องรอต่อไปอีกสักระยะครับ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะได้รู้เอง” 


 


 


บางทีตอนนี้การรุกรานฮาโลอาจเริ่มขึ้นแล้ว ผมขาดการติดต่อไปตั้งแต่เมื่อตอนสาย เช่นเดียวกันกับมิวล์ เบธและโดโรธี แม้ผมจะเคยคิดว่ามันเป็นการควบคุมแผนการใหญ่เพื่อขัดขวางคลื่นพลังเวท แต่กลับไม่มีสัญญาณอะไรเกี่ยวกับมันเลย ผู้เล่นคนอื่นๆ ยังไม่มีใครรู้ก็จริง แต่มันก็ดูแปลกที่ผมรู้อยู่เพียงคนเดียว 


 


 


บางทีอาจจะถูกยึดแล้วก็ได้ 


 


 


“ข้างนอกนี่เสียงดังหนวกหูจังนะคะ ฉันได้ยินมาว่า เมื่อตอนที่ส่งกองทหารอาสาออกจากเผ่าสิงโตทอง วาร์ปเกตถูกตัดขาดราวกับโกหก ป่านนี้ฮาโลจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่อาจทราบได้นะคะ” 


 


 


“ไม่ใช่ราวกับ แต่เป็นคำโกหกจริงๆ ต่างหากละครับ ผมคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะจบลงด้วยความบังเอิญ” 


 


 


เป็นทางเลือกที่ดีที่จะทิ้งฮาโลแล้วไปรวมตัวกันสร้างเมืองขึ้นใหม่ในอีกที่หนึ่ง แต่อันดับแรกนั้น โดยองรกดูจะไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถมากพอที่จะนำพาเผ่าสิงโตทองได้ เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะนำความคิดของเขามาใช้จริงได้ 


 


 


ในจุดนี้ เขาได้ส่งคำร้องขอกำลังเสริมไปยังภาคตะวันออกเฉียงใต้ แต่ผมได้ยินว่าคำขอนั้นกลับเงียบหายจนถึงเมื่อวันเรียกรวมพล อย่างที่คิด การได้คอยมองว่าเผ่าสิงโตทองจะรักษาศักดิ์ศรีของตนไปถึงเมื่อใดนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนุกอย่างยิ่ง บางทีพวกนั้นอาจจะส่งกองกำลังมาหลังจากที่เรื่องจบไปแล้วก็ได้ 


 


 


เมื่อยามที่ฮาโลพ่ายแพ้ หรือเมื่อบาบาร่าถถูกยึดครอง ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้คงจะเริ่มดำเนินการทันที 


 


 


หน้าที่ของผมจบลงด้วยการให้กุญแจกับทุกๆ กรณีที่เกิดขึ้น ส่วนการจะใช้กุญแจนั้นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับมือของพวกเขาแล้ว ผมคิดว่าบางทีแทนที่จะก้าวออกมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงข้างหน้า การถอยหลังออกมาเฝ้าดูอย่างเงียบๆ นั้นก็ไม่เลวเลยทีเดียว มันไม่ใช่นิสัยของผมที่จะเข้าไปแทรกแซงความคิดเห็นของใคร แต่ผมชอบหาจังหวะดีๆ มากกว่า  


 


 


จองฮายอนอ้าปากพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อหล่อนตระหนักได้ว่าผมมาไกลเพียงใดกับการที่จะค้นหาคำตอบให้กับตนเอง 


 


 


“เฮ้อ ฉันมาหาคุณเพราะคิดว่าน่าจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกนิด… แต่ยังไงก็เถอะตอนนี้ก็คงเป็นบรรยากาศที่ไม่รู้ว่าบทสุดท้ายจะจบลงเมื่อใดสินะคะ” 


 


 


“ผมเองก็คันปากเหมือนกันครับ ขอโทษด้วยนะครับ” 


 


 


“โฮะๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อ้า ซูฮยอนคะ งานยุ่งๆ ส่วนใหญ่ของคุณ เสร็จเกือบหมดแล้วใช่ไหมคะ” 


 


 


“ครับ? ใช่ครับ อ้า คงงั้นครับ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น ถึงจะเป็นคำขอร้องที่กะทันหันไปสักหน่อย แต่ว่าถ้าเราจัดปาร์ตี้กันเร็วๆ นี้ คุณจะว่ายังไงบ้างคะ” 


 


 


ผมเลิกคิ้วขึ้นกับคำชวนจัดปาร์ตี้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของหล่อน จองฮายอนรีบพูดต่อทันทีเมื่อเห็นหน้าผม 


 


 


“เพราะฉันคิดว่าช่วงนี้พวกเราทุกคนแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยน่ะสิคะ แถมยังมีสมาชิกเผ่าที่เข้ามาใหม่อีกไม่ใช่เหรอคะ เราก็ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้วด้วย เป็นงานเลี้ยงต้อนรับด้วย เป็นอย่างไรคะ มันมากเกินไปหรือเปล่าคะ” 


 


 


“อืม…” 


 


 


ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การมีปาร์ตี้ในสถานการณ์แบบนี้มันก็… 


 


 


ผมเอียงศีรษะเพราะคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมตั้งใจจะขอเลื่อนมันออกไปก่อน ด้วยการบอกว่าผมจะคิดดูอีกที 


 


 


แต่ในตอนนั้นเอง ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว 


 


 


“ก็ดีนะครับ จัดปาร์ตี้กันครับ” 


 


 


“อุ๊ยตาย พูดจริงเหรอครับ” 


 


 


“ครับ ความจริง ผมต้องปิดบัญชีเรื่องอุปกรณ์ของพวกเร่ร่อนที่ผมเพิ่งได้มาก่อนหน้านี้ แต่ก็ดีครับ ช่วยบอกกับเหล่าสมาชิกเผ่าว่าเป็นการรวมตัวเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวดีกว่าเรียกว่าปาร์ตี้นะครับ” 


 


 


จองฮายอนเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา หล่อนดูยินดีมากกว่าปกติ อารมณ์ดีมากจนผมยอมด้วยความยินดี 


 


 


“ว้าว สุดยอดไปเลยค่ะ ที่ฉันให้ความสนใจขนาดนี้ก็เพราะช่วงนี้ซลดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงอย่างไรก็ไม่รู้น่ะค่ะ ถ้าเธอได้รู้เรื่องนี้คงจะดีใจนะคะ” 


 


 


“อันซลเหรอครับ” 


 


 


“ค่ะ แม้ว่าฉันจะถามว่าทำไมจึงเป็นแบบนั้น เธอก็เอาแต่ส่ายหัวลูกเดียวเลยค่ะ วันนี้ฉันต้องบอกเรื่องนี้กับเธอให้ได้เลยค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นสินะครับ” 


 


 


ผมได้แต่ขำอยู่ในใจ หลังจากคืนถ้วยชาที่ดื่มจนหมดไปให้จองฮายอนแล้ว ผมก็พูดขึ้นในขณะที่เดินไปที่ประตูดาดฟ้า 


 


 


“รายละเอียดปลีกย่อย รบกวนคุยกับโกยอนจูนะครับ พอดีผมมีที่ที่ต้องไป” 


 


 


“ค่ะ ฉันจะไปคุยกับเธอเองค่ะ ว่าแต่จะไปไหนเหรอคะ” 


 


 


จองฮายอนถามขณะที่ซ้อนถ้วยชาของหล่อนกับแก้วของผม ผมตอบพร้อมกับบิดขี้เกียจสุดตัวไปด้วย 


 


 


“ว่าจะไปที่แท่นบูชาน่ะครับ” 


 


 


“อ้า…” 


 


 


หืม? ทำไมมีปฏิกิริยาแบบนั้น 


 


 


ผมแค่บอกว่าจะไปแท่นบูชา ง่ายๆ แค่นั้น จองฮายอนขยับนิ้วมือไปมา ขณะที่หน้าหล่อนเริ่มเป็นสีแดง ผมยักไหล่เพราะไม่รู้สาเหตุ ตั้งใจจะออกจากประตูไปทั้งแบบนั้น 


 


 


“เดี๋ยวก่อน ซูฮยอน!” 


 


 


“…?” 


 


 


“คือ…หากคุณทำธุระทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว…” 


 


 


ทันทีที่ผมหันกลับมาเพราะเสียงตะโกนเรียกของหล่อน ผมก็เห็นจองฮายอนกลืนน้ำลายหนึ่งเอื๊อก หล่อนมองผมด้วยใบหน้าแดงเรื่อ แล้วพูดพึมพำด้วยเสียงเบา 


 


 


“คือว่า…ฉันไปหาคุณตอนกลางคืนจะได้ไหมคะ” 


 


 


 


 


 


ที่แท่นบูชายังมีคนอยู่มากมาย ต่างคนต่างมาเพื่อธุระของตน อย่างเช่น รายงาน, สำรวจ หรือถูกเรียก เป็นต้น แต่ผมคิดว่าการต่อแถวไปจนถึงทางเข้านั้นมันดูจะมากไปสักหน่อย 


 


 


โมนิก้ากำลังต้องรับผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมหาศาลจากการเข้ารุกรานในครั้งนี้ เนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก การมารวมตัวกันที่แท่นบูชาที่มีเพียงแห่งเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน 


 


 


“ได้ยินข่าวเมื่อเช้าไหม ว่ากันว่าเราขาดการติดต่อกับฮาโลอย่างสมบูรณ์มาตั้งแต่เมื่อเช้ามืดแล้ว” 


 


 


“ได้ยินสิ จะบ้าตายเลยจริงๆ ไม่สิ แต่เป็นเพราะฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของฮาโลเลยน่ะสิ…” 


 


 


“นายมีเพื่อนสนิทอยู่ที่ฮาโลนี่ ลองติดต่อดูหรือยังล่ะ” 


 


 


“อืม ทันทีที่ได้ยินข่าวก็รีบติดต่อไปทันที แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลยนี่สิ มีแต่เสียงอะไรออกมาก็ไม่รู้ เฮ้อ…” 


 


 


ข่าวร้อนของวันนี้ก็แน่นอน ฮาโลนั่นเอง ความจริงที่ว่าเราขาดการติดต่อกับวาร์ปเกตนั้นบอกอะไรได้มากมาย มันสามารถเกิดเป็นผลกระทบขนาดใหญ่ที่เป็นอุปสรรคต่อการติดต่อสื่อสาร หรืออาจจะเป็นเพราะทุกคนตายกันหมดไม่เหลือเลยก็เป็นไปได้ เราต้องคิดถึงกรณีที่แย่ที่สุดหากว่าแม้แต่วาร์ปเกตก็อาจจะถูกยึดครองแล้วด้วย 


 


 


แน่นอนว่าผมรู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้เท่านั้น ผมถือเอาเสียงคุยจอแจขอเหล่าผู้เล่นเป็นเพลงประกอบ แล้วรอให้ถึงทีตัวเองเงียบๆ 


 


 


ผ่านไปสักชั่วโมงหนึ่งคงจะได้ แถวที่ผมกำลังต่ออยู่ก็เริ่มสั้นลง แล้วก็มาถึงคิวของผมที่จะได้เข้าไปเสียที 


 


 


ผมบอกชื่อและจุดประสงค์ที่มาที่นี่ที่หน้าประตูใหญ่ ผมฝ่าเหล่านักบวชที่วิ่งไปมาวุ่นวายเข้ามา แม้จะไม่มีผู้นำทางเพราะทุกคนต่างกำลังยุ่ง แต่ผมก็เคยมาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้ว หลังจากที่หาห้องเจอ ผมก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปด้านในทันที และฝังตัวลงไปในพอร์ทัลสีฟ้าคราม 


 


 


“ผู้เล่นคิมซูฮยอน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” 


 


 


ทันทีที่เข้ามาในห้องอัญเชิญ ผมก็ได้ยินเสียงทักทายดังขึ้นมา เมื่อผมเงยหน้าก็พบกับเซราฟกับปีกสีขาวนั่งอยู่บนแท่นบูชาดังเช่นทุกครั้ง หลังจากที่สบสายตานิ่งเฉยของหล่อนมาสักพัก ผมก็เว้นระยะห่างออกมาแล้วนั่งลงตรงหน้าเซราฟ 


 


 


“ข้าไม่ได้เรียกท่านมาด้วยซ้ำนี่ เช่นนั้นท่านมาด้วยเรื่องอะไรหรือคะ” 


 


 


“ลองทายมาสิ” 


 


 


“คะ?” 


 


 


“เธอเก่งเรื่องนั้นอยู่แล้วนี่ เห็นทายถูกทุกครั้งว่าฉันมาด้วยเรื่องอะไร” 


 


 


 เซราฟเอียงศีรษะเล็กน้อย แต่หล่อนกลับทำสีหน้าครุ่นคิดกลับมา กะพริบตาสองครั้ง แล้วจึงตอบกลับ 


 


 


“หรือว่าเกี่ยวกับผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือกันคะ” 


 


 


เซราฟรู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วยสินะ ผมพยักหน้าเพราะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ถ้าหล่อนจะพูดถึงทวีปทางตะวันตกล่ะก็ ผมเคยพยายามอธิบายหล่อนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถ้าหล่อนรู้อยู่แล้วแล้ว ตอนนี้เรื่องก็กำลังง่ายขึ้นแล้วล่ะ ผมตัดสินใจเข้าเรื่องทันที เพราะเซราฟจะได้สบายใจเรื่องนั้นด้วย 


 


 


“เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องไม่น่าขำอย่างยิ่งเกิดขึ้นมาน่ะสิ เซราฟรู้จักอีฮโยอึลใช่ไหม” 


 


 


“ค่ะ ข้ารู้” 


 


 


“อีฮโยอึลเข้าหาอันซลโดยใช้ตำแหน่งผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือเป็นเหยื่อล่อ” 


 


 


“…” 


 


 


เซราฟไม่ได้พูดอะไรออกมา และผมเองก็ไม่ได้พูดต่อเช่นกัน เพราะถ้าเกิดเหล่าทูตสวรรค์คิดว่าอันซลคือผู้สืบทอดของทวีปทางเหนือ พวกเขาจะปกป้องหล่อนแม้ว่าจะเตรียมตีตัวออกห่างก็ตาม 


 


 


มันมีเหตุผลที่ทำให้ผมมีความคิดสุดโต่งเช่นนี้ แม้ตอนนี้อันซลจะมีข้อมูลของผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมีคลาสลับของว่าที่นักบวชที่เรียกว่าผู้นำคนสุดท้าย และเป็นผู้เล่นที่สามารถกลายเป็นนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์ได้ 


 


 


ผมเคยคิดว่านักบวชแห่งความรุ่งโรจน์และผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือมีความสัมพันธ์กัน แต่ตอนนี้ผมได้เปลี่ยนความคิดไปอย่างสมบูรณ์ จากความทรงจำแรกของผม อันซลจะเข้าเป็นสมาชิกของเผ่าโอดินซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้น ณ ทวีปทางตะวันตกเมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว 


 


 


ถึงแม้จะเรียกโอดินว่าเป็นเผ่าที่ผู้เล่นทั้งสี่ทวีปมารวมตัวกัน แต่ความจริงเป็นเผ่าที่มีสำนักงานกลางอยู่ที่ทวีปทางใต้ต่างหาก แน่นอนว่ามันอาจจะมีกรณีที่หล่อนล้มเลิกระหว่างทาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นไปได้น้อยมาก 


 


 


อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถสูญเสียเด็กที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นใหญ่ในอนาคตไป แน่นอน มันไม่ใช่แค่ความเป็นไปได้เท่านั้น ถึงแม้จะบอกว่าไม่สามารถเป็นนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์ได้ก็ยังถือว่าดีอยู่ดี เพราะถึงอันซลเรียกตัวเองว่าตัวภาระ แต่หล่อนก็ให้ความช่วยเหลือในแบบของหล่อน 


 


 


ผมจึงพูดขึ้นอย่างเด็ดขาดเพื่อบอกสิ่งที่ผมตั้งใจคิดมาออกไป 


 


 


“ฉันขอบอกเธอเอาไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน ว่าฉันไม่มีความคิดที่จะทำให้อันซลเป็นผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือ” 


 


 


“ค…คะ?” 


 


 


“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกเธอและอีฮโยอึลไปคุยกันอีท่าไหน แต่ในฐานะที่ฉันคือผู้เล่นที่รับเลี้ยงอันซลมา ฉันไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนเธอ เพราะฉะนั้นจงไปบอกเหล่าทูตสวรรค์ด้วยว่ายอมแพ้ซะ” 


 


 


เซราฟยิ่งเอียงศีรษะของหล่อนมากขึ้นด้วยสีหน้าน่าสงสัยหลังจากฟังที่ผมพูด หล่อนหลับตาลงราวกับกำลังพยายามจัดการกับความคิดในหัวและลืมตาขึ้นอีกครั้ง หล่อนพูดขึ้นหลังจากนั้น 


 


 


“เข้าใจแล้วค่ะ” 

 

 

 


เล่มที่ 17 ตอนที่ 10

 

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมตั้งใจเตรียมมาพูด คิดแล้วคิดอีก นั่นช่างเป็นคำตอบที่ง่ายเสียเหลือเกิน เมื่อผมกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดว่าผมควรต้องดีใจ หรือรู้สึกแปลกดี เสียงเรียบนิ่งของเซราฟก็ดังก้องห้องอัญเชิญ 


 


 


“ผู้เล่นคิมซูฮยอน ดูเหมือนว่าท่านกำลังเข้าใจอะไรผิดไปนะคะ หากท่านต้องการ ข้าก็อยากขอให้ท่านให้โอกาสข้าได้แก้ไขความเข้าใจผิดสักนิด” 


 


 


“ว่ามาสิ” 


 


 


“ก่อนอื่น ข้ายอมรับว่ามีความพยายามจะเลือกอันซลให้เป็นผู้พิทักษ์คนใหม่ของทวีปทางเหนือจริงค่ะ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้น การเลือกผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือนั้น จะต้องผ่านการพิจารณาอย่างเคร่งครัดเที่ยงธรรมอย่างที่สุดเป็นเวลานานค่ะ แม้เราจะให้การยินยอมเป็นร้อยครั้งและเสนอชื่อเธอเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง แต่ในขั้นตอนการคัดเลือกผู้พิทักษ์ ก็ไม่ได้รับง่ายๆ หรอกค่ะ” 


 


 


“อะไรกัน ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำยังไงกับการกระทำของอีฮโยอึลดีล่ะ” 


 


 


“เรื่องนั้น…อืม? ท่านกาเบรียล?” 


 


 


หล่อนไม่ได้เรียกผม ดูเหมือนหล่อนจะสนทนากับทูตสวรรค์ท่านอื่นมากกว่า ผมสงสัยว่าจะเป็นการสนทนาแบบใดเพราะได้ยินเพียงเสียงงึมงำ และเสียงพูดที่ยากนักที่จะได้ยิน 


 


 


การสนทนานั้นไม่ได้กินเวลานานนัก เซราฟพูดเพียงแค่ “ค่ะ”, “ค่ะ”, “เข้าใจแล้วค่ะ”, “ขอโทษนะคะแต่ข้าไม่ชอบแบบนั้น” จากนั้นหล่อนก็ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น 


 


 


“ขอโทษด้วยนะคะ เพราะเป็นการพูดคุยอย่างกะทันหัน…” 


 


 


“ไม่เป็นไร ว่าแต่มีเรื่องอะไรกันล่ะ” 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่างไรก็ตาม ข้าจะตอบท่าน ผู้เล่นอีฮโยอึลทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ติดต่อกันมาเจ็ดปีแล้วค่ะ” 


 


 


ผมสัมผัสได้ว่าหล่อนตั้งใจเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน แต่ก็ไม่ได้ขัดเคืองแต่อย่างใดเพราะหล่อนพูดเข้าประเด็นแล้ว ผมตั้งใจฟังที่หล่อนพูดอยู่เงียบๆ 


 


 


“แต่เธอได้บอกความต้องการของเธอที่จะลาออกจากตำแหน่งเมื่อสามปีที่แล้ว และเมื่อสองปีก่อน…เพราะแบบนั้น หลังจากที่เข้าเป็นสมาชิกของเผ่าแฮมิลแล้ว เธอจึงเรียกร้องมากขึ้นน่ะค่ะ จากความคิดข้า ข้าว่าบางทีผู้เล่นอีฮโยอึลอาจจะเหนื่อยล้าเต็มทีแล้วก็เป็นได้นะคะ เพราะอย่างนั้นเธอจึงได้รีบร้อนที่จะทำมันน่ะค่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“แน่นอนว่ามันยากที่จะมองว่าไม่ใช่ความผิดของผู้เล่นอีฮโยอึลนะคะ แต่ขั้นตอนการส่งมอบตำแหน่งผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ด้วยการปรึกษาหารือของคนสองคนหรอกค่ะ บางทีเธออาจจะไม่ได้บอกความจริงข้อนี้ใช่หรือเปล่าคะ” 


 


 


ใช่แล้ว หรือนี่คือสิ่งที่เธอพยายามจะบอกผมในตอนนั้น 


 


 


อยู่ๆ ผมก็นึกถึงที่อีฮโยอึลพูดกับผมที่ห้องทำงานขึ้นมา และผมก็จงใจพูดตัดบทหล่อน 


 


 


“ใช่ ฉันเข้าใจที่เธอพูด ถ้าอย่างนั้นนั่นหมายความว่าเธอจะไม่แตะต้องอันซลอีกใช่ไหม” 


 


 


“ท่านกาเบรียลอนุญาตให้ข้าบอกข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับกรณีนี้ได้ค่ะ สำหรับในขอบเขตที่ข้าได้รับอนุญาตให้พูดได้นั้น คำตอบคือ ‘เยส(Yes)’ ค่ะ ความสามารถในการเป็นผู้พิทักษ์ของผู้เล่นอันซลนั้น มีมากพอที่จะจัดให้เธอเป็นท็อปคลาสจากทุกรุ่นที่ผ่านมาได้เลยค่ะ เพราะแบบนั้นเหล่าทูตสวรรค์จึงได้เห็นชอบให้เสนอชื่อเธอเป็นผู้สืบทอดจากความสามารถของเธอค่ะ ส่วนจำนวนก็ประมาณครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดได้ค่ะ” 


 


 


ความสามารถในการเป็นผู้พิทักษ์ของหล่อนอยู่ในระดับท็อปคลาส? จากทุกรุ่นที่ผ่านมา? ผมตกใจมากเพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมากถึงเพียงนี้ 


 


 


“แต่ถ้าจะพูดในทางตรงกันข้าม ก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเสนอชื่อผู้เล่นอันซลอยู่อีกครึ่งหนึ่ง และหนึ่งในครึ่งนั้น ก็มีข้ารวมอยู่ด้วยเช่นกันค่ะ” 


 


 


“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นเธอบอกเหตุผลฉันหน่อยได้ไหมล่ะ” 


 


 


“ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวของข้า ข้ายอมรับความสามารถของเธอในฐานะผู้พิทักษ์อย่างแน่นอนค่ะ แต่ผู้เล่นอันซลนั้น มีนิสัยที่ไม่เหมาะกับการเป็นผู้พิทักษ์อย่างยิ่งค่ะ ถ้าหากเธอได้เป็นผู้พิทักษ์ด้วยลักษณะเช่นนี้…”  


 


 


ผมคิดว่าเซราฟมองหน้าผมอยู่สักพัก แล้วจึงบ่นพึมพำออกมาด้วยเสียงเบาๆ 


 


 


“ทวีปทางเหนืออาจจะถูกผลักให้ตกอยู่ในความวุ่นวาย มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นนะคะ” 


 


 


แม้เซราฟจะดูจริงจังจากลักษณะน้ำเสียงที่ตึงเครียดอย่างมาก แต่ผมกลับต้องใช้แรงอย่างมากเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้ตนเองระเบิดรอยยิ้มออกมา เอาเถอะ ผมว่าคงไม่เป็นไรหากผมจะจบธุระเรื่องอันซลลงเพียงเท่านี้ 


 


 


ผมทำตามที่ตั้งใจไว้สำเร็จแล้ว ทันทีที่ผมลุกขึ้นเมื่อคิดได้ว่าจะกลับแล้ว เซราฟก็พูดขึ้นต่อหน้าผม 


 


 


“จะไป…แล้วหรือคะ” 


 


 


“อืม ก็ในเมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วนี่” 


 


 


ผมตอบไปแบบลวกๆ และหมุนตัวกลับ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในหัวไวปานความความเร็วแสง 


 


 


ผมปัดกางเกงนิ่งๆ พร้อมพูดขึ้นมาลอยๆ 


 


 


“เธอบอกว่าความสามารถของอันซลเป็นเรื่องดี นั่นไม่ใช่ว่าหากอันซลจะเปลี่ยนนิสัยหลังจากได้ตำแหน่งหรอกเหรอ” 


 


 


“โน(No) เรื่องนั้นอยู่นอกประเด็นค่ะ ในตอนนี้มันยากที่จะเอาชนะ…อ้า” 


 


 


และในตอนนั้นเอง จู่ๆ เซราฟก็หยุดพูดไปทั้งอย่างนั้น เธอยกนิ้วสวยขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วจ้องมองผมเขม็ง 


 


 


 


 


 


ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกที ราตรีอันมืดมิดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ผมมองขึ้นไปบนฟ้า มองดูยามอัสดงสีดำสนิทปกคลุมสวน เห็นดวงจันทร์ส่องแสงนวลอยู่ท่ามกลางฟ้ายามราตรี 


 


 


ผมไตร่ตรองถึงการสนทนาของผมกับเซราฟเมื่อไม่กี่วันก่อนขณะที่เหม่อมองไปยังดวงจันทร์  


 


 


‘ขอโทษนะคะ แต่ข้าไม่มีสิทธิพูดถึงส่วนนั้นได้ค่ะ’ 


 


 


‘ทูตสวรรค์ประจำตัวของผู้เล่นอันซลก็กำลังคัดค้านอย่างถึงที่สุดค่ะ ถึงแม้ผู้เล่นคิมซูฮยอนจะแสดงออกว่าเต็มใจช่วยอย่างเต็มที่ในฐานะแคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ แต่ท่านก็ยังดื้อรั้นเพราะเหตุผลบางประการ’ 


 


 


‘วิธีรักษา…’ 


 


 


‘พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายในส่วนนั้นเป็นการส่วนตัวได้หรอกนะคะ’ 


 


 


‘ถ้าหากอาการนั้นมาจากกระบวนการในฮอลล์เพลน ก็มีวิธีที่จะรักษาอยู่นะคะ แต่อาการนั้นเธอมีมาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าไปยังฮอลล์เพลนค่ะ ข้าไม่แน่ใจว่าท่านรู้หรือไม่ แต่การสัมผัสสติของมนุษย์เป็นเวทระดับสูงทีเดียวนะคะ ในตอนนี้ไม่ว่าอย่างไร…’ 


 


 


‘ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แต่ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยเข้าใจสถานการณ์ของเราด้วยนะคะ’  


 


 


ผมคิดว่าบางทีผมอาจจะสามารถหาวิธีรักษาสภาพจิตใจของอันซลได้ เป็นอย่างที่คิด เซราฟไม่ใช่คนที่จะจนมุมง่ายๆ 


 


 


ตอนนี้ผมประสบความสำเร็จในการดูแลอันซลแล้ว แต่นี่ยังไม่ใช่ตอนจบ ถ้ายังเป็นเช่นนี้ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร ความเป็นไปได้ที่หล่อนจะถูกซ่อนก็ยิ่งมีมากขึ้น ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์เลย 


 


 


นี่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ใช่ปัญหาที่ฮอลล์เพลนคุ้นเคย ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในรอบแรก จนทำให้สภาพจิตใจของอันซลเปลี่ยนไป แต่อย่างไรเสีย สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือ ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแล้ว 


 


 


“พี่! พี่!” 


 


 


ในตอนนั้นเองขณะที่ผมกำลังคิดหาวิธีซ่อมแซมจิตใจของอันซลอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกผมอย่างตื่นตระหนก เมื่อผมหันไปทางต้นเสียงนั้น ผมก็เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของอันฮยอน 


 


 


“พี่ มาทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียวครับ ผมเตรียมปาร์ตี้เสร็จหมดแล้วนะครับ! ตอนนี้ทุกคนกำลังรอพี่อยู่คนเดียวเลยครับ! พี่ยอนจูบอกให้ผมรีบมาพาพี่ไปโดย~เร็วเลยครับ” 


 


 


“แล้วนี่ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย” 


 


 


“ก็เราไม่ได้จัดปาร์ตี้มานานมากแล้วนี่ครับ! ปาร์ตี้! ปาร์ตี้! แม้แต่การปิดงบอุปกรณ์ก็ด้วย! ยะฮู้~ รีบไปเร็วครับ พี่!” 


 


 


“เจ้าเด็กนี่ เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ แล้วก็ไม่ใช่ปาร์ตี้แต่เป็นการรวมตัวเพื่อความสามัคคีต่างหากเล่า” 


 


 


อันฮยอนลากผมไปพร้อมรอยยิ้มแป้นแล้นบนใบหน้าราวกับจะบอกว่า ‘จะอะไรก็ดีหมดนั่นแหละ’ เขาฮัมเพลงออกมาในบางที ดูจะสนุกอยู่ไม่น้อยเลยนะ ผมแสร้งหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้น 


 


 


“มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” 


 


 


“เพราะงานถูกจัดขึ้นในสวน ก็เลยรู้สึกแตกต่างนิดหน่อยน่ะครับ และเพราะวันนี้พี่อนุญาตให้ดื่มได้…” 


 


 


“สุดท้ายก็หวังเหล้า” 


 


 


“โธ่ พี่ นานๆ ทีนี่ครับ อีกอย่างพี่บอกว่าผมจะได้ดื่มกับพี่หลังจากไม่ได้ดื่มมาตั้งนาน ผมก็เลยอารมณ์ดีแบบนั้น พี่เองก็จะดื่มกับผมด้วยใช่ไหมล่ะ” 


 


 


“พอมาคิดดูแล้ว พี่เองก็นึกถึงตอนที่ดื่มกันสี่คนที่สถาบันขึ้นมาเลยนะ ใช่ มันดีเลยล่ะ ดื่มสักหน่อยหลังจากไม่ได้ดื่มมานานก็ไม่เลวเหมือนกันนะ” 


 


 


ผมตั้งใจละคำว่า ‘แค่เราสองคน’ ออกไป ทันทีที่ผมตามน้ำ อันฮยอนก็ยิ่งเร่งฝีเท้าและยิ่งฮัมเพลงอย่างสนุกสนานมากขึ้นกว่าเดิม ผมเดินตามเขาไปพร้อมกับค่อยๆ เรียบเรียงความคิดตนเอง 


 


 


ปัญหาของอันซลไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ได้โดยทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ในตอนนี้คงจะดีกว่าหากผมจะใช้เวลาค่อยๆ คิดหาทางแก้ต่อไป ถ้าเช่นนั้น ก่อนอื่นผมจำเป็นจะต้องหาตื้นลึกหนาบางที่ทำให้อันซลกลายเป็นแบบนี้เสียก่อน และเพื่อให้ได้รู้ ก็เหลือแค่วิธีเดียว นั่นคือการทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเปิดปากออกมาด้วยตัวเอง 


 


 


แน่นอน ผมไม่คิดจะถามผู้ที่เกี่ยวข้องออกไปตรง ๆ หรอก เพราะวิธีนั้นล้มเหลวไปหลายครั้งแล้ว 


 


 


ดังนั้นเพื่อค้นหาเบื้องหลังของอันซล ผมจึงเริ่มจากการสืบจากอันฮยอนก่อนเป็นเป้าหมายแรก เพราะเป็นพี่น้องกัน เขาอาจจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียดก็ได้ และเพราะผมเชื่อว่าอันฮยอนมีแนวโน้มว่าจะยอมพูดออกมามากกว่าหล่อน 


 


 


“เรามาแล้วครับ!” 


 


 


ในตอนนั้น ผมได้รู้ว่าเรามาถึงแล้วเมื่อตอนที่อันฮยอนโบกมืออย่างแรงและตะโกนออกมาเสียงดัง ผมมองดูแผ่นหลังของอันฮยอนนิ่งๆ 


 


 


เป็นอย่างที่อันฮยอนพูด การเตรียมปาร์ตี้ ไม่สิ การรวมตัวนั้น ทุกอย่างเสร็จสิ้นหมดแล้ว ทุกคนกำลังรอผมอยู่ ผมมองเห็นทุกคนกำลังชะเง้อคอยาว และดูดีใจกันอย่างมาก 


 


 


และทันทีที่ผมเดินเข้าไปที่ที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ จองฮายอนก็ส่งแก้วไวน์มาให้ผมเงียบๆ แก้วเป็นทรงครึ่งวงกลม ถูกเติมด้วยของเหลวใสสีฟ้าครามประมาณหนึ่งในสาม ผมสามารถแยกประเภทมันได้ในทันที 


 


 


ของเหลวสีฟ้าครามนี้มีชื่อว่า ‘น้ำตานางเงือก’ เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงที่มีรสซ่าอ่อนๆ และความหอมวานซึมซาบไปทั้งลิ้น นอกจากนั้นชื่อของมันยังมีความหมายว่า ‘ความรุ่งเรื่อง, เกียรติยศ และการพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด’ อีกด้วย 


 


 


การเตรียมพร้อมเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ผมไม่สามารถเมินเฉยต่อสายตาอันร้อนแรงของเหล่าสมาชิกเผ่าที่จ้องผมมาตั้งแต่เมื่อครู่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงเริ่มพูดออกมาช้าๆ 


 


 


“ในทีแรก ผมตั้งใจว่าจะพูดให้ยาวสักหน่อยก่อนจะเริ่มงาน แต่ก็ไม่สามารถทนต่อสายตาของทุกคนได้อีกต่อไปแล้วละครับ ดังนั้นผมขอพูดสั้นๆ เท่านั้น” 


 


 


ผมเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่กลับเห็นเหล่าสมาชิกรู้สึกโล่งใจกันเสียถ้วนหน้า สีหน้าโล่งใจอย่างสุดซึ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา ผมจึงพูดต่อทั้งที่รู้สึกไม่เต็มใจนัก 


 


 


“แม้จะเป็นเผ่าที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่ถึงหนึ่งปี แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญมากมายเกิดขึ้น ถ้าให้พูดก็คงพูดได้ไม่มีวันจบ และมันก็เป็นความจริงที่ว่าผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานภายนอกจนละเลยงานภายในเผ่า นี่จึงเป็นงานพิเศษที่จัดเตรียมขึ้นเพื่อทุกคนโดยคำแนะนำของผู้เล่นจองฮายอน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะบอกกับทุกคน ในเวลานี้ โปรดวางสิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหมดลงก่อน หวังเพียงให้ทุกคนได้สนุกกับงานรวมตัวในครั้งนี้ ได้ดื่มและทานทุกอย่างตามที่ใจต้องการ เท่านี้ครับ” 


 


 


หลังจากกล่าวจบ ผมก็ยกแก้วไวน์ที่ถือไว้ขึ้นสูง และตะโกนเปิดงานด้วยเสียงที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้น 


 


 


“เพื่อเมอร์เซนต์นารี่!” 


 


 


“เพื่อเมอร์เซนต์นารี่!” 


 


 


สมาชิกทุกคนต่างชูแก้วขึ้นแล้วตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ราวกับรอคอยคำนี้มาแสนนาน และเมื่อผมจรดแก้วที่ริมฝีปาก เหล่าสมาชิกเผ่าก็เริ่มดื่มน้ำตานางเงือกไปพร้อมๆ กัน 


 


 


หืม? 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม