Memorize เล่มที่ 17 ตอนที่ 26-28
ตอนที่ 26
โดย
ProjectZyphon
ห้องพักชั้นสามของวิเวียน แคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่
ภายในห้องที่ส่องสว่างด้วยแสงสีอำพัน มีชายคนหนึ่งและหญิงอีกหนึ่งคนอยู่และทั้งสองก็กำลังสนทนาถึงเรื่องที่ดูจะตึงเครียดเป็นอย่างมาก
“นี่ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ เพียงเพราะนายอยากจะออกไม่ได้หมายความว่านายจะโดนคัดออกไปจริงๆ เสียหน่อย แต่เพราะคิมซูฮยอนรู้ถึงได้คัดนายออกไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวผู้นั่นก็คือวิเวียนนั่นเอง หล่อนพูดขึ้นในขณะที่นั่งไขว่ห้างและเกาศีรษะตนเองไปมา ดวงตาของหล่อนที่มักจะดูเฉื่อยชาอยู่เสมอเบิกโตขึ้นเล็กน้อยด้วยความสับสน
จากคำพูดของวิเวียนทำให้ชายหนุ่มอีกคนตอบออกมา
“นะ แน่อยู่แล้วสิครับ แต่ว่า…มันก็เป็นการตัดสินใจที่ผมก็คิดแล้วคิดอีกนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองคิดดูดีๆ อีกสักครั้งสิ เมื่อร้อยปีก่อนฉันต้องเจอสงครามมากี่ครั้งกี่หน? แน่นอนว่าไม่ได้เข้าร่วมด้วยโดยตรง แต่ก็เคยประสบมาก่อนในฐานะพลเมืองล่ะนะ ยังไงก็เถอะ สงครามน่ะไม่ใช่เรื่องหมูๆ เหมือนอย่างที่นายคิดหรอกนะ ไม่เห็นต้องมานึกละอายอะไรเลยนี่นา นายไม่ใช่คนเดียวที่เหลืออยู่ในเมืองเสียหน่อย”
“ไม่ใช่ว่าผมละอายนะครับ! ละ แล้วก็ ผมน่ะ อยู่ในสถานการณ์ที่ต่างกับพวกเขาโดยสิ้นเชิงเลยครับ! แต่ผมไม่คิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่ต้องคัดผมออกหรอกนะครับ”
แม้ว่าวิเวียนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังเพื่อโน้มน้าวเขาก็ตาม แต่คำตอบของชายหนุ่มที่หล่อนได้กลับมานั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้อ ฉันรู้นะว่านายคิดอะไรอยู่…ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ ถ้านายจะทำตามใจตัวเองตั้งแต่แรก แล้วทำไมถึงมาพูดเรื่องนี้กับฉันอีก”
“ฮ่าๆ ก็เพราะว่าท่านอาจารย์เป็นเพียงคนเดียวที่ผมจะปรึกษาได้น่ะสิครับ…”
วิเวียนทำปากยื่นทั้งยังบ่นพึมพำด้วยความไม่เข้าใจชินซังยงที่นั่งยิ้มเก้ๆ กังๆ อยู่
“เอาล่ะๆ ทำตามที่นายสบายใจเถอะ แต่ในฐานะอาจารย์ ฉันขอเตือนอะไรหน่อยแล้วกัน อย่างน้อยก็ลองคิดดูให้ดีอีกสักครั้งจะดีกว่านะ นายก็รู้นิสัยของคิมซูฮยอนอยู่ไม่ใช่เหรอ นายก็รู้นี่ว่าลองเขาได้ตัดสินใจแล้วจะต้องน่ากลัวแน่? หืม?”
“แน่ แน่นอนครับ ผมเตรียมตัวสำหรับเรื่องนั้นแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้น…หากนายมีอะไรไม่สบายใจก็บอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”
“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไรเลยครับ ผมจะไปบอกเขาด้วยตัวเองครับ”
เขาตอบหล่อนอย่างแน่วแน่อีกครั้ง หล่อนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“โธ่เอ๊ย~ โธ่เอ๊ย~ นั่นก็ฉัน นี่ก็ฉัน อะไรๆ ก็ฉัน ตอนนี้ฉันไม่รู้ด้วยแล้ว คิมซูฮยอนรู้แล้วอาจจะทำให้ก็ได้”
ชินซังยงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาเมื่อเห็นภาพนั้นของวิเวียน
แมกไม้ในสวนที่เคยได้รับแสงแดดอันแรงกล้าที่ส่องลงมา บัดนี้เริ่มเย็นลงอย่างช้าๆ เพราะยามอัสดงที่มืดสลัวเริ่มแผ่ปกคลุมไปทั่ว
ขณะที่ผมมองทิวทัศน์ของสวนผ่านหน้าต่างชั้นหนึ่ง ผมก็กวาดตามองที่นั่นอย่างช้าๆ
วันนี้คือวันก่อนที่ผมจะออกจากโมนิก้า ตอนนี้สมาชิกทุกคนล้วนอยู่ที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งหรือไม่ก็ออกไปที่สวนเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายและจัดการอุปกรณ์กันเป็นรอบสุดท้าย
“ฮันบยอล ให้ฉันอธิบายให้ฟังอีกสักรอบไหม”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ฉันจำได้หมดทุกอย่างแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อผมหันไปมองตามเสียงก็พบเข้ากับคิมฮันบยอลและท่านผู้เฒ่ากำลังนั่งพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ที่โต๊ะในล็อบบี้ชั้นหนึ่ง บนโต๊ะมีกระเป๋าที่ดูแล้วคงหนักไม่ใช่เล่นอยู่สี่ห้าใบ และท่านผู้เฒ่าที่กำลังลงมือจัดกระเป๋าให้เองกับมือ
“เข้าใจแล้วก็ดี ค่อยโล่งอกหน่อย เธอต้องจำที่ฉันบอกไว้ให้ดีนะ แล้วก็ฉันอยากให้เธอใช้กระเป๋าพวกนี้โดยไม่นึกลำบากใจ เข้าใจไหม”
“ค่ะ ฉันจะดูแลตัวเองให้ดีตามที่คุณปู่บอก คุณปู่ไม่ต้องห่วงนะคะ แล้วก็จะใช้ของพวกนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณอะไรกันเล่า เอาเถอะๆ ข้อแรก ระวังตัว ข้อสองก็ยังต้องระวังตัวนะ หวังว่าจะได้เจอเธออีกครั้ง ฉันจะคอยภาวนาให้เธอเสมอเลย”
เมื่อผมเห็นท่านผู้เท่าที่เอาแต่เน้นย้ำให้หล่อนระวังตัวซ้ำๆ พร้อมทั้งจับมือของคิมฮันบยอลเอาไว้แล้ว ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ต่อหน้าหลานแท้ๆ ของตัวเองก็เกิดขึ้นกับผม
ผมยืนดูภาพตรงหน้าด้วยความซาบซึ้งอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“แหม จิตใจมนุษย์นี่ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ นะครับพี่”
เสียงนั้นเป็นของอันฮยอนนั่นเอง และเมื่อผมหันกลับไปมองก็ได้เห็นหอกของมือหอกจี้กง, ตะวันเกรียงไกร และหมวกแห่งความกล้าหาญที่ถูกวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย อันฮยอนนั่งอยู่ที่พื้น มองไปยังภาพนั้นด้วยสายตาเลือนราง และเมื่อผมมองเลยไปด้านหลังก็เห็นอันซลที่กำลังขยับทำอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ ก่อนที่ผมจะพูดขึ้นมา
“จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ ความจริงแล้วผมเพิ่งจะรู้สึกคันตัวยุบยับเมื่อสักครู่นี้เองครับ ผมหมายถึง แต่เดิมเวลานี้เป็นเวลาที่เราจะได้ออกสำรวจกันแล้ว แต่เรากลับไม่สามารถออกไปได้เพราะสงครามน่ะครับ เพราะแบบนั้น ผมเลยคิดว่าไหนๆ มันก็เป็นแบบนี้แล้ว ผมก็อยากให้มันปะทุให้เร็วที่สุดไปเลยดีกว่า จนถึงเมื่อวานนี้น่ะครับ”
“…”
“พอถึงเวลาต้องเอาอุปกรณ์ออกมาเข้าจริงๆ แล้ว เพราะคิดว่าจะต้องไปรบด้วยตัวเอง…ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแปลกแบบนี้กันน่ะครับ ไม่รู้สิครับ ก็แค่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เหมือนที่ผมพูดไปนั่นแหละครับ”
พอมองไปที่อันฮยอนที่กำลังถอนหายใจออกมาเสียยาว ผมก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
คำพูดของอันฮยอนเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ
เมอร์เซนต์นารี่ยังคงวนเวียนอยู่ในวังวนของสงครามจนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เราแต่ยังรวมไปถึงเหล่าผู้เล่นทางตะวันออกและทางใต้ทั้งหมดด้วย
แต่ตอนนี้ผมกลับพยายามจะมุ่งหน้าและพาตัวเองไปยังตาพายุ ซึ่งหากเป็นคนปกติเขาก็คงกลัวกันแน่นอน และยิ่งสงครามในครั้งนี้เป็นสงครามแรกที่พวกเด็กๆ จะต้องเผชิญ นั่นจึงทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปกันใหญ่
ไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำให้พวกเขาได้เลย แม้ผมจะสามารถให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง แต่นี่คือปัญหาที่พวกเขาจะต้องเอาชนะมันให้ได้ด้วยตัวเอง
“เฮ้อ ทำไมใจเต้นแบบนี้นะ นี่ต้องกลับออกไปที่สวนอีกครั้งให้ใจเย็นลงหรือเปล่าเนี่ย”
“แบบนั้นก็ไม่เลวนะ ฉันเองเวลารู้สึกสับสนก็กวัดแกว่งดาบไปมาจนเหนื่อยกันไปข้างเหมือนกัน แบบนั้นจะทำให้นายจัดการความคิดได้และสมองก็จะปลอดโปร่งด้วย”
“โอ๊ะ อย่างนั้นเหรอครับ ถ้างั้นสำหรับผมแล้วคงต้องควงหอกสักหน่อยสินะครับ…พี่ เราก็ไม่ได้ดวลกันมานานแล้ว สักหน่อยไหมครับ”
ราวกับจะนึกถึงความหลังที่เคยดวลกันตอนอยู่มิวล์ขึ้นมาได้ อันฮยอนเงยหน้ามองผมและพูดขึ้น ผมพยักหน้าอย่างยินดี เพราะคิดว่าไม่มีอะไรต้องกังวล
“ได้ เอาสิ ถ้าอย่างนั้นจับหอกไว้แล้วออกมาเลย”
“ว้าว น่าตื่นเต้นจัง ไม่ได้แข่งกับพี่มานานแล้วนี่นะ”
ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากผม อันฮยอนก็ลุกขึ้นทั้งที่ยิ้มจนแก้มปริ จากนั้นจึงหยิบหอกที่วางไว้ที่พื้นขึ้นมาถือแล้วกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ
“เพราะผมเองก็โตขึ้นมาก ตอนนี้ผมไม่ใช่หมูๆ แล้วนะครับ ผมคุมหอกได้ด้วยมือข้างเดียวแล้วด้วย”
“โม้หรือเปล่า”
“โอ๊ะ? นี่พี่ไม่เชื่อผมเหรอ ไม่ได้การล่ะ ดูให้ดีๆ นะครับพี่ ตอนนี้ผมจะทำให้พี่เห็นเอง หึๆ”
“เดี๋ยวฉันจะออกไปดูข้างนอก อย่าควงหอกที่นี่…เฮ้ย อันฮยอน! นี่!”
ผมเพิ่งนึกได้ว่าอันซลอยู่ข้างหลังอันฮยอน ผมจึงรีบห้ามเขาโดยเร็ว แต่ไม่ทันขาดคำอันฮยอนก็หมุนควงหอกไปมาและสิ่งที่ผมเห็นคือวัตถุสีดำนั้นพุ่งเป้าไปยังอันซลซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง และทันใดนั้น
ฟึ่บ! แกร๊งงง!
“เฮ้ย!”
แต่ว่าช่างโชคดีจริงๆ ที่วัตถุทรงกลมส่องแสงสีขาวเข้ามาขวางหอกไว้ได้ทันเวลาพอดิบพอดี วัตถุนั้นก็คือโล่กำบังรุ่นปรับปรุงใหม่ของอันซลที่หล่อนเพิ่งขยับมันไปมาเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง ผมถอนหายใจออกมาและลูบหน้าอกด้วยความโล่งใจ
“ฮะ เฮือก! ซล!”
“พะ พี่”
และในตอนนั้นอันฮยอนที่เพิ่งจะเดาสถานการณ์ได้ก็รีบหันไปมองด้านหลังพร้อมร้องดังลั่น อันซลที่อ้าปากพะงาบๆ อยู่อึดใจหนึ่งเพราะความตกใจเหลือบตาขึ้นมองด้วยความกลัว หลังจากที่รู้ว่าตนเองปลอดภัยแน่แล้ว
“พี่?”
“ขอ ขอโทษนะ พี่พลาดเอง!”
“ทำ~ พลาดเหรอ ครั้งที่แล้วพี่ก็ทำแบบนี้ ครั้งนี้ยังจะพลาดอีกเหรอ”
อันซลตั้งใจจะทำบางอย่างกับอันฮยอน แล้วจากนั้นหล่อนก็เริ่มบ่นเขาเหมือนลูกนกช่างจ้อ ผมมองไปที่เขาที่เอาแต่ขอโทษทั้งที่เหงื่อไหลไม่หยุดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
ออกตัวดีตลอดแต่ก็สุดท้ายก็วืด ผมตัดสินใจจะออกไปที่สวนเพียงคนเดียว เพราะคิดว่าการดวลกับอันฮยอนนั้นคงจบลงแล้ว ผมจำเป็นต้องไปตรวจดูความเรียบร้อยของเหล่าสมาชิกที่สวน และอิมฮันนาที่ใส่อุปกรณ์เรียบร้อยแล้วก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน จริงอยู่ที่ผมสงสัยว่าอุปกรณ์จะพอดีกับหล่อนหรือเปล่า แต่ก็ข้องใจเกี่ยวกับความสามารถในการเป็นนักธนูของหล่อนด้วย ผมจึงตัดสินใจไปที่นั่น ดังนั้นผมจึงเดินไปที่ทางเข้าอย่างรวดเร็ว
“คะ แคลนลอร์ด! อยู่ที่นี่เองสินะครับ”
มีเสียงเรียกผมดังขึ้นอีกครั้งทำให้ผมต้องหยุดเดินอย่างช่วยไม่ได้
ใครอีกล่ะ
ผมหันไปเงียบๆ ขณะกำลังคิดว่ามีคนต้องการตัวผมเยอะจริงๆ ในวันนี้ ผมจึงได้เห็นบุคคลที่คาดไม่ถึงว่าจะเรียกผม ชินซังยงยืนอยู่ข้างๆ ผมนี่เอง
“ผู้เล่นชินซังยง? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้…”
“แคลนลอร์ด ผมมีเรื่องต้องบอกคุณจริงๆ ครับ”
เสียงของชินซังยงที่ตอบคำถามของผมช่างเป็นเสียงที่มีความน่าเกรงขามดีจริงๆ
“ผมทราบดีว่ามันกะทันหัน ก่อนอื่นผมต้องขอโทษด้วยนะครับ“
“อืม แล้วจะเล่าให้ผมฟังได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ครับ ถึงแม้ว่าจะสายไปมากแต่ผมอยากจะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วยครับ”
“…?”
ผมพูดว่าอยากฟังก็จริง แต่ผมก็ต้องงงงวยเพราะการเข้าประเด็นอย่างรวบรัดตรงประเด็นของชินซังยง แต่นั่นก็เพียงไม่นาน ผมรีบตั้งสติก่อนเอ่ยปากถามเขาด้วยความสงสัย
“ครับ? วันพรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางอยู่แล้ว ทำไมจู่ๆ จึงมาพูดแบบนี้ล่ะครับ”
“ขอโทษจริงๆ ครับ แต่ผมเอาแต่คิดเรื่องนี้มาตั้งแต่การประชุมครั้งก่อนแล้วครับ แล้วก็ในช่วงที่ยุ่งๆ กัน ผมก็ได้เตรียมตัวไว้แล้วครับ ผมจะไม่เป็นตัวถ่วง หวังว่าแคลนลอร์ดจะอนุญาตให้เข้าร่วมด้วยนะครับ”
เพราะน้ำเสียงที่หนักแน่นซึ่งได้ยินไม่บ่อยนักของชินซังยง ทำให้ผมได้แต่ปิดปากเงียบและจมอยู่กับความคิดของตน
ชินซังยงไม่ใช่พวกชอบความปลอดภัยหรอกเหรอ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้…
ด้วยที่ผมรู้จักการกระทำและแนวโน้มนิสัยของชินซังยงดี ทำให้สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในใจผมคือความสงสัย แต่คนอย่างเขาไม่มีทางที่จะพูดออกมาลอยๆ แน่ ผมจึงตั้งใจจะฟังชินซังยงเสียก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
“ผู้เล่นชินซังยง รายชื่อผู้ที่เหมาะสมได้ถูกประกาศออกไปแล้ว มันคงจะดูไม่ดีนักหากจะเปลี่ยนก่อนวันออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน ที่ผ่านมามีอะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจอย่างนั้นเหรอครับ”
“ครับ ความจริงผมคิดมากเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ถูกคัดออกในที่ประชุมพร้อมกับคุณอีมันซองและฮันกยอลแล้วน่ะครับ แคลนลอร์ด ไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็เหมาะสมพอที่จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้นะครับ”
“ฮ่าๆ ผู้เล่นชินซังยง ดูเหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิดไปนะครับ เหตุผลที่ผมตัดคุณออกก็คือ…”
“ไม่ครับ ไม่ ไม่ใช่ความผิดของแคลนลอร์ดหรอกนะครับ ปัญหาจริงๆ มันคือผมเองครับ และการตัดสินใจคุณก็ทำเพื่อผมเช่นกัน”
ผมว่าผมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และเมื่อผมกำลังจะบอกเขาไป ชินซังยงก็กลับโบกมือไปมาแล้วพูดแทรกขึ้น เขาพูดลื่นราวน้ำไหลไม่เหมือนการพูดติดอ่างตามปกติของเขา
“ทำไมแคลนลอร์ดถึงตัดผมออก ผมเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนเลยครับ และสุดท้ายก็คิดได้ว่า การกระทำของผมในช่วงนั้นไม่เหมาะกับเมอร์เซนต์นารี่เอาเสียเลย หมายถึงผมไม่มีประสิทธิภาพมากพอนั่นเองครับ”
“ประสิทธิภาพเหรอ?”
“ครับ จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาเองน่ะครับ ผมคิดว่าผมเป็นสมาชิกที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุดในเมอร์เซนต์นารี่เลยครับ”
“ครับ? ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะครับ”
“แคลนลอร์ดต้องบอกแบบนั้นอยู่แล้วครับ แต่ผมคิดแบบนั้นเอง หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงคว้าน้ำเหลว”
ตอนนั้นเอง ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทุบที่หัวอย่างแรง รู้สึกคล้ายเดจาวูแปลกๆ สิ่งที่ชินซังยงพูดออกมาช่างคล้ายกับสิ่งที่ผมเคยพูดกับอันฮยอนเกี่ยวกับอันซลเมื่อก่อนหน้านี้เสียเหลือเกิน ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขากำลังจะพูดขึ้นมาทีละนิดๆ แล้ว
“พอมาคิดดูแล้ว ผมเป็นผู้เล่นที่ไร้ประโยชน์ตั้งแต่วันที่เข้ามาในฮอลล์เพลนจนถึงก่อนที่จะได้พบกับแคลนลอร์ดแล้วครับ ไม่สามารถใช้เวทได้อย่างเชี่ยวชาญและไม่มีที่ไหนรับนักเล่นแร่แปรธาตุที่ต่ำกว่าเกณฑ์ด้วยครับ”
ตอนที่ 27
โดย
ProjectZyphon
แต่น้ำเสียงของชินซังยงก็ฟังดูจริงจังเกินกว่าที่ผมจะพูดอะไรได้ การฟังเขาเงียบๆ คือทางเลือกเดียวที่ผมสามารถทำได้ในเวลานี้
“แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ นั่นคือคลาสหายาก ของขวัญนั้นทำให้ผมที่เคยเป็นผู้เล่นที่ไร้ประโยชน์ ดูเหมือนจะมีประโยชน์ขึ้นมา ผมปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปไม่ได้ จึงคว้ามันเอาไว้ และแคลนลอร์ดเองก็อนุญาตให้ร้องขอในสิ่งที่มากเกินไปได้ด้วยครับ และผมยังคงจำคำปฏิญาณที่ได้เคยให้ไว้เมื่อครั้งได้รับคลาสหายากได้อยู่เลยครับ ว่าจะไม่ลังเลที่จะทำ”
“ผู้เล่นชินซังยง ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพูดนะ แต่ช่วยฟังก่อนสักนิด จริงๆ แล้วนั้นคุณก็จะเข้าร่วมในสงครามเช่นกันนะครับ เพียงแค่คอยช่วยเหลือในการป้องกันอยู่ที่เมืองเท่านั้นเอง ได้รับหน้าที่ในแบบที่ต่างออกไปครับ”
“ผมไม่ต้องการหลบอยู่อย่างขลาดกลัวนะครับ ผมตัดสินใจแล้วว่าอยากจะให้โอกาสตัวเองผ่านสงครามครั้งนี้ครับ”
“โอกาสเหรอครับ”
ในแวบแรก นัยน์ตาของชินซังยงปรากฏแววเด็ดเดี่ยวขึ้นมา ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“แคลนลอร์ด ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกแล้ว ผมอยากเป็นผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพครับ”
“ตอนนี้คุณก็ช่วยเหลือได้มากแล้วครับ นอกจากนั้นไม่ว่าใครก็อยากอยู่ในตำแหน่งของคุณชินซังยง…”
“ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้นครับ”
แม้ว่าน้ำเสียงของชินซังยงจะนิ่งเฉย แต่ผมสามารถบอกได้ว่าเขามั่นใจกับความคิดตนเองมากทีเดียว
“หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เราจะตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนเมื่อนานมาแล้วนะครับ”
“…”
“ผมพูดจริงนะครับ ผมอยากให้การมีตัวตนของผมถูกใช้เพื่ออะไรสักอย่าง และถ้ามีอะไรที่พอเป็นประโยชน์ได้ก็จะดีครับ เพื่อสิ่งนั้นแล้วผมจึงตั้งใจเตรียมตัวมาตลอดครับ แคลนลอร์ด หากคุณเป็นห่วงผมจริงๆ และหากคุณจะให้โอกาสนี้กับผมอีกสักครั้ง ผมจะขอบคุณคุณมากจริงๆ ครับ”
หลังจากที่พูดทุกอย่างออกมาจนหมดแล้ว ชินซังยงก็หยุดหายใจและปล่อยไหล่ให้ลู่ตกลง
ผมเองก็พูดไม่ออกไปครู่หนึ่งเช่นกัน พูดตามจริงแล้วในตอนแรกผมคิดแค่ว่าเขาจะมาขอโทษเพื่อลดความละอายหรือความบ้าบิ่นของเขาลงเท่านั้น แต่หลังจากที่ผมได้รับฟังคำพูดที่จริงใจของชินซังยง ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาคิดมากขนาดไหนและต้องกัดฟันทนมามากเพียงใด
ผมจ้องมองดูชินซังยงอยู่เงียบ ๆ แม้ผมจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็มีบางส่วนที่ผมเข้าใจ เพราะผมก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมคิดว่าในตอนนี้ชินซังยงเองก็มีส่วนช่วยมามากพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำจนเกินตัว ผมเก็บคำตอบที่คิดจะพูดกับเขาในตอนแรกลงไปจนลึกสุดใจ ในตอนนี้ผมยอมรับจนหมดใจเลยว่าไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบใดก็อาจสร้างแผลใหญ่ให้กับชินซังยงได้ทั้งนั้น
ผมหยุดเคาะนิ้วกับโต๊ะแล้วส่งมือไปทางเขาก่อนจะพูดขึ้นมาช้าๆ
“ก็ได้ครับ หากคุณยึดมั่นขนาดนั้นแล้ว ผมจะอนุญาตให้เข้าร่วมสงครามได้ครับ”
“คะ แคลนลอร์ด!”
“กำหนดการออกเดินทางจะยังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นขอให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วยนะครับ”
ทันใดนั้นชินซังยงก็เผยรอยยิ้มยินดีก่อนจะจับมือผมเอาไว้
แม้จะเป็นเวลาเพียงครู่เดียว แต่ผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากมือของเขาได้
เช้าวันต่อมา ความมืดมิดของค่ำคืนที่ผ่านมาสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงยามเช้าที่สดชื่นและแจ่มใส ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า แต่สภาพอากาศกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนมันกำลังอำนวยอวยพรให้กับหนทางในอนาคตของเมอร์เซนต์นารี่
การเตรียมพร้อมเสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวคือการเดินทางไปยังพรินซิก้าและกระโจนเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัวเท่านั้น
คาลิโก อาบรักซัส, เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย, เกียรติยศแห่งสวรรค์, เกียรติยศแห่งตะวัน, ร์โธรส ลอง บู๊ทส์, เสื้อโนเบิลมิธริล, เสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงิน, ใบโคลเวอร์สี่แฉก, TOPG
หลังจากตรวจสอบอุปกณ์เป็นครั้งสุดท้ายผมก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเข้าไปในสวน สมาชิกประมาณสิบคนกำลังเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบร้อยอยู่ด้านหน้าประตูหน้า สมาชิกที่เหลือและเหล่าลูกจ้างยืนอยู่รอบๆ และยังมียูนิคอร์นน้อยอยู่อีกหนึ่งตัวด้วยกัน
ได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็เดินข้ามไปยังทางเข้าที่กำลังต้องแสงตะวันทันที
ปัจจัยใดที่จะเป็นตัวกำหนดการแพ้ชนะในโลกที่เรียกว่า ‘ฮอลล์เพลน’ แห่งนี้กัน?
แม้จะมีปัจจัยและตัวแปรมากมาย แต่ผมคิดว่าจำนวนของ ‘นักเวท’ นั้นมีอิทธิพลมากที่สุด
ชีวิตในฮอลล์เพลนมีเพียงแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น ดังนั้นนักเวทที่สามารถแสดงพลังเปลวเพลิงอันทรงพลังในระยะไกลได้นั้นจึงถือได้ว่าเป็นคลาสที่สูงที่สุดในสงคราม
เมื่อมีสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้นสามารถแสดงพลังเพลิงออกมาได้แข็งแกร่งเพียงใด และสามารถสกัดเวทที่แผ่เข้ามาได้มากขนาดไหน หากสามารถถือไพ่เหนือกว่าได้ด้วยสองอย่างนี้ สงครามนั้นจะเป็นสงครามที่จะมีโอกาสชนะถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น
และบทบาทที่สามารถพลิกภาวะสงครามให้เป็นเช่นนั้นได้ ก็คือคลาสลับและคลาสหายากนั่นเอง
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม สภาพการณ์ของสงครามที่กำลังเกิดขึ้นมาจนถึงตอนนี้นับว่าเกือบจะเหมือนกันเลยทีเดียว
สายใกล้เคียงกันจะคอยคุ้มกันเหล่านักเวท ในขณะที่พวกนักเวทใช้เวทโจมตีเข้าไปยังค่ายของศัตรูอย่างเต็มกำลัง ถ้าอย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่กันที่ผู้เล่นสายใกล้เคียงกันจะเลิกคุ้มกันแล้วก้าวออกมาข้างหน้า
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ผู้เล่นสายใกล้เคียงกันจะก้าวออกมาด้านหน้าโดยตรงทั้งในเวลาที่เรามั่นใจในชัยชนะ ไปจนถึงเวลาที่จำเป็นต้องไล่ตามศัตรูอย่างรวดเร็ว
ยูนิคอร์นน้อยทำตัวไม่ดีบ้างเป็นครั้งคราวตั้งแต่งานชุมนุมเมื่อครั้งก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม ยูนิคอร์นน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของแพคฮันกยอลตอนนี้ ดูไม่ค่อยสบายใจต่างกับเมื่อก่อน สายตาของมันกำลังแสดงความหวั่นวิตกเพราะรับรู้บรรยากาศที่หนักอึ้งซึ่งล่องลอยอยู่ระหว่างเหล่าสมาชิกได้
ฮี้!
เมื่อมาถึงยังประตูหน้า ยูนิคอร์นน้อยที่ถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนอยู่ในอ้อมแขนของแพคฮันกยอลก็ตะเกียกตะกายออกมาแล้วรีบวิ่งมาทางผม
ผมหยุดคอยมัน ก่อนจะค่อยๆ คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เมื่อครั้งก่อนผมหายไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำและได้ยินมาว่ามันไม่กินข้าวเลยแม้แต่คำเดียว ดังนั้นตอนนี้ผมคิดว่าผมจำเป็นจะต้องบอกกับมันให้ชัดเจนก่อนที่ผมจะไป
“เด็กน้อย ช่วงนี้เราคงต้องแยกจากกันสักพักนะ”
ฮี้…
“ฉันขอโทษจริงๆ ที่ครั้งก่อนไม่ได้บอกลา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ฉันลืมไปเสียสนิท จริงๆ นะ”
ฮี้ ฮี้ ฮี้
ทันทีที่ผมลูบหัวเพื่อปลอบโยน ยูนิคอร์นน้อยก็ส่ายหัวไปมาก่อนจะช้อนตาขึ้นมองผม ดวงตาปริ่มน้ำตาของมันเหมือนจะระเบิดร้องไห้อยู่รอมร่อ
ต้องรีบไปเสียแล้วสิ
เมื่อคิดดังนั้นผมก็ลุกขึ้นยืนพลางลูบหัวเจ้ายูนิคอร์นน้อยอีกสามสี่ครั้งเป็นการส่งท้าย
“เอาล่ะ ฉันจะกลับมาแน่ถึงแม้ว่าจะช้าไปบ้างก็ตาม ระหว่างนี้ต้องกินข้าวแล้วก็เชื่อฟังดีๆ ด้วยนะ เข้าใจไหม”
ฮี้ ฮี้ฮี้
งั่บ
เมื่อผมหันกลับไป เจ้ายูนิคอร์นน้อยก็ตามมางับข้อเท้าผมอย่างรวดเร็วเหมือนเป็นการบอกว่า ‘ต่อไปนี้ข้าจะเชื่อฟังท่าน อย่าไปเลย’ แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถบอกกับมันได้ว่าผมจะไม่ไปและก็ไม่สามารถพามันไปกับผมได้ด้วย
“ถ้ากลับมาแล้ว จะตั้งชื่อให้นะ”
หลังจากพูดจบผมก็ถอยหลังไปช้าๆ และในที่สุดเสียงคร่ำครวญที่แสนเปราะบางก็ดังแว่วมาให้ผมได้ยิน
หลังจากก้าวขึ้นมายืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าสมาชิกด้วยหัวใจที่หนักอึ้งแล้ว ผมก็ค่อยๆ กวาดสายตามองใบหน้าของทุกคนโดยรอบช้าๆ
แม้ว่าบางคนจะดูสบายๆ เหมือนอย่างโกยอนจู แต่ก็ยังมีสมาชิกอีกจำนวนมากที่ยังมีสีหน้าวิตกกังวล
ผมควรจะพูดอะไรต่อหน้าพวกเขาดี
แม้ผมจะกังวลใจไปพักหนึ่งแต่ผมก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้มันยืดเยื้อจนเกินไป ผมไม่มีความคิดจะใช้ถ้อยคำสวยหรูเพื่อปลุกขวัญกำลังใจหรอก เพราะจู่ๆ ผมก็คิดว่ามันคงดีกว่าถ้าผมจะพูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูด
“ไม่มีใครรู้ว่าสงครามจะกินเวลานานเพียงใด มันอาจจะจบลงในระยะเวลาอันรวดเร็วก็ได้ หรืออาจจะยืดเยื้อนานมากกว่าที่เราคิดไว้ก็ได้เช่นกัน”
“…”
ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา สมาชิกทุกคนต่างมีสมาธิจดจ่ออยู่กับคำพูดของผม
“แต่ไม่ว่าจะกินเวลานานกี่เดือนก็ตาม ในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมต้องการ เมื่อสงครามจบลงและเราได้มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง หวังเพียงว่าจะได้เห็นสมาชิกทุกคนกลับมาโดยสวัสดิภาพนะครับ”
ระหว่างที่ผมกำลังพูดอยู่นั้นเอง ใบหน้านิ่งเฉยของชินซังยงก็เข้ามาในสายตา จู่ๆ ผมก็เห็นเขาหันไปมองทางตึกแล้วหันกลับมามองเบื้องหน้าอีกครั้งด้วยใบหน้าว่างเปล่า
เมื่อกี้ชินซังยงกำลังคิดอะไรกันแน่นะ
“ผมจะไม่พูดยาวไปมากกว่านี้แล้ว สุดท้ายนี้ขอขอบใจทุกคนที่ทำตามการตัดสินใจของผมโดยไม่คัดค้านใดๆ นะครับ”
ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าคำพูดของผมนั้นจะมีผลอย่างไรต่อเหล่าสมาชิกบ้าง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือผมได้เปิดเผยความจริงในใจผมออกไปให้ทุกคนได้รับรู้แล้ว นอกเหนือจากการเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้แล้วนั้น ผมหวังจริงๆ ว่าสมาชิกทุกคนจะกลับมาอย่างปลอดภัย
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเลยครับ”
การร่ำลาทุกอย่างเรียบร้อยและก็ได้พูดทุกสิ่งที่อยากจะพูดไปหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะรอช้าอยู่อีกต่อไป ผมหันไปอย่างไม่รีรอแล้วเดินผ่านประตูหน้าออกไป
หลังจากนั้นเสียงฝีเท้าของคนกว่าสิบคนที่ดังตามมาจากข้างหลังของผมก็ดังก้องไปทั่วทั้งแผ่นดิน
หลังออกจากประตูหน้าของแคลนเฮาส์เราก็เดินทางไปยังพรินซิก้าโดยผ่านทางวาร์ปเกต
โดยภาพรวมแล้วพรินซิก้าและโมนิก้านับว่ามีบรรยากาศที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แม้แต่ที่นี่เองก็มีกลิ่นอายของสงครามแผ่เข้ามาปกคลุมเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของผู้เล่นที่อยู่บริเวณโดยรอบที่แสดงออกมานั้นค่อนข้างแตกต่างกับของผู้เล่นของโมนิก้า ในทางตรงข้ามกัน ท่าทีด้านบวกกลับแข็งแกร่งมากจนดูมั่นใจว่าเราจะชนะสงครามนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขแน่นอน
ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านั้น ผมนำสมาชิกมุ่งตรงไปยังเผ่าแฮมิล เพราะได้มีการติดต่อมาล่วงหน้าแล้วพี่จึงออกมาต้อนรับผมด้วยความยินดีพร้อมกับสมาชิกเผ่าแฮมิลที่ติดตั้งอุปกรณ์เป็นอย่างดีแล้วเรียบร้อย คนดูเยอะกว่าครั้งที่แล้วที่ผมมา อาจเพราะพี่เรียกสมาชิกที่ส่งไปทำงานนอกสถานที่กลับมาหมดแล้ว
“ซูฮยอน กินข้าวมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว พี่น่ะรีบๆ พูดเรื่องการจัดทัพมาเถอะ”
“ไอ้หนูเอ๊ย นึกไว้แล้วเชียว อย่างนั้นก็รอแป๊บนึงนะ”
พี่หัวเราะอย่างขมขื่นเพราะคำพูดเฉียบขาดของผมก่อนจะหันไปสั่งลูกจ้างให้นำทางสมาชิกเผ่าของเมอร์เซนต์นารี่ไป ส่วนผมก็เดินขึ้นบันไดตามพี่ไปหลังจากที่ได้นัดหมายกับเหล่าสมาชิกแล้วว่าหากคุยเสร็จแล้วผมจะตามพวกเขาไป
หลังจากนั้นพี่ก็พาผมมาที่ห้องทำงานชั้นสาม และที่นั่นเอง ผมก็ได้พบกับบุคคลที่ผมคาดไม่ถึง
“ไม่เจอกันนานเลยน้า~”
อีฮโยอึลนั่งไขว่ห้างโบกมือไหวๆ อยู่บนโซฟาภายในห้อง
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่พี่ แต่พี่กลับส่งสายตาทีเล่นทีจริงกลับมาให้เป็นสัญญาณว่าแม้ผมจะไม่พอใจแต่ก็ช่วยทนไปก่อนสักหน่อย
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
“หะ หืม?”
ผมบ่นพึมพำก่อนนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามหล่อน และทันทีที่ผมเปิดปากถาม รอยยิ้มอ่อนโยนของอีฮโยอึลก็ถูกลบออกไปก่อนหล่อนจะตอบกลับมาด้วยความไม่เต็มใจ
“แล้วจะทำไม! ฉันยังเป็นสมาชิกของแฮมิลอยู่ ฉันก็ต้องอยู่ที่นี่น่ะสิ และก็อยากอธิบายเรื่องการจัดทัพให้นายฟังด้วย…”
“…”
“ถะ ถ้าไม่พอใจฉันไปก็ได้นะ”
เมื่อผมพยายามจะตอบ ‘อืม’ ไปด้วยเสียงยินดี พี่ก็เดินเข้ามาด้านในพอดี
“ซูฮยอน การจัดทัพครั้งนี้มีความคิดของเธออยู่เยอะมากทีเดียว ดังนั้นเธอจะสามารถอธิบายให้นายฟังได้ละเอียดกว่าพี่น่ะ”
คำพูดของพี่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ในยามสงครามการทำตามการควบคุมในเบื้องต้นนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นทหารรับจ้างอิสระก็ไม่สามารถละเว้นได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เพราะยังมีเรื่องการจัดทัพของเราอยู่ ผมจึงอยากพักความรู้สึกส่วนตัวเอาไว้แล้วตั้งใจฟังอีฮโยอึลก่อน
“อะแฮม ถ้าอย่างนั้นเข้าเรื่องเลยนะ ไม่มีปัญหาเนอะ”
อีฮโยอึลพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงขึ้นหลังจากยืนยันปฏิกิริยาของผมเป็นที่เรียบร้อย
ผมพยักหน้าให้หล่อนเบาๆ
อีฮโยอึลอธิบายเสียยืดยาวน้ำท่วมทุ่ง แต่เมื่อลองมาสรุปดูแล้วก็มีแค่นี้เท่านั้น
ในครั้งนี้มีกำลังพลจากทางตะวันออกเข้าร่วมทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นหกพันคนและเราวางแผนจะแบ่งกองกำลังออกเป็นสี่กองเท่าๆ กันเป็นทัพเหนือ, ใต้, ออก และตกแล้วบุกเข้ายึดในเวลาเดียวกัน ถ้าหากการเข้าโจมตีล่าช้า เราจะเข้าร่วมกับทัพของทางใต้และทางเหนือที่ทำหน้าที่คุ้มกันวาร์ปเกตของเมืองอยู่และเข้าโจมตีอีกครั้ง
ตอนที่ 28
โดย
ProjectZyphon
แม้จะมีกลยุทธ์ที่ละเอียดลงไปอีกอย่างเช่นการเข้าล้อมหรือถอยทัพ แต่ทิศทางที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ ‘การโจมตีพร้อมกัน’ นั่นเอง
“ยังไงก็ตามแม้เราจะวางกลยุทธ์ไว้หลากหลายเพียงใด แต่ก่อนอื่นก็คงต้องลองปะทะโดยตรงๆ ดูก่อนจึงจะรู้กัน ฉันไม่รู้หรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยที่สุดก็จำเป็นจะต้องจัดการให้ยืดหยุ่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
อีฮโยอึลขยับกรามของหล่อนไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าปากของหล่อนไม่ได้เจ็บเนื่องจากการพูดเป็นเวลานาน จากนั้นจึงฝังตัวลงกับเก้าอี้แล้วพูดต่อ
“เอาเป็นว่าการอธิบายรอบแรกจบลงแค่นี้ มีอะไรสงสัยไหม”
“นิดหน่อย เธอบอกว่าจะแบ่งทัพออกเป็นสี่ทัพตามเผ่า แล้วใครจะเป็นแม่ทัพแต่ละทัพล่ะ”
“โครยอ, คืนเดือนหงาย, ฮัน, กรีนนาเร่ ผู้เล่นที่ไม่มีเผ่าจะถูกแบ่งไปตามที่ที่ยังขาดกำลังคนอย่างเหมาะสม”
“โอเค แล้วเธอก็บอกว่ากำลังคนทั้งหมดคือหมื่นหกพันคน แล้วกำลังคนในแต่ละคลาสล่ะ”
“ผู้เล่นสายใกล้เคียง 8,100 คน, นักธนู 3,900 คน, นักเวท 2,800 คน, นักบวช 1,200 คน ไม่ใช่ตัวเลขที่ตายตัว แต่ก็ประมาณนี้”
อีฮโยอึลตอบโดยไม่ติดขัดราวกับคาดเดาคำถามของผมไว้อยู่แล้ว และเมื่อผมได้ฟังคำตอบผมก็จมดิ่งลงสู่ความคิดของตนเองทันที
ในรอบแรกนั้น ทางตะวันออกได้เดินทัพไปช่วงชิงบาร์บาร่าด้วยกำลังพลที่รวบรวมขึ้นมาด้วยตนเองและสุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับทางตะวันตกและพวกเร่ร่อนอย่างราบคาบ จริงอยู่ที่สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างจะแตกต่างอยู่พอสมควร แต่ความจริงที่ว่าทางตะวันออกนั้นสู้รบอยู่เพียงลำพังก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
หากจะพูดกันตามจริง ถ้าฟังแค่คำอธิบายเพียงอย่างเดียว ผมก็ไม่คิดว่าเราจะแพ้ แต่ความกังวลเล็กๆ ในใจกลับกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของผมอยู่ตลอด
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ดูไม่สบายใจเอาเสียเลย”
“แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”
“หืม? อะไรกันล่ะที่ว่าแปลกน่ะ”
อีฮโยอึลถามผมอีกครั้งด้วยความสงสัย นั่นเป็นคำตอบที่ผมตอบไปโดยอัตโนมัติ ผมจึงสงสัยว่าผมควรพูดอย่างไรดีแต่สุดท้ายแล้วผมก็คิดว่าพูดออกไปตรงๆ คงจะเป็นการดีที่สุด
“ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าสงครามจะเป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้นี่ และในระหว่างที่ฉันเดินทางมาที่นี่ก็พอจะเห็นบรรยากาศมาบ้าง มีผู้เล่นบางคนที่คิดว่าเราจะชนะอยู่ด้วย เธอไม่คิดว่าเราประมาทกันเกินไปเหรอ”
“อ๋อ บรรยากาศน่ะเหรอ นั่นเป็นเพราะเรามีการใช้มีเดียเพลย์กันนิดหน่อยน่ะ”
“มีเดียเพลย์?”
“อืม แต่ว่าฉันก็ไม่ได้แต่งเรื่องหรอกนะ แค่แจ้งสถานการณ์ตามความเป็นจริงออกไปก็เท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น เหล่าผู้เล่นที่มีชื่อเสียงของทางตะวันออกถูกตัดออกจากกองทัพ เลยทำให้มีผู้เล่นหลายคนที่เข้ามาใหม่จากทางตะวันตกและภาคกลางกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย อะไรประมาณนี้? แล้วก็ปล่อยข่าวออกไปว่ามีราชินีแห่งดาบ, แพทย์, พยาบาล, นักมายากลไพ่ทาโร่ต์, มือสังหารส่งวิญญาณ, หมอศาสตร์มืด และอีกมากมาย อ้อ แล้วก็มีนายกับราชินีแห่งเงามืดจะเข้าร่วมด้วยน่ะ”
อีฮโยอึลชี้นิ้วมาที่ผมก่อนจะเอาแขนกอดอกไว้
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีอะไรสามารถการันตีได้นี่ว่ามันจะเป็นไปตามที่นายพูดหรือตามที่ฉันคิดกันแน่ ตกลงว่านายกังวลเรื่องตัวแปรมากที่สุดสินะ?”
“ก็ตัวแปรน่ะสิ มันก็พอจะคล้ายกันอยู่นะ เพราะแม้เราจะมีผู้เล่นที่มีชื่อเสียงแต่ก็ใช่ว่าศัตรูจะไม่มี”
“อืม มาคิดๆ ดูแล้วนะฉันควรจะต้องบอกนายเรื่องนั้นเหมือนกันนี่เนอะ แต่ก่อนอื่น…เรามาตัดสินใจแล้วค่อยไปกันดีกว่า เมอร์เซนต์นารี่ล่ะจะทำยังไง”
“หืม? อะไรคือทำยังไง”
อีฮโยอึลเบิกตาโตเพราะการย้อนถามของผมก่อนจะเปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง
“ก็ในเมื่อเราจัดทัพเกือบจะเสร็จหมดแล้วเมอร์เซนต์นารี่ก็ต้องเป็นส่วนที่เพิ่มเข้าไปน่ะสิ เดิมทีแล้วส่วนที่ฉันตัดสินใจเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว แต่เพราะเป็นการเข้าร่วมแบบได้รับมอบหมาย ดังนั้นฉันก็คิดว่าการให้สิทธิในการเลือกกับนายก็เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว”
“สิทธิในการเลือก?”
“อืม สิทธิที่จะเลือก เหนือ, ใต้, ออก, ตก นายอยากอยู่ในทัพไหนล่ะ ฉันจะบอกให้รู้ไว้นะว่าทั้งสี่ทัพต่างก็ต้องการตัวนายกันทั้งนั้น”
“ฉันอยู่ฝั่งตะวันตก”
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงพี่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เพียงอย่างเดียวดังขัดขึ้นมา
ผมคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบออกไป
“ฉันอยากรู้เรื่องของทางตะวันตกมากกว่านี้หน่อย”
ผู้เล่นทั้งหนึ่งหมื่นหกพันคนจะถูกแบ่งออกเป็นสี่กอง โดยใช้ ‘เผ่า’ เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งการจัดทัพเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพิจารณาเรื่องเครือข่ายผู้บังคับบัญชาอย่างเต็มที่ ซึ่งโดยปกติแล้วถือเป็นการผูกมัดผู้เล่นให้ใช้ชีวิตอยู่รวมกันในที่เดียวมากกว่าจะเป็นการผสมพวกเขาจากคนละทิศละทาง
และทัพที่เมอร์เซนต์นารี่รวมอยู่ด้วยนั้นจะกลายเป็น ‘ทัพหลัก’ ที่รับหน้าที่ในการบุกเข้าโจมตีประตูฝั่งตะวันตก
มีเหตุผลสองข้อด้วยกันที่ทำให้ถูกเรียกว่าเป็นทัพหลักที่จะบุกเข้าประตูฝั่งตะวันตก
เหตุผลข้อแรก เพราะเรามีแคลนลอร์ดโครยอที่ไม่ต่างจากผู้บัญชาการทหารตัวจริงในสงครามครั้งนี้
และอีกประการหนึ่งก็เพราะระดับและจำนวนของผู้เล่นที่ถูกจัดให้ไปอยู่ในทัพฝั่งประตูตะวันตกนั้นเหนือชั้นกว่าผู้เล่นในทัพอื่นไปอีกขึ้นหนึ่ง
เหตุผลที่ผู้เล่นทางประตูตะวันตกถูกแบ่งแยกจากกลุ่มอื่นก็ง่ายนิดเดียว อีฮโยอึลเชื่อว่าหากพวกศัตรูจะเจาะประตูตะวันตกแล้วหนีไป ซึ่งสันนิษฐานว่าพวกเขาอาจจะมีวาร์ปเกตของเมืองอื่น ก็อาจจะเป็นไปได้มากที่สุดว่าวาร์ปเกตนั้นจะออกมาจากประตูทางฝั่งตะวันตกนั่นเอง
ดังนั้นสภาพการณ์ของทัพหลักในเวลานี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ล้วนมีแต่บุคคลที่เหมาะสมเก่งกล้าสามารถจนสามารถทำให้อ้าปากค้างได้เลย
ในตอนนี้มีทั้งหมด 4,782 คน ถ้าหากแยกเผ่าใหญ่ๆ และเหล่าผู้เล่นที่มีชื่อเสียงออกมา เราจะคัดได้เป็นแปดเผ่าและผู้เล่นอีกสิบเอ็ดคนด้วยกัน
เผ่าโครยอ : ซอจินอู (Normal, แม่น้ำทั้งสิบ)
เผ่ารีเวิร์ส : คิมด็อกพิล (Normal, นักฆ่าพวกเร่ร่อน), ฮอยูริ (Normal, ตัวตลกเปลวเพลิงบ้าคลั่ง)
เผ่าแฮมิล : คิมยูฮยอน (Secret, ราชาแห่งสายฟ้า)
เผ่าฮอสพิทอล : ซนชีฮยอก (Rare, หมอ), คังเยบิน (Normal, พยาบาล)
เผ่าช็อนดุน : นัมดาอึน (Secret, ราชินีแห่งดาบ)
เผ่าหอคอยแห่งเวทมนตร์ : ซอนยูล (Rare, นักมายากลไพ่ทาโร่ต์), คังแทอุค (Rare, หมอศาสตร์มืด)
เผ่าผู้ลอบสังหาร : อีชานฮี (Secret, มือสังหารส่งวิญญาณ)
เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ : คิมซูฮยอน (Secret, ผู้ชำนาญดาบ), โกยอนจู (Secret, ราชินีแห่งเงามืด)
หากแบ่งตามพฤติกรรมที่เหมาะสมของแต่ละคนแล้ว นับว่ามีจำนวนเพียงหยิบมือเดียวจากทางภาคกลาง, ทางตะวันตกและทางตะวันออก และแม้จะแยก ‘ชื่อเสียง’ ออกจากคลาสหรือความสามารถโดยทั่วไปแล้วก็ยังได้เพียงเท่านี้เอง
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด หากมองเพียงแค่ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก็นับว่ายังไม่มีผู้มีความสามารถที่เป็นที่รู้จักเทียบเท่าจองฮายอนหรือวิเวียนเลยสักคน กล่าวคือ แม้จะมีความสามารถแต่ก็อาจจะยังมีผู้เล่นบางคนที่ซ่อนความสามารถของตนไว้ตั้งแต่แรกหรือไม่ก็ไม่มีชื่อเสียงก็เป็นได้
ผมเองก็มีเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จในสงครามนี้อยู่ด้วย แต่ผมกลับคิดว่ามันออกจะโง่เง่าไปสักหน่อยหากผมจะเอาแต่วิ่งไปยังเป้าหมายนั้นเพียงอย่างเดียว เพราะการตักตวงทุกสิ่งเท่าที่จะสามารถทำได้ในขณะที่ยังมีแรงเหลืออยู่นั้นย่อมดีกว่าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
และเพราะผมคิดแบบนั้น ผมจึงตั้งใจจะใช้ดวงตาที่สามในระหว่างสงครามนี้ ความจริงที่ผมเข้าร่วมสงครามครั้งนี้หมายความถึงว่าผมสามารถยืนยันความสามารถของตนเองได้ และยังคิดว่าความหนักใจที่กำลังเพิ่มขึ้นนั้นจะลดน้อยลงได้อีกด้วย
เวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยการจัดการที่รวดเร็วของอีฮโยอึล ทำให้เมอร์เซนต์นารี่ถูกเพิ่มเข้าไปยังทัพฝั่งประตูตะวันตกภายในวันเดียวกันที่เดินทางไปยังพรินซิก้า แต่นั่นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด การแบ่งทัพออกเป็นสี่ทัพนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ภายในแต่ละทัพก็ต่างมีการจัดการภายในของตนต่างหาก และสมาชิกเมอร์เซนต์นารี่ทุกคนก็จำเป็นจะต้องปรับตัวให้กลมกลืนกับระบบภายในที่ถูกจัดการเอาไว้แล้วให้เร็วที่สุด
ในขณะที่เรากำลังปรับตัวอยู่นั้น กำหนดการส่งทัพออกไปยังบาร์บาร่าก็กำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้วเช่นกัน
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ผมมาที่พรินซิก้าและกำหนดการออกเดินทางก็อยู่ใกล้เพียงปลายจมูกเท่านั้น
แม้ระหว่างนั้นผมจะค่อนข้างยุ่งก็ตาม แต่ผมยังคงเดินวนเวียนไปมาระหว่างทัพที่ถูกแบ่งเป็นคลาสต่างๆ โดยวางเวลาว่างที่ตอนนี้ยังไม่มีเอาไว้ก่อน เพราะถึงแม้ผมจะไม่มีอำนาจในการจัดการตามที่พวกเขาได้บอกมา แต่ในฐานะแคลนลอร์ด ผมก็ไม่สามารถละเลยเหล่าสมาชิกไปได้เช่นกัน
ในวันออกเดินทาง ผู้เล่นทุกคนจะเดินทัพออกไปเป็นขบวนที่ได้ถูกจัดแบ่งเอาไว้เพื่อเดินทัพเป็นขบวนใหญ่ โดยไม่ได้อยู่รวมกันกับสมาชิกเผ่าที่สนิทสนมกันและรูปแบบในการเดินจะถูกแบ่งออกตามคลาส
จริงอยู่ที่หลังจากนี้เรายังสามารถพบกันได้ แต่ก็อาจจะมีบางคนที่รับรู้บรรยากาศของสงครามและค่อยๆ ออกห่างกันไป ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องผูกมัดพวกเราเอาไว้
และในตอนนี้ผมก็กำลังจะไปพบกับผู้เล่นนักธนูอิมฮันนาเป็นการส่วนตัว นั่นก็เพราะหล่อนเป็นนักธนูเพียงคนเดียวในเมอร์เซนต์นารี่ ดังนั้นจึงทำให้อิมฮันนาไม่ถูกจัดให้อยู่กับสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ
“คุณถูกแยกออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่เหงาบ้างเหรอครับ”
“ถ้าบอกว่าไม่คงหาว่าฉันโกหกใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่หานักธนูเพิ่มอีกสักคนล่ะคะ”
“ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เจอกับนักธนูเสียทีน่ะครับ กับคุณเอง หากไม่ใช่เพราะโกยอนจูช่วยแนะนำ ก็คงไม่ได้เจอเหมือนกันครับ”
“อะไรกัน ฉันแค่ล้อเล่นเองค่ะ ฉันรู้ค่ะว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ เพียงแค่บ่นอะไรไปตามประสาเท่านั้นค่ะ ฮ่าๆ”
เมื่อผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักใจ อิมฮันนาก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเผยรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ แม้แต่ผมเองก็ยังพอได้หัวเราะไปกับมุกตลกของหล่อนด้วย
“บ่นเหรอครับ อยู่ดีๆ ก็บ่นเนี่ยนะ มันแปลกเพราะปกติคุณไม่ใช่คนแบบนั้นน่ะสิ”
“ตายจริง ทำไมล่ะคะ ฉันก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนะคะ เวลาเหนื่อยๆ ก็อยากอ้อน อยากบ่นกับเขาบ้างเหมือนกันค่ะ”
“หืม? เหนื่อยเหรอครับ”
“อุ๊บ”
ผมไม่ปล่อยให้คำพูดของอิมฮันนาหลุดรอดไปได้ หล่อนตกใจกับความผิดพลาดของตนเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดปากสวยด้วยมือบอบบางของหล่อน
“ทำไมครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ เรื่องนั้น…”
อิมฮันนาไม่ยอมพูดออกมาง่ายๆ สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างตึงเครียดเพราะดูเหมือนหล่อนจะไม่อยากบอกผม แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็อยากจะฟังให้ได้เพราะหากผมคิดไม่ผิดมันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ แม้ว่ามันจะดูเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม
“เอ่อ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอกค่ะ”
“ฮันนา ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกผมมาสิว่าทำไม อะไรที่ทำให้คุณเหนื่อย”
อิมฮันนาพยายามจะเปลี่ยนเรื่องอย่างลุกลี้ลุกลนแต่ผมก็ตัดมันขาดในฉับเดียว หล่อนมองดูท่าทีผมอยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดผมก็เห็นว่าหล่อนกำลังจะเริ่มพูดและรู้สึกถึงความไม่เต็มใจในการทำตามคำพูดของผมได้
“คือ…ฉันแค่คิดว่าจะมีนักธนูจากแต่ละทัพมารวมตัวกันมากมายเพราะเราใกล้จะออกเดินทางเร็วๆ นี้แล้วน่ะค่ะ แต่ว่า…”
“ก็ควรจะเป็นแบบนั้นนะ แต่ว่าทำไมเหรอ”
อิมฮันนาทำปากยื่นกับการเร่งของผม แล้วจู่ๆ หล่อนก็ก้มหน้าลง ท่าทางของหล่อนดูราวกับว่าหล่อนกำลังเขินอายกับอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก จากนั้นหล่อนก็พึมพำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบกลับมา ไม่สมกับเป็นหล่อนเลยสักนิด
“ทุกครั้งที่รวมตัวกันแบบนั้น ฉันได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจนรู้สึกอึดอัดใจน่ะค่ะ โดยเฉพาะกับพวกผู้ชาย…หลังจากการประชุมจบลงทีไรเป็นอันต้องมีคนเข้ามายุ่มย่ามอยู่เรื่อยเลยค่ะ…”
“….?”
ผมงงกับคำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของอิมฮันนาอยู่พักหนึ่ง และในขณะที่หล่อนเอียงศีรษะเพื่อที่จะฟังคำถามที่ถูกถามต่อให้ถนัดขึ้นนั้นการแต่งกายของหล่อนก็เข้ามาสู่สายตาผม
อิมฮันนากำลังสวมใส่ ‘เสื้อเหมันต์แห่งทิศอุดร’ ที่ปกคลุมตัวหล่อนอยู่ตั้งแต่ท่อนบนและท่อนล่าง และด้วยความที่เป็นเสื้อรัดรูปทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของหล่อนถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะแพคซอยอนได้ตัดแขนข้างขวาออกมาให้ผม ทำให้แขนเสื้อข้างขวาหายไป ผลก็คือทำให้ผิวขาวของอิมฮันนาเปล่งประกายจนแสบตา
ในตอนนั้นเองผมก็เริ่มเข้าใจในสิ่งที่อิมฮันนาพูด ในทางตรงข้ามกัน(?) ผมเคยคิดถึงตอนที่แพคซอยอนซึ่งเป็นคนรูปร่างผอมบางใส่มันอยู่นิดหน่อย แล้วถ้าหากเธอใส่ล่ะจะเป็นอย่างไรกัน
เป็นความโชคร้ายในความโชคดี ไม่สิ ความโชคดีในความโชคร้าย ก็คือเสื้อรัดรูปนั้นเป็นสีดำและมีใบไม้ของอิกดราซิลติดไว้ด้านนอกด้วย ซึ่งถ้าหากว่าโกยอนจูใส่เสื้อแบบนั้นบ้าง ถึงจะใส่แบบนั้น แต่ก็คงจะดูต่างจากอิมฮันนาอยู่เหมือนกัน หล่อนเป็นสาวงามที่อ่อนโยนและเป็นหญิงสาวที่เปล่งรัศมีอันงามสง่าออกมา แต่ร่างกายของหล่อนกลับดูเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก และแม้จะเป็นความงามที่ดูขัดแย้งกัน แต่ผมก็รู้สึกถึงเสน่ห์ที่แปลกใหม่ของอิมฮันนาได้ เพราะแบบนั้นผมจึงได้แต่กลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น