Memorize เล่มที่ 17 ตอนที่ 18-24

 ตอนที่ 18

โดย

ProjectZyphon

ฮันโซยองขมวดคิ้วมุ่นอย่างคิดไม่ตก ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ออกจากริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป


แม้จะรู้สึกเสียใจที่มอบหมายหน้าที่ด้วยวิธีนี้ เพราะการส่งมอบพวกเร่ร่อนแบบนี้เป็นสถานการณ์ที่จะต้องจำใจทำ แต่ผมมั่นใจว่าหล่อนจะต้องได้ผลประโยชน์กลับมาแน่นอน


อย่างไรก็ตาม ผมพยักหน้าอย่างพอใจเพราะการบอกเพียงข้อมูลในเบื่องต้นเท่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งกังวล


“ผมเห็นด้วยกับการเปิดเผยข้อมูลในเบื้องต้นนะครับ ผมมั่นใจว่าคุณจะทำได้ดี…แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกสิ่งที่เราค้นพบจากการพิจารณาคดีด้วยก็ได้นะครับ”


“คะ? งั้นก็หมายความว่า…”


ใบหน้าของฮันโซยองผ่อนคลายลงด้วยความโล่งอก แต่หลังจากนั้นตากลมก็เบิกว้างแล้วถามทวนขึ้นอีกครั้ง ผมจึงพูดต่อ


“มีข้อมูลบางส่วนที่พวกเราได้สืบค้นพบมาก่อนหน้านี้จากกระบวนการส่งตัวคืนครับ ผมจะกลับไปที่แคลนเฮาส์เพื่อย่อสรุปส่วนนั้นแล้วจะส่งให้อีกครั้งนะครับ แล้วค่อยประกาศข้อมูลนั้น คุณว่าทำอย่างนี้ดีกว่าไหมครับ”


“อ้า…ทำแบบนั้นคงดีกับเราสินะคะ”


“พอมาคิดดูแล้ว ผมควรจะส่งตัวเชลยให้คุณก่อนล่วงหน้า ขอโทษด้วยนะครับ”


“ไม่หรอกค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


ฮันโซยองค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะโค้งให้ผมอีกครั้ง


ผมหันเหสายตาไปทางอื่นนิ่งๆ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายของฮันโซยองในวันนี้ แต่ถ้าผมได้พบกับเขา ผมได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะเลี้ยงข้าวเขาให้ได้เลย


แล้วถ้าเธอเป็นคนเลือกใส่เองจะทำยังไงดีล่ะ


เมื่อผมอมยิ้มอย่างมีเลศนัยกับความคิดไม่ดีในใจ ก็พลันมีเสียงไพเราะจนผมแทบละลายแว่วมาให้ได้ยินชิดริมหู


“จริงสิ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ฉันมีสิ่งหนึ่งอยากจะขอร้องคุณ”


“ขอร้องงั้นหรือครับ”


หลังจากที่ฮันโซยองตอบ “ค่ะ” หล่อนจึงพูดต่ออีกครั้ง


“เป็นคำถามเกี่ยวกับแพคซอยอนน่ะค่ะ”


แพคซอยอนสินะ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นแพคซอยอนหรือพวกเร่ร่อนก็ดูจะไม่มีประโยชน์หรอกนะ


ผมชะงักไปเล็กน้อย เพราะผมคิดว่าจะลงโทษประหารชีวิตพวกเขาทั้งหมดในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของฮันโซยองก็นับว่ามีค่าพอที่จะฟัง หลังจากที่ผมพยักหน้า หล่อนก็พูดต่อ


“ก่อนอื่นช่วยฟังก่อนนะคะ”


ผ่านมากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วหลังจากที่ผมไปเยือนแคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์


ผมได้เห็นด้วยเกี่ยวกับปัญหาการจัดการพวกเร่ร่อนที่ผมได้นำไปส่งมอบให้พวกเขาในวันนั้น และตามกำหนดการของฮันโซยอง การพิจารณาคดีมีขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นเพียงแค่การไต่สวนที่ดำเนินกันภายในและไม่เกี่ยวกับว่าถูกหรือผิด ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรพิเศษ


ในส่วนของคำตัดสิน พวกเร่ร่อนถูกพิพากษาให้ได้รับโทษประหารชีวิตทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่คนเดียว และผมก็ไม่ได้พูดต่อหน้าพวกเร่ร่อนด้วย การตัดสินโทษประหารชีวิตนั้นถือเป็นโทษที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินของเผ่าอีสตันเทลลอว์ และด้วยนิสัยที่รักความสมบูรณ์แบบของฮันโซยอง ทำให้การไว้ชีวิตพวกเร่ร่อนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


ปฏิกิริยาของพวกเร่ร่อนเมื่อได้ฟังคำตัดสิน จะว่าอย่างไรดี จะบอกว่าหลากหลายดีไหมนะ


มีทั้งคนที่ตะโกนทวงถาม “ไหนบอกจะไว้ชีวิตพวกฉันไง” และคนที่พยายามโน้มน้าวอย่างใจเย็นว่าพวกเขาอาจช่วยเหลือเราได้ในอนาคต คนที่ร้องห่มร้องไห้ร้องขอความเห็นใจ หรือแม้แต่คนที่ยอมโดนลากไปเงียบๆ เพราะยอมแพ้ไปแล้วตั้งแต่ทีแรก


แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อแพคซอยอนเพลี่ยงพล้ำ พวกเร่ร่อนก็ดูจะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปเช่นกัน


เมื่อฮันโซยองได้ตัดสินไปแล้ว หล่อนไม่เคยกลับคำ ดังนั้นในท้ายที่สุด ณ ลานประหาร พวกเร่ร่อนก็สลายหายไปราวหยาดน้ำค้างไม่เหลือแม้สักคน จะเว้นก็แต่แพคซอยอนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น


ความจริงแล้ว แพคซอยอนก็ได้รับโทษประหารเช่นกัน แต่หากจะมีสิ่งที่หล่อนต่างจากพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ ก็เห็นจะเป็นที่หล่อนจะไม่ถูกประหารเร็วเท่าพวกเขานั่นเอง ทุกอย่างต่างก็มีเหตุผลของมัน ฮันโซยองเองก็ขอให้ไว้ชีวิตหล่อนด้วยเหตุผลบางประการเช่นกัน


และคำขอของฮันโซยองก็จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้…


“…ฉันขอรับรองให้กับทั้งสี่คนรวมทั้งผู้บริหารระดับสูงจางแฮยุน”


และในตอนนั้นเอง เสียงหนักแน่นที่ดังแว่วอยู่ข้างหูก็ทำให้ผมต้องตื่นออกจากภวังค์แล้วหันมองไปรอบตัวช้าๆ


สถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้คือห้องประชุมภายในของเผ่าโครยอที่เคยมาเยี่ยมเยือนเมื่อครั้งคำสั่งเรียกรวมพลเมื่อคราวก่อน ในตอนนั้นก็ไม่ได้มีคนมากเท่าไรแต่ตอนนี้ดูจะน้อยลงไปกว่าเดิมเสียอีก ที่นั่งส่วนใหญ่เป็นของสมาชิกเผ่าโครยอเอง มีเพียงผมเท่านั้นที่เป็นคนนอก


บรรยากาศโดยรอบห้องประชุมค่อนข้างมืดมัวและหนักอึ้ง บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ต่างแผ่สายตาเย็นชาออกมา และเมื่อผมมองตามสายตาของพวกเขา ก็ได้เห็นผู้เล่นสี่หรือห้าคนนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นโดยที่ถูกมัดมือมัดแขนทั้งสองไว้


“ยืนยันเรียบร้อยแล้วนะ ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มได้”


เสียงน่าเกรงขามของแคลนลอร์ดโครยอดังก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ แม้เสียงจะสงบนิ่งเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถปกปิดความโกรธแค้นที่ซ่อนอยู่ภายในได้ โจซองโฮ ผู้บริหารระดับสูงทางด้านการทูตของเผ่าโครยอซึ่งนั่งอยู่ข้างเขาและรู้สึกถึงความโกรธนั้นก็ได้พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง


“แคลนลอร์ด แล้วท่านจะทำอย่างไรครับ การสอบสวนนั้น ให้ผมเป็นคน…”


“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ มันไม่ได้ยากอะไร ฉันจะทำเอง”


แคลนลอร์ดโครยอส่ายหน้าไปมาและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหันไปพูดกับหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกจับมัดไว้


“จางแฮยุน ปกตินายเป็นคนฉลาด ดังนั้นฉันเชื่อว่านายรู้ดีว่าเหตุผลที่นายถูกพาตัวมาที่นี่นั้นเป็นเพราะสาเหตุอะไร”


“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ แต่ผมไม่ได้ฉลาดอย่างที่ท่านคิดหรอก เพราะผมเองก็สงสัยเหลือเกินว่าจู่ๆ เหตุใดผมจึงถูกลากมาที่นี่และต้องพบเจอสภาพเช่นนี้”


“ไอ้นี่…”


“ดังนั้นผมเชื่อว่าท่านจะอธิบายเรื่องทั้งหมดจนข้าสามารถเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้ครับ”


แม้จะเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่จางแฮยุนกลับตอบกลับไปอย่างใจเย็นโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเป็นคนแรกที่แพคซอยอนกล่าวถึงในฐานะหนึ่งในสายลับที่หลบซ่อนอยู่ในเผ่าโครยอ


“อืม แต่ผมไม่คิดว่าพี่จะทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ได้คิดไตร่ตรองมาก่อน แต่ยังไงก็ตาม หากมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น มันก็เป็นธรรมดามนุษย์ที่จะต้องไขข้อข้องใจนั้นครับ”


คำพูดที่เป็นธรรมชาติของจางแฮยุนทำให้แคลนลอร์ดโครยอถึงกับต้องกำหมัดแน่น เขาดูเหนื่อยหอบระหว่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธอยู่สักพัก หลังจากนั้นจึงได้เริ่มพูดออกมาบ้าง


“ในตอนที่นายเดินเข้ามา ฉันสังเกตเห็นว่านายแอบมองไปทางแพคซอยอน เพราะเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ พอเห็นฉันออกมาอย่างมั่นใจแบบนี้เลยหวาดกลัวกันสินะ”


“ถ้าถามผม ผมไม่รู้ครับ ผมได้ยินข่าวลือว่าแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้จับกุมแพคซอยอนแล้ว และเพิ่งจะได้เห็นแพคซอยอนจริงๆ เป็นครั้งแรกครับ ผมเพียงแค่มองเพราะเห็นว่ามันน่าเหลือเชื่อ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดเลยครับ”


“เฮอะ แม้ว่าชื่อของนายจะออกมาจากปากของหล่อนอย่างนั้นน่ะหรือ”


“ครับ? ชื่อผมหรือครับ ทำไม…”


จางแฮยุนแสดงสีหน้าสงสัยออกมาจากใจจริง และเมื่อแคลนลอร์ดโครยอเห็นอากัปกิริยานั้นก็จะอาละวาดขึ้นอีกรอบ โจซองโฮจึงแตะที่ไหล่เขาเสียก่อน


“แคลนลอร์ด ใจเย็นก่อนนะครับ เถียงกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมคิดว่าหากเราจบเรื่องโดยเร็วคงจะดีกว่าพายเรือวนในอ่างกันอยู่เช่นนี้นะครับ”


“…”


โจซองโฮพูดขึ้นขณะจ้องไปยังจางแฮยุนด้วยสายตาเฉียบคม แคลนลอร์ดโครยอพยักหน้าอย่างยินยอมกับคำห้ามปรามของเขา และถอนหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะกลับไปนั่งที่ของตนอีกครั้ง


โจซองโฮค่อยๆ ก้าวมาด้านหน้าแล้วพูดต่อ


“ผู้บริหารงานระดับสูงแห่งโครยอ จางแฮยุน ฉันจะไม่พูดลงลึกถึงรายละเอียดหรอกนะ”


“คุณจะพูดอะไรก็พูดเถอะผมไม่สนหรอก แต่ก่อนอื่นช่วยกรุณาบอกผมทีว่านี่มันเรื่องอะไร ขอล่ะ”


“เมื่อไม่นานมานี้แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้จับแพคซอยอนเป็นเชลย และได้รู้ข้อมูลที่น่าตกใจข้อหนึ่งหลังจากทำการสอบสวนเธอ นั่นก็คือมีสายลับของพวกเร่ร่อนที่แฝงตัวอยู่ทั่วทั้งทวีปทางเหนือ”


จางแฮยุนเอียงศีรษะเพื่อคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นภาพนั้นผมก็รู้สึกประทับใจขึ้นมาแวบหนึ่ง มองแค่เพียงภายนอก เหมือนเป็นนักแสดงที่มาจากโลกยุคปัจจุบันเลย และตอนนี้เขาก็กำลังแสดงท่าทีว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ


หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก จางแฮยุนก็พูดขึ้นขณะที่คิ้วขมวดมุ่น


“คำพูดนั้นเป็นการบอกว่าผมคือสายลับอย่างนั้นเหรอครับ”


“ใช่”


“ฮะๆ…ความจริงผมก็พอรู้มาบ้างแล้ว แต่พอได้มาฟังด้วยตัวเองแบบนี้ก็ทำเอาตะลึงไม่ใช่เล่นนะครับเนี่ย”


“นายนี่มันหน้าด้านจนถึงที่สุดจริงๆ น่ารังเกียจจังนะ”


จางแฮยุนจ้องโจซองโฮเขม็ง เพราะคำพูดที่รุนแรงของเขา หลังจากนั้นผมว่าความมืดมัวเริ่มระบายบนใบหน้าของจางแฮยุน เขาพูดขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ไม่ยุติธรรมเลย ผมไม่ใช่สายลับนะครับ”


“นั่นน่ะ ไม่ว่าใครก็พูดได้นะ”


“ท่านทั้งสองเลือกจะเชื่อคำพูดของคนที่เป็นเพียงพวกเร่ร่อนมากกว่าผมที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีอย่างนั้นหรือครับ”


“ฉันรู้ว่านายต้องพูดแบบนั้น ฉันจึงได้เตรียมอะไรบางอย่างมาด้วย”


แม้แคลนลอร์ดโครยอจะแสดงภาพลักษณ์ที่ดูเฉยเมยต่อจางแฮยุน แต่โจซองโฮไม่ใช่คนง่ายๆ แบบนั้นเลย เขาพูดตัดบทจางแฮยุนที่กำลังร้องขอความเห็นใจในฉับเดียวไม่เหลือลู่ทางอะไรให้ทั้งสิ้น จากนั้นจึงได้นำลูกแก้วขนาดเล็กกว่ากำปั้นออกมาจากอ้อมกอด และเมื่อผมได้เห็นมันชัดๆ ผมก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างพุ่งเข้ามาในตาผม


คริสตัลแห่งความสัตย์จริง


แม้ผมจะไม่สามารถพูดได้ว่ามันไม่มีอะไรมากมาย แต่มันคือหนึ่งในอุปกรณ์หายากอย่างหนึ่ง ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเหตุใดโจซองโฮจึงดูมั่นใจถึงเพียงนี้ ตอนนี้เผ่าโครยอเป็นเผ่าที่ยอดเยี่ยมสมดังคำร่ำลือ ก็สมควรแล้วที่จะมีคริสตัลแห่งความสัตย์จริงไว้ในครอบครอง


โจซองโฮไม่รอช้า เขากลิ้งคริสตัลแห่งความสัตย์จริงไปตรงหน้าจางแฮยุนอย่างรวดเร็ว คริสตัลแห่งความสัตย์จริงกลิ้งไปตามพื้นและหยุดลงตรงหน้าจางแฮยุนอย่างพอดิบพอดี เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงมองมัน แต่ก่อนที่เขาจะมองมันได้เต็มตา เสียงของโจซองโฮก็ดังขึ้นเสียก่อน


“นายรู้ใช่ไหมว่านี่คืออะไร”


“นี่มัน…ทะ ท่านพี่! นี่ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือครับ”


“ก็ตามที่นายพูดยังไงล่ะ ฉันจะไม่พูดยืดยาวในการพิจารณาความถูกต้องในช่วงนั้นหรอก หากนายเป็นผู้บริสุทธิ์จริง คริสตัลนี้ก็จะพิสูจน์ให้นายเอง”


“…”


เกมจบแล้ว ใบหน้าของจางแฮยุนที่เงยหน้าขึ้นอีกครั้งยังคงเรียบเฉย แต่ผมก็สามารถอนุมานได้จากแววตาที่สั่นไหวอย่างรุนแรงของเขาว่าภายในใจเขากำลังว้าวุ่นอย่างหนัก


“หากนายจะท่องเวทก็ต้องคลายเครื่องควบคุมออกเสียก่อน ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว และหวังว่านายคงจะไม่คิดอะไรไร้สาระหรอกนะ จางแฮยุน”


ผมแอบหาวโดยไม่ให้ใครเห็นตอนที่มองไปยังโจซองโฮที่กำลังเดินลงไปตรงกลาง


ตอนที่ 19

โดย

ProjectZyphon

ธุระที่เผ่าโครยอเสร็จสิ้นลงไปแล้ว หลังจากที่เสร็จงาน แคลนลอร์ดโครยอและโจซองโฮได้แสดงความขอบคุณสำหรับไมตรีของผมและได้เสนอให้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่ผมก็ปฏิเสธไปโดยอ้างว่าได้มีนัดกับพี่อยู่ก่อนแล้ว


ความจริงผมก็คิดจะไปกินข้าวด้วย แต่สีหน้าของแคลนลอร์ดโครยอดูไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ผมจึงตัดสินใจลุกออกมาจากโต๊ะ เขาดูจะช็อกพอสมควรที่ได้ยืนยันความจริงที่ว่าจางแฮยุนเป็นพวกเร่ร่อนด้วยสองตาตัวเอง


ดังนั้นผมจึงไปหาพี่จริงๆ ตามที่ได้อ้างไว้ ผมไม่ได้รับการติดต่อจากพี่อีกเลยหลังจากที่ผมโกรธเขาใหญ่โตตั้งแต่คำสั่งเรียกรวมพลคราวก่อน นิสัยของพี่น่ะ มักจะถามอะไรก็ตามตามอารมณ์ของผมเสมอแทนที่จะเคืองผมหรือไม่พอใจผม เพราะมันก็ตั้งแต่เด็กแล้วถ้าหากว่าผมโกรธ พี่จะทำเพียงแค่มองเข้ามาในตาผมนิ่งๆ เท่านั้น ผมจึงคิดจะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน


เป็นอย่างที่คิด พี่ต้อนรับผมที่มาเยี่ยมเยียนเผ่าแฮมิลอย่างยินดี และพยักหน้าตอบรับคำชวนออกไปทานอาหารข้างนอกด้วยกันของผมด้วยความดีใจ


แม้ผมจะแอบรู้สึกผิดต่อพี่จุนซองที่กำลังจัดกองเอกสารที่อยู่ข้างตัว นั่นก็เพราะพี่ลากตัวผมออกไปทันที โดยที่ผมทำได้แค่ทักทายพี่จุนซองเท่านั้น


หลังจากที่เราหาร้านอาหารที่กว้างและเงียบสงบพอดีกับเราแล้ว เราทั้งสองก็นั่งลงที่โต๊ะในมุมหนึ่ง และหลังจากที่สั่งอาหารกันเรียบร้อย ก็เริ่มถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างง่ายๆ


“นายสบายดีหรือเปล่าล่ะ”


“ก็เรื่อยๆ นั่นแหละ”


“ลมอะไรหอบนายมาถึงนี่กัน”


“ผมมีธุระที่เผ่าโครยอน่ะ หลังจากเสร็จงานแล้วเลยแวะมาที่นี่ด้วยเสียเลย”


ผมจิบน้ำที่พนักงานนำมาเสิร์ฟให้ แล้วจึงอธิบายธุระที่ผมไปทำที่โครยอให้พี่ฟังสั้นๆ ตั้งแต่การพาแพคซอยอนไปที่นั่น ไปจนถึงเรื่องคริสตัลแห่งความสัตย์จริง พี่ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีไม่มีสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาให้เห็น


“อืม…แล้วทางโครยอไม่ได้พูดอะไรกับนายเป็นพิเศษเลยเหรอ”


“พวกเขาก็แค่ขอบคุณที่ผมมาช่วยและชวนให้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่เพราะสีหน้าของแคลนลอร์ดโครยอดูไม่ดีเอามากๆ ผมจึงปฏิเสธไปน่ะ เขาดูต้องการการพักผ่อนอย่างมากทีเดียว”


“อย่างนั้นเองสินะ แต่ถ้าอีกฝ่ายคือจางแฮยุนมันก็ถือว่าคุ้มกันแล้วล่ะนะ”


พี่ถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งพร้อมกับพยักหน้าราวกับยังมีอะไรสงสัยอยู่ในใจ ผมมองหน้าเขาเพราะไม่รู้ว่าที่พี่ตอบออกมานั้นหมายถึงอะไร เมื่อพี่เห็นสีหน้านั้นของผมจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง


“พี่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายนักหรอกนะ แต่จางแฮยุนน่ะ ก็เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าเป็นผู้ติดตามคนสนิทที่แคลนลอร์โครยอไว้ใจ ดังนั้นเมื่อความจริงเปิดเผยว่าเขาเป็นสายลับ ทุกคนก็คงจะตกใจกันมากน่ะ”


พี่ยิ้มอย่างขมขื่นครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ


“จางแฮยุน หมอนั่นกับพี่ ความจริงแล้วก็รู้จักกันเล็กน้อยนะ เขาก็ดูเป็นคนดีใช้ได้ เป็นคนที่มีประวัติดีเลยทีเดียว…”


อย่างนั้นนี่เอง เพราะแบบนี้ฮันโซยองถึงได้ขอไว้แบบนั้น


ภารกิจค้นหาสายลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แม้จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีอุปสรรคในระหว่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว


ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของจางแฮยุน เขาเป็นคนมีชื่อเสียงอย่างที่พี่ได้พูดไป ดังนั้นผู้เล่นที่ทำตามเขาก็ย่อมมีมากตามไปด้วย และหากเราจับกุมเขาอย่างปัจจุบันทันด่วนล่ะก็ จะต้องมีการต่อต้านเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นเราจึงต้องการแพคซอยอนเพื่อเป็นข้ออ้างทำให้การต่อต้านนั้นน้อยลง


ถ้าลองพี่พูดแบบนี้แล้ว…ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีบางคนตกหลุมพรางของจางแฮยุนสินะ


“เอาเถอะ ยังไงก็ขอบใจนายมากนะที่มาหาพี่ เพราะพี่เองก็คิดจะไปหานายเร็วๆ นี้อยู่พอดี”


“หืม? ที่เมอร์เซนต์นารี่น่ะเหรอ”


ระหว่างที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพี่ดังมาจากเบื้องหน้า ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นพี่กำลังทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่


“ซูฮยอน พี่มีบางอย่างที่อยากจะบอกกับนายจริงๆ จากใจ หวังว่านายจะฟังพี่หน่อยนะ”


“อะไรล่ะ”


“เกี่ยวกับสงครามครั้งนี้”


“…”


“เฮ้อ พี่รู้นะว่านายคิดอะไรอยู่ แต่นายจะฟังพี่ก่อนสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ”


หากพี่เกิดจะห้ามไม่ให้ผมเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ ผมคงได้โกรธเขาอีกรอบ แต่ว่าคำพูดของพี่กลับมีความจริงใจออกมาเกินกว่าที่ผมจะปฏิเสธเขาได้ลง ในท้ายที่สุดแล้วผมก็พยักหน้า เพราะมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายหากผมจะลองฟังดูสักหน่อย


“ขอบใจนะ เอาล่ะ แล้วเผ่าทางใต้ไม่มีข่าวคราวอะไรบ้างเลยเหรอ”


“ไม่มีนี่ ทำไมล่ะ”


“ถ้าอย่างนั้น…”


พี่ดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็โบกมือไปมาเบาๆ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกว่ามีม่านล่องหนปกคลุมอยู่รอบโต๊ะ พี่หันมองไปรอบกายราวกับจะทดสอบว่ามันได้ผลหรือไม่ แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงที่กดลงต่ำกว่าเดิม


“อีกไม่ช้าไม่นาน…พี่คิดว่าทางตะวันออกคงจะจัดกองกำลังผู้เล่นก่อนกำหนดภายในอาทิตย์หน้านี้ แน่นอนว่าเป็นทัพใหญ่เลยละ”


“อาทิตย์หน้า? เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”


พี่ไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำถามของผม ทำเพียงแค่เคาะนิ้วชี้ลงกับโต๊ะราวกับกำลังเรียบเรียงความคิดบางอย่างแล้วจึงพูดขึ้น


“ฟังให้ดีนะ เพราะต่อจากนี้พี่จะเริ่มอธิบายแล้ว ขนาดของสงครามในครั้งนี้ดูท่าจะใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ ใหญ่จนนายคิดไม่ถึงเชียวล่ะ”


ใหญ่กว่าที่คิดงั้นเหรอ…


สำหรับผมที่พอจะล่วงรู้อนาคตได้นั้น เรื่องนี้ก็เป็นส่วนที่พอจะยอมรับได้ แต่พี่กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดเกินกว่าจะปล่อยไปเฉยๆ


“ฟู่ว…พูดก็พูดเถอะนะซูฮยอน ความจริงพี่กังวลมากว่าควรบอกนายดีหรือเปล่า เพราะมันอาจจะฟังดูมีเหตุผล หรือไม่ก็กลับกลายเป็นการข้ออ้างได้เหมือนกัน นายอาจจะไม่รู้ แต่มันคือสถานการณ์ของพี่ในตอนนี้”


พี่พูดอย่างนุ่มนวลสวนทางกับนิสัย แต่ผมว่าผมพอจะรู้นะว่าทำไมเขาจึงพูดมันขึ้นมา จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงน้ำรสขมๆ ที่เอ่อล้นขึ้นภายใน


“แต่พี่คิดว่ามันคงดีกว่าหากจะบอกนายแต่เนิ่นๆ ถ้าหากว่านายจะรู้สึกผิดหวังกับพี่หรือคนอื่นๆ ที่นายได้เคยพบมา…”


“ผมไม่ผิดหวังหรอกน่า”


ผมพูดตัดบทพี่ขึ้นมาและได้เห็นดวงตาของพี่เบิกโตขึ้น อาจเป็นเพราะคาดไม่ถึงกับคำตอบของผมล่ะมั้ง


หลังจากกลืนอาการคลื่นไส้นั่นลงคอไป ผมก็พยายามพูดขึ้นอีกครั้ง


“ผมรู้ดีว่าโลกใบนี้ดำเนินไปยังไง…โลกที่เรียกว่าฮอลล์เพลนแห่งนี้ ดังนั้นผมจะพูดอีกครั้ง ไม่ว่าพี่จะพูดอะไรก็ตาม ผมไม่เคยผิดหวัง โดยเฉพาะในตัวพี่ ไม่เคยเลยสักนิดเดียว”


“ซูฮยอน”


พี่เรียกชื่อผม เม้มปาก แล้วจ้องผมนิ่งๆ ผมไม่ได้หลบสายตานั้นของเขา ผมมองกลับไปตรงๆ


จู่ๆ ผมก็รู้สึกอยากหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ผิดหวังกับฮอลล์เพลนอย่างนั้นเหรอ มันก็นานเหลือเกินแล้วที่ผมหลุดพ้นจากความรู้สึกนั้น ในฐานะ ‘ผู้เล่น’ แล้ว การมีความรู้สึกแบบนั้นก็ถือเป็นความไม่เหมาะสมในตัวมันเองอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องเกินกำลังสำหรับผมที่จะมีชีวิตรอดและดูแลทุกคนที่สำคัญกับผมในตอนนี้ และการคิดแบบนั้นก็ดูเป็นความคิดที่ไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว


ผมรู้ดีว่าฮอลล์เพลนไม่ได้เป็นสถานที่ที่สวยงามขนาดนั้น บางทีอาจจะรู้ดียิ่งกว่าพี่เสียอีก


ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก สายตาของพี่ยังคลุมเครือ หากมองเพียงแวบเดียวอาจจะดูภูมิใจแต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวไปพร้อมกันด้วย


หลังจากนั้นพี่ก็ถอนหายใจยาวออกมา


“ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ…ที่นายโตแบบนี้”


ไม่ใช่ ‘ตอนนี้’ แต่เป็น ‘เมื่อไร’ ไม่รู้ทำไม แต่ความแตกต่างของสองคำนี้ถึงได้เสียดแทงใจผมเหลือเกิน


“ตอนนี้พี่รู้สึกดีขึ้นมากแล้วละ หลังจากที่ได้บอกมันกับนาย ขอบใจแล้วก็…ขอโทษด้วย”


“ไม่มีอะไรที่พี่ต้องขอโทษ”


“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพี่จะเริ่มพูดเรื่องใหม่ล่ะนะ นายรู้หรือเปล่าว่าเผ่าสิงโตทองได้ร้องขอความช่วยเหลือมา”


ผมเริ่มได้ยินเสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะอีกครั้งแล้ว พฤติกรรมแบบนั้นเป็นนิสัยของพี่เวลาจมอยู่กับความคิดของตัวเองอย่างลึกซึ้ง เขาเพิ่งจะพูดไปว่ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่ตอนนี้บนหน้าพี่กลับมีคำว่า ‘ฉันจะพูดยังไงดี’ เขียนไว้อย่างชัดเจน


“อืม ผมได้ยินข่าวแล้ว แต่ผมคิดว่ามันค่อนข้างน่าขำ”


“พี่ก็ว่าอย่างนั้น ทั้งฝั่งตะวันออกและใต้เองก็คงจะประกาศสถานการณ์ออกมาอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้”


“สถานการณ์อย่างเป็นทางการ? แล้วจะประกาศยังไงกัน”


“มีกำหนดตัดขาดวาร์ปเกตกับบาบาร่าภายในอาทิตย์นี้ พวกเขาเห็นพ้องร่วมกันว่าจะเข้าร่วมกับเมืองของทางฝั่งเหนือที่เหลืออยู่ที่นี่”


ถึงฝั่งเหนือเลยเหรอ


ถึงแม้ว่าพี่จะไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ผมก็สามารถอนุมานสถานการณ์ในปัจจุบันได้จากคำตอบที่ตามมา


การตัดวาร์ปเกตออกไปไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไร แต่ข่าวการเข้าร่วมของทางฝั่งเหนือต่างหากที่คาดไม่ถึง


หลังจากที่พูดจบ พี่ก็ส่งสายตามาหาผมราวกับกำลังสังเกตปฏิกิริยาของผมอยู่ ผมส่งสีหน้าเรียบนิ่งกลับไปเพราะมีสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และแสดงท่าทีตั้งใจฟังเป็นสัญญาณให้พี่พูดต่อ


“แล้วก็…”


ก๊อก ก๊อก


ในตอนนั้นเอง บล็อกฟีลด์ที่พี่สร้างไว้ก็ส่งเสียงดังออกมาเบาๆ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นพนักงานถืออาหารที่เราสั่งไว้แล้วทำหน้าอึกอักยืนอยู่


“เดิมทีแล้ว พี่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับทางใต้หรอกนะ แต่ในทางตะวันออกนั้น มีการแนะนำว่าให้ปล่อยพวกผู้รุกรานไปน่ะ ถ้าหากพวกเขามาที่นี่เพื่อแก้แค้นเพียงอย่างเดียวล่ะก็ ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องสร้างความขัดแย้งเลยสักนิด”


“…”


“แต่ต้องขอบคุณนาย ที่ทำให้พี่ได้เห็นความจริงที่อยู่ภายในนั้น ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เกิดขึ้นในความคิดของทุกคนแล้วละ พี่เพียงแค่คิดว่าเราไม่สามารถต่อสู้เงียบๆ แบบนี้เพียงอย่างเดียวได้ ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ เราจึงได้ล้มเลิกแผนเดิมแล้วได้คิดกลยุทธ์ใหม่ขึ้นมา”


ที่พวกสายลับหายไปก็คงเป็นส่วนหนึ่งของแผนนี้สินะ


ผมพยักหน้าช้าๆ แล้วจึงพยักพเยิดไปทางพนักงานเสิร์ฟที่ยังรออยู่ด้วยความประหม่า


“แผนนั้นน่ะ ผมรอดูอยู่นะ”


“ชื่อของแผนนั้นก็คือ ‘โลกใบใหม่’”


“โลกใบใหม่?”


“ใช่ มันหมายความว่าพี่จะทำให้พวกทวีปทางตะวันตกที่บุกรุกเข้าทวีปทางเหนือได้เห็นโลกใบใหม่ยังไงล่ะ”


พี่ที่ได้รับสัญญาณทางสายตาจากผม หันไปมองข้างๆ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา


“ครั้งนี้ทางเราได้ตัดสินใจว่าจะไม่ส่งพวกผู้รุกรานกลับไปเลยแม้แต่คนเดียว เราทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันให้กำจัดเสียให้สิ้นซาก”


“เดิมทีพี่ไม่อยากให้นายเข้าร่วมเลย…แต่นายก็คงจะไม่ทำอย่างที่พี่พูดใช่ไหม”


“จะยังไงก็ลองคิดดูเถอะ พวกนายเป็นทหารรับจ้างอิสระ ยังไงก็ไม่มีทางถูกผูกมัดเป็นแน่ และถ้าหากนายตัดสินใจแล้ว พี่ก็อยากให้นายบอกพี่ก่อนเป็นคนแรก”


ตอนที่ 20

โดย

ProjectZyphon

“เฮ้อ”


ผมวางบันทึกในมือลงแล้วทิ้งตัวลงฝังกับเก้าอี้พร้อมกับความคิดที่อัดแน่นอยู่ในหัว มันช่างซับซ้อนเสียเหลือเกิน ผมกำลังตรวจสอบบันทึกที่เหล่าสมาชิกเสนอให้มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่เพราะผลจากบทสนทนาที่ได้คุยกับพี่ไป ทำให้สิ่งที่อ่านไม่ได้เข้าสู่สมองเลยสักนิด


ทุกอย่างก็ดูเป็นไปตามที่ฉันต้องการแล้ว…ดูเหมือนจะเป็นความกังวลที่มีความสุขล่ะมั้ง คิก


“ซูฮยอน อึดอัดมากอย่างนั้นหรือคะ”


ขณะที่ผมกำลังจะหลับตาหลังจากอดหัวเราะให้กับความคิดผิดหวังของตนเองไม่ได้นั้น น้ำเสียงอันไพเราะก็ดังแว่วมาจากด้านหน้า ผมผงกศีรษะขึ้นมาแล้วมองไปยังด้านหน้า ภาพสง่างามของหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะโซฟาอย่างเรียบร้อยก็เข้ามาในสายตา


นัยน์ตาและเส้นผมสีฟ้าคราม จองฮายอนนั่นเอง


“ไม่ว่าจะดูยังไงเหมือนฉันจะเข้ามาผิดเวลาสินะคะ”


“พอดีมันค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย ผมเลยเป็นแบบนี้น่ะครับ ไม่ใช่เพราะฮายอนหรอกนะ”


“แหม แย่จังนะคะ ฉันตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ทำให้เป็นเวลาน้ำชาของเราสองคนแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะต้องเลื่อนนะคะ”


“ฮ่าๆ ไม่หรอก เวลาน้ำชากับฮายอนน่ะเป็นเวลาพักผ่อนนี่ครับ”


ผมหัวเราะเจื่อนๆ เพราะคำพูดที่แสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวอย่างมากของจองฮายอน ความจริงแล้วนั้น ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าจองฮายอนอยู่ที่นี่ด้วย ผมตั้งใจจะดื่มชาที่หล่อนนำมาด้วย แต่หลังจากที่กลืนเข้าไปก็ได้รู้ว่าชานั้นเย็นชืดไปเสียแล้ว


“หึๆ โล่งอกไปทีนะคะ ว่าแต่…เรื่องอะไรกันคะที่ทำให้ซูฮยอนกังวลจนถึงขั้นถอนหายใจออกมาแบบนั้น ปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์หรือคะ”


จองฮายอนเดินเข้ามาข้างๆ ผมพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาถาม ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ


หล่อนมองกองเอกสารที่วางกระจายอยู่บนโต๊ะแล้วจึงหมุนตัวกลับไปอีกทาง หล่อนดูลังเลอยู่สักพักก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนตักผม ผมได้แต่ยิ้มจืดชืดอยู่ในใจและขยับขาทั้งสองข้างออกเล็กน้อยเพื่อให้หล่อนนั่งได้สบายขึ้น


“อืม”


“อืม”


เมื่อเราต่างได้ยินเสียงครางแผ่วเบาของกันและกัน ผมก็รู้สึกถึงแรงกดเล็กๆ ที่หน้าขาและรู้สึกถึงเส้นผมสีฟ้าอ่อนที่ระอยู่ตรงต้นคอ ได้กลิ่นหอมชื่นใจราวกับน้ำเย็นสบายออกมาจากร่างบอบบางของจองฮายอน ผมสูดหายใจดื่มด่ำกลิ่นหอมของหล่อนเข้าไปเต็มที่ ขณะที่มือก็ค่อยๆ เลื่อนไปลูบที่ท้องของหล่อนอย่างระมัดระวัง


“รายการสมัครเยอะเชียว อ้า ไม่นี่ ไม่เยอะนี่ ไม่สิ แทบจะไม่มีรายการที่ซ้อนทับกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ”


“ใช่ครับ เป็นความโชคดีในความโชคร้ายยังไงละครับ”


จองฮายอนผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งดังเดิม แต่จากที่หล่อนหยุดพูดไปกลางคันและร่างกายที่สั่นไหวเล็กน้อย ก็ทำให้ผมพอจะเดาความรู้สึกภายในใจของหล่อนได้


“คุณปู่อีมานซอง ลงทะเบียนมาเรื่องการประเมินค่าบรรดาเพชรพลอยภายในโกดัง…ส่วนคุณชินแจรยงครั้งนี้ได้ทำเรื่องขอไม้เท้าต้นลิอะทริสที่เพิ่งได้มาใหม่สินะคะ เขาเป็นนักบวชที่มีความสามารถ ดังนั้นดูจะเป็นทางเลือกที่ดีเลยนะคะ”


“ครับ แต่ฮายอนเองก็ทำเรื่องขอบางอย่างมาเหมือนกันนี่ครับ”


จองฮายอนหัวเราะคิกคักคงเพราะรู้สึกจั๊กจี้กับเสียงกระซิบที่ข้างหู หล่อนพยักหน้า


“ค่ะ ครั้งนี้ฉันขอกระจกของต้นเฟิร์นที่ได้มาใหม่ไปน่ะค่ะ อยากจะลองใช้ดู เอ๋?”


ในตอนนั้นเอง สายตาของจองฮายอนที่เคยกวาดมองไปตามบันทึกก็หยุดอยู่ที่จุดๆ หนึ่ง ผมมองตามสายตาของหล่อนลงไป ก็เจอเข้ากับใบลงทะเบียนที่ถูกเขียนเอาไว้เต็มพรืดทำให้โดดเด่นกว่าใบลงทะเบียนสมาชิกคนอื่นๆ


ใบลงทะเบียนอุปกรณ์ (สมาชิกเผ่า : อิมฮันนา)


1. แสงแปลบปลาบส่องประกาย : ลอร่า ฟีลิส


2. เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล


3. รีซ่า บู๊ทส์


4. หญิงร่างทรงยามอัสดง


5. สีทั้งห้า – สีดำ : เสื้อเหมันต์แห่งทิศอุดร (Winter Tights Of North)


ลักษณะพิเศษ : แขนข้างขวาถูกตัดไปส่วนหนึ่งค่ะ นอกจากส่วนนั้นแล้ว ก็ไม่มีส่วนไหนที่ผิดปกติทางกายภาพอีกค่ะ เดิมทีแล้ว มันมีประสิทธิภาพในการเพิ่มค่าความสามารถของกล้ามเนื้อ (+2, จำกัดกำลังต่ำกว่า 90) แต่อาจจะไม่สามารถคาดคะเนผลของมันได้จนกว่าจะปลดมันออกก่อนตามฟังก์ชั่นการถือครองเป็นเจ้าของค่ะ


“คุณฮันนานี่…โลภเหมือนกันนะคะเนี่ย”


“ฮายอนคิดว่าอย่างไรล่ะครับ”


“ฉันเหรอคะ อืม~ โดยส่วนตัวแล้วฉันอยากจะเห็นด้วยค่ะ เพราะคุณฮันนาเป็นคนดีและมีความสามารถจริงๆ ซูฮยอนล่ะคะ”


“ไม่รู้สิครับ ผมยังไม่รู้เลย ต่อให้เป็นอย่างอื่น บางทีเธออาจจะได้ใส่เสื้อเหมันต์แห่งทิศอุดรหรือเสื้อใบไม้…”


ผมตอบหล่อนโดยที่ลองนึกถึงข้อมูลผู้เล่นของอิมฮานาไปด้วย ผมเอาแต่นึกถึงหน้าอกใหญ่โตของหล่อนที่เอาชนะโกยอนจูได้อย่างขาดลอย จึงพูดไปราวกับกังวลเสียเต็มประดา แต่เมื่อผมดึงสติกลับมา ก็ได้เห็นว่าจองฮายอนกำลังมองค้อนผมอย่างน่ารักอยู่ ผมกระแอมไอขึ้นมาจากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที


“นอกเหนือจากเรื่องนั้นแล้ว ปัญหาที่แท้จริงก็คือหญิงร่างทรงยามอัสดงครับ อุปกรณ์อื่นๆ ยืมมาแล้วก็สามารถคืนได้ แต่สำหรับคลาสหายากแล้วมันยากที่จะทำเช่นนั้นน่ะครับ”


“จริงด้วยค่ะ เพราะหลังจากที่ได้เรียนรู้ครั้งหนึ่งแล้วก็จบแค่นั้นเอง แต่ไม่ว่ายังไงฉันเชื่อว่าซูฮยอนจะต้องตัดสินใจได้ดีแน่ๆ ค่ะ”


หากหญิงสาวที่นั่งอยู่บนตักผมในเวลานี้คือโกยอนจูล่ะก็ ป่านนี้หล่อนคงใช้โอกาสนี้หยอกเย้าผมเล่นอย่างเต็มที่ไปแล้ว แต่เพราะนิสัยที่นุ่มนวลสุขุมของจองฮายอน หลังจากที่เผยยิ้มอ่อนโยนออกมา หล่อนก็ปรับตัวเองให้เข้ากับผม ผมได้แต่ลูบอกตัวเองอยู่ในใจ


“ครับ ผมคิดว่าอาจจะต้องคิดเรื่องนี้อีกสักหน่อย แล้วคงต้องลองไปคุยกับผู้เล่นอิมฮันนาดู”


หลังจากนั้น ผมก็เล่นเพลินกับร่างบางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผมจะยกมือที่กอดหล่อนขึ้นเป็นสัญญาณว่าเราควรหยุดได้แล้ว จองฮายอนทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่โชคดีที่หล่อนยอมทำตามที่ผมพูด


“เสียดายจัง”


 ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำคนเดียวเบาๆ ด้วยความเสียดายอยู่ดี แน่นอนมันเป็นการพึมพำที่แฝงความนัยว่าอยากให้ผมได้ยิน


“ผมก็เหมือนกันครับ แต่ผมต้อวทำงานนี้ให้เสร็จภายในวันนี้ ผลัดมันอีกไม่ได้แล้ว…”


“ในหัวมันก็ดูจะเข้าใจ แต่ไม่รู้ทำไมในใจกลับรู้สึกเย็นชาจังว่าไหมคะ”


จองฮายอนเอาแต่บ่นพึมพำที่ผมไม่รู้ใจหล่อนบ้างเลย แต่ความจริงแล้ว ผมรับรู้ว่าหล่อนแสดงออกถึงความรักมากขึ้นมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว และผมก็รู้ด้วยว่าทำไมหล่อนจึงเป็นเช่นนั้น


“ครั้งหน้าถ้ามีโอกาส เราค่อยทำใหม่ก็ได้นี่ครับ”


“ก็แล้วมันเมื่อไรล่ะคะ~ วันข้างหน้าซูฮยอนอาจจะยุ่งมากก็ได้นะ”


ผมยักไหล่ ถือบันทึกขึ้นไว้ในมือแล้วมองมันอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ


“คืนนี้”


“…คะ?”


อึ้งไปสักพัก ผมได้ยินเสียงที่งงงวยของจองฮายอน แต่ผมก็ยังพูดต่อไปโดยไม่ละสายตาจากบันทึกขึ้นมามองหล่อน


“ผมบอกไปแล้วไงครับ ผมคิดเอาไว้ว่าต่อให้ต้องโต้รุ่งก็ต้องทำงานนี้ให้เสร็จ คิดว่าคงจะยังอยู่ที่ห้องทำงานนี่จนเช้ามืดนั่นล่ะครับ”


* * *


ยูนิคอร์นน้อยรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้ ดวงตาที่เคยเป็นประกายเพราะความรู้สึกต่างๆ บัดนี้กลับไร้แวว หางที่เคยสะบัดไปมากลับลู่ลง


ยูนิคอร์นน้อยกำลังเสียใจ พวกเขาเคยบอกเสมอว่าตนน่ารักบ้างล่ะ สวยบ้างล่ะ แต่ยิ่งเวลาผ่านเลยไป มนุษย์กลับไม่เล่นกับตนเหมือนก่อน แน่นอนตนนั้นเข้าใจดีว่าช่วงนี้มนุษย์กำลังยุ่ง แต่แม้จะบอกแบบนั้น แต่การที่ทุกคนต่างละเลยไม่มารวมตัวเล่นด้วยกันอย่างเคยก็ทิ้งความตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวงเอาไว้ให้กับยูนิคอร์นน้อยอยู่ดี


หลังจากนั้นแม้จะมีคนไปเยี่ยมเยียนยูนิคอร์นน้อยบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็มีบาดแผลลึกเกิดขึ้นในใจของหนูน้อยไปเสียแล้ว ดังนั้นการซ่อนตัวในซอกหลืบเพื่อไม่ให้ใครหาตนเจอจึงถือเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าแม้แต่ในเวลาวุ่นๆ ถ้าหากหาเจอนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตนตั้งใจแพ้ให้แน่


ฮี้…


ยูนิคอร์นน้อยไม่สามารถเอาชนะความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้ ได้แต่ส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร


พวกมนุษย์นิสัยไม่ดีเลย


เจ้ายูนิคอร์นน้อยที่คิดแบบนั้น บัดนี้กำลังเดินอย่างห่อเหี่ยวไปตามระเบียงทางเดินที่ไม่มีใครในค่ำคืนดึกสงัด


จุดหมายปลายทางของยูนิคอร์นน้อยในตอนนี้ก็คือสถานที่ที่ซึ่งสามารถรู้สึกถึงบรรยากาศของยุคโบราณกาลได้ บรรยากาศแห่งความบริสุทธิ์ที่แม้จะร้อนแต่ไร้ซึ่งการคดโกง แม้จะอ่อนโยนแต่ก็ไม่อ่อนแอ เมื่อคิดว่าคืนนี้จะได้หลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของนายท่าน ฝีเท้าที่เคยเอื่อยเฉื่อยก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้นทันที


หลังจากนั้นไม่นาน ยูนิคอร์นน้อยที่มาถึงยังที่หมายก็ได้หยุดฝีเท้าลงที่หน้าสถานที่หนึ่งที่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศนั้น


ปกติหนูน้อยต้องใช้เขาของตนเคาะที่ประตูทุกครั้ง เพราะเป็นประตูที่ปิดอยู่ตลอดเวลา แต่ในวันนี้กลับเปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อยราวกับกำลังมีงานอะไรบางอย่าง แสงไฟที่ส่องลอดผ่านช่องประตูออกมาช่วยส่องให้ระเบียงทางเดินสว่างขึ้นเล็กน้อย


มีสัญญาณการเคลื่อนไหวออกมาจากภายในห้อง ไม่ใช่เพียงหนึ่งแต่กลับรู้สึกได้ถึงสองคน


ยูนิคอร์นน้อยรู้สึกกังวลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็เข้าไปใกล้หน้าประตูด้วยสายตามุ่งมั่นแล้วค่อยๆ ยื่นเขาเข้าไปในช่องว่างที่เปิดแง้มไว้แล้วดันประตูไปข้างๆ เพื่อเปิดออก


แอ๊ด


ประตูเปิดกว้างออก ภาพภายในห้องเข้ามาสู่สายตาของยูนิคอร์นน้อย


มีสองคนอยู่ในห้องอย่างที่คิด คนหนึ่งในนั้น แน่นอนคือนายท่านผู้เป็นเจ้าของอ้อมกอดแห่งบรรยากาศโบราณ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเป็นมนุษย์หญิงสาวผู้มีกลิ่นอายของน้ำฟุ้งตลบอบอวล


ยูนิคอร์นน้อยที่เพิ่งจะวิ่งเข้าไปและเตรียมจะร้องเรียกเจ้านายอย่างเอาแต่ใจต้องหยุดฝีเท้าลงอีกครั้งเพราะรู้สึกถึงกระแสแผ่วๆ อย่างฉับพลัน


โกรธหรือ


ยูนิคอร์นน้อยเอียงคอสงสัย จากนั้นจึงมองดูสถานการณ์ภายในห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง


และแม้จะเพียงแค่พริบตาเดียว เจ้ายูนิคอร์นน้อยก็สามารถรับรู้ได้ทันที


ในที่สุดแล้ว ยูนิคอร์นสาวน้อยก็ไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกละอายที่ก่อตัวขึ้นในใจอย่างกะทันหันได้และยกขาหน้าขึ้นมาปิดตาไว้


“ฮี้!”


พร้อมส่งเสียงร้องสั้นๆ แต่ดังก้องไปทั่วระเบียงที่เงียบสงบ


ตอนที่ 21

โดย

ProjectZyphon

เวลาอาหารเช้าของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ยังไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างตายตัว ที่โรงอาหารจะมีเหล่าลูกจ้างประจำอยู่ ถ้าหิวก็สามารถไปกินได้เลย


ถึงอย่างนั้นสมาชิกส่วนใหญ่กลับชอบรวมตัวกันที่โรงอาหารในตอนเช้า และเวลาก็ค่อนข้างคล้ายกัน


ความสัมพันธ์กับจองฮายอนในคืนนั้นที่เริ่มต้นด้วยความรู้สึกดีๆ ในที่สุดหลังจากที่ยูนิคอร์นน้อยปรากฏตัวออกมา ก็กลับจบลงอย่างไม่ชัดเจนเท่าใดนัก


แม้จะถูกจับได้ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะในความเป็นจริงแล้วยูนิคอร์นก็ยังเป็นสัตว์อยู่ดี ก็แค่หมดสนุกหรือเปล่านะ? แต่จองฮายอนก็ขอให้ผมช่วยเข้าใจหล่อนที่หล่อนไม่ยอมทำอย่างนั้น แล้วก็ลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นออกไปด้านนอก บางทีหล่อนอาจจะออกไปตามหายูนิคอร์นน้อยก็ได้


แล้วนี่เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น ผมถึงได้เห็นฉากแปลกๆ พิกลหลังจากเดินเข้ามาในโรงอาหารเช้านี้กัน


ฮี้


“ยะ…อยากกินนี่เหรอ”


ฮี้ ฮี้


จองฮายอน, อิมฮันนา และแพคฮันกยอล สามคนกำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ที่โต๊ะ ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่ามีสามคนกับอีกหนึ่งตัวกำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ต่างหากล่ะ


ยูนิคอร์นน้อยอ้าปากกว้างทั้งที่ยืนตัวตรงครองเก้าอี้ไปเสียหนึ่งตัว ข้างๆ กันนั้นคือจองฮายอนที่กำลังป้อนอาหารเจ้ายูนิคอร์นด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ


หากมองเพียงแวบเดียวอาจจะดูเป็นภาพที่น่ารัก แต่กลับรู้สึกดูขัดแย้งพิลึก ท่าทางของยูนิคอร์นน้อยดูช่างอวดดีเสียเหลือเกิน ใบหน้าที่ใสซื่อนั้นก็มีแต่ความดื้อรั้นปรากฏอยู่


“อ้าว พี่มาแล้วเหรอครับ”


“อุ๊ย เชิญค่ะแคลนลอร์ด มาทานอาหารหรือคะ”


ทันทีที่ผมค่อยๆ เดินเข้าไป แพคฮันกยอลและอิมฮันนาก็ทำเป็นรู้ตัวเสียอย่างนั้น ผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วนั่งลงตรงที่นั่งที่ยังว่างอยู่ ผมส่งสายตาถามไปหาจองฮายอน ส่วนหล่อนก็ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนี้สำหรับผมแล้ว มันเหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่าอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เสียมากกว่า


“นี่ หนูน้อย พี่ว่าตอนนี้พี่ก็ต้องทานข้าวแล้วเหมือนกันนะ…”


ฮี้?


ยูนิคอร์นน้อยหันหน้ามาเพราะน้ำเสียงเศร้าสร้อยของจองฮายอน ผมเห็นมันปล่อยลมหายใจฟืดฟาดออกมาก่อนจะหันไปสะกิดอิมฮันนาที่นั่งอยู่ด้านขวาแทน


“หืม? เรียกฉันเหรอ”


ฮี้


“ทำไมล่ะ”


ทันทีที่อิมฮันนาถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ยูนิคอร์นน้อยจู่ๆ ก็บุ้ยใบ้มาทางผม


ฮี้


“เอ๋? ท่านแคลนลอร์ดเหรอ”


ฮี้


“รอบนี้…พี่ฮายอน?”


ฮี้ ฮี้


ยูนิคอร์นน้อยพยักพเยิดไปทางจองฮายอนต่อแล้วพยักหน้าทันที และก่อนที่จะได้ทันทำอะไรแปลกๆ ออกมาต่อ จองฮายอนก็รีบยื่นช้อนมาทางยูนิคอร์นน้อยทันที



โดยพื้นฐานแล้วยูนิคอร์นน้อยเป็นพวกที่รับรู้ความรู้สึกได้เร็วและฉลาดหลักแหลม ผมไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสองมีเรื่องอะไรกัน แต่จองฮายอนจะต้องทำอะไรผิดอย่างแน่นอน


ก็นั่นล่ะนะ คงต้องจัดการเหมือนอย่างเคยนั่นแหละ


ผมลอบถอนหายใจอยู่ข้างในขณะที่มองจองฮายอนที่กำลังเหงื่อตก พิจารณาจากท่าทางสับสนของหล่อนแล้ว เป็นไปได้สูงทีเดียวว่าหล่อนจะถูกจับได้แน่ๆ ตามความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่ายูนิคอร์นน้อยคงจับท่าทีของหล่อนได้และคิดจะใช้โอกาสนี้ทำให้ลำดับของตนสูงขึ้น หรือไม่ก็ด้วยเหตุผลอื่นที่ผมเองก็ไม่อาจรู้ได้


ก่อนอื่นผมตัดสินใจจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจองฮายอนจนเมื่อมันดูจะเกินมือของหล่อนผมจึงจะก้าวเข้าไปช่วย ความจริงแล้วเจ้ายูนิคอร์นน้อยเหลือบมองผมเป็นครั้งคราว เพราะจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดว่ามันยังอยู่ในขอบเขตที่ผมยังทนได้อยู่


“แคลนลอร์ด อาหารเช้าวันนี้มีขนมปังง่ายๆ กับซุปนะคะ ตอนนี้ทุกคนต่างเข้าไปในครัวกันหมด เดี๋ยวฉันจะไปเอาออกมาให้นะคะ”


“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมไปเอาเองจะดีกว่า”


โชคไม่ดีที่เคาน์เตอร์ของโรงอาหารนั้นว่างเปล่า ผมยืนขึ้นจากเก้าอี้หลังจากทำมือให้อิมฮันนาที่กำลังรีบลุกขึ้นให้นั่งลง


“ท่านแคลนลอร์ดไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้นะ…”


“ผมเป็นคนจะกิน ผมก็ต้องเป็นคนไปเอาสิครับ จะให้ผมเป็นฝ่ายรับมันก็ได้นะ แต่ไม่รู้สิ”


ผมกำลังจะเดินไปแต่ก็หยุดไปครู่หนึ่ง พอมาคิดดูแล้ว ผมก็มีเรื่องที่ต้องคุยกับอิมฮันนาเกี่ยวกับอุปกรณ์สักหน่อย


หญิงร่างทรงยามอัสดงดูจะจับเชือกจากฝั่งหล่อนไว้แล้วเป็นแน่ ผมคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าผมเริ่มพูดเรื่องนี้ก่อน และหากหล่อนไม่ได้มีนัดสำคัญอะไรก็จะได้คุยหาทางแก้ปัญหากันทันทีหลังจากมื้ออาหารจบลงแล้ว


“อ้อ อิมฮันนา วันนี้คุณมีกำหนดการอะไรหลังจากเสร็จจากมื้อเช้านี้หรือไม่ครับ”


“คะ? ไม่นะคะ”


“ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้น…”


หลังทานอาหารเสร็จเราไปคุยกันที่ห้องทำงานหน่อยนะครับ และเมื่อผมกำลังจะพูดประโยคนี้ต่อนั่นเอง


“แคลนลอร์ด! แคลนลอร์ด!”


ในตอนนั้นเอง ใครบางคนก็วิ่งเข้ามาในโรงอาหารแล้วตะโกนส่งเสียงดังอย่างร้อนรน


และเมื่อผมหันไปมองด้วยความสงสัย ก็ได้เจอเข้ากับร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อของชินซังยง


“แฮ่ก แฮ่ก! คะ แคลนลอร์ด! ขะ ข้างนอกมีอะไรแปลกๆ ครับ!”


“เอ๋?”


ผมขมวดคิ้วให้กับคำพูดที่คาดไม่ถึงก่อนจะถามซ้ำใหม่อีกครั้ง ชินซังยงรีบตอบกลับทันทีโดยไม่คิดจะพักหายใจแม้สักนิด


“วะ วันนี้ผมไปที่ย่านคนพลุกพล่านมาเพราะมีธุระที่นั่น…”


“รู้แล้ว รู้แล้ว ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ พูดเถอะครับ”


“ตะ ตอนนี้…ฟู่ววว สมาชิกเผ่าของอีสตันเทลลอว์นับร้อยคนกำลังรวมตัวกันยาวตั้งแต่จัตุรัสจนถึงวาร์ปเกตเลยครับ และพวกเขาทุกคนติดอาวุธกันทั้งหมดด้วยล่ะครับ!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใจผมก็สงบลงในชั่วพริบตา


มันเริ่มขึ้นแล้ว


* * *


ซองฮยอนมินมีสีหน้ากังวลใจอย่างสุดซึ้ง การเอาแต่เขย่าขาและไม่สามารถวางสายตาไว้ในที่ใดที่หนึ่งได้นั้นดูต่างจากนิสัยปกติของเขาอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว


“เฮ้อ…”


“อยู่นิ่งๆ ทีเถอะ หืม? แล้วทำไมถึงทำท่าเหมือนหมาปวดอึแบบนั้น ไม่สมเป็นนายเลยนะ”


ทันทีที่อีฮโยอึล ซึ่งดูแย่ยิ่งกว่าก่นด่าเขาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ซองฮยองมินก็เผยยิ้มกระดากอายออกมา


“ฮะ…ฮ่าๆ ขอโทษด้วยครับ พอคิดว่าเดี๋ยวก็จะต้องออกไปแล้วมันก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมาน่ะครับ”


“ให้ตายเถอะ นายก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยนะ”


“ก็ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับ ในตอนนั้นผมทำตามความเชื่อของตัวเอง แต่ตอนนี้…”


ซองฮยอนมินค่อยๆ เบาเสียงลงที่ท้ายประโยคขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เพื่อสังเกตอาการของอีฮโยอึล


“ถ้าอย่างนั้น ความเห็นที่ไม่ตรงกันของเราตอนนี้ก็ขัดกับความเชื่อนายด้วยอย่างนั้นเหรอ”


“…เป็นอย่างนั้นครับ”


ซองฮยอนมินตอบออกไปตรงๆ อีฮโยอึลมองเขานิ่งๆ สักพักก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา


“เฮ้อ ฮยอนมิน นายยังจำตอนที่ฉันอยู่กับนายเมื่อสามปีที่แล้วได้ไหม”


“….ครับ จำได้ครับ”


“อย่างที่ฉันเคยบอก ว่าความเชื่อน่าขันของนายน่ะ มันจะขัดขวางการเติบโตในฐานะผู้เล่นของนายเอง หากนายเปลี่ยนนิสัยเสียหน่อย นายจะยิ่ง…”


ในตอนนั้นเอง ก็มีประกายแวบขึ้นมาในตาของซองฮยอนมิน


“อีฮโยอึล โดยส่วนตัวแล้วผมเคารพคุณ คำพูดของคุณมีเหตุผลเสมอ และไม่เสียหายที่จะนำไปปฏิบัติตาม ในฐานะที่ผมเป็นผู้เล่นที่ได้เจอคนอย่างคุณโดยตรงนั้น ผมย่อมรู้ดีแต่…ก็อาจจะมีผู้เล่นบางคนที่ไม่พอใจการจัดการในวันนี้ได้เช่นกันนะครับ”


ก่อนที่อีฮโยอึลจะได้พูดจนจบประโยค ซองฮยอนมินก็พูดตัดบทหล่อนขึ้นมาเสียก่อน แต่ผิดคาด หล่อนไม่ได้มีสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด ไม่สิ ตรงกันข้าม หล่อนกลับอมยิ้มอย่างอ่อนโยนเต็มดวงหน้าเสียอย่างนั้น


“ฮยอนมิน ฉันว่านายกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วล่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของฉันเพียงคนเดียวหรอกนะ นายเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ”


“…”


“ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่พวกนายต้องการกันมาตั้งแต่แรกนี่ แน่นอนว่าที่ฉันทำเพราะคิดว่ามันสมเหตุสมผลตามที่นายได้พูดไป”


“…ความจริงแล้วผมกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเป็นสาเหตุที่นำพาทวีปทางเหนือเข้าสู่ความวุ่นวายน่ะครับ”


ท้ายที่สุด เมื่อซองฮยอนมินเปลี่ยนไปพูดเรื่องความกังวลของเขาแทนราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วนั้น อีฮโยอึลก็หัวเราะคิกคักออกมา


“ฉันเข้าใจนะว่านายกังวลเรื่องอะไรอยู่ แต่อย่าสนใจจนมากเกินไปเลย”


“ผู้เล่นอีฮโยอึล”


“แล้วนายไม่คิดว่าฉันจะคิดเรื่องเดียวกับนายบ้างเหรอ”


เพียงคำนี้คำเดียวก็ทำให้ซองฮยอนมินปิดปากเงียบได้อีกครั้ง


“ฉันน่ะคิดเอาไว้ทุก~ อย่างแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะ แล้วเรามาคอยดูกันว่ามันจะเป็นไปตามที่นายหรือฉันคิดเอาไว้กันแน่ เข้าใจไหม”


หล่อนประสานมือสองข้างยืดขึ้นเหนือหัวแล้วลุกขึ้นยืนหลังจากที่ปัดขี้บุหรี่ทิ้งหมดแล้ว และหันไปพูดกับซองฮยอนมินที่ยังนั่งปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่ด้วยน้ำเสียงแข็งขัน


“เอาล่ะ ลบความคิดผิดหวังเสียใจออกไปแล้วออกไปจากที่นี่กันเถอะ ได้เวลาเริ่มแล้วนะ ก้าวแรกของยุทธการโลกใบใหม่น่ะ”


ตอนที่ 22

โดย

ProjectZyphon

จัตุรัสแห่งโมนิก้าบัดนี้อัดแน่นไปด้วยผู้เล่นที่มารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมากจนแทบไม่เหลือที่ให้ยืน


หนึ่งในภาพที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือภาพของแคลนลอร์ดอีสตันเทลลอว์ที่ยืนอยู่อย่างเรียบร้อยในจัตุรัส และท่ามกลางคนเหล่านั้นที่ล้วนแสดงท่าทีไม่ธรรมดาออกมา ก็ยังมองเห็นฮันโซยองที่เตรียมพร้อมอยู่ในชุดเกราะแห่ง ‘ผู้ชำนาญสงคราม’ อยู่ด้วย


จ๊อกแจ๊ก จอแจ


ที่จัตุรัสมีแต่เสียงดังจนฟังดูโกลาหลวุ่นวาย แต่ทันทีที่รู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นของเวทแห่งเสียงจากใจกลาง ความวุ่นวายทั้งหมดก็เงียบลงในทันที


หลังจากการรุกรานของพวกเร่ร่อนและทวีปทางตะวันตกเริ่มขึ้น ทางฝั่งเหนือและฝั่งใต้ก็ไม่แสดงความสนใจใดๆ ในการเข้าร่วมการรุกราน เฉยเมยพอจะกล่าวได้ว่าพวกเขาได้หันหลังให้มันมาตั้งแต่แรกแล้ว


แต่ความจริงที่ว่าเผ่าตัวแทนของเมืองได้ก้าวออกมานำเองโดยตรงนั้น ก็เท่ากับว่าเป็นการรายงานสถานการณ์อย่างเป็นทางการไปด้วยในตัว


ดังนั้นสถานะในวันนี้จึงดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้เล่นได้เป็นประวัติการณ์


“แคลนลอร์ดอีสตัวเทลลอว์ ฮันโซยองค่ะ ฉันจะประกาศสถานะของโมนิก้าเกี่ยวกับการร้องขอกำลังเสริมจากเผ่าสิงโตทอง”


ฮันโซยองกวาดตามองรอบๆ ด้วยความรวดเร็วพร้อมกับเริ่มพูดไปด้วย เพียงเท่านั้นความวุ่นวายที่ยังหลงเหลืออยู่ทุกหนทุกแห่งก็ถูกจัดการลงอย่างราบคาบ ความสามารถในการปกครองของหล่อนถูกแสดงออกมาให้เห็น


“ฉันคิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องของแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในช่วงนี้แล้วไม่มากก็น้อยนะคะ”


ในตอนนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนที่พุ่งตรงมา ถึงกระนั้นผมก็ยังตั้งใจฟังฮันโซยองต่อไปเพราะหล่อนยังพูดไม่จบ


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้ส่งพวกเร่ร่อนที่จับเป็นเชลยมายังอีสตันเทลลอว์ พร้อมกันนั้นยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหล่าผู้รุกรานอีกด้วย บางส่วนในนั้นได้ประกาศออกมาให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกันแล้วนะคะ”


หงึกหงัก


ท่ามกลางเสียงถอนหายใจและการพยักหน้าที่มีให้เห็น ราชินีแห่งเลือดและเหล็กก็ยังคงกล่าวต่อไป


“เมื่อไม่นานมานี้ อีสตันเทลลอว์ได้เข้าร่วมในการประชุมร่วมของทางภาคใต้และตะวันออก และที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่ายังเร็วไปที่เราจะตอบรับคำร้องขอของเผ่าสิงโตทองค่ะ ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยจนกว่าการเตรียมพร้อมทุกอย่างจะแล้วเสร็จ โมนิก้าจึงต้องตัดขาดการเชื่อมต่อของวาร์ปเกตที่เกี่ยวข้องกับเมืองทั้งหมดที่โมนิก้าอาจจะโดนรุกรานในอนาคตค่ะ”


เป็นการพูดตรงๆ ตามนิสัยของฮันโซยอง ไร้ซึ่งถ้อยคำสละสลวยสวยหรูใดๆ คำพูดของหล่อนทำให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ในหมู่ผู้เล่นที่รวมตัวกันอยู่กลางจตุรัส


“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเราจะทิ้งบาร์บาร่าไว้เช่นนี้อย่างนั้นหรือครับ”


ผู้เล่นชายคนหนึ่งถามโพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจมากกว่าความโกรธ


“ฉันไม่เคยพูดว่าจะทิ้งเลยนะคะ ทั้งหมดนั้นฉันหมายความว่าเราต้องการการปรับปรุงเท่านั้นเองค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจะทำอย่างไรกันแน่…?”


“ตอนนี้ไม่เพียงโมนิก้าเท่านั้น แต่ในเมืองอื่นๆ เองก็จะมีประกาศออกมาเช่นกันและฉันก็คิดจะเปิดวาร์ปเกตทิ้งเอาไว้เป็นเวลาสิบวันหลังจากที่การประกาศรายงานสถานการณ์ได้จบลงค่ะ”


“…”


มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ออกจากปากของทุกคนในเวลานี้ แม้ว่าฮันโซยองจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เหล่าผู้เล่นที่รวมตัวกันอยู่ตรงนี้ก็คงพอจะคาดเดากันได้ว่ามีบางเรื่องที่ถูกละไว้


ถึงแม้หล่อนจะพูดว่าต้องการ ‘การปรับปรุง’ แต่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็คือการบอกให้ทุกคนออกจากเมืองไปอยู่ดี และสิบวันที่ว่านั้นก็คือช่วงเวลาให้ได้ตัดสินใจกันนั่นเอง


การรายงานสถานการณ์อย่างเป็นทางการของฮันโซยองจบลงเพียงเท่านี้ แม้จะยังมีสิ่งที่ต้องพูดเหลืออยู่ แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดนั้นก็ได้ประกาศออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เหล่าผู้เล่นมีปฏิกิริยาหลากหลายแตกต่างกันออกไป บ้างแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย, บ้างถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย, บ้างก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจ


ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผมคาดเดาไว้อยู่แล้ว ฝั่งตะวันออกและใต้คิดจะใช้โอกาสนี้กำจัดเผ่าที่เป็นมิตรกับเผ่าสิงโตทองให้หมดไป ดังเช่นในรอบแรก


นอกจากนั้นเหล่าผู้เล่นก็ยังถูกแบ่งแยกไปตามเมืองของตนตั้งแต่ที่เกิดความขัดแย้งขึ้นมา


แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ชอบธรรมขึ้นมาได้ แน่นอนว่าจะต้องมีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย ด้วยความเคลือบแคลงใจว่าในรอบที่สองนี้สถานการณ์จะคลี่คลายลงได้อย่างไร


ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เหตุผลที่นำมาใช้บังหน้าก็ยังคงเป็นปัญหา ในแง่ที่ว่ามันเป็นเหตุผล ‘ที่แท้จริง’ หรือเหตุผล ‘ที่สร้างขึ้นมา’ กันแน่


เวลาล่วงเลยไปสักพัก ก่อนที่ผู้เล่นหญิงคนหนึ่งจะยกมือขึ้นถามอย่างระมัดระวัง


“แคลนลอร์ดอีสตันเทลลอว์บอกว่ามันคือการปรับปรุงนี่คะ ฉันขอทราบความหมายที่ชัดเจนจะได้หรือไม่คะ”


“ในตอนนี้นั้นยังมีสถานการณ์ภายในที่ซับซ้อนของทั้งทางตะวันออกและใต้ ซึ่งเรายังไม่สามารถเปิดเผยได้ และเราได้คิดที่จะรับสมัครผู้เล่นที่พำนักอาศัยอยู่ในแต่ละเมืองไปพร้อมๆ กับการแก้ปัญหานั้นค่ะ ผู้เล่นในระดับกลางและสูงสามารถเข้ารับการเกณฑ์ได้ ส่วนผู้เล่นระดับศูนย์หรือระดับหนึ่งก็สามารถเข้าเป็นกองหนุนได้ค่ะ”


“กะ…กองหนุนหรือคะ”


“ในฐานะผู้เล่นที่ได้เข้าเป็นสมาชิกของทวีปทางเหนือ ฉันเชื่อว่าหากคุณรู้สึกสนุกไปกับสิทธิของตนเองแล้วนั้น คุณจะได้รับมอบหมายภาระหน้าที่ตามที่คุณพึงจะได้อย่างแน่นอนค่ะ”


แม้ฮันโซยองจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่คำพูดของหล่อนกลับบาดลึกลงไปในใจของเหล่าผู้เล่นทุกคนอย่างน่ากลัว


ความเงียบแผ่ปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัสโดยไม่ทันที่ใครจะได้รู้สึกตัว


“แน่นอนค่ะ ฉันขอสัญญาอย่างชัดเจน ณ ที่แห่งนี้ว่าเผ่าในสังกัดทั้งหลาย พร้อมด้วยอีสตันเทลลอว์จะเป็นผู้นำในภาระหน้าที่นั้นค่ะ”


เสียงของฮันโซยองแผ่ก้องไปทั่วทั้งจัตุรัส


“เมอร์เซนต์นารี่ก็จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้เช่นกันครับ”


ผมรีบรวบเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว และได้เห็นสีหน้าของเหล่าผู้เล่นที่มารวมตัวกันที่ห้องประชุมชั้นสาม เปลี่ยนไปทันทีที่ผมพูดจบ


“นี่พวกเราก็เป็นเป้าหมายในการเกณฑ์ด้วยอย่างนั้นหรือครับ”


“มีการเรียกร้องเข้ามาหรือคะ”


ชินซังยงและจองฮายอนโยนคำถามมาที่ผมอย่างรวดเร็ว ผมส่ายหน้าอย่างใจเย็นและตอบออกไปด้วยเสียงดังฟังชัด


“สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไม่สามารถเข้ารับการเกณฑ์ได้ครับ ส่วนเรื่องการเรียกร้องนั้น…ผมคิดว่าเราคงจะได้รับในไม่ช้านี้นะครับ”


“แล้วถ้าหากไม่ได้…”


“ถึงแม้จะไม่ได้ขอมา เราก็จะไปช่วยอยู่แล้วครับ”


ทันทีที่ผมพูดว่าเราจะเข้าร่วมสงคราม สีหน้าของสมาชิกเผ่าก็ดูกังวลขึ้นมา


แน่นอนว่าเรายังมีทางเลือกอื่นนอกจากการเข้าร่วมสงครามหลงเหลืออยู่แม้จะน้อยมากก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยสนับสนุนการป้องกันเมือง หรือแม้กระทั่งการเก็บตัวให้เงียบที่สุดเหมือนหนูตาย แต่ผมกลับคิดว่ามันคงน่าเสียดายมากหากจะปล่อยให้เรื่องทุกอย่างผ่านเลยไปเฉยๆ


ถึงผมจะเข้าใจดีว่าเหล่าสมาชิกรู้สึกอย่างไร แต่ผมก็ไม่คิดจะล้มเลิกการตัดสินใจนี้แม้แต่เพียงนิด


“คุณจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยการทำตามที่ตนเองต้องการอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะครับ”


นั่นเพราะว่า


“เพราะแม้เราจะเรียกตัวเองว่าทหารรับจ้างอิสระ แต่เราก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ทวีปทางเหนือแห่งนี้ สงครามครั้งนี้สำคัญมากจนเราสามารถมองเห็นโชคชะตาของทวีปทางเหนือได้เลยนะครับ”


“…”


“ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อของเมอร์เซนต์นารี่ก็กำลังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และได้ก้าวเท้าเข้าไปในสงครามแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเราไม่เข้าร่วมสงครามล่ะก็…ไม่ว่าเราจะกระทำการอะไรกันในอนาคต เราก็จะไม่ได้รับความสนใจเช่นนี้อีกแล้วนะครับ”


ตอนนี้ดำเนินมาครึ่งทางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป สงครามครั้งนี้จะต้องจบลงด้วยชัยชนะของทวีปทางเหนืออย่างแน่นอน และยังมีเรื่องที่ผมอยากจะทำให้สำเร็จเป็นการส่วนตัวผ่านกระบวนการนี้อยู่ด้วย ผมคิดว่าสงครามในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีของเมอร์เซนต์นารี่เสียด้วยซ้ำ


พูดง่ายๆ ก็คือ ผมไม่คิดที่จะปล่อย ‘โอกาส’ นี้ให้หลุดมือไปเป็นอันขาด


แม้ว่าจะพาทุกคนไปด้วยไม่ได้ก็ตาม


ยังมีสมาชิกเผ่าบางคนที่ยังคงอ่อนประสบการณ์เกินกว่าจะเข้าร่วมในสงครามและบางคนที่ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งผมก็ไม่ได้นึกกังวลอะไรนัก เพราะคิดจะให้พวกเขาส่วนนั้นไปอยู่ในฝ่ายป้องกันเมืองอยู่แล้ว


“ก่อนอื่น ผมจะบอกรายละเอียดทั้งหมดก่อนนะครับ ในกรณีที่มีการติดต่อมานะครับ ถ้าหากว่าไม่มี…ไม่ว่ายังไงผมคิดว่าเราควรให้ความสนใจกับงานที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อนนะครับ ผู้เล่นโกยอนจู ผู้เล่นจองฮายอน”


“ค่ะ”


พวกหล่อนตอบออกมาพร้อมกันทันทีหลังจากที่ผมพูดจบ ผมหันมองสมาชิกคนอื่นๆ ก่อนจะพูดต่อ


“ผมจะเปิดคลังของเราอย่างเสรี ช่วยพาสมาชิกทุกคนไปที่นั่นแล้วแจกจ่ายอุปกรณ์ที่พวกเขาได้ทำเรื่องขอกันมาด้วยนะครับ สำหรับอุปกรณ์ที่มีการขอซ้ำให้ช่วยไกล่เกลี่ยด้วย ถ้าไม่ได้ก็มาบอกผมนะครับ”


“เข้าใจแล้วค่ะ แล้วจะเปิดคลังเมื่อ…”


“ตอนนี้เลยครับ”


หลังจากพยักหน้าหนึ่งครั้ง จองฮายอนและโกยอนจูก็ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ผมมองดูเหล่าสมาชิกค่อยๆ ลุกตามพวกหล่อนไปทีละคนสองคน แต่ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งที่สะดุดตาผม ผมรีบเรียกหล่อนไว้เพราะความคิดหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในหัว


“ผู้เล่นอิมฮันนา”


“คะ?”


อิมฮันนาที่ลุกจากเก้าอี้ด้วยแววตาตื่นเต้น มองกลับมาที่ผมด้วยความสงสัย


“คุณอิมฮันนาช่วยอยู่ต่ออีกสักพักจะได้ไหมครับ”


อิมฮันนาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


หลังจากที่สมาชิกทุกคนออกจากห้องประชุมไปหมดแล้ว ผมก็มองไปที่อิมฮันนาที่นั่งอยู่ไม่ไกลก่อนจะพูดขึ้น


“ผมได้อ่านรายการอุปกรณ์ที่คุณขอมาในครั้งนี้เป็นอย่างดีแล้วนะครับ แสงแปลบปลาบส่องประกาย, เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล, รีซ่า บู๊ทส์, เสื้อเหมันต์แห่งทิศอุดร ส่วนใหญ่ในนี้เป็นอุปกรณ์เฉพาะของนักธนูเท่านั้น ซึ่งมีเพียงพอที่จะให้คุณยืมได้นะครับ”


“ขอบคุณค่ะ แต่ว่า…”


“…?”


“คุณบอกว่าเวลาอยู่กันสองคนให้พูดแบบสบายๆ…”


อิมฮันนาหลุบตาลงพร้อมใบหน้าแดงก่ำ ขณะเดียวกันกับที่ผมกำลังคิดว่า จู่ๆ ก็มาพูดถึงเรื่องอะไรกัน นั้น ผมก็สังเกตเห็นว่าหล่อนกำลังถูนิ้วตัวเองไปมา


การได้เห็นอิมฮันนาที่มีนิสัยอ่อนหวานและผ่อนคลายอยู่เสมอแสดงอาการเช่นนี้ออกมา นับเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ทีเดียว ผมควรจะพูดออกไปหรือไม่ว่าหล่อนมีเสน่ห์บางอย่าง


ผมลอบยิ้มอยู่ภายในใจก่อนจะพูดออกมาตามความปรารถนาของอิมฮานา


“เอาเถอะ สิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้านั้นน่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่ว่าหญิงร่างทรงยามอัสดงต่างหากที่อาจจะเป็นปัญหาได้”


“ค่ะ”


อิมฮันนารีบตอบผมทันที หล่อนอาจจะคาดไว้อยู่แล้วว่าผมจะพูดเรื่องนี้ เพราะใบหน้าของหล่อนยังดูสบายๆ อยู่


หลังจากนั้นอิมฮันนาก็เริ่มพูดขึ้นช้าๆ


ตอนที่ 23

โดย

ProjectZyphon

เผ่าสิงโตทองยังคงดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกกลับไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาคงโต้แย้งทีละข้อทีละประเด็นไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมองไม่เห็นปฏิกิริยาอะไรจากพวกเขานอกเสียจากบางเรื่องที่สำคัญจริง ๆ เท่านั้น


แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าผมเอาแต่รับฟังเพียงอย่างเดียว


สงครามครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย ด้วยความที่เป็นสงครามที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน จึงไม่มีการเตรียมพร้อม สถานการณ์ภายในก็ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน เราต่างต้องการเวลาในการฟื้นฟูปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ


เป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญดังเช่นในกณีของเบธ, โดโรธี และโดยเฉพาะฮาโล ในเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่าเผ่าสิงโตทองเองก็ได้ยื่นข้อเสนอให้กับทาง SSUN ข้อหนึ่งด้วยเช่นกัน แต่ในตอนนี้เหตุใดกลับมาบอกว่าไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น


วาร์ปเกตมีกำหนดปิดตามวันที่เราได้ประกาศออกไป ผมจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ผมได้แต่รอคอยให้เหล่าผู้เล่นของบาร์บาร่ารวมไปถึงเผ่าสิงโตทองตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด


เหล่าผู้เล่นมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป บางคนก็วิพากษ์วิจารณ์การรายงานสถานการณ์ครั้งนี้ต่างมุมมองความคิดของตน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนเช่นกันที่แสดงความเห็นอย่างมั่นใจว่าเราจะมีอำนาจเหนือทวีปทางเหนือได้ผ่านสงครามในครั้งนี้


แต่ในทางตรงกันข้ามก็มีผู้เล่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่วิพากษ์วิจารณ์เผ่าสิงโตทองและเผ่าพันธมิตรด้วยเช่นกัน


สถานการณ์นี้เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะขอกำลังเสริมหรือไม่ก็ตาม แต่การอยู่เงียบๆ แล้วพอมาตอนนี้กลับมาขอกำลังเสริมนั้นก็กลับน่าขันสิ้นดี ไหนจะบอกให้ควบคุมวาร์ปเกตก่อนเป็นอันดับแรก แล้วก็กลับเปลี่ยนคำพูดจากหน้ามือเป็นหลังมือ และอื่นๆ พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ในรายละเอียดต่างๆ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเช่นนั้น แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ได้โดยปริยายว่าในแต่ละเผ่าต่างมีพวกผู้ปลุกปั่นแฝงอยู่


หนึ่งวัน สองวัน สามวัน สี่วัน


ยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าไร ก็ยิ่งเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนมากขึ้นทุกที


โดยที่เผ่าสิงโตทองเองมีการรายงานสถานการณ์ที่มีความน่าสนใจ(?)อย่างเอาเป็นเอาตายติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน แต่ระบบวาร์ปเกตของเมืองทางตะวันออกและทางใต้นั้นเกือบจะใช้การไม่ได้แล้ว จนกระทั่งมาถึงฮาโลที่เหล่าผู้เล่นมองเห็นแสงไฟค่อยๆ ดับลง พวกเขาก็เริ่มเดินทางออกจากบาร์บาร่าในที่สุด


ในขณะที่ทางภาคกลางยังคงอึกทึกครึกโครม และทางเหนือที่ยังคงรักษาความเงียบ ทางตะวันออกและทางใต้เองก็มุ่งทำงานของตนไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน


สถานการณ์ภายในจากการรายงานสถานการณ์อย่างเป็นทางการนั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากต้องการหาตัวสายลับเท่านั้น


ขั้นตอนนั้นไม่ได้เปิดเผยสู่ภายนอกโดยไม่คาดคิด ราวกับว่ากำลังจะมาถึงตอนจบแล้วดังเช่นคำพูดของโกยอนจูที่ออกไปทำงานข้างนอกบ้างเป็นครั้งคราว ชื่อของคนใหญ่คนโตต่างๆ จะถูกวางไว้เป็นอันดับแรก และหล่อนได้บอกว่าพวกเขาจะต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการประเมินต้นเรื่องที่แบ่งออกเป็นหลายประเด็นโดยมีพวกเขาเป็นตัวยืนพื้น


ในเวลาเดียวกันนั้นก็ได้ผลักดันให้เกิดการรับสมัครผู้เล่นที่อาศัยอยู่ภายในเมืองอย่างสม่ำเสมอ


การแก้ไขปรับปรุงต่างๆ ยังคงเป็นไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามที่ได้พูดไป และยิ่งเราเตรียมพร้อมกันไปมากเท่าไร วันเวลาก็ดูเหมือนจะหมุนเร็วขึ้นมาเท่านั้น วันที่สิบที่จะทำการตัดการเชื่อมต่อวาร์ปเกตค่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว


และเมื่อหนึ่งวันที่แล้วซึ่งก็คือวันที่เก้าหลังจากการรายงานสถานการณ์ ผมก็ได้รับข่าวที่น่าตกใจอย่างยิ่ง


นั่นคือข่าวว่าวาร์ปเกตถูกตัดการเชื่อมต่อแล้ว ไม่ใช่จากฝั่งตะวันออกและใต้ แต่กลับเป็นเผ่าสิงโตทองเองที่ทำ


นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบแรก


* * *


“ฉันอยากลองแสวงหาโชคชะตาของตัวเองค่ะ”


คำที่พูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าอยากออกไปแสวงหาโชคชะตาของตนเองนั้น ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจและได้สบตากับอิมฮันนาที่มองลงมาพอดี


“เป็นความปรารถนาส่วนตัวของฉันเองค่ะ ความปรารถนาเล็กๆ ของฉันก็คือฉันอยากจะปกป้องใครสักคนบ้าง ส่วนข้อที่ใหญ่กว่านั้นก็คืออยากจะทดสอบโชคชะตาของตัวเองดูสักครั้งน่ะค่ะ”


อิมฮันนาพูดเสริมขึ้นมาอย่างสุภาพเพราะเห็นสีหน้าแปลกใจของผม


“…หืม”


ผมจมอยู่กับความคิดของตัวเองขณะที่เคาะนิ้วชี้ลงกับโต๊ะไปด้วยตามนิสัย


เดิมทีแล้วผมตั้งใจจะผลัดเรื่องหญิงร่างทรงยามอัสดงกับหล่อนไปก่อน แต่ตอนนี้อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่าจะลองฟังสถานการณ์ของหล่อนดูเสียหน่อย ไม่ใช่เพราะผมคิดจะข้ามหล่อนไปง่ายๆ แน่นอน แต่เพราะคิดว่าบางทีหล่อนอาจจะมีเรื่องด่วนบางอย่างต่างหาก แต่…


คำอธิบายมันน้อยไปหน่อยนะ


ผมกำลังคาดเดาว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับหล่อนกันแน่


แต่ถ้าจะให้คิดอย่างเป็นกลาง ทุกอย่างก็ล้วนเป็นไปในแบบของมัน ตอนนี้ผมได้แต่ปิดปากเงียบ เพราะดูเหมือนตั้งแต่นี้ไปผมจะต้องพูดให้น้อยที่สุดแล้ว


หลังจากคิดพินิจพิจารณาอยู่สักพัก ผมก็สามารถตัดสินใจภายใต้บรรทัดฐานที่ว่า ‘แคลนลอร์ดต้จะต้องมีความยุติธรรมในการจัดการงานส่วนรวม’ ได้ในที่สุด


“อิมฮันนา ผมว่ามันจะดีกว่านะถ้าหากจะเลื่อนหญิงร่างทรงยามอัสดงออกไปก่อน”


มีแววแห่งความผิดหวังแวบขึ้นมาบนใบหน้าของอิมฮันนา แต่เจ้าตัวก็ดูจะรู้ว่าหล่อนขอในสิ่งที่มากเกินไป เห็นได้จากสีหน้าของหล่อนที่เปลี่ยนไปเป็นเก้อเขินหลังจากนั้นทันที


“อย่างที่ผมได้พูดไปที่ห้องประชุมเมื่อสักครู่นี้ ว่าเราอาจจะต้องเข้าร่วมในสงคราม เทียบเท่ากันนั้นมันอาจจะกลายเป็นโทษได้หากเราเก็บหญิงร่างทรงยามอัสดงเอาไว้ในเวลานี้”


“จริงด้วยสิคะ เพราะฉันอาจจะไม่คุ้นเคยกับคลาสใหม่ได้ ฉันคิดผิดไปจริงๆ ค่ะ”


“ใช่ และผมเองก็กังวลกับสายตาของสมาชิกคนอื่นๆ ด้วย สมาชิกหลายคนในช่วงนั้นได้รับคลาสหายากและคลาสลับ แต่ทุกคนต่างก็เจอเรื่องลำบากมามากพอแล้วเช่นกัน คุณรู้ใช่ไหมครับว่าผมพูดถึงเรื่องอะไร”


“ค่ะ ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยล่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ เพราะฉันเลยทำให้คุณต้องมานั่งกลุ้มใจถึงเพียงนี้… ฉันเอาแต่ความคิดและความโลภของตัวเองเป็นใหญ่มากเกินไปจริงๆ ค่ะ”


โชคดีจริงๆ ที่อิมฮันนาประพฤติตัวดีสมกับหน้าตา ถ้าหากว่าหล่อนเป็นคนใจแคบแล้วล่ะก็ หล่อนคงแสดงความไม่พอใจออกมาก่อนแล้ว แต่หล่อนกลับรับฟังแล้วทำความเข้าใจตามความเป็นจริง


“โดยส่วนตัวแล้วผมว่าการมีความโลภอย่างพอดีมันเป็นสิ่งที่ดีกว่า ยังไงก็ตาม ผมไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้หรอกนะ เพียงแต่ว่าผมจะอนุมัติอุปกรณ์ที่ยังเหลืออยู่ให้หมดเสียก่อน”


“ขอบคุณค่ะ”


“แล้วก็…ผมจะพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุดเกี่ยวกับการแจกจ่ายอุปกรณ์ในอนาคต”


เมื่อมองดูหน้าอกที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปของอิมฮันนาแล้วผมก็…ไม่สิ นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่กัน


อย่างไรก็ตามผมหยุดความคิดนั้นพลางดึงสติตัวเองสักพักก่อนจะพูดต่อ ผมตั้งใจเหลือบสายตาขึ้นเพื่อมองหล่อน และพูดทั้งๆ ที่มองแต่หน้าหล่อนเท่านั้น


“หากในสงครามครั้งนี้คุณแสดงผลงานได้ดีพอจนทำให้ทุกคนยอมรับได้ หญิงร่างทรงยามอัสดงจะเป็นของคุณครับ”


“หึๆ ถึงแม้ว่าสงครามจะน่ากลัว แต่ฉันจะขอทำให้เต็มที่ไม่ทำให้คุณผิดหวังค่ะ”


อิมฮันนาเผยรอยยิ้มที่แสดงถึงอากัปกิริยาที่สง่างามของหล่อนแล้วยกแขนสองข้างมากอดอก นั่นทำให้หน้าอกของหล่อนดูใหญ่ขึ้นยิ่งกว่าเก่าเสียอีก


หรือหล่อนจะตั้งใจ?


บ้าน่า มันอาจจะเป็นนิสัยของหล่อนเฉยๆ ก็ได้


ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะเหมือนทุกครั้งที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดตัวเอง ผมที่คิดแบบนั้นก็ได้แต่กระแอมไอครั้งสองครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน ก่อนอื่นผมคิดว่าจะไปที่คลังเก็บอุปกรณ์เสียก่อน


* * *


วาร์ปเกตของเผ่าสิงโตทองถูกตัดขาดแล้ว ไม่ใช่เพราะถูกฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ตัด แต่เป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้ลงมือตัดเองต่างหาก


เหล่าผู้เล่นต่างมีปฏิกิริยาที่หลากหลายเกี่ยวกับการจัดการของเผ่าสิงโตทอง


“เจ้าพวกบ้า! นี่กำลังคิดจะขัดขวางไม่ให้ผู้เล่นคนอื่นๆ ออกไปยังเมืองอื่นได้เลยอย่างนั้นเหรอ”


“ฉันว่ามันยังดูคลุมเครือเกินกว่าจะพูดได้แบบนั้นนะ เพราะถ้าแบบนั้นก็คงจะตัดให้เร็วกว่านี้แล้ว”


“เพราะมีเหล่าผู้เล่นที่คิดจะย้ายออก ถ้าหากว่าครบสิบวันแล้วยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกเพียบน่ะสิ นี่มันคิดจะกันไม่ให้พวกเขาย้ายออกแบบกลายๆ ไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยก็ต้องการกำลังคนในการสกัดกั้นนะ”


“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วนี่นายได้รับการติดต่อกับใครที่นายรู้จักที่เป็นคนบาร์บาร่าบ้างไหม”


ด้วยความที่สถานการณ์ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา การคาดเดาจึงเป็นไปต่างๆ นานา


ผมถอนหายใจออกมาสั้นๆ หลังหลุดออกมาจากความคิด ก่อนจะก้มลงไปมองลูกแก้วสื่อสารที่กำลังเปล่งแสงสดใสออกมา


[จู่ๆ ทำไมถึงถอนหายใจล่ะ ซูฮยอน ฟังอยู่หรือเปล่า]


“อืม ฟังอยู่”


[ก็ดี อย่างว่าล่ะนะ พวกเราเองก็กำลังวิเคราะห์กันอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่จะติดต่อมาอีกครั้งแล้วกันนะถ้าพี่รู้แล้วน่ะ]


ในลูกแก้ว พี่ยื่นศีรษะเข้ามาใกล้ทั้งที่ยังลืมตาโตอยู่ นั่นไม่ได้ทำให้ผมเห็นอะไรมากขึ้นเลยสักนิด


ผมหยุดถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ากลับไป


“รู้แล้ว ว่าแต่พี่ การปรับปรุงของทางตะวันออกตอนนี้เป็นยังไงบ้าง กำลังดำเนินการไปได้ดีหรือเปล่า”


[ก็เรื่อยๆ นะ การจัดระเบียบภายในก็เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว และการจัดตารางเวลาของเหล่าผู้เล่นก็เป็นไปอย่างเรียบร้อยเหมือนกัน คิดว่าน่าจะดำเนินการได้เร็วกว่าที่คิดเอาไว้เพราะอีฮโยอึลก็กำลังวิ่งวุ่นเลย แล้วทางใต้ล่ะ]


“โมนิก้าเองก็คล้ายๆ กัน แต่คิดว่าน่าจะมีผู้เล่นบางส่วนที่ดูมีทีท่าต่อต้านการเกณฑ์กำลังทหารอยู่นะ…ผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน อย่างนั้นก็เถอะนะ สงครามจะยังมาไม่ถึงจนกว่าจะอาทิตย์ถัดไป แต่เงาของสงครามก็เริ่มคืบคลานเข้าไปในเมืองแล้ว”


[ให้ตาย ได้เวลาต้องรับรู้ถึงมันแล้วล่ะ ส่วนเรื่องการเกณฑ์คน ยังไงก็ต้องมีปัญหาตามมาอยู่แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ นายก็อย่าไปกังวลกับมันมากเกินไปเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเผ่าตัวแทนในแต่ละเมืองจัดการเถอะ]


อย่ากังวล, อย่าไปสนใจ เป็นสองคำที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดระหว่างสื่อสารกับพี่


ในเวลาเดียวกับที่ผมกำลังจะบอกว่าผมไม่เป็นไรเพราะเห็นว่าเขาเป็นห่วงผมนั้น ผมก็เห็นว่าเขากำลังจะพูดขึ้นอีกครั้ง


[แต่จะว่าก็ว่านะ ซูฮยอน]


“หืม?”


[พี่อาจจะออกจากที่นี่ประมาณอาทิตย์หน้านะ…พี่บอกนายไปครั้งที่แล้วแล้วนี่ นายล่ะตัดสินใจหรือยัง]


น้ำเสียงนิ่งๆ ของพี่ทำให้ผมเงียบไปสักพัก


ตอนที่ 24

โดย

ProjectZyphon

ความจริงผมได้ตัดสินใจแล้ว แต่ยังเหลือสิ่งสำคัญอยู่อีกหนึ่งอย่าง พี่อาจจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขาหัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อ


[ถึงพี่จะอยากให้นายอยู่ข้างๆ…แต่ก็คงจะดีกว่าถ้านายจะตามฝั่งใต้ไปนะ แต่แน่นอนถ้านายอยู่ด้วยคงจะดีที่สุด]


“…วันนี้ผมว่าจะแวะไปที่อีสตันเทลลอว์เสียหน่อย”


[อ้า งั้นเหรอ]


“อืม อาจจะช้าหน่อย แต่ผมจะตัดสินใจภายในวันพรุ่งนี้ ไว้จะติดต่อไปแล้วกัน”


[ต้องติดต่อนะ]


หลังจากที่ผมสัญญากับพี่ไป จู่ๆ เขาก็บอกว่าต้องออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้ ทางตะวันออกเองก็ดูเหมือนจะยุ่งมากเช่นกัน


ผมบอกให้เขาไปก่อนที่จะหยุดเวทที่รายล้อมลูกแก้วอยู่


เจ้าพวกโง่ ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน…


ผมผลักลูกแก้วที่ดับลงแล้วไปอีกทาง ก่อนจะจิ๊ปาก


ไม่ว่าเผ่าสิงโตทองจะตัดสินใจเช่นไร แต่การตัดขาดวาร์ปเกตนับเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี


แม้วาร์ปเกตจะถูกตัดขาดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะย้ายออกกันไม่ได้ อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็สามารถเดินไปได้โดยตรง ดังเช่นที่ผมเคยทำตอนอยู่ที่มิวล์


พูดก็พูดเถอะ ในอดีตนั้นเผ่าสิงโตทองเคยเป็นเผ่าที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดและบัญชาการทวีปทางเหนือ เรียกได้ว่าดีที่สุดเสียด้วยซ้ำไป


มีคำพูดอยู่ว่า คนรวยล้มอย่างไรก็ยังอยู่ไปได้อีกสามรุ่น และเพชรอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นเพชร แต่ดูแล้วคำพูดเหล่านี้ไม่น่าจะใช้ได้กับเผ่าสิงโตทอง


ถ้าจะให้พูดตามตรงก็เพราะความสามารถที่มีมากมายของโดยองรก


อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องของผม หลังจากคิดได้เช่นนั้น ผมก็ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ก่อนจะหลับตาลงเพื่อจัดการความคิดในหัวตัวเองสักพัก


เวลาที่จะไปเยือนอีสตันเทลลอว์กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


แม้จะไม่นานมาก แต่แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ดูวุ่นวายต่างจากเมื่อครั้งก่อนที่ผมมาเยือนอย่างมากทีเดียว เหล่าผู้เล่นทุกคนที่มีตราของเผ่าติดอยู่ที่หน้าอกนั้นต่างพากันเดินไปมาอย่างวุ่นวาย เนื่องจากผู้เล่นที่ออกไปทำงานนอกสถานที่ได้กลับเข้ามาทั้งหมดแล้ว และยังมีความวุ่นวายจากผู้เล่นที่ไปทำธุระยังเผ่าตัวแทนอีกด้วย


เพราะแบบนี้การเรียกตัวของฉันถึงได้ช้าสินะ


ผมคิดว่าที่เรียกตัวผมช้าเป็นเพราะว่าพวกเขายุ่งกันขนาดนี้นั่นเอง ดังนั้นหลังจากที่สลัดความเศร้าที่มีอยู่เท่าน้ำตาลูกเจี๊ยบของตัวเองทิ้งไป ผมก็จับที่กลอนประตูแล้วบิดออกตามคำแนะนำของลูกจ้าง ในตอนนั้นเอง


“โอ๊ย ช่วยฟังฉันหน่อยสิคะ! อะไรนะ ไม่ได้สิทธิอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ น่าหงุดหงิดเสียจริง! พวกที่อยู่ข้างนอกตอนนี้นี่…!”


“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ช่วยเงียบหน่อยเถอะ บางทีแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ที่เธอเฝ้ารอคอยเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาอาจจะมาก็ได้นะ”


“ใครรอกันล่ะคะ! แล้วตอนนี้เขาก็ยังไม่มาเสียหน่อย!”


แกร่ก


ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา เสียงที่คุ้นเคยก็หวีดดังออกมาจากภายในห้อง โชคยังดี(?)ที่นั่นไม่ใช่เสียงของฮันโซยอง ผมจึงลอบมองเข้าไปข้างใน


ฮันโซยองนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าอ่อนเพลีย และพัคดายอนที่กำลังหอบหายใจอย่างหนักราวกับหล่อนกำลังโกรธอะไรบางอย่าง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เป็นเพียงวีดิโอที่ดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนตะโกนเมื่อครู่นี้


“….”


เงียบกันไปสักพัก เวลาล่วงเลยผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดพัคดายอนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างอะไรกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีเลยสักนิด


คิ้วที่เลิกขึ้นสูงค่อยๆ ต่ำลง ขาขวาที่เคยยืนค้ำไปอีกข้างหนึ่งก็ค่อยๆ เหยียดตรง


หลังจากที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจบลง ริมฝีปากเล็กของพัคดายอนก็เปิดขึ้นอีกครั้งอย่างระมัดระวัง


“มาแล้วสินะคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


“อ้า…ครับ สวัสดีครับ”


“นานแล้วนะคะที่ไม่ได้เจอกัน ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันค่อนข้างยุ่ง ดูเหมือนจะต้องไปแล้วน่ะค่ะ โปรดเข้าใจด้วยนะคะ”


“…นะ แน่นอนอยู่แล้วครับ”


พัคดายอนที่พูดอย่างเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้เผยรอยยิ้มที่ดูสง่างามก่อนจะค่อยๆ สบตากับผม ราวกับหญิงสาวที่ตวาดแผดเสียงอยู่เมื่อครู่ไม่เคยมีจริง และพยายามจะเดินเหมือนนางแบบให้ผมเห็นด้วยขาสั้นๆ ของหล่อน หล่อนสูงประมาณ 155 ซม. ซึ่งไม่ได้ผลเท่าไรนัก ไปจนถึงการปิดประตูอย่างสุภาพเรียบร้อยของหล่อนด้วยเช่นกัน


แต่หลังจากที่ประตูถูกปิดลง ผมกลับได้ยินเสียงวิ่งดังลั่นไปตามทางเดินเสียนี่


และแน่นอน เสียงพูด ‘บ้าเอ๊ย! บ้าไปแล้ว!’ และ ‘เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจฉันเลย นี่มันเรื่องอะไรวะ! แม่งเอ๊ย!’ ดังมาให้ได้ยิน


หลังจากผ่านพ้นความวุ่นวายไปสักพัก ผมจึงได้เริ่มพูดคุยกับฮันโซยอง


“ช่วงนี้ดูจะยุ่งมากเลยนะครับ”


“ก็ว่าอย่างนั้นค่ะ ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้สักอย่างเลยค่ะ”


แม้จะไม่มาก แต่ผมก็เข้าใจสิ่งที่ฮันโซยองพูด เพราะระหว่างมาที่นี่ผมก็ได้เห็นผู้เล่นหลายคนที่กำลังเมาเหล้าแล้วส่งเสียงดังโวยวายกันอยู่


“แต่ถึงยังไง…ฉันก็ตั้งใจจะติดต่อคุณไปให้เร็วกว่านี้นะคะ แต่สถานการณ์ต่างๆ ค่อนข้างวุ่นวายเลยได้แต่เลื่อนไปเลื่อนมาแบบนี้น่ะค่ะ”


“ผมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่…คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการจัดตารางหรือเปล่าครับ”


“หืม? ทราบแล้วหรือคะ”


“ถ้าหากหมายถึงเรื่องแผนการโลกใบใหม่ล่ะก็ ผมรู้มาจากพี่แล้วน่ะครับ”


ทันทีที่หล่อนพยักหน้าตอบผม ก็ปรากฏสีที่สะดุดตาขึ้นที่ขอบตาของฮันโซยองชั่วแวบหนึ่ง


โลกใบใหม่เป็นแผนการที่ถูกคิดขึ้นเพื่อจัดการกับผู้เล่นทั้งหมดของทวีปทางตะวันตกที่เข้ามารุกรานในครั้งนี้


ถ้าหากจะให้ผมอธิบายเพิ่มเติมล่ะก็ ทวีปทางเหนือตอนนี้ถูกยึดครองโดยมิวล์, เบธ, โดโรธี และฮาโล ส่วนบาร์บาร่าตอนนี้ก็เหลือเพียงนับถอยหลังรอการล่มสลายเท่านั้น และหากจะช่วงชิงบาร์บาร่ากลับคืนมา ก็เป็นที่แน่นอนเลยว่า เหล่าผู้เล่นของทวีปทางตะวันตกจะต้องถอยหลังแน่


แล้วถ้าหากพวกเขาข้ามไปยังทวีปตะวันตกหลังจากข้ามไปเมืองทางตะวันตกผ่านวาร์ปเกตแล้วล่ะ เหล่าผู้เล่นของทวีปทางเหนือคงจะกลายเป็นหมาล่าลูกเจี๊ยบเป็นแน่


ดังนั้น ‘ช่วงเวลา’ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน และเพื่อช่วงเวลานั้นที่คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ บทบาทหน้าที่ของแต่ละเมืองก็ได้ถูกแจกแจงออกไป


ถ้าพูดอย่างง่ายๆ ก็คือ ฝั่งตะวันออกชิงบาร์บาร่า, ฝั่งใต้ชิงเบธและโดโรธี, ฝั่งเหนือชิงมิวล์กลับคืนมานั่นเอง


หากจะเรียงตามลำดับนั้นก็คือ ในขณะที่ฝั่งตะวันออกกำลังถ่วงเวลาในบาร์บาร่า ฝั่งเหนือและใต้ก็จะเข้าชิงเมืองของตนคืนก่อนและขัดขวางการถอยทัพกลับของเหล่าผู้เล่นจากทวีปทางตะวันตก ทันทีหลังจากที่ชิงเมืองกลับมาได้แล้ว ฝั่งเหนือและใต้จะเข้าสนับสนุนในการรุกรานบาร์บาร่าต่อไป และในเวลาเดียวกันนั้นก็ให้จัดการกับผู้เล่นและพวกเร่ร่อนจากทวีปทางตะวันตกให้ราบคาบ


นี่คือประเด็นสำคัญของยุทธการโลกใบใหม่นี้


“ถ้าอย่างนั้น…เรื่องราวก็จะดำเนินเร็วขึ้นสินะคะ”


“นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการครับ”


รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเพลียของฮันโซยองราวกับว่าหล่อนถูกใจคำตอบของผมมากมาย


“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ฉันขอถามหน่อยนะคะว่าแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้…”


ฮันโซยองหยุดพูดไปกลางคันสักพักระหว่างที่เห็นหน้าผมขณะที่กำลังพูด และถามขึ้นอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน


“ฉันถามผิดน่ะค่ะ จะถามอีกครั้งล่ะนะคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะเข้าร่วมกับพวกเราในการโจมตีทวีปทางตะวันตกหรือเปล่าคะ หรือว่าจะอยู่ที่ส่วนกลางคะ”


ผมตอบออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้สักนิด เพราะรู้สึกถึงความกังวลเล็กๆ ในน้ำเสียงของหล่อนได้


“ผม…”


เช้าวันต่อมา หลังจากทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ และอาบน้ำเรียบร้อย ผมก็เดินไปที่ห้องประชุมชั้นสาม หลังจากกลับมาจากอีสตันเทลลอว์เมื่อวานนี้ เพราะมีการประกาศออกมาล่วงหน้าแล้ว ทันทีที่ผมเข้าไปในห้องประชุม จึงได้เห็นว่าทุกคนได้เข้าร่วมโดยไม่ขาดตกไปเลยแม้แต่คนเดียว


“ที่ผมเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ ก็เพื่อที่จะเตือนทุกคนว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว”


หลังจากนั่งที่แล้วผมจึงพูดขึ้นทันที


บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องประชุม บรรยากาศจริงจังราวกับห้องผ่าตัดก่อนจะมีการผ่าตัดใหญ่เกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น


แม้ว่าผมจะพูดอ้อมๆ แต่ในนี้ก็ไม่มีใครโง่เกินกว่าจะไม่เข้าใจ


“อย่างที่ทุกคนก็ทราบกันดี เมื่อวานผมได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการจากอีสตันเทลลอว์ และอย่างที่ผมได้เคยพูดไปก่อนหน้านี้ ว่าเมอร์เซนต์นารี่คิดจะเข้าร่วมด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไข”


“…”


ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำตอบ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้นอย่างช้าๆ


“เอาล่ะ ผมต้องอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด…แต่ก่อนอื่นผมมีบางอย่างอยากจะบอกกับทุกคนครับ เป็นบางอย่างที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจมากที่สุดในเวลานี้ครับ”


หลังจากที่พูดจบ ผมก็ควานหาบันทึกจากด้านในเสื้อตรงหน้าอก ก่อนจะนำออกมาถือไว้ มันเป็นบันทึกที่มีเรื่องราวที่เพิ่งเขียนเสร็จสมบูรณ์เมื่อคืนนี้ และสิ่งที่ผมคิดไว้ตั้งแต่คราวก่อนก็ถูกจดเอาไว้ด้วย


ในที่นี้มีสมาชิกของเมอร์เซนต์นารี่อยู่ทั้งหมดสิบสามคน ผมสบตากับพวกเขาที่ถูกแบ่งอยู่ทั้งข้างซ้ายและข้างขวาทีละคนๆ ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นนิ่งๆ


“ก่อนที่ผมจะอธิบายสถานการณ์ ตั้งแต่ตอนนี้ไปผมจะขอประกาศชื่อผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้เสียก่อนนะครับ”


“ผู้เล่นชินซังยง ผู้เล่นอีมันซอง ผู้เล่นแพคฮันกยอล”


เมื่อผมขานชื่อของทั้งสามคนออกมา ผมสามารถเห็นได้เลยว่ามีบางคนที่สะดุ้งเฮือก และในขณะเดียวกันก็เกิดความตึงเครียดที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับก่อนหน้านี้เกิดขึ้นระหว่างเหล่าสมาชิก


คำว่าสงครามในฮอลล์เพลนนั้น ความหมายของมันนับได้ว่าไม่เบาเลยทีเดียว มันแตกต่างจากการเดินทางไกลเพื่อไปรบหรือการออกสำรวจอย่างสิ้นเชิง เป็นการต่อสู้ที่อัตราความเป็นไปได้ในการตายสูงที่สุด ซึ่งหากพลาดเพียงนิดเดียวอาจหมายถึงชีวิต


แม้ผมจะเข้าใจความรู้สึกของสมาชิกทุกคนดีเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถให้ทุกสิ่งตามที่พวกเขาต้องการได้ เพราะมันจะต้องมีช่วงที่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แม้ผมจะไม่ต้องการก็ตาม ผมมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าเลยว่าหากเราประกาศไม่เข้าร่วมสงคราม สุดท้ายแล้วเมอร์เซนต์นารี่ก็ยังจะมาจบลงที่นี่อยู่ดี


แต่ในตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ นั่นคือถึงเวลาแล้วที่ผมจะก้าวไปนำอยู่ข้างหน้าเสียที

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม