Memorize เล่มที่ 17 ตอนที่ 11-17

 ตอนที่ 11

โดย

ProjectZyphon

แต่ในทันทีที่ผมกลืนมันเข้าไป ผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนอะไรบางอย่างต่อยอยู่ในปาก เดิมทีนั้น น้ำตานางเงือกเป็นเครื่องดื่มที่มีรสสัมผัสนุ่มนวลสุขุมแต่จะรู้สึกได้ถึงรสหวานและสดชื่น แต่แล้วผมก็กลับรู้สึกร้อนรุ่มแล้วก็ดีขึ้น นั่นทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่ามีการผสมอะไรบางอย่างเพิ่มเข้าไปแน่ ผมสามารถสังเกตเห็นการเอาใจใส่ระแวดระวังของจองฮายอนเพื่อที่จะสนุกกับงานรวมตัวอย่างพอเหมาะ


“อ้า! อร่อยจริง!”


“ว้าว! พี่คะ นี่มันคืออะไรกันแน่คะ”


ใบหน้าของสมาชิกเผ่าที่ได้ดื่มน้ำตานางเงือกเข้าไปกลายเป็นสีแดงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง พวกเขาจำนวนหนึ่งมีสีเลือดฝาดอยู่บนแก้ม และดูเหมือนอาการเมาจะเริ่มลามไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว


เมื่อทุกคนต่างหัวเราะยิ้มแป้นกันด้วยความตื่นเต้น ผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังปรบมือเบาๆ


แปะๆ


“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราเริ่มทานอาหารกันเลยดีไหมคะ ฉันรู้มาว่ามีบางคนอดอาหารมาทั้งวันเพื่องานวันนี้ คิกๆ”


“พี่ก็! นั่นน่ะ ผมเองครับ ผมเอง! เนื้อ! เนื้อ!”


เป็นเสียงของโกยอนจูนั่นเอง คำพูดของหล่อนทำให้ทุกคนทำหน้าอยากอาหาร และได้ยินเสียงกลืนน้ำลายจากทุกที่ตามมาในทันที ณ ใจกลางสวนมีโต๊ะที่ใช้เป็นโต๊ะอาหารวางเอาไว้ และปรากฏเหล้าและอาหารจำนวนมหาศาลวางอยู่บนนั้น ดูราวกับบุฟเฟ่ต์ ผมรู้สึกได้ว่าหล่อนคงเอาใจใส่เรื่องอาหารในวันนี้อย่างมาก


หลังจากนั้น พวกเราที่ย้ายไปยังโต๊ะอาหารต่างก็ถือจานที่ถูกวางกองไว้ด้านหนึ่งขึ้นมากันคนละใบ แล้วจึงกระจัดกระจายมุ่งไปยังอาหารตามสไตล์ของตนประหนึ่งลูกศร


“ท่านพี่ยอนจู! ผมอยากกินเนื้อชิ้นนี้ครับ”


“งั้นเหรอ รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวจะย่างให้อร่อยๆ เลย เอ้านี่ ย่างประมาณนี้พอไหม”


“ช่วยย่างให้สุกแค่ข้างนอกก็พอแล้วล่ะครับ ฮ่าๆ”


“ผมรู้ครับว่าต้องทานยังไง”


ผมมองดูอันฮยอนที่ชี้นิ้วไปยังเนื้อชิ้นหนาใหญ่ทั้งที่น้ำลายไหลเป็นทาง แล้วจึงเดินไปเพื่อไปตักอาหารของตนเช่นกัน


โกยอนจูเป็นผู้หญิงที่มีความคิดในเรื่องอาหารการกินดีมาก ผมมองผ่านๆ ไปบนโต๊ะอาหาร ก็เห็นว่ามีทั้งปลาและเนื้อทุกชนิด ไปจนถึงผักสดถูกจัดเตรียมเอาไว้ ผมบอกไว้ว่าไม่ต้องประหยัดกับงานรวมตัวนี้ก็จริงอยู่ แต่เอาเข้าจริงหล่อนก็เหมือนจะไม่ได้ประหยัดเท่าใดนัก


ไหนๆ ก็ ไหนๆ แล้ว ผมคิดกับตัวเองว่าผมควรไปสนุกจะดีกว่า ดังนั้นหลังจากที่ตักอาหารมาในปริมาณที่พอเหมาะแล้ว ผมก็นั่งลงที่โต๊ะว่างตัวหนึ่ง เหล่าสมาชิกเริ่มนั่งลงที่โต๊ะทีละคนๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง เพราะสามารถเติมอาหารได้เท่าที่ต้องการ


ในที่สุดโกยอนจูและอันฮยอนที่กำลังทำสีหน้าพออกพอใจที่ได้เนื้อย่างชิ้นที่อยากกินแล้ว ก็ตามมานั่งรวมกันที่โต๊ะในภายหลัง ผมหยิบช้อนส้อมขึ้นเป็นสัญญาณว่ามื้ออาหารแสนสนุกกำลังเริ่มขึ้นแล้ว


“ผะ ผมไม่ได้ทานอาหารฝีมือคุณโกยอนจูตั้งนาน คาดหวังเลยนะครับเนี่ย”


“โฮะๆ คาดหวังได้เลยค่ะ คุณชินซังยง”


“จะทานอย่างอร่อยเลยครับ!”


“อาหารยังมีเหลืออีกมาก ไม่ต้องห่วงแล้วทานเยอะๆ เลยนะคะ”


สมาชิกเริ่มทานอาหารพร้อมเล่าเรื่องราวสนุกสนานให้กันฟัง


ขณะที่ผมกำลังหาผักมาทานเพื่อล้างปากอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีมือสวยยื่นพรวดมาหน้าริมฝีปากผม เมื่อผมมองดูว่ามันคืออะไร ก็ได้เห็นว่าข้างใต้มือนั้น มีอาหารห่อผักที่ถูกห่อไว้อย่างลวกๆ อยู่ ดูเป็นอาหารห่อผักที่น่าอร่อยทีเดียว เพราะมีสีสันที่หลากหลายจากการใส่เนื้อเล็กน้อยห่อปนกับผักมากมาย


เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับโกยอนจูทีเอียงศีรษะเล็กๆ กะพริบตาปริบๆ มองผมอยู่ และหล่อนก็พูดขึ้น


“ซูฮยอน ที่ผ่านมาคุณทำงานหนักมากเลยนะคะ ถึงคุณจะบอกว่าคุณละเลยก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันรู้ค่ะว่าคุณคือคนที่วิ่งวุ่นที่สุดเพื่อเมอร์เซนต์นารี่ นี่ถือเป็นความจริงใจเล็กๆ จากฉันเพื่อปลอบโยนความเหน็ดเหนื่อยของคุณในช่วงที่ผ่านมานะคะ”


“อ้า…ครับ ขอบคุณนะครับ ถ้าอย่างนั้น ผมทานล่ะนะครับ”


“อ๋า แล้วนี่คุณจะทำให้มือฉันต้องอับอายเหรอคะ”


ทันทีที่ผมเอื้อมมือไปจะหยิบห่อนั้นจากหล่อน โกยอนจูก็กลับส่ายหน้าและเผยสีหน้าเจ็บช้ำออกมา จากนั้นก็พูดต่อด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์ของหล่อน


“อะ อ้ามมม~”


ผมรู้สึกถึงสายตาทุกคู่รอบกายที่จ้องมา ในตอนแรกผมอยากจะปฏิเสธ แต่โกยอนจูกลับสร้างสถานการณ์ขึ้นมาภายใต้หน้ากากของความจริงใจ ผมจึงคิดว่ามันดูจะใจร้ายไปสักนิดหากผมปฏิเสธดังเช่นที่หล่อนพูดนั่น อย่างไรก็ตาม ผมอ้าปากรับผักห่อนั้นเข้าปาก เพราะคิดว่ามันคงไม่แปลกมากเท่าไหร่นัก


“โฮะๆ ดีใจจังเลย ซูฮยอน! อร่อยไหมคะ”


“ครับ ก็อร่อยดีนะครับ”


ทันทีที่ผมบอกความรู้สึกตามจริงที่แผ่ซ่านอยู่ในปากให้หล่อนฟัง ใบหน้าของโกยอนจูก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มสว่างไสวสวยงามขึ้นมา


“ถ้าอย่างนั้น จะห่อให้อีกคำ…?”


ในตอนนั้นเอง ขณะที่โกยอนจูกำลังพูดต่อ ก็มีห่อผักแบบเดียวกันถูกยื่นมาจากด้านข้าง เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นจองฮายอนที่กำลังอมยิ้มอ่อนๆ และค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองผม


“ฉันก็ทำเพื่อแคลนลอร์ดเช่นกันค่ะ ได้โปรดอย่าปฏิเสธเลยนะคะ”


“ฮะ…ฮ่าๆ ผู้เล่นจองฮายอน”


“อ้า”


“…ช่วยทานหน่อยนะคะ”


แววตาของจองฮายอนสั่นระริก ดูเหมือนหล่อนจะได้รับความเจ็บปวดอย่างมหาศาลถ้าหากผมปฏิเสธ ผมจึงคิดว่ามันคงช่วยไม่ได้แล้วล่ะ หลังจากเคี้ยวอันที่อยู่ในปากจนหมดแล้วกินผักห่อของหล่อนเข้าไป จองฮายอนก็หันหน้าไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจและสบตากับโกยอนจู ทั้งสองต่างปะทะสายตากันกลางอากาศโดยที่แสยะยิ้มมุมปากกันทั้งคู่


ผมลอบมองไปรอบๆ เพราะกลัวว่าเหล่าสมาชิกเผ่าจะคิดว่ามีอะไรผิดปกติ


“นะ…นี่ แคลนลอร์ดเนี่ย เนื้อหอมจังเลยนะครับ น่าอิจฉาเสียจริง ฮ่าๆ!”


“แหมๆ ฮอตสินะ ฮอตจริงๆ อืม เป็นหนุ่มนี่มันดีจริงๆ”


แต่ความกังวลของผมดูคล้ายจะเป็นการตีตนไปก่อนไข้ เพราะดูทุกคนก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร ขณะที่ผมกำลังโล่งใจอยู่นั้น ก็กลับรู้สึกได้ถึงสัญญาณความวุ่นวายจากมือที่เคลื่อนไหวไปมาตรงโน้นตรงนี้ อียูจองและคิมฮันบยอลกำลังม้วนห่อผักกันอย่างไม่มีใครยอมใคร


ในตอนนั้นผมเกือบจะตกลงสู่ห้วงความกังวลไประยะหนึ่ง แต่โชคยังดีที่สัมผัสของสมาชิกสาวๆ ไม่ได้พุ่งตรงมาที่ผม แต่เป็นเหล่าชายหนุ่มคนอื่นๆ ที่ผมเพิ่งจะมารู้สึกอิจฉาพวกเขาเอาก็คราวนี้


“ฉันน่ะ อิจฉาทุกอย่างเลย ปกติฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงแบบนี้หรอกนะ แต่จะลองมีน้ำใจดูสักครั้งแล้วกัน อ๊ะ พี่ซังยง อ้าม”


“ยู…ยูจอง?  ถ้า ถ้าทำแบบนี้…”


“คุณปู่คะ ลองทานสักคำสิคะ หนูทำเองเลยค่ะ”


“หืม? แค่ก แค่ก!”


ชินซังยงและท่านผู้เฒ่ากำลังขำกันสุดๆ แต่พอถึงทีตัวเองเข้าจริงๆ ก็กลับเอาแต่แกล้งกระแอมไอกันด้วยสีหน้าลำบากใจปนอับอาย เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็รู้สึกขมขื่น แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็กินผักห่อเข้าไปอย่างระมัดระวัง ถึงแม้หน้าของแต่ละคนจะร้อนผ่าวเป็นสีแดงจนแทบจะระเบิด แต่ปากที่ขยับไปมาก็ดูจะชอบอยู่ไม่ใช่น้อย


ผมคิดว่าบรรยากาศจะน่าอึดอัดเสียแล้ว แต่ก็กลับสมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้ ต้องขอบคุณอียูจองและคิมฮันบยอลจริงๆ ในทีแรก จุดประสงค์ของการจัดงานรวมตัวนี้ก็เพื่อทำให้มิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกเผ่าแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถเห็นได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าปีติกับการสนทนาที่เป็นไปอย่างสนิทสนม


“โอ้โฮ บรรยากาศยอดเยี่ยมไปเลยนะครับเนี่ย เห็นทีคงจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้เสียแล้วสิ”


ตอนนั้นเอง แม้แต่อันฮยอนก็แย้มยิ้มเพราะรู้สึกถึงสถานการณ์ที่น่ายินดีนี้และเริ่มม้วนผักห่อด้วยตนเอง จากนั้นเด็กชายก็ถือผักใบหนึ่งซึ่งมีขนาดประมาณฝ่ามือของเขาขึ้นมา แล้วกระทำการป่าเถื่อนโดยวางเนื้อชิ้นใหญ่ยักษ์ลงไป จากนั้นก็ยัดผักเข้าไปแบบขอไปที และสร้างความป่าเถื่อนอีกครั้งโดยการกำมือเพื่อให้ห่อผักนั้นม้วนเข้าไป


“เป็นอย่างไรบ้างครับ ไหนใครจะทาน ยกมือ! ปกติแล้วผมเองก็ไม่ใช่ผู้ชายแบบนี้เหมือนกัน แต่จะป้อนให้เป็นบริการพิเศษก็แล้วกันครับ!”


น้ำมันจากเนื้อค่อยๆ ไหลลงมาจากมือของเขาที่กำเอาไว้แน่น แม้ว่าอันฮยอนจะตะโกนออกมาด้วยความมั่นใจ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครสักคนที่ก้าวออกมา ความจริงแล้วนั้นในตอนนี้ทุกคนต่างกำลังหลบตาพร้อมด้วยสีหน้าพะอืดพะอม อันฮยอนเกาหัวตัวเองเพราะเขาก็รู้สึกได้ และเริ่มยื่นมือตัวเองออกมา


“ท่านพี่ยอนจู! ผม…”


“ออกไป”


“ฮะ…ฮ่าๆ ท่านพี่บอกปัดจริงๆ ด้วย แต่นั่นก็ถือเป็นเสน่ห์ล่ะนะครับ แต่ช่างเถอะ…ถะ ถ้าอย่างนั้น ท่านพี่ฮายอน?”


“เอามันออกไป”


“ถะ…ถ้างั้นก็ วิเวียน!”


“หืม? นี่ ไอ้เด็กนี่! ฉันกำลังกินอย่างอร่อยเลย! เอาออกไป! นายกำลังทำให้ฉันกินไม่ลง!”


วิเวียนกำลังหมกมุ่นอยู่กับอาหารของหล่อนจนไม่แยแสกับสถานการณ์นี้ แต่เชื้อไฟลุกอยู่ในตาหล่อนราวกับว่าหล่อนโกรธอันฮยอนขึ้นมาจริงๆ จากการที่เขาทำให้หล่อนต้องสูญเสียความอยากอาหารของตนไป หล่อนจ้องเด็กชายเขม็ง


อันฮยอนลังเลก่อนที่จะถอยหลังลงไป จากนั้นเขาก็มองไปยังใครบางคนด้วยสายตาปลื้มปีติราวกับค้นพบป้อมปราการสุดท้าย แล้วหันหน้ามองตรงไปทางนั้นด้วยใบหน้าที่บอกว่าคนนี้ไม่ปฏิเสธแน่ๆ ในตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของอียูจองจากด้านข้าง


“แหะๆ ทุกคนปฏิเสธกันหมดเลยสินะครับ”


“…”


“ถะ…ถ้าอย่างนั้นผมก็กินเองได้สิ ความจริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครกินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฮ่าๆ!”


“…”


“ว้าว น่าอร่อยจัง น่าอร่อยจริงๆ นะเนี่ย เอาล่ะ ดูนะครับ ทานล่ะนะครับ!”


เขาจะรู้หรือเปล่านะว่ายิ่งทำแบบนั้น เขายิ่งดูน่าเวทนา อันฮยอนกินผักห่อเข้าไปทั้งก้อน ก่อนจะเริ่มเคี้ยวด้วยแก้มที่พองเต็ม และถึงแม้ว่าเขาจะทำท่าทาง ‘อื้ม~’ เพื่อบอกว่ามันอร่อยจริงๆ ก็ตาม แต่คนที่ฟังก็รับรู้ได้ว่าจริงๆ แล้ว มันติดคอเขาอยู่


อย่างไรก็ตาม นั่นถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของอันฮยอน แต่เมื่อผมตั้งใจว่าจะหันกลับมาเพื่อเริ่มทานอาหารของตนอีกครั้ง ผมก็สบตากับอันซลที่กำลังมองมาที่ผมด้วยสีหน้าน่าสงสาร ทันทีที่สบตากับผม หล่อนก็มีท่าทีตกใจและเริ่มขยับนิ้วไปมาอีกครั้ง ในมือของอันซลกำห่อผักเล็กๆ เอาไว้ด้วย


อันซลดูลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดหล่อนก็ก้มหน้าลง ผมมองดูหล่อนที่ใส่ห่อผักเข้าปากพร้อมบ่นพึมพำแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายในอยู่ข้างใน


“ฮือออ”


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงสะอึกสะอื้นฟังดูน่าเวทนาและโศกเศร้าจากที่ไหนสักแห่งลอยมาเข้ากระทบหู


ตอนที่ 12

โดย

ProjectZyphon

หลังจากการทานอาหารเสร็จสิ้นลง พวกเราก็เริ่มคุยเรื่องค่าอุปกรณ์กัน แต่ในตอนนี้มันคงไม่ได้มีความหมายมากเท่าใดนัก ผมเพียงแค่จะตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่เรามีเป็นแบบไหนเท่านั้นเอง และถึงแม้จำนวนอุปกรณ์ของเราจะมีมากมาย แต่ถ้าหากเริ่มแจกจ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ล่ะก็ จะต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นแน่


ดังนั้นเพื่อที่จะรักษาบรรยากาศดีๆ นี้เอาไว้ ผมจึงเลื่อนการแจกจ่ายออกไปโดยบอกให้แต่ละคนลองคิดถึงอุปกรณ์ที่ตนอยากได้ดู


การทานอาหารเป็นไปด้วยความสนุก และการสรุปผลเรื่องอุปกรณ์ก็จบลงแล้วเช่นกัน ผ่านไปสักพักแล้วหลังจากที่เราจัดงานรวมตัวขึ้น แม้ช่วงเวลาเย็นย่ำจะเปลี่ยนผ่านสู่ราตรีดึกสงัด แต่งานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แต่กลับกันพวกเขาต่างจับกันเป็นกลุ่มเล็กๆ สี่ห้าคนระหว่างคนที่คุยกันถูกคอ และสนุกไปกับการดื่มเหล้า


ผมเจอเข้ากับอันฮยอนที่กำลังเล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติขณะกำลังมองไปที่เหล่าสมาชิกคนอื่นๆ


“ลูกผู้ชาย~ น้ำตา~ อ่อนแอ อย่าด่าผมมม~”


ดูเหมือนว่าเขาจะเมามากแล้ว อันฮยอนถือขวดเหล้าไว้ในมือพร้อมทั้งร้องเพลงไปด้วย ข้างๆ กันนั้นมีชินแจรยงที่ดันเข้ากันพอดีอย่างไม่ได้ตั้งใจกำลังเหงื่อแตกพลั่กๆ อยู่


“พี่แจรยง พวกเราเป็นเกลอกันนะครับ เป็นสหาย”


“ฮะฮ่า ใช่ ใช่แล้วล่ะ”


“สหายผักห่อ! มา อีกแก้วพี่”


“แต่ว่านายน่ะ ดูจะเมามากแล้วนะ”


“ตอนนี้ยังหวายยย…”


ความจริง ผมมองดูอันฮยอนมาสักพักแล้ว เพราะผมต้องเฝ้ารอไทม์มิ่งว่าเมื่อไรจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะพูด


หลังจากกังวลอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็เดินไปยังที่ที่วงเหล้ารวมตัวกันอยู่ ผมว่าตอนนี้ล่ะ ที่อันฮยอนกำลังสนุกเต็มที่ และความสนใจของสมาชิกคนอื่นๆ กำลังกระจัดกระจาย คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว


เมื่อผมล้วงมือลงไปในกองขวดเหล้าที่กองพะเนินเป็นภูเขา ผมก็เจอเหล้าสองขวดที่ยังมีน้ำสีเขียวอ่อนอยู่ภายในที่เกือบล่างสุดของกอง นี่คือสิ่งที่ผมขอให้จองฮายอนทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูจะคล้ายโพชั่นมากกว่าจะเป็นเหล้า และมีผลในการทำให้ใจสงบและรวบรวมสติ


ผมก้มตัวลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วถือขวดเหล้าไว้มือละขวด จากนั้นก็ยืดหลังตรงและหันไปมองอันฮยอน ในตอนนั้นเอง ผมก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง


“ทำยังไงดีล่ะ ฉันป้อนพี่แล้ว ทีนี้ก็เป็นสหายกันแล้วใช่ไหมคะ คุณชินแจรยง ทิ้งเจ้างั่งนี่แล้วไปสนุกกับเราดีกว่านะคะ เราใช้โอกาสนี้มาสนิทกันเถอะค่ะ”


“นี่ ไม่ได้นะ! เธอนี่มัน!”


เมื่อก่อนหน้านี้ อันฮยอนและชินแจรยงยังเป็นพี่เป็นน้องกันอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อันฮยอนถึงได้ล้มพับอยู่แบบนั้น และชินแจรยงที่กำลังถูกอียูจองลากไปด้วยความงุนงง ดูจากแก้มที่พองขึ้นและห่อผักที่ล้นออกมาจากปากของชินแจรยงแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่าบางทีหล่อนอาจจะป้อนผักห่อให้เขาcล้วทำให้ความสัมพันธ์กับอันฮยอนร้าวฉานก็เป็นได้


นั่นนับว่าช่างน่าเศร้า แต่ในขณะเดียวกันผมว่านี่ล่ะไทม์มิ่งที่ดี ผมรู้สึกขอบคุณอียูจองอยู่ลึกๆ แล้วจึงก้าวเข้าไปหาอันฮยอนที่กำลังผิดหวัง เขาเอนหลังลงนอนพร้อมถอนหายใจยาวโดยที่ไม่รู้ว่าผมเข้ามาหา


จากนั้นใบหน้าของอันฮยอนก็ดูอารมณ์ดีขึ้นโดยที่ผมไม่คาดคิด นั่นเขามีความสุขอยู่เหรอ


ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่หยุดเดิน และผมก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว อันฮยอนยังคงฮัมเพลงอยู่


“ลูกผู้ชาย…น้ำตา…อ่อนแอ อย่าด่าผมมม…”


“อันฮยอน”


“อะไร…เอ๋? พะ พี่? ตายล่ะ คุณคนดังมาทำอะไรที่นี่…”


เมื่อรู้ว่าเป็นเสียงผม อันฮยอนก็เงยหน้าขึ้นมองทันที


ผมยกขวดเหล้าที่ถืออยู่ขึ้นมาและพูดขึ้น


“ดื่มกับพี่เถอะ แค่เราสองคน”


“โอ๊ะ! พี่นี่มาช่วยชีวิตผมจริงๆ โฮะๆ”


บางทีอาจเป็นเพราะผมชวนเขาไว้ก่อนแล้ว อันฮยอนจึงพยักหน้าอย่างยินดี ผมชกสีข้างของเขาที่กำลังพูดฉอดๆ ว่า “ฮ่าๆ! พี่เลือกฉัน! เห็นหรือเปล่า อียูจอง?” แล้วจึงเดินออกมาให้ไกลที่จัดงานที่สุดเท่าที่จะไกลได้


หลังจากที่ย้ายมายังที่ที่ลับตาที่สุดแล้ว ผมก็ค่อยใจเย็นลงบ้าง ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งอันฮยอนและอันซลต่างก็หลีกเลี่ยงอย่างมากที่จะพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา แล้วถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร กุญแจสำคัญอาจจะเป็นการทำให้อันฮยอนยอมเปิดปากก็ได้


เราเดินมาประมาณสองนาที เป็นค่ำคืนที่เงียบสงัดแต่ผมก็ยังคงได้ยินเสียงอันฮยอนฮัมเพลงดังมาจากข้างหลัง ผมมองไปรอบตัวอย่างคร่าวๆ แล้วจึงหยุดเดินที่บ่อน้ำในสวน คงเป็นเพราะแสงจันทร์ที่ทอประกายสวยงาม แสงนั้นจึงสะท้อนสีเงินขาวนวลอยู่บนผิวน้ำและขับไล่ความมืดให้ออกไป


“โอ๊ะ เราจะดื่มกันที่นี่เหรอครับ แล้วทำไมต้องมาถึงนี่…”


อันฮยอนนั่งลงด้วยรอยยิ้มและหันมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นเขาก็สะดุ้งแล้วโอบกอดตัวเองไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง


“พี่ หรือว่า…?”


“…?”


“พี่ พี่ ถ้าทำแบบนี้จะลำบากนะครับ อ้า…ไม่สิ ถ้าเป็นพี่ล่ะก็…บางทีอาจไม่เป็นไร…”


“ขืนพูดออกมาอีกคำ ฉันทำให้นายสร่างเมาแน่”


ผมคำรามออกมาและขว้างขวดเหล้าที่ถืออยู่ในมือขวาออกไปอย่างแรง อันฮยอนหัวเราะคิกคักและแม้จะเป็นระยะใกล้ แต่เขาก็รับขวดเหล้าที่โยนไปได้พอดีเลยทีเดียว ผมนึกชื่นชมเขาในใจแล้วจึงเปิดฝาขวดในมือข้างซ้าย


“งั้น ชน”


“ครับ! แต่ว่าเราจะดื่มจากขวดกันเลยเหรอครับ”


ผมพยักหน้ากลับไปเงียบ ๆ


เสียงขวดกระทบขวดดังขึ้นให้ได้ยิน ผมดื่มก่อนหนึ่งอึก ทันทีที่ของเหลวเย็นจัดไหลผ่านลำคออย่างนุ่มนวล ความตื่นเต้นที่เคยมีก็เริ่มสงบลงและรู้สึกสบายมากขึ้น


ผมประเมินรสสัมผัสแสนสดชื่นภายในปาก แล้วมองตรงไปเบื้องหน้า และเห็นอันฮยอนกำลังหันหน้าไปดื่มพร้อมเอามือรองขวดไว้อย่างมีมารยาท


“อ้า ถึงจะไม่เข้มมาก แต่ก็ใช้ได้อยู่นะครับ ความรู้สึกตอนไหลผ่านคอก็ดี แถมเหมือนสมองจะปลอดโปร่งขึ้นด้วยนะครับ”


“งั้นเอาอีกไหมล่ะ”


อันฮยอนพยักหน้าด้วยใบหน้าสงสัย ผมกำลังรอเวลาให้ยาออกฤทธิ์ ในตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพเมามายเสียแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลุกจิตสำนึกของเขาขึ้นมา อย่างน้อยก็ให้มากพอที่จะคิดแบบปกติได้


ผมตั้งใจไม่พูดอะไรออกไปหลังจากนั้น ทำเพียงแค่ดื่มเหล้าไปเรื่อยขณะที่สนับสนุนคำพูดของอันฮยอนโดยไม่พูดไม่จา


และเมื่อดื่มหมดไปประมาณครึ่งขวด ผมก็รู้สึกได้ว่าการออกเสียงที่เคยยานคางนั้นค่อยๆ ฟังดูชัดเจนขึ้น รวมทั้งแววความเฉลียวฉลาดที่กลับคืนสู่นัยน์ตาที่เคยมองดูเลือนรางของเขา ผมคิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่ผมจะเริ่มพูดเสียที


เสียงของอันฮยอนที่เคยบ่นงึมงำมาจนถึงเมื่อครู่ค่อยๆ เงียบหายไปจนผมสัมผัสว่าเขาเอาแต่เงียบอย่างน่าแปลก


และแล้ว


“พี่ พี่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ ตั้งแต่เมื่อกี้พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำนี่ครับ”


อันฮยอนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงกว่าก่อนหน้านั้นมาก ผมพยักหน้าเงียบๆ พลางนึกไปว่ายาอาจจะค่อยๆ แพร่กระจายไปบางส่วนแล้ว


“ใช่แล้วล่ะ ฉันมีบางอย่างอยากจะถามนาย ดังนั้นจึงตั้งใจเตรียมสถานการณ์นี้ไว้ เพราะมีบางอย่างที่ฉันสงสัยเกี่ยวกับอันซล”


“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แหม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ลองถามมาเถอะครับ ถ้าเป็นพี่ล่ะก็ ผมจะตอบทุกอย่างเกี่ยวกับซลเลย… “


“อันฮยอน ฉันไม่ได้กำลังพูดเล่นนะ ฉันกำลังจะถามเกี่ยวกับอดีตและจิตใจของอันซล”


ทันทีที่ผมพูดจบ อันฮยอนก็ปิดปากฉับราวกับเป็นเรื่องโกหก ผมเหลือบตาขึ้นมองหน้าเขา สีหน้ารื่นเริงที่ผมเคยเห็นหายไปอยู่ที่ไหนแล้ว ใบหน้าของอันฮยอนตอนนี้มีแต่ความสับสนอยู่เต็มเปี่ยม


หากเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ถาม แต่ในครั้งนี้ผมคิดว่าผมไม่สามารถถอยหลังได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยความคิดนี้ทำให้เสียงที่พูดออกไปหนักแน่นมากขึ้น


“นายเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันจะสามารถถามได้ ดังนั้นหวังว่านายจะพูดออกมาแบบสบายๆ ได้นะ รู้ใช่ไหมว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”


“…”


จู่ๆ ก็มีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเราไป


อันฮยอนเงียบไปสักพัก เขาปิดปากแน่นแล้วเอาแต่เหม่อมองพื้นด้วยแววตาที่ว่างเปล่า แต่เปลือกตาของเขากลับสั่นไหวเล็กน้อย ปากที่ปิดสนิทถูกเม้มเบาๆ


ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ จู่ๆ อันฮยอนก็เผยรอยยิ้มออกมา แต่มันกลับเป็นยิ้มกว้างที่ดูฝืนชอบกล


“ฮะ…ฮ่าๆ พี่เองก็ เดี๋ยวก่อนนะ อ้า ผมเคยบอกไปแล้วนี่ครับ ขอโทษนะครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่ แต่ว่าเรื่องนั้นก็ยากที่จะบอกน่ะครับ มันมีคำว่า ‘เรื่องส่วนตัว’ อยู่น่ะครับพี่ ผมขอให้พี่เคารพตรงนี้หน่อยนะครับ ฮ่าๆ”


“อันฮยอน”


“…พี่ ผมขอบอกพี่ทีหลังจะได้ไหมครับ ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย…ขอร้องนะครับ ได้โปรดให้เวลาผมคิดหน่อย ผมอยากจัดการความรู้สึกของตัวเอง และก็อยากสนุกไปกับบรรยากาศตอนนี้อีกสักหน่อยน่ะครับ”


น้ำเสียงของอันฮยอนในตอนนี้ กลายเป็นน้ำเสียงที่เกือบจะอ้อนวอน แม้ว่าตัวผมเองก็ไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้จริงๆ แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้แล้วตั้งแต่แรกออกไป ถ้าเช่นนั้น ตั้งแต่ตอนนี้ เห็นทีผมต้องโน้มน้าวใจเด็กหนุ่มตรงหน้าเสียแล้ว


ผมหลับตาลงช้าๆ ค่อยๆ ทำให้ตัวเองใจเย็นลง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นและพูดต่อ


“ฮยอน”


ในตอนนั้น ก็เป็นอีกครั้งที่อันฮยอนหยุดพูดไป เขาเบิกตากว้างแล้วจ้องมองมาที่ผม พร้อมๆ กับปากที่ค่อยๆ อ้าออกกว้าง ในดวงตาของเด็กชายเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ตกใจ


ผมไม่เคยเรียกชื่อเด็กๆ ไม่สิ แม้กระทั่งสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ด้วยชื่อเฉยๆ เลยสักครั้ง ผมมักจะเรียกพร้อมนามสกุลเสมอ นั่นก็เพื่อเป็นการสร้างกำแพงให้กับตัวเองและรักษาระยะห่าง


บางทีผู้คนรอบตัวผมอาจจะรู้สึกถึงมันอย่างไม่ชัดเจนนัก ผมเคยสงสัยเมื่อจองฮายอนขอให้ผมเรียกเธอด้วยชื่อ แต่ในครั้งนี้ ผมเป็นฝ่ายทลายกำแพงนั้นลงด้วยตัวเอง


ผมพูดต่อเบาๆ ไปทางอันฮยอนที่ทำสีหน้าแบบไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป


“ฉันว่า…ถ้าไม่ใช่วันนี้ ไม่สิ ตอนนี้ ฉันก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”


“พี่ ได้โปรด…”


“นายกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่ การเก็บซ่อนไว้ไม่ได้ช่วยแก้ให้ทุกอย่างดีขึ้นหรอกนะ”


“แต่ พี่ แต่ว่า…”


“ฮยอน นายจำสิ่งที่ฉันเคยบอกนายก่อนหน้านี้ได้ไหม ฉันบอกนายไปว่าอย่ากลัว บอกให้ข้ามผ่านความกลัวและเผชิญหน้ากับสาเหตุของความกลัวนั้นตรงๆ นั่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้นายสามารถเอาตัวรอดและปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เรียกว่าฮอลล์เพลนนี้ได้”


ตอนที่ 13

โดย

ProjectZyphon

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมพูดออกไปอย่างจริงจังเกินไปหรือเปล่า ใบหน้าของอันฮยอนจึงได้ปรากฏแสงแห่งความขัดแย้งขึ้นมาชั่ววูบ ราวกับว่าเขารู้สึกถึงมัน ในตอนนี้สภาพจิตใจที่วุ่นวายและความกังวลกำลังปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างไม่สามารถปิดบังได้ ผมมั่นใจว่าความตั้งใจของผมถูกส่งไปถึงเขาแล้ว


แต่สุดท้ายแล้ว คำตอบของอันฮยอนกลับเป็นเพียงการก้มหัวลงเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเสียงเล็กๆ ที่กล่าวว่า “ผมขอโทษนะครับ” ก็ดังเข้ามาในหู


เป็นอย่างที่ผมคิด ว่าบางทีผมอาจจะไม่สามารถทลายกำแพงของอันฮยอนลงได้ ผมถอนหายใจออกมาอย่างแรง


เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น บรรยากาศที่เคยสนุกสนานก็เปลี่ยนไป บรรยากาศอย่างนั้นสลายหายไปในพริบตา กลายเป็นบรรยากาศของความไม่สบายใจและความเงียบเข้ามาแทนที่ และความเงียบนั้นยังคงดำเนินต่อไป


ผมเลียริมฝีปากแล้วเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง


“เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องใหญ่มากเกือบจะเกิดขึ้นกับอันซล นายเองก็รู้ใช่ไหม”


อันฮยอนพยักหน้า แล้วส่ายหัวไปมา เขาอาจจะพอคาดเดาได้จากอาการของอันซล แต่คงไม่รู้ลึกถึงรายละเอียด ความจริง ที่ซลไม่ได้เล่าเรื่องราวโดยละอียดให้เขาฟังอาจเพราะการจะพูดเกี่ยวกับหน้าที่ผู้พิทักษ์นั้นเป็นเรื่องยาก


“ถ้าหากนายทิ้งอันซลไว้ที่นี่ เธออาจจะลำบาก ลำบากอย่างแสนสาหัส นี่ไม่ใช่เพียงแค่การปรับตัว ในอนาคตข้างหน้าฮอลล์เพลนจะต้องเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเร็วแบบนี้ อันซลจะอยู่รอดได้ด้วยนิสัยแบบนั้นเหรอ ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ ฉันคอยบอกนายตลอดใช่ไหม เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในฮอลล์เพลน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากฉันทำสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา สถานการณ์อาจจะไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุด หรืออันซลก็สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือได้เหมือนกัน โชคยังดีที่ในครั้งนี้ฉันสามารถหยุดมันไว้ได้ แต่ฉันไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในภายภาคหน้าหรือเปล่า”


“อย่าบอกนะว่า ซล…”


“หากเป็นเหมือนเมื่อก่อน ฉันคงบอกออกไปว่า ‘ใช่แล้ว อย่างนั้นนี่เอง ไม่เป็นไร ถ้ามันพูดยาก นายไม่ต้องพูดก็ได้’ เอาเถอะ ความจริงแล้ว ฉันก็สบายๆ อยู่แล้ว ฉันไม่ต้องมาสนใจเรื่องนั้นก็ได้ แค่สนใจแต่เรื่องของตัวเองก็เพียงพอแล้ว”


“…!”


หัวที่ก้มอยู่และไหล่อันอ่อนแรงของอันฮยอนสะดุ้งเฮือกขึ้นมา แต่ไหนๆ ผมก็ทุบแล้ว เพื่อที่จะทลายกำแพงที่มั่นคงนี้ ผมคงจำเป็นต้องพูดให้แรงกว่านี้อีกหน่อย ก่อนอื่นผมคิดว่าจะทำให้อันฮยอนรู้และเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เสียก่อน และในลำดับต่อไป ผมจะต้องทำให้ความรู้สึกเขาสั่นไหวให้ได้


“แต่…ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้วสินะ หมายถึงเมื่อก่อนน่ะ คิมฮันบยอลเคยถามฉันที่สถาบันผู้เล่น ว่าทำไมฉันถึงไม่เข้าไปเป็นสมาชิกของเผ่าสิงโตทอง ทำไมฉันจึงเตะโอกาสดีๆ แบบนี้ทิ้งไป แล้วตอนนั้นฉันตอบอะไรไปนะ”


“…”


“ฉันไม่ใช่คนดีอย่างที่พวกนายคิดหรอกนะ ฉันยังมีความระแวงอยู่อีกมาก และเชื่อใจใครไม่เป็น แต่อย่างที่ฉันพูด ว่าโลกที่ชื่อฮอลล์เพลนนั้นไม่ใช่โลกที่จะสามารถอยู่โดยลำพังได้ ในท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะอยู่ร่วมกันและต้องมีเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือ ดังนั้นฉันจึงตอบกลับไปว่าฉันจะสร้างเผ่าของฉันขึ้นมาเอง เผ่าที่เป็นเหมือนครอบครัว ที่มีเพียงแค่คนที่ฉันจะสามารถเชื่อใจได้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม”


“ครอบครัว…หรือครับ”


ทันทีที่ผมพูดคำว่า ‘ครอบครัว’ ออกไป ดวงตาของอันฮยอนก็สั่นระริก ผมไม่มีทางพลาดปฏิกิริยาเช่นนั้นเป็นอันขาด หลังจากที่ดื่มเหล้าที่ยังเหลืออยู่ในขวดให้ชุ่มคอแล้ว ผมก็พูดสิ่งที่เตรียมมาต่อ


“ฉันตัดสินใจทิ้งเผ่าสิงโตทองไป แต่พวกนายเองก็เผชิญสถานการณ์นั้นเหมือนกันๆ เพราะฉันปฏิเสธข้อเสนอของเหล่าเผ่าแกนนำไป นายพูดมาตรงๆ เลยดีกว่า ตอนนั้นฉันนิสัยไม่ดีเลยใช่ไหม ทุกสิ่งที่ฉันมีก็เพียงแค่เหรียญทองสองเหรียญจากสถาบันผู้เล่น และเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกนายก็ยังตามฉันโดยไม่พูดอะไรสักคำ และที่จัตุรัสพวกนายก็มอบเหรียญทองที่ได้มาให้ฉันทั้งหมด ตอนนั้นนายว่าฉันจะรู้สึกยังไงล่ะ”


“พี่…”


“ฮยอน ลองคิดดูนะ ฉัน นาย ซล แล้วก็ยูจองน่ะ เป็นความสัมพันธ์ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่พิธีเปลี่ยนสภาวะจนกระทั่งถึงตอนนี้เลยนะ ตอนนี้พวกเราเป็นมากกว่าคนรู้จักเสียอีกนะ เพราะแบบนั้นฉันจึงไม่สามารถปล่อยไว้เฉยๆ ได้อีกต่อไปแล้ว เราต่างก็รู้ดีว่าถ้ายังไปกันต่อทั้งแบบนี้ สักวันอันซลอาจจะทำพลาดได้ ดังนั้นเราควรจะปล่อยให้มันเป็นไปเพียงเพราะเราไม่อยากพูดถึงมันอย่างนั้นเหรอ”


อันฮยอนส่ายหน้าเบาๆ เบามากจริงๆ เป็นการส่ายหน้าที่รู้สึกว่าเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติมากกว่าจะเกิดจากความตั้งใจเสียเหลือเกิน


ตอนนี้มาถึงนาทีสุดท้ายแล้ว ผมมองเข้าไปในตาของอันฮยอนตรงๆ แล้วพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ


“ฮยอน อย่าวิ่งหนีอีกต่อไปเลย เรามาลองกันสักตั้งเถอะ พี่จะช่วยเอง เหมือนที่เคยเป็นมาตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงเดี๋ยวนี้ หืม?”


“อ้า…”


เมื่อได้ฟังคำพูดของผม เขาก็ทำหน้าเหมือนลืมไปเลยว่าจะพูดอะไร  ตาของเขาสั่นไหว ริมฝีปากเริ่มเผยอออก ราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ผมไม่ได้หลบสายตาแบบนั้นของเขา


สายลมหยุดนิ่งลงแล้ว บรรยากาศรอบตัวก็เงียบลงจนได้ยินเสียงแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ


ไม่กี่อึดใจต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากเบื้องหน้า


“เฮ้อ…ใช่แล้วครับ”


“…?”


ผมจะบรรยายใบหน้าของอันฮยอนที่ผมหันไปมองอีกครั้งอย่างไรดี ดวงตาเหม่อลอยว่างเปล่า ริมฝีปากเผยอออก เขาดูไร้เรี่ยวแรง แวบแรก อาจจะดูเหมือนโล่งใจ แต่หากมองอีกครั้ง ก็ดูราวกับว่าเขากำลังลุ่มหลงไปกับบางอย่าง


“พี่พูดถูกแล้วครับ ซลน่ะ…ทำตัวแปลกนิดหน่อย ไม่สิ แปลกมากเลยต่างหาก เมื่อเทียบกับอายุของเธอแล้วน่ะครับ”


ในที่สุดอันฮยอนก็พูดออกมาเป็นคำแรก ในใจที่เคยปิดตายแน่นสนิท ตอนนี้เริ่มเผยช่องว่างออกมาหน่อยแล้ว และเพื่อเปิดช่องว่างนั้นให้มากขึ้น ผมรีบตอบออกไปในทันที


“นั่นสิ ฉันเองก็คิดว่ามันต้องมีปัญหาแน่ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะอายนะ หรือไม่จริง คนรุ่นใหม่อย่างน้อยหนึ่งคน ก็ต้องมี…”


“ไม่ครับ ไม่ใช่ พี่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ บอกว่าไม่ใช่แบบนั้นยังไงล่ะครับ”


และในตอนนั้นเองแววตาของอันฮยอนก็วูบขึ้นมา เขาถอนหายใจยาวออกมาราวกับออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดภายในร่างกาย หลังจากนั้น…


“ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ความเครียดของซลน่ะครับ ไม่ถึงขนาดที่ใช้คำพูดสวยหรูแบบนั้นได้หรอกครับ ครับ ใช่ครับ ซลของพวกเราเป็นเด็กที่มีความพิการทางสมองครับ”


‘เหมือนเป็นผู้ป่วยโรคจิตเลยนะคะ’


จู่ๆ คำพูดที่โกยอนจูเคยพูดเมื่อก่อนนี้ก็ผ่านเข้ามาในหัว


“…แล้วซลรู้เรื่องนี้ด้วยไหม”


“น่าจะรับรู้บ้างครับ เพราะผมพาเธอไปโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง แต่เธออาจจะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้น่ะครับ”


แล้วนี่มันอะไรกันอีก? เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ผมก็ได้เห็นสีหน้าขมขื่นของอันฮยอน เขาพูดต่อช้าๆ


“เมื่อไม่กี่ปีก่อน เธอเคยตกอยู่ในภาวะสูญเสียความทรงจำครับ ไม่ใช่ทั้งหมดแต่เป็นบางส่วนน่ะครับ ถ้าหากพี่ลองถามอันซลดู เธออาจะตอบมาไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำนะครับ”


“อะไรนะ….?”


‘ภาวะสูญเสียความทรงจำอย่างนั้นเหรอ’


มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าอันซลจะมีความพิการทางสมอง อันฮยอนยังคงพูดต่อไปโดยไม่ได้สนใจผม


“พอมาคิดดูแล้ว ผมก็พาเธอไปโรงพยาบาลมาหลายที่แล้ว จริงๆ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับสมองสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่พอไปหลายที่เข้า แต่ละโรงพยาบาลที่ไปก็พูดไม่เหมือนกันเลยครับ โรคจิตเภทบ้างล่ะ เป็นเพราะโรคหลายบุคลิกบ้างล่ะ บ้างก็บอกว่าเป็นโรคไบโพลาร์, โรคหลงผิด, หรือภาวะผิดปกติจากเหตุการณ์ที่รุนแรง บางทีก็ว่าเป็นฮีสทีเรีย และยังมีอาการเครียดรุนแรงอีก ฮ่าๆ พวกเขาบอกว่าเดิมทีก็เป็นแบบนั้นน่ะครับ โลกของจิตใจมนุษย์น่ะลึกซึ้ง และเพราะซลซับซ้อนเป็นพิเศษ การจะสรุปผลวินิจฉัยขั้นสุดท้ายในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นจึงเป็นเรื่องยากครับ”


“…อย่างนี้นี่เอง แล้วภาวะสูญเสียความทรงจำนี่หมายความว่ายังไงเหรอ”


“อ้า…พี่รู้จักอาการที่เรียกว่าภาวะความจำบกพร่องเนื่องจากการกระทบกระเทือนทางอารมณ์อย่างรุนแรงหรือเปล่าครับ เอ่อ…ที่เมื่อก่อนเรียกกันว่า การลืมที่เกี่ยวข้องกับการกระทบกระเทือนทางจิตใจน่ะครับ”


ผมพยักหน้าลงอย่างยากลำบาก ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องโดยละเอียด แต่ก็พอรู้ถึงอาการของโรคบ้าง พูดง่ายๆ ก็คือ มันเป็นโรคที่ทำให้ไม่สามารถนึกถึงความทรงจำในอดีตที่สำคัญได้ ในกรณีที่อาการหนัก จะแสดงอาการอื่นๆ ออกมาด้วย เช่น สับสน, ซึมเศร้า, อาการวิตกกังวล, สภาพถดถอยทางอายุ, ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย, ความผิดปกติทางมนุษยสัมพันธ์ เป็นต้น


ผมรีบตั้งสติทันที และรีบควบคุมสีหน้าโดยเร็วเพราะคิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมาก


“ถ้าอย่างนั้น…เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นล่ะ”


“เกิดเรื่องขึ้นกับอันซล…แน่นอนครับ”


“แล้วมันคือเรื่องอะไรล่ะที่ทำให้อันซลต้องเผชิญกับอาการผิดปกติทางจิตขนาดนี้”


อันฮยอนไม่ได้ตอบผมกลับมา เขาทำเพียงแค่หลุบตาลงมองพื้นด้วยใบหน้าหนักใจเท่านั้น แต่ก็เพียงครู่เดียว สายตาของเขาฉายแววเศร้าออกมา ราวกับว่าเขากำลังนึกถึงบางอย่าง จากนั้นเขาก็เริ่มเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมและอันฮยอน เราต่างสบตากัน


อันฮยอนพูดขึ้นมาหลังจากนั้น


“แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง…แต่ซลของพวกเราไม่ใช่เด็กที่ผิดปกติมาแต่กำเนิดหรอกครับ เธอทั้งใสซื่อและเปราะบางเหลือเกินตั้งแต่ตอนที่เธอยังเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มากเท่าตอนนี้ครับ”


ในที่สุดเรื่องราวในอดีตของอันฮยอนและอันซลก็เริ่มต้นขึ้นจนได้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอด ความอยากรู้อยากเห็นจึงพุ่งสูงขึ้น แต่ผมก็พยายามที่จะกดมันเอาไว้


นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่แค่ฟังให้จบๆ ไป แต่ผมจะต้องหาปมที่จะแก้ปัญหาของอันซลจากเรื่องที่อันฮยอนเล่ามาให้เจอ เพราะแบบนั้น ผมจึงจำเป็นต้องตั้งใจฟังคำพูดทุกคำอย่างลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะมีเบาะแสออกมาจากส่วนใด


ผมทำท่าตั้งใจฟังและให้ความสนใจกับรายละเอียดอย่างช้าๆ


“พี่ เมื่อก่อนที่บ้านของเราน่ะครับ เราเป็นครอบครัวที่ไม่ขาดเหลืออะไรเลย คุณพ่อที่มีงานการมั่นคง คุณแม่ที่มีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล และผมที่ชอบสร้างปัญหาไปทั่วไม่เว้นแต่ละวันกับซล น้องสาวที่แม้จะขี้ขลาดไปมากแต่ก็ใจดี เป็นครอบครัวแสนธรรมดา…ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งครับ”


ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาการผิดปกติทางจิตของอันซลเกิดขึ้นในภายหลังจากปัจจัยบางอย่าง


ผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วตั้งใจฟังต่อไป


“เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งครับ ผมกลับบ้านมาหลังจากเที่ยวเล่นอย่างเต็มที่ คุณพ่อกับคุณแม่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงอยู่ครับ ‘นี่ ไอ้ชาติหมา จะทำไมอีนี่’ ถึงขั้นที่มีคำด่าพวกนี้ออกมาด้วยครับ”


“นั่นรุนแรงมากทีเดียวนะ ทำไมจึงทะเลาะกันแรงขนาดนั้นล่ะ มีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ”


“ไม่ครับ ทั้งหมดเป็นความผิดของคุณพ่อครับ หากดูภายนอกท่านก็ปกติดี แต่หากรู้จักจริงๆ แล้วจะรู้ครับว่าท่านติดการพนันน่ะครับ พอคุณแม่รู้ความจริงข้อนี้ ในที่สุดท่านก็คิดเรื่องหย่าครับ”


ตอนที่ 14

โดย

ProjectZyphon

อันฮยอนหลับตาลงช้าๆ เพื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น แน่นอนว่าความขัดแย้งในครอบครัวเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญกับมันอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อผมไตร่ตรองดูแล้ว น้ำเสียงของเขาก็นิ่งเสียจนน่าขนลุก ราวกับว่ากำลังเล่าเรื่องของคนอื่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น


“ถ้างั้นตอนนั้นพวกท่านได้หย่ากันหรือเปล่าล่ะ แล้วเพราะแบบนั้นอันซลจึงได้รับการกระทบกระเทือนเหรอ”


“ฮ่าๆ ไม่ใช่หรอกครับ เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ ไม่สิ ถ้าหากเป็นแบบนั้นยังดีกว่ามากเลยละครับ…”


อันฮยอนฝืนยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้า จากนั้นจึงพูดต่อ


“ไม่ได้หย่าหรอกครับ ตอนแรกก็เกือบจะได้หย่า แต่สุดท้ายคุณพ่อก็ยอมรับความผิดและเลิกทุกอย่างครับ แน่นอนว่าทั้งสัญญาด้วยครับว่าจะไม่เล่นพนันอะไรอีกครับ”


“โชคดีนะ”


“ดีถึงแค่ตอนนั้นเองครับ แต่ พี่ครับ สันดอนขุดได้ แต่สันดานนั้นขุดยากจริงไหมครับ”


“…ท่านกลับไปแตะต้องมันอีกเหรอ”


“ครับ แต่ก็ตามที่ท่านสัญญาไว้ ท่านไม่ได้แตะต้องการพนันอะไรอีก แต่หันเหสายตาไปยังการเล่นหุ้นแทนครับ”


เข้าขั้นโงหัวไม่ขึ้นเลยสินะ


ผมดุนลิ้นอยู่ภายในปาก แม้จะไม่ได้รู้เรื่องหุ้นมากมายนัก แต่อิงจากคำพูดของผู้รอบรู้ ผมได้ยินมาว่าเกมนี้เป็นเกมที่แทบจะไม่มีโอกาสที่จะชนะเกินหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ พร้อมกับเสียงเตือนว่าอย่าได้ไปยุ่งกับมัน


ผมพูดขึ้นนิ่งๆ


“นายควรจะหยุดท่านเรื่องนี้นะ”


“บางทีคุณแม่อาจจะไม่ทราบครับ…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในตอนนั้นผมจะไปรู้เรื่องอะไรล่ะครับ ท่านเพียงแค่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และจ้องกราฟหน้าตาแปลกๆ ผมก็คิดแต่เพียงว่า ‘อ้า คุณพ่อทำงานหนักเลยสินะ’ เท่านั้นเองครับ แต่ความจริงแล้วนั้น…”


แม้จะพูดถึงมันในเวลาที่ผ่านมานานมากแล้ว แต่เขาก็ยังถอนหายใจอย่างหนัก แล้วจึงพูดต่อ


“ผมคิดแบบนั้นเสมอ แต่แล้วในวันหนึ่ง หลังจากที่ผมได้เห็นหมายอายัดมาแปะไว้ที่หน้าบ้าน ผมถึงได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในนั้นแจ้งว่าพ่อเป็นหนี้มหาศาลจากการแพ้ในตลาดหุ้น ครั้งที่แล้วพ่อยังตัดการพนันได้ก่อนที่มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่การเล่นหุ้นมันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะสามารถชักตรงนี้มาแปะตรงนั้นได้นี่ครับ พี่รู้ไหมครับว่าครอบครัวธรรมดาทั่วไปครอบครัวหนึ่งต้องพังทลายลงไปในชั่วพริบตา”


หลังจากนั้นอันฮยอนก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีช้าๆ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตาของเขาปรากฏแสงเลือนรางราวกับกำลังคิดบางอย่างขึ้นมาได้


อันฮยอนเลื่อนสายตาลงมาสบเข้ากับผม แล้วค่อยๆ พูดต่อ


“ผมยังจำได้อย่างชัดเจนเลยครับ”


“…”


“วันนั้นที่ผมนั่งอยู่ริมถนน…คุณพ่อไม่พูดอะไรสักคำ ท่านเพียงแค่เดินไปกับคุณแม่, ผม และซลอย่างเลื่อนลอย แต่จนถึงตอนนั้น ผมก็ยังไม่สิ้นหวัง เพราะไม่ว่ายังไงท่านก็ยังเป็นพ่อ, เพราะมันไม่มีทางจะจบลงแค่นี้, เพราะเราสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้แม้ว่าจะตกอยู่ในช่วงที่เลวร้ายที่สุด แต่ว่านะครับ ไอ้คนที่ข้าเรียกว่าพ่อก็เหยียบย่ำความหวังนั้นของผม…อย่างไม่ไยดี”


“ทำไม”


“ที่ที่พ่อพาพวกเราไปคือแม่น้ำฮันครับ แม่น้ำฮัน เขาปีนขึ้นไปบนสะพานอย่างอ่อนแรงแล้วพูดขึ้นมาแบบนั้น ว่าตายกันเถอะ กระโดดลงจากตรงนี้ด้วยกันเถอะ”


หลังจากผมได้ฟังที่เขาพูด ผมก็รู้สึกจุกที่คอ เพราะไม่ว่าจะมองยังไงนั่นมันไม่ใช่การกระทำของพ่อทั่วๆ ไป ผมสงสัยว่าคนคนนั้นเองก็อาจจะมีอาการผิดปกติทางจิตใจเหมือนกัน”


อันฮยอนพูดต่อพร้อมรอยยิ้มขมขื่นราวกับว่าเขาสามารถอ่านความคิดของผมได้


“พี่ว่ามันน่าขันใช่ไหมครับ แต่มันคือเรื่องจริง”


“…แล้วเป็นยังไงต่อ”


“ถ้าผมกระโดดลงไปในตอนนั้น ผมคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่ตอนนี้หรอกครับ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน คุณแม่โกรธมากเลยล่ะครับ ได้แต่ต่อว่าพ่อว่า ‘บ้าไปแล้วเหรอ ฉันสงสัยเหลือเกินว่าแกจะพาพวกเราไปที่ไหน พามาที่นี่แล้วพูดแบบนี้น่ะเหรอ ทำไมถึงต้องฆ่าลูกกับฆ่าฉันแบบนี้ด้วย หากแกอยากตาย ก็ตายไปคนเดียว ส่วนพวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้’”


แม้กระทั่งคุณแม่ของอันฮยอนก็ยังเป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่ก็นั่นแหละ หากทั้งคุณพ่อและคุณแม่ตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกัน ผมก็คงไม่ได้พบกับสองพี่น้องที่นี่


“ยังไงก็เถอะ นั่นแหละครับจุดเริ่มต้นของนรก ถ้าพูดกันตามจริง สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมเป็นเหมือนในหนังเลยว่าไหมครับ”


“หนังเหรอ…”


“ครับ หนัง นั่นเป็นสิ่งที่ผมเคยคิดเมื่อตอนนั้น แต่กำแพงแห่งความเป็นจริงมันช่างเย็นชาเหลือเกินครับ ถ้าหากเป็นหนังจริงๆ ก็จะต้องมีฉากหักมุม แต่ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องหักมุมหรอกครับ เพราะสถานการณ์มันก็แย่ลงเรื่อยๆ”


“ไม่มีใครคอยช่วยเลยเหรอ”


“มีครับ แต่ก็แค่ครั้งหรือสองครั้ง เพราะถ้ายื่นมือมาช่วยบ่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็มีแต่จะแย่ลงนี่ครับ ฟู่วว”


น้ำเสียงของอันฮยอนที่เคยแห้งผาก ค่อยๆ ฟังดูชุ่มชื้นขึ้น เขาดูนิ่งเฉยเมื่อพูดถึงคุณพ่อ แต่กลับดูเหมือนนึกเรื่องของคุณแม่ไม่ค่อยออกนัก


หลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นพลางแอบซ่อนดวงตาไว้ใต้ฝ่ามือ ผมแกล้งหาวและปิดตาลงเพราะไม่อยากเห็นภาพที่เขาร้องไห้


ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะสบายใจที่ต้องบังคับให้คนคนหนึ่งพูดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะนึกถึง แต่การเริ่มต้นเรื่องนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถทำเพื่อทั้งสองคนได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใดผมก็จะไม่ยอมแพ้ ผมจะทำให้มันจบลงให้ได้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบลงแบบใด ความจริงแม้ผมจะไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้มันจะเกินความสามารถของผมหรือไม่ แต่ผมก็จะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้


“อ้า…ขอโทษนะครับพี่ ผมควรจะเล่าเรื่องซลแท้ๆ แต่ก็พูดแต่เรื่องครอบครัวไร้สาระจนได้”


“ไม่หรอก ไม่มีอะไรที่ไร้สาระหรอกนะ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด กลางคืนมันยาวนานและเวลาก็ยังมีอีกเหลือเฟือ”


อันฮยอนถอนหายใจแล้วพยักหน้า และหลังจากนั้นน้ำสีใสก็ค่อยๆ รินไหลออกมาจากดวงตาของเขา ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ


“หนี้สินเริ่มพอกพูน…ความสัมพันธ์กับญาติๆ ถูกตัดขาด….ที่บ้านเราก็แทบจะไม่พูดอะไรกันเลย เป็นอย่างนั้นอยู่ได้ประมาณสองปีหรือเปล่านะ และในที่สุดก็มีบางอย่างเกิดขึ้นครับ”


“มีเรื่องอย่างนั้นเหรอ”


น้ำเสียงของอันฮยอนที่พูดออกมานั้นมีความอ่อนแอแฝงอยู่ ถึงแม้ทุกอย่างที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบได้มากพอแล้วก็ตาม แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าสิ่งที่จะเกิดกับพวกเขาต่อจากนี้ต่างหากคือสาเหตุที่แท้จริง


แต่เมื่อผมคิดได้ดังนั้น คำพูดต่อมาของอันฮยอนก็ทำเอาผมแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว


“ครับ คุณแม่ฆ่าตัวตายครับ”


“…”


ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วครู่หนึ่ง คุณพ่อของอันฮยอนคงจะคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วคุณแม่ก็เลือกจะจบชีวิตตนเองลงเช่นกัน


“วันนั้นเป็นวันพุธครับ…ปกติแล้วเมื่อผมเลิกเรียนกลับมาในวันธรรมดา คุณแม่ก็จะอยู่ที่บ้านครับ แต่จู่ๆ วันนั้นคุณแม่ก็ชวนพวกเราออกไปข้างนอกด้วยกันครับ ‘ครับ! ไปครับ’ ผมกับน้องตอบตกลงและตามคุณแม่ออกไป เราไม่ได้ออกไปเที่ยวแบบนี้มานานแล้วครับ พาซลไปสวนสัตว์ที่เธอชอบ ซื้อจาจังมยอนให้ แต่…แต่ว่า…”


อันฮยอนไม่สามารถพูดต่อไปได้ เสียงของเขาสั่นมากจนผมแยกไม่ออกว่าเขากำลังพูดหรือร้องไห้อยู่


อันฮยอนกลืนน้ำลายลงคอแล้วจึงเริ่มพูดต่อ


“คุณแม่บอกเราว่ามีธุระ ให้เราเข้าบ้านไปกันก่อน เพราะแบบนั้น ผมจึงเข้าบ้านไปกับน้อง…จู่ๆ ซลก็พูดขึ้นมาว่ารู้สึกไม่สบาย ออกไปหาแม่กันเถอะ”


“อะไรกัน จู่ๆ ทำไมเธอถึง…อ้า”


“ในตอนแรกนั้น ผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมก็นึกไปถึงที่คุณแม่เคยพูดก่อนที่จะแยกกันขึ้นมาได้ ‘ฮยอน ซล แม่ขอโทษนะลูก ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ลูกทั้งสองต้องอยู่กันให้ได้นะลูกนะ’ เมื่อผมคิดถึงคำพูดนั้น ผมก็วิ่งออกไปทันที แต่ว่า…”


แต่อันฮยอนก็หันหน้าหนีไปราวกับไม่อยากพูดถึงมันอีกต่อไปแล้ว จากคำว่า ‘แต่’ ที่เขาพูด ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ผมจึงทำเพียงพยักหน้านิ่งๆ


ไม่นานอันฮยอนก็เริ่มพูดขึ้นราวกับว่าเขาได้จัดการความรู้สึกข้างในและสงบจิตสงบใจได้แล้ว


“ที่ตลกก็คือ พี่รู้หรือเปล่าครับว่าคุณแม่ฆ่าตัวตายยังไง ท่านกระโดดลงแม่น้ำฮันครับ ที่เดียวกันกับที่คุณพ่อชวนไปตายเมื่อสองปีก่อน”


“…”


“มันเป็นเรื่องที่ช็อกมากจนไม่มีใครสามารถจัดการกับมันได้ครับ ทั้งกับคุณพ่อ ผม ซล ผมไม่รู้ว่าผมโกรธแค้นสักแค่ไหน และบางที…อาการผิดปกติทางจิตของซลอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นครับ”


“หืม?”


เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมา อันฮยอนก็ตอบด้วยสีหน้าที่จริงจังกว่าเก่า


“หลังจากงานศพของคุณแม่ผ่านไป เธอก็เริ่มพูดคนเดียวน่ะครับ ในห้องไม่มีใครอยู่เลย เธอพูดกับตัวเอง บ่นพึมพำอยู่คนเดียว บ้านของเราเปลี่ยนไปเหมือนหน้ามือเป็นหลังมือหลังจากการฆ่าตัวตายของคุณแม่ จนถึงตอนนั้น แม้ว่าจะลำบาก แต่เราเคยเป็นครอบครัวที่เชื่อมถึงกัน แต่แล้วมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เลยครับ ผมเหมือนจะไม่สามารถอดทนกับความสูญเสียครั้งนี้ได้เลย”


“เฮ้อ แล้วคนที่เรียกตัวเองว่าพ่อน่ะ ทำอะไรบ้าง”


ผมพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่ใส่ความรู้สึกของตนเองลงไป แต่น้ำเสียงของผมกลับแฝงไปด้วยความโกรธนิดๆ ขนาดที่ตัวผมเองยังรู้สึกได้ เช่นเดียวกับอันฮยอนที่เริ่มพูดต่อพร้อมกับสายตาคมกริบที่เริ่มขุ่นมัว


“ไม่รู้ครับ แต่ที่ผมแน่ใจคือ ตอนนั้นทุกอย่างมาถึงตอนจบแล้วครับ คุณพ่อดื่มจนเมาหัวราน้ำกลับบ้านทุกวัน หลังจากที่เป็นแบบนั้น คุณพ่อก็เอาแต่ด่าคุณแม่ อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ถึงขั้นจะชกต่อยและกระทำทารุณ…”


“อะไรนะ ชกต่อยกับทารุณ?”


“ครับ เป็นอย่างที่ผมได้บอกไปแล้ว เขาเปลี่ยนไป หลังจากนั้นคุณพ่อก็ฆ่าตัวตายตามไป แล้วผมเองก็ได้รู้ความจริงว่าเขาเองก็ป่วยด้วยโรคทางจิตเช่นกันครับ เป็นโรคจิตเภทอย่างหนักน่ะครับ…”


“ฆ่าตัวตาย?”


ผมตกอยู่ในสภาพหดหู่จนพูดอะไรไม่ออก หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ของอันฮยอนมาเรื่อยๆ


นี่เขาผ่านชีวิตแบบไหนมากันนะ…


อันฮยอนมองผมด้วยสายตาชอกช้ำ แล้วเคาะมือลงบนขวดที่ว่างเปล่า


“ผมเองก็โดนเหมือนกัน แต่พ่อก็ตีน้องเยอะมากเลยครับ เหตุผลคืออะไรรู้หรือเปล่าครับ เพราะซลเหมือนคุณแม่มากๆ เลยยังไงล่ะครับ”


“ให้ตายเถอะ นั่นมัน…เขาเป็นพ่อของพวกนายนะ ฉันก็ไม่ได้อยากจะว่าหรอกนะ แต่เขานี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ แล้วนายก็เอาแต่นั่งมองน้องโดนตีอยู่อย่างนั้นเหรอ ไม่สิ นายอาจจะทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยนายก็สามารถแจ้งความได้นี่”


“แน่นอนครับ แต่ว่าในตอนนั้น…ผมเองก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่สิ ผมไม่อยากอยู่บ้านเลยครับ แม้แต่ที่โรงเรียนผมก็ทำตัวนอกลู่นอกทาง คบแต่เพื่อนเลวๆ ก็แค่…เป็นแบบนั้นละครับ ในตอนนั้นผมเพียงแค่อยากทำแบบนั้น ผมไม่อยากมานั่งกังวลเรื่องภายในบ้าน เพราะงั้นผมจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่ซลถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนหนักมากจนเธอร้องไห้ ในตอนนั้นทุกอย่างมันดูน่ารำคาญไปซะหมดเลยครับ”


อันฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ผมเลียริมฝีปากอยู่สักพักหนึ่ง


ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอื่นอีกแล้ว แค่สิ่งที่อันฮยอนพูดมาทั้งหมดนั้นคือจุดจบของเรื่องในตัวมันเองอยู่แล้ว


“นายบอกว่าคุณพ่อก็ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ”


“…ครับ”


“ด้วยการกระโดดน้ำเหมือนกันเลยเหรอ”


“เปล่าครับ เขาอาจจะทนไม่ได้เอง และถูกพบเป็นศพอยู่ที่ริมถนนน่ะครับ”


ทนไม่ได้เองอย่างนั้นเหรอ


ทนอะไรไม่ได้เองล่ะ  อันฮยอนส่ายหน้าไปมา เขามีสีหน้าลังเลว่าควรจะพูดมันดีหรือไม่ จากนั้นเขาก็หลุบตาลงมองพื้น แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย


“วันนั้นบ้านเงียบผิดปกติครับ”


“…?”


ตอนที่ 15

โดย

ProjectZyphon

จู่ๆ ผมก็รู้สึกกังวลกับคำพูดกะทันหันของอันฮยอนที่กำลังพูดต่อจากเมื่อกี้ เขาเลียริมฝีปากแห้งผากแล้วพูดต่อ


“พี่ไม่เคยเป็นอย่างนั้นเหรอครับ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากเรียนขึ้นมา จู่ๆ สมองก็รู้สึกปลอดโปร่ง เป็นวันแบบนั้นละครับ”


“อ้อ เข้าใจแล้วละ”


“ครับ อย่างนั้นละครับ วันนั้นผมก็รู้สึกแบบนั้น ผมเคยไม่กลับไปที่บ้านเลยกว่าสองอาทิตย์ เวลารู้สึกเบื่อๆ แต่ในวันนั้นผมกลับรู้สึกต่างออกไปครับ”


“เพราะอย่างนั้นก็เลยกลับบ้านงั้นเหรอ”


“ครับ ผมเข้าไปในบ้านแต่…เงียบมากเลยครับ เงียบจนแปลก และทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นน้องล้มฟุบอยู่ในห้องครับ ชุดนักเรียนของเธอถูกฉีกออกอย่างแรง หน้าตาและร่างกายยับเยินเสียจนแทบจำไม่ได้ เลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด”


หลังจากที่ได้ฟัง ผมก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง อย่าบอกนะว่า…?


“อย่าบอกนะว่า อันซล…?”


“พี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ เพราะเรื่องแบบนั้นที่พี่กำลังคิดไม่ได้เกิดขึ้นครับ ที่เสื้อผ้าขาดนั่นเป็นเพราะเธอขัดขืน และเลือดของเขาก็ออกเยอะก็เลยเป็นแบบนั้นครับ”


เขาคงรู้สึกถึงความโกรธของผม อันฮยอนจึงอธิบายเพิ่มเติม และผมก็รีบถามเขาต่อในทันที


“ถ้าแบบนั้นแล้วเป็นยังไงต่อล่ะ”


“ผมเรียก 119 ครับ แม้ใจผมอยากจะตามไปฆ่าพ่อตัวเองก็ตาม แต่การช่วยชีวิตซลนั้นต้องมาก่อนครับ”


“แล้ว?”


“จากนั้น…ก็โชคดีครับที่สามารถช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ แต่ว่าอาการผิดปกติทางจิตของเธอก็เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ตอนนั้นครับ”


“แสดงอาการงั้นเหรอ”


อันฮยอนพยักหน้าให้กับคำถามของผมแล้วตอบกลับ


“ครับ”


จากนั้นจึงพูดต่อด้วยเสียงโรยแรง


“ไม่กี่วันต่อมา ซลที่ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่กลับจำผมไม่ได้เลยครับ”


“จำนายไม่ได้…ถ้าอย่างนั้น เธอสูญเสียความทรงจำไปจนหมดเลย?”


“ไม่ครับ อย่างที่ผมบอกพี่ไป ไม่ใช่การสูญเสียความทรงจำทั้งหมด แต่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นครับ”


อันฮยอนส่ายหัวด้วยความกังวล ผมเองก็กำลังใช้ความคิดโดยประสานมือไว้ด้วยกันเช่นกัน


ถ้ามีเรื่องที่ผมเสียดายอยู่เรื่องหนึ่ง เห็นทีก็คงจะเป็นเรื่องราวในอดีตที่ได้ฟังจากปากของอันฮยอนนี่แหละ เขาเล่าเรื่องจากมุมมองของตนเอง เพราะแบบนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่อันซลได้ประสบพบเจอมาดูจะตกหล่นไปมากทีเดียว เพราะเขาก็บอกเองว่าในตอนนั้นเขาแทบจะไม่ได้อยู่บ้าน ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจึงไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนนัก


ผมเรียบเรียงความคิดเล็กน้อย แล้วจึงเริ่มพูดขึ้นช้าๆ


“ดังนั้นก็จะมีบางสิ่งที่เธอสามารถจำได้ และบางส่วนที่ลืมไปสินะ”


“ตามที่อาจารย์หมอบอกมา…เธอจะลืมเฉพาะความทรงจำส่วนที่ทำให้เธอเจ็บปวดครับ แม้จะมีความเป็นไปได้หลายทาง แต่ที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ เธอเผยสัญชาตญาณในการป้องกันตนเองจากชุดความทรงจำที่เธอไม่อยากจดจำมันอีกต่อไปน่ะครับ…”


“…”


“เมื่อได้ยินแบบนั้น สมองผมก็ว่างเปล่าไปเลยครับ เพราะที่เธอลืมผม มันก็หมายความว่าเธอเกลียดการมีตัวตนของพี่ชายเธอจากก้นบึ้งของหัวใจเลยน่ะสิครับ”


ผมพยักหน้าช้าๆ แม้ผมจะบอกว่ายังไม่ได้ฟังจากมุมมองของอันซล แต่เพียงแค่นี้สถานการณ์ก็น่าเห็นใจมากเพียงพอแล้ว


บ้านที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินและบุคคลในครอบครัวกับความแตกแยกที่เป็นผลตามมาหลังจากนั้น แม่ฆ่าตัวตาย ความรุนแรงภายในครอบครัวที่กินระยะเวลายาวนาน การกลั่นแกล้งภายในโรงเรียน และสุดท้ายการฆ่าตัวตายของพ่อ ยิ่งไปกว่านั้น คนเป็นพ่อยังมาป่วยด้วยโรคจิตเภทรุนแรงอีก


ไม่ว่าจะอิงจากสถานการณ์หรือการสืบทอดทางพันธุกรรม อาการผิดปกติทางจิตคือโรคที่ไม่สามารถหาทางเลี่ยงได้อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ไม่มีแม้ใครสักคนที่อยู่ข้างเดียวกันกับหล่อน ความจริงที่ว่าหากอิงจากนิสัยของหล่อนแล้ว การที่หล่อนไม่ได้คิดฆ่าตัวตายไปอีกคนช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง


ไม่สิ บางทีเธออาจจะเคยคิดก็ได้


อันฮยอนอาจจะไม่เคยรู้ หรือเขาอาจจะไม่ได้พูดออกมาทั้งหมดก็ได้


“หลังจากนั้นอันซลเป็นยังไงต่อล่ะ”


“…เธอทั้งสับสนและวิตกกังวลมากครับ เธอหลีกเลี่ยงการพบเจอผู้คนเอามากๆ ตกอยู่ในอาการโรคซึมเศร้าบ่อยๆ เอาแต่จับหัวตัวเองแล้วก็ร้องไห้ มิหนำซ้ำ อาการยังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเห็นได้ว่าเธอมีอาการอายุถดถอยน่ะครับ”


“ถ้างั้นนั่นคือสิ่งที่เป็นมาจนถึงตอนนี้เหรอ”


“โรงพยาบาลบอกว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดจากความเจ็บปวดและความเครียดอย่างรุนแรงรวมกัน และยังบอกอีกว่าเราควรค่อยๆ เฝ้าสังเกตความคืบหน้ากันไป เพราะมีอยู่หลายกรณีที่ดีขึ้นได้อย่างฉับพลันแต่ว่า…ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีสัญญาณว่าเธอจะดีขึ้นเลยครับ”


อันฮยอนถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นเขาก็เอนหลังเอาแขนทั้งสองยันพื้นไว้แล้วพูดขึ้น


“ผมพาเธอกลับมาบ้านบ้างในบางครั้งทั้งแบบนั้น…เพราะในตอนแรกผมเองก็ตั้งใจจะหาวิธีรักษาเธอ ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนเหลือกันอยู่แค่สองคนจริงๆ ครับ ความกดดันที่รู้สึกได้นี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย เพราะแบบนั้น ผมที่คิดว่าจะปกป้องซลได้ยังไง ก็เอารูปให้เธอดู พาเธอไปโรงพยาบาล และพาไปที่ที่เราเคยเล่นกันเป็นประจำเมื่อก่อนบ่อยๆ ด้วยครับ”


“ทำไมนายถึงไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่ะ”


“ฮ่าๆ ความเสียดายมักตามมาทีหลังเสมอน่ะสิครับ แต่ยังไงก็ตาม นอกจากเวลาทำงานแล้ว ผมก็อยู่กับเธอแทบจะตลอดเวลาเลยนะครับ แต่อยู่มาวันหนึ่ง ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้ครับ”


“…?”


อันฮยอนหยุดพูดไปสักพัก เขาหันมองผมอย่างกะทันหันและพูดออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด


“ผมคิดว่าบางทีการใช้ชีวิตต่อไปทั้งๆ ที่ลืมความทรงจำไว้ข้างหลังมันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไรครับ”


“…อืม”


“ใช่ไหมล่ะครับ จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาว่าถ้าหากเราเติมลงไปแต่สิ่งดีๆ บางทีเราอาจจะเริ่มต้นใหม่กันได้น่ะครับ”


“…อย่างนั้นนี่เอง”


โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้พูดมันออกไป ถ้าลองอันฮยอนได้ยึดมั่นในความคิดเดิมของตนแล้ว เขาคงจะไม่พูดเรื่องแบบนี้กับผมเป็นแน่ และเพราะผมเองไม่เคยเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ผมจึงไม่มีความคิดที่จะเปิดอกพูดคุยกับเขาตามอำเภอใจ


อันฮยอนยังคงพูดต่อไป


“แต่ว่าพี่ครับ สำหรับคนที่โชคชะตากำหนดไว้ว่าไม่ได้ผลน่ะ จะทำอย่างไรมันก็ไม่ได้ผลหรอกครับ ตอนนั้นผมตั้งใจจะเริ่มต้นใหม่ แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ผมกับน้องก็เข้ามายังฮอลล์เพลนแล้วครับ พี่เข้าใจความรู้สึกของผมใช่ไหมครับ”


“…เข้าใจสิ”


“พี่เอง ถ้าวันที่พี่ปลดประจำการออกมาแล้วต้องมาเจอหมายศาล ผมหมายถึง ลองคิดดูดีๆ นะครับ มันจะมีใครบ้างที่รู้สึกว่ามันยุติธรรมน่ะครับ แต่เอาเถอะครับ เรื่องมันก็ประมาณนี้ละครับ ฮ่าๆ”


อันฮยอนตัดจบเรื่องทั้งหมดด้วยคำพูดที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังร้องไห้หรือหัวเราะอยู่


ค่ำคืนมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์นวลส่องสว่าง บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ผมและอันฮยอนต่างปิดปากเงียบไม่พูดอะไรออกมาราวกับนัดกันเอาไว้


ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเป็นคนเริ่มพูดขึ้นก่อน


“ฮยอน ฉันอยู่ในฐานะผู้ฟังมาตลอด จึงเดาไม่ได้ว่าที่ผ่านมานายจะต้องมีชีวิตที่ทุกข์ทนเจ็บปวดขนาดไหน เพราะฉันเองไม่เคยไปอยู่ในจุดเดียวกันกับนาย”


“…ครับ”


“เพราะแบบนั้น นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ฉันไม่คิดจะพูดว่า ‘ถ้าหากนายบอกฉันเร็วกว่านี้สักหน่อย’ ออกไป ฉันหมายถึง ฉันคงจะสามารถหาทางช่วยพวกนายได้เร็วกว่านี้”


“เรื่องนั้น…”


อันฮยอนมีท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็ตอบออกมาด้วยเสียงเล็กๆ ราวกับว่าน้ำเสียงแบบนี้กลายเป็นเพื่อนเขาไปแล้ว


“เพราะผมกลัวว่าจะถูกทิ้งน่ะครับ”


“หืม?”


เมื่อผมเลิกคิ้วขึ้นเพื่อถามว่าที่เขาพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร อันฮยอนก็พูดต่ออีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม


“จริงๆ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นนี่ครับ แม้แต่ในยุคนี้ หากเราบอกใครว่าเป็นโรคทางจิต มันก็เป็นความจริงที่ทุกคนจะมองเราด้วยอคตินี่ครับ และเมื่อตอนที่ผมเข้าพิธีเปลี่ยนสภาวะครั้งแรก มันก็เป็นแบบนั้น พี่จำได้ไหมครับ”


“อ้า ตอนนั้น…”


แน่นอน มันเป็นอย่างที่เขาพูด ผมพูดอะไรไม่ออก ในวันนั้นอันซลแสดงอาการวิตกกังวลออกมามากจนไม่สามารถเทียบได้กับตอนนี้ มากจนพัคดงกอลและชินอูต้องขอให้พาหล่อนออกไปโดยเร็วที่สุด บางทีอันฮยอนอาจจะได้ยินมัน


เดี๋ยวก่อนนะ นี่หมายความว่า อาการของเธอดีขึ้นแล้วเหรอ


ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีคำถามมากมายในใจผม แต่ไม่ว่าผมจะคิดสักเท่าไรก็คงไม่สามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้ นี่มันเป็นปัญหาที่ต้องการเวลาและตัดสินใจหาทางแก้ไข


ผมจัดการเรียบเรียงความคิดตัวเองอยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นช้าๆ เดินไปหาอันฮยอนที่ยังนั่งอยู่ ผมแตะไหล่เขาแล้วพูดขึ้น


“เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้นายต้องมาพูดถึงเรื่องราวที่เจ็บปวดแบบนี้”


“พี่…”


“แล้วก็ขอบคุณที่เชื่อใจและยอมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง”


“ไม่หรอกครับ ผมเองก็รู้สึกโล่งที่ได้พูดออกมาบ้างเหมือนกันครับ ก็อย่างที่พี่บอกนั่นแหละครับ ผมควรจะบอกพี่ให้เร็วกว่านี้ เพราะก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่เป็นพี่ผม…”


อันฮยอนตอบผมพร้อมเผยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า หลังจากที่เห็นเขาเป็นแบบนั้น ผมก็รีบยื่นมือออกไปในทันที อันฮยอนมองมือของผมอย่างเหม่อลอย ก่อนจะยื่นมือมาจับพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ


และเมื่อผมกำลังออกแรงเพื่อดึงเขาขึ้น ผมก็ได้ยินเสียงอียูจองแว่วมาแต่ไกล


“พี่คะ! อันฮยอน! ทั้งสองคนอยู่ไหนกัน ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ!”


ผมกับอันฮยอนหันหน้าไปมองเธอพร้อมกัน และเราก็ได้สบตากันอีกครั้ง ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะดึงอันฮยอนขึ้นมาแล้วพูดต่อ


“…บรรยากาศกร่อยลงเยอะเลยนะ เราไปกันเลยดีไหม”


“ก็ได้ครับพี่ เรายังมีปาร์ตี้กันอยู่นี่ครับ”


อันฮยอนลุกขึ้นปัดมือแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจเสียเต็มแรง จากนั้นเขาก็ก้มหัวอย่างสุภาพและพูดกับผม


“พี่ ต่อไปผมขอฝากซลไว้ด้วยนะครับ ผมจะคอยช่วยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะป็นอะไรก็ตาม พี่สั่งผมมาได้เลยครับ”


“ได้ แน่นอน ถึงฉันจะไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม…แต่ฉันให้สัญญาได้ข้อหนึ่ง”


เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมได้เคยพูดไปก่อนแล้ว ผมจึงตอบเขาได้อย่างเต็มปาก


“ฉันจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้”


เมื่อผมพูดจบ เราก็เดินมาถึงสถานที่ที่เหล่าสมาชิกกำลังรวมตัวกันอยู่พอดี


ในครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายจับแขนอันฮยอนไว้


ตอนที่ 16

โดย

ProjectZyphon

งานชุมนุมเพื่อความสามัคคีที่จองฮายอนเสนอให้จัดขึ้นมาจบลงอย่างยิ่งใหญ่ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการรวมตัวในครั้งนี้จัดว่าดีมากทีเดียว เพราะผมรู้สึกว่าไม่กี่วันจากนี้หลังจากที่งานเลี้ยงจบลงแล้ว บรรยากาศภายในเผ่าจะต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน


แม้ไม่นานมานี้จะมีสมาชิกเผ่าที่ไม่ค่อยได้สุงสิงกันบ้าง แต่โอกาสนี้ทำให้เราสามารถดึงสมาชิกที่เคยรู้สึกเฉยเมยเหล่านั้นให้เข้ามาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ และแน่นอน สงครามเย็นเรื้อรังระหว่างคิมฮันบยอลและคนอื่นๆ ก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงแม้แต่น้อย


หลังงานชุมนุมสามัคคีนั่นจบลง ผมเรียกอันซลมาพบหลังจากใช้เวลาคิดทบทวนอะไรอยู่หลายวัน


และในตอนนี้ อันซลก็มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ดูเหมือนหล่อนจะรอคอยให้ผมเรียกตั้งแต่ที่โดนโกรธเมื่อตอนนั้น เพราะพอผมเรียกให้หล่อนมาที่ที่นั่ง หล่อนก็รีบวิ่งมาในทันที


ผมมองไปยังอันซลที่ก้มหน้าเล่นมือตัวเองอยู่ แล้วจึงจมอยู่กับความคิดของผมเองบ้าง


ถ้าจะให้พูดตามตรง ผมเองก็ไม่มั่นใจนัก อาวุธที่ดีที่สุดที่ผมพอจะมีในตอนนี้ คือการล่วงรู้อนาคตและพละกำลัง


ถ้ามันเพียงแค่ใช้กำลังอย่างเดียวล่ะก็ ผมคงไม่ต้องมานั่งกังวลอยู่แบบนี้ ไม่ใช่แค่เพราะผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใจมาตั้งแต่แรก แต่ยังเป็นเพราะผมไม่สามารถคาดหวังกับโพชั่นได้อย่างแพคซอยอนด้วย ในเรื่องของจิตใจนั้น การทำให้มันแหลกสลายน่ะง่ายนิดเดียว แต่การจะให้ฟื้นคืนสภาพเดิมนี่สิงานหิน


แต่ถึงอย่างนั้นจะมัวเอาแต่นั่งเล่นนิ้วตัวเองอยู่อย่างนี้ไม่ได้สิ…


ถึงแม้จะยังหาทางออกไม่ได้ในตอนนี้ แต่ผมจะพยายามจนกว่าจะหาวิธีแก้ไขได้ นั่นเป็นความคิดเดียวที่ผมมีในตอนนี้ ก็ในเมื่อมันยังมีคำพูดนี้ ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ อยู่นี่


ผมหยุดความคิดของตนไว้เพียงเท่านี้ และตัดสินใจพูดกับอันซล


“ซล”


“ค…คะ?”


หล่อนเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจเพราะผมเรียก ก่อนจะตอบออกมา


“พี่ลองมาคิดดูสักพักแล้ว…แต่ไม่ว่ายังไงพี่ว่า ซลเป็นสมาชิกที่ดูไม่เหมาะกับเมอร์เซนต์นารี่มากที่สุด”


“…!”


และเมื่อผมพูดต่อก็ปรากฏเครื่องหมายตกใจขึ้นเหนือศีรษะของอันซล ผมสามารถคาดเดาได้เลยว่าหล่อนรับฟังผมมากแค่ไหนจากดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นของหล่อน


“ทะ…ท่านพี่”


“ดูสิ เอาอีกแล้ว พี่พูดยังไม่ทันจบ เธอจะคร่ำครวญขึ้นมาก่อนทำไม”


“ขะ…ขอโทษค่ะ”


“แน่นอน ต้องขอโทษอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเป็นยูจองล่ะก็ เธอคงถามถึงปัญหาของตัวเองมากกว่าจะมาร้องไห้คร่ำครวญและก็คงพูดว่าเธอจะแก้ไขมัน เธอเองก็รู้ใช่ไหมว่ายูจองมักจะโดนพี่ว่าอยู่เรื่อยกระทั่งตอนนี้ก็ตาม”


อันซลกลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วพยักหน้าอย่างยากลำบาก ผมมองดูท่าทีแบบนั้นของหล่อนแล้วจึงพูดต่อ


“แน่นอน พี่ยอมรับว่าเธอมีความสามารถไม่เหมือนคนอื่นทั่วไป แต่ก็นั่นล่ะนะ ความสามารถนั้นจะมีค่าขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อเธอรู้จักใช้และสามารถรักษามันไว้ได้ ถ้าทำไม่ได้ มันก็เป็นเพียงความสามารถที่ดีแต่ไม่ถูกนำมาใช้ ก็แค่นี้ พี่พูดผิดตรงไหนไหมล่ะ”


ขวับ ขวับ


อันซลเม้มปากแน่นแล้วส่ายหัว แม้ผมจะยังติดใจที่หล่อนเอาแต่ส่งสายตาน่าสงสารมาให้ แต่ก็ดูเหมือนว่าหล่อนได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว


เห็นดังนั้น ผมจึงพูดตัดบทขึ้น


“ตอนนี้ในบรรดาสมาชิกทั้งหมด การพัฒนาของเธอถือว่าช้าและล้าหลังที่สุด พี่ไม่ได้พูดถึงความสามารถหรอกนะ แต่กำลังพูดถึงภาพรวมเกี่ยวกับฮอลล์เพลนแห่งนี้ เธอเข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”


“คะ…ค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ ฉันผิดไปแล้ว จะไม่ทำแบบนั้นอีก ยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”


นับเป็นครั้งแรกที่ผมทำให้อันซลต้องเข้าตาจนแบบนี้ ใบหน้าของหล่อนดูตกใจไม่น้อยราวกับว่าหล่อนยังไม่สามารถปรับตัวกับภาพลักษณ์แบบนี้ของผมได้ คงเพราะหล่อนถูกตามใจจนเคยชินมาจนถึงตอนนี้


ผมเริ่มพูดต่อด้วยเสียงอ่อนลง หลังจากที่เห็นอันซลเอาแต่ทำสีหน้าว่างเปล่า


“เธอรู้ใช่ไหมว่าตำแหน่งผู้ติดตามกำลังว่างอยู่ตอนนี้”


ในการประชุมเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบอย่างเป็นทางการถึงการปลดอียูจองออกจากการเป็นผู้ติดตาม ที่ผมตัดหล่อนออกไม่ใช่เพราะหล่อนบกพร่องในหน้าที่ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘ที่คาดผมอันบริสุทธิ์’ หรือเปล่า แต่ท่าทีของอียูจองดูมั่นคงเสียจนน่าเคารพ


นอกจากนั้น เรายังได้พูดคุยกันอย่างเพียงพอแล้วในช่วงก่อนการประชุม และได้เพิ่มสถานการณ์บางประการเข้าไปเพื่อนำไปสู่การเห็นชอบของอียูจองได้อีกด้วย แม้ว่าเจ้าตัวจะดูไม่พอใจมากก็ตาม


หลังจากที่ผมเห็นว่าอันซลพยักหน้าแล้ว ผมจึงได้พูดต่อ


“ฉันคิดว่าจะแต่งตั้งให้เธออยู่ในตำแหน่งนี้”


“ฉะ ฉันเหรอคะ ผู้ติดตามน่ะเหรอคะ”


“ใช่ แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะ เธอต้องรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับฮอลล์เพลนให้มากกว่านี้ เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ มันจะดีกว่าหากเธอไปเตรียมตัวให้พร้อมแล้วค่อยกลับมา


“ถะ…ถ้าอย่างนั้น…”


สีหน้าของอันซลที่ดูเหมือนน้ำตาจะหยดแหมะลงมาได้ทุกเมื่อค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด หล่อนสั่นหัวอยู่หลายครั้งและกะพริบตาอีกสามสี่ที


“พี่จะไม่ทิ้งฉันใช่ไหมคะ จะไม่ขับไล่ไสส่งฉันไปไหนใช่ไหม”


เมื่อผมได้ยินอันซลถามคำนั้นอย่างระมัดระวังนั้น


ตึ่ก ตึ่ก ตึ่ก! ผลั่ก!


“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!”


ใครคนหนึ่งเปิดประตูห้องทำงานอย่างแรงพร้อมกับผมยาวสยายที่ปลิวไหวอยู่ด้านหลัง แม้จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างที่ถูกขัดจังหวะระหว่างกำลังพูดเรื่องสำคัญ แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นผู้เล่นที่เข้ามาในห้อง


ในเมื่อผู้เล่นที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามากลับเป็นอิมฮานาไม่ใช่ใครอื่น


และเพราะผมรู้จักอุปนิสัยเรียบร้อยและกิริยามารยาทที่งดงามของอิมฮานาเป็นอย่างดี จึงนับว่าแปลกที่หล่อนพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้ แต่ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกไป หล่อนก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน


“ข่าวด่วนน่ะค่ะ เพิ่งได้ยินมาเมื่อสักครู่ตอนออกไปย่านที่คนอยู่กันเยอะค่ะ”


“ผู้เล่นอิมฮานา ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ไปได้ยินข่าวอะไรมาล่ะครับ”


อิมฮานาทำตามที่ผมพูด หล่อนวางมือข้างหนึ่งไว้บนอกแล้วปรับลมหายใจให้คงที่ ผ่านไปเช่นนั้นประมาณห้าวินาที หล่อนค่อยๆ พูดขึ้นอย่างช้าๆ


“ฮาโลค่ะ การล่มสลายของฮาโลได้รับการยืนยันแล้วค่ะ”


“อืม…ผมได้ยินมาว่าขาดการติดต่อนะ…แต่อย่างไรก็ตาม…ครับ”


ผมตอบกลับไปอย่างสงบนิ่งเพราะเป็นเรื่องที่ผมได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว


แต่ดูเหมือนอิมฮานาจะยังพูดไม่จบ


“ฉันยังได้ยินมาอีกว่าพวกเขาขอกำลังหนุนจากเผ่าสิงโตทอง และไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองข่าวนะคะ ยังมีข่าวลืออีกว่าบรรดาผู้เล่นจากทวีปฝั่งตะวันตกได้เริ่มยกทัพเข้าไปยังบาบาร่า…”


ทันทีที่อิมฮานาพูดต่อ ผมก็ทุบโต๊ะกลับไปหนึ่งครั้ง


อิมฮานาไม่ได้โกหก ยังมีเหล่าผู้เล่นที่หลบหนีออกมาจากฮาโลได้อย่างหวุดหวิดเช่นเดียวกับพวกเรา พวกเขาใช้ลูกแก้วคริสตัลที่เชื่อมต่อใหม่อีกครั้งเพื่อส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากที่หนีออกมาห่างจากเมืองได้สักระยะหนึ่งแล้ว


 แม้ว่าเหล่าผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จในการหลบหนีจะไม่ได้เห็นจุดจบของฮาโล แต่เมื่อรวมกับข่าวที่แพร่สะพัดไปแล้วนั้น การจะมองว่าฮาโลล่มสลายไปแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้เล่นที่เหลืออยู่ในฮาโลก็มีเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้นเอง


และอีกหนึ่งในข่าวลือ ที่ว่าหลังจากการล่มสลายของฮาโล เหล่าผู้รุกรานก็จะยกทัพบุกเข้าบาบาร่าต่อนั้นก็ยังคงเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน เพราะแม้แต่ในรอบแรก หลังจากที่เข้ายึดเมืองทางฝั่งตะวันตกได้ทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็เข้ารุกรานบาบาร่าด้วยความรวดเร็วทันทีนั่นเอง


สถานการณ์กำลังเริ่มวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง


ถึงแม้ว่าจะหมดกำลังมากมายไปในการเดินทางบนเทือกเขาเหล็กกล้า แต่เผ่า SSUN ก็เคยเป็นผู้นำชั่วคราวให้กับทวีปทางเหนือต่อจากสิงโตทองอยู่ครั้งหนึ่ง ดังนั้นความจริงที่ว่าฮาโล ซึ่งเป็นเมืองที่พวกเขาดูแลนั้นล่มสลายลงอย่างง่ายดาย ทำให้ผู้เล่นทั่วไปที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุกังวล


ผมหลับตาลงช้าๆ ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้


แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองทางตะวันตกหรือบาบาร่าก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสนใจของผมทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ผมสนใจในตอนนี้ คือในอนาคตข้างหน้ามันจะเปลี่ยนไปอย่างไรต่างหาก แม้จะบอกว่าเกิดมาจากสาเหตุคล้ายๆ กัน แต่ก็ยังเห็นได้ว่าสถานการณ์ในรอบที่สองมีความแตกต่างจากรอบแรกอยู่ประมาณหนึ่ง


และตรงกลางของเรื่องนี้ก็มีผมอยู่


เปลี่ยนไปแล้ว หรือยังไม่เปลี่ยน


ตั้งแต่นี้ไป ไม่มีใครรู้อีกแล้วว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร


ทั้งการไว้ชีวิตอีฮโยอึล และการค้นหาสายลับที่ซ่อนอยู่ในทวีปทางเหนือ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่สวนทางกับเมื่อครั้งแรกโดยสิ้นเชิง


สิ่งหนึ่งที่แน่นอนในตอนนี้ก็คือ ต่อไปในวันข้างหน้า เราจะไม่สามารถเชื่อความทรงจำในครั้งแรกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อีกต่อไป


ดังนั้นคำตอบจึงมีเพียงอย่างเดียว


ตั้งแต่นี้ไปเราต้องหยุดความทรงจำเก่าๆ เอาไว้และรับมือโดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดให้ได้มากที่สุด ดังเช่นที่เคยเข้าโจมตีมิวล์ก่อน นั่นก็หมายความว่า…


เราต้องเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้นมากกว่านี้


สุดท้ายแล้วก็คือกำลัง กำลังเป็นสิ่งสำคัญ ผมไม่มีความคิดจะนั่งรอเงียบๆ เลยสักนิด สำหรับผมแล้ว ผมมองว่าสงครามครั้งนี้คือโอกาสอย่างหนึ่ง


หลังจากที่ผมจับพวกเร่ร่อนมาเป็นเชลย ชื่อของผมและเมอร์เซนต์นารี่ก็ยิ่งเลื่องลือไปไกล จริงอยู่ที่โอกาสที่จะตกเป็นเป้าหมายก็มีมากขึ้นตามไปด้วย แต่การได้ถือครองตำแหน่งที่เป็นจุดสนใจตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นก็ถือเป็นความสำเร็จที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้แล้ว ดังนั้นผมจึงต้องรวบรวมกำลังที่ยังเหลืออยู่นี้เพื่อที่จะเอาชนะเรื่องอะไรก็ตามที่จะเข้ามาหลังจากนี้ได้อย่างง่ายดาย


หลังจากจัดการความคิดตนเองเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลืมตาที่หลับอยู่ขึ้นมาแล้วมองไปรอบห้อง เพราะเป็นตอนกลางวัน แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาจากด้านหลังผม


ผมลุกขึ้นอย่างมั่นคง และเดินผ่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทั่วทั้งห้องไปเปิดประตูที่ถูกปิดอยู่อย่างแน่นหนา


ตอนที่ 17

โดย

ProjectZyphon

เช้าวันต่อมา ผมจัดประชุมขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากงานรวมตัวเพื่อความสามัคคีจบลง แม้ผมจะชอบบรรยากาศตอนนี้ที่ทุกคนดูสนิทสนมกันมากกว่าเดิม แต่ผมก็มีหน้าที่ทำให้ไม่สามารถหลงใหลอยู่กับอารมณ์นี้ได้ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ทำให้ผมจำเป็นต้องรีบดึงตัวเองกลับมาสู่การทำงานโดยเร็ว


ระหว่างที่การประชุมกำลังดำเนินต่อไปนั้นเอง


“เผ่าอีสตันเทลลอว์บอกว่าต้องการไปเยี่ยมเยือนแคลนเฮาส์ในเร็ววันนี้ค่ะ บอกว่าต้องการปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาการจัดการกับพวกเร่ร่อนน่ะค่ะ”


“จะมาพบโดยตรงอย่างนั้นหรือครับ”


“ค่ะ”


จองฮายอนที่กำลังรายงานต่อที่ประชุมพยักหน้ารับเล็กน้อยให้กับคำถามของผม


“อืม เข้าใจแล้วครับ ผมจะรับผิดชอบในส่วนนั้นเอง แล้วยังมีรายงานเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าครับ”


“ไม่ค่ะ นี่เรื่องสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้น ท่านอื่นล่ะครับ”


“…”


ไร้เสียงตอบรับกลับมา เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างอยู่ในความเงียบ ผมจึงคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องพูดถึงอีกแล้ว


แม้การประชุมจะสั้นกว่าปกติ แต่ผมก็คิดว่าเราควรรีบกลับไปทำหน้าที่หลักของแต่ละคนกันได้แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะรั้งเหล่าสมาชิกเอาไว้อีก ผมพูดขึ้นเพื่อปิดการประชุมไว้เพียงเท่านี้


“เข้าใจแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นผมก็ขอจบการประชุมในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้”


หลังจากที่พูดไปแบบนั้น ผมก็ตั้งใจจะลุกก่อนเป็นคนแรก แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตามากมายที่มองมาที่ผม เมื่อผมหันไปมอง ก็ได้เห็นว่าทุกคนต่างมองมาที่ผมด้วยความสงสัยอย่างมาก


“…”


ผมรู้ดีว่าพวกเขาสงสัยและต้องการอะไร แต่ผมเองก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้ และต้องพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้ที่เข้าร่วมในคำสั่งเรียกรวมพลได้เห็นพ้องต้องกัน


ในที่สุด ผมก็นั่งลงอีกครั้งเพราะต้องการพูดให้แน่ชัดเสียทีในโอกาสนี้ จากนั้นผมจึงพูดขึ้น


“ผมแน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่คงรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยุ่งเหยิงแค่ไหน”


“…”


“ผมรู้ว่ามีบางคนที่กำลังสงสัยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกในอนาคตเช่นเดียวกับผู้เล่นคนอื่นๆ และมีบางคนที่กังวล แต่น่าเสียดายที่ผมยังไม่สามารถพูดลงลึกถึงรายละเอียดได้ในตอนนี้”


“คือ…ท่านแคลนลอร์ด หรือว่าในคำสั่งเรียกรวมพลเมื่อคราวก่อนจะมีนโยบายเกี่ยวกับการโจมตีครั้งนี้ออกมาแล้วหรือคะ ช่วบตอบเพียงเท่านี้ก็ได้ค่ะ…”


ในตอนนั้นเองก็มีเสียงใครบางคนถามออกมาอย่างระมัดระวังดังมาจากโต๊ะที่แถวฝั่งซ้ายมือ เมื่อผมได้ยินเสียงก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของคิมฮันบยอลนั่นเอง


“อืม…”


ผมคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


“เป็นเช่นนั้นครับ”


“…!”


ในตอนนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณความชุลมุนเล็กๆ ในห้องประชุม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตั้งใจจะพูดต่อให้จบเพราะต้องการหยุดความเข้าใจผิดที่ไร้สาระนี้ลง


“ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ไม่มีอะไรที่พวกคุณจะสามารถทำได้ในขณะนี้ เว้นแต่เพียงสามสิ่งต่อไปนี้ คือรออย่างใจเย็น, พัฒนาความสามารถของตนเพื่อเตรียมพร้อมหากมีอะไรเกิดขึ้น และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด โปรดอย่าหลงไปกับสิ่งยั่วยุและหวั่นไหว”


แม้ผมจะบอกผลลัพธ์โดยละเอียดไม่ได้ แต่ผมก็ได้ให้คีย์เวิร์ดกับพวกเขาไปบางประการ ผมพูดเพียงแค่นี้ทุกคนคงจะเข้าใจ เพราะผมสามารถเห็นใบหน้าของสมาชิกที่เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดได้อย่างรวดเร็ว


“ตอนนี้ผมคงให้ทุกคนรู้ได้เพียงเท่านี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็คงเกิดขึ้นในไม่ช้า”


หลังจากมองดูปฏิกิริยาของเหล่าสมาชิกอยู่สักพัก ผมก็เริ่มหันไปจดบันทึกที่วางเรียงซ้อนกันอยู่ตรงหน้าทีละใบๆ


บันทึกเหล่านี้คือใบสมัครใช้อุปกรณ์ที่สมาชิกแต่ละคนได้ลงทะเบียนไว้ หากจะให้อธิบายง่ายๆ ว่าเป็น ‘วิช ลิสต์’( Wish List) ก็คงไม่ผิดนัก


“หลังจากที่ได้ตรวจทานบันทึกเหล่านี้ด้วยตัวเองแล้ว ผมจะแจ้งให้ทราบเป็นรายบุคคลไป เอาล่ะ ทุกคน ตอนนี้เชิญออกไปได้แล้วนะครับ อ้า ซล เธออย่าเพิ่งไป ไปรอพี่ที่ห้องทำงานชั้นสี่ก่อน”


“ค่ะ!”


เมื่ออันซลได้รับคำสั่งจากผม หล่อนก็ตอบกลับมาด้วยเสียงที่ฟังดูแข็งขัน หล่อนเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ติดตามคนใหม่อย่างเป็นทางการในการประชุมวันนี้เอง ผมบอกให้หล่อนควบคุมจิตใจให้มั่นคง และก็โชคดีที่หล่อนดูจะเตรียมตัวมา


ต้องมีอะไรอีกแน่ อะไรบางอย่างที่อันฮยอนเองก็ไม่เคยรู้…


ถ้าหล่อนสูญเสียความทรงจำในส่วนนั้นไป ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ในตอนนี้ผมคิดว่าจะลองทำอะไรสักอย่าง


“ดูเหมือนซูฮยอนกำลังจะต้องยุ่งอีกแล้วสิคะเนี่ย”


เมื่อสมาชิกเริ่มเดินออกไปทีละคนสองคนจนค่อยๆ หายออกไปนอกประตู ก็มีเสียงใสพูดขึ้นกับผมเพื่อเป็นการบอกว่ายังมีคนเหลืออยู่


ผมหยุดอ่านบันทึกในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง ผมจึงได้เห็นจองฮายอนพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ของหล่อน ผมตอบหล่อนพร้อมกับผ่อนลมหายใจที่อดกลั้นไว้ออกมา


“ก็อาจเป็นไปได้ครับ อาจจะไม่ได้ถึงขั้นยุ่งมากแต่ก็คงต้องออกจากแคลนเฮาส์ไปในอาทิตย์หน้า ผมจะบอกล่วงหน้าอีกทีนะครับ”


“อาทิตย์หน้า…ถ้าอย่างนั้น แล้วอาทิตย์นี้ไม่เป็นไรแล้วหรือคะ”


“ไม่รู้สิครับ”


ผมกำลังตอบหล่อนกลับไปโดยไม่คิดอะไร


ถ้าอย่างนั้นงั้นเหรอ


และในตอนนั้นผมก็รู้สึกถึงความขัดแย้งบางอย่าง จึงมองจองฮายอนอย่างไม่ไว้ใจนัก หล่อนมองมาด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่าเจ็บใจ


“ทำไมเหรอครับ”


“อ้า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หึๆ”


แม้ผมจะไม่รู้ว่าทำไม แต่จองฮายอนก็เปลี่ยนสายตาของหล่อนอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มอยู่เงียบๆ แล้วทันใดนั้นผมก็สังเกตเห็นรอยสีแดงระเรื่อที่แก้มของหล่อน


ผมเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากถามคำถามหนึ่งที่จู่ๆ ก็แวบเข้ามาในความคิด


“อ้า ผู้เล่นจองฮายอน พอมาคิดๆ ดูแล้ว ช่วงนี้ผมไม่ได้เห็นยูนิคอร์นน้อยเลยนะครับ พอจะรู้หรือเปล่าครับว่าเจ้ายูนิคอร์นน้อยเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”


“ยูนิคอร์นน้อยหรือคะ”


เมื่อผมมาคิดดูดีๆ แล้วนั้น ผมไม่มีความทรงจำว่าได้เจอกับยูนิคอร์นน้อยที่งานเลี้ยงเลยด้วยซ้ำ ผมจึงได้ถามหล่อนออกไป


แต่หล่อนกลับมองมาที่ผมด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะตอบออกมา


“อะ…อืม ก็เมื่อวาน…เอ๋?”


ในตอนนั้นเอง ผมคิดว่าดวงตาของจองฮายอนเริ่มเบิกกว้างขึ้นทุกทีๆ ก่อนหล่อนจะจ้องกลับมาที่ผมแล้วพูดขึ้น


“ตายแล้ว งานเลี้ยง”


“ขอบคุณที่ให้เกียรติมาที่นี่นะคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”


“ด้วยความเต็มใจครับ ผมเสียอีกต้องรู้สึกเป็นเกียรติที่คุณเชิญผมมา แคลนลอร์ดอีสตันเทลลอว์”


ผมตอบรับคำขอบคุณแสนสุภาพของฮันโซยองกลับไปพร้อมค้อมศีรษะลงเล็กน้อย


ตอนนี้ผมอยู่ที่แคลนเฮาส์ของเผ่าอีสตันเทลลอว์ และเมื่อวันก่อนที่เมอร์เซนต์นารี่ ผมได้ส่งต่อพวกเร่ร่อนมายังอีสตันเทลลอว์เรียบร้อยแล้ว


ตามกฎของฮอลล์เพลนแล้ว เผ่าตัวแทนของเมืองล้วนมีอำนาจและสิทธิในการจัดการและตัดสินคดีของพวกเร่ร่อนด้วยตนเอง คำว่าจัดการในที่นี้ คือการรับพวกเร่ร่อนกลับมาเป็นผู้เล่นอีกครั้งหรือจะลงโทษพวกเขาไม่ว่าจะอย่างลับๆ หรือเปิดเผยต่อสาธารณะก็ตาม


แต่กฎนี้เป็นกฎที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้ในเมอร์เซนต์นารี่ เพราะเราไม่ได้เป็นเผ่าที่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใดและมีสถานะเป็นทหารรับจ้างอิสระ


 แต่ถึงอย่างนั้น เหตุผลที่ผมยังคงทำตามกฎก็มีอยู่สองประการด้วยกัน


ประการแรก คือไมตรีจิตที่ผมมีต่อฮันโซยองอย่างบริสุทธิ์ใจ ส่วนประการที่สอง…แม้มันจะฟังดูแปลก แต่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการโยนภาระ


“ทั้งที่ปัญหานี้ฉันควรจะเป็นฝ่ายไปพบคุณแท้ๆ ต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณต้องเป็นฝ่ายมาหาฉันแทนน่ะค่ะ”


“นั่นเพราะผมต้องการจะทำเช่นนั้นเองต่างหากล่ะครับ ถ้าคุณเป็นฝ่ายทำแบบนั้น ผมก็คงลำบากใจเสียเอง”


อารมณ์ของฮันโซยองวันนี้ดูต่างไปจากครั้งก่อนมากทีเดียว


อย่างแรกเลยก็เห็นจะเป็นเสื้อผ้า หล่อนใส่ชุดทูพีชสั้นเนื้อบางแนบพอดีกับลำตัว ไม่ต้องกล่าวถึงไหล่บางเลย เพราะส่วนบนของกระดูกไหปลาร้าอันงดงามถูกเปิดเผยต่อสายตาอย่างชัดเจน ส่วนท่อนล่างนั้นเปิดเผยเสียยิ่งกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ หล่อนอวดความงามของเรียวขาและผิวหนังเต่งตึงด้วยการเผยต้นขาขาวให้โผล่พ้นร่มผ้าออกมา


แม้ใบหน้าของฮันโซยองจะนิ่งเฉย แต่อาจเป็นเพราะการแต่งกายที่เน้นไปที่สีสันต่างๆ ทำให้ผมสามารถมองเห็นความยั่วยวนมีเสน่ห์ในความลึกลับได้


ความจริงแล้วเรื่องเสื้อผ้าการแต่งกายนั้นก็เป็นเรื่องของใครของมัน แต่สำหรับผมที่รู้จักนิสัยใจคอฮันโซยองเป็นอย่างดีนั้น ก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ แต่มันก็ดีที่ผมได้มีอาหารตาล่ะนะ


หล่อนคงรับรู้ได้ถึงสายตาของผม ฮันโซยองขยับขาไปมาแล้วแยกต้นขาออกเล็กน้อย ผมรู้สึกเขินกับการกระทำของหล่อน


“ฉันมีกำหนดการจะเปิดการตัดสินพิจารณาคดีเกี่ยวกับพวกเร่ร่อนอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้นะคะ เลยอยากจะถามความเห็นของแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เกี่ยวกับส่วนนี้น่ะค่ะ”


“อืม…อิงจากกฎแล้ว ไม่ใช่ว่าอีสตันเทลลอว์ได้วางแผนดำเนินการไปเรียบร้อยแล้วหรือครับ”


“นั่นก็จริงค่ะ แต่มันเป็นเพียงการตัดสินของทางฝั่งเราเพียงอย่างเดียว เราจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้ด้วยค่ะ”


“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอดูแผนหน่อยจะได้ไหมครับ”


ฮันโซยองพยักหน้ารับทันที ผมพูดเผื่อไปอย่างนั้นเอง แต่ผมคิดว่าผมต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าเพราะนิสัยชอบความสมบูรณ์แบบของผม ผมมองบันทึกที่หล่อนยื่นให้อย่างผ่านๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ


มีเนื้อหาโน่นนี่มากมาย แต่โดยสรุปคือมันไม่ใช่แผนดำเนินงานแบบสาธารณะ แต่เป็นแผนที่จะจัดการกันภายในเสียมากกว่า และเพิ่มเติมส่วนหนึ่งที่ค้นพบผ่านการพิจารณาคดีแนบมาด้วยเพื่อเปิดเผยให้เหล่าผู้เล่นได้รับรู้


ผมพูดออกไปเพราะผมไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไร


“ผมเห็นด้วยกับแผนการดำเนินงานของคุณนะครับ แต่การประกาศข้อมูลให้ทราบ…การประกาศข้อมูลทั้งหมดนั้นจะไม่เป็นการเร็วไปหน่อยหรือครับ”


“ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องสายลับหรือผู้พิทักษ์แน่นอนค่ะ แต่อย่างที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เองก็ทราบดี หลังจากที่ฮาโลล่มสลาย ความรู้สึกไม่มั่นคงระหว่างเหล่าผู้เล่นด้วยกันก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะแบบนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันจึงได้รับแต่คำร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลอย่างไม่ขาดสายน่ะค่ะ”


“ฮ่าๆ ดูเหมือนเหล่าผู้เล่นจะบ่นกันใหญ่เลยสินะครับ”


“ไม่ได้ถึงขั้นบ่นหรอกค่ะ…แต่ในบางครั้งก็มีคนที่คิดว่ามันมากเกินไปด้วยน่ะค่ะ พวกเผ่าอิสระต่างๆ เองก็เอาแต่ส่งคำใบ้มาให้อยู่ตลอดด้วยค่ะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม