Memorize เล่มที่ 17 ตอนที่ 1-3

เล่มที่ 17 ตอนที่ 1

 

 


 


“ผมได้เตรียมการแสดงที่เหมาะสมไว้ให้เขาอย่างหนึ่งแล้วครับ แน่นอนว่าโกยอนจูไม่ต้องเข้าไปก้ได้ แต่ช่วยรออยู่ที่นี่หน่อยนะครับ เมื่อผมพาแพคซอยอนมา คุณค่อยใช้ดวงตาแห่งการล่อลวงในตอนนั้นก็ยังได้” 


 


“อืม…ถึงจะยังจับความรู้สึกไม่ได้ แต่ถ้าหากลองเปิดดูก็คงจะเข้าใจสินะคะ เข้าใจแล้วค่ะ” 


 


ผมปลุกพลังเวทหลังจากได้ฟังคำตอบที่แสนสดชื่นจากโกยอนจู ดูเธอจะรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภายในแล้ว จากนั้นประตูก็เปิดอ้าออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นภายในที่สว่างไสวจนแสบตาด้วยไลท์สโตนที่ได้เปิดไว้ทุกดวง ต่างกับก่อนหน้านี้ 


 


หากคนที่ไม่รู้สถานการณ์ภายในคุกใต้ดินมาเห็นเข้าก็คงดูเป็นภาพที่น่าขันมากทีเดียว ที่พื้นมีรอยเวทมนตร์วาดเอาไว้ใหญ่โต มีแสงสีเขียวนวลลอยวนอยู่ เหนือรอยเวทนี้ขึ้นไปสามารถมองเห็นพวกเร่ร่อนกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ประตูคุกที่เคยถูกปิดอย่างแน่นหนา บัดนี้ถูกเปิดไว้ราวกับกำลังถามว่าจะเข้าไปเมื่อไร 


 


ผมปะทะสายตากับวิเวียนที่ยืนอยู่อีกด้าน เธอพยักหน้าเงียบๆ ทั้งที่ยังเล็งออร์โดไปที่พื้น บ่งบอกว่าเรื่องทุกอย่างได้จบลงแล้ว 


 


ผมขยับไปข้างในหนึ่งก้าว แล้วเริ่มเดินไปยังเบื้องหน้าขณะที่กำลังรับพลังเวทที่ไหลเข้ามาภายในร่างกาย ปลายทางคือศูนย์กลางรอยเวทที่มีแพคซอยอนล้มเจ็บอยู่ 


 


ทันทีที่ไปถึงยังใจกลางเวท ผมมองเห็นแพคซอยอนที่นอนเจ็บราวกับว่าหล่อนนั้นได้จากไปแล้ว 


 


ผมค่อยๆ หมุนตัวหล่อนแล้วเขย่าตัวปลุกขึ้นมา 


 


“อือ…ฮะ…อือ ฮือออ!” 


 


แพคซอยอนค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงที่ออกจะติดแหบ หล่อนขยับตัวโดยอัตโนมัติ และเอาแต่กะพริบตาเพราะแสบตาจากแสงที่มองเห็นมาสักพัก ผมกอดหล่อนไว้นิ่งๆ หลังจากคลุมตัวหล่อนด้วยเสื้อคลุมที่ได้เตรียมไว้ก่อนแล้ว ผมจับใบหน้าแพคซอยอนให้เงยขึ้นมองตรงมาที่ผม 


 


ภายในตาของแพคซอยอนที่มองมา มีความรู้สึกทั้งผิดหวังและสูญเสียแฝงอยู่ ผมรู้สึกเหมือนกำลังจ้องตากับคนตาย แต่นั่นก็เป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้นดวงตาของเธอเบิกโตขึ้นในชั่วพริบตา ปากก็เปิดออกในเวลาเดียวกัน หล่อนเริ่มมองมาที่ผมอย่างเหม่อลอย 


 


ผ่านไปเช่นนั้นราวสามสิบวินาทีได้ไหมนะ น้ำเสียงอันแผ่วเบาจึงได้แว่วออกมาจากลำคอของแพคซอยอน 


 


“ฮยอน…?” 


 


“…” 


 


“ฮะ ฮยอน? นายใช่ไหม หืม? ฮยอนใช่หรือเปล่า” 


 


ดวงตาของแพคซอยอนยังคงพร่ามัวอยู่ แต่แม้จะยังอ่อนแออยู่มาก ก็ยังสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างช้าๆ จนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะยังรู้สึกแย่อยู่ แต่แสงแห่งความรู้สึกที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้หล่อนเอ่ยความหวังที่นายตัวมีออกมา  


 


“เป็นไปได้ยังไง…นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมนายถึงได้…” 


 


“…” 


 


“ทำไมไม่ยอมตอบอะไรเลยล่ะ ฮยอน? ฮยอน…” 


 


แพคซอยอนยกมือมาจับหน้าผมอย่างอ่อนแรง แล้วจู่ๆ น้ำเสียงเธอก็กลับขุ่นมัว จากนั้นจึงเลื่อนสายตาลงมายังอกของผม ผมยังคอยสังเกตสีหน้าของเธอต่อไป ทั้งที่ยังเอามือปิดอกไว้ 


 


ในตอนนั้นแพคซอยอนกำลังจะดื่มน้ำยาสีม่วงอมแดง ซึ่งทำให้ความสามารถในการวินิจฉัยและความใส่ใจลดลงอย่างรวดเร็วเป็นขั้นสุดท้าย ด้านวิเวียนก็กำลังร่ายเวทอยู่ 


 


ทักษะของวิเวียนยังไม่สมบูรณ์แบบนัก จึงต้องทำเหมือนเล่นละครอยู่แบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามเพราะมันเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดตามที่มาร์โวลโลบอก จึงมีแนวโน้มที่จะทนได้ประมาณหนึ่งครั้ง 


 


แพคซอยอนยังไม่อาจละสายตาไปจากอกของผมได้ หล่อนปัดมือผมออกด้วยแขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวอย่างยากลำบาก แน่นอนว่าผมเองก็ตั้งใจลดมือลงให้ ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด หล่อนเลื่อนสายตาขึ้นมามองผมด้วยแววตาที่สั่นไหว 


 


“ทำไมถึงได้บาดเจ็บมากขนาดนี้” 


 


“…” 


 


“หรือว่า…เจ็บเพราะฉันงั้นเหรอ เพื่อที่จะช่วยชีวิตฉัน…” 


 


ตอนนี้แพคซอยอนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แม้จะยังสงสัยอยู่มากก็ตามที แต่เพราะตอนนี้ผมต้องทำตัวตามน้ำให้เข้ากับสถานการณ์ไปก่อน จึงพยักหน้าไปครั้งหนึ่ง 


 


“ขะ ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ เพราะฉันดึงดันเอง นายพูดถูก ฉันไม่ควรเป็นผู้บังคับบัญชาเลย…” 


 


ผมส่ายหัวไปมาช้าๆ 


 


“แต่ว่าทำไมถึงไม่พูดอะไรตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แล้วมาที่นี่ได้ยังไง…ที่นี่น่ะ…” 


 


ฮยอนงั้นเหรอ ดูเหมือนว่าพวกเร่ร่อนจะพูดถูกสินะ 


 


ผมเริ่มเข้าใจทุกอย่างทีละน้อย ขณะที่เริ่มพาแพคซอยอนเดินออกนอกประตู หากหลังจากนี้หล่อนเกิดรู้ทันขึ้นมาล่ะ สิ่งที่พากเพียรเตรียมมาคงหวนคืนสู่ความว่างเปล่า แม้ว่าสิ่งนี้จะมีผลเสียอยู่พอควรก็ตาม 


 


 


 


ถึงแพคซอยอนจะเดินด้วยความลังเลในตอนแรก แต่ไม่นานหล่อนก็เริ่มเชื่อใจและเดินมาข้างๆ ผมทีละก้าว ทีละก้าว หล่อนยังมองผมด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยเชื่อใจผมสักเท่าไร แล้วจึงกวาดสายตามองไปรอบตัวช้าๆ 


 


เดินอยู่เช่นนั้นประมาณสิบก้าวได้ แพคซอยอนก็ได้พบกับอะไรบางอย่าง และเหมือนจะได้ยินเสียงบ่นพึมพำ หล่อนจึงมองลงไปที่พื้นด้านล่างทันที แล้วสายตาของหล่อนก็หยุดอยู่ที่พวกเร่ร่อนกองกันอยู่ 


 


“นายโง่พวกนี้ ฉันเคยบอกว่าไม่ให้แกล้งตายแบบนั้นแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ได้ตายจริงสินะ ไอ้พวกขอทานเอ๊ย!” 


 


สุดท้ายก็ตายอย่างนั้นเหรอ 


 


“อ๊ะ ฮยอน! นี่ รอเดี๋ยวสิ!” 


 


“…?” 


 


“แฮอินกับกาอินอาจจะถูกขังไว้ที่นี่ก็ได้ เอ่อ นายรู้อยู่แล้วใช่ไหม หรือว่านายไม่ได้เจอกับเจ้าพวกนั้น?” 


 


ตอนนี้แม้จะเป็นน้ำเสียงที่รู้สึกได้ถึงความเศร้าโศก แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ผมสนใจเพียงจะพาแพคซอยอนไปที่ประตูเท่านั้น ระยะห่างกับประตูก็ค่อยๆ ลดลงทุกทีแล้ว 


 


“ฮยอน? ฮยอน! ทำไมถึงไม่ได้เจอสองคนนั้นล่ะ พวกเขาตายไปแล้วเหรอ ตอบฉันทีเถอะ แฮอินกับกาอิน…” 


 


ผมส่ายหัวไปมาอีกครั้ง แพคซอยอนหยุดส่งเสียงดังแล้วมองเข้าไปที่คุกอย่างเหม่อลอย 


 


“ตาย…แล้วเหรอ” 


 


ผมหยุดอยู่หน้าประตูแล้วหันหลังกลับมามองข้างในอีกครั้ง และหลังจากที่แน่ใจแล้วว่ารอยเวทสีเขียวอ่อนที่เคยเปล่งแสงสว่างไสวค่อยๆ หายไปช้าๆ จึงได้เปล่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก 


 


“ยังไม่ตายหรอก” 


 


“หืม? ยังไม่ตายเหรอ ถ้าอย่างนั้น ทำไม…ถึงไม่มาด้วยกันล่ะ” 


 


แพคซอยอนที่ยังดูมึนเมาเพราะเวทและน้ำยาส่งสายตาที่แสดงออกซึ่งความสงสัยมาให้ 


 


ผมไม่ได้ตอบอะไรอีก ทำเพียงแค่ประกบฝ่ามือเบาๆ พร้อมกับใส่พลังเวทลงไปแทน ทันใดนั้นไลท์สโตนที่เคยส่องแสงเจิดจ้าก็ดับลงในชั่วพริบตา แสงสว่างและความมืดมิดตัดผ่านกันในพริบตาเดียว ผมปรบมือเพียงแค่ครั้งเดียว คุกใต้ดินก็กลับคืนสู่สภาพหนาวเหน็บเปล่าเปลี่ยวดังเดิม 


 


พวกเร่ร่อนที่ล้มกองกันอยู่บนรอยเวทก็เริ่มฟื้นคืนมาทีละคน ทีละคน 


 


“อะ อะไรกัน ฮยอน? ฮยอน! ทำไมจู่ๆ พวกที่ตายไปแล้วถึงได้…!” 


 


แพคซอยอนกรีดร้องออกมา ดูคล้ายว่าหล่อนยังไม่สามารถข้ามผ่านเส้นแบ่งระหว่างความเพ้อฝันและความเป็นจริงมาได้ หล่อนกอดผมแน่นยิ่งขึ้นขณะที่กรีดร้องออกมา รอยเวทนั้นได้ดับลงไปแล้ว ผมตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับหล่อนในตอนนี้เสียที 


 


“ชื่อของฉันคือ ซูฮยอน อย่าเรียกชื่อฉันด้วยคำพยางค์เดียวตามอำเภอใจอีก” 


 


“อ๊ะ…?” 


 


ตอนนั้นเอง หล่อนคงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป แพคซอยอนค่อยๆ หันมามองผมช้าๆ ช้ามากจริงๆ 


 


“ฮยอน?” 


 


และในวินาทีที่เธอมองหน้าผม เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังที่เคยเรียกหาฮยอนก็กลับเหือดแห้งไปในทันที 


 


“ฮยอน…?” 


 


แสงที่เคยสาดส่องรอยเวทในตอนนี้ได้สลายหายไปหมดแล้ว สายตาของแพคซอยอนมองพินิจใบหน้าของผม ผมจะบรรยายใบหน้าหล่อนตอนนี้ว่าอย่างไรดี แขนที่เคยยกขึ้นกอดผมไว้เมื่อสักครู่ ค่อยๆ ตกลงไปช้าๆ 


 


แพคซอยอนถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความลังเล สิ่งเดียวที่ยังคงชัดเจนก็คือ แสงแห่งความหวังที่รินไหลออกมาจากดวงตาของหล่อน ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่สิ มันต้องไม่มีเรื่องแบบนี้สิ’… 


 


หลังจากผ่านความเงียบชั่วครู่ ริมฝีปากของแพคซอยอนก็เปิดออก 


 


“นะ นายเป็นใครกันแน่”  


 


“ไม่รู้สิ เธอคิดว่าใครล่ะ” 


 


ผมยักไหล่แล้วตอบไปอย่างไร้ยางอาย แพคซอยอนตกอยู่ในความสับสน หล่อนมองหน้าผมแล้วหันหลังกลับโดยไว พวกเร่ร่อนยืนกระจุกอยู่ในคุกใต้ดินเหมือนเมื่อวาน 


 


แพคซอยอนมีสีหน้าแบบที่ไม่รู้ว่าต้องไปทางใดกันแน่ เท้าของหล่อนที่เคยก้าวถอยหลังอย่างลังเลกลับหันไปมาอยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้นเสียงล้มที่น่าหดหู่ก็ดังสะเทือนใต้ดินอันเงียบสงบ 


 


แม้แพคซอยอนจะพยายามยืนขึ้นด้วยสภาพเช่นนั้น แต่หล่อนก็เคยเป็นหญิงสาวที่เคยเดินมาทางผมด้วยความเชื่อใจ ไม่สิ ในตอนนี้ การยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันดูจะเป็นเรื่องยาก ด้านหลังพวกเร่ร่อนเองก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แพคซอยอนยันพื้นไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งและขาทั้งสองข้าง สุดท้ายจึงเปล่งเสียงคล้ายกำลังร่ำไห้ 


 


“ยะ อย่าเข้ามา!” 


 


ถึงหล่อนจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ยังขยับเฉันไป ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยวางใจกลับเริ่มบิดเบี้ยวราวกับว่าได้รับรู้ความจริงแล้ว หยาดหยดแห่งความหวังที่เคยเบ่งบานกลับกลายเป็นน้ำตาและกำลังไหลรินลงมาโดยที่หล่อนไม่รู้ตัว 


 


“ไม่ ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้สิ ฮยอนไม่ใช่เหรอ หรือว่าฉันมองผิดไป” 


 


“ฮยอนงั้นเหรอ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันชื่อซูฮยอน ลองมาคิดๆ ดูแล้ว เธอเรียกฉันว่าฮยอนมาตั้งแต่เมื่อครู่นี่แล้ว หมอนั่นเป็นใครกันแน่ ดูเธอจะร้อนใจเหลือเกินนะ…” 


 


“ว่ายังไงนะ…” 


 


เสียงของแพคซอยอนติดขัด ผมเห็นหล่อนหลับตาเสียสนิท ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนจะคิดว่าตอนนี้เป็นความฝันหรือเปล่า  

 

 


เล่มที่ 17 ตอนที่ 2

 

ภาพมากมายที่วิเวียนให้หล่อนเห็นจะได้ผลเท่านี้ไหมนะ ผมรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจพร้อมๆ กับส่งสายตาเป็นสัญญาณให้พวกเร่ร่อน หนึ่งในนั้นบังคับให้หล่อนต้องเปิดตาขึ้นมา หล่อนกับผมจึงได้สบตากัน หลังจากนั้น ในดวงตาของแพคซอยอนที่ผมมองเห็นกำลังสั่นไหวอย่างไร้ความเป็นมิตร 


 


 


ผมมองดวงตาคู่นั้นเงียบๆ แล้วจึงหันหลังกลับ 


 


 


“ยะ อย่าไป! ช่วยฉันด้วย ฮยอน! ฮยอน! ฮยอนนน!” 


 


 


เสียงร้องไห้คร่ำครวญก้องสะท้อนไปทั้งคุกใต้ดินที่เคยเงียบงัน เป็นเสียงร้องตะโกนราวกับออกมาจากจุดที่ลึกที่สุดของลำคอ แต่ยิ่งผมเดินขึ้นบันไดไป เสียงที่เคยแหบแห้งกลับยิ่งชุ่มชื้นขึ้นช้าๆ 


 


 


ก่อนจะขึ้นถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมส่งสัญญาณไปให้โกยอนจูและแอบมองลงไปยังเบื้องล่าง 


 


 


ความสิ้นหวังเข้ามาแทนที่ใบหน้าที่เคยระบายไปด้วยความหวังเล็กๆ ก่อนหน้านี้โดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาหล่อนขุ่นมัวราวคนตาย สิ่งนั้นได้ทำลายความหวังที่ผมได้เคยสร้างไว้ลงอย่างสมบูรณ์ 


 


 


คงต้องเรียกอีฮโยอึลแล้วสินะ 


 


 


ผมมองดูดวงตาที่ขุ่นมัวแล้วละสายตากลับมาเดินขึ้นบันไดอีกครั้ง อีฮโยอึลที่ว่า ก็คือคนที่เรียกเกณฑ์พลนั่นเอง ยังมีประเด็นที่จำเป็นจะต้องยืนยันกันก่อนที่จะถึงวันนั้นอยู่บ้าง 


 


 


ผมถอนหายใจยาวขณะที่กำลังจัดการกับความคิดในหัว เป็นเพียงแค่การถอนหายใจที่ไร้เหตุผล 


 


 


 


 


 


“สาร! มีสารมา! ทุกคนหลีกไป! ในสารแจ้งว่า ในที่สุดทวีปทางตะวันตกพร้อมด้วยพวกเร่ร่อนก็เริ่มรุกรานเฮลโลแล้วครับ!” 


 


 


เพราะมีธุระ ผมจึงแวะที่แท่นบูชา มีผู้เล่นมากมายที่นี่ และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะกลับกันแล้ว ระหว่างที่ผู้คนกำลังเดินผ่านกลางลาน ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเสียงดังลั่น 


 


 


เขาคนนั้นรีบร้อนเดินฝ่าเหล่าผู้เล่นด้วยความรวดเร็วและแขวนบันทึกใหญ่โตไว้บนกระดานประกาศข่าวในลาน แล้วก็ได้วางกองบันทึกลงจนมีเสียงดังตุ้บ จากนั้นก็เริ่มวิ่งไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว 


 


 


หลังจากพวกคนส่งข่าวที่ไวปานพายุก้าวผ่านไป ลานก็เต็มไปด้วยความอึกทึกวุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้สับสนอลหม่านมากไปนัก แต่เพราะข่าวที่ว่าเป็นข่าวที่ทุกคนดูจะรู้กันอยู่ก่อนแล้ว ถึงอย่างนั้น สถานการณ์ในตอนนี้ก็คือเหล่าผู้เล่นยังคงมารวมตัวกันที่หน้าป้ายประกาศอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น 


 


 


แต่เพราะผมไม่ได้มีใจจะอ่านบันทึกบนกระดาน หลังจากที่เบียดเสียดไปหยิบบันทึกที่กองสุมไว้มาได้ใบหนึ่งแล้ว ผมก็แยกตัวออกมาจากลาน 


 


 


แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน แต่สถานการณ์ของสงครามในตอนนี้ก็ดูจะดุเดือดกว่าที่คิด ประการแรกเลย ที่บอกไว้ว่าจะบุกเฮลโลนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ทั้งหมดนั้นก็คือ ตอนนี้การรุกรานของพวกมันใกล้เข้ามาแล้ว ถึงจะล่าช้า แต่ภายในสองวันมันก็ไม่ต่างกับคำว่าอยู่ในระยะกระสุนเลย 


 


 


หากจะดูรายละเอียดมากกว่านี้ ก็ยังมีอีกหลายจุด 


 


 


ทั้งจำนวนของพวกมันที่มากกว่าหนึ่งหมื่นเล็กน้อย ซึ่งเมื่อครั้งที่บุกเข้าเบธและโดโรธีนั้น กำลังทหารที่ได้ถูกแบ่งไว้ กลับมารวมตัวกันแล้วบุกตะลุยเข้ามา ส่วนเมืองทางตอนเหนือทำท่าที่เฉยเมยให้กับการจัดกองหนุนเพื่อเป็นข้ออ้างในการยึดเมืองมิลล์ เผ่าสิงโตทองที่โน้มน้าวให้ทิ้งเฮลโลให้กับ SSUN เสีย แล้วเปิดรับทหารอาสา แม้ว่าจ้องจะยึดเมืองคืนหลังจากฟื้นฟูแล้วแต่ก็ดูไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นต้น 


 


 


ไม่ว่าจะมองอย่างไร แม้จะซ้ำซาก แต่ก็สามารถสังเกตด้านที่พยายามจะเขียนให้ตรงความเป็นจริงที่สุดได้ 


 


 


[ปล่อยเฮลโลไปซะ แล้วค่อยยึดคืนหลังฟื้นฟูแล้ว] 


 


 


เมื่อดูที่ล่างสุดของบันทึก จะเห็นว่าจำนวนเหล่าผู้เล่นที่เคยอาศัยอยู่ที่เฮลโลแล้วโยกย้ายไปเมืองอื่น กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


แม้จะบอกว่าซองฮยอนมินประสบปัญหาในการจัดทหารกองหนุน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูจะเป็นจริง ที่จริง เราสูญเสียเหล่าผู้เล่นเพราะการเดินทางในเทือกเขาเหล็กกล้าไปเสียจนหมดสิ้น แม้ว่าจะโดนบังคับให้จัด แต่มาตรฐานก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนแม้จะไม่ต้องมองก็ตาม 


 


 


ผมทิ้งบันทึกที่ถืออยู่ลงบนพื้น แล้วเร่งฝีเท้าไปที่แคลนเฮาส์ เรื่องผู้ช่วยของแพคซอยอนก็จบลงไปได้สองวันแล้ว คำสั่งเรียกรวมตัวกำลังใกล้เข้ามา อีฮโยอึลเองก็ตั้งใจจะมาที่เมอร์เซนต์นารี่อยู่แล้ว ดังนั้นบางทีตอนนี้หล่อนอาจจะมาถึงแล้วก็เป็นได้ 


 


 


ทันทีที่มาถึงแคลนเฮาส์ ผมก็ได้รู้จากลูกจ้างที่เฝ้าหน้าเคาน์เตอร์ว่า อีฮโยอึลได้มาเยือนเรียบร้อยแล้ว ว่าไปแล้วก็ดูจะเป็นการมาที่ตรงตามเวลาที่ได้วางไว้ 


 


 


ผมไม่รีรอและเดินขึ้นไปยังห้องทำงานชั้นสี่ของโกยอนจูตามคำแนะนำของลูกจ้าง ทันทีที่ผมค่อยๆ เปิดประตูห้องทำงานเข้าไป ผมก็มองเห็นหล่อนกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาและมองไปยังอะไรบางอย่างอย่างตั้งใจ ผมรีบเดินไปที่โต๊ะนั้นอย่างรวดเร็ว มีเสียงที่คุ้นเคยแว่วออกมาจากลูกแก้วให้ได้ยิน 


 


 


‘ที่ฉันกลายเป็นพวกเร่ร่อน…อาจจะเป็นตอนที่เลยปีแรกมาหน่อย…’ 


 


 


‘จำนวนของพวกเร่ร่อนกับทวีปทางตะวันตกที่เข้ารุกรานทวีปทางเหนือครั้งนี้มีประมาณ…’ 


 


 


‘ผู้บัญชาการสูงสุดของทวีปทางตะวันตกคือผู้เล่นที่ชื่อไซม่อน ถึงจะไม่เคยเจอหน้ากับเขาโดยตรง…’ 


 


 


‘ถ้าลองฟังคำของคนนี้ที่เราเคยเจอ ก็จะรู้สึกว่าเขาต้องไม่ใช่มนุษย์แน่…’ 


 


 


เพราะรู้สึกถึงการมาของผม อีฮโยอึลที่มองดูภาพในลูกแก้วอย่างตั้งใ จึงได้หันหน้ามาแล้วพูดขึ้น 


 


 


“หืม? มาแล้วเหรอ อ้า ฉันจะบอกอะไรให้นะ นี่น่ะ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะทำได้ตามใจหรอกนะ” 


 


 


“รู้แล้ว ฉันไปทำธุระมา โกยอนจูบอกฉันมาก่อนแล้ว” 


 


 


“หืม อย่างนั้นสินะ ว่าแต่ นายไปไหนมาล่ะ” 


 


 


“แท่นบูชา พอดีฉันมีธุระกับเหล่าทูตสวรรค์” 


 


 


หลังจากที่ผมร่ายเวทไปยังหินเรียกตัวที่มีชื่อของโกยอนจูติดอยู่ ผมก็ได้สบสายตากับอีฮโยอึลและนั่งลงบนโซฟา เมื่อหล่อนได้ยินว่าผมแวะไปที่แท่นบูชามา ก็ส่งสายตาชอบกลมาให้ 


 


 


“งั้นเหรอ แล้วทูตสวรรค์ที่ดูแลนายว่ายังไงบ้างล่ะ” 


 


 


“ไม่ได้เจอหรอก เพราะคนเยอะน่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นสินะ ถ้าอย่างนั้น…คราวก่อนโน้น นายได้รับคำสั่งมาแล้วใช่ไหม นายคิดว่ายังไงล่ะ สำหรับฉันน่ะ มีประโยชน์มากนะ” 


 


 


“เรื่องนั้น ไว้ค่อยคุยกับพี่ที่หลังเถอะ เพราะตอนนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญอยู่ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะ เธอเห็นลูกแก้วแล้วใช่ไหม” 


 


 


ผมหลีกเลี่ยงที่จะตอบอย่างอ้อมๆ เพราะเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถจะตัดสินใจได้ในตอนนี้ อีฮโยอึลทำปากขมุบขมิบบอกว่า “ถ้างั้นก็น่าจะเรียกให้มาตั้งแต่แรก” แล้วจึงตอบคำถามผม 


 


 


“เห็นแล้วนิดหน่อย แต่ฉันไม่คิดว่าเราจะได้ข้อมูลจากวิธีการแบบนี้หรอกนะ” 


 


 


“เพราะวิธีนี้เป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดแล้วยังไงล่ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องโกหก แล้วยังสามารถทำให้ทุกคนเข้าใจได้ด้วยนี่” 


 


 


“ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ” 


 


 


อีฮโยอึลพยักหน้าขึ้นลงราวกับจะบอกว่าเห็นด้วย 


 


 


ตอนนี้ลูกแก้วที่วางไว้บนโต๊ะกำลังฉายภาพการสนทนาของผมกับแพคซอยอนเมื่อวานนี้ 


 


 


เมื่อสองวันก่อน ในที่สุดเราก็ทำให้หล่อนยอมแพ้จนได้ แม้วิเวียนจะยืนกรานว่านี่คือการล้มเหลว แต่จากความคิดของผมนั้น มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับความสำเร็จ แม้จะไม่ได้ทำให้แพคซอยอนเสียสติ แต่การที่ดวงตาแห่งการล่อลวงทำให้พลังจิตเสื่อมถอยลงได้ก็เท่ากับว่าสำเร็จแล้วนั่นแหละ 


 


 


“…” 


 


 


“…” 


 


 


ผมและอีฮโยอึลต่างเงียบกันอยู่สักพัก เมื่อผมแอบลอบมองหล่อนก็ได้เห็นว่าแก้มของหล่อนกำลังกลายเป็นสีแดง ถึงภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจตอนนี้คงกำลังสั่นไหวไม่ใช่น้อย 


 


 


ไม่จำเป็นต้องพูดยาว เพราะเราต่างได้ยืนยันความคิดของกันและกันผ่านการพูดคุยเมื่อคราวก่อนไปแล้ว แน่นอน การเห็นผ่านลูกแก้วนั้นแม้จะเพียงพอแล้ว แต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น การได้ฟังจากปากของแพคซอยอนย่อมดีกว่าอยู่แล้ว 


 


 


ผ่านไปประมาณห้านาทีเห็นจะได้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ห้องถูกเปิดออกพร้อมกับที่โกยอนจูพาแพคซอยอนเข้ามา ตาของแพคซอยอนที่เดินเข้ามาในห้องซึ่งต้องมนตร์ดวงตาแห่งการล่อลวงอยู่นั้นวาววับไปด้วยสีเทาอ่อน 


 


 


ฮวบ! 


 


 


พลังของหล่อนอ่อนลงอย่างมากเพราะดวงตาแห่งการล่อลวง แพคซอยอนล้มลงกับพื้นทันทีที่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว 


 


 


“เฮ้อ อย่างน้อยก็ยังโชคดีล่ะนะ” 


 


 


เวลาของคำถามดั่งพายุนี้ได้จบลงแล้ว คำพูดแรกที่อีฮโยอึลพูดออกมาก็คือคำว่าโชคดี แต่เพราะไม่รู้ว่าหล่อนหมายความอย่างไร ผมจึงได้ถามออกไป 


 


 


“อะไรที่ว่าโชคดีล่ะ” 


 


 


“อ้า ก็แค่ลองคิดดูน่ะ ว่าทำไมพวกเร่ร่อนถึงได้สังหารแม่ทูนหัวกัน ถ้าหากว่าในบรรดาคนที่รู้จักฉันมีคนทรยศอยู่ล่ะก็ ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไง เฮ้อ แล้วถ้าไม่ได้นายช่วยไว้…” 


 


 


อีฮโยอึลไม่สามารถตอบได้จนจบประโยคและพูดค้างไว้เช่นนั้น ริมฝีปากของหล่อนเผยอออก แล้วหัวเราะอย่างขมขื่น ผมพยักหน้าให้กับเหตุผลนั้นเงียบๆ อย่างเห็นด้วย อีฮโยอึลจึงจิ๊ปากแล้วลุกพรวดขึ้นด้วยความโกรธ 


 


 


“ไซม่อนน่ะ ไม่ว่าจะเป็นพวกเร่ร่อนหรือไซม่อนก็ล้วนสำคัญทั้งนั้น การแก้แค้นแบบธรรมดาๆ มันไม่ใช่จุดประสงค์หรอกนะ จิ๊ แต่ไม่ว่ายังไง ฉันคงจะอยู่เงียบๆ ไม่ได้ คงต้องเลื่อนคำสั่งรวมพลเข้ามาเสียแล้ว” 


 


 


คำพูดนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงอีกแล้ว ผมคิดไว้ว่าหลังจากการเจอกันในวันนี้ หล่อนจะไม่เลื่อนคำสั่งเรียกรวมพลออกไป แต่กลับร่นเข้ามาเสียนี่ ถ้าจะพูดถึงข้อดี นั่นก็ทำให้เรามองเห็นความสามารถในการดำเนินการของหล่อน แต่หากพูดถึงข้อเสียล่ะก็ มันอาจจะเกิดช่องโหว่ในการเตรียมพร้อมขึ้นได้เช่นกัน 


 


 


อีฮโยอึลอ่านสีหน้าแบบนั้นของผม แล้วจึงได้พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า 


 


 


“ไม่ต้องกังวลนะ เพราะฉันเองก็มีอำนาจอยู่พอประมาณ และการรุกรานเฮลโลเองก็เร็วกว่าที่ฉันคิด ฉันเลยคิดไว้อยู่แล้วว่าจะเลื่อนเข้ามาสักนิด แต่ยังไงฉันก็จะทำเท่านี้ล่ะ เพราะดูเหมือนว่าเราต้องรีบเคลื่อนไหวกันเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้ว วันนี้ขอบคุณที่เชิญฉันมา แล้วก็…” 


 


 


อีฮโยอึลตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ หล่อนก็โน้มหน้าไปทางโกยอนจูที่นั่งอยู่อย่างเรียบร้อย 


 


 


“วันนี้ขอบคุณที่ช่วยนะคะ น้องสะใภ้” 


 


 


“พูดอะไรกันคะ ถ้าคราวหน้าได้เจอกันอีกก็คงจะดีนะคะ คุณพี่” 


 


 


โกยอนจูตอบด้วยน้ำเสียงอันสง่างาม 


 


 


ผมมองภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจ พร้อมคิดว่าหล่อนช่างเล่นได้ดีเสียเหลือเกิน อีฮโยอึลหันมามองผมด้วยใบหน้าที่แสดงความประหลาดใจเช่นกัน 


 


 


“โอ๊ะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ นายจะไม่ไปส่งฉันหน่อยเหรอ” 


 


 


“ทำไมต้องฉัน…” 


 


 


“เพราะฉันมีเรื่องอยากคุยด้วยเกี่ยวกับพี่ชายของนาย ไม่ยาวหรอกน่า” 


 


 


“อืม ถ้างั้นฉันจะไปส่งถึงแค่วาร์ปเกตเท่านั้นนะ” 


 


 


ผมอยากปฏิเสธไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะเป็นเรื่องของพี่ชาย การจะไม่ใส่ใจนั้นก็ยากเช่นกัน เดิมทีผมได้รับคำเตือนมาแล้วมากมายว่าไม่ให้มาที่นี่พร้อมกับอีฮโยอึล ผมหันไปทางระเบียงแล้วเดินลงบันไดจนกระทั่งมาถึงยังชั้นหนึ่ง 


 


 


“ท่านพี่!” 


 


 


ฮี้! 


 


 


อันซลที่กำลังเล่นอยู่ที่ล็อบบี้ เมื่อเห็นว่าผมลงมาก็ตะโกนเรียกด้วยความยินดีทั้งที่ยังกอดยูนิคอร์นเอาไว้แน่น 


 


 


อันซลและยูนิคอร์นต่างยกมือขึ้นข้างหนึ่งและกำลังทักทายผม 


 


 


“นั่นยูนิคอร์นงั้นเหรอ ให้ตายสิ ยังเด็กอยู่เลยนี่ เอาเถอะ ดูเหมือนสองคนนั้นจะมีธุระกับนาย ฉันจะออกไปก่อนแล้วกัน แต่อย่าให้ฉันรอนานนักล่ะ” 


 


 


อีฮโยอึลบ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ด้วยว่าหล่อนเคยเจอยูนิคอร์นมาก่อนแล้ว หล่อนเหลือบมองไปยังยูนิคอร์นและอันซลก่อนที่จะเริ่มเดินออกไป 


 


 


อันซลวิ่งมาทางผม ส่วนอีฮโยอึลก็เดินผ่านไป นั่นทำให้ทั้งสองห่างกันประมาณสามหรือสี่ก้าวเห็นจะได้ 


 


 


ตอนนั้นเอง 


 


 


ก้าวเดินที่ดูราวกับสายน้ำไหลของอีฮโยอึลก็หยุดลง หล่อนหันมามองอันซลที่อยู่ในอ้อมกอดผมอย่างตกใจ 


 


 


อีฮโยอึลที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแต่นิดเดียวเมื่อตอนที่ฟังเรื่องราวของแพคซอยอน ในตอนนี้ใบหน้าของหล่อนกลับดูตกใจเป็นอย่างมาก  

 

 


เล่มที่ 17 ตอนที่ 3

 

แม้สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่จะมีกันแค่สิบกว่าคน และห้องประชุมก็กว้างขวาง ขนาดที่ว่าใช้ห้องประชุมเล็กของชั้นสามแล้วยังมีที่เหลือ แล้วเมื่อไหร่กันที่เราจะใช้ห้องประชุมใหญ่ที่ชั้นสี่ได้สักที 


 


 


ขณะที่ผมตกอยู่ในห้วงความผิดหวังที่โผล่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมก็ได้วางบันทึกที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ และรู้สึกได้ถึงสายตาของเหล่าสมาชิกเผ่าที่มุ่งความสนใจมายังผม 


 


 


“แคลนลอร์ด นี่เป็นคำสั่งจากที่ไหนเหรอคะ” 


 


 


“…บัตรเชิญเรียกรวมพลครับ เป็นการเรียกรวมพลภาคตะวันออกและภาคใต้เข้าด้วยกัน และในครั้งนี้ก็ได้ขอให้เมอร์เซนต์นารี่เข้าร่วมด้วย” 


 


 


“ตายจริง ถ้าอย่างนั้นเผ่าตัวแทนเองก็สามารถเข้าร่วมด้วยสินะคะ หมายความว่าเมอร์เซนต์นารี่ก็ถูกรวมเอาไว้ที่นั่นด้วยเหรอคะ” 


 


 


“ไม่ใช่รวม แต่เป็นการเชื้อเชิญต่างหากครับ” 


 


 


ผมตอบคำถามของจองฮายอนไปเพียงแค่ความจริงที่ได้เปิดเผยสู่ภายนอกแล้วเท่านั้น แม้กรณีของโกยอนจูจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่เพราะเหล่าทูตสวรรค์ขอให้ผมช่วยรักษาความลับ ผมจึงคิดจะรักษาคำพูด หากว่าทุกอย่างราบรื่น 


 


 


“ค่ะ แต่ว่าเพราะเรายังควบคุมพวกเร่ร่อนอยู่ การเข้าร่วมก็ดูจะเป็นการดีในหลายทางนะคะ แล้วสถานที่เรียกรวมตัวคือที่ไหนคะ” 


 


 


“เผ่าตัวแทนของพรินซิก้า เมืองทั่วไปทางตะวันออก แคลนเฮาส์ของโครยอน่ะครับ” 


 


 


“อย่างนั้นเองสินะคะ แต่ถ้าถึงขั้นที่รวมฝั่งเหนือและใต้เข้าด้วยกันก็ทำให้อดคิดไม่ได้นะคะว่าเป็นการเรียกรวมตัวขนาดใหญ่เลย…ในที่สุดก็พยายามหารือหาทางออกที่เหมาะสมกันได้เสียทีนะคะ” 


 


 


“ไม่รู้สิครับ ถ้าได้ลองไปก็คงจะรู้มั้งครับ” 


 


 


ขนาดใหญ่สิ จริงๆ น่าจะเป็นขนาดเล็กหรือเปล่า 


 


 


ภายนอก แม้จะบอกว่าเป็นของเผ่าโครยอก็ตาม แต่ความจริงแล้วเจ้าภาพคืออีฮโยอึลต่างหาก อย่างไรก็ดี แม้หล่อนจะรู้เบื้องหลังที่จบลงไปแล้วอย่างคร่าวๆ แต่ก็ยังไม่สามารถบอกความจริงกับหล่อนได้อยู่ดี ได้มีการพูดคุยกันในแต่ละเมืองแล้วและได้เข้าสู่การปฏิบัติจริงเรียบร้อย หรือก็คือว่า มาตรการแก้ปัญหาได้ออกมาแล้ว การเรียกรวมพลครั้งนี้เน้นไปยังพวกเร่ร่อนที่ผมพามาด้วยนั่นเอง 


 


 


“พี่ ต้องมีผู้ติดตามไหม” 


 


 


ในตอนนั้นอียูจองก็ถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ดูรู้สึกทะนงตนกับความจริงที่ว่าทุกคนต่างเชิญเมอร์เซนต์นารี่ไปร่วมด้วย 


 


 


“อืม มีสิ แต่ถึงจะมีก็เถอะ…” 


 


 


ผมหยิบบันทึกขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง ในบัตรเชิญได้ระบุผู้เข้าร่วมไว้เหมือนเช่นคำเชิญเรียกรวมพลที่พวกสิงโตทองเป็นเจ้าภาพเมื่อครั้งก่อน แต่ในครั้งนี้เพราะเป็นไปตามกฎระเบียบจึงแทบไม่มีคนไม่พอใจ 


 


 


ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มีผู้ที่ร่วมเดินทางไปด้วยได้อย่างแน่นอน ก่อนอื่นโกยอนจูและแพคซอยอนถือเป็นบุคคลสำคัญของการเรียกรวมพลในครั้งนี้ เพราะแบบนั้นการร่วมเดินทางของทั้งสองจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็ได้ถูกเขียนไว้ที่ปัจฉิมลิขิตในบรรทัดด้านล่าง ข้อความนั้นมีใจความที่เขียนด้วยลายมือว่าต้องการให้อันซลร่วมเดินทางไปพร้อมกัน ผมคิดว่าอีฮโยอึลคงจะเป็นผู้เขียนมันด้วยตนเอง 


 


 


 


 


 


ไม่ว่ายังไงก็คงจะมีความเกี่ยวข้องกับการสอบสวนสินะ… 


 


 


พอมาคิดถึงปฏิกิริยาของอีฮโยอึลที่เห็นอันซลเมื่อครั้งที่แล้ว ก็เหมือนจะยังมีอะไรที่คาใจผมอยู่ ผมจัดการความคิดตัวเองอยู่สักพักแล้วจึงเบนสายตาไปหาหล่อนที่นั่งอยู่ที่แถวด้านซ้าย 


 


 


อันซลทำเพียงยิ้มอ่อนๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว มองดูภาพที่ไร้ความกังวลนั้นแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาสองข้อ 


 


 


อันซลได้เป็นนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์ในรอบแรกได้อย่างไร และทำไมถึงไม่ปล่อยทวีปทางเหนือไว้แล้วข้ามไปยังโอดินแทน 


 


 


มีจุดที่น่าสงสัยมากมายให้จับพิรุธ แต่ผมจะหยุดความคิดไว้เพียงเท่านี้ก่อน มันไม่ใช่ปัญหาที่ผมจะสามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้ เพราะผมจะจัดการเองและต้องหาช่องทางในการโจมตีให้ได้ 


 


 


 


 


 


วันเรียกรวมพล 


 


 


ผมมาเยือนพรินซิก้าเป็นครั้งที่สอง หลังจากรอบที่สองได้เริ่มต้นขึ้น หากครั้งก่อนเป็นการมาเพื่อพบกับพี่ ครั้งนี้ก็เป็นการมาเพื่อเข้าร่วมในคำเชิญเรียกรวมพล 


 


 


ตอนนี้ถ้ามองข้ามต้นตอไป รอบที่หนึ่งกับรอบที่สองนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้าในอดีตผมเป็นผู้เล่นที่เถลไถลเรื่อยเปื่อยไปตามที่ต่างๆ แต่ในวันนี้ผมเป็นแคลนลอร์ดที่เข้าร่วมในการประชุมของเหล่าผู้เล่นที่เป็นผู้นำทวีปทางเหนือ 


 


 


เมื่อผมมุ่งหน้าไปยังแคลนเฮาส์ของโครยอ ผมรู้สึกแปลกมากกับความรู้สึกแตกต่างระหว่างครั้งแรกกับครั้งนี้ 


 


 


ตามที่ผมจำได้นั้น เราสามารถเดินช้าๆ จากวาร์ปเกตไปยังแคลนเฮาส์โดยใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาที แต่นี่พวกเราใช้เวลาไปตั้งเกือบสามสิบนาทีในการไปยังจุดหมาย นั่นเพราะแพคซอยอนไม่สามารถควบคุมสติได้จนเดินไม่ไหว หล่อนจึงเป็นอุปสรรคอย่างมากในการเดินทาง 


 


 


แม้ว่าจะช้าไปบ้าง แต่เราก็มาถึงแคลนเฮาส์ของโครยอกันได้เสียที ทันทีที่มาถึงประตูหน้า ผู้เล่นที่ประจำการอยู่ด้านหน้าก็เข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม ที่หน้าอกของพวกเขามีตัวอักษรสีฟ้าเขียนว่า ‘โครยอ’ ส่องแสงอยู่ 


 


 


“กรุณาแจ้งสถานะด้วยครับ” 


 


 


“คิมซูฮยอน แคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ครับ” 


 


 


เมื่อผมบอกสถานะของตนไปก็ปรากฏสีขึ้นวูบหนึ่งในดวงตาของเหล่าผู้เล่น พวกเขามองผมแล้วเลยไปยังคนอื่นๆ ที่มาด้วยกัน แล้วจึงก้มหัวให้อย่างนอบน้อม 


 


 


“ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญครับ เราจะนำทางพวกท่านเอง” 


 


 


“ขอบคุณครับ นี่เรามาสายไปมากเลยหรือเปล่าครับ” 


 


 


“ทุกท่านมาถึงกันหมดแล้ว แต่ยังมีบางท่านที่เพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่ด้วยครับ ทางที่ดีรีบเข้าไปจะดีกว่านะครับ ทางนี้เลยครับท่าน” 


 


 


ผมจับอันซลที่อ้าปากค้างกับขนาดของที่นี่ซึ่งใหญ่โตกว่าแคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่หลายเท่า แล้วลากหล่อนออกไป จากนั้นเริ่มเดินตามผู้นำทางที่เปิดประตูหน้าให้เรา 


 


 


ตอนนี้ชัดเจนว่าคือช่วงของสงคราม แต่หากมองดูพรินซิก้าหรือโมนิก้า ไม่สิ ภายในเมอร์เซนต์นารี่ในตอนนี้ก็คงไม่มีใครคิดว่ากำลังอยู่ระหว่างสงครามเป็นแน่ ‘ทองไม่รู้ร้อน’ คำพูดนี้ดูจะเป็นคำพูดที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วมั้ง 


 


 


หลังคำสั่งเรียกรวมพลของแม่ทูนหัว ความขัดแย้งที่อัดแน่นระหว่างเผ่าต่างๆ ดูจะส่งผลกระทบกับเหล่าผู้เล่นที่อาศัยอยู่ในเมืองด้วยเช่นกัน แม้เหล่าผู้เล่นที่ได้รับผลกระทบจะมีเพียงเล็กน้อย แต่ผมก็ยังสงสัยเหลือเกินว่า พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าพวกเขาได้รับรู้สภาพของเมืองต่างๆ ที่ถูกรุกราน 


 


 


พวกเราเดินผ่านที่ดินผืนใหญ่และเดินเข้ามาในตึกสูงใหญ่ที่ดูแล้วราวกับเป็นอาคารสำนักงานกลาง เราไม่ได้เดินขึ้นบันได คนของโครยอพาเข้ามาที่ชั้นหนึ่ง แล้วพาเลี้ยวไปยังระเบียงทางเดินด้านขวา นำทางผมไปยังที่ที่มีประตูใหญ่ที่ดูจะสูงเกินสามเมตร ด้านบนสุดของประตูมีตัวหนังสือแกะสลักว่า ‘ห้องประชุม’ เปล่งแสงสวยงามอยู่ 


 


 


“หูยยย” 


 


 


“…ผมจะเปิดประตูให้นะครับ” 


 


 


ผู้เล่นกลั้นยิ้มให้กับภาพของอันซลที่พ่นลมหายใจออกมาเพราะความตื่นเต้น ราวกับรู้สึกว่านั่นเป็นภาพที่น่ารักเหลือคณาแล้วจึงพูดต่อ ผมตั้งใจกล่าวคำขอบคุณกับผู้เล่นที่นำทางเรามา เพราะรู้ดีว่าการตัดสินคนที่ภายนอกไม่ว่าจะเล็กน้อยนั้นสำคัญเพียงใด 


 


 


“ครับ ขอบคุณมากครับ” 


 


 


“พูดอะไรเช่นนั้นครับ” 


 


 


ผู้เล่นตอบกลับอย่างสุภาพแล้วจับที่ลูกบิดช้าๆ ช่องว่างของบานประตูค่อยๆ เผยออก บรรยากาศหนักอึ้งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของห้องประชุมแผ่ออกมาปกคลุมรอบตัวผม ผมค่อยๆ เดินเข้าไปภายในพร้อมหายใจเข้าเต็มปอด 


 


 


ทันทีที่ผ่านประตูเข้ามา ภาพของห้องประชุมที่กว้างใหญ่ก็เข้ามาสู่สายตา เผยโฉมโครงสร้างภายในที่คล้ายกับโรงละครกลางแจ้งจนทำให้คิดถึงมันขึ้นมาทีเดียว แม้จะมีบริเวณกว้างกว่าห้องประชุมชั้นสี่ของเมอร์เซนต์นารี่ แต่จำนวนคนที่นั่งอยู่กลับน้อยมาก มีแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้น 


 


 


อย่างไรก็ตาม ณ ที่นั่งสำหรับผู้ทรงเกียรติด้านหน้า มีคนนั่งอยู่สามคน สองคนในนั้นคืออีฮโยอึลและโจซองโฮ ทูตของโครยอ ผู้ซึ่งรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี อีกคนที่นั่งทำหน้าเคร่งขรึมอยู่อีกข้างของหล่อนนั้น ผมจำไม่ค่อยได้ แต่สามารถคาดเดาได้ว่าคงเป็นแคลนลอร์ดแห่งโครยอ 


 


 


ผมเดินไปตรงกลางห้อง ทันทีที่มองซ้ายขวาช้าๆ อย่างพิจารณา ผมก็ได้รู้ว่ามีเผ่าที่เข้าร่วมคำเรียกรวมพลนี้มากกว่าที่คิด 


 


 


โครยอ เผ่าตัวแทนของพรินซิก้า เมืองทั่วไปทางตะวันออก, เผ่าเผ่าคืนเดือนหงายกับเผ่าฮัน เผ่าตัวแทนของดาน่ากับเอเดนซึ่งเป็นเมืองในสังกัด, เผ่าหมาป่าสีคราม เผ่าตัวแทนของคาน เมืองทั่วไปทางใต้, เผ่าซู ตัวแทนของโมนิก้าและโครันซึ่งเป็นเมืองในสังกัด และเผ่าอิสตันเทลลอว์ 


 


 


เผ่าตัวแทนไม่ได้มีเพียงแค่นี้ แต่เห็นว่ายังมีเผ่าที่มีชื่ออย่างแฮมิลหรือรีเวิร์สเข้าร่วมอีกด้วย อีฮโยอึลสามารถรู้สึกได้ถึงผลกระทบที่ส่งผลถึงตะวันออกและใต้ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมส่งสายตาทักทายให้กับผู้เล่นที่รู้จักกัน อย่างเช่น พี่และฮันโซยองในขณะที่ยังไม่หยุดเดิน 


 


 


ทันทีที่ผมหยุดฝีเท้าที่ตรงกลาง อีฮโยอึลที่นั่งกอดอกอยู่ก็ส่งรอยยิ้มแปลกประหลาดมาให้พร้อมเอ่ยปากพูด 


 


 


“ทุกคนฟังทางนี้ เนื่องจากแคลนลอร์ดของเมอร์เซนต์นารี่ ตัวเอกของการประชุมในวันนี้ได้มาถึงแล้ว ฉะนั้นฉันจะของเปิดการประชุมเลยแล้วกันนะ” 


 


 


เสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นกลางอากาศ ในห้องประชุมนี้ไม่มีที่ของผมหรอก ทั้งหมดมีเพียงเก้าอี้ที่ถูกวางเด่นไว้ตรงกลางเท่านั้น ผมได้พูดคุยเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรและได้ลากแพคซอยอนตรงไปที่เก้าอี้ 


 


 


หลังจากพยายามพาแพคซอยอนมานั่งที่เก้าอี้ ผมกลับต้องหยุดขยับตัวไปชั่วขณะ เพราะบนเก้าอี้มีบันทึกฉบับหนึ่งถูกวางเอาไว้ ผมหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสัย และมองเห็นอีฮโยอึลลุกขึ้นจากที่แล้วเดินมาทางผมทันทีหลังจากนั้น 


 


 


“ฉันแค่จะจัดคำถามให้น่ะ เพราะราชินีแห่งเงามืดได้กำหนดผู้เล่นที่สามารถถามคำถามได้ไว้แล้ว ทำแบบนั้นสะดวกกว่าไหม” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม