Memorize เล่ม 16 ตอน 9-15

เล่มที่ 16 ตอนที่ 9

 

ตั้งแต่ผมสามารถบุกเข้ามาได้ ผมก็เกิดความกังวลว่าควรจะไปเริ่มจากจุดไหนก่อนดี เพราะพวกมันกระจายตัวอยู่ทั้งสี่ทิศเลย ทันใดนั้นเองผมรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวของพลังเวทร้อนวูบวาบ พลังเวทนั้นกำลังแผดเผาอยู่ทั้งสองด้านรอบกายผม พอพิจารณาดูทั่วทั้งสี่ด้าน จึงเห็นเปลวไฟสองเส้นกำลังพุ่งเข้ามายังตัวผม หลังจากนั้นผมจึงรีบฟันดาบซ้ายขวาอย่างต่อเนื่องเพื่อปัดมันออกไป ก่อนที่เปลวไฟนั้นจะเข้ามาถึงตัว


 


 


เคร้ง! เคร้ง!


 


 


เสียงดังสนั่นหวั่นไหวบังเกิดขึ้น ผมมองไปยังเหล่านักเวทที่ถูกเฉือนอวัยวะ แล้วจึงได้ยินเสียงใครบางคนกำลังอดกลั้นไม่ให้มีเสียงครวญครางเล็ดลอดออกมา และในตอนนั้นเองเป็นช่วงที่พวกเร่ร่อนที่บุกเข้ามาทางด้านหลังตามมาไล่ล่าจับตัวผม


 


 


หลังจากที่ผมได้ส่งกระแสเวทมนตร์ไปยังเหล่านักเวทที่คอยร่ายเวทเข้ามา ผมจึงรีบหมุนตัวกลับทันทีทันใด และก็เจอพวกเร่ร่อนคนหนึ่งกำลังถือกระบองใหญ่โตมโหฬารที่มีแกนเหล็กแหลมยื่นออกมาปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า


 


 


ในช่วงที่พวกเร่ร่อนเข้ามาถึงตัวผมได้สำเร็จ มันใช้มือทั้งสองข้างหวดกระบองที่เต็มไปด้วยแสงสีฟ้าอย่างเต็มแรง แต่ถึงอย่างนั้นผมยังสามารถหมุนตัวมาทางซ้ายหลบหลีกได้ทัน ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ดาบของผมรับกระบองของมันได้อีกด้วย ทันใดนั้นข้อศอกของพวกมันจึงงอไปในทิศทางตรงกันข้าม แล้วหลังจากนั้นพวกมันจึงได้เห็นภาพที่หัวของตัวเองกำลังโดนตีแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมจึงออกแรงหมุนตัวโดยวางเท้าซ้ายเป็นแกน หลังจากนั้นก็เตะพวกมันเต็มแรงจนกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


 


ผัวะ!


 


 


“อึ้ก!”


 


 


ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างหนักๆ ตรงหลังเท้า ถึงจะไม่ได้เบนสายตาไปมอง แต่ในความรู้สึกคือมีดาบกำลังกวัดแกว่งอยู่ อีกทั้งยังรู้สึกว่ามีบางสิ่งเฉือนบางอย่างที่อ่อนนุ่มออกไป


 


 


สถานการณ์ในขณะนั้น ผมต้องวนอีกรอบหนึ่งเพื่อที่จะได้หมุนดูโดยรอบ แต่แล้วผมก็ได้หยุดการเคลื่อนไหวของร่ายกายพักหนึ่ง เพื่อที่จะได้หยุดพักหายใจให้ทัน


 


 


“ฟู่ว”


 


 


ทันทีที่ผมหันหน้ากลับไป จึงได้รู้ว่าแผนการกระดมยิงได้ถูกทำลายไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ


 


 


ผมเบนสายตาไปมองด้านหน้าครู่หนึ่ง แพคซอยอนฟุบอยู่กับพื้นราวกับว่าได้ตายจากไปแล้ว ส่วนที่ไกลๆ ฟากฝั่งนู้นมีเหล่าบรรดาต้นไม้ ป่าไม้น้อยใหญ่เจริญเติบโตอย่างกะทันหันเตะตาผม


 


 


ผมเอียงหัวไปมาอย่างใช้ความคิดพักหนึ่ง แต่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ไปใส่ใจอะไรกับสิ่งนั้นให้มากนัก ทั้งทักษะแฝง พรคุ้มครองแห่งสงคราม พรรคพวกของผมกำลังบอกให้ผมรู้ว่าพวกเขาปลอดภัยดี


 


 


ในบรรดาประมาณสี่สิบเอ็ดคน ซึ่งรวมแพคซอยอนอยู่ในนั้น มีอยู่ยี่สิบหกคนกำลังบุกเข้ามาหาผม มีกำลังพลเกือบสามสิบนายมุ่งหน้าเข้ามา แต่ทว่าพวกเร่ร่อนที่หลงเหลืออยู่ในขณะนี้ เหลือไม่มากเท่าไหร่แล้ว หากนับเป็นจำนวนก็คงเป็นเลขหลักหน่วยเท่านั้น ชัยชนะกำลังจะเป็นของเราแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดคือแพคซอยอนหมดสติอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงต้องมากำจัดพวกเร่ร่อนที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ให้เป็นเพียงธุลีไร้ค่าให้ได้ ผมจับความรู้สึกเพื่อค้นหาพลังเวท หลังจากที่สามารถจับสัญญาณของพวกเร่ร่อนได้แล้ว ผมจึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว


 


 


ตอนนี้จำเป็นจะต้องทิ้งอะไรให้ไว้ดูต่างหน้าเสียหน่อยแล้ว


 


 


“โกยอนจู ร่างกายยังไหวอยู่ใช่ไหมครับ”


 


 


ผมพูดกับโกยอนจูที่กำลังนั่งไม่เต็มก้นอยู่บนก้อนหิน ริมฝีปากหล่อนมีรอยเลือดซึมอยู่จางๆ โกยอนจูค่อยๆ หันมามองผมช้าๆ


 


 


“ยังพอทนได้ค่ะ ฉันเองก็พอรู้เรื่องการระดมยิงมาบ้างนะคะ แต่พอเจอจริงๆ แล้วน่ากลัวไม่ใช่เล่นเลย แล้วซูฮยอนล่ะคะ ไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


ผมพยักหน้าตอบกลับ


 


 


“แล้วเรื่องความเสียหายล่ะครับ”


 


 


“สามคนครับ สมาชิกเผ่าของเราปลอดภัยดี”


 


 


“สามคนงั้นเหรอ ไม่เลวเลยนี่”


 


 


สงครามของพวกสะกดรอยได้เสร็จสิ้นลงแล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตของพวกเร่ร่อนคือสามสิบเก้าคน ส่วนคนเจ็บและไม่ได้สติมีอยู่สิบเอ็ดคน ผู้เล่นที่เสียชีวิตมีเพียงสามคนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สงครามการต่อสู้ระหว่างพวกเร่ร่อนกับผู้เล่นได้สิ้นสุดลง โดยชัยชนะตกเป็นของผู้เล่นอย่างสมบูรณ์แบบ


 


 


“ถ้าดูแต่ผลลัพธ์ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วค่ะ ฉันเองเกือบจะโดนลูกหลงจากการระดมยิงอยู่ครั้งหนึ่ง แต่โชคดีที่ผู้ชายคนนั้นคอยช่วยบรรเทาความเสียหายไปได้ค่ะ”


 


 


คนที่โกยอนจูพูดถึงคือ โจซึงอู เขาตั้งใจตั้งรับในสมรภูมิรบในช่วงที่กำลังดุเดือดสุดๆ ด้วยเหมือนกัน บางทีป่าไม้รกทึบที่ผมเห็น อาจเป็นพลังเวทที่โจซึงอูปลุกขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันก็เป็นได้


 


 


“ซูฮยอน ว่าแต่”


 


 


“ครับ”


 


 


“ทำไมถึงปล่อยให้พวกเร่ร่อนรอดชีวิตถึงสิบเอ็ดคนเลยล่ะคะ”


 


 


“พวกมันยังมีค่าพอที่จะให้รอดชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไงละครับ ตอนนี้พวกเรากำลังขาดข้อมูลบางอย่างอยู่”


 


 


“ถึงจะว่าแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่ามัน…”


 


 


แม้สีหน้าของโกยอนจูจะเห็นด้วยกับผมก็จริง แต่ทว่าผมยังมองเห็นสีหน้ากังวลเล็กๆ ของหล่อน ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมผมถึงล่วงรู้ความกังวลของหล่อนได้


 


 


“ถึงจะบอกให้ทิ้งศพไปอย่างไร…แล้วพวกเร่ร่อนที่หมดสติอยู่ล่ะคะ จะทำอย่างไรดีคะ”


 


 


“ผมได้สั่งให้เอาพวกมันไปรวมกันไว้ตรงสถานที่แห่งหนึ่งแล้วครับ และสั่งให้ถอดเสื้อผ้าทิ้งไปให้หมดอีกด้วย”


 


 


“หืม แล้วอุปกรณ์ล่ะคะ”


 


 


“อืม…ก็มีอยู่บ้างครับ แต่…”


 


 


“…แต่?”


 


 


ผมมีความคิดว่าจะเอาอุปกรณ์ทั้งหมดเก็บกลับไปด้วยอยู่แล้ว เพราะว่าของชิ้นไหนที่เสียหายไปแล้วในช่วงสงคราม เราก็ใช้การอะไรมันไม่ได้อยู่ดี ส่วนของที่ยังเหลืออยู่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ผมคาดหวังอยากจะใช้ทั้งสิ้น


 


 


แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะข้อมูลหรืออุปกรณ์ ล้วนกลายมาเป็นปัญหาที่สองในตอนนี้ โดยเฉพาะการล้วงข้อมูล ผมมีอะไรบางอย่างที่จะต้องทำก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่เราจะสามารถล้วงข้อมูลนั้นมาได้


 


 


ผมหักคอตัวเองซ้ายที ขวาที แล้วจึงลุกขึ้นยืนจากตรงก้อนหิน บิดไล่ความขี้เกียจออกไปสักเล็กน้อย แล้วจึงเปิดปากพูดว่า


 


 


“ก่อนอื่นผมคิดว่าเราจะต้องทำลายเวทมนตร์ย้อนกลับของพวกมันเสียก่อนครับ”


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


สถานการณ์ในตอนนี้เรียกได้ว่าจะดีก็ว่าดี แต่จะว่าแย่ก็ได้เช่นเดียวกัน พวกเร่ร่อนผ่านเลยตัวคิมซูฮยอนไป หลังจากนั้นจึงเข้าบุกที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่ ไม่รู้ว่าเนื่องด้วยสาเหตุอันใด พวกมันถึงไม่เป็นฝ่ายรุกในการบุกครั้งนี้ หากจะให้ว่ากันตรงๆ คือเป็นการเคลื่อนตัวเข้าใกล้เพื่อสกัดกั้นอะไรบางอย่างก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์การต่อสู้ในตอนนี้อยู่ในขั้นสูสี โดยศักยภาพในการรบของพวกเร่ร่อนนั้นล้วนอยู่ในค่าเฉลี่ยระดับบน ซึ่งเหนือกว่าเหล่าผู้เล่นทั้งสิ้น


 


 


หากลองเทียบดูแล้ว สิ่งที่เหล่าผู้เล่นนำหน้ากว่าพวกเร่ร่อนมีอยู่สองสิ่งด้วยกัน คือความเป็นทีมและราชินีแห่งเงามืด มีบ้างบางครั้งที่ทั้งการสนับสนุนของพวกนักเวทกับนักบวชและโกยอนจูนได้ปลุกพลังเงามืดขึ้นมา ซึ่งหากพวกเขาไม่เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ในสมรภูมิรบแล้วล่ะก็คงมีที่ใดที่หนึ่งโดนอีกฝ่ายกุมเอาชัยชนะไปแล้วก็เป็นได้


 


 


แต่ทว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง สถานการณ์การต่อสู้ที่จากแต่เดิมสูสีคู่คี่กัน กลับพลิกมาเป็นกระแสการต่อสู้อย่างดุเดือดไปเสียได้


 


 


โกยอนจูเงยหน้ามองด้านบน ใบหน้าของหล่อนชื้นไปด้วยเหงื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคลื่นความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากท้องฟ้าหรือไม่ บนท้องฟ้านั้นมีแสงสว่างส่องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดกำลังรวมตัวกันอยู่เป็นก้อนกลมๆ


 


 


โกยอนจูจึงควักไทร์ฟิงค์ออกมา หล่อนจำต้องบังคับจิตใจตัวเองในการใช้ดาบ เนื่องจากหล่อนไม่มั่นใจกับการใช้ไทร์ฟิงค์ของตัวเองเลย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ต่างไปจากเดิมแล้ว คลื่นความร้อนสัมผัสเข้าใบหน้าจนรู้สึกได้เมื่อครู่นี้กำลังค่อยๆ เพิ่มระดับความร้อนวูบวาบมากขึ้น อีกทั้งพวกเร่ร่อนยังบุกเข้ามาทางด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


 


 


หล่อนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง หากทำให้สำเร็จไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องพังทลายหมดแน่ ตอนนี้ไม่มีเวลามานั่งคิด ไม่มีเวลาให้หยุดพักอีกต่อไปแล้ว โกยอนจูจึงไม่รอช้า รีบปลุกพลังเวทเข้าสู่ไทร์ฟิงค์อย่างสุดกำลัง พร้อมกับกระซิบเบาๆ ว่า


 


 


“ฟิงค์ฟิงค์จ๋า ช่วยอดทนหน่อยได้ไหม”


 


 


ชริ้ง!


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นคำตอบของคำถามเมื่อครู่นี้หรือไม่ เพราะไทร์ฟิงค์ส่งเสียงออกมาราวกับจะฉีกกระชากอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นพลังเวทอันแสนน่ากลัวก็ค่อยๆ เริ่มแผ่ซ่าน


 


 


กลุ่มเงามืดที่คอยช่วยเหลือเหล่าผู้เล่นเริ่มหมุนล้อมทั่วบริเวณโดยรอบ ความเร็วในการหมุนวนเป็นวงกลมค่อยๆ ไต่ระดับความเร็วมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นก็ขยับหมุนวนอย่างรวดเร็วมากจนไม่สามารถมองได้ทันเลยทีเดียว


 


 


โกยอนจูผ่าทะลุเข้าไปตรงกลางกลุ่มเงาดำที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อครู่ ทันใดนั้นกลุ่มเงามืดที่หมุนวนไล่มาตั้งแต่พื้นเมื่อครู่นี้กลับกลายเป็นเพียงก้อนดำๆ ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ หลังจากนั้นก้อนดำเหล่านั้นจึงเริ่มโผบินขึ้นมาอย่างช้าๆ จากด้านล่าง


 


 


ในขณะที่ม่านมืดได้เข้ามาปกคลุมห้อมล้อมบริเวณที่อยู่ของเหล่าผู้เล่น การระดมยิงของพวกเร่ร่อนก็ได้ปะทะเข้ากับม่านที่ล้อมรอบม่านมืดแห่งนี้


 


 


กึก!


 


 


ณ ตอนนั้นโกยอนจูเกือบจะส่งเสียงครวญครางออกมาอย่างที่หล่อนไม่รู้ตัว แต่แล้วหล่อนก็กัดปากอดทนอดกลั้นเอาไว้ได้ ทั้งพลังเวทและลูกธนูจำนวนมากที่คอยปิดกั้นเส้นทางต่างประเดประดังเข้ามา ซึ่งทุกครั้งที่สิ่งเหล่านั้นกระทบเข้ากับม่านมืดแห่งนี้ หล่อนรู้สึกกระวนกระวายอยู่ข้างใน


 


 


ค่าพลังเวทของโกยอนจูอยู่ที่เก้าสิบสามพอยต์ ซึ่งอาจมีคนสองคนในบรรดาพวกเร่ร่อนที่มีค่าพลังเวทสูงมากกว่าหล่อนก็เป็นได้ พลังเวทที่พุ่งเข้ามาเองก็ไม่ได้มีแค่นัดสองนัด หากรวมลูกธนูเข้าไปด้วยแล้ว ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่มีจำนวนเยอะมากๆ หากลองคำนึงถึงสิ่งเหล่านั้น แล้วหันกลับมามองไทร์ฟิงค์ จะพบว่าอานุภาพของไทร์ฟิงค์สุดยอดเหลือเชื่อมาก แม้จะถูกไล่ต้อนอย่างไร แต่ก็ยังสามารถอดทนต่อแรงของลูกธนูที่ถูกยิงเข้ามาได้อย่างดี


 


 


และตอนนั้นเอง


 


 


ฟิ้ว! เพล้ง!


 


 


บางส่วนของม่านมืดได้ถูกเจาะทะลุ จนกิดเสียงแตกของกระจกดังขึ้น พรัอมกับหอกที่ร้อนราวกับไฟขาวโผล่เผยตัวออกมา ปลายหอกแบ่งออกเป็นสองทาง โดยตรงกลางจะมีประกายสีเหลืองอำพันกะพริบเป็นระยะๆ และเจ้าหอกนี้เองที่ได้จุดระเบิดลูกใหญ่เพื่อเจาะทะลุม่านมาเมื่อครู่นี้ โกยอนจูทุ่มสุดกำลังเพื่อเสริมเกราะป้องกันให้กับสถานที่ที่ถูกฉีกขาดแห่งนี้ แต่ทว่าเจ้ารูนั้นกลับเอาแต่ขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุดหย่อน


 


 


โกยอนจูรู้สึกว่าแขนและมือของตนกำลังเ**่ยวย่นขึ้นทีละน้อยๆ เข้าขั้นวิกฤติเสียแล้วสิ เป็นเพราะม่านเงามืดถูกกระเทาะเข้ามาแน่ๆ สถานการณ์จึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ คำสั่งต่างๆ ที่ดังมาจากรอบข้างนั้น หล่อนทั้งได้ยินและล้วนจดจำคำที่ว่านั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถขวางกั้นมันได้อยู่ดี โกยอนจูจึงได้แต่กัดปากอดทน เพราะคิดว่าในท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องปกป้องสมาชิกเผ่าให้ได้


 


 


“ได้แล้วครับ! ช่วยอดทนรอหน่อยนะครับ!”


 


 


โกยอนจูหันขวับกับคำพูดของโจซึงอู ถึงแม้จะมีหยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า แต่เขาก็ยังส่งยิ้มมาให้ เขาแกว่งมือซ้ายไปมาเบาๆ เหมือนกับว่าอยากจะให้ไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งสี่ด้าน หลังจากไฟนั่นจึงค่อยๆ ซึมลงไปในดิน


 


 


“จงเติบโต ณ บัดนี้!”


 


 


เกิดการเปลี่ยนแปลงของอะไรบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงเย็นๆ ซื่อๆ ที่ได้ยินอยู่ในหู เริ่มมีต้นอ่อนผลิงอกขึ้นมาบนผืนดินอันแสนเย็นชืด เจ้าสิ่งนั้นได้เติบโตกลายมาเป็นใบแรกผลิในเวลาต่อมา หลังจากนั้นต่างต้นต่างก็เจริญเติบโตขึ้น บางต้นแปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้ บางต้นกลายเป็นหญ้า และบางต้นเติบโตขึ้นมาเป็นต้นไม้สูงใหญ่


 


 


และแล้วในช่วงเวลาอันแสนสั้น จึงบังเกิดป่าไม้ใหม่ถูกสรรสร้างขึ้นมาบริเวณโดยรอบเหล่าผู้เล่น ทั้งเหล่าผู้เล่นและพวกเร่ร่อนต่างก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่นี้ด้วยสายตาตกตะลึง


 


 


“ปฏิบัติตามที่ตกลง!” (Contract, Execute!)


 


 


พรึ่บ!


 


 


และในตอนที่ได้ยินเสียงตะโกนของโจซึงอูเช่นนั้นเอง พลังเวทอันแสนยิ่งใหญ่ได้เกิดการสั่นสะท้าน ส่งเสียงดังไปทั่วทุกสารทิศ พร้อมกันนั้นเหล่าต้นไม้ใบหญ้าที่เจริญเติบโตเมื่อครู่ ต่างก็เริ่มส่องแสงประกายสีฟ้าออกมา

 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 10

 

“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ จัดการให้เสร็จเรียบร้อยตามที่สั่งแล้วครับ พวกเร่ร่อนที่ยังรอดชีวิตอยู่ ผมได้ถอดเสื้อผ้าของพวกมันออกจนหมด แล้วเอามาวางเรียงเป็นแถวให้แล้วครับ”


 


 


“ลำบากคุณเสียแล้วสิ ขอบคุณมากครับ”


 


 


“ฮ่าๆ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรหรอกครับ ถ้าไม่ใช่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่กับราชินีแห่งเงามืด ผมก็คงตายไปแล้วละครับ ขอบคุณจริงๆ ครับ”


 


 


โจซึงอูโบกมือปฏิเสธแล้วตอบกลับมาอย่างนอบน้อม หลังจากที่สามารถชำระแค้นกับพวกเร่ร่อนได้สำเร็จแล้ว ผมสังเกตได้ว่าท่าทางของเหล่าผู้เล่นมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้ยังดูท่าทางลำบากใจ ยุ่งยากในการรับมือกับพวกมันอยู่เลย แต่แล้วในที่สุดลักษณะท่าทีเช่นนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป


 


 


ผมกับโจซึงอูเดินเข้ามายังด้านในสุด พร้อมกับมองไปยังต้นไม้ใบหญ้ารกทึบที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ผมเองก็พอทราบเกี่ยวกับเวทมนตร์ชนิดนี้อยู่เหมือนกัน พอใช้เวทมนตร์เสร็จสิ้นแล้ว หากจะให้พลังเวทนั้นเลือนหายไป ก็ย่อมเสกให้มันหายไปได้ แต่การที่พลังเวทเหล่านั้นยังคงแสดงฤทธิ์เดชได้จนกระทั่งถึงตอนนี้ ทำเอาผมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจใช้ดวงตาที่สามในการตรวจสอบข้อมูลของเขาอีกครั้ง


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น(Player Status)


 


 


1.ชื่อ(Name) : โจซึงอู (ปีที่ 3)


 


 


2.คลาส(Class) : นักเวททั่วไป (Normal, Mage, Expert)


 


 


3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า


 


 


4.ชนเผ่า(Clan) : คาร์อนนูรี (Clan Rank : C Plus)


 


 


5.นามแท้ • สัญชาติ : ผู้ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป • สาธารณรัฐเกาหลีใต้


 


 


6.เพศ(Sex) : ชาย (25)


 


 


7.ส่วนสูง • น้ำหนัก : 185.1 ซม. • 87.2 กก.


 


 


8.อุปนิสัย : ดี • ไขว่คว้าโอกาส (Good • Chance)


 


 


[พละกำลัง 48] [ความทนทาน 42] [ความคล่องแคล่ว 51] [ความแข็งแกร่ง 46] [พลังเวท 89] [โชค 78]


 


 


คะแนนพลังเหลือ 0 พอยต์


 


 


 


 


ไม่รู้ว่าเขาตีความการทอดสายตามองของผมไปในทิศทางความหมายอื่นหรือไม่ โจซึงอูส่งยิ้มมาให้แปลกๆ พร้อมชูมือขวาขึ้น มีเพชรแสงสีฟ้าอ่อนฝังอยู่ที่หลังมือของเขา โจซึงอูมองเพชรเม็ดนั้นด้วยสายตาที่แสนจะคลุมเครือ หลังจากนั้นจึงใช้นิ้วชี้หยิบเพชรออกมา


 


 


“เจ้าสิ่งนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วสินะ”


 


 


“ครับ?”


 


 


โจซึงอูหยิบเพชรเม็ดนั้นที่ฝังอยู่กับมือขวาออกมา ก่อนที่ผมจะได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกไป ทันทีที่เพชรเม็ดนั้นถูกเอาออกมาได้สำเร็จ ที่หลังมือของเขาจึงบังเกิดหลุมเล็กๆ พร้อมกับมีเลือดไหลซึมออกมา


 


 


“เมื่อก่อนนี้ผมมีวาสนาได้พบเข้ากับเพชรเม็ดนี้เข้าน่ะครับ เจ้าเพชรเม็ดนี้น่ะหว่านพวกเมล็ดพันธุ์ต่างๆ แล้วควบคุมให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเจริญเติบโตขึ้นมาได้ อีกทั้งยังมีพลังเวทที่ช่วยสรรสร้างม่านกำบังให้อีกด้วยครับ”


 


 


“ใช้ได้แค่ครั้งเดียวเหรอครับ”


 


 


“ครับ อ้า ก็ปกติครับ แทนที่ผมจะใช้เพชรให้พาผมรอดชีวิตกลับมา แต่แล้วผมกลับรอดชีวิตมาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นผมจึงมองว่าผมใช้มันได้อย่างเหมาะสมแล้วครับ ต้นไม้ ป่าไม้ที่เห็นเมื่อครู่นี้ หากพลังเวทที่ยังหลงเหลืออยู่ในเพชรเม็ดนี้มีค่าลดต่ำลงไป ก็จะทำให้ป่าไม้พวกนั้นหายไปตามธรรมชาติของมันครับ”


 


 


ผมรู้สึกได้ถึงสีหน้าที่แสดงออกซึ่งความเสียดายอยู่เล็กน้อย แต่นั่นเป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้ว ผมจึงพยักหน้าตอบรับช้าๆ


 


 


เท้าของโจซึงอูหยุดการเคลื่อนไหวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สถานที่แห่งนี้ยังคงห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้รกทึบดังเดิม และยังเป็นสถานที่เดียวกันกับที่เหล่าผู้เล่นและพวกเร่ร่อนไปเปิดฉากสู้รบกันอย่างดุเดือดเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ด้วย มีพวกเร่ร่อนทั้งหมดสิบเอ็ดคนนอนเหยียดอยู่ตรงใจกลาง อุปกรณ์ทุกชิ้นล้วนถูกถอดออกไปหมดแล้วทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังแสดงถึงมารยาท โดยการเหลือชุดชั้นในเอาไว้ปกปิดส่วนสำคัญ


 


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมจะต้องทำตอนนี้คือการทำลายระบบหมุนเวียนเวทมนตร์ของพวกเร่ร่อน เหล่าผู้เล่นทุกคนล้วนมีระบบหมุนเวียนเวทมนตร์แฝงอยู่ภายในทั้งสิ้น หากจะให้แจงอย่างละเอียดมากกว่านี้สักเล็กน้อย คือในร่างกายของเหล่าผู้เล่นนั้นจะมีจุดเลือดลมไหลเวียนอยู่ ซึ่งพละกำลังต่างๆ ก็จะไหลผ่านเจ้ารูนี้เช่นกัน และหากรวมเส้นทางที่พละกำลังจะไหลเวียนผ่านทั้งหมดแล้ว เราจะเรียกเจ้าสิ่งนั้นว่ากลุ่มเลือด


 


 


ส่วนคำว่าระบบหมุนเวียนนั้น คงจะดีกว่าหากเราเรียกมันว่าเป็นเส้นทางการไหลเวียนชนิดหนึ่งที่เริ่มแพร่กระจายมาตั้งแต่หัวใจ หากอิงตามคำพูดของเหล่าฑูตสวรรค์ พวกเขาบอกว่าพละกำลังจะถูกหมุนเวียนผ่านหัวใจได้โดยพลังเวท และเมื่อไหลผ่านระบบหมุนเวียนนั้นแล้ว พละกำลังนั้นจึงจะแสดงพลังของตัวเองออกมา


 


 


วิธีที่จะทำลายมีอยู่มากก็จริง แต่ทว่าวิธีที่สามารถเลือกได้ในตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดสามวิธี คือ หัวใจ, กลุ่มเลือด และระบบหมุนเวียนเวทมนตร์ ซึ่งวิธีที่ผมได้เลือกในบรรดาสามวิธีนี้คือการเข้าไปยุ่งกับระบบหมุนเวียนเวทมนตร์ของพวกมัน ในส่วนอื่นๆ ที่ผมไม่ได้เลือกก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ในกรณีที่เข้าไปจัดการกับหัวใจหรือกลุ่มเลือดนั้น มีโอกาสสูงมากถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ถึงอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าระบบหมุนเวียนเวทมนตร์จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ เพียงแค่ในบรรดาสามวิธีที่ว่านั้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว


 


 


ร่างกายที่แทบจะเปลือยหมดร่างของพวกเร่ร่อนสะท้อนกับแสงจันทร์ หลังจากนั้นจึงปรากฏแสงนวลๆ ออกมา พวกเร่ร่อนชายมีอยู่หกคน ส่วนพวกเร่ร่อนหญิงมีอยู่ห้าคน


 


 


ผมกวาดสายตามองโดยรอบ ก่อนที่จะเดินตรงไปยังพวกเร่ร่อนชายที่อยู่ด้านซ้ายสุด ผมมองเหล่าผู้เล่นที่รอดชีวิตมาได้ ยกเว้นสามคนที่ตายไปแล้ว พวกเขาล้วนมีสีหน้าดีใจที่ได้มีชีวิตอยู่ต่อ พร้อมกับมองไปยังพวกเร่ร่อนด้วยสายตาที่แฝงไว้ซึ่งความคาดหวังอะไรบางอย่าง และในบรรดาผู้เล่นเหล่านั้นมีอันซลรวมอยู่ด้วย


 


 


“คุณผู้เล่นโจซึงอู”


 


 


“อ๊ะ ครับ”


 


 


“ไม่ทราบว่าคุณได้เก็บอุปกรณ์ที่อยู่กับศพไปหรือยังครับ”


 


 


“ครับ? ไม่นี่ครับ ยัง…”


 


 


สายตาของพวกผู้เล่น รวมถึงโจซึงอูจดจ้องมาทางผม ที่พูดเสียงสูงขึ้นมาเพราะอยากจะให้ทุกคนตั้งใจฟังโดยเฉพาะ


 


 


“หากไม่ลำบากพวกคุณเกินไป อยากจะขอให้ทุกคนช่วยเก็บรวบรวมอุปกรณ์ที่ศพพวกนั้นใช้งานมาได้ไหมครับ ขอความกรุณาด้วยครับ”


 


 


“ได้อยู่แล้วครับผม แต่ถ้าคุณคิดว่าจะนำอุปกรณ์ไปด้วย มันจะไม่เยอะเกินไปหน่อยเหรอครับ ถึงจะไม่รวมพวกอุปกรณ์ที่พังไปแล้วก็เถอะ…”


 


 


“ดังนั้นความช่วยเหลือของทุกคนที่อยู่ที่นี่จึงจำเป็นยังไงละครับ หากช่วยนำอุปกรณ์เหล่านั้นไปด้วย แล้วเมื่อไหร่ที่เราถึงเมือง ผมจะตอบแทนให้เองครับ”


 


 


“อ้า…”


 


 


วินาทีที่ผมพูดจบ เหล่าผู้เล่นบางส่วนจึงมีแววตาที่แสดงถึงความประหลาดใจ สิ่งที่เหล่าผู้เล่นสูญเสียไปจากการบุกโจมตีของพวกเร่ร่อนในครั้งนี้คงจะมีอยู่ไม่น้อย ณ เวลานี้เราจะต้องร่วมมือและปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน แต่ทว่าเมื่อเดินทางถึงเมืองแล้ว คงเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น หรือไม่ก็แทบไม่ต่างจากเดิมอะไรมากนัก ส่วนเรื่องของตอบแทนที่ว่านั้น เป็นคำพูดที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเกินคำบรรยายก็จริง แต่ทว่าก็เปรียบเสมือนการให้โอกาสที่สามารถจะนำสิ่งของที่สูญหายไป กลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง


 


 


หลังจากที่ผมพูดในส่วนของตัวเองจบ ผมจึงหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นก็ได้เห็นโกยอนจูกำลังพิงกายอยู่กับต้นไม้


 


 


‘โกยอนจู ฝากเรื่องอุปกรณ์ด้วยนะ’


 


 


‘ไม่ต้องเป็นห่วง เชื่อใจฉันเถอะค่ะ ซูฮยอน’


 


 


จะว่าแกล้งก็ได้ เหมือนแค่หล่อนมองตาผม หล่อนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความต้องการของผม โกยอนจูส่งยิ้มสดใสมาให้ ก่อนที่จะเริ่มเดินไปยังสถานที่ที่ศพถูกกองทิ้งไว้ ผมได้ส่งมอบภาระหน้าที่ให้หล่อนก็จริง แต่การกระทำเช่นนี้แทบไม่ต่างอะไรกับการผลักภาระให้เลย เหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ก็ดูจะรู้ทันสิ่งนี้ พวกเขาจึงเริ่มเดินไปทีละคน สองคน และแน่นอนว่ายังคงมีผู้เล่นบางส่วนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม


 


 


“อันซล เธอด้วย”


 


 


“ทะ ท่านพี่”


 


 


“คิมฮันบยอล และท่านผู้เฒ่าด้วย ช่วยพาอันซลไปด้วยนะครับ”


 


 


“รับทราบ”


 


 


คิมฮันบยอลพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไร ส่วนท่านผู้เฒ่าก็ตอบรับเบาๆ กลับมา ผมมองอันซลที่ถูกทั้งสองคนจูงหายลับไป พร้อมกับใช้ดวงตาที่สามมองผ่านร่างพวกเร่ร่อน


 


 


ตอนนี้พื้นที่ว่างเปล่าได้กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้างที่มีเพียงแค่ผมกับพวกเร่ร่อน ผมมุ่งหน้าไปหาพวกเร่ร่อนที่นอนอยู่ริมสุด แต่แล้วกลับค้นพบอะไรบางอย่าง จึงเคลื่อนตัวไปยังจุดศูนย์กลาง ข้างใต้นี้มีชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ ดูทรงแล้วคงเป็นนักสู้ระยะประชิด ผมย่อตัวลงพลางมองเขา แล้วกดไปที่แขนของเขาอย่างเต็มแรง หลังจากนั้นจึงวางมือลงบนหน้าอกอันเกลี้ยงเกลา ผิวหนังของเขากำลังสั่นไหวเบาๆ อะไรบางอย่างขึ้นมาปะทะเข้ากับฝ่ามือของผม


 


 


“ฉันรู้แล้วว่าแกรู้สึกตัวแล้ว”


 


 


“…!”


 


 


ร่างกายของพวกเร่ร่อนสะดุ้งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงกลับมาแข็งทื่อดังเดิม ผมจึงใช้พลังเวทแทรกซึมเข้าไปยังภายในของพวกเร่ร่อนอย่างไม่รอช้า เดิมทีแล้วการทำให้ระบบหมุนเวียนเวทมนตร์ใช้การไม่ได้นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเอาการ เพราะถึงเราจะต้องนำพลังเวทเข้าสู่ระบบหมุนเวียนอย่างไรก็ตาม แต่แล้วการกะปริมาณว่าควรนำเข้าไปประมาณเท่าไหร่นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก


 


 


แต่ผมมีดวงตาที่สาม หากพวกเร่ร่อนที่อยู่ตรงหน้าผมนี้มีพลังเวทอยู่ที่แปดสิบห้า ในกรณีเช่นนี้ผมจึงสามารถตัดพลังเวทที่อยู่ในช่วงระดับต่ำกว่าแปดสิบห้าสักเล็กน้อยได้ และจากตรงนี้ หากใส่พลังเวทเข้าไปอีกเล็กน้อย อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งหากใส่ในปริมาณต่ำเกินไป อย่างน้อยก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาพปกติ


 


 


“อย่าลืมตา ลืมตาเมื่อไหร่ แกตายแน่”


 


 


หนังตาของพวกเร่ร่อนเริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ ที่เข้ามาภายในร่างกายของตัวเอง ผมจึงกดเข่าที่กำลังกดทับแขนทั้งสองข้างของพวกเร่ร่อนให้แรงมากยิ่งขึ้น พร้อมกับมองภายในตัวพวกมันอย่างสังเวช เมื่อถึงจังหวะที่ผมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ผมจึงไม่ลังเลที่จะทำให้พลังเวทที่แทรกซึมในตัวพวกมันปะทุออกมา เพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรที่จะต้องมาถ่วงเวลา ผมเพียงแค่อยากจะพักผ่อนเร็วๆ เท่านั้น


 


 


ปัง! ปัง!


 


 


“อึก อ๊ากกก! อ๊ากกก!”


 


 


ตูม!


 


 


วินาทีที่ระเบิดปะทุ ร่างกายของพวกเร่ร่อนก็พองบวม ทั้งปาก ดวงตา จมูกต่างก็มีเลือดไหลออกมา พวกเร่ร่อนคนนี้ส่งเสียงกรีดร้อง บิดร่างกายไปมาอย่างทรมานราวกับร่างกายจะฉีกขาดออกจากกัน ตาถลนออกมาจากเบ้า ลิ้นห้อยออกมาจากปาก และด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างสาหัสเช่นนี้ จึงทำให้หมดสติอีกรอบ


 


 


“ไปแล้วหนึ่ง”


 


 


ผมจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้งหลังจากตรวจยืนยันระดับความเสียหายของระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์เสร็จแล้ว ยังเหลืออยู่อีกประมาณสิบเอ็ดคน ซึ่งแน่นอนว่าแพคซอยอน คนที่สำคัญที่สุดก็รวมอยู่ในนั้นด้วย 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 11

 

แสงแดดส่องผ่านเข้ามาสะท้อนกับโต๊ะตัวหนึ่ง โต๊ะตัวนั้นมีอะไรสีขาวๆ บางอย่างกำลังนอนหมอบอยู่ และสิ่งนั้นคือยูนิคอร์นน้อยที่คิมซูฮยอนพามาด้วย เจ้ายูนิคอร์นน้อยมีสีหน้าหมดกำลังใจ ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ได้แต่เอาหัวมุดอยู่กับโต๊ะ มีขยับตัวมาขยี้แก้มบ้าง ดมกลิ่นนู่นนี่ ร้องไห้น้ำตาไหลบ้างก็ยังมี ดูท่าทางแล้วเหมือนกำลังคิดถึงใครบางคนอยู่


 


 


และแล้วเจ้ายูนิคอร์นน้อยที่เอาแต่นอนอยู่บนโต๊ะมาพักหนึ่ง โดยที่คิดอะไรไม่ออกเลยก็ผงกหัวขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะว่ามันได้ยินเสียงคนเดินเตาะแตะๆ ดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู


 


 


ตึง!


 


 


“กยูกยู ยังอยู่ที่นี่อีกหรอเนี่ย”


 


 


ประตูเปิดดังปัง พร้อมกับเสียงอันแสนสดใสราวกับสาวน้อยดังขึ้นมา คนที่เปิดประตูเข้ามาคือแพคฮันกยอลนั่นเอง เจ้ายูนิคอร์นน้อยทำหน้าผิดหวัง หลังจากนั้นจึงก้มหัวลงไปมุดกับโต๊ะอีกครั้ง


 


 


แพคฮันกยอลดับไฟของไลท์สโตนที่กำลังส่องแสงมาจนถึงตอนนี้ หลังจากนั้นจึงมองมาบนโต๊ะ เขาถอนหายใจออกมา พร้อมกับเดินย่องเข้าไปหายูนิคอร์นน้อย


 


 


“กยูกยู ถ้านายยังเป็นอยู่แบบนี้ แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะเนี่ย อย่างน้อยก็กินข้าวกินปลาเสียบ้างสิ หืม?”


 


 


“ฮี้…”


 


 


แพคฮันกยอลเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน พร้อมกับวางจานอาหารลง แต่เจ้ายูนิคอร์นน้อยกลับไม่เหลียวแลเลย มิหนำซ้ำยังส่งเสียงร้องหงิงออกมาเบาๆ หางที่เคยส่ายไปส่ายมา ตอนนี้กลับได้แต่แกว่งไปมาเบาๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง เป็นสัญญาณว่าเจ้ายูนิคอร์นน้อยนี้ไม่อยากกินอะไรแล้ว


 


 


“ฉันบอกไปแล้วนี่นาว่าพี่ไม่ได้ทิ้งนายเสียหน่อย แค่เผอิญพัวพันอยู่กับอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เลยติดต่อไม่ได้แค่นั้นเอง”


 


 


“ฮี้ ฮี้”


 


 


“อย่าเครียดไปเลยน่า ยังไงพี่จะต้องกลับมาแน่นอน ทั้งพี่ฮายอน พี่ซังยง พี่ยูจอง พี่อันฮยอน พี่วิเวียนต่างก็ออกตามหาอยู่ไม่ใช่หรือไงล่ะ ยังไงพี่ต้องกลับมาแน่นอน แล้วถ้าพี่เขากลับมาเจอนายในสภาพแบบนี้ เขาจะชอบใจไหม”


 


 


“…ฮี้”


 


 


คำพูดนี้เหมือนจะได้ผลนิดหน่อย จึงทำให้เจ้ายูนิคอร์นน้อยเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แพคฮันกยอลมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขาฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับรื้อสิ่งของไปพลางๆ หลังจากนั้นจึงควักคริสตัลก้อนกลมออกมา แล้วส่งให้ยูนิคอร์นน้อยดู


 


 


“ใช่เลย เก่งมาก เอ้า กินซะนะ เห็นคริสตัลนี้ไหม พี่ฮายอนบอกว่าให้ติดต่อสื่อสารกันผ่านคริสตัลลูกนี้ เพราะฉะนั้นเรามาตั้งใจรอพี่ไปด้วยกันเถอะนะ เนอะ?”


 


 


เจ้ายูนิคอร์นน้อยส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามที่ว่า ‘จริงหรอ’ ให้ แพคฮันกยอลเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับ


 


 


หลังจากนั้นแพคฮันกยอลจึงค่อยๆ ลูบปลอบโยนยูนิคอร์นที่เริ่มลงมือกินทีละคำ สองคำ พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ แล้วเบนสายตามาจ้องคริสตัลลูกนั้นสลับกับมองเจ้ายูนิคอร์นน้อย ทั้งๆ ที่จะถึงวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีการติดต่ออะไรกลับมาเรื่องพบตัวคิมซูฮยอนแล้วหรือไม่อย่างไร


 


 


แต่ทว่าแพคฮันกยอลยังไม่รู้ถึงอะไรบางอย่าง และบางอย่างที่ว่านั้นคือ การติดต่อสื่อสารที่เขาปรารถนานั้นจำเป็นจะต้องผ่านพ้นอีกสองสัปดาห์ไปเสียก่อน ถึงจะมีคนติดต่อกลับมา


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง สายลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามากระทบกับปลายจมูก ผมหลับตาลงแล้วสูดอากาศอันแสนสดชื่นเข้าไปเต็มปอด เรื่องที่เคยอึดอัดใจสลายหายไปในพริบตา ลมเย็นๆ พัดเข้ามาโอบล้อมทั่วทั้งร่าง ทำเอาผมรู้สึกสดชื่นจับใจ


 


 


พอผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ได้พบกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาปรากฏอยู่ตรงหน้า นอกจากนี้ยังเห็นเหล่าต้นหญ้าสูงระดับเข่าและเนินเขาลาดเอียงอีกเป็นหย่อมๆ มีร่องรอยของคนสัญจรไปมาปรากฏให้เห็นอยู่ตามจุดต่างๆ ถึงจะไม่ค่อยมีสิ่งของที่ทำขึ้นจากฝีมือคน แต่ก็มีร่องรอยของผู้คนที่สัญจรไปมาปรากฎอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง


 


 


“เหมือนจะมาถึงครึ่งทางแล้วนี่คะ”


 


 


“เกินครึ่งทางแล้วครับ”


 


 


“งั้นเหรอ ยังไงก็แล้วแต่ ดูเหมือนพวกเราจะต้องเปลี่ยนทิศทางให้เร็วที่สุด ไม่ภายในวันนี้ก็พรุ่งนี้ มันแปลกๆ ยังไงชอบกลนะคะ ซูฮยอน จะทำยังไงล่ะคะ”


 


 


ผมหยุดเดินแล้วหันกลับมา โกยอนจูมองทางนู้นทีทางนี้ทีเหมือนกับกำลังค้นหาเส้นทาง หลังจากนั้นจึงหยุดสายตามามองที่ผม ไม่รู้ว่าเพราะแสงแดดยามเช้าที่กำลังสาดส่องอยู่ ณ ขณะนี้หรือไม่ ถึงทำให้นัยน์ตาของหล่อนเต็มไปด้วยแสงสีทองเรืองรอง ผมมองไปยังปากที่เม้มน้อยๆ ของหล่อน หลังจากนั้นจึงหันหลังกลับมา แล้วพูดออกไปว่า


 


 


“ดูเหมือนเราจะต้องตรวจสอบทิศทางใหม่สักพักหนึ่งแล้วละครับ ไม่ทราบว่ามีใครพอรู้ลักษณะภูมิประเทศของสถานที่ที่เรากำลังอยู่ ณ ตอนนี้อย่างละเอียดไหมครับ”


 


 


“…”


 


 


“…เดี๋ยวอีกสิบนาที ผมจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ตอนนี้ขอให้ทุกคนช่วยเฝ้าพวกเร่ร่อน แล้วก็เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยครับ”


 


 


ผมได้ลองสอบถามไปแล้ว แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย ทุกคนได้แต่จ้องผมด้วยสายตาอันแสนว่างเปล่า ผมได้แค่เพียงฝากความหวังไว้กับสาวน้อยนักฆ่าที่ค้นพบตัวได้ในตอนแรก แต่แล้วพอหล่อนได้ยินว่าผมอนุญาตให้พักผ่อน หล่อนก็รีบปรี่เข้าไปหาอันซลอย่างทันทีทันใด


 


 


“ย้าก ย้าก”


 


 


“หะ…หืม? ยะ…อย่านะ ทำไมต้องมาแกล้งกันตลอดด้วยเล่า”


 


 


จริงๆ แล้ว สถานการณ์ตอนนี้ยังคงคลุมเครืออยู่ จะเป็นพวกเดียวกับเหล่านักธนูก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเหมือนโกยอนจูที่อยู่ในวงนักฆ่าเหมือนกันก็ไม่เชิง สิ่งที่ผมปรารถนาไว้ตั้งแต่ต้นนั้นล้วนเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นทั้งสิ้น ผมมองทั้งสองคนที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน แล้วจึงออกเดินไปข้างหน้า หลังจากนั้นจึงรู้สึกได้ว่าโกยอนจูกำลังเดินตามหลังอยู่


 


 


พวกเราหลุดพ้นออกมาจากป่าไม้ที่เคยใช้เปิดฉากต่อสู้กับพวกเร่ร่อนได้สักพักหนึ่งแล้ว ส่วนพื้นที่ที่เชื่อมต่อกันอยู่นี้กลับเป็นทุ่งหญ้า และที่นั่นก็คือที่ที่เรากำลังเดินผ่านอยู่ในตอนนี้ ที่แห่งนี้คือทุ่งหญ้าที่ไม่สามารถมองเห็นดาวได้ อาจเรียกอีกชื่อว่าทุ่งหญ้าแห่งเมฆหมอกก็ได้ ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาในที่แห่งนี้ หากตัดเรื่องต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดสี่ครั้งออกไป ที่แห่งนี้ก็เป็นได้แค่เพียงพื้นที่ที่แสนจะน่าเบื่อเท่านั้น


 


 


ถึงจะไม่ใช่สถานที่ที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เต็มไปหมดจนทำให้รู้สึกสับสนวุ่นวายใจก็จริง แต่ปัญหาในตอนนี้คือความกว้างสุดลูกหูลูกตาของสถานที่นี้ต่างหาก ลักษณะภูมิประเทศดูคล้ายๆ กันไปเสียหมด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะต้องเปลี่ยนทิศทางไปทางไหน


 


 


“ทิศทางน่ะ…ถ้าอิงตามทางที่เราจะไปก็ ผมว่าจะไปทิศตะวันตกดูครับ”


 


 


“ทิศตะวันตกงั้นเหรอ ถ้างั้นสุดท้ายเราก็ไปเอเดนเหรอคะ”


 


 


“ครับ แต่ผมยังจับความรู้สึกไม่ได้เลยว่าจะต้องไปตรงไหน ถึงจะโผล่ไปเอเดนได้”


 


 


“โฮะๆ แคลนลอร์ดของพวกเรามีอะไรที่ไม่รู้กับเขาด้วยเหรอคะเนี่ย”


 


 


โกยอนจูพูดเย้าแหย่ ผมถอนหายใจเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไป


 


 


“มันเป็นแผนที่ที่ผมเคยคุ้นเคย เมื่อครั้งมาถึงฮอลล์เพลนแรกๆ น่ะครับ แต่ว่าตอนดูแผนที่กับตอนที่ได้ลองมาเดินเองจริงๆ แล้วเนี่ย ผมว่ามันต่างกันคนละเรื่องเลย”


 


 


“งั้นเองหรอกเหรอ~ ฉันนึกมาตลอดว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ สามารถทำอะไรฉับๆ ได้ตัวคนเดียวเสียอีกนะคะ”


 


 


“ผมปีที่ศูนย์เองนะครับ”


 


 


“อุ๊ย? ไม่ใช่ปีที่สิบหรอกเหรอคะ คิกๆ”


 


 


ผมมองรอยยิ้มนั้นด้วยความตกใจ หล่อนน่ะพูดล้อเล่นอยู่แล้วแหละ แต่ผมกลับรู้สึกเจ็บแปลบข้างในอกอย่างบอกไม่ถูก ผมได้แต่สงวนท่าทีนิ่งเฉยเอาไว้อย่างนั้น แล้วหันไปกระดิกนิ้วเรียกโกยอนจู เป็นสัญญาณบอกว่าให้หล่อนเข้ามาใกล้ๆ หล่อนยื่นหน้าออกมาทันทีทันใด แล้วทำตาโต หันซ้ายที ขวาที ผมเห็นดังนั้นจึงใช้นิ้วดีดเข้าไปยังจมูกโด่งๆ ของหล่อน


 


 


“อ๊าก เดี๋ยวเถอะนะ ทำเกินไปแล้วนะคะ”


 


 


“อย่ามาเสแสร้งหน่อยเลยครับ เลิกล้อเล่นสักทีเถอะครับ”


 


 


“ค่า ค่า~ ก็เห็นซูฮยอนดูอึดอัดยังไงชอบกลนี่คะ เลยแหย่เล่นนิดๆ หน่อยๆ เองค่ะ อย่าเครียดมากนักสิ มันไม่ใช่ที่ที่จำเป็นจะต้องไปต่อนี่นา หรือว่ายังไงคะ”


 


 


“…”


 


 


จากคำพูดของโกยอนจู สื่อออกมาได้ว่าให้ปรับเส้นทางเดินไปยังทิศตรงข้ามเสียเถอะอะไรแบบนั้น แล้วผมจึงมองทางหล่อนที่กำลังนั่งทุบพื้นดินอยู่ ผมพยักหน้าลงอย่างใจเย็น ผมดูจะใจร้อนขึ้นอย่างไม่รู้ตัวกับความจริงที่ว่าเจ้าพวกเร่ร่อนได้บุกเข้ามาโจมตีพวกเรา


 


 


หากเราไปตามเส้นทางที่สั้นที่สุด ก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มอะไรเข้าไปอีกแล้ว แต่การที่จะมานั่งคิดมากคนเดียวทั้งที่ความทรงจำยังพันกันยุ่งเหยิงเหมือนในตอนนี้ก็เป็นเรื่องไร้สาระเหมือนกัน หากเดินทางต่อไปอีก อาจจะมีพื้นที่ที่ผมรู้จักบ้างก็ได้ ดังนั้นใจเย็นเข้าใจอย่างที่โกยอนจูบอกเห็นจะเข้าท่ามากกว่า


 


 


“ร่างกายเป็นยังไงบ้างครับ คืนนี้เห็นทีดวงตาแห่งการล่อลวงต้อง…”


 


 


ผมแกล้งทำเป็นยอมๆ แล้วนั่งลงข้างกายหล่อนพร้อมกับถามคำถามออกไป ไม่รู้ว่าหล่อนทุบพื้นดินไปนานเท่าไหร่ ถึงได้มานั่งขยำหญ้าที่กำลังขึ้นชี้โด่ชี้เด่อยู่เช่นนี้


 


 


“ค่ะ ไม่เป็นไรแล้วค่ะ คืนนี้น่าจะยังใช้ได้อีกครั้งค่ะ”


 


 


โกยอนจูตอบคำถามโดยไม่มองมาทางผม หล่อนได้แต่มองจ้องไปยังที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่


 


 


หลังจากปิดฉากการต่อสู้กับพวกเร่ร่อนได้สำเร็จ พวกเราสามารถจับพวกมันมาเป็นเชลยได้ถึงสิบเอ็ดคน ซึ่งในบรรดาจำนวนเหล่านั้น มีอยู่เก้าคนที่หลงเหลือมาได้จนถึงปัจจุบันนี้ คนแรกฉวยโอกาสหนีในช่วงกลางดึก สุดท้ายจึงโดนฆ่าตายเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นๆ ส่วนอีกคนได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว และในทุกๆ ค่ำคืนเราได้ใช้ดวงตาแห่งการล่อลวง อันเป็นความสามารถพิเศษของโกยอนจูในการขุดค้นข้อมูลจากพวกมันทั้งเก้าคน


 


 


ด้วยความสามารถของหล่อน ทำให้สามารถรู้ข้อเท็จจริงสำคัญๆ ได้ แต่นั่นเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น สถานการณ์ในขณะนี้คือ มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ยังไม่สามารถขุดคุ้ยข้อมูลชั้นสูงตามที่ใจปรารถนาได้ เหตุผลที่ว่านั้นคือ ดวงตาแห่งการล่อลวงมีข้อจำกัดในการใช้อยู่นั่นเอง


 


 


ตามที่โกยอนจูได้พูดไว้ หล่อนบอกว่าความสามารถของหล่อนนั้นมีข้อจำกัดอยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น


 


 


ข้อแรกคือ ในหนึ่งวันสามารถใช้ได้เพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น ข้อที่สอง ในกรณีที่เป้าหมายเป็นเพศตรงข้าม มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งในจุดนี้ย่อมสามารถใช้กับคนเพศเดียวกันได้ แต่หล่อนบอกไว้ว่าหากเป้าหมายคนนั้นไม่ใช่เลสเบี้ยน โอกาสที่จะไม่สำเร็จก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน


 


 


ข้อสามคือ แม้จะเป็นเพศตรงข้าม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสำเร็จอยู่ร่ำไป ยิ่งพลังจิตของเป้าหมายนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด ยิ่งทำให้มีโอกาสสูงมากที่จะไม่สำเร็จ


 


 


และข้อสุดท้าย ข้อที่สี่ หากจิตใจของเป้าหมายผู้นั้นอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมหรือพังทลายไปแล้ว จะมีโอกาสสูงมากๆ ที่จะทำสำเร็จได้ โดยที่ไม่เรื่องเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้ามเข้ามาเกี่ยวข้อง 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 12

 

ในสถานการณ์ ณ ขณะนี้ ผมยังแอบเสียดายเล็กน้อยกับข้อจำกัดต่างๆ แต่ทว่าพอนึกถึงคราวที่ต้านทานพลังดวงตาแห่งการล่อลวงของโกยอนจูเมื่อครั้งก่อนได้นั้น ผมจึงสามารถเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ แล้ว หากไม่มีข้อจำกัดเหล่านั้น มันจะกลายเป็นความสามารถในการล่อลวงผู้อื่นได้โดยแท้จริง ถึงขั้นที่ว่าใครๆ ก็ไม่อยากเชื่อแน่นอน


 


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมปราถนาก็คือข้อมูลชั้นสูงต่างหาก มันไม่ใช่ข้อมูลธรรมดาทั่วๆ ไปที่สามารถค้นได้อย่างง่ายดาย แต่มันเป็นข้อมูลที่เหล่าผู้นำคนสำคัญต่างล่วงรู้กันหมด และหากพูดถึงพวกเร่ร่อนที่รู้ข้อมูลเช่นนั้นได้ แน่นอนว่าคือแพคซอยอนเพียงคนเดียวเท่านั้น


 


 


‘ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าจะต้องทำให้แพคซอยอนยอมคายข้อมูลออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำยังก็ตาม…’


 


 


“ซูฮยอน ดูตรงนู้นหน่อยสิคะ”


 


 


“ครับ?”


 


 


ช่วงที่ผมจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองไปชั่วขณะ ผมเงยหน้าขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงแขนไปอย่างกะทันหัน โกยอนจูไม่ได้หันมามองทางผมเลยแม้แต่น้อย สายตาของหล่อนกำลังจับจ้องไปยังสถานที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่ ไม่รู้ว่าหล่อนกำลังมองอะไรอยู่กันแน่


 


 


ไม่ผิดแน่นอน ตรงจุดนั้นคือจุดที่เหล่าผู้เล่นผู้รับหน้าที่เฝ้าดูเจ้าพวกเร่ร่อนรวมตัวกันอยู่จริงๆ พวกมันอยู่ในสภาพถูกมัดแขนด้วยของที่อาจจะดูแปลกหูแปลกตาไปสักหน่อย อย่างเช่น ใช้หนังขาดๆ หรือก็ไม่พวกผ้าขาดๆ มามัดไว้ ส่วนพวกเร่ร่อนที่เป็นผู้หญิงนั้นอยู่ในสภาพที่ดูดีขึ้นมาหน่อย โดยมีผ้าหรือไม่ก็พวกฮู้ดคอยคลุมร่างอยู่


 


 


ดูอย่างไรก็เหมือนกับเป็นทาสไม่มีผิด พวกเร่ร่อนทุกคนกำลังคุกเข่า ก้มหน้าก้มตายอมจำนนกับความอัปยศอดสูที่เหล่าผู้เล่นมอบให้ ผมจึงปลุกพลังเวทไปที่สายตาและโสตประสาทโดยทันที


 


 


“เห็นว่าคอแห้งนี่ เราก็ให้น้ำไปแล้วไม่ใช่หรือไง หา? ทำไมไม่กินซักทีล่ะ”


 


 


“…”


 


 


“น้ำไม่พอ ก็เลยไม่กินงั้นสิ? ทีหลังก็บอกสิวะ เดี๋ยวเติมให้แล้วกันนะ ถุย!”


 


 


“อึก!”


 


 


ผู้เล่นที่เหลือแขนอยู่ข้างเดียวถุยน้ำลายใส่หน้าพวกเร่ร่อน เขามองเหยียดผู้ชายคนนั้นด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ หลังจากนั้นจึงแปรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าที่แสนโหดเ**้ยม


 


 


“ทำไมไม่กินล่ะ นี่กำลังเมินน้ำใจฉันอยู่หรือว่าไง รีบกินซะสิ ไอ้นี่!”


 


 


หลังจากนั้นผู้เล่นที่เหลือแขนข้างเดียวจึงใช้เท้ากดหัวพวกเร่ร่อนคนนั้นลงไปอย่างเต็มแรง ทำให้ศีรษะของชายคนนั้นต้องจมมุดอยู่กับพื้นดินที่ถูกถ่มน้ำลายไปอย่างเสียไม่ได้ เหล่าผู้เล่นที่อยู่บริเวณนั้นมองดูภาพเหล่านั้น พร้อมหัวเราะคิกคัก


 


 


“ฉันเองก็พอเข้าใจเขาอยู่นะ แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนนี่มันช่างน่ากลัวจริงๆ เลยค่ะ”


 


 


โกยอนจูยักไหล่ พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตามปกติ ผมจึงจ้องมองไปยังภาพเหล่านั้นเข้าไปอีก แล้วตอบกลับไปอย่างแผ่วเบาว่า


 


 


“…ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”


 


 


แต่ทว่าไม่ใช่ผู้เล่นที่เหลือแขนข้างเดียวทำแบบนั้นคนเดียว มีผู้เล่นหญิงสามคนเดินเข้าไปยังบริเวณที่แพคซอยอนอยู่ พร้อมกับทำพฤติกรรมอย่างเดียวกัน ผู้เล่นหญิงสองคนจับลำตัวและใบหน้าของหล่อนเอาไว้แน่น ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งคนนั้นก็ด่าเทสาดเทเสีย พร้อมกับตบหน้านับครั้งไม่ถ้วน


 


 


เมื่อไม่นานมานี้เอง พวกเขายังเป็นเพียงแค่เหล่าผู้เล่นที่แค่ได้ยินชื่อพวกเร่ร่อนก็ตัวสั่นงันงก แต่พอได้รู้ว่าพวกมันหมดหนทางสู้แล้ว พวกเขากลับกล้าบ้าบิ่นกล้าต่อกรกันตัวต่อตัว อีกทั้งยังสามารถเขี่ยความหวาดกลัวทิ้งไปได้อีกด้วย ความหวาดกลัวปนความเคียดแค้นจึงกลายมาเป็นความไม่พอใจเช่นนี้


 


 


“เฮ้อ ก็พอเข้าใจได้อยู่นะคะ หากมองในมุมที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน จริงสิ คุณเห็นนักบวชที่กำลังโบกมือหยอยๆ อยู่ตรงนู้นไหมคะ”


 


 


“เห็นครับ”


 


 


“เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่เกือบโดนพวกเร่ร่อนเล่นงานเอาตอนนั้น โอ๊ะ เมื่อกี้โดนตบเข้าไปอย่างจังเลยค่ะ แก้มแพคซอยอนแดงเถือกเลยนะคะนั่น”


 


 


“…”


 


 


ตอนนั้นผมตั้งใจว่าจะลุกไปหยุดการกระทำเช่นนั้น แต่แล้วก็ตัดสินใจได้ว่าจะรอดูลาดเลาอีกสักหน่อย ตอนนี้น้ำกำลังเชี่ยว ดังนั้นผมจึงคิดว่าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกัน ผมจึงจ้องมองไปยังอันซลกับสาวน้อยนักฆ่าด้วยใจที่แสนจะเบิกบาน ทั้งสองคนกำลังสวมเครื่องประดับหัวที่ทำจากหญ้าให้กันและกัน


 


 


“อุ๊ย! โดนฟาดยันคางเลยเหรอ ซูฮยอน ดูตรงนู้นอยู่หรือเปล่าคะ”


 


 


“ปล่อยไปเถอะครับ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่ครับ”


 


 


“แต่ดูจากวันนี้ก็หนักหนาสาหัสเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะคะ นั่นไง มีคนจะตายแล้วนะคะ พวกผู้หญิงนั่นยังมีอะไรให้ล้วงความลับอยู่อีกเยอะเลยแท้ๆ…”


 


 


“ฮ่าๆ จะโดนฆ่าจริงๆ เหรอครับ ระดับความรุนแรงคงจะหนักขึ้นอยู่เรื่อยๆ แหละครับ ทั้งเหล่าผู้เล่น, เพื่อนร่วมงาน, เพื่อน, ครอบครัว, คนรัก อ้า ไม่สิ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตายไหม ลองคิดถึงเรื่องกฏแห่งกรรมดูบ้างเถอะครับ”


 


 


“หืม?”


 


 


โกยอนจูหรี่ตามองแล้วหันหน้ามาทางผม สายตานั้นทำเอาผมต้องหันกลับไป แล้วมองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลแสนไกล ซึ่งตัวผมเองกลับไม่มองเห็นภูเขาลูกนั้นเลย


 


 


“ว่าไงคะ~”


 


 


โกยอนจูพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก พร้อมกับมาคล้องแขนผมไว้ ทันทีที่ผมหันหน้ากลับไป ผมก็เห็นหล่อนกำลังพิงไหล่ เอาหัวมาถูไถไปมา


 


 


“ทำไมจู่ๆ ถึงทำแบบนี้ล่ะครับ”


 


 


“จู่ๆ อะไรกันคะ มีอะไรคะ ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิคะ”


 


 


“ครับ?”


 


 


“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยค่ะ ฉันเห็นซูฮยอนเป็นแบบนี้ได้ครั้งสองครั้งแล้วมั้งคะ อย่ามาทำงี้ รีบพูดเร็วเข้าค่ะ ตอนไปสู้รบก็เห็นบินร่อนไปมาอย่างร่าเริงอยู่เลย แต่พอทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์ได้สำเร็จ คุณก็ทำตัวเหมือนแตะต้องอะไรไม่ได้เสียอย่างนั้นแหละค่ะ คุณกำลังวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่คะ”


 


 


“ไม่ได้คิดจะทำอะไรทั้งนั้นแหละครับ”


 


 


ผมหลบตา แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หลังจากนั้นผมก็รู้สึกอะไรบางอย่างนิ่มๆ กำลังถูไถอยู่ที่แขน แต่ผมก็ไม่หวั่นไหวอะไรทั้งนั้น


 


 


“อย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอคะ”


 


 


“ยังไม่ใช่เวลาครับ”


 


 


“เวลางั้นเหรอคะ”


 


 


“ฮ่าๆ ผมยังต้องการเวลาเพิ่มอีกสักหน่อยน่ะครับ ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก”


 


 


ผมพูดอ้อมๆ อย่างนิ่มนวลที่สุด หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นมาจากที่นั่ง ผมรู้ความพิเศษของพวกเร่ร่อนแล้ว และแพคซอยอนเป็นคนแบบไหน ผมเองก็รู้เสียยิ่งกว่ารู้ เป้าหมายสุดท้ายของผมคือ แพคซอยอน ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง การบังคับขู่เข็ญแบบธรรมดาๆ แบบนั้นน่ะ ไม่สามารถบังคับให้หล่อนยอมจำนนต่อพวกเราได้หรอก


 


 


เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงต้องค่อยๆ ตะล่อมเข้าไปอย่างช้าๆ ช้าให้ได้มากที่สุด อีกทั้งเราจำเป็นที่จะต้องทำให้พวกเร่ร่อนที่อยู่รอบข้างจนตรอกอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะทำสิ่งนั้นให้ได้สำเร็จ


 


 


ผมมองแก้มป่องๆ ของโกยอนจู แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ


 


 


“ทำแก้มป่องอยู่ได้ ปล่อยลมออกมาได้แล้วครับ ผมคิดว่าอีกเดี๋ยวจะเล่นเกมอะไรสนุกๆ สักเกมหนึ่ง”


 


 


“เกมเหรอคะ”


 


 


“ครับ ถึงเวลาแล้วผมจะเชิญโกยอนจูแน่นอน”


 


 


“…?”


 


 


โกยอนจูได้แต่เอียงคอไปมาด้วยใบหน้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


“สรุปคือยังหาตัวไม่พบ แล้วก็ยังไม่กลับมาด้วยงั้นเหรอ”


 


 


“ครับ พัคดงซู ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแพคซอยอนเองก็กำลังสืบค้นหาตัวอยู่ แต่ว่า…”


 


 


“เฮอะ กลับมาก็บ้าแล้ว”


 


 


ฮยอนเอามือก่ายหน้าผาก สีหน้าท่าทางราวกับคนปวดหัว ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ลอบมองตาฮยอนครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยเปิดปากพูดอย่างระมัดระวังออกไปว่า


 


 


“คือ…ตอนนี้เวลาผ่านไปได้สองสัปดาห์แล้วครับ”


 


 


“แล้ว?”


 


 


“ท่านผู้นำครับ หากเกิดเหตุเช่นนี้ ควรมองว่าโดนพวกสะกดรอยตามเล่นงาน จะไม่ถูกต้องเสียมากกว่าหรือครับ”


 


 


ฮยอนไม่ได้ตอบกลับไปโดยทันที หลังชายผู้นั้นพูดจบ เขาลดมือที่ก่ายอยู่บนหน้าผากลง แล้วถอนหายใจออกมา


 


 


“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แพคซอยอนไม่ได้ไปแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไง ทั้งคิมดาฮเย ผู้มีความสามารถในม่านกำบัง, อีแฮอิน นักธนู และก็ใครสักคนที่เป็นนักเวท ที่ชอบเหม่ออยู่ตลอดน่ะ…”


 


 


“พูดถึงอีกาอินอยู่หรือเปล่าครับ”


 


 


“อืม คนที่มีความสามารถอยู่ระดับคลาสหายากแบบนั้น จะโดนพวกสะกดรอยตามเล่นงานงั้นเหรอ ไม่น่าใช่มั้ง”


 


 


“…”


 


 


คราวนี้ชายผู้นั้นปิดปากเงียบสนิท ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก แต่สองคนรู้อยู่แก่ใจดีว่ามีโอกาสสูงมากที่จะเกิดเรื่องขึ้นตามสิ่งที่ชายผู้นั้นได้พูดออกมา จะให้จินตนาการว่าแพคซอยอนโดนทรยศ เห็นทีคงเป็นเรื่องยาก และยังเป็นเรื่องที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ฮยอนจิ๊ปาก สีหน้าของเขาดูอึดอัดอย่างไรชอบกล หลังจากนั้นเขาจึงมองไปยังชายผู้นั้น


 


 


“คงจะไม่เป็นอะไรมาก หากแพคซอยอนตายไปแล้วจริงๆ แต่หากโดนจับตัวไปล่ะก็…”


 


 


“ก็ต้องหวังให้ฆ่าตัวตายไปใช่ไหมล่ะครับ”


 


 


“…ในกรณีที่มันอาจจะเกิดขึ้นได้นั่นละ ว่าแต่ซ่อมแซมวาร์ปเกตเสร็จแล้วใช่ไหม”


 


 


“ครับ ตอนนี้โดโรธีกับเบธโดนทะลุทะลวงไปแล้วเรียบร้อย บางทีสัปดาห์หน้า อาจถึงคราวของฮาโลที่จะต้องโดนแบบนั้นบ้างครับ”


 


 


ฮยอนพยักหน้ารับกับคำรายงานของชายผู้นั้น


 


 


“นั่นแหละ เป็นสิ่งที่เราต้องจับมามอง ยังไงก็ตาม ช่วยฝากบอกด้วยนะว่าหยุดล้อเล่นกับพวกผู้เล่นเสียที ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะต้องคอยเฝ้าระวังและสืบค้นหาตัวให้ถึงที่สุดให้ได้”


 


 


“รับทราบครับ”


 


 


“นายเองก็ด้วย จะคนใหญ่คนโตก็ไม่เว้น แต่ไม่ใช่ถึงกับห้ามอะไรเด็ดขาดหรอกนะ ฉันจะคอยควบคุมจัดการโดยตรงเอง แค่นายรับทราบและปฏิบัติตามให้เหมาะสมก็พอ”


 


 


“ครับ?”


 


 


จากการย้อนถามของชายผู้นั้น ทำเอาฮยอนจิ๊ปากออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วพูดต่อไปว่า


 


 


“ก็…คราวก่อนนู้นมีผู้เล่นคนหนึ่งที่นายถูกใจไม่ใช่หรือไงเล่า”


 


 


“อ้า…ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับท่าน”


 


 


ชายผู้นั้นตอบออกมา พร้อมกับรอยยิ้มแสนขมขื่น ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากนั้นฮยอนจึงพยักหน้าน้อยๆ ชายผู้นั้นจึงหันกาย เดินออกไปทันที ท่าทางการย่างก้าวของชายผู้นั้นแลดูไม่ธรรมชาติอย่างไรชอบกล 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 13

 

จี๊ด จี๊ด


 


 


ณ บริเวณใกล้เคียงของค่ายพักแรมที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้าอันมีดวงจันทร์กลมโตประดับเอาไว้ เหล่าแมลงในดงหญ้ากำลังส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบา ผมยืนมองรอบๆ อยู่ใต้ท้องฟ้าแสนมืดมิด อันมีดาวดวงน้อยหลากหลายดวงกำลังส่องประกายกันอย่างสวยงามจับใจ


 


 


ตามจริงแล้วเวลานี้คือเวลาที่ผมจะต้องกลับไปเฝ้าเวรตอนกลางคืน แต่ทว่าตอนเปลี่ยนเวรกันนั้น ผมได้ขอเวลาครู่หนึ่งกับเหล่าผู้เล่นที่มาร่วมยืนเฝ้าเวรด้วยกัน หลังจากนั้นผมจึงค่อยแยกตัวออกมาต่างหาก ที่ทำเช่นนั้นเพราะว่า ผมมีเรื่องอะไรบางอย่างที่จะต้องทำ


 


 


ผมเห็นโกยอนจูยืนตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงหน้า ข้างๆ กันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ เขาเงยหน้ามองโกยอนจูด้วยท่าทางที่ดูอ่อนเพลีย ไม่มีแรงเอาเสียเลย สีหน้าของเขาเรียกได้ว่าถึงขั้นซีดเซียวก็ย่อมได้ นัยน์ตาของเขาเองยังเจือปนไปด้วยความเหม่อลอย และแสงสีอ่อนจางระเรื่ออยู่ภายใน


 


 


“นอกจากสองคนในแปดคนแล้ว ตอนนี้ทุกคนกำลังแค้นแพคซอยอนอยู่อย่างนั้นสินะ”


 


 


“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าถึงขั้นแค้นเลยหรือเปล่า เพราะพวกเขาไม่ได้แสดงออกมาน่ะครับ แต่หากลองสังเกตดู จะเห็นได้ว่าเขากำลังไม่พอใจกันอยู่ ผมเองก็เหมือนกัน”


 


 


“โอเคๆ วันดีคืนดีก็ไปร่วมกับพวกสะกดรอย ปล้นก็ไม่ได้ปล้น น่าเศร้าจังเลยนะ เนอะ? แล้วสองคนนั้นมีความสัมพันธ์กับแพคซอยอนอย่างไรบ้างล่ะ”


 


 


“ครับ มีอีแฮอินกับอีกาอินครับ กับอีแฮอินเห็นว่ารู้จักกันมาตั้งแต่พิธีเปลี่ยนสภาวะแล้วละครับ ส่วนอีกาอินนั้นเป็นคนที่แพคซอยอนแต่งตั้งให้เป็นพวกเร่ร่อนเองโดยตรงเลยครับ ผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อย แต่ผมเห็นว่าปกติแล้วพวกเขาก็สนิทสนมกันดีมาก ถึงขนาดพูดได้ว่าทั้งสองคนเป็นคนที่แพคซอยอนไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดเลยละครับ ในบรรดาเหล่าพวกเร่ร่อนด้วยกันเอง ก็มีลักษณะนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่แล้วครับ แต่….”


 


 


โกยอนจูยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นจึงหันหน้ามามองมาทางผม พอผมพยักหน้าไปให้หนึ่งที หล่อนก็กะพริบตาอยู่สองสามครั้ง แล้วจึงโบกมือไปมาเบาๆ ทันใดนั้นเอง ชายผู้นั้นจึงได้รับสีนัยน์ตาดั้งเดิมกลับคืนมา แล้วรีบก้มหัวมุดพื้นลงไปในทันที ผมได้ยินเสียงขึ้นจมูกฟืดๆ ดังมาถึงตรงนี้ ดูแล้วคงจะใช้พลังไปไม่น้อยเลย 


 


 


“สุดยอดมากเลยครับ ปล่อยเจ้านี่ไว้ แล้วไปก่อนได้เลยครับ”


 


 


“แล้วซูฮยอนล่ะคะ”


 


 


“เดี๋ยวผมขอทำอะไรที่ควรจะต้องทำสักครู่หนึ่ง แล้วจะตามไปทีหลังครับ”


 


 


โกยอนจูเอียงคอสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยหมุนกายรีบเดินออกไปทันที ชายผู้นั้นกำลังขยับไหล่ขึ้นลง ผมใช้สายตากวาดมองเขา ก่อนที่จะเดินกลับไปยังค่ายพักแรม


 


 


ความมืดมิดเคลื่อนตัวต่ำลงมาปกคลุม ค่ายพักแรมจึงเงียบสงัดไปโดยปริยาย คนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามค่ายพักแรมเหลือบตามอง แต่พอรู้ว่าเป็นผม เขาจึงเบนสายตากลับไปมองที่กองไฟอีกครั้งหนึ่ง ถึงผมจะได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาอยู่เป็นระยะๆ แต่ก็ยังพยายามระมัดระวังไม่ทำให้ใครตื่น และก้มหน้าก้มตาจัดการกับสิ่งของจำเป็นเท่านั้น


 


 


ของกินที่เหลือจากมื้อค่ำวันนี้คือ สตูเนื้อหนึ่งชาม น้ำสะอาดหนึ่งขวดและยาน้ำสำหรับใช้รักษาอีกหนึ่งขวด ผมตระเตรียมสิ่งจำเป็นเหล่านี้ หลังจากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่คนเฝ้ายามรวมตัวกันอยู่


 


 


“ฉันขอไปด้วยสิ”


 


 


มีเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นหยุดการเคลื่อนไหวของผม เจ้าของเสียงที่ว่านี้คือสาวน้อยนักฆ่าที่มักเล่นกับอันซลอยู่บ่อยๆ แสงสะท้อนจากกองเพลิงส่องมายังใบหน้าของหล่อน ทำให้ผมสามารถเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเบื่อหน่ายได้อย่างเต็มตา อาจเป็นเพราะหล่อนหน่ายกับการยืนเฝ้าอยู่คนเดียวเต็มทีแล้ว และผมก็ปฏิเสธกลับไปทันทีทันใด


 


 


“ไม่ได้”


 


 


“ทำไมล่ะ”


 


 


“เธอยังเด็กเกินไป”


 


 


หลังจากเราจับพวกเร่ร่อนมาเป็นเชลยได้สำเร็จ เราได้เปลี่ยนแปลงตารางการเฝ้ายาม โดยจะมีอยู่ทั้งหมดสามช่วงเวลา ช่วงเวลาละสี่คน แต่ทว่าวันนี้ผมวางแผนไว้ว่าจะมีเรื่องราวอะไรพิเศษๆ สักเล็กน้อย เพราะฉะนั้นจึงให้พวกเร่ร่อนแยกตัวออกไปต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องมีคนเฝ้าค่ายอย่างน้อยหนึ่งคน และคนที่ได้รับหน้าที่นี้ไปก็คือ สาวน้อยนักฆ่าผู้นี้นี่เอง


 


 


“เดี๋ยวจะส่งให้ไปเฝ้าพวกเร่ร่อนทางโน้น เพราะงั้นไปเล่นกับพวกนั้นแทนก็แล้วกัน”


 


 


“ไม่เอา พวกนั้นไม่เห็นจะสนุกเลย หนูจะไปด้วย”


 


 


“ถ้าเธอยังมาเซ้าซี้ฉันอยู่แบบนี้ ฉันจะไม่ให้เล่นกับอันซลอีกนะ”


 


 


“อะ…อะไรกัน”


 


 


สาวน้อยนักฆ่าลุกขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสลด แต่แล้วก็นั่งลงอีกครั้ง หลังจากผมพูดประโยคเมื่อครู่ไป หล่อนทำหน้าหงอยๆ มองมายังผม จนผมเกิดคิดขึ้นมาได้ว่าหล่อนก็น่ารักดีเหมือนกัน ผมยิ้มอยู่ในใจ แล้วจึงปลุกดวงตาที่สามขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)


 


 


1.ชื่อ (Name) : คูเยจี (ปีที่ 1)


 


 


2.คลาส (Class) : นักฆ่า(Normal, Assassin, Runner)


 


 


3.นามแท้ • สัญชาติ : สาวน้อยแสนบริสุทธิ์ • สาธารณรัฐเกาหลีใต้


 


 


4.เพศ (Sex) : หญิง (15)


 


 


5.อุปนิสัย : เป็นกลาง • ดี (True • Good)


 


 


[พละกำลัง 52] [ความทนทาน 65] [ความคล่องแคล่ว 81] [ความแข็งแกร่ง 63] [พลังเวท 67] [โชค 58]


 


 


คะแนนพลังเหลือ 4 พอยต์


 


 


 


 


‘ปีที่หนึ่งหรอกเหรอ ไม่เลวเลยนี่’


 


 


“เชอะ ไม่ยอมรับหนูเข้าเป็นพวก หนูเกลียดพี่”


 


 


พอฟังคำพูดแง่งอนของหล่อนจบ ผมก็หมุนกาย เดินไปหาพวกเร่ร่อนที่ล้มพับทันที เขายังคงล้มพับอยู่กับดิน ไม่เงยหน้ามองสิ่งใดอยู่ดั่งเดิม ผมเองชักจะเบื่อเต็มทีเสียแล้วสิ เพราะเขาคนนี้เผชิญกับความโหดร้ายทารุณของเหล่าผู้เล่นมาตลอดระยะเกินกว่าสองสัปดาห์แล้ว


 


 


“ลุกขึ้น”


 


 


ผมตั้งใจว่าจะเตะไปที่หัวของพวกเร่ร่อน แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิดมาเป็นช่วยพยุงแขนให้ลุกขึ้นมาแทน เขาจึงรีบลุกในทันที พวกเร่ร่อนกะพริบตาอยู่สามสี่ครั้ง ราวกับไม่เชื่อสายตาว่าผมช่วยจับแขนพยุงตัวเขาขึ้นมา หลังจากเขาก็เริ่มทำจมูกฟุดฟิดๆ เหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ใช่แล้ว เขากำลังได้กลิ่นสตูเนื้อที่อุ่นมาร้อนๆ ผมใช้ช้อนตักเนื้อชิ้นใหญ่ขึ้นมา แกล้งทำท่าเหมือนจะกิน แล้วจึงค่อยหันไปมองเขา


 


 


“อยากกินสักคำไหมล่ะ”


 


 


พวกเร่ร่อนรีบก้มหน้างุดลงทันที เป็นเพราะสิ่งที่เขาได้เจอมาตลอดจนถึงตอนนี้ จึงทำให้เขาแสดงปฏิกิริยาปฏิเสธกลับมาอย่างธรรมชาติ แต่แล้วผมก็ไม่พลาดที่จะเห็นลูกกระเดือกของเขาที่กำลังขยับขึ้นลง ผมจึงยื่นช้อนเข้าไปใกล้ๆ ปากของเขา


 


 


“…”


 


 


พวกเร่ร่อนยังไม่ยอมตกเป็นเหยื่อโดยทันที ได้แต่ทำหน้าเหรอหรามองหน้าผมสลับกับช้อนอยู่เช่นนั้น


 


 


สถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้ความเงียบสงัดได้กลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ผมได้ใช้ดวงตาที่สามยืนยันข้อมูลพวกเร่ร่อนแล้ว ผมจึงเปิดปากพูดด้วยท่าทีสุขุม


 


 


“ไม่กินเหรอ”


 


 


และในวินาทีที่ผมกำลังจะลดมือลงนั้นเอง พวกเร่ร่อนจึงหลับตาปี๋ งับเข้ามาที่ช้อนอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นใบหน้าของเขาเริ่มมีสีหน้าอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด จะว่าเป็นความดีใจที่ได้กินอาหารอย่างสงบสุขอย่างที่ไม่เคยกินมานาน หรือว่าจะเป็นความซาบซึ้งก็ย่อมได้ ความสามารถในการปรุงอาหารของโกยอนจูโดดเด่นมาก ผมแค่แบ่งปันอาหารการกินต่างๆ ที่พอกินได้ ไม่ต้องอดตายอะไรให้กับเขาเท่านั้น


 


 


“กินหมดแล้วก็ไปซะ กลับไปที่เดิมด้วยละ”


 


 


“…ขอบคุณครับ”


 


 


ผมเผยรอยยิ้มออกมาหลังจากได้ยินคำตอบจากพวกเร่ร่อน หลังจากนั้นจึงหมุนกายมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีคนเฝ้ายามยืนอยู่


 


 


ขอบคุณงั้นเหรอ ผมเกิดคำถามมากมายว่าสถานการณ์ ณ ตอนนี้ เป็นสถานการณ์ที่จะต้องมาขอบคุณกันด้วยเหรอ


 


 


ผมเดินมาได้ประมาณห้านาที จึงเริ่มมองเห็นพื้นที่ว่างเปล่ากับแสงไฟส่องสว่างอยู่ตรงหน้าโน้น ที่โล่งแจ้งตรงนั้นมีพวกเร่ร่อนแปดคนกำลังนั่งคุกเข่าเรียงกันเป็นแถว สถานการณ์ในตอนนี้ทำเอาผมรู้สึกเวทนาพวกเร่ร่อนอย่างจับจิตจับใจ กินข้าวดีๆ ก็ไม่ได้กิน นอนหลับสบายๆ ก็ไม่ได้นอน ไหนจะต้องมาเผชิญหน้ากับความโหดเ**้ยมอีก หากอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเร่ร่อนก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


 


 


หลังจากผมสามารถทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์ได้สำเร็จ ผมก็ไม่ได้แตะต้องสัมผัสพวกเร่ร่อนอีก หากจะพูดให้ถูกต้อง ต้องพูดว่าผมเมินเฉยต่อการกระทำต่างๆ ของเหล่าผู้เล่นมากกว่า


 


 


แพคซอยอนคือหนึ่งในพวกเร่ร่อนที่มีชื่อเสียงดังกระฉ่อน และจำนวนปีของหล่อนเองก็มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผมเช่นเดียวกัน ทั้งอุปนิสัยและลักษณะพิเศษต่างๆ ผมเองก็พอรู้อยู่บ้างในระดับหนึ่ง ดังนั้นผมจึงกำลังวางแผนอะไรบางอย่างที่จะทำให้เข้ากับสิ่งเหล่านั้นอยู่ เพราะฉะนั้นผมจึงแกล้งยินยอมให้เหล่าผู้เล่นได้ทำอะไรตามใจชอบจนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมทำให้แผนที่วางไว้เข้ากับการกระทำที่สอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมาขัดขวางกันเลย


 


 


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่จะเริ่มก้าวแรกของแผนการแล้ว


 


 


“ซูฮยอน มาแล้วเหรอคะ แล้วนั่น…สตู เอามาทำไมล่ะคะ”


 


 


ทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในลาน โกยอนจูจึงแกล้งทำเป็นรู้ทัน ผมพยักหน้าตอบรับเบาๆ แล้วมองไปยังพวกเร่ร่อนที่พามาด้วย


 


 


เหล่าผู้เล่นยังคงกระทำอยู่เฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีโกยอนจูอยู่ด้วยหรือไม่ ถึงได้วางตัวเช่นนั้น ผมวางชามสตูกับน้ำลงต่อหน้าพวกเร่ร่อนที่กำลังคุกเข่านั่งเป็นแถว ทันใดนั้นทุกสายตาจึงล้วนจับจ้องมาที่ผม


 


 


ผมหมุนตัวกลับไปครู่หนึ่ง แล้วมองเหล่าผู้เล่น พวกเขาทุกคนล้วนมีสีหน้าท่าทีสงสัย คงรู้สึกถึงอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลจากการกระทำของผม


 


 


ผมเปิดปากพูดออกไปอย่างสุขุม ซึ่งแฝงความหมายโดยนัยไปด้วยว่าผมจะไม่โต้แย้งกับใครหน้าไหนทั้งนั้น


 


 


“วันนี้ผมกับโกยอนจูจะเฝ้าพวกเร่ร่อนเองครับ ท่านอื่นๆ ขอให้กลับไปที่ค่ายพักแรม แล้วช่วยยืนเฝ้ายามกันด้วยนะครับ”


 


 


ณ ตอนนี้มีผู้เล่นที่กำลังยืนอยู่ที่นี่ทั้งหมดสี่คน หากเว้นผมกับโกยอนจูไป ก็จะเหลือเพียงแค่สองคน ซึ่งก็คือผู้เล่นที่มีแขนข้างเดียวกับนักบวชหญิง เขาทั้งสองคนหมุนตัวกลับไปด้วยสีหน้าสลด ไม่รู้ว่าเสียดายที่วันนี้ไม่สามารถกลั่นแกล้งพวกเร่ร่อนได้ตามใจชอบหรือไม่ ตอนนั้นผมคิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา จึงรั้งตัวผู้เล่นคนหนึ่งที่กำลังจะเดินจากไป


 


 


“คุณนักบวช ขอเวลาสักครู่ครับ”


 


 


“…คะ?”


 


 


“คุณนักบวชช่วยอยู่ที่นี่สักครู่ก่อนได้ไหมครับ”


 


 


“…?”


 


 


นักบวชหญิงมีสีหน้างุนงง แต่แล้วหล่อนก็พยักหน้ารับพลางเดินกลับมาที่เดิม หลังจากนั้นพอผมเห็นว่าผู้เล่นที่เหลือแขนข้างเดียวเดินไปยังค่ายพักแรมเรียบร้อยแล้ว ผมจึงค่อยๆ ทอดมองบริเวณโดยรอบอย่างช้าๆ รอบกายล้วนเงียบสงัด ขณะนี้เรามีแขกคนพิเศษหรือผู้ช่วยของผม โกยอนจู, นักบวชที่ได้เตรียมตัวไว้แล้ว และพวกเร่ร่อนอีกเก้าคน เวทีของเราได้ถูกตระเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 14

 

ผมลอบเลียริมฝีปาก แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเร่ร่อน พวกเขาทั้งหมดล้วนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าที่แสนซูบเซียว และในวินาทีที่ผมกำลังจะเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปนั่นเอง


 


 


“เลิกอวดเก่งสักทีเถอะ”


 


 


น้ำเสียงอันแสนเย็นชาดังขึ้นทำเอาผมถึงกับพูดต่อไม่ได้ ทันทีที่ผมเบนสายตาไปมองต้นเสียงนั้น ผมก็พบเข้ากับแพคซอยอนที่กำลังจ้องตาเขม็ง


 


 


“อวดเก่งอะไร แล้วจะให้เลิกอะไรล่ะ”


 


 


แพคซอยอนมองสตูและน้ำที่วางอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น


 


 


“นายพาพวกเราไปทีละคน ทีละคนในทุกๆ คืน และฉันรู้ว่านายลงมือทำอะไรไปบ้าง ถ้าคิดว่าจะเอาอาหารมาให้ ทำตัวแสนดีกับพวกเรา ก็ขอให้เลิกคิดไปเสียจะดีกว่า เพราะฉันจะไม่มีวันทำตามคำสั่งของนายเด็ดขาด ไอ้พวกสัตว์เดรัจฉาน”


 


 


“นั่นมันความคิดของเธอ แล้วอะไรนะ สัตว์เดรัจฉานหรอ พูดแรงจังเลยนะ ฉันจำได้ว่าไม่เคยแตะต้องอะไรพวกเธอเลยนี่นา”


 


 


“เฮอะ นายฆ่าสหายของพวกเรา แล้วก็ทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทด้วยไม่ใช่หรือไง นายนั่นแหละที่ทำให้พวกเราต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แล้วยังจะมาอะไรอีก”


 


 


ผมไม่ได้ตอบโต้หล่อนกลับไปในทันที ผมเว้นจังหวะพูดครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเปิดปากพูดกลับไปว่า


 


 


“น่าขำชะมัดยาก พวกเธอทั้งนั้นที่เขามาบุกโจมตีเมืองในตอนแรก แล้วก็พวกเธออีกนั่นแหละที่ไล่ล่าตามพวกเรามา สุดท้ายแล้วเลยโดนจับตัวเป็นเชลยแบบนี้ไงละ ฉันไม่ได้ฆ่าศัตรูคนไหนสักคน แล้วไหนช่วยบอกหน่อยซิ ว่ามีเหตุผลอะไรที่จะมาห้ามไม่ให้ฉันฆ่าศัตรูและห้ามไม่ให้ฉันทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทเพื่อส่งตัวพวกเธอในฐานะเชลยศึกกลับไปในสถานการณ์แบบนี้”


 


 


“…”


 


 


แพคซอยอนไม่ตอบอะไรกลับมา พร้อมกับจ้องผมตาเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำเช่นนี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ถนัดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว


 


 


“อะไรกันเล่า ฉันน่ะไม่ได้เข้าไปแตะต้องอะไรเลยด้วยซ้ำ ก็แค่มองเฉยๆ เท่านั้นแหละ ในทุกๆ คืนฉันก็ได้แค่สั่งราชินีแห่งเงามืด ขุดค้นข้อมูลอะไรบางอย่างเท่านั้น ฉันคิดว่าพวกเร่ร่อนอย่างเธอ สมควรที่จะได้เจอกับอะไรแบบนั้นแล้วละ ความคิดส่วนตัวนะน่ะ”


 


 


ผมหยุดพูดไปชั่วครู่หนึ่งและหันไปลอบมองปฏิกิริยาของพวกเร่ร่อน มีความจริงที่น่าสนใจอยู่ประการหนึ่ง คือ ผมเห็นว่าบางส่วนมีสีหน้าแสดงถึงความคาดหวังอะไรบางอย่าง


 


 


พวกเร่ร่อนได้เผชิญความทุกข์ทรมานอย่างไร้ความปรานีมาตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตลอดระยะเวลาเกือบสามสัปดาห์ พวกมันไม่สามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม ซ้ำร้ายยังต้องมาเจอกับความโหดเ**้ยมจากเหล่าผู้เล่น อาหารและน้ำดื่มต่างๆ ก็มีการแบ่งปันจัดสรรให้ในปริมาณที่แสนน้อยนิด ในทุกๆ ค่ำคืนยังต้องเจอกับดวงตาแห่งการล่อลวง ซึ่งทำให้พลังจิตของพวกเขาทรุดโทรมลงไปอย่างรวดเร็ว และตอนนี้ตัวเมืองที่เรากำลังจะมุ่งหน้าไป อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว พวกเขาคงต้องกำลังรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นในทุกๆ วินาทีอย่างแน่นอน


 


 


และในสถานการณ์เช่นนี้ เราจึงได้ตระเตรียมตำแหน่งสำหรับผู้มีอำนาจสูงสุดที่จะสามารถตัดสินใจเรื่องสวัสดิการต่างๆ ของพวกเร่ร่อน ณ ขณะนี้ขึ้นมา ตัวผมไม่ค่อยใส่ใจอะไรกับสิ่งนี้มากมายนัก แต่ตอนนี้กลับเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างเสียแล้วสิ ผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าพวกเร่ร่อนจะยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือไม่


 


 


“แต่ฉันก็พอได้ยินเรื่องราวอะไรบางอย่างมาก่อนหน้านี้นะ บางคนในกลุ่มเร่ร่อนเองก็มีข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างเก็บไว้อยู่นี่นา เช่น โดนลักพาตัวมาบ้าง หรือไม่ก็ได้มาเป็นพวกเร่ร่อน เพราะสาเหตุอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็…”


 


 


“เฮอะ เล่นสนุกอะไรอยู่ล่ะ งั้นไอ้พวกที่มีข้อมูลอะไรแบบนั้นอยู่ นายก็จะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างนั้นล่ะสิ”


 


 


“แพคซอยอน ฉันยังพูดไม่จบ”


 


 


“เฮอะ งั้นเหรอ โทษที งั้นฉันจะบอกอะไรให้ฟังอีกอย่างนะ เลิกพูดจาหมาๆ สักที คนจิตใจชั่วช้าอย่างนาย ใครเขาจะ…”


 


 


“หุบปาก”


 


 


วินาทีที่ผมพูดออกไปเสร็จ เงาของแพคซอยอนเกิดสะดุ้งโหยง และปิดปากฉับทันที


 


 


“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าใครเข้ามาแส่โดยฉันไม่อนุญาต ฉันจะฆ่าทิ้งให้หมด”


 


 


ความกระหายเลือดเอ่อล้นออกมาบริเวณขอบตาผม พวกเร่ร่อนที่เห็นภาพดังนั้นจึงเกิดอาการสะดุ้งหวาดกลัวในทันที ผมจึงค่อยๆ คลายความกระหายเลือดของตัวเองให้เลือนออกไปอย่างช้าๆ แล้วจ้องไปยังพวกเร่ร่อนที่กำลังเกิดอาการไม่พอใจในตัวแพคซอยอน ในดวงตาของพวกเขากำลังจมดิ่งไปกับความเสียใจและเสียดายในตัวหล่อนอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้


 


 


“ฟังให้ดี ฉันไม่ได้จะมาบอกว่าขอล้วงลับอะไรจากพวกเธอ ฉันไม่ได้สนใจอะไรมันทั้งนั้น บาปที่เคยก่อไว้ยังไงก็ไม่มีวันเลือนหายไม่ใช่หรือไง เพราะฉะนั้นทันทีที่กลับไปถึงเมือง ฉันคิดว่าจะตัดสินคดีพวกเธอทุกคน โดยจะอิงตามกฏระเบียบต่างๆ”


 


 


“…”


 


 


“แต่ในบรรดาพวกเธอเอง คงมีบางคนที่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ไม่มากก็น้อยใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงมีพวกเร่ร่อนบางคนที่อยากได้สถานะกลับคืนมาเป็นผู้เล่น แล้วจึงค่อยเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ก็นั่นแหละ ฉันกำลังจะบอกว่าฉันจะมอบโอกาสนั้นให้กับพวกเธอเอง”


 


 


บังเกิดความเงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ อยู่ชั่วขณะ อ้า จะเรียกว่าเงียบสนิทเลยก็ไม่ใช่ เพราะผมได้ยินเสียงเหมือนแพคซอยอนกำลังอดทนอดกลั้นอะไรบางอย่าง ดูแล้วหล่อนคงมีอะไรที่อยากจะพูด


 


 


“งั้น…คุณจะไว้ชีวิตพวกเราใช่ไหมครับ”


 


 


ในตอนนั้นผมได้ยินคำถามของใครบางคน ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่รู้ว่าเกิดจากการอ่อนเพลียหรือระมัดระวังในการใช้เสียงกันแน่ พอผมหันหน้ากลับไปมอง ผมจึงเห็นผู้ชายคนนั้นที่ได้กินสตูไปหนึ่งช้อนเมื่อครู่ อีกทั้งผมยังได้ยินเสียงฟึดฟัดจากแพคซอยอนที่อยู่ข้างๆ กันด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรหล่อน ช่วงเวลานับต่อจากนี้ต่างหากที่สำคัญ อย่างน้อยผมต้องเปิดโอกาสให้เขาได้พูดความจริง ดีกว่าจะให้พูดงกๆ เงิ่นๆ คะยั้นคะยอไม่รู้จักจบจักสิ้น


 


 


ในช่วงที่ทุกสายตาล้วนจับจ้องมายังผมและชายผู้นั้น ผมจึงพยักหน้าตอบรับเขาอย่างช้าๆ


 


 


“น่าเสียดาย แต่ฉันไม่สามารถรับประกันอะไรได้ทั้งนั้น ก็ตามที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นั่นแหละ ฉันคิดว่าจะส่งพวกนายทุกคนเข้าไปรับการตัดสินคดี”


 


 


“อืม…”


 


 


“ก่อนอื่นฉันต้องขอแนะนำตัวสักหน่อยสินะ ฉันคิมซูฮยอน แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ส่วนทางนั้นคือโกยอนจู ราชินีแห่งเงามืด เคยได้ยินชื่อมาก่อนบ้างหรือเปล่าล่ะ”


 


 


“ครับ เคยได้ยินชื่อพวกท่านทั้งสองคนเลยครับ”


 


 


คำพูดของพวกเร่ร่อนได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความสุภาพเรียบร้อยในที ผมเก็บความเชื่อมั่นไว้ในใจ แล้วจึงพูดออกไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย


 


 


“แต่ว่าหากพวกเธอได้เปลี่ยนความคิดไป ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะไม่มีเส้นทางเดินต่อในชีวิตนะ สรุปสั้นๆ ก็คือ พวกเราสองคน ซึ่งก็คือฉันกับราชินีแห่งเงามืด คิดว่าจะละเว้นเฉพาะพวกเร่ร่อนที่ยอมเปลี่ยนความคิดเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นจึงจะคอยช่วยแก้ต่างให้“


 


 


“งั้น…”


 


 


“ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้วละ ถ้าเธอมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมอะไร ก็ขอให้ช่วยชี้แจงแถลงไขออกมา แล้วใครที่ก่อร่างสร้างบาปไว้ จะต้องสร้างคุณงามความดีให้เท่ากับที่จะสามารถกลบความชั่วเหล่านั้นให้มิดไปให้ได้”


 


 


“คุณงามความดีหรอครับ…หมายถึงให้พวกเราขายข้อมูลหรือเปล่า”


 


 


“คิดดีๆ สิ ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เขาก็รู้ดีกันอยู่แล้ว แต่พวกเราน่ะไม่คิดจะค้นหาข้อมูลทั้งหมดทั้งมวลอะไรนั่นหรอก แพคซอยอนที่อยู่ตรงนู้นน่ะ ยังไงก็ต้องโดนลงโทษแน่นอนอยู่แล้ว ไม่สิ ถ้าเธอได้รับแค่การลงโทษก็ถือว่าโชคดีสุดๆ แล้ว แต่ว่าพวกเธอน่ะไม่ถึงระดับหล่อนคนนั้นไม่ใช่หรือไง พอเธอไปก็จะถูกทรมาน แล้วพอคายข้อมูลที่มาจากการโดนล้างสมอง สุดท้ายยังไงก็จะต้องตายใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าหากเธอยอมคายข้อมูลออกมา ไม่ว่าจะพูดตามใจตัวเองหรือตามใจคนอื่นคนใด แต่อย่างน้อยก็จะถือว่าเธอเปลี่ยนใจอย่างแน่นอนแล้ว และพวกเราจะช่วยชีวิตเธอเอาไว้เอง อ้า ไม่ถึงกับเป็นการให้บริการอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่เราจะรับรองชีวิตการเป็นเชลยศึกของพวกเธอให้เป็นไปอย่างปกติสุขที่สุด จนกว่าพวกเราจะไปถึงเมืองในภายภาคหน้า และก็…”


 


 


ผมเว้นช่วงหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเสริมต่อท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


 


 


“ระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์น่ะอาจจะยังมีใช้การได้อยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของแต่ละคนด้วย อาจจะใช้เวลาสักเล็กน้อย แต่หากเรายืมพลังของแท่นบูชามาใช้ ก็ยังพออยู่ในระดับที่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้”


 


 


“ดะ เดี๋ยวก่อนนะครับ…”


 


 


“สิ่งที่ฉันจะพูดก็มีเพียงเท่านี้แหละ จะไม่มีการพูดคุยเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตามก็ตัดสินใจเอาเสีย จะฆ่าตัวตายไปทั้งอย่างนี้ หรือจะอยู่อย่างยากลำบาก แล้วค่อยตายไปอย่างไร้ค่า ถ้าไม่อย่างนั้นก็…”


 


 


ผมหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงยื่นชามสตูอันแสนเย็นชืดพร้อมกับน้ำสะอาดออกไปด้านหน้าอีกเล็กน้อย


 


 


“ฟังคำที่ฉันพูด แล้วลงมือกินเสีย”


 


 


และในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งที่เริ่มพูดกับผมได้ตะเกียกตะกายมาอยู่ข้างหน้า หลังจากนั้นก็รีบก้มหน้าก้มตาลงไปที่ชามอย่างไม่รีรอ แพคซอยอนมองเขาที่เริ่มลงมือกินสตูอย่างมูมมามด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ ด้านพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ เองก็มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายใจเช่นกัน ผมมองดูภาพเหล่านั้นแล้วจึงพูดออกไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ


 


 


“ไม่มีเพิ่มแล้วใช่ไหม”


 


 


“…”


 


 


“ถ้าไม่มีก็โอเค งั้น…”


 


 


“ดะ เดี๋ยวก่อน!”


 


 


ผมก้มมองลงด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ทั้งชามสตูและขวดน้ำต่างก็ถูกจัดการจนหมดเกลี้ยงใสแจ๋วจนแทบไม่ต้องล้างจานเลย พอผมหันหน้าไปมองข้างๆ กันนั้น จึงได้เห็นชายคนหนึ่งที่มีสีหน้าผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด และอีกคนเป็นพวกเร่ร่อนหญิงที่ก้าวออกมาต่อจากชายคนนั้น หญิงสาวผู้นั้นกำลังดื่มน้ำที่โกยอนจูป้อนให้อึกใหญ่ ทั้งๆ ที่ปากหล่อนยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยสตูเนื้อแสนอร่อย


 


 


ท้ายที่สุดแล้ว เราจึงมีจำนวนคนที่ยอมก้าวข้ามมาฝั่งของเราทั้งหมดสองคนด้วยกัน ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือนั้นต่างก็นั่งอยู่แต่กับที่ของตัวเอง บางคนดูลุ่มหลงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า แต่ถึงกระนั้นผมยังรู้ทันแพคซอยอนอยู่ดี หล่อนได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดราวกับสติจะแตก และยังไม่ยอมลุกออกมาแต่โดยดี


 


 


ในปริมาณเพียงเท่านี้นั้นนับว่ายังคงขาดแคลน หากจะให้ว่ากันตรงๆ คือคำพูดที่ผมเอื้อนเอ่ยออกไปนั้นล้วนดูสดใส สวยงามไปเสียทั้งหมด แต่พวกนั้นอาจจะคิดว่าอาจถูกผมฆ่าก็ได้ ข้อมูลที่ออกมาจากปากแพคซอยอนมีคุณค่ามากเกินกว่าข้อมูลจากพวกเร่ร่อนประเภทนั้นร้อยคนเสียอีก


 


 


แต่ผมทราบดีว่าหล่อนเป็นคนโหดเ**้ยมอำมหิตถึงเพียงใด เพราะฉะนั้นการทำลายจิตใจหล่อนด้วยวิธีทั่วไป นับเป็นเรื่องยากลำบากพอสมควร ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าจะเริ่มดำเนินแผนการที่สองในทันที


 


 


“โกยอนจู ช่วยคลายปมที่มัดปากแพคซอยอนสักครู่หนึ่งหน่อยสิครับ”


 


 


“เฮ้ย ไอ้พวกโง่! ทำไมถึงยอมข้ามไปฝั่งพวกมันล่ะวะ พวกแกนี่แม่ง…!”


 


 


“ช่วยปิดปากทีครับ”


 


 


“อ…อึบ! อึก! อ่อยอะเอ้ย!” 

 

 


เล่มที่ 16 ตอนที่ 15

 

ผมลุกขึ้นจากที่ แล้วจึงเดินไปด้านหลังเพื่อเตรียมเคลียร์พื้นที่ให้มีมากเพียงพอ และมุ่งหน้าไปหาโกยอนจู โดยพูดกับหล่อนว่า


 


 


“โกยอนจู เรื่องอาหารกับน้ำดื่มตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ”


 


 


“ขาดแคลนทั้งสองอย่างน่ะสิคะ อาหารน่ะยังพอแบ่งให้ได้ แต่น้ำน่ะรับประกันได้เลยว่าหมดในเร็ววันนี้แน่นอนค่ะ”


 


 


“งั้นเราคงจำเป็นที่จะต้องลดจำนวนคนกินดื่มเสียแล้วล่ะสิ ยังไงเจ้าสองคนนั้นก็ยอมข้ามฝั่งมาแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าพวกที่เหลืออยู่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรกับเราแล้วละครับ…”


 


 


ผมพูดร่ายยาวพร้อมกับจ้องมองไปยังพวกเร่ร่อน


 


 


“โกยอนจู สงสัยคงจะต้องขอยืมพลังสักหน่อยแล้วละครับ”


 


 


“ให้ยืมได้ไม่อั้นเลยค่ะ แต่คุณต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วยนะคะ”


 


 


“ยังไงหรือครับ”


 


 


“บนเตียง”


 


 


ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาให้กับคำเย้าแหย่อันทะลึ่งตึงตังที่ออกมาจากปากของโกยอนจู หล่อนขำตัวโยนแล้วจึงเข้ามาใกล้ๆ ผม พร้อมกับถามมาว่า


 


 


“จะให้ช่วยยังไงล่ะคะ”


 


 


“ผมว่าจะเล่นเกมเล็กๆ น้อยๆ สักเกมน่ะครับ”


 


 


“เกมเหรอคะ”


 


 


“เดี๋ยวได้เห็นก็รู้เองแหละครับ ก่อนอื่นช่วยมัดขาเจ้าสองคนที่อยู่ตรงนั้นให้แน่นๆ เลยนะครับ แล้วช่วยพามาอยู่ตรงที่โล่งๆ ข้างหน้านี้ที”


 


 


โกยอนจูเอียงคอสงสัย แต่สุดท้ายหล่อนก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผมอย่างเคร่งครัด หลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองคนจึงถูกกลุ่มเงาอุ้มตัวมาในขณะที่ขาถูกมัดแน่น แล้วค่อยถูกนำมานั่งลงตรงกลางระหว่างผมกับพวกเร่ร่อน คนหนึ่งเป็นอีกาอิน ที่ผมทราบมาว่าเขาเป็นคนที่แพคซอยอนไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด ส่วนอีกคนหนึ่งคือหญิงสาวที่มีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดของผม


 


 


“แล้วยังไงต่อล่ะคะ”


 


 


“แค่นี้พอแล้วครับ ที่เหลือยังไงก็ช่วยประคับประคองสถานการณ์ไว้จนกว่าเกมจะจบก็แล้วกันครับ”


 


 


ผมควักดาบเทพแห่งสุริยันจันทราออกมาทันทีหลังพูดจบ จากนั้นเดินผ่ากลางหญิงสาวทั้งสองคนไปยังพวกเร่ร่อนที่นั่งคุกเข่าอยู่ ดาบเทพแห่งสุริยันจันทราที่น้อมรับแสงจากดวงจันทร์มานั้นกำลังส่องแสงเลือนราง แสงเลือนรางนั้นได้ตกกระทบเข้ากับใบหน้าของคนที่เหลือทั้งหมดห้าคน ผมจับไหล่ชายผู้หนึ่งที่ถูกเลือกขึ้นมาจากที่นั่งตรงนั้น


 


 


“ฟังให้ดี นายอยู่ทีมผู้หญิงฝั่งซ้ายมือ”


 


 


“อะ…อะไรครับ…อ๊ะ อ๊อก!”


 


 


ฝุบ!


 


 


ผมเสียบเข้าที่ท้องของชายผู้นั้นเบาๆ เขาร้องเสียงแหลมพร้อมกับล้มตัวลงมาด้านหน้า ต่อมาผมจึงก้าวเท้าไปหาคนถัดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนนั้นก็คืออีแฮอิน


 


 


“ส่วนเธอ อยู่ทีมผู้หญิงฝั่งขวามือ”


 


 


“อ้า…!”


 


 


อีแฮอินอ้าปากพะงาบๆ ในขณะที่โดนแทงเข้าที่ท้อง หลังจากนั้นเลือดจึงค่อยๆ ไหลออกมาเป็นสาย หลังจากผมเก็บดาบเสร็จ จึงควักยาน้ำสำหรับรักษาที่เตรียมมาล่วงหน้าจากด้านใน ผมเขย่าของที่อยู่ในมือเล็กน้อยพอให้ทุกคนได้เห็น หลังจากนั้นจึงเปิดปากพูดอย่างแผ่วเบา


 


 


“เกมนี้ชื่อว่า แบทเทิต รอยัล ทั้งสองคนจงเริ่มต่อสู้กัน ณ บัดนี้”


 


 


“อะ อะไรของนาย…”


 


 


“บอกให้สู้กันไง ถ้าเธอชนะ ฉันจะช่วยพวกเร่ร่อนคนนี้ ส่วนเธอ ถ้าชนะได้ ฉันก็จะช่วยพวกเร่ร่อนคนนี้เหมือนกัน”


 


 


ผมชี้ไปที่ชายผู้นั้นกับอีแฮอิน หลังจากนั้นจึงเบนสายตาไปมองแพคซอยอน


 


 


“อึ๊บ! อึกอั้ยอึบ!”


 


 


แพคซอยอนจ้องตาเขม็งกลับมา พร้อมกับความคลุ้มคลั่งที่กำลังแผ่ซ่าน ผมเก็บยาน้ำไว้ข้างในอีกครั้ง แล้วจึงพูดออกมาช้าๆ


 


 


“อย่างที่ทราบ ถ้าพวกเธอทั้งสองคนยังอยู่ในสภาพนี้ ก็จะต้องตายภายในสิบนาที สู้กันซะ ถ้าชนะ ก็จะมีคนหนึ่งที่รอด ถ้าไม่ก็ต้องตายทั้งคู่”


 


 


แพคซอยอนยันกายขึ้นมา ดูเหมือนหล่อนจะทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่สุดท้ายร่างกายหล่อนก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง ดูท่าแล้วคงจะเป็นฝีมือของโกยอนจู


 


 


“อึบ! อึมมมมม!”


 


 


อีกาอินกับพวกเร่ร่อนหญิงที่เหลือได้แต่จ้องหน้าจ้องตาโดยมีสีหน้าที่ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรต่อไป


 


 


การพบกันครั้งใหม่และการกลับคืนสู่จุดเดิม


 


 


อีกาอินที่มาในฐานะผู้ต่อสู้กับจองฮยอนอู พวกเร่ร่อนชายที่กำลังรอความช่วยเหลือ


 


 


ชินอายอง พวกเร่ร่อนหญิงคนหนึ่งในฐานะผู้ต่อสู้กับอีแฮอิน ที่กำลังรอความช่วยเหลือ


 


 


และแพคซอยอน ผู้ที่ไม่สามารถกระทำอะไรได้ นอกจากมองภาพเหตุการณ์เหล่านั้น


 


 


เกมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ บัดนี้ หากอีกาอินชนะ จองฮยอนอูจะรอด และหากชินอายองชนะ อีแฮอินก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ ผมมองทั้งสองคนตรงหน้าด้วยใจอันเริงร่า แล้วจึงหันไปมองแพคซอยอนแวบหนึ่ง แม้ปากจะถูกปิดไว้เสียสนิท แต่ก็พยายามส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อน จนคอของหล่อนปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด ดวงตาแดงก่ำราวกับสายเลือด สภาพของหล่อนดูคลุ้มคลั่ง ไร้ซึ่งสติใดๆ ไปแล้วในตอนนี้ ไม่ใช่การบังคับให้มาเผชิญหน้าต่อสู้กันอย่างไร้ประโยชน์แต่อย่างใด แต่ผมมีความคิดอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องจัดทีมในรูปแบบนั้นออกมา


 


 


แพคซอยอนที่ผมจำได้นั้นคือ พวกเร่ร่อนคนหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแฝงอยู่เล็กน้อย หากจะพูดถึงพวกเร่ร่อนสักหนึ่งคำคือ พวกเราไม่สามารถไปสั่งการหรือบังคับพวกมันด้วยวิธีธรรมดาๆ ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันกลับมีแนวโน้มสูงมากที่จะมาเข้าร่วมทีมกับเราได้อย่างง่ายดาย ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้มีอารมณ์และความรู้สึก ที่เรียกว่า ‘ความโอบอ้อมอารี’ นั้นค่อนข้างที่จะน้อยเมื่อเทียบกับผู้เล่น


 


 


แต่ทว่าหล่อนกลับแตกต่างออกไป ในสายตาของศัตรูนั้น ภาพลักษณ์ภายนอกของแพคซอยอนดูโหดเ**้ยมอำมหิตและไร้ซึ่งความเมตตาต่อสิ่งใด แต่ทว่าเหล่าพวกเร่ร่อนที่คอยสนับสนุนและปฏิบัติตามหล่อนนั้น หล่อนก็สามารถดูแลพวกเขาได้ด้วยความจริงใจ ดูแล้วคงจะมีมุมหนึ่งที่คล้ายคลึงกับผมก็เป็นได้ แพคซอยอนที่ผมจำได้นั้นเป็นบุคคลประเภทนั้นนั่นแหละ


 


 


ผมค่อยๆ ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด แพคซอยอนน่ะเป็นคนโหดเ**้ยม แม้ว่าหล่อนจะแพ้พ่ายต่อดวงตาแห่งการล่อลวงและสมควรเจอกับความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงมากถึงเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับไม่คิดว่าจะไปบังคับให้หล่อนคายข้อมูลออกมาตามอำเภอใจแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเราจึงต้องสืบค้นข้อมูลต่างๆ ผ่านการควบคุมจิตใจ แต่ทว่ากลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากพลังจิตของหล่อนนั้นมีพลังมากมายมหาศาลกว่าที่เราคาดการณ์ไว้เยอะ


 


 


ถ้าอย่างนั้นแล้วบทสรุปจึงมีเพียงแค่หนึ่งเดียว เราจะต้องบังคับและขัดขวางมิให้หล่อนฆ่าตัวตาย และต้องทำลายจิตใจของหล่อนไปให้จงได้


 


 


ยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่แพคซอยอนเป็นแบบนั้นตามที่ผมจดจำได้ หากดูการจัดการพวกสะกดรอยตามและการตามไล่ล่าต่างๆ จากเหตุการณ์ที่สามารถบุกรุกเมืองได้สำเร็จแล้วนั้น ผมก็สามารถรังสรรค์แผนการณ์ของตัวเองออกมา


 


 


ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรจึงจะสามารถทำลายจิตใจของหล่อนได้ล่ะ มีหลากหลายวิธีก็จริง แต่ทว่าผมได้เบี่ยงเบนจุดสนใจไปยังเหล่าพวกเร่ร่อนที่อยู่รอบกายแพคซอยอนเป็นอันดับแรก เพราะหากลองบิดเบือนนิสัยของหล่อนและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเร่ร่อนได้ เส้นทางจะถูกเปิดกว้างมากขึ้น


 


 


อย่างไรก็ตาม การจับตัวแพคซอยอนมาได้นั้นเป็นผลลัพธ์ที่อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายทั้งปวง ผลที่ได้รับมาในครั้งนี้นั้นจะใช้ประโยชน์ได้ดีหรือไม่ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นก็จะมีแต่ความย่อยยับ ซึ่งทั้งนี้ล้วนขึ้นอยู่กับมือผม ไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งรีบมุ่งหน้าไปให้เสียเวลา ผมคิดว่าเราจะค่อยๆ ก้าวไปอย่างช้าๆ ไปเรื่อยๆ ตามที่โกยอนจูบอก


 


 


แล้วหลังจากนั้นผมจึงใช้ดวงตาที่สามจ้องมองทั้งสองคนที่ต่างคนต่างใจลอย ได้แต่ยืนมองหน้ากัน


 


 


 


 


ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)


 


 


1.ชื่อ (Name) : อีกาอิน (ปีที่ 3)


 


 


2.คลาส (Class) : จอมเวทแห่งความเพ้อฝัน (Rare, Delusion Sorceress, Master)


 


 


3.นามแท้ · สัญชาติ : สวยใสไร้สมอง (Beautiful Fool) · สาธารณรัฐเกาหลีใต้


 


 


4.เพศ (Sex) : หญิง (22)


 


 


5.อุปนิสัย : ไม่มีระเบียบ · ความเศร้าโศก (Chaos · Gloom)


 


 


[พละกำลัง 16(-22)] [ความทนทาน 8(-18)] [ความคล่องแคล่ว 10(-14)] [ความแข็งแกร่ง 14(-32)] [พลังเวท 30(-64)] [โชค 80]


 


 


คะแนนพลังเหลือ 0 พอยต์


 


 


 


 


ระบบหมุนเวียนพลังเวทของคนคนนี้ได้ถูกทำลายเสียหายไปแล้วเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ สภาพร่างกายเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว คะแนนพลังอื่นๆ ยกเว้นคะแนนพลังด้านโชคก็ลดต่ำลง ในกรณีที่คงสภาพเช่นนี้ต่อไปเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกัน จะทำให้มีโอกาสที่คะแนนพลังเกิดความเสียหายได้อย่างถาวร สถานการณ์ในขณะนี้คือ ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะกลับคืนสู่สภาพปกติ จำเป็นต้องใช้อีลิกเซอร์หรือยาสารพัดประโยชน์ในการช่วยรักษา หรือจำต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลาอย่างน้อยหกเดือนขึ้นไป แต่ถึงอย่างนั้นยังมีสิทธิ์ที่จะสามารถรักษาได้อย่างหายขาด


 


 


ความจริงประการหนึ่งที่ปรากฏออกมาผ่านดวงตาแห่งการล่อลวง คือ อีกาอินกับอีแฮยอนเป็นคนที่แพคซอยอนไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด จากที่ทราบมาแพคซอยอนได้แต่งตั้งอีกาอินให้เป็นพวกเร่ร่อนโดยตรง ส่วนอีแฮยอนนั้นเห็นว่าทั้งสองคนผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งแต่สมัยพิธีเปลี่ยนสภาวะแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงจะต้องจัดการกับทั้งสองคนนี้


 


 


ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้พ่ายในศึกครั้งนี้ สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็เหมือนกันอยู่ดี


 


 


“หมดไปสามนาทีแล้ว อย่างที่พวกเธอทราบ เราจะไม่มีการตัดสินผลให้ออกมาเสมอกันอย่างเด็ดขาด หากสองคนนั้นตาย พวกเธอทั้งสองคนก็จะตายเหมือนกัน”


 


 


ผมเอามือเท้าคางพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไร้ความกังวล พวกเร่ร่อนถูกไล่จนตรอกอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะทางร่ายกายหรือทางจิตใจ แต่แล้วคนคนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหวออกมาบ้าง ซึ่งอาจเป็นเพราะคำพูดของผมที่ได้เข้าไปกระตุ้นเขานั่นเอง


 


 


พวกเร่ร่อนที่เริ่มขยับตัวคนแรกคือ ชินอายอง หล่อนตกอยู่ในสภาพที่ถูกกลุ่มเงามัดขาทั้งสองข้างไว้อย่างแน่นหนา จึงทำให้หล่อนต้องออกแรงเริ่มใช้แขนคลานไปที่พื้นดิน ด้านอีกาอินนั้นยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ออกมาให้เห็น หล่อนยังคงนิ่ง ไม่รับรู้สิ่งใดเหมือนคนไร้ซึ่งสติ


 


 


ชินอายองหยุดการเคลื่อนไหวตรงหน้าอีกาอิน นัยน์ตาของหล่อนอัดแน่นไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกด้านลบ ชินอายองมองสำรวจอีกาอินอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงฟาดมือลงบนใบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง


 


 


เพียะ!


 


 


ทันใดนั้นเสียงเพียะจึงดังขึ้น ไม่รู้ว่าหล่อนถูกตบไปแรงถึงเพียงไหน ใบหน้าของอีกาอินนั้นถูกตบจนหน้าหันไปอีกทิศเลยทีเดียว มือของชินอายองสั่นสะท้าน ส่วนดวงหน้าของอีกาอินนั้นยังคงค้างอยู่ในสภาพดังเดิม หลังจากนั้นในช่วงที่อีกาอินกำลังเบิกตากว้าง พร้อมค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างช้าๆ นั้น ก็พลันเกิดเสียงรุนแรงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เพียะ! เพียะ!


 


 


ในครั้งแรกอาจจะแสนยาก แต่ทว่าถัดจากครั้งนั้นมาแล้วก็ง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก หลังจากชินอายองได้ลงมือไปในครั้งแรกแล้วนั้น จึงทำให้เวลาต่อจากนั้นมาหล่อนจึงเริ่มตบหน้าอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งความลังเล แม้สภาพร่างกายในปัจจุบันจะไม่ปกติ แต่ทว่าประสบการณ์ในการต่อสู้ของหล่อนยังคงเช่นเดิม ไม่หนีหายไปไหน


 


 


ชินอายองจ้องใบหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับรัวมือทั้งสองข้างตบเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง อีกาอินได้แต่หันหน้าไปมาตามทิศทางที่หล่อนโดนกระทำ อาจเป็นเพราะหล่อนตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงต่อสิ่งนั้นได้


 


 


“อึ๊บ! อุ๊บ! อึ้ยยยยยยย!”


 


 


ฝั่งหนึ่งถูกกระทำ อีกฝั่งหนึ่งเป็นผู้ลงมือกระทำ ทั้งที่ดูแล้วช่างเป็นการต่อสู้ที่น่าเวทนา แต่ตอนนี้ค่อยๆ เพิ่มระดับความดุเดือดขึ้นแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม