Memorize เล่มที่ 16 ตอนที่ 30-33
เล่มที่ 16 ตอนที่ 30
อย่างไรก็ตาม การพบปะกับอีฮโยอึลในวันนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่มีประโยชน์ไม่ใช่น้อย ไม่ถึงกับต่างคนต่างได้เผยความในใจออกมาก็จริง แต่ทว่าผมสามารถยืนยันได้แล้วว่าความคิดของหล่อนเหมือนกับผมแทบจะทุกประการ ดังนั้นผมจึงสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าไม่เสียเวลาโดยใช่เหตุอย่างแน่นอน แม้จะบอกว่างานล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่การให้เข้ามาช่วยเรื่องอำนาจและการควบคุมต่างๆ ก็ยังคงจำเป็นอยู่ดี ซึ่งหากคนๆ นั้นคืออีฮโยอึล ก็บอกได้เลยว่าหล่อนเหมาะสมกับหน้าที่นี้มากๆ แล้ว
ผมลุกออกจากที่นั่ง อีฮโยอึลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองมาที่ผมทันที
“จะไปแล้วเหรอ”
“อืม ว่าแต่ก่อนฉันไป เธอควรแจ้งวันเวลาคำสั่งเกณฑ์พลที่เธอเป็นเจ้าภาพสักหน่อยจะดีกว่าไหม”
“วันที่จัดคืออีกสามสัปดาห์หลังจากนี้ การดำเนินการก็เข้าสู่ช่วงท้ายๆ แล้วละ แต่ยังต้องการเวลาจัดการให้เสร็จสมบูรณ์แบบอยู่น่ะ และก็ตอนนี้เรากำลังหาสถานที่อยู่ ยังไงฉันจะส่งข่าวไปให้ภายในสามวันนี้ก็แล้วกัน”
“โอเค รับทราบ อ้า แล้วก็เธอน่ะ สงสัยคงจะต้องเข้ามาเยี่ยมเผ่าเราสักครั้งหนึ่งก่อนเปิดคำสั่งเกณฑ์พลสักหน่อยนะ”
อีฮโยอึลเอียงคอสงสัยในช่วงแรกๆ ทว่าหลังจากนั้นนัยน์ตาหล่อนกลับลุกแวววาวขึ้นมา พร้อมพูดออกมาว่า
“ทำไมล่ะ”
“แล้วก็อีกอย่าง คำสั่งเกณฑ์พลที่เธอเป็นเจ้าภาพน่ะ ผู้เล่นทุกคนที่มารวมตัวกันเขารู้กันใช่ไหมว่าเธอยังมีชีวิตอยู่”
“แหงอยู่แล้วสิ พวกนั้นเป็นคนที่เคยร่วมรบตบมือกับฉันมาก่อนทั้งหมดนั่นแหละ”
“งั้นหมายความว่าทุกคนเป็นคนที่เชื่อถือได้ในระดับหนึ่งน่ะสินะ”
วินาทีที่ประโยคนั้นถูกเปล่งออกไป ดวงตาของอีฮโยอึลก็เบิกกว้างขึ้น หล่อนเข้าใจความหมายเหล่านั้นที่แฝงอยู่ในคำพูดของผม ก่อนที่จะได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ไหนๆ ผมก็จะเข้าร่วมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าผมจะทำให้งานคำสั่งเกณฑ์พลในครั้งนี้ครึกครื้นให้ได้
“…ให้ไปเยี่ยมได้เมื่อไหร่ล่ะ”
ในที่สุดอีฮโยอึลก็เปล่งคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่าของคุณครับ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“อ้อ มาแล้วหรือครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องขออภัยด้วยที่ให้คุณช่วยนัดแนะวันเวลามาก่อน พอดีช่วงนั้นผมมีงานยุ่ง ต้องทำหลายสิ่งหลายอย่าง เลยหาเวลาไม่ได้เลยครับ”
ผมมองชินแจรยงที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน แล้วจึงชี้ไปยังโซฟาตรงหน้าเพื่อเชิญชวนให้เขานั่งลง
จริงๆ ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะพักแรมอยู่แค่คืนเดียวเท่านั้น แต่ทว่าวันเวลากลับผ่านเลยราวกับสายน้ำเชี่ยวกราดตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ แต่ผมก็ไม่ได้ลงไปข้องแวะแต่อย่างใด เพียงแค่ไม่ได้พูดออกไปตรงๆ ก็เท่านั้น ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสภาพคอยส่งสัญญาณแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจให้เขาได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในรูปแบบไหน ระยะเวลาเท่าไหร่ ไม่สิ ยิ่งเป็นผู้เล่นที่มีช่วงปีสูงๆ แล้วล่ะก็การที่จะหาที่อยู่พักพิงใหม่ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องพินิจพิเคราะห์อย่างมาก
ด้วยความที่ผมรู้ซึ้งถึงหัวจิตหัวใจของชินแจรยง ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมจึงให้เวลาเขาได้มองเห็นเมอร์เซนต์นารี่ในทุกๆ แง่มุม และยังให้เวลาให้เขาได้จัดการกับความคิดของตัวเองได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
ชินแจรยงนั่งลงตามคำเชิญของผม แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนนุ่มนวล
“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไรครับ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ คุณเองก็ต้องยุ่งเป็นเรื่องธรรมดา ผมต่างหากที่จะต้องขอโทษ ทั้งๆ ที่บอกไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะพักแรมอยู่คืนเดียวเท่านั้น แต่ทว่ากลับเป็นหนี้บุญคุณคุณอย่างไม่ละอายมาจนถึงตอนนี้ แหะๆ”
“หนี้บุญคุณอะไรกันครับ ที่ผ่านมาผมได้ยินสมาชิกเผ่าพูดถึงคุณชินแจรยงเยอะมากเลยนะครับ ทั้งเข้ามาช่วยงานอะไรหลายๆ อย่าง แถมยังคอยให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับอันซลอีกด้วย”
จากการประเมินชินแจรยงของสมาชิกเผ่านั้น พบว่าส่วนใหญ่แล้วเต็มไปด้วยความปราถนาดีโดยทั้งสิ้น จริงๆ ผมก็คิดกับเขาในแง่ดีมาตั้งแต่เขามาเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยแล้วละ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมคิดว่าหากเขาจะมาเข้าร่วมเผ่าของเราในภายหลัง ผมสิที่จะต้องยินยอมให้เขาเข้ามาอย่างไร้ซึ่งข้อกังหาใดๆ
ชินแจรยงส่งรอยยิ้มขัดเขินมาให้ หลังจากนั้นจึงเริ่มจ้องผมด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง ดูท่าว่าจะต้องเข้าประเด็นหลักเสียแล้วในตอนนี้ ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นพูดก่อน เพื่อช่วยบรรเทาความตึงเครียดของเขา
“ถ้างั้นคุณตัดสินใจได้หรือยังครับ”
ชินแจรยงมีสีหน้าตกตะลึงไปพักหนึ่ง ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงราวกับกลืนน้ำลายลงคอก็ไม่ปาน แต่พอผมเห็นว่าเขาสามารถเรียกความสุขุมกลับมาได้แล้ว จึงเห็นได้ว่าเขาคงตัดสินใจตามที่ผมได้พูดไปแล้วจริงๆ
“ตอนที่คุณบอกเป็นนัยยะในช่วงแรกๆ นั้น ผมค่อนข้างสับสนนิดหน่อยครับ ในทางคำพูด ผมอาจจะบอกว่าจัดการทุกอย่างได้เสร็จสิ้นหมดแล้ว แต่ทว่าก็ยังมีสมาชิกเผ่าหลงเหลืออยู่ในหัวใจผมอยู่เหมือนกัน แต่พอผมได้มานั่งคิดดูดีๆ แล้ว คำพูดของคุณในตอนนั้น ผมถือว่าเป็นคำที่ผมควรจะขอบคุณมากๆ ที่คุณมอบให้ผมที่ตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ครับ ผมสามารถตัดสินใจได้เมื่อวานนี้เองครับ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ และรู้สึกว่าคนดีๆ ที่นี่มีอยู่เยอะมาก ผมคิดว่าผมจะไม่มีวันพลาดโอกาสทองเช่นนี้ไปเด็ดขาด หากคำพูดเหล่านี้ยังคงมีผลอยู่บ้าง ตอนนี้ผมขอบังอาจ อยากจะวิงวอนอะไรบางอย่างน่ะครับ แต่เดิมคุณก็มีผู้สำคัญอันทรงเกียรติอยู่เยอะมากแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถเข้ามาช่วยอะไรได้บ้าง หากคุณตอบรับให้ผมเข้าร่วมเผ่า ผมจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ให้ได้มากที่สุดครับผม”
“…”
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1.ชื่อ (Name) : ชินแจรยง (ปีที่ 4)
2.คลาส (Class) : นักบวชทั่วไป (Normal, Priest, Expert)
3.อุปนิสัย : ดี · มีความกระตือรือร้น (Good · Passion)
[พละกำลัง 78] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 74] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 84] [โชค 68]
‘ช่วยอะไรไม่ได้เลยงั้นเหรอ อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย’
ผมใช้ดวงตาที่สามยืนยันข้อมูลผู้เล่น พร้อมปรายตามองชินแจรยง อย่างแรกเลยคือเขาเป็นนักบวช และมีข้อมูลผู้เล่นในระดับนี้ ถือว่าเขามีส่วนช่วยเราอย่างไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง ยิ่งไปกว่านั้น ค่าพลังความแข็งแกร่งในฐานะที่เป็นนักบวชถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก ดังนั้นผมจึงสามารถคาดหวังได้ถึงประสิทธิภาพต่างๆ ที่สูงขึ้น สูงยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนอุปนิสัยนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
และหากลองคิดถึงสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมีขึ้นในภายภาคหน้าแล้วล่ะก็ เมอร์เซนต์นารี่ที่ตอนนี้กำลังขาดแคลนนักบวชอยู่นั้น การชักชวนให้เขาเข้าร่วมเผ่าครั้งนี้เปรียบเสมือนฝนตกในหน้าแล้งเลยทีเดียว
ผมยื่นมือออกไปข้างหน้า แล้วจึงเปิดปากพูดออกไปด้วยน้ำเสียงไพเราะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อย่างไม่ขัดเขิน
“ฮ่าๆ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ในอนาคตก็จะยิ่งยุ่งมากขึ้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรคุณก็มีส่วนช่วยพวกเราอย่างแน่นอนครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โชคดีแล้วครับ ผมถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆ เลยนะครับที่ผมจะได้มีงานทำเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ในอนาคตผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเมอร์เซนต์นารี่ครับ”
ชินแจรยงส่งรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนมาให้ หลังจากนั้นจึงยื่นมือเข้ามาจับ ทันใดนั้นผมพลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือ พร้อมกับความรู้สึกที่ว่าควรปล่อยมือได้แล้วเสียทีวิ่งแล่นเข้ามา
ก๊อก ก๊อก
ในตอนนั้นเอง ตอนที่ผมกำลังจับมือกับชินแจรยงอย่างแสนอบอุ่น ในช่วงที่ต่างคนต่างกำลังผละมือออกจากกันนั้น เสียงใครบางคนกำลังเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น วินาทีที่ผมกับเขาหันหน้าไปทางประตูพร้อมกันนั้น ประตูก็ถูกเปิดกว้างออก จนได้พบเข้ากับหญิงสาวผู้หนึ่ง นั่นก็คือ อียูจองนั่นเอง
“พี่…อ้า กำลังคุยกันอยู่สินะ ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
“ไหนๆ ก็เปิดประตูแล้วนี่ เข้ามาสิ มีเรื่องอะไรเหรอ”
ผมส่งสายตาไปหาชินแจรยง พอเขาพยักหน้ารับ อียูจองเห็นดังนั้นจึงปรี่เข้าห้องมาในทันที หล่อนเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะทำงานของผม แล้วเหลือบมองชินแจรยงแวบนึง หลังจากนั้นจึงค่อยยื่นกระดาษที่พับมาอย่างเรียบร้อยสวยงามให้แก่ผม
“พี่ อันนี้ส่งมาจากเผ่าแฮมิล”
“เผ่าแฮมิล?”
‘อีฮโยอึลส่งมางั้นเหรอ’
ผมค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้น พร้อมกวาดสายตามองด้านนอก และ ณ วินาทีนั้นเองผมก็หยุดเคลื่อนไหวไปเสียดื้อๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ผู้ส่งกระดาษแผ่นนี้มาไม่ใช่อีฮโยอึล แต่กลับเป็นคิมยูฮยอน พี่ชายของผม ผมจึงลังเลว่าจะลองอ่านข้อความเขาเดี๋ยวนี้เลยดีหรือไม่ แต่แล้วผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของชินแจรยงที่กำลังยืนใจลอยอยู่ตรงหน้า
“ผู้เล่นชินแจรยง ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะครับที่ได้เข้าร่วมเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ ในอนาคตก็รบกวนด้วยนะครับ”
“อ๊ะ ครับ! ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องรบกวน!”
“ผมจะรอดูนะครับ คงจะได้เจอกันในการประชุมช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม…คุณคงต้องย้ายจากที่พักชั่วคราวมาเป็นที่พักส่วนตัวเสียแล้วละครับ ใช่ไหม อียูจอง?”
“เอ๋? อ้า อื้ม!”
ชัดเจนแล้วว่าหล่อนฟังบทสนทนาระหว่างผมกับชินแจรยง อียูจองไม่ได้มีสีหน้าตกใจมากมายถึงเพียงนั้น บางทีการที่หล่อนเห็นว่าเขาพักอยู่ที่นี่มาตลอดอาจจะนึกว่าเขาเข้าร่วมเผ่ากับพวกเราแล้วก็ได้
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถือว่าคุณชินแจรยงได้เข้ามาเป็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่แล้วนะ เธอเองก็ช่วยดูแลด้วย”
“อ้า อย่างที่คิดไว้เลย เข้าใจแล้วค่า~ ยินดีต้อนรับนะคะ คุณลุง! ในอนาคตก็ขอความกรุณาด้วยค่ะ!”
อียูจองเผยรอยยิ้มอันแสนสดใสออกมา หลังจากนั้นจึงจับมือชินแจรยงเขย่าๆ ไปมา หล่อนเองก็เป็นอีกหนึ่งคนในบรรดาสมาชิกเผ่าที่มีความปราถนาดีมอบให้แก่ชินแจรยง การแสดงออกมาซึ่งความยินดีด้วยใจจริงนั้นช่างแตกต่างกับท่าทีที่เคยเห็นเมื่อครั้งเผชิญหน้าอยู่กับคิมฮันบยอลราวฟ้ากับเหว
‘เรียกว่าคนทรยศได้ไหมเล่าเนี่ย’
“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับ อียูจอง บอกให้สมาชิกเผ่าแนะนำตัวกับเขา แล้วก็ช่วยให้ข้อมูลที่พักกับเขาด้วยละ เข้าใจไหม”
อียูจองทำปากยื่นปากยาว นัยน์ตาแวววับเป็นประกายสวยงามส่งมาให้แทนคำตอบ ผมรู้สึกเหมือนได้เห็นลูกสาวตัวเองกำลังต่อต้านว่า ‘รู้แล้วน่า’ เลย
ผมมองเขาทั้งสองที่เดินออกนอกประตูไป แล้วจึงหยิบกระดาษที่วางทิ้งไว้ครู่หนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง
เล่มที่ 16 ตอนที่ 31
หลังจากผมทานข้าวเย็นร่วมกับสมาชิกเผ่า ผมจึงกลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้งหนึ่ง และจึงนั่งลงที่โต๊ะ ใช้สายตาค่อยๆ สอดส่องข้อความที่อ่านเมื่อครู่อีกครั้ง
เนื้อหาในช่วงแรกไม่มีอะไรแปลกใหม่นัก ผมนึกว่าคงจะมีอะไรเครียดๆ ส่งมา แต่ทว่าเนื้อหานั้นเป็นการทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบต่างๆ เช่น กินข้าวอิ่มไหม, ร่างกายโอเคหรือยัง กินเนื้อที่ไปแล้วเกือบครึ่งหนึ่ง ผมได้แต่ถอนหายใจ และในตอนที่ตัดสินใจว่าจะทิ้งกระดาษแผ่นนี้ไปนั้น เนื้อหาสำคัญก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา
ในแต่ละถ้อยคำ แต่ละคำพูดนั้น หากจะให้สรุปมาเป็นคำสั้นๆ คำเดียวก็คงเป็นคำนี้ นั่นก็คือ ขอร้องให้เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไม่ให้ความร่วมมือแก่อีฮโยอึลฐานะสมาชิกเผ่าที่เป็นพันธมิตรกันไปสักระยะหนึ่งจะได้หรือไม่
‘สำหรับคิมยูฮยอนแล้วยังไงก็ยังคงมีค่าอยู่เหมือนเดิม จึงทำให้ดูเหมือนว่าพวกฑูตสวรรค์ไม่ได้พูดอะไรถึงเป็นพิเศษน่ะ แต่…ตอนนี้มันจบไปแล้วเนอะ’
บทสนทนาที่ได้แลกเปลี่ยนกับอีฮโยอึลเมื่อวันก่อนนั้นวนเวียนเข้ามาอยู่เต็มหัวสมองผมเต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหล่อนขีดเส้นพี่ชายผมไว้อย่างไร
ผมรู้ตัวตนของทั้งพี่ชายและอีฮโยอึลอยู่แล้ว เขาคงจะเรียกร้องอะไรสารพัดสักอย่าง เช่น ตอบแทนบุญคุณที่เคยได้ช่วยชีวิตไว้ หรือไม่ก็ ช่วยเลี้ยงผมมาจนเติบใหญ่ เป็นต้น และตัวพี่ชายเอง คงจะตกลงปลงใจด้วยกับยินดีเพื่อผมอย่างแน่นอน
ในส่วนนี้มีเรื่องที่ซีเรียสอยู่สักหน่อย ไม่สิ ค่อนข้างมากเลยละ แม้ผู้เล่นที่รู้ตัวตนที่แท้จริงจะมีอยู่เล็กน้อย แต่ทว่าผู้คนเหล่านั้นล้วนยังมีสิ่งที่ตัวเองละเมอเพ้อพกไปเองอยู่บ่อยครั้ง
และสิ่งนั้นคือการที่คิดว่าผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือเป็นคนจิตใจดีนั่นเอง ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะมีคำว่า ‘พิทักษ์’ อยู่ในนั้น หรือเป็นหนี้บุญคุณอะไรกันแน่ เพราะหากจัดการกับระบบความคิดและความเข้าใจที่มีต่อผู้พิทักษ์ โดยจำกัดเฉพาะคนรู้จักแล้วล่ะก็จะรับรู้ได้เลยว่าผู้พิทักษ์คือ ‘ผู้เสียสละตนเอง เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น’
แต่ทว่าความคิดของผมกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้จะออกคำสั่งอะไรอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากการเป็นลูกกระจ๊อกของเหล่าทูตสวรรค์ได้อยู่ดี เหล่าทูตสวรรค์มีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง และเพื่อให้วัตถุประสงค์นั้นสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างง่ายดายนั้น ก็จะต้องเชิดชูยกยอผู้พิทักษ์ทั้งหลายนั่นเอง
เราสามารถรับรู้ถึงสิ่งนี้ได้ แม้จะมองแค่ในมุมปัจจุบันเท่านั้น อีฮโยอึลเป็นผู้พิทักษ์แท้ๆ แล้วทำไมถึงไม่ชวนกันไปช่วยเหลือเหล่าเมืองต่างๆ ที่โดนบุกโจมตีอยู่ ณ ตอนนี้ล่ะ เผ่าต่างๆ จากใจกลางและทิศตะวันตกนั้น ต่างก็กำลังทยอยย้ายถิ่นฐานมาที่ทิศตะวันออกกับทิศใต้ เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเลย
เรื่องนี้เป็นลางสังหรณ์ของผมคนเดียว แต่มีความเป็นไปได้สูงพอสมควรที่อีฮโยอึลจะอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้
กล่าวคือ การเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปนั้นเปรียบเสมือนได้กับเป็นตัวแทนของเหล่าทูตสวรรค์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาได้เห็นทุกย่างก้าวที่ถูกปรับให้เข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้นอย่างทะลุปรุโปร่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ตามที่ต้องการ
พูดสั้นๆ คือ การที่ในตอนนี้อีฮโยอึลได้ถอนรากถอนโคนเผ่าสิงโตทองและเผ่าพันธมิตรออกไปเพื่อทวีปเหนือนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม หากคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างต้องไม่พอใจอย่างแน่นอนกับการที่อีฮโยอึลจะเข้ามายังเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ และสืบเนื่องจากเหตุผลเหล่านั้น จึงทำให้ผมตัดสินใจว่าอยากจะฆ่าหล่อนทิ้งไปเสียตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ตอนนั้นคุณค่าในตัวพี่ชายผมถูกประเมินเอาไว้สูง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าเผ่าสิงโตทองจะไม่มีอีกต่อไปแล้วในภายภาคหน้า
แน่นอนว่าตอนนี้ผมถอดใจเรื่องที่จะฆ่าหล่อนเดี๋ยวนั้นออกไปแล้ว สถานการณ์ ณ ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมกำลังมองเห็นว่าอีฮโยอึลในปัจจุบันนี้มีการกระทำที่คล้ายกับสิ่งที่ผมเจตนาไว้อย่างมากเลยทีเดียว แม้หล่อนดูเหมือนจะมีใจให้พี่ชายผมเป็นหนที่สองแล้ว ถึงกระนั้นเผ่าต่างๆ รวมถึงพี่ชายผมที่เติบโตมาได้โดยการส่งเสริมจากผู้พิทักษ์นั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลของเหล่าผู้พิทักษ์ไปได้
‘ยุ่งยากจริงๆ เลยแฮะ’
ผมถอนหายใจ และทิ้งกระดาษแผ่นนั้นไป ผมคิดว่าเราเจอเรื่องแย่ๆ อยู่แล้ว กลับต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ ขึ้นไปอีกเสียอย่างนั้น ในหัวผมก็วุ่นวายมากเกินพออยู่แล้ว หากยิ่งได้แก้ไขเรื่องหนึ่งออกไป อย่างไรก็จะต้องมีอีกเรื่องหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาให้แก้ปัญหาอีกจนได้
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหล่อนคิดอะไรอยู่ ถึงจะมาเผ่าผม ดูเหมือนผมจะต้องเข้าไปพบและคุยอย่างละเอียดกับพี่ชายโดยตรงเสียแล้วสิ และเห็นว่าเมื่อก่อนนี้ได้ไปเจอกับเซราฟมาด้วย
ผมหมุนเก้าอี้พลางมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ความมืดมิดเริ่มเข้ามาปกคลุมสวน เพราะฉะนั้นจึงเข้าสู่ช่วงเวลากลางคืนโดยแท้จริง ถึงมันจะมาเร็วไปสักเล็กน้อย แต่แล้วผมก็ยันกายลุกขึ้นยืน ผมคิดว่าก่อนอื่นจะต้องมุ่งมั่นจัดการในสิ่งที่จะต้องให้สำเร็จไปเสียก่อน
หากทำงานเสร็จสิ้นไปแล้วหนึ่งงาน อีกงานหนึ่งจึงจะค่อยปรากฏออกมา หากทำตามลำดับที่ว่านี้แล้วล่ะก็ ตอนนี้ก็คงถึงคราวที่ผมจะต้องจัดการอีกงานหนึ่งเสียแล้ว
มื้อเย็นนี้ผมได้รู้มาว่างานวิจัยของวิเวียนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว หมายความว่าการปรุงน้ำยาสำเร็จไปได้ด้วยดี และถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปทำปฏิกิริยาบางอย่างในตัวแพคซอยอนแล้ว หล่อนบอกว่าน้ำยาคงจะปรุงเสร็จได้ในช่วงเช้ามืด แต่ผมว่าคงจะไม่เลวร้ายอะไรนัก หากผมจะล่วงหน้าเข้าไปฟังคำอธิบาย และเฝ้าดูสิ่งต่างๆ ไว้เสียก่อน
ผมที่ตัดสินใจได้ดังนั้น จึงพาตัวเองออกมาจากห้องทำงาน แล้วลงจากชั้นสามไปทันที ผมเดินผ่านทางเดินในอาคารที่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและความหดหู่น่าเปล่าเปลี่ยว แล้วในที่สุดผมก็มาถึงหน้าประตูห้องที่อยู่สุดทางเดิน
ทั้งๆ ที่วิเวียนปิดประตูห้องไว้อย่างแน่นหนาแล้วแท้ๆ แต่ทว่ากลุ่มพืชสมุนไพรต่างส่งกลิ่นคละคลุ้ง จนลอยเข้ามาปะทะกับโพรงจมูก
ผมเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลิ่นเผ็ดร้อนที่ผสมปนเปกันจากพืชสมุนไพรเหล่านั้นต่างทะลุทะลวงเข้ามาในจมูก จนทำเอาแสบร้อนไปหมด
แสงสีอำพันโปรยปรายมาจากเพดานห้อง ส่องลงมายังพื้นที่อยู่ข้างใต้ พื้นห้องในตอนนี้อยู่ในสภาพวุ่นวาย ยุ่งเหยิง เละเทะไปหมด พืชสมุนไพรต่างกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง อีกทั้งวัตถุดิบต่างๆ ที่หล่อนบอกว่าจำเป็นในคราวนี้ ต่างก็ถูกจัดวางไว้อย่างระเกะระกะอีกด้วย
ไม่รู้ว่าหล่อนใช้วงเวทในการทำซ้ำไปซ้ำมาหรือไม่ เพราะข้างใต้เตาไฟที่กำลังเดือดปุ ๆ อยู่ใน ขณะนี้ ผมมองเห็นวงกลมอะไรบางอย่างที่มีสีแดงเพลิงส่องประกาย
วิเวียนไม่ได้หันมามองด้านหลัง ทั้งที่ผมเดินเข้ามาแล้ว ดูแล้วคงกำลังอยู่ในขั้นตอนอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก จนไม่สามารถละสายตาไปได้ ออร์โดแห่งข้อบังคับที่อยู่ในมือขวาของหล่อนนั้นกำลังส่องประกายแสงวูบวาบออกมาอย่างไม่ขาดสาย วงเวททั้งสิบที่ปรากฏอยู่บนเพดานห้องเริ่มมลายหายไปกับตา แล้วหล่อนก็ยื่นมือมาหยิบรากทราโบเซียไปสามราก โดยที่ไม่เหลียวตามองเลยแม้แต่น้อย หลังจากจึงปามันเข้าไปในเตาไฟ
ฟู่ว!
รากทราโบเซียเข้าไปละลายในเตาไฟเป็นที่เรียบร้อย ทันใดนั้นจึงเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา พร้อมกับควันสีม่วงอมแดงที่เริ่มปะทุขึ้นมา วิเวียนปรายตามองเตาไฟแล้วพยักหน้า หล่อนทำท่าทางให้รู้ว่าตอนนี้ละ ใกล้จะใช้ได้เต็มทีแล้ว หลังจากนั้นหล่อนจึงเริ่มร่ายมือไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนอีกครั้ง
จะช่วยดีไหม ประโยคนี้แล่นเข้ามาในหัว แต่ทว่าผมก็เก็บความคิดเหล่านั้นไป แล้วจึงเข้าไปจัดการเคลียร์พื้นที่ ก่อนหย่อนกายนั่งลงกับพื้น
วิเวียนเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้ามากถึงมากที่สุด ซึ่งนิสัยในด้านนี้ของหล่อนก็มีปรากฏอยู่ในคำพูดคำจาด้วย แต่ทว่าหากได้มาเห็นการกระทำของหล่อนจริงๆ แล้วล่ะก็จะยิ่งสามารถพิสูจน์ได้มากขึ้นไปอีก และนี่คือเหตุผลที่ผมยอมรับในตัวผู้หญิงคนนี้
จะว่าอย่างไรดีล่ะ ต้องบอกว่าจิตวิญญาณในการทำงานของหล่อนมันแสดงออกมาชัดเจนมากเลยหรือไม่นะ อย่างไรก็ตาม ภาพของวิเวียนที่กำลังตั้งอกตั้งใจ มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองเช่นนี้ ถือเป็นภาพที่สวยงามมาก
ไหนจะเส้นผมที่ลู่ติดอยู่ข้างแก้มอันเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เสื้อคลุมที่มีร่องรอยของพวกพืชสมุนไพรและวัตถุดิบต่างๆ ไหนจะบั้นท้ายอวบอิ่มของหล่อนที่เริ่มกระดุกกระดิกไปมา ภาพเหล่านี้มันช่าง…เอ๋?
‘ฮ่าๆ เรานี่นะ’
ผมนวดสันจมูกตัวเอง แล้วค่อยระเบิดเสียงหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา ผมคิดว่าช่วงนี้ร่างกายคงเหนื่อยๆ มีดูผิด ดูพลาดไปบ้าง พร้อมกับมองวิเวียนด้วยใจที่เบิกบาน
เวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าไหร่แล้วนะ ตอนนี้ช่วงเวลากลางคืนอันแสนมืดมิดได้ผ่านเลยไป เช้ามืดค่อยๆ เข้ามาแทนที่เสียแล้ว ผมเริ่มมองเห็นว่าการทำงานของวิเวียนใกล้จะเข้าขั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ของเหลวในเตาไฟที่เดือดปุดๆ ทำท่าเหมือนจะล้นเมื่อครู่นี้ กลับมีปริมาณที่ลดลงไปอย่างมากตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ วิเวียนใช้ไม้เท้ายาวกวนเตาไฟอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากนั้นจึงหยิบกระบวยมาตักของเหลวจนเต็ม แล้วเริ่มนำไปใส่ขวดเปล่าที่วางอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง หล่อนทำซ้ำอยู่เช่นนั้นราวสามครั้ง หลังจากนั้นจึงชูแขนทั้งสองข้างขึ้น พร้อมตะโกนออกมาว่า
“เสร็จแล้ว!”
ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่ปรบมือครั้งสองครั้งเบาๆ ให้แทน วิเวียนหันมามองผมในขณะที่แขนยังชูค้างเติ่งอยู่แบบนั้น แล้วจึงส่งรอยยิ้มอวดเก่งมาให้ ดูแล้วช่างเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความมั่นใจเสียจริง
“เก่งมากที่รอฉันได้นะ คิมซูฮยอน”
“คงเหนื่อยแย่เลยสิ งั้นตอนนี้ก็เสร็จหมดทุกอย่างแล้วใช่ไหม”
“อื้อ เดิมทีมันเสร็จได้เร็วกว่านี้นะ แต่ว่าแผนในช่วงกลางๆ มันค่อนข้างละเอียดยิบสักหน่อยน่ะ เลยกินเวลาไปบ้าง รอเดี๋ยวเดียวนะ”
วิเวียนเริ่มเก็บขวดบรรจุน้ำยาขึ้นมาทีละขวด ทีละขวด คงอยากจะอวดผลงานตัวเองเร็วๆ เสียละมั้ง ยาน้ำสีม่วงอมแดงที่หล่อนปรุงขึ้นมาเมื่อครู่นั้นได้ออกมาทั้งหมดสี่ขวดด้วยกัน
ผมเองก็อยากจะถามว่าอันนี้จบจริงๆ แล้วใช่ไหม แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ใช่ ผมสังเกตเห็นว่าวิเวียนถือน้ำยาที่มีสีต่างกันถึงสามสี ซึ่งไม่รวมยาน้ำสีม่วงอมแดงอยู่ในนั้น โดยแต่ละสี จะมีอยู่ทั้งหมดสี่ขวดด้วยกัน ดังนั้นทั้งหมดจึงมีสิบหกขวดพอดีนั่นเอง
มีทั้งสีน้ำเงินเข้ม, สีดำ, สีชมพู และสีม่วงอมแดง
ผมมองน้ำยาเหล่านั้นที่ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย ไล่ตั้งแต่ซ้ายมือมา แล้วจึงเหลือบมองวิเวียน หล่อนคงรู้สึกถึงสายตาขอร้องให้ช่วยอธิบายของผมได้ จึงกระแอมไอครั้งสองครั้ง แล้วเริ่มพูดในที่สุด
“นายรู้จักผลเน่าเสียของอิกดราซิลที่เป็นส่วนประกอบหลักในยานี้ใช่ไหม”
ผมค่อยๆ พยักหน้า หากเป็นผลดั้งเดิมของมันแล้วล่ะก็ มันจะช่วยให้จิตใจและสติของผู้ทานยาปลอดโปร่ง และช่วยในการหมุนเวียนพลังเวทได้อีกด้วย แต่ทว่าหากเป็นผลเน่าเสียนั้น มันจะให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม พูดง่ายๆ ก็คือ ยาพิษที่กินแล้วตายนั่นเอง
เล่มที่ 16 ตอนที่ 32
วิเวียนเห็นการตอบโต้ของผมดังนั้น แล้วจึงพูดต่อมาทันที
“อย่างแรก ข้อเหมือนของยาน้ำทั้งสี่ชนิดนี้คือ มีสรรพคุณทั่วไปของผลอิกดราซิลเหมือนๆ กัน อย่างที่เคยพูดไว้ว่า จากทั้งหมดแปดส่วน ให้แต่ละส่วนแบ่งครึ่งออกมา ดังนั้นแล้วเราจึงได้มาทั้งหมดสิบหกขวดด้วยกัน ด้วยความที่สรรพคุณมันค่อนข้างแรงมาก ในช่วงแรกฉันเลยคิดว่าจะลองแบ่งเป็นสี่ส่วนดูไหม แต่…หากพอคิดถึงเรื่องเวลาแล้ว ฉันเลยคิดว่าแบ่งครึ่งๆ แบบนี้ไปเลยคงจะดีเสียกว่า”
“อย่างนี้นี่เอง ข้อเหมือนงั้นหรือ…ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าต้องมีข้อแตกต่างด้วยน่ะสิ?”
“แหงอยู่แล้ว หนังสือของมาร์โวลโลมีเนื้อหาดีๆ อยู่เยอะมาก แม้จะรวมมาจากหลายๆ ที่ก็เถอะ ฉันเลยคร่ำเคร่งตั้งใจเลือกสิ่งที่กระทบต่อราชินีแห่งเอลฟ์อย่างรุนแรงมากที่สุดในบรรดาเนื้อหาเหล่านั้นมา ซึ่งข้อแตกต่างก็คือ จะต้องใช้ให้ถูก ใช้ให้เหมาะสมกับจุดแต่ละจุด เราจะต้องป้อนน้ำยาในตรงตามสภาพการณ์จึงจะได้ประสิทธิภาพที่มันจะเข้ามาผนึกกำลังกัน”
“ยกตัวอย่างสภาพการณ์หน่อยสิ”
“พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าน้ำยาสีน้ำเงินเข้มขวดนี้จะทำให้ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายรับรู้ได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้น เจ้าสีชมพูคือยาที่มีสรรพคุณเกี่ยวกับเสียง เจ้ายานี้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวเชียวนะ เพราะฉะนั้นช่วยเฝ้าดูประสิทธิภาพของมันด้วยละ และสีดำคือความเจ็บปวด สุดท้ายคือเจ้าสีม่วงอมแดง มันจะทำให้รู้สึกสะลึมสะลือ ทั้งสี่ขวดนี้นับว่าเป็นหนึ่งเซ็ต และสามารถใช้ได้ทั้งหมดสี่ครั้งถ้วน”
ผมเกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่าวิเวียนช่างละเอียดรอบคอบมากเสียจริง อย่างที่หล่อนพูดไว้ว่า เราจะไม่ได้เห็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยน้ำยาเพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าต้องลองรับรู้รายละเอียดต่างๆ เองโดยตรงมาก่อนจึงจะรู้ผลได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเชื่อหล่อนได้อย่างสนิท ผมรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก แล้วจึงพูดออกไปด้วยความดีใจ
“งั้นเหรอ โอเค รับทราบ ถ้างั้นตอนนี้ก็เหลือแค่ป้อนยา แล้วให้มันทำตามหน้าที่ไปสินะ?”
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่…ก็แอบกังวลอย่างบอกไม่ถูก”
วิเวียนพยักหน้าหงึกๆ แล้วค่อยๆ นำแขนเข้ามากอดอก สีหน้าของหล่อนเคร่งเครียดมาก
“กังวลอะไร”
“ผลของอิกดราซิลน่ะ จริงๆ เป็นวัตถุดิบที่เก็บมาได้ยากมากเลยนะ ประสิทธิภาพมันก็ดีตามนั้นแหละ แต่ปัญหาคือ สรรพคุณมันแรงเสียยิ่งกว่าแรงยังไงล่ะ โดยเฉพาะหากคิดถึงตอนพวกมันเข้ามาผนึกกำลังรวมกันสิ…เฮ้อ ฉันน่าจะแบ่งเป็นสี่ส่วนไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“เธอบอกว่าราชินีแห่งเอลฟ์ยังทนได้พอสมควรเลยนี่นา ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ยังมีวิธีค่อยๆ ป้อนให้หล่อนเพียงแค่ครึ่งหนึ่งก็ได้นี่”
“ถึงเราจะประมาณพลังจิตของมนุษย์ไม่ได้ แต่จะเอาไปเทียบกับราชินีแห่งเอลฟ์ก็คงไม่ได้อยู่แล้วแหละ สติที่ยังคงความสง่าและบริสุทธิ์มาได้เป็นเวลาหลายร้อยปี กับสติที่เพิ่งถือครองมาได้เกินกว่ายี่สิบปีนิดๆ น่ะ เราจะเอาเทียบให้มันเหมือนกันไม่ได้หรอกนะ สมมติว่าก่อนเริ่มทำยา ฉันไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นพอได้มาลงมือทำจริงๆ แล้ว ฉันเองก็กลับไปคิดอะไรง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้เลยล่ะ นายเองก็รู้ใช่ไหมว่าค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับสิ่งนี้มันเยอะมากแค่ไหน”
วิเวียนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วไม่พอใจสักเท่าใดนัก หล่อนขบปากอยู่หลายครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างกะทันหัน
“ยังไงก็ตาม ฉันก็ต้องคาดหวังให้มันรุนแรงต่อพลังจิตของแพคซอยอนให้ได้มากที่สุดตามที่ว่ามาใช่ไหมล่ะ เอาถึงขนาดพอที่จะอดทนต่อน้ำยานี้ได้น่ะ”
ผมได้แต่ระเบิดเสียงหัวเราะภายในใจ วิเวียนไม่ได้กังวลอะไรแต่ไหนไรแล้ว แต่ตอนนี้หล่อนกำลังกังวลอยู่เสียอย่างนั้น จริงๆ ผมเองก็เกิดความสงสัยว่าจะพูดออกไปดีไหมว่า สรรพคุณมันแรงมากเพียงไหนจนถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แต่ทว่ามันก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันมากนัก หากหล่อนยังไม่ตาย และทนอยู่ได้จนกระทั่งยอมคายข้อมูลออกมาเป็นประโยคสุดท้าย ก็คือว่าใช้ได้แล้ว ไม่สิ อย่างไรก็ตามแต่พวกเร่ร่อนที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย อย่างไรก็ต้องตายตามไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงยิ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย
ผมหันหน้าไปทางวิเวียนที่กำลังทำหน้าบูดบึ้ง แล้วพูดออกไปว่า
“ยังไงก็ตาม หากเราเลือกมาเฉพาะสิ่งที่สำคัญมาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น พวกที่เหลือที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็จะถูกฆ่าตายไปหมด ถึงแม้มันอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดคาดฝันตามที่เธอพูดมา แต่สุดท้ายแล้วหากหล่อนไม่ตายไปกลางทางก่อน ก็ถือว่าดีแล้ว”
“…อืม”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แพคซอยอน ถ้าพวกเราสามารถล้มแพคซอยอนเพียงแค่คนเดียวได้ เจ้าพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ น่ะ เธอจะใช้พวกมันทำอะไรก็ได้ ฉันจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายด้วย วิเวียน ฉันขอมอบสิทธิและอำนาจทุกอย่างในงานให้กับเธอคนเดียว เข้าใจใช่ไหม”
วิเวียนยืนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แต่ชั่วขณะที่ผมว่านั้นคือแป๊บเดียวจริงๆ ดูเหมือนว่ามีความเย็นยะเยือกแล่นผ่านแววตาของหล่อนไป หลังจากนั้นหล่อนจึงยกยิ้มมุมปาก พร้อมพูดออกมาว่า
“ที่พูดมาน่ะ จริงใช่ไหม”
ผมพยักหน้าให้ วิเวียนจึงเปิดปากพูดออกมาอีกครั้งว่า
“ไม่ว่าฉันทำอะไร ก็โอเคหมดเลย จริงๆ ใช่ไหม”
“ฉันไม่ชอบพูดซ้ำสองนะ”
วิเวียนกลับมามีสีหน้าสดใสเหมือนอย่างเคย ราวกับว่าหล่อนเบาใจไปได้แล้ว และหล่อนรีบหยิบน้ำยาหนึ่งขวดอย่างไม่รีรอ แล้วจับแขนผมลากไปทันที ขวดที่หล่อนกำลังถืออยู่นั้นบรรจุไปด้วยของเหลวสีน้ำเงินเข้ม น้ำยาสีน้ำเงินเข้มขวดนี้มีสรรพคุณคือ ช่วยกระตุ้นทำให้ทั่วทั้งร่างกายรับรู้อะไรต่อมิอะไรได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
“งั้นดีเลย เอาล่ะ งั้นตอนนี้เราไปคุกใต้ดินกันเลยเถอะ”
“คุกใต้ดิน? ตอนนี้เลยเหรอ ฉันน่ะโอเคอยู่แล้ว ว่าแต่เธอจะไม่พักผ่อนสักหน่อยเหรอ”
“งานใหญ่ของฉันจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้แล้ว ฉันเองก็จัดลำดับเรียงไว้หมดแล้วด้วย ลำดับแรกคือ ต้องป้อนเจ้ายานี้เข้าไปเท่านั้น แค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว จะไปด้วยกันไหมล่ะ”
ผมค่อยๆ พยักหน้าให้กับคำพูดของวิเวียน พวกเราเดินออกมาจากห้องทำงานของวิเวียน หลังจากนั้นจึงเดินผ่านทางเดินอาคารที่ถูกอาบย้อมไปด้วยแสงจากจันทร์ แล้วจึงเคลื่อนตัวไปยังคุกใต้ดินทันที
และสิ่งนี้คือ ก้าวแรกที่จะก่อให้เกิดทฤษฏีผีเสื้อ สิ่งนี้นี่แหละที่จะทำให้มรสุมต่างๆ วนเวียนพัดผ่านเข้าไปโจมตีทวีปเหนืออย่างรุนแรงต่อไปในภายภาคหน้า
วันต่อมา ผมเคลียร์ตารางประจำวันในช่วงเย็นเสร็จ ก็เดินลงไปยังใต้ดินตามคำขอร้องของวิเวียน
ห้องฝึกฝนการต่อสู้ที่ผมแสนจะภูมิใจในเนื้ออันกว้างใหญ่นี้ ได้ถูกปรับปรุงโฉมใหม่ให้กลายมาเป็นคุกใต้ดินชั้นเลิศแทน คุกแห่งนี้มีโครงสร้างง่ายดายและไม่ซับซ้อน ถึงขนาดที่ว่าเราสามารถรื้อถอน ทุบทิ้งมันได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ
หากลองคิดถึงห้องฝึกการต่อสู้ที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ดู จะรู้ได้ว่าในทุกๆ หนึ่งเส้นระนาบจะสามารถสร้างคุกได้จำนวนสองห้อง เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงสามารถสร้างคุกออกมาได้ทั้งหมด เป็นจำนวนแปดห้องด้วยกัน จากจำนวนห้องทั้งหมด เราใช้ถึงเจ็ดห้องในการคุมขังพวกเร่ร่อน ส่วนอีกหนึ่งห้องที่เหลือนั้นจะเป็นห้องเก็บของที่วิเวียนขอร้องมาโดยเฉพาะ
คุกใต้ดินแห่งนี้ติดไลท์สโตนเพิ่มแสงสว่างอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น จึงทำให้บรรยากาศรอบข้างดูมืดมัว มีแสงสลัวๆ เพียงอย่างเดียว ภายในนี้มีลมร้อนวูบวาบจากที่ไหนไม่รู้พัดเข้ามาปะทะร่าง อีกทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งออกมาจากทั่วทุกสารทิศ จนถึงขนาดต้องเอามือมาปิดจมูกไว้
บรรยากาศชั้นใต้ดินเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างลิบลับ พอผมเดินผ่านมาได้สำเร็จ จึงได้พบเข้ากับประตูที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้า และที่แห่งนี้คือคุกที่อยู่ข้างๆ ห้องเก็บของ หรือสถานที่ที่คุมขังตัวแพคซอยอนเอาไว้นั่นเอง
ผมรับรู้ได้ว่าด้านในมีคนอยู่ทั้งหมดสองคน พร้อมได้ยินเสียงครวญครางเบาๆ ดังลอดออกมา ดูท่าแล้ววิเวียนคงจะมาถึงที่นี่ก่อนผม ผมจึงเปิดประตูเข้าไปในทันที ทันใดนั้นเอง เสียงครวญครางที่โอดร้องออกมาอย่างแผ่วเบาที่ผมได้ยินนั้น ก็ยิ่งดังทวีคูณมากขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผมรู้สึกได้ว่ากลิ่นเหม็นเน่านั้นยิ่งคละคลุ้ง ส่งกลิ่นโชยรุนแรงมากกว่าเดิม
“จะ…เจ…เจ็บ เจ็บ! จะ…”
“อ้า คิมซูฮยอนมาแล้วเหรอ”
ผมได้ยินเสียงวิเวียนต้อนรับผมทันทีที่ได้เข้ามา หล่อนกำลังมองแพคซอยอนที่กำลังนอนขดตัว เกลือกกลิ้งอยู่ที่พื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่รู้จบ ผมคิดออกมาว่าหากคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน ได้มาเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจะคิดว่าผมกับวิเวียนเป็นฝ่ายอธรรมและแพคซอยอนฝ่ายธรรมะหรือเปล่านะ ไม่หรอกมั้ง เพราะผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งเหล่านั้นคือ สภาพของแพคซอยอนในขณะนี้ต่างหาก
วิเวียนให้น้ำยาสีน้ำเงินเข้มกับแพคซอยอน ในช่วงเช้ามืดของเมื่อวานนี้เอง ซึ่งประสิทธิภาพของยานี้ได้ข้อยืนยันออกมาแล้ว อาจเนื่องด้วยการทำลายประสาทและการทำให้พลังเวทตีพันกันจนวุ่นวายถูกกระตุ้นขึ้นมาให้มีปฏิกิริยาแล้วนั่นเอง สรรพคุณทั้งสองสิ่งที่ว่าไปนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสรรพคุณเบื้องต้นของผลอิกดราซิล เพราะฉะนั้นแล้วตอนนี้หล่อนจึงกำลังส่งเสียงกรีดร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องคุมขัง
หล่อนดิ้นเร่าๆ บิดร่างกายไม่หยุดหย่อน ไม่เพียงแค่นอนเกลือกกลิ้งไปบนพื้นเท่านั้น ตอนนี้หล่อนยังทำร้ายร่างกายตัวเองจนบาดเจ็บแล้วด้วย จึงทำให้ในท้ายที่สุดหล่อนจึงยันตัวเองตรงผนัง ตามที่วิเวียนพูดมาคือ ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายจะถูกขยายเพื่อให้รับรู้ได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นมันก็จะยิ่งทวีคูณความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้นไปอีก
แพคซอยอนนอนฟุบอยู่บนพื้น แขนที่เหลือเพียงหนึ่งข้างและขาทั้งสองข้างของหล่อนนั้นถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา ผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าวันนี้วิเวียนจะคลายปมนั้นให้หรือไม่
สภาพหล่อนตอนนี้ดูน่าเวทนาจับจิตจับใจ ซึ่งทั้งนี้อาจเป็นเพราะความทุกข์ทรมานจากน้ำยาที่ได้รับในวันนี้นี่เอง จึงทำให้หล่อนมีสภาพเช่นนี้ หลังจากที่หล่อนถูกกักบริเวณให้อยู่ได้แค่เพียงในคุกเท่านั้น จึงทำให้กลิ่นเหม็นสาบที่ติดอยู่ตามร่างกายจนไม่อาจชำระล้างออกไปได้ เริ่มส่งกลิ่นโชยออกมา ผมยังเห็นอีกว่าบนพื้นบางส่วนมีสิ่งปฏิกูลสกปรกอยู่ด้วย ถึงจะไม่ได้เพ่งอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นคือ ปัสสาวะและอุจจาระนั่นเอง
ประสิทธิภาพของน้ำยาคงจะแรงเสียยิ่งกว่าแรงจริงๆ เพราะแววตาอันแสนโหดเ**้ยมของแพคซอยอนที่มีมาโดยตลอดนั้นได้สลายมลายหายไปในชั่วพริบตา
“คิมซูฮยอนเองก็มาแล้ว งั้นตอนนี้ลองใช้ยาชนิดที่สองเลยดีไหมนะ”
ในตอนนั้นเอง วิเวียนที่คอยเฝ้าสังเกตแพคซอยอนอย่างนิ่งเฉยนั้น ได้หยิบน้ำยาสีชมพูที่อยู่ด้านในออกมา น้ำยาสีชมพูนี้คือ ยาที่มีสรรพคุณเรื่องเสียงผสมอยู่นั่นเอง
หลังจากนั้นวิเวียนจึงเปิดจุกขวดของยาน้ำออก แล้วจับคางของแพคซอยอน บีบบังคับจนสามารถกรอกเข้าไปได้สำเร็จ ซึ่งในระหว่างนั้นเอง อาจเป็นเพราะยังมีสติอยู่บ้างก็ได้ จึงทำให้แพคซอยอนส่ายหัวต่อต้านไปมาเบาๆ แต่นั่นก็เป็นการขัดขืนที่ไร้ซึ่งความหมายใดๆ หล่อนจับลำคอของแพคซอยอนเหมือนอย่างเมื่อวานที่เคยทำ จนในที่สุดผมจึงได้ยินเสียงกลืนของเหลวลงไปในลำคอ
“อึก แค่ก เฮือก! อ้า…อ๊ะ อ๊ากกก! เจ็บ เจ็บ! อ๊ากกก!”
แพคซอยอนกลืนของเหลวเข้าไปจนหยดสุดท้าย ส่งเสียงลมหายใจแหบแห้งออกมา พร้อมกับร่างกายที่เริ่มดิ้นทุรนทุราย ประสิทธิภาพน้ำยาของวิเวียนยังไม่ปรากฏออกมาให้เห็น ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที ในการที่ให้น้ำยาแพร่กระจายเข้าไปทั่วทั้งร่างกาย ประสิทธิภาพจึงจะค่อยแสดงผลลัพธ์ออกมา
เล่มที่ 16 ตอนที่ 33
วิเวียนอาจจะเลอะน้ำลายอีกฝ่ายมา จึงได้เอามือไปเช็ดๆ ถูๆ ที่เสื้อของแพคซอยอน หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน หันหน้ามาทางผมแล้วพูดออกมาว่า
“งั้นคิมซูฮยอน จะทำอย่างไรต่อไปล่ะ”
“หืม? อะไรเหรอ”
วิเวียนใช้นิ้วชี้ไปยังแพคซอยอนเพื่อตอบคำถามของผม
“เมื่อวานก็ได้ลิ้มชิมรสไปบ้างแล้ว ฉันคิดว่าจะเริ่มตรวจตราเลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แต่ว่าพอมาดูๆ แล้ว เธอก็หน้าตาสะสวยเอาเรื่องอยู่นะ ไง นายคิดว่าไง”
“ไม่ชอบ”
ผมตอบกลับไปทันทีทันใด แพคซอยอนหน้าตาสวยจริงๆ แม้หล่อนจะสูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่ทว่าทั้งหน้าตาและรูปร่าง เรียกได้ว่าเซ็กซี่พอๆ กับโกยอนจูเลย แต่ผมก็ไม่ได้มีความต้องการอะไรแปลกๆ แบบนี้หรอกนะ
ดูเหมือนว่าตัวเองจะตอบปฏิเสธอย่างห้วนๆ ไปเสียหน่อย จึงลอบสังเกตสีหน้าของวิเวียน ไม่รู้ว่าทำไมใบหน้าของหล่อนถึงดูอารมณ์ดีอย่างไม่รู้สาเหตุ
“อ้อ งั้นเหรอ”
วิเวียนยิ้มแย้มออกมา แล้วพูดต่อด้วยเสียงใสแจ๋วว่า
“งั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้วน่ะสิ อืม…งั้นช่วยเปิดประตูคุกห้องอื่นให้หน่อยสิ ฉันจะพาไปคุกที่มีพวกเร่ร่อนชายอยู่ เจ้าพวกเร่ร่อนคนนั้นที่ยอมเปลี่ยนใจมาหานายน่ะ”
หลังจากที่ป้อนยาสีชมพูให้แพคซอยอนกินแล้วนั้น วันเวลาก็ล่วงผ่านเลยไปจนมาถึงขั้นตอนที่สาม นั่นก็คือ การป้อนยาน้ำสีดำ หรือยาแห่งความทุกข์ทรมาน
คุกใต้ดินยังคงมืดมิดเฉกเช่นเดิม แต่ตอนนี้ผมก็เหยียบย่างเข้ามาด้วยความรู้สึกคุ้นชินเสียแล้ว ผมค่อยๆ เดินข้ามสถานที่ที่เคยเป็นลานฝึกซ้อมในอดีตมาตามปกติ และสถานที่ที่ผมหยุดการเคลื่อนไหวตรงหน้านี้คือ ห้องเก็บของ ด้วยความที่ประตูมันเปิดอยู่แล้ว ผมจึงมองเข้าไปในห้องได้อย่างไม่ขัดเขิน สิ่งที่ทำให้สถานที่นี้แตกต่างไปจากคุกอื่นๆ คือ มีไลท์สโตนเล็กๆ คอยให้แสงสว่างอยู่ในคุกด้วย และในห้อง ณ ขณะนี้ มีลมร้อนแปลกประหลาดบางอย่างกำลังพัดกระหน่ำอยู่
“อ้าว!”
“ไม่เป็นไร ทำต่อไปได้”
แม้จะยกมือบอกว่าไม่เป็นไรไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นพวกเร่ร่อนที่ห้อมล้อมตัวแพคซอยอนอยู่นั้นก็ได้เขยิบออกห่างหล่อนที่อยู่ในสภาพครึ่งนั่งครึ่งยืน ผมเริ่มใช้สายตากวาดมองพวกเขาที่มีเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดวิ่นห่อหุ้มร่างกายอย่างน่าอนาถใจ
“วิเวียนกลับไปแล้วเหรอ
“คะ…ครับ วันนี้ท่านเอาอาหารมาให้ แล้วก็มาเฝ้าดูพักหนึ่งน่ะครับ”
“โอเค ไม่มีอะไรน่ากังวลใช่ไหม”
“ครับ! อาหารช่วงนี้อร่อยด้วย…แล้วก็ เอ่อ…”
พวกเร่ร่อนที่ยืนอยู่ใกล้ผมที่สุด เหลือบมองแพคซอยอน หลังจากจึงพูดอย่างระมัดระวังออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
หากจะให้ว่ากันโดยละเอียดแล้ว ผมไม่ได้ปล่อยให้พวกเร่ร่อนอดตายแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดป้อนข้าวป้อนน้ำอย่างกับเป็นเจ้านายเสียทีเดียว ผมยังให้การดูแลเป็นอย่างดีในฐานะเชลยศึก ยกเว้นเพียงแค่แพคซอยอนกับคนที่หล่อนไว้ใจเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งทั้งสามคนนี้ก็กำลังถูกบีบบังคับให้รับของเหลวเข้าไปในร่างกายอยู่ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้กะจะให้ถึงขั้นตายแต่อย่างใด
“คือ…ท่านลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ หากไม่เป็นการเสียมารยาท ผมอยากจะขอถามอะไรสักอย่างจะได้หรือไม่ครับ”
พวกเร่ร่อนที่เอาแต่ยืนมองอยู่เฉยๆ ในตอนนั้นเริ่มพูดขึ้นมา ผมพยักหน้าเพื่อให้อนุญาตให้เขาพูด เขาคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยว่า
“ไม่ทราบว่าเรื่องที่ท่านเคยพูดเมื่อคราวก่อนนู้น ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วครับ…”
“อ้อ ฉันว่าจะเปิดคำสั่งเกณฑ์ในเร็ววันนี้แหละ การตัดสินคดีก็จะมีขึ้นพร้อมกันในตอนนั้นเลย”
“ยะ…อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณที่ตอบคำถามให้ครับ”
“ขอบคุณอะไรกัน อย่างน้อยก็ช่วยรักษาสัญญาเรื่องคำให้การณ์ด้วยก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลถึงส่วนนั้นไปหรอก อย่างไรก็ตามฉันขอให้พวกนายทำตามที่วิเวียนสั่งไปสักระยะหนึ่งก่อน ขอเตือนไว้จะได้ไม่ลืม”
พวกเร่ร่อนก้มหน้าลง ดูมีสีหน้าลังเลใจว่าจะทำหรือไม่ทำดี ในช่วงแรก ผมได้ใช้ม่านควันอำพรางปิดบังเรื่องที่ไม่สามารถรับรองชีวิตของพวกเขาได้ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเองจะคิดว่านี่เป็นจุดสุดท้ายของชีวิตหรือไม่
พวกเร่ร่อนเดินทางกลับเข้าไปในคุกของตัวเอง จนไม่หลงเหลือใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
วินาทีที่ผมได้ยินเสียงประตูปิดสนิท ผมแตะฝ่ามือที่มีพลังเวทอบอวลอยู่ด้านในเบาๆ และแล้วดวงไฟในห้องเก็บของจึงค่อยพร้อมใจกันส่องแสงสว่างไสวออกมา แสงไฟเหล่านั้นสาดส่องลงมาที่ร่างเปลือยเปล่าของแพคซอยอนที่นอนเหมือนคนตายอยู่บนพื้น
“แค่ก…อึก…”
เสียงที่ผมไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวด หรือเสียงร้องไห้ดังลอดออกมาจากริมฝีปาก
วิเวียนบอกว่าเดิมทีแล้วประสิทธิภาพในการทำงานของผลอิกดราซิลจะอยู่คงทนถาวร แต่ทว่าในขั้นตอนการปรุงน้ำยานี้ หากทำให้สรรพคุณเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้ามแล้วล่ะก็ ความคงทนถาวรนั้นก็จะหายไป ถึงอย่างนั้นผลจะยังคงอยู่อย่างยาวนาน เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า แพคซอยอนจะสามารถรับรู้อะไรได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ ผมทอดสายตามองหล่อนในสภาพเช่นนั้นอยู่พักใหญ่
คงไม่ได้เจ็บปวดจนถึงขั้นอยากตายหรอกนะ?
“ฮึก ฮือ ฮือออ”
ในตอนนั้นเอง เสียงของแพคซอยอนก็ดังขึ้นมาเติบเต็มที่แห่งนี้ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นแน่นอน หล่อนใช้หลังมืออำพรางดวงตา พร้อมกับส่งเสียงร้องไห้ออกมา
“…”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอันแสนเศร้าโศกนี้ดังไปทั่วใต้ดินอันเงียบสงัด เสียงของหล่อนกำลังทำให้บรรยากาศที่อึมครึมอยู่แล้ว ยิ่งอึมครึมมากขึ้นไปอีก จากที่สลดอยู่แล้ว ยิ่งทวีคูณความเศร้าสลดใจเข้าไปอีก ผมมองแพคซอยอนที่กำลังร้องไห้อยู่อย่างไม่ขาดสายพักใหญ่ หลังจากนั้นจึงหันกาย เดินออกจากห้องเก็บของไปในที่สุด
ไม่สงสาร และก็ไม่เศร้าด้วย
ผมรู้สึกถึงความสงบภายในใจผม พร้อมกับค่อยๆ หลับตาลง ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองผมอย่างไร เพราะแม้แต่ผมเองยังไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนดีเลย
ผมคิดแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มนุษย์คือสัตว์ที่ถนัดในการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมาตั้งนานแล้ว ท่าทีแตกต่างไปตามแต่ละสถานการณ์ ไม่มีความเสมอต้นเสมอปลาย และเป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัวเองมากถึงมากที่สุด
ผมกอบกุมเป้าหมายนั้นไว้ แล้วจึงได้กลับมาอีกในครั้งที่สอง และเพื่อที่จะให้เป้าหมายนั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว ผมจึงตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ปิดกั้นวิธีการหรือกลยุทธ์ใดๆ ทั้งสิ้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เฉกเช่นนี้ แน่นอนว่าคือ ความสงสารอนาถใจ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างชัดเจนในความทรงจำของผมที่มีต่อรอบที่หนึ่ง
วันแล้ววันเล่าที่ผมต้องสัมผัสกับมัน ต้องดูแต่มัน แต่ต้องมาเผชิญหน้าแต่กับมัน ความทรงจำ ณ ตอนนั้นที่เสียดแทงเข้ามาในกระดูกดำของผมในตอนนี้ ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในห้วงลึกสุดของหัวใจ
นั่นแหละ มีเพียงแค่สิ่งนั้นเท่านั้น
“ซูฮยอน ซูฮยอนรู้ตัวหรือเปล่าเนี่ยว่าฉันเรียกนายตั้งนานแล้ว”
ในช่วงค่ำ ขณะที่ผมกำลังเดินลงบันไดอันอับแสงอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเง้างอแว่วเข้ามาในหู ผมจึงหันไปด้านขวา แล้วตอบออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่นัก
“งั้นเหรอครับ”
“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ ถึงวันนี้จะจู่ๆ ก็มาหา แต่ก็ดีใจไม่หายเลย ว่าแต่ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาสั่งให้เดินตามไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ล่ะคะ คุณฮายอนเขากำลังเศร้าอยู่เลยนะ”
“ช่วงนี้ผมยุ่งๆ น่ะครับ”
โกยอนจูบ่นเหมือนแม่ผมไม่มีผิด แต่พอผมพูดคำว่ายุ่งออกไป หล่อนจึงรีบปิดปากฉับในทันที ความจริงหล่อนก็เฝ้าจับตามองผมแต่ภายนอกอยู่เช่นนั้น ว่าช่วงที่ผ่านมาผมเป็นอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีอะไรจะต้องบอกอีก
โกยอนจูเบะปาก ทำสีหน้าบูดบึ้ง สงสัยจะไม่พอใจที่ไม่ได้ยินคำพูดหวาน ๆ ออกมาจากปากผม ผมรู้ดีว่าหล่อนต้องการคำพูดแบบไหน แต่ตอนนี้ผมยังอยากเก็บคำๆ นั้นเอาไว้เสียก่อน เพราะว่าวินาทีสำคัญกำลังอยู่ตรงหน้าผม ณ ขณะนี้แล้ว
พวกเราเดินมาถึงล็อบบี้แล้วจึงเดินไปในทางเดินอาคารด้านข้างที่ปลอดโปร่ง ไร้ซึ่งผู้คนสัญจร จนในที่สุดก็มาถึงบันไดที่จะใช้ลงไปใต้ดิน ผมจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบเดินลงบันไดไปทันที แล้วทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโกยอนจูที่ดูจะเคร่งขรึมกว่าเมื่อครู่นี้พูดออกมา
“ซูฮยอน คุณรู้หรือเปล่าว่าคำสั่งเกณฑ์ที่จะจัดขึ้นอีกสามวันต่อจากนี้ เขาเก็บเป็นความลับกันน่ะ?”
“รู้ครับ”
“งั้นพวกเร่ร่อนล่ะ จะทำอย่างไรดีคะ”
“นั่นสิครับ วันนี้ต้องไปดูก่อน ถึงจะทราบได้”
โกยอนจูดูมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่พักหนึ่ง เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก หลังจากนั้นจึงค่อยเปล่งคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย
“สงสัยต้องเตรียมดวงตาแห่งการล่อลวงอีกแล้วสิคะเนี่ย”
โกยอนจูสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้สมกับเป็นหล่อนจริง ๆ ผมพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง แล้วจึงมาหยุดอยู่ที่หน้าคุกใต้ดินที่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ประตูไม่ได้เปิดไว้ ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน แล้วจึงออกแรงเคาะประตูสามครั้งให้ดังพอที่คนข้างในจะได้ยินเสียงนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เอ๋? มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เข้าไปล่ะคะ”
ตึง!
โกยอนจูเอียงคอถามออกมาด้วยความสงสัย และในตอนนั้นเอง ผมรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของพลังเวทรุนแรงภายในห้อง อย่างไรก็ตามการที่จะให้วงเวทของวิเวียนสามารถขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างสมบูรณ์พร้อมที่สุดนั้น ต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย ดูท่าแล้วหล่อนคงรู้เท่าทันถึงอะไรบางอย่างอยู่บ้าง แต่ทว่าผมก็ตั้งใจจะอธิบายเพิ่มเติมอีกสักหน่อย
“โกยอนจู วันนี้ผมคิดว่าจะให้แพคซอยอนได้เจอกับไม้เด็ดน่ะครับ”
“ไม้เด็ดเหรอ…ค่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น